ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๙๓ คุณคา่ ของวรรณคดี ๑. สํานวนในสามก๊กมีการบรรยายอย่างชัดเจน ทําให้ผู้อ่านเห็นภาพตัวละครได้อย่าง ชัดเจน เช่น บรรยายลักษณะของเล่าปี่ “...... และเมืองตุ้นก้วน มีชายคนหนึ่งชื่อเล่าป่ี เมื่อน้อยชื่อ เหย้ี นเต็ก ไม่สู้รักเรียนหนังสือ แต่น้ําใจน้ันดี ความโกรธ ความยินดีมิได้ปรากฏออกมาภายนอก ใจน้ัน อารีย์นัก มีเพ่ือนฝูงมาก ใจคอกว้างขวาง หมายจะเป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวง กอปรด้วยลักษณะรูปใหญ่ สมบรู ณ์” ๒. ในทางสังคม ได้ให้ค่านิยมในเรื่อง คุณธรรมต่าง ๆ ไว้อย่างยอดเย่ียม โดยเฉพาะ อย่างย่ิง ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ ๓. ในทางทหาร ไดใ้ ห้ความร้เู กี่ยวกับการทาํ สงคราม ๔. ในทางมีอิทธิพลต่อวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ ได้มีวรรณคดีรุ่นหลังเอาแบบอย่างสํานวน โวหาร เช่น ผู้ชนะสิบทิศของยาขอบ ได้มีนักประพันธ์หลายท่านนําเอาสามก๊กมาแต่งเป็นสามก๊ก ฉบบั ตา่ ง ๆ อยหู่ ลายเร่อื ง เช่น สามกก๊ ฉบับวนิพกของยาขอบ สว่ นของหมอ่ มราชวงศ์คึกฤทธ์ิ ปราโมช ก็มีโจโฉนายกตลอดกาลและเบง้ เฮก เปน็ ตน้
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๙๔ ขุนชา้ งขุนแผน ผ้แู ต่ง พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั ความเป็นมา เร่ืองขุนช้างขุนแผน เป็นเรื่องจริง เกิดข้ึนเม่ือคร้ังกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีปรากฏอยู่ในหนังสือคําให้การชาวกรุงเก่า (พม่าถามจากพวกไทยท่ีจับไปได้คร้ังเสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ จดไว้เป็นภาษาพม่า) หอพระสมุดได้สําเนามาแปลเป็นภาษาไทย พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๔๕๗ ขุนแผนมตี วั ตนอย่ใู นรชั กาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (พ.ศ.๒๐๓๘ – ๒๐๗๒) คงนําเร่ือง นี้มาขับเป็นเสภา หลังจากนั้นประมาณ ๑๐๐ ปี ตอนปลายกรุงศรีอยุธยา เสภาเป็นมหรสพอันเป็นท่ี นยิ มแพรห่ ลายเฉพาะงานมงคล เรอื่ งนคี้ งจะเลา่ กันเปน็ นิยายอยกู่ ่อน จึงเอาไปขับเปน็ เสภา รูปแบบการแต่ง แต่งเป็นบทเสภา แต่งโดยประณีตบรรจงทุกสํานวน ถ้อยคําสํานวนไม่ หยาบโลนเหมือนเสภาท่ีขับกันในพ้ืนเมือง เสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผนได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังสือท่ี ดเี ดน่ เลม่ หนง่ึ ในสมยั กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ สาระสําคัญ ขุนแผนเดมิ ช่ือพลายแกว้ ขนุ ชา้ งและนางพิมพิลาไลยเคยเป็นเพ่ือนกันมาต้ังแต่เด็ก ทั้งขุนช้างและขุนแผนต่างหลงรักนางพิมพิลาไลย ขุนแผนสมหวังได้แต่งงานด้วย อยู่มาไม่นาน บ้านเมืองเกิดสงคราม ขุนแผนต้องออกไปรบ ฝ่ายนางพิมพิลาไลยป่วยจึงต้องเปล่ียนชื่อเป็นนางวันทอง เพอื่ เอาเคลด็ ขนุ ชา้ งแกล้งปล่อยขา่ ววา่ ขนุ แผนหรือพลายแก้วตายในสนามรบ พลายแก้วกลับจากสงคราม มาพร้อมด้วยยศศักดิ์ท่ีได้รับแต่งต้ังเป็นขุนแผนแสนสะท้าน ได้ภริยาคนใหม่ ช่ือนางลาวทอง เกิดหึงหวงกันขึ้น ขุนแผนจึงพานางลาวทองไปอยู่กาญจนบุรี ขุนช้าง จึงไดน้ างวนั ทองเป็นภรยิ า ขุนแผนถูกพระพันวสาลงโทษให้ไปเป็นนายด่านตระเวนชายแดนเพราะขุนช้างแกล้ง กลา่ วโทษว่าขนุ แผนหนเี วร ต่อมาขุนแผนได้ของวิเศษ ๓ อย่างมา คือ ดาบฟ้าฟ้ืน ม้าสีหมอก และกุมารทอง จึงบุก ขน้ึ เรอื นขนุ ช้าง ได้นางวันทองมาพาไปอยู่สพุ รรณบรุ ี ขุนชา้ งจึงไปฟอ้ งพระพันวสาวา่ ขุนแผนเป็นกบฏ ขุนแผนจึงต้องพานางวันทองหนีไป แต่ นางวันทองท้องแก่ ขุนแผนจึงเข้ามอบตัวสู้ความชนะ ขุนช้างฉุดเอานางวันทองมาได้ นางวันทอง คลอดบุตร ชอื่ พลายงามออกมาโตขึ้นได้เป็นทหาร ได้รับแต่งตั้งเป็นจม่ืนไวยวรนาถ ขุนแผนได้เป็นเจ้า เมืองกาญจนบุรี ในตําแหน่ง พระสุรินทรฟ้าไชย จมื่นไวยไปเรือนขุนช้างจะรับแม่วันทองมาอยู่ด้วย ขุนช้างไปฟ้องพระพันวสากล่าวโทษจม่ืนไวย พระพันวสาถามนางวันทองจะอยู่กับใคร นางวันทอง ลังเล จึงถูกประหารชีวิต จากน้ันก็เป็นเรื่องของจม่ืนไวยวรนาถท่ีได้ภริยา ๒ คน คือ นางสร้อยฟ้ากับ นางศรมาลา ภายหลังนางสร้อยฟ้าทาํ ความผิดจึงถกู เนรเทศกลบั ไปอยูเ่ ชียงใหม่
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๙๕ ยกตัวอยา่ งเสภาเรื่องขนุ ช้างขุนแผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฏีกา จะกล่าวถงึ โฉมเจ้าพลอยงาม เม่ือเป็นความชนะขนุ ช้างนัน่ กลับมาอยู่บา้ นสาํ ราญครนั เกษมสนั ต์สองสมภริ มย์ยวน พรอ้ มญาติขาดอยูแ่ ต่มารดา นกึ นึกตรึกตราละหอ้ ยหวน โอว้ ่าแมว่ ันทองช่างหมองนวล ไมส่ มควรเคยี งคู่กบั ขุนช้าง เออน่ีเนือ้ เคราะห์กรรมนําผดิ น่าอายมิตรหมองใจไม่หายหมาง ฝา่ ยพอ่ มบี ญุ เปน็ ขุนนาง แต่แม่ไปแนบขา้ งคนจญั ไร คณุ คา่ ของวรรณคดี ๑. ความเดน่ ของเร่ืองนี้เก่ียวกับชีวิตของคนธรรมดาสามัญทั่วไป ในสมัยโบราณตามแบบ ไทย ๆ รวมทงั้ ขนบธรรมเนียมประเพณตี ่าง ๆ ๒. กวใี ช้ถอ้ ยคําธรรมดาทส่ี ดุ นํามาเรยี บเรียงช่วยให้ผูอ้ า่ นเกิดมโนภาพไดแ้ จม่ ชดั ทสี่ ดุ ๓. วรรณคดีสโมสร ยกย่องว่า เป็นยอดของกลอนเสภา มีสํานวนกลอนดี เช่น ตัวอย่าง บทกลอนบทน้ี เม่ืออ่านแล้วจะเห็นได้ว่าใช้สัมผัสในวรรค ท้ังสัมผัสพยัญชนะ และสัมผัสสระ อยา่ งสมา่ํ เสมอ จงึ มีลลี าจงั หวะทนี่ ่าอา่ น “------------- ผ้คู นในบ้านก็ซานเซอะ ทั้งชายหญงิ ง่วงงมลม้ หลับ นอนพับควาํ่ หงายก่ายกนั เบอะ จป่ี ลาตาไฟมันไหลเลอะ โงกเงอะงมุ งมไม่สมประดี” มีการใชโ้ วหารภาพพจน์ เชน่ “ใตเ้ ตียงเสยี งหนูกก็ ุกกก แมลงมุมทุม่ อกทร่ี ิมฝา ย่ิงหวาดหวน่ั พรนั่ ตัวกลวั มรณา ถ้าวญิ ญามาจะพรากไปจากกาย”
