เครอื่ งอดั อากาศแบบฝากน้ หอย (SCROLL Compressor) รปู ท่ี 3-40 เคร่ืองอดั อากาศแบบฝาก้นหอย (Scroll Compressor) เปน็ เคร่อื งอดั อากาศแบบปริมาตรทดแทนเชงิ บวก (POSITIVE DISPLACEMENT) เหมือนแบบ ลกู สบู แต่ไมม่ วี าล์วอากาศเข้าและออกแต่มชี อ่ งอากาศออกที่ศนู ย์กลางและอากาศเข้าด้านนอกสุดตัวเครื่อง ประกอบด้วยฝาก้นหอยสองฝาประกบกัน ฝาทโี่ ตกว่าจะอยู่กับท่แี ละมีช่องอากาศออกทตี่ รงกลาง ฝาเล็ก กว่าจะสวมอยู่ในตวั ใหญแ่ ละต่อกับเพลาของเครอื่ งขับเคลื่อน เน่อื งจากเพลาขับมลี กั ษณะเป็นขอ้ เหวี่ยง เยือ้ งศูนย์กลาง เม่ือเพลาหมนุ รอบตัวเองจะทาใหฝ้ าหอยตวั เลก็ หมุนสา่ ยแบบห่วงฮูลา่ ฮูบโดยฝาไม่หมุนรอบ ตวั เอง ทาให้ครีบหอยซ่ึงชิดกนั จะแยกออก ทาให้เกิดช่องว่างทต่ี รงกบั ช่องอากาศเข้าจึงดูดอากาศเขา้ เครื่อง แล้วถกู ครบี ส่ายบบี ให้เล็กลงอยา่ งตอ่ เนื่องจนถูกไลอ่ อกทต่ี รงกลางฝาโตดงั รูปที่ 3-40 ปัจจุบนั ยังคงมแี ต่ เครอื่ งเลก็ แต่อากาศท่ีอดั ได้ไมม่ ีน้ามันหลอ่ ลื่น ยงั คงต้องพฒั นาอีกมากจงึ จะใชง้ านไดด้ ี (ข.3) เครอื่ งอดั อากาศแบบสกรเู กลียวหมนุ (Rotary Screw Compressor) รปู ที่ 3-41 เครือ่ งอัดอากาศแบบสกรูเกลียวหมนุ (Rotary Screw Compressor) คมู่ ือการอนุรักษ์พลงั งาน 3-65 V.2022
เครือ่ งอดั อากาศแบบสกรเู กลยี วหมนุ อุปกรณ์สาคญั ประกอบด้วยเพลาทุ่นสกรูเกลียวม้วนรอบทุ่น และเฉียงไปตามความยาวของทนุ่ หมนุ สองตัว เกลียวตัวผเู้ ฟืองเกลียวผิวจะนูนออก สว่ นเกลียวตวั เมีย เฟอื งเกลียวผวิ จะเวา้ เข้า ทัง้ สองตัวประกบกันโดยสว่ นสงู ของสกรเู กลียวตวั หน่ึงสวมขบในเกลียวดา้ นลึก ของสกรเู กลยี วอกี ตัวหนึ่ง ทุ่นทั้งสองตัวสวมอยู่ในเส้ือวงกลมสองวงเยือ้ งกันเหมอื นเลข 8 อาราบกิ วาง แนวนอน ทนุ่ ท้ังสองถูกขับให้หมุนรอบตวั เอง การขบกนั ของทุ่นทั้งสองทาให้ร่องเกลยี วทีข่ บกันด้านหน่งึ หมนุ ขยายออกทาใหเ้ กิดการดดู อากาศเข้าเครอ่ื ง ในขณะทดี่ า้ นตรงข้ามจะหมนุ ขบไล่ลดร่องเลก็ ลงตาม แนวแกนของทุ่นท้ังสอง เกดิ การบีบอัดอากาศให้เล็กลงและเกิดแรงดนั สูงข้นึ การหมนุ ต่อเนื่องของสกรู เกลียวขบอดั และขยายอย่างตอ่ เนอื่ งจงึ ดูดอากาศและอัดอากาศอยา่ งต่อเนื่องดว้ ยรอบการทางานสูง ทาให้ ได้อากาศอัดแรงดนั สมา่ เสมอโดยไมม่ ีแรงดนั กระเพอื่ มสูงต่าตามจงั หวะลกู สบู อดั ดดู รปู ท่ี 3-42 เพลาทนุ่ สกรเู กลียว เครอื่ งอดั อากาศสกรแู บบใชน้ า้ มนั หลอ่ ลน่ื ฉดี ทว่ มทน้ เขา้ หอ้ งอดั อากาศ มกั จะใชท้ นุ่ ตวั หนงึ่ ขบและขบั ใหอ้ กี ตวั หนง่ึ หมนุ ไปดว้ ยกนั (แตก่ ม็ แี บบใชเ้ ฟอื งขบ ขบั ไมใ่ หผ้ วิ เกลยี วสมั ผสั กนั ) ผวิ ของเกลยี วจงึ สมั ผสั กนั และเกดิ การเบยี ดกนั และ เฉอื นกนั อยา่ งรนุ แรง ฉะนน้ั น้ามนั หลอ่ ลน่ื จงึ รบั ภาระหนกั การเลอื ก น้ามนั หลอ่ ลนื่ ทด่ี แี ละเปลย่ี นถา่ ยตามระยะเวลาทกี่ าหนดจงึ มคี วามสาคญั ตอ่ ประสทิ ธภิ าพและอายกุ ารใชง้ านของเครอื่ งอดั อากาศอยา่ งยง่ิ เครอ่ื งอดั อากาศ สกรแู บบไมใ่ ชน้ า้ มนั หลอ่ ลนื่ ในหอ้ งอดั อากาศ จะมเี ฟอื งตดิ ปลายเพลาทงั้ สองขบ รปู ท่ี 3-43 สกรแู บบใชน้ ้ามนั หลอ่ ลน่ื รปู ท่ี 3-44 Flow Diagram 3-66 กลุ่มวิจัย EnConLab มหาวิทยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบุรี
ขบั ไมใ่ หผ้ วิ เกลยี วสมั ผสั กนั เดด็ ขาด หอ้ งเฟอื งซงึ่ แยกจากหอ้ งอดั จะมนี ้ามนั ทาการหลอ่ ลนื่ เฟอื ง และมอี ปุ กรณ์ กนั รวั่ (Seal) ตดิ ตงั้ ปอ้ งกนั มใิ หน้ ้ามนั หลอ่ ลนื่ รวั่ เขา้ หอ้ งอดั อากาศ การเผอื่ หา่ งของเฟอื งขบั จงึ มคี วามสาคญั เมอ่ื เฟอื งสกึ หรอเกนิ 10% จากมาตรฐานจะตอ้ งเปลย่ี นทนั ที มฉิ ะนนั้ เฟอื งเกลยี วจะเสยี ดสกี นั จนเสยี หายได้ เครอื่ งอดั อากาศสกรมู แี บบอดั ขนั้ เดยี วและอดั หลายขน้ั แรงดนั ตงั้ แต3่ บารข์ นึ้ ไป ใชง้ านมากทสี่ ดุ คอื 7 บารม์ ี 10, 13, 15 และหลายสบิ บารก์ ม็ ี (ข.4) เครอ่ื งอดั อากาศแบบทนุ่ หมนุ บานเล่อื น (Rotary Vane Compressor) อปุ กรณส์ าคญั ประกอบด้วย ทุ่น ซงึ่ เซาะรอ่ งตามแนวยาวของทุ่น มีตั้งแต่ 5, 6, 7, 8 ถึง 16 รอ่ ง ในร่องจะมบี านเล่ือนสอดไว้ บานเล่อื นอาจใช้วสั ดุเหลก็ เหนยี วผสมโลหะเบา อาจชุบโครเม่ียม หรอื ไมช่ ุบกม็ ี หรอื เหลก็ หล่อเจาะรูเพือ่ ลดน้าหนัก แล้วแตผ่ ู้ผลติ จะเลือกใช้ ทง้ั หมดสวมในเส้ือทีม่ ีเส้นผา่ ศนู ยก์ ลางโตกวา่ ตัวทุ่นและเยอื้ งศนู ยก์ ลางกันให้ชิดด้านหนึ่งและห่างอีกด้านหนงึ่ เมอ่ื ทุ่นถูกขบั ให้หมนุ แรงหนีศนู ยก์ ลางจะ เหว่ียงบานเลื่อนออกไปสมั ผัสกับด้านในของเส้ือ ทาให้ภายในเกดิ ชอ่ งว่างระหว่างเสื้อและทุ่นแบ่งเปน็ ช่อง เล็กบา้ งใหญ่บ้างต้งั แต่ 5, 6, 7, 8 ถงึ 16 ชอ่ งตามที่สรา้ งไว้ ในช่องทเ่ี ล็กทสี่ ุดจะตรงกับทางจ่ายอากาศออก เมอื่ หมุนผา่ นทางจ่ายอากาศออกจากเครื่องแลว้ ช่องเลก็ สดุ จะคอ่ ยๆขยายตวั และจะขยายตวั เต็มท่ี เมอ่ื ช่อง หมุนผ่านทางอากาศเข้าก็จะดูดอากาศเข้าเครอ่ื ง เม่ือหมุนตอ่ ไป ชอ่ งจะเลก็ ลงทาการอดั อากาศ เมอ่ื ช่องอดั อากาศไดค้ วามดันประมาณครึ่งหนงึ่ จะผา่ นรฉู ดี น้ามันหล่อลน่ื เขา้ ในเคร่อื งเพื่อทาการหล่อลื่นแต่ดว้ ย ปรมิ าณ มากเกินพอสาหรับหลอ่ ลนื่ นา้ มันจะทาหน้าที่ผนึกอุดรอยสมั ผัสระหว่างบานเลื่อนและภายในเสอ้ื ปอ้ งกันอากาศท่อี ยู่ในช่องที่มี แรงดนั สูงกว่าร่ัวเข้าช่องทีม่ ีแรงดนั ตา่ กว่าท่ีอยู่ติดกัน นา้ มันจะถกู อดั พรอ้ ม กบั อากาศ จะดูดซบั ความร้อนจากอากาศทาใหน้ ้ามันร้อนพอๆ กับอากาศ แล้วแยกน้ามันร้อนไประบาย ถ่ายเทความรอ้ นทเี่ ครื่องผลัดความรอ้ น แล้วนานา้ มันที่เย็นลงไปฉดี เข้าเคร่ืองอัดอากาศที่ช่องความดัน ประมาณครึ่งหน่ึง ตอ่ ไปซ้าแลว้ ซา้ อกี น้ามันยังถกู นาไปใชท้ าหนา้ ท่ีปรับปริมาณอากาศเข้าเครอื่ งเม่ือมีการ ใช้อากาศอัดนอ้ ยลง ความดันอากาศอัดกส็ ูงข้ึนทาให้ น้ามันหล่อล่ืนมีความดนั สูงตาม ซ่งึ จะชนะแรงดันของ สปริงทกี่ ดวาลว์ น้ามัน เปดิ ให้น้ามันหลอ่ ลื่นไปดันวาล์วปรับปรมิ าณอากาศเข้าเครอื่ งมากนอ้ ยตามความ ตอ้ งการอากาศอดั ในขณะน้ัน เมอื่ การใชอ้ ากาศมากขน้ึ ความดนั อากาศอดั ลดลงและความดันน้ามันหล่อล่ืน ก็ลดตามลงมาดว้ ย เม่ือแรงสปรงิ ชนะความดันน้ามัน สปริงจะกดวาล์วน้ามันมใิ ห้น้ามันไปท่ีวาล์วปรับ ปริมาณอากาศ สปริงทวี่ าล์วปรบั ปริมาณจะดันตวั วาล์วปรบั ปรมิ าณใหเ้ ปดิ มากขนึ้ ตามความต้องการทม่ี าก ข้ึน คมู่ ือการอนรุ ักษพ์ ลงั งาน 3-67 V.2022
รปู ท่ี 3-45 เครือ่ งอัดอากาศแบบทุ่นหมุนบานเล่ือน รปู ท่ี 3-46 เคร่อื งอดั อากาศแบบเล่ือนไหล (Dynamic Air Compressor) 3-68 กลุ่มวจิ ยั EnConLab มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบรุ ี
(ค) เครอื่ งอดั อากาศทใ่ี หค้ วามดนั ตา่ กวา่ 1 บาร์ (ค.1) พดั ลมและเครอื่ งเป่าลม (Fan & Blower) รปู ที่ 3-47 พดั ลมและเครื่องเป่าลม (Fan & Blower) ใบพดั ลมแบบเปา่ ลมใชต้ ามบา้ นทั่วไปทาแรงดันตา่ มาก ไมเ่ กนิ 35 มิลลิบาร์หรือ 350 มิลลิเมตรนา้ (สามารถดันน้าสงู ขึน้ 350 มิลลเิ มตร) แบบกรงกระรอกใบพดั เรยี งเปน็ แถวตามแนวเสน้ รอบวง (Blower) ความกว้างใบพดั ไม่เกนิ 10% ของรศั มี ทาแรงดัน ประมาณ 10 มิลลิบาร์หรือ 100 มิลลิเมตรน้าใบพดั เรียง เป็นแถวตามแนวเสน้ รอบวง (Centrifugal Fan/Blower) ความกว้างใบเกนิ 50% ของรัศมี ทาแรงดนั ได้ 140 มิลลบิ ารห์ รอื 1400 มิลลเิ มตรน้าเคร่อื งเหลา่ นี้ประสิทธภิ าพ อยู่ในย่าน 40-70% จากสตู ร Blower Bhp =cfm x TP /6356 x ME of fan แปลงสูตรเป็นหนว่ ย Metric พลงั งานตอ้ งการ เป็นหน่วยกโิ ลวตั ต์ kW in-put = 27.2x10-5 Qcmh x PmmWater Column / Eff ความเร็วรอบของเครอ่ื งเหล่าน้ีแปรเปล่ียนไปจะทาให้ ปรมิ าณ, แรงดนั , และความต้องการพลงั งาน แปรเปลี่ยนดังนี้ Q Varies as rpm P Varies as (rpm)2 kW Varies as (rpm)3 สตู รคดิ ความดนั ของของไหลโดยให้ พลงั งานศักย์ = พลงั งานจลน์ Mass X Head = 1/2Mass X Velocity2 Head = 1/2V2 หรือ VP mmH2O = (Vmps/4.043)2 VP = Velocity Pressure, measured in mmH2O(WG) or Pa etc 1 mm H2O = 9.806 Pa,1 bar =100,000 Pa หรือ 100 kPa คมู่ ือการอนุรกั ษพ์ ลังงาน 3-69 V.2022
3.6.1.2 เครอื่ งอดั อากาศแบบเคลื่อนไหล (Dynamic) แบง่ ออกเป็นสองแบบคอื แบบหมุนเหว่ียงหนศี ูนยก์ ลาง (Centrifugal / Radial) และหมนุ เหว่ียง ไหลตามแกนเพลา (Axial) (1) เครอื่ งอดั อากาศแบบหมนุ เหวย่ี งหนศี ูนยก์ ลาง (Centrifugal/Radial Compressor) เครอ่ื งอัดอากาศแบบนป้ี ระกอบดว้ ยใบพดั ซึ่งสวมภายในเสอ้ื ซึ่งมชี ่องเผอ่ื ห่างทีต่ ่ามากอากาศเข้าที่ ศูนย์กลางแล้วถูกหมุนเหว่ียงไปตามแนวรัศมีทาให้อากาศมคี วามเร็วสงู มากผา่ นช่องแคบๆ (Diffuser Passage)แลว้ เขา้ ในห้องที่ค่อยๆ ขยายตัว (Volute) และพักทนี่ ีเ่ พอ่ื แปรเปล่ียนความเร็ว (พลังงานจลน)์ (Velocity Pressure) เป็นความดัน (พลังงานศกั ย)์ (Static Pressure) ฉะนั้นเครอ่ื งเหล่านี้จึงตอ้ งหมุน ด้วยความเร็วสงู หรอื อัดหลายๆคร้ัง (Multi-Stage) จงึ จะได้แรงดันท่ตี อ้ งการ รปู ท่ี 3-48 เครื่องอัดอากาศแบบหมุนเหว่ียงหนศี นู ย์กลาง (2) เครอื่ งอดั อากาศแบบหมนุ เหวย่ี งไหลตามแกนเพลา (Axial Compressor) เคร่ืองอัดอากาศแบบน้ตี วั ทุ่นหมนุ ติดซ่ีพัดลมสั้นแบบอากาศพลวัตร (Airfoil) สวมในตัวเส้ืออยู่ กบั ท่ซี ง่ึ กม็ ซี พ่ี ัดลมแบบเดยี วกันโดยสดับตัวหมุนหน่ึงตัวกับตวั อยู่กับท่ีหนง่ึ ตัวเรียงจากเส้นผา่ ศูนย์กลางโต ดา้ นอากาศเข้าไปหาเล็กดา้ นจา่ ย จานวนขั้นการอัดมากนอ้ ยขึน้ กับความดันทอี่ อกแบบไวโ้ ดยผ้ผู ลิต 3-70 กลุ่มวิจยั EnConLab มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบรุ ี
