Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชีววิทยา 1

ชีววิทยา 1

Published by Kru.WOH, 2020-08-25 13:20:27

Description: ชีววิทยา 1

Search

Read the Text Version

ชวี วิทยา 1

1. การทอี่ เลก็ ซานเดอร์ เฟลมมงิ ค้นพบยาเพนซิ ลิ ลินได้นนั้ สิ่งสาคัญอนั ดับแรก คอื ก. การตงั้ สมมติฐาน ข. การสังเกตและต้งั ปญั หา ค. การทดสอบเพ่อื แกป้ ัญหา ง. การคน้ หาและทดสอบการทดลอง

2. ในกระบวนการทางวิทยาศาสตรถ์ า้ หากผลการทดลองที่ได้จากการตรวจสอบสมมตฐิ าน ไมส่ อดคลอ้ งกับสมมติฐานจะตอ้ งทาอย่างไร ก. สงั เกตใหม่ ข. ตั้งปญั หาใหม่ ค. เปลี่ยนสมมตฐิ าน ง. ออกแบบการทดลองใหม่

3. วิธีการทางวิทยาศาสตร์มแี บบฉบับเปน็ ขนั้ ๆ เรยี งตามลาดบั คือ ก. การตั้งสมมติฐาน , การสงั เกตและตง้ั ปัญหา, การตรวจสอบสมมติฐาน และการทดลอง สรปุ ข. การสงั เกตและปัญหา, การทดลองและการตง้ั สมมตฐิ าน, การตรวจสอบสมมตฐิ าน และ สรุปผล ค. การสังเกตและต้ังปญั หา , การตง้ั สมมตฐิ าน, การตรวจสอบสมมตฐิ าน และสรุปผล ง. การต้ังสมมตฐิ าน , รวบรวมข้อเทจ็ จรงิ , สรุปผล และการทดลอง

4. คากลา่ วใดเป็นการตัง้ สมมติฐาน ก. ไกก่ นิ ข้าวเปน็ อาหารจะเจรญิ เติบโต ข. การให้ปุ๋ยต้นส้มทางใบให้ผลดกกว่าทางราก ค. อากาศอบอา้ ว คาดว่าพรงุ่ น้จี ะมฝี นตก ง. ถ้าปลกู พชื ในท่ีมืด พืชจะตาย

5. การคดิ หาคา่ คาตอบล่วงหน้าก่อนจะทาการทดลอง เปน็ ทกั ษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ใด ก. ทักษะการตั้งสมมตุ ิฐาน ข. ทักษะการควบคมุ ตัวแปร ค. ทักษะการตคี วามและลงขอ้ สรปุ ง. ทกั ษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ

6. ในหมูบ่ ้านแหง่ หนึ่ง เกษตรกรทปี่ ลกู ขา้ วพันธ์ุ กข 6 ประสบปญั หาผลผลติ ขา้ วลดลงมาก เนอื่ งจากมกี ารตดั ถนนและตดิ ไฟทางริมถนน ซง่ึ เปิด-ปิดอัตโนมัติ ปรากฏวา่ หลังจากศกึ ษาปัญหา ต่างๆ กลมุ่ เกษตรกรผูป้ ลกู ข้าวไดด้ บั ไฟทางในเวลากลางคืน ปรากฏว่าผลผลติ ของของขา้ วสูง เหมอื นเดมิ สมมตฐิ านทีน่ า่ เปน็ ไปไดค้ ือ ก. ข้าวพันธ์ุ กข 6 เป็นข้าวที่ไวแสง ต้องการความมืดท่ตี ดิ ตอ่ กนั ข. ขา้ วพันธุ์ กข 6 ต้องกานนา้ แสงและอณุ หภมู สิ งู ค. ขา้ วพนั ธ์ุ กข 6 เป็นข้าวท่ตี อ้ งการแสงตลอดเวลา ง. ขา้ วพนั ธ์ุ กข 6 เปน็ ขา้ วที่ไมไ่ วแสง

