Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การสร้างสรรค์สื่อโทรทัศน์ดิจิทัล

การสร้างสรรค์สื่อโทรทัศน์ดิจิทัล

Published by สมโภช การะเวก, 2019-07-24 13:34:08

Description: หนังสือบทเรียน

Search

Read the Text Version

ค�ำ นำ� การเรียบเรยี งเอกสรประกอบการเรียนการสอนรายวิชา 355448 การสรา้ งสรรค์ส่อื โทรทัศนด์ จิ ิทัล Creativity in Digital Television Media เป็นสว่ นหนึง่ ของการจัดการเรยี นการ สอนในรายวิชาเทคโนโลยสี ื่อสิง่ พมิ พ์ เรยี บเรยี งโดยนิสิตหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑติ (เทคโนโลยี สือ่ สารการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์มหาลยั นเรศวร) ผู้เรียบเรียงหวังว่าการเรียบเรียงครั้งน้ี มปี ระโยชน์ตอ่ ผสู้ นใจไมม่ ากก็น้อย



สารบญั เรื่อง หนา้ บทที่ 1 ประวัติความเป็นมาของวิทยโุ ทรทัศน์ 1-8 ประวัตคิ วามเป็นมาของวทิ ยโุ ทรทัศน 3-8 บทที่ 2 ระบบสง่ สญั ญาณวทิ ยุโทรทศั น ์ 9-26 วิทยุโทรทัศน์ 11 การเกดิ สัญญาณภาพ 11-13 การเกิดภาพในหลอดภาพโทระทัศน์ 13 การกวาดภาพ (Scanning) 14-15 สญั ญาณซิงค ์ 15 กล้องโทรทัศน์ 16 ทางด้านเสียง 16-19 กลอ้ งโทรทัศน์สี 19-20 ความถ่ีทใี่ ชส้ ่งและรับวิทยโุ ทรทัศน ์ 20 ระบบวทิ ยุโทรทัศน์ 20-21 ภาพบนจอโทรทัศน ์ 21-26 บทที่ 3 วิทยโุ ทรทัศนก์ ับการศึกษา 27-46 วทิ ยุโทรทศั น์กบั การศึกษา 29 ข้อดีและประโยชน์ของโทรทศั น์ 30-31 การใช้วิทยุโทรทัศนก์ บั การศกึ ษา 32-33 ช้อจำ�กัดของวิทยุโทรทัศน ์ 33-34 ชนดิ ของวิทยุโทรทศั น ์ 34 โทรทัศน์เพอื่ การค้า 35 โทรทศั น์เพอ่ื การศึกษา 36 โทรทศั นเ์ พือ่ การสอน 36-37 สรุปคำ� ทเี่ ก่ียวขอ้ งกับโทรทัศนก์ ารศกึ ษา 37-40 การประเมินผลรายการโทรทศั น 40 วิธสี อนทางโทรทศั น์ 41-44



สารบญั เรอื่ ง หนา้ ครโู ทรทศั น์ที่ด ี 46 บทท่ี 4 การผลิตรายการโทรทศั น์ 47-72 การผลิตรายการโทรทัศน์ 49 รูปแบบการผลติ รายการวิทยุโทรทัศน 49 ขั้นตอนของการผลิตรายการโทรทศั น 50-57 บคุ ลากรผู้ผลติ รายการโทรทศั น 57-62 สถานท่ีสตูดิโอผลติ รายการโทรทัศน ์ 62-72 บทท่ี 5 การเขียนบทโทรทัศน์ 73-86 การเขยี นบทโทรทัศน์ 75 ขั้นตอนการเขยี นบทวิทยโุ ทรทศั น 75-76 ค�ำ ศัพท์ 76-83 องคป์ ระกอบของบทโทรทศั น ์ 83-84 ขน้ั ตอนการเขียนบทโทรทศั น ์ 84-86 บทที่ 6 ระบบการส่งสัญญาณโทรทศั น์ผ่านดาวเทยี ม 87-102 ระบบการสง่ สัญญาณโทรทัศนผ์ า่ นดาวเทียม 87-92 การส่งดาวเทยี มขนึ้ สอู่ วกาศ 93 ความถีท่ ี่ใช้กับการสอ่ื สารผ่านดาวเทยี ม 93-94 การถา่ ยทอดสญั ญาณผ่านดาวเทยี ม 94-100 การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทยี ม 101-102 บรรณานุกรกรม 103-106 บรรณานุกรกรม 105

บทท่ี 1 ประวัตคิ วามเปน็ มาของวทิ ยุโทรทัศน์ บทท่ี 1 ประวตั คิ วามเป็นมาของวิทยุโทรทัศน์ ความหมายของวทิ ยุโทรทศั น์ วทิ ยโุ ทรทัศน์ “TELEVISION” มาจากค�ำ ภาษากรกี และลาตนิ คำ�ว่า “TELE” มาจากภาษากรีก แปลวา่ “ไกล” ส่วนค�ำ ว่า “VISION” มาจากภาษา ลาตินว่า ‘VIDERE’ หมายความวา่ การเห็น เม่อื รวมคำ�สองค�ำ ข้าดว้ ยกัน แปลวา่ “การเห็นระยะไกล” (toseefar) นบั วา่ เปน็ ความหมายท่ีตรง เน่ืองจากเราตอ้ งการส่งภาพกบั เสยี งจากท่หี น่งึ ไปยังท่อี ีกแห่งหนึง่ โดยที่เคร่ืองสง่ กบั เคร่อื งรบั อยู่ หา่ งไกลกัน วทิ ยโุ ทรทัศน ์ (Television) หมายถึง การส่งและการรบั ภาพและเสยี งโดยเคร่อื งสง่ และ เครือ่ งรบั อิเล็คทรอนิคส์ ออกอากาศด้วยกระแสคลน่ื วิทยุ (Radio Frequency) วทิ ยุโทรทัศน์ หมายถึง การส่งผ่านสัญญาณ ทางอเิ ล็กทรอนกิ ส์ (Electronic transmission) ของภาพที่เคลอ่ื นไหวกบั เสยี งให้ไปด้วยกนั และใน เวลาเดียวกันอกี ด้วย “วีดทิ ศั น์” หรอื “วดิ โี อ” (VIDEO) คำ�นีม้ าจากภาษาลาตนิ วา่ “VIDERE” เช่นกนั ค�ำ วา่ วีดโิ อ เรามกั จะใชก้ บั การผลติ รายการวีดทิ ศั น์ หรอื เทปวดี ิทศั น์ ท่ีเรายังไมต่ อ้ งแพรภ่ าพออกอากาศ หรอื มกั จะมคี วามหมายรวมไปถงึ อปุ กรณเ์ ทปโทรทศั น์ ท่ใี ช้ในหนว่ ยงานราชการและสถานโี ทรทัศน์ ต่างๆ ก่อนทจี่ ะเปลยี่ นมาใช้ระบบดิจติ อล หรืออุปกรณว์ ดี โิ อเทปที่ใช้กนั ตามบ้านทวั่ ไป วตั ถปุ ระสงค์ หลกั ของวทิ ยุโทรทศั น์ ก็เพ่ือสรา้ งสมั ผัสการเหน็ ดว้ ยตาและการไดย้ นิ ด้วยหูของ คนเราในสง่ิ ตา่ งๆ ทอ่ี ยู่หา่ งไกล จงึ พยายามออกแบบสร้างให้วิทยแุ ละโทรทัศน ์ ท�ำ ในสง่ิ ทีต่ าและหูทำ� ได ้ กลา่ ว คือ ส่งิ ทีต่ ามองเห็นไดแ้ ก่ความสว่าง แสง ส ี รายละเอยี ดขนาด รูปรา่ ง และต�ำ แหนง่ ของวตั ถุ ส่วนหจู ะไดย้ นิ เสียงและสามารถแยกแยะไดว้ า่ เป็นระดับเสยี งสงู หรือต�ำ่ เสยี งดงั หรอื คอ่ ย นอกจาก นี้ยงั จะต้องออกแบบใหว้ ิทยโุ ทรทศั นส์ ามารถสง่ ผา่ นภาพและเสยี งไปยงั เคร่ืองรับโดยใหไ้ ด้ คุณภาพ ของภาพกับเสยี งที่ส่งไปยังเครอื่ งรับโดยใหไ้ ดค้ ณุ ภาพของภาพกบั เสียงเหมอื นเดมิ นั่นคือ จะตอ้ ง ท�ำ ใหส้ ่งิ ทจี่ ะมารบกวนการสง่ ผา่ นสัญญาณเกดิ ขน้ึ น้อยทส่ี ุด ในเรื่องของการส่งผ่านสัญญาณภาพ ของสงิ่ ตา่ งๆท่ปี รากฏในฉากจะตอ้ งแปลงใหเ้ ปน็ สญั ญาณทางไฟฟา้ แล้วสง่ ผ่านสญั ญาณน้นั ไปยัง ตัวกลาง ไมว่ ่าจะเป็น สายเคเบ้ลิ หรือ แพร่ภาพ ออกอากาศไปยงั เครอ่ื งรับ เพอ่ื ให้เครือ่ งรับแปลง สัญญาณไฟฟ้ากลบั มาเป็นภาพ ปรากฏใหเ้ ราเหน็ ทางหนา้ จอเหมอื นวตั ถุจริงทกุ ประการ เสียงก็จะ ใชก้ ระบวนการในท�ำ นองเดียวกนั กบั ภาพ กวา่ นกั วทิ ยาศาสตร์จะทำ�การค้นคว้าทดลอง จนไดเ้ ป็น อุปกรณว์ ทิ ยโุ ทรทศั นต์ ามหลักการ ดังกล่าวแลว้ 3

บทที่ 1 ประวตั คิ วามเป็นมาของวทิ ยโุ ทรทัศน์ และกลายมาเปน็ อุปกรณส์ อ่ื สารมวลชนซงึ่ เขา้ มามบี ทบาทและอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อ วงการส่ือสาร การบนั เทงิ การคา้ และการศกึ ษาของโลกในปัจจบุ นั ก็ต้องใชเ้ วลานานพอสมควร จงึ ขอลำ�ดับ เหตกุ ารณ์ซงึ่ เปน็ เรอ่ื งราวเก่ยี วกับววิ ัฒนาการของวทิ ยุโทรทัศนพ์ อสังเขป ดงั นี้ ประวัติการวิทยุโทรทัศน์ ปี 1873 ชายหนมุ่ ผู้ควบคุมระบบส่อื สารโทรเลขชาวไอริชโจ เซฟ เมย์ (Joseph May) ไดค้ ้นพบ photo electric cells และ selenium bars เขาพบวา่ เซเล เนยี มสมั ผัสกับแสงดวงอาทติ ย์ จะแสดงการเปล่ียนแปลงความเข้มของแสงและสามารถเปลย่ี นเป็น สญั ญาณไฟฟ้าได้ หมายความวา่ ขอ้ มูลน้ีจะถูกสง่ ผา่ นได้ ในปี 1875 บอสตนั สหรฐั อเมรกิ า จอร์จ แครี่ (George Carey) เสนอระบบการสำ�รวจของ จุดภาพ photoelectric cells รปู ที่ 1 photoelectric cells โฟโตอ้ ิเลก็ ทริกสเ์ ซล เป็นจุดส าคญั ทีจ่ ะก่อกำ�เนิดระบบการส่งภาพโทรทัศน์ในทางปฏบิ ัติ และ ปี 1884 โดยพอล Nipkow ไดจ้ ดสิทธิบัตรในเยอรมนีของระบบโทรทัศน์ท่สี มบรู ณ์ คุณลักษณะ ทโี่ ดด เด่นของระบบ Nipkow เป็นดิสกห์ มนุ aperture เกลยี วทใี่ ห้ทั้งการสง่ และรับเปน็ วิธีการทีง่ า่ ย และมี ประสทิ ธภิ าพในการกวาดสแกนภาพตามวธิ ีการของเขา จนกระทง่ั การการสแกนอิเล็กทรอนิกส์ ทุก ระบบการถา่ ยภาพโทรทศั น์ 4

บทที่ 1 ประวตั ิความเป็นมาของวิทยุโทรทศั น์ รปู ท่ี 2 ภาพแนวคดิ การสแกนภาพ ในปี 1908 ชาวสกอตแลนด์ แคมเบลล์ สวินดนั (A.A. Campbell Swinton) ได้ออกแบบ ระบบ คาร์โทดเรย์ (system of cathode ray tubes) ในปี 1925 วศิ วกรไฟฟา้ จากสกอตแลนด์ John Logie Baired ประสบความส�ำ รจ็ ในการสาธติ กระบวนการการสแกนกวาดภาพและการส่งภาพหน้า บุคคล วิธขี องเขาใชจ้ าน 2 แผ่นบนแกน เดยี วกัน ในปี 1926 เขาส่งภาพบุคคลที่ผ่านการถา่ ยสแกน กวาดภาพที่ 20 เส้น ได้ 5 ภาพในทกุ ๆ วินาท ี รปู ท่ี 3 การสาธิตการสง่ ภาพของ John Logie Baired การแพรภ่ าพออกอาการเกดิ ขนึ้ คร้ังแรกในปี March 1935 การบนั ทกึ และถา่ ยทอดภาพใช้ ระบบ ฟิลม์ ในปี 1936 Berlin Olympic Games ในการแขง่ ขันกฬี าโอลปิ ิกเกมส์ทีก่ รุงเบอรล์ ิน เยอรมันเปน็ เจา้ ภาพ ได้มีการถา่ ยทอดสดโดยการใช้กลอ้ งถ่ายทอดสดสญั ญาณโทรทศั น์ electronic cameras 5

บทที่ 1 ประวัตคิ วามเปน็ มาของวทิ ยุโทรทัศน์ รปู ท่ี 4 ภาพการถา่ นทอดสดกีฬาโอลมิ ปิกท่ีกรุงเบอรล์ นิ ในปี 1956 บรษิ ัท Ampex ไดพ้ ฒั นาระบบเครื่องบันทึกเทปเคร่ืองแรกของโลก (video tape recover) รปู ท่ี 5 เคร่อื งบนั ทกึ เทปเครอ่ื งแรกของโลก 6

บทที่ 1 ประวัติความเปน็ มาของวิทยุโทรทัศน์ ระบบโทรทัศนส์ ี พัฒนาการของวิทยุโทรทศั นม์ าพรอ้ มกับโทรทัศน์ขาวดำ� กลา่ วคือ ในปี พ.ศ.2471 แบร์ดได้ เป็นผคู้ น้ พบการแยกสจี ากการกวาดภาพด้วยระบบกลไกตามทฤษฎี ของนิฟโกวเขาใช้จานแยกแมส่ ี 3 อนั แต่ละอันเจาะรเู ล็กๆ 30 รูเรยี งกันเป็นเกลียว จานกจ็ ะหมุน และแยกสีตามล าดบั ส่วนท่เี ครือ่ งรับ จะประกอบด้วยหลอดบรรจกุ ๊าซ 2 หลอด หลอดหนึง่ เป็นไอ ปรอทกับฮเี ลียม ส�ำ หรับใหแ้ สงสเี ขยี วกบั สนี ้�ำ เงิน สว่ นอกี หลอดหนง่ึ บรรจกุ า๊ ซนอี อนเพ่ือ ให้แสงสี แดง ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2472 เฮอร์เบิร์ต อิฟส์ (Herbert Ives) กับผูร้ ่วมงาน ไดท้ ดลองทีบ่ รษิ ัทเบล เทเลโฟน (Bell Telephone) โดยใช้โฟโตเซล แยกสี จะเห็นได้ว่าการทดลองค้นคว้าเกี่ยวกับโทรทศั น์ สที ำ�กันทัว่ ไป ปลายปี พ.ศ. 2473 เจ. เอล. แบร์ด แห่งองั กฤษ และ ปีเตอร์ โกลมารค์ แห่งบริษัท ซบี เี อส (Columbia Broadcasting System) แห่งอเมริกากไ็ ด้พบความสำ�เรจ็ ในการใชฟ้ ลิ เตอรห์ มุน แยกสีในกล้องโทรทศั น์และเครอ่ื งรบั แตค่ ณะกรรมาธกิ ารว่าดว้ ยการสื่อการของรฐั บาลกลาง หรอื FCC (Federal Communications Commission) ยังไม่พอใจจนต้องถกู ยกเลกิ ไป จนถึง พ.ศ.2496 FCC และคณะกรรมาธิการ วา่ ด้วย ระบบวิทยโุ ทรทศั นแ์ ห่งชาติ หรือ NTSC (National Television System Committee) จึงยอมรับ ระบบวทิ ยุโทรทัศนส์ ขี อง NBC (National Broadcasting Cor- poration) ซ่ึงใชก้ ารวาดภาพด้วย ระบบอเิ ล็กทรอนิกส์ท้งั กลอ้ งโทรทศั นแ์ ละเครอื่ งรบั ทง้ั นี้เคร่ืองรบั โทรทัศน์ขาวดำ�ที่มอี ยกู่ ่อนแล้ว จะต้องสามารถรบั สญั ญาณไดด้ ้วย นอกจากนี้เครอื่ งรับโทรทัศนส์ กี ็ จะต้องสามารถรับสัญญาณภาพ ขาวดำ�จากสถานีสง่ วทิ ยโุ ทรทัศน์ท่ีมีอยไู่ ด้ดว้ ยเชน่ เดยี วกนั แต่ภาพท่ี ได้จะเปน็ ภาพขาวด�ำ ในเดอื นมกราคม พ.ศ. 2497 จงึ เริม่ แพร่ภาพออกอากาศตอ่ สาธารณชน นบั วา่ สหรัฐอเมริกาเป็น ชาตแิ รกที่ส่งสญั ญาณโทรทศั น์สแี พร่ภาพออกอากาศในระบบ NTSC 525 เส้น ระบบวิทยโุ ทรทัศน์สที ่พี ัฒนาขนึ้ ภายในระบบ NTSC ไดแ้ ก่ระบบ PAL (Phase Alterna- tion Line) ซึง่ เป็นผลจากการคน้ คว้าทดลองของบรษิ ทั เทเลฟงุ เกน (Telefuken) ภายใต้การ น�ำ ของ ดร.วอลเตอร์ บรซู (Dr. Walter Bruch) เยอรมันนีไดป้ ระกาศรบั ระบบ PAL เป็นระบบ โทรทศั น์สี แหง่ ชาติ เมือ่ พ.ศ. 2509 ประเทศไทยกใ็ ช้ระบบนเี้ พราะถือวา่ เปน็ ระบบที่ดที ส่ี ุด นอกจากน้ี กม็ รี ะบบ SECAM (System Electronique Couleur Avec Memoire) 7

บทท่ี 1 ประวัตคิ วามเปน็ มาของวทิ ยโุ ทรทัศน์ ซึง่ ค้นควา้ ผลการทดลองโดย เฮนร่ี เดอ ฟรานซ์ (Henri de France) แหง่ ปารสี ประเทศทใ่ี ชร้ ะบบ น้ไี ดแ้ ก่ ฝรัง่ เศสและรัสเซยี ในปี พ.ศ. 2513 วิทยุโทรทศั นส์ ีทั้ง 3 ระบบนก้ี ็แพรห่ ลายไปยัง ประเทศต่าง ๆ วิทยโุ ทรทัศนใ์ นประเทศไทย ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวนั ออกเฉยี ง ใตท้ ่ีมีสถานวี ิทยุโทรทศั น์ แต่เดมิ แพร่ ภาพในระบบขาวดำ� ต่อมาเป็นการแพร่ภาพในระบบโทรทศั นส์ ี ปัจจุบนั แพร่ภาพในระบบโทรทศั น์ ดจิ ิตอล และแพร่ภาพขยายเครอื ข่ายผ่านดาวเทยี มกระจายไปทัว่ ประเทศ ท�ำ ใหป้ ระชาชนสามารถ รบั ชมรายการตา่ ง ๆ ได้อย่างทวั่ ถงึ พัฒนาการทางวิทยโุ ทรทศั น์ สำ�หรบั ประเทศไทยมีพฒั นาการ ตามล�ำ ดับดงั นี้ สรปุ สญั ญาณโทรทัศน์สีในระบบตา่ งๆท่ใี ชก้ นั อยทู่ กุ วันนี้มหี ลักการออกแบบคลา้ ยกัน คอื การ สง่ โทรทศั นส์ จี ะตอ้ งทำ�ใหเ้ ครอื่ งรับโทรทศั น์ขาว-ดำ�และเครอื่ งรบั โทรทัศน์สรี ับสญั ญาณได้ โดย สญั ญาณ ทส่ี ่งออกอากาศจะต้องเป็นสัญญาณเดยี วกนั สว่ นคุณภาพของภาพโทรทัศนน์ นั้ ขึ้นอย่กู ับ ข้อจำ�กดั ทาง เทคนคิ การก าหนดภาพท่เี หมาะสมมี 2 ระบบหลักคอื 25 ภาพ/วินาที และ 30 ภาพ/ วินาที สัญญาณ โทรทัศนส์ ใี นระบบแอนาล็อกนี้จะถกู เปล่ยี นเข้ารหสั เปน็ ระบบดจิ ิทลั ก่อนท่ีจะสง่ เปน็ สัญญาณ โทรทศั น์ระบบดจิ ทิ ลั 8

9

บทที่ 2 ระบบสง่ สญั ญาณ วทิ ยโุ ทรทศั น์ 10

บทที่ 2 ระบบสง่ สญั ญาณวทิ ยโุ ทรทัศน์ บทท่ี 2 ระบบส่งสัญญาณวทิ ยุโทรทัศน์ วิทยโุ ทรทศั น์ หมายถึง การเหน็ ระยะไกล ในทางปฏบิ ตั ิสิ่งทีเ่ รามองเหน็ ในฉากจะถูก เปลี่ยนเป็นสัญญาณวดิ โี อเพ่อื สง่ ไปยังเครอ่ื งรับโทรทศั น์ แลว้ ภาพท่ีเหมือนกบั ท่เี ห็นในฉากกจ็ ะไป ปรากฏในจอภาพ โทรทัศนข์ าวดำ�ภาพทไี่ ด้จะเป็นแสงเงาของสีขาว สเี ทา และสดี ำ� ส่วนในโทรทัศน์ สี ภาพท่ปี รากฏออกมาจะเปน็ สเี หมือนธรรมชาตซิ ึง่ ได้จากการผสมกนั ระหว่างแสงสแี ดง สเี ขยี ว และ สนี ำ�้ เงนิ บทตอ่ ไปนจ้ี ะกลา่ วถึงรายละเอียดเกี่ยวกับระบบของวทิ ยโุ ทรทศั น์วา่ สามารถเปลี่ยนแปลงสง่ิ ที่ เรามองเหน็ ในฉากใหเ้ ปน็ สัญญาณวิดีโอ แล้วส่งออกอากาศในลกั ษณะของคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้าหรือ คล่ืนวิทยุไปยงั เคร่ืองรบั เพ่ือให้เครอ่ื งรบั เปลยี่ นสญั ญาณวดิ ีโอส่งเขา้ จอภาพ และเกดิ เป็นภาพ เหมอื น กบั สงิ่ ท่ีเราเหน็ ในห้องส่งได้อยา่ งไร เสยี งก็เชน่ เดียวกนั เนื่องจากภาพท่เี รามองเห็นใน จอโทรทัศน์ จะต้องมเี สียงให้เราได้ยิน จึงต้องส่งสญั ญาณเสยี งไปพรอ้ มๆกบั สัญญาณภาพ เพอ่ื ให้เสียง กับภาพ ปรากฏทเ่ี ครอื่ งรบั โทรทศั นพ์ ร้อมกัน นอกจากนีส้ ถานวี ิทยโุ ทรทัศน์จะตอ้ งแพร่ภาพออกอากาศพร้อมกนั หลายสถานแี ละหลาย ประเทศ หากไม่มีการแบง่ ช่วงความถ่แี ลว้ สญั ญาณกจ็ ะเกดิ การรบกวนกัน จงึ ต้องท�ำ ความตกลง ใน การแบง่ ชว่ งความถท่ี ่ีเลือกใช้ในสถานวี ิทยุโทรทศั น์ การเกดิ สัญญาณภาพ การถ่ายทำ�รายการโทรทศั น์ไมว่ า่ จะเปน็ ในห้องสตดู โิ อ หรอื ถ่ายทำ�นอกสถานท่ี ส่ิงตา่ งๆท่ีเรา มอง เหน็ ในฉากจะต้องเปลยี่ นเปน็ สัญญาณวดิ โี อ (Video Signal) หรือสัญญาณภาพจากกลอ้ งโทรทศั น์ จงึ จะสามารถนำ�ไปผสมกับคลืน่ พาห์และส่งออกอากาศไปยังเคร่ืองรบั โทรทัศนไ์ ด้ ส่วนทส่ี �ำ คญั ทีส่ ุดใน กล้องโทรทศั น์กค็ ือ หลอดภาพ (Camera Tube) รูป 2.1 แสดงให้เห็นโครงสร้างภายในของ หลอด ภาพอยา่ งงา่ ยซง่ึ ประกอบไปด้วย รูปที่ 2.1 monochrome camera tube 11

บทที่ 2 ระบบสง่ สัญญาณวทิ ยุโทรทศั น์ 1. แผน่ รบั ภาพ (Image Plate) จะตดิ อยูต่ รงส่วนหนา้ ของหลอดภาพ คอยรับแสงจาก ภายนอก อันเป็นภาพของวตั ถทุ ี่ถูกสง่ ผ่านเลนส์เขา้ มา เลนส์จะบังคับให้แสงจากวตั ถตุ กลงบนแผ่น รบั ภาพพอดี ทแี่ ผ่นรบั ภาพจะมวี ัตถนุ ำ�ไฟฟา้ เมอ่ื ถกู แสงเล็กๆจำ�นวนมากฉาบตดิ อยู่ วตั ถุน�ำ ไฟฟา้ แต่ ละเม็ดจะแยกออกจากกันเปน็ อิสระกระแสไฟฟ้าวิ่งถงึ กันไม่ได้ ดงั รปู 2.2 วตั ถนุ ำ�ไฟฟา้ เม็ดเล็กๆ เหล่านี้เมือ่ มแี สงทม่ี ีความเขม้ ขนาดแตกตา่ งกันหรอื เป็นแสงทส่ี ะท้อนจากวัตถุมาตกกระทบก็จะมี สภาพการนำ�ไฟฟา้ ไมเ่ ทา่ กัน กล่าวคือถ้ามีแสงมาตกกระทบมากจะน�ำ ไฟฟ้ามาก และถา้ มีแสงมาตก กระทบนอ้ ยกจ็ ะนำ�ไฟฟ้าได้นอ้ ย รปู ที่ 2.2 Simple view of a color camera 2. ปนื อเิ ลก็ ตรอน (Electron Gun) จะอยู่ดา้ นหลงั ของภาพท�ำ หน้าทยี่ ิงล�ำ อิเล็กตรอนซง่ึ มี ขนาดเลก็ มากคอื เปา้ ไปยงั แผ่นรับภาพ การยงิ จะเป็นจุดทีละจดุ ในลักษณะของการวาด (Scanning) จากซ้ายไปขวา และจากบนลงลา่ งเหมอื นกับการอา่ นหนงั สอื ทีล่ ะคำ�และทลี ะบรรทดั รปู ที่ 2.3 color picture tube 3. ขดลวดแมเ่ หล็กไฟฟา้ มชี ือ่ เรียกว่า ดเี ฟล็กชัน่ โยค (Deflection Yoke) ทำ�หนา้ ทีห่ ักเหล�ำ อิเลก็ ตรอนใหก้ วาดไปในทิศทางและต�ำ แหนง่ ทีต่ ้องการ ขดลวดจะมอี ยู่ 2 ชดุ ชดุ หนึง่ ตดิ ต้ังอย่ดู า้ น บน และด้านลา่ งของคอหลอดภาพ คอยบงั คบั ใหล้ �ำ อิเลก็ ตรอนกวาดภาพจากซา้ ยไปขวา ส่วนอกี ชุด หนง่ึ ติดต้ังอยขู่ ้างซ้ายและขา้ งขวาของคอหลอดภาพ คอยบังคับให้เลื่อนการกวาดภาพจากดา้ นบน ลง ดา้ นลา่ งและสลับกลบั ไปกวาดท่ีจุดเร่ิมต้นอกี ดีเฟลก็ ชน่ั โยคนีจ้ ะมสี ญั ญาณซิงค์ (Synchronize Pulse) ทงั้ แนวตั้งและแนวนอนมาบังคับใหท้ �ำ งานอกี ทหี นึง่ 12

บทที่ 2 ระบบสง่ สญั ญาณวทิ ยุโทรทัศน์ จากรปู 2.3 เมื่อหลอดภาพเร่มิ ท�ำ งานล�ำ อิเล็กตรอนจะเริม่ วาดภาพทีละจุดผา่ นเม็ดวัตถุ นำ� ไฟฟ้าซงึ่ จะได้รับแสงไม่เทา่ กนั ท�ำ ให้เกดิ สภาพการนำ�ไฟฟา้ ไมเ่ ทา่ กนั ไดค้ า่ ความต้านทานตา่ งกนั กระแสอิเล็กตรอนทวี่ ่ิงผ่านก็ไมเ่ ท่ากนั ดว้ ย เราจงึ ไดส้ ญั ญาณเปน็ แรงเคล่อื นไฟฟ้าไม่เท่ากนั ซึ่งกค็ ือ สญั ญาณภาพหรือสญั ญาณวิดีโอท่ตี ้องการนนั่ เอง สญั ญาณภาพทไี่ ด้นถี้ ้าแพร่ออกอากาศจะต้องน�ำ ไป ขยายให้สญั ญาณแรงข้ึนแลว้ จงึ นำ�ไปผสม กับคลน่ื พาหค์ วามถสี่ งู เพื่อส่งเป็นคลนื่ วิทยอุ อกอากาศไป ยงั เครอ่ื งรับโทรทัศน์ ทีเ่ ครือ่ งรับโทรทศั น์จะ มีหลอดภาพ (Picture Tube) คอยเปลี่ยนสญั ญาณภาพ หรอื สญั ญาณโทรทัศน์ใหก้ ลบั มาเปน็ ภาพ เหมือนกบั สิ่งของตา่ งๆ ท่ีอยใู่ นฉากของห้องทุกประการ การเกิดภาพในหลอดภาพโทรทัศน์ หลอดภาพหรือท่เี ราเรยี กกนั โดยท่วั ไปวา่ หนอด CRT (Cathode Ray Tube) เป็น สว่ น ประกอบสำ�คัญของเคร่อื งรบั โทรทศั น์ ส่วนประกอบภายในของหลอดภาพโทรทศั นซ์ ง่ึ มี สว่ นประกอบ ทค่ี วรรูจ้ ัก คอื 1. ปืนอิเลก็ ตรอน มหี น้าทคี่ อยปลอ่ ยล าแสงอิเล็กตรอนให้พ่งุ ไปทจ่ี อภาพ อเิ ล็กตรอนจะ เกดิ ขึ้นมากหรือน้อยย่อมแล้วแต่สญั ญาณภาพทีส่ ่งมา การกวาดหรอื การวาดภาพของอิเลก็ ตรอนจะ มี จังหวะและต าแหน่งเหมอื นเคร่ืองส่ง เสียทขี่ ีดบนจอโทรทัศนจ์ ึงเป็นจดุ ขาว เทา และดำ�ตามขนาด ของ สัญญาณและเกดิ เป็นภาพเหมือนกับหอ้ งส่ง 2. จอโทรทศั น์ ดา้ นนอกครอบด้วยแกว้ (Glass Face) ดา้ นใจฉาบด้วยวตั ถเุ รืองแสงฟลอู อ เรสเซนต์ หรอื ฟอสเฟอร์ เมือ่ ลำ�อิเลก็ ตรอนพงุ่ มาชนจะเกิดเป็นแสงสว่าง แตถ่ า้ ไม่มีสญั ญาณโทรทัศน์ เขา้ มาก็จะเหน็ เป็นเส้นสขี าวท้งั จอ 3. ข้ัวต่อไฟแสงสงู (Anode) ใช้สำ�หรบั ต่อไฟแรงสูงไปจุดให้หลอดภาพสว่างและเปน็ ตวั เร่ง ความเรว็ ของล�ำ แสงอิเล็กตรอน สำ�หรับโทรทัศนข์ าว ด�ำ จะต้องใชไ้ ฟแรงสูงถงึ 18 กโิ ลวตั ต์ (จอขนาด 19 น้วิ ) แต่ถ้าเปน็ โทรทัศน์สจี ะสงู ถึง 24 กโิ ลโวลท์ (240 โวลท)์ 4. ขดลวดหักเหลำ�อเิ ล็กตรอน ทำ�หนา้ ทีบ่ งั คบั ใหล้ ำ�อเิ ลก็ ตรอนกวาดภาพทางแนวนอน จาก ซา้ ยไปขวา และแนวทางตงั้ จากบนลงล่างพรอ้ มๆกบั การวาดภาพของกล้องโทรทศั นท์ หี่ ้องส่ง โดยมี สญั ญาณคอยควบคมุ การทำ�งาน 13

บทท่ี 2 ระบบสง่ สญั ญาณวิทยโุ ทรทศั น์ การกวาดภาพ (Scanning) ดังไดก้ ล่าวแลว้ ว่าสัญญาณภาพที่ไดจ้ ากกลอ้ งโทรทัศนแ์ ละภาพทีเ่ ราเหน็ จากจอหลอดภาพ โทรทัศน์ เกดิ ขึน้ จากการกวาดของล�ำ อิเลก็ ตรอนทีอ่ ย่ภู ายในหลอดภาพ การกวาดจะมีทง้ั ในแนว นอน และแนวตั้ง เร่ิมตน้ ทีม่ ุมบนซา้ ยมอื ไปยังขวามือตามแนวนอนเป็นเส้นตรง เม่ือไปสดุ ทางขวามอื จะ สะบัดกลบั มาตง้ั ต้นกวาดทางด้านซา้ ยมอื เพ่ือเคล่ือนทีไ่ ปทางขวามอื อกี แต่จดุ ที่เรมิ่ ตน้ กวาดครง้ั ต่อๆไปจะต่ ากว่าต�ำ แหน่งเดิมเลก็ น้อย (กวาดแนวตั้งบนลงลา่ ง) เปน็ เชน่ น้ีเร่อื ยไปจนกระท่งั ไปถงึ ต�ำ แหนง่ มมุ ขวาล่างของจอ เปน็ อันวา่ เสรจ็ สิ้นการกวาดภาพนงิ่ 1 ภาพ หรอื 1 เฟรม แล้วจะสะบดั กลับไปตง้ั ต้นหวากภาพท่ี 2, 3 ฯลฯ ทีม่ มุ บนซา้ ยมืออกี ตามสภาพความเป็นจรงิ แล้วในทางปฏบิ ตั จิ ะแบง่ การกวาดออกเป็น 2 ฟิลด์ จงึ จะได้ภาพ นงิ่ 1 ภาพ หรือ 1 เฟรม คอื ถา้ เป็นระบบ 625 เสน้ ตอ่ 1 ภาพ จะแบง่ การกวาดออกเป็นฟลิ ด์ จงึ จะ ได้ ภาพน่ิง 1 ภาพ จะแบง่ การกวาดออกเปน็ ฟลิ ด์เล่นคี่ 312.5 เสน้ และฟิลด์เสน้ ค่อู ีก 312.5 เสน้ จดุ เริ่มตน้ กวาดฟิลดค์ ่เี ส้นท่ี 1 จะอยตู่ รงมุมซ้ายดา้ นบนขอจอและไปส้ินสดุ ทเี่ ส้น 312.5 ตรง จุดก่ึงกลาง จอด้านบน และวาดไปจนครบ 625 เสน้ โดยไปส้นิ สดุ ทม่ี มุ ขวาด้านลา่ งของจอเป็นอนั วา่ ครบไดภ้ าพ นิ่ง 1 ภาพ จ�ำ นวนเสน้ ทีก่ วาดเตม็ จออาจจะเปน็ 525 เสน้ หรอื 625 เส้น หรอื โทรทัศนร์ ะบบใหม่ท่ี เรียกวา่ HDTV (High Definition Television)* อาจมเี สน้ กวาดถึง 1125 เส้นก็ได้แล้วแต่จะเลือกใช้ ระบบใด ถ้าย่งิ มีจำ�นวนเส้นมากภาพท่ีปรากฏทางจอโทรทศั นจ์ ะยิ่งให้รายละเอยี ดและมคี วามชดั เจน มากขึน้ ประเทศไทยใชร้ ะบบยุโรป คอื CCIR เสน้ และใช้ไฟฟ้าแรงดนั 220 โวลท์ความถี่ 50 เฮริ ตซ์ ดงั นั้น จงึ ต้องกวาดหรือสร้างภาพใหไ้ ด้ 25 ภาพต่อวนิ าที เนื่องจากการทดลองพบวา่ หากสามารถ สรา้ งจ�ำ นวนภาพของโทรทศั น์ทปี่ รากฏบนจอได้เทา่ กับครึง่ หนงึ่ ของความถี่ไฟฟ้าที่ใช้แลว้ จะได้ภาพ นิ่ง ท่สี ดุ และจากการทเ่ี ราต้องกวาดใหเ้ กิดภาพจำ�นวน 25 ภาพ ใน 1 วินาทีกบั ใชร้ ะบบ 625 เส้น น้ี เอง จงึ ตอ้ งสรา้ งความถีข่ องสัญญาณไปบงั คบั ควบคมุ ให้กล้องและหลอดภาพโทรทศั นท์ ำ�งาน โดย บงั คบั ให้ลำ�อเิ ล็กตรอนกวาดภาพในแนวนอนกบั แนวตั้งอย่างถูกต้อง ในทนี่ ้คี วามถที่ างด้านแนวนอน (Horizontal Frequency) หรือความถ่ีเส้น (Line Frequency ) จะเทา่ กบั จ านวนภาพตอ่ วินาที คณุ ดว้ ยจำ�นวนเสน้ ความถี่แนวนอน = จำ�นวนภาพ / วินาที x จำ�นวนเสน้ 14

บทท่ี 2 ระบบสง่ สญั ญาณวิทยุโทรทศั น์ เพราะฉะนัน้ ความถ่ขี องการกวาดภาพทางแนวนอนก็คอื 25 x 625 = 15625 เฮิรตซต์ ่อ วินาที ส่วนความถ่ที างดา้ นแนวต้ัง หรือทเ่ี รียกว่า Field Frequency จะมคี ่าเทา่ กับความถ่ีของ กระแสไฟฟา้ ที่ใช้คอื 50 เฮริ ต์ ตอ่ วินาที ระบบ HDTV จะให้ภาพท่มี คี วามละเอยี ดชัดเจนมากกวา่ ระบบธรรมดาถงึ สองเทา่ ญี่ปนุ่ เริม่ ทดลองแพร่ภาพออกอากาศในระบบนี้ เมอื่ วนั ท่ี 25 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2534 ระยะเริ่มแรก ออก อากาศวันละ 8 ชั่วโมง ลักษณะของจอภาพโทรทัศน์มีขนาดใหญก่ วา้ งยาวเช่นเดียวกบั จอ ภาพยนตร์ คือ มสี ดั ส่วน 2 : 3 ตอนเริม่ ตน้ เคร่อื งรับจะมีราคาแพงมาก (เครือ่ ง จะประมาณสองแสน บาท) จึงมี ใชก้ นั มากในวงการธุรกจิ เช่นส านกั งานธนาคาร หรอื หนว่ ยงานใหญ่ๆ ปจั จุบันราคาถูกลงจงึ มใี ชโ้ ดย ทัว่ กนั ไป สญั ญาณซิงค์ ช่วงเวลาของการกวาดภาพทเี่ คร่ืองส่งวทิ ยุโทรทัศน์ จะตอ้ งเป็นเลาเดยี วกนั กับการกวาดดา้ น เครอื่ งรับ หมายความว่า เมือ่ ล าแสงอเิ ลก็ ตรอนในหลอดภาพของเคร่ืองรับโทรทัศน์ก็จะกวาดภาพ ตรง กับต าแหน่งใด ล าอเิ ล็กตรอนในจอหลอดภาพของเครื่องรับโทรทศั น์ก็จะวาดภาพตรงกบั ต า แหนง่ น่นั และในเวลาเดียวกนั เพ่ือใหก้ ารกวาดเกดิ ขน้ึ พร้อมๆกันจึงต้องมสี ัญญาณซงิ ค์ (Synchronize Pulse ) ส่งไป พร้อมกบั สัญญาณภาพ ไปยังเคร่อื งรับโทรทศั น์เพื่อควบคุมการกวาดภาพของเครือ่ ง สัญญาณซิงค์ ทางแนวนอน กับสัญญาณซงิ ค์ทางแนวตัง้ มคี วามถีเ่ ดยี วกับความถข่ี องการ กวาดทางแนวนอนและ แนวตง้ั คือ 15,625 เฮิรตซ์ และ 50 เฮิรตซ์ ตามล�ำ ดับ โดยทว่ั ไปแล้วเรามักจะพบวา่ ถา้ ปรบั สญั ญาณ ซิงคท์ างด้านแนวตัง้ ไม่ไดท้ ่ี หรือไม่มีสัญญาณ ซิงค์ภาพบนจอโทรทัศน์จะไหลเลอื่ นขึ้นลง ในท านอง เดียวกันถ้าไม่มสี ัญญาณซิงค์ทางแนวนอน ภาพก็ จะลม้ ไปทางซ้ายหรอื ขวาจนดไู มอ่ อกว่าเปน็ ภาพ ของอะไร จงึ นับวา่ สัญญาณซงิ ค์มีความส�ำ คญั ไมน่ อ้ ย เคร่ืองส่งโทรทัศน์ การสง่ โทรทศั นก์ ค็ ือการสง่ ภาพเคลื่อนไหวไปพร้อมกบั เสียง จากสถานีสง่ วิทยโุ ทรทศั นไ์ ป ยังเครอื่ งรับ หนา้ ท่ีของเคร่อื งส่งโทรทัศน์กค็ อื สร้างคลืน่ พาห์ของสญั ญาณภาพกบั สัญญาณเสยี ง และ ก�ำ หนดความกวา้ งของคลื่นวิทยุส�ำ หรับแพร่ภาพออกอากาศไปยังเครือ่ งรับโทรทัศนช์ อ่ งในช่องหน่งึ โดยเฉพาะ ทางดา้ นภาพ 15

บทที่ 2 ระบบส่งสัญญาณวิทยุโทรทศั น์ กลอ้ งโทรทัศน์ เปน็ กล้องอเิ ลก็ ทรอนกิ สจ์ ะท�ำ งานคล้ายกันกับกลอ้ งถา่ ยรูป คอื อาศยั แสงท่ี สะท้อนจากวตั ถทุ ำ�ให้เกดิ ภาพ และปรบั ความคมชดั ของภาพ และปรับความคมชดั ของภาพด้วยเลนส์ โดยท�ำ ให้แสงไปตกกระทบพ้ืนท่รี ะนาบภายในตวั กลอ้ ง ทไ่ี มเ่ หมอื นกบั กล้องถา่ ยภาพทวั่ ไปก็คอื จะ มี หลอดภาพและหลอดภาพน้เี องท่ีเปล่ยี นพลังงานแสงสว่างให้เป็นพลังงานไฟฟา้ หรอื สญั ญาณภาพ เครอื่ งขยายสัญญาณภาพ ท�ำ หนา้ ทข่ี ยายแรงดนั ของสญั ญาณให้แรงขึน้ พอท่ีจะนำ�ไปผสมกบั คลน่ื พาหใ์ นเคร่ืองส่งโทรทศั น์ได้ เคร่ืองผลิตสัญญาณซงิ ค์ จะท�ำ หน้าที่ผลติ สัญญาณไปบังคับลำ�อิเล็กตรอนในหลอดภาพของ กล้อง โทรทัศนก์ วาดภาพ ท้ังแนวนอน แนวต้ังและการสบัดกลับ เพือ่ เริ่มต้นกวาดใหม่ใหเ้ ป็นไปอยา่ ง ถกู ต้องตามจังหวะ พร้อมกนั น้ีกจ็ ะผลติ สัญญาณซงิ คเ์ พอื่ ส่งออกอากาศไปพร้อมกบั สัญญาณภาพและ เสยี งเพื่อบังคับลำ�อิเล็กตรอนในหลอดภาพของเครื่องรบั โทรทัศน์กวาดภาพพรอ้ มๆกบั กล้องดว้ ย เครอื่ งส่งสัญญาณภาพ ทำ�หน้า ที่ 1. สร้างคล่นื พาห์ทางด้านภาพ เชน่ สถานีวทิ ยโุ ทรทศั นช์ อ่ ง 2 (47 – 54 MHz) จะสรา้ ง คล่นื พาห์ด้วยความถ่ี 48.25 MHz ต ่ ากวา่ คล่ืนพาห์ของเสยี ง 5.5 MHz 2. ท�ำ หนา้ ท่ผี สมสัญญาณ (Modulation) ระหวา่ งคลนื่ พาห์กบั สญั ญาณภาพ ส่วนมากจะ ผสมในระบบ AM ทางด้านลบ (Negative Amplitude) ใหเ้ ป็นคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าหรือคล่ืนวิทยุ ส่ง ออกอากาศ 3. กำ�หนดช่วงกว้างของความถีข่ องแตล่ ะชอ่ งสถานีเปน็ 7 MHz ระบบ NTSC เปน็ 6 MHz 4. ขยายคลนื่ วิทยใุ ห้แรงมากพอ จะไปรวมกบั คลนื่ วทิ ยุของสญั ญาณเสยี ง เพอ่ื ส่งออกอากาศ ตอ่ ไป ทางด้านเสียง มีส่วนประกอบและการทำ�งาน คอื ไมโครโฟน จะเปลย่ี นคลนื่ เสยี งใหเ้ ปน็ สัญญาณไฟฟา้ ความถี่ เสียง แล้วสง่ เขา้ ไปเครอ่ื งขยายเสียง เพ่อื ขยายใหไ้ ด้สัญญาณแรงข้นึ ก่อนทีจ่ ะสง่ เข้าเครือ่ งส่ง สัญญาณ เสียงต่อไป เครือ่ งสง่ สญั ญาณเสยี ง จะท�ำ หนา้ ที่ 1.สรา้ งคลืน่ พาห์ทางดา้ นเสยี ง คล้ายกับเครอื่ งส่งสญั ญาณภาพแต่จะสรา้ งแตจ่ ะสรา้ งคล่นื พาห์ให้มคี วามถ่ีสงู กวา่ คลน่ื พาห์ของภาพอยู่ 5.5 HMz เช่น สถานวี ิทยโุ ทรทัศน์ ช่อง 2 จะสรา้ ง ความถี่ของเสียงเทา่ กบั 53.75 HMz การทต่ี ้องสรา้ งคลื่นพาหใ์ หม้ ีความถต่ี ่างกันอยู่ 5.5 MHz นก้ี ็เพื่อ มใิ ห้สัญญาณภาพกบั สญั ญาณเสียงรบกวนกัน 16

บทที่ 2 ระบบส่งสญั ญาณวิทยุโทรทัศน์ 2. เปน็ อุปกรณ์ผสมสัญญาณระหวา่ งคลน่ื พาห์ กับสัญญาณเสียง ระบบท่ใี ช้กนั สว่ นมากจะ เป็นการผสมแบบ FM (Frequency Modulation) ให้เปน็ คลืน่ วิทยุ 3. ขยายคลนื่ วทิ ยใุ หม้ กี าลังเพิม่ มากข้ึน แล้วส่งไปรวมกับคลน่ื วิทยุของสัญญาณภาพ เพ่อื สง่ ไปยังเสาอากาศ เครือ่ งรวมสญั ญาณจะท�ำ หนา้ ทรี่ วมคล่ืนวทิ ยุของสญั ญาณภาพกับสัญญาณเสยี งเขา้ ดว้ ยกนั แลว้ ส่ง ไปออกท่ีเสาอากาศเพื่อแพร่กระจายคล่ืนไปยงั เครอื่ งรบั ตอ่ ไป ข้อสังเกตกค็ ือ แมว้ า่ จะสง่ คล่นื วิทยทุ ัง้ สองไปยังเสาอากาศเดียวกันดว้ ยสายส่งเดียวกนั แตค่ ล่ืนทัง้ สองจะไมป่ ะปนกนั เนื่องจาก ใช้ความถ่ี ต่างกนั เครอื่ งรับวิทยุโทรทศั น์ เครือ่ งรบั วิทยโุ ทรทศั น์จะท�ำ หนา้ ที่ตรงกันข้ามกบั เคร่ืองส่งโทรทศั น์ คอื จะรบั คลน่ื วิทยุหรอื คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าแล้วนำ�มาเปลี่ยนใหเ้ กิดเปน็ ภาพกบั เสียงเหมอื นกบั ท่หี อ้ งส่งทุกประการ เสาอากาศ ทำ�หน้าทด่ี ักรับสัญญาณจากทกุ สถานีท่ีสง่ คล่นื มาถึง แล้วสง่ ไปยงั วงจรเลือกรบั คลนื่ วงจรเลอื กรับคล่นื จะเลอื กรับสญั ญาณโทรทศั น์ทสี่ ่งมาจากสถานีเฉพาะช่องใดชอ่ งหนงึ่ ตามท่ี ต้องการดูรายการ แลว้ จะส่งสัญญาณความถี่ของชอ่ งนั่นไปยงั วงจรผสมสัญญาณ ออสซิเลเตอร์ จะ ท�ำ งานประสานสัมพนั ธ์กบั วงจรเลือกรับคลนื่ โดยจะสร้างความถีข่ ึ้นมา ความถีห่ นงึ่ ความถีท่ ่ีออสซิ เลเตอร์สรา้ งขน้ึ นี้ เม่อื นำ�ไปผสมกบั สญั ญาณจากวงจรเลอื กรบั คลืน่ แล้วจะ ไดค้ วามถใี่ หมท่ ่ีเรียกว่า ความถี่ปานกลาง หรือความถ่ี IF (Intermediate Frequency) ในระบบคล่นื รับ CCIR 625 เสน้ ความถี่ IF ของภาพคือ 38.9 MHz และความถี่ IF ของเสยี งคือ 33.4 MHz ความถ่ี IF ทัง้ สองน้ีจะมีคา่ แตกต่างกนั 5.5 MHz เช่นเดยี วกับคลื่นพาห์ วงจรผสมสัญญาณและเปลีย่ นเป็นความถ่ี IF จะทำ�หน้าทผี่ สมสัญญาณเพอ่ื เปล่ยี นความถี่ จากทกุ ชอ่ งทวี่ งจรเลอื กรับคลื่นรับเขา้ มาให้เปน็ ความถี่ปานกลาง เพื่อให้น�ำ ไปขยายไดง้ า่ ยขึน้ ตัว จะ เปลีย่ นเปน็ ความถ่ปี านกลางทุกชอ่ งตวั อยา่ ง เช่น เลอื กรบั สถานโี ทรทศั น์ ช่อง 2 (47 – 54 MHz) คลนื่ พาหข์ องภาพเทา่ กับ 48.25 MHz คล่นื พาหข์ องเสียงเทา่ กบั 53.75 MHz ออสซิเลเตอรจ์ ะสรา้ ง ความถข่ี ึน้ มา แลว้ สง่ ไปยังวงจรผสมสญั ญาณ หลงั จากผสมสัญญาณแลว้ จะได้เป็นความถ่ี IF ดังนั้นแม้ เราจะเลือกรบั ชมรายการโทรทศั นช์ อ่ งอื่น วงจรนก้ี ็จะเปลีย่ นเป็นความถ่ปี านกลางทกุ ช่อง หลักการนี้ เราเรียกว่า ซูเปอรเ์ ฮทเตอโรดายน์ 17

บทที่ 2 ระบบสง่ สัญญาณวทิ ยุโทรทัศน์ วงจรขยายความถป่ี านกลาง ท�ำ หน้าทขี่ ยายสญั ญาณความถี่ปายกลางให้แรงข้นึ ในขณะเดียวกันก็จะ ทำ�หน้าทก่ี รองสัญญาณความถ่ีอื่นๆท่มี ารบกวนใหห้ มดไปอกี ด้วย หลังจากนี้สัญญาณก็จะถูกแยก ออกเป็นสญั ญาณภาพ สญั ญาณเสียง และสญั ญาณซิงค์ แต่ก็ มีโทรทศั น์บางประเภท ที่แยกสัญญาณ ภายหลังจากผา่ นวงจรขยายสัญญาณภาพแลว้ วงจรขยายสัญญาณภาพ จะท�ำ หน้าท่เี ลอื กความถ่ขี อง สัญญาณภาพและน�ำ มาขยายใหไ้ ด้ สัญญาณแรงขึ้นแลว้ สง่ ไปยงั หลอดภาพ วงจรขยายสญั ญาณเสยี ง จะเลือกเฉพาะความถ่ีของสัญญาณเสียง และขยายให้ไดส้ ญั ญาณ แรงขึ้น กอ่ นท่ีจะสง่ ไปยงั ลำ�โพงเพือ่ เปลยี่ นเป็นคลนื่ เสยี งให้เราไดย้ นิ ต่อไป วงจรแยกสญั ญาณซิงค์ จะแยกสญั ญาณออกเป็นสองส่วน คือ สญั ญาณซงิ ค์ทางแนวตงั้ ซงึ่ ทำ� หน้าท่ีควบคมุ การกวาดของล�ำ อิเลก็ ตรอนในหลอดภาพทางแนวต้งั ให้ทำ�งานในจังหวะเดยี วกับ ลำ� กลอ้ งในห้องส่งท�ำ ใหภ้ าพไมไ่ หวเลื่อนขึ้นลง อกี สว่ นหนงึ่ คือซงิ คส์ ญั ญาณทางแนวนอนท�ำ หนา้ ท่ี ควบคมุ การกวาดของลำ�อิเล็กตรอนในหลดภาพทางแนวนอนใหท้ �ำ งานจงั หวะเดียวกับกลอ้ งทำ�ให้ภาพ ไมล่ ม้ หลอดภาพ จะทำ�หนา้ ทีเ่ ปลี่ยนสญั ญาณภาพใหเ้ ปน็ ภาพปรากฏหนา้ จอเหมือนกบั ในฉากของ หอ้ งสง่ ภายในฉาบไว้ดว้ ยวตั ถุเรืองแสงเมอื่ มลี �ำ อิเลก็ ตรอนวงิ่ มากระทบจากการบังคบั ของสัญญาณ และสัญญาณซิงค์ ก็จะเกิดเปน็ จดุ ๆ ของแสงเป็นเสน้ และเปน็ ภาพให้เรามองเห็นโทรทัศน์สี (Color Television) สิ่งส�ำ คัญทีต่ อ้ งคำ�นงึ ถงึ สำ�หรบั การสง่ และการรับโทรทศั นส์ มี ีขอ้ ก�ำ หนดอยู่ 2 ประการ คือ 1. เครื่องส่งโทรทศั น์สีจะต้องส่งสญั ญาณใหเ้ ครอื่ งรบั โทรทัศน์ขาวดำ�รับภาพไดด้ ว้ ย แต่ภาพ ที่ปรากฏ ทางจอจะเป็นขาวด�ำ 2. เคร่ืองรบั โทรทัศน์สกี ็จะต้องรับสญั ญาณจากเครอ่ื งส่งโทรทศั น์ขาวด�ำ ได้ดว้ ยและภาพท่ไี ด้ จะเป็นขาวดำ� วธิ ีการที่จะทำ�ให้เกดิ ผล 2 ประการนี้ไดจ้ ะตอ้ งส่งสัญญาณจากเครื่องสง่ ออกไปพร้อมๆกนั สอง สัญญาณคือ 1.สัญญาณลูมแิ นนซ์ (Luminance) หรอื สัญญาณส่องสว่าง ส าหรับใชก้ บั โทรทศั น์ขาวดำ�ทำ� ให้เกดิ ภาพขาวดำ�ในเคร่อื งรับโทรทศั น์สี 18

บทท่ี 2 ระบบสง่ สญั ญาณวิทยโุ ทรทัศน์ 2. สัญญาณโครมิแนนซ์ (Chrominance) หรือสญั ญาณสี สำ�หรับใช้กับเครอ่ื งโทรทัศน์ ส ี อนั ที่จริงแล้วภาพที่เราเห็นจากจอโทรทศั น์ขาวด�ำ จะเป็นระดับความสวา่ งของสีตา่ งๆ ระหว่างสีดำ� กบั สีขาว ทเี่ ราเรยี กว่า เกรย์สเกล (Grey scale) ซึง่ ไปท าใหแ้ สงจากจอโทรทัศนม์ ี ความสวา่ ง แตกตา่ งกัน ถา้ จอสว่างมากจะเป็นสขี าว และถา้ สว่างนอ้ ยจะเป็นสีเทา หรอื เมอื่ ไม่มี สญั ญาณกจ็ ะ ดำ�มดื ไปเลย ลักษณะนี้ในทางเทคนคิ เราเรยี กวา่ การส่องสวา่ ง (Luminance) ถ้าเราใสส่ ีเขา้ ไปในลกั ษณะของสที างแสง สีจะมีคณุ ลักษณะอยู่ 2 อย่าง คือ 1. แสงของสี เรียกว่า ฮวิ (Hue) เช่น แสงสแี ดง แสงสีน้ าเงิน แสงสมี ว่ ง เปน็ ตน้ 2. น้ าหนัก หรอื ความเข้มของสี เรยี กว่า Saturation เชน่ สีแดงแก่ สแี ดงอ่อน เปน็ ต้น เมือ่ นำ�เอาทัง้ สองอยา่ งนม้ี ารวมกัน จะได้ สญั ญาณ เรียกวา่ โครมิแนนซ์ (Chrominance Signal) ดังน้นั เมือ่ ส่งสญั ญาณลูมิแนนซ์กบั สญั ญาณ โครมแิ นนซ์ออกอากาศไปพรอ้ มๆกนั เครอื่ งรับ โทรทศั น์ไมว่ ่าจะเป็นชนดิ ขาวด�ำ หรอื สี จะสามารถ รบั สญั ญาณจากเคร่อื งสง่ ได้ กล้องโทรทศั นส์ ี เพอื่ ให้งา่ ยต่อการเข้าใจจงึ ขอยกตวั อยา่ งกล้องโทรทัศนส์ ชี นิดใชห้ ลอดรับภาพ 3 หลอด ภายในตัวกลอ้ งจะมีเลนส์รวมแสงเหมือนกบั กล้องทั่วไป มีกระจกไดครออคิ (Dichroic Mirror) 4 แผน่ ทำ�หน้าท่ีแยกสีแดง สีเขยี ว และสีนำ้�เงนิ ออกจากกัน เพอื่ สง่ เขา้ หลอดรับภาพ 3 หลอด ไดแ้ ก่ หลอดรับภาพของแสงสแี ดงจะให้สัญญาณภาพที่เปน็ สแี ดง หลอดรบั ภาพของแสงสเี ขียว จะให้ สญั ญาณภาพของสเี ขียว และหลอดรับภาพของแสงสนี ำ้�เงิน ก็จะใหส้ ัญญาณภาพของแสงสนี ้�ำ เงนิ เม่ือน าสญั ญาณท้งั สามนีไ้ ปผสมกันในวงจรแมทรกิ ซ์ (Matrix) จะได้สัญญาณออกมาสองสญั ญาณ คอื สัญญาณลูมแิ นนซ์ หรือสญั ญาณส่องสว่าง กับสญั ญาณโครมิแนนซ์ หรอื สญั ญาณสี เพือ่ สง่ ออกไปยัง เครอ่ื งสง่ โทรทศั นต์ ่อไป หลอดภาพโทรทศั นส์ ี ภายในหลอดภาพของโทรทัศนส์ ี จะประกอบไปดว้ ยส่วนส�ำ คัญหลัก คือ 1. ทางดา้ นหนา้ จอภาพจะมีจดุ สหี รือแถบสเี ลก็ ๆ 3 สี คอื สีน ้ าเงนิ (B) สแี ดง (R) และสเี ขยี ว (G) วางเรยี งสลับกนั จุดหรอื แถบสเี หล่านีท้ �ำ ดว้ ยวัสดุเรืองแรง เม่ือปนื อเิ ล็กตรอนยิงลำ�อิเลก็ ตรอน จาก ด้านหลังของหลอดภาพมาถกู จะเรอื งแสงเปน็ สตี า่ งๆ ให้เราเห็นเปน็ ภาพสตี ามธรรมชาติ 2. ปืนอเิ ล็กตรอน มจี านวน 3 อนั แต่ละอนั จะยงิ อเิ ลก็ ตรอนตามสัญญาณของภาพและแสง สี ท่สี ง่ มา กลา่ วคอื ปนื อเิ ล็กตรอนสแี ดง สีเขียว และสนี ้ าเงิน จะยงิ อเิ ลก็ ตรอนไปยงั จุดเรอื งแสงสี แดง สี เขยี ว และสนี �้ำ เงินตามล�ำ ดบั 19

บทที่ 2 ระบบสง่ สัญญาณวทิ ยุโทรทศั น์ 3. ตะแกรงแยกล�ำ อเิ ล็กตรอน หรอื Shadow mask เป็นหน้ากากทีม่ รี ูขนาดเล็กจ�ำ นวน มากมาย ทำ�หนา้ ทแ่ี ยกล�ำ อิเล็กตรอนของปืนอิเลก็ ตรอน R G B ให้ตกลงบนจดุ สีหรอื แถบสตี รงตาม ต�ำ แหนง่ บนจอภาพตามทกี่ ำ�หนดเพ่ือให้ได้แสงสที ีถ่ กู ต้อง เชน่ ปืนอเิ ลก็ ตรอนสแี ดงจะตอ้ งยิง อเิ ลก็ ตรอนไปยังจุดเรืองแสงสีแดงเท่านั้น จะยิงไปยังจุดสีเขยี วหรอื สีน�ำ้ เงนิ ไมไ่ ด้ เป็นตน้ ความถ่ีทีใ่ ช้ส่งและรบั วิทยโุ ทรทัศน์ ก่อนถงึ เรือ่ งเกี่ยวกบั ความถี่ทใี่ ช้แพรภ่ าพวิทยุโทรทศั น์ของกล่าถึงคลน่ื วิทยุ เพือ่ ความเข้าใจ เบือ้ งต้นเสียกอ่ น คล่นื วทิ ยุหรอื คลนื่ RF (Radio Frequency) เปน็ คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้าชนดิ หน่ึง ท่มี ี ความเร็วในการเดนิ ทางเท่ากับความเรว็ ของแสง คือ 186,000 ไมล์ หรือ 300,000 กิโลเมตร ตอ่ วนิ าที คล่นื วิทยุมีความถ่สี ูงมาก ตั้งแต่ 3,000 เฮิรตซ์ ไปจนถงึ 300 จกิ ะเฮิรตซ์ (1 จกิ ะเฮิรตซ์ เท่ากับ 1,000 เมกะเฮริ ตซ)์ เราจึงสามารถใชค้ ลนื่ วิทยใุ ห้เปน็ ประโยชน์ในการพาสญั ญาณเสยี งและ สัญญาณภาพซง่ึ มี ความถตี่ ่างๆ ในลกั ษณะของสัญญาณไฟฟา้ จากสถานสี ่ง หรือจากท่หี น่ึงไปยงั ทีอ่ ีก แห่งหน่ึงซึ่งอยู่ ห่างไกลกันได้ จงึ มักเรยี กคลนื่ วิทยอุ ีกชื่อหน่ึงว่า คลืน่ พาห์ (Carrier Wave) นอกจากน้ี คล่นื วิทยุยงั สามารถเดินทางผ่านสุญญากาศไดอ้ ีกดว้ ย ระบบวทิ ยุโทรทัศน์ ระบบของวทิ ยุโทรทศั น์ทัว่ โลกมอี ยู่หลายระบบ สำ�เหตทุ ีม่ ีหลายระบบก็คอื ตา่ งคนตา่ งคดิ ให้ เปน็ ระบบของตนเอง บางประเทศใชไ้ ฟฟ้ามคี วามถ่ี 50 เฮิรตซ์ บางประเทศใช้ 60 เฮิรตซ์ จึงท�ำ ให้ ความถฟี่ ิลดห์ รือความถแ่ี นวตงั้ และจำ�นวนภาพตอ่ วินาทแี ตกตา่ งกนั ไปด้วย เชน่ อเมริกาเลือกระบบ 525 เส้น ใช้ความกวา้ งของช่องสญั ญาณ 6 เมกะเฮิรตซเ์ รยี กวา่ ระบบ FCC แตท่ างยุโรปเลอื กระบบ 625 เส้น ใช้ความกวา้ งของชอ่ งสญั ญาณมากกว่าคอื 7 เมกะเฮริ ตซ์จงึ ทำ�ให้สง่ จำ�นวนช่องได้น้อยกว่า เรียกว่าระบบ CCIR สว่ นรายละเอยี ดทางดา้ ยเทคนคิ อน่ื ๆ เช่น จำ�นวนเส้นตอ่ ภาพระบบการผสม สญั ญาณภาพและสญั ญาณเสยี งกับคล่นื พาห์ก็ไม่เหมอื นกันนอกจากน้ี บางประเทศใช้ระบบสี แต่ บาง ประเทศยงั ใชร้ ะบบขาวด�ำ หรอื โมโนโครม สิ่งตา่ งๆเหลา่ นีจ้ งึ ทำ�ให้ระบบของวิทยุโทรทศั นเ์ กดิ ขน้ึ จำ�นวนมาก ในฐานะท่เี ราจะเปน็ นกั ผลติ รายการโทรทศั นจ์ ึงควรรู้จกั ระบบของโทรทัศน์ไวบ้ ้าง เพอื่ ใช้ เป็นประโยชนใ์ นการถา่ ยทอดสญั ญาณจากระบบหนึ่งไปสอู่ กี ระบบหนึง่ หรือให้รู้ว่าประเทศน้ันๆใช้ ระบบอะไร และอาจใชร้ ายการโทรทัศน์ของประเทศตา่ งๆ ใหเ้ ป็นประโยชน์ตอ่ การศึกษาได้ เน่อื งจาก ปัจจุบันและอนาคตมี 20

แนวโน้มวา่ โลกจะแคบลงทกุ ที เพราะเทคโนโลยีของวิทยุโทรทศั นเ์ จริญขนึ้ อยา่ ง รวดเรว็ ระบบวิทยุ โทรทัศนท์ ัว่ โลก มดี ังนี้ ระบบ A 405 เสน้ แตเ่ ดิมใช้ในประเทศองั กฤษ ปัจจบุ นั ใช้ 625 เสน้ ระบบ B G H 625 เส้น มลี กั ษณะเดน่ คือผสมสญั ญาณภาพทางบวก ระบบเสยี ง FM และ แถบคลื่น ของแต่ละช่องกวา้ ง 7 หรือ 8 เมกะเฮิรตซ ์ ระบบ C 625 เสน้ ใช้การผสมสญั ญาณทางลบ ระบบเสยี ง AM ระบบ D K K1 625 เสน้ แถบคลน่ื กวา้ ง 8 เมกะเฮิรตซ์ ระบบ E 819 เสน้ แถบคลื่น กว้าง 14 เมกะเฮิรตซ์ ระบบ F 819 เส้น แถบคล่นื กว้าง 7 เมกะเฮริ ตซ์ ระบบ I 625 เสน้ แถบคลน่ื กว้าง 8 เมกะเฮริ ตซ์ และระยะของคลื่นพาห์ของสัญญาณเสยี ง กับสัญญาณภาพแตกตา่ งกันไปจากระบบ 625 เสน้ ระบบอื่นๆ นอกจากนีย้ งั มรี ะบบ L M และ N ซ่ึงต่างกม็ ีรายละเอยี ดทางดา้ นเทคนิคแตกตา่ งกันไปอกี เลก็ น้อย จะเห็นวา่ จ�ำ นวนเส้นต่อภาพท่ีใช้คอื 405, 525, 625, และ 819 เสน้ ในปจั จุบันใช้เพียง ระบบ 525 และ 625 เส้นเท่านน้ั ภาพบนจอโทรทศั น์ 1. เกดิ จากการกวาดของลำ�แสงจากบนลงลา่ ง และจากลา่ งขึน้ บน เปน็ ภาพ 1 ภาพ มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ 1.1 การสแกนภาพแบบเสน้ เว้นเส้น (i = Interlaced Scan) เปน็ การสแกนของ ล�ำ แสงจากบนลงล่างเปน็ เส้น ค่ี และจากล่างขนึ้ บนเป็น เสน้ คู่ สลบั กนั ไปจะไดภ้ าพสมบรู ณ์ 1 ภาพ ภาพที่ปรากฏบนจอจะสแกนเสน้ เลขคก่ี ่อน ก็คือเสน้ ที่ 1, 3, 5, 7, 9.. จนถงึ เส้น สดุ ทา้ ยของเลขคี่ (รวมเปน็ Field 1) แลว้ ค่อยกลบั มาสแกนเส้นเลขคูก่ ค็ ือ 2,4,6,8,10,......, (รวมเป็น Filed 2) แล้วเอา ผลสแกนครัง้ แรกซึ่งเปน็ เลขค่ี (Field 1) และผลสแกนครั้งที่ 2 ซึง่ เป็นเลขคู่ (Field 2) มารวมลา่ ง กนั เปน็ 1 Frame ผลลัพธ์ท่ีตามมาคอื ภาพจะมี รอยหยกั ตามขอบภาพและมีการ กระพริบตามขอบ ภาพเช่น ขอบ โลโกช้ ่องต่างๆ เน่อื งจากสแกนเส้นเว้นเส้น 21

บทที่ 2 ระบบส่งสัญญาณวทิ ยุโทรทศั น์ 1.2 การสแกนของล�ำ แสงตั้งบนลงลา่ งครัง้ เดยี ว (p = Progressive Scan) เป็นการ สแกน ภาพต้งั แตเ่ สน้ ท่ี 1, 2, 3, 4… ไปจนถงึ เส้นสดุ ทา้ ย เกดิ เป็นภาพสมบรู ณ์ 1 ภาพ ภาพที่ไดจ้ งึ คมชัด กวา่ แบบ Interlaced Scan 2. เกิดจากการเรอื งแสงสะท้อนของผลึกเหลว PLASMA หรอื หลอด LCD หรือ LED ไดภ้ าพ ปรากฏออกมาเชน่ กนั 2.1 PLASMA Television แสดงภาพโดยการใช้แสงท่ีเกิดจากการแตกตัว ionized ของ neon gas (นีออน) เพื่อแสดงผลของภาพออกมาทีแ่ ผงหน้าจอ ภายในจอภาพมีองค์ประกอบที่ เตม็ ไปด้วย neon gas (แต่ละพิกเซลก าเนิดแสงได้ เอง) Plasma ทวี ี จะเน้นท าแต่ ขนาดใหญ่ 42 นว้ิ ข้นึ ไป จนถงึ ขนาด 150 น้วิ 2.2 LCD Television ค าว่า LCD ย่อมาจาก Liquid Crystal Display ซ่งึ ใช้ หลอดไฟ CCFL หรือ Cold Cathode Fluorescent Lamp ซ่ึงมลี ักษณะเป็นหลอดผอมคล้ายๆ หลอดกาแฟ เรยี งในแนวนอนยาวลงมาเปน็ ตวั ก�ำ เนดิ แสง และมี Liquid Crystal เป็นผลกึ แข็งก่ึง เหลว 3 สี ทง้ั สี แดง น�ำ้ เงนิ เขียว คอยบิดตัวเป็นองศาเพอื่ ให้แสงจากหลอด CCFL Backlight ส่อง ลอดผ่านออกมา เป็นสีสันต่างๆ การท�ำ งานของ LCD (Liquid Crystal Display) LCD TV แสดงภาพโดยเริ่มจาก แหล่งก าเนดิ แสง Backlight สอ่ งแสงไปท่ผี ลึกเหลวทีห่ ยอดเอาไว้ระหวา่ งชอ่ งกระจกจะถูกกระตนุ้ ดว้ ย ไฟฟา้ ทำ�ใหโ้ มเลกุลของ Liquid Crystal ใน สว่ นของจดุ ภาพ พิกเซล (pixel) นั้นหมนุ เป็นมุม 90 องศา เพอ่ื ให้เกดิ ไดท้ ้งั จดุ สว่าง และจดุ มดื (แตล่ ะพิกเซลไมส่ ามารถ กำ�เนิดแสงไดเ้ อง) กลา่ วได้วา่ เทคนิค ของLCD คือการบดิ ตัวโมเลกลุ แล้วเอาเงาของมันมาใช้งานถอื วา่ ถูกตอ้ งอย่างที่สุด 2.3 LED Television คำ�วา่ LED ย่อมาจาก Light Emitting Diode เปน็ หลอดไฟขนาด “จ๋วิ แต่แจ๋วซ่งึ ใช้ หลอด LED เป็นตัวก าเนดิ แสง และมี Liquid Crystal เป็นผลกึ แขง็ ก่งึ เหลว 3 สี ท้ังสแี ดง สนี ้ าเงนิ และสีเขียว คอยบิดตวั เป็นองศาเพ่อื ให้แสงจากหลอด LED ส่องลอดผา่ นออกมา เปน็ สสี ันต่างๆ LED TV ก็คอื LCD TV ทเี่ ปล่ยี นจากหลอด CCFL เปน็ หลอด LED ในการก าเนดิ แสง โดยยงั ใช้ Liquid Crystal ผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สี ในการสรา้ งสีในแตล่ ะพิกเซล ตามหลกั การแลว้ กค็ อื (LED) LCD TV น่นั เอง 22

บทที่ 2 ระบบส่งสัญญาณวทิ ยุโทรทศั น์ ระบบสีของวทิ ยุโทรทศั น์ (Color System) ระบบของโทรทัศนข์ าว-ดำ� 1. EIA (The Electronics Industries Association Standard) 525 เส้น 60 Hz. มาตรฐานแบบ M มี 30 Frames/Sec 2. CCIR (Comate’ Consulate International des Radio Communication) 625 เส้น 50 Hz. มาตรฐานแบบ B, G, H มี 25 Frames/Sec ระบบของโทรทศั นส์ ี 1. NTSC (National Television System Committee) ขนาด 4:3 525 เสน้ 60 Hz. มี Bandwidth 6 MHz. มาตรฐานแบบ M มี 29.97 Frames/Sec -NTSC 3.58 มีคลนื่ พาหร์ อง 3.58 MHz. -NTSC 4.43 มคี ลืน่ พาหร์ อง 4.43 MHz. 2. SECAM / ME-SECAM (Sequential Couleur a’ Memoire’ / Middle EastSequen- tial Chrominance and Memory) ขนาด 4:3 625 เสน้ 50 Hz. Bandwidth 7-8 MHz. มาตรฐานแบบ B, G, H, D, K, K1, L มี 25 Frames/Sec 3. PAL (Phase Alternation Line) ขนาด 4:3 625 เสน้ 50 Hz. Bandwidth 7-8 MHz. มาตรฐานแบบ B,G,H,C,D,K,K1,I และ M ( เฉพาะPAL 60 Hz.) มี 25 Frames/Sec 4. HDTV (High-definition Television) ขนาด 5:3 (1.67:1) 655-2125 เส้น Bandwidth 30-50 MHz. เนอื่ งจาก High-definition Television ในระบบ Analog มกี ารใช้ Bandwidth กวา้ ง มาก ตอ้ งสญู เสยี ทรพั ยากรด้าน คลนื่ ความถี่ ทำ�ให้การแบ่งจำ�นวนช่องนอ้ ยลง จงึ ไมเป็นที่นิยมใน ระยะแรก ตอ่ เมอื่ มีการพัฒนาในระบบ Digital ทำ�ให้ การใช้ Bandwidth ลดลง วิทยุโทรทศั น์ระบบ ความคมชัดสูง หรอื High-definition Television กลบั มามีบทบาทมาก ยงิ่ ดังจะกล่าวในต่อไป ระบบการส่งออกอากาศของวิทยุโทรทศั น์ ด้วยสัญญาณ DIGITAL 1. ATSC (Advanced Television Systems Committee ห รื อ 8VSB (Vestigial Side- band) มาตรฐาน ของประเทศสหรัฐอเมรกิ า พฒั นาโดย FCC (Federal Communication Com- mission) สหรฐั อเมริกา แพรห่ ลายใน North America และ South Korea มี bandwidth 6, 7, 8 MHz. ใชไ้ ดท้ ้ัง 50 Hz.และ 60 Hz. ระบบเสยี งแบบ Dolby AC-3 23

บทท่ี 2 ระบบสง่ สญั ญาณวิทยโุ ทรทศั น์ ระบบ ATSC ก�ำ เนดิ ในปี ค.ศ. 1982 จากการรวมตวั ของ FCC, JICT, EIA, IEEE, NAB, NCTA, SMPTE รวมทั้ง หนว่ ยงานและบริษัทตา่ งๆ รว่ ม 140 แหง่ เพ่ือเป็นองคก์ รนานาชาตทิ ี่ไม่หวัง ผลกำ�ไร อาศยั HDTV เปน็ ตัวผลักดัน ชว่ ง ความกวา้ งของ Band Width 6 MHz. โดยระบบจะตอ้ ง ส่งสัญญาณทเี่ ชือ่ ถอื ไดป้ ระมาณ 19 Mbps ส�ำ หรับการแพรภ่ าพ ออกอากาศบนพ้นื โลก และส�ำ หรบั แพรภ่ าพในสายเคเบิลอยูท่ ่ี 39 Mbps โดยระบบ ATSC เลือกบรกิ ารแบบ HDTV หลายชอ่ ง (Multicasting) พรอ้ มบรกิ ารขอ้ มลู เสริมอน่ื ๆ รวมทั้งระบบอนิ เตอรเ์ นต็ ก็ได้ ผ้ใู หบ้ รกิ ารสามารถเลอื ก ระบบ ATSC มีการสง่ ได้ 3 แบบ คอื 1.1 สง่ แบบ SDTV (Standard Definition TV) ได้ 2 - 6 รายการพรอ้ มกนั 1.2 สง่ แบบ Digital HDTV ได้ 2 รายการ หรือสง่ พรอ้ ม SDTV (Standard Definition TV) 1.3 สง่ DATA Broadcasting Services ไดแ้ ก:่ Internet, Download Software, ดู TV จากComputer ได้ 2. ISDB (Integrated Services Digital Television) มาตรฐานของประเทศญปี่ ุ่น พฒั นา โดย NHK โดยเปน็ มาตรฐาน Digital Broadcasting Expect Group (DiBEG) ระบบ ISDB-T แพร่ หลายในญป่ี ุน่ และบราซิล ส่งสัญญาณ ภาพแบบ MPEG-2 ระบบ ISDB ไดถ้ ูกพฒั นาโดยประเทศญ่ปี ุ่น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1993 ซ่ึงสามารถน�ำ ไปใชไ้ ด้ทง้ั โทรทัศนร์ ะบบ ดิจติ อล (ISDB-T) และระบบวทิ ยุดจิ ิตอล (ISDB-Tsb) ระบบ ISDB ได้รบั การสนับสนนุ และสง่ เสรมิ โดย Digital Broadcasting Expect Group (DiBEG)ระบบ ISDB มี 2 รูปแบบ คอื แบบ Narrow band สำ�หรับการสง่ สัญญาณวิทยกุ ระจายเสยี ง และสง่ ข้อมลู ตา่ งๆ และแบบ Wide band สำ�หรบั การส่ง สญั ญาณวิทยโุ ทรทศั นภ์ าคพ้นื ดินระบบดจิ ิตอล (ISDB-T) มี ความยดื หยนุ่ ตอ่ การส่งสญั ญาณ โทรทัศน์ หรอื สัญญาณเสยี งและยงั สามารถสนับสนนุ การบรกิ ารแบบ Multimedia อ่ืนๆ อีกด้วย ซง่ึ ท�ำ ใหก้ ารส่ง ขอ้ มลู ดจิ ติ อลมคี วามหลากหลายมากย่ิงขน้ึ เชน่ การส่งภาพ เสยี ง ขอ้ ความ และ โปรแกรม คอมพิวเตอรจ์ ะถกู นำ�มารวมกัน แบบ BST-OFDM (Band Segmented Transmission) จากนั้นน�ำ สญั ญาณที่ได้มา รวมเขา้ กบั Error Correction Code และ Reed Solomon Codes ระบบ ISDB แบ่งแถบคลืน่ ท่ีสง่ ออกเป็นท้งั หมด 13 ส่วนด้วยกัน โดยในส่วนที่ 1-3 จะใชส้ �ำ หรับข้อมูล เสียงและ ข้อมลู อนื่ ๆ เชน่ Metadata ส่วนท่ีเหลือ 6 - 13 ใช้ส าหรับ ข้อมูลภาพ โดยแต่ละสว่ นจะมี คา่ Bandwidth 429 kHz / 500 kHz / 571 kHz ตาม Bandwidth ของชอ่ งสัญญาณ 6 MHz / 7 MHz / 8 MHz ตามล าดบั 24

บทที่ 2 ระบบสง่ สญั ญาณวิทยุโทรทัศน์ ระบบ ISDB ประกอบดว้ ย -ISDB-S (ISDB Satellite) -SDB-C (ISDB Cable) -ISDB-T (ISDB Terrestrial) -ISDB-Tsb (ISDB Terrestrial Segment Band) -ISDB-Tmm (ISDB Terrestrial Mobile Multimedia) 3. DVB (Digital Video Broadcasting) มาตรฐานยโุ รป พฒั นาในทวปี ยโุ รป ระบบ DVB-T แพร่หลายใน Europe, Australia, New Zealand, Colombia, Uruguay และบางประเทศใน Africa ส่งสญั ญาณภาพแบบ MPEG-2 มี Bandwidth 6,7,8 MHz. ระบบเสียงแบบ Stereo Sur- round สามารถเปน็ Interactive TV ได้ ระบบ DVB เป็นเทคโนโลยจี ากฝง่ั ยโุ รปซ่ึงถกู สร้างข้ึนชว่ งปี ค.ศ.1991 ด้วยการรวมตัวของ หนว่ ยงาน European Launching Group หรือ ELG ซึง่ ประกอบไปด้วยกล่มุ องคก์ รจากหลายๆ ภาคอุตสาหกรรม ไดแ้ ก่ กลมุ่ ผลประโยชน์ ทางดา้ นส่อื รายใหญ่ของยโุ รป (major European media interest group) ทงั้ จากฝัง่ ภาครัฐและภาคเอกชน, ผู้ผลติ อปุ กรณอ์ ิเลก็ ทรอนิกส์ท่ใี ชต้ ามครวั เรือน, common carrier และหน่วยงานควบคุม ระบบ DVB มกี ารสง่ ได้ 3 แบบ คือ 3.1 สง่ แบบ SDTV (Standard Definition TV) ได้ 6 รายการพรอ้ มกนั 3.2 สง่ แบบจอกวา้ ง 16:9 ได้ 4 รายการพร้อมกนั 3.3 ส่งแบบ Digital HDTV ได้ 1 รายการ ระบบ DVB-T ( Digital Video Broadcasting - Terrestrial System ) เป็นการสง่ สัญญาณ ดิจิตอลภาคพืน้ ดินใช้ เทคนิคผสมคลนื่ วิทยุ COFDM (Coded Orthogonal Frequency Division Multiplexing) เปน็ การแบง่ คลนื่ สง่ วิทยุ เปน็ คลืน่ สญั ญาณวิทยุย่อยๆ หลายความถ่ี คือ ระบบ 2K Mode =1705 Carriers และระบบ 8K Mode = 6817 Carriers โดยในแตล่ ะคลื่นความถย่ี ่อย สามารถผสมสัญญาณวทิ ยใุ นระบบ QPSK เนือ่ งจากระบบการส่งใชค้ ลน่ื ความถ่ี มากและในการส่ง สัญญาณมีการสะทอ้ นของคลืน่ สญั ญาณมากจึงตอ้ งออกแบบตา่ งจากการส่งสญั ญาณผ่านดาวเทียม และ ในเคเบล้ิ และในการรับสัญญาณอาจมคี วามผดิ พลาดจึงมีการใช้ error correcting (ReedSolo- mon) ส่งสัญญาณ โทรทัศน์ยา่ น VHF และ UHF ความกวา้ งชอ่ งสญั ญาณ Bandwidth 7-8 MHz. ในการส่งสญั ญาณจะไดข้ ้อมูล 16.59 Mbit/s 25

บทท่ี 2 ระบบสง่ สัญญาณวทิ ยุโทรทศั น์ ลักษณะการใชง้ านของวทิ ยุโทรทัศนร์ ะบบดจิ ิตอล แบง่ ออกเป็น 5 อยา่ ง คือ 1. Terrestrial (ภาคพ้นื ดิน) 2. Satellite (ดาวเทียม) 3. Cable (สายเคเบิล) 4. Internet (อนิ เตอร์เน็ต) 5. Mobile (เคลอื่ นที)่ HDTV (High-definition Television) ในยุค Digital HDTV (High Definition TV) คอื วิทยุโทรทศั น์ระบบความคมชดั สูงหรอื มคี วาม ละเอยี ดสงู เปน็ เทคโนโลยที ใ่ี ชใ้ น การถ่ายทอดสญั ญาณโทรทศั น์ (Broadcasters) ทีม่ คี วามละเอยี ด มากกว่าการ ถา่ ยทอดสัญญาณภาพท่ใี ช้กนั อยใู่ น ปจั จบุ นั (ระบบ NTSC, SECAM และ PAL) ซง่ึ ให้ ความคมชัดทัง้ ภาพและเสียง HDTV เปน็ บรกิ ารหน่ึงของ DTV เป็นการนำ�เสนอภาพรายการโทรทศั น์ท่มี ีความ ละเอยี ด และชดั เจนขึ้นบนจอภาพ ขนาดกว้าง มีคุณสมบตั ิเสมอื นจอภาพยนตร์ ทำ�ใหภ้ าพทน่ี ำ�เสนอมีลักษณะ ใกลเ้ คียงกบั ความเป็นจริง Digital High- definition Television เมอ่ื เริ่มต้นมขี นาดภาพ เทา่ กับ 5:3 (1.67:1) 655-2125 เส้น (1124 เส้น) สง่ ผ่านขอ้ มลู ดว้ ย ความเร็ว 1.99 GB/ Sec Bandwidth 300 MHz. ปจั จบุ นั วทิ ยโุ ทรทัศน์ในระบบ NTSC ทั่วไป สามารถแสดงภาพได้ ขนาด 720 x 486 Pixels ซง่ึ มีความละเอยี ดนอ้ ยกวา่ จอคอมพิวเตอร์ ซงึ่ มีขนาด 800 x 600 Pixels เป็น อย่างน้อย แต่ HDTV นั้นสามารถใหภ้ าพทม่ี คี วามละเอยี ดถงึ 1920 x 1080 Pixels ซ่งึ มากกวา่ ระบบ NTSC ถงึ 6 เทา่ ขนาดจอภาพของ HDTV เป็นรปู ส่ีเหลี่ยมผืนผา้ มขี นาด 16:9 หนว่ ย ในขณะที่ จอภาพของโทรทศั น์ ทั่วไปมขี นาด 4:3 หน่วยเท่านั้น หลักการท างานของ HDTV สัญญาณดิจติ อลท่สี ง่ มายังโทรทศั น์ จะผ่านกระบวนการบบี อดั ขอ้ มูลสญั ญาณดจิ ิตอล โดย MPEG-2 จะทำ�การ ถอดรหัส แล้วส่งไปที่หลอดภาพ และท าหน้าท่ียงิ ลำ�แสงออกมายงั หนา้ จอ โทรทัศน์ ท�ำ ใหเ้ กิดจดุ ภาพ (Pixel) บนจอภาพ ซงึ่ ในระบบ HDTV นัน้ จะให้ Pixel ทส่ี ูงกวา่ ระบบ โทรทัศน์ทัว่ ไปมาก 26

27

บทที่ 3 วทิ ยุโทรทัศนก์ บั การ ศกึ ษา 28

บทที่ 3 วิทยโุ ทรทัศน์กบั การศกึ ษา บทท่ี 3 วทิ ยุโทรทศั นก์ บั การศึกษา จากประสบการณท์ �ำ ใหเ้ ราทราบวา่ วันหน่งึ ไมว่ ่าจะเปน็ เดก็ หรอื ผู้ใหญจ่ ะใช้เวลาในการดู รายการโทรทศั นม์ ากพอสมควร เวลาทใ่ี ช้ไปกบั การดรู ายการโทรทัศนน์ ี้หากผู้ดรู จู้ ักเลอื กดรู ายการ ทีด่ ี แล้ว จะทำ�ให้เกิดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ แนวคิด ทกั ษะและเจตคตทิ ่ีดี สามารถนำ�ไปใชเ้ ปน็ ประโยชนใ์ นชีวิตประจำ�วนั ได้ ในสว่ นของผูผ้ ลติ รายการวิทยโุ ทรทศั น์จะทราบวา่ วิทยุโทรทัศนเ์ ป็น ส่อื กลางทม่ี อี ิทธิพลสงู ทส่ี ุดในบรรดาสอ่ื สารมวลชนดว้ ยกนั หากได้จดั ทำ�รายการทด่ี ีมคี ุณค่าแลว้ จะ สามารถใชว้ ทิ ยโุ ทรทัศน์เป็นเคร่อื งน�ำ สิง่ ต่างๆ ไปยงั ประชาชนไดอ้ ยา่ งกว้างขวาง และใช้ประโยชนไ์ ด้ อยา่ งมหาศาลทเี ดียว วิทยโุ ทรทัศน์เริ่มน�ำ มาใช้กบั การศกึ ษาในประเทศตะวันตกตอนตน้ ปี พ.ศ. 2493 และสถานี วทิ ยุบบี ีซี เรม่ิ ทดลองน�ำ โทรทศั นว์ งจรปิดมาใชใ้ นโรงเรียนในปี พ.ศ. 2495 เนอื่ งจากสมัยนัน้ หลาย ประเทศมีปญั หาคล้ายคลึงกัน คือ ตอ้ งการให้การศึกษาแก่พลเมอื งอยา่ งทั่วถึง แต่จ�ำ นวนผเู้ รยี นมี มาก โดยเฉพาะการใหก้ ารศึกษาระดับอดุ มศกึ ษา และการศึกษาผู้ใหญท่ อี่ อกจากระบบโรงเรยี นไป แลว้ ควร จะได้ติดตามขา่ วสารความรใู้ หท้ นั เหตุการณ์อยเู่ สมอจงึ เห็นวา่ น่าจะได้น าเอาวิทยุโทรทัศน์ มาใช้เพอื่ ให้ การศึกษากับผเู้ รยี นโดยตรง ประเทศท่ีน าเอาวิทยุโทรทัศน์มาใชก้ ับการศึกษาเริ่มแรก ไดแ้ ก่ องั กฤษ อเมริกา ญ่ีปนุ่ รสั เซยี ฝรงั่ เศส และเยอรมัน แนวคิดท่จี ะใชว้ ิทยโุ ทรทศั น์เข้ามามี บทบาทต่อการศึกษา ก็คือ ให้ผเู้ รียนปฏบิ ตั ติ ามวิธีสอนจากโทรทศั น์ ครปู ระจำ�ช้นั เป็นเพียงพ่ีเลยี้ งท่ี คอยช่วยเหลอื ควบคุม และตรวจการปฏบิ ัตขิ องผูเ้ รยี นท้ังวชิ าสามญั และวิชาชีพ ในรปู แบบของการ ศึกษาระบบเปดิ หรือ การศกึ ษาทางไกล วิทยุโทรทศั น์นับว่าใช้ได้ผลดกี ว่าสอ่ื อยา่ งอื่น เน่ืองจากผู้ เรียนไดเ้ ห็นท้งั ภาพและได้ ยนิ เสยี งของผสู้ อน ขณะเดียวกันก็สามารถนำ�เอาส่อื การสอนอน่ื ๆ มาใช้ รว่ มกบั วทิ ยโุ ทรทศั นใ์ น ลักษณะของสอื่ ประสมทำ�ให้การสอนไดผ้ ลดยี ง่ิ ขึ้น นอกจากรัฐบาลจะใช้วทิ ยุ โทรทัศน์เข้ามาช่วย แก้ปญั หาทางการศกึ ษาแลว้ ยงั นไปใชแ้ ก้ปัญหาทางสงั คม เศรษฐกิจ และช่วย ปรับปรงุ คุณภาพของ ประชาชนใหส้ งู ขึน้ อยา่ งไดผ้ ลอกี ดว้ ย 29

บทท่ี 3 วทิ ยุโทรทศั นก์ ับการศึกษา ภาพด้านหน้าอาคาร Bush House ทีท่ ำ�าการบีบีซี แผนกภาษาไทย ที่กรงุ ลอนดอน ทม่ี า : http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9480000149898 ข้อดีและประโยชนข์ องโทรทัศน์ 1. สามารถเชิญผเู้ ชยี่ วชาญจากทุกสาขาวชิ ามาสอนทางโทรทัศนไ์ ด้ ทำ�ใหค้ รปู ระจ าเห็น ตัวอย่างของการสอนท่ดี ี ผูเ้ ชยี่ วชาญสามารถซอ้ มการสอนหรือจะสอนซ�ำ้ าก่ีคร้ังกไ็ ด้จนเห็นวา่ ดที สี่ ดุ แล้วบันทึกลงแถบบันทกึ ภาพ วธิ ีนี้จะก าจัดขอ้ ผดิ พลาดที่อาจเกดิ ขน้ึ ไดอ้ ย่างด ี 2. รายการท่ีบนั ทกึ ไว้สามารถท�ำ ส�ำ เนาไดเ้ ป็นจำ�นวนมากจงึ แพร่หลายอย่างรวดเรว็ รายการ ใดไม่ใช้หรอื ล้าสมัยไปแล้วกอ็ าจลบทิ้ง และใชเ้ ทปนัน้ บันทกึ ใหมไ่ ด้ 3. สามารถถา่ ยทำ�รายการไดท้ กุ หนทุกแห่งเปน็ การนำ�โลกเขา้ มาสู่หอ้ งเรยี น ขณะเดียวกนั รายการตา่ งๆ ทแี่ พร่ภาพออกอากาศจากสถานีวทิ ยุโทรทัศนก์ ส็ ามารถบนั ทึกไว้ใชส้ อนจะเป็นการ ประหยดั เวลาและค่าใช้จา่ ยในการท�ำ รายการอกี ดว้ ย 4. สามารถจดั ท�ำ รายการต่างๆ ไดล้ ว่ งหนา้ จงึ กำ�หนดเวลา เนอื้ หา และรายละเอียดอื่นๆได้ อย่างเหมาะสมและแน่นอน 5. คณุ สมบัติทว่ี เิ ศษสุดของโทรทศั น์ก็คือ สามารถน�ำ เอาสือ่ การสอนตา่ งๆ มาใชร้ ่วมกบั การ สอนทางโทรทศั นไ์ ดเ้ ป็นอยา่ งดีเช่น สไลด์ ฟลิ ม์ สตรปิ ภาพถา่ ย งานกราฟิก ของจรงิ หุน่ จ�ำ ลอง ภาพยนตร์ และวสั ดอุ ปุ กรณ์ตา่ งๆ แม้กระทั่งรายการจากวีดที ัศนท์ ่ีถา่ ยท�ำ มาจากแหลง่ อนื่ ๆ ถ้าเหน็ วา่ เรอื่ งราวมคี วามสมั พนั ธ์เกย่ี วข้องกับบทเรยี นกอ็ าจนำ�มาตดั ต่อ และสอดแทรกได้จะช่วยให้ ผเู้ รยี นไดร้ บั ความรู้ ความเขา้ ใจบทเรยี นได้ดียงิ่ ขึน้ 30

บทที่ 3 วทิ ยุโทรทัศน์กบั การศกึ ษา 6. ชว่ ยจูงใจใหเ้ กดิ การเรียนรไู้ ด้อยา่ งดี เพราะมีทงั้ ภาพเคลอื่ นไหวและเสยี งเหมอื นจริง เป็นสี ธรรมชาตเิ ชน่ เดยี วกับภาพยนตร์ จงึ ท�ำ ใหส้ อ่ื ความหมายได้ดยี ิง่ ข้ึน 7. ถา้ เปน็ แถบบนั ทึกภาพจะฉายให้ผู้เรียนดูกค่ี รั้งกไ็ ด้ สำ�หรบั การศึกษาเปน็ กล่มุ ยอ่ ย และ การเรียนเป็นรายบคุ คลจะสามารถฉายซำ้�จนกวา่ จะเข้าใจ 8. ปจั จุบนั เคร่ืองบนั ทกึ แถบภาพสามารถท�ำ ภาพนงิ่ ภาพเคลือ่ นไหวช้า (Slow motion) เพือ่ ใหเ้ หมอื นกบั การฉายสไลดแ์ ละภาพยนตร์ เมอ่ื ตอ้ งการศกึ ษารายละเอยี ดของแต่ละภาพตาม ต้องการ และยงั สามารถบังคับให้เดินหน้า ถอยหลงั ไดโ้ ดยภาพและเสียงทีบ่ นั ทึกไว้ไม่ช�ำ รุดเสียหาย 9. ใชส้ อนไดท้ กุ ระดับช้นั ต้งั แต่อนุบาลไปจนถงึ ระดับมหาวิทยาลยั 10.ใชส้ อนนกั เรียนพร้อมๆกนั ได้เป็นจำ�นวนมากเชน่ โทรทัศนว์ งจรปดิ อาจใชก้ ล้องเพียงตัว เดียวถ่ายภาพการสอนของครู แล้วส่งสญั ญาณไปยังเครอ่ื งรับโทรทัศน์ ซง่ึ ตดิ ตง้ั ตามห้องเรียนตา่ งๆ 11. โทรทัศนช์ ว่ ยใหเ้ ห็นการสาธติ ได้เปน็ อย่างดีเนอื่ งจากสามารถใช้กลอ้ งถ่ายภาพใน ระยะ ใกลใ้ ห้เห็นเครื่องมอื อปุ กรณ์ และวัสดุต่างๆ ท าใหผ้ ูด้ ูเห็นภาพบนจอโทรทัศนท์ ่ีมขี นาดใหญ่ ชดั เจน เชน่ การทดลอง การผ่าตดั และการปรงุ อาหารเปน็ ตน้ 12. โทรทศั น์ชว่ ยปรบั ปรุงการสอนของครเู พราะขณะสอนจะบันทึกภาพการสอนเอาไวแ้ ล้วก ลบั มาฉายดวู า่ มีสว่ นใดท่ีควรปรับปรุงแก้ไขบา้ ง 13. ช่วยประหยดั เวลาการสอน ด้วยเวลาทีจ่ ำ�กดั โทรทศั น์จะให้เนื้อหาสาระไดห้ ลากหลาย กว่าการสอนปกตขิ องครู หรอื ภายหลงั จากการดูรายการโทรทศั น์ อาจมีเวลาส าหรับอภปิ รายซกั ถาม เพือ่ ความเขา้ ใจอกี ด้วย 14. ในแงข่ องการเปิดโลกกว้างปจั จบุ นั ระบบวิทยุโทรทัศนม์ เี ครอื ข่ายที่สามารถส่งสญั ญาณ ติดต่อ ถงึ กนั ได้ทวั่ ประเทศและท่วั โลกดว้ ยระบบดาวเทียม ดงั นั้นเหตุการณต์ ่างๆท่เี กดิ ข้นึ ในโลก จงึ สามารถถ่ายทอดให้ดูในหอ้ งเรยี นและที่บ้าน ท�ำ ให้ผู้ดมู ีความรสู้ ึกว่าไดใ้ กลช้ ดิ ไดเ้ หน็ และไดย้ นิ เหมอื นกบั ไดเ้ ข้าไปอย่ใู นเหตกุ ารณน์ ้นั 15. ในเรื่องของความเชือ่ ไดม้ ีผูว้ จิ ัยจากการรบั รู้ผา่ นสื่อต่างๆ เช่น หนังสอื พิมพ์ วทิ ยุ วิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ ปรากฏว่าคนจะเช่ือสื่อโทรทัศนม์ ากท่สี ดุ 16. ราคาของเครื่องรบั โทรทัศน์ กล้องถา่ ยโทรทศั น์ เครื่องบนั ทกึ เทปวีดีทัศนแ์ ละอุปกรณ์ ตา่ งๆมแี นวโน้มลดลง จึงเป็นไปได้ท่จี ะจัดหาไวใ้ ช้ในหน่วยงานเพ่อื ผลิตรายการโทรทศั น์ขึน้ ใชเ้ อง 17. ประการสุดทา้ ย แตบ่ างทกี ็ส าคญั ท่ีสดุ เพราะโทรทศั น์สามารถท าไดท้ ้ังเปน็ ตวั ผูใ้ ห้ ความรใู้ หค้ วามสนุกสนาน ใหค้ วามน่าสนใจ น่าตน่ื เตน้ ตอ่ การเปลี่ยนภาพ เสียง แสง สี และความ หลากหลาย เพราะทั้งหมดน้คี อื ผงชรู สของการใหก้ ารศกึ ษา 31

บทที่ 3 วทิ ยุโทรทศั นก์ บั การศึกษา ภาพการบนั ทกึ เทปโทรทศั น์ ทมี่ า : https://goo.gl/BzQRGr การใช้วทิ ยุโทรทัศนก์ บั การศึกษา จากขอ้ ดขี องวิทยุโทรทศั น์ดังกล่าว จึงได้นำ�มาใชก้ ับการศกึ ษาในลักษณะดงั ตอ่ ไปน้ ี 1. ใช้วทิ ยุโทรทัศนเ์ พอ่ื ใหก้ ารศกึ ษาแกป่ ระชาชนทัว่ ไป (Information Education) โดย เน้ือหาสาระจะแฝงอยใู่ นรปู ของขา่ วสารคดี และความบันเทงิ ทใ่ี ห้ความรู้ ข้อคิด หรอื แนวทางปฏบิ ัติ ในการประกอบอาชพี รายการท่ผี ลิตออกมาจึงไมม่ งุ่ เฉพาะคนกลมุ่ ใดกลมุ่ หนึง่ โดยเฉพาะ 2. ใช้วทิ ยุโทรทศั นเ์ พอ่ื ให้การศึกษานอกระบบโรงเรียน (Non – Formal Education) คอื ผู้ ทีจ่ บการศึกษาไปแลว้ ไม่มีโอกาสได้ศกึ ษาตอ่ วทิ ยโุ ทรทัศน์จะชว่ ยให้พวกเขาได้รับการศึกษาตลอด ชีวิต รายการทีจ่ ดั ข้ึนจงึ อาจเป็นไปตามหลกั สูตรทก่ี ำ�หนดไว้ในโรงเรียน หรือเปน็ รายการเฉพาะกลุ่ม สนใจท่ี ต้องการศกึ ษาเฉพาะวชิ าชพี 3. ใชว้ ิทยโุ ทรทศั นเ์ พือ่ การสอนในระบบโรงเรยี น (Formal Education) โดยถอื วา่ วิทยุ โทรทัศน์เป็นสือ่ ทนี่ �ำ มาใช้กบั การศึกษาชนิดหนึง่ ซ่ึงอาจใช้ไดห้ ลายลักษณะ คือ 3.1 ใช้สอนแทนครทู งั้ หมด ผู้เรียนอาจจะศึกษาดว้ ยตนเองอยู่ท่บี ้าน เป็นกลมุ่ หรอื เปน็ รายบุคคล วทิ ยโุ ทรทศั นจ์ งึ ท�ำ หน้าทสี่ อนแทนครทู ัง้ หมดอย่างสมบูรณ์ การที่ผเู้ รียนมีขอ้ จ ากดั ใน เร่อื งการเรียนกบั ผู้สอนโดยตรงจงึ ต้องมคี วามรบั ผดิ ชอบต่อตนเองสงู 3.2 ใช้เป็นแหลง่ สอนเนอื้ หาหลกั คอื แทนที่จะใชว้ ทิ ยุโทรทัศนส์ อนแทนครูท้ังหมด ก็เปน็ เพียงใช้สอนบางสว่ นท่เี หน็ วา่ มีความส�ำ คัญ หรอื วธิ สี อนตามปกตขิ องครอู าจท าได้ไม่ดเี ท่า ลกั ษณะ เช่นนจ้ี ะตอ้ งมคี รูคอยให้คำ�แนะน�ำ เนน้ หรืออธิบายใหเ้ ห็นวา่ ส่วนท่ดี ูจากโทรทศั นน์ น้ั สัมพันธ์ กบั เนื้อหาอย่างไร 32

บทที่ 3 วิทยุโทรทศั น์กับการศกึ ษา 3.3 ชเ้ ป็นส่อื เสรมิ การสอน เพอื่ ใหเ้ นือ้ หาทีเ่ รยี นในวันนน้ั ๆ มีความสมบรู ณ์ อาจใช้ วิทยุ โทรทัศนเ์ ป็นสอ่ื น�ำ ความรใู้ หม่ มาเปน็ หัวข้อเพ่ือการอภิปรายในชน้ั เรยี น เชน่ ขา่ วความ เคล่อื นไหว ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมอื ง หรืออาจใช้วิทยโุ ทรทัศนส์ รุปเนือ้ หาเปน็ เรือ่ งราวก็ ได้ ตวั อย่างเช่น ตอ้ งการสอนเร่อื งการผลติ รายการโทรทศั น์ก็จะฉายให้เห็นขั้นตอนและกระบวนการ ผลติ ทัง้ หมดตั้งแต่การวางแผนการผลิต ไปจนถึงการตดั ต่อภาพกบั เสียงให้เปน็ รายการสมบูรณ์ เป็นต้น 4. ใช้ในการฝกึ อบรมผู้สอน เช่นใชก้ ับนักเรยี นครู หรือผู้สอนที่ตอ้ งการปรบั ปรงุ การสอนของ ตนเอง โดย จัดใหม้ ีการสาธติ วิธีสอนใหม่ๆ เชิญผเู้ ชย่ี วชาญการสอนเฉพาะสาขามาสอนให้ดูเปน็ ตวั อยา่ งเพอื่ ให้ เห็นวธิ ีการสอนทด่ี ี หรอื ท�ำ การสอนดว้ ยตนเองขณะสอนจะบันทึกภาพไปดว้ ย จากน้ัน จงึ น�ำ เอาภาพ ที่บันทึกไว้มาดวู า่ มสี ว่ นใดบา้ งที่ควรแกไ้ ขปรับปรุงใหด้ ขี นึ้ ภาพวิทยุโทรทัศน์เพือ่ การสอนในระบบโรงเรียน ท่ีมา : http://www.assumption.ac.th/applications/fusionnews/upload/fullnews.php?fn_id=11 ขอ้ จ�ำ กัดของวิทยโุ ทรทศั น์ แมว้ ทิ ยโุ ทรทศั น์จะมขี อ้ ดีอยมู่ ากก็ตาม แตก่ ็มขี ้อจ�ำ กดั ท่จี ะต้องค านึงถึงอย่หู ลายประการ ไดแ้ ก่ 1. วิทยุโทรทัศน์เป็นการสอื่ สารทางเดียว ผู้สอนกบั ผเู้ รียนไมม่ โี อกาสซักถามปัญหา โดยเฉพาะการสอนด้วยโทรทัศนท์ งั้ หมด 2.รายการโทรทศั น์จะเสนอเรือ่ งราวไปเรอื่ ยๆ ผู้เรยี นจงึ อาจเกดิ ความรูส้ ึกเฉ่ือยชา ทางท่ีดี จงึ ควรผลติ รายการโทรทศั นใ์ ห้ผู้เรยี นมีโอกาสรว่ มกจิ กรรม ดว้ ยการตั้งค าถามกอ่ นและหลังรายการ หรือใชแ้ บบประเมนิ ผลการเรยี นเพ่อื ทดสอบตนเอง 33

บทท่ี 3 วทิ ยุโทรทัศนก์ ับการศกึ ษา 3. จอโทรทัศนม์ ีขนาดเล็กเมอื่ เปรยี บเทียบกับการดภู าพยนตร์ จงึ ตอ้ งจดั ทนี่ ่งั ของผู้ดใู ห้ เหมาะสมกบั ขนาดของจอ 4. ในดา้ นการผลิตรายการ มีขั้นตอนคอ่ นขา้ งยุง่ ยากตอ้ งใช้บคุ คลากรหลายฝา่ ยและเสียคา่ ใช้ จา่ ยมาก จงึ ต้องค านึงถงึ ความร่วมมอื ของทกุ ๆคนเพื่อใหไ้ ด้รายการท่ีดแี ละมคี ุณภาพจรงิ ๆ 5. การจัดตัง้ สถานวี ิทยโุ ทรทัศน์และการดำ�เนินงานตอ้ งเสยี ค่าใชจ้ ่ายสูงมาก จงึ เปน็ การยาก ส�ำ หรับสถานีวิทยโุ ทรทัศนท์ ีแ่ พรภ่ าพรายการเฉพาะด้านการศกึ ษา 6. ประชาชนในชนบทที่อยู่หา่ งไกลอาจมปี ัญหาเรื่องกระแสไฟฟ้ายงั เข้าไปไมถ่ งึ ไมม่ ี เคร่อื ง รับโทรทศั น์เป็นของตนเอง และไม่สามารถรับสญั ญาณจากสถานไี ด้ จงึ เปน็ ปัญหาตอ่ การใชว้ ิทยุ โทรทัศนเ์ พือ่ การศกึ ษา ภาพสถานีวิทยุโทรทัศน์ ที่มา : https://goo.gl/PfOkgO ชนดิ ของวทิ ยโุ ทรทัศน์ วทิ ยุโทรทศั น์ทีน่ ามาใช้กับการศึกษา แบง่ ออกได้ 3 ชนดิ คอื 1. โทรทศั นเ์ พอ่ื การคา้ (Commercial Television) 2. โทรทศั นเ์ พ่อื การศึกษา (Education Television) 3. โทรทัศนเ์ พือ่ การสอน (Instructional Television) 34

บทท่ี 3 วทิ ยุโทรทัศนก์ ับการศกึ ษา โทรทศั น์เพือ่ การคา้ คอื รายการโทรทศั นท์ แ่ี พร่ภาพออกอากาศท่วั ไป สถานีวทิ ยโุ ทรทศั นจ์ ะด าเนินงานโดย องคก์ ารเอกชน หรอื หนว่ ยงานตา่ งๆ ของทางราชการเพื่อแสวงหาผลประโยชนท์ างการคา้ สว่ นมาก จะ เสนอรายการตา่ งๆ ที่ประชาชนทั่วไปสนใจและมกั จะมกี ารโฆษณาประกอบ ไดแ้ ก่รายการบันเทิง ตา่ งๆ ทีใ่ ห้ผลต่อการพักผ่อนหย่อนอารมณแ์ ละมีสาระความรู้รวมอยู่ด้วย เน่ืองจากสามารถแพร่ภาพ ออกอากาศไปไดร้ ะยะไกลและเขา้ ถึงประชาชนได้อย่างกวา้ งขวางทสี่ ดุ จงึ มีเหตุผลอย่หู ลายประการที่ ครจู ำ�เป็นต้องน�ำ เอารายการตา่ งๆ จากโทรทัศนเ์ พือ่ การค้ามาใช้กับนักเรยี นได้แก่ 1. เปน็ สือ่ ทีเ่ ข้าถงึ ประชาชนได้มาก แทบจะกลา่ วได้ว่าถ้าแหง่ ใดมไี ฟฟา้ เข้าไปถึง ทุกบ้านจะ มีเครอ่ื งรบั วิทยุโทรทศั นเ์ ป็นของตนเองทั้งส้ิน และถอื วา่ ถอื วา่ เป็นส่วนหนึ่งของปจั จยั ทจี่ ะขาดเสียมไิ ด้ เลยทเี ดยี ว ประชาชนจงึ ไดร้ ับขา่ วสารความรูต้ ่างๆ จากการดโู ทรทศั นซ์ ึง่ รวมไปถงึ นักเรยี นด้วย 2. เดก็ นักเรยี นจะใชเ้ วลาสว่ นใหญไ่ ปกับการดรู ายการโทรทศั น์เม่อื กลบั จากโรงเรียน 3. จากการท่ีวิทยุโทรทศั นส์ ามารถน�ำ เหตกุ ารณ์ต่างๆ ทั่วโลกเขา้ ไปถึงผดู้ ูตามบา้ น หรือ เปรยี บเสมอื นโทรทัศน์เป็นหนา้ ต่างของโลก เด็กจงึ ไดแ้ นวคดิ และประสบการณ์ตา่ งๆ จากการดู โทรทัศน์ในสิง่ ทเี่ ขาไมเ่ คยรูแ้ ละพบเหน็ มากอ่ น 4. วิทยโุ ทรทัศนเ์ ป็นส่อื ทมี่ ีอิทธิพลต่อเดก็ ในลักษณะทเ่ี ขาจะท าตามหรอื เลยี นแบบในสงิ่ ทไ่ี ด้ ดูจากโทรทัศน์ ดงั นนั้ จงึ ควรนำ�เสนอรายการในส่ิงท่ดี ีและมคี ุณคา่ จากเหตุผลท้ังสปี่ ระการน้คี รผู สู้ อน จงึ ควรน�ำ รายการโทรทัศนม์ าใชใ้ ห้เป็นประโยชน์นอกเหนอื ไปจากการเรียนการสอนธรรมดาในชั้น เรยี น แต่กเ็ ป็นการยากท่ีจะแนะน�ำ ใหเ้ ด็กไดจ้ ดจ�ำ เอาสิ่งที่ไดจ้ ากการดูโทรทัศน์มาสัมพันธก์ บั กิจกรรม ตา่ งๆในการเรยี น ครูจงึ ตอ้ งวเิ คราะห์ความชอบและนสิ ยั การดโู ทรทัศนข์ องนกั เรียนวา่ เป็นอย่างไร ชอบดูรายการอะไรและทำ�ไมจงึ เปน็ เช่นนน้ั นักเรยี นรหู้ รอื ไมว่ ่าการดูนั้นมีประโยชนส์ ำ�หรับเขาหรือไม่ และผู้ปกครองได้มสี ่วนร่วมในการแนะน าใหร้ จู้ กั เลือกดรู ายการเพียงใด ส่งิ ต่างๆเหลา่ นจ้ี ะเป็นเครือ่ ง ตดั สินใจของนักเรยี นได้ว่าควรจะใชป้ ระโยชน์จากการดูรายการโทรทศั น์ของพวกเขาอย่างไร 35

บทที่ 3 วทิ ยุโทรทศั นก์ บั การศกึ ษา โทรทศั น์เพือ่ การศกึ ษา เปน็ รายการโทรทศั นท์ ่ีใหค้ วามร้แู กป่ ระชาชนทว่ั ไปเกยี่ วกับ สงั คม วฒั นธรรมประเพณี อาชีพ ขา่ วสาร การสาธารณสุข และอ่นื ๆ มีกลุ่มเป้าหมายท่ีไมแ่ นน่ อน ผดู้ รู ายการอาจจะนำ�าเอา ความรไู้ ปใชเ้ ปน็ ประโยชน์ในการประกอบอาชีพท าใหม้ ีชวี ิตความเปน็ อยูด่ ีข้นึ หรอื อาจใชร้ ายการ โทรทศั นเ์ พื่อการศึกษาไปใช้เปน็ สว่ นของการเรยี นการสอนในหลกั สตู รก็ได้ โทรทศั น์เพือ่ การศกึ ษาจึง เปน็ คำ�าประยกุ ตน์ ำ�มาใชก้ ับโทรทัศนท์ ่ไี ม่ใช่เพอ่ื การคา้ คำ�อ่นื ๆที่มักจะเกี่ยวขอ้ งกบั โทรทัศนเ์ พือ่ การ ศกึ ษาไดแ้ ก่ โทรทศั น์เพื่อการสอน (Instructional Television) โทรทศั นส์ าธารณะ (Public Televi- sion) และโทรทัศน์โรงเรยี น (School Television) วตั ถุประสงคข์ องโทรทัศนเ์ พือ่ การศกึ ษาจงึ ครอบคลมุ ไปถงึ 1. เพ่อื ให้การศกึ ษาแกค่ นทวั่ ไปและบ�ำ รุงรกั ษาศลิ ปวฒั นธรรม 2. เพ่ือใช้กบั การสอนนอกระบบสำ�หรบั การศึกษาผู้ใหญ ่ 3. เพื่อเผยแพร่รายการท่ที �ำ ใหป้ ระชาชนมชี วี ติ ท่ดี ีข้นึ 4. เปน็ รายการสำ�หรบั เด็กที่ไมถ่ อื วา่ เป็นส่วนหน่ึงของการเรยี นซ่ึงต้องบงั คับให้เดก็ ต้องดู 5. ใชก้ ับการสอนส�ำ หรับผู้ใหญ่ เช่น การศึกษาทางไกลในระดับอดุ มศกึ ษา 6. เพื่อใช้กับการสอนในโรงเรียน โทรทศั น์เพอ่ื การสอน โทรทศั นเ์ พื่อการสอน หรอื ITV เปน็ โทรทัศนท์ ี่มุ่งใช้กบั นักเรยี นโดยตรงในหอ้ งเรียนท่มี กี าร เรยี นการสอนรายวิชาต่างๆ ตามหลกั สตู รในทกุ ระดับการศึกษา จะใชก้ บั การสอนโดยตรงทั้งหมด หรือใชเ้ ปน็ ส่วนของการบรรยายประกอบการสาธติ กไ็ ด้ โทรทศั น์เพอ่ื การสอนจะเป็นระบบโทรทศั น์ วงจรปิด (CCTV) หรอื ท้ังวงจรปดิ และแพรภ่ าพออกอากาศในเวลาเดยี วกันกไ็ ด้ ลกั ษณะเด่นของ โทรทศั นเ์ พือ่ การศึกษา ไดแ้ ก่ 1. ครผู ้สู อนจะเปน็ ผูน้ �ำ ความรไู้ ปยงั ผ้เู รียนโดยตรง 2. จดั ท�ำ เปน็ ระบบ คอื จะสอนเปน็ รายวชิ าทมี่ ใี นหลักสูตร ซง่ึ มีวตั ถปุ ระสงคแ์ นน่ อนและได้ เตรียมวางแผนใหเ้ กดิ การเรียนร้ไู ว้ล่วงหน้าแลว้ 3. จะมลี ำ�ดับการสอนเปน็ ตอนๆ อยา่ งต่อเน่อื งไปจนครบเนื้อหา 4. มกี ารบูรณาการ คอื จะน�ำ ประสบการณก์ ารเรียนรูต้ ่างๆ ไปสมั พันธก์ ัน เชน่ ให้มีการ 36

บทท่ี 3 วทิ ยุโทรทัศน์กบั การศกึ ษา 5. มกี ลุ่มเปา้ หมายท่แี น่นอน เม่ือผู้เรยี นเรียนไปแลว้ จะมกี ระบวนการประเมนิ ผลเพือ่ วดั ประสทิ ธภิ าพของผู้เรยี น สรุปค�ำ ทเ่ี กี่ยวข้องกบั โทรทัศนก์ ารศกึ ษา โทรทัศน์เพ่ือการค้า (Commercial Television = CTV) เป็นระบบวิทยโุ ทรทศั นท์ แี่ พร่ ภาพรายการเพอื่ มุ่งหาผลประโยชน์ทางการคา้ รายการตา่ งๆ จงึ เปน็ ท่ีสนใจของคนทัว่ ไป อาจนำ�เอา รายการโทรทศั นเ์ พื่อการคา้ มาใช้กบั การศึกษาได้ โทรทศั น์วงจรปิด (Closed Circuit Television = CCTV) เปน็ ระบบที่สง่ สัญญาณ โทรทัศน์ (ท้ังภาพและเสียง) จากหอ้ งสตูดิโอไปยังเครอ่ื งรบั โทรทัศน์ หรือมอนิเตอรโ์ ดยใชส้ ายเคเบิล หรือคลืน่ วิทยุ โทรทัศนเ์ สาอากาศชุมชน (Community Antenna Television = CATV) เปน็ ระบบ การส่งสญั ญาณไปยังเสาอากาศขนาดใหญท่ ่ตี ิดตัง้ อยู่ตามชุมชนซง่ึ อยหู่ ่างไกล แล้วสง่ สญั ญาณไปยัง เคร่อื งรับตามจดุ ต่างๆดว้ ยระบบ CCTV อีกทอดหนงึ่ มักใช้กับบริเวณท่ีมภี ูเขาบงั หรือบรเิ วณอับคลื่น ซ่งึ เสาอากาศธรรมดารับสญั ญาณโทรทศั นไ์ มไ่ ด้ โทรทศั น์เพื่อการศกึ ษา (Education Television = ETV) เปน็ ค�ำ ทม่ี ีความหมายรวมไป ถึง โทรทัศน์เพอ่ื การสอน โทรทศั น์สาธารณะและโทรทัศน์โรงเรยี น แต่ความหมายโดยเฉพาะแล้ว โทรทัศนเ์ พอ่ื การสอนเปน็ รายการท่มี งุ่ ใหค้ วามรู้แก่ประชาชนทวั่ ไป โทรทศั นเ์ พอ่ื การสอน (In- structional Television = ITV) เปน็ รายการโทรทัศน์ท่ีมงุ่ ใช้ กบั ทัง้ ผ้เู รียนในหอ้ งเรยี นหรือกบั คน ท่ัวไปทีเ่ รยี นตามเน้ือหาหลักสตู รซึ่งมกี ารวดั และประเมนิ ผลการ เรยี น การใชว้ ทิ ยโุ ทรทศั นใ์ นห้องเรียน ความส�ำ เรจ็ ของการใชว้ ิทยโุ ทรทศั นเ์ พ่ือการเรียนการสอนจะตอ้ งจดั ใหผ้ ู้ดไู ดเ้ ห็นภาพและได้ ยินเสยี งอย่างชดั เจน ส่ิงท่คี วรพิจารณาเกยี่ วกับการใช้โทรทศั น์ในห้องเรียน ได้แก่ การเตรยี มหอ้ งเรียน ถ้าเปน็ ไปได้ ควรจะ ก. มรี ะบบกันเสยี งสะทอ้ น คือบรเิ วณฝาผนงั และหน้าต่างควรจะมผี ้าม่านติดต้งั ไวโ้ ดยรอบ พืน้ ควรปูดว้ ยพรม ข. มอี ปุ กรณค์ วบคุมแสงสว่างของห้อง แตโ่ ดยทวั่ ไปแล้วห้องส�ำ หรบั ดโู ทรทศั น์ไมจ่ ำ�เปน็ ต้องมืดสนทิ 37

บทที่ 3 วิทยุโทรทัศน์กบั การศึกษา ค. เครอ่ื งรบั โทรทศั น์ควรเป็นชนิดทมี่ ีลำ�โพงตดิ ตงั้ ไว้ด้านหนา้ ของเคร่ืองจะดีกว่า ชนดิ ลำ�โพงอย่ดู ้านข้าง เพราะจะท�ำ ให้ทิศทางของเสียงเปน็ ธรรมชาตมิ ากกวา่ นกั เรียนจ�ำ นวน 25 – 30 คน ควรใช้เครอื่ งรบั ขนาด 20 – 24 นวิ้ ดงั นั้นถ้าใช้กับนักเรียน 100 คนก็ควรใชห้ อ้ งเรียนขนาด ใหญ่และตอ้ งติดตัง้ เคร่ืองรับโทรทัศน์ถึง 4 เคร่อื ง ระยะการดูภาพจากจอโทรทศั น์ ไม่ควรให้นกั เรียน นงั่ หา่ งจากจอเครอื่ งรบั มากนัก ทีถ่ กู ต้องคือมักจะนับระยะห่างเปน็ ฟตุ โดยเทียบกับขนาดของจอเป็น นิ้ว เช่นเคร่ืองรบั โทรทัศน์ขนาด 24 น้ิวกไ็ ม่ควรให้แถวหลงั สดุ ไกลจากจอเกินกว่า 24 ฟตุ เปน็ ต้น การติดต้งั เครอื่ งรับโทรทศั น์ ควรติดตั้งเครอ่ื งรบั โทรทัศน์ไว้หน้าหอ้ งเรยี นทางดา้ นเดยี วกบั หนา้ ตา่ ง หรือหันหลังเคร่อื งเขา้ หาแสง เพ่ือกันมิใหแ้ สงจากหนา้ ต่างสอ่ งไปท่ีจอเครื่องรบั และสะทอ้ นเข้าตาผ้ดู ู ท�ำ ให้ผู้ดเู ห็นแสง สะทอ้ นจาก จอแทนการเหน็ ภาพ การตดิ ต้งั อาจใชว้ ิธีการแขวนกบั เพดาน หรือตง้ั บนขาตัง้ กไ็ ดแ้ ต่ควร สงู จากพ้ืน ประมาณ 5 ฟุต ปรับใหจ้ อเอยี งก้มลงพอดกี ับสายตา หรอื ควรใช้แท่นตั้งชนิดปรบั ก้มเงยและ หมนุ ได้ รอบตวั ภาพการเตรียมห้องเรยี นและการติดต้งั เครื่องรบั โทรทศั น์ ทีม่ า : http://www.assumption.ac.th/applications/fusionnews/upload/fullnews.php?fn_id=11 2. การเลอื กรายการ กอ่ นอืน่ ครจู ะตอ้ งพจิ ารณาวา่ จะใช้โทรทศั น์สอนทั้งหมด หรือจะใช้ รายการโทรทัศนเ์ ปน็ สว่ นให้ความรู้เสรมิ ถา้ จะใชส้ อนท้ังหมดหรอื เพือ่ การสอนโดยตรงจะต้องทราบ ตารางรายการออกอากาศวา่ วนั เวลาใดมีรายวิชาและเนอ้ื หาเกย่ี วกับอะไรบ้าง แตถ่ า้ เป็นการใช รายการโทรทศั น์เพอ่ื เสริมความรู้ทน่ี อกเหนือไปจากการสอนปกตใิ นชนั้ เรียนแลว้ จะต้องศกึ ษากอ่ นว่า เนอ้ื หาของรายการหนักไปในแนวใด ถ้าเป็นไปไดค้ วรใชว้ ิธกี ารบันทึกลงแถบบันทึกภาพไว้ก่อน แลว้ นำ�มาฉายกอ่ นหรอื ภายหลังจากการสอนตามหลักสูตร ไม่วา่ จะเปน็ การใช้รายการโทรทัศนล์ กั ษณะใด 38

บทท่ี 3 วิทยุโทรทัศนก์ บั การศึกษา ส่งิ ทค่ี รจู ะตอ้ งจดั เตรียมกอ่ นถึงเวลาฉายใหน้ กั เรยี นดกู ค็ ือ สือ่ ตา่ งๆ เช่น สไลด์ แผนภูมิ แผนภาพ และแผ่นใสรวมทัง้ กิจกรรมเพื่อน�ำ มาใชร้ ว่ มกบั การดูรายการจากโทรทศั น์ เชน่ คำ�ถามต่างๆ เพอ่ื ให้ นักเรียนรว่ มกนั อภิปราย เปน็ ต้น 3. การเตรียมนักเรียน ครจู �ำ เป็นตอ้ งเตรียมตวั นกั เรยี นเพอ่ื ให้เกดิ ความพรอ้ มในการดู รายการโทรทศั น์ เช่น บอกสิง่ ทคี่ วรดลู ่วงหนา้ ใหจ้ ับประเด็น และจะตอ้ งตอบค�ำ ถามอะไรบา้ งภาย หลังจากดูรายการแลว้ ภาพชี้แจงวัตถปุ ระสงค์การเรียนรู้ ทม่ี า : http://www.assumption.ac.th/applications/fusionnews/upload/fullnews.php?fn_id=11 4. ระหวา่ งดูรายการโทรทัศน์ เมื่อถงึ เวลาเรียนจากโทรทศั น์ จะตอ้ งเปดิ เครือ่ งรบั ให้ผเู้ รยี น เห็นภาพอย่างทวั่ ถงึ และไดย้ ินเสียงชัดเจน นกั เรยี นอาจจะต้องจดบันทกึ เนื้อหาลงในสมุดพรอ้ มกบั การ ดูรายการ ห้องเรยี นจึงต้องมีแสงสวา่ งเพียงพอ แตก่ ารเขยี นไปดไู ปจะมขี ้อเสยี กค็ ือนกั เรยี นจะลดความ ต้ังใจดูรายการนอ้ ยลง นอกจากน้เี ดก็ โตจะจดบนั ทึกได้ดีกวา่ เดก็ เล็ก จึงต้องค านงึ ถงึ สงิ่ ต่างๆเหล่าน้ี ดว้ ย ภาพผู้เรียนเกดิ การจดจ าและปฏบิ ตั ิ ทม่ี า : http://www.assumption.ac.th/applications/fusionnews/upload/fullnews.php?fn_id=11 39

บทที่ 3 วทิ ยโุ ทรทศั น์กบั การศกึ ษา 5. ภายหลงั การดรู ายการ หลงั จากดูรายการโทรทศั น์แล้วจะตอ้ งมกี จิ กรรมอะไรบา้ ง เชน่ การอภปิ รายเพอ่ื หาคำ�ตอบจากคำ�ถามที่ใหไ้ วก้ อ่ นดูรายการ จะท�ำ ใหผ้ ้เู รียนไดม้ ีส่วนร่วมกนั แลก เปลีย่ นความคดิ เห็นกนั มากขึน้ ภาพการอภปิ รายผลหลงั เรียน ท่มี า : http://www.assumption.ac.th/applications/fusionnews/upload/fullnews.php?fn_id=11 การประเมนิ ผลรายการโทรทัศน์ เพ่อื ให้รายการโทรทัศน์มคี วามสมบูรณ์และเพ่อื ใช้ผลของการประเมินเป็นประโยชนต์ ่อการ ผลิตรายการครง้ั ต่อไป จึงต้องจดั ให้มกี ารประเมินผลรายการ รายละเอยี ดตา่ งๆ ทค่ี วรประเมนิ ไดแ้ ก่ 1. รายการมีคณุ คา่ และเป็นแหล่งใหค้ วามรเู้ พยี งพอหรอื ไม่ 2. ภาพและเสยี งชัดเจนดหี รือไม่ มีเทคนคิ เพยี งพอหรอื ไม่ 3. ลักษณะของรายการดหี รือไม่ ควรปรับปรุงในสว่ นใดและอย่างไร 4. รายการได้นำ�ประสบการณ์การเรยี นรู้ สอื่ และวัสดุอุปกรณ์เพยี งพอหรือไม่ 5. ความยาวของรายการพอดีหรอื ไม ่ 6. ความสนใจของนักเรยี นขณะดรู ายการเป็นอยา่ งไร 7. จากการประเมนิ และการอภิปรายหลงั การดรู ายการ นกั เรยี นได้รบั ความรูเ้ พิม่ ขนึ้ หรอื ไม่ 8. ข้อเสนอแนะอน่ื ๆ 40

บทท่ี 3 วทิ ยุโทรทัศนก์ บั การศึกษา วธิ สี อนทางโทรทัศน์ การสอนทางโทรทัศนห์ รือรปู แบบของการเสนอรายการไม่มีวธิ ีใดดีท่ีสดุ ครูโทรทศั น์จะต้อง พิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะสมกบั ลกั ษณะของเน้ือหาวชิ าและระยะเวลาการสอนแตล่ ะครง้ั รปู แบบการ สอนทางโทรทศั นน์ ยิ มใชก้ ันท่ัวไปมดี งั นี้ 1. การสอนแบบรายงาน เปน็ วิธกี ารท่ีใช้กนั มาก นกั เรยี นจะเหน็ ภาพและได้ยนิ เสียงของครู จากหนา้ จอโทรทศั น์เหมอื นกบั การสอนในห้องเรียน การสอนแบบนค้ี รจู ะอธบิ ายไปตามเนื้อหา บท เรยี นหรือแสดงความเหน็ ไปด้วย ผูส้ อนจึงต้องมีความสามารถสูงในด้านการสอน ตอ้ งสามารถ อธิบาย สิง่ ตา่ งๆ ให้เขา้ ใจได้ง่ายและมีความตอ่ เนื่องกนั อยตู่ ลอดเวลา ขณะสอนอาจใช้สอ่ื ตา่ งๆ เช่น รูปภาพ แผนที่ ของจริง หุ่นจ�ำ ลอง เขียนกระดานหรอื จะฉายสไลด์และเทปวีดที ัศนป์ ระกอบการสอน ไปดว้ ย ก็ได้ แต่การหันไปเขียนกระดานมกั ไม่คอ่ ยนิยมใชก้ ัน เนอ่ื งจากต้องหันหลงั ใหก้ ลอ้ ง ควรจะ เตรยี ม คำ�หรือข้อความในลักษณะของงานกราฟิกไว้ล่วงหน้าแล้วใชเ้ ทคนคิ ตา่ งๆ ใหเ้ ห็นข้องความท่ี เตรยี ม ไวพ้ ร้อมกับเสยี งบรรยายจะดกี ว่า ผู้สอนทางโทรทศั น์ดว้ ยวธิ นี ้จี ะต้องเตรยี มเนอ้ื หา เตรียมสอ่ื และ กิจกรรมตา่ งๆ ให้เหมาะสม นอกจากนจ้ี ะต้องทำ�การซ้อมตามบทกอ่ นออกรายการจริง เช่น การวางทา่ ทาง ระดับของเสยี ง การใช้ สอ่ื ประกอบการสอน และการมองกล้อง เปน็ ตน้ ภาพการสอนแบบรายงาน ทม่ี า : https://goo.gl/V1hWgM 2. การสอนแบบสาธติ เปน็ วธิ ีการสอนทดี่ มี ากส าหรบั แสดงให้เหน็ กระบวนการและข้นั ตอน ตา่ งๆ โดยมคี รูโทรทศั น์เปน็ ผแู้ สดง จึงเหมาะอยา่ งย่ิงกับเนือ้ หาวชิ าท่ตี ้องการใหเ้ กดิ ทักษะ เชน่ การ ทดลอง การปฏิบัตงิ าน ปฏบิ ตั ิการทางวทิ ยาศาสตร์ เนอื่ งจากผ้เู รยี นสามารถตดิ ตามขัน้ ตอนและ วธิ ี การไดอ้ ยา่ งใกล้ชดิ ชัดเจน จากการไดย้ นิ เสียงพร้อมกบั เห็นภาพซ่ึงใชเ้ ทคนคิ การถ่ายท าลกั ษณะ ต่างๆ เช่น สาธติ การปรงุ อาหาร 41

บทท่ี 3 วิทยุโทรทัศนก์ บั การศกึ ษา คร้ังแรกถา่ ยในระยะปานกลางจะเหน็ ภาพครแู ละอปุ กรณ์ตลอดจน วสั ดตุ า่ งๆ วางอยูบ่ นโต๊ะ ตอ่ มา เมอ่ื เริม่ แนะน�ำ สิง่ ตา่ งๆ หรอื สาธิตการปรงุ จะใช้เทคนคิ การถา่ ย ระยะใกลเ้ พ่ือให้เห็นภาพชดั เจนยง่ิ ข้นึ การสาธิตการตอนกง่ิ ไม้จะใชก้ ารถ่ายภาพระยะใกล้แสดงวธิ ี ควน่ั รอบกิง่ และการลอกเปลือก ขณะ ท�ำ การสาธติ อาจใชส้ อื่ เขา้ มาชว่ ย เชน่ ภาพวาดแสดงการควนั่ และปลอกเปลือกท่ไี มถ่ ูกต้อง หรือใช้ ภาพวาดแสดงสิ่งทีซ่ ับซ้อนซ่งึ ผู้เรยี นเหน็ ภาพไม่ชัดเจน และเม่ือ ถึงขนั้ ตอนสรุปกอ็ าจใชภ้ าพวาดแสดง ขนั้ ตอนท้ังหมดจะชว่ ยใหผ้ เู้ รียนเข้าใจได้ดยี ิ่งข้นึ บางครั้งการ สาธิตอาจตอ้ งใช้เวลานานมาก เช่น ตอ้ ง รอให้น้�ำ เดือดก่อนใส่เครื่องปรุงอาหารหรือสาธิตเยบ็ ปกั ถกั รอ้ ย กวา่ จะเสร็จแต่ละขั้นตอนก็ตอ้ งใช้ เวลาเปน็ ช่ัวโมง จงึ ตอ้ งเตรียมสงิ่ ที่ทำ�สำ�เรจ็ ในแต่ละขัน้ ตอน หรอื ชน้ิ งานทีส่ �ำ เร็จสมบรู ณ์แลว้ ไวด้ ว้ ยจะ ช่วยประหยดั เวลาไดม้ าก กลา่ วโดยสรุปการสอนทางโทรทศั น์ดว้ ยวธิ กี ารสาธติ ครูโทรทัศน์จะตอ้ งเตรี ยมวสั ดอุ ปุ กรณ์ และสอื่ การสอนท่ใี ชป้ ระกอบการสาธติ ไวใ้ ห้พรอ้ ม จะตอ้ งซ้อมการสาธิตตามล�ำ ดับข้นั ตอนเพ่อื ให้รู้ เวลาที่แทจ้ ริง ในสว่ นของช่างกลอ้ งจะต้องซ้อมการจดั มมุ กลอ้ ง เลือกระยะการถา่ ย การ ตดั ตอ่ ภาพ และการให้แสงทถี่ ูกต้อง ภาพการสอนแบบสาธิต ท่มี า : https://goo.gl/NhcIqg 3. การอภิปรายและการสนทนา จดั ท าได้โดยการเชิญวทิ ยากรผู้มคี วามรู้เฉพาะในสาขาวิชา มาร่วมสนทนากนั ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยมผี ดู้ าเนินรายการซ่ึงอาจเปน็ ครูโทรทัศน์เองเป็นผูน้ �ำ ในการ อภิปราย ผดู้ ำ�เนนิ การอภปิ รายอาจตง้ั ประเดน็ หรือปญั หาให้ผู้ร่วมอภิปราย แสดงความคิดเหน็ อยา่ ง หลากหลาย ผูช้ มทรี่ ่วมรบั ฟังอยูด่ ้วยอาจเขา้ ไปมสี ่วนรว่ มแสดงความคิดเห็นหรอื ซักถามปัญหาได้ด้วย ทง้ั นผ้ี ดู้ าเนินการอภิปรายจะตอ้ งคอยเชอ่ื มโยงประเด็นและควบคมุ การอภิปรายใหเ้ ปน็ ไปดว้ ยดี ใน ตอนท้ายอาจจะตอ้ งสรุปเพ่อื เน้นประเด็นต่างๆ ทแ่ี ตล่ ะคนแสดงความคดิ เหน็ ตอ่ การอภปิ รายให้ เดน่ ชดั ยิ่งข้นึ 42

บทท่ี 3 วิทยโุ ทรทัศน์กับการศึกษา ภาพการอภปิ รายและการสนทนา ท่มี า : http://www.assumption.ac.th/applications/fusionnews/upload/fullnews.php?fn_id=11 5. การสมั ภาษณ์ เปน็ การสนทนาทีฝ่ ่ายหนง่ึ เปน็ ผถู้ ามอีกฝ่ายหนึง่ เป็นผตู้ อบ ผ้สู มั ภาษณ์ อาจถามบคุ คลคนเดยี วหรอื หลายคนกไ็ ด้ วัตถปุ ระสงคข์ องรายการแบบสัมภาษณ์เพือ่ ใหผ้ ชู้ มได้ แนวทางในการแก้ปญั หาหรือได้ข้อสรุปจากการตอบปัญหาของผู้ให้สัมภาษณ์ การสัมภาษณม์ ี 2 รูป แบบคอื เปน็ ทางการและไมเ่ ปน็ ทางการ แบบเป็นทางการผูใ้ หส้ มั ภาษณ์มกั เปน็ บคุ คลท่ไี ม่ค่อย ค้นุ เคยกนั มาก่อน ผ้สู มั ภาษณจ์ ึงตอ้ งเตรียมตัวมากกวา่ ปกตโิ ดยจะต้องต้งั วตั ถุประสงค์ว่าสมั ภาษณ์ เรอ่ื ง อะไร เพ่ืออะไร เตรียมค�ำ ถามลว่ งหน้า จดั เตรยี มสถานทแ่ี ละนัดแนะใหผ้ ถู้ ูกสัมภาษณ์ทราบ ล่วง หนา้ เพื่อจะไดเ้ ตรยี มตัวและเตรียมหาค าตอบได้ตรงจุด ส่วนการสัมภาษณแ์ บบไมเ่ ปน็ ทางการมัก ใช้ กับบคุ คลทีม่ คี วามเป็นกันเอง จงึ ไมต่ ้องเตรียมตวั มากนกั เพยี งแตต่ ัง้ จุดประสงค์ไว้ว่าตอ้ งการอะไร จากผู้ใหส้ ัมภาษณ์แลว้ คดิ ตง้ั คำ�ถามไว้ลว่ งหนา้ ระหวา่ งการสัมภาษณ์ ผสู้ ัมภาษณ์ ควรใช้ จติ วิทยา ปฏิภาณไหวพริบเพอ่ื ปรับตวั ให้เข้ากับผใู้ หส้ มั ภาษณไ์ ดอ้ ยา่ งดี มคี วามเป็นกันเอง ตั้งค าถาม ให้ตรง จุด ให้ผู้ตอบตอบไดอ้ ย่างสบายใจ หากมผี ู้ให้สมั ภาษณใ์ นเรือ่ งเดยี วกันหลายคนจะตอ้ งรกั ษา เวลา อยา่ งเคร่งครัด เมอื่ จบการสัมภาษณ์ผ้สู ัมภาษณจ์ ะตอ้ งกลา่ วขอบคุณและพยายามสรุปประเด็น หรอื แนวทางทเ่ี ป็นประโยชน์ตอ่ ผชู้ มและสังคมตอ่ ไป 43

บทที่ 3 วิทยุโทรทศั นก์ ับการศกึ ษา ภาพการสมั ภาษณ์ ทม่ี า : http://www.assumption.ac.th/applications/fusionnews/upload/fullnews.php?fn_id=11 6. สถานการณ์จ าลอง เปน็ รูปแบบการสอนทสี่ รา้ งขน้ึ มาเพอ่ื ใชเ้ ปน็ กรณตี วั อยา่ งทาง การ ศึกษา เชน่ สถานการณจ์ าลองเพ่ือการแนะแนวทางศกึ ษาต่อหรือการเลือกอาชพี ก็สร้างขึน้ มาให้ เห็นว่าอาชีพใดมคี วามม่นั คงกา้ วหน้า เพือ่ ใหผ้ ชู้ มมีทางเลือกมากขนึ้ ภาพสถานการณ์จ าลอง ทม่ี า : https://goo.gl/z7UgZS 44

บทท่ี 3 วทิ ยุโทรทัศน์กับการศึกษา ครโู ทรทศั นท์ ด่ี ี การสอนทางโทรทศั นก์ เ็ หมอื นกับการแสดงทางโทรทศั น์ทผี่ ู้สอนจะต้องใชค้ วามสามารถ หลายอย่างเพ่อื ใช้ในการถา่ ยทอดเนือ้ หาสาระให้ผเู้ รียนหรอื ผูช้ มเขา้ ใจ ผู้แสดงทางโทรทัศน์อาจต้อง มี รูปรา่ งหนา้ ตาดีหรอื ให้เข้ากับลกั ษณะบทบาทของตวั ละคร แต่ผู้สอนทางโทรทศั นร์ ูปรา่ งหนา้ ตา อาจไม่ มคี วามจำ�เป็นเท่าไหร่นกั มกั จะคำ�นงึ ถึงบุคลิกลกั ษณะความนา่ เช่ือถือเสียมากกวา่ เคยมี ประสบการณ์ วา่ การสอนทางโทรทัศนร์ ายการหนงึ่ ใช้นกั แสดงทมี่ ีช่อื เสยี งมาเป็นผสู้ อน ปรากฏวา่ ไม่ ไดผ้ ลเทา่ ทค่ี วร เนื่องจากผู้ชมมวั แต่ไปสนใจรปู ร่างหนา้ ตาของนกั แสดงมากกวา่ เน้อื หาที่น�ำ เสนอ เมอ่ื เป็นอยา่ งน้ันจึง ตอ้ งเปลยี่ นไปใชผ้ ู้ทรงคุณวุฒใิ นรายการนั้นโดยตรงเปน็ ผเู้ สนอแทน เพราะให้ความนา่ เชอื่ ถอื มากกวา่ และเปน็ ทีย่ อมรับของผูช้ มว่าเปน็ ผมู้ ีความรู้ในเนื้อหาวิชานนั้ ๆ จรงิ ไม่ใช่คนเขยี นบท ใหแ้ ล้วกพ็ ดู ไป ตามบทที่ก�ำ หนด ดังนัน้ จงึ พอสรปุ ไดว้ ่าคุณสมบตั ิของครูโทรทัศนท์ ีด่ ีจะต้องประกอบ ไปด้วยส่งิ ตา่ งๆ ต่อไปน้ี คอื 1. เปน็ ผมู้ ีความรอบรู้ในเน้อื หาวชิ าท่ีท�ำ การสอนอยา่ งดี มปี ระสบการณใ์ นการสอน มี จนิ ตนาการดี และมีความเช่ือมนั่ ในตนเองสูง หากเกดิ ปัญหาข้ึนระหว่างการสอนก็สามารถแก้ปญั หา เฉพาะหนา้ ได้ 2. มีบุคลกิ ลกั ษณะดี นา่ เชือ่ ถอื มคี วามสามารถในการอธบิ าย สามารถสอื่ ความหมายทง้ั ใน ดา้ นการพูด การเขียนและแสดงความคิดเหน็ ซ่งึ จะช่วยท�ำ ให้รายการโทรทศั นน์ ่าสนใจ นา่ ตดิ ตามมาก ยิ่งขึ้น 3. มีมนุษยสัมพันธ์ดี สามารถท�ำ งานรว่ มกบั ผอู้ ่นื ไดอ้ ยา่ งดี 4. มีความรูค้ วามเขา้ ใจเกีย่ วกบั การน�ำ โทรทศั นม์ าใชก้ ับการศึกษา คือ ทราบถึงประโยชน์ และข้อจำ� กดั ของโทรทศั น์ มคี วามรู้เก่ียวกบั การเขียนบทโทรทัศนท์ ี่เหมาะกับการสอนบทเรียน ต่างๆ เขา้ ถึงบทบาทและความรบั ผดิ ชอบของเจา้ หน้าทฝี่ ่ายตา่ งๆ ในการผลติ รายการ เพ่อื ใหส้ ามารถ ประสานงานและรว่ มมอื กับเจา้ หน้าที่ ทีส่ �ำ คัญคอื จะตอ้ งมคี วามสามารถและพงึ พอใจทจี่ ะท�ำ งานใน ด้านนี้ 45


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook