รกั ษาใจยามป่วยไข้ ๙๑ เพราะฉะนนั ้ หลกั การสาคญั ก็คือ ให้ส่วนท่ีดีนามาซงึ่ สว่ น ที่ดีย่ิงๆ ขึน้ ไป คือความรักท่ีมีต่อคุณพ่อท่ีเจ็บไข้ได้ป่ วยนัน้ เป็ น สว่ นที่ดีอยแู่ ล้ว จงึ ควรให้เกิดความเบกิ บานผอ่ งใสของจิตใจ แล้วก็ เอาจิตใจที่ดีงามนี ้มาคิดไตร่ตรอง พิจารณาในการท่ีจะคิดแก้ไข สถานการณ์ ในการท่ีจะจัดการดูแลเอาใจใส่ ดาเนินการรักษา ตา่ งๆ ตลอดจนทาสภาพจติ ใจของตนให้เป็นจติ ใจท่ีจะชว่ ยเสริมให้ จิตของทา่ นผ้ปู ่ วยได้มีความสบายใจ สมมติวา่ ทา่ นผ้ปู ่ วยได้ทราบถึงลกู หลานที่กาลงั ห้อมล้อม เอาใจใส่คอยห่วงใยท่านอยู่ ท่านก็จะรู้สกึ ว่าลกู หลานรักทา่ น ใน เวลาเดียวกันถ้าลูกหลานทงั ้ หมดนนั ้ มีจิตใจที่สบาย ท่านก็จะไม่ ต้องหว่ งกงั วล ก็จะเป็นเคร่ืองชว่ ยให้จิตใจของทา่ นสบายด้วย เมื่อ ทา่ นมีจิตใจทสี่ บาย มีกาลงั ใจทเ่ี ข้มแข็ง ก็จะเป็ นเครื่องชว่ ยในการ รักษาร่างกายของทา่ นอกี ด้วย โดยเฉพาะในตอนนี ้ นอกจากจะพยายามทาใจ หรือคิด พิจารณาไตร่ตรองให้จติ ใจเข้มแข็งแล้ว ก็ยงั ได้อาศยั อานภุ าพของ บญุ กศุ ลและพระรัตนตรัยชว่ ยเหลอื อกี ด้วย กลา่ วคือ ในขณะนี ้เรา ไม่ใชอ่ ยู่เฉพาะตวั ลาพังจิตใจผ้เู ดียวเทา่ นนั ้ แตย่ ังมีอานุภาพของ บญุ กุศลชว่ ยหล่อเลีย้ งด้วย อาจารย์และคณุ พี่ และญาติทกุ คนมี ความหว่ งใยรักในคณุ พอ่ และกไ็ ด้ทาบญุ แทนคณุ พ่อแล้ว จึงขอให้ อานิสงส์อานุภาพของบุญกุศลที่ได้ทานี ้ จงเป็ นเครื่องช่วยเสริม กาลงั ใจของทา่ นด้วย โดยเฉพาะขอให้ทกุ ทา่ นตงั ้ ใจ รวมจิตไปที่ตวั คณุ พอ่ ขอให้อานภุ าพแห่งบุญนี ้เป็ นเคร่ืองบารุงหล่อเลีย้ งรักษา ตวั ทา่ น
๙๒ คติธรรมแห่งชีวติ เมื่อมีการทาบุญ ก็จะมีการที่ได้บูชาเคารพพระรัตนตรัย พระรัตนตรัยนนั ้ เป็นส่ิงยึดเหนี่ยวทลี่ ึกซงึ ้ ที่สดุ ในทางจิตใจ เมื่อเรา เข้าถงึ พระรัตนตรัยแล้ว จติ ใจก็จะมีความเข้มแข็ง มีกาลงั มีความ สงบ มีความร่มเยน็ เกิดขนึ ้ ก็ขอให้ความร่มเย็นนี ้เป็ นบรรยากาศท่ี แวดล้อมหม่ญู าติทงั ้ หมดพร้ อมทัง้ คุณพ่อ ช่วยประคับประคอง หล่อเลีย้ งให้ทา่ นฟื น้ ขึน้ มา โดยมีความเข้มแข็งทงั ้ ในทางกายและ ทางจิตใจ ในโอกาสนี ้อาตมาขออนโุ มทนาอาจารย์ พร้ อมทงั ้ คุณพี่ และญาติทัง้ ปวง ที่ได้ทาบุญถวายสังฆทานแด่พระสงฆ์ ซ่ึงเป็ น เครื่องท่ีจะทาให้เกิดความดีงามแห่งจิตใจ หล่อเลีย้ งจิตใจให้เกิด ความสดช่ืนผอ่ งใส มีความสขุ มีความปลอดโปร่งเบิกบาน และมี ความสงบ ก็ขอให้จิตใจท่ีเบิกบาน มีความเย็น มีความสงบนี ้ นามาซ่ึงผลอันเป็ นสิริมงคล คือความสุข และความฟื ้นฟู พรั่ง พร้อมด้วยสขุ ภาพทงั ้ กายและใจตอ่ ไป ตอ่ แตน่ ไี ้ ป ขอเชิญรับพรและขอให้เอาใจชว่ ยคณุ พ่อขอให้ ท่านได้อนุโมทนารับทราบ และขอให้ทุกท่านได้ช่วยกันสร้ าง บรรยากาศแหง่ ความสงบ ความแชม่ ชน่ื เบิกบานผอ่ งใสยิ่งๆ ขนึ ้ ไป
ดลุ ยภาพ: สาระแห่งสุขภาพและความสมบูรณ์
ดลุ ยภาพ: สาระแห่งสขุ ภาพและความสมบูรณ์ ขอเจริญพร วนั นีเ้ ป็ นวันสิริมงคลวนั หน่ึง เป็ นสิริมงคลที่เกิดจากกุศล คือการทาความดีงาม ทงั ้ นีเ้พราะว่าทางโรงพยาบาลบ้านสวน ทงั ้ ผู้บริ หารและบุคลากร มีคุณหมอลดาวัลย์ สุวรรณกิตติ เป็ น ประธาน ได้จดั งานทาบญุ เลยี ้ งพระ พร้อมทงั ้ มีการสงั สรรค์เน่ืองใน โอกาสส่งปี เก่าต้อนรับปี ใหม่ นอกจากนนั ้ ทางฝ่ ายท่านท่ีรับการ รักษาเรียกง่ายๆ วา่ ฝ่ ายคนไข้ ก็ได้กรุณามีนา้ ใจให้เกียรติมาร่วม ในงานสงั สรรค์ครัง้ นดี ้ ้วย การทไ่ี ด้แสดงออกซงึ่ นา้ ใจร่วมกัน อนั เป็ นความมีไมตรีจิต มิตรภาพ มีเมตตาต่อกัน และมีความสามัคคี นีแ้ หละคือกุศล คือ ตวั บุญ เพราะทางพระพทุ ธศาสนานนั ้ บอกว่า สิริมงคลเกิดจาก การกระทาความดขี องเรา คือ การกระทาความดที างกาย วาจา ใจ ได้แก่ ทาดี พดู ดี และคิดดี ธรรมกถา แสดงทโ่ี รงพยาบาลบา้ นสวน ณ วนั ท่ี ๒๙ ธนั วาคม ๒๕๓๔ (ฉบบั น้ี ใหถ้ อื เป็นฉบบั ใชไ้ ปพลางก่อน ขอเรยี นวา่ ฉบบั หูกบั ปาก เพราะอยู่ในระยะทอ่ี าพาธใชต้ าทางานไมไ่ ด้ เมอ่ื ใด ใชส้ ายตาทางานไดต้ ามปกติ กจ็ ะไดเ้รยี บเรยี งใหส้ มบูรณเ์ ป็นฉบบั ตากบั มอื ตอ่ ไป)
๙๖ คติธรรมแห่งชีวิต มงคลสองด้านประสานเสรมิ กนั เวลาชว่ งนเี ้ป็นโอกาสที่เราถือกนั มาตามนิยมวา่ เป็ นระยะ กาลของความสขุ คอื การสง่ ปี เก่าและต้อนรับปี ใหม่ ก็เลยนิยมกนั ที่ จะจดั งานสนกุ สนานบนั เทิง และนอกจากสนกุ สนานบนั เทิงกนั ใน หมญู่ าติมิตรแล้ว ในฐานะพทุ ธศาสนิกชน ก็ทาบุญด้วย เพ่ิมความ เป็นสิริมงคลให้มากขนึ ้ ท่ีว่ามานีก้ ็เป็ นส่วนหน่ึง คือเรื่องของกาลเวลาท่ีมีการสขุ สนั ตห์ รรษา เน่อื งในโอกาสท่เี ป็นมงคล นอกจากนกี ้ ็ยงั ได้รับทราบเป็นสว่ นพเิ ศษวา่ ช่วงเวลานีเ้ป็ น ระยะท่ีคณุ หมอลดาวลั ย์ ได้จดั ตงั ้ มลู นิธิขึน้ มา ซึ่งตกลงว่าจะใช้ชื่อ วา่ \"มูลนิธิดลุ ยภาพบาบดั เพือ่ อายแุ ละสขุ ภาพ\" ซ่งึ มีวตั ถุประสงค์ เพ่ือจะเผยแพร่การรักษาโรค รวมทัง้ การส่งเสริมสุขภาพ ด้วย วิธีการตามแบบท่ีเรียกวา่ holistic หรือแบบองค์รวม ในท่ีนีเ้ราใช้ คาว่า ดุลยภาพ หมายความว่ารักษาดุลยภาพขององค์รวมนัน้ หรือทาให้องคร์ วมนนั ้ ดารงอย่ใู นดลุ ยภาพนนั่ เอง ส่วนท่ีว่าส่งเสริม สขุ ภาพนนั ้ กเ็ พ่อื ให้มีทงั ้ สขุ ภาพแขง็ แรงและมีอายยุ ืนยาว คณุ หมอลดาวลั ย์ตงั ้ ใจที่จะเผยแพร่การรักษา และสง่ เสริม สขุ ภาพตามแบบ holistic นใี ้ ห้กว้างขวางออกไปแล้วก็ตงั ้ ใจให้เกิด ประโยชน์เป็นความสขุ แก่ประชาชน นี่ก็ถือวา่ เป็ นความตงั ้ ใจท่ีเป็ น บญุ เป็นกศุ ล จงึ หวงั วา่ มลู นิธินีจ้ ะได้บาเพ็ญประโยชน์ให้แก่สงั คม สบื ตอ่ ไป
ดลุ ยภาพ: สาระแหง่ สุขภาพและความสมบรู ณ์ ๙๗ รวมความเท่ากับวา่ มีความเป็ นสิริมงคลหรือเรื่องบญุ กศุ ล เข้ามาผนวกกนั เป็นสองด้าน เป็นการเสริมกนั ให้มนั่ คงยิ่งขึน้ คือใน สว่ นของมงคลปี ใหม่ก็ด้านหนึ่ง และมงคลท่ีเกิดจากการริเริ่มตงั ้ มลู นิธิดลุ ยภาพบาบดั เพื่ออายแุ ละสขุ ภาพก็อีกด้านหนงึ่ สองด้าน นเี ้สริมซง่ึ กนั และกนั ปี ใหม่ก็มีเร่ืองของมูลนิธินี ้หรือว่าเรื่องของการตงั ้ มูลนิธิ การกศุ ลเข้ามาชว่ ยเสริมให้ปี ใหม่นนั ้ มีความหมายมากขึน้ ในเวลา เดียวกนั การตงั ้ มลู นิธิท่ีมาประจวบในชว่ งนีก้ ็เป็ นระยะเวลาที่เป็ น มงคลสาหรับตัวมูลนิธิเอง ทาให้เกิดความรู้สึกว่ามีคุณค่าและมี ความหมายยิ่งขึน้ จึงเป็ นเรื่องท่ีน่าอนุโมทนา และในการท่ีตัง้ มลู นิธิขนึ ้ ในระยะนี ้ถ้าจติ ใจบนั เทิงผอ่ งใส กถ็ ือว่าตงั ้ ขึน้ ด้วยดี การ เร่ิมต้นทด่ี ีก็เป็นนิมิตหมายแหง่ ความสขุ ความเจริญย่ิงขนึ ้ ตอ่ ไป ความสมบรู ณม์ ีไม่ได้ ถ้าไร้ดลุ ยภาพ ทนี วี ้ า่ ถึงดลุ ยภาพนกี ้ ็เป็นเร่ืองสาคญั สาหรับทกุ ส่ิงทกุ อย่าง ทงั ้ สาหรับตวั มนษุ ย์ และสาหรับสิ่งแวดล้อมทัง้ ปวง ดุลยภาพนี ้ เป็นภาวะทที่ าให้ส่งิ ทงั ้ หลายดารงคงอย่แู ละดาเนินไปได้ด้วยดี จะเห็นได้ง่ายๆ อย่างนกนีม้ ีสองปี ก ถ้านกมีปี กเดียวก็บิน ไม่ได้ นเี ้รียกวา่ ไม่มีดลุ ยภาพโดยสนิ ้ เชิง ถึงแม้มีสองปี กแต่ปี กหนึง่ มีขน อีกปี กหนง่ึ ไม่มีขนก็คงบินยงั ไม่ได้ แม้แตว่ า่ สองปี กมีขน แต่ ว่าข้างหนึ่งขนไม่บริบูรณ์ ข้างหนึ่งบริบรู ณ์ ขนสมบูรณ์ไม่เท่ากัน
๙๘ คติธรรมแห่งชีวติ ปี กทงั ้ สองนนั ้ ก็ไม่สามารถจะพานกให้บินไปได้อย่างคล่องแคล่ว รวดเร็วเทา่ ท่คี วรจะเป็น นบั ว่าเป็นความไมส่ มบรู ณ์ของนกนนั ้ หนั มามองดสู งิ่ ทมี่ นษุ ย์ประดษิ ฐ์ขนึ ้ กเ็ ชน่ เดยี วกัน อย่างเรา ประดิษฐ์เคร่ืองบินขึน้ มา ก็คล้ายๆ กบั นกนน่ั แหละ เคร่ืองบินก็มี ปี กสองปี ก หรือจะเพ่ิมปี กข้างหลงั อีกสองปี กเป็ นส่ีปี กก็ได้ แต่ปี ก ทงั ้ สองด้านนนั ้ ก็จะต้องทาให้เท่ากันหรือให้ได้ ดุลย์กันเรียกว่า มี ดลุ ยภาพอยา่ งบริบรู ณ์ทเี ดียว ถ้าขาดดลุ ยภาพก็เสียหลกั เครื่องบิน ก็บินไม่ขนึ ้ ถ้ามีเหตอุ ะไรทาให้ปี กข้างใดข้างหนึ่งเสียขึน้ มาหรือวา่ บกพร่องขนึ ้ มา ก็อาจจะเกิดอบุ ตั เิ หตไุ ด้ เพราะฉะนัน้ เรื่องของดุลยภาพนีเ้ ราจะเห็นได้ไม่ยาก อยา่ งไรกต็ าม ที่พดู มานีเ้ป็ นสิ่งท่ีไม่สลบั ซบั ซ้อน เรามองดลุ ยภาพ แค่ส่วนที่มาเสริมกันสองอย่าง แต่ทีนีถ้ ้าดูชีวิตของมนุษย์และ ส่ิงแวดล้ อมของมนุษย์กว้างขวางออกไป ก็มีอะไรต่ออะไรท่ี ซบั ซ้อนมากกวา่ นนั ้ อกี พอถึงตอนนีด้ ลุ ยภาพนนั ้ ไม่ใช่มีเพียงสองส่วนและมาทา ให้ได้สมดลุ กนั แต่บางทีมนั มีมากมาย เพราะว่าสิ่งทงั ้ หลายที่เรา เรียกว่าเป็ นองค์รวมหรือเป็ นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิด ที่มองเห็นกันใน โลกนี ้เมื่อมองดตู ามหลกั พระพทุ ธศาสนา ซึง่ ก็เป็ นหลกั ความจริง โดยทวั่ ไป เราจะเห็นว่าเป็ นการประชมุ กันเข้าของส่วนประกอบ ตา่ งๆ มากมาย เรียกวา่ มีองค์ประกอบเยอะแยะมารวมกนั เข้า มา ชมุ นมุ กันเข้า มาประกอบกันเข้า เป็ นสิ่งนัน้ ๆ ส่วนประกอบนัน้ อาจจะมีมากมายเป็ นสิบ เป็ นร้ อย เป็ นพนั อย่างก็ได้ เม่ือมีหลาย อยา่ งมากเข้ากย็ ่ิงมีความซบั ซ้อนมากยิ่งขนึ ้
ดลุ ยภาพ: สาระแห่งสขุ ภาพและความสมบูรณ์ ๙๙ ทีนีส้ ่วนประกอบต่างๆ ที่มาอยู่ร่วมกันนัน้ ก็ต้องมีความ สัมพนั ธ์ซึ่งกันและกัน อันนีเ้ ป็ นหลักธรรมดา มันสัมพันธ์กันเช่น โดยการทาหน้าท่ี มาประกอบมาเสริมกันซึ่งแต่ละอย่างจะต้องทา หน้าท่ีของตนๆ โดยสัมพนั ธ์กันอย่างพอเหมาะพอดีได้สดั ได้ส่วน ถ้าทาหน้าที่ไม่พอเหมาะพอดขี นึ ้ มาเม่ือไรก็เกิดเร่ืองเกิดปัญหาเม่ือ นนั ้ นกี่ ค็ ือเรื่องท่ีเราเรียกวา่ หลกั แหง่ ดลุ ยภาพ ดุลยภาพทางร่างกายทาให้มสี ขุ ภาพดี ชีวติ ของเรานีก้ ็เป็ นตวั อย่างที่เราเห็นได้ชดั เจน ชีวิตมนษุ ย์ น่ีทางพระท่านเรียกว่า เป็ นรูปนามหรือเป็ นขันธ์ ๕ ก็เกิดจาก องค์ประกอบตา่ งๆ มากมาย ทงั ้ รูปธรรมและนามธรรมมาประกอบ กันขึน้ และส่วนประกอบต่างๆ เหล่านัน้ เม่ือมันทางานได้สดั ได้ ส่วนพอเหมาะพอดีกัน ชีวิตของเราก็ดาเนินไปด้วยดี แตถ่ ้ามันไม่ พอเหมาะพอดีกนั ขนึ ้ มาเม่ือไรกเ็ กิดปัญหาเม่ือนนั ้ ดลุ ยภาพที่มองเห็นได้ง่ายๆ ในชีวิตคนเราก็คือ ด้านร่างกาย ร่างกายน่ีแหละเป็นสว่ นท่ีมองเห็นได้ง่าย คนเรานีถ้ ้าส่วนประกอบ ทางร่างกายขาดดุลยภาพขึน้ เมื่อไร มีส่วนใดบกพร่องทางาน สมั พนั ธ์กนั ไมด่ ี ไม่ได้สดั สว่ นไมพ่ อเหมาะพอดี ก็เกิดปัญหา นนั่ คือ สิ่งท่ีเราเรียกวา่ โรคภยั ไข้เจบ็ ทีนี ้ถ้าปรับให้เกิดความพอเหมาะพอดี มีสมดุลขึน้ ได้สดั ได้สว่ นแล้ว ชวี ติ นนั ้ เรียกวา่ มีองคาพยพอนั สมบรู ณ์ ก็เป็ นอยู่ ดารง อยู่ได้ด้ วยดี อันนีค้ ือหลักที่สาคัญมาก และน่ีแหละคือหลักท่ี
๑๐๐ คติธรรมแห่งชีวิต เรี ยกว่าดุลยภาพ ดังนัน้ ดุลยภาพจึงมาสัมพันธ์กับสุขภาพ หมายความวา่ ถ้าไม่มีดลุ ยภาพ สขุ ภาพกไ็ ม่มี ถ้าหากว่ามีดลุ ยภาพ รักษาดลุ ยภาพไว้ได้ สขุ ภาพก็ดารง อยู่ ดงั นนั ้ สขุ ภาพจงึ อิงอาศยั ดลุ ยภาพ ดลุ ยภาพก็คือความสมั พนั ธ์ อย่างพอเหมาะพอดไี ด้สดั ได้สว่ นกนั ระหวา่ งองค์ประกอบทงั ้ หลาย นนั่ เอง นกี่ ค็ อื เร่ืองของดลุ ยภาพในแง่ท่ีเกี่ยวข้องกบั ชีวิต หลกั การที่วา่ มานีเ้ป็ นสิ่งสาคญั ท่ีอาตมภาพเข้าใจวา่ ทาง โรงพยาบาลบ้านสวนได้นามาใช้ เมื่อวานนอี ้ าตมภาพก็ได้รับถวาย หนงั สอื เลม่ หนงึ่ เป็นหนงั สือเลม่ แรกของโรงพยาบาลบ้านสวน หรือ ของมลู นิธิดลุ ยภาพบาบดั เพื่ออายแุ ละสขุ ภาพ ช่ือว่า HEAL เป็ น ฉบบั ท่ี ๑ พดู ถงึ ดลุ ยภาพบาบดั ท่เี ป็นเรื่องของร่างกายของเรา สาหรับดลุ ยภาพบาบดั ด้านร่างกายนี ้อาตมภาพคงจะไม่ ต้องพดู มาก คิดวา่ ทางคณุ หมอท่านทราบดีกว่า เพราะฉะนนั ้ ก็ให้ เป็นเรื่องของคณุ หมอท่ีท่านจะอธิบายว่าดลุ ยภาพในด้านร่างกาย นี ้ มีความสาคญั อย่างไรต่อสุขภาพของเรา หรือว่าสขุ ภาพของ มนษุ ย์เรานี ้ต้องอาศยั ดลุ ยภาพอยา่ งไรบ้าง ดลุ ยภาพทางเศรษฐกจิ ทาให้ชีวติ มคี วามม่ันคง ตอ่ ไปนอกจากดลุ ยภาพในเร่ืองร่างกายแล้ว ชีวิตมนษุ ย์เรา นที ้ จี่ ะดารงอย่ดู ้วยดีจะต้องอาศยั ดลุ ยภาพอีกหลายอย่าง ตอนนีเ้ รา มองออกไปจากตัวมนุษย์ เราไม่ได้มองจากโลกเข้ามา ไม่ว่าจะ มองจากด้านไหนเป็ นหลกั ก็ตาม ก็จะมองเห็นดลุ ยภาพ แต่ตอนนี ้
ดลุ ยภาพ: สาระแห่งสขุ ภาพและความสมบูรณ์ ๑๐๑ เราเอาชีวิตของมนุษย์เป็ นหลัก เอาตวั มนษุ ย์เป็ นแกนกลางแล้ว มองออกไป เมื่อกีน้ ีเ้ริ่มจากร่างกายของเราก็บอกวา่ สขุ ภาพนีต้ ้อง อาศยั ดลุ ยภาพ ทีนีต้ ่อไปด้านท่ีสองท่ีง่ายๆ ในการดาเนินชีวิตของเรานี ้ เร่ืองท่ีสาคัญอย่างหนึ่งก็คือ การทามาหาเลีย้ งชีพ ความเป็ นอยู่ หรือเรื่องเศรษฐกิจ อันนีก้ ็ต้องมีดุลยภาพเหมือนกัน ดุลยภาพ อย่างงา่ ยที่สดุ กค็ ือ ดลุ ยภาพระหว่างการใช้จา่ ยกับรายรับ รายได้ กบั รายจ่ายจะต้องได้ดลุ กัน ถ้ารายได้น้อยแตจ่ ่ายมากก็ต้องเกิด ปัญหา เกิดความบกพร่อง ชีวิตในด้านเศรษฐกิจก็เป็ นโรค คือจะ เป็นปัญหานน่ั เอง โรค แปลว่า สิ่งที่เสียดแทง สิ่งที่ทาให้ไม่สบาย เพราะ ฉะนนั ้ ถ้าชีวิตในด้านเศรษฐกิจของเราไม่มีสมดุลหรือไม่มีดลุ ย- ภาพ ชีวิตด้านเศรษฐกิจของเราก็จะต้องไม่สบาย มีความขดั ข้อง เพราะฉะนัน้ อย่างน้อยก็ต้องให้มีดุลยภาพระหว่างรายได้กับ รายจา่ ย แต่ดลุ ยภาพระหว่างรายได้กับรายจ่ายนนั ้ ไม่ใช่แคเ่ พียง รายได้รายจ่ายเฉพาะท่ีมองเห็นว่าได้มาเท่าไรจ่ายไปเท่าไร แต่ ดุลยภาพนัน้ จะต้องมองไปถึงภาวะสมดุลอ่ืนๆ ด้วย เช่น การ วางแผนเพอื่ อนาคตเก่ียวกบั เรื่องของความมน่ั คงของชีวิต ยกตัวอย่าง เช่น เรานีม้ ิใช่จะมีกาลังร่างกายแข็งแรงอยู่ เรื่อยไปตลอดเวลา บางครัง้ เราอาจจะเจ็บไข้ได้ป่ วยหรืออาจจะ ประสบเหตุภยันตราย หรือมีเหตุเร่งด่วนบางอย่างต้องใช้เงิน จานวนมากเกินกว่าท่ีใช้ในขณะนี ้ หรือเวลานนั ้ เราไม่สามารถจะ
๑๐๒ คติธรรมแห่งชีวติ ทางานหาเงินได้ ก็จะต้ องมีดุลยภาพในแบบที่ว่าเตรี ยมการเพื่อ ป้ องกนั ปัญหาในอนาคต จึงต้องจดั เตรียมเงินไว้อีกส่วนหนึง่ ที่เก็บ ไว้เป็ นเงินสะสมสาหรับป้ องกันภยั ข้างหน้า อนั นีเ้ ป็ นสว่ นอนาคต ฝ่ ายรายได้ หรือฝ่ ายเก็บรักษา เพ่ือให้สมดลุ กับส่วนท่ีจะใช้จ่ายที่ เป็นอนาคตเหมือนกนั นี่ก็เป็ นดลุ ยภาพอีกแบบหน่ึงคือดลุ ยภาพที่ เป็ นเร่ืองของอนาคต แม้ตลอดจนเรื่องการทางานก็เช่นเดียวกัน คือต้องมีการ วางแผน หมายความวา่ จะต้องมีการสะสมทนุ เพ่ือจะได้นาเอาทนุ นนั ้ มาใช้ในการประกอบกิจการงาน เพราะฉะนนั ้ ในทางพระศาสนาท่านจึงพดู ถึงดลุ ยภาพใน เรื่ องรายได้ รายจ่าย ดังจะเห็นได้ ชัด เช่นในหลักธรรมหนึ่ง พระพทุ ธเจ้าตรัสอปุ มาวา่ การใช้จา่ ยเงินของคนเรานตี ้ ้องให้มีภาวะ ที่เรียกวา่ รายได้เหนือรายจา่ ย หรือให้ได้ดลุ กันในแง่ท่ีว่าไม่ลบ คือ ไมใ่ ห้ติดลบ แตถ่ ้าบวกไมเ่ ป็นไร อยา่ งน้อยไมใ่ ห้ลบ ท่านบอกว่าเปรียบเหมือนอย่างอ่างเก็บนา้ อ่างหนึ่ง ท่ีมี ช่องนา้ เข้ าสี่ช่อง และมีช่องนา้ ออกสี่ช่อง เหมือนกับมีรายได้ รายจา่ ยพอเทา่ กนั ก็พอเป็นไปได้ แตถ่ ้าหากวา่ ช่องทางนา้ เข้าน้อย แตม่ ีชอ่ งทางนา้ ไหลออกมาก ก็จะเกิดปัญหานา้ ไมพ่ อใช้ ช่องทางนา้ ออกก็คือพวกอบายมขุ อบายมุขนีม้ ิใช่แค่เป็ น ทางนา้ ออกในการใช้จ่ายเทา่ นนั ้ แต่เป็ นทางนา้ ร่ัวเลยทีเดียว คือ เป็ นทางร่ัวไหลหมดไปเปล่าของรายได้ ถ้ามีทางร่ัวคืออบายมุข มากมาย เชน่ หมกมนุ่ ในเรื่องสรุ า การพนนั หรือในเร่ืองการเอาแต่
ดลุ ยภาพ: สาระแห่งสขุ ภาพและความสมบูรณ์ ๑๐๓ เที่ยวเป็นต้น อยา่ งนแี ้ หละคอื ทางร่ัวไหลของรายได้ ถ้าร่ัวไหลอย่าง นกี ้ ็จะไปไมไ่ หว สว่ นในด้านทางเข้าทา่ นวางเป็ นหลกั ไว้เรียกวา่ ทิฏฐธัมมิ- กตั ถธรรม คือธรรมทเ่ี ป็นไปเพอื่ ประโยชนป์ ัจจบุ นั มีดงั นี ้ ๑. ต้องมีความขยันหมั่นเพียร รู้จกั จดั การงานในการหา ทรัพย์ ๒. ต้องรู้จกั เก็บรักษาทรัพย์ และป้ องกนั ภยั อนั ตรายท่ีจะ เกิดแก่ทรัพย์สนิ ๓. ต้องรู้จักคบคน รู้จักสัมพันธ์กับเพ่ือนมนุษย์ในทางที่ เกือ้ กลู แกก่ ิจการงาน และในการท่ีจะทาให้ชีวิตของเรา มีความดงี ามเจริญก้าวหน้า ๔. หลกั การใช้จา่ ยทีว่ า่ ใช้จา่ ยแตพ่ อดเี รียกวา่ สมชีวิตา ข้อท่ี ๔ นี่แหละคือเร่ืองสมดลุ หรือดลุ ยภาพ ซ่ึงในที่นีเ้ ป็ น เรื่องทางด้านเศรษฐกิจ นเี ้ป็นตวั อย่างของดลุ ยภาพท่เี ราจะต้องนามาใช้จดั การกับ ด้านเศรษฐกิจ คือชีวิตของการดารงอยู่การทามาหาเลีย้ งชีพ ถ้า หากวา่ เราทาได้ดีมีดลุ ยภาพ ชีวิตของเราก็จะเป็ นอย่ไู ด้ด้วยดี นีก้ ็ เป็นดลุ ยภาพอีกด้านหนง่ึ สงั คมไม่เสยี ดลุ ยภาพ ประชาชนกไ็ ม่ขาดสนั ตสิ ขุ ดลุ ยภาพด้านอ่ืนก็มีอีกมาก เช่น ดุลยภาพในทางสงั คม เราอยู่ในสังคมก็ต้องรักษาดุลยภาพเหมือนกัน ในการท่ีจะมี
๑๐๔ คติธรรมแห่งชีวิต ความสัมพันธ์ท่ีดีกับผู้อื่น ไม่ให้ เกิดผลเสียไม่ให้ เกิดความ บกพร่อง ถ้าเกิดผลเสียก็คือ ความสมั พนั ธ์ในทางสงั คมของเรา เอียง หรือทรุดไป เม่ือมีความสัมพนั ธ์ท่ีไม่ดี ก็เกิดผลเสียแก่การ ดาเนินชีวิต ทาให้ไม่มีความก้าวหน้า ดุลยภาพในทางสังคมนี ้ มใิ ช่เฉพาะการท่ีเราอยรู่ ่วมกบั ผ้อู ่ืนโดยไมเ่ บียดเบียนกันและอยู่ ร่วมกันด้วยดีเท่านนั ้ แต่หมายถึงว่าในสังคมวงกว้าง มนษุ ย์จะ อยรู่ ่วมกนั ด้วยดีอยา่ งไรกต็ ้องอย่ดู ้วยดลุ ยภาพทงั ้ นนั ้ แม้แตก่ ารท่ีเราจะจดั การศึกษาออกมานี่ ก็ต้องมีเรื่องของ ดลุ ยภาพ เชน่ วา่ สงั คมนีใ้ นแง่เศรษฐกิจต้องการกาลงั คนในอาชีพ นีห้ รือในวงงานนีเ้ ทา่ ไรสาหรับปี ต่อไป ก็จะต้องมีการวางแผนกัน เสร็จแล้วทางฝ่ ายการศกึ ษาก็มาจดั วา่ จะต้องผลิตบณั ฑิตที่สาเร็จ การศึกษาในด้ านนัน้ ออกมาให้พอ หรื อถ้ าวางแผนว่าจะให้ ประเทศเจริญในด้านอตุ สาหกรรม ก็ต้องเตรียมการศกึ ษาในด้าน วศิ วกรรม ด้านวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอะไรตา่ งๆ ท่ีเก่ียวข้อง กบั การพฒั นาอตุ สาหกรรม โดยวางแผนผลิตบณั ฑิตในด้านนนั ้ ให้ ได้สดั ได้สว่ นได้จานวนท่ีเพียงพอ อย่างนีก้ ็เป็ นเร่ืองของการสร้ าง ดลุ ยภาพ ซง่ึ ต้องมีการจดั การอะไรตอ่ อะไรให้ปรับให้พอดีทงั ้ นนั ้ แม้แต่เร่ืองของสังคมวงกว้างท่ีเกี่ยวกับรายได้ รายจ่าย หรือความเป็ นอยู่ ก็ต้องให้ฐานะของประชาชนไม่เหล่ือมลา้ ต่าสงู กนั เกินไป มิฉะนนั ้ กจ็ ะเกิดปัญหา ดงั นีเ้ป็ นต้น อนั นีก้ ็เป็ นเรื่องดลุ ย- ภาพทางสงั คม ซง่ึ สามารถพรรณนาไปได้มากมายไม่รู้จกั จบสนิ ้
ดลุ ยภาพ: สาระแห่งสุขภาพและความสมบรู ณ์ ๑๐๕ เม่อื มนุษยท์ าลายธรรมชาติ กน็ าความพินาศมาส่โู ลก แตม่ นั ไมใ่ ชแ่ คน่ ี ้การทีม่ นษุ ย์เราจะอย่ดู ้วยดีในโลกนีก้ ็ต้อง สัมพันธ์กับธรรมชาติให้ดีด้วย ในแง่นีก้ ็เช่นเดียวกัน มีปัญหา เก่ียวกับดลุ ยภาพในทางธรรมชาติ หรือในด้านสภาพแวดล้อม ซ่ึง ขณะนกี ้ าลงั เป็นปัญหาใหญ่ ธรรมชาตินจี ้ ะอย่ไู ด้ต้องมีดลุ ยภาพ ถ้าขาดดลุ ยภาพเมื่อไร ก็เกิดปัญหาทนั ที อย่างในปัจจบุ นั นีถ้ ือวา่ เกิดความบกพร่อง เกิด การเสียดลุ ยภาพหรือวา่ ไมส่ มดลุ ขนึ ้ แล้วในธรรมชาติแวดล้อมหรือ ในระบบนิเวศน์ ตอนนกี ้ าลงั มีปัญหามาก ไม่วา่ จะปัญหามลภาวะ เชน่ นา้ เสยี ดินเสีย อากาศเสีย อะไรต่างๆ จนกระทง่ั วา่ ไฟเสีย ถ้า พดู ภาษาโบราณเรียกวา่ ดิน นา้ ไฟ ลมเสยี ไฟเสียในที่นีไ้ ม่ใช่หมายความวา่ ไฟดบั แต่หมายความว่า ไฟมันไม่สมดลุ คือว่า ความร้ อนหรืออณุ หภมู ินน่ั เองไม่พอดี ดังที่ กาลงั เกิดปัญหาวา่ อณุ หภมู ิในโลกนี ้ชกั จะร้ อนขึน้ ชกั จะสงู ขึน้ น่ี กเ็ รียกวา่ เป็นการเสียดลุ ยภาพในด้านไฟ ด้านลม ที่วา่ ลมเสียก็คืออากาศเป็ นพิษมีมลภาวะมากมาย ดงั ท่ีขณะนคี ้ นเป็นโรคเพราะอากาศเป็นพิษกนั มากมาย แล้วก็ดินเสีย ดินเด๋ียวนีก้ ็มีความเสียหาย หน้าดินถูกทาลาย และทรุดโทรมสญู เสียไป เป็นปัญหาใหญ่ในทางเกษตรกรรม ส่วนนา้ เสียก็ชัดเจน โรงงานอตุ สาหกรรมทงั ้ หลายพากัน ปล่อยของเสียลงไป นา้ เสียจนกระทง่ั วา่ ปลาก็หมดไป บางทีหมด
๑๐๖ คติธรรมแห่งชีวติ ไปเป็ นแม่นา้ ๆ เป็ นทะเลสาบๆ ไปเลย ในประเทศท่ีพฒั นาแล้ว ทะเลสาบหลายแหง่ ไมม่ ีสตั วม์ ีชีวิตเหลืออยู่ นี่ก็เป็ นเร่ื องของการเสียดุลยภาพในโลกมนุษย์นี ้ ถ้ า ธรรมชาติแวดล้อมเสียดลุ ยภาพไป ต่อไปมนษุ ย์เองก็จะอยู่ไม่ได้ ที่ว่ามานีก้ ็เรื่องดลุ ยภาพในสภาพแวดล้อมหรือธรรมชาติ ซ่ึงเรา จะต้องดแู ลรักษา เป็นเรื่องของดลุ ยภาพอกี ด้านหนงึ่ แต่รวมแล้วไม่ว่าด้านไหนก็ตามมนษุ ย์ก็จะต้ องพยายาม รักษาดลุ ยภาพในเรื่องของดลุ ยภาพไว้ให้ได้ ดลุ ยภาพของจติ ใจ ภายในโลกแห่งความเปล่ยี นแปลง ต่อไปนี ้ก็จะวกกลบั เข้ามาท่ีตวั มนษุ ย์อีก เมื่อกีน้ ี ้พูดไปๆ ก็หา่ งตวั ออกไปทกุ ที แต่ทงั ้ หมดนนั ้ ก็เป็ นเร่ืองที่สมั พนั ธ์กบั ตวั เรา ทงั ้ สิน้ ทีนีอ้ ยากพดู ให้แคบเข้ามาอีกนิดหนึง่ คือหนั กลับเข้ามาท่ี ชวี ติ นี ้ เมื่อกีน้ ีไ้ ด้พดู ถึงดลุ ยภาพของร่างกายของเรา แต่ชีวิตของ เราน่ีไม่ใชม่ ีเพยี งร่างกายอยา่ งเดียว อกี สว่ นหนง่ึ กค็ ือจติ ใจ ชีวิตของมนษุ ย์เรานีม้ ีกายกับใจ เพราะฉะนัน้ จึงต้องมี ดลุ ยภาพของใจด้วยอกี สว่ นหนึง่ ทงั ้ กายและใจตา่ งก็ต้องมีภาวะที่ เรียกวา่ “ดลุ ยภาพ” นี ้ ดลุ ยภาพในทางกายเราพดู ไปแล้ว ถ้าหากว่าเสียดลุ ยภาพ ทางกายก็จะเกิดโรคทางกาย ทีนีใ้ นทางจิตใจก็เหมือนกัน ในทาง จิตใจนถี ้ ้าหากวา่ เสยี ดลุ ยภาพก็จะมีโรคทางจิตใจ
ดลุ ยภาพ: สาระแหง่ สุขภาพและความสมบรู ณ์ ๑๐๗ จะเหน็ ว่าคนจานวนมากเกิดปัญหา ที่เรียกว่า เป็ นโรคจิต ลองไปดเู ถอะ เขาเสียดลุ ยภาพทางจิตใจ ดลุ ยภาพไม่มี เขารักษา ความทรงตวั ไม่ได้แล้ว จิตของเขาทรุดลงไป มนั เอียงลงไป ตะแคง ลงไป มันดิ่งลงไปข้างใดข้างหนึ่ง อย่างเช่น บางคนดีใจเกินไป ควบคมุ ไมอ่ ย่กู เ็ สยี ดลุ ยภาพ ถึงกบั เสียจริตไปก็มี แต่อนั นีม้ ีน้อย ที่ เป็ นมากก็คือเสียใจเกินไป ควบคมุ ตวั เองไว้ไม่อยู่ ก็เลยเสียจริต อย่างที่เรียกวา่ เป็นบ้า แต่การเสียดลุ ทางจิตใจนัน้ ไม่ใช่แค่นีเ้ ท่านนั ้ เสียจิตนัน้ เป็ นขนั ้ ที่รุนแรงมากแล้ว ทีนี ้คนที่เสียดลุ ยภาพถึงขัน้ นนั ้ อาจจะมี ไม่มากนกั แต่การเสียดลุ ยภาพทางจิตใจท่ีเป็ นกันมากและหาได้ ทว่ั ไป ก็คือ ภาวะขาดดลุ ยภาพในยามดีใจหรือเสียใจ แล้วปลอ่ ย ตวั ให้เกิดพฤติกรรมทไี่ มเ่ ป็นผลดีตอ่ ชีวติ และสงั คม เชน่ ในยามท่ีดี ใจเกินไป เมื่อได้โลกธรรมสมปรารถนาแล้วรักษาตัวไม่อยู่ ไม่มี ดลุ ยภาพก็จะทาให้เกิดมีพฤตกิ รรมไมด่ ตี ามมา คนเรานีจ้ ะต้องประสบโลกธรรม คนท่ีอยู่ในโลกนีไ้ ม่มีใคร พ้นโลกธรรมไปได้ โลกธรรมคืออะไร ก็คือได้ลาภ เส่ือมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ นนิ ทา สรรเสริญ สขุ ทกุ ข์ มีแปดอย่าง แยกเป็ นสองด้าน คือ ฝ่ ายท่ีน่าชอบใจเรียกว่า อิฏฐารมณ์ กับฝ่ ายที่ไม่น่าชอบใจ เรียกวา่ อนิฏฐารมณ์ ฝ่ ายท่ีน่าชอบใจเรียกว่า อิฏฐารมณ์ ก็คือ ได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ และมีความสขุ ฝ่ ายท่ีไม่นา่ ชอบใจเรียกว่า อนิฏฐารมณ์ กค็ ือ เส่อื มลาภ เส่ือมยศ นินทา และทกุ ข์
๑๐๘ คติธรรมแห่งชีวิต การท่ีเราอยู่ในโลกนี ้ ท่านบอกว่า ต้องรู้เท่าทันว่าเป็ น ธรรมดาท่ีเราต้องเจอโลกธรรมเหล่านี ้จะเจอมากหรือเจอน้อย ก็ ต้องเจอบ้างล่ะ ไม่มีใครสามารถหลีกพ้นไปได้โดยสิน้ เชิง ทีนีข้ ้อ สาคญั ก็คือวา่ จะปฏบิ ตั ติ อ่ มนั อย่างไร ถ้าวางตวั ต่อมนั ไม่ถูกแล้ว ก็ จะเกิดปัญหาแนน่ อน การวางตวั ถกู ต้อง ก็คือ การรักษาดลุ ยภาพทางด้านจิตใจ ไว้ ถ้าไม่รักษาดลุ ยภาพของจิตใจไว้ให้ได้ ไม่วา่ ทางดีหรือทางเสีย ก็เสียทงั ้ คู่ ท่านเรียกว่าฟูกับยุบ คือถ้าทางดีก็ฟู ถ้าทางเสียก็ยุบ พอได้ลาภกฟ็ ู พอเสียหรือเส่ือมลาภก็ยบุ พอได้ยศก็ฟู พอเสื่อมยศ กย็ บุ คนทว่ั ไปมกั จะเป็นอย่างนี ้ ดลุ ยภาพของจิตใจ: ศนู ยพ์ ลงั ย่ิงใหญ่แห่งการสร้างสรรค์ ทีนี ้จะทาอยา่ งไร ก็ต้องปฏิบตั ิให้ถูกต้อง ถ้าหากวา่ ได้แล้ว เกิดเหลิงระเริ งมัวเมา ได้ เงิน ได้ ทอง ก็ใช้ กันเป็ นการใหญ่ สนกุ สนานหากันแตค่ วามสขุ ถ้าอย่างนีก้ ็หมด ไม่ใช่หมดแตเ่ พียง ทรัพย์เท่านนั ้ สขุ ภาพก็เส่ือมโทรมลงไปด้วยกับเงินที่หมดไปนัน้ หรือว่าได้ยศก็มัวเมาในยศนนั ้ ถืออานาจและใช้อานาจนนั ้ ในทาง ท่ีผิด เช่น ข่มเหงเบียดเบียนผู้อ่ืน หรือทาการชั่วร้ ายทุจริต หา ผลประโยชน์ บารุงบาเรอตนเอง สร้ างปมสร้ างปัญหาขึน้ มา ถ้า อย่างนีก้ ารได้ลาภ หรือได้ยศนนั ้ ก็กลายเป็ นเหตใุ ห้ชีวิตของเขา ต้องเอยี งหรือตะแคงเสยี ดลุ ไป ทนี ี ้ในทางตรงกนั ข้ามถ้าหากประสบความเสื่อม พอเสื่อม ลาภ เสื่อมยศ สญู เสียเงินทองมากมาย ประสบภัยพิบัติอันตราย
ดลุ ยภาพ: สาระแหง่ สขุ ภาพและความสมบรู ณ์ ๑๐๙ และเสื่อมยศ เสยี ฐานะ กม็ ีความเศร้ าเสียใจเกินไปรักษาตวั ไม่อยู่ จิตใจกอ็ าจจะเลยเถิดไป อาจจะเสยี จริตเสยี สติไปเลย บางทีไม่ถึง ขนาดนนั ้ กอ็ าจจะเหงาหงอยเฉากาย เฉาใจ เป็ นคนเสียสขุ ภาพ มี ผลกระทบมาทางร่างกายอีกกลายเป็ นคนที่ทงั ้ กายทงั ้ ใจน่ีบอบซา้ ทรุดโทรมไปหมด และชีวิตทงั ้ ชีวิตก็หมด ก็เสื่อม ก็โทรม ก็ทรุดไป น่ีก็เรียกวา่ เป็ นการปฏิบตั ิไม่ถูกต้องตอ่ ทงั ้ ได้และเสีย คือฟเู กินไป และยบุ เกินไป ทีนี ้ ถ้าปฏิบัติถูกต้องจะเป็ นอย่างไร ถ้าปฏิบัติถูกต้องก็ กลายเป็นวา่ ทาให้ส่งิ เหลา่ นเี ้ป็นผลดีแก่ชีวิตขึน้ มา เช่น คนได้ลาภ พอได้ลาภก็รู้ทันว่า น่ีเป็ นโลกธรรม เป็ นส่ิงที่มีอยู่ในโลกเป็ น ธรรมดา เมื่อเราได้ ก็คอื เหตปุ ัจจยั มาประกอบกัน ประจวบพอดีทา ให้เป็ นผลดีแก่เรา เราก็ควรใช้ลาภ ใช้เงินใช้ทองนีใ้ ห้มันเป็ น ประโยชน์ หรือถ้าได้ยศ ก็ถือโอกาสใช้ยศให้เป็ นประโยชน์ เป็ น โอกาสท่ีจะสร้างสรรคค์ วามดี เวลามีเงินมีทองก็ผกู มิตรไมตรี ชว่ ยเหลือเจือจานคนเข้าไว้ เป็ นโอกาสแล้วท่ีจะทาความดี ถ้าคนมีความตงั ้ ใจดี การได้เงินได้ อานาจเป็ นต้น ก็เป็ นโอกาสท่ีจะได้ทาความดีมากขึน้ แทนที่จะ หลงระเริงมัวเมาใช้ ไปในทางท่ีบารุงบาเรอตัวเอง หรื อข่มขี่ เบียดเบียนผ้อู ื่น ก็เอามาช่วยเหลือเพ่ือนมนษุ ย์ ทาความดีให้มาก ขึน้ ส่งเสริมกัน ก็เทา่ กบั เป็ นความดีทงั ้ ประโยชน์ตนและประโยชน์ ผ้อู ่ืนปลกู ฝังเข้าไว้ อนั นีก้ ็กลายเป็ นว่าการได้นนั ้ ทาให้เกิดความดี งามและประโยชนส์ ขุ มากยิ่งขนึ ้
๑๑๐ คติธรรมแห่งชีวติ เพราะฉะนนั ้ ทางพระพทุ ธศาสนาจงึ สอนว่า ถ้าเราปฏิบตั ิ ถูกต้อง ลาภยศเป็ นต้น ก็จะกลายเป็ นโอกาสให้เราทาความดีได้ มากยิ่งขนึ ้ คนบางคนแม้จะมีความคิดที่ดีแสนดี แต่ไม่มีเงิน ไม่มี อานาจ จะทาอะไรก็ไม่สะดวก ไม่มีบริวารทาไม่ได้ติดขดั ไปหมด ทาได้แคบๆ แต่ทีนีพ้ อมีเงินมีทรัพย์ก็สามารถนาเอาความคิดดี อย่างนนั ้ มาทาได้สบายเลย เงินก็มี บริวารก็มี ตาแหนง่ ฐานะและ อานาจก็มี พอมีอย่างนีแ้ ล้ว คนเขาเช่ือถือ ทาอะไรก็ได้สะดวก ความคดิ ที่ดงี ามนนั ้ กเ็ กิดผลงอกเงยออกไป เพราะฉะนนั ้ ทา่ นจึงให้ ใช้ลาภยศในทางท่ีถกู ต้อง คือให้เป็ นโอกาสในการที่จะสร้ างสรรค์ สิ่งท่ดี งี ามให้มากย่ิงขนึ ้ ไป ในทางตรงข้าม พอประสบความเส่ือมเสีย พบโลกธรรม ฝ่ ายที่ไม่น่าพอใจ เกิดเสื่อมลาภ เสียเงินเสียทอง หรือเสื่อมยศ ขนึ ้ มา ก็รู้เทา่ ทนั อีกนนั ้ แหละว่า นี่แหละ ถึงคราวที่เราเจอบ้างแล้ว นะ อ้าว มันก็เป็ นบททดสอบเรา เอาล่ะ ให้มันรู้ไป เราเจอมนั เข้า แล้วเป็ นอย่างไร เอาเป็ นบททดสอบ ถ้ามองในแง่เป็ นบททดสอบ เรากป็ รับตวั ปรับใจได้ ดซู วิ า่ เราเข้มแข็งมน่ั คงพอไหม ถึงจะเสยี ดุลยภาพกาย กต็ ้องรักษาดลุ ยภาพใจไว้ให้ได้ ในกรณีที่เสื่อมสขุ ภาพนี่ก็เหมือนกัน เราก็ต้องมองในแง่ดี อย่าไปมองในแง่วา่ โอ้ย เราแยแ่ ล้วไมไ่ ด้ความเลย ร่างกายของเรา เส่ือมเสียแล้วทาอะไรก็ไม่ได้ ถ้ามองอย่างนี ้ ก็ยิ่งทรุด แล้วก็จะ
ดลุ ยภาพ: สาระแหง่ สุขภาพและความสมบูรณ์ ๑๑๑ เอยี งหรือล้มไปเลย ในทางทถ่ี กู จะต้องมองให้เป็นคือมองวา่ เราเกิด มาทีหน่งึ ก็ได้มีประสบการณ์ท่ีเป็ นกาไรชีวิต คนอื่นเขาอาจจะไม่ เจอการเจ็บป่ วยอย่างเรา เราเจอมันเข้าแล้วจะได้รู้จกั ทุกข์ที่เกิด จากโรคนวี ้ า่ มนั เป็นอยา่ งไร ๑. เราได้ประสบการณ์ทีเ่ ป็นกาไรชีวิต หรือที่แปลกพิเศษ ซง่ึ หลายคนไม่มีโอกาสได้พบ ๒. เราได้ทดสอบตัวเอง ดูความเข้มแข็งว่า เรามีความ เข้มแข็งแค่ไหน จิตใจของเราเจออปุ สรรคอันตราย ขนาดนสี ้ ้ไู ด้ไหม ๓. ถ้ าหากว่าเจอขนาดนีแ้ ล้ ว เรายังไม่หว่ันไหว ยัง เข้มแข็งส้ไู ด้ เราจะมีความภูมิใจเกิดปี ติขึน้ มา จิตใจ กลบั สบายผ่องใสว่า เราสามารถทนต่อทกุ ข์ทรมาน ขนาดนี ้เอาชนะได้ สามารถทาจิตใจให้ดีได้ ๔. การเป็ นโรค เป็ นโอกาสท่ีเราจะตัดกังวลหรือภาระ อะไรบางอยา่ งลงไปได้ และสามารถใช้เวลาในขณะที่ เป็นโรคนี ้ไปทาในส่งิ เป็นประโยชน์ เชน่ บาเพ็ญเพียร ทางจติ ใจหรือจะมาพฒั นาทางจิตใจของเรา ให้จิตใจ มีความสขุ ได้อกี ด้านหนง่ึ ก็ได้ ๕. ตวั โรคและความทกุ ข์อย่างทท่ี า่ นเรียกวา่ ทุกขเวทนาท่ี เกิดจากโรคนน่ั เอง เป็นของจริง เป็นประสบการณ์ตรง ซึ่งผู้ที่ได้ ศึกษาธรรมแล้ ว สามารถยกเอาขึน้ มา พิจารณา หรือมองลงไปตรงๆ ในเวลาท่ีมันกาลัง เป็ นอยู่นัน้ แล้วทาให้ มองเห็นสัจจธรรมของชีวิต
๑๑๒ คติธรรมแห่งชีวติ จนกระทั่งเกิดปัญญารู้แจ้ง บรรลุโลกุตตรธรรม ยก จติ ใจขนึ ้ เป็นอสิ ระ เรียกวา่ บรรลมุ รรค ผล นพิ พานได้ ตกลงวา่ คนทรี่ ู้จกั ปฏิบตั ิตอ่ สิ่งตา่ งๆ ได้อย่างถูกต้อง ไม่วา่ ได้หรือเสยี ก็กลายเป็นได้ทงั ้ นนั ้ ถึงอย่างไรก็ตาม เราต้องตงั ้ ใจไว้ก่อนวา่ เราจะต้องทาให้ กลายเป็ นการได้ในทุกกรณี ทางพระท่านถือหลักอย่างนี ้ ท่าน เรียกวา่ โยนิโสมนสิการ คนใดเกิดมาในโลกมีโยนิโสมนสิการแล้ว เรียกว่าโอกาสท่ี จะสญู เสยี มีน้อยอยา่ งยิ่ง ได้เสมอไป ไม่วา่ อะไรได้หมด เจออะไรท่ี ไม่ดี ใครวา่ ไม่ดี ฉนั ต้องได้ประโยชน์สกั อย่าง ได้คติจากชีวิต ได้อะไร ต่างๆ ได้สิ่งที่เป็ นประโยชน์ อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์ หรือถ้า ดกี วา่ นนั ้ ก็อาจจะถงึ ขนั ้ รู้แจ้งเหน็ ความจริงของโลก แม้แต่ปลงอนิจจงั เหน็ ความไมเ่ ทยี่ งแท้ของสง่ิ ทงั ้ หลาย แล้วทาใจให้เป็นอิสระได้ คนโง่ เสยี ดลุ ยภาพกายแล้วกพ็ ลอยเสยี ดลุ ยภาพใจไปด้วย คนฉลาด เอาดลุ ยภาพใจมาช่วยดุลยภาพกาย บางคนเจอเหตุร้ ายในชีวิต แต่รู้จักมองก็ได้ประโยชน์ แม้แต่ถึงขัน้ สูงสดุ อย่างเช่นบางท่านในสมัยพุทธกาล มีประวัติ พระสาวกบางองค์ไปเจอเหตรุ ้ายในชีวิตแล้วได้บรรลธุ รรมเป็ นพระ อรหนั ต์ ก็เพราะได้ประสบภยั พิบตั ิ นีเ้รียกวา่ รู้จกั ถือเอาประโยชน์ จากส่ิงทงั ้ หลาย อนั นีก้ ็คือหลกั ของดลุ ยภาพในชีวิต เรียกว่า เรา
ดลุ ยภาพ: สาระแห่งสุขภาพและความสมบูรณ์ ๑๑๓ ต้องรู้จกั ถือเอาประโยชน์จากสิ่งทงั ้ หลาย และรักษาดลุ ยภาพของ ชีวติ เอาไว้ให้ได้ ทว่ี า่ มานกี ้ เ็ ป็นเรื่องของดลุ ยภาพด้านจิตใจ สภาพทางด้าน จติ ใจนกี ้ ็จะมาสมดลุ กบั ทางร่างกาย จิตใจเองก็มีภาวะที่เรียกว่ามี ดลุ ยภาพ หรือสมดลุ อย่างที่อาตมภาพกล่าวแล้ว และยังจะมา สมดลุ หรือดลุ ยภาพกับร่างกายด้วย เราไม่ใช่มีแตร่ ่างกายเทา่ นนั ้ อยา่ งทอ่ี าตมภาพพดู เมื่อกีน้ ี ้จะได้โยงให้เหน็ วา่ ร่างกายกบั จิตใจน่ี มีความสมั พนั ธ์ซงึ่ กนั และกนั ถ้าร่างกายของเรากระทบกระเทือน เราเหี่ยวเฉาทาง ร่างกาย ก็อาจจะมีผลกระทบให้จิตใจเสื่อมโทรมตามร่างกายไป ด้วย ในทานองเดียวกนั ถ้าเรารักษาร่างกายดี ทาให้จิตใจของเรา สบายได้ง่าย เช่น คนที่ร่างกายแข็งแรง ก็ไม่ค่อยมีปัญหาทาง ร่างกายท่ีจะทาให้หงุดหงิดกังวลใจ แต่ถ้าร่างกายของเราเกิด ความบกพร่อง ป่ วยเจ็บขึน้ มา ก็มีโอกาสท่ีจะทาให้ จิตใจถูก กระทบกระเทือน หงดุ หงิดได้งา่ ย ฉนุ เฉี่ยวงา่ ย นี่แหละเป็ นเร่ืองท่ีเก่ียวข้องกับดลุ ยภาพระหว่างร่างกาย กบั จติ ใจ ร่างกายเสยี ดลุ กพ็ ลอยทาให้ใจเสียดลุ ไปด้วย ใจเสียดลุ ก็ ทาให้กายเสียดลุ ไปด้วย ทีนี ้คนท่ีรู้จกั ปฏิบตั ิให้ถูกต้อง ก็คือว่าเวลากายเสียดลุ ก็ เอาใจมาช่วยกาย หมายความว่าคนที่ทาเป็ นนนั ้ จะทาให้ผลย้อน กลับตรงข้าม คนที่ทาไม่เป็ นพอร่างกายเสียดุล ใจก็เสียดุลด้วย
๑๑๔ คติธรรมแห่งชีวิต เสียดลุ ไปทงั ้ ชีวิต แตค่ นท่ีทาเป็ นพอกายเสียดลุ เขาก็ไปเสริมทาง จิตใจ เอาจิตใจมาช่วยถ่วงดุลไว้ ทาให้กายได้ดลุ สูงขึน้ ไป และ กลบั มาชว่ ยร่างกายให้ดขี นึ ้ ดงั นนั ้ หลักเรื่องดุลยภาพนีจ้ ึงสาคัญมาก และดุลยภาพ ระหว่างกายกับใจก็เป็ นเร่ืองใหญ่อนั หน่ึง คือดลุ ยภาพของกายก็ สว่ นหน่ึง ซ่งึ เป็ นเร่ืองท่ีคณุ หมอได้พดู เป็ นพิเศษ กับดลุ ยภาพของ ใจที่พระพูดเป็ นพิเศษ แล้วก็ยังมีดุลยภาพระหว่างกายกับใจที่ สมั พนั ธ์กนั นอี ้ ีก ซง่ึ ก็จะต้องเอามาชว่ ยเสริมกันให้ได้อีก อย่างที่ว่า แล้ว ถ้ากายเสยี หลกั ก็ต้องเอาใจมาชว่ ย ถ้าใช้เป็ นแล้วใจก็มาช่วย กายได้ น่ีเป็ นหลักในเร่ืองดุลยภาพ อาตมภาพก็ได้พูดมาแล้ว หลายแงห่ ลายอย่าง แม้แต่ธรรมกต็ ้องมดี ุลยภาพ ทนี ี ้ดลุ ยภาพยงั ไมห่ มด ยงั มีดลุ ยภาพท่ลี กึ ซงึ ้ ไปกว่านนั ้ อีก เม่ือกีน้ ีพ้ ูดถึงดุลยภาพ มาถึงดุลยภาพของใจ และดุลยภาพ ระหวา่ งกายกบั ใจ นอกจากนีย้ ังมีดลุ ยภาพท่ีลึกลงไปกว่านนั ้ คือ ดลุ ยภาพแหง่ ธรรม ธรรมก็มีดลุ ยภาพเหมือนกัน คือ การปฏิบัติธรรม หรือทา ความดีอะไรต่างๆ ต้องมีดลุ ยภาพ กล่าวคือ ความพอเหมาะพอดี เหมือนกัน ถ้ าไม่พอเหมาะพอดี ก็เกิดโทษ ยกตัวอย่างท่ี
ดลุ ยภาพ: สาระแห่งสุขภาพและความสมบูรณ์ ๑๑๕ พระพทุ ธเจ้าตรัสไว้ เชน่ อยา่ งศรัทธาท่ีเราฟังกนั มา มีเรื่องศาสนาก็ ต้องมีเร่ืองศรัทธา สาหรับคนท่ีเข้ามานบั ถือศาสนานนั ้ คาที่ได้ยินบ่อย ก็คือ คาว่า ศรัทธา ได้แก่ความเช่ือ ซ่ึงต้องมีไว้เป็ นหลกั สาคญั อันหนึ่ง แต่ในทางพระพุทธศาสนาบอกว่า ศรัทธาท่ีเป็ นคณุ ธรรมอย่าง เดยี วไม่พอ จะปล่อยให้ศรัทธาเรื่อยเป่ื อยไปไม่ได้ ต้องมีดลุ ยภาพ สงิ่ ทจ่ี ะทาให้เกิดดลุ ยภาพ เข้าคกู่ นั กบั ศรัทธา กค็ อื ปัญญา หลกั นมี ้ าในหมวดธรรมที่เรียกวา่ อินทรีย์ ๕ ประการ ทา่ น บอกว่าอินทรีย์ ๕ ต้องได้สมดลุ ต้องมีความสม่าเสมอ พอเหมาะ พอดีกนั นกี่ ค็ อื หลกั ดลุ ยภาพนนั่ เอง อินทรีย์ ๕ นนั ้ มีท่ีต้องเข้าค่กู ันสองคู่ ค่ทู ่ีหนง่ึ ก็คือ ศรัทธา กบั ปัญญา ศรัทธามีไว้ ถ้ามากเกินไปไมม่ ีปัญญาคมุ จะกลายเป็ น ความงมงาย เช่ือไปตามเขาหมดอะไรๆ ก็เชื่อ หลงใหลโน้มใจเช่ือ งา่ ย ถกู หลอกงา่ ย ใครเขาอยากจะหลอกก็หลอกได้ง่าย ในทางตรงข้าม ถ้ามีแต่ปัญญา ใช้แต่ปัญญา ก็มักมอง อะไรข้ามไปง่ายๆ บางทีก็เอาแต่ความรู้ที่ตวั มีอย่ไู ปวินิจฉยั คอย จะปฏิเสธไปหมด หรือไม่ก็คิดฟ้ งุ ซา่ นไป ไม่ยอมตงั ้ หลกั พิจารณา ไม่ยอมจบั หรือรับเอามาพิจารณาก็เลยเป็ นคนท่ีจับอะไรเป็ นจุด เป็นหลกั ไม่คอ่ ยได้ บางทกี ก็ ลายเป็นฟ้ งุ ซา่ นไป น่ีเรียกว่ายึดไปข้าง ปัญญามากเกินไป เพราะฉะนนั ้ ท่านจงึ บอกวา่ ต้องปรับศรัทธากับปัญญาให้ สมกัน ให้พอดีกัน ศรัทธาเป็ นตัวช่วย ถ้าทาให้ถูกต้องก็เป็ นตัว
๑๑๖ คติธรรมแห่งชีวติ นาไปสปู่ ัญญา และช่วยเสริมปัญญา แตถ่ ้าใช้ไม่เป็ น ศรัทธาก็มา ขวางปัญญา ทาไมศรัทธาจึงขวางปัญญา เพราะว่าถ้าเช่ือแล้วเขาว่า อย่างไรก็วา่ ไปตามนนั ้ ก็เลยไม่ได้ปัญญาอะไรขนึ ้ มา แตใ่ นทางตรงข้าม ท่วี า่ ศรัทธาเสริมปัญญานนั ้ เป็ นอย่างไร ก็คือ มันเป็ นจดุ ให้เราเริ่มต้นได้ เราเหน็ ว่าส่ิงนีด้ ีมีเหตผุ ลเข้าทีเรา รับฟังมา หรือฟังทา่ นผ้นู ีพ้ ดู มีเหตมุ ีผลนา่ เช่ือ ศรัทธาก็เกิดขึน้ พอ ศรัทธาเกิดขึน้ ก็ได้จุดท่ีจะนามาพิจารณา และถ้าเอาจริงเอาจัง ศรัทธาเป็นตวั ทีท่ าให้เกิดพลงั ว่า ตอ่ ไปนีเ้ราจะคิดเรื่องนีจ้ ริงจงั ได้ จดุ ท่ีจะไปศกึ ษาค้นคว้า คนท่ีจะไปศึกษาค้นคว้าเร่ืองอะไร มันต้องมีจุดมีเป้ าท่ี ชดั เจน และต้องเริ่มท่ีศรัทธา ศรัทธาเป็ นตวั จบั เอาไว้ พอศรัทธา เป็ นตวั ส่งแรงไปแล้ว ปัญญาก็ค้นในเร่ืองนนั ้ ไปจริงจงั จนกระทงั่ สาเร็จได้ปัญญาเห็นแจ่มแจ้งโดยสิน้ เชิง พอปัญญาจบสิน้ แล้ว ก็ บอกวา่ อยเู่ หนอื ศรัทธา ไม่ต้องอาศยั ศรัทธาอีก ตอนแรกศรัทธากับปัญญาต้องมีดุลยภาพ ได้สมดลุ กัน ศรัทธาก็มาเป็ นตัวเสริมช่วยตงั ้ จุดเร่ิมต้นให้ปัญญา ปัญญาก็มา คมุ ศรัทธาไว้ และอาศยั ศรัทธาเป็นตวั ชนี ้ าทางพงุ่ ไปทาให้มีกาลงั ที่ จะศกึ ษาค้นคว้าได้เตม็ ท่ี ดงั นนั ้ ก็ต้องใช้ศรัทธากับปัญญาให้เป็ น จึงต้องมีดลุ ยภาพ ดงั ที่ท่านบอกว่าต้องปรับศรัทธากับปัญญาให้ สมกนั
ดลุ ยภาพ: สาระแห่งสุขภาพและความสมบรู ณ์ ๑๑๗ ถ้าจัดธรรมเข้าดลุ ได้ กไ็ ม่พลาดจากผลท่มี ุ่งหวงั ต่อไปค่ทู ่ีสองได้แก่ วิริยะและสมาธิ วิริยะ คือความเพียร พยายามเห็นอะไรก็เป็ นสิ่งท้าทายใจสู้ จะทาให้สาเร็จจะก้าวไป ข้างหน้าอยู่เร่ือย อีกด้านหนง่ึ ก็คือ สมาธิ ได้แก่ ความมีใจแน่วแน่ สงบ มนั่ คง คนท่ีมีวิริยะ คอื ความเพยี ร เป็นคนที่เรียกวา่ อย่ไู ม่เป็ น สขุ ไม่อยู่น่ิง นิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ จะทาโน่นทานี่เรื่อยไป แตท่ ีนีถ้ ้าหา กว่าวิริยะนัน้ เกินไป ก็จะกลายเป็ นพร่าหรือพล่านไปเลย วิริยะ เพียร แล้วกเ็ ลยเถิดไปจนกระทง่ั วา่ ไม่ได้อะไรจริงจงั ส่วนคนที่มีสมาธินนั ้ ใจสงบอย่กู ับส่ิงท่ีกาลงั ทาหรือกาลงั เกี่ยวข้อง ใจจดใจจ่อ พอใจจดใจจอ่ ก็สบาย ก็เพลิน บางทีพอได้ สมาธิ อย่างท่ีชอบพูดกันว่ามาปฏิบัติธรรมได้ สมาธิ แล้ วใจสงบ นอกจากสงบแล้วกย็ งั ได้ความสขุ ด้วย พอทาสมาธิได้ความสขุ บาง ทีก็เลยติดอยู่ในความสุขนัน้ แล้วก็อยู่ตรงนัน้ เอง ไม่ไปไหน ไม่ อยากก้าวตอ่ ไป หรือคืบเคลอ่ื นออกไปจากสภาพนนั ้ ทา่ นวา่ คนที่มีแตส่ มาธินนั ้ ถ้าสมาธิแรงเกินไป ไม่เอาวิริยะ มาชว่ ย ก็จะกลายเป็ นคนเกียจคร้ านไป เพราะฉะนนั ้ ท่านจงึ บอก ว่าต้องปรับอินทรีย์ให้เสมอกัน วิริยะกับสมาธิต้องปรับให้เสมอ พอดีกนั เหลือจากนี ้แล้วก็มีอินทรีย์อีกตวั หนง่ึ ยงั ไม่ครบ ๕ อินทรีย์ อกี ตวั หนงึ่ นนั ้ ก็คือ สติ ซงึ่ อยตู่ รงกลาง สตินีเ้ป็ นตวั ที่คอยตรวจตรา คอยดูว่า ศรัทธาแรงไปหรืออ่อนไป ปัญญาแรงไปหรืออ่อนไป ตรวจและคอยยบั ยงั ้ คอยเหนีย่ วรัง้ คอยเตือนวา่ ศรัทธาตอนนีแ้ รง
๑๑๘ คติธรรมแห่งชีวิต ไปแล้วนะ ปัญญาตอนนีน้ ้อยไป ต้องดงึ ขึน้ มาเสริมขึน้ มา หรือว่า วิริยะตอนนีอ้ ่อนไปหรือแรงไป สมาธิอ่อนไปหรือแรงไป อะไร ทานองนี ้สติเป็นตวั คอยตรวจตราและคอยควบคมุ ไว้ เพราะฉะนนั ้ สตนิ จี ้ งึ ต้องใช้ตลอดเวลา เรื่องอินทรีย์ ๕ นีอ้ าตมภาพยกมาเป็ นตวั อย่างเพื่อให้เห็น ว่า แม้แต่ธรรมก็ต้องมีสมดุลหรือมีดุลยภาพ การปฏิบตั ิธรรมทกุ อย่างต้องมีดลุ ยภาพ ถ้าไม่มีดลุ ยภาพ ก็เสียหลกั ไปทกุ อย่าง เสีย ไปด้วยกัน ไม่ใช่ว่ามีธรรมข้อหนึ่งแล้ว ปฏิบัติเร่ือยไปจะถูกต้อง และได้ผลดีเสมอไป อย่างที่ว่าศรัทธาก็เป็ นคุณธรรมข้อหนึ่ง แต่ ไม่ใชว่ า่ ศรัทธาจะทาให้เกิดแตผ่ ลดเี สมอไป แม้แตอ่ กศุ ลธรรม ทา่ นบอกวา่ ถ้าใช้เป็ นก็เอามาเป็ นปัจจยั แก่กุศลธรรมได้ แต่มีอนั ตรายนิดหน่อย เรียกว่ามีผลพ่วงในทางเสีย เหมือนกบั ใช้ยาท่ีว่ามีสารซ่ึงเป็ นพิษอยู่บ้าง แตเ่ อามาใช้ในทางท่ี เป็นประโยชน์บางประการ บางครัง้ ก็ต้องอาศยั มนั เหมือนกนั ในท่สี ดุ ธรรมคือดุลยภาพ และดลุ ยภาพกค็ อื ธรรม ตอ่ ไปนี ้จะขอพดู ถงึ เร่ืองดลุ ยภาพของธรรมเป็ นแง่สดุ ท้าย แตเ่ ป็ นแง่ท่ีคมุ ทงั ้ หมด ว่าไปแล้วมันก็คือ การปฏิบตั ิถกู ต้ องต่อสิ่ง ทงั ้ หลายนน่ั เอง ตวั ธรรมอย่ทู ่ีนี่ และเม่ือพดู ในแง่นี ้ตวั ธรรมนน่ั เอง คอื ดลุ ยภาพ หรือดลุ ยภาพ กค็ ือตวั ธรรมนนั่ เอง เพราะฉะนนั ้ จะปฏิบัติถูกต้องต่อร่างกายให้ร่างกายเกิด ดลุ ยภาพก็ตาม ปฏบิ ตั ถิ กู ต้องตอ่ เศรษฐกิจ ดาเนินการหาเลีย้ งชีพ
ดลุ ยภาพ: สาระแหง่ สุขภาพและความสมบรู ณ์ ๑๑๙ จดั การเงินให้พอเหมาะพอดีก็ตาม หรือการปฏิบตั ิในทางสงั คมให้ พอเหมาะพอดีก็ตาม หรือการปฏิบัติในเร่ืองของจิตใจของเราให้ พอดีก็ตาม นน่ั คือ ดุลยภาพของธรรมหรือตวั ธรรมเป็ นดลุ ยภาพ เป็นข้อสดุ ท้ายซงึ่ เป็นตวั ทค่ี มุ และคลมุ ทงั ้ หมด เพราะฉะนนั ้ ในการท่ีจะปฏิบตั ิดลุ ยภาพทงั ้ หลาย ในที่สดุ แล้วกอ็ าศยั ดลุ ยภาพของธรรมนน่ั เอง มาช่วยปรับทาให้เกิดความ พอเหมาะพอดี เราอย่ใู นโลกนกี ้ ็ต้องรู้หลกั ดลุ ยภาพ ที่เราต้องรู้หลกั ดลุ ยภาพ เพราะอะไร? เพราะวา่ ส่งิ ทงั ้ หลายท่ีอย่ใู นโลกนี ้มีความสมั พนั ธ์อิง อาศยั กันทงั ้ นนั ้ มันไม่ได้อย่ลู าพงั ตวั ของมันเองเท่านนั ้ และตวั มนั เองก็เกิดขึน้ จากส่วนประกอบมากมาย ซ่งึ สว่ นประกอบเหลา่ นนั ้ จะต้องสมั พันธ์ซ่ึงกันและกัน ทาอย่างไรจะให้มีความสัมพันธ์ท่ี พอเหมาะพอดี ซง่ึ ความพอเหมาะพอดีนีถ้ ้ารักษาไว้ได้ มันก็จะทา ให้ทกุ อย่างดาเนินไปได้ด้วยดี เพราะฉะนนั ้ หลกั ในเรื่องดลุ ยภาพนี ้ กเ็ กิดจากการทสี่ ง่ิ ทงั ้ หลายนนั ้ สมั พนั ธ์ ซง่ึ กนั และกนั นน่ั เอง ดลุ ยภาพวา่ ไปแล้วกค็ อื ความสมั พนั ธ์อย่างพอเหมาะพอดี ถ้าความสมั พนั ธ์ไม่พอเหมาะพอดี เมื่อไรก็จะเสียดลุ ยภาพเม่ือนนั ้ ทีนีถ้ ้าหากว่าจะปล่อยให้มันมีดลุ ยภาพของมันเอง ก็ไม่แน่นอน เพราะว่าชีวิตของมนษุ ย์เรานีก้ ็ประสบส่ิงที่เข้ามากระทบกระท่ัง มากมายที่จะทาให้ดลุ ยภาพนนั ้ สญู เสียไป เพราะฉะนนั ้ เราจึงต้อง รู้หลกั ในการปฏบิ ตั ิเพ่อื รักษาดลุ ยภาพอนั นี ้
๑๒๐ คติธรรมแห่งชีวติ ทางพระพุทธศาสนาจึงสอนวิธีปฏิบัติในการท่ีจะรักษา ดลุ ยภาพอยเู่ สมอ แม้แต่หลกั ธรรมท่ีสาคญั สดุ ยอดท่ีสดุ ที่เรียกว่า มชั ฌิมาปฏปิ ทา ก็คือ หลกั แหง่ ดลุ ยภาพนนี ้ นั่ เอง ทางสายกลาง คอื ทางแห่งดุลยภาพ ปฏปิ ทา ก็คือ ข้อปฏิบตั หิ รือการปฏิบตั ิ มัชฌิมา ก็คือ พอดี ท่ีเราแปลกันว่าทางสายกลาง ก็คือวิธีปฏิบตั ิที่พอดีนนั่ เอง ปฏิบัติ อย่างได้สดั ได้ส่วนพอเหมาะพอดี ต้องมีองค์ประกอบ ๘ อย่างเข้า มาประสานกันพอเหมาะแล้วจึงจะเกิดเป็ นมัชฌิมาปฏิปทา กลา่ วคอื ๑. มีทิฏฐิที่เป็ นสัมมา ครบถ้วนเหมาะเจาะ คือถูกต้อง พอเหมาะกบั ความเป็นจริง ๒. มีสังกัปปะ ความดาริท่ีสัมมา คือถูกต้ องครบถ้ วน พอเหมาะพอดี เรียกวา่ โดยชอบ สานวนโบราณ ท่านเรี ยกว่าโดยชอบ หมายความว่า ถูกต้องอย่างครบถ้วน โดยสอดคล้องกับความจริง พดู ง่ายๆ ก็คือมีปัญญาเห็นชอบ มีความคิด มีความดาริที่ ถกู ต้องชอบธรรม ๓. แล้วกม็ ีการใช้วาจา ใช้คาพดู อยา่ งถกู ต้อง ๔. แล้วก็รู้จกั แสดงออก กระทาการต่างๆ ทางกาย อย่าง ถกู ต้อง ๕. เลยี ้ งชีพ คอื ประกอบอาชีพทเี่ ป็นสมั มาชพี
ดลุ ยภาพ: สาระแห่งสุขภาพและความสมบรู ณ์ ๑๒๑ ๖. แล้วกม็ ีความเพยี รพยายามอย่างถกู ต้อง ๗. มีสติทีใ่ ช้อยา่ งถกู ต้อง ๘. แล้วกม็ ีสมาธิ จติ ตงั ้ มนั่ อย่างถกู ต้อง ทงั ้ หมดนีต้ ้องมาเป็ นองค์ประกอบประสานกลมกลืนกัน ถ้าได้ไม่ครบถ้วนก็ไม่เกิดเป็ นมัชฌิมาปฏิปทา พอครบถ้ วนได้ สดั สว่ นพอเหมาะพอดี มนั จะเสริมกนั มาเป็ นปัจจยั แก่กนั และกัน แล้วทางานร่วมกนั ให้เกิดผลสาเร็จ คือการบรรลจุ ดุ หมายแหง่ ชีวิต ท่ีดีงามมีความสุข เป็ นอิสรภาพอย่างแท้ จริ ง จึงเรี ยกว่า มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า ทางสายกลาง คือ ข้อปฏิบตั ิสายกลาง หรือข้อปฏบิ ตั ทิ ่ีพอดี คาวา่ สายกลางในท่ีนคี ้ ือพอดี เพราะฉะนนั ้ ข้อปฏิบตั ิในทางพระพุทธศาสนาจึงเต็มไป ด้วยเรื่องของความพอดี หลกั ใหญ่มชั ฌิมาปฏปิ ทาก็พอดี เราจะเป็นมนษุ ย์ที่ดี ทา่ นบอกวา่ ต้องมีสปั ปรุ ิสธรรม ธรรม ของสตั บรุ ุษ หรือธรรมของคนดี ธรรมของคนดนี นั ้ มีอะไรบ้าง มีรู้จกั เหตุ รู้จกั ผล รู้จกั ตน รู้จกั ประมาณ รู้จกั กาล รู้จกั บุคคล รู้จกั ชมุ ชน ในบรรดา ๗ ข้อนี ้ ข้อท่ีสาคัญอันหน่ึงก็คือ รู้จักประมาณ รู้จัก ประมาณ ก็คือ รู้จักความพอดี ได้แก่ การรู้จกั พอดีในสิ่งทงั ้ หลาย ทงั ้ ปวง จะทาอะไรต้องรู้จกั พอดี ความพอดีนีเ้ ป็ นเรื่องสาคญั เป็ นเคล็ดลบั ในความสาเร็จ ของทุกอย่าง ถ้าทาพอดี นอกจากสาเร็จแล้ว ผลดีเกิดขึน้ ด้วย ถ้ าไม่พอดี ก็ต้องเกิดปัญหาไม่มากก็น้อย เพราะฉะนัน้ หลัก พระพุทธศาสนาท่ีเรียกว่า ทางสายกลางคือหลักของความพอดี
๑๒๒ คติธรรมแห่งชีวติ แม้แต่รับประทานอาหารท่านยังบอกว่าต้อง โภชเนมัตตญั ญุตา คือต้องรู้จักประมาณในการบริโภค ก็คือรับประทานแต่พอดี ถ้ารับประทานไม่พอดี เดย๋ี วนา้ หนกั เพิ่มมากเกินไป ก็เสียดลุ ยภาพ ทนี กี ้ ็จะยงุ่ เดย๋ี วเสียสขุ ภาพด้านนนั ้ ด้านนี ้ เพราะฉะนนั ้ หลกั พระพุทธศาสนาหมดทกุ ประการ ไม่ว่า จะไปมองอะไร จะเป็ นเรื่องปรับอินทรีย์ ๕ ให้พอดีก็ตาม เร่ือง รับประทานอาหารให้พอดีก็ตาม เร่ืองสปั ปรุ ิสธรรม ในข้อท่ีว่ารู้จกั ประมาณคือรู้จักความพอดีก็ตาม ตลอดจนกระทั่งมัชฌิมา - ปฏิปทา ปฏิบตั ิให้พอดีเป็ นทางสายกลาง ล้วนแต่เป็ นเรื่องของ ความพอดี ซง่ึ เกี่ยวกบั ดลุ ยภาพทงั ้ สนิ ้ ตกลงวา่ ทงั ้ หมดนีก้ ็คือหลกั ของการดาเนนิ ชีวิตอยใู่ นโลก ให้อย่ไู ด้ด้วยดี ดุลยภาพ คือสาระขององค์รวม ทีนี ้อาตมภาพมาพดู ในวนั นี ้ก็มาพดู ในท่ีประชมุ ของทา่ น ทีเ่ ก่ียวข้องกบั เรื่องโรคภยั ไข้เจบ็ และการดแู ลรักษาพยาบาล พร้ อม ทงั ้ ญาติโยม ท่านที่ได้มารับการรักษาพยาบาล อย่างที่กล่าวแล้ว ทกุ ทา่ นมีนา้ ใจมาสงั สรรค์ร่วมกนั ในวนั นี ้ กเ็ ป็นโอกาสอนั ดงี าม ทางโรงพยาบาลกใ็ ช้แนวความคิด (หรือจะเรียกว่าปรัชญา ก็แล้วแต่) ตามแบบ holistic คือแนวคิดแบบองค์รวม ซึง่ ในการ ปฏิบัติต่อองค์รวมนีก้ ็ถือว่าองค์รวมจะดารงอยู่ได้ต้องอาศัย ดลุ ยภาพ กล่าวคือ ความสมั พันธ์ที่พอเหมาะพอดีต่อกันระหว่าง องค์ประกอบทงั ้ หลายขององคร์ วมนนั ้
ดลุ ยภาพ: สาระแห่งสุขภาพและความสมบูรณ์ ๑๒๓ หลักพระพุทธศาสนาก็ว่าด้ วยองค์รวม เพราะว่าส่ิง ทงั ้ หลายเกิดจากการประชมุ กนั ของส่ิงต่างๆ ท่ีเป็ นส่วนประกอบ การประชุมกนั ของสิ่งทงั ้ หลายนนั่ เองเรียกวา่ องค์รวม องค์รวมก็ คือการประชมุ เข้าของปัจจยั หรือองค์ประกอบต่างๆ องค์ประกอบ เหลา่ นีต้ า่ งก็สมั พนั ธ์ซึง่ กันและกนั เม่ือสมั พนั ธ์กนั พอดี ก็จะทาให้ ทกุ อย่างเป็ นไปด้วยดี ความสัมพันธ์ที่พอเหมาะพอดีนนั ้ เรียกว่า ดลุ ยภาพ เพราะฉะนนั ้ ดลุ ยภาพจงึ เป็ นตวั ที่รักษาองค์รวมไว้ ทาให้ องค์รวมอยไู่ ด้ด้วยดี องค์รวมคือตวั เรานีจ้ ะอย่ไู ด้ด้วยดี หรือพดู อีก อย่างหนง่ึ วา่ องค์รวมคือชวี ิตนี ้จะมีสขุ ภาพดีทงั ้ กายและใจ ก็ต้อง อาศยั การรักษาดลุ ยภาพให้ดี ทงั ้ ด้านร่างกาย ทงั ้ ด้านจิตใจ และ พร้อมทงั ้ ๒ ฝ่ าย คอื ทงั ้ ระหวา่ งกายกบั ใจนนั ้ ด้วย ทางฝ่ ายแพทย์และบุคลากรของโรงพยาบาล ก็ย่อม เออื ้ อานวยช่วยเหลือในการรักษาพยาบาล การรักษาพยาบาลนนั ้ ก็เร่ิ มต้ นด้วยการที่จะพยายามให้ คนไข้ ได้มีดุลยภาพในทาง ร่างกาย เป็นประการท่ี ๑ เพราะฉะนนั ้ ที่คณุ หมอรักษา มีการฝังเข็ม มีการนวด มี การประคบ และบริหารร่างกาย อะไรตา่ งๆ นกี ้ ็ด้วยต้องการท่ีจะให้ เกิดดลุ ยภาพในทางร่างกาย แต่พร้ อมกันนนั ้ เพราะอาศัยเมตตาจิต ความปรารถนาดี ต่อคนไข้ ก็จะมีส่วนของดลุ ยภาพด้านจิตใจมาชว่ ยด้วย ถ้าสมมติ วา่ ทางฝ่ ายโรงพยาบาลน่ีไม่มีเมตตาจิต ปฏิบตั ิต่อคนไข้โดยท่ีไม่มี นา้ ใจ ทาให้ กิริ ยาวาจาไม่งาม ไม่เป็ นไปในทางท่ีเอือ้ เฟื ้อ
๑๒๔ คติธรรมแห่งชีวติ บรรยากาศขาดความอบอนุ่ คนไข้ก็ใจรันทด ข่นุ มวั เศร้ า ไม่สบาย ใจ น้อยอกน้อยใจ ผลที่สุด การรักษาพยาบาลทางร่างกายก็เลย พลอยไม่คอยได้ผลดีไปด้วย จริงหรือเปล่า อันนีก้ ็เป็ นความจริง เพราะฉะนนั ้ จงึ วา่ คณุ หมอไม่ได้รักษาแต่ร่างกายของคนไข้เท่านนั ้ คณุ หมอพร้ อมทงั ้ บคุ ลากรท่ีโรงพยาบาลนีร้ ักษาใจของคนไข้ด้วย คือพยายามชว่ ยให้จติ ใจของคนไข้อย่ใู นสภาพทีม่ ีดลุ ยภาพด้วย ดลุ ยภาพในใจเองท่ีมีจิตใจสบาย จิตใจดารงสถานะของ มนั ได้ ดารงอยไู่ ด้อยา่ งมน่ั คง ไม่เอียงไม่ทรุดลงไป นนั่ ก็ด้วยอาศยั ความปรารถนาดี มีเมตตาต่อคนไข้ ปฏิบัติด้วยความเอือ้ เฟื ้อ อย่างนีแ้ หละจะช่วยให้จิตใจของคนไข้มีดลุ ยภาพอยู่ได้ พอจิตใจ คนไข้มีดลุ ยภาพดีก็จะมาเอือ้ ตอ่ ร่างกาย ทาให้การรักษาพยาบาล ได้ผลเพ่มิ พนู ทงั ้ สองด้านเสริมซง่ึ กนั และกนั ผ้มู ดี ุลยภาพทางใจ แม้แต่ความตายกด็ งึ ข้นึ มาเข้าดุลได้ อาตมภาพก็เลยคดิ วา่ การที่คณุ หมอพดู ถึงดลุ ยภาพบาบดั ประการที่ ๑ คือเริ่มด้วยดลุ ยภาพบาบดั ทางด้านร่างกาย ก็เพราะว่า เกี่ยวข้องกบั โรคทางกาย แตแ่ ท้จริงนนั ้ ท่านคงมีความหมายลึกซงึ ้ ลงไปถึงดลุ ยภาพทางจติ ใจด้วย คอื คานงึ ถึงความเมตตาปรารถนา ดตี อ่ คนไข้ รักษาด้วยนา้ ใจ ปฏิบตั ิด้วยความเออื ้ อาทร สว่ นทางฝ่ ายคนไข้เมื่อสบายใจและวางใจวา่ เราไว้ใจต่อ คุณหมอ และทางคุณพยาบาล ว่าท่านมารักษาพยาบาลให้เรา แล้ว ก็ยกให้ท่านช่วยรักษาดุลยภาพทางด้านร่างกายของเรา
ดลุ ยภาพ: สาระแห่งสขุ ภาพและความสมบูรณ์ ๑๒๕ สว่ นตวั เราเองก็ต้องรักษาดลุ ยภาพทางใจของเรา เพราะฉะนนั ้ จึง จะต้องเอาหลกั ธรรมมาชว่ ย เมื่อเอาธรรมมาช่วยแล้ว รักษาดลุ ยภาพ ใจไว้ได้ เรากส็ บาย อย่างท่ีอาตมภาพวา่ เม่ือกีน้ ี ้ เราต้องพยายามใช้สถานการณ์ทกุ อย่างให้เป็ นประโยชน์ แกช่ ีวิตหมด มองทกุ อยา่ งให้เป็นประโยชน์ ทา่ นบอกวา่ คนท่ีเก่ง มี ปั ญญามาก ก็คือคนท่ีสามารถมองสิ่งที่เลวร้ ายที่สุดให้ ได้ ประโยชน์มากที่สุด ไม่ว่าสถานการณ์ไหนเราต้องได้ประโยชน์ อยา่ งท่ีบอกวา่ แม้แตค่ นทแ่ี ย่ทีส่ ดุ จะตายอย่แู ล้ว ยงั สามารถบรรลุ ธรรมเป็นพระอรหนั ตไ์ ด้ ตามหลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนานนั ้ แม้แต่ความตายที่ เราถือกันว่าเป็ นส่ิงท่ีไม่ดี น่าเกลียดน่ากลัวเป็ นอย่างย่ิง พระพุทธเจ้าก็ยังทรงสอนให้เอามาใช้ให้เป็ นประโยชน์ ท่านให้ เจริญมรณสติ ให้พิจารณาความตายในแง่ที่ทาจิตใจของเราให้ สดใส เบกิ บานได้ คนท่มี องความตายไม่เป็น ใจจะหดหเู่ ศร้ากลวั ใชห่ รือเปลา่ ยิ่งคนไมเ่ คยมอง บางทเี จอไมไ่ ด้ พดู ถึงไมไ่ ด้เลย บางคนใครมาพดู ถงึ ความตายไมไ่ ด้เลยนะ อยากจะหนไี ปให้พ้น หรือไลค่ นพดู ไปเลย แตใ่ นทางพระท่านบอกว่า ถ้าฝึ กตัวดีแล้ว สบายมากเลย แม้จะนึกถึงความตายตลอดเวลาก็หน้าตายิม้ แย้มแจ่มใส นึกถึง ความตายด้วยใจเป็ นสขุ อย่างนีก้ ็เป็ นได้ เพราะฉะนนั ้ บางท่าน เอาความตายมาใช้พิจารณา สามารถบรรลุอรหัตตผลเป็ นพระ อรหนั ตไ์ ปเลย มีความสขุ ยิม้ แย้มได้ตลอดกาล จิตใจเบิกบานผอ่ งใส เป็นพทุ ธะอยดู่ ้วยความรู้ ความตืน่ ความเบิกบาน
๑๒๖ คติธรรมแห่งชีวิต อยู่ในโลก กร็ ้จู กั มองสง่ิ ท้งั หลาย ยามเจบ็ ไข้ กป็ ฏบิ ตั ใิ ห้พร้อมดลุ เพราะฉะนนั ้ เราอย่ใู นโลกนีแ้ ล้ว เรามองทกุ อย่างให้ดี ใน แง่ที่เป็ นประโยชน์แก่ชีวิต แต่เรื่องนีต้ ้องมอง ๒ ชนั ้ นะ มองตาม หลกั ท่ีในทางพระพทุ ธศาสนาทา่ นเรียกวา่ โยนิโสมนสิการ เด๋ียวจะ มองเป็นดไี ปหมดทกุ อย่าง กผ็ ิดอีก การมองทถี่ กู ต้องมี ๒ อยา่ ง คือ ๑. มองตามความจริง ถ้าอะไรทเี่ ป็นเรื่องเกี่ยวกบั ความจริง ต้องมองตามความเป็นจริง คือมองตามทีม่ นั เป็น ๒. แตใ่ นแง่ที่เกี่ยวกับประโยชน์ต้องมองในแง่ดี ให้มันเป็ น ประโยชน์แก่ชีวิต หรือให้ชีวิตของเราได้ประโยชน์จาก มนั ให้ได้ เป็ นอันว่า การมองที่ถกู ต้องมี ๒ อย่าง คือ มองตามเป็ น จริง หรือมองตามที่มนั เป็ นอย่างหนึ่ง กับมองในแง่ดี หรือมองให้ เป็นประโยชนอ์ ย่างหนงึ่ สาหรับการมองอย่างท่ี ๑ ท่ีว่ามองตามเป็ นจริงนนั ้ เช่น เราจะวนิ จิ ฉยั เร่ืองราวอะไรตา่ งๆ นี ้จะมองแตใ่ นแง่ดีเสมอไปไม่ได้ นะ ผิดเลยนะ เสีย เพราะฉะนนั ้ ถ้ามองเพ่ือวินิจฉยั สิ่งต่างๆ ต้อง มองตามที่มันเป็ น มองตามเป็ นจริง แตถ่ ้าเร่ืองนนั ้ ไม่เก่ียวกับการ วินิจฉัยความจริง ก็ต้องมองในแง่เอาประโยชน์ คือ มองในแง่ดี พระพทุ ธศาสนาสอนไว้ หลกั นเี ้รียกวา่ โยนโิ สมนสกิ าร เป็นอนั วา่ ทางฝ่ ายคนไข้ก็มองอย่างที่วา่ แล้ว คือพยายาม รักษาสมดลุ หรือดลุ ยภาพทางจติ ใจเข้าไว้ จึงจะมาช่วยให้คณุ หมอ
ดลุ ยภาพ: สาระแหง่ สุขภาพและความสมบรู ณ์ ๑๒๗ รักษาทางกายได้ผลดีด้วย ตกลงว่า ทัง้ คนไข้และทางคุณหมอ พร้ อมทงั ้ บุคลากรของโรงพยาบาล ต่างก็ช่วยเสริมซึ่งกันและกัน ชว่ ยกันในการรักษาพยาบาล ไม่ใชห่ มอเป็ นฝ่ ายรักษาฝ่ ายเดียว คนไข้กต็ ้องรักษาตวั เองด้วย วา่ ท่ีจริงคนไข้มีบทบาทสาคญั มากในการรักษาตนเอง คณุ หมอนัน้ ช่วยได้ส่วนหน่ึงเท่านัน้ คิดว่าอย่างนัน้ คนไข้ต้องช่วย ตวั เองมาก ตกลงว่า บทบาททางด้ านคุณหมอและบุคลากรของ โรงพยาบาลนกี ้ ็มีดงั นี ้ ๑. ช่วยให้ เกิดดุลยภาพทางกายแก่คนไข้ ด้ วยการ รักษาพยาบาลตามวธิ ีดลุ ยภาพบาบดั ๒. มีความเออื ้ อารี มีเมตตา ไมตรีธรรมท่ีจะชว่ ยเสริมดลุ ย ภาพทางจติ ใจของคนไข้ด้วย ส่วนในฝ่ ายคนไข้ ก็ร่วมมือกับทางด้ านบุคลากรของ โรงพยาบาล ในการรักษาดุลยภาพทางกาย พร้ อมทัง้ ตัวเองก็ รักษาสขุ ภาพทางจิตใจด้วย แล้วเราก็จะได้ดลุ ยภาพทางกายและ ใจนมี ้ าเสริมกนั ทาให้เกิดความสมบรู ณ์ มาร่วมกนั สร้างกุศล ช่วยกนั ทาวนั เวลาให้เป็นมงคล และปฏบิ ตั ิตนให้สขุ สนั ต์ทุกเวลา อาตมภาพเองก็ได้มารับการรักษาที่นี่ ก็ขออนโุ มทนาใน โอกาสนีด้ ้วย ในการนีก้ ็ได้รับความเอือ้ อุปถัมภ์จากคุณหมอ
๑๒๘ คติธรรมแห่งชีวิต ลดาวลั ย์พร้อมทงั ้ บคุ ลากรท่ีนี่ โดยเฉพาะผ้ทู ่ีได้ช่วยใกล้ชิดก็มี คณุ หนมุ่ หรือคณุ กงั วาล ทไี่ ด้ชว่ ยนวดอย่เู ป็นประจา แล้วก็มีคณุ เจริญ ก็มาชว่ ยอย่บู ่อยๆ ทงั ้ นีใ้ นความดแู ลของคณุ เลก็ ซึง่ มาคอยเอาใจ ใสบ่ อกกลา่ วแนะนาอยู่ รวมทงั ้ ทา่ นอน่ื ๆ ด้วยหลายทา่ นอาตมภาพก็ เลยถือโอกาสอนโุ มทนาไว้ในท่ีนดี ้ ้วย ขออนโุ มทนาคณุ หมอ พร้ อมทงั ้ บุคลากรของโรงพยาบาล ทกุ ท่าน และในโอกาสอนั เป็ นมงคลนี ้ก็ถือว่าเราได้มาทาส่ิงที่ดี งามกันแล้ว เป็ นบุญเป็ นกุศล อย่างน้อยใจของแต่ละท่าน ก็เป็ น กศุ ล คือมีความคิดทด่ี ี ความคิดท่ีดีนนั ้ ก็เริ่มจากการมีนา้ ใจนน่ั เอง คือ มีนา้ ใจ มี ไมตรีธรรมต่อกัน แค่นีก้ ็ดีแล้ว ท่านเรียกว่า เป็ นกุศลเกิดขึน้ แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีเมตตาหรือไมตรีเกิดขึน้ ในใจนนั ้ เป็ นบุญ มหาศาลเลยทีเดยี ว การทาบุญนนั ้ บางทีเราไม่จาเป็ นต้องไปถวายทาน คือไป ถวายอาหารหรือให้ของอะไรหรอก เพียงแต่เราสร้ างใจของเราให้ เป็ นใจท่ีดี มีนา้ ใจ ชุ่มฉ่าด้วยความปรารถนาดี ก็เป็ นบุญกุศล เกิดขนึ ้ แล้ว ทกุ ทา่ นในทีน่ ีอ้ าตมภาพวา่ อย่างน้อยก็มีนา้ ใจอนั นีเ้กิดขึน้ บญุ กศุ ลจงึ เกิดขนึ ้ แล้ว นบั ว่าเราได้ตงั ้ ต้นอย่างถูกต้อง ก็ขอให้บุญ กุศลที่ตงั ้ ขึน้ ในใจนีแ้ ผ่ออกมา หลงั่ ไหลออกมาทางกาย วาจาของ เราด้วย แล้วก็มาชว่ ยนาทางชีวิตของเราให้มีความสดช่ืนเบิกบาน ตอ่ ไป
ดลุ ยภาพ: สาระแห่งสขุ ภาพและความสมบรู ณ์ ๑๒๙ ย่ิงในโอกาสท่ีจะต้อนรับปี ใหม่นี ้เป็ นเวลาท่ีเราถือตามคติ นิยมวา่ เป็นวนั เวลาท่ีดี ก็ขอให้ทกุ ทา่ นได้เตรียมใจต้อนรับความสขุ อนั นีไ้ ว้ การเตรียมใจต้อนรับความสขุ ก็โดยการกระทาของเราเอง คอื ทาใจของเราให้เป็นสขุ สดช่นื เบกิ บาน การทาใจให้สดชื่นเบิกบานนนั ้ ถ้าเป็ นพุทธศาสนิกชน ก็ เอาอย่างพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีคาแปลง่ายๆว่า รู้ ต่ืน และ เบิกบาน เพราะฉะนนั ้ เราก็ทาใจของเราให้มีพระพทุ ธเจ้าเข้าไปอยู่ ในใจ คือ ๑. มีความรู้ มองอะไรด้วยความรู้เข้าใจไม่ใช้อารมณ์ ใช้ ปัญญา รู้จกั พิจารณาเหตผุ ล แคน่ กี ้ ็ไปได้เยอะแล้ว มอง สิ่งทงั ้ หลายด้วยความรู้ด้วยปัญญา ไม่ปลอ่ ยตวั ให้เป็ น ทาสของอารมณ์ ๒. ตื่น คือ ไม่หลับใหล และไม่หลงใหล มีจิตใจท่ีต่ืน ตลอดเวลา และ ๓. เบกิ บาน คอื มีความสดช่นื ผอ่ งใส พยายามรักษาสภาพจติ ใจอยา่ งนีไ้ ว้ให้ได้เร่ือยๆ แล้ว ท่าน จะมีความสขุ และพร้อมกนั นนั ้ การรักษาโรคนกี ้ จ็ ะได้ผลดดี ้วย วนั นอี ้ าตมภาพกข็ ออนโุ มทนาอกี ครัง้ หนง่ึ ขอให้บุญกศุ ลท่ี ทา่ นได้เริ่มตงั ้ ไว้ในใจนี ้มาประกอบเข้าเป็ นแรงหนนุ ด้วยอานภุ าพ คณุ พระรัตนตรัย เป็ นเดชานภุ าพ อภิบาลรักษาให้บุคลากรแห่ง โรงพยาบาลบ้ านสวน มีคุณหมอลดาวัลย์ สุวรรณกิตติ เป็ น ประธาน พร้ อมด้วยโยมญาติมิตรท่ีมารับการรักษาพยาบาล คือ คนไข้ทุกท่าน ซึ่งมีนา้ ใจมาร่วมการสงั สรรค์ครัง้ นี ้ จงเจริญด้วย
๑๓๐ คติธรรมแห่งชีวิต จตุรพิธพรชัย มีความเจริญก้ าวหน้างอกงามรุ่ งเรือง ประสบ ความสาเร็จ พรั่งพร้ อมด้วยสขุ ภาพทงั ้ กายและใจ มีความร่มเย็น เป็ นสขุ ในพระธรรมของพระสมั มาสมั พุทธเจ้าโดยทั่วกันทกุ ท่าน ตลอดกาลนาน เทอญ
ตาย ความจรงิ แห่งชีวิต บททดสอบใจและเตอื นใหน้ กึ ถึงความจริง
ความจริงแห่งชีวิต บททดสอบใจและเตือนใหน้ ึกถงึ ความจรงิ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพทุ ฺธสสฺ ฯ โย จ วสฺสสตํ ชีเว อปสฺสํ อทุ ยพฺพยํ เอกาหํ ชีวติ ํ เสยฺโย ปสฺสโต อุทยพฺพยนฺติ บดั นี ้จะวิสัชชนาพระธรรมเทศนา พรรณนาอานิสงส์ คือ ผลดีของการบาเพ็ญกุศลทักษิณานุประทานกิจ อุทิศแด่ท่านผู้ ลว่ งลบั พร้อมทงั ้ คติเตอื นใจในทางธรรม เกี่ยวด้วยเร่ืองมรณกรรม อนั จกั เป็นเครื่องประดบั สติปัญญาบารมีของทา่ นสาธุชนทงั ้ หลาย สืบตอ่ ไป พอสมควรแก่เวลา ณ วาระนี ้ คณะเจ้าภาพ พร้ อมด้วยบุตรหลานและญาติ มิตรทงั ้ หลาย ได้จดั พธิ ีบาเพญ็ กศุ ล โดยปรารภมรณกรรมของทา่ น ผ้เู ป็นท่ีเคารพนบั ถือ เป็นญาตสิ นทิ เป็นบุรพการี จึงเป็ นเหตกุ ารณ์ ท่ีนามาซงึ่ ความเศร้ าสลดใจ และความโศกาอาลยั เป็ นอนั มากแก่ ท่านผ้ใู กล้ชิด ซ่ึงมีความรักใคร่ และระลึกถึงในพระคุณความดี และจึงได้จดั พิธีบาเพ็ญกุศลนีข้ ึน้ มา ซ่ึงจะเป็ นอบุ ายอย่างหนึ่งที่ ทาให้ระลึกว่า เราจะทาความดีเพ่ือท่านผู้ล่วงลบั และด้วยการ พระธรรมเทศนาในการบาเพญ็ กุศลอทุ ศิ คณุ ชม รกั ตะกนษิ ฐ ผูล้ ่วงลบั เมอ่ื วนั ท่ี ๑๓ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๓๓ ในการพิมพค์ รงั้ น้ีไดต้ ดั ขอ้ ความท่ีเป็นเร่ืองเฉพาะครอบครวั ออก เพ่ือการ เผยแพรเ่ ป็นสาธารณะ
๑๓๔ คติธรรมแห่งชีวิต ทาบญุ กุศลอนั เกิดจากความมีนา้ ใจนี ้ก็จะเป็ นเครื่องบรรเทาเสีย ซงึ่ ความเศร้าโศกอาลยั นนั ้ ได้บ้าง อีกประการหนึ่ง เม่ือได้จดั พิธีบาเพ็ญกุศลนีแ้ ล้ว ก็จะได้ ระลึกถึงหลักธรรมในทางพระศาสนา เป็ นเคร่ืองเตือนใจ ทาให้ ระลึกถึงความเป็ นจริงของชีวิต แล้วจะทาให้เกิดความรู้เท่าทัน ความรู้เทา่ ทนั นี ้ กจ็ ะชว่ ยบรรเทาความโศกเศร้าลงได้อกี สว่ นหนงึ่ โดยนัยนี ้ การปฏิบตั ิทางพระศาสนานนั ้ ก็จะเป็ นเครื่อง ฟื น้ ฟูบารุงจิตใจได้ ๒ ประการ ทงั ้ ในแง่เกี่ยวกับกุศล คือความดี งามต่างๆ ท่ีได้กระทา ซ่ึงเป็ นการแสดงนา้ ใจต่อท่านผ้ลู ่วงลับไป แล้ว และในส่วนของความรู้ความเข้ าใจความจริ ง รวมทัง้ ๒ ประการนี ้ อาจเป็ นเหตใุ ห้บรรเทา หรือถึงกับตดั ความโศกเศร้ า อาลยั ลงได้ และทาให้เจริญบญุ กศุ ลขึน้ มาแทนท่ี เป็ นผลดีทงั ้ แก่ ทา่ นผ้ลู ว่ งลบั และทา่ นผ้ยู งั มีชีวติ อยู่ ปฏบิ ัตติ ่อบุรพการี โดยทาหน้าท่ใี ห้ถูกธรรม ในสว่ นแรก คอื การบาเพญ็ กศุ ล ที่มีการทาความดีตา่ งๆ นี ้ กล่าวได้ว่า เป็ นการบาเพ็ญหน้าท่ีต่อกัน ท่านเรียกว่าเป็ นการ บาเพญ็ ญาติธรรม คอื ธรรมตอ่ ญาติ หรือพดู ง่ายๆ ว่าเป็ นหน้าท่ีตอ่ ญาติ คือ คนเรานนั ้ ทีม่ ีความสมั พนั ธ์ใกล้ชิดกัน เป็ นญาติพ่ีน้องกนั ก็ย่อมมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบตั ติ อ่ กนั ในยามมีชีวิตอยู่ หน้าที่ต่อกันก็เป็ นไปต่างๆ สุดแต่ว่าจะ ดารงอย่ใู นฐานะแหง่ ความสมั พนั ธ์อย่างไหน เชน่ เป็ นบิดามารดา
ความจรงิ แหง่ ชีวติ ๑๓๕ หรือเป็นพ่เี ป็นน้อง เป็นญาติเป็ นมิตร เป็ นครูอาจารย์เป็ นต้น เราก็ ปฏิบตั ิไปตามหน้าท่ีท่ีสมควรกับความสมั พนั ธ์อนั นนั ้ น่ีเป็ นหน้ าที่ สว่ นที่มนษุ ย์เราจะต้องปฏิบตั ิอย่แู ล้ว ซงึ่ เรียกว่าญาติธรรม รวม ไปถึงมิตรธรรม และ สังคหธรรม คือการสงเคราะห์กันในหมู่ ชาวโลก แต่ในเวลาท่ีท่านเหล่านนั ้ ล่วงลับ หรือพลัดพรากจากไป แล้ว การปฏบิ ตั หิ น้าท่ีตอ่ กนั อย่างท่ีเคยทาเมื่อยงั เป็ นอย่นู นั ้ เป็ นส่ิง ท่ีทาไม่ได้ ก็ต้องอาศัยวิธีปฏิบตั ิในทางพระศาสนา ท่ีเรียกวา่ เป็ น การบาเพญ็ กศุ ลอทุ ศิ แดท่ า่ นผ้ลู ว่ งลบั ไปแล้ว การบาเพ็ญกุศลอทุ ิศ แดผ่ ้ลู ว่ งลบั ไปแล้วนี ้จึงเรียกวา่ เป็ นญาติธรรมต่อท่านผ้ลู ่วงลบั ไป นนั ้ เป็นข้อปฏิบตั เิ ทา่ ท่มี นษุ ย์เราจะพึง ทาได้ และแสดงนา้ ใจได้ ตอ่ ทา่ นที่ลว่ งลบั ไปแล้ว โดยเฉพาะสาหรับท่านผ้มู ีพระคณุ เป็ นบุพการี เป็ นบิดา มารดานนั ้ การกระทาที่เป็ นการปฏิบตั ิในญาติธรรมนีย้ ังเรียกว่า เป็ นการแสดงความกตญั ญูกตเวทีอีกประการหนึ่งด้วย ถือว่าเป็ น การแสดงนา้ ใจระลึกถึงพระคุณของท่านและไม่ได้ทอดทิง้ ท่าน เม่ือทา่ นยงั อยเู่ รากแ็ สดงนา้ ใจเอือ้ เฟื อ้ โดยทางวตั ถุส่ิงของและการ แสดงออกที่เป็ นรูปธรรม ซ่งึ เรียกว่าเป็ นการปฏิบตั ิตามหลกั ธรรม คาสอนของพระพทุ ธเจ้า ดงั ทที่ รงแสดงไว้วา่ สาหรับบดิ ามารดานนั ้ ถ้าทา่ นยงั มีชีวิตอยู่ เม่ือทา่ นแก่เฒา่ ลง ทา่ นเลยี ้ งดเู รามาแล้ว เรากเ็ ลยี ้ งดทู า่ นตอบแทน นอกจากเลีย้ งดูตอบแทนท่านแล้ว ยังสามารถตอบแทน พระคณุ ในฐานะอืน่ ได้อกี มาก เชน่ วา่ ทา่ นมีกิจธุระอะไร เราพอจะ
๑๓๖ คติธรรมแห่งชีวติ มีกาลังช่วยเหลือได้ ก็ทากิจธุระนนั ้ ๆ แทนท่าน หรือรับใช้ท่านใน กิจธรุ ะเหลา่ นนั ้ ในแง่ของความประพฤติ ต้องประพฤติตนให้ดี ตงั ้ อยู่ใน ความเป็นพลเมืองดี หรือเป็นทายาทที่ดี เพื่อให้เกิดความเบาใจแก่ บิดามารดา เพราะว่าความเป็ นคนดีนนั ้ เป็ นส่ิงสาคญั ที่จะทาให้ บิดามารดามีความสบายอกสบายใจตอ่ ลกู ลกู สามารถรักษานา้ ใจ ของพอ่ แมไ่ ด้ด้วยการดารงอยใู่ นโอวาท หรือประพฤติตนเป็นคนดี ข้อสาคัญที่จะเก่ียวเน่ืองต่อไปก็คือ บุตรธิดานนั ้ จะต้อง เป็ นผ้ทู ่ีสืบมรดกหรือสืบวงศ์ตระกลู การที่จะเป็ นผ้สู ืบวงศ์ตระกูล ต่อไปได้นนั ้ ก็จะต้องเป็ นคนดี เชน่ เป็ นคนที่มีความขยันหม่นั เพียร เป็ นต้น ธรรมดาบิดามารดานัน้ ย่อมมีความหวังจากลกู ว่าจะให้ เป็ นทายาทสืบตระกูล รักษาทรัพย์มรดก แล้วก็ทาให้วงศ์ตระกูล นนั ้ มีช่ือเสยี งดารงอยใู่ นความดีงาม เมื่อเหน็ ลกู ประพฤติดี พอ่ แม่ก็ มีความเบาอกเบาใจ หรือมีความสขุ และมัน่ ใจวา่ ลกู จะรักษาวงศ์ ตระกลู ไว้ได้ ในทางตรงข้าม ถ้าเห็นลูกประพฤติไม่ดี พ่อแม่ก็ย่อมมี ความทกุ ข์เป็ นอันมาก จนกลา่ วได้วา่ ความสุขความทุกข์ของพ่อ แม่นนั ้ ฝากไว้กบั ลกู เป็ นอย่างย่ิงทีเดียว ดงั นนั ้ ถ้าลกู ประพฤติตน เป็นคนดี เป็นคนที่มีความเจริญก้าวหน้า พอ่ แม่กม็ ีความสขุ ไปด้วย การประพฤติตนเป็ นคนดีของลกู นี ้เกี่ยวโยงไปถึงการสืบ ต่อวงศ์ตระกูลด้วย ท่านจึงได้กาหนดข้อปฏิบัติไว้อีกอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะว่า จะต้องประพฤติตนให้เป็ นผ้สู มควรแก่ทรัพย์มรดกด้วย
ความจริงแห่งชีวติ ๑๓๗ ที่กลา่ วมานกี ้ ็เป็นหลกั ธรรมตา่ งๆ ที่เกี่ยวกบั หน้าที่ของบตุ ร ธิดาตอ่ บดิ ามารดา ซึง่ ท่านจะเน้นเป็ นพิเศษ ในส่วนของข้อปฏิบตั ิ ระหวา่ งบิดามารดายังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะข้อที่ว่า ท่านเลีย้ งดเู รา มาแล้ว เราก็เลยี ้ งดทู า่ นตอบแทน แตเ่ ม่ือทา่ นลว่ งลบั ไปแล้ว เราไม่ สามารถแสดงนา้ ใจในการท่ีจะเลีย้ งดูท่านตอบแทนได้ เพราะ แม้แตร่ ่างกายของทา่ น เราก็ไมส่ ามารถท่ีจะรักษาไว้ได้ เพราะฉะนนั ้ จงึ ทาได้ตามวธิ ีที่เรียกวา่ อทุ ิศกศุ ลให้ในเม่ือท่านลว่ งลบั ไปแล้ว การอุทิศกุศลนีก้ ็เป็ นกิจประการหนึ่ง แต่มิใชส่ ิน้ สดุ เพียง เทา่ นนั ้ คือจะต้องเป็ นเครื่องเตือนใจลกู ตอ่ ไป ให้ระลกึ ถึงพระคณุ ความดีของท่าน พร้ อมทงั ้ แนวทางความประสงค์ของทา่ น ท่ีตงั ้ ใจ จะให้ลกู หลานทาสง่ิ ทดี่ งี าม แล้วพยายามที่จะประพฤติปฏิบตั ิตาม เช่นตวั อย่าง คือ การรักษาวงศ์ตระกลู และรักษาช่ือเสียงเกียรติ คณุ ของวงศ์ตระกลู เป็ นต้น ดงั ท่ีได้กล่าวมานนั ้ แม้แตก่ ิจธุระอะไร ตา่ งๆ ของท่านท่ีเคยทาแทนท่าน เม่ือท่านล่วงลบั ไปแล้ว อนั ใดท่ี ยงั ทาได้ก็ต้องทาต่อไป แต่จดุ สาคญั ก็คือในขณะเม่ือท่านล่วงลับ ไปแล้วใหมๆ่ นี ้จะเน้นการกระทาท่ีปรากฏชดั คอื การบาเพญ็ กุศล ให้แกท่ า่ นผ้ลู ว่ งลบั ไปแล้ว เป็นการแสดงนา้ ใจตอ่ ทา่ น อานิสงส์ ๕ ประการของการทาํ บุญอุทศิ ให้ผลู้ ่วงลบั พระพทุ ธเจ้ากลา่ วถึงประโยชน์ของการทาบุญแบบนีว้ า่ มี อานิสงส์ถึง ๕ ประการด้วยกนั คอื ๑. เป็ นวัตถุประสงค์โดยตรงคืออุทิศกุศลแก่ผู้ล่วงลบั ไป แล้ว ให้ทา่ นได้รับผลสดุ แตอ่ ย่ใู นวิสยั อนั ใด
๑๓๘ คติธรรมแห่งชีวติ ๒. เป็นการทาหน้าท่ขี องเจ้าภาพเอง คือ การบาเพ็ญญาติ ธรรม คอื ปฏบิ ตั ิธรรมหรือหน้าที่ตอ่ ญาติ คนท่ีเราเกี่ยวข้อง ถ้าเป็ น ลกู หลานก็คือ ความกตญั ญูกตเวี ถ้าเป็ นมิตรสหาย ก็คือ สงั คห- ธรรม หรือการสงเคราะห์ ๓. เป็นการยกย่องบชู าคณุ ความดีของผ้ลู ่วงลบั ไปแล้ว ใน กรณีท่เี ป็ นลกู หลานก็คือการบูชา ยกย่องคณุ ความดีของท่าน เอา มาระลึก เอามาประกาศ เอามาแสดง วา่ เราเห็นคุณความดีของ ทา่ น และทา่ นมีคณุ ความดีให้เราต้องระลกึ ว่าท่านมีความดีตอ่ เรา เราจงึ มาระลกึ ถึง ถ้าเป็นผ้มู ีคณุ มากตอ่ สงั คม การทาความดีนีก้ ็จะ เป็นเครื่องเชิดชเู พื่อเป็ นแบบอย่างให้คนทงั ้ หลายได้ระลึก และถือ ปฏบิ ตั ติ าม การยกย่องคนดี ก็คือการยกย่องคณุ ความดี ถ้าสงั คม ใดยกยอ่ งคณุ ความดี สงั คมนนั ้ ยอ่ มมีแตค่ วามเจริญ ๔. เป็ นวิธีการในการทานบุ ารุง ให้กาลงั กบั พระสงฆ์ผ้สู ืบ ต่ออายพุ ระศาสนา พระสงฆ์มีหน้าที่ศึกษา เล่าเรียน ปฏิบัติตาม และนามาเผยแผ่ เป็ นการให้กาลงั กบั พระสงฆ์ และเป็ นโอกาสให้ พระสงฆ์นาธรรมะมาบอกกล่าวแนะนาสง่ั สอนประชาชน อธิบาย ให้เข้าใจ จึงเป็ นการสืบต่ออายุพระศาสนาไปด้วย เพราะฉะนัน้ การทาบุญเช่นนีไ้ ม่ใช่เพียงแค่ให้กับผ้ลู ่วงลบั เท่านนั ้ แตเ่ ป็ นการ ให้แก่สังคมด้วยการเชิดชคู นดี และคณุ ความดี และช่วยบาเพ็ญ ประโยชนต์ อ่ พระศาสนาด้วย เรียกวา่ โยมมีส่วนในการต่ออายุพระ ศาสนา ๕. เป็ นการที่ตนเองได้ทาบุญ เจริญงอกงามในบุญกุศล เพิ่มพูนคุณธรรมความดีต่าง เช่น ทาต่อพ่อแม่ก็ได้เจริญความ
ความจรงิ แหง่ ชีวติ ๑๓๙ กตญั ญูกตเวที ได้ฟังธรรม เจริญทาน ศีล ภาวนา จิตใจก็มีกุศล ความดงี ามเพิม่ พนู บททดสอบใจและเตอื นให้นึกถงึ ความจริง มองในแง่หน่ึง เรื่องของชีวิตท่ีมีความเกิดขึน้ และมีความ สิน้ สุดนี ้ ว่าตามคติทางพระศาสนาก็เป็ นเรื่องธรรมดา แต่เป็ น ธรรมดาในส่วนท่ีมนุษย์เราไม่ชอบใจ คือเป็ นส่วนอนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่นา่ ปรารถนา ใครๆ ก็ไม่อยากให้เกิดขนึ ้ แตม่ ันก็เป็ นสิ่ง สุดวิสัยที่จะไปห้ามปรามกีดกัน้ ได้ มันจะต้องเกิดขึน้ แน่นอน เพราะเป็ นกฎธรรมชาติ เมื่อมันยังไม่เกิดเราก็ไม่อยากให้เกิด แต่ เมื่อเกิดขนึ ้ แล้ว เราก็จะต้องยอมรับความจริง การยอมรับความจริงนี ้ถ้าเอามาใช้ในทางธรรมก็กลายเป็ น บททดสอบจิตใจของเราได้ด้วย และถ้าทาอย่างนนั ้ ก็กลายเป็ นว่า เราสามารถถือเอาประโยชนจ์ ากสถานการณ์หรือเหตกุ ารณ์ท่เี กิดขนึ ้ สว่ นที่วา่ มนั เป็นไปแล้วอยา่ งทไ่ี ม่นา่ จะเป็นไปนนั ้ เราก็ต้อง ยอมรับความจริง แต่ส่วนหนึ่งก็คือการนามาใช้ในการทดสอบ จิตใจของตนเอง เพ่ือเป็นเคร่ืองวดั ผลการปฏิบตั ิธรรมวา่ อนั นีล้ ่ะนะ คือของจริ งที่ปรากฏขึน้ แล้ ว เป็ นความจริ งตามหลักธรรมท่ี พระพทุ ธเจ้าตรัสไว้ว่า สิ่งทงั ้ หลายมีการเกิดขึน้ ตงั ้ อยู่ แล้วเส่ือม สลายไปเป็นธรรมดา โดยเฉพาะชีวิตของมนษุ ย์นี ้มีการเกิด แล้วก็ ต้องมีความตาย เป็ นของแน่นอน ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ปัญหาอยู่ ทวี่ า่ เมื่อมนั เกิดขนึ ้ แล้วเราจะทาใจของเราอย่างไร ถ้าเป็ นลกั ษณะ
๑๔๐ คติธรรมแห่งชีวติ จิตใจของผู้ที่ได้ฝึ กฝนตนเองหรือพัฒนาแล้ว ก็จะเป็ นจิตใจท่ี สามารถตงั ้ ตวั หรือฟืน้ ฟตู วั เองได้ทนั ทา่ นกลา่ ววา่ คนเรานนั ้ อยใู่ นโลกกจ็ ะต้องประสบโลกธรรม คือสิ่งท่ีเป็ นธรรมดาของโลก เป็ นธรรมดา ถ้าเราไม่ได้ฝึ กฝนจิตใจ ของเรา เวลาประสบอารมณ์ที่ไม่นา่ ปรารถนา ก็จะเกิดความเศร้ า โศกเสียใจ ท่านเรียกว่ามีการยุบหรือแฟบ จิตใจก็ห่อเห่ียว แต่ ในทางตรงข้ามถ้าได้รับอารมณ์ที่น่าปรารถนาอย่างที่เรียกว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ และความสขุ เราก็จะมีความปลาบปลืม้ ปี ติยินดี แล้วก็อาจหลงใหลมวั เมา ถ้าคนไม่ได้ฝึกฝนตนเอง ก็จะทาให้จิตใจ ฟูไปตามแล้วก็จะหลงระเริง คือไม่ใช่เป็ นเพียงแค่ปี ติยินดีตาม สมควรแก่ธรรมเทา่ นนั ้ แตจ่ ะหลงระเริงมวั เมา แล้วอาจจะเกิดเป็ น โทษ และอาจจะเกิดกิเลสตา่ งๆ ตามมาได้อีกมากมาย แต่สาหรับผ้ทู ี่ได้พัฒนาตนเองแล้ว รู้จักฝึ กฝนตนเองและ นาธรรมมากลอ่ มเกลาจิตใจ ได้รู้คติธรรมดาของส่ิงทงั ้ หลาย ก็จะ ปฏิบัติด้วยความรู้เท่าทนั ถ้าส่ิงทงั ้ หลายท่ีเกิดขึน้ เป็ นสิ่งที่ดีงาม น่าพอใจ ก็ยินดีพงึ พอใจตามสมควรแก่ธรรม แต่ไม่หลงระเริงไป หรือถ้ามีสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาเกิดขึน้ เช่นมีการสูญเสีย หรือการ พลดั พราก เป็นต้น กจ็ ะทาใจได้รวดเร็ว โดยรู้เทา่ ทนั คติธรรมดา ไม่ เศร้ าโศกจนเกินไป แล้วก็โน้มจิตใจไปในทางที่เป็ นการปฏิบัติ เพ่ือให้จติ ใจงอกงามย่ิงขนึ ้ จิตใจกจ็ ะไม่สลด ไม่ตกอย่นู าน อาจจะ ตกอย่ชู ว่ั ขณะสนั ้ ๆ ในฐานะท่เี ป็นธรรมดาของปถุ ชุ น แตเ่ สร็จแล้วก็ จะรู้เข้าใจเทา่ ทนั ความจริง พอรู้เทา่ ทนั ความจริงแล้ว ก็จะตงั ้ จิตใจ ให้ฟืน้ ขนึ ้ มาเป็นปกตไิ ด้ เม่ือตงั ้ จิตใจเป็ นปกติขึน้ มาแล้ว และรู้เทา่
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178