Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทัศนคติการตั้งชื่อเล่นสองพยางค์ของคนไทย

ทัศนคติการตั้งชื่อเล่นสองพยางค์ของคนไทย

Published by chutikan84, 2019-08-13 03:38:02

Description: ทัศนคติการตั้งชื่อเล่นสองพยางค์ของคนไทย

Search

Read the Text Version

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 ทศั นคติการตงั ชือเล่นสองพยางคข์ องคนไทย Attitudinal Factors of Determining Disyllabic Thai Nicknames นันทนา รณเกียรติ* บทคดั ย่อ งานวจิ ยั เรอื ง “ทศั นคตกิ ารตงั ชอื เล่นสองพยางค์ของคนไทย” มวี ตั ถุประสงคค์ อื เพอื ศกึ ษาปจั จยั และ เหตผุ ลอนั เป็นทมี าของการตงั ชอื เล่นสองพยางคข์ องคนไทยสมยั ปจั จบุ นั เพอื ทาํ ความเขา้ ใจทศั นคติของคนไทย ในปจั จุบนั ตอ่ การตงั ชอื เล่น ผวู้ จิ ยั ไดเ้ กบ็ ขอ้ มลู โดยการสง่ แบบสอบถามทีสรา้ งขนึ ซึงมขี อ้ ความเกยี ว กบั เหตุผล ต่างๆ ในการตงั ชอื เล่นสองพยางค์ เพอื ให้ผปู้ กครองนักเรยี นชนั อนุบาลปีที 2-3 และชนั ประถมศกึ ษาปีที 1-6 ของโรงเรยี นเอกชนแหง่ หนึงในกรงุ เทพมหานครไดใ้ หน้ ําหนกั กบั เหตุผลของแต่ละขอ้ โดยไดส้ ่งแบบสอบถามให้ ผปู้ กครองของนักเรยี นทุกคนทมี ชี อื เล่นสองพยางค์ ผลการวิจยั พบว่า จํานวนรอ้ ยละของนักเรยี นทมี ีชอื สอง พยางคใ์ นระดบั ชนั อนุบาลปีที 2 และ 3 มถี งึ รอ้ ยละ 48.33 และ 47.34 ซงึ สงู กว่านกั เรยี นชนั ประถมศกึ ษาปีที 5 และ 6 ทีมชี ือสองพยางค์เพยี งรอ้ ยละ 38.37 และ 30.71 เหตุผลทผี ูป้ กครองใหน้ ําหนักในการตงั ชอื เล่นสอง พยางค์ 4 ลําดบั แรกคอื 1) ตอ้ งเป็นสองพยางค์ จงึ จะไดม้ คี วามหมายตามทตี ้องการ 2) ต้องการความแปลก ใหมไ่ มซ่ าํ ใคร 3) ตอ้ งการใหฟ้ งั ดโู กเ้ ก๋ 4) ตงั ชอื ตามชอื สตั ว์ ดอกไม้ ผลไม้ ขนมทชี อบ งานวจิ ยั เรอื งนีสรปุ ผล วจิ ยั ไดว้ า่ ปจั จบุ นั แนวโน้มในการตงั ชอื เล่นสองพยางคม์ มี ากขนึ กวา่ ในอดตี เพราะต้ องการใหม้ คี วามหมายทีดี และมคี วามหมายตามทตี อ้ งการ หากตดั จาํ นวนพยางคอ์ อกไปจะทําใหไ้ มไ่ ดค้ วามหมายตามตอ้ งการ Abstract This research aims to study the contributing factors and reasons why the modern Thai’s guardians love to give their children disyllabic nicknames so as to reveal their attitude towards choosing such nicknames. The researcher made a survey by using a questionnaire which consists of questions that concern the topic of why one would choose a disyllabic nickname for one’s child. The questionnaires were sent out to guardians of young students in kindergarten and primary schools. The result shows that the kindergarten students in year 2 and 3 with disyllabic nicknames make up 48.33% and 47.34% of the overall number of their classes respectively. This percentage is significantly higher than that of primary school students in year 5 and 6 whose disyllabic nicknames are only 38.37% and 30.71% respectively. This can point to a growing trend of giving a child disyllabic nickname which has never been found in the past. It is discovered that one of the main reasons why guardians give their children disyllabic nicknames is that often these nicknames have desirable meanings where one syllable omission cannot be done; otherwise a change will occur to the preferred meanings. Other reasons include the desire for their children to have a unique and smart sounding nickname and the desire to name after their favorite animals, flowers, fruits and dessert. * รองศาสตราจารย์ ประจาํ ภาควชิ าภาษาศาสตร์ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ 1

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 1. บทนํา 1.1 หลกั การและเหตผุ ล วฒั นธรรมการตงั ชอื ของคนไทยในสมยั โบราณนนั มกั จะตงั ชอื ประจาํ ตวั เพยี งชอื เดยี ว ไมม่ ี ชอื เลน่ โดยทชี อื ประจาํ ตวั เพยี งชอื เดยี วนนั เป็นคาํ พยางค์เดยี ว เช่น แดง ดาํ ธง นก หากเป็นชอื หลายพยางคจ์ ะเป็นพระนามของพระมหากษตั รยิ ต์ ลอดจนพระบรมวงศานุวงศเ์ ท่านนั พระนามที ยาวทาํ ใหป้ ระชาชนเรยี กขานไม่สะดวกจงึ มกี ารตดั ทอนพระนามเมอื เอ่ยถงึ ให้สนั ลงจนกลายเป็น ชอื เลน่ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ (2544) ทรงพระนิพนธไ์ วใ้ นหนงั สอื พระราชประวตั สิ มเดจ็ พระ นเรศวรมหาราชวา่ ชอื เล่นนีสนั นิษฐานวา่ อาจถอื กาํ เนิดขนึ ในสมยั รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจอม เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เนอื งจากเมอื สงั คมและวฒั นธรรมเปลยี นแปลงไป ชมุ ชนมกี ารแผข่ ยายใหญ่ขนึ ทํา ใหม้ กี ารตดิ ต่อระหวา่ งชมุ ชน การเปลยี นแปลงดงั กล่าวมผี ลทาํ ใหเ้ กดิ การเปลยี นแปลงในแง่ภาษา ดว้ ย เนืองจากคนในสงั คมมีความรูแ้ ละประสบการณ์หลากหลายขนึ จงึ ส่งผลให้เกดิ การสร้าง เอกลกั ษณ์ในชอื คนใหแ้ ปลกใหม่และซบั ซอ้ นมากขนึ ตามไปดว้ ย ดงั นันชอื ประจําตวั ของคนไทย ธรรมดา ทเี คยเป็นคาํ ไทยพยางคเ์ ดยี วกก็ ลายเป็นคาํ หลายพยางค์ เชน่ วรากร สุดาสมร รตั นาวลยั ฤดเี ทพ จรี าวฒุ ิ วรพล เผา่ เทพ วรี วฒั น์ กติ ศิ กั ดิ จะเหน็ ว่าชอื เหล่านีจะยาวขนึ ฟงั แปลกขนึ ดว้ ย เหตุนี คนไทยจงึ เรมิ นิยมตงั ชอื เล่นทเี ป็นคําพยางค์เดยี วใหก้ บั บุตรธดิ า เพอื ให้สะดวกในการ สอื สาร โดยใชช้ อื เลน่ นกี บั คนใกลช้ ดิ สนิทสนมทมี อี ายเุ ทา่ กนั หรอื มากกวา่ นอกจากนียงั ใชช้ อื เล่น ทาํ หน้าทสี รรพนามบุรษุ ที 1 แทนคาํ วา่ ฉนั ดฉิ นั ผม หนู อกี ดว้ ย การตงั ชอื เลน่ ของคนไทยเป็นเรอื งทนี ่าสนใจเป็นอยา่ งยงิ คอื นอกจากจะมลี กั ษณะเป็นคํา หนงึ พยางคแ์ ลว้ เพอื ใหเ้ รยี กขานงา่ ยขนึ แลว้ ยงั มคี วามหมายทเี ป็นลกั ษณะอธบิ ายนิสยั ใจคอของ เจา้ ของชอื เช่น หวาน ตมิ เข้ม เปรยี ว หรอื บอกลกั ษณะทางกายภาพของเจา้ ของชอื เช่น อ้วน กา้ ง โยง่ หรอื อาจจะเป็นชอื สตั วห์ รอื ผลไม้ เชน่ แมว กวาง ชา้ ง หมี สม้ อ้อย กล้วย แต่ลกั ษณะที สาํ คญั คอื จะเป็นคาํ พยางคเ์ ดยี ว ในปจั จบุ นั พบวา่ ชอื เลน่ มจี าํ นวนพยางค์มากขนึ มคี นทมี ชี อื เล่น เป็นคาํ สองพยางคจ์ าํ นวนมากขนึ เชน่ ชอื รถเมล์ ใบชา ตน้ หม่อน ขวญั ขา้ ว ในอดตี ชอื ทมี จี าํ นวน มากกวา่ หนึงพยางคห์ รอื คาํ ทมี คี วามหมายดงั ตวั อยา่ งทยี กมานีจะไม่นํามาตงั เป็นชอื เล่น จงึ เป็น สาเหตใุ หเ้ กดิ การวจิ ยั เรอื งนีขนึ เพอื คน้ หาคําตอบทเี ป็นเหตุผลของการตงั ชอื เล่นสองพยางคใ์ น ภาษาไทย และคาํ ตอบทไี ดน้ นั เชอื ว่าจะเป็นการสะทอ้ นทศั นคตซิ งึ เป็นเหตุผลของความนิยมใน การตงั ชอื เลน่ เป็นสองพยางคข์ องคนไทยในยคุ ปจั จุบนั ซงึ อาจจะมกี ารเปลยี นแปลงจากทศั นคติ ของคนไทยในอดตี ในการตงั ชอื เล่นของบุตรหลาน 1.2 วตั ถปุ ระสงค์ เพอื สาํ รวจหาเหตุผลซงึ เป็นทมี าของทศั นคตกิ ารตงั ชอื เล่นเป็นสองพยางคข์ องคนไทยใน สมยั ปจั จบุ นั 2