จงพจิ ารณาข้อความตอ่ ไปน้ี แลว้ ตอบคาถามขอ้ 7-8 จากการทดลองหาความสมั พนั ธร์ ะหว่างนา้ ตาลในนา้ ผลไม้กบั ปริมาณแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) ที่เกิดจากกระบวนการหมัก ของยีสต์ ผู้ทดลองตั้งสมมติฐานว่า “ถ้าปริมาณน้าตาลในน้าผลไม้มีผลต่อปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ท่ีเกิดจากกระบวนการ หมกั ของยสี ต์ ดังน้ันน้าผลไมท้ ี่มปี รมิ าณน้าตาลมากจะเกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มากกวา่ นา้ ผลไมท้ มี่ ีปริมาณนา้ ตาลน้อย” 7. ตัวแปรตน้ และตวั แปรตามท่ใี ชใ้ นการทดลองนีค้ ือ ข้อ ตวั แปรตน้ ตัวแปรตาม ก ปรมิ าณยสี ต์ ปรมิ าณนา้ ตาลในนา้ สบั ปะรด ข ปรมิ าณนา้ ตาลในนา้ สบั ปะรด ปรมิ าณแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) ท่เี กดิ ขึ้น ค ปริมาณน้าตาลในนา้ สบั ปะรด ปรมิ าณยสี ต์ ง ปรมิ าณยีสต์ ปริมาณแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่เกิดขึน้

8. ข้อใดเปน็ ตวั แปรควบคุมทใ่ี ชใ้ นการทดลองนี้ ก. ชนิดของน้าผลไม้ ปริมาณยสี ต์ อณุ หภูมิ ข. ปรมิ าณยสี ต์ ปริมาณน้าตาลในนา้ สับปะรด อุณหภูมิ ค. อณุ หภมู ิ ปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ท่เี กดิ ขึ้น ชนิดของน้าผลไม้ ง. แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) ท่เี กดิ ขนึ้ ความเขม้ แสง ปริมาณนา้ ตาลในน้าผลไม้

9. จากผลการทดลองในตาราง ข้อใดสรุปผลได้ ถกู ตอ้ งทสี่ ุด pH การทางานของเอนไซม์ ABCD นอ้ ยกวา่ 7  เทา่ กบั 7  มากกวา่ 7  1. เอนไซม์ A และ B ทางานได้ดีในภาวะเปน็ กรด 2. เอนไซม์ C และ D ทางานได้ดีในภาวะเปน็ กลาง 3. การทางานของเอนไซม์ทุกชนดิ ขน้ึ อยู่กับความเป็นกรด-เบส ก. 1 และ 2 ข. 2 และ 3 ค. 1 และ 3 ง. ถูกตอ้ งทกุ ขอ้

10. กระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ ั้นตอนใด ที่จะนาไปส่กู ารสรปุ ผล และการศึกษาตอ่ ไป ก. การหาความสมั พันธ์ของข้อเทจ็ จริง ข. การรวบรวมข้อมูล ค. การสงั เกต ง. การตัง้ สมมตฐิ านและการออกแบบการทดลอง

11. ขอ้ ใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอะตอม ก. ประกอบด้วยอนภุ าคทส่ี าคัญ คอื โปรตอน นวิ ตรอน อเิ ล็กตรอน ข. เมอ่ื อะตอมรวมตวั กนั เกิดเปน็ ธาตุและสารประกอบ ค. แรงยึดเหน่ียวที่เกิดจากการรวมตัวของอะตอมมีเฉพาะแรงยึดเหน่ยี วระหวา่ งโมเลกลุ ง. อะตอมเป็นหน่วยทเี่ ล็กทสี่ ามารถแสดงสมบัตขิ องสารได้

12. ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้อง ก. สารประกอบ ประกอบด้วยอะตอมชนดิ เดยี วกันรวมตัวกัน ข. ธาตุ ประกอบดว้ ยอะตอมของธาตุต่างชนดิ กันรวมตัวกัน ค. ธาตุ ได้แก่ นา้ ทง้ั ในสถานะของแขง็ ของเหลวและแกส๊ ง. คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี ลพิ ิด เปน็ สารประกอบ

13. ข้อใดเป็นคุณสมบตั ขิ องน้า ก. เปน็ ของเหลวที่อณุ หภูมิห้อง ข. เปน็ โมเลกุลท่ีไม่มขี ัว้ ค. เปน็ ตวั ทาละลายท่ดี ี ละลายสารท่ีไม่มีขั้วได้ ง. ยดึ เหน่ยี วภายในโมเลกลุ ด้วยพันธะไฮโดรเจน