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๙๖ อเิ หนา ผู้แต่ง พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หล้านภาลัย ความเป็นมา ทรงพระราชนิพนธ์ข้ึนใหม่หมดทั้งเร่ืองเพื่อใช้เล่นละครหลวง ไม่ใช้บทของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เพราะไม่เหมาะสําหรับเล่นละคร ละครรําสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงถือกันเป็นแบบอย่างมาจนทุกวันน้ี อิเหนาเป็นนิทาน พงศาวดารชวา พวกชวานบั ถืออิเหนาว่า เปน็ กษตั รยิ ท์ ่ที รงอานุภาพมาก นาํ เล่าสืบกันมาแล้ว นํามาใช้ เป็นบทพากย์หนังตะลุง เร่ืองอิเหนาเข้ามาในเมืองไทย สมัยพระเจ้าบรมโกศ สันนิษฐานว่าหญิงเชลย แหง่ ปตั ตานีซ่ึงเป็นข้าหลวงรับใช้เล่าเร่ืองถวายเจ้าฟ้าหญิงกุณฑลและเจ้าฟ้าหญิงมงกุฎทั้ง ๒ พระองค์ จงึ ทรงพระราชนพิ นธเ์ รอ่ื งดาหลงั และอเิ หนา ข้ึน และทรงพระราชนพิ นธ์ไว้ ๒๙ เลม่ สมุดไทย รูปแบบการแต่ง ทรงพระราชนิพนธ์เป็นกลอนบทละคร คือขึ้นต้นด้วย เมื่อน้ัน บัดน้ัน มีบอกช่ือเพลงไว้ท้ายบทแต่ละบทด้วย ภาษาที่ใช้มีภาษาชวาปนมาก นอกจากนั้นมีภาษาบาลี สนั สกฤต ภาษามลายู และคําไทยโบราณดว้ ย เรื่องย่อของบทละครเรื่องอิเหนา มีกษัตริย์วงศ์เทวัญ ๔ พระองค์ คือ ท้าวกุเรปัน ท้าวดาหา ท้าวกาหลังและท้าวสิงหัดส่าหรี ท้าวกุเรปัน มีโอรสองค์สําคัญ ซึ่งเก่งกล้าสามารถยิ่ง ชื่ออิเหนา และ ท้าวดาหามีธิดาซึ่งงามยิ่งนัก ช่ือนางบุษบา กษัตริย์ท้ังสองนครให้โอรสและธิดาตุนาหงัน (หม้ัน) กัน ตัง้ แตว่ ัยเยาวต์ ามประเพณขี องกษัตรยิ ์วงศเ์ ทวัญ เม่ืออิเหนาอายุได้ ๑๕ ปี อิเหนาต้องไปช่วยปลงศพพระอัยกีที่เมืองหมันยา ได้พบกับ นางจินตะหรา ธิดาท้าวหมันหยาก็หลงรักและไม่ยอมกลับเมืองกุเรปันเพื่อสมรสกับนางบุษบา ท้าว กเุ รปนั จงึ มีหนงั สือไปเรยี กตัวอเิ หนากลับ แลว้ นดั ท้าวดาหาให้เตรียมการวิวาห์ อิเหนาเม่ือทราบเรื่องก็ ออกอุบายขอไปเที่ยวป่าพร้อมบริวาร แล้วปลอมตัวเป็นโจรป่าช่ือ มิสาระปันหยี ตั้งใจจะไปเมือง หมันหยา ระหว่างทางได้สู้รบกับกษัตริย์หลายเมืองและมีชัยชนะ เมื่อไปถึงเมืองหมันหยา อิเหนาได้ นางจินตะหราเปน็ ชายา ท้าวดาหาทรงทราบก็กรว้ิ ประกาศวา่ ถ้าใครมาขอนางบุษบาก็จะยกให้ กล่าวถึงระตูจรกา ซ่ึงปรารถนามีคู่ จึงให้ช่างวาดไปวาดรูปธิดาเมืองต่าง ๆ ช่างวาดได้ลอบ วาดรูปนางจินดาส่าหรี ธิดาของท้าวสิงหัดสาหรี แล้ววาดรูปนางบุษบา ธิดาท้าวดาหลา ๒ รูป ปะตาระกาหลา ซ่ึงเป็นองค์เทวอัยกา ได้ลักรูปนางบุษบาไปจากช่างวาดรูปรูปหนึ่ง เหลือไว้รูปหนึ่ง เมื่อจรกาเห็นรูปนางบุษบาก็หลงรัก จึงอ้อนวอนพี่ชายให้มาสู่ขอนางไปอภิเษก ท้าวดาหายอมยก นางบุษบาให้แก่จรกา เมื่อทรงทราบว่า อิเหนาได้ตัดรอนการอภิเษกสมรส ฝ่ายองค์ปะตาระกาหลาได้ นาํ รูปนางบุษบาทล่ี ักจากช่างวาดรูปน้ันไปทิง้ ไวท้ โ่ี คนตน้ ไทร วิหยาสะกําตามกวางมาพบรูปนาง ก็คลั่ง ไคลใ้ หลหลง วอนท้าวกะหมงั กุหนงิ ซง่ึ เป็นพระราชบิดา ใหส้ ง่ ทูตไปขอนางบษุ บา........... ฯลฯ”
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๙๗ ตวั อย่าง เรื่องอิเหนาทีม่ ีเนือ้ ความท่ไี พเราะและควรจะทอ่ งเปน็ บทอาขยาน ดังน้ี ๏ เม่อื นน้ั โฉมยงองค์ระเด่นจินตะหรา คอ้ นใหไ้ ม่แลดสู ารา กลั ยาคั่งแค้นแนน่ ใจ แล้วว่าอนิจจาความรกั พึง่ ประจักษ์ด่งั สายนํา้ ไหล ตั้งแตจ่ ะเชย่ี วเปน็ เกลียวไกล ทไ่ี หนเลยจะไหลคนื มา สตรใี ดในพภิ พจบแดน ไม่มีใครไดแ้ ค้นเหมือนอกข้า ดว้ ยใฝร่ กั ใหเ้ กนิ พักตรา จะมีแตเ่ วทนาเป็นเนืองนติ ย์ โอ้ว่าน่าเสยี ดายตัวนัก เพราะเช่ือลิ้นหลงรักจึงช้าํ จิต จะออกชือ่ ลอื ชั่วไปทวั่ ทศิ เมอื่ พลง้ั คดิ ผิดแลว้ จะโทษใคร เสยี แรงหวังฝังฝากชีวี พระจะมีเมตตาก็หาไม่ หมายบาํ เหน็จจะรีบเสด็จไป กร็ ้เู ท่าเขา้ ใจในทํานอง ด้วยระเดน่ บุษบาโฉมตรู ควรคภู่ ิรมย์สมสอง ไม่ตาํ่ ศักด์ิรูปช่ัวเหมือนตวั น้อง ทั้งพวกพ้องสุริย์วงศ์พงศพ์ นั ธ์ุ โอ้แตน่ ี้สืบไปภายหน้า จะอายชาวดาหาเปน็ แม่นม่ัน เขาจะค่อนนนิ ทาทกุ ส่ิงอัน นางราํ พันว่าพลางทางโศกา ฯ คณุ คา่ ของวรรณคดี ๑. กล่าวกนั วา่ พระราชนพิ นธเ์ รอ่ื งอิเหนามคี วามดเี ดน่ ครบท้ัง องค์ ๕ ของละคร คือ - ตวั ละครงาม - ราํ งาม - พิณพาทย์ไพเราะ - กลอนไพเราะ ๒. ใหค้ วามรดู้ ้านโบราณราชประเพณีไทย เช่น พิธกี ารพระเมรุ พิธสี มโภชลูกหลวง พธิ ีโสกัณต์ ๓. วรรณคดสี โมสรในรัชกาลที่ ๖ ยกยอ่ งใหเ้ ปน็ หนังสอื กลอนบทละครทีด่ ียอดเย่ยี ม
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๙๘ สวสั ดริ กั ษา ผู้แตง่ พระสนุ ทรโวหาร (ภ)ู่ ความเป็นมา สุนทรภู่ได้เค้าเรื่องมาจากเร่ืองสวัสดิรักษาของเก่า ซึ่งแต่งเป็นฉันท์ ส่วน สาเหตุท่ีสุนทรภู่คิดแต่งเรื่องสวัสดิรักษาข้ึนใหม่เพราะมีความเห็นว่า เร่ืองเล่าไม่ค่อยเป็นที่นิยมกัน แพร่หลาย เนื่องจากแต่งเป็นฉันท์ ทําให้อ่านใจยาก และผู้แต่งเองก็คงไม่เข้าใจเน้ือเร่ืองดีพอ จึงกล่าว เนื้อเรื่องไว้ไม่ชัดเจน เร่ืองน้ีแต่งตอนปลายรัชกาลท่ี ๒ ระหว่าง พ.ศ.๒๓๖๔ – ๒๓๖๗ จุดมุ่งหมายใน การแต่งเพื่อถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์ (โอรสในรัชกาลที่ ๒) เพื่อแสดงความสามารถในเชิงการประพันธ์ และเพื่อสอนหลกั การปฏิบัตติ นตามขนบธรรมเนียมประเพณขี องสงั คมให้แกบ่ ุคคลทว่ั ไป รูปแบบการแต่ง แต่งเป็นกลอนสุภาพ จํานวน ๓๖ คํากลอน เนื้อหาสอนเร่ืองการ ปฏิบัติ ตัวให้ถูกหลักอนามัยท่ีดี โดยมีความเชื่อทางพุทธศาสนา ความเชื่อทางไสยศาสตร์และความ เชื่อทางโหราศาสตร์เป็นแกนสําคัญ ท้ังนี้ให้ผู้ปฏิบัติตามมีสุขภาพทางกายและสุขภาพจิตที่ดี สวัสดิ รักษา จึงสอนเรื่องการปฏิบัติตัวในชีวิตประจําวันของคนเรา เร่ิมตั้งแต่การปฏิบัติตัวในเวลาต่ืนนอน ตอนเชา้ ตรูไ่ ปจนถึงเร่ืองการปฏิบตั ติ ัวในเวลากลางคืนก่อนเข้านอน ตัวอย่างกลอนสวัสดริ กั ษา เช่น ว่าเช้าตรู่สุรโิ ยอโณทัย ตามคติโบราณท่านขานไข ผินพระพักตร์สู่บรู พทิศแลทกั ษิณ ตนื่ นอนให้หา้ มโมโหอย่าโกรธา ท่นี บั ถอื คือพระไตรสรณา เสกวารินด้วยพระธรรมคาถา แลว้ เอือ้ นอรรถตรัสความท่ดี กี ่อน ถว้ นสามคราจงึ ชําระสระพระพกั ตร์ ดว้ ยราศที ีช่ ะลอนรลักษณ์ จะถาวรพูนเกิดประเสริฐศกั ดิ์ ยามกลางวันน้ันวา่ พระราศี อยพู่ ระพักตร์แตท่ ิวาเวลากาล พระอรุ ะประสุคนธ์วิมลมาลย์ สถติ ท่ีวรองค์ให้สรงสนาน ครนั้ พบคํ่าคลํ้าฟ้าสุธาวาส จะสาํ ราญโรคาไมร่ าคี จงรดนํ้าชาํ ระซึ่งราคี ฝา่ ยเบอื้ งบาทซ้ายขวาเป็นราศี หา้ มสตรอี ย่าใหพ้ าดบาทยคุ ล คุณคา่ ของวรรณคดี ๑ ใหค้ ุณคา่ ในการปฏบิ ตั ิตัวในเวลาตื่นนอนตอนเช้า ๒. สอนเรอ่ื งการปฏบิ ัติตัว ในเรื่องทว่ั ๆ ไป เช่น - การสอนวันดี วนั เสยี - การแตง่ กายในเวลาออกสงคราม - การระวงั ภยั ในสถานท่ีตา่ ง ๆเช่น ห้วยธาร คลอง สะพาน ฯลฯ - การสํารวมกิรยิ าวาจา
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๙๙ - การปฏิบตั ิตัวตอ่ สตรีและสัตว์ - ข้อห้ามและข้อปฏิบัติตัวต่อเครื่องรางของขลัง วิชาอาคมต่าง ๆ ที่เล่าเรียนมา ถา้ อยากใหม้ คี วามขลังศกั ดิ์สทิ ธ์ิ ผเู้ รียนจะตอ้ งหมนั่ ทอ่ งบ่นทกุ คาํ่ คนื จนจําไดข้ ้นึ ใจ ๓. การปฏิบัติตัวในเวลานอน ก่อนนอนให้สวดมนต์ระลึกคุณพระรัตนตรัยและระลึกถึง คุณบิดา-มารดา เพ่ือทําให้จิตใจสงบจะได้นอนหลับสบาย เวลานอนก็ไม่ควรให้ผู้หญิงจับมือ และไม่ ควรนอนขา้ งซ้ายผู้หญงิ เวลามีภยั มาถงึ ตวั จะไดห้ ยบิ จับอาวุธได้ถนัดมือ
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๐๐ สภุ าษติ สอนสตรี ผ้แู ต่ง พระสนุ ทรโวหาร (ภู่) ความเป็นมา สุนทรภู่คงจะแต่งเร่ืองสุภาษิตสอนสตรี ในช่วงเวลาหลังจากสึกออกมาเป็น คฤหัสถ์แล้ว และไม่มีผู้ใดให้ความอุปการะ ต้องหาเล้ียงชีพตนเองด้วยการแต่งกลอนขาย ระยะเวลาที่ แต่ง ระหว่าง พ.ศ.๒๓๘๐ - ๒๓๘๓ ซึ่งเป็นเวลาที่ตกยาก ต้องลอยเรือระเหเร่ร่อน จุดมุ่งหมายในการ แตง่ เพอ่ื สอนให้สตรรี หู้ ลกั การปฏบิ ัตติ นตามขนบธรรมเนยี มประเพณีและเพือ่ ขายเอาเงนิ มาเลี้ยงชีพ รูปแบบการแตง่ กลอนสุภาพ จาํ นวน ๓๐๒ คํากลอน เน้ือหา สุภาษิตสอนสตรี สอนผู้หญิง ในเรื่องเกี่ยวกับกิริยามารยาทการแต่งกายให้เหมาะสมกับฐานานุรูป การวางตัวให้เหมาะสมกับ กาลเทศะ ทัง้ ในขณะที่เป็นโสดและครองเรอื น ตัวอยา่ ง สุภาษติ สอนสตรี ๏ แมน้ เขารักแลว้ อยา่ ดอ้ื ทําถือจิต เร่งเกรงผดิ กลวั ภัยใหญ่มหนั ต์ คาํ นบั นอบสามที กุ วีว่ นั อย่าดุดนั ด้ือดงึ ตะบงึ ตะบอน ยามสิ้นแสงสุรยิ าอยา่ ไปไหน จดุ ไต้ไฟเข้าไปสอ่ งในหอ้ งก่อน ระวงั ดูปูปดั สลัดทีน่ อน ท้งั ฟกู หมอนอย่าให้มธี ลุ ีลง ถา้ แม้นว่าภสั ดาเข้าไสยาสน์ จงกราบบาททุกครง้ั อยา่ พลงั้ หลง เขาเหมอื่ ยเหน็บเจบ็ ปวดในทรวดทรง ชว่ ยบรรจงนวดฟั้นให้บรรเทา ประพฤตกิ ายสายสมรจะนอนหลบั อยา่ กลิง้ กลับมือไมไ้ ปป่ายเขา นอนใหด้ มี ีสตสิ ิริเรา อยา่ ซมเซาอยจู่ นแจ้งแสงพยบั จงรบี ฟ้นื ตื่นก่อนภัสดา นาํ้ ลา้ งหนา้ หาไวใ้ ห้เสร็จสรรพ จึงหุงข้าวต้มแกงแตง่ สาํ รับ จัดประดบั เทยี บทาํ ให้นํา้ นวล ทงั้ กระโถนคนทขี ัดสีไว้ ให้ผ่องใสสวยตาดูน่าบ้วน อีกนา้ํ ท่าอยา่ ให้ผงลงไปกวน จงใคร่ครวญพเิ คราะหใ์ หเ้ หมาะการ แม้นรวู้ า่ สามจี ะไปไหน แต่ยงั ไม่ตนื่ พรากจากสถาน ประจงปลุกภสั ดาอยา่ ช้านาน ให้ลกุ ข้ึนรบั ประทานโภชนา จงระวงั นงั่ ดอู ย่ใู กลใ้ กล้ เผื่ออะไรมันขาดจะเรยี กหา อย่าใหต้ อ้ งร้องตะโกนโพนทะนา จงอตุ ส่าห์ต้ังใจระไวระวงั อยูจ่ นผวั รบั ประทานอาหารแล้ว นางน้องแกว้ เจา้ จงกินเมอื่ ภายหลัง อยา่ กนิ ก่อนภัสดาดนู ่าชงั เขาจะรงั เกยี จใจดูไมด่ ี ฯ
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๐๑ คุณคา่ ของวรรณคดี ๑. ใหแ้ บบอย่างการประพฤตปิ ฏบิ ัติตนท่ดี แี ก่ผหู้ ญิงทง้ั ท่เี ปน็ โสดและสมรสแล้ว ในด้าน ต่าง ๆ เชน่ - สอนเร่ืองการแตง่ ตัว - กิริยามารยาทของผูห้ ญิง - ความประพฤตขิ องผูห้ ญงิ - ความประพฤติไม่ดีของผูห้ ญงิ ๑๐ ประการ - สอนเรื่องหนา้ ที่ผ้หู ญิง - การเลอื กคู่ครอง - สอนผู้หญิงทส่ี มรสแล้ว (ครองเรือน) ๒. การใชภ้ าษา ถ้อยคาํ โวหารท่ีลึกซง้ึ กนิ ใจ เชน่ ๏ ถา้ ผัวทาํ ราชการพระผา่ นเกล้า เคยเขา้ เฝ้าสู่วงั นรงั ศรี ทั้งล่วมปัดจัดแจงแตง่ ใหด้ ี หมากบหุ รห่ี าใสใ่ ห้ไปกิน อตุ สา่ ห์ทาํ บาํ เรอเสนอสนอง ตามทํานองม่งิ มติ รเปน็ นจิ สนิ ปรนนบิ ัตภิ ัสดาอยา่ ราคนิ จงึ จะภญิ โญยศปรากฏไป ฯ ๔. ใหค้ ติเตือนใจสตรี ควรปฏบิ ัติตาม ดังนี้ อย่าทอดทง้ิ กิริยาอชั ฌาสยั ใครเขาไม่สรรเสรญิ เมินอารมณ์ ๏ เกดิ เปน็ หญิงใหเ้ หน็ วา่ เป็นหญงิ อย่าพอใจขึน้ เสียงเถยี งประสม เปน็ หญิงครง่ึ ชายคร่ึงอยา่ พึงใจ แม้นระดมขึ้นท้งั คจู่ ะว่วู าม แม้นผัวเดอื ดเจา้ จงดบั ระงับไว้ ความในใจกจ็ ะดงั ออกกลางสนาม เขาเปน็ ไฟเราเปน็ นํ้าคอยพรําพรม อยา่ ทาํ ตามใจนักมกั จะเคย อันโทโสโมโหไม่อดได้ หมัน่ นาํ พาการเรือนอย่าเชือนเฉย ทชี่ าวบา้ นทา่ นไม่รู้จะรคู้ วาม อย่าวายเวยลามลวนใหก้ วนใจ เอาใจผัวผวั จะรกั เจ้าหนักหนา เหน็ เรงิ รน่ื หัทยาจงึ ปราศรยั แมน้ ผัวทุกขข์ กุ ไข้ไม่เสบย แมน้ ส่ิงไรเขาไม่ช่ืนอย่าขนื ทาํ จงแยม้ สรวลชวนปลอบใหช้ อบชน่ื ค่อยถนอมกล่อมเกล้ียงเลยี้ งฤทัย
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๐๒ โคลงโลกนิติ ผ้แู ตง่ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระยาเดชาดิศร ความเป็นมา รัชกาลท่ี ๓ โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาเดชาดิศรทรงรวบรวมโคลงโลกนิติของเก่ามีมาตั้งแต่สมัย กรุงศรีอยุธยามาชําระใหม่ แล้วโปรดเกล้าฯ ให้จารึกลงบนแผ่นศิลา ณ บริเวณผนังวัดพระเชตุพน เพื่อให้ประชาชนท่ัวไปได้ศึกษาด้วย โคลงโลกนิติชําระใหม่ปรากฏมีถ้อยคําประณีตไพเราะและ มีเน้ือหาความลึกซ้ึงกินใจกว่าของเดิม ทั้งน้ีพระปรีชาสามารถของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร กวีเอก ท่านหนึง่ ของกรุงรตั นโกสนิ ทร์ โคลงโลกนติ เิ ปน็ วรรณกรรมประเภทสภุ าษติ คาํ สอน มีจํานวน ๔๓๐ บท วัตถุประสงค์ในการแต่ง เพื่อซ่อมแซมและชําระของเก่าให้ดีข้ึน และจารึกลงในแผ่นศิลา ณ วดั พระเชตพุ นฯ เพื่อใหค้ วามรเู้ ร่ืองสุภาษิตตา่ ง ๆ แกป่ ระชาชน รูปแบบการแต่ง เป็นโคลงสี่สุภาพและโคลงกระทู้ในบางบท ผู้ประพันธ์ได้ยกคาถาภาษา บาลีและสันสกฤตมาเป็นบทตั้ง แล้วจึงแปลแต่งคาถาเหล่านั้นเป็นโคลงสี่สุภาพไปตลอดทุกคาถา แต่ก็มีบางโคลงที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของกวีเอง จึงไม่มีบทคาถาประกอบ สุภาษิตที่นําเสนอในโคลง โลกนติ ินีน้ ับเป็นคาถาทคี่ นไทยนิยมอ่านมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซ่ึงมีหลักฐานปรากฏว่ามีโคลงโลก นติ สิ ํานวนเกา่ หลายสํานวน สาระสําคัญ เริ่มด้วยการยอพระเกียรติรัชกาลที่ ๓ จากนั้น เป็นคติในการครองตนทั้งทาง โลกและทางธรรม เชน่ กากา กากสฺส โทเสน หโํ ส ภวติ สสํ ก เอวํ ทชุ ชฺ นสงคฺ ญจฺ กุลปุตโฺ ต วนิ สสฺ ติ ฯ เสยี พงศ์ ๏ คบกากาโหดให้ แหลกด้วย พาตระกลู เหมหงส์ ความชอบ เสียนา คบคนช่ัวจักปลง ไมม่ ว้ ยนนิ ทา ฯ ตราบลกู หลานเหลนมว้ ย
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๐๓ วิส อคคฺ รู วิสฺสทานํ วสิ ฺสทาตญฺจ ทนตฺ โย วสิ สฺ ํ ทชุ ชฺ นสรวางคฺ ภาสติ ํ ทมิ ุขํ ขลุ ฯ พิษหาง ๏ มดแดงแมลงป่องไว้ แห่งเข้ียว งูจะเข็บพษิ วาง พิษอยู่ ทรชนทัว่ สรรพางค์ เกยี่ งรา้ ยแกมดี ฯ เพราะประพฤติมนั เกีย้ ว ปทโก น มหทิ ธฺ โิ ก วิสมฺ าทติ ฺยนาคนิ โฺ ท ปทโก จ มหทิ ธฺ โิ ก ฯ วิจจฺ โิ ก วิสฺมา สตโฺ ต สรุ ิโย แช่มช้า ๏ นาคีมพี ษิ เพี้ยง แมลงปอ่ ง เลื้อยบท่ ําเดโช อวดอา้ งฤทธี ฯ พษิ น้อยหยง่ิ โยโส ชแู ต่หางเองอ้า คณุ คา่ ของวรรณคดี ๑. มีคติสอนใจท่ีมีคุณค่าย่ิง ซึ่งจะช่วยจรรโลงให้ผู้อ่านนําแง่คิด คติสอนใจไปประพฤติใน ชวี ิตประจาํ วนั ได้ ดว้ ยแตล่ ะโคลงมีเนื้อหาสาระทก่ี นิ ใจ ๒. การใช้ภาษาที่มีเนื้อหาสาระที่กินใจ ใช้ถ้อยคํากะทัดรัด คมคาย ชัดเจน ลึกซ้ึงตรึงใจ และเพยี บพร้อมดว้ ยอรรถรสของบทกวี เช่น หา้ มเพลิงไว้อยา่ ให้ มคี วัน ห้ามสุริยแสงจันทร์ ส่องไซร้ ห้ามอายุให้หัน คนื ลา่ ห้ามดงั น้ไี ว้ได้ จงึ หา้ มนนิ ทา ฯ
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๐๔ นิราศลอนดอน ผู้แตง่ หม่อมราโชทยั ความเป็นมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่โปรดให้พระยามนตรีสุริยวงศ์ เป็นราชทูตไทย ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับอังกฤษจุดมุ่งหมายนิราศลอนดอนน้ีหม่อมราโชทัย (ม.ร.ว. กระต่าย) ได้แต่ง ข้ึนในคราวได้ร่วมไปในคณะราชทูตไทยเพ่ือเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศอังกฤษในรัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๐๐ ไดแ้ ตง่ พร้อมกับจดหมายราชทตู ไทยไปอังกฤษ รูปแบบการแต่ง แต่งเป็นกลอนนิราศมีความยาว ๒,๔๑๔ คํากลอน เป็นเรื่องที่ยาวท่ีสุดใน วรรณคดีประเภทนิราศ ตอนท้ายของเรื่องเป็นกลอนกลบท กบเต้นต่อยหอยหรือละลอกแก้วกระทบ ฝง่ั และจบลงด้วยโคลงส่สี ภุ าพ ๕ บท หมอ่ มราโชทัยได้บอกไวใ้ นตอนทา้ ยโคลงบทที่ ๒ ความวา่ ตวั เราเกลากล่าวเกลี้ยง กลอนไข คอื หม่อมราโชทยั ท่ีตั้ง แสดงโดยแต่จริงใจ จาํ จด มานา หอ่ นจกั พลกิ แพลงพล้งั พลาดถ้อยความแถลงฯ เนือ้ หา กลา่ วถึงการเดินทางของคณะทตู โดยเรือกาํ ปั่นไปสิงค์โปร์ โดยแบง่ เป็นตอน ๆ ดังนี้ ตอนที่ ๑ แตง่ ราชทตู ออกจากกรงุ เทพฯ จนถงึ เมืองสงิ คโ์ ปร์ ตอนท่ี ๒ ว่าด้วยราชทตู ออกจากเมอื งสงิ คโ์ ปร์ไปถงึ เมอื งไกโรแว่นแคว้นอายฆบุ โต ตอนที่ ๓ ว่าด้วยราชทูตออกจากไกโรถึงเกาะมอลตา และเมืองยิบรอเตอและเมืองไวโคและ เมืองปอรด์ สมทั ในอิงแลนด์ ตอนท่ี ๔ ว่าด้วยราชทตู ไปจากเมืองปอร์ดสมัทถึงเมอื ง ลอนดอน ดกู ารเล่นตา่ งๆ ตอนที่ ๕ ว่าด้วยราชทูตนาํ พระราชสาส์นขึ้นไปเฝ้าพระนางวิคตอเรีย ตอนที่ ๖ ว่าดว้ ยพระนางเจ้าเชญิ ราชทตู ไปเลี้ยงโต๊ะ ตอนที่ ๗ ว่าดว้ ยท่วี ่าราชการชอื่ ปาลิเมนต์และเมืองต่างๆ ตอนที่ ๘ วา่ ดว้ ยเฝ้าควนี ท่ีวังบกั กิงฮัม ดรู าํ เท้าและการซ้อมทหาร และการอาวาหะเจา้ ลูกเธอ หญิงใหญ่ ตอนท่ี ๙ ว่าด้วยกษัตริย์ (ควนี ) ใหเ้ จ้าหญงิ และราชทตู ไปดคู ุกและคลงั และแมน่ ํา้ เทมส์ ตอนท่ี ๑๐ ว่าด้วยควีนตั้งขนุ นางและราชทตู เขา้ เฝา้ ทูลลาไปดูทข่ี ังคนบ้า และพิพธิ ภณั ท์ ตอนที่ ๑๑ ว่าด้วยราชทูตออกจากเมืองลอนดอนไปถึงท่าโดเวอ และกลับว่าด้วยประเทศ เครดบรดิ ติน
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๐๕ ตอนท่ี ๑๒ ว่าด้วยผู้รับใช้ปรนนิบัติราชทูตท่ีโรงแรมและราชทูตออกจากเมืองลอนดอนจะ กลับมาเมืองไทยและไดแ้ วะท่เี มืองฝรง่ั เศส ตอนที่ ๑๓ ว่าด้วยราชทูตอยู่เมืองสุเอส แขวงเมืองอายฆุบโต แล้วไปเมืองเมกกะและเมืองดา ลีและเมอื งสงิ คโ์ ปร์ ตอนท่ี ๑๔ ว่าด้วยรบั แขกเมอื งที่มาสง่ ราชทตู เขา้ เฝา้ แล้วเดนิ ทางกลบั กรงุ เทพฯ คณุ ค่าของวรรณคดี ๑. คุณค่าดา้ นประวตั ศิ าสตร์ นิราศเร่ืองนี้เป็นนิราศเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ทําให้รู้จัก วัน เวลา เดินทางของคณะ ทตู โดยละเอียดโดยไมต่ อ้ งไปคน้ หาหลักฐานท่ีอืน่ ใหล้ าํ บาก ดังน้ี “.....มะเส็งศุกร์เดอื นเก้าขน้ึ สามคาํ่ แสนระกําด้วยจะไปไกลสมร” “พอวนั ศกุ รเ์ ดือนเจ็ดขึ้นคํา่ เหน็ ปากนํา้ ชวากวุ้งเข้ากรงุ ศรี “หา้ โมงเชา้ มีเศษเจ็ดนาที ก็ถงึ ทท่ี อดพลันนอกสนั ดอน” อีกอย่างหนงึ่ เกยี่ วกบั การยิงสลุต ดังความว่า แลสลับน่าดูหมูทหาร ทบี่ นปอ้ มพร้อมพร่ังออกคงั่ คบั แผ่นดนิ ดานเลอ่ื นลนั่ สน่นั ดัง ยิงปนื ลน่ั ควันกลบตระหลบธาร ก็แออดั สับสนคนสพรงั่ ..... ครนั้ สลุตทตู ถว้ นสิบเกา้ นดั ฤทธริ ุทฦาเล่อื งกระเดือ่ งไหว แอดมริ ลนั นายทหารชาญสมทุ ร์ ผูบ้ ํารงุ กรุงไทยทั้งสององค์ ส่ังใหย้ งิ สลตุ ธงพระทรงไชย พอนกฉาดปืนล่นั ควนั ขมง ทหารรบั จบั เชอื กกระชากปราด คาํ นับธงแทนนาถบาทยุคล… ยีส่ ิบเอด็ เสรจ็ ถว้ นจํานวนตรง ๒. คุณคา่ ดา้ นประเพณี – วฒั นธรรม สามารถสะท้อนให้เห็นถึงประเพณีไทย ในสมัยน้ันได้เป็นอย่างดี เช่น ประเพณีการ เข้าเฝ้าของราชทูตไทย จนได้รับการยกย่องจากราชสํานัก อังกฤษว่าเป็นประเพณีที่ดีงาม มีกริยา ออ่ นน้อม เคารพ และชใี้ ห้เหน็ ถึงประเพณีในราชสํานกั องั กฤษดว้ ย ดังเช่น “ทง้ั สนี่ ายนอบกายเข้ามอบเกศ ตา่ งทลู เหตุเอกอนงค์องคส์ มร เสาวนตี รัสเสร็จเสด็จจร ดงั จนั ทรเลอื่ นลบั กลบั วิมาน พระสามที ีส่ นทิ พิศวาส งามสะอาดโอ่อา่ ดกู ล้าหาญ จงึ แย้มเยอื้ นเอื้อนโอษฐด์ ้วยโปรดปราน แลว้ ประทานหตั ถใ์ หจ้ บั รบั ทุกนาย” นริ าศลอนดอน ตอนงานเลยี้ งในวังวินดเ์ ซอ
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๐๖ พระราชพธิ สี ิบสองเดือน ผแู้ ตง่ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว ความเป็นมา หนังสือเรื่องพระราชพิธีสิงสองเดือนนี้ สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพทรง เขียนคําอธิบายไว้เมื่อคราวพิมพ์ครั้งท่ี ๒ เพ่ือเล่าถึงความเป็นมาของหนังสือเร่ืองนี้ไว้ว่า ในคราวท่ี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้บัญชาการหอพระสมุดวชิรญาณน้ัน ทรงขอแรง ให้บรรดาสมาชิกและข้าราชบริพารช่วยกันแต่งเรื่องมาลงพิมพ์ในหนังสือ “วชิรญาณ” คร้ังน้ันสมาชิก ซ่ึงเป็นกรรมการหอพระสมุดฯ ปรึกษากันกราบบังคมทูลฯ อาราธนาขอให้ทรงพระนิพนธ์อธิบายเร่ือง พระราชพิธีต่าง ๆ ซึ่งทําประจําพระนครอยู่เป็นนิจท้ัง ๑๒ เดือน ก็จะเป็นประโยชน์ให้ความรู้แก่ สมาชิก แก่ผู้มีหน้าที่ในการพระราชพิธีนั้น ๆ เช่น มหาดเล็ก เป็นต้น ตลอดจนคนทั้งหลายท่ีจะได้รับ ความรู้ต่อไปภายหน้า กับทรงเห็นว่าคําโคลงพระราชพิธีทวาทศมาส ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้า ฟ้ามหามาลา กรมสมเด็จพระบําราบปรปักษ์ทรงแต่งไว้น้ันมีเนื้อหารวมเอาพระราชพิธีของหลวงไว้ ปะปนประเพณีของราษฎร ท้ังยังทรงไว้ไม่ครบทั้ง ๑๒ เดือน นอกจากนี้ถ้อยคําสํานวนที่ใช้ในโคลงยัง อ่านเข้าใจยากเพราะลักษณะคาํ ประพนั ธบ์ งั คบั มีพระราชดําริจะอธิบายเฉพาะประเพณีของราษฎรไว้ ด้วย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ รับอาราธนาคณะกรรมการหอพระสมุดฯ ปีทีแ่ ต่ง ทรงเริ่มพระราชนิพนธ์ เม่ือเดือน ๑๒ ปีชวด พ.ศ. ๒๔๓๑ จนถึงเดือน ๑๑ ปีฉลู พ.ศ. ๒๔๓๒ (ขาดเดือน ๑๑ ไป ๑ เดือน) จุดมุ่งหมายในการแต่งเพื่อให้ความรู้เก่ียวกับพระราชพิธี ตา่ ง ๆ ในรอบปี และเป็นตาํ ราเก่ียวกบั ราชประเพณีสาํ หรับพระนคร รูปแบบการแต่ง แต่งเป็นความเรียงอธิบายมีการอธิบายพระราชพิธีต่าง ๆ ที่มีประจํา สําหรับพระนครคอื ๑. เดือนสิบสอง พระราชพิธีจองเปรียงลดชุดลอยโคม พระราชพิธีกะติเกยา พระราชกุศล ฉลองไตรปี พระราชกุศลตลานกุ าล พระราชพธิ ฉี ตั รมงคล ๒. เดือนอ้าย พิธีเฉวียนพระโคกินเล้ียว พระราชกุศลเลี้ยงขนมเบ้ืองแก่พระสงฆ์ราชาคณะ พระราชกศุ ลเทศนามหาชาติ ๓. เดือนย่ี พระราชพิธีบุษยาภิเษก พระราชพิธีตรียัมพวายและตรีปวาย พระราชกุศลถวาย ผ้าจาํ นาํ พรรษา ๔. เดือนสาม พระราชกุศลมาฆบชู า ฯลฯ ๕. เดือนสี่ พระราชพธิ ีสัมพจั ฉรฉินท์ (วนั ตรุษไทย) ฯลฯ ๖. เดอื นห้า การพระราชกศุ ลเดอื นห้า พธิ สี งกรานต์ ฯลฯ ๗. เดอื นหก พระราชพธิ ีวิสาขบชู า และพระราชพิธพี ชื มงคล ๘. เดอื นเจด็ พระราชกศุ ลสลากภตั ฯลฯ ๙. เดอื นแปด พระราชพธิ ีเข้าพรรษา ฯลฯ
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๐๗ ๑๐. เดอื นเกา้ พระราชพธิ ีตลุ าภาร,พระราชพิธีพรณุ ศาสตร์ ๑๑. เดือนสิบ การถือนา้ํ พระพพิ ัฒน์สัจจา ฯลฯ คุณค่าของวรรณคดี ๑. วรรณคดีสโมสรในรัชกาลที่ ๖ ยกย่องเรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือนว่าเป็นยอดของความ เรียงอธบิ าย มสี ํานวนโวหารแจ่มแจง้ จบั ใจมีความละเอยี ดถถ่ี ้วนไมม่ ีผิด ๒. ให้ความรู้เก่ียวกับประเพณีโบราณต่าง ๆ ท้ัง ๑๒ เดือน โดยอธิบายความเรียงอย่าง ละเอยี ดละออ เปน็ หลักฐานในการศกึ ษาสบื ค้นไดอ้ ยา่ งดี
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๐๘ ไกลบา้ น ผแู้ ตง่ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู วั ความเป็นมา ไกลบ้านเป็นพระราชหัตเลขา (จดหมาย) ส่วนพระองค์ที่มีไปถึงสมเด็จเจ้าฟ้า นิภานภดล ในคราวเสด็จประพาสยุโรป ครั้งท่ี ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ วัตถุประสงค์ในการแต่งเพ่ือเป็น การบันทึกพระราชดําริไว้ในคราวเสด็จประพาสยุโรป คร้ังที่ ๒ เพื่อเล่าความทุกข์สุขส่วนพระองค์ บนั ทึกการเดินทาง เหตุการณ์ และสถานทตี่ ่าง ๆ ท่พี ระองคไ์ ด้เสด็จ มลู เหตุทพ่ี ระองคเ์ สดจ็ ประพาสยุโรป ๑. ทรงพระประชวร แพทย์ประจําพระองค์บอกว่าโรคไม่ถูกอากาศกับประเทศไทยจะต้องไป รักษาในประเทศยุโรป ดังข้อความ “ดอกเตอร์โบเมอร์ผู้เป็นแพทย์ประจําพระองค์ตรวจพระอาการลง เนื้อเห็นสันนิษฐานว่า โกฐาสภายในพระกายไม่เป็นไปสม่ําเสมอ พระโรคเช่นนั้นไม่ถูกแก่อากาศช้ืน เชน่ ในฤดูฝนตกชุกหรือร้อนจัด เช่น ในฤดูคิมหันต์ในสยามประเทศน้ี จึงเรื้อรังรักษาพระโรคไม่หายได้ ควรจะเสด็จแปรสถานไปหาอากาศประกอบแก่การรักษาพระโรคจึงจะหายก็แลตําบลท่ีจะรักษาพระ โรคได้เหมาะดที ่สี ดุ ก็มแี ตใ่ นประเทศยโุ รป” ๒. เพื่อเยี่ยมเยือนยังราชสํานักนานาประเทศท่ีจะเสด็จไปถึง โดยมิได้เสด็จเป็นทางราชการ จัดกระบวนเสด็จไปอยา่ งไปรเวต ๓. เพ่อื ดคู วามเจริญรุ่งเรืองของยุโรป แลว้ นํามาปรบั ปรุงเมอื งไทย สาระสําคญั เนื้อหาเป็นจดหมายเหตุ ๔๓ ฉบับ เริ่มต้ังแต่วันเสด็จจากพระนคร คืนที่ ๑ ในวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ถึงคืนท่ี ๒๒๕ ในวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ กล่าวถึงการ เดินทาง และส่งิ ท่ีพบเห็นระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ รูปแบบการแต่ง เป็นพระราชหัตเลขา พระราชทานมายังสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้านิภา นราดล แตง่ เปน็ จดหมายร้อยแกว้ และมีรอ้ ยกรองประกอบด้วย เน้ือเรอ่ื งย่อ การเสด็จประพาสยุโรปคร้ังน้ีเป็นครั้งท่ี ๒ เม่ือวันท่ี ๒๗ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๕ (พ.ศ. ๒๔๔๗) ซึ่งคร้ังแรกพระองค์ทรงเสด็จเม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๐ แต่ไม่ได้ทรงพระราชหัตถเลขา ในการเสด็จครั้งนั้น พระองค์ได้ทรงเล่าความทุกข์สุขส่วนพระองค์ และพรรณนาภูมิประเทศตลอดจนขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ของนานาประเทศ และมเี รอ่ื งสนกุ ขบขนั แกมกันไปดว้ ย ประเทศสําคญั ๆ ท่ีพระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ประพาส - มาเลเซีย - เยอรมันนี - สงิ ค์โปร์ - ฝรั่งเศส - ลงั กา - องั กฤษ - อติ าลี - เบลเยย่ี ม - สวติ เซอรแ์ ลนด์
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๐๙ ตวั อย่างขอ้ ความบางตอนใน “ไกลบา้ น” ประวัติศาสตร์ทีส่ าํ คญั ยงิ่ ในพระราชนพิ นธเ์ ร่ือง “ไกลบ้าน” ทีน่ ับถือไดว้ ่าเปน็ วรรณกรรม ๑. มีปลาประหลาดอยู่คู่หน่ึง เข้าเรียกว่าหมาน้ํา มีหน้าท่ีปากคล้ายหมา ตัวโต ป่องกลาง รูป เป็นฟกั มือมีเล็บเหมอื นตีนหมา ขันทีม่ นั เกาเป็น ทาํ ไมจงึ ไดร้ จู้ ักคันยกมือขึ้นเกาเหมือนหมา ท้ังเอควาเรียม มปี ระหลาดอยู่คเู่ ดยี วเท่านัน้ ” ๒. “ถ้านง่ั ดใู นท่แี ห่งใต้ขา้ งถนน จะเห็นคนเดินเหมือนกับจอกที่ไหลลอกมาตามกระแสนํ้า รถ ท่เี ดินไปมาเหมือนกับแพสวะในเวลานา่ นํา้ ” ๓. “คืออากาศที่เข้าทางปากฤาจมูกรู้สึกเยือกเย็นเข้าไปภายใน เหมือนได้กินนํ้าแข็งหายเหนื่อย ข้อที่จะเที่ยวหาน้ํากินเป็นไม่มี เพราะฉะน้ันในยุโรปฝรั่งจึงเดินได้ทนฤาเล่นการออกกําลังท่ีเรียกว่ากรีฑา ได้มา มันเบาแรงดีกว่าที่จะทําในเมืองเรามากมายนัก เหมือนแนะนําให้ออกกลางแดด มันออกได้จริง ๆ สบายจริง ๆ โทษถงึ ไม่ออกไมส่ บาย เอาไปแนะนาํ ในเมอื งเราขนื ทาํ มมู มามกอ็ าจจะจับไข”้ ๔. “เมืองเอเดนนี้ ถ้าดูจากทะเลมันก็พอดูได้อยู่บ้าง ภูมิฐานก็ดี นับว่าเป็นเมือง แต่ถ้าข้ึนบก แล้วถนนรนแคมดินทรายมันสกปรกเต็มที แต่ยังไม่เลวที่สุดเหมือนอย่างคนพลเมือง คนมันก็ เหมือนกับดนิ ดินก็เหมือนกับคน” คณุ ค่าของวรรณคดี ๑. ในด้านการใช้ภาษา ใช้ถ้อยคําดี เน้ือหามีความละเอียดลออ อ่านแล้วเห็นภาพเหมือนได้ไปเห็น ด้วยตาตนเอง เช่น “เอาต้นกุหลาบป่าสามัญซ่ึงมีแรงมาปลิดใบออกเสียหมดเหลือไว้แต่ต้น แล้วตัดก่ิง กุหลาบฤากุหลาบอะไร ๆ ก็ได้ตามชอบใจมาท้ังก่ิง จะเป็นเล็กก็ได้ใหญ่ก็ได้ เล้ียมเสียบท้ังสองข้างให้แหลม เป็นคมสิ่ว แล้วบากกุหลาบที่เป็นตัวแม่แรงนั้นให้เป็นง่าม เอากุหลาบที่ต้องการอันบากไว้แล้วเสียบลงใน ง่ามเอาเชือกรัด เอากระดาษชุบนํ้าห่ออย่าให้แห้งจะตั้งไว้ในเรือนกระจกฤาต้ังไว้ในเงาไม้ท่ีไม่ถูกร้อนมากสัก ๗ วนั กต็ ิดกนั ก่ิงที่ต่อนน้ั จะแตกแรงแลให้ดอกงาม” ๒. ได้รับความรู้เก่ียวกับเร่ืองราวของต่างประเทศโดยเฉพาะในเร่ืองของขนบธรรมเนียมประเพณี ต่าง ๆ ค. “โรมันเอมไปร์นี้ได้ต้ังอยู่ใน แหลมอิตาลี มีเมืองโรมเดี๋ยวน้ีเป็นเมือง หลวง ชาวโรมันเป็นคนท่ีมีสติปัญญาแล กําลังกายชาวโรมันนั้นไม่ใช่ถือศาสนาพระ เยซูแต่เริ่มแรกพวกนั้นนับถือพระอาทิตย์ พระพฤหัสบดี และเทวดา ๗ องค์ คือ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ เป็นต้น มีวิชารุ่งเรืองด้วยการกําหนดปี กําหนดนักขัตฤกษ์ฟ้าดิน กล้าหาญชํานิ ชาํ นาญในการศึก”
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๑๐ หวั ใจนกั รบ ผ้แู ตง่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หัว ความเป็นมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชนิพนธ์เร่ืองหัวใจนักรบ โดยมวี ตั ถุประสงคใ์ ชเ้ ป็นบทละครพูด สําหรับปลกุ ใจให้รกั ชาติ รูปแบบการแต่ง แต่งเป็นร้อยแก้ว สาระสําคัญ พระภิรมวรากรบุคคลนอกราชการ มีความเห็นขัดแย้งและคัดค้านการต้ังกองเสือป่าหลงเช่ือคํายุแหย่ของคนต่างชาติ พอเกิดสงคราม ขา้ ศกึ รุกมาถงึ เมืองหสั ดินบุรี เหลา่ เสือป่าและลูกเสือได้ช่วยทหารต่อสู้ข้าศึก นายสวิงลูกชายคนโตของ พระภิรมวรากร เป็นทหารได้ปฎิบัติหน้าที่จนส้ินชีวิต นายสวัสด์ิลูกชายคนเล็กเป็นลูกเสือช่วยสืบข่าว ให้แก่กองทหาร ภรรยาและลูกสาวช่วยกันพยาบาลคนป่วย ต่อมาข้าศึกบุกมาถึงห้องพระภิรมฯ ขู่ บังคับทุกคนในบ้านให้บอกกําลังเสือป่า พระภิรมวรากรไม่ยอมบอก แต่นายสวายลูกชายที่พระภิรมฯ รักที่สุดบอกความลับแก่ข้าศึก พอดีกองทหารไทยมาถึงตีทัพข้าศึกแตกไป พระภิรมฯ ซาบซ้ึงใน ความสําคัญของเสือปา่ จงึ สมคั รเปน็ สมาชกิ เสอื ป่า และไม่ขดั ขวางการแต่งงานของอุไรลูกสาวกับหลวง มณรี าฎร์บาํ รุงผู้บังคบั หมวดเสือป่า คณุ ค่าของหวั ใจนกั รบ วรรณคดีสโมสร ยกย่อง ให้บทละครหัวใจนักรบป็นยอดของบทละครพูด เพราะมีโครงเร่ือง แนบเนียน การดําเนินเร่ืองไม่สับสน ปลุกใจให้รักชาติ รักหน้าที่ บทสนทนาเหมาะสมกับบทบาท คําพดู กะทดั รัด เข้าใจง่าย มคี วามหมายลึกซ้ึง
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๑๑ โคลงกลอนของครเู ทพ ผู้แต่ง เจ้าพระยาธรรมศักดิม์ นตรี (ครเู ทพ - นามแฝง) ความเป็นมา โคลงกลอนของครูสุเทพเป็นวรรณกรรมไทยสมัยราชกาลที่ ๖ ถึงรัชกาลที่ ๘ เป็นระยะที่วรรณกรรมไทยเร่ิมเปลี่ยนแปลงท้ังทางด้านรูปแบบ และเน้ือหาวัตถุประสงค์ในการแต่ง เพ่ือแสดงความคิดเห็น แต่อย่างไรก็ตามเม่ือครูเทพเริ่มเสนอผลงานที่แหวกวรรณคดีเก่าๆ ออกมาสู่ ประชาชนวรรณกรรมไทย เร่ิมเปล่ียนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในสมัยนี้เองเพราะครูเทพเปลี่ยนตัวละคร และรูปแบบที่ไม่ซํ้าแบบใครน้ันคือ ได้กล่าวถึง ชาวนาและกรรมกร แทนท่ีจะกล่าวถึงชนชั้นสูงอย่าง วรรณคดีเลม่ เกา่ ๆ ดังน้ันครเู ทพจึงเปรียบเสมอื นผู้บุกเบกิ อันย่ิงใหญ่ ทางดา้ นวรรณกรรมสมัยใหม่ เน้อื หา ไดเ้ ปลี่ยนแปลงการเขยี นใหม่ โดยกลา่ วถงึ ชีวิตของชาวไรช่ าวนาและกรรมกรที่ทุกข์ยาก เป็นเรอื่ งเก่ียวกับ การเมอื งเศรษฐกจิ และสังคม เชน่ “ชาวนาสว่ นมากยากจน เบ้ยี ตอ่ ไสท้ น ขวายขวนก้จู าํ นําเอา เงนิ มาลงทุนหมุนเข้า หาจีนไทยเขา ดอกเบีย้ เรียกเชือดเลอื ดเนื้อ” (แต่งในปี พ.ศ. ๒๔๗๑) แลว้ ยงั มีกลอนทส่ี ะท้อนใหเ้ หน็ ความพ่ายแพข้ องชนชน้ั ชาวนาอกี ดว้ ย คือ “เจ้าแรงงานเรา มที นุ มาลงมากมาย เจา้ สู้ไม่ได้ ไร่นาพอคา้ เขา ตวั เจ้าจงึ กลาย เปน็ ลกู จ้างเอย” เจ้าก็โอนขาย นอกจากครูเทพจะกล่าวถึงชาวนาแล้ว คนงานกรรมกรผู้ให้แรงงานในโรงงานครูเทพก็ได้ กลา่ วถึงดงั กลอนต่อไปน้ี “เจ้าแรงงานเอย กลายเป็นงานฉุกละหกุ เปล่ียนจากงานบา้ น บ่อนาํ้ มันเหมือนดบี ุก บ่อทองบ่อถา่ น หรือพลอยทุกขก์ ต็ ามที บอ่ พลอยพลอยสนกุ จะถึงตอ้ งไกลบ้าน เจ้าแรงงานไทย ฐานลกู จา้ งเอย” ไปเทีย่ วหางาน ฯลฯ แตง่ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๒
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๑๒ ลกั ษณะการแตง่ โคลงและกลอน (บางบทมลี ักษณะแตกตา่ งเฉพาะออกไป) คําประพนั ธ์แต่ ละบทจะมวี นั เดือน ปี บอกไวอ้ ย่างชัดเจนว่าแต่งในครัง้ ใด คณุ คา่ ของวรรณคดี ๑. ใหข้ ้อคิดเก่ยี วกบั การกฬี า ดังเพลงกราวกีฬา อนั อมตะ เชน่ บทเพลงกราวกีฬา เชี่ยวชาญชงิ ชัยไม่ย่นยอ่ คราวแพ้กไ็ ม่ทอ้ กดั ฟนั ทน ๑. พวกเรานักกฬี าใจกลา้ หาญ คราวชนะรุกใหญไ่ มร่ ีรอ ฮาไฮ้ ฮาไฮ้ (สร้อย) อมื อมื อืม แก้กองกเิ ลสทาํ คนให้เปน็ คน กีฬากีฬาเปน็ ยาวเิ ศษ เล่นกฬี าสากล กีฬากฬี าเปน็ ยาวเิ ศษ ผลของการฝกึ ตน ตะลา้ ล้า ๒. ร่างกายกาํ ยาํ ล้ําเลิศ กล้ามเน้อื กอ่ เกดิ ทุกแหง่ หน แข็งแรงทรหดอดทน วอ่ งไวไมย่ ่นระย่อใคร ๓. ใจคอมน่ั คงทรงศักด์ิ รจู้ ักทีหนที ไี ล่ รแู้ พร้ ู้ชนะร้อู ภยั ไว้ใจได้ท่ัวท้งั รกั ชงั ๔. ไมช่ อบเอาเปรียบเฉียบแขง่ ขนั สกู้ ันซ่งึ หน้าอยา่ ลับหลัง มวั ส่วนตวั เบื่อเหลอื กําลัง เกลียดชังการเลน่ เหน็ แก่ตวั ๕. เล่นรวมกําลงั กนั ท้ังพวก เอาชยั สะดวกมิใชช่ ว่ั ไมว่ ่างานหรือเลน่ เปน็ ไม่กลวั รว่ มมอื กันทัว่ ก็ไชโย
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๑๓ ๒. สะท้อนสภาพของสังคมไทย สมยั รชั กาลที่ ๖ (ตอนปลาย) รชั กาลที่ ๗ และรัชกาลท่ี ๘ ๓. เปน็ คติสอนใจ เพราะโคลงและกลอนบางบทแตง่ เพ่ือสอนกลุ บตุ รกลุ ธดิ า ซึง่ ณ ทีน่ ีผ้ เู้ ขียน มุง่ สว่ นทสี่ ะทอ้ นภาพของสังคมเทา่ น้ัน
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๑๔ สามคั คีเภทคําฉันท์ ผแู้ ต่ง ชิต บรุ ทตั ความเปน็ มา สามคั คเี ภทคําฉนั ท์ เป็นงานท่แี ต่งโดยอาศยั เคา้ เรือ่ งมาจากนิทานสุภาษิตอันว่า ด้วยเร่ืองการแตกสามัคคี อันมีท่ีมาจากคัมภีร์สุมังคลาวิลาสินี,อรรถกถาทีฆนิกายมหาวรรค ซึ่งสมเด็จ พระสังฆราชเจ้า ม.ร.ว. ชื่น นพวงศ์ ได้ทรงนิพนธ์ไว้ก่อนหน้าแล้วผู้แต่งฉลาดในการกวีอยู่แล้วจึง นําเอามาแต่งเป็นฉันท์ได้อย่างดี วัตถุประสงค์ในการแต่งเพ่ือแสดงผลร้ายของการแตกสามัคคี และ ผลดีของความสามัคคี สาระสําคัญ พระเจ้าอชาตศัตรูกษัตริย์แคว้นมคธต้องการจะขยายอาณาเขต จึงแผ่ แสนยานุภาพไปยังแคว้นวัชชีพ่ึงกษัตริย์ลิจฉวีผู้มีชื่อเสียงในการปกครองได้ครองอํานาจอยู่ โดย วิธีการใช้วัสสการพราหมณ์ปุโรหิตที่ปรึกษาให้ทําการยุแยงตะแคงร่ัวให้แตกสามัคคีกัน แล้วเอากําลัง เข้าโจมตียดึ อํานาจภายหลังจนสําเร็จ ทาํ นองแต่ง แต่งเป็นฉันท์ และกาพย์ ตัวอยา่ งการแต่งสามคั คเี ภทคําฉนั ท์ เช่น บทไหว้ครู ๏ พรอ้ มเบญจางคประดิษฐ์สฤษฎิสดดุ ี ทวาร กายจติ วจไี ตร มนุ ี ปิฎก ๏ ไหว้คณุ องคพ์ ระสุคตอนาวรณญาณ นกิ ร ยอดศาสดาจารย์ กวี วิธาน ฯลฯ ๏ อีกคณุ สุนทรธรรมคัมภริ วธิ ี ประพนั ธ์ พุทธพจนป์ ระชมุ ตรี แถลง ประโยชน์ ๏ ท้งั คณุ สงฆพสิ ุทธศาสนดลิ ก สัมพทุ ธสาวก ๏ ขอนอ้ มคณุ พระคเณศวเิ ศษศิลปธร เวทางคบวร ๏ เปน็ เจา้ แห่งวทิ ยาวราภรณศรี สุนทรสุวาที ๏ เพยี รเพญ็ ในมนเผอื และเพือ่ พิรยิ จอง เจตนค์ ดิ ลขิ ติ ปอง ๏ สามัคคภี ทิ โทษนิทานคติธรรม์ ถอ้ ยพิสดารอัน ๏ เชงิ บรรพฉ์ นั ทเลบงเชลงพจนแปลง บรรจงประสงคแ์ จง
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๑๕ ๏ บชู าศาสนพากยส์ ภุ าษิตวโิ รจน์ เรงิ ปรตี ิปราโมทย์ ประมวล ๏ ไหนบทบาทผิวคลาดเพราะผิดนติ ิขบวน โกวิทกวคี วร อภยั คุณคา่ ของเร่ืองสามคั คี ๑. การใช้ภาษาสํานวนโวหารดีมาก มีความไพเราะยิ่ง การแต่งถูกต้องตามหลักทุกประการ สมบูรณ์ด้วยการสัมผัสทั้งสระ และอักษรถือเป็นกวีชั้นครูซึ่งได้ใช้เป็นแบบเรียนในช้ันมัธยมศึกษาด้วย เช่น “เอออเุ หม่นะมึงชชิ า่ งกระไร ททุ าสสถุลฉะนี้ไฉนก็มาเปน็ ” ๒. ใหแ้ นวคิดเรือ่ งสามคั คีไว้อยา่ งคมคายว่า แมม้ ากผกิ ่ิงไม้ ผิวใครจะใครล่ อง มัดกํากระนัน้ ปอง พลหกั กเ็ ต็มทน สละล้ี ณ หม่ตู น เหล่าไหนผิไมตรี บมิพร้อมมเิ พียงกนั กจิ ใดจะขวายขวน สขุ ทงั้ เจรญิ อนั ลไุ ฉน บ ได้มี อยา่ ปรารถนาหวัง มวลมาอุบตั ิบรร ๓. ด้านการเมืองการปกครอง ได้สอนหลักการบริหารปกครองประเทศไว้อย่างดีย่ิงว่าชาติ บา้ นเมืองจะอยู่รอดหรอื ไม่ขน้ึ อย่คู วามสามคั คขี องชนในชาติ
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๑๖ แบบฝกึ หัดทบทวนบทท่ี ๓ ประวตั ิความเป็นมาของวรรณคดี คาํ ช้แี จง จงเติมคําลงในช่องว่างใหไ้ ด้ใจความทสี่ มบรู ณ์ (ใช้กระดาษรายงานเขียนต่างหาก) ๑. จงอธบิ ายประโยชน์ที่ไดร้ บั จากวรรณคดีสมยั ตา่ ง ๆ ดังน้ี ๑.๑ สมัยสโุ ขทยั .................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ๑.๒ สมัยกรงุ ศรอี ยุธยา ......................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ๑.๓ สมยั กรงุ ธนบุรี ............................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ๑.๔ สมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์ .................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๑๗ แบบทดสอบบทที่ ๓ ประวัติความเป็นมาของวรรณคดี เรือ่ งท่ี ๔ วรรณคดสี มัยกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ คําชแ้ี จง จงเลอื กคาํ ตอบทถี่ กู ตอ้ ง ๑. วรรณคดีสมยั กรงุ รัตนโกสนิ ทรเ์ ร่มิ ตน้ เมื่อ พ.ศ. ใด ก. ๒๓๑๐ ข. ๒๓๒๕ ค. ๒๓๕๐ ง. ๒๔๐๐ ๒. รัชกาลที่ ๑ ทรงพระราชนิพนธว์ รรณคดีเรื่องใด ก. ขนุ ชา้ งขนุ แผน ข. อิเหนา – ราชาธริ าช ค. สามก๊ก – อเิ หนา ง. นิราศรบพมา่ ท่ที ่าดนิ แดง ๓. รามเกียรตใิ์ ห้คณุ คา่ ในดา้ นใด ก. แพเ้ ป็นพระชนะเปน็ มาร ข. ธรรมะย่อมชนะอธรรม ค. การปกครองแบบราชาธิปไตย ง. กองทัพเดนิ ดว้ ยท้อง ๔. กฎหมายตราสามดวงรปู แบบการแต่งคือข้อใด ก. แต่งเป็นรอ้ ยแกว้ ข. แตง่ เปน็ ร้อยกรอง ค. แตง่ เปน็ โคลง ง. แต่งเปน็ กลอน ๕. วรรณคดไี ทยเร่ืองใดกล่าวถงึ สงครามระหว่างพมา่ กับมอญ ก. รามเกียรติ์ ข. ราชาธิราช ค. สามก๊ก ง. อเิ หนา
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๑๘ ๖. ข้อใดกล่าวถูกตอ้ งเกย่ี วกับวรรณคดเี รือ่ งสมบตั ิอมรนิ ทร์คาํ กลอน ก. แต่งเป็นโคลง ข. แตง่ เปน็ ลลิ ติ ค. แต่งเป็นกลอนเพลงยาว ง. แตง่ เป็นกาพย์ห่อโคลง ๗. พงศาวดารจนี ที่มอี ทิ ธพิ ลตอ่ สังคมไทยมากที่สุด คอื ก. ลิลติ ยวนพ่าย ข. ลิลติ ตะเลงพา่ ย ค. สามก๊ก ง. ราชาธริ าช ๘. วรรณคดเี สภาขนุ ชา้ งขุนแผนมีประโยชน์ด้านใด ก. การรบกับพม่า ข. สภาพชีวติ ของคนไทย ค. กลยุทธ์การบรหิ าร ง. ความสัมพันธก์ ับต่างประเทศ ๙. คุณค่าของวรรณคดี เร่อื ง “อเิ หนา” คืออะไร ก. การคา้ ขาย ข. ตาํ ราพิชัยสงคราม ค. จิตรกรรมฝาผนงั ง. โบราณราชประเพณีไทย ๑๐. วรรณคดเี ร่ืองใดสอนใหก้ ารปฏบิ ัตติ ัวใหถ้ กู หลักอนามัยท่ดี ี ก. สวัสดิรักษา ข. รามเกียรต์ิ ค. เพลงยาวถวายโอวาท ง. หลพิชยั – คาวี
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๑๙ แบบทดสอบหลงั เรยี น ประวตั ิวรรณคดี คาํ ชแี้ จง จงเลือกคาํ ตอบทถี่ ูกตอ้ งทีส่ ุด ๑. การแบ่งยคุ วรรณคดีสมยั สโุ ขทัย มีระยะเวลากีป่ ี ก. ๙๘ ปี ข. ๑๐๐ ปี ค. ๑๐๕ ปี ง. ๑๒๐ ปี ๒. ลลิ ติ พระลอ เปน็ วรรณคดใี นยุคใด ก. สโุ ขทัย ข. กรุงศรีอยธุ ยา ค. กรงุ ธนบุรี ง. กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ๓. กวีท่านใดเกิดขึน้ ในยคุ ทองของวรรณคดี ก. พระโหราธบิ ดี ข. เจ้าพระยาพระคลงั (หน) ค. พระมหานุภาพ ง. เจา้ ฟา้ กุ้ง ๔. รัชกาลที่ ๑ แต่งวรรณคดเี รื่องใด ก. ลิลติ เพชรมงกุฎ ข. กาพย์ห่อโคลง ค. รามเกยี รติ์ ง. ขนุ ช้างขุนแผน ๕. ยุคทองแห่งวรรณคดเี กดิ ขน้ึ ในสมัยใด ก. สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ข. สมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ค. สมเด็จพระเจา้ อย่หู ัวบรมโกศ ง. สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๒๐ ๖. ยุคทองของวรรณคดี มีวรรณคดีเกิดขนึ้ เรื่องใด ก. พระมาลยั คาํ หลวง ข. นริ ทุ ธ์คําฉนั ท์ ค. กฤษณาสอนน้องคําฉนั ท์ ง. สมทุ รโฆษคาํ ฉันท์ ๗. วรรณคดีเรอ่ื ง “จนิ ดามณ”ี มีความสาํ คญั อยา่ งไร ก. กล่าวถึงตาํ ราการปฏบิ ัติธรรม ข. เป็นหนงั สือภาษาไทยเล่มแรก ค. เปน็ หนงั สือการปกครองเลม่ แรก ง. เป็นหนังสือวรรณคดเี ลม่ แรก ๘. พระศรมี โหสถ แต่งวรรณคดี เร่อื งใด ก. โคลงนิราศนครสวรรค์ ข. โคลงราชสวสั ดิ์ ค. กาพย์หอ่ โคลง ง. เสอื โคคําฉนั ท์ ๙. ข้อใดเป็นหลกั ฐานการประดิษฐอ์ กั ษรไทย ก. สุภาษติ พระร่วง ข. ศิลาจารึกหลกั ท่ี ๒ ค. ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ง. ศลิ าจารกึ วัดปา่ มะมว่ ง ๑๐. วรรณคดเี รอื่ งใดมจี ดุ ประสงคเ์ พื่อเทศนาโปรดพระราชมารดา ก. อิเหนา ข. นางนพมาศ ค. ไตรภูมพิ ระรว่ ง ง. สุภาษิตพระรว่ ง ๑๑. วรรณคดีเร่อื งใดสอนใหข้ ้าราชการมคี วามจงรักภักดีต่อพระมหากษตั รยิ ์ ก. อเิ หนา ข. ราชาธิราช ค. สามก๊ก ง. ลลิ ิตโองการแช่งนํ้า
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๒๑ ๑๒. ลลิ ิตยวนพา่ ย กล่าวถึงการรบระหว่างไทยกับข้อใด ก. เชยี งราย ข. เชียงใหม่ ค. ฝาง ง. แพร่ ๑๓. คณุ คา่ ของวรรณคดี เรอื่ ง โคลงทศรถสอนพระราม คืออะไร ก. การเจริญสมั พันธไ์ มตรกี บั ตา่ งชาติ ข. การปกครองบา้ นเมอื ง ค. การคา้ ง. การทหาร ๑๔. สมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบุรี แตง่ วรรณคดเี รอ่ื งใด ก. ราชาธิราช ข. ขนุ ชา้ งขุนแผน ค. รามเกียรติ์ ง. อิเหนา ๑๕. ธรรมะยอ่ มชนะอธรรม คือ คณุ ค่าของวรรณคดี เรือ่ งใด ก. สามก๊ก ข. ราชาธิราช ค. รามเกียรติ์ ง. อิเหนา
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๒๒ เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น – หลังเรียน แบบทดสอบกอ่ นเรียน แบบทดสอบหลงั เรียน ข้อท่ี เฉลย ขอ้ ท่ี เฉลย ๑ง ๑ง ๒ข ๒ข ๓ก ๓ก ๔ค ๔ค ๕ก ๕ก ๖ง ๖ง ๗ข ๗ข ๘ก ๘ก ๙ค ๙ค ๑๐ ค ๑๐ ค ๑๑ ง ๑๑ ง ๑๒ ข ๑๒ ข ๑๓ ข ๑๓ ข ๑๔ ค ๑๔ ค ๑๕ ค ๑๕ ค
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๒๓ เฉลยแบบฝกึ หดั ทบทวน บทที่ ๑ การแบ่งยุคของ ๑. คาํ เฉลยรายละเอยี ด บทท่ี ๑ ขอ้ ๑ หน้า ๕ ๒. คาํ เฉลยรายละเอียด บทท่ี ๑ ขอ้ ๒ หน้า ๕ ๓. คําเฉลยรายละเอยี ด บทท่ี ๑ ข้อ ๓ หนา้ ๕ เฉลยแบบฝึกหดั ทบทวน บทที่ ๒ ยุคทองของวรรณคดี ๑. คําเฉลยรายละเอียด บทที่ ๒ ข้อ ๑ หน้า ๑๔-๑๕ ๒. คาํ เฉลยรายละเอยี ด บทท่ี ๒ ขอ้ ๒ หนา้ ๑๔-๑๕ ๓. คาํ เฉลยรายละเอยี ด บทที่ ๒ ขอ้ ๓ หน้า ๑๔-๑๕ เฉลยแบบฝกึ หัดทบทวน บทที่ ๓ ประวตั คิ วามเป็นมาของวรรณคดี ๑. คาํ เฉลยรายละเอียด บทท่ี ๓ ขอ้ ๑ หน้า ๒๐-๑๑๕
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๒๔ เฉลยแบบทดสอบบทท่ี ๑ – ๓ บทท่ี ๑ บทท่ี ๒ บทท่ี ๓ เรื่อง ๑ ข้อที่ เฉลย ข้อที่ เฉลย ขอ้ ที่ เฉลย ๑ข ๑ง ๑ค ๒ก ๒ง ๒ก ๓ค ๓ก ๓ข ๔ง ๔ข ๔ง ๕ก ๕ง ๕ง ๖ค ๖ค ๖ง ๗ค ๗ง ๗ค ๘ง ๘ค ๘ข ๙ก ๙ง ๙ก ๑๐ ข ๑๐ ก ๑๐ ง บทท่ี ๓ เรื่องที่ ๒ เฉลยแบบทดสอบบทท่ี ๓ บทที่ ๓ เรอื่ ง ๔ ขอ้ ที่ เฉลย ขอ้ ที่ เฉลย ๑ข บทที่ ๓ เรอื่ งที่ ๓ ๑ข ๒ค ข้อท่ี เฉลย ๒ง ๓ก ๑ข ๓ข ๔ก ๒ง ๔ก ๕ง ๓ค ๕ข ๖ก ๔ข ๖ค ๗ค ๕ก ๗ค ๘ง ๖ง ๘ข ๙ข ๗ค ๙ง ๑๐ ก ๘ง ๑๐ ก ๙ก ๑๐ ค
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๒๕ บรรณานุกรม คณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน, สํานักงาน วรรณคดีวจิ ักษ์ พมิ พ์ครัง้ ที่ ๓ กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภา ลาดพร้าว, ๒๕๕๐ เจ้าพระยาคลงั (หน) สมบัตอิ มรินทรค์ าํ กลอน กรงุ เทพฯ : อักษรเจรญิ ทศั น์, ๒๕๔๓ เจือ สตะเวทนิ หนังสอื อ้างองิ วชิ าภาษาไทย ประวัติวรรณคดพี มิ พค์ รั้งท่ี ๒๓ กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้าว,๒๕๒๓. บุญยงค์ เกิดเทศ ประวัตศิ าสตร์วรรณกรรม กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร,์ ม.ป.ป. ปรยี า หริ ัญประดิษฐ,์ เรอื เอกหญิง, การศึกษาวรรณคดสี มยั อยธุ ยา. นนทบุรี : สํานักพมิ พ์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๕๙ พรพรรณ ธารานุมาศ วรรณคดสี มันรัตนโกสินทร์ กรงุ เทพฯ : เรื่องศิลป์, ๒๕๒๔. เพญ็ ศรี จนั ทรด์ วง ภาษาไทย กรุงเทพฯ แมค็ , ๒๕๕๑. วรเวทยพ์ ิสฐิ ,พระวรเวทย์พิสฐิ , พร. วรรณคดไี ทย โครงการหนงั สือหายาก ศนู ย์ภาษาและวรรณคดไี ทย คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ,๒๕๓๔ วิชาการ, กรม. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร อา่ นอยา่ งไรใหไ้ ด้ รส. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพร้าว,๒๕๔๔ ศิลปากร,กพ.กองวรรณคดแี ละประวัตศิ าสตร์ วรรณกรรมสมัยธนบรุ ี เลม่ ๑ กรุงเทพฯ : อมรนิ ทร์ พริ้นตงิ้ กรุป๊ ,๒๕๓๒. ศิลปากร, กม. กองวรรณคดแี ละประวัตศิ าสตร์ วรรณกรรมสมยั สุโขทัย. กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปากร จัดพิมพ,์ ๒๕๒๘. ศิลปากร, กรม, กองวรรณคดีและประวัตศิ าสตร์ วรรณกรรมสมัยอยธุ ยาตอนต้น กรงุ เทพฯ ๒๕๒๗. ศิลปากร,กรม.กองวรรณคดแี ละประวัติศาสตร์ วรรณกรรมสมยั อยธุ ยาตอนกลาง กรงุ เทพฯ : ๒๕๓๐ สายทพิ ย์ นกุ ลู กิจ วรรณคดเี กย่ี วกับขนบประเพณี กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ บางเขน, ๒๕๓๓. สําเรงิ บุญเรอื งรตั น์ ปรัชญาในวรรณคดสี มยั ธนบรุ .ี กรงุ เทพฯ : ๙๕๙ พับลิชชิง่ , ๒๕๔๙. “____________” ปรชั ญาในวรรณคดสี มยั สุโขทัย กรงุ เทพฯ : ๙๕๙ พับลิชชง่ิ , ๒๕๔๙. สําเริง บุญเรืองรัตน์ ปรชั ญาในวรรณคดีสมยั อยุธยา กรงุ เทพฯ : ๙๕๙ พบั ลชิ ชง่ิ , ๒๕๔๙ “____________” วรรณคดสี มยั กรงุ รตั นโกสินทร์ รชั กาลท่ี ๑ – ๒ – ๓ กรงุ เทพฯ : เรอื งแสงการพิมพ์,๒๕๕๑ “____________” วรรณคดีสมยั กรงุ รัตนโกสินทร์ รชั กาลท่ี ๔ – ๕ – ๖ กรงุ เทพฯ เรอื งแสงการพมิ พ์ ๒๕๕๗. “____________” วรรณคดสี มยั อยุธยา กรงุ เทพฯ : เรอื งแสง – การพมิ พ์,๒๕๔๗
ป ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี | ๑๒๖ คณะผจู้ ัดทาํ ๑. นางศิริกาญจน์ ธนวฒั น์เดชากลุ ๒. นางสาวสภุ ัสสร โหย้ ขุ นั ๓. นายบญุ ชนะ ล้อมสริ อิ ุดม ๔. นางสาวฐติ าพร จนิ ตะเกษกรณ์ ๕. นางสาวอญั ชษิ ฐา สขุ กาย ๖. นายสพุ จน์ เชย่ี วชลวชิ ญ์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134