รปู ท่ี 3-49 เคร่อื งอัดอากาศแบบหมนุ เหว่ียงไหลตามแกนเพลา (3) เครอ่ื งเปา่ อากาศ Ejector เครือ่ งเป่าอากาศน้ีจะจดั เป็นการเพม่ิ ความดันหรือลดความดนั แล้วแตจ่ ะมอง ถ้ามองทางด้านความ ดนั สูงเป่าอากาศออกจะลดความดนั แตเ่ พิ่มปริมาณอากาศ เพราะจะดูดอากาศจานวนหน่ึงเขา้ มาผสมแลว้ เป่าออกด้านจา่ ยออก ถ้ามองด้านความดันต่าด้านดูดก็จะเป็นการเพิม่ ความดนั โดยถอื วา่ อากาศอดั ความ ดันสูงเปน็ ตัวขับเคลอื่ นในการอดั อากาศ เคร่ืองนี้เป็นท่อขนาดโตเพ่ือใหอ้ ากาศเข้าท่อแล้วคอ่ ยๆ คอดเลก็ ลงแล้วขยายโตข้ึนอกี ดา้ นท่อโตน้จี ะมที อ่ เล็กกว่าสอดตรงศนู ยก์ ลางเพื่อเป่าอากาศอดั เข้าท่อ และท่ชี ่วง คอดนจี้ ะเป็นท่ีสร้างความดันตา่ ตามที่คดิ สรา้ งไว้ อากาศความดันสูงผสมกับอากาศความดันต่าถูกเปา่ ออก ด้านท่อท่ขี ยายโตขนึ้ ดา้ นตรงข้ามด้านเขา้ เครือ่ งเปา่ อากาศนีป้ ระสิทธภิ าพต่า มักใชใ้ นกรณที ่ีมอี ากาศอดั ความดนั สูงเหลือใช้และตอ้ งการอากาศอัดความดนั ตา่ กว่าใช้งาน คอคอดมากหรอื น้อยจะลดความดันมาก หรอื นอ้ ยตามส่วน แต่ท่พี บมากมักเปน็ การใชด้ า้ นดูดเพื่อดดู จับชน้ิ งานเล็กๆ ในโรงงานประกอบอปุ กรณ์ชน้ิ เล็กๆ เชน่ อุตสาหกรรมอเิ ล็กทรอนิกส์ เป็นต้น รปู ที่ 3-50 เครอื่ งเปา่ อากาศ ข้อควรระวงั การใช้เครอ่ื งอดั อากาศร่วมกันของแบบ Positive Displacement และ Dynamic คอื ถา้ ภาระต่า เครอื่ งอัดอากาศแบบ Positive Displacement จะเดินเครอ่ื งที่แรงดนั สูงข้ึนจนเกิน แรงดันของเคร่ืองแบบ Dynamic แล้วเครอ่ื งแบบ Dynamic กจ็ ะเดนิ โดยไม่อัดอากาศออกจากเครื่อง เพราะสแู้ รงดันในระบบไมไ่ หวจึงทาใหบ้ รโิ ภคพลังงานไฟฟา้ แตแ่ ทบไม่สง่ อากาศอดั เข้าในระบบ จึงทาให้ ส้ินเปลืองพลังงานมหาศาล คมู่ ือการอนรุ ักษพ์ ลังงาน 3-71 V.2022
3.6.2 แนวทางการประหยดั พลงั งาน แนวทางการประหยดั พลงั งานสาหรับระบบอัดอากาศมดี ังน้ี 1. การลดการรวั่ ไหลของอากาศอดั การรวั่ ของอากาศอัดเปน็ ความสญู เสยี ท่ีสูญเปลา่ ของโรงงาน ซ่งึ เครือ่ งอัดอากาศตอ้ งทางานมาก ข้ึนและนานข้ึนเพอื่ อดั อากาศให้ได้ตามความต้องการ ทาให้เกิดการสญู เสียพลงั งานปริมาณมากไปโดยไม่ จาเป็น โดยทั่วไปปริมาณอากาศรว่ั จะสงู เกนิ กว่ารอ้ ยละ 10 ของปริมาณอากาศอัดทัง้ หมด ในบางโรงงาน อาจมีอากาศร่ัวอยูถ่ ึง 20-30%ทีเดยี ว การรัว่ มกั จะเกิดขน้ึ ตามข้อต่อ, ขอ้ งอ, ท่อสง่ ลม, วาลว์ เช่ือมตอ่ ต่างๆ หรอื จุดเชื่อมต่อของอปุ กรณ์ต่างๆ ในกระบวนการผลิต ดงั นนั้ โรงงานจึงควรมกี ารตรวจสอบและ ซ่อมแซมรูรวั่ ในระบบอัดอากาศเป็นระยะๆ อย่างน้อยปลี ะครง้ั สาหรบั ระบบอัดอากาศทีม่ ีการตรวจสอบและ มีแผนการบารุงรักษาเป็นระยะอย่างสม่าเสมอ ปริมาณลมร่วั ในระบบอดั อากาศไมค่ วรมีค่าเกินร้อยละ 10 ของการผลิตลมท้งั หมดในระบบอดั อากาศ 2. การลดอณุ หภูมอิ ากาศเขา้ พลังไฟฟ้าท่ีเครื่องอัดอากาศใช้แปรผันตามอุณหภูมิอากาศที่เข้าเคร่ือง จากการที่อากาศที่มี อุณหภูมติ ่าจะมีความหนาแน่นของอากาศมากกว่าอากาศทม่ี อี ุณหภูมิสงู ในการอัดอากาศให้ได้ระดบั ความ ดนั ท่ตี ้องการ ถ้าใช้อากาศทเี่ ขา้ เครอ่ื งอัดอากาศที่มอี ุณหภมู ิต่าลงหรอื เปน็ อากาศเย็น ซ่งึ อาจจะทาได้โดย จดั การระบายความรอ้ นในห้องเครือ่ งให้ดขี ้ึนหรือเดนิ ท่อนาอากาศเยน็ จากภายนอกเขา้ มา เครื่องอดั อากาศ จะใชพ้ ลงั ไฟฟ้าลดลง ดงั นั้นการควบคุมอณุ หภูมิอากาศเขา้ เครอื่ งอดั อากาศให้มคี ่าต่าๆ จะส่งผลต่อการ ประหยดั พลังงานได้ 3. การปรบั ลดความดนั ใหเ้ หมาะสมกับการใชง้ าน เน่อื งจากปรมิ าณพลังงานที่เคร่อื งอัดอากาศใช้มคี า่ เปล่ียนแปลงตามความดันอากาศทเี่ ครอื่ งอดั อากาศผลิต การผลิตอากาศอัดทค่ี วามดันสูงจะสิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้น ดงั น้ันจงึ ควรต้ังค่าความดันของ เครอื่ งอัดอากาศใหเ้ หมาะสมกับความต้องการของอปุ กรณป์ ลายทาง โดยทวั่ ไปถ้าความดันที่ใช้งานสูงกว่า ความดันทีต่ อ้ งการมากกว่า 10 Psi ขน้ึ ไป ควรพจิ ารณาความเป็นไปได้ในการลดความดนั ลง (ยกเวน้ กรณี ที่มคี วามดันตกในทอ่ มาก) และทุกๆ 10 Psi ท่ีลดความดนั ลง การสูญเสยี จากการร่ัวไหลจะลดลง 5% 4. การเปลยี่ นเครอ่ื งอดั อากาศใหม้ ขี นาดเหมาะสมกบั โหลด เครอ่ื งอดั อากาศรนุ่ เกา่ ๆ ขณะทไี่ มม่ ภี าระจะกนิ กาลงั 80-90% ของกาลงั พกิ ดั ขณะทเี่ ครอื่ งอดั อากาศ รนุ่ ใหมๆ่ จะกนิ กาลงั 40-60% ของกาลงั พกิ ดั การทเ่ี ลอื กเครอ่ื งอดั อากาศใหญก่ วา่ ภาระทตี่ อ้ งการ คอมเพรสเซอรจ์ ะทางานเพอ่ื ผลติ อากาศในชว่ งระยะเวลาสนั้ ๆ ทเ่ี หลอื เปน็ การสญู เสยี ไปในภาวะไมม่ ภี าระ การ 3-72 กลุม่ วจิ ัย EnConLab มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบุรี
เปลยี่ นใหม้ ขี นาดเหมาะสมกบั ภาระ คอมเพรสเซอรจ์ ะทางานอดั อากาศเกอื บตลอด การสญู เสยี ในขณะไรโ้ หลด กจ็ ะลดลง ดงั นน้ั คอมเพรสเซอรท์ ม่ี สี ดั สว่ นการทางานต่าๆ จงึ ควรพจิ ารณาลดขนาดเครอ่ื งลง 5. การลดการเดนิ เครอื่ งอดั อากาศแบบไรโ้ หลด หรอื การบรหิ ารเครอื่ งอดั อากาศอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ เน่อื งจากเคร่อื งอัดอากาศประสิทธิภาพจะลดต่าลงมากเม่อื ทางานทภี่ าระนอ้ ยๆ การเดนิ เครอื่ งอดั อากาศขนาดเล็กท่ภี าระเตม็ พกิ ัดโหลด ประสิทธภิ าพจะดีกวา่ การเดินเครื่องอดั อากาศขนาดใหญ่ทภี่ าระการ ทางานตา่ ๆ (Part Load) ดงั นัน้ ในระบบรวมทีใ่ ช้เครื่องอดั อากาศหลายชดุ จึงควรเลอื กเดินเครือ่ งท่ีมี ประสทิ ธภิ าพสงู สดุ และให้ทุกเครือ่ งทางานใกลเ้ คียงกบั พิกดั ใหม้ ากทสี่ ุด หยุดเคร่อื งทีท่ างานภาระน้อยลง 6. การนาความรอ้ นทง้ิ จากเครอื่ งอดั อากาศมาใช้ เครอื่ งอดั อากาศทั้งแบบลกู สูบและแบบสกรู พลงั งานท่ีใช้ในการอดั 60-90% สญู เสียไปในรปู ความ รอ้ นเพียง 10-40% เทา่ น้ันทอ่ี ยู่ในอากาศอดั ความรอ้ นส่วนนส้ี ามารถนามาใช้ประโยชนใ์ นกระบวนการผลิต ทตี่ ้องการความร้อนอณุ หภูมติ ่า หรืออ่นุ น้าป้อนหม้อไอนา้ ไดค้ วามร้อนทง้ิ ทอ่ี าจจะเป็นท้ังอากาศระบายความ ร้อน และนา้ หลอ่ เยน็ ในเคร่ืองอดั อากาศ 7. การบารงุ รกั ษาเครอ่ื งอดั อากาศกาหนด โรงงานควรมีแผนการบารุงรกั ษาตามกาหนด ซง่ึ จุดท่คี วรให้ความสาคญั มดี งั น้คี อื ควรตรวจหาและซ่อมจุดรัว่ ไหลของอากาศอย่างสมา่ เสมอ ตรวจสอบการระบายน้าในถังลมและท่ออย่างสมา่ เสมอ ควรตรวจสอบทกุ วัน ถา้ เปน็ ระบบ อัตโนมตั ิให้ทดสอบวา่ ทางานถกู ต้อง ไม่ตั้งเวลานานเกินไป ควรหมน่ั ทาความสะอาด ชุดกรองอากาศในระบบอัดอากาศ แผงกรองอากาศก่อนเข้าเครอื่ ง ตัวกรองสารแขวนลอยในระบบน้าหล่อเยน็ ทกุ เดอื น รวมทั้งทาการเปลี่ยนเมอ่ื ถึงระยะเวลาท่ี เหมาะสม ควรตรวจสอบสภาพและปริมาตรของน้ามันหล่อลน่ื ทกุ วัน ควรเปลยี่ นถ่ายน้ามันหลอ่ ล่ืนและไส้กรอง, อดั จาระบี ทุก 6 เดอื น หรือเมือ่ หมดอายุการใช้งาน ควรตรวจและปรบั แตง่ สายพานส่งกาลงั หรอื ชดุ เกียร์ส่งกาลังอย่างสม่าเสมอทกุ เดือน ควรมกี ารตรวจวดั และบันทึกอณุ หภมู ิและความดันของอากาศเข้าเครือ่ งอดั และอากาศในถงั และอุณหภมู ิสารระบายความรอ้ นเขา้ และออก คู่มือการอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน 3-73 V.2022
3.6.3 วธิ กี ารตรวจวดั วิเคราะหก์ ารใชพ้ ลังงาน การตรวจวัดการใชพ้ ลงั งานในระบบอดั อากาศ มีการวัดค่าดังตอ่ ไปนี้ หมายเลข คา่ ทีต่ รวจวัด ตัวแปร หน่วย เครื่องมอื ท่ีใช้ 1 วัดอัตราการรวั่ ไหล จับเวลาการ Load-Unload t min นาฬกิ าจับเวลา Pend Barg เกจวดั ความดนั 2 ความดนั ปลายทาง ณ จดุ ใช้งาน 3 วดั อตั ราการผลติ ลม จบั เวลาการเพม่ิ ของความดัน 1 Bar t min นาฬกิ าจับเวลา V M3 ปรมิ าตรถัง วัดปรมิ าตรถงั P kW เครื่องวัดกาลงั ไฟฟ้า Pdis Barg เกจวัดความดนั 4 กาลงั ไฟฟา้ ของเคร่ืองอดั อากาศ Tr C เครือ่ งวัดอณุ หภูมอิ ากาศ 5 ตรวจสอบความดันทึ่ปรบั ตัง้ 6 อณุ หภูมิห้องเครอ่ื งอัดอากาศ 3-74 กล่มุ วจิ ัย EnConLab มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบุรี
3.6.4 เกณฑช์ ว้ี ดั ประสทิ ธภิ าพพลงั งาน เกณฑ์ช้ีวดั เปน็ คา่ ที่บ่งบอกว่าระบบอัดอากาศมีประสิทธิภาพดหี รอื ไม่ ความสญู เสียพลังงานอยูใ่ น เกณฑ์ท่เี หมาะสมหรือไม่ ตารางที่ 3-6 เกณฑก์ ารใช้พลงั งานสาหรับระบบอดั อากาศ พารามเิ ตอร์ คา่ ทเ่ี หมาะสม 1. การใช้ลมต่อวัน (Q/day ,kWh/d) ควรอยู่ในช่วงควบคมุ 2. การใช้ลมตอ่ ผลผลติ (Q/ton, kWh/ton) ควรอยู่ในช่วงควบคุม 3. สมรรถนะเคร่อื ง (kW/ m3/min) 5.5-6 kW/ m3/min 4. %Unload <20% 5. %การร่วั ไหล <5% 6. ความดันตกในการสง่ จ่าย ต้นทางลบปลายทาง < 0.5 Bar 7. การระบายอากาศหอ้ งเครือ่ ง (Troom - Tamb) 3oC 8. ความดันที่เครอื่ งต้ัง-ความดันท่สี ูงสุดต้องการ < 1 Bar ค่มู อื การอนุรักษ์พลงั งาน 3-75 V.2022
3.7 มอเตอรไ์ ฟฟ้า ป๊มั นา และพดั ลม มอเตอรไ์ ฟฟ้า และอุปกรณ์เคร่ืองจกั รที่มอเตอรข์ ับ เป็นอุปกรณใ์ ชพ้ ลังงานไฟฟ้าหลกั ทั้งในอาคาร และโรงงานอตุ สาหกรรม เน่ืองจากมอเตอร์ไฟฟ้าจะตอ้ งทางานร่วมกับอุปกรณ์เครอ่ื งจักรอน่ื ไม่สามารถ ทางานเดีย่ วๆ ได้ ในหวั ข้อน้ีจงึ กล่าวถึงมอเตอร์ไฟฟา้ รวมถงึ ป๊ัมนา้ และพัดลม ซ่งึ เปน็ อุปกรณ์ทางกลหลกั ทม่ี อเตอรข์ บั เคล่ือน ครอบคลมุ เทคโนโลยีท่ีเกยี่ วข้อง แนวทางประหยัดพลงั งาน และการตรวจวดั การใช้ พลงั งาน และเกณฑค์ ่าประสิทธิภาพพลังงานท่ีเหมาะสม 3.7.1 เทคโนโลยี มอเตอร์ ปม๊ั นา้ และพดั ลม มอเตอร์ไฟฟ้า มอเตอร์ไฟฟ้าท่ีใชใ้ นอุตสาหกรรม สามารถจัดเปน็ 2 ประเภทใหญๆ่ คอื มอเตอร์ไฟฟา้ กระแสตรง และมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ และมอเตอร์ไฟฟา้ กระแสสลบั มี 2 ประเภท ทแี พร่หลายทส่ี ุด คือ มอเตอร์ เหนยี่ วนา รปู ท่ี 3-51 ประเภทของมอเตอร์ 1. มอเตอรไ์ ฟฟ้ากระแสตรง เป็นมอเตอรแ์ บบแรกที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้หลักการจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงเข้าทั้งขดลวดท่ีอยู่กับท่ีและ ที่เคล่อื นที่ เพ่อื ให้เกดิ แรงทางแม่เหล็กไฟฟา้ ขนึ้ เนือ่ งจากความสามารถในการควบคุมความเร็วรอบได้อย่าง แม่นยา ปัจจุบันจึงมีใช้งานในอุปกรณ์ท่ีต้องการความแม่นยาในการควบคุมความเร็วรอบ โดยเฉพาะอย่าง ยง่ิ เคร่ืองจักรขนาดใหญ่ 3-76 กลมุ่ วจิ ัย EnConLab มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบุรี
รปู ที่ 3-52 มอเตอรไ์ ฟฟา้ กระแสตรง เน่ืองจากระบบการส่งจ่ายไฟฟ้าเป็นระบบไฟฟ้ากระแสสลับ การใช้งานมอเตอร์กระแสตรงจึง จาเป็นต้องมีชุดสร้างแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC Drive) ป้อนให้มอเตอร์นอกจากนี้มอเตอร์ไฟฟ้า กระแสตรงจาเปน็ ต้องจา่ ยไฟฟ้าเข้าไปยงั ขดลวดชุดที่อยูก่ ับแกนหมุน จึงจาเป็นต้องมีแปรงถ่านและคอมมิว เตเตอร์ ซงึ่ เปน็ อุปกรณส์ ึกหรอ ซ่ึงเป็นข้อจากัดของการใช้งานของมอเตอร์กระแสตรง มอเตอร์แบบยูนิเวอร์ซัล เป็น มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงแบบอนุกรม ท่ีสามารถรับไฟฟ้า กระแสสลับเฟสเดียวได้ด้วยจึงมักเรียกว่า มอเตอร์แบบยูนิเวอร์ซัล ด้วยโครงสร้างที่ง่ายจึงมีใช้งานใน เครื่องมือเลก็ ๆ เชน่ จกั รเย็บผา้ อตุ สาหกรรม เป็นตน้ 2. มอเตอรก์ ระแสสลบั แบบเหนย่ี วนา รปู ที่ 3-53 มอเตอรไ์ ฟฟ้ากระแสสลบั แบบเหนี่ยวนา มอเตอร์แบบเหน่ียวนาเป็นมอเตอร์ท่ีใช้แพร่หลายมากที่สุดในปัจจุบัน เน่ืองจากราคาไม่สูง บารุงรกั ษาน้อย และไม่จาเป็นตอ้ งมีชดุ ขบั เคลอ่ื นเหมือนมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง โครงสร้างของมอเตอร์ เหนย่ี วนาประกอบดว้ ยขดลวดชุดท่อี ยกู่ ับที่ (stator) และตัวนาอยู่ท่ีโรเตอร์ สนามแมเ่ หล็กทสี่ เตเตอรจ์ ะ เหนี่ยวนาให้กระแสใหล และเกิดสนามแมเ่ หลก็ ทโ่ี รเตอร์ สนามแมเ่ หล็กไฟฟา้ จากตวั นาท้งั สองชดุ ดงึ ดดู กัน ทาให้เกดิ การหมนุ ด้วยข้อไดเ้ ปรยี บในเร่ืองการบารุงรักษาทงี่ ่าย และเทคโนโลยีการควบคมุ ความเร็วรอบ ทด่ี ขี ึ้น ทาใหม้ อเตอร์เหน่ยี วนาถกู นาไปใชง้ านอย่างกวา้ งขวาง คู่มอื การอนุรักษพ์ ลังงาน 3-77 V.2022
3. มอเตอรซ์ งิ โครนสั รปู ท่ี 3-54 มอเตอร์ไฟฟา้ กระแสสลับแบบซิงโครนัส มอเตอร์ซงิ โครนสั เป็นมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับอีกประเภทหนงึ่ มีขอ้ แตกตา่ งจากมอเตอร์ เหนีย่ วนาตรงท่ี ไม่ได้ใช้การเหนย่ี วนาจากสเตเตอร์ไปท่โี รเตอร์ แต่มกี ารสรา้ งสนามแม่เหล็กท้ังท่ีสเตเตอร์ และโรเตอร์ โดยโรเตอรม์ ีทั้งแบบที่จ่ายไฟเข้าโดยตรงและแบบที่เป็นแม่เหล็กถาวร สนามแมเ่ หลก็ ทั้งสอง ดงึ ดูดและหมุนเกาะไปด้วยกัน ความเร็วรอบของมอเตอรซ์ ิงโครนัสจะคงท่ีตามความถี่ของแรงดนั ไฟฟ้าท่ี ป้อนให้มอเตอร์ มอเตอรซ์ งิ โครนัสมกั ใช้งานเป็นเครอื่ งกาเนดิ ไฟฟ้า หรือ ใช้ในเครื่องมือเลก็ ๆ เช่น สว่าน เป็นตน้ ปั๊มนา ปั๊มน้าเป็นอปุ กรณ์หลกั ในการขับเคลื่อนของเหลวซ่ึงในท่นี ี้คอื น้า โดยการป้อนพลังงานเชิงกลเข้า ไป ทาให้นา้ ท่ีถกู ขับมีความดันสงู ข้นึ ความดันดังกล่าวจะทาหน้าที่เอาชนะแรงเสยี ดทานท่ีเกิดขึน้ จากทอ่ ข้อ ต่อ วาล์ว และอกุ ปรณ์ต่างๆ เพื่อให้ได้อัตราการไหลตามท่ตี อ้ งการ การขบั เคลื่อนเครอ่ื งสบู น้านั้นอาจจะใช้ แรงจากคนหรอื จะอาศัยมอเตอรไ์ ฟฟ้าซึง่ จะเปลย่ี นพลงั งานไฟฟา้ ใหเ้ ป็นพลังงานกล ในระบบปรับอากาศน้ัน เครอ่ื งสบู น้าจะสามารถพบไดท้ ้งั ในระบบน้าเย็น (ปมั๊ น้าเย็น) และระบบน้าระบายความร้อน (ปั๊มน้าหล่อเย็น) รปู ท่ี 3-55 ป๊มั น้า 3-78 กลุม่ วจิ ยั EnConLab มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบรุ ี
ประเภทของป๊มั ป๊มั แรงเหว่ยี ง หลกั การทางาน คอื พลังงานจะเข้าสู่ปัม๊ โดยผ่านเพลาซ่ึงมีใบพัดตดิ อยู่ เม่ือ ใบพัดหมนุ ของเหลวภายในป๊มั จะไหลจากสว่ นกลางของใบพดั ไปสู่ส่วนปลายของใบพัด (vane) ซึง่ จากการกระทาของแรงเหว่ยี งจากแผน่ ใบพดั นี้ จะทาใหเ้ ฮดความดัน (Pressure head) ของเหลวเพ่ิมขึ้น เม่ือของเหลวได้รับความเร่งจากแผ่นใบพัดก็จะทาให้มีเฮดความเร็วสูงขึ้น ส่งผลให้ของเหลวไหลจากปลายของใบพดั เขา้ สู่เสอื้ ปัม๊ แลว้ ออกไปสูท่ างออกปม๊ั ปั๊มโรตารี่ หลักการทางานโดยของเหลวถูกดูดเข้าและอัดปล่อยออกโดยการหมุนรอบจุด ศนู ยก์ ลางของเครือ่ งมือกล ซี่งมชี ่องว่างให้ของเหลวไหลเข้าทางด้านดดู และเก็บอยู่ระหวา่ งผนงั ของหอ้ งสูบกับชน้ิ ส่วนท่หี มุนหรือโรเตอร์ (Rotor) จนกวา่ จะถึงด้านจา่ ย การหมุนของโรเตอร์ จะกอ่ ให้เกิดการแทนทเ่ี ปน็ การเพิ่มปรมิ าตรของของเหลว (Positive Displacement) ให้ ทางด้านจา่ ย ปม๊ั ลกู สูบชัก (Reciprocating Pump) เป็นประเภททเ่ี พิม่ พลังงานให้แก่ของเหลวโดยการ เคล่อื นทข่ี องลกู สบู เข้าไปอดั ของเหลวใหไ้ หลไปสู่ทางดา้ นจ่าย ปรมิ าตรของของเหลวทสี่ บู ไดใ้ น แตล่ ะคร้งั จะเท่ากับผลคูณของพื้นที่หน้าตดั ของกระบอกสูบกบั ช่วงชกั ของกระบอกสูบน้นั พัดลม พดั ลมเป็นอปุ กรณท์ างกลอีกชนิดทข่ี ับดว้ ยมอเตอร์ พัดลม และปั๊มมคี วามคล้ายคลงึ กนั แตกตา่ ง กันท่ีพัดลมทาใหอ้ ากาศไหล ในขณะท่ปี ๊ัมทาใหข้ องเหลวไหล พลังงานกลจากมอเตอร์จะทาให้ความดันของ อากาศที่เขา้ สู่พดั ลมสูงขึ้น และสามารถเอาชนะแรงเสียดทานในท่อทางทอี่ ากาศไหลผา่ น และความดนั รวม ของอากาศจะลดลงเร่ือยๆ จนถงึ จดุ ใช้งาน พัดลมสามารถแบ่งประเภทไดต้ ามทศิ ทางการไหลของอากาศ และระนาบการหมนุ ของพัด ไดด้ ังน้ี พดั ลมตามแนวแกน (Axial Fan) พดั ลมแบบนี้ ทิศทางของอากาศ กับแนวแกนใบพดั อย่ใู นแนว เดียวกัน มีคุณสมบตั ทิ ่คี วามดันอากาศที่สรา้ งไม่สงู และใหอ้ ตั ราการไหลท่ีสงู มกั ตดิ ตงั้ ในท่อลม มีใช้ในงาน อุตสาหกรรม และปรับอากาศ ระบายอากาศ พดั ลมแรงเหวยี่ ง (Centrifugal Fan) พัดลมแบบน้ี ทิศทางของอากาศตง้ั ฉากกับรัศมีของใบพดั เหมือนอากาศถูกเหวี่ยงออกจากศูนย์กลาง มีคุณสมบัติที่ความดันอากาศท่ีสูง มีใช้ในงานอุตสาหกรรม และปรบั อากาศ คู่มือการอนรุ ักษ์พลงั งาน 3-79 V.2022
รปู ที่ 3-56 พดั ลม รปู ที่ 3-57 ลกั ษณะสมบัตขิ องพดั ลม 3-80 กลุ่มวจิ ัย EnConLab มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบรุ ี
3.7.2 แนวทางการประหยดั พลงั งาน มอเตอรไ์ ฟฟ้า มอเตอรจ์ ัดเป็นอุปกรณไ์ ฟฟา้ ที่ใช้พลังงานสงู สดุ ในโรงงาน ดังน้ันประสิทธิภาพมอเตอรท์ เ่ี ราใช้จึง สาคัญและมีผลตอ่ ค่าใช้จา่ ยพลงั งานมากที่สุด มอเตอร์ท่มี ีขายในท้องตลาดโดยท่ัวๆ ไป บางบรษิ ัทได้มกี าร ผลิตตามมาตรฐาน แตบ่ างบริษทั กต็ ้องการผลติ มอเตอร์ท่มี รี าคาถกู จงึ ใช้ส่วนประกอบคุณภาพต่า ทาให้ มอเตอรก์ นิ ไฟสงู ส้นิ เปลอื งพลังงานไฟฟ้าและมีอายกุ ารใชง้ านสั้น 1) มาตรการเปลย่ี นมาใช้มอเตอรไ์ ฟฟา้ ประสิทธภิ าพสูง มอเตอร์ประสิทธิภาพสูง เป็นมอเตอร์อินดักช่ันท่ีผู้ผลิตออกแบบและผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยมสี ่วนประกอบโครงสร้างท่ีปรบั ปรงุ ขน้ึ จากมอเตอรท์ ่ัวไปดังน้ี คณุ ภาพของแกนเหลก็ สาหรับมอเตอร์ประสิทธภิ าพสูงจะเลือกใชแ้ ผ่นเหลก็ ซิลิกอนเคลอื บ ดว้ ยฉนวนทีม่ คี ุณภาพสูงชนิด High Grade Silicon Steel ซ่ึงลดการสญู เสียในแกนเหล็ก ลงครง่ึ หนงึ่ เมอ่ื เทยี บกบั แกนเหลก็ ทม่ี สี ว่ นผสมคารบ์ อนต่า (Low Carbon Laminated Steel) ทใี่ ช้ในมอเตอรธ์ รรมดาท่ัวๆ ไป แผน่ เหลก็ ทใี่ ชป้ ระกอบเป็นแกนเหลก็ สเตเตอรแ์ ละโรเตอร์จะมคี วามบางกวา่ เพอ่ื จะเพมิ่ ความ ต้านทานของแผ่นเหล็กทาให้กระแสไหลวน (Eddy Current) น้อยลงลดการสูญเสีย ในแกนเหล็กลงแตม่ ีราคาสงู คู่มอื การอนุรักษพ์ ลังงาน 3-81 V.2022
เพมิ่ ขนาดของตวั นาทองแดงทส่ี เตเตอร์ใหญก่ วา่ ที่ใช้ในมอเตอรท์ ั่วๆไป 35 – 40% เพมิ่ ขนาด ตวั นาท่ฝี งั อยู่ในโรเตอร์และตวั นาวงแหวนที่ปิดลัดวงจรท่หี ัวท้ายของโรเตอรใ์ ห้ใหญ่ขึน้ เพ่อื ลด ความตา้ นทาน ทาให้ลดการสญู เสีย I2 R ที่เปล่ียนเป็นความรอ้ น รอ่ งสลอตแกนเหลก็ สเตเตอร์ใหญแ่ ละยาวขน้ึ ทาให้รองรับตัวนาทองแดงที่ใช้ขนาดใหญ่ขึน้ แกนเหล็กที่ขยายความยาวออกไปทาให้เพ่ิมพื้นท่ีแกนเหล็ก ลดความหนาแน่นขอ ง สนามแมเ่ หลก็ และมีผลทาใหต้ วั ประกอบกาลังไฟฟา้ (Power Factor) สงู ขึ้น กระแสไฟฟา้ ไหลเข้าขดลวดสเตเตอร์จะได้ลดลง ลดชอ่ งวา่ งอากาศระหว่างสเตเตอรแ์ ละโรเตอร์ ทาใหค้ วามต้านทานตอ่ เส้นแรงแม่เหลก็ จากส เตเตอร์ไปโรเตอร์น้อยลง ทาให้เส้นแรงแม่เหล็กสูงข้ึนและลดเส้นแรงแม่เหล็กรั่วไหลออก มอเตอรจ์ ะใชพ้ ลังงานไฟฟ้าลดลง แตไ่ ด้แรงบิดเท่าเดิม และยงั ลดการสูญเสียในสภาวะการใช้ งานลง (Stray losses) ใชต้ ลับลกู ปนื ทมี่ แี รงเสยี ดทานนอ้ ยลง ทาใหป้ ระสทิ ธภิ าพของมอเตอรส์ ูงขน้ึ ใชพ้ ดั ลมระบายความรอ้ นทล่ี ดแรงเสียดทานลมและมขี นาดเลก็ มาตรฐาน IEC ได้จัดมอเตอรเ์ ป็น 4 เกรด คือ มอเตอร์มาตรฐาน (standard motor) เรยี กวา่ IE1 มอเตอร์ประสทิ ธิภาพสูง(High efficiency motor) หรอื IE2 และประสทิ ธภิ าพสงู พิเศษ (Premium efficiency)หรือ กลุม่ IE3 ซ่ึงจะมีประสิทธิภาพสงู กว่ามอเตอร์ธรรมดา 2-4 % ในบา้ นเรามอเตอร์ท่ีใช้กัน ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มมอเตอร์ธรรมดา ปัจจุบันมีการนามอเตอร์ประสิทธิภาพสูงสุด หรือ IE4 ซึ่ง ประสิทธิภาพสงู กว่า IE3 ถงึ รอ้ ยละ 15 เข้าสตู่ ลาดแล้ว และคาดว่าจะแพรห่ ลายมากข้นึ 3-82 กล่มุ วิจัย EnConLab มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบุรี
รปู ท่ี 3-58 มอเตอร์ไฟฟา้ ในปัจจุบนั นอกจากมอเตอรท์ ่ีไดร้ ับมาตรฐาน (IE1) แล้วยังมกี ารผลติ มอเตอรท์ ี่มีประสิทธิภาพสูง เปน็ พิเศษ (IE2) ออกจาหน่ายด้วย แต่มีราคาสูงกวา่ มอเตอร์ทว่ั ไปที่มีขายอย่ปู ระมาณ 20–25% เพราะ ตอ้ งใช้สว่ นประกอบท่ีมีคุณภาพสูงมอเตอร์ไมร่ ้อนทาให้มีอายกุ ารใช้งานยาวนานกว่ามอเตอร์ทวั่ ไป ทาให้ ประหยัดค่าไฟฟ้าซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการผลิต เม่ือคิดคานวณดูแล้วจะคุ้มเมื่อเลิกใช้มอเตอร์ มาตรฐาน มอเตอร์ประสิทธภิ าพสงู ทางานมคี ่าประสิทธิภาพประมาณ 90% ในช่วงภาระโหลด (Load) ท่ีกวา้ ง คือ ตงั้ แต่ 70–130% ของพิกัด (Rated Load) ในขณะทีม่ อเตอรม์ าตรฐานน้ัน มคี า่ ประสิทธิภาพดที ี่สดุ ประมาณ 82% อยใู่ นชว่ งภาระงานแคบๆ คอื 50-60% ของพิกัดเทา่ นนั้ นอกจากให้คา่ ประสิทธิภาพท่ตี า่ กว่า แลว้ ยังมขี ้อสังเกตสาหรับมอเตอรม์ าตรฐานท่ีเห็นไดอ้ กี ประการหนึ่งว่า ถา้ จะนามอเตอร์มาตรฐาน ขนาด 5 แรงมา้ ตัวนไ้ี ปใช้ทางานจริง ควรที่จะออกแบบใหร้ บั ภาระงานเพียง 50 – 60% ของพกิ ัด หรือ ประมาณ 2–3 แรงม้าเท่าน้ัน จงึ จะเป็นการใชง้ านท่ีประหยัดท่ีสุด ซ่ึงนอกจากจะสิ้นเปลอื งพลังงาน และตอ้ ง มีขนาดใหญเ่ กนิ ความจาเป็น คมู่ อื การอนรุ ักษพ์ ลังงาน 3-83 V.2022
2) มาตรการตดิ ตงั้ อุปกรณป์ รบั ความเรว็ รอบ อปุ กรณ์ปรบั ความเรว็ รอบ หรอื VSD ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ ตัวอย่าง เช่น ในระบบปรับ อากาศและระบายอากาศมอเตอร์ทใ่ี ช้ในงานปรบั อากาศและระบายอากาศมีมายมายหลายประเภท มักเป็น มอเตอรต์ ัวใหญ่ เช่น มอเตอร์พัดลม AHU, มอเตอร์พัดลมระบายอากาศ, Cooling Tower, มอเตอร์พดั ลมอดั อากาศในช่องบันไดหนไี ฟ (PRESSUZRIED FAN) ฯลฯ มอเตอร์เหล่าน้ีมกั มีขนาดใหญ่ มี กาลังไฟฟา้ มาก อุปกรณค์ วบคุม จึงต้องรองรับการทางานที่ตอ้ งใชก้ ระแสไฟฟ้ามาก การกระชากของ กระแสตอนเร่มิ สตาร์ทมอเตอร์ ทั้งค่าใชจ้ ่ายอุปกรณค์ วบคุม อุปกรณป์ ้องกันความเสยี หายของมอเตอร์ และคา่ ไฟฟา้ กม็ ากขึน้ เดิมทใี นระบบน้าเย็น (Chilled water) วิธที เ่ี ราควบคมุ ปรมิ าณน้าและแรงดนั ให้ไดต้ ามค่าท่ี ต้องการ ระบบเดิมส่วนใหญ่จะเปน็ การปรบั หรี่วาลว์ ซ่ึงทาใหเ้ กดิ pressure drop คร่อมทวี่ าล์วหรอื บาง ระบบอาจจะมกี ารใช้ Bypass Valve เป็นการลดปริมาณน้า และแรงดันส่วนเกนิ เปน็ ตน้ ทาให้ปรมิ าณน้า รวมที่จ่ายตลอดเวลาทปี่ ๊ัมทางานเกินคา่ ที่ตอ้ งการอยู่อย่างตอ่ เนอ่ื ง ซึ่งเม่ือคิดเป็นค่าไฟแล้วจะเป็นปริมาณ ไฟฟ้าที่สูญเสียไปอยู่ตลอดเวลาเชน่ กัน ตวั อยา่ งเชน่ เครื่องทาน้าเย็นของระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์ จะมปี ั๊มน้าสาหรับสูบน้าไปใช้งาน โดยใช้วาลว์ เปน็ ตัวควบคุมอัตราการไหล แต่ป๊ัมมขี นาดใหญ่ ปริมาณอตั รา การไหลมากเกินความตอ้ งการ จึงลดอตั ราการไหลด้วยวธิ ีการหรวี่ าลว์ ซ่งึ ลกั ษณะดงั กล่าวจะทาให้มอเตอร์ ตอ้ งใชพ้ ลังงานสงู ตลอดเวลา ถงึ แมป้ ริมาณการใชน้ ้าจะลดลงกต็ าม ดงั นนั้ จงึ ควรควบคมุ ความเรว็ รอบ ของมอเตอรด์ ้วย VSD แล้วเปิดวาล์ว 100% โดยปรับความเรว็ รอบของมอเตอรแ์ ทน หรือบางกรณีอาจมี การเปิดวาล์ว 100% อยู่แล้ว แต่อัตราการไหลเกนิ ความต้องการ ส่งผลใหผ้ ลต่างอุณหภมู ิของน้าด้านเข้า- ออกจากเครือ่ งทานา้ เย็น (Chiller) มีค่าแคบลง ซ่งึ จะทาให้เคร่ืองทาน้าเย็นตอ้ งทางานหนกั ข้นึ ดังน้นั การ ควบคมุ ความเรว็ รอบมอเตอรด์ ว้ ย VSD จะช่วยให้ประหยัดพลงั งาน โดยพลังงานท่ีใชจ้ ะลดลง เปน็ สดั สว่ น ยกกาลังสาม VSD เป็นอุปกรณค์ วบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับโดยการปรบั -ลดความถไี่ ฟฟ้า จาก 0-800 Hz. ใช้ได้กับมอเตอร์ท่ีมีกาลังไฟฟ้าตั้งแต่ 0.75-600 kW แรงดันไฟฟ้า 220/380/440V/575V/690V -15%~15% อปุ กรณ์ VSD ใชเ้ ทคโนโลยแี บบ Voltage Vector Control (VVC) ทาให้ระสิทธิภาพการควบคุมไม่ให้มีการสูญเสียพลังงานความร้อนในตัวมอเตอร์และมีอุปกรณ์ กาจัดสญั ญาณรบกวนท่เี ป็นอุปกรณม์ าตรฐานของเครื่องป้องกันการรบกวนสัญญาณควบคมุ และยัง ส่งผลดีในการประหยัดพลังงานอกี ด้วย 3-84 กลมุ่ วจิ ัย EnConLab มหาวิทยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบรุ ี
3) มาตรการบารงุ รกั ษา นอกเหนอื จากมาตรการอนรุ กั ษพ์ ลงั งานทไี่ ดก้ ลา่ วถงึ แลว้ การบารงุ รกั ษากม็ ผี ลตอ่ การใชพ้ ลงั งาน ของมอเตอร์ ซงึ่ ผใู้ ชค้ วรตรวจสอบในประเดน็ ตอ่ ไปนี้ การหล่อล่ืน การอัดจาระบี ทรี่ องล่ืนของมอเตอร์ และเกยี ร์ตอ้ งเหมาะสมตามทผ่ี ู้ผลติ แนะนา การอดั จาระบมี าก ไปหรือนอ้ ยไป จะเพิ่มความเสียดทานและทาให้อายุรองลน่ื ส้ัน นอกจากนี้จาระบีท่ีมากเกนิ ไป จะทาใหเ้ กิด การสะสมของจาระบี และส่ิงสกปรกท่ขี ดลวด ทาให้มีความร้อนสะสม และเสียหายได้ ดังน้ันควรอดั จาระบี การระบายความรอ้ น มอเตอร์ทางานได้ดีเมื่อมีการระบายความร้อนท่ีดี เม่ือใช้งานไปฝุ่นละอองส่ิงสกปรกจะมาเกาะ มอเตอร์ ทาใหก้ ารระบายความรอ้ นตา่ ลง อณุ หภมู ิที่สูงข้นึ จะทาให้ความตา้ นทานของขดลวดเพิ่มข้ึน และ การสญู เสียมากขึ้น อุณหภมู มิ อเตอร์ท่สี ูงข้ึน 25oC จะหมายถงึ การสูญเสียทเ่ี พิ่มขึ้นร้อยละ 10 จึงควร พจิ ารณาในเรอ่ื งตาแหน่งติดตงั้ อยใู่ นที่ร่ม อากาศถ่ายเท และทาความสะอาดเปลอื กนอกของมอเตอร์อย่าง น้อยปีละครัง้ การควบคมุ แรงดนั ไฟฟ้าใหเ้ หมาะสม มอเตอร์แบบเหนี่ยวนา จะทางานไดด้ ีมปี ระสิทธิภาพสูงเมือ่ ไดร้ ับระดับแรงดนั ทถ่ี กู ต้อง แรงดันที่ สมดุลย์กันทกุ เฟส และแรงดนั ที่ปราศจากฮาร์มอนิกส์ ระดบั แรงดันมีผลต่อประสิทธภิ าพคือ ทรี่ ะดนั แรงดันไฟฟา้ ที่ไม่สมดุลยเ์ กินร้อยละ 2 จะเพิ่มความสูญเสยี ข้ึนถงึ รอ้ ยละ 25 ดงั นน้ั แรงดันไฟฟ้าทป่ี ้อนให้ มอเตอร์ ไมค่ วรเสยี สมดลุ เกิน 1% ระดบั แรงดันควรมีคา่ ใกลเ้ คยี งแรงดันพกิ ดั ของมอเตอร์ สาหรบั แรงดนั ทีม่ ีฮาร์มอนิกสม์ ากจะทาให้มอเตอร์ร้อนขนึ้ และแรงบิดของมอเตอร์ลดลง มอเตอรท์ ี่รอ้ นเกนิ ไป จะทาให้ อายกุ ารใช้งานส้ันลง การสง่ กาลัง มอเตอร์จะมีประสิทธิภาพสูง การสง่ กาลงั จากมอเตอร์ไปสู่อุปกรณท์ างกลตอ้ งมปี ระสิทธิภาพสูง ด้วย การส่งกาลังมไี ดห้ ลายลกั ษณะ เชน่ การต่อกบั เพลาโดยตรง ต่อผ่านกระปกุ เกียร์ โซ่ หรือสายพาน ฯลฯ การใชส้ ายพานจะการสูญเสยี เกิดข้นึ เสมอ เมื่อใช้ไปจะยืด สึก และหยอ่ น ทาให้เกดิ การไหลเลื่อน (Slip) การสญู เสยี ตรงนอี้ าจสูงถึงร้อยละ 5 แต่มักถกู ละเลย จึงจาเป็นตอ้ งมกี ารบารุงรกั ษา โดยปรับความ ตงึ อยา่ งสม่าเสมอ ดังนั้นควรตรวจสอบและปรับแตง่ ความตึงสายพานส่งกาลังทุกเดือน ค่มู ือการอนรุ กั ษ์พลังงาน 3-85 V.2022
สาหรบั ความถีใ่ นการบารุงรกั ษา หากไมม่ ขี ้อกาหนดเปน็ อย่างอน่ื อาจใช้ระยะเวลาดังนี้ การดาเนนิ การ ระยะเวลาทเ่ี หมาะสม 1. อดั จาระบี หรือเปล่ยี นสารหล่อล่ืน ทกุ 6 เดือน 2. ตรวจสอบสภาพชดุ เกียร์สง่ กาลัง (ถา้ ม)ี และปรับแต่งความตึงสายพาน (ถ้ามี) ทุกเดอื น 3. บนั ทกึ ค่ากระแสไฟฟ้า แรงดันไฟฟา้ และกาลงั ไฟฟา้ ท่จี า่ ยใหม้ อเตอร์ รวมทั้ง ทุกวัน ป๊มั นา พดั ลม แนวทางในการอนรุ ักษ์พลงั งานสาหรบั ระบบป๊ัมน้า พดั ลม มีดงั น้ี 1. การเปลย่ี นขนาดป๊ัม หรอื พดั ลม ใหเ้ หมาะสมกบั อตั ราการไหล และเฮดทต่ี อ้ งการ ปมั๊ และเครอ่ื งสบู น้าท่ีมีขนาดใหญเ่ กินภาระ ทาให้ต้องทางานท่ีอตั ราการไหล และความดันสงู เกิน ความจาเปน็ จะทาให้เกดิ ความสญู เสียท่ีเกินความจาเป็น ทาใหป้ ระสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าโดยรวม ต่า สามารถปรับลดไดโ้ ดยการลดขนาดของเคร่อื งให้ใกลเ้ คยี งกบั ภาระควรเปล่ยี นไปใช้ปมั๊ ขนาดเลก็ หลาย ตัวเพ่ือให้ปั๊มแต่ละชุดทางานใกล้เคียงกับพิกัดให้มากท่ีสุดและประสิทธิภาพการใช้งานสูงขึ้น เจียหรือ ปรับแตง่ ใบพัดเพื่อลดขนาดลง การปรับความเรว็ รอบของมอเตอร์ให้มคี วามเรว็ รอบต่าลง หรือแม้จะใช้วธิ ที ่ี มีประสิทธิภาพตา่ เชน่ การหรวี่ าล์ว กย็ งั ดีกว่าการไมค่ วบคมุ เลย หรือการปลอ่ ยผ่าน (Bypass) 2. การเจยี รแตง่ ใบพดั ปม๊ั , เปลี่ยนใบพดั ถ้าป๊ัมมีขนาดใหญ่กว่าภาระมาก อัตราการไหลหรือเฮดจะสูงกว่าความต้องการใช้งานมาก จาเป็นตอ้ งใช้วาล์วหรี่ ซึง่ ป๊ัมจะตอ้ งทางานเอาชนะความเสยี ดทานที่เพ่ิมขึ้น การปรับปรุงที่ลงทุนน้อยทส่ี ดุ ก็ คือการเจยี รแตง่ ใบพดั หรอื เปลย่ี นใบพัดที่มขี นาดเล็กลง ทัง้ นเี้ นือ่ งจากอตั ราการไหลจะแปรผันตามขนาด เส้นผา่ นศูนยก์ ลาง และเฮดของปม๊ั จะแปรผันตามเส้นผา่ นศูนย์กลางกาลังสอง 3. การใชป้ ม๊ั นา้ ขนาดเลก็ หลายชดุ และเดนิ เครอื่ งตามจานวนทจี่ าเปน็ ในกรณีทอ่ี ตั ราการไหลมีการเปลยี่ นแปลงกวา้ ง และมกี ารตดิ ตัง้ ปม๊ั น้าขนาดเลก็ ลงหลายชุด เม่อื อัตราการไหลทต่ี ้องการลดลงแล้ว ควรมีสวิตซ์อัตโนมัตติ ัดปมั๊ นา้ บางเคร่ืองออก และใช้งานเท่าทีจ่ าเป็น ใน กรณีทม่ี ปี ั๊มหลายชดุ เดนิ ขนานกัน การควบคมุ ด้วยสวติ ซ์ ความดนั จะสามารถหยดุ ป๊ัมทไี่ มจ่ าเปน็ ลดลงได้ 3-86 กลมุ่ วจิ ยั EnConLab มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบุรี
4. การเปลย่ี นปั๊ม หรอื พดั ลม ทช่ี ารดุ สมรรถนะลดลง เมอื่ ป๊ัมชารุด เช่น ใบพัดสึก หกั บุชช่ิง แหวน แบร่งิ ชารุด จะทาให้คณุ ลักษณะการทางาน เปลยี่ นไปอย่างมาก ทงั้ สมรรถนะของปมั๊ และกาลังพิกดั จะตกลงอย่างมาก ควรดาเนนิ การซอ่ มแซมและ ปรับเปล่ียนทนั ที 5. การใชป้ มั๊ นา้ ความดนั สงู เฉพาะจดุ หากมกี ารใชง้ านความดนั สูงในบางจุด ควรติดตัง้ เครือ่ งสูบน้าความดันสูง (Booster Pump) แยก เฉพาะสาหรับจุดเท่าน้ัน สว่ นทเ่ี หลือก็ใช้ความดนั ต่า เน่ืองจากการผลิตที่ความดันสูง และนามาลดความดัน แลว้ ใช้งานจะสญู เสยี พลังงาน 6. การใชต้ วั ปรับความเรว็ รอบ (VSD) กบั ปม๊ั พดั ลม การใช้งานควบคุมอัตราการไหลท่ีไม่เต็มพิกัด และแปรเปลี่ยนสามารถใช้ตัวปรับความเร็วรอบ (VSD) ควบคุมความเร็วมอเตอร์ให้เหมาะสมกับภาระได้ตลอดเวลา เป็นวิธีท่ีมีประสิทธิภาพสูงกว่าการ ควบคุมวธิ กี ารอ่ืน พลงั งานที่มอเตอร์ใช้จะลดลงอยา่ งมาก 7. การบารงุ รกั ษาปม๊ั นา้ อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมตามวาระ ดงั นี้ ควรทาความสะอาดตัวกรองสารแขวนลอย ทุก 6 เดอื น ควรตรวจสอบการรั่วซึม แตกรา้ ว ทปี่ ๊ัมและทอ่ รวมทัง้ ซ่อมแซม เปน็ ระยะ ควรทาความสะอาดใบพัดและชิน้ ส่วนต่างๆ ทกุ ปี คู่มือการอนรุ ักษพ์ ลังงาน 3-87 V.2022
3.7.3 การตรวจวดั ประสทิ ธภิ าพพลงั งาน มอเตอร์ไฟฟ้า การตรวจวัดมอเตอรไ์ ฟฟ้า ได้แกก่ ารตรวจวัดค่าต่อไปนี้ หมายเลข คา่ ทีต่ รวจวัด ตัวแปร หน่วย เครื่องมือท่ีใช้ 1 กระแสไฟฟ้า I A เครอื่ งวดั กาลังไฟฟ้า 2 กาลังไฟฟ้า P kW เครอ่ื งวัดกาลังไฟฟ้า 3 แรงดันไฟฟา้ แตล่ ะเฟส V V เครอื่ งวดั กาลงั ไฟฟ้า 4 ความเร็วรอบ n rpm เครื่องวดั ความเร็วรอบ 5 อุณหภมู มิ อเตอร์ T C เครอ่ื งวัดอณุ หภูมิแบบสมั ผัส 6 เสียง - - Visual Inspection 7 การสน่ั สะเทอื น - - Visual Inspection V , I , PF,P n 3-88 กลมุ่ วิจยั EnConLab มหาวิทยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบุรี
ปมั๊ นา การตรวจวัดปัม๊ น้า มีการตรวจวัดคา่ ดังตอ่ ไปน้ี หมายเลข ค่าท่ตี รวจวดั ตวั แปร หนว่ ย เครือ่ งมอื ท่ีใช้ 1 กระแสไฟฟา้ I A เครอ่ื งวัดกาลงั ไฟฟ้า 2 กาลงั ไฟฟา้ P kW เครื่องวัดกาลงั ไฟฟ้า 3 แรงดนั ไฟฟา้ แตล่ ะเฟส V V เครื่องวดั กาลงั ไฟฟ้า 4 ความดันด้านเข้าของปั๊มน้า Ps Barg เกจวดั ความดัน 5 ความดันด้านจ่ายของป๊ัมนา้ Pd Barg เกจวัดความดัน 6 การตรวจสอบการหรี่วาลว์ - - Visual Inspection คู่มอื การอนรุ กั ษ์พลงั งาน 3-89 V.2022
พัดลม การตรวจวัดพัดลม มีการตรวจวัดคา่ ดังต่อไปน้ี หมายเลข คา่ ทต่ี รวจวัด ตวั แปร หนว่ ย เครอื่ งมอื ท่ีใช้ 1 กระแสไฟฟา้ 2 กาลงั ไฟฟ้า I A เคร่อื งวดั กาลังไฟฟ้า 3 แรงดันไฟฟา้ แต่ละเฟส 4 ความเรว็ รอบ P kW เครือ่ งวดั กาลังไฟฟ้า 5 อตั ราการไหลของลม 6 การตรวจสอบการหรว่ี าลว์ V V เครอ่ื งวดั กาลังไฟฟ้า n rpm เครอ่ื งวดั ความเรว็ รอบ - - Visual Inspection - - Visual Inspection 3-90 กล่มุ วิจัย EnConLab มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบุรี
3.7.4 เกณฑช์ ว้ี ดั เกณฑช์ วี้ ดั เป็นคา่ ท่ีบง่ บอกว่ามอเตอร์ และระบบทขี่ บั มีประสิทธิภาพหรอื ไม่ ตารางท่ี 3-7 เกณฑ์การใช้พลงั งานสาหรับมอเตอร์ ป๊ัม และพัดลม พารามเิ ตอร์ คา่ ทเ่ี หมาะสม 1. ภาระของมอเตอร์ >60% 2. อายุมอเตอร์ ควรน้อยกว่า 10 ปี 3. จานวนครั้งในการพนั ใหม่ มอเตอร์ขนาดเลก็ ไม่ควรพันใหม่ 4. การหรวี่ าลว์ หรือ แดมป์เปอร์ มอเตอร์ขนาดใหญ่ ไม่ควรเกนิ 1 ครง้ั 5. ความดันครอ่ มป๊ัม และพัดลม ไม่มกี ารหรี่ 6. อตั ราการไหลของนา้ หรืออากาศ ควรใกล้เคียงความดันตกคร่อมพกิ ดั ควรใกลเ้ คียงความต้องการใชง้ าน ค่มู ือการอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน 3-91 V.2022
เครื่องมอื วดั ดา้ นพลงั บงทาทน่ี 2 เครอ่ื งมือวัดเป็นอุปกรณ์สาคัญในงานตรวจวัดด้านพลังงาน ซึ่งจะมีผลต่อความถูกต้องของการ วิเคราะห์ เคร่ืองมือที่นามาใช้ในงานตรวจวัดจะต้องมีท้ังความถูกต้อง(Accuracy) และความเท่ียงตรง (Precision) โดยเมอ่ื นาไปใช้งานในการวดั ขนาดหรือค่าทีต่ ้องการ ค่าที่แสดงออกมาเป็นตัวเลขบนเครื่องมือ วัดเหล่านี้ต้องมีความเช่ือถือได้ ในบทที่จะกล่าวถึงการใช้งานของเครื่องวัดที่สาคัญในด้านพลังงาน ดังต่อไปนี้ 4-2 กล่มุ วจิ ยั EnConLab มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบุรี
การประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรอื นกรบทะจทกี่ 4 การเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) เป็นปัญหาส่ิงแวดล้อมโลก (global problem) ที่ทุกประเทศได้รับผลกระทบ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่สาคัญท่ี เกดิ ขึ้น คอื ปญั หาภาวะโลกร้อน (global warming) เม่อื ยอ้ นดูเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงท่ีเกิดขึ้นใน ประเทศไทย จะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกาลังส่งผลกระทบต่อประเทศไทยเรา ต้ังแต่สึนา มิปี 2547 ภัยแล้งปี 2553 และน้าท่วมปี 2554 และ 2560 เป็นตัวบ่งชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เปน็ ปัญหาท่มี คี วามท้าทายตอ่ การใช้ชีวิตและการดาเนินธุรกิจกลุ่มผู้ประกอบการ มีหลายหน่วยงานเล็งเห็น ความจาเป็นและให้ความสาคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร่วมกัน จึงหาแนวทางมาตรการ/ โครงการมาเพื่อช่วยลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งในการดาเนินการดังกล่าว ส่วนสาคัญอีกส่วนหน่ึง คือ การ คานวณปริมาณก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้ทราบว่ามาตรการที่ดาเนินการสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือน กระจกก่ตี นั คาร์บอนไดออกไซดเ์ ทียบเทา่ ตอ่ ปี ค่มู ือการอนรุ ักษพ์ ลังงาน 4-1 V.2022
4.1 แนวทางการประเมนิ การปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจก แนวทางการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่นิยมใช้ส่วนใหญ่/มีการพัฒนามาจากคู่มือของ IPCC Guidelines for National Greenhouse Gas Inventories หรือ ISO 14064 ซึ่งประเทศไทยมี แนวทางการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นเดียวกัน โดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ได้พัฒนาเกณฑ์ข้ึนมาจากการปรับปรุงเกณฑ์ข้างต้นเพื่อให้เข้ากับบริบทของ ไทยและเพอ่ื ใหเ้ กิดความสะดวกและเรียบงา่ ยในการใช้งาน รูปแบบการประเมนิ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก แบง่ ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ 1). รูปแบบ Top-down เป็นการคานวณในเชิงภาพรวมหรือข้อมูลที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนไม่ สามารถแยกย่อยในการคานวณได้ 2). รูปแบบ Bottom-Up เป็นวธิ กี ารคานวณแยกยอ่ ยและแต่ละข้ันตอน เหมาะกับขอบเขตงานที่ ไม่ใหญ่มากนัก การเลอื กรูปแบบการประเมินขนึ้ อยู่กับความพร้อมของข้อมูลท่มี ี วิธีการหาคา่ ปรมิ าณก๊าซเรือนกระจก ประกอบด้วยหลายวิธี ได้แก่ การวัดโดยตรงด้วยเคร่ืองมือ การคานวณสมดุลและการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ แต่วิธีท่ีได้รับความนิยมมากที่สุด คือ การคานวณด้วย ข้อมูลปริมาณกิจกรรม (Activity data) คูณกับค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยหรือดูดก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor) จากมาตรฐานแตล่ ะองค์กร (แสดงดงั สมการท่ี 1) GHG emissions = Activity data x Emission factor (1) ข้อมูลกจิ กรรม (Activity data) คอื ค่าท่ีใช้ในการคานวณ ซึ่งเกิดจากกิจกรรมของการเกิดก๊าซ เรอื นกระจกประเภทตา่ งๆ ค่าสัมประสิทธ์ิการปล่อยหรือดูดก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor) คือ ค่าท่ีแสดงปริมาณ การปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกต่อหน่วย โดยจะขึ้นอยู่กบั ขอ้ มลู กจิ กรรมตามแหล่งปล่อยก๊าซเรอื นกระจก 4-2 กล่มุ วิจยั EnConLab มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบรุ ี
4.2 การคานวณปริมาณการปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกจากการดาเนินมาตรการ/โครงการ การคานวณปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกจากการทาโครงการด้านพลังงานแบบเบื้องต้นน้ัน อ้างอิงจากโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme) หรือ เรียกว่า โครงการ LESS ซ่ึง อบก. จัดทาข้ึน วิธีการคานวณปริมาณก๊าซเรือนกระจกจะคิดจากส่วนต่าง ของการปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจกในกรณีฐาน (Baseline emission: BE) กับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก การดาเนินโครงการ (Project emission: PE) โดยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด/ดูดกลับได้ มีหน่วยเป็น คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า การประเมินการลดการปล่อยปริมาณก๊าซเรือนกระจกสาหรับโครงการด้าน พลงั งานไดแ้ บ่งออกเป็น 6 กลมุ่ โครงการ มวี ิธีการคานวณดงั นี้ 4.2.1 การลดการใชไ้ ฟฟ้า สตู รการคานวณ ปรมิ าณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (kgCO2eq) = (ปรมิ าณไฟฟา้ ท่ีใช้สาหรบั กรณีฐาน x EF elec) - (ปรมิ าณไฟฟา้ ทีใ่ ช้สาหรับดาเนนิ กิจกรรม x EF elec) ค่าตัวแปร : ปรมิ าณไฟฟา้ ที่ใช้สาหรบั กรณฐี าน (kWh) ปรมิ าณไฟฟา้ ท่ใี ช้สาหรบั ดาเนินกิจกรรม (kWh) EF elec ค่าการปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกจากการผลติ ไฟฟ้า (kgCo2eq/kWh) = 0.4872 (ใช้ไฟฟ้าจากระบบสายส่ง) = 0.3190 (ใชไ้ ฟฟา้ จากผผู้ ลติ อน่ื หรอื โรงไฟฟา้ Captive ทไี่ มผ่ า่ นระบบสายสง่ ) หมายเหตุ : กรณเี ปน็ การเปล่ียนอุปกรณ์หรือเคร่ืองจักรที่มีประสิทธิภาพสูงคานวณพลังงานที่ใช้ กอ่ นและหลงั จากชวั่ โมงการทางานทีเ่ ท่ากัน 4.2.2 การลดการใช้เชื้อเพลงิ สูตรการคานวณ ปรมิ าณการลดการปลอ่ ยกา๊ ซเรอื นกระจก (kgCO2eq) = (ปรมิ าณเชอื้ เพลงิ ทใ่ี ชส้ าหรบั กรณฐี าน x NCV x EF fuel) - (ปรมิ าณเชอ้ื เพลงิ ทใี่ ชส้ าหรบั ดาเนนิ กจิ กรรม x NCV x EF fuel) ค่าตวั แปร : ปรมิ าณเชือ้ เพลงิ ที่ใช้สาหรับกรณฐี าน (MJ/หน่วย) ปรมิ าณเชือ้ เพลิงท่ใี ชส้ าหรบั ดาเนินกิจกรรม (MJ/หน่วย) EF fuel = คา่ การปล่อยกา๊ ซเรอื นกระจก (kgCo2eq/MJ) NCV = ค่าความร้อนสทุ ธิ (Net Calorific Value) หมายเหตุ: ต้องคานวณปริมาณการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลก่อนและหลัง จากชั่วโมงการใช้งาน/การ คูม่ ือการอนรุ ักษ์พลงั งาน ผลติ /ภาระงานท่ีเท่ากัน V.2022 4-3
4.2.3 การผลิตพลงั งานไฟฟา้ จากพลงั งานหมุนเวียนเพ่อื ใช้เอง สตู รการคานวณ ปรมิ าณการลดการปล่อยกา๊ ซเรือนกระจก (kgCO2eq) = (ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียน x EF elec) – (ปริมาณไฟฟ้าท่ีใช้สาหรับระบบผลิตไฟฟ้า หรือดาเนนิ การ x EF elec) กรณีผลิตไฟฟา้ จากเซลล์แสงอาทติ ย์ สูตรคานวณ ปรมิ าณการลดการปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจก (kgCO2eq) = [(กาลงั การผลติ ของแผงเซลลแ์ สงอาทติ ย/์ 1,000) x จานวนแผง x จานวนวนั ทผ่ี ลติ ไฟฟา้ x ชว่ งเวลาทม่ี คี วาม เขม้ ของแสงแดด x EF elec] – (ปรมิ าณไฟฟา้ ทใ่ี ชส้ าหรบั ระบบผลติ ไฟฟา้ หรอื ดาเนนิ การ x EF elec) กรณีทดแทนการผลิตพลงั งานไฟฟ้าจากเชือ้ เพลงิ เพื่อใช้เอง สตู รคานวณ ปรมิ าณการลดการปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจก (kgCO2eq) = [ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียน x (3.6/0.3) x EF fuel] – (ปริมาณไฟฟ้าท่ีใช้ สาหรับระบบผลติ ไฟฟา้ หรือดาเนินการ x EF elec) คา่ ตวั แปร : ปรมิ าณไฟฟ้าทผ่ี ลติ /ใชจ้ ากพลงั งานหมนุ เวียน (kWh) ปรมิ าณพลังงานไฟฟา้ ทใี่ ช้ในระบบผลติ ไฟฟา้ หรือดาเนินการ (kWh) EF elec = คา่ การปลอ่ ยกา๊ ซเรอื นกระจกจากการผลิตไฟฟ้า (kgCo2eq/kWh) = 0.4872 (ใชไ้ ฟฟา้ จากระบบสายส่ง) = 0.3190 (ใชไ้ ฟฟา้ จากผผู้ ลติ อนื่ หรอื โรงไฟฟา้ Captive ทไี่ มผ่ า่ นระบบสายสง่ ) EF fuel = คา่ การปลอ่ ยกา๊ ซเรอื นกระจกจากเชอื้ เพลงิ (kgCo2eq/MJ) หมายเหตุ: - ระยะเวลาท่ีมีความเข้มของแสงแดดสูงสุดในการผลิตพลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยใน 1 วัน ในกรณีที่บางองค์กรไม่มีค่าสามารถอ้างอิงได้ ใช้ค่าอ้างอิงกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน มคี า่ เท่ากับ 4 ชว่ั โมงต่อวัน - EF grid อา้ งอิงจาก รายงานผลการศึกษาค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ฉบับล่าสุด โดย อบก. มีค่าเท่ากบั 0.5290 kgCO2eq/kWh - 1,000 คือ ค่าแปลงจาก วตั ตเ์ ปน็ กโิ ลวัตต์ 4-4 กลมุ่ วิจัย EnConLab มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบรุ ี
4.2.4 การตดิ ตัง้ เคร่ืองปรับอากาศประสิทธิภาพสงู เพ่ือแทนทีเ่ คร่อื งปรบั อากาศเดมิ กรณีติดตง้ั เครอ่ื งปรบั อากาศประสิทธิภาพสูงแบบอินเวอรเ์ ตอร์ (Inverter) สูตรการคานวณ ปริมาณการลดการปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจก (kgCO2eq) = [(BTUnew/EERold) x N air x h x EF elec /1000] - [(BTUnew/EERnew) x N air x h x EF elec/1000] กรณตี ดิ ต้ังเครื่องปรับอากาศประสทิ ธภิ าพสงู แบบธรรมดา (Non-Inverter) สูตรการคานวณ ปริมาณการลดการปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจก (kgCO2eq) = {[(BTUnew/EERold) x (Comp/100) x N air x h x EF elec]/1000} - {[(BTUnew/EERnew) x(Comp/100) x N air x h x EF elec]/1000} คา่ ตวั แปร : BTUnew = ขนาดของเครื่องปรบั อากาศท่ีตดิ ตัง้ ใหม่ (BTU) EER old = คา่ ประสทิ ธิภาพการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศเดิม (BTU/hr.) EER new = ค่าประสทิ ธิภาพการใช้พลังงานของเครือ่ งปรับอากาศใหม่ (BTU/hr.) Comp = อตั ราสว่ นการทางานของคอมเพรสเซอร์ (หากไมท่ ราบใช้ค่าเทา่ กับ 75) Nair = จานวนเคร่อื งปรบั อากาศทีเ่ ปลี่ยนทดแทนของเดมิ (ชดุ ) h = จานวนชัว่ โมงการใช้งานของเครือ่ งปรับอากาศใหม่ ตลอดช่วงระยะเวลาที่ขอ การรับรอง (ช่ัวโมง) EF elec = คา่ การปล่อยกา๊ ซเรือนกระจกจากการผลติ ไฟฟา้ (kgCo2eq/kWh) = 0.4872 (ใช้ไฟฟ้าจากระบบสายส่ง) = 0.3190 (ใชไ้ ฟฟา้ จากผผู้ ลติ อน่ื หรอื โรงไฟฟา้ Captive ทไ่ี มผ่ า่ นระบบสายสง่ ) 1000 = คา่ แปลงหนว่ ยจาก Watt เปน็ kW คูม่ อื การอนุรกั ษพ์ ลงั งาน 4-5 V.2022
4.2.5 การผลติ พลังงานไฟฟา้ จากพลังงานหมุนเวียน เพ่อื จาหนา่ ยเข้าสรู่ ะบบสายส่ง สูตรการคานวณ ปรมิ าณการลดการปล่อยกา๊ ซเรือนกระจก (kgCO2eq) = (ปรมิ าณไฟฟ้าท่ผี ลติ ได้จากพลังงานหมุนเวียน x EF grid) – [(ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้สาหรับระบบผลิตไฟฟ้า หรือดาเนินการ x EF elec) + (ปรมิ าณเชื้อเพลงิ ฟอสซิลทใี่ ชส้ าหรับดาเนนิ กิจกรรม x NCV x EF fuel)] กรณผี ลิตไฟฟา้ จากเซลลแ์ สงอาทติ ย์ สตู รคานวณ ปริมาณการลดการปล่อยกา๊ ซเรือนกระจก (kgCO2eq) = [(กาลังการผลิตของแผงเซลล์แสงอาทิตย์/1,000) x จานวนแผง x จานวนวันที่ผลิตไฟฟ้า x ช่วงเวลาท่ีมี ความเข้มของแสงแดด x EF grid] – [(ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้สาหรับระบบผลิตไฟฟ้าหรือดาเนินการ x EF elec)+ (ปรมิ าณเชื้อเพลงิ ฟอสซลิ ท่ใี ช้สาหรับดาเนนิ กจิ กรรม x NCV x EF fuel)] คา่ ตัวแปร : ปริมาณไฟฟา้ ทีผ่ ลิตไดจ้ ากพลงั งานหมุนเวียน (kWh) ปริมาณพลงั งานไฟฟา้ ทีใ่ ชใ้ นระบบผลติ ไฟฟ้าหรือดาเนินการ (kWh) EF grid = ค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตพลังงานไฟฟ้า สาหรับ ผู้ผลิตไฟฟา้ (kgCO2eq/kWh) EF elec = ค่าการปลอ่ ยกา๊ ซเรอื นกระจกจากการผลิตไฟฟ้า (kgCo2eq/kWh) = 0.4872 (ใชไ้ ฟฟา้ จากระบบสายสง่ ) NCV = ค่าความรอ้ นสทุ ธิ (Net Calorific Value) EF fuel = คา่ การปลอ่ ยกา๊ ซเรอื นกระจกจากเชอ้ื เพลิง (kgCo2eq/MJ) หมายเหตุ: - ระยะเวลาที่มีความเข้มของแสงแดดสูงสุดในการผลิตพลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยใน 1 วัน ในกรณีท่ีบางองค์กรไม่มีค่าสามารถอ้างอิงได้ ใช้ค่าอ้างอิงกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน มคี า่ เท่ากับ 4 ชั่วโมงต่อวัน - EF grid อา้ งองิ จาก รายงานผลการศึกษาค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ฉบับล่าสุด โดย อบก. มคี ่าเท่ากับ 0.5290 kgCO2eq/kWh - 1,000 คอื คา่ แปลงจาก วัตตเ์ ป็นกิโลวัตต์ 4-6 กลุ่มวจิ ยั EnConLab มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบรุ ี
4.2.6 การเปล่ียนอปุ กรณไ์ ฟฟา้ แสงสว่างเพื่อเพ่มิ ประสทิ ธิภาพ สูตรการคานวณ ปริมาณการลดการปล่อยกา๊ ซเรอื นกระจก (kgCO2eq) = (PBL x NBL x h x EF elec/1000) - (PPJ x NPJ x h x EF elec/1000) ค่าตวั แปร : PBL = กาลังไฟฟา้ ของหลอดเดิม รวมกาลังไฟฟา้ ของบลั ลาสต์ (Watt) NBL = จานวนหลอดไฟฟ้าทใี่ ชเ้ ดมิ ก่อนดาเนินการเปลี่ยน (ชุด) PPJ = กาลังไฟฟ้าของหลอดใหม่ รวมกาลังไฟฟ้าของบลั ลาสต์ (Watt) NPJ = จานวนหลอดไฟฟา้ ใหม่ทเ่ี ปล่ยี นทดแทนหลอดเดมิ (ชดุ ) h = จานวนช่ัวโมงการใช้งานของอปุ กรณ์ส่องสวา่ งใหม่ ตลอดชว่ งระยะเวลาที่ขอ การรบั รอง (ชั่วโมง) EF elec = ค่าการปล่อยกา๊ ซเรอื นกระจกจากการผลติ ไฟฟ้า (kgCo2eq/kWh) = 0.4872 (ใชไ้ ฟฟา้ จากระบบสายส่ง) = 0.3190 (ใชไ้ ฟฟา้ จากผผู้ ลติ อน่ื หรอื โรงไฟฟา้ Captive ทไ่ี มผ่ า่ นระบบสายสง่ ) 1000 = คา่ แปลงหนว่ ยจาก Watt เปน็ kW แหลง่ อา้ งอิง 1. องค์กรบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), โครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซ เรือนกระจก (Low Emission Support Scheme: LESS), ค้นเม่ือ 26 สิงหาคม 2564, จากเว็บไซต์: http://ghgreduction.tgo.or.th/th/calculation/less-calculate-document/less-energy.html คมู่ ือการอนุรักษพ์ ลังงาน 4-7 V.2022
เครื่องมอื วดั ดา้ นพลงั บงทาทน่ี 2 เครอ่ื งมือวัดเป็นอุปกรณ์สาคัญในงานตรวจวัดด้านพลังงาน ซึ่งจะมีผลต่อความถูกต้องของการ วิเคราะห์ เคร่ืองมือที่นามาใช้ในงานตรวจวัดจะต้องมีท้ังความถูกต้อง(Accuracy) และความเท่ียงตรง (Precision) โดยเมอ่ื นาไปใช้งานในการวดั ขนาดหรือค่าทีต่ ้องการ ค่าที่แสดงออกมาเป็นตัวเลขบนเครื่องมือ วัดเหล่านี้ต้องมีความเช่ือถือได้ ในบทที่จะกล่าวถึงการใช้งานของเครื่องวัดที่สาคัญในด้านพลังงาน ดังต่อไปนี้ 5-2 กล่มุ วจิ ยั EnConLab มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบุรี
บทที่ 5 การปฏิบัตติ าม พระราชบัญญัตกิ ารสง่ เสรมิ การอนุรกั ษพ์ ลังงาน สาหรบั โรงงานควบคมุ และอาคารควบคมุ ความต้องการใช้พลังงานภายในประเทศมีอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองการเจริญเติบโตทาง เศรษฐกิจและสังคมท่ีเพิ่มข้ึน ทาให้การจัดหาพลังงานทั้งภายในและภายนอกประเทศเป็นภาระระดับชาติ เพื่อให้การดาเนินการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ยกร่างกฎหมายสง่ เสรมิ การอนุรกั ษพ์ ลังงาน เพื่อกากบั ดแู ล สง่ เสริมและชว่ ยเหลือการใช้พลังงาน ขึ้นมา จนได้มีการประกาศ พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 ในราชกิจจา นุเบกษาเม่ือวันที่ 2 เมษายน 2535 ต่อมามีการแก้ไขเพ่ิมเติมบทบัญญัติบางประการเพ่ือให้สามารถกากับ และส่งเสริมการใช้พลังงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจึงได้มี พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงาน พ.ศ. 2535 (แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ พ.ศ.2550) ในราชกจิ จานเุ บกษาเม่ือวนั ท่ี 4 ธนั วาคม 2550 คมู่ อื การอนรุ ักษ์พลงั งาน 55--1 V.2022
โครงสรา้ งกฎหมายอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน 5-2 กลุ่มวิจยั EnConLab มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 (แก้ไขเพ่ิมเติม พ.ศ.2550) มี วัตถุประสงค์ในการกากับ ดูแล ส่งเสริมและสนับสนุนให้โรงงานควบคุม และอาคารควบคุม ดาเนินการ อนรุ กั ษพ์ ลังงานในการผลิตที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมสนับสนุนให้มีการผลิตเครื่องจักร หรืออุปกรณ์ท่ีมีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งส่งเสริมการใช้วัสดุหรืออุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงานข้ึนใน ประเทศและมีการใชอ้ ย่างแพรห่ ลาย 5.1 ขอบเขตการบังคบั ใช้พระราชบญั ญัติ กลุ่มเป้าหมายที่รัฐมุ่งเข้าไปกากับ ดูแล ส่งเสริมและสนับสนุน เพื่อให้เกิดการดาเนินการอนุรักษ์ พลงั งาน มี 3 กลมุ่ คือ กลมุ่ เปา้ หมาย 1. โรงงานควบคมุ 2. อาคารควบคมุ ผผู้ ลติ หรอื ผจู้ าหนา่ ยเครอ่ื งจกั รหรอื อปุ กรณ์ 3. ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพสงู รวมถงึ วสั ดหุ รอื อปุ กรณ์ เพอื่ การอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน ลักษณะโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมตามท่ีพระราชกฤษฎีกากาหนดโรงงานควบคุม พ.ศ.2550 และพระราชกฤษฎกี ากาหนดอาคารควบคมุ พ.ศ.2538 ดังน้ี โรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุม หมายถึงโรงงานหรืออาคารท่ีมีหน้าท่ีดาเนินการอนุรักษ์ พลังงานตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2550) ซึ่ง โรงงานหรอื อาคารทีเ่ ขา้ ขา่ ยจะต้องมลี กั ษณะการใชพ้ ลังงานอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ 1. โรงงานหรืออาคารที่ได้รับอนุมัติจากผู้จาหน่ายพลังงานให้ใช้เคร่ืองวัดไฟฟ้าหรือให้ติดต้ังหม้อ แปลงไฟฟ้าชดุ เดียวหรอื หลายชดุ รวมกนั มีขนาดตัง้ แต่ 1,000 กิโลวัตต์ หรือ 1,175 กิโลโวลท์แอมแปร์ขึ้นไป หรอื 2. โรงงานหรืออาคารที่ใช้ไฟฟ้าจากระบบของผู้จาหน่ายพลังงาน ความร้อนจากไอน้า จากผู้ จาหน่ายพลังงาน หรือพลังงานสิ้นเปลืองอื่นจากผู้จาหน่ายพลังงานหรือของตนเอง อย่างใดอย่างหน่ึง รวมกันต้ังแต่วันที่ 1 มกราคมถึงวันที่ 31 ธันวาคมของปีท่ีผ่านมามีปริมาณพลังงานทั้งหมดเทียบเท่า พลงั งานไฟฟ้าตัง้ แต่ 20 ลา้ นเมกะจลู ข้ึนไป กลุ่มผู้ผลิตหรือผู้จาหน่ายเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ท่ีมีประสิทธิภาพสูง รวมถึงการวัสดุหรือ อุปกรณเ์ พ่อื การอนรุ ักษ์พลงั งาน จะได้รบั สทิ ธอิ ดุ หนนุ ชว่ ยเหลือทางการเงินเพื่อให้มีการผลิตหรือจาหน่ายท่ี มรี าคาเหมาะสมและไดอ้ ยา่ งแพรห่ ลาย ทาให้ประชาชนท่วั ไปสามารถลดการใชพ้ ลงั งานลงได้ คมู่ อื การอนุรักษ์พลงั งาน 5-3 V.2022
4.2 การปฏิบัตติ ามกฎหมายของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ท้ังน้ีเพ่ือประโยชน์ในการอนุรักษ์พลังงานได้มีการออกกฎกระทรวงให้โรงงานควบคุม และอาคาร ควบคมุ ดาเนินในเรือ่ งดังต่อไปน้ี กาหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการพลังงานให้เจ้าของโรงงานควบคุม หรืออาคาร ควบคมุ ต้องปฏิบัติ กาหนดให้เจ้าของโรงงานควบคุม หรืออาคารควบคุมต้องจัดให้มีผู้รับผิดชอบด้านพลังงานประจา ในโรงงานควบคุม หรืออาคารควบคุมแต่ละแห่ง ตลอดจนกาหนดคุณสมบัติและหน้าท่ีของ ผรู้ บั ผิดชอบด้านพลงั งาน ในกรณีที่เจ้าของโรงงานควบคุมหรือเจ้าของอาคารควบคุมแห่งใดใช้พลังงานต่ากว่าขนาด หรือ ปริมาณที่กาหนดในพระราชกฤษฎีกากาหนดโรงงานควบคุม พ.ศ.2540 หรือพระราชกฤษฎีกากาหนด อาคารควบคมุ พ.ศ.2538 และใช้พลังงานระดับดังกล่าวต่อไปติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน เจ้าของ โรงงานควบคุมหรือเจ้าของอาคารควบคุมแห่งน้ัน สามารถแจ้งคาขอให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทน และอนรุ กั ษพ์ ลงั งานผ่อนผันการทจ่ี ะปฏิบัตติ ามพระราชบัญญัติน้ีได้ คาขอดังกล่าวอธิบดีจะมีหนังสือแจ้งผล ให้ทราบว่าสามารถผ่อนผันหรือไม่ผ่อนผันได้แล้วแต่ละกรณีให้รับทราบ หากการแจ้งคาขอดังกล่าวเป็นเท็จ เจ้าของโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไปไม่เกิน 150,000 บาท หรือทัง้ จาทั้งปรับ ขน้ั ตอนการดาเนนิ การตาม พ.ร.บ. การสง่ เสรมิ การอนุรกั ษพ์ ลงั งาน พ.ศ. 2535 (แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ พ.ศ.2550) 5-4 กล่มุ วิจยั EnConLab มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบุรี
โรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุม ได้มกี ารแบง่ ขนาดออกเป็น 2 กลมุ่ กลมุ่ ท่ี 1 กลุม่ ที่ 2 โรงงานควบคุมหรอื อาคารควบคุมท่ีได้รบั อนุมัติ โรงงานควบคมุ หรอื อาคารควบคมุ ที่ได้รับอนุมตั ิ จากผู้จาหนา่ ยพลงั งานให้ใช้เครื่องวดั ไฟฟ้าหรือ จากผู้จาหนา่ ยพลงั งานให้ใช้เครื่องวัดไฟฟ้าหรือ ใ ห้ ติ ด ตั้ ง ห ม้ อ แ ป ล ง ชุ ด เ ดี ย ว ห รื อ ห ล า ย ชุ ด ใ ห้ ติ ด ต้ั ง ห ม้ อ แ ป ล ง ชุ ด เ ดี ย ว ห รื อ ห ล า ย ชุ ด รวมกันมขี นาดต่ากวา่ 3,000 กิโลวตั ต์ หรือ รวมกันมขี นาดตง้ั แต่ 3,000 กโิ ลวตั ต์ หรือ 3,530 กโิ ลโวลท์แอมแปร์ หรือมีการใชพ้ ลังงาน 3,530 กโิ ลโวลทแ์ อมแปรข์ นึ้ ไป หรอื มกี ารใชพ้ ลงั งาน ไฟฟ้า พลังงานความร้อนจากไอน้า หรือ ไฟฟ้า พลังงานความร้อนจากไอน้า หรือ พลังงานสิ้นเปลืองอื่นจากผู้จาหน่ายพลังงาน พลังงานสิ้นเปลืองอื่นจากผู้จาหน่ายพลังงาน หรอื ของตนเอง อย่างใดอย่างหน่ึง หรอื รวมกนั หรอื ของตนเอง อย่างใดอย่างหนง่ึ หรือรวมกัน ต้งั แต่วนั ท่ี 1 มกราคมถึงวันท่ี 31 ธันวาคมของ ตงั้ แตว่ นั ที่ 1 มกราคมถึงวันท3่ี 1 ธันวาคมของ ปีที่ผา่ นมา มปี ริมาณพลังงานทงั้ หมดเทียบเท่า ปที ผี่ า่ นมา มีปรมิ าณพลังงานทั้งหมดเทยี บเท่า พลงั งานไฟฟ้าตา่ กวา่ 60 ลา้ นเมกะจูล พลังงานไฟฟ้าตั้งแต่ 60 ลา้ นเมกะจลู การแต่งตัง้ ผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน การจัดให้มีผู้รับผิดชอบด้านพลังงานประจาโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมแต่ละแห่ง เพื่อให้มี บุคลากรที่มีความรู้เฉพาะทางในการช่วยเหลือด้านการอนุรักษ์พลังงานให้แก่เจ้าของโรงงานควบคุมหรือ อาคารควบคมุ โดยท่ีผรู้ บั ผดิ ชอบด้านพลังงานมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ 1. เปน็ ผไู้ ดร้ บั ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชน้ั สงู และมปี ระสบการณท์ างานในโรงงานหรอื อาคารอยา่ งนอ้ ย 3 ปี โดยมผี ลงานดา้ นการอนรุ กั ษพ์ ลงั งานตามการรบั รองของเจา้ ของโรงงานควบคมุ หรอื อาคารควบคมุ 2. เป็นผู้ได้รับปริญญาทางวิศวกรรมศาสตร์หรือทางวิทยาศาสตร์ โดยมีผลงานด้านการอนุรักษ์ พลังงานตามการรบั รองของเจา้ ของโรงงานควบคมุ หรอื อาคารควบคมุ 3. เป็นผู้สาเร็จการฝึกอบรมด้านการอนุรักษ์พลังงาน หรือการฝึกอบรมท่ีมีวัตถุประสงค์ คล้ายคลึงกนั ทอ่ี ธิบดีกรมพัฒนาพลงั งานทดแทนและอนรุ กั ษพ์ ลงั งานให้ความเหน็ ชอบ 4. เป็นผู้สาเรจ็ การฝึกอบรมหลกั สูตรผรู้ บั ผิดชอบด้านพลังงานอาวโุ สทอี่ ธิบดีกรมพัฒนาพลังงาน ทดแทนและอนุรักษพ์ ลงั งานให้ความเห็นชอบ 5. เป็นผู้ท่ีสอบได้ตามเกณฑ์ท่ีกาหนดจากการจัดสอบผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน ซ่ึงจัดโดยกรม พฒั นาพลังงานทดแทนและอนุรักษพ์ ลังงาน คูม่ ือการอนรุ กั ษ์พลงั งาน 5-5 V.2022
จานวนผ้รู บั ผดิ ชอบดา้ นพลังงาน ของโรงงานควบคมุ และอาคารควบคมุ จะแบง่ ตามกลุม่ กล่มุ ท่ี 1 กลุม่ ที่ 2 ต้องจดั ใหม้ ีผรู้ ับผิดชอบดา้ นพลังงาน ต้องจัดใหม้ ีผรู้ ับผดิ ชอบด้านพลงั งาน อยา่ งนอ้ ย 1 คน ไมน่ อ้ ยกว่า 2 คน โดยอย่างนอ้ ย 1 คน ตอ้ งมคี ณุ สมบตั ผิ รู้ บั ชอบพลงั งานด้านอาวโุ ส กฎกระทรวงเกยี่ วกับผรู้ บั ผดิ ชอบดา้ นพลงั งาน คมู่ ือแตง่ ตงั้ ผรู้ บั ผดิ ชอบด้านพลงั งาน กรณีที่ผู้รับผิดชอบด้านพลังงานพ้นจากหน้าท่ี เจ้าของโรงงานควบคุมหรือเจ้าของอาคารควบคุม จะตอ้ งแจ้งให้อธิบดีรับทราบ และจัดให้มีผรู้ บั ผิดชอบดา้ นพลังงานแทนภายใน 90 วัน การจัดการพลงั งาน เนื่องจากโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมมีการใช้ กฎกระทรวง กาหนดมาตรฐาน หลกั เกณฑ์ พลงั งานคอ่ นข้างสูงอย่างต่อเนือ่ ง ทางกรมพัฒนาพลงั งาน และวธิ กี ารจดั การพลงั งานในโรงงานควบคมุ ทดแทนและอนรุ ักษพ์ ลังงาน (พพ.) กระทรวงพลงั งานจึงมี นโยบายให้ดาเนินการจัดการพลังงานข้ึนภายในองค์กร และอาคารควบคมุ พ.ศ.2552 เพ่ือให้ใช้พลังงานอย่างมีประสทิ ธภิ าพอยา่ งเป็นรปู ธรรม ตาม กฎกระทรวงกาหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการจัด การพลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม พ.ศ. 2552 ทาให้มีวิธีการจัดการพลังงานอย่างเป็นข้ันตอน รวมถงึ มกี าร วางแผนดาเนินการท่ีดีให้เหมาะสมกับองค์กร โดยแบ่ง วิธดี าเนินการเป็น 8 ขั้นตอน ดงั น้ี 5-6 กลุม่ วจิ ัย EnConLab มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบุรี
คู่มือการอนรุ กั ษพ์ ลังงาน 5-7 V.2022
ข้ันตอนที่ 1 เจ้าของโรงงานควบคุมและเจ้าของอาคารควบคุมต้องจัดให้มีคณะทางานด้านการจัดการพลังงา น ขึ้นเพ่ือดาเนินการให้เป็นไปตามนโยบายอนุรักษ์พลังงานขององค์กรที่กาหนดข้ึน และข้ึนตรงกับเจ้าของ โรงงานควบคมุ หรือเจ้าของอาคารควบคมุ จงึ ตอ้ งมีคาสงั่ ประกาศแต่งต้ังคณะทางานโดยมกี ารลงลายมือช่อื ของเจ้าของโรงงานควบคุมและเจ้าของอาคารควบคุม หรอื ผบู้ ริหารระดับสูง ให้พนักงานในองคก์ รรบั ทราบ อยา่ งท่ัวถงึ เพ่ือให้เกดิ ความร่วมมือในการดาเนนิ กจิ กรรมดา้ นการจัดการพลังงาน และการประกาศแต่งตง้ั คณะทางานจะตอ้ งมีการกาหนดอานาจหนา้ ทีโ่ ดยมีเนอ้ื หาสาระตามกฎกระทรวงฯ ในขอ้ 5 การวางโครงสรา้ งคณะทางานควรเรม่ิ จากประเมินวัฒนธรรมองคก์ ร เช่น องค์กรทางานเป็น Team โครงสรา้ งจะมาจากตัวแทนหนว่ ยงานต่างๆ ในองค์กร เพือ่ กาหนดทศิ ทางและผลกั ดนั การอนรุ ักษพ์ ลังงาน เปน็ ต้น 5-8 กลุม่ วจิ ัย EnConLab มหาวิทยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบุรี
ขัน้ ตอนที่ 2 การประเมินสถานภาพการจัดการพลังงานเบื้องต้น เพ่ือให้ทราบจุดอ่อนหรือจุดแข็งในการจัด การพลงั งานขององค์กรในปัจจุบัน คณะทางานสามารถใชต้ ารางประเมินการจดั การพลงั งาน (Energy Management Matrix : EMM) โดยพิจารณา 6 องค์ประกอบ คอื นโยบาย การจดั องคก์ ร การกระตนุ้ และสรา้ งแรงจูงใจ ระบบข่าวสารขอ้ มูล การประชาสมั พนั ธ์ และการลงทุน โดยมีคะแนนระหว่าง 0-4 คะแนน เม่อื ทราบสถานภาพการจดั การพลังงานท่ีแทจ้ รงิ จะทาให้สามารถกาหนดทิศทางของนโยบายอนรุ กั ษ์ พลังงานของปัจจบุ ันไดอ้ ยา่ งชัดเจน ควรเริ่มประเมนิ จากหน่วยงานย่อยตามโครงสรา้ งของโรงงานควบคมุ หรืออาคารควบคมุ กอ่ น แล้วนาผลมาประเมนิ ในภาพรวมอกี คร้งั นอกจากการประเมิน EMM เพื่อดาเนินการจัดการพลังงานในองค์กรในครง้ั แรกแล้ว ยังควร ดาเนนิ การประเมิน EMM เมือ่ มผี ลการทบทวนวเิ คราะห์ และแก้ไขขอ้ บกพรอ่ งของการจดั การพลังงานใน ขน้ั ตอนที่ 8 มีผลต้องปรับปรุงวธิ ีการจดั การพลงั งาน ข้นั ตอนที่ 3 นโยบายอนรุ กั ษ์พลังงาน ต้องจัดทาเนื้อหาทช่ี ัดเจนในการแสดงเจตจานงในการจัดการพลังงานและ สรา้ งจติ สานกึ ดา้ นการอนรุ ักษ์พลงั งานไปตามข้อกาหนดตามกฎกระทรวงฯ ข้อ 4 และมกี ารลงนามด้วย ลายลกั ษณ์อกั ษรโดยเจ้าของโรงงานควบคมุ และเจา้ ของอาคารควบคมุ หรอื ผู้บริหารระดับสูง และมกี าร เผยแพรป่ ระชาสัมพันธ์ใหพ้ นักงานในองคก์ รรับทราบและปฏิบตั ิตามนโยบาย คูม่ อื การอนุรกั ษพ์ ลังงาน 5-9 V.2022
ขนั้ ตอนที่ 4 การประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงาน เพ่ือวางแผนและกาหนดเป้าหมายด้านการอนุรักษ์ พลงั งาน มีการประเมิน 3 ระดบั ระดบั องค์กร เปน็ การประเมนิ การใชพ้ ลังงานท้ังองค์กร โดยพิจารณาจากบิลคา่ ไฟฟ้า ปรมิ าณการใช้ เชอ้ื เพลิง และมกี ารเปรยี บเทยี บกบั การใช้พลังงานในอดตี ระดับผลติ ภณั ฑห์ รอื การบริการ เพือ่ สะทอ้ นต้นทุนพลังงานในการผลติ สินคา้ หรือบรกิ าร โดยวิธี วิเคราะห์ดัชนกี ารใช้พลงั งานจาเพาะ (Specific Energy Consumption : SEC) ระดบั เครื่องจกั ร/อุปกรณ์หลกั ท่ีมนี ัยสาคญั เปน็ การประเมินประสิทธิภาพ คน้ หาศักยภาพการอนุรักษ์ พลงั งาน ขน้ั ตอนที่ 5 การกาหนดเป้าหมายและแผนอนรุ กั ษพ์ ลังงาน แผนการฝกึ อบรมและกจิ กรรมส่งเสริมการอนรุ ักษ์ พลังงาน เม่ือได้ประเมินศักยภาพพลังงานการอนุรกั ษพ์ ลังงานแล้ว จะทราบสาเหตกุ ารสูญเสียพลงั งาน จากการใช้พลังงานแล้วนามาวางแผนกาหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน แนวทางในการกาหนด เป้าหมายอนุรักษ์พลังงานอาจจะกาหนดโดยผู้บริหาร เพื่อกาหนดทิศทางและจุดหมายให้องค์กรใ ช้ ความสามารถอย่างเต็มท่ีในการบรรลุเป้าหมาย หรือกาหนดเป้าหมายโดยใช้ค่าใช้พลังงานท่ีต่าที่สุดท่ี องค์กรทาได้เปน็ มาตรฐาน โดยเฉล่ยี จะตั้งเป้าหมายการอนุรกั ษพ์ ลงั งานรอ้ ยละ 5-10 ของการใชพ้ ลังงานปี กอ่ น การกาหนดมาตรการอนรุ กั ษพ์ ลงั งานมี 3 วธิ ี การใช้ระบบปัจจุบันให้มีประโยชน์สูงสุด (House Keeping) เช่น การจัดโหลดการทางานให้ได้ ประสิทธภิ าพสูงสดุ การบารงุ รักษาเครือ่ งจักร/อุปกรณ์ เป็นต้น การปรบั ปรงุ สงิ่ ท่ีมอี ยู่ (Minor Changes) เชน่ การปรบั ปรงุ ประสิทธภิ าพกระบวนการผลิต เปน็ ต้น การเปลี่ยนแปลงส่ิงท่มี อี ยู่ (Major Replacements) เชน่ การใช้เทคโนโลยใี นการผลติ หรือบรกิ ารที่มี ประสทิ ธภิ าพมากกว่าปัจจุบัน นอกจากมาตรการอนรุ ักษ์พลงั งานตอ้ งสร้างความรู้ความเขา้ ใจในการลดความสญู เสยี การใช้ พลงั งานดงั กลา่ วรวมถงึ การสรา้ งจิตสานึกให้กบั พนกั งานในองค์กรควบคู่ไปด้วย 5-10 กลมุ่ วจิ ยั EnConLab มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบุรี
ขั้นตอนที่ 6 การดาเนินการตามแผนอนุรกั ษพ์ ลงั งาน การตรวจสอบและวเิ คราะหก์ ารปฏิบัตติ ามเป้าหมายและ แผนอนุรกั ษพ์ ลังงาน คณะทางานมีหนา้ ท่ใี นดแู ลควบคมุ และตดิ ตามการดาเนินการอนรุ กั ษพ์ ลงั งานตาม แผนท่ีได้ตั้งไว้ พร้อมทั้งหาสาเหตุการดาเนินการท่ีไม่ประสบผลสาเร็จตามแผน และหาแนวทางแก้ไข ปรับปรงุ ตอ่ ไปในอนาคตเพ่ือเสนอรายงานต่อเจ้าของโรงงานควบคมุ และอาคารควบคุม หรือผู้บริหารสูงสดุ โดยควรทาเป็นประจาอย่างน้อย 3 เดือนตอ่ ครง้ั ผลสรุปการติดตามการดาเนินการมาตรการอนุรักษ์พลังงาน ควรมีรายช่ือมาตรการอนุรักษ์ พลังงาน สถานภาพการดาเนนิ งาน และปัญหาอุปสรรคในการดาเนินงาน และควรมผี ลการตรวจสอบและ วเิ คราะหก์ ารปฏิบตั ิตามมาตรการอนุรักษพ์ ลงั งานท่มี รี ายละเอียดเร่ืองเงินลงทนุ ผลการอนรุ กั ษ์พลงั งาน ผลสรปุ การตรวจตดิ ตามการดาเนนิ การของการฝึกอบรมและกจิ กรรมส่งเสริมการอนุรกั ษ์ พลงั งาน มีรายละเอียดหลักสูตรการฝึกอบรมหรอื กิจกรรม สถานภาพการดาเนนิ การ ปัญหาและอปุ สรรค ในการดาเนินการ และจานวนผู้เข้าร่วมอบรมและกิจกรรมแตล่ ะหลักสูตร ขัน้ ตอนที่ 7 การตรวจติดตามและประเมินการจัดการพลังงาน จะต้องมีการจัดคณะผู้ตรวจประเมินการจั ด การพลงั งานภายในองค์กรเพ่ือติดตามและตรวจสอบวธิ ีการจัดการพลังงานท่ีจดั ทา และมีประกาศแต่งตั้ง พร้อมมีการลงนามด้วยลายลักษณ์อักษรโดยเจ้าของโรงงานควบคุมและเจ้าของอาคารควบคุม หรือผบู้ รหิ ารระดบั สูง และเผยแพรป่ ระชาสมั พันธ์ใหพ้ นกั งานในองคก์ รรับทราบ คณะผตู้ รวจประเมินฯ ต้องมีความเปน็ กลางและมอี สิ ระตอ่ กจิ กรรมที่จะทาการประเมิน ตอ้ งมี สมาชิกอยา่ งน้อย 2 คน พร้อมทงั้ กาหนดวาระการทางานตามความเหมาะสม ผู้ตรวจประเมนิ จะตอ้ งเป็นผ้ทู ่ี มีความเข้าใจในระบบการจัดการพลังงาน การพิจารณาการประเมินน้ันจะต้องมีการตรวจสอบกา ร ดาเนินการโดยรวบรวมเอกสารหลกั ฐานท่ีเกี่ยวขอ้ งหรือการสอบถามพนกั งานในองค์กร เพื่อจดั ทารายงาน การตรวจติดตามระบบการจัดการพลงั านในแต่ละขั้นตอน และควรจดั ทารายงานอย่างนอ้ ยปีละ 1 ครัง้ ใน การทาสรุปผลตรวจตดิ ตามควรมีลงลายมือชอ่ื รบั รองโดยประธานคณะผตู้ รวจประเมนิ ฯ คมู่ อื การอนุรักษพ์ ลังงาน 5-11 V.2022
ขน้ั ตอนท่ี 8 การทบทวน วิเคราะห์ และแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งของการจัดการพลงั งาน ภายหลังจากการตรวจสอบ และประเมินการจัดการพลังงานจากคณะผู้ตรวจประเมนิ ฯ ภายในองคก์ รแล้ว ควรมกี ารพิจารณผลการ ตรวจประเมินเพอื่ ทาการทบทวน วิเคราะห์และแกไ้ ขขอ้ บพรอ่ ง เพ่ือหาแนวทางในการพัฒนาวิธีการจดั การพลงั งานอยา่ งตอ่ เนื่อง ในการประชมุ ทบทวนควรจดั ข้ึนเปน็ ประจาอยา่ งน้อยปีละ 1 ครงั้ ผเู้ ข้าร่วมประชมุ ควรมีผู้บริหารระดบั สงู ประธานและคณะทางานด้านการจดั การพลังงาน และตัวแทนจากหนว่ ยงานต่างๆ ใน องคก์ าร จากน้ันทาการสรปุ ผลแต่ละขั้นตอนของระบบการจัดการพลงั งานและรายงานใหเ้ จา้ ของโรงงาน ควบคมุ และอาคารควบคุมรับทราบ และเผยแพรผ่ ลการประชุมให้พนกั งานองคก์ รรับทราบอยา่ งทว่ั ถึง หลงั จากทโ่ี รงงานดาเนนิ ระบบการจดั การพลงั งานในแตล่ ะปแี ลว้ จะตอ้ งสง่ รายงานการจดั การพลงั งาน และมผี ลการตรวจสอบและรบั รองการจดั การพลงั งานตามกฎหมายจากผตู้ รวจสอบภายนอกทไ่ี ดร้ บั อนญุ าต ตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงานโดยใช้เกณฑ์ที่ใช้ในการตรวจสอบจากประกาศกระทรวง เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดาเนินการจัดการพลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม พ.ศ.2552 ผู้ตรวจสอบพิจารณาความสอดคล้องในการดาเนินการจัดการพลังงานของโรงงานควบคุมหรื อ อาคารควบคุมกับข้อกาหนดของวิธีการจัดการพลังงานโดยต้องมีหลักฐานและเอกสาร การสัมภาษณ์ บุคลากรทเ่ี กี่ยวข้อง การตัดสนิ ความไม่สอดคล้องมี 2 ประเภท คอื ในกฎกระทรวง ประเภทรา้ ยแรง การไมม่ เี อกสารในการดาเนนิ การจดั การพลงั งาน หรอื ไมม่ หี ลกั ฐานการปฏบิ ตั งิ านจรงิ ตามขอ้ ใดขอ้ หนง่ึ ของวิธีการจดั การพลังงานตามทกี่ าหนดไว้ 5-12 กลมุ่ วิจยั EnConLab มหาวิทยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบุรี
รายละเอยี ดความไม่สอดคลอ้ ง ขน้ั ตอนท่ี •การไมม่ ีคาสั่งแตง่ ต้งั คณะทางานดา้ นการจดั การพลังงานเป็นเอกสาร ขน้ั ตอนที่ 1 (ก.1) •การไมก่ าหนดอานาจหน้าท่ี และความรบั ผิดชอบของคณะทางานดา้ นการจดั การพลังงาน ข้ันตอนท่ี 1 ตามท่กี าหนดไวใ้ นกฎกระทรวง ขน้ั ตอนท่ี 2 •การไม่ประเมินสถานภาพการจดั การพลงั งานเบือ้ งตน้ ทงั้ ในหน่วยงานย่อยตามโครงสร้าง ขั้นตอนท่ี 3 ขั้นตอนที่ 3 (ก.2) และภาพรวมของโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมในกรณีที่มีการนาวิธีการจัดการพลังงานมาใช้ ขั้นตอนท่ี 4 เปน็ ครง้ั แรก •การไมม่ ีนโยบายอนุรักษพ์ ลังงานเป็นเอกสาร ขั้นตอนท่ี 5 ขั้นตอนที่ 5 (ก.3) •การไม่กาหนดนโยบายอนรุ กั ษพ์ ลงั งานให้มสี าระสาคญั ตามทก่ี าหนดไว้ในกฎกระทรวง ขั้นตอนที่ 6 •การไม่ประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงานตามหลักเกณฑ์และวิธีการในข้อใดเลยท่ี ขั้นตอนที่ 6 กาหนดไวใ้ นประกาศน้ี ขั้นตอนที่ 7 •การไม่กาหนดเปา้ หมายและแผนอนุรักษ์พลังงานตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกาหนดใน (ก.4) ประกาศน้ี •การไม่กาหนดแผนการฝึกอบรมและกิจกรรมเพอื่ ส่งเสริมการอนรุ ักษ์พลงั งาน •การไม่ดาเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การปฏิบัติตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์ (ก.5) พลงั งานตามหลกั เกณฑ์และวิธกี ารทก่ี าหนดในประกาศนี้ •การไมต่ ดิ ตามผลการดาเนินการของการฝึกอบรมและกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงาน •การไมม่ ีคาสงั่ แตง่ ต้ังคณะผู้ตรวจประเมนิ การจัดการพลังงานภายในองคก์ รเปน็ เอกสาร •การไมต่ รวจประเมนิ การจดั การพลังงานตามหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการท่กี าหนดในประกาศน้ี ขน้ั ตอนท่ี 7 •การไม่ทบทวน วิเคราะห์ และแก้ไขข้อบกพร่องของการจัดการพลังงานตามหลักเกณฑ์ ขน้ั ตอนที่ 8 (ก.6) และวธิ กี ารที่กาหนดในประกาศน้ี •การไม่นาผลการตรวจติดตามและประเมินการจัดการพลังงานนาเสนอคณะทางานด้าน ขั้นตอนท่ี 8 การจัดการพลงั งานเพือ่ ทบทวนวเิ คราะห์ และแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งของการจัดการพลงั งานในรอบปี •การไมม่ ีผลการทบทวน วเิ คราะห์ และแก้ไขขอ้ บกพร่องของการจดั การพลงั งาน ขน้ั ตอนที่ 8 •การไม่เผยแพร่คาส่งั แตง่ ตงั้ คณะทางานด้านการจัดการพลังงาน ขั้นตอนที่ 1 •การไม่เผยแพรค่ าสง่ั แตง่ ตั้งคณะผ้ตู รวจประเมนิ การจดั การพลังงานภายในองคก์ ร ขน้ั ตอนที่ 7 (ก.7) ขั้นตอนที่ 3 •การไมเ่ ผยแพรใ่ นเรือ่ งของนโยบายอนุรกั ษ์พลังงาน •การไม่เผยแพร่แผนการฝึกอบรมและกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานด้วย ขนั้ ตอนท่ี 5 วิธีการใดๆ ให้บุคลากรในโรงงานควบคมุ หรืออาคารควบคุมทราบอย่างทว่ั ถงึ ค่มู ือการอนุรกั ษพ์ ลังงาน 5-13 V.2022
ประเภทไมร่ า้ ยแรง ความไมส่ อดคล้องของเอกสารขณะท่ปี ฏิบัตจิ ริง ความไมส่ อดคล้องหรือความคลาดเคลอ่ื นในเชงิ ปฏิบัตแิ ละการปฏบิ ตั ิจรงิ ท่โี รงงานควบคมุ และอาคารควบคุม รายละเอยี ดความไม่สอดคลอ้ ง ขน้ั ตอนท่ี •การมคี าสง่ั แต่งตั้งคณะทางานด้านการจดั การพลังงานเป็นเอกสารแต่ยังไม่ได้ลงลายมือ ขั้นตอนท่ี 1 ชอื่ โดยเจา้ ของโรงงานควบคมุ หรือเจา้ ของอาคารควบคุม ขน้ั ตอนท่ี 7 (ข.1) •การมคี าส่ังแตง่ ตงั้ คณะผู้ตรวจประเมนิ การจัดการพลงั งานภายในองคก์ ร เปน็ เอกสารแต่ ยังไมไ่ ดล้ งลายมอื ชอ่ื โดยเจ้าของโรงงานควบคุมหรือเจา้ ของอาคารควบคุม ขั้นตอนท่ี 3 •การมีนโยบายอนุรักษ์พลังงานเป็นเอกสารแต่ยังไม่ได้ลงลายมือชื่อโดยเจ้าของโรงงาน ขน้ั ตอนท่ี 1 ควบคมุ หรือเจ้าของอาคารควบคมุ ขน้ั ตอนท่ี 2 •การกาหนดอานาจหน้าที่และความรับผิดชอบของคณะทางานด้านการจัดการพลังงาน สอดคล้องกบั สาระสาคญั บางข้อตามทีก่ าหนดไว้ในกฎกระทรวง ขั้นตอนท่ี 3 ขั้นตอนที่ 4 •การประเมินสถานภาพการจัดการพลังงานเบ้ืองต้นไม่ครบทุกหน่วยงานย่อยตาม ข้นั ตอนท่ี 7 ขน้ั ตอนที่ 8 โครงสร้างของโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมหรือการประเมินสถานภาพการจัดการพลังงาน ขัน้ ตอนที่ 4 เบอ้ื งต้นไมค่ รบทกุ องคป์ ระกอบตามท่ีกาหนด ขน้ั ตอนที่ 5 (ข.2) •ก า ร ก า ห น ด น โ ย บ า ย อ นุ รั ก ษ์ ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ส า ร ะ ส า คั ญ บ า ง ข้ อ ต า ม ท่ี ก า ห น ด ใ น ข้ันตอนท่ี 6 กฎกระทรวง ขน้ั ตอนที่ 6 ขน้ั ตอนที่ 1 •มีการประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงาน การตรวจประเมินการจัดการพลังงาน และ ขัน้ ตอนที่ 3 การทบทวน วิเคราะห์และแก้ไขข้อบกพร่องของการจัดการพลังงานในบางข้อหรือไม่ครบทุก ขั้นตอนท่ี 5 องค์ประกอบตามหลกั เกณฑ์และวิธกี ารท่กี าหนดในประกาศนี้ ขั้นตอนที่ 7 •ผลการตรวจวัดและวิเคราะห์ข้อมูลท่ีได้จากการประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงาน รวมถึงผลการตรวจสอบและวเิ คราะห์ข้อมูลทใี่ ชใ้ นการกาหนดมาตรการอนุรักษ์พลังงานด้านไฟฟ้า และด้านความร้อนและผลการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลการปฏิบัติตามเป้าหมายและแผน (ข.3) อนุรักษพ์ ลงั งานในแต่ละมาตรการไมถ่ ูกต้องตามหลักวิศวกรรม •ผลการติดตามการจัดฝึกอบรมและกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไม่เป็นไป ตามแผนที่กาหนดไว้ •มีการเผยแพร่คาสง่ั แต่งตั้งคณะทางานดา้ นการจดั การพลงั งานคาสั่งแตง่ ต้งั คณะผ้ตู รวจ (ข.4) ประเมินการจดั การพลังงานภายในองคก์ ร นโยบายอนรุ ักษ์พลงั งาน แผนการฝึกอบรมและกิจกรรม เพือ่ สง่ เสรมิ การอนรุ กั ษพ์ ลงั งานดว้ ยวธิ กี ารใดวธิ กี ารหนง่ึ แลว้ แตบ่ ุคลากรของโรงงานควบคุมหรือ อาคารควบคุมได้รับทราบไมท่ ว่ั ถึง เป็นต้น 5-14 กลุ่มวิจัย EnConLab มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบุรี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224