14. เพราะเหตุใดเกลอื แกงสามารถละลายไดใ้ นนา้ ตา่ งจากนา้ มันพชื ท่ไี ม่สามารถละลายใน นา้ ได้ ก. น้ามนั พืชเป็นสารท่มี ีสมบัติไฮโดรฟิลกิ (Hydrophilic) จึงไมส่ ามารถละลายได้ในนา้ ข. เกลอื แกงเป็นสารท่มี สี มบตั ไิ ฮโดรฟลิ ิก (Hydrophilic) จึงสามารถละลายในนา้ ได้ ค. น้ามันพชื และเกลือแกงเปน็ สารทม่ี ีสมบัตไิ ฮโดรโฟบกิ (Hydrophobic) เช่นเดียวกนั แต่นา้ ทใี่ ชอ้ าจมอี ณุ หภมู แิ ตกต่างกันทาใหล้ ะลายไดเ้ ฉพาะเกลือแกง ง. สารท่ีมคี วามเปน็ ขว้ั แตกตา่ งกนั เท่านั้นจึงจะลายเขา้ กันได้

15. ข้อใดไม่ถูกต้องเกยี่ วกับโมเลกลุ ของน้า ก. ประกอบด้วยธาตไุ ฮโดรเจนและออกซเิ จน ข. ระหว่างโมเลกุลของน้ายดึ กันดว้ ยพนั ธะดีไฮเดรชนั่ ค. ภายในโมเลกลุ ของนา้ ยดึ กันภายดว้ ยพันธะโคเวเลนซ์ ง. พันธะไฮโดรเจนเป็นพันธะทย่ี ดึ กนั ระหวา่ งโมเลกุลของนา้

16. ขอ้ ใดไม่ใชห่ มฟู่ งั กช์ ันที่พบในน้าตาล ก. คารบ์ อนิลกล่มุ คีโตน (Ketone) ข. ไฮดรอกซลิ (Hydroxyl) ค. อะมโิ น (Amino) ง. คารบ์ อนลิ กลมุ่ อลั ดไี ฮด์ (Aldehyde)

17. หมฟู่ ังกช์ ันฟอสเฟตพบได้ในสารอินทรีย์ชนดิ ใด ก. ฟอสโฟลพิ ิด , นวิ คลโี อไทด์ ข. น้าตาล , นวิ คลโี อไทด์ ค. กรดไขมนั , กรดอะมโิ น ง. กรดไขมนั , นา้ ตาล

18. จากภาพคอื หมู่ฟงั ก์ชนั ใด ก. ซัลฟไ์ ฮดรลิ (Sulfhydryl) ข. คารบ์ อกซลิ (Carboxyl) ค. อัลดีไฮด์ (Aldehyde) ง. ไฮดรอกซลิ (Hydroxyl)

19. สารใดบ้างที่เม่ือย่อยเป็นโมเลกุลเด่ียวแล้ว สามารถทาปฏิกิริยากับสารละลายเบเน ดกิ ตไ์ ด้ A. ฟรักโทส (Fructose) B. มอลโทส (Maltose) C. ซูโครส (Sucrose) D. ไกลโคเจน (Glycogen) ก. A และ B ข. B และ C ค. A และ D ง. B, C และ D

20. การทดสอบชนิดของน้าตาลด้วยสารละลายเบเนดิกต์ท่ีต้มในน้าเดือด หากสารที่สด สอบเปน็ ซโู ครสจะได้ผลเปน็ อยา่ งไร ก. ตะกอนสสี ม้ แดง ข. สารละลายสมี ่วงอมน้าเงิน ค. สารละลายสีเขยี วอมฟ้า ง. ตะกอนสีสเี ขียวอมฟ้า

21. ข้อใดตอ่ ไปนี้ถูกตอ้ งเก่ียวกบั คารโ์ บไฮเดรต ก. กลูโคสและแลกโทสเป็นมอโนแซกคาไรด์ ข. ไกลโคเจนประกอบด้วยกลโู คสจานวนมาก ค. พันธะเปปไทดเ์ ปน็ พนั ธะทพ่ี บในโอลิโกแซกคาไรด์ ง. อะไมโลเพกตินประกอบด้วยฟรักโทสตอ่ กันเป็นสายยาว

