การพฒั นารูปแบบความสัมพนั ธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยท่สี ่งผลต่อทกั ษะชีวิตและอาชีพของ นักเรียนระดบั ชัน้ มัธยมศกึ ษาตอนปลาย ในเขตพฒั นาเศรษฐกิจพเิ ศษตาก พชิ ญาภา ชัยงาม การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เสนอเป็ นส่วนหน่ึงของการศึกษา หลักสูตรปริญญาการศกึ ษามหาบณั ฑติ สาขาวชิ าวิจัยและประเมนิ ผลการศึกษา ธันวาคม 2559 ลิขสิทธ์ิเป็ นของมหาวิทยาลัยนเรศวร
อาจารย์ท่ีปรึกษาและหวั หน้าภาควชิ าการศกึ ษา ได้พจิ ารณาการศกึ ษาค้นคว้าด้วยตนเอง เรื่อง “การพฒั นารูปแบบความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยท่ีสง่ ผลตอ่ ทกั ษะชีวิตและอาชีพของ นกั เรียนระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษตาก” เห็นสมควรรับเป็ น สว่ นหนงึ่ ของการศกึ ษาตามหลกั สตู รปริญญาการศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาวิชาวิจยั และประเมินผล การศกึ ษา ของมหาวิทยาลยั นเรศวร …….…….…….…………………………………….. (ดร. นา้ ทิพย์ องอาจวาณิชย์) อาจารย์ทปี่ รึกษา ……..……………………………………………... (ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. สริ ินภา กิจเกือ้ กลู ) หวั หน้าภาควชิ าการศกึ ษา ธันวาคม 2559
ประกาศคุณูปการ งานวิจยั ฉบบั นี ้ สาเร็จลงได้ด้วยความกรุณาอย่างย่ิงจาก ดร.นา้ ทิพย์ องอาจวาณิชย์ ท่ีปรึกษาและคณะกรรมการทกุ ทา่ น ท่ีได้ให้คาแนะนาปรึกษา ตลอดจนตรวจแก้ไขข้อบกพร่องตา่ ง ๆ ด้วยความเอาใจใสเ่ ป็ นอยา่ งยิง่ จนการศกึ ษาค้นคว้าด้วยตนเองสาเร็จสมบรู ณ์ได้ ผ้ศู กึ ษาค้นคว้า ขอกราบขอบพระคณุ เป็ นอยา่ งสงู ไว้ ณ ท่ีนี ้ ขอกราบขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.เทียมจันทร์ พาณิชย์ผลินไช ย รองศาสตราจารย์ ดร.ปกรณ์ ประจนั บาน ดร.ชานาญ ปาณาวงษ์และดร.สรียา โชติธรรม อาจารย์ ประจาภาควชิ าการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร นายฐาปนะพงษ์ ทะนนั ชยั ครู ชานาญการพเิ ศษโรงเรียนสรรพวทิ ยาคม ท่ีกรุณาให้คาแนะนา แก้ไขและตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ใน การศกึ ษาค้นคว้า จนทาให้การศกึ ษาค้นคว้าครัง้ นีส้ มบรู ณ์ ขอขอบคณุ ผ้บู ริหาร บุคลากรท่ีได้ให้ความอนุเคราะห์ อานวยความสะดวกและขอบใจ นกั เรียนประจาระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาตอนปลายทุกคน ท่ีให้ความร่วมมือเป็ นอย่างยิ่ง ในการเก็บ ข้อมลู และตอบแบบสอบถาม คณุ ค่าและประโยชน์อันพึงมีจากการศึกษาค้นคว้าฉบบั นี ้ ผู้วิจัยขออุทิศแด่ผู้มีพระคณุ ทุกๆ ท่าน ผู้วิจัยหวงั เป็ นอย่างยิ่งว่า งานวิจัยนีจ้ ะเป็ นประโยชน์ต่อการพฒั นาคุณลกั ษณะของ นกั เรียนในระดบั มธั ยมศกึ ษา และผ้ทู ี่สนใจไมม่ ากก็น้อย พิชญาภา ชยั งาม
ช่ือเร่ือง การพฒั นารูปแบบความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตขุ องปัจจยั ท่ีสง่ ผลตอ่ ทกั ษะ ชีวิตและอาชีพของนกั เรียนระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ในเขตพฒั นา ผู้ศึกษาค้นคว้า เศรษฐกิจพิเศษตาก ท่ปี รึกษา พชิ ญาภา ชยั งาม ประเภทสารนิพนธ์ ดร. นา้ ทิพย์ องอาชวาณิชย์ การศกึ ษาค้นคว้าด้วยตนเอง กศ.ม. สาขาวิชาวิจยั และประเมินผล คาสาคญั การศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั นเรศวร, 2559 ทกั ษะชีวิตและอาชีพ ความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตุ เขตพฒั นาเศรษฐกิจ พเิ ศษตาก บทคดั ย่อ การวิจยั ครัง้ นีม้ ีจดุ ม่งุ หมายเพื่อพฒั นารูปแบบความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตขุ องปัจจยั ท่ีสง่ ผล ต่อทกั ษะชีวิตและอาชีพของนกั เรียนระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ในเขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษ ตาก รูปแบบที่พฒั นาขึน้ ประกอบด้วยตวั แปรแฝง 3 ตวั คือ ปัจจยั ด้านคณุ ลกั ษณะส่วนบุคคล ปัจจยั ด้านสภาพแวดล้อมและทกั ษะชีวติ และอาชีพ โดยมีตวั แปรสงั เกตได้ 13 ตวั แปร กลมุ่ ตวั อยา่ ง เป็ นนกั เรียนระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ปี การศกึ ษา 2559 โรงเรียนในเขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษ ตาก อาเภอแม่สอด จานวน 500 คน ซ่ึงได้มาโดยการส่มุ แบบหลายขนั้ ตอน วิเคราะห์ข้อมลู ด้วย โปรแกรมสาเร็จรูปทางคอมพวิ เตอร์ ผลการวจิ ยั สรุปได้วา่ รูปแบบความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตขุ องปัจจยั ที่สง่ ผลตอ่ ทกั ษะชีวติ และ อาชีพของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก มีความ สอดคล้องกบั ข้อมลู เชิงประจกั ษ์ รูปแบบท่ีสร้างขนึ ้ อธิบายความแปรปรวนในตวั แปรทกั ษะชีวิตและ อาชีพได้ร้อยละ 87 ผลการตรวจสอบความกลมกลืนของข้อมลู ได้คา่ ดชั นีวดั ระดบั ความกลมกลืน (GFI) เท่ากับ 0.98 และดัชนีวัดระดับความกลมกลืนท่ีปรับแก้แล้ว (AGFI) มีค่าเท่ากับ 0.96 คา่ สถิติ ไค-สแควร์ (Chi-squre Statistic) เท่ากบั 43.83 ระดบั ขนั้ เสรี 38 ระดบั นยั สาคญั ท่ี 0.24 ตวั แปรท่ีส่งผลต่อทกั ษะชีวิตและอาชีพของนกั เรียน ได้แก่ ปัจจยั ด้านคุณลกั ษณะส่วน บคุ คล และปัจจยั ด้านสภาพแวดล้อม ตวั แปรท่ีส่งผลทางตรงตอ่ ทกั ษะชีวิตและอาชีพของนกั เรียน ได้แก่ ปัจจัยด้านคุณลักษณะส่วนบุคคล ตัวแปรที่ส่งผลทางอ้อมต่อทักษะชีวิตและอาชีพของ นกั เรียน ได้แก่ ปัจจยั ด้านสภาพแวดล้อม
Title THE DEVELOPMENT OF CAUSAL RELATIONSHIP MODEL OF FACTOR AFFECTING LIFE AND CAREER SKILLS OF UPPER Authors SECONDARY SCHOOL STUDENTS OF TAK SPECIAL Advisor ECONOMIC DEVELOPMENT ZONE Academic Paper Pittchayapa Chaingam Keywords Namthip Ongardwanich , Ph.D. Independent Study M.Ed. in Educational Research and Evaluation, Naresuan University, 2016 Life and career skills, causal relationship, Tak specialeconomic development zone. ABSTRACT The purposes of this research were to develop a causal relationship model of factor affecting to life and career skills of upper secondary school students of Tak special economic development zone. The developed model consisted of 3 latent variables; personal attributes factor, environmental factor, and life and career skills. There were 13 observable variables. The sample (selected by using the Multistage random Sampling) consisted of 500 upper secondary school students of Tak special economic development zone in the academic year 2016. Data was analyzed by computer program. The result showed that causal relationship model of factors affecting life and career skills of upper secondary school students of Tak special economic development zone was consistent with the empirical data. The development model was able to account for variance of life and career skill about 87 percent. Model validation of the best fitted model provided the Goodness of Fit Index: GFI of 0.98, the Adjust Goodness of Fit Index: AGFI of 0.96 and Chi-square statistic of 43.83 at df 38 was significantly at 0.24 level. The Latent Variables affecting to the students, life and career skills were personal attributes factor and environmental factor. The Variables directly affecting to the
students’life and career skills was the personal attributes factor. The Variables indirectly affecting to thestudents’ life and career skills was the environmental factor.
สารบญั บทท่ี หน้า 1 บทนา…………………………………………………………….……...…..…… 1 ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา……………………….........……... 1 จดุ มงุ่ หมายของการวิจยั ……………………….........…………….......…….. 4 ความสาคญั ของการวิจยั ……………………….........……………....…...…. 4 ขอบเขตของการวจิ ยั ………………………….........…………….......……… 4 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ…………………………….........……………....…...…… 5 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วข้อง.................................................................. 8 ตอนที่ 1 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้องกบั เศรษฐกิจพเิ ศษ………………... 8 ตอนที่ 2 เอกสารงานวจิ ยั ที่เกี่ยวของกบั ทกั ษะชีวติ และอาชีพ………………. 14 ตอนที่ 3 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้องกบั ปัจจยั ท่ีสง่ ผลตอ่ ทกั ษะชีวิตและอาชีพ……………………………………………..… 38 ตอนท่ี 4 ลกั ษณะรูปแบบเชิงสมมตฐิ านความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตขุ องปัจจยั ท่ี สง่ ผลตอ่ ทกั ษะชีวติ และอาชีพของนกั เรียนระดบั มธั ยมศกึ ษา 71 ตอนปลายในเขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษ…………………………… 74 ตอนที่ 5 การวเิ คราะห์ข้อมลู ด้วยโปรแกรมลสิ เรล……………………….…... 3 วิธีดาเนินการวิจัย........................................................................................ 82 ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง……………………….........………….……..….. 82 เคร่ืองมอื ที่ใช้ในการวิจยั ……………………….........…………….......…….. 86 การสร้างและตรวจสอบคณุ ภาพเครื่องมือ………………………....…...…… 89 การเก็บรวบรวมข้อมลู .……………………….........……………....……...… 132 การวิเคราะห์ข้อมลู …..……………………….........…………….......……… 133 สถิติท่ีใช้ในการวิจยั ….……………………….........……………....….......… 134
สารบัญ (ต่อ) บทท่ี หน้า 4 ผลการวจิ ัย…………………......…………………………………………......…… 136 ตอนท่ี 1 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ด้วยสถิตพิ นื ้ ฐาน………………………............ 139 ตอนท่ี 2 ผลการวเิ คราะห์ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรสงั เกตได้………………. 141 ตอนท่ี 3 ผลการวเิ คราะห์ความสมั พนั ธ์โครงสร้างเชิงเส้นของปัจจยั ที่สง่ ผลตอ่ ทกั ษะชีวิตและอาชีพของนกั เรียนระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลายในเขต 144 พฒั นาเศรษฐกิจพิเศษ……………………….........………………….. 5 บทสรุป............................................................................................................ 150 สรุปผลการวจิ ยั ……………………....…………….....................…….………. 151 อภปิ รายผลการวจิ ยั ……………………………....………………...….………. 153 ข้อเสนอแนะ……………………………………....…………………....………. 156 บรรณานุกรม................................................................................................................. 159 ภาคผนวก………………………....……………………………………….………………..... 167 ประวัตผิ ู้วิจยั ………………………………………………………….……………................ 214
สารบญั ตาราง ตาราง หน้า 1 แสดงคณุ ลกั ษณะของทกั ษะชีวติ และอาชีพจากการสงั เคราะห์งานวจิ ยั ที่ เกี่ยวข้อง………………………………....…......…...……………………………... 30 2 แสดงปัจจยั ที่สง่ ผลตอ่ ทกั ษะชีวติ และอาชีพจากหนงั สอื และงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง 70 3 แสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรพยากรณ์กบั ตวั แปรเกณฑ์………..…………… 71 4 แสดงจานวนประชากรจาแนกตามโรงเรียน……………………………………....... 81 5 แสดงสดั สว่ นประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ งจาแนกตามโรงเรียน……………………... 83 6 แสดงจานวนข้อคาถามในแบบสอบถาม............................................................. 84 7 แสดงโครงสร้างแบบสอบถามวดั ทกั ษะชีวิตและอาชีพ…………………………….. 92 8 แสดงตวั อยา่ งแบบสอบถามวดั ทกั ษะชีวิตและอาชีพ………………………………. 97 9 แสดงโครงสร้างแบบสอบถามอตั มโนทศั น์…………………………………………. 98 10 แสดงตวั อยา่ งแบบสอบถามอตั มโนทศั น์…………………………………………… 102 11 แสดงโครงสร้างแบบสอบถามลกั ษณะมงุ่ อนาคต................................................. 103 12 แสดงตวั อยา่ งแบบสอบถามลกั ษณะม่งุ อนาคต……………………………………. 107 13 แสดงโครงสร้างแบบสอบถามการอบรมเลยี ้ งดแู บบประชาธิปไตย......................... 108 14 แสดงตวั อยา่ งแบบสอบถามการอบรมเลยี ้ งดแู บบประชาธิปไตย………………….. 112 15 แสดงโครงสร้างแบบสอบถามสมั พนั ธภาพในครอบครัว........................................ 113 16 แสดงตวั อยา่ งแบบสอบถามสมั พนั ธภาพในครอบครัว.......................................... 117 17 แสดงโครงสร้างแบบสอบถามสมั พนั ธภาพระหวา่ นกั เรียนกบั ครู............................ 118 18 แสดงตวั อยา่ งแบบสอบถามสมั พนั ธภาพระหวา่ นกั เรียนกบั ครู.............................. 122 19 แสดงโครงสร้างแบบสอบถามสมั พนั ธภาพระหวา่ นกั เรียนกบั เพอื่ น....................... 123 20 แสดงตวั อยา่ งแบบสอบถามสมั พนั ธภาพระหวา่ นกั เรียนกบั เพ่ือน.......................... 127 21 แสดงโครงสร้างแบบสอบถามการสนบั สนนุ ทางสงั คม.......................................... 128 22 แสดงตวั อยา่ งแบบสอบถามการสนบั สนนุ ทางสงั คม............................................ 132
สารบัญตาราง (ต่อ) ตาราง หน้า 23 แสดงการเก็บรวบรวมข้อมลู และอตั ราการตอบกลบั แตล่ ะโรงเรียน………………... 133 24 แสดงคา่ เฉลยี่ (Mean) คา่ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (SD) คา่ ความเบ้ (Skewness) และคา่ ความโดง่ (Kurtosis) ของตวั แปรที่สงั เกตได้………………………………... 139 25 แสดงคา่ สมั ประสทิ ธ์ิสหสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรสงั เกตได้………………………..… 142 26 แสดงคา่ สมั ประสทิ ธ์ิการพยากรณ์ (R2) ของสมการโครงสร้าง และของตวั แปร สงั เกตได้ คา่ สถิตไิ ค-สแควร์ (Chi - square) และคา่ ดชั นวี ดั ระดบั ความสอดคล้อง (GFI) และคา่ ดชั นีวดั ระดบั ความสอดคล้องทป่ี รับแก้แล้ว (AGFI) ………………… 148 27 แสดงคา่ อิทธิพลรวม (TE) คา่ อิทธิพลทางอ้อม (IE) และคา่ อิทธิพลทางตรง (DI) ของตวั แปรแฝง และคา่ ความคลาดเคลอื่ นมาตรฐานของรูปแบบความสมั พนั ธ์เชิง สาเหตขุ องปัจจยั ท่สี ง่ ผลตอ่ ทกั ษะชีวิตและอาชีพของนกั เรียนระดบั มธั ยมศกึ ษา ตอนปลายในเขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษ............................................................. 149
สารบญั ภาพ ภาพ หน้า 1 แสดงกรอบความคดิ การศกึ ษาในศตวรรษที่ 20…………………………………. 15 2 แสดงกรอบความคิดการศกึ ษาในศตวรรษที่ 21…………………………………. 16 3 แสดงลกั ษณะรูปแบบเชิงสมมติฐานความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตขุ องปัจจยั ทีส่ ง่ ผล 73 ตอ่ ทกั ษะชีวติ และอาชีพของนกั เรียนระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลายในเขตพฒั นา 96 เศรษฐกิจพเิ ศษ………..........……………………………....……………........... 101 4 แสดงการวเิ คราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยนั อนั ดบั ที่สองแบบสอบถามทกั ษะชีวติ และอาชีพ…………………………………………………………………………. 106 5 แสดงการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยนั อนั ดบั ทีส่ องแบบสอบถามอตั มโนทศั น์ 6 แสดงการวเิ คราะห์องค์ประกอบเชิงยนื ยนั อนั ดบั ทีส่ องแบบสอบถามลกั ษณะมงุ่ 111 อนาคต......................................................................................................... 116 7 แสดงการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยนื ยนั อนั ดบั ท่ีสองแบบสอบถามการอบรม 121 เลยี ้ งดแู บบประชาธิปไตย............................................................................... 126 8 แสดงการวเิ คราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยนั อนั ดบั ทีส่ องแบบสอบถามสมั พนั ธภาพ 131 ในครอบครัว.................................................................................................. 9 แสดงการวเิ คราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยนั อนั ดบั ที่สองแบบสอบถาม 145 สมั พนั ธภาพรหวา่ งนกั เรียนกบั ครู.................................................................... 10 แสดงการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยนั อนั ดบั ทสี่ องแบบสอบถาม สมั พนั ธภาพรหวา่ งนกั เรียนกบั เพอื่ น................................................................ 11 แสดงการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยนั อนั ดบั ท่สี องแบบสอบถามการ สนบั สนนุ ทางสงั คม........................................................................................ 12 แสดงรูปแบบความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตขุ องปัจจยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ ทกั ษะชีวติ และอาชีพ ของนกั เรียนระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลายในเขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษ และ คา่ พารามิเตอร์เม่ือตรวจสอบกบั ข้อมลู เชิงประจกั ษ์……………………………...
1 บทท่ี 1 บทนา ความเป็ นมาของปัญหา สภาพสงั คมปัจจุบนั มีการเปล่ยี นแปลงและพฒั นาอยา่ งรวดเร็ว และซบั ซ้อนขึน้ ข้อมูล ขา่ วสาร สอื่ และเทคโนโลยตี า่ ง ๆ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจาวนั และมีอิทธิพลต่อเยาวชนหรือ วยั รุ่น ในชว่ งวยั นยี ้ งั ค้นหาตวั เองไมพ่ บ ขาดความมนั่ ใจในตนเอง ขาดความรับผิดชอบ และ ไม่มี วธิ ีการทจ่ี ะจดั การกบั อารมณ์ท่ขี นึ ้ ลงอยา่ งรวดเร็วตามธรรมชาติของวยั ยอ่ มก่อให้เกิดพฤติกรรมท่ี สร้างปัญหา เชน่ การใช้กาลงั ยกพวกตีกนั การหนั ไปพง่ึ พายาเสพติด การมีค่านิยม ทางวตั ถุ การ มีเสรีทางเพศ และการตงั้ ครรภ์กอ่ นถึงวยั อนั ควร การคิดสนั้ ฆา่ ตวั ตาย เป็ นต้น การแก้ปัญหาด้วยนโยบายทาสงครามกับยาเสพติด หรือการนาเด็กและเยาวชนท่ีก่อปัญหาเข้า สถานพินิจ เพื่อปรับเปล่ียนพฤติกรรมจึงเป็ นการแก้ปัญหาท่ีปลายเหตุ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู ผ้ปู กครอง และชมุ ชน จึงควรร่วมมือกนั พฒั นาเยาวชนให้มีคณุ ภาพชีวติ ความเป็ นไทย เป็ นสมาชิก ท่ีดีของครอบครัว ชุมชน สงั คม และประเทศชาติ (กระทรวงศึกษาธิการ, : 2) ดังพระบรม ราโชวาทของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ในพิธีพระราชทานปริญญาบตั รแก่นิสิตมหาวิทยาลยั ศรี นครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ดงั นี ้ “...เยาวชนทุกคนมิได้ต้องการทาตัวเองให้ตกต่า หรือเป็ น ปัญหาแก่สงั คมประการใด แท้จริงต้องการจะเป็ นคนดมี ีความสาเร็จ มีฐานะ มีเกียรติ และอยู่ กับ ผ้อู ่ืนอยา่ งราบร่ืน แตก่ ารทจ่ี ะบรรลถุ ึงจุดประสงค์นนั้ จาเป็ นต้องอาศยั ผ้แู นะนาควบคุมให้ดาเนิน ไปอยา่ งถกู ต้อง ในฐานะหน้าทท่ี เ่ี ป็ นครู เป็ นอาจารย์ เป็ นผ้บู ริหารการศึกษา ทา่ นจะช่วยเขาได้ มากท่ีสุด เพราะมีส่วนควบคุมดูแลใกล้ ชิดอยู่ทุก ๆ ด้ าน รองจากบิดา มารดา...” (กระทรวงศกึ ษาธิการ, สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื ้ ฐาน 2550: ปกหน้า) ในการเตรียมนกั เรียนให้พร้อมกบั ชีวิตในศตวรรษที่ 21 ซึง่ วิจารณ์ พานิช (2555: 16-21) ได้กลา่ วถึงทกั ษะเพ่ือการดารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ว่าสาระวิชาก็มีความสาคญั แต่ไม่เพียงพอ สาหรับการเรียนรู้เพ่ือมีชีวิตในโลกยุคศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชา (content หรือ subject matter) ควรเป็ นการเรียนจากการค้นคว้าเองของศิษย์ โดยครูช่วยแนะนา และช่วย ออกแบบกิจกรรมที่ช่วยให้ นักเรี ยนแต่ละคนสามารถประเมินความก้ าวหน้ าของการเรี ยนร้ ู ของ ตนเองได้ ทกั ษะของผ้เู รียนในศตวรรษที่ 21 เป็ นทกั ษะชีวิตมีความสาคญั และจาเป็ นอยา่ งยิ่งตอ่ การพฒั นาคณุ ภาพบคุ คล โดยทกั ษะชีวิตจะเป็ นภมู ิค้มุ กนั ชีวิตให้แก่เดก็ และเยาวชนในสภาพสงั คม
2 ท่เี ปลยี่ นแปลงและเตรียมพร้อมสาหรับการดาเนนิ ชีวิต จึงควรสง่ เสริมให้เด็กมีทกั ษะชีวิตเน่ืองจาก เป็ นทกั ษะทท่ี าให้คนรู้จกั ดแู ลตนเอง ทงั้ ทางด้านร่างกาย อารมณ์และจิตใจ ซง่ึ จะสง่ ผลให้คนมี สภาพการดารงชีวติ ทม่ี ีความสขุ และ สามารถดารงตนอยู่ในสงั คมโดยไม่เป็ นภาระของสงั คม จึงได้ นาไปใช้เพื่อพฒั นาเด็กและเยาวชนในสงั คมไทยและสงั คมโลก ทงั้ นีก้ ็เพื่อให้คนเกิดการพฒั นา ตนเองโดยการใช้ความคิด การปรับตัว การตัดสินใจ การส่ือสาร การจัดการกับอารมณ์และ ความเครียด ในการแก้ไขปัญหาให้กบั ตนเองได้อยา่ งฉลาดด้วยเหตุนี ้ ทกั ษะชีวิตจึงประกอบด้วย ทกั ษะตา่ งๆ ท่ีสง่ ผลให้คนฉลาดรู้ ฉลาดเลอื กและฉลาดปฏิบตั ิ รวมทงั้ การรู้จกั ยบั ยงั้ ชงั่ ใจ บุคคลที่มี ทกั ษะชีวิตจะเป็ นคนที่มีเหตุผล รู้จกั เลือกการดารงชีวิตท่ีเหมาะสม สงั คมบุคคลท่ีมีทกั ษะชีวิตจะ สง่ ผลให้สงั คมเป็ นสงั คมทีม่ ีความสขุ อยา่ งยง่ั ยืน (นพสั ชวินทร์ มลู ทาทอง(2555:23-24) จากการศกึ ษาแนวทางการศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21 พบว่าแนวคิดดงั กลา่ วมีความแตกต่าง กบั ศตวรรษที่ 20 กลา่ วคือ ทกั ษะในศตวรรษที่ 20 ต้องการความรู้ในวิชาหลกั และการประเมินผล ความรู้ โดยการเรียนการสอนให้ความสาคญั กับการให้ความรู้ในสว่ นยอ่ ยๆ เพื่อสร้างให้รู้หลกั การ ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจาวนั (Binkley et al, 2012; Dede, 2010; Voogt et al, 2010; Silva, 2008 อ้างอิงในชนดั ดา เทียนฤกษ์ , 2558) ส่วนทักษะในศตวรรษที่ 21 ต้องการให้ ประชาชนมีทกั ษะและมีความสามารถในการทางาน สามารถบรรลเุ ป้ าหมายของตนเองและค้นหา ข้อมลู ทีแ่ ปลกใหมแ่ ละมีความซบั ซ้อนโดยใช้เทคโนโลยกี ารสอ่ื สารมาใช้ประโยชน์(เอกชยั พุทธสอน , 2557) เช่น คนที่ทางานด้านเทคโนโลยีการสอื่ สารสามารถขยายความสามารถได้ตามผลงานท่ี ตงั้ เป้ าหมาย และให้ความสาคญั กับการทางานร่วมกัน จะเห็นว่าเมื่อยคุ สมยั เปล่ียนไปประชาชน ต้องมีการพฒั นาเพือ่ ให้เท่าทนั กบั การเปลีย่ นแปลงทางด้านเทคโนโลยี ความรู้ ความคิดที่ทนั สมยั และมีความพร้อมในการใช้ชีวิตและการประกอบอาชีพ ในศตวรรษที่ 20 ไม่ได้ให้ความสาคญั กับ ทกั ษะชีวติ (ณฐั ดนยั ประภสั โรทยั , 2556 อ้างอิงในชนดั ดา เทียนฤกษ์ , 2558) ต่อมาในศตวรรษท่ี 21 Partnership for 21st Century Skills (2014) ได้มีการเปลยี่ นแปลงจากการใช้คาวา่ “ทกั ษะ ชีวิต” เป็ น “ทกั ษะชีวิตและอาชีพ” โดยได้แบ่งทกั ษะชีวิตและอาชีพเป็ น 5 ทกั ษะ ได้แก่ 1) ความ ยืดหยนุ่ และการปรับตวั (flexibility and adaptability) 2) ความเป็ นผ้มู ีความคิดริเริ่มและเป็ น ผ้นู า (initiative and self-direction) 3) ทกั ษะทางสงั คมและการเรียนรู้ข้ามวฒั นธรรม (social and cross-cultural skills) 4) การเพม่ิ ผลผลติ และการรู้รับผิด (productivity and accountability) 5) ภาวะผ้นู าและความรับผิดชอบ (leadership and responsibility) ซ่งึ เป็ นทกั ษะที่ต้องการให้ ประชากรมีคุณภาพและศกั ยภาพในสงั คม สามารถดารงชีวิตอยใู่ นโลกที่มีการเปลีย่ นแปลงตา่ งๆ
3 อยา่ งรวดเร็ว และเป็ นทกั ษะชีวติ รวมกบั การทางานในการประกอบอาชีพ (Binkley et al., 2012; Dede, 2010; Great Schools; Partnership for 21st Century Skills, 2014 ) จากการท่ีคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ได้กาหนดเขตพืน้ ท่ีเขต พฒั นาเศรษฐกิจพิเศษ และรัฐบาลมีนโยบายเร่งรัดการจัดตงั้ เขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษบริเวณ พนื ้ ทที่ ี่มีศกั ยภาพ แบง่ เป็ น 2 ระยะ คอื ระยะที่ 1 ใน 5 พนื ้ ท่ีชายแดนรองรับการก้าวเข้าสปู่ ระชาคม อาเซยี นในปี พ.ศ.2558 ได้แก่ อาเภอแม่สอด จังหวดั ตาก, อาเภอสะเดา จังหวดั สงขลา, ชายแดน จงั หวดั มกุ ดาหาร, อาเภออรัญประเทศ จงั หวดั สระแก้ว, ชายแดนจังหวดั ตราด ระยะที่ 2 ใน 5 พืน้ ท่ีชายแดน ได้แก่ ชายแดนจงั หวดั เชียงราย, ชายแดนจงั หวดั กาญจนบุรี, ชายแดนจังหวดั หนองคาย, ชายแดนจังหวดั นครพนม และชายแดน จังหวดั นราธิวาส กระทรวงศกึ ษาธิการ โดย สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื ้ ฐาน ซงึ่ มีหน้าที่จดั การศกึ ษาให้แก่เด็กและเยาวชน ได้ให้ ความสาคญั ในการเตรียมเด็กและเยาวชนให้สอดคล้องกับความเปล่ยี นแปลงทางเศรษฐกิจและ สงั คม โดยกระบวนการสร้างคนด้วยการให้การศกึ ษาและการฝึกอาชีพให้กับเด็กและเยาวชนอยา่ ง ทวั่ ถึงเหมาะสมกับศกั ยภาพของพืน้ ท่ี สอดคล้องกบั ความต้องการของตลาดแรงงาน การพฒั นา หลกั สูตรการจัดการศึกษาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน จะทาให้ผู้เรียนมีความรู้และ ทกั ษะท่สี อดคล้องกบั บริบทของพนื ้ ที่ อนั กอ่ ให้เกิดความภมู ิใจในท้องถิ่นของตนเองและได้หลกั สตู ร การจดั การศกึ ษาในเขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนทีม่ ีคณุ ภาพ นกั เรียนทุกคนที่อยใู่ นพืน้ ท่ีเขต พฒั นาเศรษฐกิจพเิ ศษชายแดนทงั้ 10 พนื ้ ท่จี ะได้รับโอกาสและประโยชน์ในการพฒั นาศกั ยภาพ ทงั้ ด้านความรู้และทกั ษะในดารงชีวิตท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจเม่ือเข้าสู่ประชาคม อาเซยี น จากความร่วมมือร่วมใจของทกุ หนว่ ยงาน ในการศึกษาวิจยั เกี่ยวกบั ทกั ษะชีวิตนนั้ ถึงแม้จะมีงานวิจยั เหลา่ นีอ้ ย่เู ป็ นจานวนมาก แต่ สว่ นใหญ่จะศึกษาเก่ียวกับทักษะชีวิตเพียงอย่างเดียว ซ่ึงปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็ นทักษะชีวิตและ อาชีพ และสว่ นใหญ่เป็ นการศึกษาแบบสารวจ หรือสารวจกึ่งเปรียบเทียบท่ีมิได้ให้องค์ความรู้ เก่ียวกบั ความเป็ นสาเหตุ ดงั นนั้ ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาทกั ษะชีวิตและอาชีพของนักเรียนและศึกษาว่ามีปัจจัย ใดบ้างที่สง่ ผลตอ่ ทกั ษะชีวิตของนกั เรียนระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลายใน เขตพฒั นาเศรษฐกิจ พิเศษตาก โดยศกึ ษารูปแบบความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตุ เพื่อให้ผ้เู ก่ียวข้องนาผลการวิจยั ไปใช้ในการ เสริมสร้างทกั ษะชีวิตและอาชีพของนกั เรียนระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลายในเขตพฒั นาเศรษฐกิจ พิเศษตาก อย่างมีประสิทธิผลจะช่วยให้นกั เรียนหาความรู้และพฒั นาตนเองอย่างมีคุณภาพเพื่อ ประโยชน์สขุ ของตวั เอง ครอบครัว และสงั คมประเทศชาตสิ บื ไป
4 จดุ มุ่งหมายของการวจิ ัย เพื่อพัฒนารูปแบบความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยท่ีส่งผลต่อทักษะชีวิตและอาชีพ ของนกั เรียนระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลายในเขตพฒั นาเศรษฐกิจพเิ ศษตาก ความสาคัญของการวิจัย 1. ได้รูปแบบความสมั พันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่สง่ ผลต่อทักษะชีวิตและอาชีพของ นักเรียนระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก ซ่ึงคาดว่าจะเป็ น ประโยชน์ในการกาหนดแนวทางการพฒั นาทกั ษะชีวติ และอาชีพของนกั เรียนระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษา ตอนปลายในเขตพฒั นาเศรษฐกิจพเิ ศษตาก 2. เป็ นประโยชน์แก่ผ้ทู ี่เก่ียวข้อง ในการสง่ เสริมและพฒั นาให้นกั เรียนมีทกั ษะชีวิตและ อาชีพสงู ขนึ ้ 3. เป็ นแนวทางในการศกึ ษาหรือวจิ ยั เก่ียวกบั ปัจจยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ ทกั ษะชีวติ และอาชีพตอ่ ไป ขอบเขตการวิจยั 1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครัง้ นีค้ ือ นักเรียนท่ีกาลงั ศึกษาอยู่ในระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ภาคเรียนที่ 1 ปี การศกึ ษา 2559 ในเขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษตาก จานวน 9 โรงเรียน มีนกั เรียน จานวน 3,937 คน (สานกั คณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื ้ ฐาน, 2559) 1.2 กลมุ่ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจยั ในครัง้ นี ้คือ นกั เรียนที่กาลงั ศกึ ษาอยู่ในระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศกึ ษา 2559 ในเขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษตาก จานวน 6 โรงเรียน มีนกั เรียน จานวน 500 คน ซงึ่ ได้มาโดยการสมุ่ แบบหลายขนั้ ตอน 2. ตวั แปรท่ใี ช้ในการวจิ ยั ครัง้ นี ้ประกอบด้วย 2.1 ตวั แปรพยากรณ์ ได้แก่ 2.1.1 ปัจจัยด้านคณุ ลกั ษณะสว่ นบุคคล วดั ได้จากตวั แปรสงั เกตได้ 2 ตวั แปร ได้แก่ อตั มโนทศั น์ และลกั ษณะม่งุ อนาคต 2.1.2 ปัจจยั ด้านสภาพแวดล้อม วดั ได้จากตวั แปรสงั เกตได้ 5 ตวั แปร ได้แก่ การ อบรมเลีย้ งดูแบบประชาธิปไตย สมั พันธภาพในครอบครัว สมั พันธภาพระหว่างนกั เรียนกับครู สมั พนั ธภาพระหวา่ งนกั เรียนกบั เพือ่ น และ การสนบั สนนุ ทางสงั คม
5 2.2 ตวั แปรเกณฑ์ ได้แก่ ทกั ษะชีวิตและอาชีพ วดั ได้จากตวั แปรสงั เกตได้ จานวน 6 ตวั แปร ได้แก่ ความยืดหยนุ่ และการปรับตวั การริเร่ิมและกากบั ดแู ลตนเองได้ ทกั ษะทางสงั คมและ การเรียนรู้ข้ามวฒั นธรรม การเพ่ิมผลผลิตและการรู้รับผิด ภาวะผ้นู าและความรับผิดชอบ การ จดั การกบั อารมณ์และความเครียด 5. นิยามศัพท์เฉพาะ 1.ทกั ษะชีวิตและอาชีพ หมายถึง ความสามารถที่นักเรียนจะแสดงพฤติกรรมความรู้ ความคิด และสามารถอยู่ร่วมกับเพ่ือนหรือคนในสงั คมที่มีความหลากหลาย แตกต่างกันทาง วฒั นธรรมเพื่อดารงชีวติ และวางแผนในอนาคตให้เหมาะสมสาหรับยคุ ท่ีมีการแข่งขนั ในด้านข้อมลู ขา่ วสารและเทคโนโลยี ประกอบด้วย คณุ ลกั ษณะด้านความยืดหยุ่นและการปรับตวั ความเป็ นผ้มู ี ความคดิ ริเริ่มและเป็ นผ้นู า ทกั ษะทางสงั คมและการเรียนรู้ข้ามวฒั นธรรม การเพิ่มผลผลติ และการ รู้รับผิด ภาวะผ้นู าและความรับผดิ ชอบ และการจดั การอารมณ์และความเครียด 1.1 ความยดื หยนุ่ และการปรับตวั (Flexibility and Adaptability) หมายถึง ความสามารถของนกั เรียนในการปรับปรุงเปลย่ี นแปลงการทางานให้มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกบั สถานการท่ีหลากหลาย ตลอดจนเปิ ดใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นที่แตกตา่ ง และนามาปรับใช้ ใน การเรียนและการดารงชีวิตประจาวนั โดยตงั้ อยบู่ นหลกั การทีเ่ หมาะสม 1.2 การริเร่ิมและการกากบั ดแู ลตนเองได้ (Initiative and Self-Direction) หมายถึง ความสามารถของนกั เรียนในการทางานท่ีตงั้ ใจ พร้อมรับผิดชอบ พร้อมเผชิญความท้า ทายใหม่ๆ สามารถกาหนดเป้ าหมายวางแผนการเรียนและการทางานเพ่ือความสาเร็จตาม เป้ าหมายตามเวลาที่กาหนดไว้ 1.3 ทกั ษะทางสงั คมและการเรียนรู้ข้ามวฒั นธรรม (Social and Cross-Cultural Skills) หมายถึง ความสามารถของนักเรียนที่จะทางานและดารงชีวิตอยู่กับสภาพแวดล้อมและ ผ้คู นที่มีความแตกตา่ งหลากหลายได้ โดยไม่รู้สกึ เครียดหรือแตกต่างแปลกแยก และทาให้ประสบ ความสาเร็จได้ 1.4 เพม่ิ ผลผลติ และการรู้รับผดิ (Productivity and Accountability) หมายถงึ ความสามารถของนกั เรียนในการวางแผนและการประยกุ ต์ใช้ความรู้และทกั ษะท่ีจะทาให้เกิดการ ตดั สนิ ในท่ีสร้างผลงานท่ีมีคุณภาพ โดยนักเรียนและเพ่ือนในกลมุ่ ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน สามารถบริหารจดั การเวลาอยา่ งมีประสิทธิภาพ และสามารถจดั สรรทรัพยากรให้เหมาะสม เพ่ือ ตอบสนองความต้องการของตนเองและผ้อู ่ืน
6 1.5 ภาวะผ้นู าและความรับผิดชอบ (Leadership and Responsibility) หมายถงึ ความสามารถของนกั เรียนในการเป็ นตัวแบบและเป็ นผู้นาคนอ่ืน โดยใช้ทกั ษะการแก้ไขปัญหา ระหว่างบุคคลได้ เพ่ือก้าวบรรลุจุดมุ่งหมาย เป็ นตัวกลางหรือผู้ประสานงานที่มี ประสิทธิภาพ สามารถชีน้ าและนาพาเพ่ือนหรือผ้อู ่ืนให้ก้าวสู่ผลลพั ธ์ท่ีพึงประสงค์ ยอมรับความสามารถของ เพอ่ื นร่วมงานทม่ี ีความแตกตา่ งกนั และ เป็ นแบบอยา่ งในพฤติกรรมที่พงึ ประสงค์ ผ้อู ่ืนยอมรับ และ รับผิดชอบในการทางาน 1.6 การจดั การกบั อารมณ์และความเครียด หมายถึง ความสามารถของนกั เรียน ในการควบคมุ อารมณ์ การรู้จกั การเข้าใจอารมณ์ของตนเองและผ้อู ่ืน อีกทงั้ รู้วธิ ีการจดั การกบั อารมณ์ ซง่ึ ประกอบด้วย การสารวจความรู้สกึ ทเ่ี กิดขนึ ้ ในขณะนนั้ การคาดการณ์ผลดี ผลเสยี ของ การแสดงอารมณ์นนั้ ออกมา การควบคมุ อารมณ์ด้วยวิธีการตา่ งๆ และการสารวจความรู้สกึ ของ ตนเอง 2. ปัจจัยด้านคุณลกั ษณะสว่ นบุคคล หมายถึง ลกั ษณะสว่ นตวั ของนกั เรียนที่จะทาให้ เกิดพฤตกิ รรมทีส่ ง่ ผลตอ่ ทกั ษะชีวติ และอาชีพ ได้แก่ อตั มโนทศั น์ และลกั ษณะม่งุ อนาคต 2.1 อตั มโนทศั น์ หมายถึง ความรู้สกึ นกึ คิดของนกั เรียน ที่เกี่ยวกบั ตนเองทงั้ ทาง สขุ ภาพร่างกายได้แก่ รูปร่างหน้าตา กริยาท่าทาง การแตง่ กาย และความแข็งแรงของร่างกาย และจิตใจ ความสามารถและการได้รับการยอมรับ ด้านจิตใจ ได้แก่ มีความสขุ ในชีวิต ซึ่งเป็ น ผลมาจากประสบการณ์และส่ิงแวดล้อมท่ีบุคคลได้รับ ซ่งึ มีทงั้ อัตมโนทัศน์ดีหรือทางบวก และ อตั มโนทศั น์ทไี่ มด่ หี รือทางลบ 2.2 ลกั ษณะม่งุ อนาคต หมายถึง ความสามารถของ นกั เรียนในการคาดคะเน เหตกุ ารณ์ในอนาคตข้างหน้า เกี่ยวกบั การศกึ ษาและการประกอบอาชีพในอนาคตตามท่ีมุ่งหวงั ทงั้ ผลดี ผลเสยี ที่เกิดจากการกระทาในปัจจุบนั ของตนเองและสามารถวางแผนปฏิบตั ิเพื่อรอรับผลดี หรือป้ องกนั ผลเสยี ทเ่ี กิดขนึ ้ ในอนาคต 3. ปัจจยั ด้านสภาพแวดล้อม ได้แก่ การอบรมเลยี ้ งดูแบบประชาธิปไตย สมั พนั ธภาพใน ครอบครัว สมั พนั ธภาพระหว่างนักเรียนกับครู สมั พันธภาพระหว่างนกั เรียนกับเพื่อน และการ สนบั สนนุ ทางสงั คม 3.1 การอบรม เลีย้ งดูแบบประชาธิปไตย (Democratic Parental Style) หมายถงึ วธิ ีการท่บี ิดา มารดา ผ้ปู กครอง หรือผ้ใู กล้ชิดนักเรียนปฏิบตั ิต่อนกั เรียน ท่ีทาให้นกั เรียน รู้สึกว่าตนเองได้รับ การปฏิบตั ิด้วยความยุติธรรม ได้รับ ความช่วยเหลือ ได้รับ ความรักความ อบอุ่น ตอบสนองความต้องการทางกายและ ใจ การสนบั สนุน และการอธิบายด้วยเหตุผล
7 ได้รับการยอมรับและยกยอ่ ง มีอิสระในการทากิจกรรมการตดั สนิ ใจ ยอมรับในความสามารถและ ความคิดของนกั เรียน ให้คาแนะนาสงั่ สอน ในด้านการใช้คาพูด การปฏิบตั ิตนให้เหมาะสมกับ กาลเทศะ มีความเสยี สละ กล้าแสดงออก มีความเมตตา ยอมรับความผิด เคารพและเช่ือฟัง ผ้ใู หญ่ เพอื่ ให้นกั เรียนเจริญเตบิ โต เป็ นคนดีของสงั คม 3.2 สมั พนั ธภาพในครอบครัว หมายถึง ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งนกั เรียนกบั สมาชิกในครอบครัว และเครือญาติ หรือบคุ คลอื่นๆ ที่อาศยั รวมอยใู่ นครัวเรือนเดยี วกนั โดยใช้เวลา ในการทากิจกรรมท่ีมีประโยชน์ร่วมกนั มีการสนทนาพดู คยุ ปรึกษาหารือกนั มีการแสดงออกซงึ่ ความรัก เอือ้ อาทรตอ่ กนั ทงั้ ทางกาย วาจา และใจ 3.3 สมั พนั ธภาพระหว่างนกั เรียนกับครู หมายถึง การปฏิบตั ิตนระหว่างครู และนกั เรียนทงั้ ในและนอกห้องเรียน ที่แสดงให้เห็นถึงความรัก เอาใจใส่ การสง่ เสริมให้กาลงั ใจ ความใกล้ชิดสนิทสนม ความยุติธรรม การลงโทษอย่างมีเหตุผล ความสามารถในการอธิบาย บทเรียน และการให้นกั เรียนมีสว่ นร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน 3.4 สมั พนั ธภาพระหวา่ งนกั เรียนกบั เพ่อื น หมายถึง การปฏิบตั ิตนที่แสดงให้ เห็นว่านักเรียนมีความเกี่ยวข้องกับเพ่ือน มีการปฏิสัมพนั ธ์ตอบโต้ระหว่างนักเรียนกับเพื่อน นาไปสกู่ ารพง่ึ พาตนเองและการพง่ึ พาซงึ่ กนั และกนั ยอมรับในความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลได้ 3.5 การสนบั สนนุ ทางสงั คม หมายถงึ การท่ี นกั เรียนได้รับการช่วยเหลอื การ สนบั สนนุ ด้านจิตใจ ให้ความรัก ความห่วงใยความไว้วางใจ การให้ข้อมูลข่าวสาร และข้อมูล ย้อนกลบั แรงงานหรือวสั ดุสง่ิ ของต่างๆ เงินทอง จากคนท่ีเก่ียวข้องหรือใกล้ชิดกันได้แก่ เพื่อน เพ่อื นบ้าน คนรู้จกั ค้นุ เคยกนั หรืออยใู่ นสงั คมของตน 4. นกั เรียนมธั ยมศกึ ษาตอนปลายใน เขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษตาก หมายถงึ นกั เรียนที่ กาลงั ศกึ ษาอยู่ในระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2559ในเขตพฒั นา เศรษฐกิจพิเศษตาก ได้แก่ โรงเรียนแม่กุวิทยาคม โรงเรียนแม่ปะวิทยาคม โรงเรียนสรรพวิทยาคม โรงเรียนภัทรวิทยา โรงเรียนราษฏร์วิทยา โรงเรียนเทศบาลเฉลิมพระเกีย รติสมเด็จพระเทพ รัตนราชสดุ าฯสยามบรมราชกมุ ารี
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่เี ก่ียวข้อง ในการวิจัยเพื่อศึกษาเก่ียวกับการพฒั นารูปแบบเชิงสาเหตขุ องปัจจัยที่สง่ ผลตอ่ ทกั ษะ ชีวิตและอาชีพของนกั เรียนระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาตอนปลายในศตวรรษที่ 21 เขตพฒั นาเศรษฐกิจ พิเศษตาก ครัง้ นี ้ผ้วู ิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องและได้นาเสนอหัวข้อตามลาดบั ดงั นี ้คอื ตอนที่ 1 เอกสารงานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวข้องกบั เขตเศรษฐกิจพิเศษ ตอนที่ 2 เอกสารงานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวข้องกบั ทกั ษะชีวิตและอาชีพ ตอนที่ 3 เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กี่ยวข้องกบั ปัจจยั ท่สี ง่ ผลตอ่ ทกั ษะชีวติ และอาชีพ ตอนท่ี 4 ลกั ษณะรูปแบบความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่สง่ ผลต่อทกั ษะชีวิตและ อาชีพของนกั เรียนระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลายในศตวรรษท่ี 21 เขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษตาก ตอนที่ 5 การวเิ คราะห์ข้อมลู ด้วยโปรแกรมลสิ เรล ตอนท่ี 1 เอกสารท่เี ก่ยี วข้องกับเขตเศรษฐกจิ พิเศษ จากคาแถลงนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ภายใต้การนาของพลเอก ประยุทธ์ จนั ทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายตอ่ สภานิติบญั ญัติแหง่ ชาติเพื่อขบั เคลือ่ นประเทศ 11 ด้าน โดยหนง่ึ ในนโยบายด้านการบริหารราชการแผน่ ดินท่ีสาคญั คือ เรื่องการสง่ เสริมบทบาทและ การใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน โดยเร่งเตรียมความพร้ อมจัดตงั้ เขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษ บริเวณด่านการค้าชายแดนเพ่ือพฒั นาโครงขา่ ยการคมนาคมขนสง่ บริเวณประตูการค้าหลกั ของ ประเทศ รองรับการเช่ือมโยงกระบวนการผลิตและการลงทุนข้ามแดน ซ่ึงในระยะแรกให้ ความสาคญั กบั ดา่ นชายแดนทีส่ าคญั 5 พนื ้ ที่ 6 ดา่ น ได้แก่ แม่สอด อรัญประเทศ ตราด มุกดาหาร และสะเดา (ด่านศุลกากรสะเดาและด่านปาดงั เบซาร์) ซ่ึงจะทาให้ระบบขนสง่ และโลจิสติกส์ สามารถเชื่อมโยงกบั ประเทศเพ่อื นบ้านได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ รองรับปริมาณการเดินทางและการ ขนสง่ นโยบายการจัดตงั้ เขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษดงั กลา่ วเป็ นแนวทางท่ีสอดรับกับยุทธศาสตร์ แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 11 ในการเตรียมความพร้อมสปู่ ระชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน ทงั้ นี ้การรวมตวั กนั เป็ นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนสง่ ผลให้อาเซียนมีการเติบโตทงั้ ด้าน
9 เศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนมากขนึ ้ ด้วยสดั สว่ นการค้าชายแดนไทยกับประเทศเพ่ือนบ้าน สงู ขนึ ้ ประกอบกบั มีการรวมกลมุ่ ประเทศภายใต้กรอบความร่วมมือตา่ ง ๆ ในภมู ิภาค เช่น 1) ความ ร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภมู ิภาคลมุ่ แม่นา้ โขง (Greater Mekong Sub region: GMS เป็ นความ ร่วมมือของ6 ประเทศ คือ ไทย พม่า ลาว กัมพชู า เวียดนาม และจีน (ยนู นาน) 2) ความร่วมมือ ระหวา่ งประเทศลมุ่ แม่นา้ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Aeyawadee-Chaopraya-Mekong Economic Cooperation Strategy: ACMECS) เป็ นข้อตกลงความร่วมมือด้านธุรกิจระหวา่ งประเทศไทย พม่า ลาว กมั พชู าเวยี ดนาม และ 3) โครงการความร่วมมือเขตเศรษฐกิจสามฝ่ าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย- ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle: IMT-GT) เป็ นต้น ซงึ่ สง่ ผลให้การค้า ชายแดนมีบทบาทสาคญั ที่ช่วยสนบั สนนุ การพฒั นาภูมิภาค โดยปัจจุบนั การค้าชายแดนไทยกับ เพื่อนบ้านมีมูลค่าการค้ารวม 1,006,796.33 ล้านบาท คิดเป็ นร้อยละ 69.38 ของมลู ค่าการค้า ระหวา่ งประเทศของไทยกับประเทศเพ่ือนบ้าน3 หรือกว่า 15% ของปริมาณการค้ารวมของทงั้ ประเทศ ทงั้ นี ้เมื่อรัฐบาลสนบั สนนุ จดั ตงั้ เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนขนึ ้ จะเป็ นการสนบั สนุนให้มี การจดั ระเบียบ ยกระดบั การค้าชายแดน เสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอยา่ งยงั่ ยืน เพิ่ม ศกั ยภาพการค้า อันเป็ นการรองรับการเข้าสปู่ ระชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ในปี 2558 1.1 ความหมายและรูปแบบของเขตเศรษฐกจิ พเิ ศษ เขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone: SEZ) หมายถึง พืน้ ท่ีแหง่ หน่งึ แห่งใดที่ได้ รับการกาหนดและพัฒนาขึน้ มาภายใต้ กฎหมายและการบริหารกิจการใ น ลกั ษณะเฉพาะซงึ่ ภายในเขตเศรษฐกิจพเิ ศษดงั กลา่ วนนั้ จะมีการปรับปรุงลกั ษณะทางกายภาพของ อสงั หาริมทรัพย์เพื่อให้เกิดความพร้อมที่จะรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ นอกจากนีย้ งั มีการ เสนอสทิ ธิพเิ ศษตา่ ง ๆมากมายเพ่ือเป็ นการดงึ ดดู การลงทุนจากต่างชาติ เช่น การให้สทิ ธิประโยชน์ ทางภาษี การอานวยความสะดวกในการดาเนินกิจการและบริการขนั้ พืน้ ฐานต่าง ๆ ตงั้ แต่ระบบ ขนสง่ ระบบไฟฟ้ า ระบบประปา นอกจากนีย้ งั จดั ให้มีกิจการสนบั สนุนและกิจการต่อเน่ือง ได้แก่ การจัดให้มีระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการการจดั การด้านสิ่งแวดล้อม สขุ อนามยั และ พฒั นาคุณภาพชีวิตชุมชน เป็ นต้น ซึง่ การพฒั นาพืน้ ท่ีเขตเศรษฐกิจพิเศษดงั กลา่ วนนั้ ถือเป็ นการ พฒั นาเศรษฐกิจควบคไู่ ปกบั การพฒั นาสงั คมท้องถ่ินนนั้ ให้มีความเจริญมากยงิ่ ขนึ ้
10 เขตพฒั นาเศรษฐกจิ พเิ ศษ หมายถึง บริเวณพนื ้ ทีท่ ี่ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) กาหนดให้เป็ นเขตพัฒนาเศรษฐกิจ พิเศษ ซึ่งรัฐจะสนบั สนนุ โครงสร้างพืน้ ฐาน สิทธิประโยชน์การลงทุน การบริหารแรงงานตา่ งด้าว แบบไป-กลบั การให้บริการจดุ เดยี วเบ็ดเสร็จ และการอ่ืนทีจ่ าเป็ น รูปแบบของเขตเศรษฐกจิ พิเศษ การจดั ตงั้ เขตเศรษฐกิจพเิ ศษอาจจัดตงั้ ได้หลายรูปแบบ เพือ่ สร้างแรงจูงใจให้กบั นกั ลงทนุ โดยการให้สทิ ธิประโยชน์และกาหนดเง่ือนไขในการประกอบการ เพือ่ ใช้เป็ นเครื่องมือในการพฒั นา เศรษฐกิจของประเทศ รูปแบบของเขตเศรษฐกิจพเิ ศษท่ปี ระเทศตา่ ง ๆ สรุปโดยสงั เขปได้ ดงั นี ้ เขตการค้าเสรี เขตการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) หมายถงึ การรวมกลมุ่ เศรษฐกิจโดยมี เป้ าหมายในการลดภาษีศุลกากรระหว่างกันภายในกลมุ่ ลงให้เหลือน้อยสดุ หรือเป็ น 0% และใช้ อัตราภาษีปกติที่สงู กว่ากับนอกกลมุ่ รวมทงั้ การลดมาตรการการทาเขตการค้าเสรีในอดีตม่งุ ใน ด้านการเปิ ดเสรีด้านสนิ ค้า (Goods) โดยการลดภาระทมี่ ิใช่ภาษีเป็ นหลกั แตเ่ ขตการค้าเสรีในระยะ หลงั ๆ นนั้ รวมไปถึงการเปิ ดเสรีด้านบริการ (Services) ด้วย เขตอุตสาหกรรมเสรี เขตอุตสาหกรรมเสรี (Free Industrial Zone) หมายถึง พนื ้ ท่ที บ่ี ริษทั ภายในประเทศหรือบริษัทต่างชาติ จัดตัง้ ขึน้ เพ่ือผลิตสินค้าหรือบริการเพ่ือแข่งขันกับตลาด ตา่ งประเทศ โดยมีมาตรการจูงใจเก่ียวกบั สทิ ธิประโยชน์ตา่ ง ๆ ทางด้านภาษี เขตปลอดภาษี เขตปลอดภาษี (Free Trade Zone) หมายถงึ อาณาบริเวณทอี่ ยใู่ กล้ทา่ เรือหรือทา่ อากาศยานที่อนญุ าตให้นาเข้าโดยไม่ต้องเสียภาษี เป็ นการนาเข้าเพื่อสง่ ไปยงั ประเทศที่สาม หรือ นาเข้า เขตการค้าชายแดนเสรี เขตการค้าชายแดนเสรี หมายถงึ เขตพนื ้ ท่ีทีก่ าหนดไว้สาหรับการประกอ อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปหรืออุตสาหกรรมสง่ เสริม และกิจการอื่นท่ีเป็ นประโยชน์หรือเก่ียวเน่ือง กบั การประกอบอตุ สาหกรรมเกษตรแปรรูป หรืออตุ สาหกรรมสง่ เสริมสาหรับประเทศไทยในปัจจุบนั มีโครงการนาร่อง 3 พืน้ ท่ี เกี่ยวกับการค้าชายแดนเสรี ได้แก่อาเภอแม่สาย และอาเภอเชียงแสน จงั หวดั เชียงราย และอาเภอสะเดา จงั หวดั สงขลา
11 เขตพฒั นาการส่งออก (แปรรูป) เขตพฒั นาการสง่ ออก (แปรรูป) ในประเทศไทยมีตวั อยา่ ง เชน่ อุตสาหกรรม เกษตรแปรรูปหมายถึง 1) อุตสาหกรรมเก่ียวกบั การนาวตั ถุดิบด้านการเกษตร การประมงจาก ตา่ งประเทศเข้ามาสปู่ ระเทศไทยเพือ่ ทาการแปรรูปในเขตเศรษฐกิจพิเศษเพอ่ื จาหน่ายผลติ ภณั ฑ์ใน ประเทศไทย หรือสง่ ออกไปยงั ตา่ งประเทศ และ 2) อุตสาหกรรมเก่ียวกบั การนาวตั ถดุ ิบด้าน การเกษตรภายในประเทศมาทาการแปรรูปในเขตเศรษฐกิจพเิ ศษเพ่อื สง่ ออกจาหนา่ ยผลิตภณั ฑ์ไป ยงั ตา่ งประเทศ 1.2 ความเป็ นมาของเขตเศรษฐกจิ พิเศษ เขตเศรษฐกิจพเิ ศษ (Special Economic Zone: SEZ) เป็ นลกั ษณะของเขตพนื ้ ที่ในการ ประกอบอุตสาหกรรมและการค้าท่ีมีเง่ือนไขและสทิ ธิพิเศษบางประการแตกต่างจากการประกอบ ธุรกิจโดยท่วั ไป เพ่ือประโยชน์ในการสง่ เสริมการลงทนุ และพัฒนาประเทศ โดยมีรูปแบบและ เรียกชื่อแตกตา่ งกนั เช่น ในประเทศจีนเรียกว่า “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” (Special Economic Zone) ประเทศมาเลเซียเรียกวา่ “เขตการค้าเสรี” (Free Trade Zone) ประเทศเกาหลเี รียกว่า “เขตสง่ ออก เสรี” (Free Export Zone)ซง่ึ ในปัจจบุ นั เขตเศรษฐกิจพเิ ศษมีอยใู่ นประเทศตา่ ง ๆ ทวั่ โลกทงั้ ประเทศ ทนุ นยิ มและสงั คมนยิ มการจัดตงั้ เขตเศรษฐกิจพิเศษขนึ ้ ให้ครอบคลมุ วตั ถุประสงค์ตา่ ง ๆ เช่น การ อุตสาหกรรม การท่องเท่ียวการพาณิชย์ และเป็ นแหลง่ การเงินท่ีสาคญั อีกด้วย การพฒั นาพืน้ ท่ี พิเศษขึน้ ในประเทศต่าง ๆ เพื่อพฒั นาศกั ยภาพในการแข่งขนั โดยเฉพาะประเทศที่ระบบการ ให้บริการของภาครัฐที่ยังขาดความเป็ นเอกภาพ การบริการล่าช้าไม่มีประสิทธิภาพ อันเป็ น อปุ สรรคท่ีทาให้นกั ลงทนุ จากต่างชาติไม่เข้ามาลงทนุ รวมทงั้ ยงั เป็ นอุปสรรคทาให้การพฒั นาการ ลงทนุ ของนกั ลงทนุ ภายในประเทศไม่สามารถทาให้ดีขนึ ้ 1.3 เขตพฒั นาเศรษฐกจิ พิเศษตาก ตามทีค่ ณะรักษาความสงบแหง่ ชาติ (คสช.) ได้เข้ามาบริหารประเทศ และกาหนดแนวทาง ในการดาเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจโดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการค้าชายแดนผ่านการจัดตงั้ เขต พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในพืน้ ที่ท่ีมีศักยภาพ โดยมีคาสั่ง ที่ 72/2557 เร่ื อง แต่งตัง้ คณะกรรมการนโยบายเขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษ ลงวนั ที่ 19 มิถุนายน 2557 ซ่งึ กาหนดจัดการ ประชมุ คณะกรรมการนโยบายเขตพฒั นาเศรษฐกิจพเิ ศษ (กนพ.) ครัง้ ที่ 1/2557 เมื่อวนั องั คารท่ี 15 กรกฎาคม 2557 โดยท่ีประชุมมีมติเห็นชอบให้พืน้ ที่ท่ีมีศักยภาพเหมาะสมในการจัดตงั้ เป็ นเขต พฒั นาเศรษฐกิจพเิ ศษระยะแรกของไทยใน 5 พนื ้ ทีช่ ายแดน รวมถึงพนื ้ ท่ีอาเภอแมส่ อด จงั หวดั ตาก เพือ่ เป็ นการเตรียมความพร้อมในการจดั ตงั้ เป็ นเขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษตากได้ดาเนินการ ดงั นี ้
12 1) จัดทาแผนแม่บทเพื่อศึกษาความเหมาะสมในการจัดตงั้ เขตพฒั นาเศรษฐกิจ พเิ ศษตาก ควบคกู่ บั การศกึ ษาของสานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ (ศสช.) ภายใต้โครงการศกึ ษาแผนยทุ ธศาสตร์การพฒั นาเขตเศรษฐกิจพเิ ศษ 2) การนาระเบยี บสานกั นายกรัฐมนตรีวา่ ด้วยเขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. 2556 มาใช้ร่วมกบั อานาจหน้าที่ที่มีอยู่เดิมของรัฐมนตรีว่าการประจากระทรวง อธิบดี และปลดั กระทรวง ต่างๆ เพ่ือให้การดาเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดตงั้ เขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษตาก มีประสทิ ธิภาพ และมีความชดั เจนในแนวทางการดาเนนิ งานมากขนึ ้ 3) จดั ทาประชาพจิ ารณ์และร่วมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพืน้ ท่ี 3 อาเภอ ทก่ี าหนดให้เป็ นเขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษตาก ได้แก่ อาเภอแม่สอด อาเภอพบพระ อาเภอแม่ระมาด ต่อมา มติท่ีประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครัง้ ที่ 2/2557 เม่ือวนั จนั ทร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2557 เห็นชอบขอบเขตพนื ้ ท่เี ขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษใน 5 พนื ้ ท่ีชายแดนเป้ าหมาย รวม 36 ตาบล ใน 10 อาเภอ พืน้ ที่รวมประมาณ 1.83 ล้านไร่ (2,932 ตร.กม.) โดยกาหนดขอบเขตพืน้ ท่ีในระดบั ตาบลที่อยู่ติดชายแดนและไม่ทบั ซ้อนพืน้ ท่ีป่ าไม้ ของ จังหวัดตาก จานวน 14 ตาบล 886,875ไร่ (1,419 ตร.กม.) ใน อ.แม่สอด อ.พบพระ และ อ.แม่ระมาดดงั นี ้ 1) อาเภอแม่สอด ในพนื ้ ที่ 8 ตาบล ดงั นี ้ 1) ตาบลแมส่ อด 2) ตาบลแมต่ าว 3) ตาบลทา่ สายลวด 4) ตาบลพระธาตผุ าแดง 5) ตาบลแม่กาษา 6) ตาบลแมป่ ะ 7) ตาบลแมก่ ุ 8) ตาบลมหาวนั พืน้ ท่ีเป้ าหมายรวม 8 ตาบลในอาเภอแม่สอด มีพืน้ ที่ 529,264 ไร่ เป็ นพืน้ ท่ีท่ีมีเอกสาร สทิ ธ์ิ 32,234ไร่ คิดเป็ น ร้อยละ 25 ของพนื ้ ทีท่ งั้ หมด 2) อาเภอพบพระ ในพนื ้ ท่ี 3 ตาบล ดงั นี ้ 1) ตาบลพบพระ 2) ตาบลช่องแคบ
13 3) ตาบลวาเลย่ ์ พนื ้ ที่เป้ าหมายรวม 3 ตาบลในอาเภอพบพระ มีพนื ้ ท่ี 261,961 ไร่ เป็ นพืน้ ทีท่ ่มี ีเอกสารสิทธิ์ 22,972 ไร่ คิดเป็ น ร้อยละ 9 ของพนื ้ ท่ีทงั้ หมด 3) อาเภอแม่ระมาด ในพนื ้ ที่ 3 ตาบล ดงั นี ้ 1) ตาบลแม่จะเรา 2) ตาบลแมร่ ะมาด 3) ตาบลขะเนจือ้ พนื ้ ที่เป้ าหมายรวม 3 ตาบลในอาเภอแม่ระมาด มีพืน้ ท่ี 244,797 ไร่ เป็ นพืน้ ที่ที่มีเอกสาร สทิ ธ์ิ 43,548 ไร่ คิดเป็ น ร้อยละ 18 ของพนื ้ ทที่ งั้ หมด จากลกั ษณะภมู ิศาสตร์ที่เป็ นพนื ้ ทีช่ ายแดน และเป็ นพืน้ ท่ีท่ีมีมีศกั ยภาพพอสมควรในเร่ือง ของระบบโครงสร้างพืน้ ฐาน สาธารณปู โภค รวมถงึ ความเข้มแขง็ ทางด้านเศรษฐกิจการค้าและการ ลงทนุ ดงั นนั้ ลกั ษณะของเขตเศรษฐกิจพเิ ศษทต่ี ้องการดาเนนิ การ คือ เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (Special Border Economic Zone) ซ่ึงเป็ นเขตเศรษฐกิจพิเศษรูปแบบหนึ่งที่มีเขตพืน้ ที่ติด ชายแดน โดยสว่ นใหญ่กาหนดไว้สาหรับการประกอบอตุ สาหกรรมเกษตรแปรรูป หรืออุตสาหกรรม สง่ เสริม และกิจกรรมอื่นท่ีเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปหรืออุตสาหกรรม สง่ เสริม ภายในเขตดงั กลา่ วประกอบด้วยศนู ย์บริการด้านศลุ กากร แบบ One Stop Service เพ่ือ อานวยความสะดวกให้กับการสง่ ออกและนาเข้าสนิ ค้าชายแดน คลงั สินค้า และอาคารพาณิชย์ และสง่ เสริมสิทธิประโยชน์ท่ีไม่ใช่ภาษีเช่นเดียวกบั นิคมอุตสาหกรรมทว่ั ไป (General Industrial Estate) การยกเว้นภาษีนาเข้า การยกเว้นภาษีเงินได้ การตงั้ คลงั สินค้าทณั ฑ์บนและศนู ย์กระจาย สนิ ค้าด้าน Logistics เป็ นต้น
14 ตอนท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่เี ก่ยี วข้องกบั ทักษะชีวิต 2.1 แนวคดิ ทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 การศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21 เป็ นการเตรียมนกั เรียนให้พร้อมกับชีวิตในศตวรรษท่ี 21 ซึ่ง เป็ นเรื่องสาคัญสาหรับการปรับเปลี่ยนทางสงั คมที่เกิดขึน้ ส่งผลตอ่ การดารงชีพของสงั คม ครูจึง ต้องเตรียมความพร้อมในการจดั การเรียนรู้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้นกั เรียนมีทกั ษะสาหรับการ ออกไปดารงชีวติ ในศตวรรษที่ 21 ทเ่ี ปลยี่ นไป โดยทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ท่ีสาคญั ที่สดุ คือ ทกั ษะ การเรียนรู้ (learning skill) สง่ ผลให้มีการเปลย่ี นแปลงการจัดการเรียนรู้เพื่อเด็กในศตวรรษที่ 21 มี ความรู้ ความสามารถ และทกั ษะจาเป็ น โดยเป็ นผลจากการปฏริ ูปเปลย่ี นแปลงรูปแบบการจดั การ เรียนการสอน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมตา่ งๆ ซ่งึ แตกตา่ งจากศตวรรษอ่ืนท่ีเน้นเนือ้ หาวิชา กบั การประเมินผลความรู้จากศตวรรษท่ี 21 ทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 (21st Century Skills) กล่าวถึงทักษะเพื่อการดารงชีวิตใน ศตวรรษท่ี 21 คือสาระวิชาก็มีความสาคญั แต่ไม่เพียงพอสาหรับการเรียนรู้เพ่ือมีชีวิตในโลกยุค ศตวรรษที่ 21 ปัจจุบนั การเรียนรู้สาระวิชา (content หรือ subject matter) ควรเป็ นการเรียนจาก การค้นคว้าเองของผ้เู รียนโดยครูช่วยแนะนา และช่วยออกแบบกิจกรรมท่ีช่วยให้ผ้เู รียนแตล่ ะคน ประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเองได้ หลกั การสาคญั ของทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 Partnership for 21st Century Skills(2014) ได้กาหนดสาระวิชาหลกั (Core subjects) ทักษะสาหรับศตวรรษที่ 21 ได้แก่ วิชาท่ีเป็ นภาษาแม่ และภาษาสาคัญของโลก ศิลปะ คณิตศาสตร์ การปกครองและหน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์และ ประวตั ิศาสตร์ จะนามาสกู่ ารกาหนดเป็ นกรอบแนวคิดและยุทธศาสตร์สาคญั ตอ่ การจดั การเรียนรู้ ในเนือ้ หาเชิงสหวิทยาการ (interdisciplinary)โดยส่งเสริมความเข้าใจในเนือ้ หาวิชาหลักและ สอดแทรกทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 เข้าไปในทกุ วชิ าหลกั ได้แก่ ให้ความสาคญั ด้านความรู้เก่ียวกบั โลก (global awareness) ความรู้เกี่ยวกับการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจและการเป็ นผ้ปู ระกอบการ (financial, economics, business and entrepreneurial literacy) ความรู้ด้านการเป็ นพลเมืองที่ดี (civic literacy) ความรู้ด้านสขุ ภาพ (health literacy) และความรู้ด้านส่งิ แวดล้อม (environmental literacy) นอกจากนที ้ กั ษะด้านการเรียนรู้และนวตั กรรม ควรมีการบูรณาการกบั การเรียนการสอน ในมุกวิชาหลกั เช่นกนั เน่ืองจากเป็ นตวั กาหนดความพร้อมในการเข้าสโู่ ลกการทางานที่มีความ ซบั ซ้อนมากขนึ ้ ในปัจจบุ นั โดยให้ความสาคญั กบั ความริเร่ิมสร้างสรรค์และนวตั กรรม การคิดอย่าง มีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา การสื่อสารและการร่วมมือ และทกั ษะด้านสารสนเทศ ควร รวมเข้าไปอยูใ่ นทกุ รายวิชาเช่นกัน เนื่องจากด้านส่อื และเทคโนโลยีมีความสาคญั อย่างยิ่ง เพราะ
15 ปัจจบุ นั มีการเผยแพร่ข้อมลู ขา่ วสารผา่ นสอื่ และเทคโนโลยีมากมาย นกั เรียนจึงต้องมีความสามารถ ในทกั ษะการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณและปฏิบตั งิ านได้หลากหลาย ต้องอาศยั ความรู้ในหลายด้าน คอื ความรู้ด้านสารสนเทศ ความรู้เกี่ยวกบั สอ่ื และความรู้ด้านเทคโนโลยี จากหลกั การสาคญั ของทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ได้กาหนดกรอบความคิดเพื่อการเรียนรู้ ในศตวรรษท่ี 21 เพ่ือเป็ นแนวทางในการจัดการเรียนรู้โดยสร้ างรูปแบบและแนวทางปฏิบตั ิเพื่อ เสริมสร้ างประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ โดยเน้นองค์ความรู้ ทักษะความเชี่ยวชาญและ สมรรถนะที่เกิดกับผู้เรียน เพื่อใช้ในการดารงชีวิตในสงั คมที่มีการเปล่ียนแปลงอยู่เสมอ เพ่ือ ความสาเร็จของผ้เู รียนทงั้ ด้านการทางานและการดาเนนิ ชีวิต สว่ นกรอบความคิดการศกึ ษาในศตวรรษท่ี 20 แตกตา่ งกับกรอบความคิดเพ่ือการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21 โดยการศึกษาในศตวรรษที่ 20 จะให้ความสาคัญกับสาระความรู้และการ ประเมินผลความรู้เป็ นหลกั ดงั ภาพ 1 ภาพ 1 กรอบความคดิ การศกึ ษาในศตวรรษท่ี 20 สว่ นในศตวรรษท่ี 21 ให้ความสาคญั กบั ทกั ษะ กระบวนการ ซง่ึ เป็ นท่ียอมรับในการสร้าง ทกั ษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เน่ืองจากเป็ นกรอบแนวคิดที่เน้นผลที่เกิดกับนกั เรียน (student outcomes) ในด้านความรู้สาระวิชาหลกั (core subjects) และทกั ษะตา่ งๆสาหรับศตวรรษที่ 21 ท่ี จะช่วยให้ผ้เู รียนได้เตรียมความพร้อมในหลากหลายด้าน รวมทงั้ ระบบสนบั สนุนการเรียนรู้ โดยครู จะไม่เป็ นเฉพาะผ้สู อน แต่ต้องให้ผ้เู รียนเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยครูจะออกแบบการเรียนรู้ ฝึกฝนให้ ตนเองเป็ นโค้ช (coach) และอานวยความสะดวก (facilitator) แกนกั เรียน ดงั ภาพ 2
16 ภาพ 2 กรอบแนวคดิ เพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ที่มา : Partnership for 21st Century Skills (2014) 2.2 ความหมายของทักษะชวี ิตและอาชีพ ก่อนศตวรรษที่ 21 ยงั ไมม่ ีการใช้คาวา่ ทกั ษะชีวติ และอาชีพ แตจ่ ะใช้ ทกั ษะชีวติ โดย เริ่มต้นนามาเผยแพร่โดยองค์การอนามยั โลก (WHO) องค์การช่วยเหลอื เดก็ สหประชาชาติ (UNICEF) กรมสขุ ภาพจิต กระทรวงสาธารณสขุ และสานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื ้ ฐาน (สพฐ.) ได้ให้ความหมายทกั ษะชีวติ ดงั นี ้ องค์การอนามยั โลก (WHO,1999) ได้ให้ความหมายวา่ ความสามารถอนั ประกอบด้วย ความรู้ เจตคตแิ ละทกั ษะซงึ่ สามารถจดั การแก้ปัญหารอบๆตวั ให้อยรู่ อด ในสภาพสงั คมและ วฒั นธรรมยคุ ปัจจบุ นั ได้อยา่ งมีความสขุ และเตรียมพร้อมสาหรับการปรับตวั ในอนาคต เพอ่ื ให้คน รู้จกั ดแู ลตนเองทงั้ ด้านร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ ซงึ่ จะสง่ ผลให้คนดารงชีวติ อยา่ งมีความสขุ และ สามารถอยใู่ นสงั คม ไมเ่ ป็ นภาระของสงั คม องค์การชว่ ยเหลอื เดก็ สหประชาชาติ (UNICEF,2003)ให้ความหมายวา่ เป็ นกลมุ่ ใหญ่ ของจิตวิทยาสงั คมและทกั ษะระหวา่ งบคุ คลซง่ึ ช่วยให้ตดั สนิ ใจได้ สอ่ื สารอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ และ พฒั นาทกั ษะการจดั การกบั อารมณ์ สงิ่ เหลา่ นที ้ าให้มีคณุ ภาพชีวติ ที่ดี ทกั ษะชีวติ อาจจะมีทิศทาง จากการกระทาของบุคคลอื่นๆ เช่นเดียวกบั การกระทาท่เี ปลยี่ นสภาพแวดล้อมทาให้นามาซง่ึ ความสขุ การสบายใจ กรมสขุ ภาพจิต กระทรวงสาธารณสขุ (2554) กลา่ วถึงความหมายของทกั ษะชวี ิตวา่ ความสามารถด้านความรู้ เจตคตแิ ละความสามารถในการจดั การกบั ปัญหารอบๆตวั ในสภาพ
17 สงั คมปัจจบุ นั และเตรียมพร้อมสาหรับการปรับตวั ในอนาคต ไม่วา่ จะเป็ นเร่ืองเพศ สารเสพตดิ บทบาทชายหญิง ชีวติ ครอบครัวสขุ ภาพ อิทธิพลสอ่ื สง่ิ แวดล้อม ปัญหาสงั คม สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื ้ ฐาน (2555)อ้างถึงใน ชนดั ดา เทยี นฤกษ์ 2557 ได้ให้ความหมายสอดคล้องกบั องค์การอนามยั โลก (WHO) กลา่ วคอื เป็ นความสามารถของ บคุ คลทีจ่ ะจดั การปัญหาตา่ งๆรอบตวั ในสภาพสงั คมในปัจจบุ นั และเตรียมความพร้อมสาหรับการ ปรับตวั ในอนาคต มณั ฑรา ธรรมบุศย์ (2553) ได้ อธิบายว่า ทกั ษะชีวิต หมายถึง ทกั ษะที่ มนษุ ย์ทกุ คน จาเป็ นต้องมีและต้องใช้ในชีวิตประจาวนั เพ่ือช่วยให้ตนเองมีความสขุ สามารถปฏิบตั ิหน้าที่ได้ และประสบความสาเร็จ กรมวิชาการ ( 2543) ได้ให้ความหมายทกั ษะชีวติ วา่ เป็ นความสามารถของบุคคล ทจ่ี ะคดิ ตดั สินใจ แก้ปัญหา และปรับตวั ให้มีพฤติกรรมท่ีถกู ต้อง สามารถจัดการกับความ ต้องการปั ญหาและสถานการณ์ต่างๆ เพ่ือให้สามารถดาเนินชีวิตอย่างเหมาะสมกับสังคมท่ี เปลยี่ นแปลงไปให้มีสขุ ภาพท่ดี ีทงั้ ด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสงั คม ร่วมสร้ างสรรค์สงั คม ให้เป็ นสงั คมที่มีสขุ ภาพดี กรมสขุ ภาพจิต กระทรวงสาธารณสขุ (2543) ได้ให้ความหมายทกั ษะชีวติ วา่ เป็ น ความสามารถอนั ประกอบด้วยความรู้ เจตคติ และทกั ษะในอันท่ีจะจดั การกับปัญหารอบ ๆ ตวั ในสภาพสงั คมปัจจุบนั และเตรียมพร้ อมสาหรับการปรับตวั ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็ นเร่ืองเพศ สารเสพติด บทบาท ชาย - หญิง ชีวิตครอบครัว สขุ ภาพ อิทธิพลของส่ือ สิ่งแวดล้อม จริยธรรม ปัญหาสงั คม ฯลฯ สกล วรเจริญศรี (2550 : 9) ให้ความหมายของทกั ษะชีวิตวา่ หมายถงึ พฤติกรรม ทแ่ี สดงออกถงึ ความสามารถในการจดั การหรือแก้ปัญหาตา่ งๆ ในการดาเนินชีวิต ประกอบด้วย ทกั ษะด้านสงั คม ทกั ษะด้านการคดิ และทกั ษะด้านการเผชิญทางอารมณ์ สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื ้ ฐาน (2553: 3) ให้ความหมายของทกั ษะชีวติ วา่ หมายถึง ความสามารถในการปรับตวั และมีพฤติกรรมไปในทิศทาง เดียวกันที่ถกู ต้องในการ ท่ีจะเผชิญกับสิ่งท่ีท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึน้ ในชีวิตประจาวันได้อย่างมี ประสิทธิภาพและ เตรียมพร้อมสาหรับการปรับตวั ในอนาคต กานต์ชญั ญา แก้วแดง (2555: 25) หมายถึง ความสามารถในการปรับตวั และ มีพฤตกิ รรมไปในทศิ ทางทีถ่ กู ต้องในการทจี่ ะเผชิญกบั สงิ่ ท้าทายตา่ งๆ ทเ่ี กิดขนึ ้ ในชีวิตประจาวนั ได้ อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
18 ศศิวมิ ล เกลยี วทอง (2555: 16) ได้ให้ความหมายทกั ษะชีวิตว่า หมายถึง พฤติกรรมที่ แสดงออกถึงความสามารถของบุคคลท่ีจะคิด ตัดสินใจ แก้ปัญหาต่างๆ ในการดาเนินชีวิต ประกอบด้วย ทกั ษะด้านสงั คม ทกั ษะด้านการคดิ และทกั ษะด้านการเผชิญทางอารมณ์ เพ่ือให้ตนเองสามารถดาเนนิ ชีวิตได้อยา่ งมีความสขุ และประสบความสาเร็จ จากการศึกษาความหมายของคาว่าทักษะชีวิตจึงหมายถึง ความสามารถในการใช้ ความร้ ู เจตคติความสามารถในการปรับพฤติกรรมให้ เหมาะสมและทักษะต่างๆเพื่อจัดการกับ ปัญหาตา่ งๆสามารถสร้ างทางเลอื กที่ดีให้กับตนเองในสภาพสงั คมปัจจุบนั และพร้อมปรับตวั ใน อนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ จะเห็นว่าทักษะชีวิตสามารถนาไปใช้เพื่อพฒั นาตนเอง โดยการใช้ ความคดิ การปรับตวั การตดั สนิ ใจ การสอื่ สาร การจดั การอารมณ์กบั ความเครียด แก้ปัญหาให้กบั ตนเองได้อยา่ งชาญฉลาด รู้จกั ยบั ยงั้ ชง่ั ใจ เป็ นคนทมี่ ีเหตผุ ลรู้จกั เลอื กการดารงชีวิตที่เหมาะสม คน ท่มี ีทกั ษะชีวติ สามารถอยใู่ นสงั คมมีความสขุ อยา่ งยงั่ ยืน ต่อมาสหรัฐอเมริกาได้พฒั นาแนวคิดเรื่องทกั ษะแห่งอนาคตใหม่ ซ่ึงเน้นการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 (Voogt& Roblin,2010) โดยกาหนดทกั ษะชีวิตและอาชีพเป็ นหนง่ึ ในศตวรรษท่ี 21 โดยมีองค์กรและนกั วิชาการให้ความหมายทกั ษะชีวิตและอาชีพ ดงั นี ้ Partnership. (2014) ให้ความหมายของทกั ษะชีวิตและอาชีพ หมายถึง ความสามารถ ในการคดิ สาหรับเนอื ้ หาความรู้และความสามารถท่ีนาทางชีวิตและการทางานในสภาพแวดล้อมที่ ซบั ซ้อนในยคุ ท่มี ีการแขง่ ขนั ด้านข้อมลู ขา่ วสารและเทคโนโลยเี พ่อื การพฒั นาชีวติ และอาชีพ State of New Jersey Department of Education (2014) อ้างถึงใน ชนดั ดา เทียนฤกษ์ 2557 ได้ให้ความหมายว่า ทกั ษะชีวิตและอาชีพ หมายถึง พฤติกรรมท่ีบุคคลแสดงให้เห็นถึง ความคดิ สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การทางานร่วมกนั และการแก้ปัญหาที่จาเป็ นใน การทางาน เพ่ือประสบความสาเร็จในขณะที่ผู้เรียนสามารถทางานร่วมกับกลุ่มท่ีมีความ หลากหลายทางวฒั นธรรมและชาติพนั ธ์ุขององค์กรตา่ งๆได้ Knowlton (2013) ให้ความหมายของทกั ษะชีวิตและอาชีพ หมายถึง ความสามารถใน การทางาน โดยไม่ต้องมีการกากับดูแลภายในกลมุ่ ท่ีมีความหลากหลายในสงั คม ผ้เู รียนสามารถ เพิม่ พนู การเรียนรู้สาหรับการกากบั ตนเองเพือ่ การเรียนรู้ การทางานร่วมกนั และการปฏิสมั พนั ธ์ทาง สงั คม ชนัดดา เทียนฤกษ์ (2557: 5) ได้ให้ความหมายทกั ษะชีวิตและอาชีพ ว่า หมายถึง พฤติกรรมท่ีแสดงออกในด้านความคิด การกระทา และด้านจิตใจและสามารถปรับตวั อยู่ร่วมกับ สงั คม เพ่ือดารงชีวติ และเตรียมวางแผนเพื่อเลือกประกอบอาชีพในอนาคตให้เหมาะสมสาหรับใน
19 ยคุ ที่มีการแขง่ ขนั ในด้านข้อมลู ขา่ วสาร และเทคโนโลยี มี 4 องค์ประกอบ คือ การส่อื สาร การสร้าง สมั พนั ธ์ระหวา่ งบคุ คล การแก้ปัญหา และการบริหารจดั การ จากความหมายข้างต้นสรุปได้วา่ ทกั ษะชีวิตและอาชีพ หมายถงึ ความสามารถที่บุคคล จะแสดงพฤติกรรมความรู้ ความคิด และสามารถอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมที่มีความหลากหลาย แตกตา่ ง กนั ทางวฒั นธรรมเพอื่ ดารงชีวิตและวางแผนในอนาคตให้เหมาะสมสาหรับยคุ ทีม่ ีการแขง่ ขนั ในด้าน ข้อมลู ขา่ วสารและเทคโนโลยี 2.3 ความสาคัญของทกั ษะชีวิตและอาชีพ Pellegrino and Hilton (2013) และสรุ ศกั ด์ิ ปาเฮ (2554) กลา่ ววา่ นกั เรียนที่มีทกั ษะ ชีวิตและอาชีพจะทาให้นกั เรียนยกระดบั ความสามารถในการดารงชีวิตและนาความรู้ทไี่ ด้รับมาเพ่ือ ประกอบอาชีพในอนาคต เม่ือนกั เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเองและได้รับความรู้จากครู ทงั้ ด้าน ความรู้ โดยครูเน้นให้นกั เรียนเกิดทกั ษะความรู้และความเช่ียวชาญ สร้างความรู้ความเข้าใจในการ เรียน เม่ือมีการบรู ณาการโดยมงุ่ เน้นการสร้างความรู้และเข้าใจในเชิงลกึ มากกว่าการสร้างความรู้ แบบผวิ เผิน การใช้สอ่ื ท่ีสร้างขนึ ้ ให้สอดคล้องกับความเป็ นจริงหรือเครื่องมือท่ีมีคุณภาพในการวดั การเรียนรู้ เชน่ ข้อสอบรูปแบบตา่ งๆ การทางานร่วมกบั ผ้อู ่ืน จาช่วยให้เตรียมความพร้อมในหลายๆ ด้าน เช่น การรู้จักวิธีคิด การเรียนรู้ การทางาน การแก้ไขปัญหาที่เกิดขนึ ้ ได้ภายในห้องเรียนและ นอกห้องเรียน การสอ่ื สาร การร่วมมือทางานได้อยา่ งมีประสทิ ภิ าพไปตลอดชีวิต และสามารถดารง ชีวิตประจาวนั ได้อยา่ งราบร่ืน 2.4 องค์ประกอบของทักษะชีวิตและอาชีพ 2.4.1 ช่วงก่อนศตวรรษท่ี 21 ก่อนศตวรรษที่ 21 มีองค์กรระดับโลก และกลมุ่ นกั วิชาการคือ องค์การอนามัยโลก (WHO)(1999) Brook & Picklesimer (Egannathan et al.,2014;Mofrad et al., 2013)Goodship (Nasheeda,2008) กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (2554)และสานกั งานคณะกรรมการ การศกึ ษาขนั้ พนื ้ ฐาน (2555)ได้กาหนดองค์ประกอบทกั ษะชีวติ ไว้ดงั นี ้ 1) องค์การอนามยั โลก (1999)กรมสขุ ภาพจิต กระทรวงสาธารณสขุ (2554) และ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน (2555)ได้กาหนดองค์ประกอบทักษะชีวิตท่ี คล้ายคลงึ กนั โดยองค์การอนามยั โลกได้กาหนดองค์ประกอบกลกั (core life skills) 10 ประการซ่ึง จดั คทู่ กั ษะชีวติ ให้มีความสอดคล้องกนั ได้ 5 คู่ ได้แก่ 1.1) การคิดอยา่ งมีวิจารณญาณและการคิดสร้างสรรค์ การคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ หมายถงึ ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมลู และประสบการณ์ต่างๆ เพ่ือประเมินปัญหาปัจจยั ที่มีอิทธิพลตอ่ พฤติกรรมตา่ งๆและสถานการณ์ที่อยู่รอบตวั เรา ท่ีมีผลต่อ
20 การดาเนนิ ชีวิต และการคดิ สร้างสรรค์ หมายถงึ ความสามารถในการคดิ การเหน็ หรือการกระทาสิง่ ตา่ งๆ ที่มีลกั ษณะของการคดิ คลอ่ ง มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลย่ี นทศั นคติ ความคิดท่ีแปลก ใหม่ ทส่ี ามารถคดิ ค้นสงิ่ แปลกใหมไ่ ด้ และความคิดละเอียดลออไห้รายละเอียดเพ่ิมเติมหรือขยาย ความคิดหลกั ให้สมบูรณ์ยิ่งขนึ ้ และรวมถึงการเช่ือมโยงสมั พนั ธ์สง่ิ ตา่ งๆอยา่ งมีความหมาย 1.2) การตระหนกั รู้ในตนเองและความเห็นอกเห็นใจผ้อู ่ืน การตระหนกั รู้ในตนเอง หมายถงึ ความสามารถในการค้นหา รู้จกั และ เข้าใจตนเอง เช่น รู้จักความต้องการและไม่ต้องการของตนเอง ซง่ึ ช่วยให้รู้ตวั เองเวลาเผชิญกับ ความเครียดหรือความรู้สกึ กดดนั ในสถานการณ์ต่างๆและพืน้ ฐานของการพฒั นาทกั ษะอื่นๆ และ ความเห็นอกเห็นใจผู้อ่ืน หมายถึง ความสามารถในการเข้าใจความเหมือนหรือความแตกต่าง ระหวา่ งบคุ คล ทาให้ยอมรับบุคคลอื่นทต่ี า่ งจากเรา เกิดการชว่ ยเหลอื บุคคลอ่ืนๆท่ดี ้อยกวา่ 1.3) การสร้างสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคลและการสอื่ สาร การสร้างสมั พนั ธ์ระหว่างบุคคล หมายถึง ความสามารถในการเข้ากับ ผ้อู ื่นได้ดีและสามารถรักษาสมั พนั ธ์ไว้ได้ยืนยาว หรือความสามารถในการจบความสมั พันธ์ได้ดี และการสอื่ สารอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ หมายถงึ ความสามารถในการใช้คาพูดและทา่ ทาง เพื่อแสดง ถึงความรู้สกึ นกึ คิดของตนเองได้อยา่ งเหมาะสมกบั วฒั นธรรมและสถานการณ์ตา่ งๆ เช่น การแสดง ความคิดเห็น การแสดงความต้องการ การแสดงความชื่นชม การเจรจาตอ่ รอง การช่วยเหลอื หรือ การปฏเิ สธ 1.4) การตดั สนิ ใจและการแก้ปัญหา การตดั สนิ ใจ หมายถงึ ความสามารถในการเลอื กสง่ิ ทดี่ ีได้อยา่ ง สร้างสรรค์เกี่ยวกับเร่ืองราวตา่ งๆในชีวิตได้อยา่ งมีระบบ เช่น บุคคลสามารถเลือกการกระทาของ ตนเอง โดยประเมินทางเลอื กและผลที่ได้จากการตดั สนิ ใจเลือกทางที่ถูกต้องเหมาะสม และการ แก้ปัญหา หมายถึง ความสามารถในการจดั การอุปสรรคได้อย่างสร้ างสรรค์และมีระบบ ไม่เกิด ความเครียดทางกายและจิตใจ 1.5) การจดั การกบั อารมณ์และความเครียด การจดั การกบั อารมณ์ หมายถึง ความสามารถในการรับรู้ความรู้สกึ ของ ตนเองและผ้อู ื่น รู้วา่ ความรู้สกึ ที่เป็ นอยจู่ ะมีผลตอ่ การแสดงพฤติกรรมอย่างไร รู้วิธีการจัดการกบั ความโกรธ และความเศร้ าโสกท่ีสง่ ผลทางลบต่อร่างกายและจิตใจได้อย่างเหมาะสม และการ จดั การกบั ความเครียด หมายถึง ความสามารถในการรับรู้สาเหตุของความเครียด รู้วิธีผ่อนคลาย
21 และแนวทางในการควบคุมระดับความเครียด เพื่อให้เกิดความเบี่ยงเบนพฤติกรรมไปในทางท่ี ถกู ต้องเหมาะสมและไมเ่ กิดปัญหาด้านสขุ ภาพ 2) Brooks & Picklesimer (Egan Nathan et al.,2014;Mofrad et al., 2013) ได้ เสนอองค์ประกอบทกั ษะชีวิต โดยมีบางองค์ประกอบท่ีคล้ายคลงึ กบั องค์การอนามัยโลก (1999) แตม่ ีการใช้คาศพั ท์ท่ีแตกตา่ งกนั และความหมายแต่ละองค์ประกอบแตกต่างกันบ้าง สรุปได้เป็ น 4 องค์ประกอบ คอื 2.1) ทกั ษะการสอื่ สารระหวา่ งบคุ คลและมนษุ ยสมั พนั ธ์ (interpersonal communication and human relations skills) ประกอบด้วยทกั ษะที่จาเป็ น คือ การส่ือสารที่มี ประสทิ ธิภาพ ทงั้ ภาษาพูดและภาษาทา่ ทางกบั บุคคลอ่ืน การสร้างสมั พนั ธภาพท่ีดีกบั บุคคลอื่น การมีสว่ นร่วมและเป็ นสว่ นหน่ึงของกลมุ่ และชุมชน การจัดการในเรื่องความใกล้ชิดกับบุคคลอื่น การแสดงความคดิ เห็นและความคดิ ได้อย่างชดั เจน 2.2) ทกั ษะการแก้ปัญหาและการตดั สินใจ (problem solving and decision making skills) ประกอบด้วยทกั ษะท่ีจาเป็ น คือ การค้นหาข้อมูล การวิเคราะห์และ ประเมินข้อมูล การประเมินปัญหา การจัดการปัญหา การระบุปัญหา และการแก้ปัญหา การ กาหนดเป้ าหมาย การคาดการณ์และวางแผนอย่างเป็ นระบบ การบริหารเวลา การคิดอย่างมี วิจารณญาณและการแก้ปัญหาความขดั แย้ง 2.3) ทักษะการพัฒนาเอกลกั ษณ์และจุดมุ่งหมายของชีวิต (identity development and purpose in life skills) ประกอบด้วยทกั ษะทจ่ี าเป็ น คือ การพฒั นาเอกลกั ษณ์ สว่ นตน การตระหนกั รู้ในตนเองการกากบั ดแู ลตนเอง การรักษาความมีคณุ คา่ ในตนเอง การพฒั นา บทบาททางเพศ การพฒั นาความหมายของชีวิต และการทาความกระจ่างชัดในค่านิยมและ คณุ ธรรมแตม่ ีองค์ประกอบทีแ่ ตกตา่ งจากองค์การอนามยั โลก (1999) 1 องค์ประกอบ คอื 2.4) ทกั ษะการดูแลรักษาสขุ ภาพและร่างกาย (physical fitness and health maintenance skills) ประกอบด้วยทกั ษะท่ีจาเป็ น คือ การดูแลเรื่องการรับประทานอาหาร การควบคมุ นา้ หนกั การออกกาลงั กาย การเล่นกีฬา การเข้าใจด้านจิตสงั คมในมุมมองเกี่ยวกับ เร่ืองเพศ การบริหารความเครียด และการเลอื กปฏบิ ตั กิ ิจกรรมในเวลาวา่ ง 3) Good ship (Nasheeda, 2008) ได้เสนอองค์ประกอบที่แตกตา่ งจากองค์การ อนามยั โลก สามารถจาแนกทกั ษะชีวติ ออกเป็ น 3 ด้าน คอื 3.1) ทกั ษะการดารงชีวิตประจาวัน (daily life skills) เป็ นทักษะท่ี จาเป็ นต้องใช้ในการดาเนินชีวิตประจาวนั ผู้ที่มีทกั ษะด้านนีจ้ ะแสดงความสามารถออกมาใ ห้
22 ปรากฏจนเป็ นนิสยั ที่เห็นได้อยา่ งชดั เจน เช่นการบริหารจดั การระบบการเงิน การเลือกและจดั การ งานบ้าน การดูแลตนเอง การตระหนกั ถึงความปลอดภัย การจดั หา จัดเตรียม และการบริโภค อาหาร 3.2 ทักษะเฉพาะบุคคลและทกั ษะทางสงั คม (personal and social skills) เป็ นทกั ษะท่จี าเป็ นตอ่ การทางานและการสร้างมิตรภาพ เช่น การรู้จักตนเอง ความม่ันใจใน ตนเอง มนษุ ยสมั พนั ธ์ การแก้ปัญหา การติดตอ่ สอื่ สารกบั ผ้อู ่ืน เป็ นต้น 3.3 ทกั ษะการประกอบอาชีพ (occupational skills) เป็ นทกั ษะที่จาเป็ น ตอ่ ความสาเร็จในการประกอบอาชีพ เช่น ความรอบรู้และความสามารถในการสารวจทางเลือก อาชีพ วางแผนทางเลอื กอาชีพ การมีพฤติกรรมท่ีเหมาะสมในการทางาน นาประสบการณ์ท่ีได้ไป ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทางาน และมีความรับผดิ ชอบตอ่ หน้าท่ีที่ได้รับมอบหมาย สาหรับในประเทศไทย กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขและสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน (สพฐ.)ให้ความสนใจทกั ษะชีวิต โดยได้กาหนดองค์ประกอบ ดงั นี ้ 4) กรมสขุ ภาพจิต กระทรวงสาธารณสขุ (2554) ได้กาหนดองค์ประกอบทกั ษะ ชีวิตไว้เหมือนกบั องค์การอนามยั โลก (WHO) และเพ่ิม 2 ทกั ษะจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เพ่ือให้ครอบคลมุ กบั การดารงชีวิตมากขนึ ้ คอื ความรับผิดชอบตอ่ สงั คม หมายถึง ความรู้สกึ ว่าตนเองเป็ นสว่ นหน่ึงของ สงั คม และมีสว่ นรับผดิ ชอบในความเจริญและเสือ่ มของสงั คม และความภูมิใจในตนเอง หมายถึง ความรู้สกึ ท่ีบคุ คลมีตอ่ ตนเองในทางท่ีดี มีความเคารพและยอมรับตนเองว่ามีความสาคญั และใช้ ความสามารถทีม่ ีอยกู่ ระทาสง่ิ ตา่ งๆให้ประสบความสาเร็จได้ตามเป้ าหมาย ยอมรับนบั ถือตนเอง มี ความเชื่อมน่ั ในตนเอง เคารพในตนและผ้อู ื่น 5) สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน (สพฐ.) (2555) ได้นาแนวคิด ขององค์การอนามยั โลก (WHO)มาประยกุ ต์ใช้ ซง่ึ มีองค์ประกอบคล้ายกับขององค์การอนามยั โลก (WHO) แตม่ ีการจดั องค์ประกอบใหม่ โดยการยุบรวมบางองค์ประกอบเป็ นองค์ประกอบเดียวกัน เพอื่ ให้เหมาะสมสอดคล้องกบั การเรียนในยุคปัจจุบนั สามารถสร้างและพฒั นาเป็ นภมู ิค้มุ กันชีวิต ให้แก่เด็กและเยาวชนในสภาพสงั คมปัจจบุ นั และเตรียมพร้อมสาหรับอนาคต สรุปได้ดงั นี ้ 5.1) การตระหนกั รู้และเห็นคณุ คา่ ในตนเองและผ้อู ่ืน หมายถึง การรู้จัก ความถนดั ความสามารถ จุดเดน่ จดุ ด้อย ของตนเอง เข้าใจความแตกตา่ งแต่ละบุคคล รู้จกั ตนเอง ยอมรับเหน็ คณุ คา่ และภาคภมู ิใจตนเองและผ้อู ่ืน มีเป้ าหมายชีวิตและมีความรับผิดชอบ
23 5.2) การคิดวิเคราะห์ ตดั สินใจ และแก้ปั ญหาอยา่ งสร้างสรรค์ หมายถึง การแยกแยะข้อมลู ขา่ วสาร ปัญหาและสถานการณ์รอบตวั วพิ ากษ์วจิ ารณ์และประเมินสถานการณ์ รอบตัวด้วยหลกั เหตุผลและข้อมูลที่ถูกต้อง รับรู้ปัญหา สาเหตุของปัญหา หาทางเลือกและ ตดั สนิ ใจแก้ปัญหาในสถานการณ์ตา่ งๆอยา่ งสร้างสรรค์ 5.3) การจดั การกับอารมณ์และความเครียด หมายถึง ความเข้าใจและ รู้เทา่ ทนั ภาวะอารมณ์ของบุคคล รู้สาเหตขุ องความเครียด รู้วธิ ีการควบคมุ อารมณ์และความเครียด รู้วธิ ีผอ่ นคลายหลกี เลย่ี งและปรับเปลย่ี นพฤติกรรมทีก่ อ่ ให้เกิดอารมณ์ไม่พงึ ประสงค์ไปในทางทด่ี ี 5.4) การสร้ างสัมพนั ธภาพท่ีดีกับผู้อ่ืน หมายถึง การเข้าใจมุมมอง อารมณ์ความรู้สกึ ของผ้อู ่ืน ใช้ภาษาพดู และภาษากาย เพอ่ื สื่อสารความรู้สกึ นกึ คิดของตนเอง รับรู้ ความรู้สกึ นกึ คดิ และความต้องการของผ้อู ื่น วางตวั ได้ถกู ต้องเหมาะสมในสถานการณ์ตา่ งๆ ใช้การ สอ่ื สารท่ีสร้างสมั พนั ธภาพท่ดี ี สร้างความร่วมมือและทางานร่วมกบั ผ้อู ่ืนได้อยา่ งมีความสขุ 2.4.2 ช่วงศตวรรษท่ี 21 ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับศตวรรษท่ี 21 โดย Partnership (Partnership for 21st Cen tury skills 2014 อ้างถึงใน อนชุ า โสมาบุตร, 2557) ได้อธิบาย องค์ประกอบของทกั ษะชีวิตและอาชีพ 5 องค์ประกอบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขนึ ้ ดงั นี ้ 1. ความยดื หย่นุ และการปรับตัว (Flexibility and Adaptability) ความยืดหยนุ่ และการปรับตวั หมายถึง ความสามารถในการปรับปรุง เปล่ยี นแปลงการทางานให้มีประสทิ ธิภาพ เหมาะสมกบั สถานการท่ีหลากหลาย ตลอดจนเปิ ดใจ กว้ าง รับฟั งความคิดเห็นที่แตกต่าง และนามาปรับใช้ โดยตัง้ อยู่บนหลักการที่เหมาะสม ประกอบด้วย 1) การปรับตวั เพอื่ รับการเปลยี่ นแปลง (Adapt to Change) โดย (1) ปรับตวั ตามบทบาทหน้าท่ี ความรับผิดชอบและบริบทตามชว่ งเวลาท่ีกาหนด และ (2) ปรับตวั เพื่อ การเปลย่ี นแปลงบรรยากาศของการทางานในองค์กรท่ดี ีขนึ ้ 2) เกิดความยดื หยนุ่ ในการทางาน (Be Flexible) โดย (1) สามารถ หลอมรวมผลสะท้อนของงานได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ (2) เป็ นผ้นู าท่ีสร้างสรรค์ให้เกิดผลเชิงบวกกบั การทางาน และ (3) มีความรู้ความเข้าใจในการสร้างความสมดลุ และความเสมอภาคอยา่ งรอบ ด้าน เพ่ือก่อให้เกิดการเปลยี่ นแปลงในเชิงสร้างสรรค์ของการทางาน 2. เป็ นผู้มคี วามคดิ ริเร่ิมและเป็ นผู้นา (Initiative and Self-Direction) ความเป็ นผ้มู ีความคิดริเร่ิมและเป็ นผ้นู า หมายถงึ ความสามารถในการทางาน
24 ทต่ี งั้ ใจ พร้อมรับผดิ ชอบ พร้อมเผชิญความท้าทายใหมๆ่ และสามารถกาหนดเป้ าหมายวางแผน เพอ่ื ความสาเร็จตามเป้ าหมายตามเวลาท่ีกาหนดไว้ ประกอบด้วย 1) การจดั การด้านเป้ าหมายและเวลา (Manage Goals and Time) โดย (1) กาหนดเป้ าหมายได้ชดั เจนบนฐานความสาเร็จตามเกณฑ์ที่กาหนด (2) สร้างความสมดลุ ใน เป้ าหมายที่กาหนด (ทัง้ ในระยะสัน้ และระยะยาว) และ (3) ใช้เวลาและการจัดการให้เกิด ประสทิ ธิภาพสงู สดุ ในการทางาน 2) การสร้างงานอิสระ (Work Independently) โดยกากบั ติดตาม จาแนก วเิ คราะห์ จดั เรียงลาดบั ความสาคญั และกาหนดภารกิจงานอยา่ งมีอิสระปราศจากการควบคมุ จาก ภายนอก 3) เป็ นผ้นู าที่มีประสทิ ธิภาพในตนเอง (Be Self-Directed Learners) โดย (1) มงุ่ มนั่ สคู่ วามเช่ียวชาญทงั้ ทางด้านทกั ษะ ความรู้และขยายผลสคู่ วามเป็ นเลิศ (2) เป็ นผ้นู าเชิง ทกั ษะขนั้ สงู ม่งุ สคู่ วามเป็ นมืออาชีพ (3) เป็ นผู้นาในการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และ (4) สามารถสะท้อนผลและเก็บเก่ียวประสบการณ์จากอดีตม่งุ สเู่ ส้นทางแห่งความก้าวหน้าใน อนาคต 3. ทักษะทางสังคมและการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม (Social and Cross- Cultural Skills) ทกั ษะทางสงั คมและการเรียนรู้ข้ามวฒั นธรรม หมายถึง ความสามารถทางาน และดารงชีวิตอยู่กบั สภาพแวดล้อมและผู้คนท่ีมีความแตกต่างหลากหลายได้ โดยไม่รู้สกึ เครียด หรือแตกตา่ งแปลกแยก และทาให้งานสาเร็จได้ ประกอบด้วย 1) ประสทิ ธิผลเชิงปฏิสมั พนั ธ์ร่วมกบั ผ้อู ่ืน (Interact Effectively with Others) โดย (1) รอบรู้ในการสร้ างประสิทธิภาพ จังหวะเวลาท่ีเหมาะสมในการฟัง-การพูดใน โอกาสตา่ งๆ และ (2) สร้างศกั ยภาพตอ่ การควบคมุ ให้เกิดการยอมรับในความเป็ นผ้นู าทางวิชาชีพ 2) การสร้างทมี งานทีม่ ีคณุ ภาพ (Work Effectively in Diverse Teams) โดย (1) ยอมรับในข้อแตกตา่ งทางวฒั นธรรมและภารกิจงานของทีมงานท่ีแตกตา่ งกันหลากหลาย ลกั ษณะ (2) เปิ ดโลกทัศน์และปลุกจิตสานึกเพื่อมองเห็นการยอมรับในข้อแตกต่าง สามารถ มองเหน็ คณุ คา่ ในความแตกตา่ งเหลา่ นนั้ (3) พงึ ระลกึ เสมอว่าข้อแตกตา่ งเชิงสงั คมและวฒั นธรรม นนั้ สามารถนามาสร้างสรรค์เป็ นแนวคิดใหม่ๆให้เกิดขนึ ้ ได้ โดยการคิดค้นนวตั กรรมเพื่อการสร้าง งานอยา่ งมีคณุ ภาพ
25 4. การเพ่ิมผลผลิตและการรู้รับผิด (Productivity and Accountability) การ เพมิ่ ผลผลติ และการรู้รับผิด หมายถึง การวางแผนและการประยกุ ต์ใช้ความรู้และ ทกั ษะท่ีจะทาให้เกิดการตัดสินในท่ีสร้ างผลงานท่ีมีคุณภาพ โดยบุคคลและกลมุ่ ต้องมีความ รับผิดชอบร่วมกนั สามารถบริหารจัดการเวลาอย่างมีประสทิ ธิภาพ และสามารถจดั สรรทรัพยากร ให้เหมาะสม เพอ่ื ตอบสนองความต้องการของการผลติ ประกอบด้วย 1) การจดั การโครงการ (Manage Projects) โดย (1) กาหนดเป้ าหมายให้ ชัดเจนเพ่ือม่งุ สู่ความสาเร็จของงาน และ (2) วางแผน จัดเรียงลาดับความสาคญั ของงานและ บริหารจดั การให้เกิดผลลพั ธ์ที่ม่งุ หวงั 3) ผลผลติ ที่เกิดขนึ ้ (Produce Results) โดยสร้างผลผลติ ที่มีคณุ ภาพสงู โดยมีจุดเน้นในด้านตา่ งๆได้แก่ (1) การทางานทางวิชาชีพที่สุจริต (2) สามารถบริหารเวลาและ บริหารโครงการได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ (3) เน้นภารกิจงานในเชิงสหกิจ (Multi-tasks) (4) การมี สว่ นร่วมอย่างแข็งขนั (5) นาเสนอผลงานได้อย่างมืออาชีพ และ (6) ยอมรับผลผลติ ที่เกิดขนึ ้ ด้วย ความช่ืนชม 5. ภาวะผ้นู าและความรับผดิ ชอบ (Leadership and Responsibility) ภาวะผ้นู าและความรับผิดชอบ หมายถึง ความสามารถที่เข้าถงึ องค์กรและทาตาม เป้ าหมายและความต้องการได้ มีความเป็ นผ้นู าและบริหารจดั การทจี่ าเป็ นในการสนบั สนุนการเป็ น ผ้นู าท่ดี ี มีความสาคญั กบั องค์กรหรือกลมุ่ ทที่ าให้ประสบความสาเร็จ และมีความรับผิดชอบในการ ทางาน รวมถึงความซ่ือสัตย์และจริยธรรม ซึ่งผู้นาและสมาชิกมีความรับผิดชอบและเห็นแก ประโยชน์สว่ นรวมก่อน ประกอบด้วย 1) ใช้ทกั ษะการแก้ไขปัญหาระหวา่ งบุคคลได้ เพอ่ื นาพาองค์การก้าวบรรลุ จดุ มงุ่ หมาย 2) เป็ นตวั กลางหรือผ้ปู ระสานงานทม่ี ีประสทิ ธิภาพ สามารถชีน้ าและ นาพาองค์การก้าวสผู่ ลลพั ธ์ทีพ่ งึ ประสงค์ 3) ยอมรับความสามารถของคณะทางานหรือผ้รู ่วมงานท่มี ีความแตกตา่ ง กนั 4) เป็ นแบบอยา่ งในพฤตกิ รรมท่พี งึ ประสงค์ ผ้อู ื่นยอมรับ
26 2.5 งานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วข้องกับทกั ษะชีวิตและอาชีพ ดวงกมล พรหมชยั (2553) ศกึ ษาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งปัจจยั บางประการด้านคณุ ลกั ษณะ สว่ นบคุ คลและด้านสภาพแวดล้อมกบั ทกั ษะชีวติ และศกึ ษาคา่ นา้ หนกั ความสาคญั ของปัจจัยแตล่ ะ ด้านที่สง่ ผลตอ่ ทกั ษะชีวติ ปัจจยั ด้านคณุ ลกั ษณะสว่ นบุคคล ท่นี ามาใช้ในการศกึ ษาครัง้ นี ้ได้แก่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เจตคตติ อ่ สาขาวชิ าที่ศกึ ษา และแรงจูงใจใฝ่ สมั ฤทธิ์ สว่ นปัจจยั ด้าน สภาพแวดล้อม ได้แก่ การอบรมเลยี ้ งดู และการปรับตวั ตอ่ สภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลยั กลมุ่ ตวั อย่างที่ใช้ในการศกึ ษาครัง้ นีเ้ป็ นนกั ศึกษาชนั้ ปี ที่ 1 และชนั้ ปี ที่ 2 กลมุ่ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สขุ ภาพและกล่มุ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลยั มหิดล จานวนทงั้ สนิ ้ 467คน ซง่ึ ได้มาด้วยวิธีการสมุ่ แบบหลายขนั้ ตอน (Multi-stage Random Sampling) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจยั คือ แบบสอบถามทกั ษะชีวิตด้านการคิดวิเคราะห์วิจารณ์และความคิด สร้างสรรค์ ด้านความตระหนกั รู้ในตนเองและความเห็นใจผ้อู ่ืน ด้านการสร้างสมั พนั ธภาพและการ ส่อื สาร ด้านการตดั สนิ ใจและการแก้ไขปัญหา และด้านการจดั การกบั อารมณ์และความเครียด แบบสอบถามเจตคติตอ่ สาขาวิชาท่ีศึกษา แบบสอบถามแรงจูงใจใฝ่ สมั ฤทธ์ิ แบบสอบถามการ อบรมเลยี ้ งดู แบบสอบถามการปรับตวั ตอ่ สภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลยั ซ่งึ วิเคราะห์ข้อมูลด้วย การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบตัวแปรตามหลายตวั (Multivariate Multiple Regression Analysis: MMR) ศศิวิมล เกลยี งทอง (2556) ได้ศึกษาความสมั พนั ธ์และคา่ นา้ หนกั ความสาคญั ของปัจจยั บางประการ ได้แก่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน อตั มโนทศั น์ ลกั ษณะม่งุ อนาคต การอบรม เลยี ้ งดูแบบประชาธิปไตย สมั พนั ธภาพภายในครอบครัว การสนบั สนุนทางสงั คม สมั พนั ธภาพ ระหว่างนักเรียนกับครู และสมั พันธภาพระหว่างนกั เรียนกบั เพื่อน ที่ส่งผลต่อทกั ษะชีวิต กลุม่ ตวั อย่างเป็ นนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปี ท่ี 5 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศกึ ษา 2555 สานกั งานเขตพืน้ ที่ การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 2 จานวน 786 คน เครื่องมือท่ีใช้เก็บรวบรวมข้อมลู ประกอบด้วย แบบสอบถามทักษะชีวิต แบบสอบถามอัตมโนทัศน์ แบบสอบถามลักษณะมุ่งอนาคต แบบสอบถามการอบรมเลีย้ งดูแบบประชาธิปไตย แบบสอบถามสัมพันธภาพในครอบครัว แบบสอบถามการสนบั สนุนทางสงั คม แบบสอบถามสมั พันธภาพระหว่างนกั เรียนกับครู และ แบบสอบถามสมั พนั ธภาพระหว่างนกั เรียนกบั เพ่ือน ซงึ่ มีคา่ ความเช่ือม่ัน เท่ากับ .927 .771 .877 .901 .919 .893 .797 และ .887 ท้าการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคณู (Multiple Regression: MR)
27 พชั ราวดี ศรีบญุ เรือง (2556)ได้ศึกษาทกั ษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนิสิตปริญญา ตรีโดยได้ศกึ ษาข้อมลู พนื ้ ฐานสว่ นบคุ คลของนสิ ติ ปริญญาตรี และ ระดบั ทกั ษะเป้ าหมายการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21 ของนิสติ ปริญญาตรีหลกั สตู รปกติและหลกั สตู รนานาชาติ กลมุ่ เป้ าหมาย ได้แก่ นิสติ หลกั สตู รปกติ จานวน 28 คน และนิสิตหลกั สตู รนานาชาติ (สาขาเกษตรเขตร้อน) จานวน 43 คน รวมทงั้ สนิ ้ 71 คน ท่ลี งเรียนวชิ า 01001331 การสอื่ สารเพอ่ื พฒั นาการเกษตร เคร่ืองมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมลู ใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ คา่ ความถ่ี ร้อยละ คา่ เฉลยี่ สว่ นเบี่ยงเบน มาตรฐาน คา่ สงู สดุ และคา่ ต่าสดุ วภิ าวี ศิริลกั ษณ์, ปกรณ์ ประจญั บาน, และ เทียมจันทร์ พาณิชย์ผลินไชย (2557) ศกึ ษา การพฒั นาตวั บ่งชีท้ กั ษะของนกั เรียนในศตวรรษท่ี 21โดยทาการสงั เคราะห์แนวคิดและงานวิจัยท่ี เก่ียวข้องกับทกั ษะของนกั เรียนในศตวรรษที่ 21 จากนนั้ ให้ผ้เู ช่ียวชาญด้านการพฒั นาเด็กและ เยาวชนทีศ่ กึ ษาเก่ียวกบั ทกั ษะศตวรรษที่ 21 จานวน 9 คน พจิ ารณาตรวจสอบความเหมาะสมของ องค์ประกอบและตัวบ่งชีโ้ ดยใช้แบบสอบถามเพ่ือคัดเลือกองค์ประกอบและตวั บ่งชีท้ กั ษะของ นกั เรียนในศตวรรษท่ี 21 จานวน 2 ฉบบั และตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างขององค์ประกอบ และตวั บง่ ชีท้ กั ษะของนกั เรียนในศตวรรษท่ี 21 ท่สี ร้างขนึ ้ โดยทาการเก็บข้อมูลกับนกั เรียนระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษาตอนปลาย สงั กัดสานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษา เขต39 จานวน 540 คน ด้วยแบบประเมินทกั ษะศตวรรษท่ี 21 ของนกั เรียนมธั ยมศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจง ความถี่ และคานวณค่ามธั ยฐาน ค่าพิสยั ระหว่าง ควอไทล์ คา่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย สว่ นเบ่ียงเบน มาตรฐาน และคา่ สมั ประสทิ ธ์ิสหสมั พนั ธ์ด้วยโปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติ จากนนั้ ทาการวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงยืนยนั อันดบั ที่สองด้วยโปรแกรมลสิ เรลพบวา่ องค์ประกอบท่ี 5 ทกั ษะชีวิตและ อาชีพประกอบด้วย 7 ตวั บง่ ชี ้ดงั นี ้5.1) มีความสามารถในการปรับเปลยี่ นความคิด ทศั นคติ หรือ พฤตกิ รรมให้เหมาะสมกบั สภาพแวดล้อมในปัจจุบนั และการเปลี่ยนแปลงท่ีจะเกิดขนึ ้ ในอนาคตได้ 5.2) สามารถทา งานได้อย่างหลากหลายตามโอกาสและสถานการณ์ 5.3) สามารถกาหนด เป้ าหมาย จดั ลาดบั ความสาคญั วางแผน และทางานให้สาเร็จได้ อยา่ งมีประสิทธิภาพ 5.4) ยอมรับฟังความคิดเห็นท่ีแตกต่าง 5.5) จัดการกับคาชม คาวิจารณ์ความผิดพลาด และข้อขดั แย้ง อยา่ งเหมาะสม 5.6) เคารพในความแตกต่างระหว่างบุคคล 5.7) สามารถทางานร่วมกบั คนท่ีมี พนื ้ ฐานทางสงั คมและวฒั นธรรมท่แี ตกตา่ งกนั ได้ อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ เอกชยั พุทธสอน (2557) ศกึ ษาแนวโน้มการเสริมสร้างทกั ษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 สาหรับนักศึกษาผ้ใู หญ่ เก็บรวบรวมข้อมูลจากการวิเคราะห์เอกสารการวิจัย และงานวิจัยท่ี เกี่ยวข้องทงั้ ในประเทศและต่างประเทศ โดยใช้แบบวิเคราะห์เอกสาร และการสมั ภาษณ์ด้วย
28 แบบสอบถามตามวธิ ีวิจยั แบบเดลฟายจากผ้เู ช่ียวชาญจานวน 17 ทา่ น แล้วนามาสรุปการได้ฉันทา มติจากกลุ่มผ้เู ชี่ยวชาญ และนาเสนอแนวโน้มการเสริมสร้ างทกั ษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สาหรับนกั ศกึ ษาผ้ใู หญ่ โดยการตรวจสอบและประเมินผลแนวโน้มจากผ้ทู รงคณุ วุฒิจานวน 7 ท่าน พบว่า องค์ประกอบหลกั และองค์ประกอบย่อยของทกั ษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สาหรับ นกั ศกึ ษาผ้ใู หญ่ ประกอบด้วย 3 ทกั ษะ ดงั นี ้1) ทกั ษะการเรียนรู้และนวตั กรรม ได้แก่ ทกั ษะการคิด สร้างสรรค์และการสร้างนวตั กรรม ทกั ษะการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ไขปัญหา และทกั ษะการ สอ่ื สารและความร่วมมือในการปฏิบตั ิงาน 2) ทกั ษะสารสนเทศ ส่ือและเทคโนโลยี ได้แก่ ทกั ษะ ความรู้พืน้ ฐานเก่ียวกับสารสนเทศ ส่ือและเทคโนโลยี ทกั ษะการรู้ ทกั ษะการใช้และการจัดการ ทกั ษะการวเิ คราะห์ และการเข้าถึงสารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยีอย่างมีประสทิ ธิผล และ 3) ทกั ษะ ชีวิตและการทางาน ได้แก่ ทกั ษะความยืดหย่นุ และความสามารถในการปรับตวั ทกั ษะความคิด ริเริ่มและการชีน้ าตนเอง ทกั ษะทางสงั คมและการเรียนรู้ข้ามวฒั นธรรม ทกั ษะการเพ่ิมผลผลติ และ การรับรู้ผดิ ชอบ และทกั ษะความเป็ นผ้นู าและความรับผดิ ชอบในการ ฉันทนา วุฒิศิริพรรณ, ธนินทร์ รัตนโอฬาร, และกฤษณา คิดดี (2557) ศึกษาระดบั ทกั ษะชีวิต การอบรมเลยี ้ งดแู บบเอาใจใส่ อัตมโนทศั น์ เจตคติต่อการเรียนและแรงจูงใจใฝ่ สมั ฤทธ์ิ เพื่อ พฒั นาและตรวจสอบความตรงของโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตทุ ี่มีผลต่อทกั ษะชีวิตของนกั เรียน ระดบั ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 3 สานกั งานเขตพนื ้ ท่ีการศึกษามัธยมศกึ ษาเขต 2 กับข้อมลู เชิงประจักษ์ 3) เพื่อศึกษา ผลของการอบรมเลยี ้ งดูแบบเอาใจใส่ อัตมโนทศั น์ เจตคติต่อการเรียนและแรงจูงใจใฝ่ สมั ฤทธิ์ท่ีมีต่อ ทกั ษะชีวิตของนักเรียน ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปี ที่ 3 สานักงานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษาเขต 2 กลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีใช้ในการวิจยั คือ นกั เรียนระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษาปี ท่ี 3 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษาที่ 2557 สานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษามัธยมศกึ ษาเขต 2 จานวน 910 คน จากประชากร 23,920 คน ได้มาจาก การสุ่มแบบหลายขัน้ ตอน ตัวแปรท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ ตัวแปรแฝงภายใน 4 ตัวแปร ตัวแปรแฝง ภายนอก 1 ตวั แปร ซึ่งประกอบด้วยตัวแปรสงั เกตได้ 24 ตัวแปร เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยเป็ นแบบวัด ปัจจยั เชิงสาเหตทุ ม่ี ีผลตอ่ ทกั ษะชีวติ ของนกั เรียน การวิเคราะห์ข้อมลู ใช้หลกั การวิเคราะห์โมเดลสมการ โครงสร้ าง ชนดั ดา เทียนฤกษ์ (2558) ศกึ ษาสภาพโดยทว่ั ไปของทกั ษะชีวิตและอาชีพของนกั เรียน มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย พฒั นาและตรวจสอบความตรงของโมเดลการวดั ทกั ษะชีวิตและอาชีพของ นกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย 3) สร้ างเกณฑ์ปกติของแบบวดั ทกั ษะชีวิตและอาชีพของ นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ตวั อย่าง คือ นกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปี ท่ี 5 ในกรุงเทพมหานคร จานวน 397 คน ท่ีได้จากการสมุ่ หลายขนั้ ตอน เคร่ืองมือวิจยั คือ แบบวดั ทกั ษะชีวิตและอาชีพ เป็ น
29 แบบวดั เชิงสถานการณ์ โดยมี 3 ตวั เลอื ก วเิ คราะห์ข้อมลู โดยใช้สถิตเิ ชิงอนมุ าน ได้แก่ การวิเคราะห์ สถิติที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (one –way ANOVA) การวิเคราะห์โมเดล สมการโครงสร้าง และหาคะแนนปกติ ที ผลการสงั เคราะห์คณุ ลกั ษณะของทกั ษะชีวิตและอาชีพจากหนงั สอื และงานวจิ ยั ที่ เกี่ยวข้อง รายละเอียดดงั ตาราง 1
ตาราง 1 แสดงคณุ ลกั ษณะของทกั ษะชีวิตและอาชีพจากการสงั เคราะห์เอ การยืดหยนุ่ และความสามา ในการปรับตวั การจัดการอารม ์ณและ เอกสารและงานวจิ ัยท่เี ก่ยี วข้อง ความเค ีรยด การแ ้ก ัปญหา ความคิดส ้รางสรรค์ การ ืยดหยุ่นและ ความสามารถใน การปรับตัว การตระหนัก ู้รและ วริญญา อรรถยกุ ติ (2543) ปัทมา วรรณลกั ษณ์ (2550) ดวงกมล พรหมชยั (2553) Hanover Research (2011) ไพฑรู ย์ สินลารัตน์ วิจารณ์ พานิช (2555) จลุ สารนวตั กรรมมหาวิทยาลยั มหดิ ล (2555) ศศิวมิ ล เกลยี วทอง (2556) ฉนั ทนา วฒุ ศิ ริ ิพรรณ และคณะ (2557) วภิ าวี ศริ ิลกั ษณ์ และคณะ (2557) สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื ้ ฐาน (2557) เอกชยั พทุ ธสอน (2557) เครือข่ายองคก์ รความร่วมมือเพอ่ื ทกั ษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 ชนดั ดา เทียนฤกษ์ (2558) สานกั งานการมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย (2558)
เหน็ คณุ ค่าใน ารถ การริเร่ิมและกากบั อกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวข้อง ตนเอง ดแู ลตนเองได้ ทกั ษะด้าน คณุ ลักษณะของทักษะชีวิตและอาชพี ความคิด การทางานอย่าง เป็นอสิ ระ การริเร่ิมและ กากบั ดูแลตนเอง กไดา้ รสร้างสมั พนั ธ์ ระหวา่ งบคุ คล ทกั ษะด้านสงั คม การสือ่ สาร ทกั ษะด้านสงั คม และทกั ษะข้าม วฒั นธรรม การเพม่ิ ผลผลติ การรับรู้ ทกั ษะด้านสงั คมและ การเพม่ิ ผลผลติ ทกั ษะข้ามวฒั นธรรม และการรู้รับผดิ การตดั สนิ ใจ การบริหารจดั การ การวเิ คราะห์ ภวจิาาวระณผ้นู์ าและ ความรบั ผดิ ชอบ และการรู้รับผดิ การเพม่ิ ผลผลิต ภาวะผ้นู าและความ รับผิดชอบ
ผ้วู จิ ยั ได้ทาการคดั เลอื กคณุ ลกั ษณะของทกั ษะชีวิตและอาชีพจากเอกสารและงานวิจัยที่ เก่ียวข้องโดยพิจารณาจากความถ่ีสงู สดุ 5 อนั ดบั แรก ซงึ่ ประกอบด้วย 1) ทกั ษะทางสงั คมและการ เรียนรู้ข้ามวฒั นธรรม 2) ความยดื หยนุ่ และการปรับตวั 3) การริเร่ิมและกากบั ดูแลตวั เองได้ เป็ นตวั ของตวั เอง 4)ภาวะผ้นู าและความรับผดิ ชอบ 5) การเพ่ิมผลผลติ และการรู้รับผิดชอบ 6)การจดั การ อารมณ์และความเครียด โดยมีผ้ใู ห้ความหมายของทกั ษะชีวติ และอาชีพทงั้ 6 คณุ ลกั ษณะไว้ดงั นี ้ 1. ทกั ษะทางสงั คมและการเรียนรู้ข้ามวฒั นธรรม (Social and Cross-Cultural Skills) วจิ ารณ์ พานชิ (2555)ให้ความหมายของทกั ษะทางสงั คมและการเรียนรู้ข้ามวฒั นธรรมวา่ บคุ คลสามารถทางานและดารงชีวติ อยกู่ บั สภาพแวดล้อมและผ้คู นที่มีความแตกตา่ งอยา่ ง หลากหลายได้อยา่ งไมร่ ู้สกึ เครียด วิภาวี ศริ ิลกั ษณ์ (2557) ให้ความหมายของทกั ษะทางสงั คมและการเรียนรู้ข้าม วฒั นธรรมวา่ คอื การเรียนรู้ท่จี ะเปิ ดใจกว้างยอมรับฟังความคดิ เห็นทแี่ ตกตา่ งจากตนเพ่ือพฒั นาให้ งานสาเร็จไปได้ด้วยดหี รือแปลกแยก จากความหมายท่กี ลา่ วมาทงั้ หมดสรุปได้วา่ ทกั ษะทางสงั คมและการเรียนรู้ข้ามวฒั นธรรม หมายถึง ความสามารถทางานและดารงชีวิตอยู่กับสภาพแวดล้อมและผู้คนที่มีความแตกต่าง หลากหลายได้ โดยไมร่ ู้สกึ เครียดหรือแตกตา่ งแปลกแยก และทาให้งานสาเร็จได้ 2. ความยืดหยนุ่ และการปรับตวั Partnership for 21st Century Skills (2014) ให้ความหมายของความยืดหยนุ่ และ การปรับตวั วา่ ความยืดหยนุ่ และการปรับตวั หมายถงึ ความสามารถในการปรับปรุง เปล่ยี นแปลงการทางานให้มีประสทิ ธิภาพ เหมาะสมกบั สถานการท่ีหลากหลาย ตลอดจนเปิ ดใจ กว้าง รับฟังความคดิ เห็นทแี่ ตกตา่ ง และนามาปรับใช้โดยตงั้ อยบู่ นหลกั การที่เหมาะสม ให้ความหมายของความยดื หยนุ่ และการปรับตวั วา่ ความยดื หยนุ่ และการปรับตวั หมายถึง การรับความเปล่ียนแปลงตามบทบาทหน้าที่หรือการปรับตัวเพื่อการเปลี่ยนแปลง บรรยากาศการเปลยี่ นแปลงในเชิงสร้างสรรค์ จากความหมายท่ีกลา่ วมาทงั้ หมดสรุปได้วา่ ความยดื หยนุ่ และการปรับตวั หมายถึง ความสามารถในการปรับปรุงเปล่ียนแปลงการทางานให้มีประสทิ ธิภาพ เหมาะสมกับ สถานการท่ีหลากหลาย ตลอดจนเปิ ดใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และนามาปรับใช้โดย ตงั้ อยบู่ นหลกั การท่เี หมาะสม
32 3. การริเริ่มและกากบั ดแู ลตวั เองได้ อนชุ า โสมาบุตร (2557) ให้ความหมายของการริเริ่มและกากบั ดูแลตวั เองได้ วา่ หมายถึง การจดั การด้านเป้ าหมายและเวลา (Manage Goals and Time) โดย กาหนดเป้ าหมายได้ชัดเจน บนฐานความสาเร็จตามเกณฑ์ท่ีกาหนด สร้างความสมดลุ ในเป้ าหมายที่กาหนด (ทงั้ ในระยะสนั้ และระยะยาว) และ ใช้เวลาและการจดั การให้เกิดประสิทธิภาพสงู สดุ ในการทางาน การสร้างงาน อิสระ (Work Independently) โดยกากบั ติดตาม จาแนกวเิ คราะห์ จัดเรียงลาดบั ความสาคญั และ กาหนดภารกิจงานอย่างมีอิสระปราศจากการควบคุมจากภายนอกเป็ นผู้นาที่มีประสิทธิภาพใน ตนเอง (Be Self-Directed Learners) โดย (1) ม่งุ มนั่ สคู่ วามเช่ียวชาญทงั้ ทางด้านทกั ษะ ความรู้ และขยายผลสคู่ วามเป็ นเลศิ (2) เป็ นผ้นู าเชิงทกั ษะขนั้ สงู ม่งุ สคู่ วามเป็ นมืออาชีพ (3) เป็ นผ้นู าใน การเรียนรู้ตลอดชีวติ (Lifelong Learning) และ (4) สามารถสะท้อนผลและเก็บเก่ียวประสบการณ์ จากอดตี ม่งุ สู่ จากความหมายท่ีกลา่ วมาทงั้ หมดสรุปได้วา่ การริเร่ิมและกากบั ดแู ลตวั เองได้ เป็ น ตวั ของตวั เอง หมายถงึ ความสามารถในการทางานทตี่ งั้ ใจ พร้อมรับผิดชอบ พร้อมเผชิญความท้า ทายใหม่ๆ และสามารถกาหนดเป้ าหมายวางแผนเพ่ือความสาเร็จตามเป้ าหมายตามเวลาทีก่ าหนด ไว้ 4. ภาวะผ้นู าและความรับผิดชอบ ศกั ด์ิชัย ภู่เจริญ (2558) ให้ความหมายว่า ภาวะผู้นาหรือความเป็ นผู้นา หมายถึง ความสามารถในการนา ความสามารถทมี่ ีอิทธิพลเหนือผ้อู ่ืนและจูงใจให้ผ้อู ื่นปฏบิ ตั ติ าม-ทางานให้ บรรลเุ ป้ าหมาย ภาวะผ้นู าจึงเป็ นเร่ืองท่ีเก่ียวข้องกบั การใช้อานาจหน้าท่ี หรือบารมีในการกาหนด หรือชักจูงให้กลุ่มสมาชิกทางานตามเป้ าหมายที่กาหนดไว้ และการมีอิทธิพลต่อกลุ่มต่าง ๆ เช่น กระต้นุ ชีน้ า ผลกั ดนั ให้บุคคลอื่น หรือกลมุ่ บคุ คลอ่ืน มีความเตม็ ใจ และกระตือรือร้นในการ ทาสง่ิ ตา่ ง ๆ ตามต้องการ โดยมีความสาเร็จของกลมุ่ หรือองค์กรเป็ นเป้ าหมาย ความรับผิดชอบ หมายถึง ภาระหรือพนั ธะผูกพันในการจะปฏิบตั ิหน้าที่การงานของ ผ้รู ่วมงานให้เป็ นไปตามเป้ าหมายขององค์กร เน่ืองจากบุคคลต้องอยรู่ ่วมกันทางานในองค์การ จาเป็ นต้องปรับลกั ษณะนิสยั เจตคติของบุคคลเพื่อช่วยเป็ นเครื่องผลักดันให้ปฏิบตั ิงานตาม ระเบยี บรู้จกั เคารพสทิ ธิของผ้อู ื่น ปฏิบตั ิงานในหน้าที่ท่ตี ้องรับผิดชอบและมีความซื่อสตั ย์สจุ ริต คน ท่ีมีความรับผิดชอบ จะทาให้การปฏิบตั ิงานไปสเู่ ป้ าหมายท่ีวางไว้ และช่วยให้การทางานร่วมกัน เป็ นไปด้วยความราบร่ืน ความรับผิดชอบจึงเป็ นภาระผูกพนั ที่ผู้นาต้องสร้ างขึน้ เพื่อให้องค์การ
33 สามารถบรรลเุ ป้ าหมายได้อยา่ งดี ถ้าในองค์กรใดมีบุคคลท่ีมีความรับผิดชอบ จะทาให้เกิดผลดีต่อ องค์กร อนุชา โสมาบุตร (2557)ภาวะผู้นาและความรับผิดชอบ (Leadership and Responsibility) หมายถึง ความเป็ นตวั แบบและเป็ นผ้นู าคนอ่ืน (Guide and Lead Others) โดย (1) ใช้ทกั ษะการแก้ไขปัญหาระหว่างบุคคลได้ เพ่ือนาพาองค์กรก้าวบรรลจุ ุดมุ่งหมาย (2) เป็ น ตวั กลางหรือผู้ประสานงานท่ีมีประสิทธิภาพ สามารถชีน้ าและนาพาองค์การก้าวสผู่ ลลพั ธ์ท่ีพึง ประสงค์ (3) ยอมรับความสามารถของคณะทางานหรือผ้รู ่วมงานท่ีมีความแตกต่างกัน และ (4) เป็ นแบบอยา่ งในพฤติกรรมทพี่ งึ ประสงค์ ผ้อู ่ืนยอมรับ จากความหมายท่กี ลา่ วมาทงั้ หมดสรุปได้วา่ ภาวะผ้นู าและความรับผดิ ชอบ หมายถึง ความสามารถท่ีเข้าถงึ องค์กรและทาตามเป้ าหมายและความต้องการได้ มีความเป็ นผ้นู า และบริหารจดั การที่จาเป็ นในการสนบั สนนุ การเป็ นผ้นู าทด่ี ี มีความสาคญั กบั องค์กรหรือกลมุ่ ที่ทา ให้ประสบความสาเร็จ และมีความรับผดิ ชอบในการทางาน รวมถึงความซอ่ื สตั ย์และจริยธรรม ซง่ึ ผ้นู าและสมาชิกมีความรับผิดชอบและเหน็ แกประโยชน์สว่ นรวมกอ่ น 5. การเพ่ิมผลผลติ และการรู้รับผิดชอบ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนอื (2557) ให้ความหมายของการ เพ่ิมผลผลิตและการรู้รับผิดชอบ ว่าประกอบด้วย สามารถตัง้ เป้ าหมายและดาเนินการไปสู่ เป้ าหมายได้แม้จะมีอปุ สรรค์และแรงกดดนั จากการแขง่ ขนั สามารถจดั ลาดบั ความสาคญั วางแผน และบริหารงานเพื่อให้ได้รับผลตามทีค่ าดหวงั มีคณุ ลกั ษณะของผ้ทู จี่ ะสร้างผลงานที่มีคุณภาพ เช่น การทางานในเชิงบวกอยา่ งมีจริยธรรม การบริหารเวลาและโครงการอย่างมีประสิทธิภาพสามารถ ทางานได้หลากหลาย การมีสว่ นร่วมในกิจกรรมของกลมุ่ อยา่ งกระตอื รือร้น ความเป็ นมืออาชีพและ มีความน่าเชื่อถือทางานเป็ นทีมได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพและให้ความร่วมมือกับทีม เคารพความ หลากหลายในทมี และรับผดิ ชอบกบั ผลงานท่เี กิดขนึ ้ จากความหมายที่กลา่ วมาทงั้ หมดสรุปได้วา่ การเพิม่ ผลผลติ และการรู้รับผดิ ชอบ หมายถึง การวางแผนและการประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะท่ีจะทาให้เกิดการตดั สินในที่สร้ าง ผลงานท่ีมีคณุ ภาพ โดยบคุ คลและกลมุ่ ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกนั สามารถบริหารจัดการเวลา อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ และสามารถจดั สรรทรัพยากรให้เหมาะสม เพื่อตอบสนองความต้องการของ การผลติ
34 6. การจดั การกบั อารมณ์และความเครียด ซาโลเวย์ (Goleman. 1995: 42 – 44 ; citing Salovey. 1988.อ้างอิงจาก สวนีย์ สขุ เจริญ 2553) กลา่ ววา่ องค์ประกอบทส่ี าคญั ของความเฉลยี วฉลาดทางอารมณ์ไว้ 5 ด้าน ได้แก่ 1. การรู้จกั อารมณ์ตนเอง ( know one’s emotions) 2. การจดั การ(บริหาร)อารมณ์ตนเอง (managing emotions) 3. การสร้างแรงจงู ใจให้ตนเอง (motivating oneself) 4. การหยงั่ รู้อารมณ์ของผ้อู ื่น (recognizing emotions in others) 5. การรักษาความสมั พนั ธ์ทด่ี ตี อ่ กนั (handling relationships) ในการพฒั นาความเฉลยี วฉลาดทางอารมณ์จะต้องพฒั นาในแต่ละองค์ประกอบตอ่ ไปนี ้ สาหรับการจดั การกบั ความโกรธนนั้ จะต้องเร่ิมจาก การจดั การ(บริหาร)อารมณ์ของตนเอง (managing emotions) เป็ นความสามารถในการควบคมุ อารมณ์และแสดงออกได้อยา่ งเหมาะสม กบั บุคคล สถานท่ี เวลา และเหตกุ ารณ์ ทงั้ อารมณ์ดีและอารมณ์ไมด่ ใี ห้เกิดความสมดลุ ในการ จดั การกบั อารมณ์ของตนเองนจี ้ ะทาได้ดีเพียงใดนนั้ สบื เน่อื งมาจากการรู้จกั อารมณ์ของตนเอง การ จดั การอารมณ์ได้เหมาะสมเพยี งใดดไู ด้จากสง่ิ ต่อไปนี ้ 1. ควบคมุ ได้ ไมแ่ สดงอารมณ์อยา่ งทนั ทที นั ใด มีความรู้ตวั ไม่ถกู ครอบงาโดยอารมณ์ 2. มีเหตผุ ลสามารถอธิบายได้อยา่ งสมเหตสุ มผลถึงการเกิดและการแสดงอารมณ์ 3. กอ่ ให้เกิดพฤติกรรมและผลย้อนกลบั ในแงบ่ วก 4. แสดงออกเป็ นพฤตกิ รรมทเี่ หมาะสมกบั บคุ คล สถานท่ี เวลา และสถานการณ์ “การถกู ครอบงาด้วยความกลวั ความโกรธ ความเศร้า ความผิดหวงั ความวติ กกงั วลท่รี ุนแรง ทาให้ คนเราสญู เสยี การควบคมุ อารมณ์” การจดั การกบั อารมณ์ได้อยา่ งเหมาะสมจะทาให้เกิดความสบายใจซง่ึ จะมีผลไปถงึ ความสาเร็จและความสขุ ในการทางานและการอยรู่ ่วมกบั ผ้อู ื่น ลองพจิ ารณาตนเองวา่ จดั การกบั อารมณ์ในลกั ษณะใด 1. แสดงออกทนั ทีตามท่ีต้องการ โดยไม่คานงึ ถึงผลท่ีจะเกิดตามมา 2. เก็บกดเอาไว้ ไมแ่ สดงออก พยายามลมื ไม่คดิ ถึง หลกี เลยี่ ง 3. โทษผิดผ้อู ่ืน ไปแสดงออกกบั ผ้ทู ี่ไมเ่ กี่ยวข้อง หาแพะรับบาป 4. ระบายออกได้เหมาะสม อารมณ์ดีขนึ ้ ผลทเ่ี กิดตามมาเป็ นไปในทางทด่ี ี สปี ลเบอร์เกอร์ (Spielberger. 1988: 97-104อ้างอิงจาก สวนีย์ สขุ เจริญ 2553) กลา่ วว่า การควบคุมความโกรธ (Anger Control) หมายถึง เม่ือบุคคลเกิดความรู้สึกโกรธแล้วบุคคล
35 พยายามทีจ่ ะควบคมุ การแสดงความโกรธ เช่น พยายามควบคมุ นา้ เสียงให้เป็ นปกติพยายามระงบั อารมณ์หรือพฤตกิ รรมท่ไี ม่เหมาะสม พยายามปรับอารมณ์ของตนเอง โดยพยายามคิดทบทวนหา สาเหตขุ องความโกรธและแนวทางในการยตุ ทิ เี่ หมาะสม พทุ ธทาสภกิ ขุ (2532: 24 - 43) แนะนาวธิ ีขจดั ความโกรธสรุปได้ดงั นี ้ 1. ขนั ติขจดั ความโกรธ คือ ให้มีความอดกลนั้ 2. ทมะ ขจดั ความโกรธ คอื ด้วยการบงั คบั ตวั เอง 3. ปัญญาขจดั ความโกรธ คอื รู้เร่ืองความโกรธอยา่ งครบถ้วน 4. สตขิ จดั ความโกรธ คอื ความได้วา่ จะโกรธ 5. สงั วรขจดั ความโกรธ คือ ป้ องกนั ความโกรธ 6. สจั จาธิษฐานขจดั ความโกรธ คือ ตงั้ สติด้วยสจั จะมน่ั คงลงไปในการท่ีจะทาใน การทจ่ี ะ ประพฤติการละ 7. จาคะขจดั ความโกรธ คอื สละให้อภยั อยเู่ สมอ 8. หิริโอตตปั ปะขจดั ความโกรธ คอื ความละอายและความกลวั ด้วยความรู้สกึ ผิดชอบของ ตวั เอง 9. กมั มสั สกตาญาณขจดั ความโกรธ คือ ความโกรธเป็ นกรรมอนั หนง่ึ เมื่อเราต้องได้รับผล กรรมนเี ้ป็ นที่แนน่ อน ก็ทาให้กลวั 10. มรณานสุ สตขิ จดั ความโกรธ คือ การระลกึ ถงึ ความตาย 11. อปั ปปัญญา เมตตา ขจดั ความโกรธ คอื เมื่อมีความเมตตาทไี่ ม่มีขอบเขต นมิ่ นชุ ประสานทอง (2541: 64) เสนอวา่ วิธีควบคมุ ความโกรธทาได้ดงั นี ้คือ เม่ือรู้สกึ โกรธ ควรใช้วิธีผ่อนคลายความโกรธ ด้วยวิธีนบั 1- 10 หรือใช้วิธีหนีออกจากสถานการณ์ เพ่ือออกไป ระงบั ใจเสียชัว่ คราวแล้วจึงค่อยกลบั มาเผชิญหน้ากับคนๆ นนั้ หรือสถานการณ์ใหม่ และอาจ ระบายอารมณ์โกรธด้วยการออกกาลงั กายหรือเลน่ กีฬา หรือออกไปที่โลง่ แจ้งแล้วตะโกนให้สดุ เสยี ง หรือจะใช้วิธีทางานบ้านระบายความโกรธก็ได้ ววิ ฒั น์ วริ ิยกิจจา (2545: 51) ได้กลา่ วถงึ ขนั้ ตอนในการควบคมุ ความโกรธ ไว้ดงั นี ้ 1. ระงบั ความโกรธโดยไมโ่ กรธตอบ เพราะความโกรธทาให้จิตใจหม่นหมองโกรธไปก็ไม่มี ประโยชน์ ส้ไู ม่โกรธดีกวา่ 2. เตือนตนเองวา่ เวลาโกรธ ผ้ทู ีเ่ ดือดร้อนมากที่สดุ คือเรา 3. พจิ ารณาวา่ ทกุ คนมีกรรมเป็ นของตนเอง 4. นกึ ถงึ คนอื่นท่ีเป็ นตวั อยา่ งของการทาดี เพื่อเสริมสร้างกาลงั ใจ
36 5. คดิ โดยแยกแยะสว่ นประกอบ เพื่อลดความยดึ มนั่ ถือมน่ั งานประกอบด้วยคน กิจกรรม เครื่องมือ สถานท่ี เวลา เป็ นต้น มีปัญหาอยา่ งเดียวอยา่ งอื่นก็สามารถดาเนนิ การตอ่ ไปได้ 6. การให้อภยั จะทาให้ไมเ่ จ็บแค้น ไม่อาฆาต พยาบาท จิตใจเราจะสบายปลอดโปลง่ อุไร สมุ าริธรรม (2545: 213 - 241) ได้กลา่ วถึงวิธีการควบคมุ ความโกรธ ความไม่พอใจ ไว้ ดงั นี ้ 1. เมื่อเกิดความรู้สกึ โกรธหรือไมพ่ อใจ บอกตนเองวา่ เรากาลงั โกรธหรือไมพ่ อใจ 2. ถว่ งเวลาการแสดงปฏกิ ิริยาโต้ตอบตอ่ ความโกรธ ความไมพ่ อใจอยา่ งทนั ทที นั ใดออกไป กอ่ น โดยอาจจะใช้การนบั เลขอยา่ งช้าๆ จาก 1 ถึง 10 หรือมากกวา่ นนั้ หรืออาจจะใช้วิธีหายใจเข้า – ออกยาวๆ อยา่ งตา่ 10 รวบขนึ ้ ไป หากรู้ตวั วา่ ความโกรธมากจนจะควบคมุ ไม่อย่ใู ห้หนีจากบุคคล หรือสถานการณ์ที่ทาให้โกรธไปก่อน 3. ถามและตอบตนเองวา่ สงิ่ ที่ทาให้เราโกรธหรือไมพ่ อใจ คอื ใคร อะไร หรือสง่ิ ใด 4. ถามและตอบตนเองวา่ เรามีความเช่ือ ความต้องการ หรือความคาดหวงั เก่ียวกบั สงิ่ ท่ี ทาให้โกรธ หรือไม่พอใจอยา่ งไรบ้าง 5. ถามและตอบตนเองวา่ เราสามารถเปลยี่ นแปลงบุคคล หรือสงิ่ ที่ทาให้เราโกรธให้ เป็ นอยา่ งที่เราต้องการได้หรือไม่ ถ้าคิดวา่ ได้มีวิธีการที่สร้างสรรค์ (ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อตนเอง และคนอ่ืน) 6. ถามตนเองวา่ มีทางออกให้กบั ความโกรธของตนอยา่ งไร โดยไมต่ ้องไปเปลยี่ นแปลง บุคคลหรือสิ่งท่ีทาให้เราโกรธ ซ่ึงทางออกท่ีสร้างสรรค์นนั้ อาจทาได้หลายอยา่ ง ตงั้ แต่ การยอมรับ บุคคล หรือสงิ่ ท่ีทาให้เราไม่พอใจตามที่เป็ นอยู่ ไม่ผลกั ดนั หรือคาดหวงั ให้คนอื่นเป็ นไปตามท่ีเรา ต้องการ และหากยงั รู้สกึ โกรธก็ควรไประบายออกในทางสร้างสรรค์ เช่น ไประบายออกกับการเลน่ กีฬา การระบายออกไปกบั การขีดเขียน การทมุ่ อารมณ์โกรธออกไปพร้อมๆ กบั การทมุ่ อารมณ์โกรธ ออกไปพร้อมๆ กบั การทมุ่ กาลงั ในการทากิจกรรมท่ีก่อประโยชน์ เช่น ขดุ ดิน กวาดบ้าน ถบู ้าน เป็ น ต้น
37 งานวิจยั ทเี่ กี่ยวข้องกบั การจดั การกบั อารมณ์และความเครียด จารุวรรณ ศุภศรี (2542: 75) ได้ศกึ ษาการเปรียบเทียบผลของการฝึกพฤติกรรม การ แสดงออกท่ีเหมาะสมและการฝึ กลดความรู้สึกอ่อนไหวอย่างเป็ นระบบเป็ นรายบุคคลท่ีมีต่อ พฤติกรรมการแสดงออกในการเผชิญความโกรธของนกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตร์ชนั้ ปี ท่ี 2 วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนีตรัง จังหวดั ตรัง ผลการศกึ ษาพบว่า นกั ศึกษาพยาบาลท่ีได้รับการฝึ ก พฤติกรรมการแสดงออกท่ีเหมาะสมในการเผชิญความโกรธเหมาะสมขนึ ้ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ ที่ระดับ .01 และนักศึกษาพยาบาลท่ีได้รับการฝึ กลดความรู้สึกอ่อนไหวอย่างเป็ นระบบเป็ น รายบคุ คลมีพฤติกรรมการแสดงออกในการเผชิญความโกรธเหมาะสมขนึ ้ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ ที่ระดบั .01 และนกั ศกึ ษาพยาบาลท่ีได้รับการฝึกพฤติกรรมการแสดงออกอยา่ งเหมาะสม และท่ี ได้รับการฝึกลดความรู้สกึ ออ่ นไหวอยา่ งเป็ นระบบเป็ นรายบุคคลมีพฤติกรรมการแสดงออกในการ เผชิญความโกรธเหมาะสมขนึ ้ ไมแ่ ตกตา่ งกนั ทศั ไนย วงศ์สวุ รรณ (2542: 79) ได้ศกึ ษาผลของการปรึกษาเชิงจิตวิทยากลมุ่ ตามแนว พิจารณาเหตุผล อารมณ์และพฤติกรรมต่อความโกรธของนักเรียนวยั รุ่น ผลการศึกษาพบว่า นกั เรียนท่เี ข้าร่วมการปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบกลมุ่ มีคะแนนความโกรธโดยทวั่ ไปต่ากวา่ นกั เรียนท่ี ไมไ่ ด้เข้าร่วมการปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบกลมุ่ มีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 และนกั เรียนที่เข้า ร่วมการปรึกษาเชิงจิตวทิ ยาแบบกลมุ่ มีคะแนนแสดงความโกรธออกภายนอกต่ากวา่ นกั เรียนที่ไม่ได้ เข้าร่วมการปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบกลมุ่ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 และนกั เรียนที่เข้า ร่วม การปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบกลมุ่ มีคะแนนการควบคมุ ความโกรธสงู กวา่ นกั เรียนท่ีไม่ได้เข้า ร่วม การปรึกษาเชิงจิตวทิ ยาแบบกลมุ่ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั .05 ปริศนา ชาญวิชยั (2546: 73 - 76) ได้ศกึ ษาเปรียบเทียบผลของกิจกรรมกลมุ่ และการให้ คาปรึกษากลุ่มแบบเกสตอลท์ท่ีมีต่อวิธีการเผชิญความโกรธของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรียนจนั ทร์หุ่นบาเพ็ญ กรุงเทพมหานครพบว่า นกั เรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมกลมุ่ มีวิธีการเผชิญ ความโกรธดขี นึ ้ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .01 และนกั เรียนที่ได้รับการให้คาปรึกษาแบบเกส ตอลท์ มีวิธีการเผชิญความโกรธดีขนึ ้ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .01 ทงั้ สองกลมุ่ มีวิธีการ เผชิญ ความโกรธไม่แตกตา่ งกนั
38 ตอนท่ี 3 เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วข้องกบั ปัจจัยท่สี ่งผลต่อทกั ษะชีวิตและอาชีพ ในการวิจัยครัง้ นี ้ผู้วิจัยพฒั นารูปแบบความสัมพนั ธ์เชิงสาเหตปุ ัจจัยท่ีสง่ ผลต่อทกั ษะ ชีวติ และอาชีพ โดยศกึ ษางานวิจยั ทเ่ี ก่ียวข้อง มีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี ้ ปรียาพร วงศ์อนตุ รโรจน์. (2544 : 81-8 ) กลา่ ววา่ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลยอ่ มมีผล ตอ่ งานที่แตกตา่ งกนั นอกจากนคี ้ นเราก็มีจดุ มงุ่ หมายในการทางานทแี่ ตกตา่ งกันด้วย จดุ ม่งุ หมาย ที่แตกตา่ งกนั นที ้ าให้บคุ คลเลอื กงาน มีความตงั้ ใจในการทางานแตกตา่ งกนั ไปด้วยในงานชนิด เดยี วกนั บุคคลมีความรู้ระดบั เดียวกนั ถงึ เชาวน์ปัญญาพอกนั ก็ยงั มีความสามารถในการทางาน ตา่ งกนั ด้วย ผลงานยอ่ มออกมาแตกตา่ งกนั ฉะนนั้ จึงควรที่จะพิจารณาถึงสาเหตแุ ละปัจจยั ทีเ่ ก่ียวข้องกบั บคุ คลดงั นี ้ 1. ปัจจัยในตวั บุคคล บุคคลมีลกั ษณะและคุณสมบตั ิเฉพาะตวั แตกตา่ งกนั ไป ซ่งึ มีผล ตอ่ การแสดงออกของพฤติกรรมแตกตา่ งกนั ไปด้วย 2. ปัจจยั ที่เป็ นสภาพแวดล้อม เป็ นสถานการณ์ภายนอกมีผลตอ่ การแสดงออก อ้อมเดือน สดมณี และคณะ (2553) ศกึ ษาถึงสาเหตขุ องการแสดงพฤติกรรมตา่ ง ๆ นนั้ จะพบวา่ บุคคลจะแสดงพฤติกรรมใด ๆ จะมีสาเหตมุ าจากหลายจาเป็ นต้องอาศยั วิทยาการหลาย แขนงในการร่วมกนั อธิบายและทานายถึงการแสดงพฤติกรรมนนั้ ในทกุ ๆ มิติ จากการศึกษาท่ีผา่ น มาจากอดตี นนั้ มีข้อสรุปเกี่ยวกบั สาเหตขุ องพฤตกิ รรมต่าง ๆ ว่ามีจากปัจจยั หลกั 2 ประการ คือ 1) ปัจจยั ภายในตวั บุคคล ได้แก่ ลกั ษณะทางจิตใจของมนษุ ย์ เช่น เจตคติ บุคลิกภาพ แรงจูงใจ เป็ น ต้น และ 2) ปัจจยั ภายนอกตวั บุคคล เช่น สภาพแวดล้อมทางสงั คมและวฒั นธรรม ดวงกมล พรหมชยั . (2553) ศกึ ษาปัจจยั บางประการด้านคณุ ลกั ษณะสว่ นบุคคลและด้าน สภาพแวดล้อมที่สง่ ผลต่อทกั ษะชีวิตของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลยั มหิดล มี จุดม่งุ หมาย เพื่อศึกษาความสมั พันธ์ระหว่างปัจจัยบางประการด้านคุณลกั ษณะสว่ นบุคคลและ ด้านสภาพแวดล้อมกบั ทกั ษะชีวิตและศกึ ษาคา่ นา้ หนกั ความสาคญั ของปัจจยั แตล่ ะด้านท่ีสง่ ผลตอ่ ทกั ษะชีวิต ปัจจัยด้านคุณลกั ษณะสว่ นบุคคล ท่ีนามาใช้ในการศกึ ษาครัง้ นี ้ ได้แก่ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน เจตคติตอ่ สาขาวิชาท่ีศกึ ษา และแรงจูงใจใฝ่ สมั ฤทธ์ิ สว่ นปัจจยั ด้านสภาพแวดล้อม ได้แก่ การอบรมเลยี ้ งดู และการปรับตวั ตอ่ สภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลยั กลมุ่ ตวั อย่างท่ีใช้ใน การศกึ ษาครัง้ นีเ้ป็ นนกั ศกึ ษาชนั้ ปี ที่ 1 และชนั้ ปี ที่ 2 กลมุ่ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สขุ ภาพและกลมุ่ สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดบั ปริญญาตรี มหาวิทยาลยั มหิดล จานวนทงั้ สนิ ้ 467คน ซง่ึ ได้มาด้วยวธิ ีการสมุ่ แบบหลายขนั้ ตอน (Multi-stage Random Sampling) เคร่ืองมือที่ใช้ในการ วจิ ยั คือ แบบสอบถามทกั ษะชีวิตด้านการคิดวิเคราะห์วิจารณ์และความคิดสร้างสรรค์ ด้านความ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230