สถาปัตยกรรมเครือข่าย Network Architecture 2nd Week: สถาปัตยกรรมเครือข่าย 1
Protocols nโพรโตคอลคือ กฎ ขั นตอน และรูปแบบของข้อมลู ทีใช้ ในการสือสารระหว่างคอมพวิ เตอร์ 2 เครืองใดๆ ที เชือมต่อกันเป็ นเครือข่าย n โปรโตคอลเป็ นเสมือนภาษาทีคอมพิวเตอร์พูดคุยกัน ถ้าคุยกันด้วยภาษาเดียวกันก็สามารถส่งรับข้อมลู กัน อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ 2
ยุคเริ มแรกของการสือสาร n ผู้ผลิตอปุ กรณ์ต่างกําหนดมาตรฐานของตนเอง เพือต้องการผูกขาดผลิตภัณฑ์ และมาตรฐานของตนไว้ ดังนั นจึงไม่มีรูปแบบการเชือมต่อเพือแลกเปลียน ข้อมูลทีแน่นอน n การเชือมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างยหี ้อกัน ทําได้ยากเพราะใช้คนละมาตรฐาน และมีรูปแบบไม่แน่นอน n ช่วงถัดมาเมือมีผู้ผลิตอุปกรณ์มากขึ น ผู้ใช้งานเกิดความต้องการทีจะเชือมต่อ อปุ กรณ์ทีต่างบริษัทเหล่านี เข้าด้วยกัน จึงผลักดันให้หน่วยงานทีออก มาตรฐาน กําหนดรูปแบบการเชือมต่อทีเป็นมาตรฐานกลางร่วมกัน มาตรฐาน ดังกล่าวนี คือOSI ( Open Systems Interconnection ) 3
OSI Reference Model n Open System Interconnection (OSI) เป็น มาตรฐานทีทําขึ นเพือให้คอมพวิ เตอร์หรืออุปกรณ์เครือข่ายเครือง หนึงสามารถรับส่งข้อมลู ไปยังคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เครือข่ายอีก เครืองหนึงทีเป็นระบบเดียวกัน หรือต่างระบบกันก็ได้อย่างอิสระ โดยไม่ขึ นกับผู้ผลิตอุปกรณ์ ทําให้เครือ/งอุปกรณ์ทีผลิตขึ นจากต่าง บริษัทและต่างระบบกัน สามารถทํางานร่วมกันได้ n มาตรฐานนี จึงใช้เป็นตัวแบบอ้างอิงสําหรับการอธิบายกลไกการ ทํางานของโพรโตคอลในเครือข่ายและการพัฒนาโพรโตคอลชุด อืนๆ 4
ขั นตอนการสือสารระหว่างคอมพวิ เตอร์2 เครือง 7 Application Logical flow 7 Application 6 Presentation 6 Presentation 5 Session 5 Session 4 Transport 4 Transport 3 Network 3 Network 2 Data Link 2 Data Link 1 Physical 1 Physical Actual flow Physical Medium 5
ลักษณะของ OSI Model หลนัก้าษทณีใะหก้บารริกทาํารง(าSนerขvอicงeแ)กต่ลับะชรั นะดทับีสูชงกั นวค่าือโดชยั นททีระีตดําับกวท่าีสจูงะกทวํา่า ไม่จําเป็นต้องรู้ว่าระดับชั นล่างทํางานกันอย่างไร เพยี งแค่รู้มี บริการไรบ้าง ว่าแนวความคิดนี เรียกว่า“Layer Technology” 6
ลําดับชันทัง 7 ของ OSI แบบจําลอง OSI มีกรอบการทํางานเป็ นลําดับชันทีเรียกว่าเลเยอร์ (Layer) ประกอบด้วย 1. ลําดบั ชันฟิ สิคลั (Physical Layer) 2. ลําดับชันดาต้าลิงก์(Data Link Layer) 3. ลําดบั ชันเน็ตเวิร์ก(Network Layer) 4. ลําดับชันทรานสปอร์ต (Transport Layer) 5. ลําดบั ชันเซสซัน(Session Layer) 6. ลําดับชันพรีเซ็นเตชัน(Presentation Layer) 7. ลําดับชันแอปพลิเคชัน(Application Layer) 7
7 Application 8 6 Presentation 5 Session 4 Transport 3 Network 2 Data link 1 Physical แบบจาํ ลอง OSI
n การติดต่อสือสารของแต่ละชั นจะเป็นแบบ Peer-to-Peer คือ ในแต่ละชั นหรือ Layer จะเสมือนเชือมต่ออยู่กับชั นทีเทียบเท่า กันของคอมพิวเตอร์อีกด้านหนึง ส่วนการ เชือมต่อจริงๆจะมีเพียงชั นที1 (Physical Layer)เท่านั น เช่นSession Layer ของอุปกรณ์สือสาร ก. จะทําการสือสารกับ Session Layer ของอุปกรณ์สือสาร ข. โดยตรงทั งๆทีSession Layer ของ อปุ กรณ์สือสารทั งสองต่างรับส่งข้อมูลผ่าน Transport Layer ซึงอยู่ตําลงไป 9
n ระดับชั นล่างๆ จะเกียวข้องกับเรืองของHardware หรือ วงจรทางไฟฟ้ าเป็นหลัก สําหรับชั นทีสูงขึ นก็จะเกียวพันกับ งานทางด้าน Software n OSI มิได้เป็นข้อกําหนดในการออกแบบผลิตภัณฑ์สือสาร ข้อมูล เพยี งแต่เป็นแบบจําลองสําหรับผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ และผู้ใช้ รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ในการอ้างอิงเพือประโยชน์ ในการเลือกอุปกรณ์ทดแทน การวิเคราะห์การเชือมต่อ ระหว่างเครือข่าย การออกแบบพัฒนา 10
แนวความคิดในการแบ่งลําดับชั นสื อสาร 1. เพือลดความซับซ้อน 2. เพือให้แต่ละลําดับชันมบี ทบาททีชัดเจน 3. เพือให้แต่ละลําดับชันปฏบิ ัติหน้าทีตามทีได้รับมอบหมาย 4. เพือให้ฟังก์ชันการทํางานในแต่ละลําดบั ชันสอดคล้องกับ มาตรฐานสากล 5. ป้ องกันการเปลยี นแปลงบนเลเยอร์หนึง ๆ แล้วส่งผลกระทบต่อเลเยอร์อืน ๆ 6. จํานวนลําดบั ชันต้องมมี ากเพียงพอ แต่ต้องไม่มากมายจนเกินความจําเป็ น 11
User การใช้ข้อมูลส่วนหวั ในการสือสารระหว่างชัน User Data User Process Data User H7 H7 User Data Data Application Layer User H7 H6 H6 H7 User Data Data Presentation Layer User H7 H6 H5 H5 H6 H7 User Data Data Session Layer User H7 H6 H5 H4 H4 H5 H6 H7 User Data Data Transport Layer User H7 H6 H5 H4 H3 H3 H4 H5 H6 H7 User Data Data Network Layer User H7 H6 H5 H4 H3 H2 Data Link H2 H3 H4 H5 H6 H7 User Data Layer Data User H7 H6 H5 H4 H3 H2 H 1 Physical H 1 H2 H3 H4 H5 H6 H7 User Data Layer Data 12
13
14
OSI Protocols OSI Protocols CMIP, DS, FTAM, MHS, VTP OSI Reference Model Presentation service/protocol 7 Application 6 Presentation Session service/protocol 5 Session TP0, TP1, …, TP5 4 Transport 3 Network CONP/CMNS, CLNP/CLNS, IS-IS, ES-IS 2 Data link IEEE 802.2, 802.3, 802.5, FDDI, X.25 1 Physical IEEE 802.2, 802.3, 802.5, FDDI, X.25 Hardware แสดงชุดโพรโตคอล OSI ทีทํางานในแต่ละชั น 15
Application Layer n เป็นชั นทีเริมกระบวนการติดต่อสือสาร และเป็นตัวกลางในการเชือมต่อ ระหว่างแอปพลิเคชันของผู้ใช้กับขั นตอนการสือสารผ่านเครือข่ายใน ระดับชั นล่างทีเหลือก็ได้ เช่น เรืองของuser interface ทีจะมีหน้าทีรับสิง ทีผู้ใช้ป้ อนเข้ามา แล้วส่งต่อให้โปรแกรมระดับล่างทําการส่งข้อมูล n นอกจากนั นเรืองการกําหนดมาตรฐานของจอก็เป็นหน้าทีหนึงใน ระดับชั นนี ด้วย แต่ไม่ได้เป็นการกําหนดวิธีสร้างจอTerminal ให้ เหมือนกัน แต่จะคล้ายกับการสร้างจอTerminal เสมือน(Virtual terminal) ขึ นมาเพือทําใหT้ erminal ทุกชนิดในโลกมีความเข้าใจตรงกัน เช่น ขนาดบริเวณทีใช้แสดงผล การย้ายตําแหน่งCursor เป็นต้น 16
User User Application Application layer layer X.500 FTAM X.400 X.500 FTAM X.400 L7 data L7 data To presentation layer From presentation layer ลําดบั ชันแอปพลิเคชัน(Application Layer) 17
Presentation Layer n รับผิดชอบเกียวกับรูปแบบของข้อมลู ทีรับส่งผ่านเครือข่าย โดยโพรโตคอล ในชั นนี จะแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบมาตรฐานทีคอมพิวเตอร์เข้าใจ และมี รูปแบบการสือสารเดียวกัน n โพรโตคอลในชั นนี มองข้อมูลเป็นสิงทีมีรูปแบบ(syntax) และมีความหมาย (semantics) มากกว่าอยู่ในรูปของ bit stream และ byte stream เช่นความ แตกต่างของการใช้รหัสแทนข้อมลู เครืองหนึงอาจจะใชA้ SCII ส่วนอีกเครือง หนึงอาจจะใช้รหัสเป็นUnicode ก็ได้ ในชั นนี จึงต้องทําการเปลียนแปลงการ แสดงผลให้อยู่ในรูปแบบเดียวกัน เพือจะได้เข้าใจตรงกันและในการส่งข้อมูล จะได้เป็ นมาตรฐานเดียวกัน n หน้าทีอีกอย่างคือการบีบอัดข้อมูล(Compression) และการรักษาความปลอดภัย ของข้อมลู (Encryption) 18
การทํางานในระดับPresentation Layer 19
Session Layer n ทําหน้าทีควบคุมการสือสารผ่านเครือข่ายทีกําลังเกิดขึ นในช่วงขณะใด ขณะหนึงระหว่างสองฝัง ควบคุมการแลกเปลียนข้อมูลและยกเลิกการติด ต่อเมือการสือสารสิ นสุด เช่นการใช้งานRemote Host จะต้องมีการเริ มต้นขอ Connect และขอยกเลิกการ Connect ทุกครั งในการส่งข้อมลู n หน้าทีอีกอย่างของระดับชั นนี คือ การแก้ปัญหาความล้มเหลวในการส่งข้อมูล ขนาดใหญ่ โดยมีการแทรกจุดตรวจสอบความถูกต้อง(Check point) เข้าไป จํานวนหนึ งในระหว่างการส่งข้อมลู เรียกว่าการทําSynchronization หากการส่ง ข้อมลู ล้มเหลว ผู้รับจะค้นหาจุดCheck point ล่าสุดทีได้รับมา แล้วส่งไปบอกผู้ ส่งให้เริ มส่งใหม่ตั งแต่จุดCheck point ทีมีปัญหานั น ( File Transfer ) 20
การทํางานในระดับSession Layer 21
Transport Layer n รับผดิ ชอบในการนําส่งข้อมูลระหว่างprocess ของผู้รับและผู้ส่งจริงๆจึงเป็น เรืองสําคัญของชั นนี ทีจะต้องทราบว่าผู้ส่งจริงคือใคร และผู้รับจริง คือใคร n ตรวจเชค็ แพ็กเกจทีละทิงโดยrouter และทําการส่งข้อมูลใหม่อีกครั งรวมถึง การจัดเรี ยงแพ็กเกจข้อมูลทีเดินทางมาถึงไม่เป็ นลํ าดับ n โพรโตคอลในชั นนี แบ่งการติดต่อสือสารเป็น2 แบบคือ ¨ Connection-Oriented ¨ Connectionless n โพรโตคอลในชั นนี ให้บริการได้หลายๆ แอปพลิเคชันในเวลาเดียวกันผ่าน พอร์ต (port) สือสารโดยเทคนิคการส่งข้อมูลแบบ socket 22
การทํางานในระดับTransport Layer 23
24
25
Network Layer n รับผิดชอบในการควบคุมการส่งข้อมูล ระหว่างโหนดต่างๆ ภายในเครือข่าย โหนด อาจหมายถึงเครืองคอมพิวเตอร์ หรืออปุ กรณ์เครือข่ายต่างๆเช่น Router เป็ นต้น n คํานวณหาเส้นทางการส่งข้อมูล จากต้นทางไปยังปลายทาง เพือใหP้ acket ของ ข้อมลู ไปถึงปลายทางได้เร็วทีสุด และถูกต้องทีสุด ผ่านระบบการจัดการทีอยู่ (Addressing) n การให้บริการในชั นนี แบ่งออกเป็น2 ประเภทคือ ¨Connection-Oriented ¨Connectionless n การทํางานของข้อมูลในระดับนี เรียกว่า“Packet” 26
การทํางานในระดับNetwork Layer 27
28
29
Data Link Layer n รับผิดชอบในการจัดสร้างเฟรมสําหรับการรับส่งข้อมลู , ตรวจสอบและแก้ไข ความถูกต้องของข้อมูล และควบคุมการไหลของข้อมูลเช่นควบคุมการส่ง ไม่ให้ผู้ส่ง ส่งข้อมูลเร็วเกินไปจนฝังรับ รับข้อมูลไม่ทัน n การตรวจสอบความผดิ พลาดของข้อมลู ระหว่างการส่ง ข้อมลู ทุกเฟรมจะถกู เพิมข้อมลู ส่วนหัว(header) และส่วนหาง (tailer) เข้าไปกับทุกเฟรมเพือใช้ใน การตรวจสอบ n การทํางานของระดับชั นนี มองว่าเป็นการควบคุมการทํางานระหว่างเครืองต้น ทาง กับปลายทางทีอยู่ติดกันเท่านั น ไม่ใช่เครืองผู้ส่ง ผู้รับจริงๆ เหมือนใน Transport layer n การทํางานของข้อมูลในระดับนี จะเรียกว่า“Frame” 30
การทํางานในระดับData Link Layer 31
32
Physical Layer n รับผดิ ชอบเกียวกับการส่งข้อมลู ในรูปของบิต(bit) ในระบบเลขฐานสอง และ กําหนดวธิ ีควบคุมการรับและส่งข้อมูลระหว่างเครืองคอมพิวเตอร,์ กําหนด มาตรฐานเกียวกับแรงดันไฟฟ้ า, ประเภทสายนําสัญญาณ และลักษณะหัว เชือมต่อสายนําสัญญาณ เช่น การส่งบิต0 และ 1 จะต้องแทนด้วย กระแสไฟฟ้ ากีโวลต์ แต่ละบิตใช้เวลาส่งนานเท่าใด การส่งเป็นแบบทิศทาง เดียวหรือ สองทิศทาง สายส่งทีใช้ควรเป็นอย่างไร เป็นต้น n โพรโตคอลในชั นนี จะแปลงข้อมูล(ไม่สนใจความหมายของข้อมูล) ให้เป็น สัญญาณทางไฟฟ้ าก่อนส่งผ่านสายนําสัญญาณ 33
การทํางานในระดับPhysical Layer 34
35
TCP/IP Protocols n Transmission Control Protocol/Internet Protocol เป็นโพรโตคอลทีถูก ออกแบบเพือเชือมต่อคอมพิวเตอร์ทีต่าง Platformกันให้สามารถสือสารกัน ผ่านเครือข่ายได้ n การออกแบบชุดโพรโตคอล TCP/IP จะเน้นไปทีการเชือมต่อระหว่างระบบที ต่างกันและนําไปใช้งานจริง 36
เปรียบเทียบแบบอ้างอิง OSI และ TCP/IP OSI Reference Model TCP/IP 7 Application 6 Presentation Application FTP, Telnet, HTTP, SMTP, SNMP, DNS, etc. 5 Session 4 Transport Host-to-Host TCP UDP 3 Network Internet ICMP, IGMP IP ARP, RARP 2 Data link 1 Physical Network Access Not Specified 37
Application Layer n มีโพรโตคอลทีจัดการการเข้าใช้ทรัพยากรระยะไกล(Remote Access) และ การแชร์การใช้ทรัพยากร (Resource Sharing) ได้แก่ ¨HTTP (Hyper Text Transfer Protocol) ¨SMTP (Simple Mail Transfer Protocol) ¨POP (Post Office Protocol) ¨IMAP (Internet Message Access Protocol) ¨FTP (File Transfer Protocol) ¨ Telnet 38
Host-to-Host Layer n ชั นนี มีโพรโตคอล2 ชนิดได้แก่ ¨Transmission Control Protocol: TCP ¨User Datagram Protocol: UDP n TCP ใช้การรับส่งข้อมูลแบบConnection-Oriented n UDP ใช้การรับส่งข้อมลู แบบConnectionless n ข้อแตกต่างระหว่างTCP & UDP ¨การส่งแบบ TCP มีความเชือถือมากกว่า ¨การส่งแบบ UDP มีความรวดเร็วกว่า แต่ก็มีโอกาสทีข้อมูลอาจส่งไม่ถึง ปลายทางได้ 39
Internet Layer n ทําหน้าทีในการส่งข้อมูลหรือ“แพ็กเกจ” ผ่านเครือข่ายต่างๆ ตามเส้นทางให้ ถึงจุดหมาย n โพรโตคอลในชั นนี เรียกว่า“Internet Protocol” ทําการส่งแพ็กเกจข้อมูลให้ถึง ปลายทางโดยการจัดเส้นทางทีเหมาะสมให้กับแพ็กเกจ n การส่งแพ็กเกจในชั นเครือข่ายเป็นแบบConnectionless โดยเราเตอร์จะเลือก เส้นทางทีดีทีสุดในขณะนั นให้กับแพ็กเกจนั น n โปรโตคอลทีทํางานในระดับชั นนี คือIP ( Internet Protocol ) 40
Internet Layer (2) n นอกจากนี ยังมีโปรโตคอลทีช่วยการทํางานของIP ให้เป็นไปด้วยดีได้แก่ ¨ICMP (Internet Control Message Protocol) ¨IGMP (Internet Group Message Protocol) ¨ARP (Address Resolution Protocol) ¨PARP (Reversed Address Resolution Protocol) n หมายเลข IP หรือ IP Address คือเลขทีบอกทีอยู่เฉพาะของโหนดหรือโฮสต์ที อยู่ในเครือข่าย ปัจจุบันIP Protocol ทีใช้อยู่เป็นเวอร์ชัน4 หรือ IPv4 ขนาด 32 บิต 41
Network Access n มาตรฐานของชุด TCP/IP Model จะไม่ได้มีการระบุในชั นของNetwork Access ไว้อย่างตายตัว ทําใหT้ CP/IP Model สามารถส่งข้อมูลไปในเครือข่าย ระดับล่างแบบใดก็ได้ เช่นระบบEthernet, FDDI, ATM, PPP และ ISDN เป็น ต้น n การรับ-ส่งข้อมูลในชั นนี เป็นการรับ-ส่งข้อมูลในระดับbit stream ทีไม่ เกียวข้องกับโครงสร้างข้อมลู ในชั นระดับบน 42
การเปรียบเทียบระหว่างมาตรฐาน OSI และ TCP/IP n รูปแบบ OSI ประกอบด้วยชั นสือสาร7 ชั นในขณะทีรูปแบบTCP/IP มีเพียง 4 ชั น ทั งคู่มีระดับชั นnetwork, transport และ application layer เหมือนกัน นอกนั นแตกต่างกัน n ในชั นNetwork Layer(3) ของ OSI Model ให้บริการส่งข้อมลู แบบConnection- Oriented และ Connectionless แต่ในชั นสือสารนําส่งข้อมูลให้บริการแบบ Connection-Oriented ส่วนในชั นInternet Layer(3)ของ TCP/IP Model ให้บริการ แบบ Connectionless n OSI เกิดขึ นมาหลังจากทีTCP/IP Model เกิดขึ นมาแล้ว ทําให้ในการใช้งานจริง TCP/IP Model จะแพร่หลายมากกว่า ในขณะที OSI Model ไม่มีการนําไปใช้งาน จริงมากนัก 43
n OSI ออกแบบในลักษณะทีมีการแยกระหว่างservice(ระบุเนือหาของservice ทีระดับล่างมีให้แก่ระดับบน), interface(ระบุวธิ ีการทีระดับชั นบนจะเรียกใช้ บริการระดับล่างและผลทีได)้ และProtocol(วิธีการรับส่งระหว่างระดับชั น) อย่างชัดเจน แนวความคิดนี ทําให้เมือมีการเปลียนแปลงโปรโตคอลใน ระดับชั นหนึงๆ เมือเปลียนเทคโนโลยที ําให้ไม่กระทบต่อถึงบริการ (service)ทีมีให้ระดับบน ซึ งต่างกับTCP/IP Model ทีไม่แยกสิงต่างๆข้างต้น ออกจากกัน ทําให้เมือมีการเปลียนแปลงโปรโตคอลตามเทคโนโลยจี ะทําได้ ยาก n TCP/IP Model ออกแบบมาสําหรับอธิบายการทํางานของโปรโตคอลTCP และ IP โดยเฉพาะจึงยากทีจะนําไปใช้อ้างอิงหรืออธิบายเครือข่ายอืนๆได้ นอกจาก TCP/IP Model 44
NetBEUI Protocol n NetBIOS Extended User Interface n NetBIOS มาจาก Network Basic Input/Output System ซึ งเป็นชุดโพรโตคอลที พัฒนาโดย IBM n ชุดโพรโตคอลนี ไม่สามารถหาเส้นทางในการส่งข้อมูลได้ ดังนั นการใช้งาน จึงจํากัดอยู่เฉพาะในLayer ที 2 เท่านั น( เป็นการเชือมต่อระหว่าง คอมพิวเตอร์สองเครืองแบบจุดต่อจุดเพือแลกเปลียนข้อมลู กันเท่านั น) n ปัจจุบันการใช้งานจํากัดอยู่เฉพาะระบบปฏิบัติการของMicrosoft เท่านั น n มักใช้ในด้านของการทําFile และ Printer sharing เป็นส่วนใหญ่ 45
เปรียบเทียบระหว่างแบบอ้างอิงOSI และ NetBEUI OSI Reference Model NetBEUI 7 Application 6 Presentation 5 Session 4 Transport 3 Network 2 Data Link 1 Physical 46
n NetBEUI ใช้ชือเครืองเป็นหลักในการทํางาน แตI่ P จะใช้หมายเลข IP Address ดังนั นเพือใหN้ etBIOS สามารถใช้ Function การทํางานทีอยู่ใน ความสามารถของ TCP/IP ได้จึงมีการกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างชือเครือง คอมพิวเตอร์ กับหมายเลข IP address ไว้ด้วยกันทีเรียกว่าNetBIOS over TCP/IP ทําให้network สามารถแปลงชือเครืองออกมาเป็น IP Address ได้ ¨เช่นการทดสอบว่าเครืองปลายทางเปิ ดอยู่หรือไม่โดยใช้คําสัง“ping ชือเครือง” n NetBIOS over TCP/IP ใช้ “LMHOSTS” files ในการเก็บชือเครืองกับIP (ถ้าเป็นTCP/IP จะใช้ File “HOSTS”) n WINS( Windows Internet Name Service ) กลไกการแปลงชือเครืองเป็น IP ในเครือข่ายขนาดใหญ่ ทํางานเป็นService หนึงในเครือง server ใดๆ 47
NetBIOS over TCP/IP NBNS NBDG NBSS UDP TCP IP NIC ( Network Interface Card ) NBSS – NetBIOS Session Service (TCP) – เป็ นการส่งข้อมูลแบบ Connection-Oriented NBDG – NetBIOS Datagram Service (UDP) – เป็ นการส่งข้อมูลแบบ Connectionless NBNS – NetBIOS Name Service – แปลงชือเครืองเป็ น IP 48
LMHOSTS file example (NetBIOS) 49 n # Copyright (c) 1993-1999 Microsoft Corp. n# n # This is a sample LMHOSTS file used by the Microsoft TCP/IP for Windows. n# n# n # 102.54.94.97 rhino #PRE #DOM:networking #net group's DC n # 102.54.94.102 \"appname \\0x14\" #special app server n # 102.54.94.123 popular #PRE #source server n # 102.54.94.117 localsrv #PRE #needed for the include n# n # #BEGIN_ALTERNATE n # #INCLUDE \\\\localsrv\\public\\lmhosts n # #INCLUDE \\\\rhino\\public\\lmhosts n # #END_ALTERNATE
HOSTS file example (IP) n # Copyright (c) 1993-1999 Microsoft Corp. n# n # This is a sample HOSTS file used by Microsoft TCP/IP for Windows. n# n # This file contains the mappings of IP addresses to host names. Each n # entry should be kept on an individual line. The IP address should n # be placed in the first column followed by the corresponding host name. n # The IP address and the host name should be separated by at least one n # space. n# n # Additionally, comments (such as these) may be inserted on individual n # lines or following the machine name denoted by a '#' symbol. n# n # For example: n# n # 102.54.94.97 rhino.acme.com # source server n # 38.25.63.10 x.acme.com # x client host n 127.0.0.1 localhost 50
Search