22. ข้อใดเป็นลกั ษณะร่วมกันของเซลลโู ลส (Cellulose) และอะไมโลเพคตนิ (Amylopectin) ก. ชนดิ ของนา้ ตาลโมเลกุลเดย่ี วทเี่ ป็นองคป์ ระกอบ ข. ย่อยได้ดว้ ยเอนไซม์ในนา้ ลาย ค. มีการแตกแขนงของสารนา้ ตาล ง. รปู แบบของพันธะไกลโคซดิ ิกทเ่ี ชอื่ มตอ่ ระหว่างโมเลกุล

23. จากโครงสร้างของกรดอะมิโน ตาแหนง่ ใดที่ทาให้กรดอะมโิ นแต่ละชนดิ มคี วามแตกต่างกัน 1 2 3 ข. 2 ง. 3 ก. 1 ค. 1 และ 2

24. กรดอะมิโนชนดิ ใดท่รี ่างกายของคนไดร้ บั จากการรบั ประทานอาหารโปรตีนเทา่ น้นั A. ไกลซนี B. ไทโรซนี C. ไลซีน D. ทรปิ โตเฟน ก. A และ B ข. C และ D ค. B และ C ง. A และ D

25. กรดอะมโิ นชนิดใดทจ่ี าเปน็ สาหรับการเจรญิ เติบโตและพฒั นาการในวยั เดก็ ก. อาร์จินนี และฮสี ทดี นี ข. อาร์จนิ นี และทรโี อนนี ค. โพรลนี และซีสเทอนี ง. ฮสี ทีดนี และแอสพาราจีน

26. ขอ้ ใดถูกต้องเกย่ี วกบั การทดสอบไบยูเร็ต ก. สารท่มี ีกรดอะมโิ นเป็นองคป์ ระกอบเมอ่ื ทดสอบไบยเู รต็ แล้วจะเปลี่ยนเป็นสารละลายสีมว่ ง ข. ทาปฏิกริ ยิ ากบั น้าแตงโมและนมจดื ค. เป็นปฏกิ ิรยิ าที่ CuSO4 เจือจางในเบสทาปฏกิ ิรยิ ากับกรดไขมัน ง. เปน็ ปฏิกริ ยิ าท่ี CuSO4 เจอื จางในกรดทาปฏิกริ ิยากบั องคป์ ระกอบของโปรตีน

27. เมื่อนาน้ามันขา้ วโพดและนา้ มันหมใู ส่ตเู้ ย็นทอี่ ณุ หภมู ิ 15 องศาเซลเซยี ส นาน 3 ชว่ั โมง นา้ มนั หมจู ะแข็งตวั แตน่ ้ามันขา้ วโพดไมเ่ ปล่ียนแปลง เปน็ เพราะนา้ มนั ข้าวโพดมีคุณสมบตั ขิ ้อใด ก. มสี ายของกรดไขมันยาวกว่า ข. มสี ัดส่วนของไฮโดรเจนตอ่ คารบ์ อนนอ้ ยกว่า ค. ประกอบด้วยกรดไขมันทมี่ พี นั ธะคนู่ ้อยกว่า ง. มคี ลอเรสเตอรอลเป็นองคป์ ระกอบมากกว่า

28. น้ามนั ท่สี กัดจากสง่ิ มชี วี ติ ในข้อใด ประกอบดว้ ยไขมนั ชนิดไมอ่ ่มิ ตัวในปริมาณสงู ก. หมู ข. ปาลม์ ค. มะพรา้ ว ง. ทานตะวัน

29. ฮอรโ์ มนเพศของสตั วม์ กี ระดูกสนั หลงั เปน็ สารประเภทเดยี วกบั สารประเภทใด ก. คอเรสเตอรอล ข. ฟอสโฟลพิ ดิ ค. ไขปลาวาฬ ง. ไตรกลซี อไรด์

30. คอเรสเตอรอล ไกลโคเจนและไคทิน จัดเป็นสารอินทรยี ป์ ระเภทดตามลาดับ ก. คาร์โบไฮเดรต ลพิ ดิ โปรตนี ข. คาร์โบไฮเดรต โปรตนี ลพิ ิด ค. ลิพิด คาร์โบไฮเดรต คารโ์ บไฮเดรต ง. ลิพดิ คารโ์ บไฮเดรต ลิพิด

31. ขอ้ ใดเขยี นเบสในนวิ คลโี อไทด์ A - B ตามลาดับได้ถูกต้อง ก. กวานีน - ไทมนี ข. ยูราซลิ - อะดินนี ค. อะดินนี – ไซโทซีน ง. อะดินนี - ไทมีน

32. จากภาพขอ้ ใดเขยี น A, B และ C ตามลาดับไดถ้ ูกตอ้ ง ก. น้าตาลเพนโทส , หมู่ฟอสเฟต , ไนโตรจีนสั เบส ข. หมู่ฟอสเฟต , ไนโตรจนี สั เบส , นา้ ตาลเฮกโซส ค. ไนโตรจนี ัสเบส , หมู่ฟอสเฟต , นา้ ตาลเพนโทส ง. นา้ ตาลเฮกโซส , ไนโตรจีนัสเบส , หมูฟ่ อสเฟต

33. ขอ้ ใดกล่าวถูกตอ้ งเก่ยี วกับ DNA ก. บดิ เปน็ เกลยี วคลา้ ยบนั ไดเวียนซา้ ย ข. มีเบสอะดนิ นี เบสไทมีน เบสไซโทซีนและเบสกวานีนเปน็ องค์ประกอบ ค. มีน้าตาลน้าตาลไรโบสเป็นองค์ประกอบ ง. เกลยี วคทู่ ีว่ น 1 รอบประกอบดว้ ยเบสจานวน 8 คเู่ บส

34. โมเลกุลของกรดนิวคลิอิกประกอบดว้ ยหน่วยย่อยใด ก. Nucleic acid ข. Aminoclenic ค. Lipidotide ง. Nucleotide

35. ขอ้ ใดกลา่ วผดิ เก่ียวกบั DNA และ RNA ก. DNA และ RNA มีนา้ ตาลทีเ่ ปน็ องค์ประกอบตา่ งกนั ข. เบสทพ่ี บใน DNA และ RNA เหมอื นกันทกุ ชนิด คอื A, T, C และ G ค. RNA มขี นาดโมเลกุลเลก็ กวา่ DNA ง. DNA ประกอบด้วยพอลนิ ิวคลโี อไทด์ 2 สาย บิดเปน็ เกลียวคลา้ ยบันไดเวียนส่วน RNA เปน็ พอลนิ ิวคลอี ิกเพียงสายเดยี ว

จงนาตวั เลอื กต่อไปนี้ตอบข้อ 36 - 39 ก. พันธะเพปไทด์ (Peptide bond) ข. พนั ธะไกลโคซิดกิ (Glycosidic bond) ค. พนั ธะเอสเทอร์ (Ester bond) ง. พันธะไฮโดรเจน (Hydrogen bond) 36. เช่ือมตอ่ ระหว่างกลเี ซอรอลและกรดไขมัน 37. เชอ่ื มตอ่ โมเลกุลกรดอะมิโนแตล่ ะชนดิ 38. พันธะทยี่ ดึ ระหว่างโมเลกลุ ของนา้ 39. เชอ่ื มต่อโมเลกลุ มอโนแซ็กคาไรด์

จงนาตัวเลอื กต่อไปนีต้ อบขอ้ 40 – 43 ข. กรดไขมนั จาเป็น ก. กรดไขมนั ไมจ่ าเป็น ง. กรดอะมโิ นจาเป็น ค. นา้ ตาลโมเลกุลเด่ียว 40. กรดไลโนเลนิก กรดอะแรคไคโดนิก 41. เมไทโอนนี ลิวซนี ทริปโตเฟน 42. กรดบิวไทริก กรดปาล์มมิตกิ 43. ฟรกั โทส กลูโคส กาแลก็ โทส

จงนาตัวเลือกต่อไปนต้ี อบข้อ 44 – 45 ก. นิวคลไี อไทด์ (Nucleotide) ข. กรดไขมัน (Fatty acid) ค. ลพิ ิดเชิงเดย่ี ว (Simple lipid) ง. กรดอะมโิ น (Amino acid) 44. หนว่ ยย่อยของโปรตีน 45. ขี้หู (Ear wax) และควิ ตนิ (Cutin)

46. ในการศึกษาหยดน้าจากบ่อแห่งหนึ่งด้วยกล้องจุลทรรศน์พบก้อนวัตถุทรงกลมรีหลาย ขนาดมีเยอื่ บางปกคลมุ เมอ่ื หยดน้าเกลอื และกรดแอซีติกลงขา้ งหยดน้า พบว่าวตั ถุเคลือ่ น หนีนา้ เกลอื แตเ่ คลือ่ นเข้าหากรดแอซีติก ข้อใดเป็นหลักฐานวา่ วัตถุนั้นเป็นสิ่งมชี วี ิต ก. การสบื พันธุ์ และการเจริญเตบิ โต ข. การเปล่ยี นแปลงทางเคมีในร่างกาย ค. การตอบสนองต่อสงิ่ เร้า ง. การควบคมุ สมดลุ ของสารในร่างกาย

47. การกระทาในขอ้ ใดทีข่ ัดต่อหลกั ชีวจรยิ ธรรม ก. การตดั ต่อยนี เพอ่ื สรา้ งพชื ดัดแปรพนั ธกุ รรม ข. การใช้สารสงั เคราะหท์ ี่มีสมบตั ิเหมือนฮอรโ์ มนพืช เพ่อื พฒั นารังไขเ่ ป็นผลโดยไมม่ กี าร ปฏิสนธิ ค. การใช้ฟอร์มาลนี ยดื อายุของพืชผัก ง. การนาเทคโนโลยที าง DNA มาใชใ้ นการวินิจฉัยโรค

48. “ลกู อ๊อดของกบมีลักษณะทแี่ ตกตา่ งไปจาก พอ่ แม่”เป็นลักษณะสาคญั ของสิ่งมชี วี ติ ตามข้อใด ก. มกี ระบวนการเมแทบอลิซมึ ข. มกี ารสบื พันธ์ุและการเจรญิ เตบิ โต ค. มกี ารตอบสนองตอ่ สิ่งเรา้ ง. มกี ารควบคุมสมดลุ ของรา่ งกาย

49. “ไซเลม็ และโฟลเอ็มเป็นเน้ือเยื่อท่ที าหน้าทล่ี าเลียงสารในพืชดอก” เปน็ ลักษณะ สาคญั ของสิ่งมชี วี ติ ตามขอ้ ใด ก. มีกระบวนการเมแทบอลซิ มึ ข. มกี ารสบื พนั ธุ์และการเจรญิ เติบโต ค. มีการจัดระบบภายในสงิ่ มชี วี ิต ง. มกี ารควบคมุ สมดลุ ของร่างกาย

50. “เสอื วิ่งไลม่ า้ ลายในทงุ่ หญ้า” เป็นลักษณะสาคญั ของสง่ิ มีชีวติ ตามข้อใด ก. มีกระบวนการเมแทบอลซิ ึม ข. มีการสืบพันธุ์และการเจรญิ เตบิ โต ค. มกี ารจัดระบบภายในสิง่ มีชีวติ ง. มกี ารควบคมุ สมดุลของร่างกาย

51. ถ้าสนใจศึกษาชนดิ และลกั ษณะของแมลงควรศกึ ษาขอ้ มูลจากสาขาใด ก. กฏี วิทยา ข. ปรสติ วทิ ยา ค. วิทยาเซลล์ ง. พนั ธุศาสตร์

52. ขอ้ ใดเปน็ สาขาของชีววิทยาทศี่ ึกษาเกยี่ วกับโครงสร้างภายนอกของตน้ ทานตะวนั ก. สัณฐานวิทยา ข. กายวภิ าคศาสตร์ ค. สรรี ะวทิ ยา ง. คัพภะวิทยา

53.ปัจจุบันสามารถผลติ ฮอรโ์ มนอินซูลินได้จากส่ิงใด เพื่อรักษาโรคเบาหวาน ก. เชื้อราและไวรัส ข. ยสี ต์และแบคทีเรีย ค. ยีสต์และจลุ ินทรีย์ ง. จุลินทรยี ์และแบคทีเรยี

จงใชข้ ้อมลู จากโครงสร้างของสารตอ่ ไปน้ตี อบคาถามข้อ 54 - 58

54. จดั เปน็ สารประกอบคาร์บอนชนดิ ใด ก. ไตรกลเี ซอไรด์ ข. มอนอกลเี ซอไรด์ ค. ไดแซ็กคาไรด์ ง. มอนอแซก็ คาไรด์

55. องค์ประกอบ A. คือโมเลกลุ ของสารใด ก. คอื กลีเซอรอล ข. คอื กรดไขมันอิม่ ตวั ค. คือ กรดไขมันอิ่มตวั ง. คอื กรดไขมันไมอ่ ิม่ ตัว


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook