Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการเขียนและประเมินบทความวิชาการ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก

คู่มือการเขียนและประเมินบทความวิชาการ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก

Description: คู่มือการเขียนและประเมินบทความวิชาการ รวบรวม โดย
ดร.ประทีป ผลจันทร์งาม
ผอ.อาชีวศึกษาบัณฑิต
สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก

Search

Read the Text Version

คูม่ อื การเขียนและประเมินบทความวิชาการ สาหรับ นกั ศกึ ษาปริญญาตรี ผ้สู อนปริญญาตรี รวบรวมโดย ดร.ประทีป ผลจนั ทร์งาม ผ้อู านวยการอาชวี ศึกษาบัณฑติ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก อาชีวศึกษาบณั ฑิต สถาบนั การอาชีวศึกษาภาคตะวันออก สานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษาภาคตะวนั ออก พ.ศ.2564

คานา บทความทางวิชาการ จัดเป็นงานเขียนทางวิชาการที่มีการกาหนดประเด็นที่ต้องการอธิบายหรือ วเิ คราะห์อย่างชัดเจนตามหลกั วชิ าการ จนสามารถสรุปผลการวิเคราะห์ในประเด็นนั้นได้ โดยการนาความรู้ จาก แหล่งต่างๆ มาประมวลร้อยเรียงเพ่ือวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ โดยอาจทาเป็นบทความวิจัย (Research Article) ที่เป็นบทความทางวิชาการท่ีต่อเน่ืองจากงานวิจัย หรือสกัดมาจากงานวิจัย ซึ่งบทความประเภทนี้ เป็นบทความที่ประมวลสรุปกระบวนการวิจัยให้มีความกระชับและสั้นเพ่ือสาหรับตีพิมพ์เ ผยแพร่ใน วารสารวิชาการ หรือส่ือส่ิงพิมพ์ และในที่ประชุมสัมมนา โดยการพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัยจะต้องผ่าน การกล่ันกรองและตรวจสอบเน้ือหาสาระความถูกต้องจากผู้ทรงคุณวุฒิในวิชาการนั้น ๆ นอกจากนี้แล้ว จะต้องมีรูปแบบการจัดพิมพ์ ให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานของวารสาร หรือตามที่คณะกรรมการประเมินอีก ด้วย บทความวิจัยจึงจัดได้ว่าเป็นเอกสารทางวิชาการอีกประเภทหนึ่ง มีความสาคัญเป็นอย่างมากตอ ผจู้ ัดทาผลงาน ต่อวงการวิชาการ/วิชาชีพ และตอสังคม เพราะบทความทางวิชาการจะเปนภาพสะทอนของ ความต่ืนตัวทางวิชาการ ในการติดตามเสาะแสวงหาความรูและวิทยาการใหม่ๆให้แก่แวดวงการศึกษา บทความทางวิชาการ จัดเป็นกิจกรรม ที่กอให้เกิดการกระจายความรูและการพัฒนาองค์ความรู้ อีกท้ังเป็น จุดเร่ิมตนทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนในการพัฒนา สงั คมและประเทศชาติในดา้ นต่างๆ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก ได้เล็งเห็นถึงความสาคัญของการพัฒนาบทความทาง วิชาการ จึงได้จัดทา คู่มือการเขียนและประเมินบทความวิชาการ เพ่ือหวังให้ครู คณาจารย์ของสถาบันการ อาชีวศึกษาภาคตะวันออก หรือผู้สนใจในการเขียนบทความวิชาการ ที่ต้องการจะพัฒนางานวิจัย / โครงการส่ิงประดิษฐ์ ให้เป็นบทความทางวิชาการเพื่อสาหรับตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการหรือในการ ประชมุ สัมมนาด้านวชิ าการ ได้ใชเ้ ปน็ แนวทางการในการจัดทาบทความวชิ าการต่อไป อาชีวศึกษาบณั ฑิต สถาบนั การอาชีวศึกษาภาคตะวนั ออก พฤษภาคม 2564

สารบัญ หน้า เร่อื ง 1 1 คมู่ อื การเขยี นและประเมนิ บทความวชิ าการ 1 1. บทความวิจยั (Research Article) 2 2. จุดมงุ่ หมายของการเขยี นบทความวิจัย 2 3. แนวปฏบิ ัตใิ นการเขียนบทความเพ่ือการนาเสนอผลการวิจัย 4. ส่วนประกอบที่สาคญั ของบทความวจิ ัยประเภทการวจิ ัยทางบรรยายและ 3 การวิจยั พัฒนาการเรยี นการสอน 7 5. รายละเอียดของการเขยี นบทความวิจัยทางการศกึ ษาประเภทการวจิ ยั ทาง 7 บรรยายและการวจิ ัยพฒั นาการเรียนการสอน 6. ส่วนประกอบท่ีสาคัญของบทความวิจัยทางการศึกษาประเภทการวิจัย 9 17 สิ่งประดษิ ฐแ์ ละการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 22 7. รายละเอยี ดของการเขยี นบทความวิจัยทางการศกึ ษาประเภทการวิจัย 22 สงิ่ ประดิษฐแ์ ละการพฒั นาผลติ ภัณฑ์ 24 8. การเขยี นอ้างอิงแบบ American Psychological Association (APA) 9. รูปแบบการเขยี นบทความวิจัย 29 10. การจดั ส่งบทความ 11. ขอ้ มลู เกีย่ วกับการพจิ ารณาบทความวจิ ยั 35 ภาคผนวก ก ตวั อย่างแบบประเมนิ บทความ การประชุมวชิ าการเทคโนโลยีและ นวัตกรรมอาชีวศึกษาระดบั ชาติ คร้ังท่ี 3 สถาบันอาชีวศึกษาภาคตะวันออก ข ตัวอยา่ งแบบประเมินคุณภาพบทความ เพอ่ื พจิ ารณาผลงานวิชาการ เทคโนโลยแี ละนวัตกรรมอาชีวศึกษาระดบั ชาติ ครัง้ ที่ 3 สถาบนั การ อาชีวศกึ ษาภาคตะวันออก ค ตวั อยา่ งบทความวจิ ยั -----======๑๑๑๑๑๑======-------

สารบัญ หนา้ เร่อื ง 1 1 คมู่ ือการเขียนและประเมนิ บทความวิชาการ 1 1. บทความวจิ ยั (Research Article) 2 2. จดุ มุ่งหมายของการเขยี นบทความวิจยั 2 3. แนวปฏิบตั ิในการเขียนบทความเพื่อการนาเสนอผลการวจิ ัย 4. ส่วนประกอบท่สี าคญั ของบทความวจิ ยั ประเภทการวิจยั ทางบรรยายและ 3 การวิจยั พฒั นาการเรยี นการสอน 7 5. รายละเอียดของการเขียนบทความวจิ ัยทางการศึกษาประเภทการวิจยั ทาง 7 บรรยายและการวิจัยพฒั นาการเรียนการสอน 6. ส่วนประกอบทีส่ าคญั ของบทความวจิ ัยทางการศกึ ษาประเภทการวจิ ัย 9 17 ส่ิงประดิษฐแ์ ละการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 22 7. รายละเอยี ดของการเขยี นบทความวจิ ยั ทางการศกึ ษาประเภทการวิจยั 22 สิ่งประดษิ ฐ์และการพฒั นาผลิตภัณฑ์ 24 8. การเขยี นอ้างองิ แบบ American Psychological Association (APA) 9. รปู แบบการเขียนบทความวิจัย 29 10. การจดั สง่ บทความ 11. ข้อมูลเกีย่ วกบั การพจิ ารณาบทความวิจัย 35 ภาคผนวก ก ตัวอย่างแบบประเมินบทความ การประชุมวชิ าการเทคโนโลยีและ นวัตกรรมอาชวี ศกึ ษาระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 3 สถาบันอาชวี ศกึ ษาภาคตะวนั ออก ข ตัวอยา่ งแบบประเมนิ คณุ ภาพบทความ เพอ่ื พจิ ารณาผลงานวิชาการ เทคโนโลยแี ละนวัตกรรมอาชวี ศกึ ษาระดบั ชาติ ครัง้ ที่ 3 สถาบนั การ อาชวี ศึกษาภาคตะวันออก ค ตวั อยา่ งบทความวจิ ัย -----======๑๑๑๑๑๑======-------

คมู่ อื การเขียนและประเมนิ บทความวิชาการ สถาบันการอาชวี ศกึ ษาภาคตะวันออก การเสนอผลการวิจัย เป็นการตระหนักถึงความสาคัญของบทบาทในการส่งเสริม สนับสนุนการ วิจัย ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยเพ่ือสร้างองค์ความรู้และการประดิษฐ์คิดค้น ท้ังในด้านสังคมศาสตร์และ วิทยาศาสตร์ ท้ังภายในและภายนอกสถาบัน ซึ่งจะนาไปสู่การศึกษา ค้นคว้า วิจัย และพัฒนานวัตกรรม ใหม่ๆ การเผยแพร่ผลงานวิจัยสู่สาธารณะมีจุดมุ่งหมาย เพ่ือเป็นเวทีทางวิชาการในการแลกเปลี่ยน ความรู้ ความคิดเห็น ประสบการณ์ จากอาจารย์ นักวิจัย นิสิต นักศึกษา นักประดิษฐ์ ทั้งภายในและ ภายนอกทั้งในระดบั หนว่ ยงาน ระดบั ชาติ และนานาชาติ คุณค่าท่ีสาคัญอีกประการหนึ่งของการเผยแพร่ผลการวิจัยคือเพ่ิมความชานาญในการอ่าน เขียน งานวิจยั การสอ่ื สารดว้ ยการเขยี น และการบรรยาย/อภิปราย ยง่ิ กวา่ น้ันในการเผยแพร่ผลงานการวิจัยอาจ มีคาถามในบรรยากาศวิชาการจากผู้ที่สนใจ จึงถือเป็นการฝึกหัด และเสริมประสบการณ์ในการส่ือสาร/ ติดต่อ/ตอบคาถามทางวิชาการเพื่อพัฒนาผู้วิจัยให้เป็นนักวิชาการท่ีมีคุณภาพในอนาคต สาหรับเอกสาร ฉบับน้จี ะขอนาเสนอการเผยแพรผ่ ลการวิจัยในลักษณะบทความวจิ ยั โดยมรี ายละเอยี ดดังนี้ 1. บทความวจิ ยั (Research Article) บทความวจิ ยั (Research Article) หมายถึง บทความที่เขียนขึน้ จากงานวิจัยของตนเอง สาระของ การเขียนบทความวิจัยสะท้อนให้เห็นถึงขั้นตอนการดาเนินการวิจัย โดยมีการกล่าวถึง การกาหนดปัญหา และวัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีดาเนินการวิจัย ซ่ึงประกอบด้วย แหล่งข้อมูล เครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บ รวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมขอ้ มูล การวิเคราะหข์ ้อมลู การสรุปผล การอภิปรายผล ขอ้ เสนอแนะและ การอา้ งองิ อย่างเป็นระบบอันนาไปสู่ความกา้ วหน้าทางวิชาการ 2. จุดม่งุ หมายของการเขียนบทความวิจยั การเขียนบทความวิจัยมีจุดมุง่ หมายที่สาคญั ดงั นี้ 2.1 เพ่อื แสดงคณุ คา่ หรอื ประโยชนข์ องงานวจิ ัยท่ีทา และเปน็ หลกั ฐานทแ่ี สดงถึงศกั ยภาพในการ ทางานวจิ ยั ของผู้วจิ ยั 2.2 เพ่ือเชอ่ื มโยงความร้คู วามจรงิ หรือผลงานวจิ ยั ในอดีตกบั ผลการวิจยั ทีด่ าเนินการในปจั จบุ ัน พร้อมทง้ั ยงั ช่วยให้ผู้ทีส่ นใจศึกษานาขอ้ เสนอแนะเชิงวชิ าการไปใชใ้ นการกาหนดแนวทางการวจิ ัยในอนาคต หรอื เชอ่ื มโยงไปสกู่ ารสร้างความรคู้ วามจรงิ ใหม่ๆ

2 2.3 เพ่ือเป็นแหล่งขอ้ มลู สารสนเทศทสี่ าคัญต่อองค์กร สถาบัน หน่วยงาน ชุมชน และสังคมใน การบริหารจดั การ หรอื กาหนดนโยบายท่ีตอบสนองต่อความตอ้ งการของชุมชนอยา่ งท่วั ถึง ตลอดจนเปน็ ขอ้ มูลสารสนเทศในการทาวิจัยในอนาคต 3. แนวปฏบิ ตั ิในการเขยี นบทความเพื่อการนาเสนอผลการวิจยั 3.1 ความชัดเจนของปัญหาการวิจัย แสดงความชัดเจนของปัญหา และความจาเป็นท่ีจะต้อง ทาการศึกษาวิจัยในปัญหาดังกลา่ ว ตลอดจนความน่าสนใจของปญั หาที่ศกึ ษา 3.2 แบบแผนของการวจิ ยั ต้องตอบสนองปัญหาซ่งึ ตัง้ ไว้สาหรับการวิจัย หากเป็นงานวิจัยที่มีการ ต้งั สมมตุ ฐิ าน การต้ังสมมุติฐานต้องเปน็ ไปอยา่ งถกู ต้อง เช่น มีรากฐานทางวิชาการจากการประมวลความรู้ ในเอกสาร ตารา และผลงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวข้อง มีนยิ ามของตวั แปรอย่างชัดเจน สอดคลอ้ งกบั ปญั หาการวิจยั 3.3. กลมุ่ ตวั อย่างและวิธีสุ่มตัวอย่าง ถกู ต้องตามหลกั วิชาการและเหมาะสมกับปัญหาการวจิ ยั 3.4 วิธดี าเนินการวิจยั มขี ้ันตอนและวธิ กี ารเหมาะสมตอ่ เร่อื งที่ทาวิจัย 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล มีความถูกต้องและเหมาะสม ใช้วิธีการทางสถิติ (ถ้ามี) อย่างเหมาะสม ถูกต้อง สามารถทดสอบสมมุติฐานท่ีตั้งไว้ได้ พร้อมทั้งรายงานผลการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลและการ สรปุ ผล 3.6 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ประมวลและตีความตลอดจนอภิปรายผลของการวิจัย และแสดงความเชื่อมโยงผลของการวิจยั นีเ้ ข้ากับมวลความรูเ้ ดมิ ท่ีศึกษามา 3.7 การอ้างอิงแหล่งท่ีมาของข้อมูล มีรูปแบบของการอ้างอิงแหล่งวิชาการท่ีถูกต้อง ตามหลัก สากลนยิ ม และมคี วามสม่าเสมอในการใชร้ ูปแบบนัน้ 4. ส่วนประกอบท่ีสาคัญของบทความวิจัยประเภทการวิจัยทางบรรยายและการวิจัย พัฒนาการเรียนการสอน ประกอบด้วย เน้ือหาสาระของบทความวิจัยทางการศึกษาประเภทการวิจัยทางบรรยายและ การวจิ ยั พัฒนาการเรยี นการสอน แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คอื สว่ นนา ส่วนเนื้อหา ส่วนทา้ ย ซง่ึ ในแตล่ ะส่วน ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบตอ่ ไปนี้ ส่วนนา ประกอบด้วย 1) ช่ือบทความวิจยั 2) ชอื่ ผเู้ ขียนบทความวจิ ยั 3) บทคดั ยอ่ ภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษ 4) คาสาคัญ ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วย 1) บทนา 2) วัตถุประสงค์ของการวิจัย 3) สมมติฐานการวิจัย 4) กรอบแนวคดิ ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย 5) วิธดี าเนินการวิจัย ประกอบด้วย แหล่งข้อมูล เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย การเก็บรวบข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล 6) ผลการวิจัย 7) การอภิปรายผลหรือสรุปและอภิปราย ผลการวจิ ัย 8) ขอ้ เสนอแนะจากการวิจยั สว่ นท้าย ประกอบดว้ ย 1) กิตติกรรมประกาศ(ถ้าม)ี 2) บรรณานุกรมหรือเอกสารอ้างอิง

3 5. รายละเอยี ดของการเขยี นบทความวจิ ัยทางการศกึ ษาประเภทการวิจัยทางบรรยายและ การวิจยั พฒั นาการเรียนการสอน 5.1 รายละเอยี ดของการเขยี นบทความวิจยั ของสว่ นนา 5.1.1 ชอื่ บทความวจิ ยั เปน็ ชอ่ื ที่มาจากงานวจิ ยั ท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ การ เขียนชื่อเรื่องบทความวิจัยท่ีดี เมื่อผู้วิจัยอ่านแล้วควรจะเห็นกลุ่มเป้าหมายท่ีต้องการพัฒนา ประเด็นท่ี ตอ้ งการพฒั นา(ตัวแปร) และนวัตกรรมท่ใี ชใ้ นการพฒั นา 5.1.2 ชือ่ ผูเ้ ขียนบทความวิจัย เป็นส่วนของข้อความที่เกี่ยวกบั ผูเ้ ขยี น ได้แก่ ช่ือผวู้ จิ ัย (ทง้ั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ) ผู้ร่วมวจิ ัย(ทงั้ ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ) ตาแหน่งและวุฒกิ ารศกึ ษา สถานทท่ี างานและอเี มล์ที่สามารถติดต่อผวู้ จิ ยั และผรู้ ว่ มวจิ ยั ตาแหนง่ และหนว่ ยงานของผ้วู จิ ัย ให้ใส่ รายละเอยี ดผวู้ ิจัยตามหมายเลข โดยใสไ่ ว้ทา้ ยหนา้ แรกของบทความ ใสต่ วั เลขให้ตรงกับชอื่ ผูว้ ิจัย 5.1.3 บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บทคัดย่อประกอบด้วยเนื้อหาที่ระบุว่า ผู้วิจัยทาอะไร ทาอย่างไร ได้ผลอย่างไร เป็นเน้ือหาสาระที่นาเสนอวัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีการวิจัย (ประกอบด้วย แหล่งข้อมูล เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล) และ ผลการวิจัยโดยสรุปเป็นข้อความสั้น กะทัดรัด ไม่เยิ่นเย้อ บทคัดย่อควรมีความยาวระหว่าง 200-300 คา เขยี นท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 5.1.4 คาสาคัญ เปน็ คาสาหรับการนาไปใชเ้ ปน็ คาค้นคว้าเกี่ยวกบั งานวจิ ยั หัวข้อนใี้ น ระบบฐานข้อมูลต่างๆ เป็นคาที่ส่ือความหมายในประเด็นที่วิจัย ต้องมีทั้งคาสาคัญภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษ จานวนคาไม่เกิน 3 – 5 คา โดยใส่คาสาคัญภาษาไทยไว้ท้ายบทคัดย่อภาษาไทย คาสาคัญ ภาษาอังกฤษไว้ท้ายบทคัดย่อภาษาอังกฤษ 5.2 รายละเอยี ดของการเขียนบทความวิจัยของส่วนเนอ้ื หา 5.2.1 บทนา การเขยี นความเป็นมา มีประเดน็ สาคัญที่ต้องเขยี น ดงั น้ีบอกความสาคัญ ของส่ิงที่ต้องการพัฒนาหรือแก้ปัญหา(ควรมีการอ้างอิง) บอกสภาพการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาท่ี รบั ผดิ ชอบ ระบุถึงสภาพปญั หาของการจัดการเรียนการสอน ควรมีข้อมูลเชิงประจักษ์ ระบุถึงนวัตกรรมท่ี ใชใ้ นการพัฒนาหรอื แก้ไข ควรบอกด้วยวา่ นวตั กรรมทนี่ ามาใชม้ จี ดุ เดน่ อยา่ งไร 5.2.2 วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั การเขยี นวัตถปุ ระสงค์การวจิ ยั ทด่ี ีควรสอดคล้องกับชื่อ เรือ่ งและสอดคลอ้ งกบั ปัญหา จานวนข้อของวตั ถุประสงค์การวจิ ัยขึ้นอย่กู บั คาถามของการวิจัย(สิ่งท่ีนักวิจัย อยากรู้) ตวั อย่าง เพ่ือพัฒนาชุดการสอนวิชา..............สาหรบั นักเรียนระดับชัน้ ........ใหม้ ีคณุ ภาพ เพอ่ื เปรียบเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างเรยี นวิชา.....ของนกั เรยี นก่อนและหลงั การใช้ชดุ การสอน เพอื่ ศึกษาความคดิ เห็นของนักเรียนต่อวธิ ีการสอนโดยใช้ชุดการสอน 5.2.3 สมมตฐิ านการวจิ ัย (ถา้ มี) การเขียนสมมติฐานการวิจยั เป็นการคาดคะเนคาตอบ ของการวจิ ยั ไว้ลว่ งหนา้ ซง่ึ ตอ้ งสอดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์การวิจยั

4 สมมตฐิ านการวิจัย อาจเขียนสมมตฐิ านการวิจัยแบบมีทิศทางหรือไม่มีทิศทางกไ็ ด้ แต่ถ้าเป็น การวิจัยพฒั นานวัตกรรมควรเขยี นสมมตฐิ านการวจิ ยั แบบมีทศิ ทาง 5.2.4 กรอบแนวคดิ ทีใ่ ช้ในการวจิ ัย เปน็ การนาเสนอแนวคิดและทฤษฎีตลอดจน งานวจิ ัยอืน่ ๆทเ่ี ก่ียวขอ้ งที่เกีย่ วข้องกบั งานวิจยั ของเรา เพื่อให้เหน็ ว่าสิง่ ทีท่ ามีท่มี าอยา่ งไร มที ฤษฎี อะไรบ้าง ใครเคยศึกษาไว้แล้ว ไดผ้ ลอยา่ งไร ผู้วจิ ัยจะต้องผสมผสาน แนวคดิ ทฤษฎีและงานวจิ ัยอนื่ ๆท่ี เกี่ยวข้องทีร่ วบรวมมาไดก้ ับแนวคดิ ของผวู้ ิจัยเองมาใชใ้ นการศึกษาวจิ ยั คร้งั น้ี 5.2.5 วธิ ีดาเนินการวจิ ยั เปน็ สว่ นทน่ี าเสนอกระบวนการวิจัยประกอบดว้ ย 1) แหลง่ ข้อมูล กลุม่ ผใู้ ห้ขอ้ มูลหรอื ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง แหล่งข้อมูล เขยี นในกรณีที่ไปวเิ คราะหเ์ อกสาร กลมุ่ ผใู้ หข้ ้อมลู เขียนในกรณีไปสัมภาษณผ์ ู้เช่ยี วชาญ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ควรนิยามประชากรให้ชดั เจน สาหรบั การกาหนดกลมุ่ ตัวอยา่ ง ควรเขยี นวิธีการสุ่มตัวอย่าง มีขน้ั ตอนในการสุม่ ตัวอย่างอยา่ งไร พรอ้ มทัง้ บอกจานวนกลุ่มตวั อยา่ ง ดว้ ย ตวั อยา่ ง ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 1. ประชากรทีใ่ ช้ในการวิจยั ครงั้ นี้ คอื ครู-อาจารย์สถาบนั การอาชวี ศึกษาภาคใต้ 1 ในปี การศึกษา 2547 ซึง่ มที ้ังหมด 15 สถานศึกษา จานวน 514 คน 2. กล่มุ ตัวอย่างทใ่ี ช้ในการวิจัยครั้งน้ี คือ ครู-อาจารย์ สถาบันการอาชวี ศึกษาภาคใต้ 1 ในปกี ารศึกษา 2547 โดยใชเ้ กณฑ์ตามตาราง Krejcie & Morgan ไดข้ นาดกลมุ่ ตวั อย่าง 226 คน และเกบ็ ขอ้ มูลโดยใชว้ ิธีการสุ่มแบบแบ่งชนั้ (Stratified Random Sampling) 2) เครื่องมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ัย เครื่องมือท่ีเปน็ นวตั กรรม อธบิ ายกระบวนการสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมในการวิจัยอย่าง กระชบั และชัดเจน เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบข้อมูล ระบุเคร่ืองมือ ขนั้ ตอนการสรา้ ง การหาคุณภาพ เครอื่ งมอื การวจิ ัยตามหลักวชิ าการ ตัวอยา่ ง เครือ่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั คร้ังน้ีเปน็ แบบสอบถามครู-อาจารย์ ในสถาบนั การอาชีวศึกษา ภาคใต้ โดยแบ่งแบบสอบถามออกเป็น 2 ตอน ดงั นี้ ตอนท่ี 1 เป็นแบบสอบถามเกยี่ วกบั ข้อมูลท่วั ไปของผูต้ อบแบบสอบถาม ลักษณะของ แบบสอบถามเปน็ แบบเลือกตอบ (Check List) จานวน 4 ข้อ

5 ตอนที่ 2 เปน็ แบบสอบถามคุณลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ในการบรหิ ารโดยใชโ้ รงเรียนเป็น ฐานของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา สถาบนั การอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 จานวน 6 ดา้ น 126 ขอ้ มีคา่ ความเชอื่ มั่น เทา่ กับ 0.96 3) การเก็บรวบข้อมูล บอกวิธกี ารเกบ็ รวบรวมข้อมลู บอกวิธกี ารตดิ ตามข้อมลู บอกอตั ราการตอบกลบั 4) การวเิ คราะหข์ ้อมูล เป็นการนาขอ้ มูลทีเ่ กบ็ รวบได้ไปดาเนนิ การด้วยวธิ ีการ ตา่ งๆเพ่ือให้ได้ความหมาย ได้คาตอบของปัญหาการวิจยั ตรงตามวัตถปุ ระสงค์การวิจยั และการเลือกสถิติ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ต้องสอดคลอ้ งกับสมมตฐิ านการวิจัย ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง ลกั ษณะของขอ้ มูลทว่ี ดั ในการวิจัย 5.2.6 ผลการวิจยั เปน็ ส่วนทนี่ าเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลและการแปลความหมาย ของท่ไี ด้จากการวเิ คราะหข์ ้อมลู โดยใช้ภาพ ตาราง ขอ้ ความหรอื แผนภาพ ตวั เลขและสัญลักษณ์ เพื่อ แสดงผลการวจิ ยั ได้อย่างเหมาะสม มีคาอธิบาย เพื่อให้ผู้อ่านผลการวิจัยไดง้ ่ายขึ้น โดยนาเสนอท่ลี ะ ประเดน็ ให้สอดคลอ้ งกับวตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั หลักในการเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู 1) ควรเสนอเรียงลาดับตามวัตถุประสงคข์ องการวิจยั หรือ ตามสมมตุ ิฐานของการวิจยั ทลี ะข้อ 2) ถ้าสามารถเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูลรวมเปน็ ตารางเดียวกันได้ก็ควรจะรวมกันไว้และการ แปลผลการวิเคราะหข์ ้อมูลกค็ วรแปลเฉพาะประเด็นท่สี าคัญหรอื ข้อค้นพบทเี่ ด่นๆ แปลความเชิงสถิตเิ ปน็ หลัก ไม่ควรตคี วามหรือขยายความเพิ่มเตมิ ในบทนี้ 3) ใชเ้ ทคนิคในการแปลผลที่เรยี กว่า “ข้อมูลพูดได้” เช่น ใช้แผนภมู ิ แผนภาพต่างๆ ประกอบ ในการแปลผล ไม่จาเป็นจะต้องเสนอตารางที่มีตัวเลขมากๆ 4) ใช้ภาษาเขยี นที่อา่ นง่ายและเหมาะสมกบั ผู้อา่ น พยายามแปลงภาษาทางสถติ ิใหเ้ ป็นภาษา เขยี นทผ่ี ้อู ่านสามารถเขา้ ใจได้งา่ ยๆ 5) การเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลระหว่างตาราง ควรมีขอ้ ความนาเพ่ือเชอ่ื มโยงให้เหน็ ความ ตอ่ เน่ืองระหว่างส่ิงท่ีเสนอไปแลว้ กบั สงิ่ ที่จะเสนอตอ่ ไปอย่างไร 6) การเขยี นหวั ตาราง ในการเขียนหวั ตารางจะต้องเขยี นให้ชดั เจน ไมค่ ลุมเครือบอกลาดับ ตารางเพ่ือง่ายแก่การคน้ คว้าจากสารบญั ตาราง เช่น ตาราง 1 ตาราง 2 เป็นต้น 5.2.7 การอภปิ รายผลหรือสรปุ และอภปิ รายผลการวจิ ยั 1) สรปุ ผลการวจิ ัย ผู้วจิ ยั มีแนวทางการสรุปผลดังนี้ ก) ควรสรุปสน้ั ๆ กระชบั สอดคลอ้ งและเรียงลาดับตามวัตถุประสงคข์ องการวิจยั ข) การสรุปผลการวิจยั เป็นการแปลความในระดบั การตีความดงั ตัวอย่าง 2) อภปิ รายผลการวิจยั

6 การอภิปรายผลของข้อค้นพบท่ีสาคัญ (Major Finding) ประกอบด้วย ผลการวิจัยมี ความสอดคลอ้ งกับสมมตฐิ านการวิจัยหรือไม่ และอธิบายแนวคิดเชิงตรรกะของผู้วิจัย แนวคิด/ทฤษฎีท่ี เก่ยี วข้อง งานวจิ ัยทีเ่ กย่ี วข้อง ตลอดจนภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน แนวทางการเขยี นอภปิ ราย ก) เขยี นเพื่อชีแ้ จงใหเ้ ห็นวา่ ผลการวิจยั ที่ได้สอดคล้องหรือขัดแย้งกบั หลักการทฤษฎี หรือ ผลการวจิ ยั ของผอู้ ืน่ ที่ทาไวอ้ ย่างไร ถ้าขัดแยง้ ใหเ้ สนอความคิดเหน็ หรอื เหตผุ ลหรอื ข้อจากัดทีท่ าให้ผลท่ีได้ เปน็ เชน่ น้นั ในการอภปิ รายควรแยกประเด็นอภิปรายไปทีละประเดน็ ข) ในการอภปิ รายผลการวจิ ัย ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งอภิปรายทุกรายการตามข้อสรปุ ผลการวิจัย ผูว้ ิจัยอาจยกประเดน็ ทีเ่ ปน็ ที่นา่ สงั เกต หรอื โดดเดน่ หรอื ประเดน็ ทปี่ รากฏขอ้ สรปุ ไมเ่ ป็นไปตามสมมุติฐาน การวจิ ยั ตัวอย่างการอภิปรายผล จากผลการวิจัยทพี่ บว่า………………………………………………………………..ซ่งึ ไม่เป็นไปตามสมมุตฐิ าน การวิจัย การทไี่ ด้ข้อสรปุ เช่นน้อี าจเนอ่ื งมากจาก (1)…………………................................................. และ (2)…………………………………….โดยข้อสังเกตท้ัง 2 ประการนสี้ อดคล้องกบั แนวคดิ ของนกั การศึกษาบาง ท่าน คือ ………………………………………………………………………… 5.2.8 ขอ้ เสนอแนะจากการวิจยั ขอ้ เสนอแนะในการทาวจิ ัย นิยมเขยี นแยกเป็น 2 สว่ น คอื 1) ข้อเสนอแนะในการนาไปใช้ประโยชน์ เขยี นใหส้ อดคล้องกับประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รบั ที่ ระบไุ ว้ 2) ข้อเสนอแนะในการทาวิจยั เป็นขอ้ เสนอแนะเพ่ือทาวจิ ยั เพ่มิ เติมวา่ จากข้อค้นพบใน งานวิจยั ดังกลา่ วได้ก่อให้เกิดประเดน็ หรอื แนวคิดทค่ี วรจะมกี ารดาเนินการในการวจิ ัยในระยะต่อไปใน หวั ข้อใดบา้ ง 5.3 รายละเอยี ดของการเขียนบทความวิจัยของส่วนท้าย 5.3.1 กิตติกรรมประกาศ(ถา้ มี) เป็นข้อความแสดงความขอบคณุ ในเร่อื งตา่ งๆ ท่ีผู้วจิ ัย ได้รับการช่วยเหลือ-ร่วมมือในระหวา่ งดาเนินการวจิ ัยอยู่ ส่วนนอี้ ยู่หลงั เนอ้ื หาบทความและก่อน เอกสารอา้ งอิง 5.3.2 บรรณานกุ รมหรอื เอกสารอา้ งอิง การเขยี นรายงานการวิจยั จาเปน็ ต้องมีรายชื่อเอกสารท่ีนาข้อมลู มาใช้อ้างองิ หรือใช้ประกอบการ เขียนแนบทา้ ย เพื่อเป็นหลักฐานแสดงวา่ บทความหรือรายงานนั้นมีเหตุผล สาระท่ีเช่ือถือได้ และเอกสารท่ี นามาอ้างจะต้องให้ข้อมูล รายละเอียดชัดเจนเพียงพอท่ีผู้สนใจในบทความ หรือรายงานนั้น สามารถ ติดตามคน้ หาขอ้ มูลทีอ่ ้างถึงหรือเกี่ยวขอ้ งได้ถูกตอ้ ง หลกั สาคญั ท่คี วรกล่าวไว้ในท่ีนี้ก็คือ การอ้างอิงควรจะ เปน็ การกระทาอย่างมีจุดหมาย เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบแหล่งที่มาของความรู้ และช่วยให้ผู้อ่านมีโอกาสหา

7 ความรู้เพิ่มข้ึนและเป็นการแสดงว่าสิ่งท่ีนามากล่าวมีหลักฐานควรเชื่อถือได้เพียงใด นอกจากนั้น พึง ตระหนักอยู่เสมอว่าการคัดลอกงานของผู้อื่นน้ันทาได้ แต่ต้องเป็นการนามาเพ่ืออธิบายสนับสนุนเท่านั้น ไม่ใชล่ อกเอามาเปน็ เนอื้ งานของตน การจัดทารายช่ือเอกสารอ้างอิงท้ายเรื่องมีหลายรูปแบบ ส่วนจะเลือกใช้แบบใดขึ้นอยู่กับข้อกาหนด ของสถาบันการศึกษา หรอื วารสารของแต่ละสถาบัน ท่ีสาคัญคือ เมื่อเลือกใช้แบบใดแล้ว ต้องใช้แบบนั้นอย่าง สม่าเสมอโดยตลอด และเขยี นให้ถกู ต้องตามหลักเกณฑ์ท่ีกาหนด พร้อมท้งั ใหข้ อ้ มูลอย่างครบถว้ นและชัดเจน หลักเกณฑ์การเขียนเอกสารอ้างอิงตามระบบที่ใช้กันหลัก ๆ มีอยู่หลายรูปแบบ เช่น Harvard Style และ Vancouver Style ซ่ึงท้ังสองแบบนิยมใช้กันในสาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และทางการแพทย์ APA Style เป็นแบบท่ีแนะนาโดย The American Psychological Association นิยมใช้กันมากในสาขา มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งได้มีการปรับปรุงและพัฒนามาเป็นระยะๆ รวมทั้ง MAL Style ซึ่งเป็น คาแนะนาของ Modern Language Association และ Chicago Style ท่ีใช้ในงานวิจัยทางมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ เช่นกันโดยในเนื้อหาฉบับนี้นาเสนอแบบ APA Style ท่ีนิยมใช้กันมากในงานวิจัยทาง มนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ และ Vancouver Style ที่นิยมใชก้ ันงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และทางการ แพทย์ 6. ส่วนประกอบท่ีสาคญั ของบทความวจิ ัยทางการศกึ ษาประเภทการวิจยั สิง่ ประดษิ ฐแ์ ละ การพัฒนาผลิตภณั ฑ์ ประกอบดว้ ย เนอื้ หาสาระของบทความวิจัยทางการศึกษาประเภทการวิจยั สง่ิ ประดษิ ฐแ์ ละการ พัฒนาผลิตภณั ฑ์ แบง่ ออกเป็น 3 ส่วน คอื สว่ นนา ส่วนเนอ้ื หา ส่วนท้าย ซึง่ ในแต่ละส่วน ประกอบด้วย องคป์ ระกอบต่อไปน้ี ส่วนนา ประกอบดว้ ย 1) ชอ่ื บทความวิจัย 2) ชอื่ ผเู้ ขยี นบทความวิจัย 3) บทคดั ยอ่ ภาษาไทยและ ภาษาองั กฤษ 4) คาสาคัญ สว่ นเนอื้ หา ประกอบด้วย 1) บทนา 2) ทฤษฎที เ่ี กยี่ วข้อง 3) วธิ ีดาเนนิ การวิจยั ประกอบดว้ ย แหล่งขอ้ มูล เครอื่ งมอื ทใี่ ช้ในการวิจยั การเกบ็ รวบข้อมูล และการวเิ คราะห์ข้อมูล 6) ผลการวจิ ยั 7) การ อภปิ รายผลหรือสรุปและอภิปรายผลการวิจัย 8) ขอ้ เสนอแนะจากการวิจัย ส่วนท้าย ประกอบด้วย 1) กิตตกิ รรมประกาศ(ถ้ามี) 2) บรรณานกุ รมหรือเอกสารอ้างอิง 7. รายละเอียดของการเขยี นบทความวิจยั ทางการศึกษาประเภทการวิจัยส่งิ ประดษิ ฐ์และ การพฒั นาผลิตภัณฑ์ 7.1 รายละเอียดของการเขียนบทความวิจัยของส่วนนา 7.1.1 ช่ือบทความวิจัย เปน็ ชื่อท่มี าจากงานวจิ ัยท้งั ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ การ เขียนชือ่ เรือ่ งบทความวจิ ยั ทดี่ ี เมื่อผวู้ จิ ัยอา่ นแลว้ ควรจะเห็นประเดน็ ท่ตี อ้ งการพฒั นานวตั กรรม

8 7.1.2 ช่อื ผู้เขียนบทความวิจัย เปน็ สว่ นของข้อความท่ีเกีย่ วกับผู้เขียน ได้แก่ ช่ือผ้วู ิจัย (ท้งั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ) ผรู้ ่วมวจิ ัย(ทงั้ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) ตาแหนง่ และวุฒิการศึกษา สถานที่ทางานและอีเมลท์ ่สี ามารถติดต่อผู้วจิ ัย และผรู้ ่วมวจิ ยั ตาแหน่งและหนว่ ยงานของผวู้ ิจยั ให้ใสร่ ายละเอียดผู้วิจัยตามหมายเลข โดยใสไ่ ว้ทา้ ย หนา้ แรกของบทความ ใสต่ วั เลขใหต้ รงกับช่อื ผู้วจิ ัย 7.1.3 บทคดั ยอ่ ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ บทคัดยอ่ ประกอบดว้ ยเนื้อหาทีร่ ะบุว่า ผู้วิจัยทาอะไร ทาอย่างไร ได้ผลอย่างไร เป็นเนื้อหาสาระที่นาเสนอวัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีการวิจัย (ประกอบด้วย แหล่งข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล) และ ผลการวิจัยโดยสรุปเป็นข้อความส้ัน กะทัดรัด ไม่เย่ินเย้อ บทคัดย่อควรมีความยาวระหว่าง 200-300 คา เขียนทงั้ ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ 7.1.4 คาสาคัญ เปน็ คาสาหรบั การนาไปใชเ้ ป็นคาคน้ ควา้ เก่ยี วกบั งานวิจัยหัวขอ้ น้ีใน ระบบฐานข้อมลู ต่างๆ เปน็ คาทีส่ ่ือความหมายในประเดน็ ท่ีวจิ ัย ต้องมที ้งั คาสาคญั ภาษาไทยและ ภาษาองั กฤษ จานวนคาไมเ่ กิน 3 – 5 คา โดยใสค่ าสาคญั ภาษาไทยไวท้ า้ ยบทคัดย่อภาษาไทย คาสาคัญ ภาษาอังกฤษไว้ทา้ ยบทคัดย่อภาษาองั กฤษ 7.2 รายละเอยี ดของการเขียนบทความวจิ ัยของส่วนเนื้อหา 7.2.1 บทนา การเขียนความเป็นมา มีประเดน็ สาคัญทตี่ อ้ งเขยี น ดงั นบ้ี อกความสาคญั ของส่ิงท่ีต้องการพัฒนาหรือแก้ปัญหา(ควรมีการอ้างอิง) ควรบอกด้วยว่านวัตกรรมที่นามาใช้มีจุดเด่น อย่างไร ชว่ งสุดทา้ ยเป็นการเขยี นสรุปตามวัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 7.2.4 ทฤษฎที ี่เก่ียวขอ้ ง เป็นการนาเสนอแนวคดิ และทฤษฎตี ลอดจนงานวจิ ยั อนื่ ๆที่ เกยี่ วขอ้ งทีเ่ กย่ี วข้องกบั งานวิจัยของเรา เพื่อใหเ้ ห็นว่าสงิ่ ที่ทามที ่ีมาอยา่ งไร มีทฤษฎีอะไรบา้ ง ใครเคยศึกษา ไวแ้ ลว้ ได้ผลอย่างไร ผู้วจิ ัยจะต้องผสมผสาน แนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ัยอนื่ ๆท่ีเกีย่ วข้องทร่ี วบรวมมาได้ กบั แนวคิดของผูว้ จิ ยั เองมาใช้ในการศึกษาวจิ ยั คร้ังนี้ 7.2.3 วธิ ีดาเนนิ การวิจัย เป็นส่วนทีน่ าเสนอกระบวนการวจิ ยั ประกอบด้วยการพฒั นา หรอื การออกแบบนวตั กรรม ตลอดจนวิธีการตรวจสอบประสิทธิภาพและประสทิ ธิผลของนวัตกรรม 7.2.4 ผลการวจิ ัย เป็นสว่ นท่ีนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู และการแปลความหมาย ของทีไ่ ดจ้ ากการวิเคราะห์ข้อมูล โดยใชภ้ าพ ตาราง ข้อความหรอื แผนภาพ ตัวเลขและสัญลกั ษณ์ เพือ่ แสดงผลการวจิ ยั ได้อย่างเหมาะสม มคี าอธิบาย เพื่อให้ผู้อ่านผลการวิจยั ไดง้ า่ ยขนึ้ โดยนาเสนอที่ละ ประเดน็ ใหส้ อดคล้องกับวตั ถุประสงค์ของการวิจยั ส่วนหลกั ในการเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลเหมือนกับ การวิจัยเชงิ บรรยาย 7.2.5 การอภิปรายผลหรือสรุปและอภปิ รายผลการวิจยั สรปุ ผลการวจิ ยั ควรสรปุ ส้ันๆ กระชบั สอดคล้องและเรยี งลาดับตามวตั ถุประสงค์ของการวิจยั 7.2.6 อภปิ รายผลการวิจัย

9 การอภิปรายผลของข้อค้นพบที่สาคัญ (Major Finding) ประกอบด้วย ผลการวิจัยมี ความสอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัยหรือไม่ และอธิบายแนวคิดเชิงตรรกะของผู้วิจัย แนวคิด/ทฤษฎีที่ เก่ียวข้อง งานวิจัยทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ตลอดจนภูมิปญั ญาทอ้ งถ่นิ แนวทางการเขียนอภิปราย 1) เขียนเพ่อื ช้ีแจงใหเ้ ห็นว่าผลการวจิ ัยทไ่ี ดส้ อดคลอ้ งหรอื ขัดแย้งกับหลกั การทฤษฎี หรอื ผลการวิจัยของผ้อู นื่ ที่ทาไวอ้ ย่างไร ถา้ ขัดแยง้ ให้เสนอความคดิ เห็นหรือเหตผุ ลหรือข้อจากัดท่ีทาใหผ้ ลทไ่ี ด้ เป็นเช่นน้นั ในการอภิปรายควรแยกประเด็นอภปิ รายไปทลี ะประเดน็ 2) ในการอภปิ รายผลการวิจยั ไม่จาเปน็ ต้องอภิปรายทุกรายการตามขอ้ สรุปผลการวจิ ยั ผ้วู จิ ยั อาจยกประเด็นทีเ่ ปน็ ท่ีน่าสงั เกต หรอื โดดเดน่ หรือประเดน็ ทีป่ รากฏขอ้ สรุปไมเ่ ปน็ ไปตามสมมุตฐิ าน การวจิ ัย 7.2.7 ขอ้ เสนอแนะจากการวจิ ยั ข้อเสนอแนะในการทาวิจยั นิยมเขียนแยกเปน็ 2 ส่วน คอื 1) ขอ้ เสนอแนะในการนาไปใช้ประโยชน์ เขยี นใหส้ อดคล้องกบั ประโยชน์ท่คี าดว่าจะ ได้รบั ทร่ี ะบุไว้ 2) ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจยั เป็นข้อเสนอแนะเพื่อทาวิจัยเพิ่มเติมวา่ จากข้อคน้ พบใน งานวจิ ัยดังกลา่ วได้ก่อใหเ้ กิดประเดน็ หรือแนวคิดท่ีควรจะมีการดาเนนิ การในการวจิ ยั ในระยะต่อไปใน หวั ข้อใดบ้าง 7.3. รายละเอยี ดของการเขยี นบทความวจิ ัยของส่วนทา้ ย 7.3.1 กิตติกรรมประกาศ(ถ้าม)ี เป็นข้อความแสดงความขอบคุณในเร่ืองตา่ งๆ ทีผ่ วู้ จิ ัย ได้รบั การชว่ ยเหลอื -ร่วมมอื ในระหว่างดาเนินการวจิ ยั อยู่ ส่วนนี้อยูห่ ลงั เน้ือหาบทความและก่อน เอกสารอา้ งองิ 7.3.2 บรรณานุกรมหรือเอกสารอ้างอิง การเขียนรายงานการวจิ ยั จาเป็นต้องมรี ายชื่อ เอกสารที่นาข้อมูลมาใช้อ้างอิงหรือใชป้ ระกอบการเขยี นแนบท้าย เพ่ือเปน็ หลกั ฐานแสดงวา่ บทความหรอื รายงานนั้นมีเหตผุ ล สาระที่เช่ือถือได้ และเอกสารท่ีนามาอ้างจะต้องใหข้ ้อมลู รายละเอียดชดั เจนเพยี งพอ ทผี่ สู้ นใจในบทความ หรือรายงานนน้ั สามารถติดตามค้นหาขอ้ มูลท่ีอา้ งถงึ หรือเก่ียวข้องได้ถูกต้อง หลัก สาคญั ท่คี วรกลา่ วไวใ้ นที่นี้ก็คือ การอา้ งองิ ควรจะเปน็ การกระทาอยา่ งมีจดุ หมาย เพอ่ื ใหผ้ อู้ ่านได้ทราบ แหลง่ ทมี่ าของความรู้ และช่วยให้ผู้อา่ นมโี อกาสหาความรู้เพิม่ ขนึ้ และเป็นการแสดงวา่ สิ่งทน่ี ามากล่าวมี หลักฐานควรเช่ือถือไดเ้ พยี งใด นอกจากนน้ั พึงตระหนักอยเู่ สมอว่าการคดั ลอกงานของผู้อ่นื น้นั ทาได้ แต่ ต้องเป็นการนามาเพ่ืออธิบายสนบั สนุนเทา่ นน้ั ไม่ใช่ลอกเอามาเป็นเน้ืองานของตน 8. การเขยี นอ้างอิงแบบ American Psychological Association (APA) คาแนะนาน้ยี ึดตามหลักเกณฑ์คมู่ ือของ APA พมิ พ์คร้งั ที่ 5 และปรับปรุงเมื่อเดือนมถิ ุนายน 2004 จดั ทาเป็นข้อมลู online โดย Humanities Department and the Arthur C. Banks Jr. Library สหรฐั อเมริกา มีรายละเอียดดังน้ี

10 1) รายชือ่ เอกสารอา้ งองิ เรียงลาดับตามตัวอักษรชอ่ื ทา้ ยของผแู้ ต่งทีเ่ ปน็ ชาวต่างประเทศ ตามด้วย ชอ่ื ย่อ หรอื initials ช่อื คนไทยใหเ้ ขียนแบบไทย คือ ชอื่ ตัว และชื่อสกลุ ถา้ ผแู้ ต่งคนเดียวเขยี นงานหลาย เร่ือง ใหร้ ะบุชอ่ื ซ้าทุกครง้ั และเรียงลาดบั เอกสารตามวนั เดอื น ปีที่พิมพ์ ถา้ พิมพ์ในปเี ดียวกนั ใหเ้ รยี งตาม ตัวอกั ษรของช่ือเร่ือง เชน่ วุฒชิ ยั มลู ศลิ ป์. (2516). การปฏริ ปู การศกึ ษาในสมัยรัชกาลที่ 5. วฒุ ชิ ัย มลู ศิลป์. (2518). แนวความคิดทางการศกึ ษาสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว. วฒุ ชิ ัย มลู ศลิ ป์. (2518). หลกั การบรหิ ารการศึกษา. 2) การเวน้ ระยะ และเคร่ืองหมายวรรคตอน ต้องเป็นไปตามหลกั เกณฑ์อย่างเคร่งครัด แต่อย่างไร กต็ าม การใช้ word-processing ในเทคโนโลยสี มัยใหม่ อนุโลมใหเ้ วน้ ระยะ 1 ระยะหลังเครือ่ งหมายวรรค ตอนทุกชนดิ และหลังเครื่องหมาย (.) ในตัวย่อจะไม่เวน้ วรรค เช่น a.m., S.D. เปน็ ตน้ นอกจากนนั้ ยงั ไม่มี การเว้นวรรคหลังเครื่องหมาย (:) ในการบอกเลขสดั ส่วน ตัวอย่าง 1:2:1 เป็นตน้ 3) เมื่อเรียงลาดับรายการทา้ ยเรือ่ ง ใหย้ อ่ หน้าบรรทดั ที่สองของแต่ละรายการเข้าไปประมาณ 5-7 ตวั อักษร หรือประมาณครึ่งนิ้ว ดงั นี้ พรนิภา ลมิ ปพยอม. (2545). ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาต้นแบบ 2544. กรุงเทพฯ: สานกั งาน คณะกรรมการ การศึกษาแหง่ ชาติ. David, L., & Stanley, B. (2003). Quality management. International edition. New Jersey: Prentice Hall. 4) การอา้ งอิงในเนือ้ เรือ่ ง ใชอ้ า้ งโดยชือ่ ผ้แู ต่ง, ตามดว้ ยปที ่ีพมิ พ์ เชน่ (ชชั วาลย์ วงศป์ ระเสริฐ, 2533) หรอื (Garvin, 1988) 5) การระบุข้อมลู ทีส่ าคัญเมื่ออ้างจากสิ่งพมิ พป์ ระเภทตา่ งๆมวี ธิ ีการดังน้ี ก. การอา้ งจากหนังสือ จะต้องมีขอ้ มลู เก่ยี วกบั 5.1) ช่อื ผูแ้ ตง่ [Author(s)] 5.2) ปที ีพ่ ิมพ์ (Year of publication) 5.3) ชอื่ หนังสอื (Title of book) 5.4) พมิ พค์ ร้ังท่ี...ถา้ มี (Edition) 5.5) สถานท่ีพมิ พ์ (Place of publication) 5.6) สานกั พิมพ์ (Publishing entity) 8.1 ชือ่ ผู้แต่ง ท่เี ปน็ ชาวตา่ งประเทศเขยี นโดยข้ึนต้นด้วยชื่อทา้ ย (last name) ตามด้วยจลุ ภาค และชื่อย่อ (initial) หลงั ชอื่ ย่อตอ้ งใส่จุด ถา้ มีผู้แตง่ หลายคน คน่ั แตล่ ะชือ่ ด้วย (,) ระหว่างชอื่ สุดท้ายกับรอง สดุ ท้ายเชือ่ มด้วยเครื่องหมาย & ถา้ ผู้แตง่ เปน็ หน่วยงาน ให้ใชช้ อื่ เตม็ ของหนว่ ยงาน ผู้แต่งคนเดียว - Cento, C. T. ผแู้ ต่งสองคน - David, L., & Stanley, B. ผูแ้ ต่งสามคน - Jones, Q. P., Chen, C. L., & Crismon, C.

11 ผู้แต่งเปน็ หน่วยงาน - Italian Institution of Pig Language Research. สาหรบั ชอื่ คนไทยใหเ้ ขียนแบบไทย คอื ชอื่ ตวั ตามด้วยนามสกลุ และชอ่ื ผแู้ ตง่ ที่เป็นหน่วยงานก็ เขยี นเต็มเชน่ เดยี วกัน กรณผี ูแ้ ต่งหลายคนใหร้ ะบุช่ือทัง้ หมดทุกคน ไม่ใช้คาว่า “และคณะ” หรือ “et al” ในการอ้างใน เน้ือเรือ่ งให้อ้างคนแรกตามด้วย “และคณะ” หรือ “et al” 8.2 ปีท่พี ิมพ์ ระบปุ ที ่ีพมิ พไ์ วใ้ นวงเล็บ ตามดว้ ย (.) (1993). หรอื (2548). ถ้าเอกสารที่อ้างไม่ ระบปุ ที ่ีพิมพ์ไว้ ใหใ้ ส่ (n.d.) หรอื (ม.ป.ป.) 8.3 ช่ือหนังสือ ใช้ตัวเอน ระบุชื่อเตม็ ชือ่ หลัก ชื่อรอง และชื่อชดุ (ถา้ มี) ของหนงั สือ และช่อื ภาษาอังกฤษใชต้ วั พมิ พ์ใหญ่เฉพาะคาแรกเทา่ นนั้ ยกเว้นชอ่ื เฉพาะ แยกช่อื หลักและชอ่ื รองด้วย เคร่อื งหมาย (:) ในกรณีที่ไม่ปรากฏชื่อผแู้ ตง่ ใหใ้ ช้ชอ่ื หนงั สือข้ึนต้น และพิมพ์ตวั เอน จบส่วนน้ีดว้ ย เคร่ืองหมาย (.) ดงั ตวั อยา่ ง รปู แบบปกติ - คุณภาพกาลงั คนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คม. Total quality management. ชื่อหลกั และช่อื รอง - Management of organization behavior: Utilizing human resources. ชอ่ื เรอ่ื งละชอ่ื ชุด - Pig Latin Phonology: Vol. 2. Current issues in Pig Latin studies. 8.4 พมิ พ์ครั้งที่ ถ้าหนังสือนั้นมกี ารพิมพ์มากกวา่ หน่งึ ครงั้ หรือมกี ารปรับปรุงใหม่ ใหร้ ะบุ ดงั น้ี ชือ่ หนงั สือ (พิมพ์คร้ังท่ี 2). ชื่อหนงั สอื (ฉบบั ปรับปรุง). Book title (3rd ed.). Book title (Rev. ed.). 8.5 สถานที่พิมพ์ ใหบ้ อกเมืองท่ีพมิ พ์ ตามดว้ ยเคร่ืองหมาย (:) ถา้ เปน็ เมืองทชี่ ือ่ ไม่เปน็ ทีร่ ู้จกั แพรห่ ลาย ให้บอกประเทศ เช่น เมืองท่รี ูจ้ กั กนั ทวั่ ไป - New York: Milan: เมืองอืน่ ๆ - Talcahuano, Chile: Suva, Fiji: 8.6 สานกั พมิ พ์ บอกชอ่ื เต็มของสานักพิมพ์ แต่ไม่ต้องมี คาว่าบริษัท หรอื Inc., Co., แลว้ ตาม ด้วย (.) Collins. Cambridge University Press. General Electric Corporation. ถ้าไมป่ รากฏที่พิมพใ์ ห้ระบุ ม.ป.ท.

12 สรุปรปู แบบการเขยี นเอกสารอ้างองิ จากหนังสือง่ายๆ ดงั น้ี ชอื่ ผแู้ ต่ง. (1996). ชื่อหนงั สอื . สถานทพี่ มิ พ:์ สานกั พิมพ์. ตวั อย่าง นศิ ารตั น์ ศิลปเดช. (2540). ประชากรกับการพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ . กรงุ เทพฯ: พิศษิ ฐก์ ารพิมพ์. Okuda, M., & Okuda, D. (1993). Star Trek chronology: The history of the future. New York: Pocket Book. ข. การอา้ งจากวารสาร มีข้อมูลทจี่ าเป็น ดงั นี้ ชอ่ื ผูแ้ ต่ง ใชห้ ลักเกณฑเ์ ดียวกับหนงั สอื ปีที่พิมพว์ ารสาร ใชห้ ลกั เกณฑเ์ ดียวกับหนงั สอื ช่อื เรอื่ ง ใช้หลกั เกณฑเ์ ดยี วกับหนงั สือ ชื่อวารสาร เขียนชอ่ื เต็ม ใช้ตวั เอน ดงั น้ี วารสารวัฒนธรรมไทย, Advance in Nursing Science, ปีทีว่ ารสารออกมาแลว้ เป็นปีที่ หรอื Volume number ฉบบั ท่ี หรือ Issue number หรอื จานวนฉบับท่ีออกของแตล่ ะปี หน้าแรกถงึ หนา้ สดุ ท้ายของเร่อื งนัน้ เชน่ 19-22. เป็นต้น สาหรบั วารสารประเภทท่ขี ึ้นต้นหน้าหน่งึ ทกุ ครั้งเม่ือขึน้ ฉบบั ใหม่ ให้ระบุ (ฉบบั ที่) ดังนี้ ชื่อวารสาร, 18(6), 12-20. แต่ถา้ เป็นวารสารประเภทที่เรียงลาดบั หนา้ ตอ่ เน่ืองกันตลอดทงั้ ปี ไม่ต้องระบุ (ฉบบั ท่ี) ดงั น้ี ชอ่ื วารสาร, 18, 339-406. จะสงั เกตว่า เลขทีบ่ อกปที ่ี (Volume number) ต้องเป็นตวั เอน ส่วนเลขแสดง(ฉบบั ท)ี่ เป็นตวั ตรงปกตริ ูปแบบการเขียนวารสารที่เรยี งหน้าตดิ ต่อกนั ตลอดท้ังปี ชือ่ ผูแ้ ตง่ . (ปีทพ่ี ิมพ์). ชอ่ื เร่ือง. ชอื่ วารสาร, ปีท,่ี หน้าแรก-หนา้ สุดทา้ ย. วารสารข้นึ หนา้ ใหม่ทกุ ฉบบั ชื่อผแู้ ต่ง. (ปที ่ีพิมพ์). ชือ่ เร่อื ง. ชอ่ื วารสาร, ปที ่ี, หนา้ แรก-หน้าสดุ ท้าย. วารสารข้นึ หนา้ ใหมท่ ุกฉบับ

13 ชื่อผ้แู ตง่ คนที่หนึ่ง, & ช่ือผแู้ ต่งคนทีส่ อง. (ปีที่พิมพ์). ช่อื เร่อื งหลกั : ช่ือเรือ่ งรอง. ชื่อวารสาร, ปที ่ี (ฉบับท)ี่ , หน้าแรก-หนา้ สดุ ทา้ ย. ตัวอย่าง ชมพู พนั ธท์ ิพย์. (2541). ผ้าโขมพัสตร์ ภมู ิปัญญาไทยสมยั นิยม. วารสารวัฒนธรรมไทย, 37(3), 23-26. Acton, G. J., Irvin, B. L., & Hopkins, B. A. (1991). Theory-testing research: building of science. Advance in Nursing Science, 14(1), 52-61. ค. การอ้างจากรายงานการประชุม สัมมนา นอกจากให้ข้อมูลทจ่ี าเปน็ เชน่ เดยี วกับหนังสอื หรอื วารสารแล้ว จะตอ้ งเพ่มิ เติม ชื่อเรือ่ งของสัมมนา วนั เดือน ปี สถานท่จี ดั ทพ่ี มิ พ์ และผู้พิมพ์ใหช้ ัดเจน ดังตวั อย่าง วิมลสทิ ธิ์ หรยางกูร. (2548). วารสารวชิ าการในฝันของผจู้ ัดทา. ใน: เอกสารรายงานการการประชุมเร่ือง วารสารวชิ าการทางมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์: การทา้ ทายของวิชาการยุคใหม่. จดั โดยกลุม่ นโยบายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระบบอดุ มศึกษา สานักส่งเสริมและพัฒนาสมรรถนะ บุคลากร สานกั งานคณะกรรมการอุดมศึกษา ณ โรงแรมเซนจรู ปี ารค์ วนั ท่ี 21 ตุลาคม 2548 กรงุ เทพฯ. หน้า 11-15. ง. การอา้ งจากหนังสอื พมิ พ์ ระบุข้อมลู เช่นเดยี วกันกับการอ้างองิ จากหนังสือ และวารสาร และชอ่ื หนงั สอื พิมพ์ วนั เดือน ปี ท่หี นงั สือพมิ พ์ออก พรอ้ มทง้ั หนา้ ทีน่ ามาอ้าง ดังตัวอย่าง พรรณี ร่งุ รตั น์. (12 พฤษภาคม 2548). สทศ.ต้ังทมี พัฒนาข้อสอบระดับชาติมน่ั ใจคุณภาพ เดลินวิ ส์. หนา้ 3. Di Rado, A. (1995, March 15). Trekking through college: Classes explore modern society using the world of Star Trek. Los Angeles Time, p. A3. จ. การอ้างจากวิทยานิพนธ์ นอกจากชื่อผทู้ าวิทยานิพนธ์ ชอื่ เร่ืองแล้ว ให้บอกว่าเปน็ วิทยานิพนธ์ระดบั ปรญิ ญาใดจากสถาบนั ใด พิมพ์ทใี่ ด ใครพิมพ์ ตัวอยา่ ง พนั ทิพา สงั ข์เจริญ. (2528). วเิ คราะห์บทร้อยกรองเนื่องในวโรกาสวนั เฉลมิ พระชนมพรรษา 5 ธันวาคม. ปริญญานิพนธก์ ารศึกษามหาบัณฑิต. มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ. กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. Darling, C. W. (1976). Giver of due regard: the poetry of Richard Wilbur. Unpublished doctoral dissertation, University of Connecticut, Storrs, CT. ฉ. การอา้ งจากพจนานุกรม ใช้หลักเกณฑเ์ ดยี วกบั หนังสือ ตัวอยา่ ง พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542. (2546). กรุงเทพฯ: นานมีบ๊คุ พบั ลิเคชนั . หนา้ 88. ช. การอ้างจากส่ืออิเล็กทรอนกิ ส์ นอกเหนือจากชื่อผ้แู ตง่ ชอ่ื เร่ืองแลว้ ควรระบุข้อมูลอ่ืนที่มีให้

14 ในส่ือนั้นๆ เชน่ ชอ่ื วารสารอิเล็กทรอนิกส์ ชนดิ ของสื่อที่นามาอา้ ง, URL, วนั เดอื น ปี ทที่ าการสบื ค้น รปู แบบ ชือ่ ผแู้ ตง่ . (ปี เดอื น วนั หรอื ม.ป.ป. หรือ n.d. ถ้าไม่มีบอกไว)้ . ช่อื เร่อื ง. (Online), วัน เดือน ปที ี่ทาการสบื ค้น. ช่อื ฐานขอ้ มลู หรือชอ่ื website ของบทความนัน้ . ระบุ URL ให้ชดั เจน หลงั URL address ไมใ่ หใ้ ส่ (.) ส่วนข้อมูลท่ีได้จากการติดต่อกันทางส่ืออิเล็กทรอนิกส์ เช่น email, การอภิปรายกันบน bulletin board, การอภิปรายกลุ่ม, การสนทนาทางโทรศัพท์ APA ถือว่าเป็นการติดต่อส่วนตัว หรือ personal communication แหล่งข้อมูลเหล่านี้ผู้อ่านไม่สามารถติดตามค้นหาได้ จึงให้อ้างได้เฉพาะในเน้ือเรื่อง เทา่ นั้น ไมน่ าไปจดั ลาดับไว้ในหนา้ เอกสารอา้ งอิง ตวั อยา่ ง (ได้จาก web site http://www.liu.edu/cwis/cwp/library/workshop/citapa.html) Mershon, D. H. (1998, November-December). Star Trek on the brain: Alien minds, human minds. American Scientist, 86, 585. Retrieved July 29, 1999, from Expanded Acadamic ASAP database. Lynch, T. (1996). DS9 trials and tribble-actions review. Retrieved October 8, 1997, from Psi Phi: Bradley’s Science Fiction Club Web site http://www.bradley.edu/campusorg/psiphi/DS9/ep/503r.html โปรดสังเกตวา่ โดยรวมระบบ APA ต้องการรายละเอียดข้อมูลทจ่ี าเปน็ โดยเฉพาะวธิ ีการเขียนชอ่ื ผแู้ ตง่ ชอ่ื หนังสือ หรือเอกสาร การใสเ่ คร่อื งหมายวรรคตอน การลาดับรายการตามตวั อักษรชือ่ ผู้แต่ง เป็น ตน้ ตวั อย่าง รายการเอกสารอา้ งองิ แบบ APA กิง่ แกว้ ปาจารีย์. (2540). คุณภาพชวี ิต. สารศริ ิราช, 38(3), 8-9. กรมศิลปากร. (2509). ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 32 เลม่ ท่ี 19. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์ครุ สุ ภา. คุณา นนทพฒั น์. (2541). บ้านเขว้าเมืองผา้ ไหมชัยภูมิ. วารสารวัฒนธรรมไทย, 37, 46-48. ชยั วฒั น์ ไทยเกรยี งไกรยศ. (2536). รปู แบบการบรหิ ารโรงเรียนเอกชน: กรณศี ึกษา ระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยนเรศวร. วุฒิชัย มลู ศลิ ป.์ (2516). การปฏริ ูปการศึกษาในสมยั รัชกาลท่ี 5. กรุงเทพฯ: สมาคมสังคมศาสตร์แหง่ ประเทศไทย. วฒุ ิชัย มูลศิลป์. (2516). แนวความคดิ ทางทางการศึกษาสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หัว พ.ศ. 2475. มปท. อารุง จนั ทวานิช. (2546). โรงเรียนสมบูรณแ์ บบ. วารสารวิชาการ, 6(1), 20-23. Alverez, A. (1970). The savage god: A study of suicide. New York: Random House. Cruise, T., & Kidman, N. (1995). Divergent Pig Latin formation in egocentric dyslexic males:

15 One possible explanation. Pig Latin Neurolinguistics, 9, 125-180. Chomsky, N., Halle, M., & Harris, Z. (1960). Toward a generative model of Pig Latin syntax. Pigology: Current issues in Pig Latin research, 26(2), 247-289. Garner, B. A. (2003). Garner’s Modern American Usage. New York: Oxford University Press. Ligon, M., Carpenter, K., Brown, W., & Milsop, A. (1983). Computers in the world of business communications. Hartford, CT: Capital Press. Thomas, E., & Hosenball, M. (2004, May 31). Bush’s Mr. Wrong: The Rise and Fall of Chalabi. Newsweek, 143, 22-32. 9. รูปแบบการเขยี นบทความวิจยั 9.1 บทความวจิ ยั ทางการศึกษา ประเภทการวิจัยทางบรรยายและการวจิ ัยพัฒนาการเรยี น การสอน ชอ่ื เรื่องภาษาไทย (TH Sarabun New 18 point ตวั หนา) ชอ่ื เรือ่ งภาษาอังกฤษ (TH Sarabun New 18 point ตวั พมิ พ์ใหญ่ท้งั หมด ตัวหนา) ชอ่ื ผู้เขยี นคนท่ี 1¹ ช่ือผเู้ ขียนคนท่ี 2² และช่ือผู้เขยี นคนที่ 3³ (ภาษาไทย) (TH Sarabun New 14 point ตัวหนา) ชอ่ื ผเู้ ขยี นคนท่ี 1¹ ชอื่ ผู้เขียนคนท่ี 2² และชือ่ ผ้เู ขยี นคนที่ 3³ (ภาษาอังกฤษ) (TH Sarabun New 14 point ตวั หนา) บทคดั ยอ่ (TH Sarabun New 16 point ตัวหนา ชิดซ้าย) บทคัดย่อ ความยาวไม่เกิน 250 คา (TH Sarabun New 16 point ตัวธรรมดา) คาสาคญั : กก ขข คค จานวน 3 - 5 คา (TH Sarabun New 16 point ตัวธรรมดาชิดซา้ ย เคาะระหวา่ งคา 1 เคาะ) Abstract Abstract (TH Sarabun New 16 point ตัวธรรมดา) Keywords : aa, bb, cc จานวน 3 - 5 คา (TH Sarabun New 16 point ตวั ธรรมดาชิดซา้ ย เคาะระหวา่ งคา 1 เคาะ)

16 บทนา เนื้อหา ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ¹ สังกัดหนว่ ยงานหรอื สถาบนั ² สังกดั หน่วยงานหรือสถาบนั ³ สงั กดั หน่วยงานหรอื สถาบนั (ภาษาไทย) (TH Sarabun New 12 point ตวั ธรรมดา) ¹ สงั กดั หน่วยงานหรือสถาบนั ² สงั กดั หนว่ ยงานหรอื สถาบนั ³ สงั กดั หนว่ ยงานหรอื สถาบัน (ภาษาอังกฤษ) (TH Sarabun New 12 point ตัวธรรมดา) *Corresponding Author, E-mail : ……………………………(TH Sarabun New 12 point ตัวธรรมดา) วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ัย เน้อื หา……………………………………………………………………………………………………………….…………… ............................................................................................................................... ......................................... .......................................................................................... .............................................................................. สมมติฐาน (ถ้าม)ี เน้ือหา……………………………………………………………………………………………………………….…………… ...................................................................................................... .................................................................. กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย เนอ้ื หา……………………………………………………………………………………………………………….…………… ……............................................................................................................. ..................................................... วธิ ดี าเนินการวจิ ยั ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………

17 ……………………………………………………………………………………………………………………………………… เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ยั ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… การวเิ คราะหข์ ้อมูล ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการวจิ ัย เน้ือหา……………………………………………………………………………………………………………….…………… ............................................................................................................ ............................................................ ............................................................................................................................. ........................................... การอภปิ รายผลการวจิ ัย เนื้อหา……………………………………………………………………………………………………………….…………… ............................................................................................................................. ........................................... ................................................................................................................................................................. ....... ขอ้ เสนอแนะจากการวจิ ัย เนอ้ื หา……………………………………………………………………………………………………………….…………… ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... กิตติกรรมประกาศ (ถา้ มี) เนอ้ื หา……………………………………………………………………………………………………………….…………… ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... (หัวขอ้ TH Sarabun New 16 point ตัวหนา ชิดซา้ ย) (เนื้อหา TH Sarabun New เนือ้ หา 16 point ตัวธรรมดา ตัง้ คา่ ชดิ ซา้ ย-ขวา ย่อหน้า 1.25 ซม.)

18 เอกสารอา้ งอิง [1] ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… [2] ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… [3] ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… [4] ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… [5] ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… [6] ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… (หัวขอ้ TH Saraban New 16 point ตัวหนา ชดิ ซ้าย) (เน้อื หา TH Sarabun New 16 point ตวั ธรรมดา ต้งั ค่าชิดซ้าย) 9.2 บทความวจิ ัยทางการศึกษาประเภทการวจิ ัยสิง่ ประดิษฐ์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ช่อื เรื่องภาษาไทย (TH Sarabun New 18 point ตวั หนา) ชื่อเร่อื งภาษาองั กฤษ (TH Sarabun New 18 point ตัวพมิ พ์ใหญ่ท้งั หมด ตัวหนา) ช่ือผเู้ ขียนคนที่ 1¹ ชือ่ ผเู้ ขียนคนที่ 2² และช่อื ผเู้ ขยี นคนท่ี 3³ (ภาษาไทย) (TH Sarabun New 14 point ตัวหนา) ชอื่ ผู้เขียนคนที่ 1¹ ชอื่ ผู้เขยี นคนท่ี 2² และช่ือผู้เขยี นคนท่ี 3³ (ภาษาองั กฤษ) (TH Sarabun New 14 point ตัวหนา)

19 บทคดั ยอ่ (TH Sarabun New 16 point ตัวหนา ชิดซ้าย) บทคัดย่อ ความยาวไมเ่ กิน 250 คา (TH Sarabun New 16 point ตัวธรรมดา) คาสาคัญ : กก ขข คค จานวน 3 - 5 คา (TH Sarabun New 16 point ตัวธรรมดาชดิ ซา้ ย เคาะระหวา่ งคา 1 เคาะ) Abstract Abstract (TH Sarabun New 16 point ตัวธรรมดา) Keywords : aa, bb, cc จานวน 3 - 5 คา (TH Sarabun New 16 point ตวั ธรรมดาชดิ ซ้าย เคาะระหว่างคา 1 เคาะ) บทนา เนือ้ หา....(เขยี นความเป็นมา และความสาคัญของเรื่องท่ีดาเนนิ การ ตอนสดุ ท้ายสรุปเป็น แนวทาง ใหเ้ ปน็ วตั ถปุ ระสงค์การ วจิ ยั )................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ........................................... ...................................................................................................................................... .................................. ¹ สังกดั หนว่ ยงานหรอื สถาบนั ² สงั กดั หน่วยงานหรือสถาบัน ³ สงั กัดหนว่ ยงานหรอื สถาบนั (ภาษาไทย) (TH Sarabun New 12 point ตวั ธรรมดา) ¹ สังกดั หน่วยงานหรือสถาบัน ² สังกดั หน่วยงานหรอื สถาบัน ³ สงั กัดหนว่ ยงานหรือสถาบนั (ภาษาอังกฤษ) (TH Sarabun New 12 point ตัวธรรมดา) *Corresponding Author, E-mail : ……………………………(TH Sarabun New 12 point ตัวธรรมดา) แนวคิด ทฏษฎีที่เกยี่ วขอ้ ง เนอื้ หา……………………………………………………………………………………………………………….…………… ............................................................................................................................. ........................................... ................................................................................................................................................ ........................

20 วิธดี าเนินการวิจัย เนื้อหา……………………………………………………………………………………………………………….…………… .......................................................................................................................................................... .............. ..................................................................................................................... ................................................... ผลการวิจยั เนอื้ หา……………………………………………………………………………………………………………….…………… ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... การอภิปรายผลการวจิ ัย เนื้อหา……………………………………………………………………………………………………………….…………… ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ขอ้ เสนอแนะจากการวจิ ัย เน้อื หา……………………………………………………………………………………………………………….…………… ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... กติ ตกิ รรมประกาศ (ถ้ามี) เนอ้ื หา……………………………………………………………………………………………………………….…………… ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... (หวั ข้อ TH Sarabun New 16 point ตัวหนา ชดิ ซา้ ย) (เนื้อหา TH Sarabun New เนอื้ หา 16 point ตัวธรรมดา ตงั้ คา่ ชิดซ้าย-ขวา ย่อหนา้ 1.25 ซม.) เอกสารอา้ งอิง

21 [1] ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… [2] ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… [3] ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… [4] ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… [5] ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… [6] ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… (หัวขอ้ TH Saraban New 16 point ตวั หนา ชดิ ซ้าย) (เนื้อหา TH Sarabun New 16 point ตัวธรรมดา ตั้งค่าชิดซ้าย) 10. การจดั ส่งบทความ คาแนะนาทั่วไป 1. ผลงานที่ส่งตีพิมพ์จะต้องไมเ่ คยเผยแพรใ่ นส่งิ พิมพ์อืน่ ใดมาก่อนและต้องไม่อยู่ในระหว่างการ พิจารณาของวารสารอื่น การละเมดิ ลขิ สทิ ธถ์ ือเป็นความรบั ผดิ ชอบของผ้สู ่งบทความโดยตรง 2. ต้นฉบับท่ีสง่ ตพี มิ พ์ต้องเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษเท่านั้น 3. ต้นฉบับต้องผา่ นการกล่ันกรองโดยผ้ทู รงคณุ วุฒแิ ละได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธกิ าร 4. ผลงานทไี่ ดร้ บั การตีพิมพถ์ ือเปน็ ลขิ สิทธิข์ องวารสารของสถาบันการอาชวี ศกึ ษาภาคตะวนั ออก T - VET Journal สถาบนั การอาชีวศกึ ษา การส่งบทความวิจัย 1. กรอกแบบฟอรม์ เสนอบทความวจิ ัย เพอื่ ลงตีพมิ พ์ในวารสารวชิ าการ T - VET Journal สถาบนั การอาชีวศกึ ษาภาคตะวันออก (ดาวน์โหลดแบบฟอร์มไดจ้ าก http://........................................) 2. พมิ พบ์ ทความใน Template ของวารสารวชิ าการ T - VET Journal (ดาวน์โหลด Template ได้จาก http://.....................................................)

22 3. ส่งเอกสารทาง E-mail : ……………………………………… 11. ข้อมูลเก่ยี วกับการพิจารณาบทความวิจัย บทความท่จี ะไดร้ ับการพจิ ารณาลงตีพิมพ์จะต้องผา่ นการพิจารณาจากกองบรรณาธกิ ารและ ผ้ทู รงคณุ วุฒิในสาขาท่เี กยี่ วข้อง ซงึ่ มีกระบวนการดงั ต่อไปนี้ 11.1 กองบรรณาธกิ ารจะแจ้งให้ผสู้ ง่ บทความทราบเม่ือกองบรรณาธิการได้รับบทความเรยี บรอ้ ย สมบูรณ์ 11.2 กองบรรณาธกิ ารจะตรวจสอบหวั ขอ้ และเนื้อหาของบทความถึงความเหมาะสมและ สอดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์ของวารสาร รวมถึงประโยชนใ์ นเชงิ ทฤษฎีและเชงิ ปฏบิ ัติ 11.3 ในกรณที ่ีกองบรรณาธิการพิจารณาเหน็ ควรรับไว้พจิ ารณาตพี ิมพ์ กองบรรณาธิการจะ ดาเนนิ การสง่ บทความให้ผู้ทางคุณวฒุ ใิ นสาขาที่เก่ยี วข้อง ตรวจสอบคุณภาพของบทความวา่ อยู่ในระดบั ท่ี เหมาะสมทจี่ ะลงตีพิมพ์หรือไม่ โดยในกระบวนการพิจารณากลั่นกรองนีเ้ ปน็ การประเมินบทความแบบสอง ทาง (Double-blind Review) กล่าวคือ จะไมเ่ ปิดเผยช่อื ผูส้ ่งบทความให้ผทู้ รงคณุ วฒุ ิทราบและจะไม่ เปดิ เผยชื่อผ้ทู รงคุณวุฒิให้ผูส้ ง่ บทความทราบ และกองบรรณาธิการจะไม่เปิดเผย ทง้ั ชอ่ื ผู้ส่งบทความและ ชื่อผทู้ รงคุณวุฒิใหบ้ ุคคลอนื่ ทราบดว้ ยเชน่ กัน 11.4 เมอ่ื ผ้ทู รงคุณวุฒิได้พิจารณากล่นั กรองบทความแลว้ กองบรรณาธิการจะตดั สินใจโดยอิง ตามข้อเสนอแนะของผ้ทู รงคุณวุฒิวา่ บทความน้ันๆ ควรนาลงตีพิมพ์ หรอื ควรทีจ่ ะส่งผูส้ ง่ บทความนา กลับไปแกไ้ ขก่อนสง่ กลับมาพิจารณาอีกครัง้ หนง่ึ หรือปฏิเสธการลงตีพิมพ์ ------------------------

23 ภาคผนวก

24 ภาคผนวก ก ตัวอย่างแบบประเมินบทความ การประชุมวชิ าการเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาชวี ศึกษาระดบั ชาติ ครัง้ ท่ี 3 สถาบันอาชีวศกึ ษาภาคตะวันออก

25 ตัวอยา่ งแบบประเมินบทความ การประชมุ วิชาการเทคโนโลยแี ละนวัตกรรมอาชีวศึกษาระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 3 สถาบันอาชีวศึกษาภาคตะวันออก ระหว่างวันที่ 27-28 กุมภาพนั ธ์ 2562 Article’s Title (ชื่อบทความ) Article’s ref. no. (หมายเลขบทความ) ……………………… ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... เกณฑก์ ารพิจารณา คะแนน 54321 เนื้อหา ความสาคัญของเร่ืองท่ีนาเสนอ ความนา่ สนใจ ความสอดคล้องกับระเบียงเศรษฐกจิ ตะวันออก คณุ คา่ ทางวชิ าการ หรอื ในเชิงสรา้ งสรรคอ์ ่ืนๆ มผี ลกระทบทางวชิ าการ นวัตกรรม ความนา่ เช่ือถือของเนื้อความ มีอา้ งองิ ข้อมลู สนบั สนุน ทฤษฎี หลักการ ทดลอง สถานประกอบการ องค์กร หรือชมุ ชนท้องถน่ิ สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ ได้ สง่ ผลตอ่ การพัฒนา หรอื สนบั สนนุ การอาชีวศึกษา ภาษา การเขียน และการเรียบเรียง ข้อเสนอและความคดิ เหน็ เพิ่มเติม ........................................................................................................................................ ................................ ................................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ........................................... ................................................................................................................................................ ........................ (................................................) ผู้ทรงคุณวฒุ ิ

26 แบบประเมนิ บทความ การประชุมวชิ าการเทคโนโลยแี ละนวัตกรรมอาชีวศึกษาระดับชาติ ครั้งท่ี 3 สถาบันอาชวี ศกึ ษาภาคตะวันออก ระหว่างวันท่ี 27-28 กุมภาพนั ธ์ 2562 Article’s Title (ชือ่ บทความ) Article’s ref. no. (หมายเลขบทความ) …………… ……………………………………………………………………………………………………………………… คาชี้แจง  การประเมินแบ่งเปน็ 2 ส่วน ได้แก่ สว่ นคณุ ภาพของเน้ือหา และ สว่ นคุณภาพของการบรรยาย  ในกรณที ผ่ี ปู้ ระเมินเห็นวา่ ควรมกี ารปรับปรุง กรุณาระบุสว่ นท่คี วรปรับปรงุ พร้อมท้งั เสนอแนะแนว ทางการปรับปรุงด้วย เพ่อื ท่จี ะได้แจง้ ใหผ้ เู้ ขยี นทราบและดาเนนิ การต่อไปได้  คณะกรรมการดาเนินงานจะประมวลรายละเอยี ดในแบบฟอรม์ น้แี ละแจ้งผลสรปุ การประเมินให้แก่ ผเู้ ขยี นทราบ โดยจะไม่เปดิ เผยช่อื ผู้ประเมินและตัวแบบฟอร์ม สว่ นที่ 1. เนอ้ื หา 1.1.ความสาคัญของหัวข้อที่นาเสนอ (มคี วามทนั ต่อเหตกุ ารณ์หรอื อยู่ในความสนใจ มีผลกระทบทาง วชิ าการ) ผลการประเมิน อยู่ในระดับ  ดี  ควรปรบั ปรงุ  ยังใช้ไม่ได้ ข้อเสนอแนะ…………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………………………………………………………………….……… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….…… 1.2.คุณค่าทางวชิ าการหรือในเชงิ สร้างสรรค์อื่นๆ (ความละเอยี ด ลึกซงึ้ มีผลกระทบทางวชิ าการสงู หรอื สามารถนาไปใช้ประโยชนไ์ ด)้ ผลการประเมนิ อยใู่ นระดบั  ดี  ควรปรับปรุง  ยังใชไ้ ม่ได้ ข้อเสนอแนะ……………………………………………………………………………………………………………………..…………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

27 1.3.ความน่าเชื่อถือของเนื้อความ (เชน่ มีขอ้ มูลสนบั สนุน อา้ งอิงแหล่งขอ้ มูลทีเ่ ชอื่ ถือได้ มีการยกเหตุและ ผล หลกั ทฤษฎี กรอบแนวคดิ ทเ่ี ก่ียวข้อง ประกอบการเสนอเน้ือหาได้เปน็ อย่างดี) ผลการประเมิน อยใู่ นระดบั  ดี  ควรปรบั ปรุง  ยังใช้ไม่ได้ ขอ้ เสนอแนะ………………………………………………………………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………..……… 1.4.สอดคลอ้ งกับทิศทางและเค้าโครงของหวั ข้อหลักในการประชมุ วิชาการครั้งน้ี ผลการประเมิน อยใู่ นระดบั  ดี  ควรปรับปรงุ  ยงั ใช้ไม่ได้ ข้อเสนอแนะ…………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………….………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………… สว่ นที่ 2. การบรรยาย 2.1.โครงสร้างและความต่อเนื่องของบทความ (มีการเรียงลาดบั ทีเ่ หมาะสม เชน่ ส่วนนา ส่วนเนอ้ื หา สว่ น วิเคราะห์ สว่ นสรปุ และมคี วามต่อเนื่องของเน้ือหาแตล่ ะสว่ น) ผลการประเมนิ อย่ใู นระดับ  ดี  ควรปรบั ปรงุ  ยังใช้ไม่ได้ ขอ้ เสนอแนะ………………………………………………………………………………………………………………………..………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.2. การใชภ้ าษา ท่าทางประกอบการบรรยาย (ถูกต้อง อ่านเข้าใจงา่ ย ใช้ภาษาและลักษณะการเขียนท่ี เป็นวิชาการ (academic writing) ) ผลการประเมนิ อยู่ในระดบั  ดี  ควรปรับปรงุ  ยังใชไ้ ม่ได้ ข้อเสนอแนะ…………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………….……………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………..………………

28 2.3. คณุ ภาพการนาเสนอ (ภาพประกอบ ตาราง แผนภูมิ การอ้างองิ ) ผลการประเมิน อยู่ในระดบั  ดี  ควรปรับปรุง  ยังใชไ้ ม่ได้ ข้อเสนอแนะ………………………………………………………………………………………………………………………….……… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สรุปผลการประเมิน บทความน้ี ดมี าก ดี พอใช้ ................................................................... (.................................................................) กรรมการผ้ปู ระเมิน ............/............/..........

29 ภาคผนวก ข ตวั อย่างแบบประเมินคณุ ภาพบทความ เพ่อื พจิ ารณาผลงานวิชาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาชีวศึกษาระดับชาติ ครัง้ ท่ี 3 สถาบันการอาชีวศกึ ษาภาคตะวันออก

30 ตวั อย่าง แบบประเมนิ คณุ ภาพบทความ เพ่ือพิจารณาผลงานวชิ าการเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมอาชีวศึกษาระดับชาติ ครงั้ ที่ 3 สถาบนั การอาชีวศกึ ษาภาคตะวันออก สาขา : ส่ิงประดิษฐ์ การเรียนการสอน ช่อื เรื่อง : (ภาษาไทย) ช่ือเรื่อง : (ภาษาอังกฤษ) คาชี้แจง ขอให้ท่านดาเนินการประเมินผลงานวิจัย โดยมีประเด็นของการประเมินดังตารางการประเมิน ถ้าท่านมี ข้อแนะนาเพิ่มเติมกรุณาเขียนลงในแบบฟอร์มน้ี เพื่อแจ้งเจ้าของผลงานต่อไป ท้ังน้ี จะไม่มีการเปิดเผยชื่อผู้ ประเมนิ ลาดบั ท่ี ประเด็นการประเมนิ ผา่ น แก้ไข 1 ชื่อเรอ่ื งภาษาไทย 2 ชอ่ื เร่ืองภาษาอังกฤษ 3 บทคดั ย่อ 4 Abstract (บทคัดยอ่ ภาษาองั กฤษ)

ลาดบั ท่ี ประเด็นการประเมนิ ผ่าน 31 5 คาสาคญั แกไ้ ข 6 Keywords (คาสาคญั ภาษาอังกฤษ) 7 บทนา 8 แนวคิด ทฤษฎที เ่ี ก่ยี วข้อง (ถ้าม)ี

ลาดับท่ี ประเด็นการประเมนิ ผา่ น 32 9 วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย แกไ้ ข 10 สมมติฐาน (ถา้ มี) 11 กรอบแนวคดิ ในการวิจัย (ถ้ามี) 12 วิธดี าเนนิ การวจิ ยั 13 ผลการวจิ ัย

ลาดบั ที่ ประเดน็ การประเมนิ ผ่าน 33 14 การอภิปรายผลการวิจยั แก้ไข 15 ขอ้ เสนอแนะ 16 กติ ติกรรมประกาศ (ถา้ มี) 17 การอา้ งอิง

34 สรปุ ผลการประเมนิ :สมควรตพี ิมพเ์ ผยแพรไ่ ด้ :ดาเนนิ การปรบั ปรงุ ตามขอ้ เสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ :ไม่สมควรตีพิมพ์เผยแพร่ รูปแบบการนาเสนอท่ี :ภาคบรรยาย เหมาะสม :โปสเตอร์ คณุ ภาพของบทความ :ดีเด่น วจิ ยั :ดี :พอใช้ ขอ้ เสนอแนะตา่ งๆ หรือ เหตุผลประกอบการประเมนิ ผปู้ ระเมิน ลงชอื่ .................................................................... (...................................................................) วนั ท่ี ................/.................................../................ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก เลขที่ 086/13 ถนนตากสินมหาราช ตาบลท่าประดู่ อาเภอเมือง จงั หวัดระยอง 21000 โทรศัพท์ 038-616434 โทรสาร 038-616435

35 ภาคผนวก ค ตวั อย่างบทความวจิ ยั

การประชุมวชิ าการเทคโนโลยแี ละนวัตกรรมอาชวี ศกึ ษาระดับชาติ คร้ังท่ี 3 หนา้ 501 การพฒั นาชุดสาธติ การตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบลิ คอนโทรลเลอร์ DEVELOPMENT OF A DEMONSTRATION SET METAL SENSING CONTROL BY PROGRAMMABLE CONTROLLER สุดารตั น์ แสนสุข1 อาไพ สุชาโต2 จริ วัฒน์ ยอ่ งซอ่ื 3 Sudarat Sansuk1 Aumpai Sucharto2 Jirawat Yongsue3 บทคดั ย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) สร้างชุดสาธิตการตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิล คอนโทรลเลอร์ 2) หาประสิทธิภาพของชดุ สาธติ การตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้ชุดสาธิตการตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์ กลุ่ม ตวั อยา่ งทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั ในคร้ังนี้ ไดแ้ ก่ ครูผู้สอนรายวชิ าระบบควบคุมในงานอุตสาหกรรม สถานศึกษาในสังกัด สถาบนั การอาชีวศึกษาภาคใต้ จานวน 20 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ แบบประเมินคุณภาพโดยผ้เู ช่ียวชาญ แบบบันทึกขอ้ มูล และแบบสอบถามความพงึ พอใจของชดุ สาธิต สถิติที่ใช้ ในการวจิ ัยไดแ้ ก่ คา่ เฉลยี่ ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน การเกบ็ ขอ้ มลู โดยนดั หมายวนั เวลากับกลุ่มตัวอย่าง เพ่ือนาชุด สาธิตไปให้ทดสอบการทางาน และเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนาไปวิเคราะห์ผลต่อไป ผลการวิจัยพบว่า ผู้เช่ียวชาญเห็นด้วยกับคุณภาพของชุดสาธิตท่ีสร้าง ด้านโครงสร้างอยู่ในระดับมากท่ีสุด (ค่าเฉลี่ย 4.74) ด้าน การนาไปใช้งาน อยู่ในระดับมากท่ีสุด (ค่าเฉล่ีย 4.68) และด้านการออกแบบอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉล่ีย 4.56) จากการทดสอบการทางานของชดุ สาธติ มีประสิทธิภาพในการตรวจจับโลหะ มีความถูกต้อง คิดเป็นร้อยละ 100 และความพึงพอใจของผู้ใช้งานชุดสาธิตที่สร้างข้ึน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สดุ (คา่ เฉล่ยี 4.70) คาสาคัญ: ชุดสาธิต, โปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์ 1 วทิ ยาลัยเทคนคิ ตรงั สถาบันการอาชวี ศกึ ษาภาคใต้ 2 2 วิทยาลยั เทคนิคตรงั สถาบันการอาชวี ศึกษาภาคใต้ 2 3 วิทยาลยั เทคนคิ ตรัง สถาบนั การอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 1 Trang Technical Collage : Institute Southern Region 2 2 Trang Technical Collage : Institute Southern Region 2 3 Trang Technical Collage : Institute Southern Region 2 1 E-mail: [email protected] 2 E-mail: [email protected] 3 E-mail: [email protected]

การประชุมวิชาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาชวี ศึกษาระดบั ชาติ ครัง้ ท่ี 3 หน้า 502 Abstract The objectives of the research were 1) to construct the Metal Sensing Demonstration Set controlled by Programmable Controller 2) to find the efficiency of the Metal Sensing Demonstration Set controlled by Programmable Controller 3) to study the satisfaction of users. The sampling groups were 20 vocational instructors who were selected by specific group who also teach Industry Control System Course in the Vocational Education Institute, 2 nd. Southern Region.The research tools were the qualification form evaluated by the experts, data recording form and satisfaction questionnaire. The statistics used were mean and standard deviation. The data was collected when the sampling group were appointed to examine Metal Sensing Demonstration Set controlled by Programmable Controller. The research found that the experts agreed with the quality followed by the structure aspect at the highest level ( = 4.74) the usage aspect at the highest level of 4.68, and the design aspect at the high level ( = 4.56). The efficiency has met the criteria at 100 percent. The overall satisfaction is at the highest level ( = 4.70) บทนา การเรียนการสอนในรายวิชาการโปรแกรมและควบคุมไฟฟูา รหัสวิชา 2104-2109 ระดับชั้นปีท่ี 3 แผนกวิชาไฟฟูากาลัง หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2556 เป็นวิชาท่ีอยู่ในหมวดวิชาชีพ สาขาวิชา ผู้เรียนที่เข้ามาเรียนในรายวิชาน้ีต้องเป็นผู้ที่มีความคุ้นเคยในการเรียนทางด้านวิชาชีพ มีความรู้ ความสามารถและผ่านการเรียนทางดา้ นสาขาไฟฟูากาลัง เพ่ือให้ผู้เรียนมีความสามารถในการนาความรู้ต่าง ๆ มาใชใ้ นการเรียน และพัฒนาใหผ้ ูเ้ รยี นมเี จตคตทิ ด่ี ใี นการเรียน เป็นเครื่องมือในการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับ ตนเองในอนาคต แต่ในสภาพปัจจุบันการจัดการเรียนการสอนวิชาการโปรแกรมและควบคุมไฟฟูา ผลสัมฤทธ์ิ การเรียนรู้ของผู้เรียนในด้านความสามารถการออกแบบโปรแกรมการควบคุม โดยใช้โปรแกรมเมเบิล คอนโทรลเลอร์ อยใู่ นระดบั ต่ากว่าเกณฑ์ จากปัญหาดังกล่าวจึงมีความจาเป็นทตี่ ้องหาทางแก้ไขและพัฒนาการ เรียนรู้ของผู้เรียน ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้ตามแนวพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ตามหมวด 1 มาตรา 6 กล่าวว่า การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทย ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้ง รา่ งกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นได้อย่างมีความสุข จาเป็นต้องเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการจัดการเรียนการสอนทั้งครูผู้สอนและผู้เรียน กล่าวคอื ตอ้ งลดบทบาทของครูผ้สู อนจากการเปน็ ผู้บอก ผู้บรรยาย ผู้สาธิต เป็นการวางแผนกิจกรรมให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ กิจกรรมต่าง ๆ จะต้องเน้นที่บทบาทของผู้เรียนตั้งแต่แรกเริ่ม คือการวางแผนการเรียน การ วัดผลประเมินผล และต้องคานึงว่ากิจกรรมการเรียนน้ันเน้นการพัฒนากระบวนการคิด การวางแผนลงมือ

การประชุมวิชาการเทคโนโลยแี ละนวัตกรรมอาชวี ศกึ ษาระดับชาติ คร้งั ที่ 3 หน้า 503 ปฏบิ ัติ ศกึ ษา คน้ คว้า รวบรวมขอ้ มูลด้วยวิธีการตา่ ง ๆ จากแหล่งเรียนรู้หลากหลายตรวจสอบ วิเคราะห์ข้อมูล การแก้ปัญหาและการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน การสร้างคาอธิบายเก่ียวกับข้อมูลท่ีสืบค้นได้ เพ่ือนาไปสู่ คาตอบของปัญหาหรือคาถามต่าง ๆ ในท่ีสุดสร้างองค์ความรู้ ทั้งน้ีกิจกรรมการเรียนรู้ต้องพัฒนาผู้เรียนให้ เจริญก้าวหน้า พัฒนาทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา พัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ ในการออกแบบ การเรียนรู้ควรมีเนอื้ หาท่ีเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน ความหลากหลายเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนด้วยความสนใจ และอย่างมีความสุข การเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนและผู้สอนจะต้องมีการปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เพ่ือให้การ จัดการเรียนการสอนบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ ผ้วู ิจัยไดท้ าการศึกษาและจดั ทาชดุ สาธิตการตรวจจับโลหะควบคุมด้วย โปรแกรมเมเบลิ คอนโทรลเลอร์ โดยสง่ เสรมิ ให้มกี ิจกรรมรว่ มกันระหว่างผูเ้ รยี นและผ้สู อน ผู้เรียนสามารถลงมือ ปฏบิ ัติงานได้จริงเน้นกระบวนการคดิ และการสรา้ งองค์ความรูด้ ้วยตนเอง ทั้ ง นี้ ผู้ วิ จั ย ไ ด้ อ อ ก แ บ บ แ ล ะ ส ร้ า ง ชุ ด ส า ธิ ต ก า ร ต ร ว จ จั บ โ ล ห ะ ค ว บ คุ ม ด้ ว ย โ ป ร แ ก ร ม เ ม เ บิ ล คอนโทรลเลอร์ เพอ่ื ใช้เปน็ สือ่ การเรียนการสอน โดยเนน้ ผูเ้ รยี นเปน็ สาคญั ทาให้ผเู้ รยี นเปน็ คนเก่ง คนดี แบ่งปัน ความรซู้ ึง่ กันและกนั เรยี นอยา่ งมีความสขุ เป็นสือ่ ชว่ ยกระตุ้นความสนใจ ทาให้ผู้เรียนเกิดความสุข สนุกสนาน ในการเรียน ให้ผู้เรียนใช้ฝึกฝนเพื่อเพ่ิมพูนทักษะในด้านต่าง ๆ มีผลทาให้เกิดเจตคติที่ดีในการเรียน อันจะได้ เปน็ แนวทางในการพฒั นาการคดิ ของผู้เรียนให้มปี ระสิทธิภาพและประสทิ ธผิ ลต่อไป วัตถุประสงค์การวิจยั 1. เพอื่ สรา้ งชดุ สาธติ การตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์ 2. เพ่ือหาคุณภาพของชดุ สาธติ การตรวจจบั โลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบลิ คอนโทรลเลอร์โดย ผเู้ ชย่ี วชาญ 3. เพอ่ื หาประสทิ ธิภาพชุดสาธติ การตรวจจบั โลหะควบคุมดว้ ยโปรแกรมเมเบลิ คอนโทรลเลอร์ 4. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้ชุดสาธิตการตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิล คอนโทรลเลอร์ กรอบแนวคิดในการวจิ ัย การพัฒนาชุดสาธิตการตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์ ได้กาหนดกรอบ แนวคดิ ในการวจิ ยั ดงั น้ี ตัวแปรตน้ ชุดสาธติ การตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์ ตัวแปรตาม 1. คุณภาพของชุดสาธติ การตรวจจบั โลหะควบคมุ ด้วยโปรแกรมเมเบลิ คอนโทรลเลอร์โดย ผ้เู ชีย่ วชาญ 2. ประสทิ ธภิ าพชุดสาธติ การตรวจจับโลหะควบคุมดว้ ยโปรแกรมเมเบลิ คอนโทรลเลอร์ 3. ความพึงพอใจของผู้ใช้ชุดสาธิตการตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิล คอนโทรลเลอร์

การประชมุ วิชาการเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมอาชวี ศกึ ษาระดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 3 หนา้ 509 3. ความพึงพอใจของผู้ใช้งานชุดสาธิตการตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด สอดคล้องกับศุภชัย จันทร์ประดิษฐ์ [3] พบว่าความพึงพอใจของผู้ใช้เครื่อง ล้างไข่เคม็ ระบบรไี ซเคลิ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยในระดับมากทสี่ ุด ขอ้ เสนอแนะ 1. เพื่อประโยชน์ในการใช้งานที่หลากหลาย ควรจะมีตัวเซนเซอร์หลาย ๆ ชนิด เพื่อการตรวจจับท่ี หลากหลาย 2. ควรจัดทาชุดสาธิตท่ีมีการทางานร่วมกับทัชสกรีนเพ่ือให้ผู้ใช้งาน สามารถเห็นกระบวนการการ ทางานของระบบควบคมุ ในรปู กราฟฟิค เพื่อจะเป็นการช่วยเพิ่มความรคู้ วามเข้าใจมากย่ิงขึ้น 3. ควรจัดทาชุดทดลองที่มีการต่อใช้งานโปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์ท่ีต่อร่วมกับสัญญาณ แอนะลอกอนิ พุตและแอนะลอกเอาตพ์ ุตท่ีเป็นการควบคมุ แบบวงรอบปิด (Closed loop Control) เอกสารอ้างองิ [1] กันตภณ พร้ิวไธสง. (2557). เครอ่ื งคดั แยกวัตถุอตั โนมัตติ ามสายพานลาเลยี ง. วารสารวจิ ัยมหาวิทยาลยั สถาบนั เทคโนโลยรี าชมงคลตะวนั ออก. 7(1), 88-96. [2] ณัฐดนยั เรอื นคา. (2561). แบบจาลองเคร่อื งคดั แยกโลหะและอโลหะอัตโนมัตบิ นสายพานลาเลยี ง. วารสารวชิ าการสถาบนั ภาคใต้ 1. 3(2), 43-53. [3] ศภุ ชัย จันทร์ประดษิ ฐ,์ สัจกร ทองมเี พชร, สรุ ยิ า กันลือนาม และศริ ิพงศ์ เพชรนาค. (2559). การสร้าง เครื่องลา้ งไข่เค็มระบบรีไซเคิลน้า. วารสารวชิ าการสถาบันการอาชวี ศกึ ษาภาคใต้1. 1(2),30-38.

การประชุมวชิ าการเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมอาชีวศึกษาระดับชาติ ครง้ั ท่ี 3 หน้า 504 วธิ กี ารดาเนนิ การวิจัย การสร้างชดุ สาธิตการตรวจจบั โลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบลิ คอนโทรลเลอร์ มขี ้นั ตอนการ ดาเนนิ การดงั น้ี ภาพ 1 ขน้ั ตอนการสร้างชดุ สาธติ การตรวจจบั โลหะควบคมุ ด้วยโปรแกรมเมเบลิ คอนโทรลเลอร์ 1. ศึกษาข้อมูลและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับการสร้างชุดสาธิตการตรวจจับโลหะควบคุมด้วย โปรแกรมเมเบลิ คอนโทรลเลอร์ 2. ออกแบบ และสร้างชุดสาธิตการตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์ โดยจาลองกระบวนการทางานในดา้ นอุตสาหกรรม เพื่อใหเ้ กดิ การเรยี นรูไ้ ดง้ ่ายและสะดวกในการใช้งาน

การประชมุ วชิ าการเทคโนโลยแี ละนวัตกรรมอาชีวศกึ ษาระดบั ชาติ คร้งั ที่ 3 หนา้ 505 ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง 1. ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ ครูผู้สอนรายวิชาการโปรแกรมและควบคุมไฟฟูา สาขาวิชา ไฟฟาู กาลงั สงั กัดสถาบนั การอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 2. กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาได้แก่ ครูผู้สอนรายวิชาการโปรแกรมและควบคุมไฟฟูา สาขาวิชาไฟฟูากาลัง สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 จานวน 20 คน โดยการเลือกสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Random Sampling) เครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการวิจยั 1. แบบประเมินคุณภาพของชุดสาธิต เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบ่งการ ประเมนิ เปน็ 3 ด้าน ได้แก่ ดา้ นโครงสรา้ ง ด้านการออกแบบ และด้านการใช้งาน 2. แบบบนั ทกึ ผลการทดสอบการทางานเพอื่ หาประสทิ ธภิ าพการทางานของชดุ สาธติ 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของผ้ใู ช้ชุดสาธติ จานวน 10 ขอ้ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 1. การหาคุณภาพของชุดสาธิตการตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์ ดาเนนิ การโดย 1) กาหนดรายช่ือผู้เชี่ยวชาญ ซ่ึงเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการสอนในรายวิชาการโปรแกรม และควบคุมไฟฟูา ไม่น้อยกวา่ 5 ปี จานวน 5 คน 2) นาชุดสาธิตท่สี รา้ งเสรจ็ เรียบร้อยให้ผู้เช่ยี วชาญตรวจสอบ ผ้วู ิจัยอธิบายสว่ นโครงสร้างและ ประกอบต่าง ๆ พรอ้ มท้งั สาธิตการใชง้ านให้ผู้เช่ียวชาญได้พิจารณา ให้คาแนะนา และประเมินคุณภาพของชุด สาธิตทส่ี ร้างขนึ้ ด้วยแบบประเมินผล 3) ปรับปรงุ แกไ้ ขชดุ สาธิตตามคาแนะนาของผู้เช่ียวชาญเพ่ือให้ชุดสาธิตที่สร้างมีคุณภาพตาม เกณฑท์ ี่กาหนด 2. การหาประสิทธิภาพการทางานของชุดสาธิต การตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิล คอนโทรลเลอร์ โดยทาการทดสอบการทางานของชุดสาธิตให้ตรวจจับช้ินงานแล้วบันทึกผลการทดลองเพ่ือหา ประสิทธภิ าพของชดุ สาธติ 3. การศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานชุดสาธิตการตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิล คอนโทรลเลอร์ โดยนาชุดสาธติ ไปใหค้ รูผสู้ อนรายวชิ าการโปรแกรมและควบคุมไฟฟูา จานวน 20 คน ทดสอบ ใช้งาน การวิเคราะหข์ ้อมลู 1. การประเมินคุณภาพของชุดสาธิตโดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉล่ีย และค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน แล้วเทียบค่าเฉลี่ยกับระดับชั้นคณุ ภาพ ดงั นี้ 4.50–5.00 หมายถึง มคี ุณภาพมากทส่ี ดุ 3.50–4.49 หมายถงึ มีคุณภาพมาก

การประชมุ วิชาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาชีวศึกษาระดบั ชาติ คร้ังที่ 3 หน้า 506 2.50–3.49 หมายถงึ มีคุณภาพปานกลาง 1.50–2.49 หมายถงึ มีคณุ ภาพน้อย 1.00–1.49 หมายถึง มคี ณุ ภาพนอ้ ยที่สุด หากคา่ เฉลย่ี ทไี่ ด้มคี ่าไมต่ า่ กว่าระดับมาก แสดงว่าชดุ สาธติ ท่สี ร้างขน้ึ มคี ณุ ภาพ 2. การหาประสิทธิภาพของชุดสาธิต พิจารณาตามเกณฑท์ ก่ี าหนดดงั นี้ สามารถคัดแยกช้ินงานที่เป็นโลหะได้แม่นยาทุกคร้ังตามเง่ือนไขท่ีกาหนดเทียบผลการ ทดสอบท่ีได้กับเกณฑ์ประสทิ ธิภาพ ดงั นี้ - ตรวจจบั ช้ินงานไดต้ ามเกณฑ์ที่กาหนด 80–100 % หมายถึงประสิทธภิ าพดมี าก - ตรวจจับช้นิ งานไดต้ ามเกณฑ์ทีก่ าหนด 70–79 % หมายถึงประสิทธิภาพดี - ตรวจจบั ชนิ้ งานไดต้ ามเกณฑ์ทก่ี าหนด 60–69 % หมายถงึ ประสิทธิภาพปานกลาง - ตรวจจับชน้ิ งานไดต้ ามเกณฑ์ท่ีกาหนด 50–59 % หมายถงึ ประสทิ ธิภาพตา่ หากผลการทดสอบท่ีได้มีประสิทธิภาพไม่ต่ากว่าระดับ ดีมาก แสดงว่าชุดสาธิตที่สร้างข้ึนมี ประสิทธภิ าพ 3. การศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้ชุดสาธิต โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉลี่ย และค่า เบย่ี งเบนมาตรฐาน แลว้ เทียบค่าเฉลยี่ กับช้ันคณุ ภาพดงั น้ี 4.50–5.00 หมายถงึ พงึ พอใจในระดบั มากทีส่ ดุ 3.50–4.49 หมายถึง พงึ พอใจในระดับมาก 2.50–3.49 หมายถงึ พงึ พอใจในระดับปานกลาง 1.50–2.49 หมายถึง พึงพอใจในระดบั นอ้ ย 1.00–1.49 หมายถงึ พึงพอใจในระดบั นอ้ ยท่สี ดุ หากค่าเฉลยี่ ทไ่ี ด้มีค่าไม่ต่ากว่าระดับมาก แสดงว่าชุดสาธิตทีส่ รา้ งขึน้ มีคณุ ภาพ ผลการวิจัย 1. ชุดสาธิตการตรวจจบั โลหะควบคุมดว้ ยโปรแกรมเมเบลิ คอนโทรลเลอร์ที่สร้างขน้ึ ดงั ภาพ 2 ภาพ 2 ชดุ สาธติ การตรวจจับโลหะควบคมุ ดว้ ยโปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์

การประชุมวิชาการเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมอาชวี ศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 3 หนา้ 507 2. ผลการประเมินคุณภาพของชุดสาธิตการตรวจจับโลหะควบคุมด้วย โปรแกรมเมเบิล คอนโทรลเลอร์ตามความคิดเหน็ ของผ้เู ชยี่ วชาญ ดังตาราง 1 ตาราง 1 ผลการประเมินคุณภาพชุดสาธติ โดยผู้เชย่ี วชาญ ผลการประเมนิ แปลผล ข้อ รายการประเมิน X S.D. มากทสี่ ดุ มากที่สุด 1. ดา้ นโครงสรา้ ง 4.74 0.34 มากทีส่ ุด 2. ดา้ นการออกแบบ 4.56 0.64 มากที่สุด 3. ด้านการนาไปใช้งาน 4.68 0.48 โดยภาพรวม 4.66 0.49 จากตาราง 1 ผลการประเมินคุณภาพชุดสาธิตการตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิล คอนโทรลเลอร์ ด้านโครงสร้าง ด้านการออกแบบ และด้านการนาไปใช้งาน โดยภาพรวมมีค่าเฉล่ีย 4.66 มี คณุ ภาพอยใู่ นระดบั มากทสี่ ดุ 3. ผลการหาประสิทธภิ าพการตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบลิ คอนโทรลเลอร์ ดงั ตาราง 2 ตาราง 2 ประสทิ ธภิ าพการทางานของชุดสาธติ การตรวจจับโลหะควบคมุ ด้วยโปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์ โดยทดสอบกบั ชน้ิ งาน จานวน 10 ช้นิ คร้ังท่ี จานวนชนิ้ งาน จานวนชนิ้ งานโลหะท่ี ความถูกตอ้ ง ตรวจจับได้ โลหะ อโลหะ 1 10 0 10 100% 29 1 9 100% 38 2 8 100% 47 3 7 100% 56 4 6 100% จากตาราง 2 เมื่อทาการทดสอบการทางานของชุดสาธิตการตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเม เบลิ คอนโทรลเลอร์ พบวา่ ชุดสาธิตที่สร้างข้ึน สามารถตรวจช้ินงานที่เป็นโลหะได้แม่นยาและถูกต้องท้ัง 5 ครั้ง แสดงวา่ ประสทิ ธิภาพของชุดสาธติ คดิ เปน็ ร้อยละ 100 4. ผลการศึกษาความพงึ พอใจของผ้ใู ช้งานชดุ สาธติ การตรวจจับโลหะควบคมุ ดว้ ยโปรแกรมเมเบลิ คอนโทรลเลอร์ ดังตาราง 3

การประชุมวิชาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาชวี ศึกษาระดับชาติ คร้งั ที่ 3 หน้า 508 ตาราง 3 ผลการประเมนิ ความพึงพอใจของผูใ้ ชง้ านชุดสาธติ ผลการประเมิน แปลผล X S.D. ข้อ รายการประเมนิ 4.65 0.65 มากทสี่ ุด 4.60 0.80 มากทส่ี ดุ 1 ถกู ตอ้ งมีคุณคา่ ทางวิชาการ 4.65 0.65 มากที่สดุ 2 ชดุ สาธติ มีความถูกต้องทนั สมยั 4.65 0.85 มากที่สุด 3 รปู แบบขนาดและน้าหนกั เหมาะสม 4.80 0.40 มากท่ีสุด 4 ความเหมาะสมในการตดิ ตงั้ อุปกรณ์ 4.65 0.65 มากท่ีสดุ 5 มีความแข็งแรงและทนทาน 4.65 0.65 มากทส่ี ดุ 6 วัสดุอปุ กรณท์ ่ีใช้สรา้ งเหมาะสมกบั ชุดสาธติ 4.85 0.48 มากทสี่ ุด 7 มีความสะดวกในการใชง้ านและเคล่อื นย้ายได้งา่ ย 4.65 0.65 มากทสี่ ุด 8 ความน่าสนใจในการเรยี นรู้และใช้งาน 4.80 0.51 มากที่สดุ 9 มคี วามปลอดภัยในการใชช้ ุดสาธิต มากท่ีสดุ 10 ชุดสาธติ /คูม่ ือการใชง้ าน มคี วามชดั เจนและเขา้ ใจง่าย 4.70 0.63 รวม จากตาราง 3 แสดงใหเ้ หน็ ว่าผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อชุดสาธิตการตรวจจับโลหะควบคุม ด้วยโปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ย 4.70 แสดงว่าความพึงพอใจของผู้ใช้งานท่ีมีต่อชุด สาธติ ดงั กล่าวอยูใ่ นระดบั มากทีส่ ุด การอภปิ รายผลการวจิ ัย 1. ผลการประเมินด้านคุณภาพของชุดสาธิตการตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิล คอนโทรลเลอร์ โดยภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับมากท่ีสุด ค่าเฉล่ีย 4.66 ซ่ึงสอดคล้องตามสมมติฐานท่ีต้ังไว้ และ สอดคล้องกับผลการวิจัยของ กันตภณ พล้ิวไธสง [1] เคร่ืองคัดแยกวัตถุอัตโนมัติตามสายพานลาเลียง ผลการ ทดลองการทางานของชุดคัดแยกวัตถุแบบสายพานลาเลียง พบว่าสามารถคัดแยกวัตถุท่ีเป็น พลาสติก ไม้ เหล็ก และสามารถผลักวัตถุในตาแหน่งที่ต้องการได้ถูกต้อง โปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์ได้ทางานตาม โปรแกรมอย่างถกู ต้อง 2. ประสิทธิภาพการตรวจจับโลหะควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์ พบว่าชุดสาธิตท่ี สร้างขึ้นสามารถตรวจจับและคัดแยกช้ินงานที่เป็นโลหะได้แม่นยาทุกครั้งที่ทาการทดสอบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ชุดสาธิตที่สร้างขึ้นสามารถตรวจจับโลหะได้ตามค่าท่ีกาหนด และมีประสิทธิภาพในการทางานคิดเป็นร้อยละ 100 สอดคล้องกบั ณฐั ดนยั เรือนคา [2] ไดท้ าการสร้างแบบจาลองเคร่ืองคัดแยกโลหะและอโลหะอัตโนมัติบน สายพานลาเลียง พบว่าประสิทธิภาพการทางานของแบบจาลองท่ีสร้างข้ึนสามารถจาแนกวัตถุและตาแหน่งที่ ต้องการคดั แยกวัตถทุ ี่เป็นโลหะและอโลหะได้อย่างถูกต้อง แมน่ ยาคิดเปน็ ร้อยละ 100

การประชมุ วชิ าการเทคโนโลยีและนวตั กรรมอาชวี ศกึ ษาระดบั ชาติ ครัง้ ที่ 3 หนา้ 356 การพฒั นาแอปพลเิ คชนั ระบบล็อกประตูผา่ นสญั ญาณบูลทูธ DEVELOPMENT OF APPLICATION FOR DOOR LOCKING SYSTEM VIA BLUETOOTH SIGNAL ฉันทท์ ิพย์ ลลี ติ ธรรม1 มารยาท ปานเพง็ 2 และกรกช สุวรรณวงค์3 Chantip Leelitthum1 Marayar Panpeng2 And Korakot Suwanwong3 บทคดั ยอ่ การวิจัยในคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันระบบล็อกประตูผ่านสัญญาณบูลทูธ โดย แอปพลิเคชันดังกล่าวผู้ใช้สามารถสั่งให้เปิดหรือปิดกลอนไฟฟูา โดยเปิดแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนและใส่ รหัสผ่านทาให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวก ความปลอดภัยแทนการใช้แม่กุญแจแบบธรรมดา และคณะผู้จัดทาได้ สร้างแบบสอบถามเพื่อประเมินความพึงพอใจจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นพนักงานการไฟฟูาฝุายผลิตแห่งประเทศ ไทยจานวน 30 คน ผลการวิจัยในคร้ังนี้ พบว่า แอปพลิเคชันท่ีสามารถส่ังการเปิดหรือปิดกลอนประตูไฟฟูา ได้ตาม ต้องการและสามารถดูประวัติการเปิด-ปิดประตูย้อนหลังได้ ผู้ใช้งานสามารถ Register เพ่ือให้ได้ Username และ Password สาหรับการ Login นอกเหนือจากน้ีผู้ใช้สามารถ Change Password ได้แต่หากเกิดกรณี ฉุกเฉินเช่น โทรศัพท์หายหรือแบตเตอร์รีหมดผู้ใช้งานสามารถใส่รหัสผ่านเปิดกลอนประตูไฟฟูาได้ด้วย Keypad และผลการประเมินความพึงพอใจ พบว่า ค่าความพึงพอใจรายด้านเรียงลาดับจากมากถึงน้อยดังน้ี การออกแบบแอปพลิเคชันมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.34 การใช้งานแอปพลิเคชันมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 ซึ่งแสดงให้ เห็นวา่ คา่ ความพงึ พอใจโดยรวมทีม่ ตี อ่ แอปพลิเคชนั อยู่ในระดบั พอใจมากมีคา่ เฉล่ียเทา่ กับ 4.32 คาสาคญั : ไมโครคอนโทรลเลอร์ บอร์ดอดุยโน่ แอปพลิเคชนั ระบบล็อกประตู 1,2อาจารย์ประจาหลกั สตู ร สาขาวิชา คอมพิวเตอรธ์ ุรกจิ วิทยาลัยพณิชยการธนบรุ ี สถาบันการอาชวี ศึกษากรงุ เทพมหานคร 3นักศกึ ษาระดบั ปริญญาตรี สาขาวชิ า คอมพวิ เตอรธ์ ุรกจิ วิทยาลยั พณิชยการธนบุรี 1,2Lecturer, Computer Business, Thonburi Commercial college, Institute of Vocational Education Bangkok 3 Undergraduate students Computer Business, Thonburi Commercial college, Institute of Vocational Education Bangkok Email:[email protected]

การประชมุ วิชาการเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมอาชวี ศึกษาระดับชาติ ครง้ั ท่ี 3 หน้า 357 Abstract The objective of this research were to develop an application for a Bluetooth enabled door locking system. Using such as application, users can lock or unlock the electronic locking system by opening the application on their smartphone and entering their password, which is more convenient safer than traditional locking systems. The researchers had created the questionnaires to evaluate the satisfaction of 30 users from the Electricity Generating Authority of Thailand. It was found that the application was usable for locking and unlicking the electronic locking system on demand and was able to search for lock-unlock history, Users could register to get the username and password for login and they can also change their password whenever they prefer. In case of emergency like loss of phone or dead battery, users could unlock using the built in keypad. Keywords : Microcontroller, Arduino Broad, application, door locking system บทนา ด้วยเทคโนโลยคี อมพิวเตอรแ์ ละระบบสารสนเทศ ในยุคปจั จบุ ันมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมี การพัฒนาแอปพลิเคชั่นและนวัตกรรมข้ึนอย่างมากมาย โดยการแนวทางในการออกแบบและพัฒนาได้นาเอา ความสามารถของเทคโนโลยีดังกล่าวมาพัฒนาให้แอปพิเคชั่นและนวัตกรรมสามารถทางานได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นลาดับทาให้เห็นได้ว่า เทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามามีบทบาทช่วยอานวยความสะดวกใน ชีวิตประจาวันมากขึ้น การนาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับชีวิตประจาวันนั้นทาได้หลากหลายตามแต่ ความต้องการของผู้ใช้ ดังคากล่าวท่ีว่ายุคนี้เป็นยุคของ อินเทอร์ออฟซิง (Internet of Things) หรือ ไอโอที (IoT) น่ันเอง ยุคไอโอที เป็นยุคที่นาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้มีความสามารถเช่ือมต่อกันได้โดยผ่านระบบ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต แนวคิดของ IoT น้ันได้ถูกคิดค้นโดย Kevin Ashton เม่ือปี ค.ศ.1999 เร่ิมจาก เทคโนโลยี Radio Frequency Identification (RFID) ซึ่งเป็นระบบท่ีนาเอาคล่ืนวิทยุมาใช้ในการส่ือสาร ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์สองชนิด [1] ต่อมาเทคโนโลยี ไดพ้ ฒั นาอย่างรวดเร็วจงึ ทาให้เกิดนวัตกรรมท่ีคอยอานวย ความสะดวกในการใช้ชีวิตประจาวันอย่างต่อเน่ือง แต่อย่างไรก็ตามส่ิงที่สาคัญอย่างหนึ่งที่มีความสาคัญ เทียบเคียงกับเทคโนโลยีท่ีทันสมัยในปัจจุบันและเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการเป็นพ้ืนฐานที่สาคัญ ได้แก่ ความ ปลอดภัยในชวี ติ และทรพั ย์สนิ ปจั จบุ ันอาชญากรรมเกิดข้ึนอย่างเป็นจานวนมาก เช่น การลักทรัพย์ การบุกรุก ที่พักอาศัย หรือการทาร้ายร่างกาย ทาให้การปูองกันตัวเองจากอาชญากรรมท่ีเกิดขึ้นโดย ไม่คาดคิดเป็น สิ่งจาเป็น โดยเฉพาะการบุกรกุ ที่พักอาศัยการเลือกใช้วิธีการที่เป็นพ้ืนฐานท่ีสุดคือ การล็อกประตู หน้าต่าง ให้ แน่นหนา แต่ในบางครั้งก็มีเหตุการณ์ท่ีเจ้าของท่ีพักอาศัยหลงลืมหรือทาลูกกุญแจสูญหาย โดยตั้งใจหรือไม่ก็