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 1.3 ขอบเขตในการศึกษา 1.3.1 ศกึ ษาชอื นกั เรยี นทกี ําลงั ศกึ ษาอยใู่ นโรงเรยี นเอกชนแห่งหนึงในกรุงเทพมหานคร ในชนั อนุบาลปีที 2 และ 3 (ช่วงอายุ 4-6 ปี) ชนั ประถมศกึ ษาตอนต้นปีที 1-3 (ช่วงอายุ 6-9 ปี) และชนั ประถมศกึ ษาตอนปลายปีที 4-6 (ช่วงอายุ 9-12 ปี) ซงึ มจี าํ นวนนกั เรยี นทงั หมด 1,760 คน 1.3.2 เป็นการศกึ ษาเหตุผลการตงั ชอื เลน่ สองพยางคจ์ ากผปู้ กครองซงึ มสี ถานะทางสงั คม และเศรษฐกจิ ในสงั คมไทยใกลเ้ คยี งกนั ดงั นันจงึ เลอื กศกึ ษาทศั นคตขิ องผู้ปกครองนกั เรยี นจาก โรงเรยี นเดยี วกนั เพยี งแต่อยตู่ ่างระดบั ชนั 1.3.3 ทศั นคตทิ ไี ดจ้ ากการศกึ ษาในงานวจิ ยั ครงั นีเป็นทศั นคตขิ องผปู้ กครองซงึ เป็นผูต้ งั ชอื มใิ ชท่ ศั นคตขิ องเดก็ หรอื ผทู้ ถี ูกตงั ชอื แตอ่ ยา่ งใด 1.4 สมมติฐาน 1) ผปู้ กครองนกั เรยี นในระดบั ชนั ต่างกนั มคี วามนิยมตงั ชอื เลน่ สองพยางคต์ ่างกนั 2) ผปู้ กครองทมี คี วามแตกต่างกนั ในดา้ นเพศ อายุ อาชพี และรายได้ จะใหน้ ําหนกั เหตุผล ในการตงั ชอื แตกต่างกนั 1.5 กรอบแนวคิด งานวจิ ยั เรอื งนี ใช้กรอบแนวคดิ วา่ การเปลยี นแปลงทางภาษาในเรอื งต่างๆ นัน เป็นตวั บ่งชที สี าํ คญั อยา่ งหนึงทสี ะทอ้ นถงึ วฒั นธรรม ความเชอื ทศั นคติ ตลอดจนคา่ นยิ มของคนในสงั คม นนั และการตงั ชือเล่น กเ็ ป็นการเปลยี นแปลงทางภาษาอย่างหนึงในสงั คมไทย ซงึ มลี กั ษณะที น่าสนใจ เพราะมคี วามเป็นเอกลกั ษณ์ทแี ตกตา่ งจากสงั คมอนื ๆ 1.6 ประโยชน์ทีคาดว่าจะได้รบั ผลจากงานวจิ ยั เรอื งนีจะทาํ ใหเ้ ขา้ ใจความคดิ ทศั นคติ ในการตงั ชอื เล่นของคนไทยในยคุ ปจั จุบนั วา่ ผปู้ กครองซงึ อาจจะเป็นบดิ ามารดาหรอื ญาตผิ ู้ใหญ่คาํ นึงถึงเหตุผลอะไรบ้างในการตงั ชอื และใหน้ ําหนกั ความสาํ คญั ในแต่ละเหตุผลอยา่ งไรในการตงั ชอื เล่น ทงั นีจะเป็นการสะท้อนถงึ ความคาดหวงั ทมี ตี อ่ บตุ รหลาน ความสมั พนั ธใ์ นครอบครวั ค่านิยมและทศั นคตขิ องผตู้ งั ชอื ทมี ตี ่อ การดาํ เนินชีวติ อนั สะท้อนให้เหน็ ผ่านออกมาจากเหตุผลการตงั ชอื เล่นให้กบั บุตรหลานนนั เอง ขอ้ มลู จากผลการวจิ ยั นสี ามารถนําไปศกึ ษาตอ่ ยอดในแง่มมุ ต่างๆ เพอื จะทาํ ใหเ้ ขา้ ใจวธิ คี ดิ คา่ นยิ ม ความเชอื ในการใชช้ วี ติ ของคนไทยในสมยั ปจั จุบนั ไดล้ กึ ซงึ มากยงิ ขนึ 2. เอกสารและแนวทางการวิจยั ทีเกียวข้อง การตงั ชอื มคี วามสาํ คญั มากสําหรบั มนุษยท์ ุกชาตทิ ุกภาษา เนืองจากเป็นเครอื งจําแนก มนุษยแ์ ตล่ ะคนออกจากกนั ทศั นคตแิ ละคา่ นยิ มของคนในสงั คมเป็นสงิ สาํ คญั มากในการตงั ชอื ของ 3

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 คนในแตล่ ะวฒั นธรรม โรบนิ ส์ (Robins, 1993) กล่าวว่า ชอื สามารถสะทอ้ นวฒั นธรรมและความ เชอื ทแี ตกต่างกนั ไปตามแต่ละวฒั นธรรม มนุษยจ์ งึ ใหค้ วามสําคญั กบั การตงั ชอื เช่น มกี ารสร้าง กฎเกณฑ์ในการตงั ชอื ให้เหมาะสมกบั บุคคล มกี ารเลอื กชอื ทมี ีความหมายเป็นมงคลหรอื ทอี อก เสยี งไพเราะ เป็นตน้ รเี นย์ (Reaney, 1979) และบราวน์ (Brown, 1991) กล่าวถงึ ชอื เล่นใน ภาษาองั กฤษว่าเป็นชอื พเิ ศษทตี งั เพมิ ขนึ มาจากชอื เฉพาะ (a proper name) ของบุคคล ซงึ เพอื นๆ หรอื บุคคลในครอบครวั ใชเ้ รยี กบคุ คลคนหนงึ โดยรเี นย์ (อา้ งแลว้ , 1979) บราวน์ (อา้ งแลว้ , 1991) และ นันทนา รณเกยี รติ (2531) ได้กล่าวไปในแนวทางเดยี วกนั ถึงทมี าของการตงั ชือ หลายประการ คอื 1) เป็นชอื ทตี งั จากลกั ษณะทางกายภาพหรอื บุคลกิ ภาพของเจา้ ของชอื เช่น คน ผอมอาจมชี อื เล่นวา่ Slim หรอื Skinny คนรูปร่างอ้วนอาจมชี อื เล่นว่า Blimp เป็นต้น 2) ชอื เล่นที นํามาจากบางส่วนของชอื จรงิ เช่น ชอื เล่น Mike มาจากชอื จรงิ ว่า “Michael” 3) ชอื เล่นมาจาก สภาพจติ ใจ สตปิ ญั ญา หรอื คุณธรรมของบคุ คล เช่น คนทมี นี ําใจ มอี ธั ยาศยั ดี จะมชี อื เล่นวา่ Bean คนฉลาดรอบคอบมชี อื เล่นวา่ Glow, Glue เป็นตน้ การตงั ชอื เล่น (Nicknames) ในสงั คมไทยจงึ มคี วามสาํ คญั มากไม่ต่างกนั เนืองจากเป็น การสะทอ้ นความรสู้ กึ ความผกู พนั ตลอดจนความสมั พนั ธอ์ นั ใกล้ชดิ ทผี ้ตู งั ชอื มตี ่อเจ้าของชอื คํา วา่ ชอื เล่นในงานวจิ ยั เรอื งนี จะใชค้ าํ ภาษาองั กฤษวา่ Nicknames ซงึ หมายถงึ ชอื เล่น แต่ชอื เล่นใน วฒั นธรรมไทยจะแตกตา่ งจากวฒั นธรรมอนื ๆ ในแง่ทวี ่า ไม่จําเป็นทจี ะต้องมคี วามสมั พนั ธก์ บั ชอื จรงิ เลยกไ็ ด้ 2.1 การตงั ชือเล่นในภาษาไทย การตงั ชอื เลน่ ของคนไทยมคี วามสลบั ซบั ซอ้ นในเชงิ สงั คมอย่างน่าสนใจ วรางคณา สวา่ ง ตระกลู (2540) ได้ศึกษาภาษาทใี ช้ในการตงั ชือเล่นของคนไทยทเี ป็นสามญั ชนทอี าศยั อยใู่ น กรุงเทพมหานคร จํานวน 1040 ชอื โดยศกึ ษาในเรอื งของจํานวนพยางค์ การสรา้ งคาํ ทมี าของ ภาษาและความหมายตามตวั แปรเพศและอายุ ผลการวจิ ยั พบวา่ ในเรอื งของจาํ นวนพยางค์ ชอื ของ เพศชายมจี าํ นวนพยางคน์ ้อยกวา่ เพศหญงิ ในกลมุ่ อายเุ ดยี วกนั และชอื ของกลุ่มอายุมาก (อายุ 60 ปี ถงึ 74 ปี) มจี าํ นวนพยางคน์ ้อยกวา่ ชอื ของกลุม่ อายนุ ้อย(อาย1ุ -14 ปี) ในเพศเดยี วกนั การตงั ชอื เพศชายมจี าํ นวนพยางคน์ ้อยกวา่ เพศหญงิ แสดงวา่ ค่านิยมในการตงั ชอื ของคนไทยนัน เพศชาย ไมน่ ิยมตงั ชอื ใหย้ าวนกั แตเ่ พศหญงิ นยิ มทจี ะตงั ชอื ยาวกวา่ ทงั นเี พราะเพศหญงิ นิยมทจี ะใชช้ อื ทมี ี ลกั ษณะการสรา้ งคาํ ทซี บั ซอ้ นกวา่ นอกจากนพี บวา่ สงั คมไทยให้ความสําคญั ทางด้านความหมาย มาก ชือต้องบ่งบอกความหมายทดี ีและบ่งบอกลกั ษณะเฉพาะของเพศ ชอื ของเพศชายจะมี ความหมายประเภทอํานาจและชยั ชนะ ความเป็นเลศิ และความกล้าหาญมากทีสุด อาจสืบ เนืองมาจากการเปรยี บเทยี บผหู้ ญงิ เป็นดอกไมท้ งี ดงามและบรสิ ทุ ธิ อยา่ งไรกด็ ี ในชอื ของเพศหญงิ กม็ ีความหมายประเภทความรู้ ความฉลาด ทงั นีอาจเป็นเพราะยุคสมยั เปลยี นไป ผู้หญิงต้อง ออกไปประกอบอาชพี นอกบา้ น จงึ ตอ้ งมคี วามรฉู้ ลาด ทดั เทยี มเพศชายและสามารถพงึ พาตนเอง 4

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 ได้ ดงั นนั ค่านยิ มในเรอื งความหมายของชอื จงึ เปลยี นไปดว้ ย งานของวรางคณาเรอื งนีเน้นให้เหน็ ชดั เจนวา่ ในวฒั นธรรมไทยนนั ใหค้ วามสําคญั ทางดา้ นความหมาย แต่ค่านิยมของความหมายมี การเปลยี นแปลงไปตามยคุ สมยั อยา่ งเหน็ ไดข้ ดั ในสงั คมไทย ชอื เลน่ (Nicknames) มกั จะเป็นชอื คาํ พยางคเ์ ดยี วทพี อ่ แมต่ งั ใหเ้ ดก็ แรกเกดิ ก่อนทจี ะตดั สนิ ใจจะเลอื กชอื จรงิ ใหก้ บั ลกู นนั ทนา ดา่ นววิ ฒั น์ (1982) กลา่ ววา่ ชอื เล่นมกั จะเป็นคํา พยางคเ์ ดยี วสนั ๆ ทอี าจจะมคี วามหมายแสดงถงึ ความเลก็ ใหญ่ หรอื ลกั ษณะรูปร่างของเดก็ หรอื อาจจะไม่มคี วามหมาย แต่เป็นคาํ ทไี พเราะน่าฟงั คนไทยจะใชช้ อื เล่นในการพูดถงึ ตนเอง คอื ใช้ หน้าทเี ป็นคาํ สรรพนามบุรษุ ทหี นึงเมอื สนทนากบั คนสนิทหรอื คนทคี ุน้ เคย โดยเฉพาะอยา่ งยงิ ใน สถานการณ์ทเี ป็นทางการ ทงั นีการใชช้ อื เล่นแทนคาํ สรรพนามบุรุษทหี นึงยงั เป็นการแสดงความ เป็นมติ รและความน่ารกั น่าเอน็ ดขู องผพู้ ดู อกี ดว้ ย นนั ทนาไดก้ ลา่ ววา่ การใชช้ อื เลน่ แทนสรรพนาม บุรุษทหี นึง ทาํ ใหช้ อื เลน่ ส่วนใหญ่เป็นคําพยางคเ์ ดยี วเพอื ทจี ะให้เรยี กง่าย โดยทวั ไปบดิ ามารดา ชาวไทยจะเตรยี มชอื ใหล้ กู สองชอื คอื ชอื จรงิ และชอื เล่น และใหค้ วามสําคญั กบั การตงั ชอื จรงิ มาก ชอื จรงิ ตอ้ งมคี วามหมายดี และมกั มหี ลายพยางคเ์ นืองจากใช้คําภาษาบาลี-สนั สฤต ภาษาเขมร หรอื คาํ ประสมภาษาไทย หากบดิ ามารดายงั ตงั ชอื จรงิ ใหล้ กู ไม่ได้ อาจตงั ชอื เล่นใหล้ ูกก่อน เพราะ ชอื เลน่ อาจมหี รอื ไม่มคี วามหมายกไ็ ด้ เช่น ต๊อด คนไทยนิยมตงั ชอื เล่นให้อ่านออกเสยี งไพเราะ หรอื แปลกไปจากชอื ทวั ไป ดงั ตวั อยา่ งจากชอื ทตี งั จากเสยี งรอ้ งของสตั ว์ เช่น อดี ซงึ เป็นเสยี งร้อง ของหนู หรอื แตง สม้ และ ชา้ ง ซงึ เป็นชอื เล่นทตี งั มาจากชอื ของผกั ผลไม้ และสตั ว์ ตามลาํ ดบั ชอื เล่นอาจมคี วามหมายแสดงถงึ รปู รา่ งหรอื บุคลกิ ลกั ษณะของเจา้ ของชอื เช่น อ้วน ตมิ เป็นตน้ แมว้ ่าคนไทยจะนิยมตงั ชือเล่นให้แตกต่างจากชือจรงิ แต่บางครงั พบว่ามกี ารตงั ชอื ให้พยญั ชนะ หรอื สระตวั แรกของชอื จรงิ กบั ชอื เลน่ ตรงกนั ชอื เล่นลกั ษณะนมี กั ไมม่ คี วามหมาย ชอื เลน่ อาจตงั มา จากพยางคใ์ ดพยางคห์ นึงของชอื จรงิ เชน่ ชอื เลน่ /ph:n/ “พร” มาจากชอื จรงิ ว่า /napha:ph:n/ “นภาพร” คนไทยบางคนมชี อื เลน่ 2 ชอื ชอื แรกเป็นชอื ทบี ดิ ามารดาตงั ให้ อกี ชอื หนึงเป็นชอื ที เพอื นๆ ตงั ให้ บุคคลนนั จะใชช้ อื ใดชอื หนงึ แทนสรรพนามบุรษุ ทหี นึง ตามแต่สถานการณ์วา่ กําลงั พดู กบั บดิ ามารดาหรอื กบั เพอื น นอกจากนี กาญจนา นาคสกลุ (1987) ยงั ไดต้ งั ขอ้ สงั เกตว่าการใช้ ชอื เล่นในยุคต่อมาน่าจะเกดิ จากการเรยี กชอื ดว้ ยการตดั ตอนจากส่วนหนึงของชอื จริง หรอื ชือ เรยี กทตี งั จากลกั ษณะของคนๆ นนั เช่น เป็นคนตวั เลก็ คนในครอบครวั จงึ เรยี กวา่ นิด และใน ทสี ดุ ชอื นีกก็ ลายเป็นชอื เล่น ในตอนต้นชอื เล่นจะใช้เรยี กกนั เฉพาะในครอบครวั และคนสนิท แต่ ตอ่ มากข็ ยายวงกวา้ งขนึ นอกจากงานดงั กล่าวขา้ งต้น ยงั มงี านทเี กียวขอ้ งกบั ชอื เล่นของคนไทยอกี คอื งานของ นนั ทนา รณเกยี รติ (2531) และของจรญิ ญา ธรรมโชโต (2537) โดยทนี นั ทนาได้วเิ คราะหช์ อื เล่น ของนักศกึ ษาสาขาวชิ าภาษาศาสตร์ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ เพอื วเิ คราะห์ ทมี าของการตงั ชอื เล่นของคนไทย และไดป้ ระมวลทมี าของการตงั ชอื เล่นออกเป็น 11 ประการ คอื 5

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 1) การตงั ชอื ตามลาํ ดบั ทขี องคนในครอบครวั 2) การตงั ชอื ตามความไพเราะในการออกเสยี งหรอื ชอื ทมี าจากภาษาต่างประเทศ 3) การตงั ชอื ให้เสยี งอกั ษรตน้ พยางค์เหมอื นกนั ทงั ครอบครวั 4) การตงั ชอื ตามความหวงั ของพอ่ แมท่ อี ยากใหล้ ูกมลี กั ษณะนนั ๆ 5) การตงั ชอื ตามลกั ษณะเพศ 6) การตงั ชอื ตามสภาพเหตุการณ์ตอนแมต่ งั ครรภ์ 7) การตงั ชอื ตามเหตุการณ์สําคญั ตอนเกดิ เดอื น เกดิ ปีเกดิ หรอื สถานทเี กดิ 8) การตงั ชอื ตามลกั ษณะทางกายภาพของลูกหรอื กรยิ าอาการทลี ูก กระทาํ 9) การตงั ชอื ตามลกั ษณะเหตุการณ์ อาหาร สงิ ของหรอื คนทพี ่อแม่ชอบ 10) การตงั ชอื ให้ เป็นสริ มิ งคล 11) การตงั ชอื เล่นโดยตดั มาจากชอื จรงิ หรอื นามสกุล ส่วนงานของจรญิ ญา ธรรมโชโต (2537)นนั ศกึ ษาภาษาทใี ชใ้ นการตงั ชอื เล่นของคนไทย ในกรงุ เทพมหานคร ในเรอื งทมี าของภาษา จาํ นวนพยางค์ และชอื เล่นทตี ดั มาจากชอื จรงิ ของคน 3 กลมุ่ อายุ วา่ มกี ารเปลยี นแปลงหรอื ไม่ โดยกาํ หนดขอบเขตของการศกึ ษาไวเ้ ฉพาะชอื เล่นทบี ดิ า มารดาหรอื ญาตผิ ูใ้ หญ่ตงั ให้ตงั แต่เกิด และเรียกมาจนปจั จุบนั และเป็นชอื ทไี ม่ปรากฏในบตั ร ประชาชน กําหนดทมี าของภาษาทีจะศกึ ษาเฉพาะภาษาไทยและภาษาองั กฤษ กลุ่มตวั อย่าง ประชากรทนี ํามาศกึ ษาเป็นคนไทยทเี กดิ และอาศยั อยใู่ นกรุงเทพฯ มรี ายไดต้ งั แต่ 10,000 บาทต่อ เดอื นขนึ ไป ส่วนประชากรทยี งั ไมม่ รี ายไดจ้ ะใชส้ ถานศกึ ษาทมี อี ตั ราคา่ เลา่ เรยี นสงู เป็นเกณฑ์ แบ่ง ประชากรออกเป็น 3 กลุ่มอายุ กลุ่มละ 30 คน ได้แก่ กลุ่มอายนุ ้อยมอี ายุ 1-15 ปี กลุ่มอายุปาน กลางมอี ายุ 26-40 ปี และกลุ่มอายมุ ากมอี ายุ 51-65 ปี การเกบ็ ขอ้ มลู เกบ็ โดยใชแ้ บบสอบถาม ผลการศกึ ษาพบว่า ภาษาทใี ชใ้ นการตงั ชอื เล่นมกี ารเปลยี นแปลงไปตามกลุ่มอายุ ดงั นี กลมุ่ อายมุ ากเป็นกลุม่ ทใี ชภ้ าษาไทยในการตงั ชอื เล่นมากทสี ุด มชี อื เล่นจาํ นวน 1 พยางคม์ ากทสี ุด และมชี อื เลน่ ทตี ดั มาจากชอื จรงิ มากทสี ุด รองลงมาคอื กล่มุ อายปุ านกลาง และกลมุ่ อายนุ ้อย ในทาง ตรงกนั ขา้ ม กลุ่มอายนุ ้อยเป็นกลมุ่ ทใี ชภ้ าษาองั กฤษตงั ชอื เล่นมากทสี ุด เป็นกลมุ่ ทชี อื เลน่ มจี าํ นวน 2 พยางคม์ ากทสี ดุ และเป็นกลุม่ ทตี งั ชอื เล่นใหแ้ ตกต่างจากชอื จรงิ มากทสี ุด รองลงมาคอื กลุ่มอายุ ปานกลาง และกล่มุ อายมุ ากตามลาํ ดบั ซงึ ผลการวจิ ยั นีสะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ นบั แตต่ อนนนั คนไทยเรมิ มคี วามนิยมทจี ะมชี อื เล่นจาํ นวนสองพยางคม์ ากขนึ งานวจิ ยั อกี เรอื งหนึงของจรญิ ญาในปี 2540 เกบ็ ขอ้ มูลจากครอบครวั นักเรียนระดับชนั อนุบาลถงึ ชนั ประถมศกึ ษาปีที 6 จากโรงเรยี น 3 แห่งในจงั หวดั ตรงั พบวา่ ชอื เล่นพยางคเ์ ดยี วพบ มากทสี ดุ ในกลุ่มอายมุ าก (51-65 ปี) รองลงมาคอื อายปุ านกลาง (26-40 ปี) และกลุ่มอายนุ ้อย (1- 15 ปี) กล่มุ ทมี ชี อื เลน่ สองพยางค์ คอื กลมุ่ ทมี อี ายนุ ้อย ผลการวจิ ยั ของจรญิ ญานี แม้ว่าจะเป็นการ เกบ็ ขอ้ มลู ในจงั หวดั ตรงั ซงึ พดู ภาษาไทยถนิ ใต้ แตก่ ส็ ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ แนวโน้มของความนิยมการ ใชค้ าํ สองพยางคใ์ นการตงั ชอื เล่นของคนไทย งานวจิ ยั ของจรญิ ญาแสดงใหเ้ หน็ ถงึ แนวโน้มหรอื ความนยิ มในการตงั ชอื เล่นสองพยางคท์ ี มเี พมิ ขนึ ในสงั คมไทย ขอ้ เทจ็ จรงิ ดงั กล่าวจงึ เป็นสว่ นหนงึ ของความเป็นมาในการศกึ ษาวจิ ยั ครงั นี อยา่ งไรกต็ ามงานวจิ ยั ชนิ นีมไิ ดม้ เี ป้ าหมายเพยี งแคช่ ใี หเ้ หน็ ถงึ แนวโน้มของการตงั ชอื สองพยางคท์ ี 6

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 ยงั คงปรากฏอยเู่ ท่านนั แต่ยงั ไดน้ ําเสนอถงึ มุมมองและทศั นคตซิ งึ เป็นเหตุผลและทมี าของการตงั ชอื สองพยางคใ์ นสงั คมไทย อนั จะสะทอ้ นใหเ้ หน็ ปรากฏการณ์และวธิ คี ดิ ของคนในสงั คมยคุ ปจั จบุ นั 3. วิธีการวิจยั การวจิ ยั ครงั นีดาํ เนนิ การวจิ ยั เชงิ สาํ รวจ เพอื หาเหตุผลในการตงั ชอื เล่นจากในอดตี ทนี ิยม ตงั ชอื เล่นพยางคเ์ ดยี วเป็นสองพยางค์ โดยทผี วู้ จิ ยั ไดส้ รา้ งแบบสอบถามขนึ เพอื ให้ผู้ปกครองของ นกั เรยี นทมี ชี อื เล่นสองพยางคเ์ ป็นผตู้ อบแบบสอบถาม และไดน้ ําขอ้ มลู ทไี ดม้ าวเิ คราะห์หาค่าทาง สถติ เิ พอื หาเหตุผลของการตงั ชอื เล่นสองพยางค์ 3.1 ประชากร ประชากรในงานวจิ ยั ครงั นี คอื ผปู้ กครองของนกั เรยี นทมี ชี อื เล่นสองพยางคซ์ งึ กาํ ลงั ศกึ ษา อยู่ชันอนุ บาลปี ที 2-3 และชันประถมศึกษาปี ที 1-6 ในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึงใน กรุงเทพมหานครจํานวน 728 คน จากนักเรียนทังหมด 1760 คน ผู้วิจยั ส่งแบบสอบถามให้ นกั เรยี นทมี ชี อื เลน่ สองพยางคท์ งั หมด 728 คน และได้แบบสอบถามกลบั มาทงั หมด 614 ชุด คดิ เป็นรอ้ ยละ 84.34 ของประชากรทงั หมด 3.2 ตวั แปร ในงานวจิ ยั นีมตี วั แปรอสิ ระโดยพจิ ารณาจากลกั ษณะของผตู้ อบแบบสอบถาม 4 ตวั แปร คอื เพศ อาชพี รายได้ และชว่ งอายขุ องผตู้ อบแบบสอบถาม สว่ นตวั แปรตาม คอื นําหนกั ในแต่ละ เหตผุ ลทผี ตู้ อบแบบสอบถามใหใ้ นการตงั ชอื เล่น 3.3 วิธีการรวบรวมข้อมลู ผวู้ จิ ยั ไดส้ ง่ แบบสอบถามจาํ นวนทงั สนิ 728 ชดุ ใหโ้ รงเรยี น เพอื ใหน้ กั เรยี นทมี ชี อื เลน่ สอง พยางคน์ ําแบบสอบถามไปใหผ้ ปู้ กครองตอบแบบสอบถาม โดยไดร้ บั กลบั คนื มาจาํ นวน 614 ชุด 3.4 เครอื งมือทีใช้ในการวิจยั เครอื งมอื ทใี ช้ในการวจิ ยั ครงั นี คอื แบบสอบถามทผี ู้วจิ ยั สร้างขนึ เองจากการคดั กรอง งานวจิ ยั อนื ๆ ซงึ ประกอบดว้ ย 2 สว่ นคอื 1) ขอ้ มูลส่วนบุคคลของผตู้ อบแบบสอบถามไดแ้ ก่ เพศ อายุ การศกึ ษา อาชพี และรายได้ และ 2) ขอ้ มลู ดา้ นเหตผุ ลของการตงั ชอื เล่น โดยมมี าตรวดั การ เหน็ ด้วยกบั เหตุผลในการตงั ชอื ทมี อี ยู่ในแบบสอบถามทงั หมด 9 ขอ้ แบ่งเป็น 5 มาตร และให้ คะแนนตามลเิ คริ ต์ สเกล (Likert scale) เรมิ ตงั แต่ “เหน็ ดว้ ยมากทสี ดุ ” ไปจนถงึ “ไม่เหน็ ด้วยอยา่ ง ยงิ ” 7

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 3.5 วิธีการวิเคราะหข์ ้อมลู และสถิติทีใช้ในการวิเคราะห์ 3.5.1 ใช้ความถแี ละค่ารอ้ ยละในการอธบิ ายตวั แปรต่างๆ ได้แก่ จํานวนผ้ปู กครองแยก ตามเพศ อายุ การศกึ ษา อาชพี รายได้ 3.5.2 หาคา่ คะแนนเฉลยี (mean) ในการเปรยี บเทยี บนําหนักทใี ห้กบั เหตุผลแต่ละเหตุผล ในการตงั ชอื เลน่ สองพยางค์ 3.5.3 เปรยี บเทยี บการให้นําหนักในเหตุผลแต่ละข้อของการตงั ชอื เล่นในกลุ่มผู้ตอบ แบบสอบถามทตี ่างเพศ ช่วงวยั โดยใชส้ ถติ แิ บบ t (Independent t-test) เพอื หาค่าความแตกต่าง ของการใหน้ ําหนกั กบั เหตุผลแตล่ ะขอ้ ในการตงั ชอื เลน่ สองพยางค์ 3.5.4 เปรยี บเทยี บการใหน้ ําหนักในเหตุผลแต่ละขอ้ ของการตงั ชอื เล่นในกลุ่มผู้ตอบ แบบสอบถามทตี ่างรายได้ และอาชพี โดยใชส้ ถิตแิ บบ Analysis of Variance (ANOVA) เพอื หา คา่ ความแตกต่างของการใหน้ ําหนกั กบั เหตุผลแต่ละขอ้ ในการตงั ชอื เลน่ สองพยางค์ 4. ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู 4.1 ข้อมลู ทวั ไปของผตู้ อบแบบสอบถามและกล่มุ ตวั อย่าง ตารางที 1 ขอ้ มลู ทวั ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม ขอ้ มลู ทวั ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม จาํ นวน รอ้ ยละ 1. เพศ 161 26.2 ชาย 453 73.8 หญงิ 100.0 รวม 614 1.8 42.7 2. อายุ 11 52.0 21 - 30 ปี 262 3.6 31 - 40 ปี 319 41 – 51 ปี 22 100.0 51 ขนึ ไป 3.7 รวม 614 96.3 3. ระดบั การศกึ ษา 100.0 23 ตํากวา่ ปรญิ ญตรี 591 ระดบั ปรญิ ญาตรขี นึ ไป 614 รวม 8

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 4. อาชพี 186 30.2 คา้ ขาย / ธรุ กจิ สว่ นตวั 196 31.2 พนกั งานบรษิ ทั เอกชน 156 25.4 ขา้ ราชการ / พนกั งานรฐั วสิ าหกจิ 81 13.2 เกษยี ณอายุ / พ่อบา้ น / แมบ่ า้ น 614 100.0 รวม 63 10.2 5. รายได้ 127 20.7 ตํากวา่ 20,000 บาท 413 67.2 20,000 - 30,000 บาท 11 1.9 ตงั แต่ 30,001 บาท ขนึ ไป 614 100.0 ไมร่ ะบุ รวม จากตารางที 1 ผตู้ อบแบบสอบถามเป็นผปู้ กครองทเี ป็นเพศหญงิ มากกวา่ ผปู้ กครองทเี ป็น เพศชายเกอื บ 3 เทา่ คอื เป็นเพศหญงิ รอ้ ยละ 73.8 และเป็นเพศชายรอ้ ยละ 26.8 ในดา้ นอายุ ช่วง อายุ 41-50 ปีเป็นกลุ่มทตี อบแบบสอบถามมากทสี ุด คอื รอ้ ยละ 52.0 และชว่ งอายุ 31-40 ปี รอ้ ยละ 42.7 นอกจากนี ผ้ตู อบแบบสอบถามส่วนใหญ่มกี ารศกึ ษาไม่ตํากวา่ ระดบั ปรญิ ญาตรถี ึงรอ้ ยละ 96.3 สาํ หรบั อาชพี ผตู้ อบแบบสอบถามสว่ นใหญ่ทาํ งานภาคเอกชน คอื เป็นพนกั งานบรษิ ทั เอกชน รอ้ ยละ 31.2 และทําการค้าหรอื ทําธุรกจิ ส่วนตวั รอ้ ยละ 30.2 ส่วนทเี หลอื ทํางานราชการร้อยละ 25.4 โดยมรี ายไดม้ ากกวา่ 30,001 บาทขนึ ไปรอ้ ยละ 67.2 ตารางที 2 รอ้ ยละของจํานวนนกั เรยี นทมี ชี อื เลน่ สองพยางคใ์ นแต่ละชนั เรยี น ชนั เรยี น จํานวนนกั เรยี น จาํ นวนนกั เรยี นทมี ชี อื จาํ นวนรอ้ ยละ ทงั หมด สองพยางคใ์ นแต่ละชนั ของนกั เรยี น นกั เรยี นชนั อนุบาลปีที 2 ในชนั เรยี น นกั เรยี นชนั อนุบาลปีที 3 120 58 นกั เรยี นชนั ประถมปีที 1 188 89 48.33 นกั เรยี นชนั ประถมปีที 2 236 103 47.34 นกั เรยี นชนั ประถมปีที 3 246 112 43.64 นกั เรยี นชนั ประถมปีที 4 237 97 45.53 นกั เรยี นชนั ประถมปีที 5 247 103 40.93 นกั เรยี นชนั ประถมปีที 6 245 94 41.70 241 72 38.37 รวม 1760 728 30.71 41.36 9

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 จากตารางที 2 พบว่า จํานวนนักเรยี นชนั อนุบาลทมี ชี อื เล่นสองพยางค์ มจี าํ นวนรอ้ ยละ 48.33 และ รอ้ ยละ 47.34 ซงึ มากกวา่ นกั เรยี นชนั ประถมปลายคอื ชนั ประถมศกึ ษาปีที 5-6 ทมี ี จาํ นวนรอ้ ยละ 38.37 และ รอ้ ยละ 30.71 ของจาํ นวนนกั เรยี นทงั หมดในแต่ละชนั เรยี นของตน แต่ เมอื เฉลยี ของทกุ ชนั รวมกนั แลว้ มจี าํ นวนรอ้ ยละ 41.36 4.2 ผลการวิเคราะหเ์ หตผุ ลในการตงั ชือเล่นเป็นสองพยางค์ ตารางที 3 คา่ เฉลยี เลขคณติ และคา่ เบยี งเบนมาตรฐานของนําหนกั เหตุผลในการตงั ชอื เลน่ สองพยางค์ เหตผุ ลในการตงั ชอื เลน่ สองพยางค์ จํานวนผตู้ อบ คา่ เฉลยี เลขคณิต คา่ เบยี งเบน 1. ทาํ ใหฟ้ งั ดโู กเ้ ก๋ (smart) (Mean) มาตรฐาน (SD) 609 3.31 1.060 2. แสดงความมรี สนิยม 610 3.05 1.011 3. แสดงความทนั สมยั 609 3.19 1.036 4. แสดงถงึ ความแปลกใหม่ ไมซ่ าํ ใคร 607 3.54 1.051 5. ทาํ ใหฟ้ งั ดเู ป็นภาษาองั กฤษมากขนึ เชน่ 607 2.81 1.174 ชอื ‘แนต’ เรยี กเป็น ‘แนตต’ี หรอื ชอื ‘นี’ 608 3.80 0.998 เรยี กเป็น ‘นนี ี’ 608 2.55 1.119 6. เลอื กจากความหมาย เนอื งจากเป็นคาํ สอง 607 2.97 1.120 พยางคท์ มี คี วามหมายดี ถา้ ตดั จํานวน 609 3.30 1.141 พยางคอ์ อกจะทาํ ใหไ้ มไ่ ดค้ วามหมายตาม ตอ้ งการ เชน่ โบนสั มะโน องั เปา ยู่อี 7. ตงั ชอื ตามบคุ คลทชี อบ เชน่ ศลิ ปิน ดารา นกั การเมอื ง 8. ตงั ชอื ตามสถานทที ชี นื ชอบหรอื เคยไป เทยี ว 9. ตงั ชอื ตามชอื สตั ว์ ดอกไม้ ผลไม้ ขนม ที ชอบ จากตารางที 3 เป็นนําหนกั เฉลยี (Mean) ในเหตุผลทงั 9 ขอ้ พบวา่ ผตู้ อบแบบสอบถาม ใหน้ ําหนกั ในเหตุผลขอ้ ที 6 มากทสี ุด คอื ตอ้ งเป็นคําสองพยางค์ จงึ จะได้ความหมายทตี อ้ งการ 10

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 เนืองจากเป็นคาํ สองพยางคท์ มี คี วามหมาย ถ้าตดั จาํ นวนพยางคอ์ อกจะทําให้ไม่ได้ความหมายดี ตามตอ้ งการ และขอ้ ทผี ตู้ อบใหน้ ําหนกั ลาํ ดบั ถดั ลงมา จะเป็นเหตผุ ลขอ้ ที 4 ทตี ้องการใหเ้ ป็นชอื ที แสดงถงึ ความแปลกใหม่ ไมซ่ าํ ใคร และถดั มาคอื ขอ้ ที 1 คอื ตอ้ งการใหฟ้ งั ดโู กเ้ ก๋ (smart) และ ขอ้ ที 9 ตงั ชอื ตามชอื สตั ว์ ดอกไม้ ผลไม้ ขนม ทชี อบ สําหรบั ขอ้ ทผี ูต้ อบให้นําหนกั น้อยทสี ุดจาก 9 ขอ้ คอื ขอ้ ที 7 ตงั ชอื ตามบุคคลทชี อบ เช่น ศลิ ปิน ดารา นักการเมอื ง และ ขอ้ ทใี ห้นําหนักรอง สุดทา้ ยเป็นขอ้ ที 5 คอื ทาํ ใหฟ้ งั ดเู ป็นภาษาองั กฤษมากขนึ เชน่ ชอื ‘แนต’ เรยี กเป็น ‘แนตต’ี ตารางที 4 แสดงการเปรยี บเทยี บการใหน้ ําหนกั กบั เหตุผลแตล่ ะขอ้ ในการตงั ชอื สองพยางคข์ องผตู้ อบ แบบสอบถามทเี ป็นเพศชายกบั เพศหญงิ เหตุผล ชาย หญงิ t df ขอ้ ที จาํ นวน Mean SD จาํ นวน Mean SD 606 607 1 158 3.27 1.110 450 3.33 1.044 -.556 606 604 2 159 3.00 .974 450 3.06 1.026 -.666 604 240 3 159 3.14 1.042 449 3.21 1.035 -.676 605 259 4 157 3.41 1.050 449 3.58 1.049 -1.785 606 5 159 2.70 1.124 447 2.84 1.191 -1.340 6 159 3.56 1.123 449 3.89 .937 -3.286** 7 158 2.40 1.145 449 2.61 1.107 -2.025* 8 159 2.68 1.176 447 3.08 1.082 3.750***- 9 159 3.13 1.226 449 3.36 1.106 -2.258* *p<.05 หมายถงึ กลุ่มเพศชายแตกต่างกบั กลมุ่ เพศหญงิ อยา่ งมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ทิ รี ะดบั .05 **p<.01 หมายถงึ กลมุ่ เพศชายแตกตา่ งกบั กลมุ่ เพศหญงิ อยา่ งมนี ยั สําคญั ทางสถติ ทิ รี ะดบั .01 ***p<.001 หมายถงึ กลุ่มเพศชายแตกตา่ งกบั กลุ่มเพศหญงิ อยา่ งมนี ยั สําคญั ทางสถติ ทิ รี ะดบั .001 จากตารางที 4 กลมุ่ เพศหญงิ ใหน้ ําหนกั เหตุผลในการตงั ชอื สองพยางคม์ ากกว่ากลุ่มเพศ ชาย อยา่ งมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิ ใน 4 ขอ้ เรยี งตามลาํ ดบั ดงั นี ขอ้ ที 8 ตงั ชอื ตามสถานทที ชี นื ชอบหรอื เคยไปเทยี ว ขอ้ ที 6 ตอ้ งเป็นคาํ สองพยางค์ จงึ จะไดค้ วามหมายทตี อ้ งการ ถา้ ตดั จาํ นวนพยางคอ์ อกจะ ทาํ ใหไ้ มไ่ ดค้ วามหมายตามตอ้ งการ ขอ้ ที 7 ตงั ชอื ตามบุคคลทชี นื ชอบ เชน่ ศลิ ปิน ดารา นกั การเมอื ง ขอ้ ที 9 ตงั ชอื ตามชอื สตั ว์ ดอกไม้ ผลไม้ ขนมทชี อบ 11

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 ตารางที 5 แสดงการเปรยี บเทยี บการใหน้ ําหนกั กบั เหตผุ ลแต่ละขอ้ ในการตงั ชอื สองพยางคข์ องผตู้ อบ แบบสอบถามทมี อี าชพี ต่างกนั เหตุผล คา้ ขาย/ ธุรกจิ สว่ นตวั พนกั งานบรษิ ทั เอกชน ขา้ ราชการ / พนกั งาน / เกษยี ณอายุ / พอ่ บา้ น / ขอ้ ที รฐั วสิ าหกจิ แมบ่ า้ น จาํ นวน Mean SD จํานวน Mean SD จํานวน Mean SD จาํ นวน Mean SD 1 186 3.30 1.038 187 3.26 .988 155 3.29 1.128 80 3.55 1.101 2 186 3.07 .970 188 3.01 .942 155 3.01 1.090 80 3.18 1.088 3 185 3.22 .982 188 3.11 .986 155 3.15 1.121 80 3.45 1.054 4 186 3.47 1.046 187 3.50 .975 153 3.58 1.104 80 3.71 1.093 5 183 2.80 1.185 188 2.77 1.131 155 2.72 1.176 80 3.09 1.214 6 184 3.78 .968 187 3.80 .955 155 3.73 1.118 81 3.98 .922 7 184 2.64 1.134 188 2.43 1.044 154 2.53 1.167 80 2.70 1.152 8 184 3.02 1.096 188 2.88 1.080 154 2.88 1.215 80 3.25 1.049 9 185 3.34 1.097 188 3.32 1.140 155 3.19 1.247 80 3.38 1.036 ตารางที 6 แสดงการเปรยี บเทยี บการใหน้ ําหนกั กบั เหตผุ ลแต่ละขอ้ ในการตงั ชอื สองพยางคข์ องผตู้ อบ แบบสอบถามทมี รี ายไดแ้ ตกตา่ งกนั เหตผุ ล ตํากวา่ 20,000 บาท 20,001 - 30,000 บาท 30,001 บาทขนึ ไป จาํ นวน Mean SD จาํ นวน Mean SD ขอ้ ที จํานวน Mean SD 126 3.40 .989 409 3.28 1.086 126 3.06 .990 410 3.06 1.016 1 62 3.50 1.020 126 3.23 1.005 410 3.18 1.044 125 3.56 1.043 409 3.51 1.046 2 62 3.08 1.013 124 2.85 1.148 409 2.80 1.188 125 3.82 1.024 410 3.81 .979 3 62 3.37 .996 125 2.65 1.123 409 2.51 1.114 125 3.10 1.099 408 2.89 1.124 4 61 3.74 1.079 125 3.38 1.120 410 3.25 1.157 5 62 2.89 1.175 6 61 3.72 1.019 7 62 2.69 1.139 8 62 3.18 1.167 9 62 3.40 1.166 จากตารางที 5 และ 6 เมอื นําไปหาความแตกต่าง โดยใช้ Analysis of Variance เพอื วเิ คราะหค์ วามแตกตา่ งระหวา่ งอาชพี และความแตกตา่ งระหว่างรายได้ พบวา่ ไม่มเี หตุผลขอ้ ใดที กลุ่มตวั อย่างมคี วามแปรปรวนแตกต่างกนั อย่างมีนัยสําคญั ทางสถติ ิ สรุปได้ว่า ไม่พบความ 12

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 แตกต่างในการใหน้ ําหนกั เหตุผลของการตงั ชอื เล่นสองพยางค์ของผูต้ อบแบบสอบถามทมี อี าชพี และรายไดแ้ ตกตา่ งกนั ตารางที 7 แสดงการเปรยี บเทยี บการใหน้ ําหนกั เหตผุ ลแต่ละขอ้ ในการตงั ชอื สองพยางคข์ องผตู้ อบแบบสอบถาม ทมี ชี ว่ งอายุแตกตา่ งกนั 1 เหตุผล อายุ 31-40 ปี อายุ 41-50 ปี t df ขอ้ ที จาํ นวน Mean SD จํานวน Mean SD 1 261 3.38 1.006 315 3.24 1.092 1.486 574 2 261 3.14 .972 316 2.96 1.041 2.201* 575 3 261 3.30 1.008 315 3.09 1.050 2.351* 574 4 260 3.58 1.027 315 3.49 1.075 1.085 573 5 259 2.88 1.097 315 2.71 1.226 1.750 567.922 6 258 3.79 .967 317 3.81 1.030 -.155 573 7 260 2.70 1.115 316 2.42 1.114 3.032** 574 8 259 3.14 1.079 315 2.84 1.137 3.153** 572 9 260 3.33 1.093 316 3.27 1.179 .647 574 *p<.05 หมายถงึ กลุ่มอายุ 31-40 ปี แตกต่างกบั กลุ่มอายุ 41-50 ปีอยา่ งมนี ยั สําคญั ทางสถติ ทิ รี ะดบั .05 **p<.01 หมายถงึ กลมุ่ อายุ 31-40 ปี แตกต่างกบั กล่มุ อายุ 41-50 ปีอยา่ งมนี ยั สําคญั ทางสถติ ทิ รี ะดบั .01 จากตารางที 7 กลุ่มอายุ 31-40 ปีใหน้ ําหนกั เหตผุ ลในการตงั ชอื สองพยางคม์ ากกวา่ กล่มุ อายุ 41-50 ปี อยา่ งมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิ ใน 4 ขอ้ เรยี งตามลาํ ดบั ดงั นี ขอ้ ที 8 ตงั ชอื ตามสถานทที ชี นื ชอบหรอื เคยไปเทยี ว ขอ้ ที 7 ตงั ชอื ตามบคุ คลทชี นื ชอบ ขอ้ ที 2 ตงั เพอื แสดงความมรี สนยิ ม ขอ้ ที 3 ตงั เพอื แสดงความทนั สมยั 5. อภิปรายผลการวิจยั จาการวจิ ยั เชงิ สาํ รวจเพอื หาเหตุผลและปจั จยั ในการตงั ชอื เล่นสองพยางค์ของคนไทยใน ปจั จุบนั งานวจิ ยั นีพบวา่ คนรุ่นใหม่ คอื คนทมี อี ายนุ ้อย มชี อื เล่นสองพยางค์มากกว่าคนรุ่นก่อน คอื คนทมี อี ายมุ ากกวา่ ซงึ เหน็ ไดจ้ ากจาํ นวนนักเรยี นชนั อนุบาลทมี ชี อื เล่นสองพยางค์ มมี ากกว่า 1 เนืองจากกลุ่มช่วงอายขุ องผตู้ อบแบบสอบถามในช่วงวยั 21-30 ปี มเี พยี งรอ้ ยละ 1.8 และช่วงวยั 51 ปีขนึ ไป มเี พยี งรอ้ ยละ 3.6 ของผตู้ อบแบบสอบถาม ผวู้ จิ ยั จงึ ไม่ไดน้ ํามาวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บ นําแต่กลมุ่ ชว่ งวยั 31-40 ปี ซงึ มจี าํ นวนรอ้ ยละ 42.7 เปรยี บเทยี บกบั ชว่ งวยั 41-50 ปี ซงึ มจี ํานวนรอ้ ยละ 52.0 ของผตู้ อบแบบสอบถามมาวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บกนั 13

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 จาํ นวนนกั เรยี นชนั ประถมศกึ ษาตอนปลายอยา่ งชดั เจนเมอื เปรยี บเทยี บจากอตั ราส่วนรอ้ ยละของ นกั เรยี นในชนั เรยี นของตน ซงึ แนวโน้มนปี รากฏใหเ้ หน็ ในงานของจรญิ ญา (2537) มาแลว้ ตวั แปรทงี านวจิ ยั นีพบว่ามคี วามสําคญั ต่อการตงั ชอื สองพยางค์ก็คอื เพศและวยั ของ ผปู้ กครอง จากผลการวเิ คราะหจ์ ะเหน็ ไดว้ า่ เพศหญิงและผปู้ กครองทมี ชี ่วงวยั ทนี ้อย (31-40 ปี) จะใหน้ ําหนกั กบั เหตผุ ลทงั 9 ขอ้ ทใี หไ้ ปในแบบสอบถามมากกวา่ ผปู้ กครองทเี ป็นเพศชาย และผูท้ ี มชี ว่ งวยั ทสี งู กวา่ (41-50 ปี) สาํ หรบั ข้อทเี พศหญิงใหน้ ําหนักในการตงั ชอื สองพยางคท์ แี ตกต่างจากเพศชายอย่างมี นยั สาํ คญั ทางสถติ ิ มี 4 ขอ้ เรยี งลาํ ดบั ได้ดงั นีคอื 1) ตงั ชอื ตามสถานทที ชี นื ชอบหรอื เคยไปเทยี ว 2) เป็นความหมายทตี อ้ งการ 3) ตงั ตามชอื บคุ คลทชี นื ชอบ 4) ตงั ตามชอื สตั ว์ ดอกไม้ ผลไม้ ขนม ทชี อบ ดงั นนั ชอื ของบตุ รทเี ป็นชอื สถานที ชอื บุคคล หรอื ชอื สตั ว์ ดอกไม้ ผลไม้ ขนม กอ็ าจจะ คาดเดาไดว้ า่ ผเู้ ป็นมารดาเป็นบุคคลสาํ คญั ในการตงั ชอื ใหบ้ ุตรตนเองมากกว่าผู้เป็นบดิ ากเ็ ป็นได้ ซงึ น่าจะมกี ารทาํ วจิ ยั ผทู้ มี สี ว่ นสาํ คญั ในการตงั ชอื เล่น ตวั แปรทสี าํ คญั อกี ตวั แปรหนึง ทใี หน้ ําหนักกบั การตงั ชอื เล่นสองพยางคก์ ค็ อื ช่วงวยั ของ ผ้ปู กครอง ปรากฏวา่ ผูป้ กครองทเี ป็นคนรุ่นใหม่ (31-40 ปี) ใหน้ ําหนกั กบั เหตุผลในการตงั ชอื แตกต่างกบั ผปู้ กครองทมี วี ยั สงู กว่า (41-50 ปี) อย่างมนี ัยสําคญั 4 ขอ้ ดว้ ยกนั คอื 1) ตงั ชอื ตาม สถานทที ชี นื ชอบหรอื เคยไปเทยี ว 2) ตงั ตามชอื บุคคลทชี นื ชอบ 3) ตงั เพอื แสดงความมรี สนิยม 4) ตงั เพอื แสดงความทนั สมยั ทงั ตวั แปรทเี ป็นเพศหญงิ และวยั ทถี อื เป็นคนรนุ่ ใหม่ต่างใหค้ วามหมายกบั การตงั ชอื เล่นที เกยี วกบั สถานทที ชี นื ชอบ สาํ หรบั คนรนุ่ ใหมจ่ ะเป็นทคี วามมรี สนยิ มและความทนั สมยั มากกวา่ คน รุน่ ก่อน สําหรบั เหตุผลทผี ู้ปกครองทตี อบแบบสอบถามทงั หมดใหน้ ําหนักมากทสี ุดในการตงั ชือ เลน่ สองพยางคก์ ค็ อื การคาํ นงึ ถงึ ความหมายทตี อ้ งการหรอื ความหมายทดี ี จากตวั อยา่ งชอื เล่นทผี ู้ ตงั ชอื ระบวุ า่ เป็นชอื ทมี คี วามหมายทตี ้องการ เช่น ยอู่ ,ี องั เปา, ตเู้ ซฟ, ออมแบงค์, โบนัส, นําฝน, ไขม่ ุก, กอหญ้า, หลจี ,ู กงิ หลวิ , ชงิ ชงิ , เฟินเฟิน, แอนจ,ี นําอบ, เอม,ี ซูชิ (เลขมงคล), ชชิ า (ตาม ดวงเกดิ ) , หมงิ หมงิ (สวา่ ง, ชดั เจน) , แพรวา (หญงิ ไทยเรยี บรอ้ ย สวยงาม) , ตน้ กลา้ (กลา้ หาญ), ฮโี ร่ (มนั ใจ) เป็นตน้ น่าสนใจทวี า่ ความหมายทผี ตู้ งั ตอ้ งการใหม้ คี วามหมายจะเป็นความหมายทเี ป็นโชคลาภ ความมังมี ของมีค่า หรือเป็นลักษณะคุณสมบตั ิทีดี ดังนัน หากจะมีการทําวจิ ัยทีศึกษาถึง ความหมายของชอื เลน่ กอ็ าจจะสะทอ้ นถงึ ค่านยิ มของคนในสงั คม วา่ มคี ่านิยมชนื ชอบอะไรบ้างใน ปจั จุบนั 14

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 สาํ หรบั ตวั อยา่ งชอื ทแี ปลกใหม่ ไม่ซาํ ใคร ฟงั ดูโก้เก๋ (smart) เช่น องิ ฟ้ า, พอใจ, ป๋ ุยหมกั , ขนมพาย, บรทิ นยี ,์ พรมิ ม,ี นลนี หากมกี ารศกึ ษาตวั อย่างทมี ากพอ อาจจะเหน็ ความนิยมของคน ในสงั คมวา่ ชอื ทสี ะทอ้ นความโกเ้ ก๋แปลกใหมใ่ นสงั คมปจั จบุ นั นนั เป็นอยา่ งไรเช่นกนั เป็นทนี ่าสงั เกตวา่ ในอดตี ทผี า่ นมา คนไทยใหค้ วามสาํ คญั กบั การตงั ชอื มาโดยตลอด ไม่ว่า จะเป็นชอื จรงิ หรอื ชอื เล่น โดยจะคํานึงถึงความหมาย วา่ จะตอ้ งเป็นความหมายทดี ดี งั ปรากฏใน งานของวรางคณา (2540) กาญจนา (1987) นันทนา (1982, 2531) จริญญา (2537, 2540) ดงั กลา่ วมาแลว้ แตใ่ นอดตี จะใชค้ าํ ทเี รยี กง่าย จาํ ไดง้ ่าย จงึ เป็นชอื คาํ พยางค์เดยี ว และไม่ได้คํานึง วา่ จะเป็นชอื ทคี นอนื ใชอ้ ยแู่ ลว้ ดงั นนั จงึ พบวา่ มคี นชอื ซาํ กนั อยเู่ ป็นจาํ นวนมาก แตใ่ นปจั จบุ นั ความ ตอ้ งการให้ชอื มคี วามหมายแปลกใหม่ โก้เก๋ ไม่ซาํ แบบใคร เขา้ มาเป็นปจั จยั สาํ คญั ในการตงั ชอื เลน่ ของผปู้ กครองรุ่นใหม่ ดงั นนั ชอื เล่นพยางคเ์ ดยี วไมส่ ามารถตอบสนองความตอ้ งการดงั กล่าวนี ได้ จงึ เป็นทมี าของการตงั ชอื เลน่ เป็นสองพยางคข์ องคนรุ่นใหม่ นอกจากนีมขี อ้ สงั เกตทนี ่าสนใจคอื ผู้ปกครองทตี อบแบบสอบถามใหน้ ําหนักการตงั ชือเพราะต้องการให้ฟงั ดูเป็นภาษาองั กฤษอยู่ ลาํ ดบั ทา้ ยสุด แตใ่ ชช้ อื ภาษาไทยและภาษาจนี มากขนึ อย่างเหน็ ได้ชดั ซงึ ผลการวจิ ยั ในส่วนนีไม่ สอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ยั ของจรญิ ญาทีพบวา่ กลุ่มตวั อย่างทมี อี ายุน้อยมแี นวโน้มการตงั ชอื เป็น ภาษาองั กฤษเพมิ ขนึ ทงั นอี าจเป็นเพราะ ช่วงเวลาในการทาํ วจิ ยั ทแี ตกตา่ งกนั หรอื ความแตกต่าง ของกลุม่ ประชากร หรอื อาจจะเป็นได้ว่า ความนิยมในการตงั ชอื เล่นภาษาองั กฤษยงั คงมอี ยู่ แต่ อาจจะเป็นชอื ทมี เี พยี งหนึงพยางคเ์ ท่านนั เช่น พอล (Paul) บอล กอลฟ์ ไมค์ โบว์ เบล (Bell) แอน โรส พงิ ค์ เป็นตน้ นอกจากนี ผลการวจิ ยั นียงั พบวา่ ผปู้ กครองนิยมตงั ชอื ตามชอื สตั ว์ ชอื ดอกไม้ ผลไม้ หรอื ชอื ขนมทผี ปู้ กครองชนื ชอบมากกวา่ ซงึ เป็นการแสดงถงึ ความรกั ในธรรมชาติ ความเอา ใจใส่ในประเภทของอาหาร ผลไม้ ทคี นรุ่นใหมน่ ยิ มรบั ประทานกอ็ าจเป็นได้ ในแบบสอบถามทผี วู้ จิ ยั ไดข้ อใหผ้ ปู้ กครองอธบิ ายเพมิ เตมิ ถงึ ทมี าหรอื เหตุผลในการตงั ชอื แตล่ ะชอื นนั ไดพ้ บรายละเอยี ดทนี ่าสนใจและสอดคลอ้ งกบั ทศั นคตทิ คี นไทยในอดตี ใหค้ วามสําคญั ในการตงั ชอื บตุ รหลาน ดงั นี 1. ใหค้ วามสาํ คญั เรอื งเสยี ง เชน่ ตอ้ งการใหเ้ สยี งไพเราะ (ถ้าเป็นชอื ผหู้ ญิง) เช่นชอื แพร วา ลนี า ใหม้ เี สยี งหรอื อกั ษรตน้ พยางคเ์ หมอื นกนั ทงั ครอบครวั หรอื เหมอื นกบั บุคคลใดบุคคลหนึง ในครอบครวั เช่น ชอื จจี ี โดยทที งั ครอบครวั มชี อื ทอี อกเสยี ง “จ” ทงั หมด 2. ตงั ตามลกั ษณะความหวงั ของบดิ ามารดาทอี ยากจะให้บุตรหลานมลี กั ษณะเช่นนัน ซงึ อาจจะเป็นความหวงั ทางด้านกายภาพ เช่น ชอื ตาหวาน โดนทั (ให้หน้าตาเหมอื นรูปโดนัท) แตงโม (หน้ากลมเหมอื นแตงโม) หรอื ตงั ความหวงั ทางด้านนิสยั ใจคอ เช่น ชอื ออมสนิ (ให้รู้จกั ประหยดั ) ตน้ กลา้ (ใหม้ คี วามกลา้ หาญ) ไอนํา (ใหม้ คี วามใจเยน็ ) ขา้ วหอม (ใหเ้ ป็นคนออ่ นหวาน) 3. ตงั ตามเหตุการณ์สาํ คญั ตอนตงั ครรภ์ ตอนเกดิ สถานทที เี กดิ เพอื เป็นเครอื งเตอื นความ ทรงจาํ เชน่ ตงั ชอื เนเน่ เพราะบดิ าสอบเนตบิ ณั ฑติ ไดใ้ นปีทบี ุตรเกดิ จนี จนี มาจากชอื ประเทศจนี ทบี ดิ าเดนิ ทางไปในชว่ งทบี ตุ รเกดิ 15

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 4. ตงั ชอื ทมี คี วามหมายดี และเป็นสิรมิ งคล เช่น ชอื ปนั ปนั เพอื ให้เป็นคนมนี ําใจ รู้จกั แบ่งปนั ชอื ซูชิ ซึงเป็นชือของเลขทเี ป็นมงคล ชอื โบนัส เพือทีบุตรจะได้ประสบความสําเรจ็ ทางดา้ นทรพั ยส์ มบตั ิ จากการทียงั ให้ความสําคัญในเรืองข้างต้น พบว่าคนไทยในปจั จุบัน พยายามเอา ความสาํ คญั ในเรอื งขา้ งตน้ ทตี นยงั มที ศั นคตทิ างบวกมาตงั แต่ในอดตี ดงั ปรากฏใหเ้ หน็ ในงานวจิ ยั ของวรางคณา (2540) จรญิ ญา (2540) และนันทนา (1982) แต่ปจั จุบนั มาพฒั นาใหเ้ ป็นชอื สอง พยางคเ์ พอื ใหฟ้ งั ดแู ปลกใหม่ ไมซ่ าํ ใคร มขี อ้ สงั เกตวา่ ในอดตี หากตอ้ งการตงั ชอื เป็นเสยี งเดยี วกนั หมดทงั ครอบครวั เช่น ต้องการ ใหม้ ชี อื เสยี ง “จ” กอ็ าจจะชอื จอน เจน แจน ใหเ้ หมอื นกนั หมด แตเ่ ป็นชอื พยางคเ์ ดยี ว แต่ปจั จุบนั จะตงั ชอื ใหเ้ ป็นสองพยางค์ เช่นชอื จจี ี เจนนี เป็นตน้ เป็นทนี ่าสนใจวา่ ความพยายามทจี ะตงั ชอื ให้ เป็นสองพยางคเ์ พอื แสดงความแปลกใหม่ ไม่ซาํ ใครนี ทาํ ให้เกดิ กระบวนการซําเสยี งของพยางค์ แรกของชอื ขนึ เช่น ต้องการชอื จนี (ประเทศจนี ) จะตงั ชอื บุตรว่า จนี จนี เพอื ให้ได้เป็นคาํ สอง พยางค์ หรอื ตงั ชอื ยยู ู ซงึ มาจากพยางคแ์ รกของชอื ยโู กสลาเวยี เป็นตน้ คนไทยยงั มีความนิยมการตดั ชอื เล่นออกมาจากชือจรงิ อยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตามจะ แตกตา่ งจากในอดตี คอื จะตดั ออกมาสองพยางค์ ในขณะทใี นอดตี จะตดั ออกมาเพยี งหนึงพยางค์ เชน่ ชอื ธนติ าภาส์ ในสมยั ปจั จุบนั ตงั ชอื เล่นเป็น นิตา เพอื ใหไ้ ดส้ องพยางค์ ในขณะทใี นอดตี จะ ใชช้ อื เพยี งพยางคเ์ ดยี ว ซงึ อาจจะเป็นชอื นิ หรอื ตา เป็นตน้ นอกจากนจี ะเหน็ วา่ มกี ารแสดงอตั ลกั ษณ์ทางเชอื ชาตใิ หเ้ หน็ เด่นชดั ขนึ เช่น ตงั ชอื เป็น ภาษาจนี มากขนึ แต่พฒั นาใหเ้ ป็นชอื สองพยางค์ เช่น ชอื หลงิ หลงิ หมงิ หมงิ เปาเปา เชง็ เชง็ ชอื ภาษาตะวนั ตก อย่างภาษาองั กฤษยงั มบี ้าง เช่น ออกสั เฟอร์กี วนิ นี แต่ผลสรุปจากการตอบ แบบสอบถามในการวจิ ยั เรอื งนีชชี ดั วา่ ผปู้ กครองในโรงเรยี นนี ใหค้ วามสําคญั เรอื งการตงั ชอื เป็น ภาษาองั กฤษคอ่ นขา้ งน้อย จากงานของนนั ทนา (1982) พบว่าคนไทยนิยมใช้ชอื เล่นแทนสรรพนามบุรุษที 1 เมอื ใช้ กบั คนสนิท คนุ้ เคย และในสถานการณ์ทไี ม่เป็นทางการ จงึ นิยมใหช้ อื เล่นมเี พยี ง 1 พยางค์ และ จากขอ้ มลู ทไี ดจ้ ากแบบสอบถามในงานวจิ ยั เรอื งนีพบวา่ ถงึ แมน้ กั เรยี นจะมชี อื สองพยางค์ แต่เวลา เรยี กชอื แทนตวั มกั จะตดั ทอนเหลอื เพยี งพยางคเ์ ดยี ว แต่ทจี ะเลอื กเป็นพยางค์ทหี นึงหรอื สองนัน มขี อ้ สงั เกตวา่ จะเลอื กจากความหมายและเสยี งประกอบกนั เชน่ ชอื ถุงแป้ ง อาจจะเรยี กตวั เองวา่ “แป้ ง” มากกวา่ “ถุง” เพราะความหมายและเสยี งทเี ปล่งออกมา ฟงั ดไู พเราะกวา่ เป็นตน้ 6. ข้อเสนอแนะ 16

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 1) เนืองจากการวจิ ยั ครงั นีเก็บข้อมลู จากโรงเรยี นเอกชนทผี ู้ปกครองมสี ถานภาพด้าน การศกึ ษา สงั คม รวมถึงรายได้ไม่แตกต่างกนั มากนัก และอยใู่ นระดบั ทคี ่อนขา้ งดี อกี ทงั กลุ่ม นกั เรยี นเป็นเพศหญงิ ถงึ รอ้ ยละ 96 ตวั แปรเหลา่ นีอาจเป็นปจั จยั ทสี ่งผลใหผ้ ูต้ อบแบบสอบถามให้ ความสาํ คญั ในการตงั ชอื เลน่ แกเ่ ดก็ จงึ น่าสนใจหากจะมกี ารทาํ วจิ ยั กบั กลุ่มตวั อยา่ งทมี พี นื ฐานของ ระดบั รายได้ การศกึ ษา และอาชพี ของผู้ปกครอง รวมถึงโรงเรยี นของเดก็ ทแี ตกต่างกนั เช่น ศกึ ษาจากโรงเรยี นชายล้วน เป็นต้น นอกจากนี หากพนื ทที เี กบ็ ขอ้ มูลเป็นโรงเรยี นในภาคอืนๆ ของประเทศ กอ็ าจจะเป็นเรอื งน่าสนใจวา่ ผลทไี ดจ้ ะเหมอื นหรอื แตกต่างกนั อยา่ งไร 2) การให้นําหนักของเหตุผลในการตงั ชอื ของผู้ตงั เพศหญิงและเพศชายนัน มคี วาม แตกต่างกนั จงึ น่าสนใจทจี ะมีการศกึ ษาต่อไปอีกวา่ หากผู้ตงั ชือเป็นใคร คอื อาจจะเป็น บิดา มารดา หรอื เป็นญาตผิ ใู้ หญ่ หรอื เป็นบคุ คลอนื ตวั แปรวา่ ผตู้ งั ชอื เป็นใครจะสง่ ผลกระทบเหตุผลใน การตงั ชอื หรอื ไม่ อยา่ งไร นอกจากนี ประเดน็ ทวี า่ ผตู้ งั ชอื ในสงั คมไทยเป็นใครนนั จะสะท้อนให้ เหน็ บทบาทและความสาํ คญั ของคนในครอบครวั ในสงั คมปจั จบุ นั อกี ดว้ ย 3) มเี รอื งทนี ่าสนใจเกยี วกบั การตงั ชอื เลน่ อกี หลายแงม่ มุ ซงึ อาจจะสะท้อนถึงค่านิยมของ ผตู้ งั ชอื เล่น เชน่ ความหมายของชอื เล่น สามารถจาํ แนกวา่ เกยี วกบั อะไรเป็นสว่ นมาก จะเป็นเรอื ง ความคาดหวงั ความสามารถ บคุ ลกิ ลกั ษณะของลูกทผี ปู้ กครองตอ้ งการ หรอื โชคลาภ ความมงั คงั เป็นตน้ หากมผี สู้ นใจศกึ ษา กจ็ ะสะทอ้ นใหเ้ หน็ ค่านิยม ความคดิ ความเชอื ต่างๆ ทชี ดั เจนได้ เป็นอยา่ งดี เอกสารอ้างอิง จรญิ ญา ธรรมโชโต. (2537). การแปรของลกั ษณะทางภาษาทใี ชใ้ นการตงั ชอื เลน่ ตามตวั แปรอายุ. รายงานประกอบการเรยี นรายวชิ า ภ.752 ภาษาศาสตรเ์ ชงิ สงั คม คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ (อดั สาํ เนา) จรญิ ญา ธรรมโชโต. (2540). การศกึ ษาภาษาทใี ชใ้ นการตงั ชอื เล่นของคนไทยในเขตอาํ เภอเมอื ง จงั หวดั ตรงั .วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญามหาบณั ฑติ , สาขาภาษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ นนั ทนา รณเกยี รต.ิ (2531, มกราคม-มถิ ุนายน). ลกั ษณะการตงั ชอื เล่นในภาษาไทย. ภาษาและ ภาษาศาสตร์ 6, 50-62. นาวอน จอน. (2552). การศกึ ษาเปรยี บเทยี บวธิ กี ารตงั ชอื และการใชภ้ าษาในการตงั ชอื ของคน เกาหลกี บั ชอื คนไทย.วารสารภาษาไทยและวฒั นธรรมไทย 5, 90-107. ราชบณั ฑติ ยสถาน.(2553). พจนานุกรมศพั ทภ์ าษาศาสตร์ (ภาษาศาสตรป์ ระยกุ ต)์ ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน. กรงุ เทพฯ: ราชบณั ฑติ ยสถาน. 17

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 วรางคณา สวา่ งตระกลู . (2540). การศกึ ษาภาษาทใี ชใ้ นการตงั ชอื ของคนไทยในกรงุ เทพมหานคร. วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญามหาบณั ฑติ , สาขาภาษาศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ วริ ชั ศริ วิ ฒั นะนาวนิ . (2544). การศกึ ษาการตงั ชอื ของคนไทย. วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญามหาบณั ฑติ , สาขาวชิ าภาษาไทย, มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. ไศลรตั น์ อสิ ระเสนยี .์ (2546). ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคลในครอบครวั กบั ภาษาทใี ชใ้ นการตงั ชอื จรงิ . วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญามหาบณั ฑติ , สาขาภาษาศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ ดาํ รงราชานุภาพ, สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยา. (2544). พระราชประวตั สิ มเดจ็ พระ นเรศวรมหาราช. กรุงเทพฯ : อกั ษรเจรญิ ทศั น์. สุภาพรรณ ณ บางชา้ ง. (2527). การใชภ้ าษาในการตงั ชอื ของคนไทย. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . Bezooijen, R. and Gooskens, C. (1999). Identification of language varieties: the contribution of different linguistic levels. Journal of Language and Social Psychology 18, 31-48. Brannon, L. (2005). Gender Psychological Perspectives (4th ed.). Boston: Pearson. Brown, I. (1994). Names and nicknames. The Book of Knowledge 13, 4-8. Chambers, J.K., Trudgill, P. and Schilling-Estes, N. (Eds.). (2002). The Handbook of Language Variation and Change. Oxford: Blackwell. Coates, J. (2004). Women, Men and Language: A Sociolinguistic Account of Gender Differences in Language (3rd edition). Harlow, England: Pearson Education Limited. Cooper, D. (1996). 45,665 Thai names. Examining Passlist 96. Bangkok. (Mimeographed) Danvivathana, N. (1982). Nickname in the Thai language. Work in progress 1, 99-101. Davies, A. and Alder, C. (Eds.). (2006). The handbook of Applied Linguistics. Oxford: Blackwell. Deborah, T. (1995). That’s not What I Meant: How Conversational Style Makes or Breaks Your Relations with Others. London: Virago Press. Deborah, T. (2001). You Just don’t Understand Women and Men in Conversation. London: Virago Press. Deborah, T. (2006). You’re Wearing that Understanding Mothers and Daughters in Conversation. New York: Random House, Inc. Deshaies-Lafontaine, D. (1974). A Socio-Phonetic Study of a Québec French Community: Trois-Rivières. PhD Dissertation, University College London. 18

วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที 31 ฉบบั ที 1 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2555 Dressler, W.U. and Wodak, R. (1982). Sociophonological methods in the study of sociolinguistic variation in Viennese German. Language in Society 11, 339-370. Edwards, J. (2009). Language and Identity: An Introduction. Cambridge: Cambridge University Press. Fasold, R. and Connor-Linton, J. (Eds.). (2006). An Introduction to Language and Linguistics. Cambridge: Cambridge University Press. Garrett, P. (2010). Attitudes to Language. Cambridge: Cambridge University Press. Harris, J. (1994). English Sound Structure. Oxford: Blackwell. Henkel, S. (2011). The Importance of a Name - How Your Name Affects Your Life. Retrieved April, 21, 2012, from: http://stephaniehenkel.hubpages.com/hub/The- Importance-of-a-Name-How-Your-Name-Affects-Your-Life Hinton, L., Nichols, J. and Ohala, J. (Eds.). (1994). Sound Symbolism. Cambridge: Cambridge University Press. Hinton, L. (1994). Introduction: Sound-symbolic process. In Hinton, L., Nichols, J., & Ohala, J. (Eds.). Sound Symbolism. (pp. 1-12). Cambridge: Cambridge University Press. Joseph, E. (2004). Language and Identity: National, Ethnic, and Religious. New York: Palgrave Macmillan. Labov, W. (1996). The Social Stratification of English in New York City. Washington DC: Center for Applied Linguistics. Nacaskul, K. (1987). “The Phonology of Thai Pet names” in Lae Su Thai, Essay in Honor of E.H.S. Simmonds, School of Oriental and African Studies. London, 41-51. Rathus, S.A., Nevid, J.S. and Rathus, L.F. (2005). Human Sexuality in a World of Diversity. Boston: Pearson. Reaney, P.H. (1961). A Dictionary of British Surnames. London: Routledge and Kegan Paul. Reaney, P.H. (1979). The Origin of English Surnames. Boston: Routledge and Kegan Paul. Suzman, S. (1994). Names as pointers: Zulu personal naming practices. Language in Society 23, 253-72. Talbot, M.M. (2010). Language and Gender (2nd ed.). Cambridge: Polity Press. 19


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook