Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวิเคราะห์และออกแบบเชิงวัตถุ

การวิเคราะห์และออกแบบเชิงวัตถุ

Published by puangmalai chantarasena, 2021-02-23 09:33:17

Description: การพัฒนาระบบสารสนเทศ

Search

Read the Text Version

การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบเชงิ วัตถุ 3901-2002 PUANGMALAI CHANTARASENA

คำนำ เอกสารการสอน การวเิ คราะห์และออกแบบเชิงวตั ถุดว้ ย UML น้ี เรียบเรียงข้ึน เพ่ือใช้ประกอบการสอนในรายวิชา การวิเคราะห์และออกแบบเชิงวตั ถุ รหัส 30901- 2002 หลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพช้ันสูง (ปวส.) พ.ศ. 2563 สาขาวิชาเทคโนโลยี สารสนเทศ สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยมีเน้ือหาที่ประกอบด้วย หลกั การวิเคราะห์และออกแบบเชิงวตั ถุ การพฒั นาระบบสารสนเทศ หลกั การพ้นื ฐาน แนวคิดเชิงวตั ถุ โมเดลที่ใชใ้ นการออกแบบเชิงวตั ถุ ท้งั น้ีเพื่อให้ผูเ้ รียนมคี วามรู้ ความ เขา้ ใจการวิเคราะห์และออกแบบเชิงวตั ถุ สามารถนาไปเป็นแนวทางในการปฏิบตั ิและ ประยกุ ตใ์ ชง้ านตอ่ ไป ขอขอบคุณผูเ้ ขียนและเวบ็ ไซตท์ ี่ผูเ้ รียบเรียงไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ เพื่อเป็นขอ้ มลู ใน การเรียบเรียงและอา้ งถงึ หากเอกสารการสอนน้ีมีขอ้ ผิดพลาดแลพบกพร่องประการใด ผเู้ รียบเรียงขอนอ้ มรบั และปรับปรุงให้ดีข้นึ ตอ่ ไป

สำรบัญ หน้ำ คำนำ บทท่ี 1 การพฒั นาระบบสารสนเทศ บทที่ 2 หลกั การพ้นื ฐานแนวคิดเชิงวตั ถุ บทที่ 3 กระบวนการวเิ คราะห์และออกแบบเชิงวตั ถุ บทที่ 4 หลกั การและองคป์ ระกอบ UML Modelling บทที่ 5 การเขยี น Structure things, Behavioral things, Group things และ Annotation things บทที่ 6 การเขียน Relationship-Meaning, Structure และ Generalized/Specialized บทท่ี 7 การเขียน Use Case Diagram บทท่ี 8 การเขียน Class Diagram บทท่ี 9 กรณีศึกษา

บทที่ 1 การพัฒนาระบบสารสนเทศ บทนำ ระบบสารสนเทศเป็นระบบที-ช่วยใหส้ ามารถจดั การการดาํ เนินการต่าง ๆ และช่วยใหก้ ารบริหาร ขอ้ มูลเป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ องคก์ รต่าง ๆ จึงไดม้ ีการนาํ เอาคอมพิวเตอร์มาช่วยในการพฒั นาระบบ สารสนเทศ ซ-ึงการเปลี-ยนแปลงระบบเดิมใหด้ ีขNึน หรือสร้างขNึนมาใหม่ทNงั หมด โดยสิ-งที-สาํ คญั ในการพฒั นา ระบบคือผบู้ ริหารองคก์ รตอ้ งเลง็ เห็นความสาํ คญั ของการพฒั นาระบบสารสนเทศ และใหก้ ารสนบั สนุนการ พฒั นาอยา่ งเตม็ ท-ีจึงจะทาํ ใหไ้ ดร้ ะบบสารสนเทศใหม่ที-มีประสิทธิภาพ ในบทนNีจะกล่าวถึงปัจจยั ในการพฒั นาระบบสารสนเทศ แนวทางการพฒั นาระบบสารสนเทศ ทีมงานและขNนั ตอนการพฒั นาระบบสารสนเทศ ปัจจยั ในการพฒั นาระบบสารสนเทศ การพฒั นาระบบสารสนเทศขNึนมาใชง้ านนNนั ส-ิงสาํ คญั ท-ีผพู้ ฒั นาระบบตอ้ งคาํ นึงถึงคือ ระบบท-ี สร้างขNึนมาใหม่นNนั ตอ้ งมีประสิทธิภาพ ตรงความตอ้ งการของผใู้ ชง้ านระบบ และตอ้ งเสร็จตามระยะเวลา และงบประมาณที-วางไว้ ปัจจยั ท-ีสาํ คญั ในการพฒั นาระบบใหม้ ีประสิทธิภาพ สามารถสรุปรายละเอียดได้ ดงั นNี 1. ความร่วมมือของผใู้ ชง้ านระบบ เนื-องจากผใู้ ชง้ านระบบจะทราบขอ้ มูลต่าง ๆ และปัญหาที- เกิดขNึนในระบบเดิมอยแู่ ลว้ หากผใู้ ชง้ านระบบมีส่วนร่วมในการพฒั นาระบบตNงั แต่ตน้ จนจบ จะทาํ ใหไ้ ด้ ระบบที-สมบูรณ์ตรงความตอ้ งการและความพึงพอใจของผใู้ ชร้ ะบบ 2. การวางแผนการดาํ เนินการ ระบบที-ดีควรมีการวางแผนในการดาํ เนินการเป็นขNนั ตอนและ แนวทางในการพฒั นาอยา่ งถูกตอ้ ง 3. การพฒั นาอยา่ งรอบคอบในการนาํ ฮาร์ดแวร์ ซอฟตแ์ วร์ต่าง ๆ มาใชง้ าน ทีมงานพฒั นาระบบ ตอ้ งมีความรอบคอบในการทาํ งาน 4. การทดสอบ ทีมงานพฒั นาระบบจะตอ้ งมีการทดสอบโปรแกรมหรือระบบงานที-สร้างขNึนมา อยา่ งรอบคอบ 5. การจดั ทาํ เอกสารคู่มือ ระบบงานท-ีพฒั นาขNึนมาจะตอ้ งมีเอกสารคู่มือการใชง้ านอยา่ งละเอียด ทุกขNนั ตอน เพ-ือใหเ้ อาไวอ้ า้ งอิงหรือเอาไวใ้ ชใ้ นการพฒั นาระบบในครNังต่อไป 6. การเตรียมความพร้อม ตอ้ งมีการวางแผนสร้างความเขา้ ใจและฝึกอบรมผใู้ ชร้ ะบบเพื-อสร้าง ความมนั- ใจวา่ ผใู้ ชง้ านระบบสามารถปฏิบตั ิงานกบั ระบบไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ

-2- 7. การติดตNงั ระบบ เตรียมความพร้อมในการฝึกอบรมผใู้ ชง้ านระบบ 8. การตรวจสอบและประเมินผล ควรมีการตรวจสอบและประเมินผลระบบวา่ ตรงตามความ ตอ้ งการของผใู้ ชง้ านหรือไม่ 9. การบาํ รุงรักษา ควรมีการออกแบบใหม้ ีการบาํ รุงรักษาในภายหลงั แนวทางการพฒั นาระบบสารสนเทศ การพัฒนาระบบสารสนเทศเป็ นกระบวนการท-ีใช้เทคนิคการศึกษา การวิเคราะห์ และ การออกแบบระบบสารสนเทศขององค์การให้สามารถดาํ เนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ บางครNังเรียกว่า การวิเคราะห์และออกแบบระบบ (System Analysis and Design) เน-ืองจากผูพ้ ฒั นาระบบตอ้ งศึกษาและ วิเคราะห์กระบวนการ การไหลเวียนของขอ้ มูล ตลอดจนความสัมพนั ธ์ระหว่างปัจจยั นาํ เขา้ ทรัพยากร ดาํ เนินงาน และผลลพั ธ์ เพ-ือทาํ การออกแบบระบบสารสนเทศใหม่ ตลอดจนการจดั หา การติดตNงั การ ดาํ เนินงาน การประเมินระบบว่าสามารถดาํ เนินงานไดต้ ามตอ้ งการหรือไม่ กาํ หนดแนวทางในการพฒั นา ระบบในอนาคต การพฒั นาระบบสารสนเทศเป็นงานท-ีละเอียดอ่อนเกี-ยวขอ้ งกบั บุคลากรและส่วนประกอบ ขององคก์ รในหลายดา้ น จึงตอ้ งมีแนวทางและแผนดาํ เนินงานที-เป็นระบบ เพื-อท-ีจะใหร้ ะบบที-ถูกพฒั นาขNึน มีความสมบูรณ์ตรงตามความตอ้ งการ ถา้ ระบบท-ีพฒั นาขNึนมีปัญหาหรือขาดความเหมาะสมก็อาจก่อใหเ้ กิด ผลเสียทNงั โดยตรงและทางออ้ มแก่ธุรกิจ โดยเฉพาะในดา้ นค่าใช้จ่ายท-ีสูงและความเชื-อมน-ั ที-สูญเสียไป แนวทางในการพฒั นาระบบสารสนเทศใหเ้ กิดขNึนภายในองคก์ รสามารถจดั ทาํ ได้ 4 วธิ ี 1. จดั ทาํ ขNึนเองโดยอาศยั เจา้ หนา้ ที-ระบบงานคอมพิวเตอร์ องคก์ รบางแห่งมีบุคลากรในวิชาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศท-ีมีความรู้ ความสามารถมากพอ และพร้อมที-จะพฒั นาระบบงานขNึนมาใชง้ านเอง การพฒั นารูปแบบนNีจะมีขอ้ ดีตรงที-วา่ ระบบงานนNนั จะตรง กบั ความตอ้ งการของผบู้ ริหารและปฏิบตั ิงานจริง ขอ้ มูลรายละเอียดงานที-เป็นความลบั บุคคลภายนอกองคก์ ร จะไม่ล่วงรู้ แต่หากบุคลากรไม่ไดม้ ีความรู้ ความสามารถอยา่ งแทจ้ ริง หรือขาดประสบการณ์ผลเสียที-ตามมา คือไม่สามารถพฒั นาระบบสารสนเทศที-ตอ้ งการไดถ้ ูกตอ้ งและเหมาะสม 2. วา่ จา้ งใหบ้ ริษทั ที-ปรึกษาจดั ทาํ ระบบให้ ปัจจุบนั มีบริษทั ดาํ เนินการในการให้คาํ ปรึกษาทางด้านคอมพิวเตอร์เป็ นจาํ นวนมาก ท-ีรับ ปรึกษาระบบงานคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่มีหนา้ ท-ีดงั ต่อไปนNี 2.1 ใหค้ าํ ปรึกษาในการเขียนรายละเอียดสาํ หรับประมูลงานคอมพิวเตอร์ 2.2 ใหค้ าํ ปรึกษาในการวเิ คราะห์และออกแบบระบบงานคอมพวิ เตอร์ 2.3 ใหบ้ ริการในการเขียนโปรแกรมท-ีผใู้ ชต้ อ้ งการ 2.4 ใหบ้ ริการติดตNงั กาํ กบั ดูแลการติดตNงั โปรแกรม ควบคุมการเปลี-ยนระบบจากระบบงานเดิม มาเป็ นระบบระบบงานใหม่ 2.5 ใหบ้ ริการอื-นที-เก-ียวกบั คอมพิวเตอร์ เช่น การจดั ซNือ การจดั หาระบบคอมพิวเตอร์

-3- 3. การซNือซอฟตแ์ วร์สาํ เร็จมาใช้ การซNือซอฟตแ์ วร์สาํ เร็จมาใช้ นบั เป็ นวิธีสะดวกท-ีสุดสาํ หรับผูไ้ ม่มีบุคลากรดา้ นคอมพิวเตอร์ และตอ้ งการที-จะไดร้ ะบบงานมาใชโ้ ดยเร็ว ขอ้ ไดเ้ ปรียบในการจดั ซอฟตแ์ วร์สาํ เร็จมาใช้ มีดงั นNี 3.1 นาํ มาใชง้ านไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว 3.2 น่าเช-ือถือ เพราะผา่ นการทดสอบซอฟตแ์ วร์อยา่ งจริงจงั มาเป็นระยะเวลาหน-ึง 3.3 มีตาํ รา คาํ แนะนาํ จาํ หน่ายและมีผเู้ ช-ียวชาญสาํ หรับใหค้ าํ ปรึกษาหลายคนถา้ มีผใู้ ชง้ านมาก 3.4 ราคายอ่ มเยากวา่ การจา้ งบริษทั ซอฟตแ์ วร์หรือพฒั นาขNีนมาใชง้ านเอง 3.5 มกั จดั ทาํ ขNึนใหใ้ ชง้ านง่าย และเรียนรู้ไดง้ ่าย 3.6 มีการปรับปรุงใหท้ นั สมยั ตลอดเวลา เพ-ือเป็นการบริการหลงั การขาย ขอ้ เสียบางประการในเลือกใชซ้ อฟตแ์ วร์สําเร็จ เช่น บางซอฟตแ์ วร์อาจมีราคาแพง หรืออาจ ทาํ งานมาตรงความตอ้ งการของผใู้ ชค้ รบถว้ น และไม่สามารถเปลี-ยนแปลงแกไ้ ขซอฟตแ์ วร์ได้ 4. ผใู้ ชท้ าํ ขNึนเอง ระบบงานที-ผูใ้ ช้งานพฒั นาขNึนมาเอง โดยบุคคลท-ีไม่ใช่นักคอมพิวเตอร์หรือผูอ้ ยู่ในวิชาชีพ เทคโนโลยสี ารสนเทศ จะไม่มีความสลบั ซบั ซอ้ นมากนกั การพฒั นาระบบงานนNีจะตอ้ งการเครื-องมือพิเศษ สาํ หรับการพฒั นาโดยตรง เรียกวา่ ภาษายคุ ท-ี 4 หรือ เครื-องมือสร้างงานประยกุ ต์ (Application Creator) ทมี งานการพฒั นาระบบ (System Development Team) ในการพฒั นาระบบท-ีมีขนาดใหญ่ ทีมงานในการพฒั นาระบบเป็นกลุ่มบุคคลที-มีความสาํ คญั และ มีหนา้ ท-ีตอ้ งรับผดิ ชอบในขNนั ตอนการพฒั นาระบบท-ีตอ้ งทาํ งานสมั พนั ธ์ โดยแต่ละคนจะมีหนา้ ท-ีแตกต่าง กนั ไป ดงั นNี 1. คณะกรรมการดาํ เนินงาน (Steering Committee) มีหนา้ ท-ีตดั สินใจในการดาํ เนินงานโครงการ พฒั นาระบบ ตNงั แต่การกาํ หนดลกั ษณะและวตั ถุประสงคข์ องระบบที-ตอ้ งการ ไดแ้ ก่ ผบู้ ริหาร ผอู้ าํ นวยการ เป็ นตน้ 2. ผจู้ ดั การะบบสารสนเทศ (MIS Manager) มีหนา้ ที-ประสานงานดา้ นการวางแผนโครงการ การพฒั นาระบบขององคก์ ร 3. ผจู้ ดั การโครงการ (Project Manager : PM) มีหนา้ ที-ในการควบคุม ดูแลและรับผดิ ชอบ โครงการใหด้ าํ เนินงานไปไดส้ าํ เร็จ 4. นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst :SA) มีหน้าที-ในการวิเคราะห์ความตอ้ งการ ออกแบบ ระบบ และการนาํ ระบบไปใชง้ าน ส่วนมากจะพบว่ามีหน้าท-ีเกือบทุกดา้ นของการพฒั นาระบบ โดยจะมี บทบาทหลกั ๆ สาํ คญั 3 ประการในการทาํ งาน คือ เป็นที-ปรึกษา (Consultant) ผเู้ ช-ียวชาญ (Support Expert)

-4- และ ตวั แทนการเปล-ียนแปลง (Chang Agent) เพ-ือช่วยให้ผูใ้ ชง้ านระบบมีทศั นคติที-ดีและสามารถใชง้ าน ระบบใหม่ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ Jame A. Senn สรุปลกั ษณะงานของนกั วเิ คราะห์ระบบ ดงั ไปนNี • Information Analysis วเิ คราะห์ระบบเท่านNนั • System Designers หรือ Applications Development วเิ คราะห์และออกแบบระบบ • Programmer Analysis วเิ คราะห์ ออกแบบระบบ และเขียนโปรแกรม 5. นกั เขียนโปรแกรม (Programmer) มีหนา้ ที-ในการเขียนโปรแกรมใหส้ ามารถทาํ งานตามความ ตอ้ งการของระบบ หรือปรับปรุงโปรแกรมสาํ เร็จรูปใหท้ าํ งานตามที-ระบบตอ้ งการได้ 6. เจา้ หนา้ ท-ีประจาํ ศูนยส์ ารสนเทศ (Information Center Personal) มีหนา้ ที-ในการช่วยเหลือ นกั วเิ คราะห์ระบบ และนกั เขียนโปรแกรมในดา้ นขอ้ มูลที-เก-ียวขอ้ งกบั การพฒั นาระบบ ตลอดจนรวบรวม ขอ้ มูลใหเ้ ป็นระบบ 7. ผใู้ ชแ้ ละผจู้ ดั การทวั- ไป (User and General Manager) มีหนา้ ที-ในการใหข้ อ้ มูลต่าง ๆ ที-เกี-ยวขอ้ ง กบั การพฒั นาระบบไม่วา่ จะเป็นความตอ้ งการระบบ หรือปัญหาท-ีเกิดขNึนในระบบเดิม อย่างไรก็ตาม การพฒั นาระบบสารสนเทศเพ-ือให้ได้ระบบใหม่ท-ีมีประสิทธิภาพและเป็ น ที-พึงพอใจของผูใ้ ช้งาน และด้วยประการสําคญั ผูใ้ ช้เป็ นบุคคลที-เกี-ยวขอ้ งโดยตรงกบั การใช้งานระบบ สารสนเทศ ดงั นNนั ผใู้ ชแ้ ละผจู้ ดั การทวั- ไปจึงสมควรมีส่วนร่วมทNงั โดยตรงและโดยออ้ มในการพฒั นาระบบ นอกจากจะเป็ นผูใ้ ห้ขอ้ มูลในการพฒั นาระบบแลว้ เขายงั สมควรอยู่ร่วมในทีมงานพฒั นาระบบใหม่ดว้ ย เพื-อใหแ้ น่ใจวา่ ระบบที-พฒั นาขNึนสามารถปฏิบตั ิงานไดต้ ามที-ตอ้ งการ วธิ ีการพฒั นาระบบ วธิ ีการพฒั นาระบบ (System Development Approach) จะมีผลต่อความสาํ เร็จและประสิทธิภาพ การทาํ งาน ปกติจาํ แนกวธิ ีการพNืนฐานท-ีใชใ้ นการพฒั นาระบบออกเป็น 4 วธิ ี ดงั ต่อไปนNี 1. วิธีเฉพาะเจาะจง (Adhoc Approach) เป็ นวิธีการแกป้ ัญหาในงานใดงานหน-ึงโดยเฉพาะซ-ึงตอ้ ง ดาํ เนินการอย่างรวดเร็ว โดยการดาํ เนินการจะไม่คาํ นึงถึงงานหรือปัญหาอื-น ๆ ท-ีเกิดขNึน วิธีเฉพาะเจาะจง เหมาะสมกับหน่วยงานท-ีมีการเปลี-ยนแปลงรวดเร็วและบ่อยครNัง อย่างไรก็ดีข้อจํากัดท-ีสําคัญ คือ อาจก่อให้เกิดการซNาํ ซ้อนของงานระบบประมวลผลขอ้ มูล ค่าใช้จ่ายท-ีไม่จาํ เป็ น และขาดมาตรฐานของ องคก์ าร เพราะเม-ือแต่ละหน่วยงานตอ้ งการระบบสารสนเทศเพ-ือมาแกป้ ัญหาก็จะพฒั นาระบบและจดั เก็บ ขอ้ มูลเอง ซ-ึงอาจจะซNาํ ซอ้ นกบั ขอ้ มูลท-ีมีอยใู่ นส่วนอื-นขององคก์ าร ดงั นNนั การพฒั นาระบบสารสนเทศดว้ ย วธิ ีการนNีจึงตอ้ งตรวจสอบสถานะและมาตรฐานของระบบสารสนเทศในองคก์ าร เพ-ือป้องกนั ความผดิ พลาด 2. วิธีสร้างฐานขอ้ มูล (Database Approach) เป็ นวิธีการที-นิยมใชใ้ นหลายองคก์ ารท-ียงั ไม่มีความ ตอ้ งการระบบสารสนเทศเชิงกลยทุ ธ์ (Strategic Information System) โดยที-ผใู้ ชใ้ หค้ วามสาํ คญั กบั การพฒั นา

-5- ฐานขอ้ มูล เพื-อใหส้ ามารถรวบรวม จดั เก็บ และประมวลผลขอ้ มูล ไดอ้ ยา่ งเป็ นระบบ ซ-ึงจะง่ายต่อการเรียก ขอ้ มูลกลบั มาใช้ เน-ืองจากฐานขอ้ มูลเป็ นระบบสารสนเทศพNืนฐานสาํ หรับการบริหารงานในหลายองคก์ าร โดยผูพ้ ฒั นาระบบพยายามจดั การให้ขอ้ มูลท-ีเก็บไวใ้ ห้เกิดประโยชน์มากทีสุด เน-ืองจากระบบสารสนเทศ ยงั ไม่บูรณาการการเขา้ กบั กลยุทธ์ขององค์กร ทาํ ให้นักวิเคราะห์ไม่ทราบความตอ้ งการท-ีแน่นอนของ ผูบ้ ริหาร ดงั นNนั ชุดคาํ ส-ังท-ีใชก้ บั ระบบนNีมกั เป็ นชุดคาํ สั-งเฉพาะท-ีมีลกั ษณะสNัน ๆ และปฏิบตั ิงานกบั ขอ้ มูล อยา่ งใดอยา่ งหน-ึงโดยเฉพาะ 3. วธิ ีจากล่างขNึนบน (Bottom-up Approach) เป็นการพฒั นาระบบสารสนเทศจากระบบเดิมท-ีมีอยู่ ภายในองคก์ ารไปสู่ระบบใหม่ท-ีตอ้ งการ โดยที-ทีมงานพฒั นาระบบจะทาํ การตรวจสอบวา่ ส-ิงใดท-ีมีอยแู่ ลว้ ในระบบปัจจุบนั ซ-ึงจะสามารถนาํ มาพฒั นาหรือเพิ-มเติมเทคโนโลยบี างอยา่ ง ตลอดจนแกไ้ ขขอ้ บกพร่องท-ีมี อยใู่ นระบบปัจจุบนั เพื-อใหก้ ารดาํ เนินงานมีความสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพขNึน 4. วิธีจากบนลงล่าง (Top-down Approach) เป็ นวิธีการพฒั นาระบบจากระบบจากนโยบายหรือ ความตอ้ งการของผูบ้ ริหารระดบั สูง โดยไม่คาํ นึงถึงระบบที-มีอยใู่ นปัจจุบนั ขององคก์ าร การพฒั นาระบบ สารสนเทศดว้ ยวิธีนNีจะเร-ิมจากสาํ รวจกลยทุ ธ์องคก์ าร ความตอ้ งการปละปัจจยั สาํ คญั ท-ีสนบั สนุนการทาํ งาน ของผบู้ ริหารระดบั สูงให้มีประสิทธิภาพมากขNึนจากนNนั ทีมงานพฒั นาระบบจะเริ-มทาํ การพฒั นาระบบใหม่ ให้ตรงกบั ความตอ้ งการของผูบ้ ริหาร หลงั จากนNันจึงทาํ การปรับปรุงระบบเดิมท-ีมีอยู่ภายในองค์การให้ เป็ นไปตามแนวทางของระบบหลกั การพฒั นาระบบสารสนเทศที-มีประสิทธิภาพและตอบสนองความตอ้ งการของผใู้ ชอ้ ยา่ งสมบูรณ์ เกิดขNึนจากหลายปัจจยั ตNงั แต่การศึกษาความตอ้ งการของผใู้ ชร้ ะบบตลอดจนวิธีการพฒั นาระบบ ซ-ึงทีมงาน พฒั นาระบบตอ้ งทาํ การศึกษาอย่างรอบคอบ เพื-อกาํ หนดแนวทางและขNนั ตอนการพฒั นาท-ีเป็ นรูปธรรม เตรียมรับกบั ปัญหาและอุปสรรคที-เกิดขNึน ประการสําคญั ผูพ้ ฒั นาระบบตอ้ งมีความคิดสร้างสรรค์เขา้ ใจ ภาพรวมของระบบงาน เทคโนโลยี และคาํ นึงถึงปัจจยั ดา้ นบุคคล โดยเฉพาะการเมือง และการสร้างความ ยอมรับในองคก์ าร ข:นั ตอนการพฒั นาระบบสารสนเทศ ขNนั ตอนการพฒั นาระบบสารสนเทศ หรือกิจกรรมในการวิเคราะห์และออกแบบระบบ หรือ เรียกวา่ วงจรการพฒั นาระบบสารสนเทศ (SDLC : System Development Life Cycle) ซ-ึงเป็นวงจรท-ีช่วยให้ สามารถพฒั นาระบบสารสนเทศไดอ้ ยา่ งมีแนวทางและมาตรฐานขNึน วงจรการพฒั นาระบบสารสนเทศ ประกอบดว้ ยขNนั ตอน ดงั ต่อไปนNี (จิตติมา เทียมบุญประเสริฐ, 2546:233) 1. การศึกษาเบNืองตน้ หรือสาํ รวจเบNืองตน้ (Preliminary Investigation) 2. การกาํ หนดความตอ้ งการ (Determination of Requirements)

-6- 3. การออกแบบระบบ (Design of System) 4. การพฒั นาซอฟตแ์ วร์ (Development of Software) 5. การทดสอบระบบ (System Testing) 6. การติดตNงั ระบบเพ-ือใชง้ าน (System Implementations) 7. การดูแลรักษาระบบ (System Maintenance) การศึกษาเบื:องต้นหรือสํารวจเบื:องต้น (Preliminary Investigation) การศึกษาเบNืองตน้ แบ่งเป็นกิจกรรมยอ่ ย ๆ 3 กิจกรรม ดงั นNี 1. ทาํ ความเขา้ ใจปัญหา (Problem Recognition) เป็ นกิจกรรมท-ีนกั วิเคราะห์ระบบจาํ ตอ้ งเขา้ มาศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ของระบบ โดยรวบรวมขอ้ มูลต่าง ๆ เพื-อทาํ ความเขา้ ใจปัญหาและสาเหตุของ ปัญหาที-แทจ้ ริง ศึกษาความสัมพนั ธ์ของระบบงานท-ีเป็ นปัญหากบั ระบบอื-น ๆ ที-เกี-ยวขอ้ งเพ-ือให้ทราบ ปัญหาที-แทจ้ ริง 2. ศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) เป็นกิจกรรมหลงั จากทาํ ความเขา้ ใจกบั ปัญหา แลว้ กาํ หนดปัญหาคืออะไร วเิ คราะห์เปรียบเทียบวา่ การสร้างระบบสารสนเทศหรือการแกไ้ ขระบบ สารสนเทศเดิมมีความเป็นไปไดห้ รือไม่ โดยการศึกษาความเป็นไปไดว้ า่ ระบบที-จะสร้างขNึนสามารถทาํ ให้ สาํ เร็จไดภ้ ายใตท้ รัพยากรหรือขอ้ จาํ กดั ท-ีมีอยหู่ รือไม่ โดยมีค่าใชจ้ ่ายและใชเ้ วลานอ้ ยที-สุด โดยมีเกณฑค์ วาม เป็นไปไดด้ งั นNี • ความเป็นไปไดท้ างเทคนิค (Technical Feasibility) หมายถึง ความเป็นไปไดข้ อง การสร้างระบบใหม่โดยใชเ้ ทคโนโลยที ี-มีอยปู่ ัจจุบนั เขา้ มาช่วย • ความเป็นไปไดเ้ ชิงปฏิบตั ิการ(Operational Feasibility) หมายถึง ความเป็นไปได้ ของระบบใหม่ท-ีพฒั นาขNึนมานNนั ตรงตามความตอ้ งการของผใู้ ช้ • ความเป็นไปไดเ้ ชิงเศรษฐศาสตร์(Economical Feasibility) หมายถึง ความคุม้ ค่าใน การลงทุนสร้างหรือพฒั นาระบบใหม่ขNึน • ความเป็นไปไดต้ ามกาํ หนดเวลา (Schedule Feasibility) หมายถึง ระบบใหม่ท-ี พฒั นา หรือสร้างจะเสร็จตามระยะเวลาท-ีกาํ หนด 3. ขออนุมตั ิโครงการ (Request Approval) เป็ นการเสนอโครงการที-ตอ้ งการแก้ปัญหาต่อ ผบู้ ริหารเพื-อพิจารณาอนุมตั ิ โดยระบุผลดี ผลเสีย หรือผลประโยชน์ซ-ึงอาจเป็นรูปธรรม หรือผลประโยชน์ท-ี สามารถวดั ได้ เช่น การเพิ-มผลกาํ ไร การลดค่าใช่จ่าย การประหยดั บุคลากร หรือผลประโยชน์ท-ีวดั ไดย้ าก เช่น ประสิทธิภาพในการทาํ งาน การสร้างภาพลกั ษณ์ขององคก์ รให้ดีขNึน เพื-อให้ผูบ้ ริหารตดั สินใจว่าจะ

-7- อนุมตั ิโครงการหรือไม่ หรือเลือกดาํ เนินโครงการที-สาํ คญั ท-ีสุด ให้ประโยชน์มากที-สุด เหมาะสมที-สุดและ เสียค่าใชจ้ ่ายนอ้ ยท-ีสุด การกาํ หนดความต้องการ (Determination of Requirements) นกั วิเคราะห์ระบบจะตอ้ งทาํ การวิเคราะห์เพื-อศึกษาขNนั ตอนการดาํ เนินงานของระบบเดิม ศึกษา รายละเอียดของขอ้ มูลท-ีใชใ้ นการดาํ เนินการ วิธีการไดม้ าของขอ้ มูล เพื-อเก็บรวบรวมขอ้ มูลเกี-ยวกบั ความ ตอ้ งการของผใู้ ชว้ า่ ตอ้ งการเปลี-ยนแปลง ปรับปรุงหรือ ตอ้ งการระบบใหม่อยา่ งไร ดงั นNนั นกั วิเคราะห์ระบบ จะตอ้ งดาํ เนินการตามขNนั ตอนต่อ 1. รวบรวมขอ้ มูลของระบบงานปัจจุบนั ดงั นNี 1.1 วตั ถุประสงคข์ องการดาํ เนินงานระบบปัจจุบนั 1.2 ใครเป็นผกู้ ระทาํ งานหรือกิจกรรมนNนั ผรู้ ับผดิ ชอบงานเหมาะสมพียงใด 1.3 ระบบงานนNนั เกี-ยวกบั อะไร มีขNนั ตอนอยา่ งาํ ร มีกฎเกณฑม์ ากนอ้ ยเพียงใด 1.4 ขอ้ มูลเร-ิมตน้ ท-ีไหน ส่งขอ้ มูลจากไหนไปไหนใชเ้ อกสารอะไร 1.5 ขอ้ มูลอะไรบา้ งท-ีใชใ้ นปัจจุบนั เช่น แบบฟอร์ม รายงาน หรือเอกสารต่าง ๆ 1.6 ขอ้ มูลอะไรที-จดั ทาํ ขNึนมาไดใ้ นปัจจุบนั ขอ้ มูลท-ีมีอยแู่ ลว้ หรือสามารถขจดั เกบ็ ได้ 1.7 ขอ้ มูลอะไรบา้ งท-ีหน่วยงานตอ้ งการเพิ-มขNึน 1.8 ความถี- ปริมาณในการใชข้ อ้ มูลมากนอ้ ยเพียงใด 1.9 การปฏิบตั ิงานมีปัญหาเกิดขNึนหรือไม่ สารสนเทศอะไรท-ีถูกสร้างขNึน 1.10 วิธีการหรือขNนั ตอนในการดาํ เนินงานเป็นอยา่ งไร ใชเ้ คร-ืองมือหรืออุปกรณ์ใดบา้ งมาช่วย เพ-ือใหก้ ารดาํ เนินงานมีประสิทธิภาพ 2. เทคนิคที-ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เทคนิคท-ีนิยมใช้กัน ได้แก่ การสัมภาษณ์ การใช้ แบบสอบถาม การศึกษาจากเอกสารและแบบฟอร์มต่าง ๆ คู่มือการปฏิบตั ิงาน และการสงั เกต 3. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล เพื-อใหเ้ ขา้ ใจระบบการทาํ งานไดช้ ดั เจนขNึน จึงจาํ เป็นตอ้ งเอาขอ้ มูลที-เกบ็ มา วิเคราะห์และแบ่งเป็ นส่วน ๆ และเชื-อมต่อเป็ นภาพรวมใหญ่ขNึน (Diagram) เทคนิคการนําใช้ในการ วเิ คราะห์ขอ้ มูลท-ีนิยมใช้ ดงั นNี 3.1 การเขียนผงั การไหลของขอ้ มูล (Data Flow Diagram : DFD) 3.2 การเขียนพจนานุกรมขอ้ มูล (Data Dictionary : DD) 3.3 Case Tools (Computer Aided Software Engineering Tools)

-8- การออกแบบระบบ (Design of System) ในขNนั ตอนนNีผพู้ ฒั นาระบบจะตอ้ งทาํ การพิจารณาและตดั สินใจท-ีจะเลือกใชส้ ่วนประกอบของ ฮาร์ดแวร์ และซอฟตแ์ วร์ที-ใชท้ Nงั ในระดบั ตรรกะและกายภาพในดา้ นต่าง ๆ ดงั ต่อไปนNี 1. หน่วยแสดงผล (Output Unit) 2. หน่วยประมวลผล (Process Unit) 3. ขบวนการทาํ งาน (Procedures) 4. หน่วยรับขอ้ มูล (Input Unit) 5. ส่วนจดั เกบ็ ขอ้ มูล (Storing) 6. ส่วนบุคลากร (Personnel) รูปท-ี 1.1 ลาํ ดบั ขNนั ตอนการออกแบบระบบ 6 ขNนั ตอน การพฒั นาซอฟต์แวร์ (Development of Software) ขNนั ตอนนNีเป็นหนา้ ที-ของนกั เขียนโปรแกรม จาํ นวนมากนอ้ ยขNึนกบั ขนาดของระบบงานท-ีจะ พฒั นา โดยทว-ั ไปองคก์ รใหญ่จะมีนกั เขียนโปรแกรมประจาํ แต่หากองคก์ รรเลก็ อาจจะจา้ งจากภายนอก องคก์ ร โดยจะเขียนโปรแกรมตามที-นกั วเิ คราะห์ระบบหรือนกั ออกแบบระบบไดอ้ อกแบบไว้ จากนNนั จะทาํ การทดสอบขอ้ ผดิ พลาดและลพั ธ์ของโปรแกรม ประสาน ติดต่อกบั นกั วเิ คราะห์และออกแบบระบบเพื-อทาํ ความเขา้ ใจกบั ระบบใหม่ เพ-ือใหซ้ อฟตแ์ วร์ท-ีพฒั นาขNึนมาสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของนกั ออกแบบ

-9- การทดสอบระบบ (System Testing) การทดสอบระบบเป็นการทดสอบเพ-ือหาจุดบกพร่องก่อนที-จะนาํ ระบบไปติดตNงั และนาํ ไปใชง้ าน จริง เพ-ือใหแ้ น่ใจวา่ ระบบใหม่ท-ีสร้างขNึนสามารถใชง้ านไดถ้ ูกตอ้ งสมบูรณ์ ทาํ งานไดด้ ีตามวตั ถุประสงค์ การ ทดสอบตอ้ งทดสอบทNงั ดา้ นอุปกรณ์ โปแกรม คาํ ส-ัง ผลลพั ธ์หรือสารสนเทศท-ีนาํ ไปใชส้ ามารถตอบสนอง ความตอ้ งการและสร้างความพึงพอใจใหแ้ ก่ผใู้ ชง้ านระบบ การตดิ ต:งั ระบบเพืHอใช้งาน (System Implementations) ขอ้ ปฏิบตั ิท-ีตอ้ งทาํ 6 ประการในการติดตNงั ระบบและการบาํ รุงรักษา คือ 1. การจดั ตารางเวลา (Scheduling) เป็นการกาํ หนดรายละเอียดของการติดตNงั ในส่วนต่าง ๆ ให้ สมั พนั ธ์กนั และช่วยในการควบคุมงานใหเ้ สร็จ 2. การเขา้ รหสั (Program Coding) เป็นการเขียนคาํ สง-ั เพื-อสงั- ใหค้ อมพวิ เตอร์ทาํ งานตามท-ีกาํ หนด โดยปัจจุบนั มกั ใชภ้ าษารุ่นที- 4 (4 GL) และ โปรแกรมชิงวตั ถุช่วยในการเขียนโปรแกรม (OOP) การขจดั ขอ้ ผดิ พลาด (Program Debugging) เป็นการแกไ้ ขขอ้ ผดิ พลาดของโปรแกรมอนั เนื-องจาก คาํ สง-ั ของโปรแกรม เพ-ือใหก้ ารทาํ งานของโปรแกรมทาํ งานไดร้ าบรื-น ไม่เกิดขอ้ ผดิ พลาดในระหวา่ งทาํ งาน และการทดสอบระบบ (Program Testing) เป็นการทดสอบวา่ การทาํ งานของโปรแกรมที-เขียน ขNึนมามีขอ้ ผดิ พลาดหรือไม่ ตลอดจนการตรวจสอบปัญหาต่าง ๆ และทาํ การแกไ้ ขจนไม่มีขอ้ ผดิ พลาด 3. การฝึกอบรม (User Training) เป็นการฝึกใหผ้ ใู้ ชส้ ามารถทาํ งานกบั ระบบใหม่ได้ โดยมีขNนั ตอน ดงั นNี คือ กาํ หนดงานผใู้ ช้ กาํ หนดส-ิงท-ีตอ้ งฝึกอบรมหรือสิ-งที-ผใู้ ชจ้ าํ เป็นตอ้ งรู้ การตรวจสอบอุปกรณ์ ส-ิง อาํ นวยความสะดวกและความพร้อมในการฝึกอบรม จดั โปรแกรมการฝึกอบรม ดาํ เนินการฝึกอบีท และ ประเมินผลการฝึกอบรมเพื-อตรวจสอบส-ิงท-ีมุ่งหวงั ในการฝึกอบรม 4. การเปล-ียนไปใชร้ ะบบใหม่ เป็นกระบวนการในการเปลี-ยนแปลงระบบหน-ึงไปสู่ระบบหน-ึง สามารถทาํ ได้ 4 วธิ ี คือ การเปลี-ยนโดยตรง (Direct Conversion) การเปล-ียนแบบคู่ขนาน (Parallel Conversion) การเปล-ียนแบบทิNงช่วง (Phase Conversion) การเปล-ียนแบบนาํ ร่อง (Pilot Study) 5. การตรวจสอบภายหลงั การติดตNงั ระบบ (Post Implement Review) มี 3 กรณี คือ การตรวจสอบ ผลกระทบ การตรวจสอบจากผเู้ ชี-ยวชาญ การติดตามปฏิบตั ิงาน 6. การจดั ทาํ เอกสารสาํ หรับผใู้ ชร้ ะบบ เพ-ือใชอ้ า้ งอิงการใชง้ านและสามารถปฏิบตั ิงานกบั ระบบ ไดแ้ ก่ คู่มือการใชง้ าน (User Manual) คู่มือปฏิบตั ิงาน (Operation Manual) เอกสารประกอบการฝึกอบรม (Training Manual)

-10- การดูแลรักษาระบบ (System Maintenance) การดูแลรักษาเป็นการดูแลการทาํ งานของระบบภายหลงั การติดตNงั ระบบ โดยทวั- ไปการบาํ รุงรักษา มีส่วนที-สาํ คญั 2 ส่วน คือ System Maintenance และ Software Maintenance ซ-ึงเป็นหนา้ ที-ของนกั เขียน โปรแกรมนน-ั เอง โดยมีวตั ถุประสงคใ์ นการบาํ รุงรักษาระบบดงั นNี 1. เพ-ือแกป้ ัญหาท-ีเกิดขNึนของอนั เน-ืองจากการทดสอบระบบท-ีไม่สมบูรณ์ 2. เพ-ือดูแลระบบใหส้ ามารถดาํ เนินการไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ 3. เพื-อสนองต่อความตอ้ งการท-ีเกิดขNึน และการจดั ทาํ รายงานสารสนเทศตามที-ฝ่ ายบริหารตอ้ งการ 4. เพื-อปรับปรุงระบบใหม้ ีประสิทธิภาพ ลกั ษณะของการบาํ รุงรักษาระบบ มี 4 ลกั ษณะ คือ การบาํ รุงรักษาเพื-อแกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ ง การ บาํ รุงรักษาเพื-อดดั แปลง การบาํ รุงรักษาเพื-อปรับปรุงใหด้ ีขNึน และการบาํ รุงรักษาเพ-ือป้องกนั และปัญหาใน การบาํ รุงรักษาระบบจะเป็นปัญหาเก-ียวกบั ค่าใชจ้ ่ายในการเปล-ียนแปลงระบบที-ค่อนขา้ งสูง การออกแบบ และวางระบบที-ไม่เหมาะสม ฮาร์ดแวร์ที-ไม่สมั พนั ธ์กนั เป็นตน้ รูปแบบวงจรการพฒั นาระบบ รูปแบบวงจรการพฒั นาระบบไดม้ ีผคู้ ิดคน้ และพฒั นาขNึนมาใชง้ านอยา่ งหลากหลาย สรุปได้ ดงั ต่อไปนNี 1. รูปแบบนNาํ ตก (Waterfall Model) 2. รูปแบบววิ ฒั นาการ (Evolutionary Model) 3. รูปแบบค่อยเป็นค่อยไป (Incremental Model) 4. รูปแบบเกลียว (Spiral Model) สรุป การพฒั นาระบบสารสนเทศไม่วา่ จะพฒั นาระบบดว้ ยวธิ ีใดใด ทีมงานท-ีช่วยในการพฒั นาระบบจะ ประกอบดว้ ยบุคลากรที-เก-ียวขอ้ งรระบบ ตNงั แต่ผใู้ ชง้ านระบบ นกั วเิ คราะห์ระบบ นกั ออกแบบระบบและ นกั เขียนโปรแกรมในการร่วมกนั พฒั นาระบบ โดยมีกระบวนการที-สาํ คญั 3 ส่วนในการพฒั นาระบบ สารสนเทศ คือ การวเิ คราะห์ระบบ การออกแบบระบบใหม่ การพฒั นาและติดตNงั ระบบเพ-ือใชง้ าน โดยมี ขNนั ตอนยอ่ ย ๆ แตกต่างกนั ไป ซ-ึงเรียกกระบวนการพฒั นาระบบสารสนเทศนNีวา่ วงจรการพฒั นาระบบ สารสนเทศ (System Development Lift Cycle)

-11- ทบทวน 1. ปัจจยั ในการพฒั นาระบบสารสนเทศ มีอะไรบา้ ง 2. เปรียบเทียบขอ้ ดี ขอ้ จาํ กดั ของการพฒั นาระบบสารสนเทศ พอสงั เขป 3. ขNนั ตอนแรกของวงจรการพฒั นาระบบสารสนเทศ คือขNนั ตอนใด 4. กระบวนการการพฒั นาระบบสารสนเทศใดที-เป็นหนา้ ท-ีของนกั เขียนโปรแกรม 5. การติดตNงั เพ-ือใชง้ านระบบมีขอ้ ปฏิบตั ิอยา่ งไรบา้ ง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook