Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสังคมศาสตร์

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสังคมศาสตร์

Published by Praewpan Klankham, 2021-05-19 15:39:28

Description: ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสังคมศาสตร์

Search

Read the Text Version

บทที่ 1 ความรู้ทวั่ ไปเกย่ี วกบั สังคมศาสตร์ 1.1 ความหมายสังคมศาสตร์ เม่ือกล่าวถึงสังคมแลว้ คงจะนึกถึงภาพคนหลายๆ คนมาอยรู่ ่วมกนั มีแบบแผนกฎกติกา ประเพณี วฒั นธรรม ความเชื่อ มีเศรษฐกิจ การประกอบอาชีพ สุขอนามยั การศึกษา ปรากฏการณ์ทางสังคมที่ เกิดข้ึนและองคป์ ระกอบอื่นๆ อีกมากมาย ดงั น้นั สงั คมศาสตร์ จึงมีความหมายอยา่ งกวา้ งขวาง โดยมี ผใู้ หน้ ิยามไวห้ ลายๆ ทา่ น เช่น สมศกั ด์ิ ศรีสันติสุข (2538) กล่าววา่ สังคมศาสตร์เป็นความรู้แขนงหน่ึงท่ี ใหค้ วามสนใจหาหลกั การและเหตุผลในเร่ืองปรากฏการณ์ในสังคม บางท่านอาจจะกล่าววา่ เป็นวชิ า หลายแขนงท่ีศึกษามนุษยใ์ นดา้ นต่างๆ เช่น พฤติกรรมการบริโภค การเมือง ขนบธรรมเนียมประเพณี ดา้ นอนามยั ฯลฯ นอกจากน้นั ยงั มีผใู้ หน้ ิยามไวว้ า่ สังคมศาสตร์ (Social) เป็นศาสตร์ที่เก่ียวขอ้ งกบั จิตใจ และพฤติกรรมทางสงั คมของมนุษย์ วฒั นธรรม อารยะธรรม รวมท้งั ปรากฏการณ์ในสังคม เช่นการ เดินขบวนประทว้ ง การรวมกลุ่มเพ่อื การประกอบอาชีพ การมีคนจนเมือง การนบั ถือผี บรรพบุรุษ การ รักชาติ การนบั ถือศาสนา ท้งั น้ีกเ็ พื่อหาแนวทางพฒั นาใหค้ นในสงั คมอยรู่ ่วมกนั อยา่ งมีความสุขนน่ั เอง จากความหมายขา้ งตน้ และในทศั นะของผเู้ รียบเรียง สามารถสรุปไดว้ า่ สังคมศาสตร์ หมายถึง การแสวงหาความรู้ท่ีเกิดจากปรากฏการณ์ทุกๆ ดา้ นในสังคม เพอื่ ใชใ้ นการพฒั นาปรับปรุงปรากฏการณ์ น้นั ใหค้ นในสังคมสามารถอยรู่ ่วมกนั ไดอ้ ยา่ งมีความสุข 1.2 สาขาวชิ าทางสังคมศาสตร์ สานกั งานคณะกรรมการวจิ ยั แห่งชาติแบง่ ตามพระราชบญั ญตั ิสภาวจิ ยั แห่งชาติ ใหส้ งั คมศาสตร์ แบง่ ไดเ้ ป็น 5 สาขา ดงั น้ี 1.2.1 สาขามนุษยศาสตร์ ประกอบดว้ ยสาขาวชิ าทางดา้ นปรัชญา ศาสนา การศึกษา โบราณคดี ประวตั ิศาสตร์ บรรณารักษศาสตร์ ศิลปะ จิตวทิ ยา ภาษาและวรรณคดี และสาขาวชิ าที่คลา้ ยคลึงกนั 1.2.2 นิติศาสตร์ ประกอบดว้ ยแขนงวชิ ากฎหมายอาญา กฎหมายแพง่ กฎหมายพิจารณาความ แพง่ และอาญา กฎหมายระหวา่ งประเทศ ธรรมนูญศาลยตุ ิธรรม ประวตั ิศาสตร์กฎหมาย กฎหมาย เปรียบเทียบ และสาขาวชิ าท่ีคลา้ ยคลึงกนั 1.2.3 รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ประกอบดว้ ยแขนงวชิ า รัฐศาสตร์การปกครอง รัฐประศาสนศาสตร์ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศ บริหารธุรกิจ และสาขาวชิ าท่ีคลา้ ยคลึงกนั 1.2.4 เศรษฐศาสตร์ ประกอบดว้ ยแขนงวชิ าวชิ าพฒั นาเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ การบญั ชีทว่ั ไป การธนาคารและการเงิน พาณิชยศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ทฤษฎี เศรษฐศาสตร์พฒั นาการ เศรษฐศาสตร์ การเงินและการคลงั และวชิ าที่คลา้ ยคลึงกนั

1.2.5 สงั คมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา ประกอบดว้ ยแขนงวชิ าสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ สังคมวทิ ยา มานุษยวทิ ยา ประชากรศาสตร์ อาชญวทิ ยา การขยายตวั ของชนบทและนคร การพฒั นาชุมชนและวชิ าที่ คลา้ ยคลึงกนั 1.3 ประเภทของสังคมศาสตร์ สังคมศาสตร์มีหลายๆ สาขาและแขนงวชิ าดงั ท่ีกล่าวมาในขอ้ 1.2 ดงั น้นั เพ่ือใหเ้ ขา้ ใจง่ายข้ึนถา้ หากจะนาวชิ าทางสังคมศาสตร์ไปศึกษาวจิ ยั สมศกั ด์ิ ศรีสันติสุข (2538) สามารถที่จะจาแนก สังคมศาสตร์ไดเ้ ป็น 2 ประเภท ดงั น้ี 1.3.1 สังคมศาสตร์บริสุทธ์ิ (pure social sciences) สังคมศาสตร์บริสุทธ์ิ หมายถึง แขนงวชิ าทางสงั คมศาสตร์ท่ีเป็ นวชิ าพ้นื ฐานหรือวชิ าเอกทาง ทฤษฎี เนน้ หนกั หลกั เกณฑแ์ ละสมมติฐานต่างๆ ดงั น้นั การนาสงั คมศาสตร์บริสุทธ์ิไปใชก้ เ็ พื่อใหเ้ ป็น หลกั พ้ืนฐานและกรอบแนวคิดต่างๆ ที่มีความสมั พนั ธ์กนั ในเชิงทฤษฎี แขนงวชิ าท่ีเป็นสงั คมศาสตร์ บริสุทธ์ิ ไดแ้ ก่ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สงั คมวทิ ยา และมานุษยวทิ ยา เป็นตน้ 1.3.2 สังคมศาสตร์ประยกุ ต์ (applied social sciences) สงั คมศาสตร์ประยกุ ต์ หมายถึง แขนงวชิ าที่ตอ้ งอาศยั หลกั การและทฤษฎีสังคมศาสตร์บริสุทธ์ิ หลายๆ กลุ่มวชิ า นาไปใชห้ รือประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ต่อสังคม เช่นวชิ านิติศาสตร์ ตอ้ งอาศยั หลกั การทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ สงั คมวทิ ยา และมานุษยวทิ ยา มาประยกุ ตใ์ ช้ หรือวชิ าบริหารธุรกิจ ตอ้ ง อาศยั ความรู้ทางคณิตศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สงั คมวทิ ยา และมานุษยวทิ ยา มาประยกุ ตใ์ ช้ เป็น ตน้ 1.4 ปรากฏการณ์ในสังคมมนุษย์ มนุษยท์ ่ีอยรู่ ่วมกนั เป็ นสังคมทุกคนตอ้ งเผชิญกบั ปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนในสังคมมากมายหลายๆ ดา้ น ปรากฏการณ์เหล่าน้นั มีท้งั สิ่งที่ดี และไม่ดีท่ีส่งผลต่อมนุษยใ์ นสงั คม จนก่อให้เกิดเป็นความรู้ และ ทกั ษะต่างๆ ของมนุษย์ ปรากฏการณ์ทางสงั คมสามารถจาแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภท ดงั น้ี 1.4.1 ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ หมายถึง เหตุการณ์ตา่ งๆ ท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ โดยไม่มีมนุษยค์ น ใดเขา้ ไปทาใหเ้ กิดข้ึนโดยตรง หรือบางคร้ังอาจจะเกิดเพราะผลกระทบจากการกระทาของมนุษยโ์ ดย ทางออ้ มกไ็ ด้ แต่อยา่ งไรกต็ ามผลจากปรากฏการณ์ธรรมชาติยอ่ มมีผลกระทบต่อมนุษยท์ ้งั ทางตรง ทางออ้ ม และทางที่ดี หรือไม่ดีกไ็ ด้ เช่น ความแหง้ แลง้ ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูร้อน ดวงอาทิตยข์ ้ึน ดวง อาทิตยต์ ก น้าข้ึน น้าลง แผน่ ดินไหว และอ่ืนๆ

1.4.2 ปรากฏการณ์ทางสังคม ปรากฏการณ์ทางสังคม หมายถึง ปรากฏการณ์ท่ีมนุษยใ์ นสงั คมกระทาข้ึน ท้งั ทางดา้ น พฤติกรรมที่ไดท้ าร่วมกนั สัมพนั ธ์กนั หรือเกิดข้ึนจากผลกระทบของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทาให้ เกิดปรากฏการณ์ทางสงั คมข้ึน ลกั ษณะและผลกระทบจากปรากฏการณ์ทางสงั คมที่เกิดข้ึนก็เช่นเดียวกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ คือมีท้งั ทางตรง ทางออ้ ม มีดา้ นที่ดี และไมด่ ี เช่นกนั เช่น การสร้างกฎหมาย เพอื่ ใชเ้ ป็นเครื่องมือใหค้ นในสังคมอยรู่ ่วมกนั อยา่ งมีความสุข คนอีสานอพยพไปใชแ้ รงงานในกรุงเทพ เน่ืองจากความแหง้ แลง้ การเดินขบวนเรียกร้องสิ่งต่างๆ ของสมาชิกในสังคม เป็นตน้ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและปรากฏการณ์ทางสังคม ยอ่ มมีความสมั พนั ธ์ตอ่ ชีวติ ความเป็นอยู่ ของมนุษย์ นกั วจิ ยั และพฒั นาท้งั หลายจึงตอ้ งหาแนวทางที่จะสร้างหรือแกไ้ ขปรากฏการณ์เหล่าน้นั ให้ เป็นผลดีต่อมนุษย์ เพ่ือใหอ้ ยรู่ ่วมกนั อยา่ งมีความสุขตอ่ ไป 1.5 การหาความรู้ทางสังคมศาสตร์ 1.5.1 วธิ ีการหาความรู้ การหาความรู้ทางสังคมศาสตร์ ไดม้ ีการพฒั นาและเปล่ียนแปลงมาอยา่ งตอ่ เน่ือง ตามวธิ ีการ และแขนงวชิ าแต่ละดา้ น โดยสรุปแลว้ การหาความรู้ทางสังคมศาสตร์สามารถทาได้ 2 วธิ ีการ ดงั น้ี 1. วธิ ีการเชิงปริมาณ (Quantitative for social science method) เป็นวธิ ีการศึกษาหาความรู้ โดยการเกบ็ ขอ้ มลู เชิงปริมาณ หรือเป็นตวั เลข มาอนุมาน (deductive) เพื่อพสิ ูจนส์ มมติฐานที่กาหนดไว้ จากการศึกษาคน้ ควา้ ท่ีมีอยแู่ ลว้ ดว้ ยการวเิ คราะห์ทางสถิติใหม้ ีความน่าเช่ือถือ 2. วธิ ีการเชิงคุณภาพ (Qualitative for social science method) เป็นวธิ ีการคน้ หาคาตอบท่ี ตอ้ งการดว้ ยการเกบ็ ขอ้ มลู เชิงคุณภาพจากกลุ่มเป้ าหมายดว้ ยการเขา้ ไปคลุกคลี ฝังตวั เพื่อท่ีจะเก็บขอ้ มลู เป็นระยะเวลานานพอสมควร เพื่อนาขอ้ มูลที่ไดม้ าไปอุปมาน (inductive) คาตอบเพื่อสร้างทฤษฏี หรือ สมมติฐาน ท้งั น้ีวธิ ีการหาความรู้เชิงคุณภาพมกั เป็นการศึกษาเฉพาะกลุ่ม และเขียนรายงานเชิงพรรณนา เป็นหลกั จึงมีขอ้ จากดั ที่ไมส่ ามารถนาคาตอบท่ีไดไ้ ปสรุปในภาพรวมทวั่ ๆไปได้ 1.5.2 หลกั การหาความรู้ การหาความรู้ทางสงั คมศาสตร์ มีระเบียบแบบแผนในการหาความรู้ตามวธิ ีวจิ ยั ทวั่ ๆไปที่ กาหนดไวส้ ามารถสรุปเป็ นหลกั การหาความรู้ได้ ดงั น้ี 1. หลกั การคน้ หาความรู้ หลกั การน้ีอาศยั การทบทวนวรรณกรรม เอกสารวชิ าการต่างๆ มา กาหนดเป็นองคค์ วามรู้เพื่อใหท้ ราบสภาพปัญหา กรอบแนวความคิดที่จะใชใ้ นการวจิ ยั หรือกาหนด แนวทางปฏิบตั ิในการดาเนินการวจิ ยั ต่อไป ดงั น้นั หลกั การน้ีจึงมีความสาคญั เป็ นอยา่ งยง่ิ ท่ีนกั วจิ ยั พฒั นา ท้งั หลายจะตอ้ งคานึงถึงเพราะถือวา่ เป็นข้นั ตอนแรก ถา้ เกิดขอ้ ผิดพลาดหรือไม่รอบคอบเพยี งพอกจ็ ะ ส่งผลตอ่ งานวจิ ยั พฒั นาเหล่าน้นั ใหผ้ ดิ พลาดไปจากขอ้ เทจ็ จริงได้

2. หลกั การในการวดั มีความจาเป็นเป็ นอยา่ งยงิ่ ที่จะตอ้ งอาศยั หลกั การวดั ในการวจิ ยั ไมว่ า่ จะเป็นวดั ความเที่ยงตรง หรือความเช่ือมน่ั ของเคร่ืองมือเกบ็ ขอ้ มูล ซ่ึงจะส่งผลตอ่ ความน่าเช่ือถือของ งานวจิ ยั พฒั นาน้นั ๆ ดว้ ย 3. หลกั การในการดาเนินงานวจิ ยั หรือวธิ ีวจิ ยั หลกั การน้ีส่วนใหญ่จะมีขอ้ กาหนดเป็น ข้นั ตอนตามความตอ้ งการของแหล่งทุนในการวจิ ยั ที่จะตอ้ งปฏิบตั ิตาม เช่น สภาวิจยั มหาวทิ ยาลยั สถาบนั วจิ ยั หรือที่อ่ืนๆ แตเ่ น้ือหาโดยสรุปของหลกั การดาเนินงานวจิ ยั มกั จะกล่าวถึง ประชากร การสุ่ม ตวั อยา่ ง การเกบ็ ขอ้ มลู การวิเคราะห์และประมวลผลขอ้ มูล เป็นตน้ 4. หลกั การวเิ คราะห์ขอ้ มลู มีความจาเป็นเป็นอยา่ งยงิ่ ท่ีนกั วจิ ยั และพฒั นาจะตอ้ งเขา้ ใจ หลกั การน้ีอยา่ งถูกตอ้ ง การนาขอ้ มลู จากการสารวจท้งั ในเชิงปริมาณ และคุณภาพ มาวเิ คราะห์ดว้ ย คา่ สถิติ หรือการพรรณนา และการแปลความขอ้ มลู จากการวเิ คราะห์อยา่ งถูกตอ้ ง ความน่าเช่ือถือของ งานวจิ ยั และพฒั นาน้นั กจ็ ะสูงตามไปดว้ ย 5. หลกั การเขียนรายงาน หลกั การนี่กเ็ ช่นเดียวกบั ขอ้ 3 คือแหล่งทุนตา่ งๆ ทางการวจิ ยั มกั จะ กาหนดไวเ้ ป็ นเบ้ืองตน้ แลว้ แต่โดยทวั่ ไปแลว้ มกั จะกล่าวถึง บทนา แนวคิดและทฤษฏีหรือการตรวจ เอกสาร ระเบียบวธิ ีดาเนินการวจิ ยั ผลการวจิ ยั สรุปผลการวจิ ยั และขอ้ เสนอแนะ ส่วนอา้ งอิง และ ภาคผนวก เป็นตน้

บทท่ี 2 สังคมหม่อนไหมในประเทศไทย 2.1 ความเป็ นมาของสังคมหม่อนไหมในประเทศไทย การปลูกหมอ่ นเล้ียงไหมกา้ วเขา้ มาสู่สังคมไทยเม่ือใดยงั ไม่แน่ชดั ไดแ้ ต่มีขอ้ สนั นิษฐานตา่ งๆ กนั ไปตามเหตุการณ์ หรือหลกั ฐานทางโบราณคดี หรือประวตั ิศาสตร์ เช่น ขอ้ สนั นิษฐานท่ีกล่าววา่ การ ปลูกหมอ่ นเล้ียงไหมในประเทศไทยไดร้ ับการถ่ายทอดทางวฒั นธรรมมาจากชนชาวจีนตอนใต้ มาตาม ลาน้าโขง ซ่ึงในปัจจุบนั มณฑลกวางสี และกวางตุง้ ของจีนยงั มีเผา่ ไทอาศยั อยู่ หรือเชื่อวา่ การปลูกหมอ่ น เล้ียงไหมอยคู่ ูก่ บั บรรพบุรุษไทยมาตลอด ไม่ไดม้ าจากที่ใด พิสูจน์ไดจ้ ากหลกั ฐานท่ีคน้ พบเศษผา้ ติดอยู่ กบั กาไลสาริดท่ีโครงกระดูกของมนุษยก์ ่อนประวตั ิศาสตร์บา้ นเชียง นอกจากน้นั ยงั พบเศษเส้นไหมและ ลูกกลิ้งดินเผาท่ีใชเ้ ป็นเคร่ืองมือทาลวดลายบนผนื ผา้ มีอายกุ วา่ 3,000 ปี ท่ีบา้ นนาดี อาเภอหนองหาน จงั หวดั อุดรธานี ท้งั น้ีหลกั ฐานท่ีเห็นเด่นชดั และมีการบนั ทึกไวเ้ ริ่มข้ึนในสมยั สุโขทยั โดยโจวตา้ กวาน บนั ทึกไวว้ า่ ในปี พ.ศ. 1839 ชาวไทยใชผ้ า้ ไหมทอเป็ นแพรบางๆ สีดาเป็นเครื่องนุ่งห่ม ในยคุ น้ีเองกรุง สุโขทยั และหวั เมืองเช่น ลพบุรี สุพรรณบุรี สงขลา มีการติดต่อคา้ ขายผา้ ไหมกบั ประเทศจีน ในสมยั กรุง ศรีอยธุ ยาระหวา่ งปี พ.ศ. 1948-1976 มีพอ่ คา้ ชาวจีนไดน้ าผา้ ไหมและสินคา้ อ่ืนๆ เขา้ มาขาย ทาใหก้ รุงศรี อยธุ ยากลายเป็นศนู ยก์ ลางการคา้ สินคา้ หลายชนิด รวมท้งั ผา้ ไหมและวตั ถุดิบในการทอผา้ ไหม โดยเฉพาะในรัชสมยั ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองคจ์ ดั ใหม้ ีคลงั สินคา้ ตามหวั เมืองตา่ งๆ และ จดั ใหเ้ ป็นศูนยก์ ลางการคา้ วตั ถุดิบในการทอผา้ ไหมและผา้ ฝ้ าย สมยั กรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั รัชกาลท่ี 2 มีขนุ นางชาวเวยี งจนั ทร์ชื่อ นายแล ไดน้ าชาวลาวซ่ึงเป็นผมู้ ีความชานาญเร่ืองการปลูกหม่อนเล้ียงไหม สาว ไหม ทอผา้ ไหม อพยพมาต้งั หลกั แหล่งท่ีบา้ นเนินออ้ ม ซ่ึงเป็นที่ต้งั ของเมืองชยั ภมู ิในปัจจุบนั ทาใหก้ าร ปลูกหม่อนเล้ียงไหม สาวไหม และทอผา้ ไหม ไดแ้ พร่กระจายไปในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทย ต้งั แต่น้นั เป็ นตน้ มา จนกระทง่ั ในรัชสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลท่ี 5 ได้ ทรงมีพระราชวนิ ิจฉยั ใหม้ ีการอุดหนุนการทาไหมและทอผา้ ไหมข้ึนในปี พ.ศ. 2445 โดยรัฐบาลไทยได้ วา่ จา้ ง ดร.คาเมทาโร่ โทยามา จากมหาวทิ ยาลยั โตเกียวมาเป็นผเู้ ช่ียวชาญและท่ีปรึกษาดา้ นการเล้ียงไหม ทาการสร้างสถานีเล้ียงไหมข้ึนเป็นแห่งแรกที่ตาบลศาลาแดง กรุงเทพฯ มีการจดั ต้งั กองหรือแผนกช่าง ไหมข้ึนในกระทรวงเกษตราธิการ โดยมี ดร.คาเมทาโร่ เป็นหวั หนา้ กอง ตอ่ มาเม่ือวนั ท่ี 30 กนั ยายน 2446 ไดย้ กระดบั ข้ึนเป็นกรมช่างไหมโดยมีพระเจา้ ลูกยาเธอพระองคเ์ จา้ เพญ็ พฒั นพงษ์ (กรมหมื่นพไิ ชย มหินทโรดม) พระโอรสองคท์ ่ี 38 ในรัชกาลท่ี 5 เป็นอธิบดีพระองคแ์ รก และมีการต้งั โรงเรียนช่างไหม ข้ึนท่ีปทุมวนั เมื่อวนั ที่ 16 มกราคม 2446 ในปัจจุบนั ไดพ้ ฒั นามาเป็นมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ต่อมา ในปี พ.ศ. 2447 ไดก้ ่อต้งั สาขากองช่างไหมข้ึนท่ีเมืองนครราชสีมา เพือ่ เป็ นแหล่งรักษาพนั ธุ์ไหม ส่งเสริมใหป้ ระชาชนปลูกหม่อนและเล้ียงไหมแบบใหม่ ฝึกการสาวไหมดว้ ยเคร่ืองสาว และดดั แปลง

เครื่องทอผา้ ใหม้ ีประสิทธิภาพมากยง่ิ ข้ึน หลงั จากน้นั เมื่อวนั ที่ 11 พฤศจิกายน 2452 อธิบดีพระองคแ์ รก ไดส้ ิ้นพระชนมล์ ง และวนั ท่ี 23 ตุลาคม 2453 พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดเ้ สด็จสวรรคต ทาใหง้ านดา้ นไหมตอ้ งซบเซาลง จนกระทงั่ ปี พ.ศ. 2478 ภาครัฐเริ่มใหค้ วามสาคญั กบั การปลูกหมอ่ น เล้ียงไหมอีกคร้ัง ปี พ.ศ. 2479 กระทรวงเศรษฐการ ไดค้ าดหมายวา่ ไหมอาจเป็นสินคา้ สาคญั ในอนาคต จึงไดจ้ ดั ต้งั โรงงานสาวไหมข้ึนท่ีจงั หวดั นครราชสีมา และกระทรวงเกษตราธิการทาหนา้ ท่ีส่งเสริมการ เล้ียงไหมแก่เกษตรกร ในปี พ.ศ. 2481 ไดต้ ้งั สถานีส่งเสริมการเล้ียงไหมข้ึนที่ปากช่อง ตอ่ มาไดจ้ ดั ต้งั สถานีส่งเสริมการเล้ียงไหมหนองคาย หว้ ยแกว้ และพุทไธสง สังกดั กองพืชพรรณ กรมกสิกรรม ในปี พ.ศ. 2493 รัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู ิพลอดุลยเดช ไดจ้ ดั ต้งั สถานีส่งเสริมการเล้ียงไหม ร้อยเอด็ ต่อมาในปี พ.ศ. 2501 จอมพลผนิ ชุณหวณั รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงเกษตร ไดซ้ ้ือโรงงาน น้าตาลที่จงั หวดั อุบลราชธานี ต้งั เป็นสถานีส่งเสริมการเล้ียงไหม และในปี พ.ศ. 2506-2508 ไดย้ กเลิก สถานีที่ปากช่องและหว้ ยแกว้ จนกระทงั่ ในปี พ.ศ. 2512 รัฐบาลญ่ีป่ ุน ไดส้ ่ง ดร.เซโนสุเกะ โอมูรา พร้อมผเู้ ช่ียวชาญอีก 4 คน มาท่ีศูนยว์ จิ ยั หม่อนไหมนครราชสีมา เพื่อทางานวจิ ยั ดา้ นหม่อนไหม การ ผลิตไข่ไหม โรคแมลงศตั รูหมอ่ นไหม และการสาวไหม ร่วมกบั สถานีทดลองในเครือขา่ ยอีก 4 แห่ง คือ ขอนแก่น อุดรธานี มุกดาหาร และอุบลราชธานี ทาใหส้ ามารถผลิตเส้นไหมไดท้ ้งั เส้นพงุ่ และเส้นยนื มี การต้งั โรงงานสาวไหมข้ึนหลายโรง มีการส่งเสริมเกษตรกรใหเ้ ล้ียงไหมขายรังไหมใหโ้ รงสาวไหม แต่ กย็ งั มีเกษตรกรส่วนหน่ึงที่ยงั เล้ียงไหมแบบพ้ืนบา้ น ดงั น้นั การส่งเสริมเกษตรกรต้งั แต่ปี พ.ศ. 2512- 2523 จึงแบ่งเกษตรกรออกเป็ น 3 ระดบั คือ เกษตรกรระดบั กา้ วหนา้ เกษตรกรระดบั กลาง และเกษตรกร ลา้ หลงั ส่วนภาคเอกชนเองกม็ ีการจดั ต้งั สมาคมข้ึนเพ่ือใหก้ ารช่วยเหลือผปู้ ระกอบการดา้ นหม่อนไหม จะเห็นไดว้ า่ การพฒั นาการปลูกหม่อนเล้ียงไหมไดด้ าเนินการต่อเน่ืองกนั มาตามลาดบั จนเมื่อวนั ท่ี 17 ธนั วาคม 2545 คณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ และวฒั นธรรม ในสภาผแู้ ทนราษฎร มีหนงั สือถึง นายกรัฐมนตรี เร่ือง การอนุรักษห์ มอ่ นไหมไทย ต่อมาวนั ท่ี 28 กมุ ภาพนั ธ์ 2546 สานกั งานเลขานุการ นายกรัฐมนตรี มีหนงั สือถึงรัฐมนตรีวา่ การกระทรงเกษตรและสหกรณ์ ขอจดั ต้งั สถาบนั ไหมไทยเพื่อ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ และในวนั ที่ 4 เมษายน 2546 กระทรวง เกษตรและสหกรณ์มีหนงั สือถึงเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เห็นควรจดั ต้งั สานกั งานหม่อนไหมแห่งชาติ ข้ึน ในที่สุดคณะรัฐมนตรีไดม้ ีมติเม่ือวนั ที่ 3 สิงหาคม 2547 ใหจ้ ดั ต้งั สถาบนั หม่อนไหมแห่งชาติเฉลิม พระเกียรติสมเด็จพระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ สังกดั สานกั งานปลดั กระทรวง กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ โดยสมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ไดพ้ ระราชทานชื่อวา่ สถาบนั หมอ่ นไหม แห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ เม่ือวนั ท่ี 20 พฤษภาคม 2548 และ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 122 ตอนท่ี 65 ก เรื่องการจดั ต้งั สถาบนั หมอ่ นไหมแห่งชาติเฉลิม พระเกียรติสมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ เม่ือวนั ท่ี 11 สิงหาคม 2548 โดยมีโครงสร้าง ประกอบดว้ ยการรวมเอาสถาบนั วจิ ยั หม่อนไหม กรมวชิ าการเกษตร และกลุ่มหม่อนไหม กรมส่งเสริม การเกษตร เขา้ ดว้ ยกนั ตามกฎกระทรวงวา่ ดว้ ยการแบ่งส่วนราชการ สานกั งานปลดั กระทรวง กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ (ฉบบั ที่2) พ.ศ. 2548 ต่อมาในปี 2552 ในรัฐบาล นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ

นายกรัฐมนตรี มีนายธีระ วงษส์ มุทร เป็นรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สถาบนั หมอ่ น ไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ไดย้ กฐานะข้ึนเป็ น กรมหม่อนไหม จดั ต้งั โดยพระราชดาริในสมเด็จพระ นางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ซ่ึงพระองคท์ รงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นลน้ พน้ ต่อเกษตรกรผปู้ ลูก หมอ่ นเล้ียงไหม โดยไดผ้ า่ นพระราชบญั ญตั ิปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม เม่ือวนั ที่ 20 ตุลาคม 2552 พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงลงพระปรมาภิไธย เม่ือวนั ที่ 26 พฤศจิกายน 2552 เป็นปี ท่ี 64 ในรัชกาลปัจจุบนั และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มท่ี 126 ตอนท่ี 92 ก เมื่อวนั ท่ี 3 ธนั วาคม 2552 กรมหมอ่ นไหม มีผลบงั คบั ใชใ้ นวนั ท่ี 4 ธนั วาคม 2552 จึงเป็นกรมลาดบั ท่ี 13 สังกดั กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเป็นกรมในกลุ่มภารกิจ ดา้ นพฒั นาการผลิต ตามกฎกระทรวงวา่ ดว้ ย กลุ่มภารกิจ (ฉบบั ที่ 7) พ.ศ. 2552 และกฎกระทรวง แบ่งส่วนราชการ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ที่ 126 ตอนที่ 98 ก วนั ที่ 28 ธนั วาคม 2552 แบ่งส่วนราชการกรมหม่อนไหมออกเป็ น 11 หน่วยงาน ประกอบดว้ ย สานกั บริหารกลาง สานกั งานหมอ่ นไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ เขต 1-5 (มีศูนยห์ ม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ภายใตส้ งั กดั 21 แห่ง) สานกั พฒั นาและถ่ายทอดเทคโนโลยหี มอ่ นไหม สานกั วจิ ยั และพฒั นาหม่อนไหม สานกั อนุรักษแ์ ละตรวจสอบมาตรฐานหม่อนไหม กลุ่มตรวจสอบภายใน และ กลุ่มพฒั นาระบบบริหาร โดยมีภารกิจเก่ียวกบั หมอ่ นไหมท้งั ระบบ ครอบคลุมถึงการพฒั นาพนั ธุ์ การ อนุรักษแ์ ละคุม้ ครองพนั ธุกรรมหมอ่ นไหม การตรวจสอบและรับรองมาตรฐานหม่อนไหม การส่งเสริม การสนบั สนุน และการเผยแพร่องคค์ วามรู้ดา้ นหม่อนไหม โดยใหม้ ีอานาจหนา้ ที่ ดงั น้ี 1. ศึกษา วเิ คราะห์ เสนอแนะ และจดั ทานโยบายและยทุ ธศาสตร์หมอ่ นไหมของประเทศ รวมท้งั การดาเนินการเกี่ยวกบั ความร่วมมือกบั ตา่ งประเทศดา้ นหม่อนไหม 2. ศึกษา วจิ ยั ทดลอง และพฒั นาเก่ียวกบั พนั ธุ์ เทคโนโลยกี ารผลิต การอารักขา วทิ ยาการหลงั การเกบ็ เกี่ยว การแปรรูป นวตั กรรม และมาตรฐานเกี่ยวกบั หมอ่ นไหม ผลิตภณั ฑจ์ ากหม่อนไหม และ ผลพลอยได้ 3. ดาเนินการเกี่ยวกบั การอนุรักษ์ และคุม้ ครองพนั ธุกรรมหม่อนไหม นวตั กรรม วฒั นธรรม ภมู ิปัญญาดา้ นหม่อนไหม ผลิตภณั ฑจ์ ากหม่อนไหม และผลพลอยได้ 4. ดาเนินการเกี่ยวกบั การกากบั ติดตาม ตรวจสอบ และรับรองมาตรฐานหม่อนไหมผลิตภณั ฑ์ จากหม่อนไหม และผลพลอยได้ 5. ดาเนินการเก่ียวกบั การผลิตและส่งเสริมสนบั สนุนดา้ นหมอ่ นไหมและวสั ดุยอ้ มสี รวมท้งั วาง ระบบแจง้ ขอ้ มูลล่วงหนา้ 6. ส่งเสริมสนบั สนุนการสร้างมลู ค่าเพ่มิ การพฒั นาระบบการจดั การสินคา้ หม่อนไหม การแปร รูป นวตั กรรม ผลิตภณั ฑจ์ ากหม่อนไหม และผลพลอยได้ รวมท้งั พฒั นาอาชีพและสนบั สนุนการตลาด หม่อนไหม 7. ส่งเสริม สนบั สนุน สร้างระบบเครือขา่ ย และถ่ายทอดเทคโนโลยกี ารผลิตและการจดั การ ผลผลิตหม่อนไหม

8. ส่งเสริม สนบั สนุน เผยแพร่องคค์ วามรู้ บริการขอ้ มูล และพิพิธภณั ฑก์ ารเรียนรู้ดา้ นหม่อน ไหม 9. ส่งเสริมเอกลกั ษณ์และสร้างค่านิยมเกี่ยวกบั หม่อนไหมกบั วถิ ีชีวติ คนไทย 10. ปฏิบตั ิการอ่ืนใดตามที่กฎหมายกาหนดใหเ้ ป็นอานาจหนา้ ที่ของกรม หรือตามท่ีรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย 2.2 องค์ประกอบของสังคมหม่อนไหม จากความเป็นมาขา้ งตน้ จะเห็นไดว้ า่ ไหมไดซ้ ึมลึกเขา้ ไปในสงั คมไทย ต้งั แตใ่ นอดีตเร่ือยมา จนถึงปัจจุบนั ดว้ ยการสืบทอดกนั มาอยา่ งต่อเน่ืองจากรุ่นสู่รุ่น ดงั น้นั อาจจะกล่าวไดว้ า่ ไหมไทย เป็น วฒั นธรรมทางสังคมของไทยอยา่ งหน่ึง สังคมไหมไทย จึงมีองคป์ ระกอบครบถว้ นและเช่ือมโยงกนั ต้งั แต่ผผู้ ลิต ผบู้ ริโภค ผนู้ าเขา้ -ส่งออก และผสู้ นบั สนุน ภายในองคป์ ระกอบเหล่าน้ียงั มี กลุ่มต่างๆ อีก มากมาย ดงั น้ี 1. กลุ่มผผู้ ลิต เช่น กลุ่มผปู้ ลูกหม่อนเล้ียงไหม กลุ่มผสู้ าวเส้นไหม โรงงานสาวเส้นไหม กลุ่ม ฟอกยอ้ มสีเส้นไหม กลุ่มทอผา้ ไหม กลุ่มแปรรูปผลิตภณั ฑจ์ ากหมอ่ นไหม 2. กลุ่มผบู้ ริโภค เช่น ประชาชนทวั่ ไป นกั ท่องเที่ยวท้งั ในและต่างประเทศ หรือลูกคา้ จาก ประเทศคู่คา้ ตา่ งๆ 3. กลุ่มผจู้ าหน่าย เช่น ผปู้ ระกอบการร้านคา้ ผา้ ไหมหรือเส้ือผา้ สาเร็จรูปและผลิตภณั ฑ์ พอ่ คา้ นาเขา้ หรือส่งออกเส้นไหม พ่อคา้ นาเขา้ หรือส่งออกเส้ือผา้ สาเร็จรูป เศษไหม และผลิตภณั ฑอ์ ื่นๆ จาก หมอ่ นไหม 4. กลุ่มผสู้ นบั สนุน ส่วนใหญ่จะเป็นเจา้ หนา้ ท่ีภาครัฐจากกระทรวง และกรมต่างๆ รวมท้งั มลู นิธิ สมาคม และองคก์ รเอกชนที่เก่ียวขอ้ ง องคป์ ระกอบของสังคมหม่อนไหมที่เช่ือมโยงกนั เหล่าน้ี เมื่อมีเหตุการณ์ท่ีมีผลกระทบกบั กลุ่ม ใดกลุ่มหน่ึง ยอ่ มส่งผลกระทบตอ่ กลุ่มอ่ืนๆ ดว้ ย ยกตวั อยา่ งเช่น ราคาเส้นไหมตกต่า ทาใหเ้ กษตรกร ผผู้ ลิตรังไหม และสาวเส้นไหมมีรายไดล้ ดลง ไม่คุม้ คา่ กบั การลงทุน จึงไถแปลงหมอ่ นทิ้งและเลิกอาชีพ เล้ียงไหมไปทาการเกษตรอ่ืน ยอ่ มส่งผลตอ่ โรงงานสาวไหมไมม่ ีวตั ถุดิบรังไหม หรือมีแตไ่ ม่เพยี งพอ และไมเ่ ตม็ ศกั ยภาพการผลิตของเครื่องสาวไหม ส่งผลถึงตน้ ทุนการผลิตสูง แต่ขายเส้นไหมไดร้ าคาต่า จึงขาดทุน และปิ ดกิจการในท่ีสุด ทาใหส้ ่งผลกระทบต่อกลุ่มผทู้ อผา้ ไหมขาดวตั ถุดิบเส้นไหมท่ีจะใชท้ อ กลุ่มผฟู้ อกยอ้ มไม่มีเส้นไหมในการฟอกยอ้ ม ผบู้ ริโภคมีสินคา้ ใหเ้ ลือกจานวนนอ้ ย ผสู้ ่งออกผา้ ไหมไม่ สามารถส่งออกไดต้ ามท่ีลูกคา้ ตอ้ งการ เป็นตน้ จากตวั อยา่ งดงั กล่าวจะเห็นไดว้ า่ ผลกระทบจะมาก หรือ นอ้ ย จะเป็ นไปในทางท่ีดี หรือเลวก็ตามทุกส่วนยอ่ มสัมพนั ธ์กนั ดงั น้นั การกาหนดยทุ ธศาสตร์การ พฒั นาหมอ่ นไหมจึงจาเป็นตอ้ งมองในภาพรวมเพื่อกาหนดแนวทางในการพฒั นาไดอ้ ยา่ งครบถว้ นและ ครอบคลุมทุกองคป์ ระกอบของสังคมหมอ่ นไหม

2.3 ปรากฏการณ์ทางสังคมหม่อนไหมของไทย 2.3.1 สถานการณ์การผลติ และการตลาดหม่อนไหมของไทย จากขอ้ มลู พ้นื ท่ีการปลูกหมอ่ น และครัวเรือนเกษตรกรเล้ียงไหม ต้งั แตป่ ี 2530 จนถึงปี 2548 ปรากฏวา่ เกษตรกรมีการปลูกหม่อนเล้ียงไหมลดลง โดยในปี 2530 มีพ้นื ท่ีปลูกหมอ่ น 262,153 ไร่ และ เล้ียงไหม 368,991 ครัวเรือน แต่ขอ้ มลู ในปี 2548 พบวา่ พ้ืนท่ีปลูกหมอ่ นลดลงเหลือเพยี ง 138,984 ไร่ และครัวเรือนเล้ียงไหมลดลงเหลือ 127,071 ครัวเรือน แต่อยา่ งไรก็ตามแนวโนม้ ผลผลิตเส้นไหมกลบั เพิ่มสูงข้ึนจาก 988 ตนั ในปี 2530 เพิม่ เป็น 1,420 ตนั ในปี 2547 และลดลงเหลือ 1,119 ตนั ในปี 2548 โดยมีอตั ราการขยายตวั ต้งั แต่ปี 2542-2547 ดงั น้ี อตั ราขยายตวั พ้ืนท่ีปลูกหมอ่ น -5.26 อตั ราขยายตวั ของครัวเรือนเล้ียงไหม -4.69 และอตั ราการขยายตวั ของผลผลิตเส้นไหม 2.23 ในดา้ นความตอ้ งการใชเ้ ส้นไหมภายในประเทศ ในปี 2546 พบวา่ ตอ้ งการถึง 2,000 ตนั แบ่งเป็นเส้นไหมหตั ถกรรม 1,400 ตนั และเส้นไหมอุตสาหกรรม 600 ตนั แต่สามารถผลิตไดเ้ พียง 1,400 ตนั แบ่งเป็ นไหมหตั ถกรรม 1,080 ตนั และไหมอุตสาหกรรม 320 ตนั การนาเขา้ เส้นไหมจึงมี แนวโนม้ เพ่ิมข้ึนจาก 223.5 ตนั ในปี 2542 เป็น 324.9 ตนั ในปี 2546 และ 500 ตนั ในปี 2547 แตใ่ นทาง ตรงกนั ขา้ มการนาเขา้ ผา้ ไหมกลบั มีแนวโนม้ ลดลง จาก 335.1 ตนั ในปี 2542 เหลือเพยี ง 67.88 ตนั ในปี 2546 ในดา้ นการส่งออกเส้นไหมมีแนวโนม้ ลดลง จาก 17.7 ตนั ในปี 2542 เหลือเพียง 2.21 ตนั ในปี 2546 แต่การส่งออกผา้ ไหมมีแนวโนม้ เพม่ิ ข้ึน จาก 145.5 ตนั ในปี 2542 เป็น 148.52 ตนั ในปี 2546 โดย มีราคาจาหน่ายเส้นไหมต่อกิโลกรัม สถิติเมื่อ เดือนเมษายน 2550 ดงั น้ี เส้นไหมยนื คุณภาพเกรด 2A ชนิดควบ3 และควบ4 ราคา 1,300 บาท (รวมVAT) เส้นไหมพงุ่ ชนิดควบ 6 ราคา 1,280 บาท (รวม VAT) และชนิด Dupion 1,200 บาท (ไม่มีVAT) เส้นไหมพนั ธุ์ไทยพ้ืนบา้ น ชนิดไหม1 ราคา 900-950 บาท ไหม3 ราคา 600-650 บาท และไหมแลง ราคา 500-550 บาท ส่วนการตลาดไหมของไทยน้นั ข้ึนอยกู่ บั สถานการณ์ของตลาดโลก ปัจจุบนั การคา้ ของโลกได้ กา้ วเขา้ สู่ระบบการคา้ เสรี มีขอ้ ตกลงภายใตอ้ งคก์ รตา่ งๆ เช่น 1. องคก์ ารการคา้ โลก (WTO) ไทยเปิ ดตลาดเส้นไหมดิบ 460 ตนั ในปี 2538 และเพิม่ เป็น 483 ตนั ในปี 2547 และปี 2548 โดยกาหนดอตั ราภาษีเป็ น 2 ระบบ คือระบบในโควตา กบั นอกโควตา โดย จานวนเส้นไหมดิบในโควตามีอตั ราภาษีร้อยละ 30 แตเ่ กบ็ จริงร้อยละ 20 และอตั ราภาษีนอกโควตา ร้อยละ 257 ในปี 2538 ลดลงเหลือร้อยละ 226 ในปี 2547 และปี 2548 2. เขตการคา้ เสรีอาเซียน (AFTA) โดยไทยเปิ ดใหม้ ีการนาเขา้ สินคา้ ไหมของประเทศกลุ่ม อาเซียนในอตั ราภาษีร้อยละ 0 ในปี 2553 3. ขอ้ ตกลงทางการคา้ อื่นๆ แบบทวภิ าคี ดว้ ยการเปิ ดตลาดเขตการคา้ เสรี (FTA) กบั หลายๆ ประเทศ เช่น ไทย-จีน ไทย-อินเดีย 4. การเขา้ ร่วมประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) 10 ประเทศ ในปี ค.ศ 2015

2.3.2 สภาพการผลติ และปัญหาในการผลติ ไหมไทย 1.สภาพการผลติ ไหมในประเทศไทย แบง่ ตามพนั ธุ์ไหมที่ใชเ้ ล้ียงได้ 3 ประเภท ดงั น้ี 1.1 ไหมพนั ธุ์ไทยพ้นื บา้ น และพนั ธุ์ไทยปรับปรุง การเล้ียงไหมแบบน้ีเกษตรกรส่วนใหญ่ เล้ียงไหมในกระดง้ อยใู่ ตถ้ ุนบา้ น โดยกางมุง้ ครอบ หรือมีหอ้ งเล้ียงไหมแบบประหยดั ขนาดเล็ก ความรู้ ท่ีใชใ้ นการเล้ียงไหม ส่วนใหญ่ไดม้ าจากการสืบต่อกนั มาจากรุ่นสู่รุ่น มีพ้นื ท่ีปลูกหม่อนประมาณ 1 งาน ถึง 1 ไร่ พนั ธุ์หม่อนท่ีใชป้ ลูกเป็นพนั ธุ์พ้นื เมือง ปลูกไวต้ ามหวั ไร่ปลายนา หรือในบริเวณหรือรอบๆ ร้ัว บา้ น แมใ้ นปัจจุบนั จะหนั มาปลูกพนั ธุ์บุรีรัมย์ 60 กนั มากข้ึน แต่กย็ งั ใหผ้ ลผลิตใบหมอ่ นต่า หรือ ประมาณ 1,000-1,500 กิโลกรัม/ไร่ พนั ธุ์ไหมที่ใชเ้ ล้ียงส่วนใหญ่จะผลิตไข่ไหมไวใ้ ชเ้ อง เช่น พนั ธุ์นาง นอ้ ย นางลาย นางตุ่ย นางส่ิว นางเหลือง สาโรง จรวด หรือพนั ธุ์อ่ืนๆ ตามที่ทอ้ งถิ่นเรียกชื่อ โดยจะเล้ียง ไหมปี ละประมาณ 5-6 รุ่น ใชไ้ ข่ไหมรุ่นละ 0.5-1 แผน่ ลกั ษณะของพนั ธุ์ไหมที่เล้ียง รังไหมจะมีสีเหลือง ส่วนใหญ่รูปร่างรังมีลกั ษณะหวั ป้ านทา้ ยแหลม มีเปอร์เซ็นตเ์ ปลือกรังต่า ประมาณ 10-11 % ตามขอ้ มลู ปี 2546 พบวา่ เกษตรกรกลุ่มท่ีเล้ียงไหมแบบน้ีมีประมาณ 117,000 ครัวเรือนกระจายอยทู่ ว่ั ไปในพ้นื ที่ 35 จงั หวดั ของประเทศไทย และร้อยละ 80 อาศยั อยใู่ นภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ในส่วนน้ีมีประมาณ 3,000 ครัวเรือนที่เป็นเกษตรกรภายใตโ้ ครงการพระราชดาริ ผลผลิตรังไหมท่ีไดเ้ กษตรกรจะนาไปสาวเส้น ไหมดว้ ยมือเพ่ือจาหน่าย และเส้นไหมบางส่วนจะนาไปทอเป็นผา้ ไหมเพ่ือจาหน่ายหรือเกบ็ ไวใ้ ชเ้ อง ผลผลิตเส้นไหมท่ีไดป้ ระมาณ 630 ตนั /ปี เกษตรกรมีรายไดป้ ระมาณ 3,000-5,000 บาท/ครัวเรือน/ปี 1.2 ไหมพนั ธุ์ไทยลูกผสม เกษตรกรที่เล้ียงไหมพนั ธุ์ไทยลูกผสมจะไดร้ ับการส่งเสริมให้ ใชเ้ ทคนิควธิ ีการปลูกหม่อนเล้ียงไหมแบบใหมม่ ากข้ึน แปลงหม่อนมีจานวนมากข้ึน หรือประมาณ 1-5 ไร่ พนั ธ์หม่อนท่ีใชป้ ลูกส่วนใหญ่เป็นพนั ธุ์บุรีรัมย์ 60 มีระบบการตดั แตง่ หม่อน 2 คร้ังต่อปี โดยการตดั ต่า และตดั กลางหมอ่ น พนั ธุ์ไหมไทยลูกผสมท่ีไดร้ ับการรับรองพนั ธุ์แลว้ ไดแ้ ก่ พนั ธุ์อุบลราชธานี 60- 35 พนั ธุ์ไทยลูกผสมสกลนคร และพนั ธุ์ไทยลูกผสมอุดรธานี พนั ธุ์ท่ีเกษตรกรเล้ียงอยอู่ ยา่ งแพร่หลายใน ปัจจุบนั คือพนั ธุ์อุบลราชธานี 60-35 หรือพนั ธุ์ดอกบวั เกษตรกรในกลุ่มน้ีไมส่ ามารถต่อพนั ธุ์ไหมไวใ้ ช้ เองได้ ตอ้ งซ้ือไขไ่ หมหรือขอรับการสนบั สนุนจากส่วนราชการ หรือภาคเอกชน ขอ้ มูลปี 2546 พบวา่ เกษตรกรท่ีเล้ียงไหมกลุ่มน้ีมีประมาณ 24,000 ครัวเรือน ผลผลิตรังไหมส่วนหน่ึงจาหน่ายใหโ้ รงสาว ไหมชุมชน และบางส่วนนาไปสาวเอง ไดผ้ ลผลิตเส้นไหมประมาณ 450 ตนั /ปี และมีรายไดป้ ระมาณ 5,000-30,000 บาท/ครัวเรือน/ปี 1.3 ไหมพนั ธุ์ลูกผสม มีท้งั พนั ธุ์ไหมลูกผสมรังสีขาว และรังสีเหลือง มีท้งั พนั ธุ์ลูกผสมใน ประเทศและนาเขา้ จากต่างประเทศ เป็ นพนั ธุ์ไหมท่ีอยใู่ นระบบอุตสาหกรรม และดาเนินการโดย ภาคเอกชน เช่นจุลไหมไทย และอุตสาหกรรมไหมไทย (จิมทอมสนั ) วธิ ีการเล้ียงเป็นการเล้ียงไหมแผน ใหม่เชิงพาณิชย์ โดยเกษตรกรตอ้ งซ้ือไขไ่ หม และรับปัจจยั การผลิตจากภาคเอกชน ทาการเล้ียงไหมตาม วธิ ีการที่กาหนด และจาหน่ายรังไหมคืนใหก้ บั ภาคเอกชนน้นั ๆ ราคาที่ไดข้ ้ึนอยกู่ บั คุณภาพของรังไหม เกษตรกรกลุ่มน้ีมกั จะมีโรงเล้ียงไหมขนาดใหญ่แยกต่างหากจากที่อยอู่ าศยั มีแปลงหมอ่ นท่ีใชใ้ นการ

เล้ียงไหมจานวนมาก หรือประมาณ 5-40 ไร่ พนั ธุ์หม่อนที่ใช้ ไดแ้ ก่ พนั ธุ์คุณไพ พนั ธุ์บุรีรัมย์ 60 และ พนั ธุ์สกลนคร มีระบบการตดั แตง่ และเก็บเก่ียวหม่อนที่ถูกตอ้ งตามหลกั วชิ าการ มีการอบหรือลา้ งทา ความสะอาดหอ้ งเล้ียงไหมและอุปกรณ์ต่างๆ ก่อนและหลงั การเล้ียง ขอ้ มลู ปี 2546 พบวา่ เกษตรกรใน กลุ่มน้ีมีประมาณ 7,000 ครัวเรือน ผลิตรังไหมไดป้ ระมาณ 3,000 ตนั ไดเ้ ส้นไหมปี ละประมาณ 320 ตนั และมีรายไดป้ ระมาณ 50,000-120,000 บาท/ครัวเรือน/ปี ทางดา้ นตน้ ทุนการผลิตรังไหม ขอ้ มลู ของสานกั งานเศรษฐกิจการเกษตร (2546) แสดงใหเ้ ห็น วา่ เกษตรกรท่ีเล้ียงไหมพนั ธุ์ลูกผสมรังสีขาว มีตน้ ทุนการผลิตเฉลี่ยตอ่ รังไหม 1 กิโลกรัม เท่ากบั 108.41 บาท ส่วนไหมพนั ธุ์ไทยลูกผสม มีตน้ ทุนการผลิตเฉล่ียตอ่ รังไหม 1 กิโลกรัม เทา่ กบั 93.51 บาท นอกจากน้นั ผลงานวจิ ยั หลายๆ เรื่องที่ผา่ นมา เช่น ชาญยทุ ธ มณีพงศ์ (2533) วจิ ยั เรื่องสภาพการ เล้ียงไหมของเกษตรกรในจงั หวดั ขอนแก่น ปาริชาติ มหิทธานุภาพ (2540) วจิ ยั เรื่องความจาเป็นในการ ฝึกอบรมดา้ นวชิ าการของผเู้ ล้ียงไหมพนั ธุ์ไทยลูกผสม กองแผนงาน กรมส่งเสริมการเกษตร (2546) ได้ ประเมินผลโครงการส่งเสริมการเกษตรในส่วนของงานหมอ่ นไหม สมบตั ิ กองภา (2547) วจิ ยั เรื่อง ความตอ้ งการไดร้ ับการส่งเสริมการปลูกหมอ่ นเล้ียงไหมของเกษตรกร และสมบตั ิ กองภา (2551) วจิ ยั เรื่อง ปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ การยอมรับเทคโนโลยกี ารปลูกหมอ่ นเล้ียงไหม ของเกษตรกรในกลุ่มจงั หวดั ร้อย แก่นสาร สรุปสภาพรวมการปลูกหม่อนเล้ียงไหมไวส้ อดคลอ้ งกนั ดงั น้ี อาชีพการปลูกหมอ่ นเล้ียงไหม ของเกษตรกรไทยส่วนใหญเ่ ป็นเพียงอาชีพเสริม มีเกษตรกรประมาณ ร้อยละ 5 เท่าน้นั ที่เล้ียงไหมพนั ธุ์ ลูกผสมจาหน่ายรังใหก้ บั โรงสาวไหมภาคเอกชนที่ถือวา่ เป็นอาชีพหลกั หรืออาชีพรองได้ นอกจากน้นั แลว้ เกษตรกรท่ีเล้ียงไหมเกือบท้งั หมดเป็นหญิง มีอายมุ าก หรือมีอายเุ ฉลี่ยประมาณ 51 ปี มากกวา่ ร้อย ละ 85 จบการศึกษาระดบั ประถมศึกษา ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 80 เล้ียงไหมพนั ธุ์ไทยพ้นื บา้ น จานวนไข่ ไหมท่ีใชเ้ ล้ียงเฉลี่ย 1 แผน่ /รุ่น จานวนรุ่นที่เล้ียงเฉลี่ย 6 รุ่น/ปี ไดผ้ ลผลิตเส้นไหมอยรู่ ะหวา่ ง 1-2 กิโลกรัม/รุ่น มีแปลงหม่อนที่ใชเ้ ล้ียงไหมเฉลี่ย 1.5 ไร่ โดยปลูกหม่อนพนั ธุ์บุรีรัมย์ 60 เป็นส่วนใหญ่ ส่วนแรงงานที่ใชเ้ ล้ียงไหมเป็ นแรงงานในครอบครัวเฉล่ีย 2 คน 2. ปัญหาการผลติ หม่อนไหมของไทย สามารถแบ่งปัญหาไดเ้ ป็น 4 ดา้ น ดงั น้ี 2.1 ปัญหาด้านการผลติ 2.1.1 ปัญหาการปลกู หม่อน พ้นื ท่ีปลูกหมอ่ นในประเทศไทยส่วนใหญอ่ ยใู่ นเขต เกษตรน้าฝน มีพ้นื ท่ีปลูกหม่อนจานวนนอ้ ย ปลูกถี่ มีระยะตน้ และแถวประมาณ 0.30-0.50x0.50-1.00 เมตร เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ใส่ป๋ ุยท้งั ป๋ ุยเคมีและป๋ ุยอินทรีย์ หรือใส่ในปริมาณนอ้ ย ขาดการดูแลรักษา และการจดั การที่ดี ทาใหผ้ ลผลิตใบหมอ่ นต่า และใบมีคุณภาพต่า ปริมาณใบหม่อนจึงไมเ่ พยี งพอตอ่ การ เล้ียงไหม นอกจากน้นั ในหลายพ้นื ท่ีภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ยงั เกิดการระบาดของโรครากเน่าหม่อน โดยเฉพาะในพนั ธุ์บุรีรัมย์ 60 เช่นเขตพ้ืนท่ีจงั หวดั มหาสารคาม ขอนแก่น และร้อยเอด็ ทาใหเ้ กษตรกร ตอ้ งไถแปลงหม่อนทิ้งและใชพ้ ้ืนที่ทาการเกษตรทางเลือกอื่น จึงเป็ นอีกหน่ึงสาเหตุท่ีทาใหพ้ ้นื ที่ปลูก หม่อนและครัวเรือนเล้ียงไหมลดลง

2.1.2 ปัญหาการเลยี้ งไหม ปัญหาท่ีมกั พบอยเู่ สมอจากการวจิ ยั หลายๆ คร้ัง ดงั น้ี 1. ปัญหาโรคไหมระบาด โดยเฉพาะโรคแกรสเซอรี (Grassery disease) หรือโรคเตอ้ มี สาเหตุหลกั มาจากสภาพการเล้ียงไหมที่ไมเ่ หมาะสม ท้งั ระบบการจดั การ เช่นการเล้ียงไหมตอ่ เน่ืองและ เหล่ือมรุ่นไมม่ ีการอบหรือลา้ งทาความสะอาดหอ้ งเล้ียงไหมและอุปกรณ์ การใหอ้ าหารท่ีไมเ่ หมาะสม กบั วยั ไหม และวธิ ีการเล้ียงไหมที่ยงั ยดึ ติดแนวปฏิบตั ิเดิมๆ ที่สืบทอดกนั มา 2. การต่อพนั ธุ์ไวใ้ ชก้ นั เองของไหมพนั ธุ์ไทยพ้ืนบา้ น ซ่ึงจะทาใหผ้ ลผลิตต่าหรือเส่ียง ต่อการระบาดของโรคตา่ งๆในหนอนไหม แต่อาจจะเล้ียงรอดไดจ้ ึงทาใหเ้ กษตรกรเขา้ ใจผดิ วา่ ไดพ้ นั ธุ์ ไหมที่แขง็ แรง เนื่องจากการต่อพนั ธุ์เองจะเป็ นการคดั เลือกพนั ธุ์โดยธรรมชาติ (Natural Selection) โดย พนั ธุ์ไหมที่ตอ่ พนั ธุ์จะอยใู่ นสภาพแวดลอ้ มของเกษตรกรท้งั วธิ ีการเล้ียง สถานที่ใชเ้ ล้ียงและอุปกรณ์ที่ สกปรกมีเช้ือโรคต่างๆ อยมู่ ากมาย ส่งผลใหห้ นอนไหมมีการปรับตวั ที่จะอยรู่ อดเกษตรกรจึงสามารถ เล้ียงนอนไหมให้รอดไดแ้ ต่ขอ้ เสียคือจะใหผ้ ลผลิตท่ีต่า นอกจากน้นั การต่อพนั ธุ์เองไข่ไหมจะไมผ่ า่ น การตรวจโรคและจะทาใหไ้ ดป้ ริมาณไขไ่ หมของแต่ละรุ่นไมแ่ น่นอน มากบา้ ง นอ้ ยบา้ ง ถา้ ไดม้ าก อาจจะแบ่งใหเ้ พ่อื นบา้ นนาไปใช้ ทาใหม้ ีโอกาสที่จะเกิดโรคไหมระบาดโดยเฉพาะโรคเพบริน (Pebrine Disease) ซ่ึงจะส่งผลเสียตอ่ ไปในอนาคตได้ 2.2 ปัญหาเส้นไหม ปัญหาเส้นไหมหตั ถกรรมของไทยท่ีมกั พบกนั อยเู่ สมอคือเร่ืองคุณภาพเส้นไหมต่า หรือไม่ ตรงตามความตอ้ งการของตลาด เช่นเส้นไหมไม่สะอาด ขนาดไม่สม่าเสมอ การทาไจไหมไม่ได้ มาตรฐาน เม่ือวเิ คราะห์ถึงสาเหตุ มกั พบอยเู่ สมอวา่ เกษตรกรจะเล้ียงไหมหลากหลายพนั ธุ์ มีวธิ ีการสาว และอุปกรณ์การสาวไหมและเหล่งทาไจไหมหลากหลายแตกต่างกนั ไปในแตล่ ะทอ้ งถิ่น และปฏิบตั ิตาม ความเคยชินเดิมๆ ปัญหาคุณภาพเส้นไหมต่าและไมไ่ ดม้ าตรฐานจะส่งผลต่อราคาจาหน่ายเส้นไหมตกต่า ผซู้ ้ือเป็นผกู้ าหนดราคา เน่ืองจากผซู้ ้ือจะตอ้ งนาไปแกไ้ ข เช่นเหล่งทาไจไหมใหม่ ในทา้ ยที่สุดเมื่อนาเส้น ไหมไปทอผา้ กจ็ ะทาใหผ้ า้ ไหมมีคุณภาพต่าตามไปดว้ ย 2.3 ปัญหาด้านการแปรรูป ปัญหาดา้ นการแปรรูปของไหมหตั ถกรรมไทย ท่ีพบกนั อยทู่ ว่ั ไปไดแ้ ก่ ปัญหารูปแบบความ หลากหลายของผลิตภณั ฑม์ ีนอ้ ย คุณภาพต่าท้งั ในเรื่องการใหส้ ี ลวดลาย ความคงทนต่อการซกั ความ คงทนต่อแสง รวมท้งั ความไมส่ ะดวกในการดูแลรักษา ปัญหาที่พบเห็นเหล่าน้ีอาจจะเน่ืองมาจาก องคค์ วามรู้ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การแปรรูปไหมยงั มีนอ้ ย ไมห่ ลากหลาย หรือมีแต่เขา้ ถึงยาก และขาดการ ถ่ายทอดเทคโนโลยอี ยา่ งเป็ นระบบ เป็นตน้ 2.4 ปัญหาด้านการตลาด ปัญหาดา้ นการตลาดของไหมไทยสรุปเป็นภาพรวมได้ ดงั น้ี

2.4.1 ราคาผลผลิตไหมในประเทศตกต่า ท้งั รังไหม และเส้นไหม เกิดจากคุณภาพรังไหม และเส้นไหมมีคุณภาพต่า และผลกระทบจากการนาเส้นไหมลกั ลอบเขา้ ประเทศ และภาวการณ์ตลาด เส้นไหมของโลก 2.4.2 ความสามารถในการแข่งขนั ทางการตลาดต่า ประเทศไทยมีสัดส่วนการผลิตไหมของ โลกต่ามากจะเห็นไดจ้ าก ปริมาณการผลิตเส้นไหมของโลกในปี 2547 พบวา่ ปริมาณการผลิตเส้นไหม ของโลก 135,361 ตนั ประเทศไทยมีสัดส่วนการผลิตเพยี ง 1,550 ตนั (ร้อยละ 1.14) เทา่ น้นั ส่วนใหญ่ แลว้ เส้นไหมจะมากจากประเทศจีนสูงสุด 95,001 ตนั (ร้อยละ 70.18) รองลงมา ประเทศอินเดีย 17,341 ตนั (ร้อยละ12.81) และเวยี ดนาม 12,000 ตนั (ร้อยละ 8.8) ซ่ึงแตล่ ะประเทศท่ีกล่าวมาโดยเฉพาะ ประเทศจีนระบบการผลิตเส้นไหมมีการสนบั สนุนจากรัฐบาลสูงมาก ส่งผลใหต้ น้ ทุนการผลิตต่า ดงั จะ เห็นไดจ้ ากจากบทความ ของ ส่งรักษ์ เตง็ รัตนประเสริฐ เร่ืองพนั ธุ์หม่อนไหมภาครัฐและเอกชนไปคน ละทางจริงหรือ กล่าวไวว้ า่ ความสามารถเชิงการแข่งขนั ของไหมไทยเม่ือเปรียบเทียบกบั ประเทศจีน ไหมไทยตอ้ งลดตน้ ทุนการผลิตลงถึงร้อยละ 60 และเพ่ิมผลิตภาพในการผลิตรังไหมและเส้นไหมข้ึน ร้อยละ 25 จึงจะสามารถแขง่ ขนั ได้ นอกจากน้นั ควรใชเ้ ส้นไหมพนั ธุ์ไทยพ้ืนบา้ นเป็นฐานสาหรับการ ผลิตผา้ ไหมทอมือแบบพ้ืนเมืองท่ีมีคุณภาพในปริมาณมากๆ ผลิตเป็นสินคา้ มลู ค่าสูงส่งออกสู่ตลาด เฉพาะกลุ่มเป็นหลกั นอกจากน้นั ระบบการคา้ เสรี ท่ีกาหนดเป็ นขอ้ ตกลงตา่ งๆเกี่ยวกบั สินคา้ ไหม ท้งั WTO FTA AFTA หรือ AC ยงั จะส่งผลกระทบต่อระบบการตลาดไหมไทยในภาพรวมอยา่ งหลีกเล่ียง ไม่ได้

บทท3ี่ การวจิ ัยทางสังคมศาสตร์ในการพฒั นางานหม่อนไหม 3.1 ความหมายการวจิ ัย ตามพระราชบญั ญตั ิสภาวจิ ยั แห่งชาติ ปี 2520 นิยามการวจิ ยั ไวว้ า่ หมายถึง การศึกษา คน้ ควา้ ท่ี มีระบบและแผนการเพื่อใหไ้ ดม้ าซ่ึงความรู้ ทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สานกั งานคณะกรรมการวจิ ยั แห่งชาติ (2526) การวจิ ยั หมายถึง การศึกษาคน้ ควา้ หรือทดลอง อยา่ งมีระบบ โดยอาศยั อุปกรณ์หรือวธิ ีการ เพ่ือใหพ้ บขอ้ เทจ็ จริงหรือหลกั การไปใชใ้ นการต้งั กฎ ทฤษฏี หรือแนวทางในการปฏิบตั ิ Webster’s 3rd New International Dictionary อา้ งโดยกองแผนงาน กรมส่งเสริมการเกษตร (2539) การวจิ ยั หมายถึง การศึกษาคน้ ควา้ วเิ คราะห์ หรือทดลองอยา่ งละเอียด เพ่อื คน้ หาขอ้ เทจ็ จริงและ ความรู้ใหม่ เพ่ือนาไปต้งั กฎ ทฤษฏี หรือแนวทางปฏิบตั ิ จากความหมายขา้ งตน้ เห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจนแลว้ วา่ การจะทางานวจิ ยั เพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ เทจ็ จริงหรือ ความรู้ใหมด่ า้ นใดๆ ก็ตาม จะตอ้ งอาศยั ระเบียบแบบแผนหรือวธิ ีการวจิ ยั และการวเิ คราะห์ขอ้ มูลอยา่ งมี ระบบ งานวจิ ยั น้นั ๆ จึงจะมีความน่าเชื่อถือและสามารถสรุปขอ้ เทจ็ จริงหรือความรู้น้นั ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง แม่นยา 3.2 งานวจิ ัยพฒั นาหม่อนไหม องคค์ วามรู้ หรือเทคโนโลยี ทางดา้ นหมอ่ นไหมท้งั ทางดา้ นการผลิต การแปรรูปในประเทศไทย มีการพฒั นาตอ่ เนื่องกนั มายาวนาน ที่เห็นเด่นชดั เมื่อปี 2512 เมื่อรัฐบาลญ่ีป่ ุนไดส้ ่ง ดร เซโนสุเกะโอมูร่า และผเู้ ชี่ยวชาญแตล่ ะดา้ นอีก 4 คน เขา้ มาทาการศึกษาวจิ ยั ร่วมกบั นกั วชิ าการไทย ท้งั ทางดา้ นการผลิต หมอ่ นไหม การผลิตไข่ไหม โรคแมลงศตั รูหม่อนไหม และการสาวไหม ทาใหอ้ าชีพดา้ นหม่อนไหม ของเกษตรกรมีรายไดม้ าอยา่ งต่อเน่ือง รวมท้งั มีส่วนทาใหอ้ ุตสาหกรรมไหมของไทยเจริญรุ่งเรืองมา ตามลาดบั แตอ่ ยา่ งไรก็ตามงานวจิ ยั พฒั นาเชิงสงั คมของหม่อนไหมยงั มีไมม่ ากนกั ท้งั น้ีอาจจะ เนื่องมาจากโครงสร้างการทางานวจิ ยั มุ่งเนน้ การวิจยั ทางวทิ ยาศาสตร์ เพื่อคน้ หาเทคโนโลยีต่างๆ โดย สถาบนั วจิ ยั หม่อนไหม กรมวชิ าการเกษตร และขาดบุคลากรงานวจิ ยั ทางดา้ นสงั คมศาสตร์ การตลาด และศาสตร์อื่นๆ ในปัจจุบนั น้ีไดจ้ ดั ต้งั องคก์ รเป็น กรมหม่อนไหม ซ่ึงปฏิบตั ิงานส่งเสริมเชิงสังคมหม่อนไหมท้งั แบบรายบุคคล กลุ่ม และมวลชน รวมท้งั มีบทบาทภารกิจครอบคลุมงานหมอ่ นไหมท้งั ระบบ จึงนบั ได้ วา่ เป็นโอกาสท่ีดี ท่ีจะนาการวจิ ยั เชิงสังคม เขา้ มาช่วยในการพฒั นางานหม่อนไหมไดม้ ากข้ึน ท้งั น้ีเพ่ือ เพม่ิ ประสิทธิภาพการพฒั นา ลดช่องวา่ งการนาเทคโนโลยจี ากงานวจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตร์ไปส่งเสริม แนะนาใหเ้ กษตรกรนาไปใช้ และแกไ้ ขปัญหาทางการตลาดในอนาคต

3.3 วธิ ีวจิ ัยทางสังคมศาสตร์ในการพฒั นางานหม่อนไหม ดงั ท่ีไดก้ ล่าวถึงการหาความรู้ทางสงั คมศาสตร์ไวแ้ ลว้ ในบทท่ี 1 และปรากฏการณ์ตา่ งๆทางดา้ น หม่อนไหมในบทที่ 2 ขอ้ มูลดงั กล่าวจะใชเ้ ป็นขอ้ มลู พ้นื ฐานงานวจิ ยั ในสงั คมหม่อนไหม ดงั น้นั การวจิ ยั ทุกๆ คร้ังจาเป็นตอ้ งมีระเบียบวธิ ีดาเนินการวจิ ยั เพื่อสร้างความเช่ือมน่ั ในผลงานวจิ ยั น้นั อาศยั ระเบียบ วธิ ีการวจิ ยั เชิงสังคมศาสตร์เป็นข้นั ตอนดงั น้ี ข้นั ตอนท่ี1 การกาหนดปัญหาในการวจิ ัย โดยการระบุลกั ษณะของปัญหา และความสาคญั ของ ปัญหาท่ีก่อใหเ้ กิดผลกระทบตอ่ ปรากฏการณ์น้นั ๆท้งั ดา้ นท่ีดี และไมด่ ี ดงั น้นั หลกั เกณฑใ์ นการกาหนด ปัญหาที่จะทาการวจิ ยั จึงมีความสาคญั เป็นอยา่ งยง่ิ เนื่องจากจะทาใหน้ กั วจิ ยั มีความเช่ือมนั่ ในการวจิ ยั ได้ อยา่ งถูกทิศทาง ประกอบดว้ ยหลกั ใหญ่ 3 ประการ คือ 1. หลกั ความชดั เจน ปัญหาตอ้ งกาหนดใหช้ ดั เจนโดยกาหนดในรูปของคาถาม 2. หลกั ความสมั พนั ธ์ ปัญหาจะตอ้ งสามารถระบุความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แปร 2 ตวั หรือ มากกวา่ 3. หลกั ทฤษฏี ปัญหาท่ีกาหนดมาจะตอ้ งมีความเชื่อมโยงกบั หลกั การ ทฤษฏี แนวปฏิบตั ิ หรือ ขอ้ เทจ็ จริงที่พสิ ูจน์ได้ อยา่ งไรกต็ ามการที่จะกาหนดปัญหาไดอ้ ยา่ งแมน่ ยาถูกตอ้ ง จะข้ึนอยกู่ บั ประสบการณ์และ ความสามารถของนกั วจิ ยั แต่ละคน ก่อนที่จะกาหนดปัญหาแตล่ ะคร้ังในการวจิ ยั นกั วจิ ยั มีขอ้ ควรปฏิบตั ิ ดงั น้ี 1. ศึกษาเน้ือหาหรือปรากฏการณ์ที่จะทาการวิจยั ใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งละเอียด 2. ศึกษาเอกสารผลงานวชิ าการที่เกี่ยวขอ้ งใหค้ รอบคลุม 3. ขอคาปรึกษาจากผรู้ ู้ท่ีมีประสบการณ์ในเรื่องท่ีจะวจิ ยั องคป์ ระกอบที่สาคญั ในการเขียนปัญหาในการวจิ ยั ที่ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งดาเนินการกค็ ือการอธิบาย ปรากฏการณ์ทางสงั คมหม่อนไหมที่เกิดข้ึน การกาหนดวตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั และประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะ ไดร้ ับที่ตอ้ งแสดงใหเ้ ห็นวา่ มีความคุม้ คา่ ในการทาวจิ ยั เร่ืองน้นั ๆ ข้นั ตอนท่ี 2 การกาหนดทฤษฏีและแนวคดิ ในงานวจิ ัย เป็นข้นั ตอนท่ีผวู้ จิ ยั จะตอ้ งมีการทบทวนวรรณกรรม กาหนดแนวคิดและสมมติฐานดงั น้ี 1. ทบทวนวรรณกรรม (Review literatures) ถึงทฤษฏี หลกั การ ขอ้ เทจ็ จริงเก่ียวกบั สาขาวชิ าที่ จะตอ้ งวิจยั ใหค้ รอบคลุม รวมไวเ้ ป็นชุดเดียวกนั เพื่อใชป้ ระโยชนใ์ นการเชื่อมโยง และอา้ งอิงในการ วจิ ยั คร้ังน้นั ๆ แหล่งขอ้ มูลในการทบทวนวรรณกรรมน้นั ข้ึนอยกู่ บั เรื่องที่จะทาการวจิ ยั แหล่งของขอ้ มลู แบ่งไดเ้ ป็น 2 แหล่งหลกั ๆ คือ แหล่งขอ้ มูลในประเทศ เช่นหอ้ งสมุดสถาบนั การศึกษาต่างๆ หอ้ งสมุด ประชาชน หน่วยงานราชการ หรือภาคเอกชน และแหล่งขอ้ มูลจากตา่ งประเทศ โดยการสมคั รเป็น สมาชิกบทความวชิ าการ วารสาร หนงั สือ การสืบคน้ ทางอินเตอร์เน็ต และช่องทางอื่นๆ ส่วนเทคนิคใน การรวบรวมวรรณกรรมใหร้ วดเร็วน้นั ข้ึนอยกู่ บั ความชานาญของนกั วจิ ยั แต่ละคน อยา่ งไรกต็ ามหาก

นกั วจิ ยั ไดก้ าหนดขอบเขตแขนงวชิ าท่ีสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคไ์ วอ้ ยา่ งชดั เจนแลว้ การทบทวน วรรณกรรมยอ่ มมีทิศทางท่ีชดั เจนและจะลดเวลาลงได้ รวมท้งั การรู้จกั ใชด้ รรชนี บรรณานุกรม และ บทคดั ยอ่ งานวิจยั ต่างๆ เมื่ออา่ นแลว้ นกั วิจยั อาจจะจดั เก็บในรูปบตั รชื่อเร่ืองที่จะวจิ ยั ดว้ ยการเขียนชื่อ- นามสกุลผแู้ ตง่ ชื่อเร่ือง หนา้ สถานท่ี โรงพมิ พ์ และ ปี ท่ีพิมพ์ ไวด้ ว้ ยก็จะสะดวกยงิ่ ข้ึน ส่วนการนา ขอ้ มลู จาการทบทวนวรรณกรรมไปใชป้ ระโยชน์ ผวู้ จิ ยั ควรเนน้ เน้ือหาสาระของขอ้ มูล มากกวา่ ตวั บุคคล และเวลา ส่วนการอา้ งอิงน้นั มีหลายๆ รูปแบบท่ีผวู้ จิ ยั จะตอ้ งศึกษาใหเ้ ขา้ ใจและเลือกใช้ เมื่อเลือกใช้ รูปแบบใดแลว้ จะตอ้ งเขียนใหถ้ ูกตอ้ งตามรูปแบบที่กาหนดน้นั 2. กาหนดแนวคิด (Concepts) ตามความหมายของ จุมพล สวสั ดิยากร (2520) ไดเ้ สนอไวว้ า่ แนวคิด หมายถึงการกล่าวอยา่ งส้นั ๆ เก่ียวกบั ขอ้ เทจ็ จริงต่างๆ มีวตั ถุประสงคเ์ พือ่ ช่วยในการใชค้ วามคิด โดยรวมเอาเหตุการณ์ตา่ งๆ มาอยภู่ ายใตห้ วั ขอ้ ทว่ั ไปอนั เดียวกนั และตามความเห็นของผเู้ รียบเรียงสรุป ไดว้ า่ แนวคิดคือการสรุปเอาทฤษฏี หลกั การ ขอ้ เทจ็ จริง หรือปรากฏการณ์ มาสร้างความเชื่อมโยง ต่อเนื่องกนั ดว้ ยเหตุและผลท้งั การสนบั สนุนและขดั แยง้ กนั เพ่อื ใชใ้ นการกาหนดแนวทางการวจิ ยั ใหอ้ ยู่ ในกรอบทิศทางท่ีกาหนดตามวตั ถุประสงคใ์ นการวจิ ยั เร่ืองน้นั ๆ ยกตวั อยา่ งเช่น ทาการวจิ ยั เรื่องปัจจยั ท่ี มีผลตอ่ การยอมรับเทคโนโลยกี ารปลูกหม่อนเล้ียงไหม เมื่อทาการทบทวนวรรณกรรมแลว้ กาหนดเป็ น แนวคิดไดด้ งั น้ี รายไดเ้ พ่มิ วจิ ยั /พฒั นา/แกไ้ ข ไมส่ าเร็จ สาเร็จ การประกอบอาชีพ การถ่ายทอดเทคโนโลยี ยอมรับ เทคโนโลยกี ารปลูกหม่อนเล้ียงไหม เกษตรกร ปัจจยั ที่มีผลตอ่ การยอมรับ ไม่ยอมรับ ดา้ นเศรษฐกิจ สังคม - ดา้ นลกั ษณะของเทคโนโลยี วจิ ยั /พฒั นา/แกไ้ ข - -ดา้ นผถู้ ่ายทอดเทคโนโลยี ดา้ นผรู้ ับเทคโนโลยี - ดา้ นการตดั สินใจทดลองปฏิบตั ิ -

จากแนวคิดที่กาหนดไวข้ า้ งตน้ ผวู้ จิ ยั ตอ้ งใหค้ วามหมายในแตล่ ะประเด็นไวอ้ ยา่ งกะทดั รัด และ ชดั เจนที่ผอู้ ่านอื่นๆ เขา้ ใจไดอ้ ยา่ งง่ายๆ เช่น ยอมรับ หมายถึงเกษตรกรไดน้ าเทคโนโลยกี ารปลูกหม่อน เล้ียงไหมไปปฏิบตั ิตาม เป็นตน้ 3. กาหนดสมมติฐาน (Hypothesis) ส่ิงสาคญั อีกอยา่ งในการเชื่อมโยงทฤษฏีและแนวคิดกบั งานวจิ ยั คือ สมมติฐาน โดย Seltiz, Claire and Other (1959) ไดใ้ หค้ วามหมายของสมมติฐานไวว้ า่ เป็น ขอ้ เสนอเงื่อนไขหรือหลกั การท่ีเราไดส้ มมติข้ึน เพอื่ หาความสัมพนั ธ์ที่เป็นเหตุและผล และเพ่ือทดสอบ กบั ขอ้ เทจ็ จริง นอกจากน้นั ยงั มีผใู้ หค้ วามหมายไวว้ า่ สมมติฐานหมายถึงขอ้ ความที่ใชค้ าดคะเน ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรต้งั แต่ 2 ตวั หรือมากกวา่ ข้ึนไป ซ่ึงความสัมพนั ธ์ดงั กล่าวจะแสดงออกมา ไดท้ ้งั ในเชิงบวกและเชิงลบ และการทดสอบสมมติฐานน้นั ผลจะออกมาไดท้ ้งั การสนบั สนุน (support) หรือคดั คา้ น (refuse) สมมติฐานสามารถแบ่งตามระดบั การเป็นนามธรรม (Level of Abstraction) ได้ 3 ระดบั เรียงตามลาดบั จากความเป็นนามธรรมจากต่าไปหาสูง ดงั น้ี ระดบั ที่1 สมมติฐานท่ีกล่าวถึงปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนอยา่ งสม่าเสมอ สมมติฐาน ระดบั น้ีแมจ้ ะมีผทู้ ่ีเห็นวา่ ไม่เป็นประโยชน์เพราะทุกคนทราบกนั อยแู่ ลว้ แตค่ วามเป็นจริงแลว้ ถา้ สมมติฐานดงั กล่าวไดร้ ับการทดสอบและยนื ยนั ไดท้ างวทิ ยาศาสตร์กจ็ ะมีความน่าเชื่อถือและยนื ยนั ผล ไดม้ ากข้ึน ระดบั ท่ี2 สมมติฐานที่แสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แปร สมมติฐานน้ีจะสูงกวา่ ระดบั แรกแต่ ต่ากวา่ ระดบั ที่ 3 เพราะไม่สามารถสรุปความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรในเชิงเหตุและผลไดค้ รบทุกดา้ น หรืออาจจะสรุปไดบ้ างส่วนเทา่ น้นั ระดบั ที่ 3 สมมติฐานที่แสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรอยา่ งมีเหตุและผล เป็นสมมติฐานท่ี เป็นนามธรรมสูงกวา่ 2 ระดบั แรก เน่ืองจากมีการแสดงความเชื่อมโยงของตวั แปรไดใ้ นเชิงเหตุและผล กล่าวคือถา้ มีเหตุการณ์หน่ึงเกิดข้ึนยอ่ มส่งผลใหเ้ กิดอีกเหตุการณ์ตามมา หรือตวั แปรตามมีสาเหตุมาจาก ตวั แปรอิสระใดบา้ ง ประเภทของสมมติฐาน สามารถแบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภทดงั น้ี 1. สมมติฐานทางการวิจยั (Research Hypothesis) เป็นสมมติฐานที่ต้งั ไวใ้ นเชิงประโยคหรือ ขอ้ ความ (Statement) ที่คาดคะเนวา่ เหตุการณ์น้นั ๆ จะเกิดข้ึน การจะต้งั สมมติฐานน้ีไดจ้ ะตอ้ งอา้ งอิง ทฤษฏี ความรู้จากงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง และตอ้ งเขียนขอ้ ความน้นั ใหช้ ดั เจน 2. สมมติฐานทางสถิติ (Statistical Hypothesis) เป็นขอ้ สมมติ (Assumption) หรือขอ้ ความที่ เกี่ยวขอ้ งกบั ค่าพารามิเตอร์ของประชากรหน่ึงประชากร หรือมากกวา่ ซ่ึงขอ้ สมมติหรือขอ้ ความน้นั จะ เป็นจริงหรือไม่ก็ได้ ตอ้ งอาศยั ทฤษฏีความน่าจะเป็นในการทดสอบ สมมติฐานน้ี แบ่งออกไดเ้ ป็ น Null Hypothesis มกั จะแสดงถึงความไม่แตกตา่ งกนั และ Alternative Hypothesis จะกาหนดไวเ้ ป็นทางเลือก เม่ือปฏิเสธ Null Hypothesis ประเภทของสมมติฐานท้งั สองประเภทจะไมเ่ หมือนกนั นนั่ คือบางคร้ังการปฏิเสธสมมติฐาน ทางสถิติอาจจะนามาสู่การยอมรับสมมติฐานทางการวจิ ยั ก็ได้

ข้นั ตอนท่ี3 กาหนดแบบแผนการดาเนินการวจิ ัย ข้นั ตอนน้ีจะขอกล่าวถึง การนิยาม การกาหนดขอบเขตการวจิ ยั การจาแนกประเภทการวจิ ยั การ ออกแบบการวจิ ยั มีรายละเอียดดงั น้ี 1. การนิยาม หมายถึงการใหค้ าจากดั ความ ตวั แปรหรือแนวคิดในการวจิ ยั ใหค้ รอบคลุมเน้ือหา หรือขอ้ เทจ็ จริง มีความชดั แจง้ และเขา้ ใจง่าย การนิยามแบ่งไดเ้ ป็น 2 แบบ คือ 1.1 นิยามทวั่ ไป (General Definition) หมายถึงการใหค้ วามหมายตวั แปรหรือแนวคิดที่จะ ทาการวจิ ยั โดยทวั่ ไปอยา่ งกวา้ งๆตามทฤษฏี หลกั การ หรือแนวปฏิบตั ิที่มีการใหค้ วามหมายไวแ้ ลว้ 1.2 นิยามเฉพาะ หรือนิยามปฏิบตั ิการ (Operational Definition) หมายถึง การให้ ความหมายตวั แปรหรือแนวคิดท่ีจะทาการวจิ ยั ภายใตข้ อบขา่ ยการนิยามทวั่ ไป เฉพาะการวจิ ยั เร่ืองน้นั มี ขอบขา่ ยครอบคลุมขอ้ เท็จจริงท่ีจะทาการวจิ ยั ท้งั การสงั เกต สัมภาษณ์ ลกั ษณะขอ้ มูลและแหล่งขอ้ มลู ท่ี จะทาการเก็บรวบรวม ตวั อยา่ งเช่น การนิยามคาวา่ เกษตรกร นิยามทวั่ ไป : ผทู้ ่ีประกอบอาชีพทางการเกษตรเป็ นหลกั นิยามเฉพาะ : ผทู้ ่ีประกอบอาชีพปลูกหม่อนเล้ียงไหม 2. การกาหนดขอบเขตการวิจยั ขอบเขตการวิจยั หมายถึง การกาหนดขอบข่ายเร่ืองที่จะวจิ ยั วา่ กวา้ งหรือแคบเพยี งใด สามารถนาผลท่ีไดไ้ ปกล่าวทานายโดยทว่ั ไปไดห้ รือไม่ โดยทวั่ ไปการกาหนด ขอบเขตการวจิ ยั นิยมระบุ ประชากรท่ีใชใ้ นการวจิ ยั สถานท่ีทาการวจิ ยั ระยะเวลาที่วจิ ยั ขอบขา่ ยตวั แปร ท่ีวจิ ยั เป็นตน้ 3. การจาแนกประเภทการวิจยั ประเภทของงานวจิ ยั สามารถจาแนกตามลกั ษณะต่างๆ ได้ หลายแบบ แต่ในที่น้ี จะไดก้ ล่าวถึงประเภทของงานวจิ ยั ท่ีนกั วจิ ยั ทว่ั ไปมกั ใชอ้ ยเู่ สมอ คือการจาแนก ประเภทงานวจิ ยั ตามหลกั เหตุผลของการหาความรู้ แบง่ ไดเ้ ป็น 2 ประเภท ดงั น้ี 3.1 การวจิ ยั พ้นื ฐาน (Basic Research) เป็นการวิจยั มุง่ หาขอ้ เทจ็ จริงเก่ียวกบั ปรากฏการณ์ที่ วจิ ยั เพือ่ นาไปใชส้ ร้างแนวคิด หรือทฤษฏีใหมๆ่ โดยไมไ่ ดม้ ีเป้ าหมายท่ีจะนาขอ้ เทจ็ จริงน้นั ไปใช้ ประโยชน์โดยทนั ทีหลงั จากทาการวจิ ยั เสร็จสิ้น 3.2 การวจิ ยั ประยกุ ต์ (Applied Research) การวจิ ยั ประเภทน้ีเป็นการวจิ ยั เพ่ือหาขอ้ เทจ็ จริง เก่ียวกบั ปรากฏการณ์ท่ีทาการวจิ ยั เพอ่ื นาไปใชป้ ระโยชน์ในการพฒั นา ปรับปรุง ปรากฏการณ์น้นั ดว้ ย การปฏิบตั ิจริงทนั ทีหลงั จากงานวจิ ยั เสร็จสิ้น สามารถท่ีจะแยกยอ่ ยตามเหตุผลของการนางานวจิ ยั ไป ใชไ้ ดด้ งั น้ี ก. วจิ ยั เพ่ือแกป้ ัญหา เช่น วจิ ยั การสร้างขวญั กาลงั ใจของขา้ ราชการ เพ่ือไม่ใหเ้ กิดความ แตกแยก แนวทางปฏิบตั ิที่ไดจ้ ากผลการวจิ ยั เมื่อเสร็จสิ้นสามารถนามาใชป้ ฏิบตั ิทนั ที

ข. วจิ ยั เพ่ือการตดั สิน เป็นการวจิ ยั เพื่อหาทางเลือกหลายๆ ทางในการตดั สินใจ เช่นจะ กาหนดโครงการส่งเสริมการปลูกหมอ่ นเล้ียงไหม ตอ้ งหาความตอ้ งการของเกษตรกรก่อนวา่ เกษตรกร ตอ้ งการอะไร และมีหลายๆแนวทางใหเ้ ลือก จึงตดั สินใจเลือกกาหนดเป็นโครงการส่งเสริมใหต้ รงตาม ความตอ้ งการน้นั เป็นตน้ ค. วจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการ เป็นการวจิ ยั ท่ีจะนารูปแบบ แบบจาลอง หรือการทดลองที่มี วธิ ีการตา่ งๆ มาทดลองปฏิบตั ิจริงตามแบบการทดลองน้นั ๆ เพ่อื จะไดน้ าผลที่ไดไ้ ปใชจ้ ริง หรือตอ้ ง ปรับปรุงไปใช้ เช่น การวิจยั หม่บู า้ นตน้ แบบการปลูกหม่อนเล้ียงไหมอินทรีย์ ซ่ึงตอ้ งมีแบบแผนการ ปลูกหม่อนเล้ียงไหมอินทรียก์ าหนดไวเ้ ป็ นแนวทางปฏิบตั ิ เม่ือผลการวจิ ยั เสร็จสิ้นผลที่ไดจ้ ะมีท้งั สาเร็จ และตอ้ งนามาปรับปรุงเป็นบางเงื่อนไข หลงั จากน้นั ก็ทาการขยายผลในหมบู่ า้ นอื่นๆ ต่อไป ง. วจิ ยั แบบประเมินผล เป็ นการวจิ ยั โดยการประเมินผลโครงการตา่ งๆ ท่ีดาเนินการ แลว้ วา่ ผลเป็นอยา่ งไร และเม่ือประเมินผลเสร็จแลว้ จะใชเ้ ป็นขอ้ มลู พิจารณาวา่ เหมาะสมท่ีจะมีโครงการ ต่อไปอีกหรือไม่ 4. การออกแบการวิจยั การออกแบบการวจิ ยั นบั ไดว้ า่ มีความสาคญั เป็ นอยา่ งยงิ่ ตอ่ การ ดาเนินการวจิ ยั เน่ืองจากการออกแบบการวจิ ยั เป็ นการกาหนด แผน (Plan) กลยทุ ธ์ (Strategies) และ วธิ ีการ (Method) ท่ีจะใหง้ านวจิ ยั อธิบายปรากฏการณ์และตอบวตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั ไดอ้ ยา่ ง เท่ียงตรง (Validity) น่าเชื่อถือ (Reliably) แม่นยา (Accurately) และประหยดั (Economically) การ ออกแบบการวจิ ยั มีวตั ถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1. การออกแบบงานวจิ ยั เพ่ือตอบวตั ถุประสงคข์ องงานวจิ ยั ดงั น้นั งานวจิ ยั ใดออกแบบดีต้งั แต่ แรกและตอบวตั ถุประสงคไ์ ดง้ านวจิ ยั น้นั ถือวา่ ใกลจ้ ะเสร็จสมบูรณ์แลว้ เพยี งแตเ่ หลือข้นั ตอนเก็บขอ้ มูล นามาวเิ คราะห์ และเขียนรายงานการวจิ ยั เทา่ น้นั 2. การออกแบบงานวจิ ยั เพื่อใชค้ วบคุมการสรุป หมายถึงการออกแบบงานวจิ ยั ใหส้ ามารถ ควบคุมการผนั แปรต่างๆ ในการวจิ ยั เพื่อใหง้ านวจิ ยั น้นั มีผลเสียในขอ้ สรุปนอ้ ยท่ีสุด โดยมีวธิ ีการดงั น้ี 2.1 การทาใหต้ วั แปรตา่ งๆ ผนั แปรใหม้ ากที่สุด เช่นการวิจยั หาความสมั พนั ธ์ของการศึกษา กบั การยอมรับเทคโนโลยฯี ตอ้ งทาการศึกษาใหค้ รอบคลุมคนท่ีมีการศึกษาที่แตกตา่ งกนั เพอ่ื พจิ ารณาวา่ การยอมรับเทคโนโลยขี องแตล่ ะระดบั การศึกษาเป็นอยา่ งไร 2.2 การควบคุมตวั แปรอื่นๆ ไมใ่ หม้ ีผลต่อการสรุป วธิ ีการมีดงั น้ี ก. ศึกษาเฉพาะประชากรท่ีมีลกั ษณะคลา้ ยคลึงกนั ข. ศึกษาโดยใชว้ ธิ ีการสุ่มตวั อยา่ งใหแ้ ต่ละกลุ่มคลา้ ยกนั ค. นาเอาตวั แปรที่ศึกษามาเป็ นปัจจยั อิสระ ง. การจบั คู่ที่เหมือนๆ กนั นามาเปรียบเทียบกบั ตวั แปรอิสระและตวั แปรตามแตกตา่ ง กนั อยา่ งไรบา้ ง จ. ควบคุมโดยวธิ ีการทางสถิติ 2.3 ใชล้ ดความบกพร่องของการวดั

ประเภทของการออกแบบการวิจยั ข้ึนอยกู่ บั นกั วิจยั จะพจิ ารณาเลือกให้เหมาะสมกบั เรื่องท่ีจะวจิ ยั องคป์ ระกอบและเวลาในการวจิ ยั รวมท้งั กระบวนการควบคุมในการวจิ ยั แบบการวจิ ยั ท่ีนิยมกนั โดยทวั่ ไป นกั สงั คมศาสตร์ไดแ้ บ่งไวเ้ ป็น 3 ประเภท คือ 1. ศึกษาเฉพาะกรณี (Case Study) การศึกษาเฉาะกรณีจะไม่มีการควบคุมตวั แปร ปล่อยให้ ปรากฏการณ์น้นั เป็นไปตามธรรมชาติ ใชศ้ ึกษาประชากรกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง ณ เวลาใดเวลาหน่ึง เพ่อื ให้ ไดข้ อ้ มลู มาอธิบายหน่วยที่ศึกษา เช่น การวจิ ยั ในพ้ืนท่ีตาบลบา้ นหนั อาเภอโนนศิลา จงั หวดั ขอนแก่น หน่วยที่ศึกษา (Unit) คือ ความเป็นอยกู่ ่อนและหลงั การส่งเสริมใหป้ ลูกหม่อนเล้ียงไหม ในปี 2551 เป็น ตน้ การรวบรวมขอ้ มลู ในการศึกษาเฉพาะกรณี นิยมใชแ้ บบสมั ภาษณ์และการสังเกตอยา่ งใกลช้ ิด ซ่ึง ตอ้ งใชร้ ะยะเวลาในการศึกษายาวนานพอสมควร ท้งั น้ีการเกบ็ รวมรวมขอ้ มลู โดยแบบสอบถาม และ วเิ คราะห์เชิงปริมาณโดยใชร้ ะยะเวลาส้นั ๆ ก็สามารถทาไดเ้ ช่นกนั แตต่ อ้ งศึกษาอยา่ งรอบคอบและ ครอบคลุมทว่ั ถึง 2. แบบการสารวจ (Survey Design) เป็นการวจิ ยั ประชากรหรือกลุ่มตวั อยา่ ง ในเวลาใดเวลา หน่ึง หรือตา่ งเวลากนั โดยการใชแ้ บบสอบถามหรือการสัมภาษณ์ตามแบบสอบถาม การควบคุมตวั แปร อาจจะไม่เขม้ งวดมากนกั แตใ่ ชว้ ธิ ีการทางสถิติควบคุมแทน ผลการวจิ ยั น้ีอาจจะสามารถนาไปอธิบาย ปรากฏการณ์ไดโ้ ดยทวั่ ไป 3. แบบการทดลอง (Experimental Design) การวจิ ยั แบบน้ีจะเป็นการควบคุมตวั แปรไดอ้ ยา่ ง มากการวจิ ยั จะมีการแบ่งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ผลการวจิ ยั ทางสังคมศาสตร์แบบน้ีมกั จะไดร้ ับ ความน่าเชื่อถือโดยทวั่ ไป แบบการทดลองในสังคมศาสตร์แบง่ ไดเ้ ป็น 3 ประเภท คือ 3.1 การทดลองแบบกลุ่มเดียว เป็นวธิ ีการทดลองจากกลุ่มเดียว โดยไมต่ อ้ งมีกลุ่มควบคุม 3.2 การทดลองแบบกลุ่มคู่ เป็นการทดลองสองกลุ่มไปพร้อมๆ กนั โดยแยกกลุ่มหน่ึงเป็น กลุ่มทดลอง และกลุ่มหน่ึงเป็นกลุ่มควบคุม 3.3 การทดลองแบบกลุ่มหมุนเวยี น เป็นการทดลองหลายๆ กลุ่มไปพร้อมๆ กนั หนา้ ทข่ี องแต่ ละกลุ่มบางคร้ังเป็นกลุ่มทดสอบ บางคร้ังเป็นกลุ่มควบคุม หมุนเวยี นสลบั กนั ไป เมื่อนกั วจิ ยั ไดท้ าตามข้นั ตอนจาก 1-3 แลว้ เชื่อมน่ั ไดว้ า่ การวจิ ยั เพื่อการพฒั นาสังคมของ หม่อนไหมจะมีทิศทางท่ีดี สร้างความเชื่อมน่ั ใหก้ บั ผลการวจิ ยั น้นั หลงั จากข้นั ตอนท้งั 3 แลว้ ผวู้ จิ ยั จาเป็นจะตอ้ งมีความรู้ เร่ืองตวั แปร การวดั วธิ ีวจิ ยั ทางสงั คมศาสตร์ท่ีกล่าวถึง ประชากร การสุ่มตวั อยา่ ง การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การวเิ คราะห์ขอ้ มลู และการรายงานผลการวจิ ยั เป็ นตน้

บทที่ 4 ตัวแปรและการวดั ในบทน้ีนกั วจิ ยั จะตอ้ งทาการศึกษาใหเ้ ขา้ ใจ เพือ่ ที่จะใชก้ าหนดแนวทางวจิ ยั ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง เนื่องจากในงานวจิ ยั แต่ละคร้ังตอ้ งเสียท้งั เวลาและงบประมาณ ถา้ การกาหนดตวั แปรและมาตราการวดั ตวั แปรไม่ถูกตอ้ งต้งั แต่ตน้ แลว้ ความลม้ เหลวของงานวิจยั น้นั จะตอ้ งตามมาอยา่ งแน่นอน 4.1 ตัวแปร (Variable) ความหมายของตวั แปร อารง สุทธศาสน์ (2523) ไดน้ ิยามตวั แปรไวว้ า่ คือ ลกั ษณะ คุณสมบตั ิ หรืออาการกิริยาของหน่วยต่างๆ (มนุษย์ สัตว์ พืช สงั คม ครอบครัว กลุ่ม หรืออื่นๆ) ซ่ึงจะแตกต่าง ระหวา่ งกนั เช่น ถา้ หน่วยเป็ นคน ตวั แปรอาจจะเป็นน้าหนกั ส่วนสูง อายุ เพศ การศึกษา ฐานะ ฯลฯ เป็น ตน้ ส่วนตวั คงท่ี (Constant) คือ ลกั ษณะ คุณสมบตั ิ หรืออาการกิริยาของหน่วยตา่ งๆ ไมส่ ามารถจะมี ความแตกต่างระหวา่ งหน่วยแต่ละหน่วยไดห้ ากเกิดจากเหตุการณ์ปกติ เช่น หู แขน ขา ของทุกคนมี จานวนเทา่ กนั ในบางคร้ังตวั แปรอาจจะเปล่ียนเป็นตวั คงท่ีไดข้ ้ึนอยกู่ บั เรื่องที่จะทาการวจิ ยั เช่น ศึกษา เกษตรกรชายท่ีมีบทบาทในการปลูกหมอ่ นเล้ียงไหม เพศจะกลายเป็นตวั คงที่ ประเภทของตวั แปร มีผจู้ ดั แบง่ ไวม้ ากมาย แตท่ ่ีเขา้ ใจกนั โดยทวั่ ไป คือการแบ่งตวั แปรตาม หนา้ ที่ของตวั แปรท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ได้ 4 ประเภท ดงั น้ี 1. ตวั แปรอิสระ (Independent Variable) มีลกั ษณะ 1.1 เป็นตวั แปรที่เป็นเหตุ 1.2 เป็นตวั แปรที่เป็นตวั กาหนด 1.3 เป็นตวั แปรท่ีเสมือนเหตุของตวั อ่ืน 1.4 เป็นตวั แปรที่เกิดก่อน โดยสรุปแลว้ ตวั แปรอิสระก็คือตวั แปรที่เป็นเหตุใหเ้ กิดผลต่อตวั แปรอ่ืน หรือกาหนดตวั แปรอ่ืน 2. ตวั แปรตาม (Dependent Variable) มีลกั ษณะ 2.1 เป็นตวั แปรที่เป็นผล 2.2 เป็นตวั แปรที่ถูกกาหนดโดยตวั อ่ืน 2.3 เป็นตวั แปรที่เสมือนเป็นผลของตวั อ่ืน 2.4 เป็นตวั แปรที่เกิดทีหลงั จากประเภทตวั แปรท้งั 2 ขอ้ ซ่ึงเป็นตวั แปรหลกั ในการวจิ ยั ตวั แปรใดจะทาหนา้ ท่ีเป็นตวั แปรอิสระ หรือตวั แปรตาม ข้ึนอยกู่ บั วตั ถุประสงคข์ องนกั วจิ ยั ตวั อยา่ งเช่น

เกษตรกรที่มีความรู้มากกวา่ จะทาใหเ้ กษตรกรยอมรับเทคโนโลยมี ากกวา่ ตวั แปรอิสระ : ความรู้ของเกษตรกร ตวั แปรตาม : การยอมรับเทคโนโลยี ในทางกลบั กนั ถา้ ผวู้ จิ ยั ต้งั สมมติฐานวา่ เกษตรกรที่ยอมรับเทคโนโลยี เป็นผมู้ ีความรู้มากกวา่ ตวั แปรอิสระ : การยอมรับเทคโนโลยี ตวั แปรตาม : ความรู้ของเกษตรกร 3 ตวั แปรแทรก (Intervening Variable) มีลกั ษณะ 3.1 เป็นตวั แปรที่เป็นเหตุและผลพร้อมๆ กนั 3.2 เป็นตวั เชื่อมระหวา่ งตวั แปรอิสระ และตวั แปรตาม ตวั อยา่ งเช่น ระดบั การศึกษามีอิทธิพลต่อการยอมรับเทคโนโลยใี หมๆ่ เม่ือพจิ ารณาแลว้ สมมติวา่ ผทู้ ่ีจบ ปริญญาตรีมีทศั นคติที่ดีต่อการนาเทคโนโลยไี ปใช้ ส่วนระดบั ประถมศึกษาไมค่ อ่ ยแน่ใจหรือมีทศั นคติ ไมด่ ี ทาใหป้ ริญญาตรียอมรับเทคโนโลยใี หมๆ่ มากกวา่ เพราะฉะน้นั ตวั แปรแทรก คือทศั นคติ นนั่ เอง 4. ตวั แปรคุม (Control Variable) คือตวั แปรจากภายนอกที่มีผลต่อความสัมพนั ธ์ท้งั ทางตรงหรือ ทางออ้ มตอ่ ตวั แปรอิสระ หรือตวั แปรตาม ถา้ ผวู้ จิ ยั แยกตวั แปรเหล่าน้ีออกมาได้ การสรุปปรากฏการณ์ งานวจิ ยั เร่ืองน้นั ๆจะน่าเช่ือถือมากข้ึน ตวั อยา่ งเช่น ระดบั การศึกษามีอิทธิพลต่อการยอมรับเทคโนโลยใี หมๆ่ (ตวั แปรคุม) ระดบั การศึกษา (ตวั แปรอิสระ) อาจจะมีตวั แปรท่ีเก่ียวขอ้ ง เช่น ฐานะของครอบครัว ไอคิว ที่อยอู่ าศยั ห่างไกลจากสถานศึกษา การยอมรับเทคโนโลยใี หม่ๆ (ตวั แปรตาม) อาจจะมีตวั แปรท่ีเกี่ยวขอ้ ง เช่น การสื่อสาร อายุ รายได้ ในงานวจิ ยั ทุกคร้ัง ผวู้ ิจยั จะตอ้ งจาแนกแยะแยะตวั แปรใหไ้ ดม้ ากท่ีสุดเท่าท่ีจะทาได้ เทคนิคท่ีจะใชใ้ น การจาแนกตวั แปร ข้ึนอยกู่ บั ประสบการณ์ของผวู้ จิ ยั วา่ จะเขา้ ใจเรื่องที่ตนเองวจิ ยั มากนอ้ ยขนาดใด มีการ ทบทวนวรรณกรรม ทฤษฏี หรือผลงานวจิ ยั อ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ ง ครอบคลุมหรือไม่เพียงใด ยง่ิ ผวู้ จิ ยั จาแนก ตวั แปรไดม้ ากเท่าไหร่ ความน่าเชื่อถือของงานวจิ ยั น้นั ก็จะน่าเชื่อถือมากข้ึนตามไปดว้ ย

4.2 การวดั (Measurement) 4.2.1 มิติและประโยชน์การวดั การวดั ถือไดว้ า่ เป็นข้นั ตอนท่ีสาคญั ตอ่ คุณภาพของงานวจิ ยั ถา้ การวดั ไมด่ ี หรือไม่ถูกตอ้ ง จะ ไม่สามารถแกไ้ ขไดด้ ว้ ยการวิเคราะห์ขอ้ มลู และจะทาให้การสรุปผดิ พลาดได้ การวดั แบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 มิติ คือ 1. การวดั เชิงปริมาณ เป็ นกระบวนการแปรสภาพจากแนวคิด ทฤษฏี หรือตวั แปร ที่มีลกั ษณะ เป็นนามอธรรม ใหเ้ ป็นขอ้ มูลเชิงปริมาณและสามารถวเิ คราะห์ทางสถิติได้ 2. การวดั ในเชิงคุณภาพ เป็นกระบวนการศึกษาหาความจริงของปรากฏการณ์อยา่ งธรรมชาติใน ระยะเวลาท่ีเหมาะสม เพื่อใหไ้ ดม้ าซ่ึงความเท่ียงตรงและเชื่อถือไดอ้ ยา่ งมีคุณภาพตามความเหมาะสม ของปรากฏการณ์ท่ีศึกษาน้นั ประโยชน์ของการวดั ต่องานวจิ ยั ถา้ ผวู้ จิ ยั เลือกใชก้ ารวดั ในการวิจยั ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม แลว้ จะก่อใหเ้ กิดประโยชน์มากมายต่อความสารถในการควบคุมดา้ นตา่ งๆ ของวจิ ยั เช่น ความสามารถ ในการเปรียบเทียบผลการวจิ ยั ของตนเองกบั งานวิจยั อื่น ความสารถในการควบคุมสิ่งท่ีตอ้ งการศึกษา ความสารถในการควบคุมการวเิ คราะห์ทางสถิติ ความสามารถในการคน้ หาความจริงและสรุปผลได้ อยา่ งเที่ยงตรง เป็นตน้ 4.2.2 ระดบั ของการวดั (Level of Measurement) ระดบั การวดั ของตวั แปร ข้ึนอยกู่ บั ความหยาบหรือความละเอียดของการวดั วา่ จะมีมากนอ้ ย เพยี งใด กล่าวคือตวั แปรบางอยา่ งสามารถวดั ไดเ้ พยี งหยาบๆ เช่น เพศ หรือบางอยา่ งวดั ไดอ้ ยา่ งละเอียด จนเป็นตวั เลขได้ เช่น ความสูง ระยะทาง ระดบั ของการวดั ในงานวจิ ยั แบ่งไดเ้ ป็น 4 ประเภท คือ 1. นามสเกล (Nominal Scale) เป็นระดบั การวดั อยา่ งหยาบๆ เป็นระดบั การวดั ท่ีง่ายที่สุด คุณสมบตั ิในการวดั แบบน้ีบอกไดแ้ ค่ ความเหมือนกนั หรือแตกต่างกนั เท่ากนั หรือไม่ท่ากนั เท่าน้นั แต่ ไมส่ ามารถบอกถึงระดบั ความแตกต่าง หรือความไม่เท่ากนั ได้ หรือเป็ นระดบั การวดั ไดแ้ ค่นามธรรม เทา่ น้นั เช่นตวั แปรเพศ จาแนกเป็น ชายและหญิง ตวั แปรอาชีพ จาแนกเป็น เกษตรกร คา้ ขาย รับราชการ ฯลฯ เป็นตน้ สถิติที่จะใชใ้ นการสรุประดบั การวดั แบบน้ี ไดแ้ ก่ ความถ่ี ร้อยละ ฐานนิยม (Mode) และค่า สมั ประสิทธ์ิความสัมพนั ธ์ (Contingency Coefficient) 2. อนั ดบั สเกล (Ordinal Scale) ระดบั การวดั จะวดั ไดล้ ะเอียดกวา่ ประเภทที่1 คือนอกจากจะ บอกไดว้ า่ แตล่ ะตวั แปร เหมือนกนั หรือแตกต่างกนั เทา่ กนั หรือไมท่ า่ กนั ยงั สามารถบอกเพ่มิ เติมไดอ้ ีก วา่ มากกว่าหรือน้อยกว่าอกี กลุ่มหน่ึง และสามารถจะจดั เป็นลาดบั ได้ เช่น ตวั แปรวยั ของมนุษย์ จาแนก เป็น วยั เด็ก วยั รุ่น วยั ผใู้ หญ่ และวยั ชรา จะเห็นวา่ วยั ชรามีอายมุ ากท่ีสุด วยั ผใู้ หญ่มีอายมุ ากกวา่ วยั รุ่น วยั รุ่นมีอายมุ ากกวา่ วยั เดก็ หรือตวั แปรระดบั การศึกษา จาแนกเป็น ประถม มธั ยม ปริญญาตรี หรือตวั แปรฐานะ จาแนกเป็ น ฐานะยากจน ปานกลาง ร่ารวย เป็นตน้

สถิติที่จะใชใ้ นการสรุประดบั การวดั แบบน้ี นอกจากจะใชต้ ามประเภทท่ี 1 แลว้ ยงั สามารถใช้ คา่ มธั ยฐาน (Median) เปอร์เซ็นตไ์ ทล์ (Percentile) คา่ สหสมั พนั ธ์ระหวา่ งตาแหน่ง (Rank Correlation) 3. ช่วงสเกล หรือมาตราอนั ตรภาค (Interval Scale) ระดบั การวดั จะละเอียดกวา่ ประเภทที่ 1 และ2 นอกจากจะบอกไดว้ า่ แต่ละตวั แปร เหมือนกนั หรือแตกต่างกนั เทา่ กนั หรือไม่ท่ากนั มากกวา่ หรือ นอ้ ยกวา่ กนั แลว้ ยงั สามารถ กาหนดความห่างระหว่างสิ่งทวี่ ดั ไดอ้ ีก แตค่ วามห่างท่ีใชว้ ดั น้นั จะเกิดจาก การกาหนดข้ึนเองเพื่อใชใ้ นงานวจิ ยั ไม่ไดเ้ ป็ นไปโดยธรรมชาติ แมจ้ ะสมมติใหม้ ีความเทา่ กนั แตก่ ็ไม่ สามารถพสิ ูจนไ์ ดว้ า่ เป็นจริงหรือไม่ เช่น การวดั ความคิดเห็น กาหนดค่าใหใ้ หห้ ่างกนั เท่ากบั 1 เช่น เห็น ดว้ ยอยา่ งยง่ิ = 5, เห็นดว้ ย = 4, ไมแ่ น่ใจ = 3, ไม่เห็นดว้ ย = 2, ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งยงิ่ = 1 หรือบางคน กาหนดเป็น เห็นดว้ ยอยา่ งยง่ิ = 4, เห็นดว้ ย = 3, ไม่แน่ใจ = 2, ไมเ่ ห็นดว้ ย = 1, ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งยง่ิ = 0 ซ่ึงนกั วจิ ยั เชิงสงั คมศาสตร์ส่วนใหญ่มกั ใชร้ ะดบั การวดั มาตราน้ี ระดบั การวดั แบบน้ีเป็นการวดั เชิงปริมาณ สถิติท่ีใช้ เช่น การกระจาย ค่าเฉลี่ย (Mean) คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) สหสมั พนั ธ์ถดถอย (Regression) 4. อตั ราส่วนสเกล (Ratio Scale) เป็นระดบั การวดั ท่ีละเอียดที่สุด คือนอกจากจะมีคุณสมบตั ิ ครบถว้ นตามประเภทท่ี 3 แลว้ ยงั มีคุณสมบตั ิเพมิ่ เติมคือ มีจุดเริ่มต้นจากศูนย์สมบูรณ์ (Absolute Zero) หรือเริ่มต้นจากธรรมชาติทแี่ ท้จริง เช่น ส่วนสูง ระยะทาง น้าหนกั เวลา พ้ืนที่ เป็ นตน้ การวดั ระดบั น้ีจะ บอกไดว้ า่ มีจานวนมากกวา่ หรือนอ้ ยกวา่ เป็นกี่เทา่ หรือมีอตั ราส่วนเท่าใดกบั กลุ่มอ่ืนๆ ดว้ ย เช่น นาย สมบตั ิ มีน้าหนกั 90 กิโลกรัม และนายสมชาย มีน้าหนกั 45 กิโลกรัม สรุปไดว้ า่ นายสมบตั ิมีน้าหนกั มากกวา่ นายสมชาย เป็น 2 เทา่ เป็นตน้ สถิติที่ใชก้ บั การวดั ระดบั น้ีใชไ้ ดอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง 4.2.3 มาตราการวดั (Scale of Measurement) มาตราการวดั เป็นการหาเทคนิคที่จะนามาวดั ตวั แปรในงานวจิ ยั แตล่ ะคร้ัง เน่ืองจากตวั แปร แตล่ ะตวั มีความหยาบและละเอียดต่างกนั ดงั น้นั มาตราการวดั ที่ดีกจ็ ะส่งผลโดยตรงตอ่ ความน่าเช่ือถือ และเท่ียงตรงของขอ้ มูลดว้ ย มาตราการวดั มีดงั น้ี 1. มาตราวดั แบบประมาณ (Rating Scale) มาตราการวดั แบบน้ีจะเป็นการวดั โดยผตู้ ดั สิน (Judges) เป็นผปู้ ระมาณการวดั ตามตวั แปรที่กาหนดไว้ เช่น ใหเ้ กษตรกรประมาณวิทยากรฝึกอบรมวา่ สอนเขา้ ใจขนาดไหน มาตราวดั ท่ีนกั วจิ ยั นิยมใชโ้ ดยทวั่ ไปไดแ้ ก่ 1.1 Category Rating Scale เป็นมาตราวดั แบบประมาณโดยกาหนดประเภท โดยใหผ้ ตู้ ดั สิน เลือกประเภทการวดั ตามความคิดเห็นของตนจากประเภทที่ไดก้ าหนดไว้ เช่น วทิ ยากรผสู้ อนการปลูกหม่อนเล้ียงไหมมีความรู้มากนอ้ ยเพียงใด - มีความรู้มากที่สุด - มีความรู้มาก - มีความรู้ปานกลาง

- มีความรู้นอ้ ย - ไมม่ ีความรู้เลย 1.2 Numerical Rating Scale เป็นมาตราวดั แบบประมาณการดว้ ยตวั เลข โดยกาหนดเป็นตวั เลข แทนประเภท ปลายท้งั สองขา้ งของตวั เลขอาจจะมีประเภทกากบั ไวไ้ ดด้ ว้ ย และใหผ้ ตู้ ดั สินเลือกวดั ตาม ความคิดเห็นของตน เช่น วทิ ยากรผสู้ อนการปลูกหม่อนเล้ียงไหมมีความรู้มากนอ้ ยเพียงใด 0 ไมม่ ีความรู้เลย 1 2 3 4 5 มีความรู้มากท่ีสุด 1.3) Graphic Rating Scale เป็นมาตราวดั แบบประมาณการดว้ ยกราฟ โดยผตู้ ดั สินจะตดั สินใจ เลือกวดั ตามเส้นหรือกราฟที่นกั วจิ ยั ไดก้ าหนดข้ึน เช่น วทิ ยากรผสู้ อนการปลูกหม่อนเล้ียงไหมมีความรู้มากนอ้ ยเพียงใด ไม่มีความรู้เลย มีความรู้มากท่ีสุด 2. มาตราวดั แบบเทอร์สโตน (Thrustone’s method of equal-appearing interval scale) เป็นเครื่องมือท่ีสร้างสาหรับวดั ทศั นคติของบุคคลต่อเร่ืองใดเรื่องหน่ึง โดยการใชช้ ุดขอ้ ความ มีต้งั แต่ 10-15 ขอ้ แต่ละขอ้ จะมีคะแนนกากบั เป็นค่าคะแนนของทศั นคติของขอ้ ท่ีเลือก ตวั อยา่ งเช่น มาตราวดั ทศั นคติของเกษตรกรต่อการยอมรับเทคโนโลยใี หมๆ่ คาสงั่ สาหรับผตู้ อบ โปรดกาเคร่ืองหมาย / หนา้ ขอ้ ความท่ีท่านคิดวา่ ตรงกบั ความรู้สึกของ ทา่ นมากที่สุด 1. เม่ือนาเทคโนโลยใี หมๆ่ ไปใชแ้ ลว้ จะทาใหฉ้ นั มีชีวติ ความเป็นอยทู่ ี่ดีข้ึน (10.0) 2. ถา้ นาเทคโนโลยใี หม่ๆ ไปใชจ้ ะทาใหผ้ ลผลิตของฉนั เพิ่มข้ึน (9.0) 3. เทคโนโลยใี หมๆ่ จะทาใหต้ น้ ทุนการผลิตของฉนั ลดลง (8.3) 4. เทคโนโลยใี หมๆ่ จะทาใหค้ ุณภาพผลผลิตของฉนั สูงข้ึน (8.0) 5. เม่ือนาเทคโนโลยใี หมๆ่ ไปใชแ้ ลว้ จะทาใหฉ้ นั มีรายไดเ้ พ่ิมข้ึน (9.5) 6. เทคโนโลยใี หมๆ่ สามารถปรับใชก้ บั อาชีพของฉนั ได้ (6.2)

7. ยงั มีบางส่วนของเทคโนโลยใี หม่ๆ ที่ไม่เหมาะสมกบั การประกอบอาชีพของฉนั (4.8) 8. เทคโนโลยใี หม่ๆ ไม่สารถทาใหช้ ีวติ ความเป็ นอยขู่ องฉนั ดีข้ึน (3.0) 9. ชีวติ ของฉนั ไม่ตอ้ งการเทคโนโลยใี หมๆ่ ฉนั จะทาเหมือนเดิม (0.0) 10. ฉนั ตอ้ งการทดลองดูก่อน ถา้ เทคโนโลยใี หมด่ ีจริงฉนั ถึงจะนามาใช้ (6.8) เมื่อผตู้ อบเลือกขอ้ ใดก็ถือวา่ คะแนนของขอ้ น้นั เป็นทศั นคติของผตู้ อบ แตถ่ า้ ผตู้ อบเลือกหลาย ขอ้ ตอ้ งนาคะแนนมาหาคา่ เฉล่ีย เช่น ตอบขอ้ 2 3 และ4 คะแนนที่ไดม้ ีค่าเฉล่ีย = 9+8.3+8.0/3= 8.4 ถือได้ วา่ ผตู้ อบมีทศั นคติที่ดีมากตอ่ เทคโนโลยใี หม่ๆ เน่ืองจากคะแนนท่ีไดส้ ูงมาก (คะแนนเตม็ 10) เป็นตน้ ส่วนวธิ ีการหาคะแนนของแตล่ ะขอ้ ที่แตกตา่ งกนั น้นั มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. เขียนขอ้ ความในเรื่องท่ีจะศึกษาประมาณ 100-150 ขอ้ ความ ท้งั ในระดบั ท่ีดีมาก ระดบั ดี ระดบั ปานกลาง หรือระดบั ไมด่ ี การเขียนควรเขียนตามลาดบั ลงในแผน่ กระดาษเลก็ ๆ 2. มีผตู้ ดั สิน ที่จะมาตดั สินขอ้ ความ ผตู้ ดั สินจะตอ้ งเป็ นอิสระต่อกนั ในการจดั กลุ่มขอ้ ความ โดยจานวนผตู้ ดั สินควรมีประมาณ 100-300 คน 3. ผตู้ ดั สินจะจดั กลุ่มขอ้ ความออกเป็ น 11 กลุ่ม โดยกลุ่มที่1 เป็นขอ้ ความในแง่ร้ายท่ีสุด เรียงลาดบั ไปจนกระทง่ั ถึงกลุ่มท่ี 11 ซ่ึงเป็นกลุ่มที่ขอ้ ความในแง่ดีท่ีสุด 4. เมื่อผตู้ ดั สินไดจ้ ดั กลุ่มเรียบร้อยแลว้ ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งหาค่า S (คา่ คะแนน) และค่า Q (ค่าท่ีเป็น เกณฑใ์ นการเลือกขอ้ ความ) ดงั น้ี ค่า S ใหถ้ ือคา่ ที่ 50% หรือ ค่ามธั ยฐาน (Median) ของผตู้ ดั สินในขอ้ น้นั โดยหาคา่ ดว้ ยการใช้ กราฟแบบร้อยละสะสม ดงั ตวั อยา่ ง สมมติ ขอ้ ความที่ 10 ฉนั ตอ้ งการทดลองดูก่อน ถา้ เทคโนโลยใี หมด่ ีจริงฉนั ถึงจะนามาใช้ จดั ไวใ้ นกลุ่มท่ี จานวนผตู้ ดั สิน ร้อยละ ร้อยละสะสม 5 10 7.7 7.7 6 30 23.1 30.8 7 55 42.3 73.1 8 20 15.4 88.5 9 15 11.5 100 รวม 130 100

แสดงกราฟความถ่ีสะสม 12%0 100 80 60 40 20 0 1 2 3 4 5Q1 6 S 7Q3 8 9 เพราะฉะน้นั ค่า S = 6.8 หรือมีค่าคะแนนทศั นคติ ของขอ้ 10 = 6.8 ค่า Q หาไดจ้ าก Q3-Q1 เม่ือ Q3 = ค่าของคนที่ 75 เปอร์เซ็นต์ Q1 = คา่ ของคนท่ี 25 เปอร์เซ็นต์ แทนคา่ ขอ้ มูลจากกราฟ Q3 = 7.6 Q1 = 6.2 Q = 7.6-6.2 = 1.4 5. การจะเลือกขอ้ ความในแง่ร้ายหรือแง่ดีน้นั ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งเนน้ 10-15 ขอ้ วธิ ีเลือกเกณฑ์ ขอ้ ความในแง่ดีใหเ้ ลือกขอ้ ความท่ีมีคา่ Q ต่า ส่วนขอ้ ความท่ีมีคา่ Q สูงเป็นขอ้ ความในแง่ร้าย 3. มาตราวดั แบบไลเกริ ์ต (Likert scale) เป็นมาตราวดั ที่ใชว้ ดั ทศั นคติ มีความเหมาะสมกบั กลุ่มบุคคลที่ไม่สารถจาแนกความคิดเห็น อยา่ งละเอียดได้ และนิยมใชท้ ว่ั ไปเพราะสร้างข้ึนไดง้ ่าย โดยมีวธิ ีสร้างมาตราไลเกิร์ติ ตามข้นั ตอน ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. เขียนขอ้ ความในเร่ืองท่ีจะวดั ท้งั ในแง่ร้ายหรือแง่ดี ไม่ควรเขียนขอ้ ความกลางๆ เพราะจะ เกิดความคลุมเครือเนื่องจากมีการกาหนดระดบั ความคิดเห็นอยแู่ ลว้ 2. กาหนดขอ้ ความจาแนกระดบั ความคิดเห็น ต้งั แตเ่ ห็นดว้ ยทุกประการ เห็นดว้ ยเป็นส่วน ใหญ่ เห็นดว้ ยกลางๆ ไมเ่ ห็นดว้ ยเป็นส่วนใหญ่ ไมเ่ ห็นดว้ ยโดยสิ้นเชิง

3. กาหนดคะแนนแตล่ ะขอ้ ความตามความหมายท่ีจะแปลความท้งั ในแง่ดีและแง่ร้าย เช่น ขอ้ ความ คะแนน เห็นดว้ ยทุกประการ 4 เห็นดว้ ยเป็นส่วนใหญ่ 3 เห็นดว้ ยกลางๆ 2 ไม่เห็นดว้ ยเป็นส่วนใหญ่ 1 ไมเ่ ห็นดว้ ยโดยสิ้นเชิง 0 ค่าคะแนนที่ใหจ้ ะเป็ น 5 4 3 2 1 กไ็ ดเ้ ช่นกนั 4. การแปลความหมาย ขอ้ ความในแง่ดี ถา้ ไดค้ ะแนนมาก จะมีทศั นคติท่ีดี แต่ถา้ ไดค้ ะแนนต่าจะมีทศั นคติในทางไม่ ดี ถา้ เป็นขอ้ ความในแง่ร้าย ถา้ ไดค้ ะแนนมาก จะมีทศั นคติที่ไมด่ ี แต่ถา้ ไดค้ ะแนนต่าจะมีทศั นคติที่ดี เช่น ทศั นคติต่อขา้ ราชการ ขอ้ ความในแง่ดี - ขา้ ราชการเป็นผใู้ หบ้ ริการประชาชนโดยเทา่ เทียม ยตุ ิธรรม ทวั่ ถึง และทุม่ เท ถา้ ตอบเห็น ดว้ ยทุกประการ ไดค้ ะแนน 4 แสดงวา่ ผตู้ อบมีทศั นคติที่ดีตอ่ ขา้ ราชการ ขอ้ ความในแง่ร้าย - ขา้ ราชการเป็ นคนเชา้ ชามเยน็ ชาม ถา้ ตอบเห็นดว้ ยทุกประการ ไดค้ ะแนน 4 แสดงวา่ ผตู้ อบมี ทศั นคติท่ีไมด่ ีต่อขา้ ราชการ 5. เมื่อสร้างมาตราวดั แบบไลเกิร์ติเสร็จเรียบร้อยแลว้ ใหน้ าไปทดสอบหาความน่าเช่ือถือ และ ความเท่ียงตรง แลว้ คอ่ ยนาไปสัมภาษณ์ เมื่อไดข้ อ้ มูลแลว้ ใหเ้ ลือกเฉพาะขอ้ มูลที่มีประสิทธิภาพมา วเิ คราะห์ ส่วนขอ้ มูลท่ีไม่มีประสิทธิภาพใหต้ ดั ทิง้ ไป การคดั เลือกประสิทธิภาพขอ้ มูลใหใ้ ชว้ ธิ ีกาหนด สมั ประสิทธ์ิความแตกต่าง (Discriminatory power) โดย ก. รวมคะแนนท้งั หมดของขอ้ ความทุกขอ้ สาหรับผตู้ อบแตล่ ะคน แลว้ เลือกสุ่มตวั อยา่ งมา 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่มีคะแนนสูง 25 % และกลุ่มท่ีมีคะแนนต่า 25 % ข. คานวณหาคา่ คะแนนเฉลี่ยของขอ้ ความท้งั 2 กลุ่ม ค. เปรียบเทียบความแตกต่างของกลุ่มท่ีมีคะแนนสูงและคะแนนต่า คา่ ความแตกตา่ งที่ไดค้ ือ สมั ประสิทธ์ิความแตกต่าง ถา้ คา่ แตกต่างสูงถือวา่ เป็ นขอ้ มูลท่ีมีประสิทธิภาพ แตถ่ า้ มีคา่ แตกต่างต่าแสดง วา่ ไม่มีประสิทธิภาพ ตวั อยา่ งเช่น

ขอ้ ความ คะแนนเฉลี่ยของ คะแนนเฉลี่ยของ ค่าสัมประสิทธ์ิ กลุ่มคะแนนสูง กลุ่มคะแนนต่า ความแตกต่าง 1. อาชีพการปลูกหม่อนเล้ียงไหมเป็น วฒั นธรรม 4 1 3 2. ถา้ ไม่มีอาชีพการปลูกหมอ่ นเล้ียงไหมคน สูงอายจุ ะไม่มีงานทา 2.2 1.7 0.5 3. อาชีพการปลูกหมอ่ นเล้ียงไหมทาใหไ้ ม่มี การอพยพแรงงานไปหางานทาในเมืองใหญ่ 2.5 2.5 0.0 4. อาชีพการปลูกหมอ่ นเล้ียงไหมทาใหม้ ี รายไดแ้ ละครอบครัวมีเงินใชจ้ ่ายประจาวนั 5 1 4 5. ชุมชนท่ีมีอาชีพการปลูกหม่อนเล้ียงไหม มกั มีความสุข 4.5 1.5 3 จากตวั อยา่ งขา้ งตน้ จะเห็นไดว้ า่ ขอ้ ความที่มีประสิทธิภาพ ประกอบดว้ ยขอ้ 1, 4 และ 5 เน่ืองจากมี คา่ สัมประสิทธ์ความแตกตา่ งสูง สามารถนาขอ้ มูลไปวเิ คราะห์กบั ตวั แปรอื่นๆ ได้ ส่วนขอ้ ความในขอ้ 2 และ3 ใหต้ ดั ทิ้งไป เน่ืองจากมีค่าสัมประสิทธ์ความแตกต่างต่า จึงเป็นขอ้ มลู ที่ไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากมาตราวดั ท้งั 3 ประเภท ดงั ที่กล่าวมาแลว้ ยงั มีมาตราวดั แบบอื่นๆ อีกที่ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งศึกษา เพมิ่ เติมเพือ่ จะไดเ้ ลือกใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั งานวจิ ยั ของตนเอง เช่น มาตราวดั กตั แมน (Guttman Scale หรือ Scalogram) มาตราวดั แบบความแตกตา่ งทางภาษา (Semantic Differential Scale) มาตราวดั แบบ สงั คมมิติ (Sociometry หรือ Sociogram) มาตราวดั แบบระยะห่างทางสงั คม (Social Distance Scale) ของ Emory S. Bogardus เป็นตน้

บทท่ี 5 ประชากรและการสุ่มตัวอย่าง 5.1 ประชากร (Population) ในงานวจิ ยั เชิงสงั คมศาสตร์น้นั ประชากรที่ใชใ้ นการวิจยั ข้ึนอยกู่ บั หวั ขอ้ เรื่อง ปรากฏการณ์ และประเดน็ ตลอดจนการออกแบบ และวธิ ีการต่างๆ ในการวจิ ยั ดงั ท่ีไดก้ ล่าวมาแลว้ ต้งั แตบ่ ทที่ 1-4 ข้นั ตอนต่อไปกค็ ือ การกาหนดประชากรเป้ าหมาย (Target Population) ซ่ึงหมายถึงหน่วยตา่ งๆ ท่ีผวู้ จิ ยั ใชเ้ กบ็ ขอ้ มลู ในการวจิ ยั ไม่วา่ จะเป็นบุคคล กลุ่มบุคคล ชุมชน องคก์ ร สถานท่ี เอกสารสิ่งพมิ พ์ หรือวตั ถุ ส่ิงของใดๆ กไ็ ด้ ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั วตั ถุประสงคใ์ นการวจิ ยั ประชากรเป้ าหมายอาจจะมีกลุ่มเดียวหรือหลาย กลุ่ม จะกวา้ ง หรือแคบ ลึกหรือต้ืนเพยี งใด ข้ึนอยกู่ บั งานวิจยั เรื่องน้นั ๆ เป็ นตวั กาหนด ในการกาหนดประชากรเป้ าหมายน้นั ผวู้ จิ ยั ควรระบุคุณสมบตั ิตา่ งๆ ของประชากรที่จะศึกษา ใหช้ ดั เจน เฉพาะจงจง เช่น ประชากรคือผยู้ า้ ยถ่ิน ตอ้ งระบุใหช้ ดั วา่ เป็นผยู้ า้ ยถ่ินลกั ษณะใด ยา้ ยถิ่นเป็น การถาวรหรือไม่ หรือยา้ ยถิ่นชว่ั คราว เป็ นตน้ เมื่อพิจารณาถึงประชากรดา้ นหมอ่ นไหมแลว้ จะเห็นไดว้ า่ เราสามารถแยกกลุ่มผทู้ ี่เก่ียวขอ้ ง กบั งานดา้ นหม่อนไหม ไดห้ ลายๆ กลุ่ม เช่น เกษตรกรผปู้ ลูกหมอ่ นเล้ียงไหมและสาวไหม กลุ่มผฟู้ อก ยอ้ มและทอผา้ ไหม พอ่ คา้ รวบรวมเส้นไหม โรงสาวไหม กลุ่มแปรรูปผลิตภณั ฑห์ ม่อนไหม ช่างตดั เยบ็ และออกแบบ ร้านคา้ จาหน่ายผา้ ไหมและผลิตภณั ฑ์ พอ่ คา้ นาเขา้ -ส่งออกเส้นไหมและผลิตภณั ฑ์ บริษทั เอกชน สมาคม ชมรม หรือเจา้ หนา้ ที่ของรัฐท่ีเกี่ยวขอ้ ง เช่น ขา้ ราชการกรมหม่อนไหม ขา้ ราชการกรมอ่ืนๆของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และ หน่วยงานอ่ืนๆ อีกมากมาย ดงั ท่ีไดก้ ล่าวไวแ้ ลว้ ในบทท่ี 2 ประชากรท่ีใชใ้ นการวจิ ยั เชิงสงั คมศาสตร์สามารถจาแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ 1. ประชากรที่ทราบจานวนแน่นอน (Finite Population) เช่น จานวนเกษตรกรผผู้ า่ นการ ฝึกอบรมหลกั สูตรการปลูกหมอ่ นเล้ียงไหม 2. ประชากรท่ีไมท่ ราบจานวนแน่นอน (Infinite Population) เช่น จานวนของนกั ทอ่ งเที่ยว ชาวต่างประเทศที่ซ้ือผา้ ไหมไทย เป็นตน้ 5.2 การสุ่มตวั อย่าง (Sampling) ในการวจิ ยั ทางสงั คมศาสตร์ ผวู้ จิ ยั มกั จะไม่ทาการวจิ ยั จากประชากรท้งั หมด หรือเรียกวา่ การ สามะโน (Census) เน่ืองจากตอ้ งใชค้ นเป็นจานวนมาก ลงทุนสูง และระยะเวลายาวนาน บางคร้ังทาให้ ผลการวจิ ยั ไมท่ นั ต่อเหตุการณ์ ดงั น้นั นกั วจิ ยั จึงตอ้ งใชว้ ธิ ีการสุ่มตวั อยา่ ง หรือการคดั เลือกเอาประชากร จานวนหน่ึงมาวจิ ยั เพ่ืออนุมานผลที่ไดไ้ ปเป็นผลของประชากรเป้ าหมายท้งั หมด ดงั น้นั การคดั เลือก

ประชากรดงั กล่าวจึงตอ้ งอาศยั หลกั การในการสุ่มตวั อยา่ งตา่ งๆ โดยมีเป้ าหมายใหไ้ ดก้ ลุ่มตวั อยา่ งท่ีเป็น ตวั แทนของประชากรอยา่ งแทจ้ ริง 5.2.1 ประเภทของการสุ่มตัวอย่าง (Type of Sampling) แบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภท ดงั น้ี 1. การสุ่มตวั อย่างโดยไม่ทราบถงึ โอกาสของความน่าจะเป็ น (Non-probability Sampling) เป็น การสุ่มตวั อยา่ งท่ีผวู้ จิ ยั ไม่ทราบโอกาสที่แต่ละหน่วยประชากรจะถูกเลือก จึงไมส่ ามารถวดั ความถูกตอ้ ง หรือความน่าเช่ือถือจากค่าประมาณของการวจิ ยั ได้ ดงั น้นั ผวู้ จิ ยั ส่วนใหญ่จึงไม่นิยมใชว้ ธิ ีการสุ่มตวั อยา่ ง ประเภทน้ีนกั ถา้ จะใชก้ ม็ กั จะใชร้ ่วมกบั การสุ่มตวั อยา่ งแบบอ่ืนๆ การสุ่มตวั อยา่ งแบบน้ี แบ่งไดเ้ ป็ น 1.1 การสุ่มตวั อยา่ งแบบบงั เอิญ (Accidental Sampling) พบใครก็สัมภาษณ์ ตามความพอใจ ของผวู้ จิ ยั เช่น ตอ้ งการขอ้ มูลความพงึ พอใจตอ่ แหล่งทอ่ งเท่ียวของไทยจากนกั ทอ่ งเท่ียวต่างประเทศ ท่ี สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อพบใครลงจากเครื่องบินขาเขา้ ท่ีมาจากต่างประเทศทาการสมั ภาษณ์ทนั ที เป็น ตน้ 1.2 การสุ่มตวั อยา่ งแบบโควตา (Quota Sampling) เพื่อลดขอ้ บกพร่องของ ขอ้ 1.1 จึงกาหนด เป็นโควตาในการเกบ็ ขอ้ มลู เช่น แบง่ โควตาเป็นนกั ท่องเท่ียวเพศชาย 50 % เพศหญิง 50 % เป็นตน้ โดย การแบ่งโควตาดงั กล่าว จะตอ้ งคานึงถึงจานวนท่ีมากพอตอ่ การวเิ คราะห์เปรียบเทียบขอ้ มลู ดว้ ยคา่ สถิติ ตา่ งๆ ดว้ ย 1.3 การสุ่มตวั อยา่ งแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เป็นการสุ่มเลือกหน่วยตวั อยา่ งในการ วจิ ยั ท่ีอาศยั วตั ถุประสงค์ หรือความตอ้ งการดา้ นใดดา้ นหน่ึงเขา้ มาเป็นตวั กาหนด โดยทวั่ ไปแลว้ มกั เป็น การวจิ ยั ประเภทเจาะลึก (In depth Study) เช่น ลูกคา้ ชาวกรุงเทพฯท่ีซ้ือผา้ ไหม หรือลูกคา้ จากประเทศ สหรัฐอเมริกาที่ซ้ือผา้ ไหม เป็ นตน้ 2. การสุ่มตวั อย่างโดยทราบโอกาสความน่าจะเป็ น (Probability Sampling) เป็นการสุ่มตวั อยา่ ง ที่ผวู้ จิ ยั ทราบถึงโอกาสท่ีหน่วยประชากรจะถูกเลือกเทา่ ๆ กนั หรือแตกต่างกนั ข้ึนอยกู่ บั แบบของการสุ่ม ตวั อยา่ งดงั น้ี 2.1 การสุ่มตวั อยา่ งแบบง่าย (Simple Random Sampling) เป็นการสุ่มตวั อยา่ งที่โอกาสของ หน่วยประชากรมีโอกาสไดร้ ับเลือกเป็นตวั อยา่ งเท่าๆ กนั การสุ่มตวั อยา่ งแบบน้ีจะเร่ิมจากการจดั ทา หมายเลขกากบั ประชากรที่วิจยั เรียงตามลาดบั ไวแ้ ลว้ แบง่ เป็น 2 วธิ ี คือ ก. การจบั สลาก มีอยู่ 2 ลกั ษณะ คือการจบั สลากแบบไม่ทดแทน (Without Replacement) เป็น การสุ่มจบั สลากหมายเลขประชากรใดแลว้ จะไม่นาสลากน้นั ใส่กลบั เขา้ ไปอีก ลกั ษณะท่ี 2 เป็นการจบั สลากแบบทดแทน (With Replacement) วธิ ีการน้ีจะตรงขา้ มกบั แบบแรกโดยเม่ือจบั สลากใดออกมาแลว้ จะนาสลากน้นั ใส่กลบั เขา้ ไปอีกทุกคร้ังก่อนที่จะจบั สลากตอ่ ไปเรื่อยๆ จนไดจ้ านวนหน่วยตวั อยา่ งครบ ตามเป้ าหมาย

ข. การใชต้ ารางเลขสุ่ม ในกรณีที่ประชากรในการวจิ ยั มีเป็นจานวนมากไม่สะดวกในการจบั สลาก ผวู้ จิ ยั มกั ใชต้ ารางเลขสุ่มกระจาย (Table of Random Numbers) ในการสุ่มตวั อยา่ ง โดยปกติแลว้ ตารางเลขสุ่มจะมีอยใู่ นหนงั สือสถิติทวั่ ไป ข้นั ตอนการใชต้ ารางเลขสุ่มมีดงั น้ี ข้นั แรก ตอ้ งทราบจานวนหลกั ของประชากร เพือ่ กาหนดหลกั ของตวั เลขท่ีจะอ่านวา่ มีกี่หลกั เช่น มีประชากร 5,000 หน่วย ใช้ ตวั เลข 4 หลกั ในการอ่านตารางเลขสุ่ม ข้นั ที่สอง กาหนดทิศทางการอา่ นวา่ จะอา่ นไปในทิศทางใดของตารางเลขสุ่ม เช่น ข้ึนบน ลง ล่าง จากซา้ ยไปขวา หรือแบบทแยงมุม ข้นั ที่สาม เพื่อป้ องกนั อคติในการเลือกเริ่มตน้ ใหใ้ ชด้ ินสอ หรือวสั ดุปลายแหลมอ่ืนๆ หลบั ตา จิม้ ลงไปในตารางเลขสุ่ม แลว้ นบั ต่อไปตามที่กาหนดไวใ้ นข้นั ตอนแรกและข้นั ตอนที่สอง ถา้ พบวา่ มี ตวั เลขอยนู่ อกกรอบประชากรใหต้ ดั ทิ้งไป แลว้ อา่ นลาดบั ถดั ไปต่อไปเร่ือยๆ จนครบตามจานวนตวั อยา่ ง ที่ตอ้ งการ ดงั ตวั อยา่ งที่ ฉตั ร ช่าชอง (2525) และอานวยวทิ ย์ ชูวงษ์ (2525) แสดงไวด้ งั น้ี AB C D E F G 10 3 4 6 9 5 21 8 7 1 0 8 90 1 1 8 2 7 60 4 0 7 2 3 19 0 7 0 1 1 64 5 8 4 0 2 43 9 1 1 4 1 ตามข้นั ตอนแรกจนถึงข้นั ตอนท่ีสาม มีประชากร 5,000 คน จะนบั ตวั เลข 4 หลกั จากซา้ ยไปขวา และนบั ลงขา้ งล่างตามลาดบั เมื่อหลบั ตาจิ้มดินสอลงไป ไดห้ มายเลข 4 ช่อง D การนบั คนแรกท่ีเลือกเป็น ตวั อยา่ ง คือคนที่ 4,695 (นบั หลกั ตวั เลขจากซา้ ยไปขวา) ถดั ไปนบั ลงขา้ งล่าง คือ 7,108 ซ่ึงเป็นตวั เลข มากกวา่ จานวนประชากร จึงตดั ทิ้ง นบั ลงขา้ งล่างต่อไป คือหมายเลข 1,827 และ 0723 จึงเลือกเป็ น ตวั อยา่ ง คดั เลือกตามน้ีต่อไปเร่ือยๆ จนครบ แต่ถา้ ไดต้ วั เลขไม่ครบตามตอ้ งการก็ใหเ้ ร่ิมตน้ ใหม่ตาม ข้นั ตอนท่ีกาหนดไว้ จนกระทงั่ ไดจ้ านวนตวั อยา่ งครบตามเป้ าหมาย 2.2 การสุ่มตวั อยา่ งแบบมีระบบ (Systematic Random Sampling) วธิ ีการน้ีเป็นการลดความ ยงุ่ ยากของการสุ่มตวั อยา่ งตามขอ้ 2.1 โดยทาการจบั สลากเพยี งคร้ังเดียว เม่ือไดห้ มายเลขแรกท่ีเป็น ตวั อยา่ งแลว้ จะบวกดว้ ยขนาดของอนั ตรภาคต่อไปเร่ือยๆ จนไดจ้ านวนตวั อยา่ งครบตามตอ้ งการ เช่น มี ประชากร 5,000 คน ตอ้ งการตวั อยา่ ง 500 คน อนั ตรภาคหาไดจ้ ากสูตรการคานวณ ดงั น้ี

N I =n แทนค่า I = ระยะห่างของอนั ตรภาค N = จานวนประชากร n = จานวนตวั อยา่ งท่ีตอ้ งการ I = 5,000 500 I = 100 ตวั อยา่ ง สมมติวา่ จบั สลากคร้ังแรก ไดห้ มายเลข 4,100 เป็นหน่วยตวั อยา่ งแรก เพราะฉะน้นั หน่วยตวั อยา่ งคนตอ่ ไปกค็ ือ (4,100+100) = 4,200, (4,200+100) = 4,300……… ทาการบวกคร้ังละ 100 ไปเร่ือยๆ ในกรณีท่ีบวกไปจนถึงหมายเลข 5,000 แลว้ ไดต้ วั อยา่ งยงั ไม่ครบใหน้ า ระยะห่างของอนั ตรภาค (100) มาลบออกจากตวั เลขเร่ิมตน้ เพราะฉะน้นั หน่วยตวั อยา่ งตอ่ ไปก็คือคนที่ 4,000 (มาจาก 4,100-100) ทาอยา่ งน้ีต่อไปเร่ือยๆ จนไดจ้ านวนตวั อยา่ งครบตามท่ีตอ้ งการ 2.3 การสุ่มตวั อยา่ งแบบแบ่งช้นั (Stratified Random Sampling) การสุ่มตวั อยา่ งแบบน้ี เพ่ือท่ีจะ แกไ้ ขปัญหาประชากรท่ีมีความหลากหลาย โอกาสที่กลุ่มใดกลุ่มหน่ึงของประชากรอาจจะถูกเลือกมา เป็นตวั อยา่ งจานวนมาก แต่อีกกลุ่มอาจจะไม่ไดเ้ ลือกมา หรือเลือกมาจานวนนอ้ ยมาก ทาใหผ้ ลท่ีไดไ้ ม่ สามารถครอบคลุมผลประชากรได้ ดงั น้นั จึงตอ้ งแบ่งประชากรออกเป็นช้นั ๆ (Stratum) ช้นั ยอ่ ยๆ ท่ีแบ่ง ออกมาจะมีลกั ษณะเหมือนกนั ภายในช้นั แต่จะแตกต่างกนั สูงระหวา่ งช้นั หรือมีลกั ษณะ Homogeneous หลงั จากน้นั จึงทาการสุ่มตวั อยา่ งแตล่ ะช้นั ดว้ ยวธิ ี Simple Random Sampling หรือ Systematic Random Sampling กไ็ ด้ ดงั แผนภมู ิ ACBAB CAACC BBCAB CAABA ABBCC AAAA BBBB CCCC AAAA BBBB CCCC

ตวั อยา่ งเช่น จะเลือกตวั อยา่ ง 100 คน จากขา้ ราชการกรมหมอ่ นไหม 450 คน โดยขา้ ราชการสถาบนั สังกดั สานกั วจิ ยั ฯ 90 คน สานกั อนุรักษฯ์ 110 คน สานกั บริการและถ่ายทอดฯ 150 คน สานกั บริหาร กลาง 100 คน จานวนตวั อยา่ งของแตล่ ะช้นั หาไดโ้ ดยเทียบบญั ญตั ิไตรยางศด์ งั น้ี สานกั วจิ ยั ฯ = 100x90 = 20 คน 450 สานกั อนุรักษฯ์ = 100x110 = 24.5 หรือ 25 คน 450 สานกั บริการและถ่ายทอดฯ = 100x150 = 33.3 หรือ 33 คน 450 สานกั บริหารกลาง = 100x100 = 22.2 หรือ 22 คน 450 รวมตวั อยา่ ง = 100 คน 2.4 การสุ่มตวั อยา่ งแบบแบง่ กลุ่ม (Cluster Sampling) เป็ นการสุ่มตวั อยา่ ง โดยการแบ่งตวั อยา่ ง ออกเป็ นกลุ่มๆ โดยที่ในแตล่ ะกลุ่มมีความแตกตา่ งกนั สูง แต่มีความแตกต่างกนั นอ้ ยเม่ือเปรียบเทียบ ระหวา่ งกลุ่ม หรือมีลกั ษณะเป็น Heterogeneous ดงั แผนภูมิ AADB CDCB CABD ABCD ABCD ABCD เช่น การสุ่มตวั อยา่ งโดยแบง่ เขตตามภาคของประเทศตา่ งๆ 2.5 การสุ่มตวั อยา่ งแบบพหุวธิ ี (Multi-stage Random Sampling) เป็นการสุ่มตวั อยา่ งโดยการ นาเอาการสุ่มตวั อยา่ งหลายๆ วธิ ี มาใชร้ ่วมกนั การสุ่มตวั อยา่ งแบบน้ีจะเหมาะสมกบั โครงการวิจยั ขนาด ใหญ่ มีขอบเขตการวจิ ยั กวา้ งขวาง และมีจานวนประชากรเป็นจานวนมาก 5.2.2 ขนาดของตัวอย่าง (Sample Size) ตวั อยา่ งนอกจากจะตอ้ งครอบคลุมประชากรท้งั หมดไดแ้ ลว้ ขนาดของตวั อยา่ งท่ีใชใ้ น งานวจิ ยั ทางสงั คมศาสตร์จะตอ้ งมากพอท่ีจะเป็นตวั แทนได้ แตข่ นาดตวั อยา่ งที่มากเกินไปอาจจะทาได้ ยากภายใตข้ อ้ จากดั ทางดา้ นเวลา กาลงั คนที่มีอยู่ และขอ้ จากดั ของงบประมาณ วธิ ีการประมาณขนาด

ของตวั อยา่ งวา่ จะเป็ นเท่าใดน้นั Donald R Cooper ไดป้ ระมาณขนาดของตวั อยา่ งท่ีไม่ทราบขนาดของ ประชากรไวใ้ นหนงั สือ Business Research Method (1988) ดงั สูตรตอ่ ไปน้ี pq2 n = p2 เม่ือ n = ขนาดตวั อยา่ งที่ตอ้ งการ p = คา่ ประมาณสดั ส่วนของตวั อยา่ ง q = ค่าส่วนกลบั ของค่า p หรือเท่ากบั (1-p) p2 = ค่าความเช่ือมน่ั ของขนาดตวั อยา่ ง ที่เบ่ียงเบนออกไปจากสดั ส่วน ประชากร โดยค่า p2 หาไดจ้ าก ค่า (e2 / Z2) เมื่อ e = คา่ ความคลาดเคลื่อนท่ียอมใหแ้ ตกตา่ งไปจากสดั ส่วนของประชากร Z = คา่ ท่ีไดจ้ าการแจกแจงปกติที่ระดบั ความเชื่อมน่ั ที่ตอ้ งการ โดยทว่ั ไปใชค้ า่ แจกแจงที่ ระดบั ความเชื่อมน่ั 95 % หรือ Z = 1.96 ตวั อยา่ งเช่น เราตอ้ งการศึกษารสนิยมการใชผ้ า้ ไหมของผบู้ ริโภคผา้ ไหมในประเทศไทย ผศู้ ึกษาไม่ทราบ วา่ มีประชากรที่ใชผ้ า้ ไหมในประเทศไทยอยเู่ ท่าใด การประมาณการขนาดของตวั อยา่ งทาไดด้ งั น้ี 1. ผวู้ จิ ยั ตอ้ งหาค่าประมาณสดั ส่วนของตวั อยา่ ง (p) โดยการสารวจล่วงหนา้ หรือจากการ สารวจท่ีเคยทามาก่อน แต่วธิ ีน้ีค่อนขา้ งยงุ่ ยากซบั ซอ้ น ดงั น้นั โดยทวั่ ไปจึงนิยมใหค้ ่า p = 0.5 เนื่องจาก จะไดข้ นาดของตวั อยา่ ง (n) ท่ีมากท่ีสุด 2. กาหนดค่าความคลาดเคล่ือนที่ยอมใหแ้ ตกตา่ งไปจากสดั ส่วนของประชากรที่จะศึกษา ใน ที่น้ีเรายอมใหค้ ลาดเคลื่อนได้ 5 % หรือ 5/100 หรือ e = 0.05 3. กาหนดคา่ Z = 1.96 แทนคา่ ในสูตร n = (0.5)(1-0.5) (0.05)2/ (1.96)2 n = 0.25 0.00065 n = 384.61

หรือตอ้ งสุ่มตวั อยา่ ง = 385 ราย ส่วนขนาดของตวั อยา่ งที่ผวู้ จิ ยั ทราบขนาดของประชากร สามารถที่จะกาหนดขนาดของ ตวั อยา่ งได้ จากหลายๆ วกี าร เช่น 1. คิดเป็นเปอร์เซ็นตจ์ ากประชากรท้งั หมด เช่น ฉตั ร ช่าชอง (2525) ไดใ้ หห้ ลกั การพจิ ารณา ไวด้ งั น้ี จานวนประชากร เปอร์เซ็นตข์ องขนาดตวั อยา่ ง < 50 80 % < 100 > 50 % แต่ < 80% 100-999 25 % 1,000-9,999 10 % >10,000 1% 2.โดยการคานวณทางสถิติ ดงั สูตรการคานวณของ Taro Yamane (1967) จากหนงั สือ Elementary Sampling Theory หนา้ 98 อา้ งโดย สาเริง จนั ทรสุวรรณ และสุวรรณ บวั ทวน (2537) ดงั น้ี n= N 1 + Nd2 เมื่อ n = ขนาดกลุ่มตวั อยา่ ง N = จานวนประชากรท้งั หมด d = คา่ สดั ส่วนที่กลุ่มตวั อยา่ งแตกตา่ งจากประชากร ตวั อยา่ งเช่น ประชากรคือเกษตรกรผเู้ ล้ียงไหมท่ีเคยไดร้ ับการฝึกอบรมหลกั สูตรการปลูกหม่อนเล้ียง ไหม ปี 2550 จานวน 1,247 คน ใหห้ าขนาดของตวั อยา่ ง เม่ือคา่ d = 0.05 แทนคา่ n = 1,247 1+ 1,247(0.05)2 n = 302.67 หรือมีขนาดตวั อยา่ ง = 303 คน

บทท่ี 6 การเกบ็ รวบรวมและการวเิ คราะห์ข้อมูล 6.1 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 1. ความหมายของข้อมูล สุมล สิทธิสมบรู ณ์ (2532) ไดใ้ หค้ วามหมายของขอ้ มลู (Data) ไวว้ า่ หมายถึงขอ้ เทจ็ จริงต่างๆ ท่ีผวู้ จิ ยั จะตอ้ งใชใ้ นการทดสอบสมมติฐานหรือตอบปัญหาการวิจยั ซ่ึง สอดคลอ้ งกบั กาญจนา มณีแสง (2522) ท่ีเห็นวา่ ขอ้ มลู คือคา่ ของตวั แปรตา่ งๆ ที่เกบ็ รวบรวมมาเพื่อตอบ ปัญหาการวจิ ยั ส่วน ธเนศ ต่วนชะเอม (2522) ขอ้ มลู หมายถึง เอกสาร ขอ้ ความ หนงั สือ จานวนหรือส่ิง ใดๆ ที่ใชเ้ ป็นหลกั ฐานอา้ งอิงในการวจิ ยั ในงานวจิ ยั ขอ้ มูลท่ีผวู้ ิจยั จะเก็บรวบรวมมาน้นั จะมีท้งั ขอ้ มูลเชิงปริมาณ ที่สามารถเกบ็ รวบรวม เป็นตวั เลขได้ และขอ้ มลู เชิงคุณภาพท่ีไมส่ ามารถเกบ็ รวบรวมเป็ นตวั เลขได้ ดงั น้นั ผวู้ ิจยั จึงตอ้ งมีความ ระมดั ระวงั และรอบคอบในการเก็บขอ้ มูลเป็ นอยา่ งยง่ิ 2. ประเภทของข้อมูล มีผจู้ าแนกไวห้ ลายๆประเภท แตท่ ่ีเป็นท่ีรู้จกั กนั โดยทวั่ ไป คือการแบง่ ประเภทของขอ้ มูลตามแหล่งกาเนิดของขอ้ มูลไดด้ งั น้ี 2.1 แหล่งปฐมภมู ิ (Primary Source หรือ Primary Data) เป็นขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากแหล่งกาเนิดของ ขอ้ มูลโดยตรง เช่น ขอ้ มูลจากการสอบถาม สัมภาษณ์ การทดลอง หรือแบบสารวจต่างๆ 2.2 แหล่งทุติยภูมิ (Secondary Source หรือ Secondary Data) เป็นขอ้ มลู มือสอง หรือขอ้ มูลท่ีมีผู้ รวบรวมไวแ้ ลว้ เช่น เอกสารวชิ าการ งานวิจยั สถิติขอ้ มูลของหน่วยงานตา่ งๆ สามะโนประชากร หรือ จากศูนยส์ าระสนเทศต่างๆ เป็นตน้ 3. ลกั ษณะของข้อมูล ในการวจิ ยั แตล่ ะคร้ัง ลกั ษณะของขอ้ มูลจะเป็นส่ิงที่แสดงใหน้ กั วจิ ยั ทราบวา่ จะตอ้ งใชเ้ คร่ืองมือใดในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู เพอ่ื ใหข้ อ้ มลู ที่ไดเ้ หมาะสมกบั วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั ส่วนลกั ษณะของขอ้ มลู ที่เหมาะสมกบั งานวจิ ยั น้นั สมศกั ด์ิ ศรีสนั ติสุข (2538) ไดใ้ หข้ อ้ สงั เกตไวว้ า่ ก. ขอ้ มลู ที่รวบรวมจะตอ้ งมีลกั ษณะที่สามารถวดั และนบั ได้ ข. ขอ้ มลู ท่ีรวบรวมจะตอ้ งมีความพร้อมที่จะใหข้ อ้ เทจ็ จริงแก่นกั วจิ ยั ค. ขอ้ มูลท่ีรวบรวมจะตอ้ งมีเวลาพอที่จะใหข้ อ้ เทจ็ จริงแก่นกั วจิ ยั ง. ขอ้ มลู ท่ีรวบรวมจะตอ้ งมีความพอใจท่ีจะใหข้ อ้ เทจ็ จริงแก่นกั วจิ ยั จ. ขอ้ มลู ท่ีรวบรวมจะตอ้ งอนุญาตใหน้ กั วจิ ยั ทาการสงั เกตพฤติกรรมและขอ้ เทจ็ จริงต่างๆ ได้ 4. คุณสมบตั ิของข้อมูล จุมพล สวสั ดิยากร (2520) ไดร้ ะบุคุณสมบตั ิท่ีสาคญั ของขอ้ มูล ไวว้ า่ 4.1. มีความเท่ียงตรง (Validity) ในการวจิ ยั แต่ละคร้ังขอ้ มูลจะตอ้ งมีความเท่ียงตรง ถูกตอ้ งและ สมบรู ณ์ ความเท่ียงตรงประกอบดว้ ย ความเท่ียงตรงในเน้ือหา (Content Validity) ความเท่ียงตรงตาม โครงสร้าง (Construct Validity) ความเที่ยงตรงตามสภาพที่เป็นจริง (Concurrent Validity) และความ เที่ยงตรงเชิงพยากรณ์ (Predictive Validity)

4.2 มีความน่าเชื่อถือ (Reliability) หมายถึงขอ้ มูลที่ไดม้ าในการวจิ ยั แต่ละคร้ังตอ้ งมีความ น่าเชื่อถือ ถูกตอ้ งแมน่ ยา แน่นอนและไม่เปลี่ยนไปเปล่ียนมา เช่น เม่ือเก็บขอ้ มูลนามาวดั ผลคร้ังแรกเป็น อยา่ งไร เมื่อเก็บขอ้ มลู ในกลุ่มเดิมคร้ังท่ี2 ผลจะตอ้ งเป็ นเหมือนเดิม หรือใกลเ้ คียงกนั เสมอ ความ น่าเชื่อถือแบง่ เป็น ความน่าเช่ือถือระหวา่ งผสู้ ังเกตการณ์ ความน่าเชื่อถือของเครื่องมือเก็บขอ้ มลู ความ น่าเชื่อถือของผตู้ อบคาถาม ความน่าเชื่อถือของการสุ่ม และความน่าเช่ือถือของการสอดคลอ้ งกนั ส่วนความไมน่ ่าเช่ือถือของขอ้ มูลน้นั อาจจะเกิดข้ึนไดข้ ้ึนอยกู่ บั ภมู ิหลงั ของคน อารมณ์ของคน ความซ้าซาก บรรยากาศและส่ิงแวดลอ้ ม เป็นตน้ 4.3 มีความเก่ียวเน่ือง (Relevancy) ขอ้ มลู ท่ีไดม้ าในการวจิ ยั แต่ละคร้ังตอ้ งสอดคลอ้ ง และ ประสานสัมพนั ธ์กนั กบั ขอบเขตของเร่ืองที่วจิ ยั ตอ้ งไมต่ ้งั คาถามและเก็บขอ้ มลู นอกเร่ืองมาใช้ 4.4 ไม่มีอคติ (Unbiased) ขอ้ มลู ที่รวบรวมมาตอ้ งไม่มีการลาเอียงในทุกข้นั ตอนของการเกบ็ ขอ้ มลู เช่น การสุ่มตวั อยา่ ง การสร้างเคร่ืองมือ การสมั ภาษณ์ การสงั เกตการณ์ และอ่ืนๆ 5. วธิ ีการและเคร่ืองมือเกบ็ รวบรวมข้อมูล วธิ ีการและเครื่องมือที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลในการวิจยั น้นั มีมากมายหลายแบบข้ึนอยกู่ บั ชนิดและรูปแบบของงานวจิ ยั แตล่ ะเรื่อง บางเรื่องอาจจะตอ้ งใชห้ ลายวธิ ีการร่วมกนั โดยทวั่ ไปวธิ ีการ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ท่ีนิยมใชอ้ ยใู่ นปัจจุบนั ธเนศ ต่วนชะเอม (2522) แบ่งออกเป็ น 5 วธิ ี ดงั น้ี 5.1 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากเอกสารหรือหอ้ งสมุด (Documentary or Library) 5.2 การสงั เกตการณ์ (Observation) 5.3 การใชแ้ บบสอบถาม (Questionnaire) 5.4 การสัมภาษณ์ (Interview) 5.5 วธิ ีการทดลอง (Experiment) ในแต่ละวธิ ีมีรายละเอียดดงั น้ี 5.1 การเกบ็ รวบรวมข้อมูลจากเอกสารหรือห้องสมุด (Documentary or Library) แบ่งตาม แหล่งขอ้ มูลได้ 2 แหล่ง คือ แหล่งขอ้ มลู แรกเป็นสถาบนั ท้งั ของรัฐและเอกชน เช่น กระทรวง ทบวง กรม สานกั งาน หรือสถาบนั ตา่ งๆ มหาวทิ ยาลยั สมาคมหรือชมรมท่ีอยใู่ นหน่วยงานของรัฐ หรือเอกชน ต้งั ข้ึน ธนาคาร สถานทูต บริษทั นิติบุคคลต่างๆ ร้านจาหน่ายหนงั สือ หรือศูนยห์ นงั และองคก์ รระหวา่ ง ประเทศต่างๆ เช่น FAO, ECAFE, ILO เป็นตน้ แหล่งขอ้ มลู ท่ีสองไม่เป็นสถาบนั เช่น เอกสารส่วนตวั ของบุคคลตา่ งๆ 5.2 การสังเกตการณ์ (Observation) การสงั เกต เป็นการพจิ ารณาปรากฏการณ์ตา่ งๆ โดยใชป้ ระสาทสมั ผสั ของผสู้ งั เกตโดยตรง เช่น การดู ฟัง คิด ถาม จดจา ผสู้ งั เกตจะตอ้ งมีจุดมุ่งหมายวา่ จะสังเกตอะไร และสังเกตอยา่ งไร ไมใ่ หไ้ ร้ ทิศทางหรือออกนอกกรอบของขอ้ มลู ท่ีตอ้ งการ ดงั จะไดก้ ล่าวในรายละเอียดต่อไป

5.2.1 ลกั ษณะของการสังเกต สุมล สิทธิสมบรู ณ์ (2532) ไดก้ ล่าวถึงลกั ษณะของการสังเกตท่ีดี ไวว้ า่ เพ่ือใหก้ ารสงั เกตมีความถูกตอ้ งเท่ียงตรง ลดความลาเอียง และอคติของผสู้ ังเกต จึงมีหลกั เกณฑท์ ่ี สาคญั บางประการในการสงั เกตไวด้ งั น้ี 1. มีจุดมุง่ หมายในการสงั เกตท่ีแน่นอน เฉพาะเจาะจง ทาการสังเกตเป็นอยา่ งๆ หรือเป็นเรื่องๆ โดยกาหนดพฤติกรรมที่จะสังเกตใหช้ ดั เจนที่สุดเทา่ ที่จะทาได้ 2. มีการวางแผนที่แน่นอน เช่น วธิ ีการ เวลา การจดบนั ทึก เป็นตน้ 3. ควรใชเ้ คร่ืองมืออื่นๆ ประกอบการสงั เกต เช่น Check-list เพือ่ ใหส้ ามารถประเมินผลการ สังเกตไดง้ ่ายและสะดวกรวดเร็วข้ึน 4. ตอ้ งจดบนั ทึกทนั ทีที่สงั เกตเห็น เพอื่ ป้ องกนั การหลงลืม สับสน และใหร้ ะวงั เร่ืองความ ลาเอียงหรืออคติดว้ ย ในประเดน็ น้ี อานวยวทิ ย์ ชูวงษ์ (2525) ไดก้ ล่าวเพ่มิ เติมไวว้ า่ ในกรณีท่ีเป็นการ สังเกตแบบไมเ่ ขา้ ร่วมกลุ่ม ควรจดบนั ทึกทนั ที ส่วนกรณีที่สงั เกตแบบรวมกลุ่ม การจดบนั ทึกทนั ทีอาจ ทาใหผ้ ถู้ ูกสงั เกตเปล่ียนแปลงพฤติกรรมไป อาจใชว้ ธิ ีจดบนั ทึกหลงั จากแยกออกจากกลุ่มแลว้ 5. ควรบนั ทึกเฉพาะส่ิงท่ีสังเกตเห็นเท่าน้นั โดยไมต่ อ้ งตีความหมายในขณะน้นั และไม่ใส่ ความรู้สึกส่วนตวั เขา้ ไปเกี่ยวขอ้ งดว้ ย 6. ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการสังเกตสามารถทาซ้า และตรวจสอบกบั คนอื่นๆ ได้ จะทาใหข้ อ้ มลู มีความ น่าเช่ือถือมากข้ึน 5.2.2 ประเภทการสังเกต การสังเกต สามารถแบ่งเป็ นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท ดงั น้ี 1. การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) วธิ ีน้ีนิยมใชก้ บั การวจิ ยั เชิงคุณภาพ ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งเขา้ ไปมีส่วนร่วมในกลุ่มท่ีตนศึกษา โดยเขา้ ไปเป็นสมาชิกของกลุ่ม เช่น ถา้ ตอ้ งการศึกษา พฤติกรรมการดาเนินงานกลุ่ม ของกลุ่มทาชาหมอ่ น ผวู้ ิจยั จะตอ้ งสมคั รเขา้ ไปเป็นสมาชิกและมีส่วนร่วม ในการดาเนินงานกลุ่มทุกข้นั ตอน ส่วนสิ่งที่จะสังเกตน้นั L.L. Loflan (1971) ไดแ้ บ่งส่ิงที่จะสงั เกตได้ 6 ประเภท คือ การ กระทา (Acts) กิจกรรม (Activity) ความหมาย (Meaning) ความสัมพนั ธ์ (Relationship) การมีส่วนร่วม (Participation) และสภาพสังคม (Setting) 2. การสังเกตแบบไมม่ ีส่วนร่วม (Non-participant Observation) วธิ ีการน้ีนิยมใชร้ ่วมกบั การ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดว้ ยวธิ ีการอ่ืนๆ เช่นการสัมภาษณ์ ผวู้ จิ ยั เพยี งแต่สงั เกตอยหู่ ่างๆ ไมไ่ ดเ้ ขา้ ไปมีส่วน ร่วมในกลุ่ม บางคร้ังอาจจะมีการซกั ถามคนอ่ืนๆ ท่ีอยใู่ กลเ้ คียงเพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ มูลท่ีละเอียดข้ึน เช่น ในขณะที่สมั ภาษณ์เกษตรกรเร่ืองการยอมรับเทคโนโลยกี ารปลูกหม่อนและเล้ียงไหมเสร็จสิ้น ผวู้ จิ ยั ได้ ไปสงั เกตสภาพแวดลอ้ มตา่ งๆ ในการเล้ียงไหม เช่น การทาความสะอาดโรงเล้ียงไหม วสั ดุอุปกรณ์ที่ใช้ เล้ียงไหม ระยะการปลูกหมอ่ น การเก็บใบและการเก็บรักษาใบหมอ่ น วธิ ีการเล้ียงไหม เป็นตน้

5.2.3 ข้อดีและข้อเสียของการสังเกต ข้อดี 1. ไดข้ อ้ เท็จจริงท่ีมีความน่าเช่ือถือ เนื่องจากมองเห็นพฤติกรรมที่ตอ้ งการจะสงั เกตใน สถานการณ์จริง 2. สามารถจดบนั ทึกสิ่งท่ีสงั เกตไดท้ นั ที ทาใหข้ อ้ มลู มีความคลาดเคลื่อน สบั สนนอ้ ย 3. พฤติกรรมท่ีไดจ้ ากการสงั เกต จะเป็นพฤติกรรมจริงๆ มากกวา่ จะเป็นการเสแสร้ง 4. ช่วยใหไ้ ดข้ อ้ มลู บางอยา่ งท่ีผถู้ ูกสังเกตไม่ตอ้ งการบอก 5. ทาใหไ้ ดข้ อ้ มลู จากบุคคลหรือส่ิงตา่ งๆ ท่ีไมส่ ามารถส่ือสารหรือโตต้ อบได้ เช่น พฤติกรรมของคนเป็ นใบ้ หรือเด็กทารก หรือการตอบสนองต่อป๋ ุยของตน้ หมอ่ น เป็ นตน้ 6. การสงั เกต บางคร้ังทาให้ไดข้ อ้ มลู สาคญั ท่ีคาดไมถ่ ึง ซ่ึงสามารถนามาใชอ้ ธิบาย สนบั สนุนปรากฏการณ์ หรือผลตา่ งๆ ของงานวจิ ยั ได้ ข้อเสีย 1. การสงั เกตบางคร้ังไม่สามารถทาได้ หรือทาไดแ้ ต่ไมส่ ะดวก เช่นเรื่องส่วนตวั เร่ือง ความเชื่อ คา่ นิยม หรือผดิ กฎหมาย 2. ใชเ้ วลามาก ลงทุนมาก และตอ้ งสงั เกตดว้ ยตนเอง 3. อาจจะไดข้ อ้ มลู ที่ไมเ่ ป็นจริง ถา้ ผถู้ ูกสงั เกตรู้ตวั 4. บางคร้ังเหตุการณ์ท่ีตอ้ งการไม่เกิดข้ึน ทาใหไ้ ม่ไดข้ อ้ มูล 5. ถา้ ผสู้ ังเกตไมม่ ีทกั ษะประสบการณ์ในการสงั เกตที่ดีพอ จะทาใหต้ อ้ งใชเ้ วลาในการ สังเกตนาน ขอ้ มลู มีอคติ จดบนั ทึกตกหล่น ทาใหข้ อ้ มูลที่ไดไ้ ม่ดีพอ 5.2.4 เคร่ืองมือทใ่ี ช้ร่วมกบั การสังเกต ในการเขา้ ไปสังเกตการณ์ปรากฏการณ์ พฤติกรรม หรือสิ่งต่างๆ ในการวจิ ยั แตล่ ะคร้ัง นอกจาก สมุด ยางลบ ปากกา ดินสอแลว้ ผวู้ จิ ยั ควรจะมีเคร่ืองมือท่ีใชร้ ่วมกบั การสังเกต จะทาใหไ้ ด้ ขอ้ มลู ที่ทนั ทว่ งที ถูกตอ้ ง แม่นยา และลดอคติหรือความรู้สึกส่วนตวั ลง สุมล สิทธิสมบูรณ์ (2532) ได้ แนะนาเคร่ืองมือท่ีสาคญั ในการบนั ทึกประกอบการสงั เกตไว้ 2 ชนิด คือ 1. แบบตรวจสอบรายการ (Check-list) โดยการทาชุดขอ้ ความท่ีบง่ บอก พฤติกรรม บุคลิก กิจกรรม หรือปรากฏการณ์ท่ีตอ้ งการสงั เกตไวล้ ่วงหนา้ ในขณะสังเกตผสู้ ังเกตจะจดบนั ทึกเฉพาะ สิ่งที่สังเกตเห็นภายใตช้ ุดขอ้ ความเหล่าน้นั เท่าน้นั 2. แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) เป็นลกั ษณะชุดคาถามหรือขอ้ ความที่ บอกระดบั มากนอ้ ย ซ่ึงมีต้งั แต่ 3 ระดบั ข้ึนไป แลว้ ใหผ้ สู้ ังเกตบนั ทึก หรือประเมินตนเองตามความรู้สึก ของผสู้ งั เกต

5.3 การใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) แบบสอบถาม หมายถึง ชุดคาถามหรือรายการคาถามที่เตรียมไว้ เพื่อเป็ นเคร่ืองมือในการ รวบรวมขอ้ มูล ไม่วา่ จะเป็นการรวบรวมขอ้ มูลโดยอิสระดว้ ยการใหผ้ ตู้ อบแบบสอบถามกรอกขอ้ มูล โดยตรง หรือใชร้ ่วมกบั เคร่ืองมืออื่น เช่นการสมั ภาษณ์ตามชุดคาถามน้นั 5.3.1 ชนิดของแบบสอบถาม แบบสอบถามสามารถท่ีจะแบ่งไดเ้ ป็น 4 ชนิด ตามความเห็นของฉตั ร ช่าชอง (2525) ดงั น้ี 1. แบบสอบถามท่ีมีเฉพาะคาถาม ท้งั คาถามท่ีมีลกั ษณะปลายปิ ด (Close-end Question) โดยการกาหนดคาตอบไวใ้ หเ้ ลือกตอบ และคาถามปลายเปิ ด (Open-end Question) ท่ีเปิ ดโอกาสให้ ผตู้ อบตอบไดอ้ ยา่ งอิสระ 2. แบบสอบถามที่เป็นตาราง วธิ ีการน้ีใชก้ บั การรวบรวมขอ้ มลู เชิงปริมาณ โดยจดั ทา ตารางที่มีหมายเลขและชื่อกากบั ตารางเอาไว้ จดั ทากรอบเน้ือหาบรรจุไวใ้ นแตล่ ะช่องของตารางตามที่ เราตอ้ งการขอ้ มลู วธิ ีการน้ีการออกแบบตารางค่อนขา้ งยาก เพราะตอ้ งออกแบบตารางใหก้ ะทดั รัด สามารถบรรจุขอ้ มูลท่ีตอ้ งการไดท้ ้งั หมด และจะตอ้ งง่ายต่อการบนั ทึกดว้ ย 3. แบบสอบถามท่ีมีท้งั คาถามและตาราง หมายถึงการสร้างแบบสอบถามท่ีรวมเอาขอ้ ที่ 1 และ 2 ไวด้ ว้ ยกนั การกาหนดเน้ือหาเป็นไปตามวตั ถุประสงคข์ องนกั วจิ ยั 4. แบบสอบสอบถามท่ีมีรหสั กากบั ขอ้ มูลทุกรายการ แบบสอบถามแบบน้ีมีเป้ าหมายท่ี สาคญั คือการนาขอ้ มลู ไปประมวลผลดว้ ยเครื่องคอมพิวเตอร์ ผจู้ ดั ทาแบบสอบถามจึงตอ้ งกาหนดรหสั ขอ้ คาถามและคาตอบไวเ้ พอ่ื ความสะดวกในการบนั ทึกเขา้ ไปในเครื่องคอมพวิ เตอร์ 5.3.2 โครงสร้างของแบบสอบถาม ในการสร้างแบบสอบถามของนกั วจิ ยั โครงสร้างของแบบสอบถามยอ่ มมีผลต่อการตอบ วตั ถุประสงคข์ องงานวจิ ยั ถา้ เป็นแบบสอบถามที่ไมม่ ีโครงสร้าง หรือมีแต่เป็นโครงสร้างที่หยอ่ น หรือ ตึงเกิน แบบสอบถามน้นั อาจจะไม่สามารถตอบวตั ถุประสงคข์ องงานวจิ ยั ได้ ดงั ที่ สมศกั ด์ิ ศรีสนั ติสุข (2538) ไดแ้ นะนาโครงสร้างของแบบสอบถามที่ควรจะทราบ ประกอบดว้ ย 1. ส่วนข้ึนตน้ ของแบบสอบถาม มีเป้ าหมายเพอื่ ให้ผตู้ อบแบบสอบถามไดร้ ับทราบ วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั เพื่อใหไ้ ดข้ อ้ เทจ็ จริงมากที่สุด องคป์ ระกอบที่สาคญั ของส่วนข้ึนตน้ ดงั น้ี 1.1 ชื่อเรื่องในการวจิ ยั 1.2 ช่ือหน่วยงานหรือผรู้ ับผดิ ชอบ 1.3 คาช้ีแจงเก่ียวกบั วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั 1.4 คาช้ีแจงเกี่ยวกบั วธิ ีกรอกแบบสอบถาม หรืออาจจะยกตวั อยา่ งประกอบ 2. ส่วนเน้ือหาของแบบสอบถาม เน้ือหาข้ึนอยกู่ บั วตั ถุประสงคแ์ ละสมมติฐานในการวจิ ยั ดงั ที่ ฉตั ร ช่าชอง (2525) อา้ งโดยกองแผนงาน กรมส่งเสริมการเกษตร (2539) ไดแ้ นะนาในส่วนเน้ือหา ของแบบสอบถามมกั จะเก่ียวขอ้ งกบั เร่ือง

2.1 ความรู้ (Knowledge) 2.2 ขอ้ เทจ็ จริง (Fact) 2.3 ความเช่ือ (Belief) 2.4 ความคิดเห็น (Opinion) 2.5 ทศั นคติ (Attitude) 2.6 ความรู้สึก (Feeling) 2.7 ความต้งั ใจที่จะปฏิบตั ิ (Intention) 2.8 การปฏิบตั ิ (Practice) ดงั น้นั นกั วจิ ยั จะตอ้ งต้งั คาถามท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั เน้ือหาท่ีจะวจิ ยั โดยทวั่ ไปเน้ือหาสาระของ คาถามมีหลายลกั ษณะ ทีส่ าคญั ไดแ้ ก่ ขอ้ มลู ทว่ั ไป ขอ้ มลู เจาะจงของผตู้ อบแบบสอบถาม ขอ้ คาถามที่ ผวู้ จิ ยั ต้งั ข้ึนมาเพื่อตอบวตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั ดงั ที่กล่าวมา ในขอ้ 2.1-2.8 การต้งั คาถามบางคร้ังตอ้ ง คานึงถึงขอ้ หา้ ม หรือขอ้ มูลท่ีผตู้ อบไมย่ นิ ดีจะตอบ ในส่วนเน้ือหาของคาถามจะมีท้งั ลกั ษณะปลายปิ ด (Close-end Question) หรือแบบกาหนดใหต้ อบ หรือแบบตาราง หรือท้งั สองแบบก็ได้ และคาถาม ปลายเปิ ด (Open-end Question) โดยทว่ั ไปควรเป็นคาถามปลายปิ ดมากกวา่ เนื่องจากจะช่วยใหผ้ ตู้ อบมี ความสะดวกในการกรอกคาตอบ ส่วนคาถามปลายเปิ ดควรจะมีประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ เทา่ น้นั 3. ส่วนทา้ ยของแบบสอบถาม ในแบบสอบถามทา้ ยเล่มหรือหนา้ สุดทา้ ยมกั จะต้งั คาถาม แบบเปิ ดในเร่ืองกวา้ งๆ ท่ีผตู้ อบสามารถตอบไดโ้ ดยอิสระ ทา้ ยท่ีสุดแลว้ จะตอ้ งเขียนคาขอบคุณ ผตู้ อบ แบบสอบถามท่ีใหค้ วามร่วมมือในการตอบแบบสอบถามไวด้ ว้ ย ความยาวของแบบสอบถาม ควรจะใชเ้ วลาในการตอบไมเ่ กิน 30 นาที แบบสอบถามท่ีดี ควรใชเ้ วลาในการตอบ 10-15 นาที เพราะถา้ แบบสอบถามยาวเกินไปจะทาใหผ้ ตู้ อบไม่ใหค้ วามร่วมมือ เนื่องจากไม่มีเวลาวา่ งพอ ดงั น้นั ผวู้ ิจยั ตอ้ งต้งั คาถามที่เป็นประเด็นสาคญั หรือขาดไม่ไดใ้ หม้ ีลกั ษณะ กระชบั รัดกุม เขา้ ใจง่าย ไม่ตอ้ งตีความมาก มีเน้ือหาครอบคลุมเพียงวตั ถุประสงคห์ รือตอบสมมติฐาน ในการวจิ ยั เทา่ น้นั นอกจากน้นั ในการจดั ทาแบบสอบถามแตล่ ะคร้ัง ก่อนท่ีจะนาไปสอบถามตอ้ งมีการ ปรับปรุงแกไ้ ขดว้ ยการสอบถามผเู้ ช่ียวชาญ หรือบุคคลภายนอก เพื่อกาจดั อคติออกไป แลว้ ทาการ ทดสอบแบบสอบถาม โดยทดลองสอบถามกบั กลุ่มท่ีไมใ่ ช่เป้ าหมายประมาณ 20 ราย หลงั จากน้นั ทา การหาความความเท่ียงตรง (Validity) และความน่าเช่ือถือ (Reliability) ดว้ ยวธิ ีการทางสถิติท่ีผวู้ จิ ยั จะตอ้ งศึกษาเพ่มิ เติมใหเ้ ขา้ ใจ เช่น สาเริง จนั ทรสุวรรณ และสุวรรณ บวั ทวน (2537) ไดแ้ นะนาวธิ ีหา ดชั นีความเท่ียงของแบบทดสอบในกรณีใชเ้ ครื่องมือรวบรวมขอ้ มลู จากกลุ่มตวั อยา่ ง ตามวธิ ี Cronbach เป็ นตน้

5.3.3 ข้อดแี ละข้อเสียของการเกบ็ ข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ข้อดี 1. ประหยดั เวลา คน และงบประมาณ 2. ผตู้ อบมีอิสระในการตอบ ข้อเสีย 1. ความน่าเช่ือถือของขอ้ มลู ข้ึนอยกู่ บั ความตรงไปตรงมาของผตู้ อบ 2. มกั จะไดร้ ับแบบสอบถามกลบั คืนไม่ครบถว้ น 5.4 การสัมภาษณ์ (Interview) การสัมภาษณ์ คือการส่ือสารแบบมีจุดมุ่งหมาย ของบุคคลสองฝ่ าย ดว้ ยการสนทนา ใชค้ าพดู ตวั หนงั สือ หรือทา่ ทางต่างๆ ผทู้ ่ีสนทนาท้งั สองฝ่ ายต่างให้และรับขา่ วสาร หรือขอ้ มูลจากการสนทนา 5.4.1 แบบของการสัมภาษณ์ สุมล สิทธิสมบรู ณ์ (2532) ไดจ้ าแนกแบบของการสัมภาษณ์ ไว้ 2 แบบ คือ 1. การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structure Interview) เป็นการสัมภาษณ์โดยใชแ้ บบ สัมภาษณ์ท่ีกาหนดไวแ้ ลว้ ผถู้ ูกสัมภาษณ์ทุกคนจะไดร้ ับการสัมภาษณ์ดว้ ยขอ้ มูลเดียวกนั 2. การสมั ภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Non-structure Interview) เป็นการสัมภาษณ์โดยไมใ่ ช้ แบบสมั ภาษณ์ โดยเปิ ดโอกาสใหผ้ สู้ มั ภาษณ์ และผถู้ ูกสมั ภาษณ์มีอิสระในการถาม-ตอบ ไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ และคาถามสามารถยดื หยนุ่ ไดต้ ามความเหมาะสม 5.4.2 เทคนิคในการสัมภาษณ์ 1. สร้างบรรยากาศในการสมั ภาษณ์ใหก้ ารสัมภาษณ์เป็นไปอยา่ งราบรื่น เช่นการสร้าง ความคุน้ เคย ดว้ ยการไหว้ แนะนาตวั ทกั ทาย หยอกลอ้ สนทนาในเร่ืองทวั่ ไปก่อน สอบถาม สารทุกขส์ ุกดิบดว้ ยความจริงใจ แตง่ กายใหก้ ลมกลืนกบั สภาพทอ้ งท่ีใหม้ ากท่ีสุด เป็นตน้ 2. ตอนเริ่มตน้ สมั ภาษณ์ ใหช้ ้ีแจงวตั ถุประสงคข์ องการสัมภาษณ์ หน่วยงานท่ีรับผดิ ชอบ ขอ้ มูลท่ีไดไ้ ปจากจากการสัมภาษณ์มีความสาคญั อยา่ งไร และพยายามช้ีแจงใหผ้ ถู้ ูกสัมภาษณ์ เขา้ ใจให้ ไดว้ า่ มีคนสนใจในสิ่งที่เขาคิดและตอบ และอยา่ พยายามรวบรัดท่ีจะสมั ภาษณ์ในทนั ที ถา้ พบวา่ ไม่ พร้อมที่จะใหส้ ัมภาษณ์ก็ให้นดั ในโอกาสถดั ไป 3. ในขณะสมั ภาษณ์ การต้งั คาถามควรถามตามลาดบั คาถามที่กาหนดเพือ่ การสัมภาษณ์ อยา่ ถามนา ถา้ ผใู้ หส้ ัมภาษณ์ไมเ่ ขา้ ใจคาถามใหถ้ ามซ้า ถา้ ยงั ไม่เขา้ ใจใหเ้ รียบเรียงคาถามใหม่ หรือ ยกตวั อยา่ งประกอบ ควรใหผ้ ตู้ อบเป็นผใู้ หส้ มั ภาษณ์เพียงผเู้ ดียว ถา้ มีบุคคลอื่นอยดู่ ว้ ยจะมีอิทธิพลตอ่ คาตอบได้ และไมค่ วรใชเ้ วลาสมั ภาษณ์แต่ละคนมากกวา่ 30 นาที เพราะจะทาใหเ้ บื่อหน่ายได้ 4. หลงั การสมั ภาษณ์ ใหก้ ล่าวคาขอบคุณ และช้ีใหเ้ ห็นความสาคญั ของขอ้ มลู ที่ไดจ้ าการ สัมภาษณ์อีกคร้ัง พร้อมกบั ใหท้ ี่อยู่ หรือเบอร์โทรศพั ทต์ ิดต่อไวถ้ า้ ผใู้ หส้ ัมภาษณ์ตอ้ งการจะใหข้ อ้ มูล เพิม่ เติม

5.4.3 ข้อดขี ้อเสียของการสัมภาษณ์ ขอ้ ดี 1. การสมั ภาษณ์เหมาะสาหรับประชากรเป้ าหมายท่ีมีขอ้ จากดั ในการอ่าน และเขียน 2. สามารถซกั ถามซ้า หรือขยายความไดใ้ นกรณีท่ีไมเ่ ขา้ ใจคาถาม 3. มนั่ ใจไดว้ า่ ขอ้ มลู ท่ีไดร้ ับมาจากบุคคลเป้ าหมายจริงๆ 4. ลดความเสี่ยงท่ีจะไดร้ ับแบบสอบถามคืนมานอ้ ย 5. ไดค้ วามสมั พนั ธ์ส่วนตวั ข้อเสีย 1. สิ้นเปลืองเวลา คน และงบประมาณ 2. ตอ้ งอบรมทีมงานท่ีจะออกไปสัมภาษณ์ 3. ผใู้ หส้ มั ภาษณ์อาจจะเกิดความกลวั หรืออายในการใหค้ าตอบ 5.5 วธิ ีการทดลอง (Experiment) นกั วจิ ยั ทางสังคมศาสตร์ไดน้ า การทดลอง(Experiment) มาใชใ้ นงานวจิ ยั มากข้ึน เพ่ือจะได้ ยกระดบั ความน่าเช่ือถือของผลการวจิ ยั หรือความรู้ที่ไดจ้ ากการวจิ ยั ดว้ ยการพยามควบคุมตวั แปรที่ เกี่ยวขอ้ งกบั งานวจิ ยั ใหไ้ ดม้ ากท่ีสุดเทา่ ที่จะทาได้ การทดลองทางสังคมศาสตร์ทาไดท้ ้งั ในระดบั หอ้ งปฏิบตั ิการ (Laboratory Experiment) โดยที่นกั วิจยั เป็ นผจู้ ดั สภาพข้ึนเพ่ือการทดลองโดยเฉพาะ และ การทดลองในภาคสนาม (Field Experiment) ซ่ึงเป็นการทดลองตามสภาพความเป็นจริงทางธรรมชาติ โดยสมศกั ด์ิ ศรีสนั ติสุข (2538) ไดแ้ บง่ แบบการทดลองทางสังคมศาสตร์ได้ 5 แบบ คือ 1. แบบคลาสสิก (Classic Design) วธิ ีการคือ มีกลุ่มทดลองเพอื่ ใชท้ ดลองกบั ส่ิงทดลอง กบั กลุ่ม ควบคุม โดยผวู้ ิจยั จะเลือกกลุ่มทดลองกบั กลุ่มควบคุมโดยการจบั คู่ เพื่อใหล้ กั ษณะของกลุ่มเหมือนกนั ทาการเก็บขอ้ มูลก่อนการทดลองท้งั สองกลุ่ม (Pretest) แลว้ ใส่สิ่งทดลองลงไปในกลุ่มทดลอง ส่วนกลุ่ม ควบคุมใหค้ งเดิม จากน้นั ทาการวดั หลงั การทดลองท้งั สองกลุ่ม (Posttest) นามาเปรียบเทียบผล การ เปล่ียนแปลงท่ีไดจ้ ึงเป็นผลมาจากสิ่งทดลองที่ใส่เขา้ ไปนน่ั เอง บางคร้ังจึงเรียกการทดลองแบบน้ีวา่ Before-after experiment with one control group 2. แบบกลุ่มควบคุม 2 กลุ่มของโซโลมอน (Solomon’s two-control group Design) เป็นการ แกไ้ ขแบบคลาสสิก โดยมีกลุ่มควบคุม 2 กลุ่ม หรือ Before-after experiment with two control group ซ่ึง จะทาใหม้ นั่ ใจในผลการทดลองมากข้ึน 3. การทดลองก่อนหลงั โดยไม่มีการควบคุม (Before-after experiment with no control group) การทดลองบางอยา่ งไมจ่ าเป็ นตอ้ งมีกลุ่มควบคุม สามารถใส่ส่ิงทดลองลงไปในกลุ่มทดลอง แลว้ ทาการ เปรียบเทียบผลก่อน (Pretest) และหลงั การทดลอง (Pretest) นาไปสรุปผลไดเ้ ช่นกนั

4. การทดลองทีหลงั โดยมีกลุ่มควบคุมหน่ึงกลุ่ม (After-only experiment with one control group) เป็นวธิ ีการท่ีนกั วจิ ยั ไม่จาเป็นตอ้ งทดสอบก่อนการทดลอง สามารถใส่สิ่งทดลองลงไปในกลุ่ม ทดลอง และใหม้ ีกลุ่มควบคุมหน่ึงกลุ่ม หลงั การทดลองนาผลท่ีไดเ้ ปรียบเทียบและสรุปผลการทดลอง ตอ่ ไป 5. กลุ่มทดลองแบบสุ่มตวั อยา่ ง (Randomized-group Design) วธิ ีการน้ีถา้ เปรียบเทียบกบั วธิ ีการ ทดลองทางวทิ ยาศาสตร์กค็ ือการใหม้ ีซ้า (Replication) ในการทดลอง วธิ ีการแบบน้ีเป็นการสุ่มตวั อยา่ ง นามาใหเ้ ป็นกลุ่มทดลองมากกวา่ หน่ึงกลุ่มตามท่ีตอ้ ง เช่น สองกลุ่ม สามกลุ่ม สี่กลุ่ม อาจจะมีกลุ่ม ควบคุมดว้ ยก็ได้ แลว้ ใส่สิ่งทดลองลงไปในแต่ละกลุ่มทดลอง หลงั การทดลองนาผลท่ีไดเ้ ปรียบเทียบ ระหวา่ งกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม นาไปสรุปผลการทดลองนนั่ เอง ตวั อยา่ งเช่น เราตอ้ งการทดลองตามโครงการเกษตรดีและเหมาะสม (GAP) ดา้ นหมอ่ นไหมใน ระดบั ครัวเรือนเกษตรกร เราอาจจะใชว้ ธิ ีการทดลองแบบสุ่มตวั อยา่ ง โดยใหต้ วั อยา่ งแตล่ ะจุดมี 4 ตวั อยา่ ง ตวั อยา่ งละ 10 คน กระจายจุดไปตามภาคตา่ งๆ เช่น ตะวนั ออกเฉียงเหนือตอนบน 1-2 จงั หวดั ตอนล่าง 1-2 จงั หวดั ภาคกลาง 1จงั หวดั ภาคตะวนั ออก 1 จงั หวดั ภาคตะวนั ตก 1 จงั หวดั ภาคใต้ 1-2 จงั หวดั ท้งั น้ีมีวตั ถุประสงคท์ ่ีจะป้ องกนั ความแปรปรวนของขอ้ มูลท่ีมีสาเหตุมาจากสภาพแวดลอ้ มที่ แตกต่างกนั เป็นตน้ 6.2 การวเิ คราะห์ข้อมูล หลงั จากที่นกั วจิ ยั ไดร้ วบรวมขอ้ มลู มาแลว้ ไมว่ า่ จะเป็นขอ้ มูลเชิงปริมาณ หรือเชิงคุณภาพกต็ าม นกั วจิ ยั จะตอ้ งนาขอ้ มูลเหล่าน้นั มาทาการวเิ คราะห์ขอ้ มลู การวเิ คราะห์ขอ้ มูลมีข้นั ตอนท่ีทราบกนั โดยทวั่ ไปดงั น้ี 1. การตรวจความถูกต้องข้อมูล (Edit) โดยทวั่ ไปจะทาการตรวจความถูตอ้ งของขอ้ มูลประมาณ 2 คร้ังคือระหวา่ งการเกบ็ ขอ้ มลู โดยผสู้ ัมภาษณ์ในกรณีที่มีการสมั ภาษณ์ และหลงั จากเก็บขอ้ มลู เสร็จ เรียบร้อย โดยนกั วจิ ยั หรือผตู้ รวจที่แตง่ ต้งั ไว้ ท้งั น้ีเพื่อควบคุมใหข้ อ้ มูลมีความถูกตอ้ งเมื่อนาขอ้ มลู เหล่าน้นั ไปทาการวิเคราะห์ เช่น มีคาถามวา่ เกิดท่ีไหน คาตอบท่ีผวู้ ิจยั ตอ้ งการคือ หม่บู า้ น ตาบล อาเภอ จงั หวดั แตไ่ ดค้ าตอบวา่ เกิดที่โรงพยาบาล หรือในบางกรณีตอ้ งการคาตอบที่ชดั เจน กลบั พบวา่ คาตอบ ไมช่ ดั เจน เช่นถามวา่ มีอาชีพอะไร คาตอบคือรับราชการ แต่ผวู้ จิ ยั ตอ้ งการขอ้ มูลวา่ รับราชการน้นั ทา อะไร เช่น ครู หมอ พยาบาล ทหาร ตารวจ เป็นตน้ 2. แยกประเภทข้อมูล (categorization) หมายถึงการนาขอ้ มูลมาจาแนกแยกแยะ และจดั หมวดหมู่ ขอ้ มลู ใหม้ ีความสะดวกในการนาเขา้ ตารางหาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งกนั การแยกขอ้ มลู จะตอ้ งเป็นไป ตามปัญหา วตั ถุประสงค์ และตวั แปรต่างๆ ของการวจิ ยั 3. ลงรหัสข้อมูล (Coding) เป็นการใหส้ ัญลกั ษณ์ขอ้ มลู การลงรหสั อาจทาได้ 2 แบบ คือแบบแรก เป็นการลงรหสั ในแบบสอบถามแลว้ ลอกลงในแบบฟอร์มลงรหสั (Coding Sheet) ซ่ึงจะทาใหม้ ีความ

ถูกตอ้ งแมน่ ยาสูง และตรวจสอบความผดิ พลาดง่าย แต่อาจจะใชเ้ วลามากกวา่ แบบท่ีสองคือการลงรหสั ลงในแบบลงรหสั โดยตรง การลงรหสั แต่ละคร้ังไมว่ า่ จะเป็นแบบใดตอ้ งมีการตรวจสอบการลงรหสั วา่ ถูกตอ้ งหรือไม่ เพื่อใหเ้ กิดความมน่ั ใจในการนาขอ้ มูลไปวเิ คราะห์ อยา่ งไรก็ตามในปัจจุบนั มีโปรแกรมสาเร็จรูปที่เรียกวา่ Statistical Package for Social Science (SPSS) ที่ผวู้ จิ ยั อาจจะนาขอ้ มลู ไปป้ อนลงใน Data Sheet or Data set or Data Editor ท่ีโปรแกรมได้ กาหนดไวโ้ ดยตรงเลยกไ็ ด้ แต่ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งกาหนด ตวั แปร และรหสั ขอ้ มลู ในแบบสอบถามใหถ้ ูกตอ้ ง ก่อน วา่ ตวั แปรใดมีขอ้ มูลอยคู่ อลมั น์ท่ีเทา่ ใด ซ่ึงนกั วจิ ยั จะตอ้ งทาการศึกษาวธิ ีใชโ้ ปรแกรมดงั กล่าวให้ เขา้ ใจก่อนจึงจะสามารถทาได้ 4. การวเิ คราะห์ข้อมูลในเชิงสถติ ิ (Statistical Analysis of Data) โดย สุมล สิทธิสมบรู ณ์ (2532) ได้ แบง่ สถิติท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูลเชิงปริมาณไว้ 2 ประเภท คือ 4.1 สถติ ภิ าคบรรยาย (Descriptive Statistics) หรือบางตาราเรียกวา่ สถิติพรรณนา เป็นสถิติที่ ใชอ้ ธิบายคุณลกั ษณะ หรือรายละเอียดของขอ้ มลู น้นั ๆ เช่นลกั ษณะทางสงั คม สถิติที่ใชไ้ ดแ้ ก่ ก. ร้อยละ (Percentage) ข. การวดั แนวโนม้ เขา้ สู่ส่วนกลาง (Measures of Central) เช่น มชั ฌิมเลขคณิต (Arithmetic Mean) มธั ยฐาน (Median) ฐานนิยม (Mode) มชั ฌิมเรขาคณิต (Geometric Mean) มชั ฌิมฮาร์ โมนิค (Harmonic Mean) ค. การวดั การกระจาย (Measure of Variability) เช่น พิสยั (Range) ส่วนเบ่ียงเบนควอ ไทล์ (Quartile Deviation) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ความแปรปรวน (Variance) ง. การเปรียบเทียบขอ้ มลู เม่ือมีขอ้ มลู มากกวา่ 1 ชุด โดยการแปลงคะแนนดิบเป็นคะแนน มาตรฐาน (Standard Score) และแปลงความถ่ีสะสมเป็นเปอร์เซ็นตไ์ ทล์ (Percentile) จ. การหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตวั แปร เช่น สหสมั พนั ธ์จากผลคูณของคะแนน (Pearson product-moment correlation) และสหสมั พนั ธ์อนั ดบั (Pearson rank correlation) 4.2 สถิตภิ าคสรุปอ้างองิ (Inferential Statistics) หรือบางตาราเรียกวา่ สถิติอนุมาน เป็ นคา่ สถิติ ท่ีคานวณไดจ้ ากกลุ่มตวั อยา่ ง แลว้ อา้ งอิงไปยงั คา่ ของประชากรได้ โดยอาศยั เทคนิคการสรุปอา้ งอิงทาง สถิติศาสตร์ ภายใตค้ วามน่าจะเป็น การอา้ งอิงแยกไดเ้ ป็ น 2 ประเภท คือ ก. การประมาณคา่ พารามิเตอร์ (Parameter Estimates) ข. การทดสอบสมมติฐานทางสถิติ (Hypothesis Testing) การวเิ คราะห์ขอ้ มูลทางสถิติท่ีกล่าวมา จึงมีความจาเป็นเป็นอยา่ งยงิ่ ที่นกั วจิ ยั แต่ละทา่ นจะตอ้ ง ทาการศึกษาคน้ ควา้ ในรายละเอียดและทาความเขา้ ใจใหช้ ดั เจนเพ่ือจะไดท้ าการ พรรณนา หรืออนุมาน ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง แม่นยา

5. การแปลผลข้อมูล การแปลผลถือไดว้ า่ เป็ นข้นั ตอนท่ีสาคญั มาก นกั วิจยั จะตอ้ งอ่านคา่ หรือขอ้ มลู ตา่ งๆ ใหถ้ ูกตอ้ ง เนื่องจากเป็นการกล่าวถึงขอ้ ความจริงท่ีคน้ พบ ส่ิงท่ีนกั วจิ ยั ควรจะทราบในการแปลผลขอ้ มูลน้นั สุมล สิทธิสมบรู ณ์ (2532) ไดแ้ นะนาไวด้ งั น้ี 5.1 หลกั ในการแปลผล ก. ทาการแปลผลในขอบเขตของขอ้ มลู วตั ถุประสงค์ และประชากรที่ใชใ้ นการวจิ ยั ข. แปลผลขอ้ มลู ใหส้ อดคลอ้ ง และสัมพนั ธ์กนั กบั ขอ้ จากดั ของขอ้ มลู (เชิงคุณภาพ) และ คา่ สถิติ (เชิงปริมาณ) ค. จะตอ้ งไม่มีอคติ หรือใชค้ วามรู้สึกส่วนตวั ในการแปลผลขอ้ มลู ง. การใชค้ า่ เฉล่ียในการแปลผล ผวู้ จิ ยั ตอ้ งเขา้ ใจเบ้ืองตน้ วา่ ค่าเฉลี่ยเป็นเพยี งแนวโนม้ แบบหน่ึง ไม่ใช่ตวั แทนที่แทจ้ ริงของประชากรเสมอไป การใชจ้ ะตอ้ งระมดั ระวงั ยง่ิ ถา้ คา่ กระจายของ ขอ้ มลู มีมาก หรือคา่ เบี่ยงเบนมาตรฐานสูง การแปลความขอ้ มูลอาจผิดพลาดไดง้ ่าย จ. ในการแปลความขอ้ มูลใหพ้ ยายามใชภ้ าษาท่ีง่าย แจม่ ชดั และรัดกุม 5.2 หลกั ในการสรุปผลข้อมูล ก. ทาการสรุปผลตามขอ้ มูลที่ไดจ้ าการแปลผลเท่าน้นั ข. การสรุปตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ขอ้ เทจ็ จริง และหลกั การต่างๆ ของธรรมชาติ ค. ทาการสรุปภายในขอบเขตของปัญหา และความรู้ท่ีไดร้ ับจริงๆ ไม่กล่าวอา้ งถึงเหตุ อ่ืนๆ ที่ไมใ่ ช่ผลการวจิ ยั ง. การสรุปผลควรช้ีแนะในแง่การนาผลการวจิ ยั ไปใชเ้ ป็ นสาคญั จากเน้ือหาที่กล่าวมาท้งั หมดน้นั นกั วชิ าการเกษตรของกรมหมอ่ นไหม สามารถที่จะนาไปใช้ หรือประยกุ ตใ์ ชใ้ นการเขียนโครงการศึกษาวจิ ยั ทางสังคมศาสตร์ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ และมีความ น่าเช่ือถือมากยง่ิ ข้ึน และเม่ือไดล้ งมือทาการวจิ ยั แลว้ ถา้ ผลการวจิ ยั ท่ีได้ สรุปขอ้ เท็จจริงของ ปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนอยา่ งถูกตอ้ ง การแกป้ ัญหา หรือการพฒั นางานหม่อนไหมยอ่ มเกิดประสิทธิภาพ สูง และเป็นประโยชนท์ ี่แทจ้ ริงกบั ประชากรเป้ าหมายอยา่ งแน่นอน

เอกสารอ้างองิ กองแผนงาน. 2539. หลกั และวธิ ีวจิ ัยทางส่งเสริมการเกษตร. พิมพค์ ร้ังท่ี4. กรุงเทพฯ : โรงพิมพฝ์ ่ าย เอกสารคาแนะนา กองเกษตรสมั พนั ธ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กองแผนงาน. 2546. สรุปผลการประเมินโครงการส่งเสริมการเกษตร ปี 2546. กรมส่งเสริมการเกษตร. กรุงเทพฯ (อดั สาเนาเยบ็ เล่ม) กาญจนา มณีแสง. 2520. หลกั การวจิ ัยเบอื้ งต้นทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคม. กรุงเทพ : โอเดียนสโตร์ จุมพล สวสั ดิยากร. 2520. หลกั และวธิ ีวจิ ัยทางสังคมศาสตร์. พระนคร : โรงพิมพส์ ุวรรณภมู ิ ฉตั ร ช่าชอง. 2525. ข้อมูลและวธิ ีการเกบ็ ข้อมูล. เอกสารประกอบการฝึกอบรมหลกั สูตรการวจิ ยั ทาง สงั คมศาสตร์รุ่นท่ี 1. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. กรุงเทพ (อดั สาเนาเยบ็ เล่ม) ชาญยทุ ธ มณีพงศ.์ 2533. สภาพการเลยี้ งไหมของเกษตรกรในจังหวดั ขอนแก่น. วทิ ยานิพนธ์ปริญญา วทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑิต. สาขาส่งเสริมการเกษตร. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ปาริชาติ มหิทธานุภาพ. 2540. การศึกษาความจาเป็ นในการฝึ กอบรมวชิ าการของผู้เลยี้ งไหมพนั ธ์ุไทย ลูกผสมในจังหวดั ขอนแก่น. วทิ ยานิพนธ์ปริญญาวทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑิต. สาขาส่งเสริม การเกษตร. มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ธเนศ ต่วนชะเอม. 2522. เทคนิคและวธิ ีวจิ ัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพฯ (โรเนียวเยบ็ เล่ม) ส่งรักษ์ เตง็ รัตนประเสริฐ. ม.ป.ป. พนั ธ์ุหม่อนไหมภาครัฐเอกชนไปคนละทางจริงหรือ. สานกั งาน หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือตอนล่าง (นครราชสีมา). นครราชสีมา (อดั สาเนาเยบ็ เล่ม) สมบตั ิ กองภา. 2547. ความต้องการได้รับการส่งเสริมการปลูกหม่อนเลยี้ งไหมของเกษตรกรผู้เลยี้ ง ไหมพนั ธ์ุไทยลูกผสมในพนื้ ทร่ี ับผดิ ชอบศูนย์ส่งเสริมและพฒั นาอาชีพการเกษตรจังหวดั ขอนแก่น (หม่อนไหม). ทะเบียนวจิ ยั เลขท่ี 47-004012-02-276. สานกั ส่งเสริมและพฒั นาการ เกษตรเขตที่ 4 จงั หวดั ขอนแก่น. ขอนแก่น (อดั สาเนาเยบ็ เล่ม) สมบตั ิ กองภา. 2551. ปัจจัยทม่ี ผี ลต่อการยอมรับเทคโนโลยกี ารปลูกหม่อนเลยี้ งไหมของเกษตรกรผู้เลยี้ ง ไหมในกลุ่มจังหวดั ร้อยแก่นสาร. ศนู ยห์ ม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ ขอนแก่น. ขอนแก่น (อดั สาเนาเยบ็ เล่ม) สมศกั ด์ิ ศรีสันติสุข. 2538. ระเบยี บวธิ ีการวจิ ัยทางสังคมศาสตร์ หลกั การหาความรู้ วัด ดาเนินงานวจิ ัย วเิ คราะห์ข้อมูล และเขยี นรายงาน. พิมพค์ ร้ังท่ี2. ขอนแก่น : หา้ งหุน้ ส่วนจากดั ขอนแก่นการ พมิ พ์ สมหญิง ชูประยรู . 2549. ระบบส่งเสริมการผลติ และการตลาดสินค้าไหมไทย. สถาบนั หมอ่ นไหม แห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย

สถาบนั วจิ ยั หม่อนไหม. 2546. 30 ปี วชิ าการหม่อนไหม. กรมวชิ าการเกษตร. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พช์ ุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย สถาบนั วจิ ยั หมอ่ นไหม. 2547. 100 ปี หม่อนไหมสายไยแผ่นดนิ . กรมวชิ าการเกษตร. กรุงเทพฯ : โรง พมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย สุมล สิทธิสมบรู ณ์. 2533. วธิ ีวจิ ัยเบอื้ งต้น. พมิ พค์ ร้ังท่ี2. กรุงเทพฯ : แผนกพสั ดุ สานกั งานการเงินและ ทรัพยส์ ิน มหาวทิ ยาลยั ธุรกิจบณั ฑิตย์ สานกั งานเศรษฐกิจการเกษตร. 2546. แผนแม่บทหม่อนไหม. เอกสารประกอบการประชุมเชิง ปฏิบตั ิการ. 30 ตุลาคม 2546. ณ หอ้ งประชุม 801. กรุงเทพฯ (อดั สาเนาเยบ็ เล่ม) สาเริง จนั ทรสุวรรณ และสุวรรณ บวั ทวน. 2538. สถติ สิ าหรับการวจิ ัยทางสังคมศาสตร์. ภาควชิ า สงั คมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา. คณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์. มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น (อดั สาเนาเยบ็ เล่ม) อารง สุทธศาสน์. 2527. ปฏิบตั ิการวจิ ัยทางสังคมศาสตร์. กรุงเทพฯ : เจา้ พระยาการพมิ พ์ อานวยวทิ ย์ ชูวงษ.์ 2525. ระเบียบวธิ ีการวจิ ัยทางสังคมศาสตร์. กรุงเทพฯ : แพร่วทิ ยา Donald R Cooper. 1988. Business Research Method. School of Public Administration, Florida Atlantic University L.L. Loflan. 1971. Analyzing Social Setting : A Guide to Qualitative Observation and Analysis. Belmont, ca : Wadsworth Publishing Co., Inc Seltiz, Claire and Other. 1959. Research Methods in Social Relations. New York : Holt, Rinchart and Winston

ภาคผนวก ก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook