Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ครูนักสร้างสรรค์ พื้นที่การเรียนรู้

ครูนักสร้างสรรค์ พื้นที่การเรียนรู้

Description: ปฐมวัย ช่วงวัยแห่งการวางรากฐานสำคัญของชีวิต ทั้งกาย ใจ สติปัญญา และสังคม ช่วงวัยที่สมองพร้อมเรียนรู้มากที่สุด ครบทุกมิติ ทั้งความรู้ (Head) ทักษะ (Hand) และ จิตสำนึกที่ดี (Heart) ช่วงวัยแห่งการเรียนรู้ผ่านการเล่น การลงมือทำ และการสื่อด้วยภาษาพูด ช่วงวัยแห่งความดี เรียนรู้ความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ อันเป็นคุณธรรมสำคัญที่เกื้อหนุน การเรียนรู้ของวัยเด็ก

Keywords: การเรียนรู้,เด็กปฐมวัย

Search

Read the Text Version

ครูนักสรŒางสรรค พน้ื ที่การเร�ยนรŒู Learning Space

ครนู ักสรา งสรรคพ้ืนท่กี ารเรียนรู (Learning Space) จดั ทำโดย มลู นิธิโรงเรยี นรุงอรณุ ทปี่ รกึ ษา รศ.ประภาภทั ร นิยม อาจารยส วุ รรณา ชีวพฤกษ อาจารยสนุ สิ า ช่นื เจริญสขุ อาจารยส กุณี บญุ ญะบัญชา ขอมลู ครูเรวดี ดงุ ศรแี กว ครูจินตนา นำศริ โิ ยธนิ ครูวรรณพา แกวมณฑา ครูปยะดา พิชิตกศุ ลาชยั ครูณฎั ฐนิช ศิโรดม เขยี น นนั ทยิ า ตันศรเี จริญ ภาพถา ย สหรฐั ขตั ติ ณชิ ากร มณีวเิ ศษเจริญ ออกแบบปก ขวญั ชัย จกั รวิวฒั นากุล ภาพประกอบ/ออกแบบจัดรปู เลม ณชิ ากร มณีวิเศษเจริญ พสิ ูจนอ กั ษร เรไร ทา ผา พิมพค รงั้ ที่ 1 มกราคม 2564 พมิ พท ่ี บริษัท แปลน พรน้ิ ทต ิ้ง จำกัด โทร 0 2277 2222 หนังสอื ชดุ ครปู ฐมวยั หวั ใจใหม โครงการสอื่ สรางสรรคเ พ่อื การเรียนรอู ยา งเปนองครวม ระยะที่ 2 (แมค รูหวั ใจใหม) โครงการความรวมมือระหวา งกองทุนพฒั นาสือ่ ปลอดภยั และสรางสรรค สถาบนั อาศรมศลิ ป และมลู นธิ โิ รงเรยี นรุงอรณุ เวบ็ ไซต : www.holisticteacher.net สงวนลขิ สทิ ธิต์ ามพระราชบัญญัติ โดย กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสรา งสรรค และมลู นธิ ิโรงเรยี นรงุ อรุณ

คำนำ ปฐมวัย ชว งวัยแหงการวางรากฐานสำคญั ของชวี ติ ทั้งกาย ใจ สติปญญา และสังคม ชวงวัยที่สมองพรอมเรียนรูมากที่สุดครบทุกมิติ ทั้งความรู (Head) ทักษะ (Hand) และ จติ สำนกึ ท่ดี ี (Heart) ชว งวยั แหงการเรียนรผู านการเลน การลงมอื ทำ และการสอ่ื ดว ยภาษาพูด ชวงวัยแหงความดี เรียนรูความกตัญูกตเวทีตอผูมีพระคุณ อันเปนคุณธรรมสำคัญที่เกื้อหนุน การเรียนรูข องวยั เด็ก โครงการสอ่ื สรา งสรรคเ พอ่ื การเรยี นรอู ยา งเปน องคร วม ระยะท่ี 2 (แมค รหู วั ใจใหม) จงึ เกดิ ขน้ึ โดยความรวมมือระหวางกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสรางสรรค สถาบันอาศรมศิลป และมูลนิธิ โรงเรียนรุงอรุณ เพอ่ื สกัดองคค วามรทู ่สี ำคัญตอการจดั การเรยี นรสู ำหรบั เด็กปฐมวัย แลวจัดทำเปน สื่อวีดิทัศนและหนังสือชุด ครูปฐมวัยหัวใจใหม เพื่อเปนคูมือสำหรับครูปฐมวัย พอแม ผูปกครอง ในการจัดการเรยี นรเู พอ่ื พฒั นาเด็กอยา งเปน องคร วม หนังสอื ชุด ครูปฐมวยั หวั ใจใหม ประกอบดวยหนงั สอื 3 เลม ไดแก เลมท่ี 1 ครนู กั สรางสรรค พ้ืนที่การเรยี นรู (Learning Space) เลม ท่ี 2 ครูนกั ออกแบบการเรียนรู (Teacher as a Learning Designer) และเลม ท่ี 3 ครูผูม องเหน็ สภาวะการเรยี นรูข องเดก็ (Visible Learning) ขอขอบพระคุณ คณาจารย ผูเชี่ยวชาญ และครูปฐมวัยหัวใจแมทุกทาน ที่ถายทอดองคความรู จากประสบการณจนออกมาเปน หนังสือชดุ น้ี ขอบคุณภาคเี ครือขา ยทร่ี วมแรงรว มใจผลติ งานอันเปน ประโยชนต อ การพฒั นาเดก็ และเยาวชนทจ่ี ะเตบิ โตเปน กำลงั สำคญั ของประเทศไทยและโลกใบนต้ี อ ไป กองทุนพฒั นาสอ่ื ปลอดภยั และสรา งสรรค

สารบัญ 05 07 บทนำ 13 ชวนครูมอง! ทำไมตŒองสราŒ ง “พื้นที่การเร�ยนร”Œู ? 19 สภาพแวดลŒอมทห่ี ล‹อหลอมพฤติกรรมการเรย� นรเูŒ ปนš อยา‹ งไร? ทำอย‹างไรครจู �งจะสรŒาง “พืน้ ทีก่ ารเร�ยนรูŒ” ท่หี ลอ‹ หลอม พฤตกิ รรมการเรย� นรขŒู องเด็กได?Œ

บทนำ เดก็ กบั การเลน เปน สง่ิ คูกนั มาตามธรรมชาติ เด็กเจริญเติบโตขึ้นมาพรอมกบั พัฒนาการ เกย่ี วกบั การเลน เดก็ สามารถเลน ไดโ ดยไมต อ งมใี ครสอน ถา สงั เกตใหด จี ะพบวา เดก็ สามารถ เลนของเลน ท่วี างอยตู รงหนา ของเขาไดเอง โดยไมจำเปน ตอ งมีใครบอกหรือชแ้ี นะวิธเี ก่ียวกบั การเลน มหี ลกั ฐานยนื ยนั วา การเลน มสี ว นสำคญั อยา งมากในการเปลย่ี นแปลงโครงสรา งของ สมอง โดยการเลน จะกระตุนใหม ีการเพม่ิ ขึ้นของเซลลสมอง พื้นทีก่ ารเรียนรู (Learning Space) จึงเปนกุญแจสำคัญของการขยายการเรียนรใู หเ ดก็ ไดรับประสบการณตรงกับเรื่องที่จะเรียนผานการเลน เปนวิธีการเรียนที่ไดผลที่สุด เพราะฉะนน้ั ครตู อ งจบั หวั ใจเรอ่ื งนเ้ี พอ่ื นำไปออกแบบการเรยี นรทู จ่ี ะทำใหเ ดก็ มปี ระสบการณ ตรงกับเรื่องที่เรียนใหมากที่สุด แลวปรับพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกหองเรียนใหสอดคลอง กับเรือ่ งทจี่ ะเรยี น ดังนั้นพื้นที่การเรียนรูของเด็กปฐมวัยจะไมตายตัว แตปรับเปลี่ยนไปตามเปาหมาย การเรยี นรู (Learning Vision) และกระบวนการเรยี นรู (Learning Process) ทค่ี รอู อกแบบไว เพราะฉะนน้ั ถา ครเู ขา ใจเรอ่ื งนก้ี ท็ ำ Learning Space ไดม หาศาล ผา นการมแี นวคดิ ทย่ี ดื หยนุ และเช่อื มโยงไดอยา งสรา งสรรค บางครงั้ อยใู นหอ งเรียน บางคร้ังอยูนอกหอ งเรียน ในการปรับพื้นที่การเรียนรูตองเริ่มเปลี่ยนจากทัศนคติ (Mindset) ของครู เปลี่ยนการ ตคี วามเรอ่ื งของการเรยี นรใู นหอ งเรยี นใหเ ปน แบบใหม ไมย ดึ ตดิ แบบแผนหรอื ประเพณนี ยิ ม ควรออกแบบทางกายภาพที่สงเสริมใหเกิดการเรียนรูในรูปแบบใหมๆ ขึ้น ครูจะเห็น ความสัมพันธเชื่อมโยงระหวาง Learning Space กับ Learning Vision สลับไปมา เมื่อครู เริ่มจัด Learning Space เริ่มมีการตีความความหมายของพื้นที่ ครูจะมีจินตนาการเกิด Learning Vision เกดิ มมุ มองวา อะไรทจ่ี ะสรา งการเรยี นรใู หเ ปน การเรยี นรแู บบใฝร ู (Active Learning) ไดมากทส่ี ดุ เชน การเรยี นรผู า นการทำงานสวน ทต่ี องจดั สรรพืน้ ที่ขางนอกเปน 5

หอ งเรยี นสำหรบั ปลกู พชื ผกั และสงั เกตการใชพ น้ื ทท่ี กุ มติ อิ ยา งสรา งสรรค พรอ มทง้ั สามารถ สืบคนการเรียนรูไปจนถึงเรื่องราวของการผลิตวัตถุดิบที่ปลอดภัย จนสามารถเรียนรูไปถึง การเห็นคุณคา และมจี ิตสำนึกการดแู ลธรรมชาตไิ ด เปนตน เมื่อการออกแบบการเรียนรูที่มุงเนนใหเด็กไดมีประสบการณตรง และเปนจริงตาม บริบทชีวิต ครูปฐมวัยหัวใจใหมจึงตองมีสมรรถนะการมองหาโอกาสในการเรียนรูจากพื้นที่ การเรียนรูโดยรอบของตนเอง สามารถดัดแปลง สรางสรรคพื้นที่ที่มีอยูเดิมใหสอดรับกับ การเรยี นรทู อ่ี อกแบบ โดยคำนงึ ถงึ พฒั นาการและสขุ ภาวะของเดก็ เปน สำคญั ในการออกแบบ การเรยี นรแู ละออกแบบหอ งเรยี นลกั ษณะน้ี ครจู ะมบี ทบาทนอ ยลง เปน เพยี งผใู หโ จทยท ส่ี ำคญั ๆ และใหก ารเรยี นรจู ากโจทยน น้ั เกดิ ทผ่ี เู รยี นเสมอ โดยมแี นวคดิ (Concept) ในการเรยี นรเู ปน ตัวกำกับ และสามารถประเมินความกาวหนาทางการเรียนรูของเด็กไดอยางมีความหมาย หนังสือเลมนี้ถอดจากประสบการณความเชี่ยวชาญของทีมครูอนุบาลโรงเรียนรุงอรุณ ที่สะทอนใหเห็นภาพของการ “คืนพื้นที่ใหกับผูเรียน” ในการออกแบบและสรางพื้นที่ การเรยี นรู (Learning Space) ใหส อดคลอ งกบั เรอ่ื งทเ่ี รยี น และเชอ่ื มโยงกบั กจิ วตั รประจำวนั นอกจากนย้ี งั เปน การปรบั วสิ ยั ทศั นผ บู รหิ ารและครใู หม องเหน็ โอกาสและวธิ กี ารใชพ น้ื ทต่ี า งๆ อยา งสรา งสรรค ทง้ั พน้ื ทภ่ี ายในและภายนอกหอ งเรยี นใหร องรบั การเรยี นรแู บบใฝร ู (Active Learning) และกิจกรรมการเรียนรูที่หลากหลาย รวมทั้งหนาที่ใชสอยเพื่อสุขอนามัยและ สุขภาวะของผูเรียน ทดลองปฏิบัติการ ปรับปรุงพื้นที่เดิมโดยใชทรัพยากรอยางประหยัด แตม ีความคิดสรา งสรรค สอดคลองกบั ธรรมชาติการเรยี นรูของเด็กปฐมวยั ใหมากท่สี ุด อาจารยส บื ศกั ด์ิ นอยดัด ผูดูแลโครงการพัฒนาศูนยเ ด็กเลก็ ตามแนวทางการเลย้ี งลกู ดว ยความรักของสมเดจ็ ยา สาขาวชิ าการศกึ ษาปฐมวยั สถาบันอาศรมศลิ ป 6

ชวนครมู อง ทำไมตŒองสรŒาง พื้นท่ี การเร�ยนรูŒ 7

Learning Space สำคญั อยา งไร ทำไมครตู อ งสรา ง “พน้ื ทก่ี ารเรยี นร”ู ? ในเมอ่ื เราตา งรวู า เดก็ ปฐมวยั เรยี นรผู า นการเลน ธรรมชาตขิ องเดก็ ชอบเลน พน้ื ทแ่ี บบไหนเดก็ กห็ าวธิ เี ลน ได เลน อยา งสนกุ เสยี ดว ย แลว ทำไมครจู ะตอ ง สรางพืน้ ที่การเรยี นรู? เราลองจินตนาการถึงพื้นที่โลงกวางแหงหนึ่ง มีตนไม 2-3 ตน บริเวณ ขอบลาน ถาเด็กๆ ไปเลนที่ลานนี้ เขาจะเลนอะไร วิ่งเลน เลนวิ่งไลจับ เกบ็ ใบไมก ง่ิ ไมม าเลน ขายของ ประดษิ ฐข องเลน เลน บทบาทสมมติ ขดุ ดนิ ขุดทราย และอกี มากมาย เด็กไดเรียนรูไหม? เขาไดเรียนรูอยางแนนอน ทั้งการพัฒนาทักษะ ทางดานรางกาย จติ ใจ และสังคม 8

แต‹ เด็กกำลังเรย� นรŒู อะไรอยนู‹ ะ? 9

เดก็ จะเร�ยนรŒู àÃÕ¹ÃÙŒ¡Ò֍µÑÇ Ã¡Ñ ÉÒÊÁ´ÅØ Ã‹Ò§¡Ò ?ไดมŒ ากกว‹าน้ีไหม äÁÅ‹ ÁŒ äÁË‹ Ź‹ à´¹Ô ä´Œ ½ƒ¡ãªŒ¡ÓÅѧ¢ŒÍÁ×Í á¢¹ à·ŒÒ ã¹¡ÒèºÑ ÂÖ´ à˹ÕÂè Ç »‚¹ »†ÒÂ à´¹Ô ä´µŒ ç ¢Öé¹·ÊèÕ Ù§ àÊÃÁÔ ÊÃÒŒ §¾Å§Ñ ¡ÒÂáÅÐ ¾Åѧ㨠㹡ÒâҌ Á¼Ò‹ ¹ÍØ»ÊÃä 10

ครตู อŒ งทำอะไร ?ถงึ จะเพ่ิมการเร�ยนรŒขู องเดก็ ไดŒโดยครไู ม‹ตŒองสอน ¤ØÂ¡Ñ¹ä» àÅ‹¹¡Ñ¹ä» ·Ñ¡ÉФ³ÔµÈÒʵÏ ·Ñ¡ÉÐÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ ½ƒ¡ãªŒÀÒÉÒ·ÕèÁÒ¨Ò¡ ªÑè§ µÇ§ ˹ѡ àºÒ Êѧࡵ ·´Åͧ »ÃÐʺ¡Ò󏢳ÐàÅ‹¹ à»ÃÂÕ ºà·ÂÕ º»ÃÁÔ Ò³ ¤ÇÒÁÌ٠(Ç·Ô ÂÒÈÒʵÃ) àÃ×èͧ¹éÓáÅÐáç´Ñ¹¹éÓ 11

ครตู ŒองสราŒ ง “พ้นื ท่กี ารเร�ยนรูŒ” เพ่อื เพิ่มการเร�ยนรขŒู องเดก็ ใหเŒ ด็กไดเŒ ร�ยนรŒูมากข�น้ จากการเขŒาไปใชหŒ รอ� เลน‹ (ปฏิสมั พนั ธ) กบั พื้นที่น้นั ๆ แลวŒ เดก็ เรย� นรูดŒ วŒ ยตัวเอง โดยครไู ม‹ตŒองสอน ครูรวŒู ‹าเดก็ ไดเŒ รย� นรอŒู ะไร? ¶ŒÒ¤ÃäÙ ÁÊ‹ Ìҧ¾¹é× ·èÕ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ à´¡ç ¡àç ÃÂÕ ¹ÃŒÙ仵ÒÁ¶ҡÃÃÁ ¤ÃÙ䴌ᵤ‹ Ò´à´ÒÇÒ‹ à´ç¡ä´ŒÍÐäà 12

สภาพแวดลŒอม ทห่ี ลอ‹ หลอมพฤตกิ รรม การเรย� นรูŒ เปšนอยา‹ งไร… 13

คบลรรŒายยาบกŒาาศน แวดสลภŒอาพม สะอาด สวา ง โปรงสบาย ทีห่ ล‹อหลอม พฤตกิ รรม อากาศถายเทไดสะดวก มีหนาตาง มองเห็นธรรมชาติภายนอก สวาง เปšนของจร�ง ดว ยแสงธรรมชาติ อบอนุ ปลอดภยั เด็กไดเรียนรูและเขาใจความหมายของ เปน ระเบยี บ สง่ิ นน้ั ตามความเปน จรงิ เชน บลอ็ กทรง เรขาคณติ ทท่ี ำจากไม เดก็ เขา ใจคณุ สมบตั ิ ไมร กแมม ขี องมาก จดั เกบ็ ของเปน ชดุ ของไมตามความเปนจริง ทั้งสี น้ำหนัก อยา งเปน ระบบ รวู า อะไรอยตู รงไหน ผิวสัมผัส อุณหภูมิ กลิ่น หยบิ ใชสะดวก นา มอง นา อยู แบง พื้นที่ในหอง ใหมกี ารใชง านแตกตางกันไป เห็นสัดสวนพื้นที่การใชงานชัดเจน ไมโ ลง เกนิ ไป มสี ญั ลกั ษณ/ ความหมาย บง บอกวา แตล ะพน้ื ทใ่ี ชท ำอะไร เดก็ จะ อานพื้นที่ออก ใชพื้นที่เปน จัดการ ตนเองได เรียนรูวาพื้นที่นั้นเลนหรือ ใชอ ยางไร 14

รเกรŒูาย� รน ธรใรกลมŒชชด� าติ ทาŒ ทาย ธรรมชาติชวยกลอมเกลาจิตใจเด็กให ออนโยน ละเอียดออน ผอนคลาย และ สติป˜ญญา เปนส่อื ใหเด็กไดเรยี นรคู วามเปน จริงของ ธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงอยูตลอด และ เด็กไดใชรางกาย ประสาทสัมผัส และ เรียนรูการปรับตวั อยูกบั ธรรมชาติ ศักยภาพตางๆ อยา งเตม็ ที่ เพอื่ เลน ทำ การงาน ลองผดิ ลองถกู และเกดิ การเรยี นรู เงดา‹ ยก็ ตทอ‹ กำาเรอใชงงŒ าไดน Œ ทง้ั ดา นรา งกาย จติ ใจและอารมณ สงั คม สติปญญา เดก็ ไดเรียนรจู ากการลงมอื ทำ ทำไดเ อง เพื่อใหเด็กรูสึกมั่นใจในการทำ เปนการ ปลูกฝงความรับผิดชอบ เพราะถาพื้นที่ นน้ั ยากตอ การใชง าน เดก็ จะไมอ ยากทำ 15

16

17

ไมวาจะในหองเรียน หรือนอกหองเรยี น ทุกแหงเปน Learning Space ไดท ้ังน้นั ถาพนื้ ทนี่ ้ันทา ทายเด็ก และเอื้อใหเด็กไดเ รยี นรอู ยา งลึกซงึ้ รองศาสตราจารยประภาภทั ร นิยม อธกิ ารบดีสถาบันอาศรมศิลป และผกู อตั้งโรงเรียนรุง อรุณ 18

ทำอยา‹ งไร ครจู �งจะสรŒาง พื้นที่การเร�ยนรูŒ ที่หล‹อหลอมพฤติกรรม การเร�ยนรูŒของเด็กไดŒ 19

รแูŒ ละเขาŒ ใจ พัฒนาการตามธรรมชาติ 1 ของเดก็ ปฐมวยั ในวัยปฐมวัยนั้นพัฒนาการทางดาน “รางกาย” จะปรากฏ เดน ชดั ทส่ี ดุ สงั เกตไดจ ากการเลน การเคลอ่ื นไหว และการหยบิ ควา สำรวจสิ่งรอบตัวตลอดเวลา มีลักษณะ “อยูไมนิ่ง” แตในขณะ ที่เกิดพัฒนาการทางกายนั้น พัฒนาการทางอารมณ สังคมและ สติปญญาก็จะเกิดขึ้นไปในคราวเดยี วกนั อยา งบูรณาการ เปนชวงวัยแหงการเรียนรูผานการเลนและการลงมือทำ “การสื่อดวยภาษาพูด” เด็กปฐมวัยจะใชอารมณความรูสึกเปนตัวกำหนดพฤติกรรม ของตนมากกวาเหตุผลหรือคุณธรรม ในขณะเดียวกันก็มี “จนิ ตนาการและภาษา” ซง่ึ เปน ทรพั ยภ ายในอนั สำคญั ทพ่ี รอ ม จะเบงบานงอกงามเปนเครื่องมือสำคัญของการเรียนรูเพื่อเพิ่มพูน สตปิ ญ ญาใหก บั ตนเองได ภายใตก ารมสี ง่ิ แวดลอ มทด่ี ี และมผี ใู หญ ที่มีความรูคูคุณธรรมเปนตนแบบและเปนที่พึ่งที่เชื่อถือได 20

แมครูปฐมวัยจึงตองมีความรูความเขาใจในพัฒนาการตามวัย ของเด็กวัยนี้ รูวาเด็กทำอะไรไดแคไหน อะไรที่เขายังทำไมได เขามีวิธีการเรียนรูอยางไร รวมไปถึงการมีความรูในเรื่องที่เด็ก จะเรียน เชน ความรูดานคณิตศาสตร วิทยาศาสตร สุขภาพ และภาษา ซึ่งจะชวยในการออกแบบสภาพแวดลอมใหเด็กอยาก เขา ไปคน หาและเรียนรู ¤ÇÒÁÃÙàŒ ¡ÂèÕ Ç¡ÑºµÇÑ à´ç¡ ¤³¤µÔ ÇÈÒÒÁÊõ·ÙŒ ÃèÕà´Çç¡Ô·¨ÂÐÒàÃÈÕÂҹʵÏ ¾²Ñ ¹Ò¡ÒõÒÁÇÂÑ Ê¢Ø ÀÒ¾ ÀÒÉÒ 21

ดาŒ นร‹างกาย พัฒนาการ ตาม มกี ลา มเนอ้ื แขง็ แรง เคลอ่ื นไหวคลอ งแคลว ชอบวิ่งเลนกระโดดโลดเตน ไมอยูนิ่ง ธรรมชาติ พรอ มทำกจิ กรรมทต่ี อ งใชแ รงหรอื ใชก ำลงั มากขน้ึ ชอบอยกู ลางแจง และสามารถใช มอื ในการหยบิ จับส่ิงของตางๆ ไดม ากขน้ึ ดŒานอารมณแ ละจต� ใจ แสดงออกดานอารมณเดนชัดขึ้น มี ความสนใจในเรอ่ื งตา งๆ คอ นขา งสน้ั เวลา ดใี จ เสยี ใจ โกรธ หรอื กลวั จะแสดงอารมณ ออกมาเตม็ ท่ี เชน กระโดด กอด ตบมอื โวยวายรอ งไหเ สยี งดงั ทบุ ตี ขวา งปาสง่ิ ของ ไมพ อใจเมอ่ื ถกู หา ม แตเ พยี งชว่ั ครจู ะหายไป 22

ของเดก็ ดาŒ นภาษาและจน� ตนาการ ปฐมวัย เรม่ิ มที กั ษะในการใชภ าษาอธบิ ายสง่ิ ตา งๆ (3-6 ป‚) บอกความตองการ ความรูสึก และ ความคิดเห็นของตนเองได สามารถเลา ประสบการณข องตนได สามารถวาดภาพ ในใจ ใชความคิดคำนึงหรือการสราง จินตนาการ แตบางครั้งอาจไมสามารถ แยกสง่ิ ทจ่ี นิ ตนาการออกจากความจรงิ ได ดŒานสงั คม ดาŒ นสตปิ ญ˜ ญา สนใจเรียนรูสังคมภายนอกบานมากขึ้น เปน วยั ทส่ี ามารถใชส ญั ลกั ษณแ ทนสง่ิ ของ เปนการเรียนรูเกี่ยวกับการสราง วตั ถุ และสถานทไ่ี ด มคี วามตง้ั ใจทลี ะเรอ่ื ง สัมพันธภาพกับบุคคลอื่นที่อยูรอบตัว แกปญหาในชีวิตประจำวันได โดยการ พัฒนาการดานสังคมของเด็กวัยนี้จึงเปน ลองผิดลองถูก การตัดสินใจของเด็กใน พื้นฐานการสรางบุคลิกภาพที่เหมาะสม วัยนข้ี ึ้นกับการรับรู ยงั ไมร จู ักใชเ หตผุ ล ของเขาในอนาคต 23

ส่งิ สำคญั ทไ่ี มค วรมองขาม และเปน โจทยต ง้ั ตน ในการออกแบบ พ้นื ที่การเรยี นรู (Learning Space) คอื การออกแบบใหสอดคลอ ง กบั เปา หมายการเรยี นรู (Learning Vision) และกระบวนการเรยี นรู (Learning Process) รองศาสตราจารยประภาภทั ร นยิ ม อธกิ ารบดสี ถาบนั อาศรมศิลป และผกู อ ตงั้ โรงเรียนรงุ อรณุ 24

25

2 กำหนดเปา‡ หมาย ในการออกแบบพนื้ ท่ี เด็กอนุบาลเปนวัยที่เพิ่งจากบานมาเรียนรูการใชชีวิตรวมกันในโรงเรียน ที่เปรียบเสมือนบานหลังใหมของเด็กๆ การออกแบบสภาพแวดลอมทั้งใน และนอกหองเรียนใหมีลักษณะคลา ยบาน จะชวยสรา งบรรยากาศการเรยี นรู ใหเดก็ ๆ รูสกึ อบอนุ คุนเคยเหมอื นอยบู า น และเรียนรูอยางมีความสขุ ในบานหลังใหญหลังนี้ ครูจะออกแบบแตละพื้นที่เพื่อเปาหมายใหเด็ก เรียนรูอะไร ดวยกระบวนการเรียนรูอะไร คือสองปจจัยสำคัญที่ครูตอง นำมาพิจารณาในการออกแบบและสรางพน้ื ทกี่ ารเรยี นรู 26

เปา‡ หมายการเร�ยนรูŒ กระบวนการเรย� นรูŒ การดูแลและพึ่งพาตนเอง การทำงานกิจวัตร “กิน-อยู-ดู-ฟง” เปน การเลน การพัฒนาดานรางกาย การใชชีวิตรวมกัน จิตใจ/อารมณ สังคม ในกิจกรรมตางๆ สติปญญา 27

3 สราŒ งพน้ื ท่ตี ามเป‡าหมาย และการเรย� นรขŒู องเดก็ จากเปาหมายการเรียนรูและพื้นที่ทางกายภาพใน โรงเรียนอนุบาล เราสามารถแบงพื้นที่การเรียนรูไดเปน 3 พน้ื ทห่ี ลกั ๆ คอื 1 พน้ื ทเ่ี พอ่ื การเรยี นรใู นวถิ ชี วี ติ ประจำวนั 2 พื้นที่เพื่อการเรียนรูในหองเรียน 3 พื้นที่เพื่อการเรียนรูนอกหองเรยี น 28

พืน้ ทีก่ ารเร�ยนรขูŒ องเด็กปฐมวยั 1 เปนการพาเด็กรูจักพึ่งพาตนเองในวิถีชีวิต ประจำวนั ลงมอื ทำอยา งมน่ั ใจวา “หนทู ำได” พืน้ ท่ีเพื่อการเร�ยนรŒู ออกแบบการจัดหองเรียนใหเปนบานของ ในวถ� ีชว� ต� ประจำวัน เด็กปฐมวัย เด็กเปนผูเรียนรูจากการอาน พื้นที่ออก และใชพื้นที่เปน ผานการเลน 2 และการใชช ีวิตรวมกนั ในกจิ กรรมตา งๆ พนื้ ท่ีเพื่อการเร�ยนรูŒ ในหŒองเร�ยน 3 เปนพื้นที่เลนอิสระ ภายใตโครงสรางและ การออกแบบเครื่องเลนที่สรางสรรค ทาทาย พ้นื ท่เี พือ่ การเรย� นรŒู พัฒนาการดานรางกายของเด็กแตละวัยให นอกหอŒ งเร�ยน เติบโตและใชรางกายไดอยางคลองแคลว รวมทง้ั การออกแบบกระบวนการพาเดก็ เรยี นรู จากพื้นที่ที่เปนธรรมชาติอันเปนแหลง เรยี นรสู ำคญั ของเด็กปฐมวยั 29

3.1 พื้นที่เพื่อการเร�ยนรูŒ ในว�ถีช�ว�ตประจำวัน ขณะที่เด็กสวนหนึ่งกำลังรับประทานอาหารกลางวัน ครูสังเกตเห็นเด็กหลายคนยืนอออยูที่มุมเทเศษอาหาร บางคนเดินไปมา ภาพดูคอนขางวุนวาย เมื่อมองไปที่ หัวแถว เห็นนองเล็กอนุบาล 1 กำลังเขี่ยเศษอาหาร จากกลองขา วท่ียกอยูในระดับสายตา ทาทางไมค อ ยถนัด เทาไร จึงใชเวลานาน ทำใหเด็กคนอื่นๆ ที่ตอแถวจะทิ้ง เศษอาหารตอ งยืนรอเปน เวลานาน 30

ทำไมเด็กเทเศษอาหารชาŒ เมือ่ ครูสังเกตดๆี ป˜ญหาอยู‹ท่ีเดก็ หร�ออยทู‹ อ่ี ะไร? จง� พบว‹า… ¶Ñ§ãÊà‹ ÈÉÍÒËÒà µÑé§ÍÂÊ‹Ù Ù§à¡Ô¹ä» ·ÓãËàŒ ´¡ç à· äÁ¶‹ ¹´Ñ ¶Ñ§à·àÈÉÍÒËÒÃÁÕãºà´ÕÂÇ äÁà‹ ¾Õ§¾Íµ‹Í¨Ó¹Ç¹à´ç¡ â´Â੾ÒЪ‹Ç§·àèÕ ´¡ç ÃѺ»ÃзҹÍÒËÒÃàÊèç ã¡ÅæŒ ¡Ñ¹ ¶§Ñ µÑ§é äǵŒ çÁØÁ ª´Ô ¼¹Ñ§ à¾ÃÒФÃÙà¡Ã§ÇÒ‹ à´¡ç ¨Ðª¹ÅÁŒ ·ÓãËŒ¾×é¹·ÂèÕ ×¹ÃͨӡѴ áÅÐáÍÍ´Ñ ตŒนเหตุแหง‹ ปญ˜ หาที่แทŒจรง� คือ การออกแบบมมุ เทเศษอาหาร ที่ไม‹สอดคลŒองกับพฤติกรรมการใชŒพื้นที่ของเด็กนั่นเอง 31

กิจวตั รประจำวนั ท่ีโรงเรยี นเปน วิถที ี่เด็กจะไดฝกฝนทักษะและการพ่ึงพาตัวเองขัน้ พน้ื ฐาน อยา งตอ เนอ่ื งและสมำ่ เสมอ ครจู งึ ตอ งทำทกุ เรอ่ื งในกจิ วตั รใหเ ปน การเรยี นรขู องเดก็ เดก็ จะไดฝกเรื่องการดูแลขาวของเครื่องใชของตัวเอง รับรูสิ่งของของตัวเอง และจัดเก็บเปน ซึ่งเปนการพึ่งพาแรกที่แมครูตองฝกเด็กใหเปน ดังนั้นครูจึงตองออกแบบพน้ื ทใ่ี หเ ดก็ สามารถจดั การตวั เองได ทำไดด ว ยตวั เอง ซึ่งจะทำใหเด็กรูสึกมั่นใจในการทำ และเปน การปลูกฝงความรับผดิ ชอบใหก ับเดก็ à´ç¡àÍ×Íé Á¶Ö§ ·Óàͧ䴌 32

กิจวัตรของเด็กอนบุ าล ดูแลสมั ภาระ ถอดรองเทา เกบ็ รองเทา เกบ็ ขา วของ ของตนเอง สว นตวั เลนในหอง เลน นอกหอง หนว ยบูรณาการสชู วี ติ เลน อสิ ระ ใสป ลอกหมอน/ปลอกที่นอน จัดโตะอาหารวาง ลางมอื รบั ประทานอาหาร เปลยี่ นเสอ้ื ผา/พบั ผา เกบ็ ของใสก ระเปา เตรียมกลบั บา น เอาขยะไปแยก นอนกลางวัน 33

การงานในกจิ วัตร ของเดก็ อนบุ าล งานบŒาน การงานที่ฝกเด็กใหกินเปน อยูเปน ฝกการพึ่งตนเอง ดูแล และจัดการตนเองได ปฏิบัติตามกติกาและกิจวัตรของบาน หลังนี้ได โดยมีแมครูพาทำ ฝกเด็กใหพึ่งพาตนเองไดในที่สุด งานครัว การพาใหเด็กกินเปน ในชีวิตประจำวันที่เราตองกิน เพราะฉะนั้น งานครัวจึงเปนเรื่องที่แมครูตองพาเด็กกินใหเปน กินอาหารที่เปน ประโยชนกับรางกาย ชวยใหมีแรง สุขภาพดี และเติบโต กินรวม กับเพื่อนๆ และแมครู เก็บลางไดดวยตนเอง รวมถึงการระลึก ถึงคณุ ของอาหารและผูทำ 34

งานสวน งานปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อใชเปนแหลงอาหารของบาน หรือหองเรียนของตนเอง และทำใหเด็กไดเรียนรูวาอาหาร ที่รับประทานมาจากไหน งานเลน‹ กระตุนกำลังกายและสติปญญา เปนอีกพื้นที่ใหญที่เปดโอกาส ใหเ ดก็ พาตวั เขา ไปประลองความสามารถของตนเอง ทา ทายตนเอง เพราะรางกายของเด็กกำลังเติบโต และตองการพัฒนาตนเองให สามารถใชรางกายแตละสวนทำงานอยางประสานกัน จนเกิดเปน ความคลองแคลว ซึ่งถือเปนการงานสำคัญในชีวิตเดก็ งานคดิ อา‹ น เข�ยน พื้นที่เรียนรูใหญที่แมครูสามารถออกแบบพื้นที่การเรียนรูที่ จะนำไปสกู าร “อา นออก-เขยี นได” อยา งมคี วามหมายตอ ชวี ติ ของ ผูเรียน ผานหนังสือนิทาน ครูพาถอดรหัสภาพ เรื่องราว และ ความเขาใจชีวิตจากเรื่องราวตางๆ ในหนังสือนิทาน ระหวางฟง และอา นนทิ าน เดก็ ๆ จะคดิ ตคี วาม จบั ประเดน็ และคดิ เชอ่ื มโยง 35

ลงมือทำ หลังจากจัดพื้นที่ไปแลว ในชวงแรกครูตองสังเกต สังเกต พฤติกรรมการใชพื้นที่ของเด็กวาพื้นที่ที่ครูจัดใหนั้น ปรับใหŒ เอือ้ ตอการใชงานและการเรยี นรูของเด็กหรือไม นั่นคอื เหมาะสม เด็กสามารถจัดการตัวเองไดดี แตถาพื้นที่ที่ครู ออกแบบยากตอการใชงาน เชน บริเวณทางเขาที่ไมมี มานั่งใหเด็กไดนั่งถอดรองเทา ชั้นวางของที่สูงเกิน มือเด็กเอื้อมถึง เด็กจะละเลย รูสึกไมอยากทำ ดังนั้น ครูตองหมั่นสังเกตและปรับเปลี่ยนพื้นที่ใหเหมาะสม กบั การใชงานของเด็ก ¤ÇÒÁÊÙ§áÅÐ ÊѴʋǹ¢Í§ªÑé¹ àËÁÒÐÊÁ¡Ñº ¤ÇÒÁÊÙ§¢Í§à´ç¡ 36

สิ่งสำคัญที่คุณครูควรคำนึงในการจัดพื้นที่สำหรับ การงานในกิจวัตร คือ เปนไปเพื่อเด็กๆ ไดเรียนรูการ พึ่งพาตัวเองและดูแลสิ่งของของตนเอง ถาเราออกแบบ พน้ื ทใ่ี หเ ขาทำเองได เขาจะมน่ั ใจ แลว เขาจะอยากทำ แต ถา เมอ่ื ไรมนั ยากเกนิ ไป เขาจะผา นมนั ไปแลว ไมท ำ เดก็ ก็ จะไมไดเรยี นรใู นการใชว ิถีชวี ิตประจำวนั ครูเรวดี ดงุ ศรแี กว ครูใหญฝายอนบุ าล โรงเรยี นรงุ อรุณ 37

3.2 พื้นที่เพื่อการเร�ยนรูŒในหŒองเร�ยน เด็กอ‹านพื้นที่ออก ใชŒพื้นที่เปšน จัดการตนเองไดŒ เปนš ธรรมชาติ ออกแบบพ้ืนท่ีตามเปา‡ หมาย ?แตล‹ ะพน้ื ที่จะอยร‹ู ว‹ มกันอยา‹ งไร ?ถาŒ หŒองโลง‹ เกนิ ไปเด็กจะเปšนอยา‹ งไร 38

เปšนธรรมชาติ หองเรียนควรโปรงสบาย อากาศถายเทไดสะดวก สวางดวย แสงธรรมชาติ มีหนาตางบานใหญมองเห็นธรรมชาติขางนอก การมองเขามาในหองที่เปนธรรมชาติจะชวยใหเด็กรูสึกอบอุน สบายใจท่ีจะอยหู องนี้ มกี ารจดั เรยี งของเลน อยางเปน ระบบระเบยี บ หอ งไมร กแมม ขี องเยอะ จดั ของเปน ชดุ มพี น้ื ทเ่ี ลน กบั แสงธรรมชาติ ทส่ี อ งผา นหนา ตา ง เลน แสงเงาได จติ ใจเดก็ จะออ นโยน ละเอยี ดออ น และผอนคลาย 39

มมุ วางของใชสŒ ว‹ นตวั ของเดก็ ออกแบบ พื้นที่ ความสงู และสดั สว นของชน้ั /ต/ู โตะ เหมาะสม กับความสูงของเด็ก จัดไวในมุมที่สะดวก ตามเป‡าหมาย กับการใชงาน เด็กสามารถดูแลจัดเก็บได เอง รูวาอะไรอยูตรงไหน และหยิบใชได มุมคิด-อ‹าน-เข�ยน จัดเตรียม สะดวกเม่อื ตอ งการ เครอ่ื งเขียนตา งๆ เชน กระดาษ สี มมุ หนงั สอื เลอื กหนงั สอื นทิ านทเ่ี หมาะ และโตะ/เกาอี้ใหเด็กไดวาดหรือ เขยี นอยางอิสระ กับวัยของเด็ก และมีความหลากหลาย โดยจดั เรยี งใหเ ดก็ เหน็ หนา ปกนทิ าน เพราะ เด็กอานนิทานจากภาพ อาจจะมีหนังสือ นทิ านเลม ใหญต ง้ั ไวด ว ยเพอ่ื ดงึ ดดู ความสนใจ และใหเด็กหยิบจับไดงาย มีพื้นที่นั่งอาน นทิ าน มีแสงสวา งเพียงพอ เปนมมุ สงบให เดก็ ไดม สี มาธิอยกู บั ส่งิ ที่เขากำลังอาน 40

ครูตองใชจินตนาการวาเด็กตองการ มุมบŒาน เปนพื้นที่ใหเด็กเลนสมมติ อะไร ในหอ งจะมพี น้ื ทห่ี รอื มมุ อะไรบา ง ตั้งเปาหมายในการออกแบบมุม แปลงตัวเปนบทบาทตางๆ และสนทนา การเรียนรูเเตละมุมโดยคำนึงถึง กนั อยา งเปน เรอ่ื งเปน ราวตามประสบการณ จำนวนเด็กและขนาดของพน้ื ท่ี ทเ่ี ดก็ มี ภายในหองเรียน มุมบลอ็ ก (Construction) บล็อกไมŒทรงเรขาคณิต มีรูปทรงชัดเจน มีพื้นที่กวางพอใหเด็กไดเลน ทดลอง แตละชิ้นเปนเศษสวน/สัดสวนของกันทุกชิ้น ตอ ยอดความคดิ และเลน ดว ยกนั โดย จัดเรียงไดอยางเปนลำดับ และควรเปนไมจริง แบง เปน 2 สว น คือ เพราะมีนำ้ หนกั ทีเ่ ด็กสัมผัสรับรไู ดทันที บลอ็ กธรรมชาติ เปน รปู ทรงตามธรรมชาติ มีลวดลายไมทีแ่ ตกตางกนั มนๆ โคง ๆ ทาทาย เด็กวาจะเลนดวยกันกับบล็อกทรงเรขาคณิต อยางไร หรือจะสรางเปนอะไร อยางไร เปดความคิดเด็ก เกิดความคิดสรางสรรค และเสรมิ จนิ ตนาการ 41

แตล‹ ะพน้ื ทจ่ี ะอยร‹ู ว‹ มกนั ?อยา‹ งไร มุมไหนควรอยูใกลกัน มุมไหนไมควรอยูใกลกับมุมไหน แตละมุมจะลงตัวกับการใชงานและการเลนตามเปาหมาย ของพน้ื ทน่ี น้ั ๆ เชน มมุ บทบาทสมมตมิ กั อยใู กลก บั มมุ บลอ็ ก เพราะจะมีเสียงดัง เปนพื้นที่กวางใหเด็กสามารถเลนได หลายๆ คนพรอ มกนั มมุ หนงั สอื ตอ งการความสงบ เสยี งไมด งั ดงั นน้ั มุมอา นหนังสอื จงึ ไมค วรอยใู กลกบั มุมเลน (มมุ บล็อก มุมบทบาทสมมติ) เด็ก ?ถาŒ หอŒ งโลง‹ เกนิ ไป ถาหองโลงมาก เด็กจะพากันวิ่งเลน แมครูจึงตองจัด หองเรียนใหคลายบาน มีการแบงพื้นที่หรือมุมตางๆ จะเปšนอย‹างไร ตามการใชงานแตกตางกันไป เห็นสัดสวนพื้นท่ี การใชง านในหอ งชดั เจน เดก็ จะเขา ใจ อา นพน้ื ทอ่ี อก ใชพื้นที่เปน วาในหองเรียนไมใชที่วิ่งเลน แตเปน พ้ืนทใ่ี หเขาเรียนรแู ละทำงาน 42 42

ในแงนี้จะเห็นวาแมครูสามารถใชพื้นที่ในการกำกับพฤติกรรมเด็กแทนการเตือนและบน เดก็ ดว ยคำพดู แตใ ชก ารจดั พน้ื ทแ่ี ละพาทำใหเ ดก็ ใชพ น้ื ทใ่ี หเ ปน จนเดก็ สามารถจดั การตนเอง ได เพราะเขาอานพื้นที่ออก ตัวอยางเชน มุมพระ เปนมุมที่สงบ สำหรับนั่งสมาธิ สวดมนต ไหวพระ เด็กจะรับรูไดวาพื้นที่นี้คือมุมพระ เขาจะไมไปเลน เพราะรูวามุมพระไมใชพื้นที่เลน พื้นที่จึงเปนตัวกำหนดขอบเขต และฝกเด็กใหอานพื้นที่ออก ใชพื้นที่เปน 43

3.3 พื้นที่เพื่อการเร�ยนรูŒนอกหŒองเร�ยน ธรรมชาติคือพ้ืนทเี่ ลน ท่ดี ที ส่ี ดุ สำหรบั เด็ก ดิน ตนไม ทราย นำ้ สายลม แสงแดด เปนเพื่อนเลนที่ชวยกลอมเกลาจิตใจใหออนโยน ละเอียดออน ผอนคลาย เปนสื่อการเรียนรูปลายเปดที่เด็กจะไดใช ประสาทสัมผัสทั้งหา ในการสำรวจ สรางสรรคการเลน สรางความ ทา ทาย เพอื่ ประลองความรูและความสามารถของตนเอง ท้ังยงั เปน พื้นที่การเรียนรูที่เปดโอกาสใหเด็กเขาไปคนหา ทั้งดานภาษา ดานวิทยาศาสตร คณิตศาสตร หรือดานสังคม เด็กจึงเรียนรูได อยา งไมรูเบื่อ ครูจึงตองออกไปสำรวจพื้นที่ธรรมชาติรอบโรงเรียน แลว ออกแบบแผนการเรยี นรู (Lesson design) พาเดก็ เรยี นรู จากธรรมชาติ ใชพื้นที่นั้นๆ เปนโอกาสของการเรียนรู ของเด็กไดอยา งเต็มท่ี 44

45

46

สนามแบบน้สี ิ น‹าเล‹น อากาศถ‹ายเท มแี สงแดดส‹องถึง มีตŒนไมŒใหญเ‹ ปšนร‹มเงา มเี คร�อ่ งเล‹นหลากหลาย ใหเŒ ด็กไดŒใชรŒ า‹ งกายและ ประสาทสมั ผสั ทง้ั หาŒ มีลานทราย ลานดนิ ลานหญาŒ ใหเŒ ดก็ ไดŒเล‹นรว‹ มกนั ปลอดภยั ไมม‹ มี มุ อบั สายตา (คร)ู 47

4 เด็กสังเกตการใชพŒ น้ื ท่ีของ ไมเ‹ วร� กกป็ รับ ครูตองทดลองทำและชว ยกันประเมิน การออกแบบพื้นที่เพื่อการเรียนรู ครูตอง คำนึงถึงเปาหมายในการออกแบบพื้นที่ วา พน้ื ทท่ี อ่ี อกแบบนน้ั ชว ยตอ ยอดการเรยี นรู พฤติกรรมการเรียนรูของเด็ก กระบวน หรือขัดขวางการเรียนรูของเด็กแลว การเรียนรูที่ใช และตองมีความยืดหยุน ปรับเปลี่ยนใหเขากับแตละบริบท หรือ สามารถปรบั เปลย่ี นพน้ื ทต่ี ามเปา หมาย และกระบวนการเรียนรูท่เี ปล่ยี นไปได การใชง านของเด็ก 48

เราคิดแลวตองทดลองทำ ถาคิดแลวอยูบน ภาพจนิ ตนาการอยา งเดยี วกอ็ าจจะพาเดก็ ไปไมถ งึ ครจู งึ ตอ งลงมือทำ ถา มันไมเวิรก กป็ รับ คุณครู ตองไมหยุดนิ่ง ตองทำไปดวยกัน แลวก็ใชพื้นท่ี ในการแลกเปลย่ี นกนั เอาประสบการณม าแชรก นั รว มแรงรวมใจ คดิ และทำคนเดียวไมไ ด ครเู รวดี ดงุ ศรีแกว ครูใหญฝ า ยอนบุ าล โรงเรียนรุง อรุณ 49