เกรน่ิ นำ� การสถาปนากรงุ เทพมหานคร คืนวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๒๔ เพลาสิบทุ่ม ดาวอนุราธเข้าใน ดวงจนั ทร๑์ และหลงั จากนน้ั มา ราชบลั ลงั กข์ องสมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี ก็เร่ิมคลอนแคลน ความจริงน้ันแผ่นดินกรุงธนบุรีเริ่มร้อนระอุมา กอ่ นหนา้ นน้ั หลายเดอื น ขนุ นางขา้ ราชการฉอ้ ราษฎรบ์ งั หลวง กดขขี่ ม่ เหง ราษฎรบังคับขู่เข็ญเอาเงิน ถ้าไม่มีให้ก็ถูกเฆ่ียน พวกที่ทนไม่ไหวก็ทิ้ง เหย้าเรอื นอพยพหลบหนเี ข้าป่าดงไปเป็นอนั มาก ขา่ วความวนุ่ วายในกรงุ ธนบรุ แี พรส่ ะพดั ขนึ้ ไปถงึ กรงุ เกา่ นายบนุ นาค นายบา้ นแมล่ า กบั ขนุ สรุ ะ จงึ คดิ อา่ นกนั วา่ บา้ นเมอื งเปน็ จลาจลเดอื ดรอ้ น เช่นน้ีจะละไว้มิชอบ ควรจะชักชวนซ่องสุมผู้คนลงไปตีกรุงธนบุรี จับ พระเจา้ แผน่ ดนิ ส�ำเรจ็ โทษเสยี แล้วถวายราชสมบตั แิ กส่ มเดจ็ เจา้ พระยา มหากษตั รยิ ศ์ กึ บา้ นเมอื งจงึ จะอยเู่ ปน็ สขุ ชาวบา้ นแมล่ า๒ พากนั มาเขา้ ดว้ ย เปน็ อนั มาก ตา่ งจดั หาเรอื บรรทกุ พวกพอ้ งลอ่ งเรอื ลงมาในเพลากลางคนื เขา้ ปลน้ จวนพระพชิ ติ ณรงค์ ซง่ึ เปน็ ผรู้ กั ษากรงุ เกา่ ตง้ั กองเรง่ เงนิ ชาวเมอื ง อยใู่ นเวลานนั้ พระพชิ ติ ณรงคก์ บั กรรมการพากนั ขดั ขนื กถ็ กู ฆา่ ทหี่ นรี อด ก็รบี ลงมากราบทลู สมเด็จพระเจ้าตากสนิ มหาราชให้ทรงทราบ ๑ ดาวอนุราธ หรืออนุราธา เป็นชื่อกลุ่มดาวฤกษ์สี่ดวง บางทีเรียกว่าดาวหงอนนาค หรือ ดาวธนกู ม็ ี ถา้ วา่ ตามตำ�ราโบราณกว็ ่าไมด่ ี ใครเกดิ ในระยะนีก้ ็จะป่วยออดแอดเจ็บหัวตัวรอ้ น เติบใหญ่ขึ้นก็จะมีข้าศึกศัตรู จะตายด้วยอาวธุ ปืนผาหน้าไม้ เป็นต้น ๒ บ้านแม่ลาอยู่ในเขตอำ�เภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา ตามลักษณะภมู ิศาสตร์ ก็อยู่เหนืออำ�เภอพระนครศรีอยุธยาขึ้นไป เมื่อชาวบ้านแม่ลาจะปล้นจวนพระพิชิตณรงค์ จึงต้องลงเรือล่องมา ส. พลายน้อย 7
ในเวลานน้ั พระยาสรรคบุรลี งมาอยู่กรุงธนบรุ ี จงึ ดำ� รสั ให้พระยา สรรคข์ น้ึ ไปจบั พวกกบฏ แตพ่ ระยาสรรคก์ ลบั ไปเขา้ กบั พวกนายบนุ นาค และได้รับมอบหมายให้เป็นนายทัพยกลงมาตีกรุงธนบุรีเม่ือวันที่ ๙ มนี าคม และเพื่อให้รู้ว่าใครเป็นใคร พวกทหารฝ่ายกบฏก็ใส่มงคลแดง เปน็ เครอ่ื งหมาย การเขา้ ยดึ กรงุ ธนบรุ คี รงั้ นน้ั งา่ ยดายมาก เพราะสมเดจ็ พระเจ้ากรงุ ธนบรุ ไี ม่ทรงคิดต่อสู้ ทรงเหน็ ว่าเป็นคนไทยด้วยกนั น่าจะ พดู จาตกลงกนั ได้ ไมต่ อ้ งถงึ กบั เสยี เลอื ดเนอ้ื จงึ ตกลงจะขอบวช พระยา สรรค์ก็เข้าว่าราชการแผ่นดนิ ได้ในวนั ท่ี ๑๑ มีนาคมน้นั เอง การได้บ้านเมืองง่ายๆ เช่นน้ี ทำ� ให้พระยาสรรค์เปล่ียนใจคิดจะ เอาราชสมบตั เิ สยี เอง ขนเอาเงนิ ในทอ้ งพระคลงั ออกแจก พวกทเ่ี หน็ แกเ่ งนิ ก็สนับสนุน พวกที่ยังยึดหลักการเดิมที่ว่าจะยกราชสมบัติให้แก่สมเด็จ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกก็ไม่ยอมรับ พวกหลังนี้ได้แก่นายบุนนาค หลวงชนะ ขนุ สรุ ะ ตา่ งไมย่ อมเหยยี บเรอื สองแคม ซง่ึ หลงั จากเหตกุ ารณ์ สงบเรยี บรอ้ ยแลว้ นายบนุ นาคไดเ้ ปน็ พระยาไชยวชิ ติ ๓ หลวงชนะไดเ้ ปน็ พระยาสรรคบรุ ี และขนุ สรุ ะไดเ้ ปน็ พระยาสหี ราชเดโชไชย เมอื่ เหตกุ ารณ์ เปล่ียนแปลงไปเช่นน้ี ก�ำลังของฝ่ายกบฏก็อ่อนลง ฝ่ายสนับสนุน สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกต่างก็ส่งข่าวความเคลื่อนไหวออกไป แจ้งแก่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ซ่ึงก�ำลังปราบจลาจลอยู่ใน แดนเขมร ทำ� ใหก้ ารวางแผนเขา้ ยดึ กรงุ ธนบรุ รี ดั กมุ ยงิ่ ขน้ึ เพราะอยา่ งนอ้ ย กม็ กี องทพั พระยาสรุ ยิ อภยั (นามเดมิ ทองอนิ ภายหลงั ทรงสถาปนาเปน็ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ แล้วเป็น กรมพระราชวงั หลัง) เป็นกำ� ลงั คมุ เชงิ อยู่ในกรุงแล้ว ๓ ภายหลังได้เป็นเจ้าพระยาพลเทพ แต่พอขึ้นรัชกาลที่ ๒ ก็ถูกจับข้อหาสมคบกับสมเด็จ เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิต พระราชโอรสสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จะล้มราชวงศ์จักรี และถกู ประหารชีวิตพร้อมกับหลานชาย 8 ๑๐๘ ทกี่ รุงเทพฯ
เม่ือกองทัพสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมาถึงทุ่งแสนแสบ หลวงสรวชิ ติ (หน) นายดา่ นเมอื งอทุ ยั ซงึ่ มารว่ มวางแผนปราบพระยาสรรค์ ก็ข้ึนม้าออกไปรับเสด็จน�ำทัพหลวงเข้ามาถึงกรุงธนบุรีฟากตะวันออก เมอื่ วนั ท่ี ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ เพลาเชา้ สองโมงเศษ พระยาสรุ ยิ อภยั จัดปลูกพลับพลารับเสด็จริมสะพานท่าวัดโพธาราม (วัดพระเชตุพน วมิ ลมังคลาราม) เม่ือเสด็จลงจากช้างหยดุ ประทบั ณ พลับพลาหน้าวัด แล้ว ท้าวทรงกันดาลทองมอญซึ่งเป็นผู้ใหญ่อยู่ในพระราชวัง ก็กราบ ถวายบังคมทูลเชิญเสด็จลงเรือพระที่นั่งข้ามไปเข้าพระราชวังโดย เรียบร้อย พระยาสรรค์และพวกกบฏเกรงพระเดชานุภาพ พากนั มาเฝ้า กราบถวายบงั คมพรอ้ มกบั ขนุ นางทง้ั ปวงดว้ ย ตอ่ จากนน้ั ไดต้ รสั ปรกึ ษาโทษ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี บรรดามุขมนตรีท้ังปวงก็ลงมติว่าควรจะ ส�ำเรจ็ โทษ สรุปความตามพงศาวดารว่าเพชฌฆาตได้หามสมเด็จพระเจ้า กรงุ ธนบรุ อี อกไปนอกพระราชวงั ถงึ หนา้ ปอ้ มวชิ ยั ประสทิ ธิ์ กป็ ระหารชวี ติ ตดั ศรี ษะเสียในวนั นนั้ (๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕) เร่ืองวันสวรรคตของ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีน้ี บางท่านก็เชื่อตามจดหมายเหตุของฝรั่งคือ เมอซิเออร์ เดอ คูร์วแี วร์ กล่าวไว้ (พงศาวดารภาคท่ี ๓๙) ตอนหน่ึงว่า มีเสียงกล่าวกันว่า ท่ีพระเจ้าตากต้องสวรรคตลงนั้น เปน็ ดว้ ยพวกราษฎรมคี วามโกรธแค้นนัก จึงไดจ้ บั พระเจา้ ตาก ฆา่ เสยี แตพ่ ระเจา้ ตากจะสวรรคตดว้ ยประการใดกต็ าม กเ็ ปน็ อนั แน่นอนว่าพระเจ้าตากได้ถูกปลงพระชนม์สวรรคตเมื่อวันที่ ๗ เดือนเมษายน ค.ศ. ๑๗๘๒ (พ.ศ. ๒๓๒๕) ส. พลายน้อย 9
แต่ตามความเห็นของศรีชลาลัย นักค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวกับ กรงุ ธนบรุ เี ชอื่ วา่ “ทรงผนวชอยไู่ มถ่ งึ เดอื นกถ็ กู ปลงพระชนมใ์ นพระวหิ าร (วัดอรณุ ฯ) นน้ั ณ วนั ท่ี ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕” เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกปราบดาภิเษก เสด็จเถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิแล้ว ได้มพี ระราชดำ� รัสว่า เมอื งธนบรุ นี ้ี ฝง่ั ฟากตะวนั ออกเปน็ ทชี่ ยั ภมู ดิ กี วา่ ทฟ่ี าก ตะวนั ตก โดยเปน็ ทแี่ หลม มลี ำ� นำ�้ เปน็ ขอบเขตอยกู่ วา่ ครง่ึ ถา้ ตงั้ พระนครขา้ งฝั่งตะวันออก แมน้ ข้าศึกยกมาตดิ ถึงชานพระนคร ก็จะต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่าอยู่ข้างฝั่งตะวันตก ฝั่งตะวันออก นนั้ เสยี แตเ่ ปน็ ทล่ี มุ่ เจา้ กรงุ ธนบรุ จี งึ ไดต้ งั้ อยฝู่ ง่ั ตะวนั ตกซงึ่ เปน็ ท่ีดอน แต่ก็เป็นคุ้งน�้ำเซาะทรุดพังอยู่เสมอไม่ถาวร พระราช มณเฑียรสถานเล่าก็ตั้งอยู่ในอุปจารระหว่างวัดแจ้งและวัด ท้ายตลาดขนาบอยู่ทั้งสองข้าง ควรเป็นท่ีรงั เกียจ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี 10 ๑๐๘ ทกี่ รุงเทพฯ
ส. พลายน้อย 11
12 ๑๐๘ ทกี่ รุงเทพฯ
แผนที่กรงุ เทพฯ วาดโดย Imperial Japanese Government Railways ราว พ.ศ. ๒๔๖๓ แผนที่กรงุ เทพฯ จากหนังสือ Description du Royaume Thai ou Siam ของสังฆราชปาเลอกัว พิมพ์ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๗ ส. พลายน้อย 13
หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายพระนครจากกรุงธนบุรีข้ามฟากมาตั้ง ทางฝั่งตะวันออก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตง้ั การพระราชพิธี ปราบดาภิเษกโดยสงั เขปเม่ือวันท่ี ๑๓ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๓๒๕ ครั้งหนง่ึ ครน้ั ถงึ ปีมะเสง็ พ.ศ. ๒๓๒๘ การสร้างพระนครและพระมหาปราสาท ราชนิเวศส�ำเร็จดังพระราชประสงค์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ จัดการพระราชพิธีปราบดาภิเษกข้ึนใหม่อีกครั้ง และทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้จดั การสมโภชพระนครต่อเนอ่ื งกันไปในปีเดยี วกนั นัน้ ครน้ั เสรจ็ การฉลองพระนครแลว้ จงึ พระราชทานนามพระนครใหม่ ใหต้ อ้ งกบั นามพระพทุ ธรตั นปฏมิ ากรวา่ “กรงุ เทพมหานคร บวรรตั นโกสนิ ทร์ มหินทรายุธยา มหาดลิ กภพ นพรัตนราชธานบี รู รี มย์ อดุ มราชนิเวศน์ มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธ์ิ” ซงึ่ ตอ่ มาในสมยั รชั กาลที่ ๔ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รง แปลงสร้อยท่วี ่า “บวรรตั นโกสินทร์” เป็น “อมรรตั นโกสนิ ทร์” นอกน้ัน คงเดมิ 14 ๑๐๘ ทก่ี รุงเทพฯ
วดั
วดั สำ�คัญประจ�ำ เมืองใหญ่ วดั สำ� คญั ทม่ี ที กุ เมอื งใหญข่ องไทยมอี ยดู่ ว้ ยกนั สามวดั คือ วัดมหาธาตฯุ วัดราชบรุ ณะ และวดั ราช- ประดษิ ฐฯ์ ทง้ั สามวดั นปี้ รากฏวา่ มที ง้ั ทเ่ี มอื งพษิ ณโุ ลก เมอื งสโุ ขทยั เมอื งสวรรคโลก พระนครศรอี ยธุ ยา และ กรงุ เทพฯ จะขอกลา่ วถงึ ประวตั วิ ดั ทง้ั สามในกรงุ เทพฯ แต่เพยี งย่อๆ พอให้ทราบถงึ ความส�ำคญั ดังต่อไปน้ี 16 ๑๐๘ ทกี่ รุงเทพฯ
วดั มหาธาตุยุวราชรงั สฤษฎิ์ วดั มหาธาตยุ วุ ราชรงั สฤษฎเิ์ ปน็ วดั เกา่ แกต่ งั้ แตส่ มยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา แต่เดิมเรยี กกนั ว่า “วดั สลัก” หรอื “ฉลัก” สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำ� รง ราชานภุ าพทรงสนั นษิ ฐานวา่ จะเปน็ เพราะเมอื่ แรกสรา้ งมขี องสง่ิ ใดทำ� ดว้ ย ฝมี อื สลกั ไมไ่ ดท้ ำ� แบบเกลยี้ งๆ เหมอื นอยา่ งวดั อนื่ ๆ จงึ พากนั เรยี กชอ่ื วา่ วัดสลกั ก็เป็นได้ มเี กรด็ ประวตั เิ กย่ี วกับวดั นีเ้ รอ่ื งหน่งึ คอื เม่อื สมเด็จพระบวรราช เจา้ มหาสรุ สงิ หนาท แตค่ รง้ั ยงั เปน็ นายสดุ จนิ ดา เมอ่ื เหน็ วา่ กรงุ ศรอี ยธุ ยา จะแตกแน่แล้ว จึงชวนเพอ่ื นลงเรอื โกลนหนอี อกจากกรงุ ไปหาพี่ชายคือ หลวงยกกระบตั รทเ่ี มอื งราชบุรี คำ�่ วันหนง่ึ พายเรือมาถึงวดั แจ้ง แลเหน็ แสงไฟบนป้อมปากคลองบางกอกใหญ่ที่พม่าตั้งกองคอยสกัดกั้นผู้คน อยู่ตรงน้ัน เห็นท่าไม่ปลอดภัยจึงชวนกันจอดเรือพักซ่อนตัวอยู่หน้า วัดสลัก และนายสุดจินดาได้อธิษฐานว่า ถ้ารอดพ้นจากพม่าไปได้และ มอี ำ� นาจวาสนา ตอ่ ไปภายหนา้ กจ็ ะกลบั มาทำ� นบุ ำ� รงุ วดั น้ี ฉะนนั้ เมอื่ ไดร้ บั สถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๑ จึงได้ทรง สถาปนาวดั สลกั เมอื่ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๒๖ และไดท้ รงขนานนามวดั ใหใ้ หม่ ว่า “วัดนิพพานาราม” คร้ันถึงปีวอก พ.ศ. ๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จฬุ าโลกไดท้ รงปรารภ พรอ้ มดว้ ยสมเดจ็ พระอนชุ าธริ าช กรมพระราชวงั บวรฯ จะท�ำสังคายนาพระไตรปิฎก มีพระราชด�ำรวิ ่า วัดนิพพานาราม อยู่ระหว่างพระราชวังหลวงกับวังหน้า เหมาะที่จะเป็นที่ประชุมสงฆ์ท�ำ สงั คายนา เพราะสะดวกทจี่ ะเสดจ็ มาทง้ั สองพระองค์ เมอ่ื มพี ระราชดำ� ริ เช่นนั้นแล้ว จึงโปรดให้เปล่ียนนามพระอารามเสียใหม่ว่า “วัดพระศรี สรรเพชญดาราม” แตต่ อ่ มาประมาณ พ.ศ. ๒๓๔๖ กโ็ ปรดใหเ้ ปลยี่ นนาม ส. พลายน้อย 17
พระอารามใหม่อกี ครั้งหนง่ึ เป็น “วดั มหาธาตุ” ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๓๙ พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงบริจาคทรัพย์อันเป็นส่วนของสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ซ่ึงสวรรคตเมื่อปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๓๗ อุทิศพระราชทานให้ปฏิสังขรณ์พระอารามให้งดงามข้ึน แล้วโปรดให้เพิ่มสร้อยต่อนามพระอารามเฉลิมพระเกียรติสมเด็จ พระบรมโอรสาธริ าชพระองคน์ นั้ วา่ “วดั มหาธาตยุ วุ ราชรงั สฤษฎ”ิ์ อนั เปน็ นามสุดท้ายทย่ี งั คงใช้เรียกกนั ในปัจจุบนั น้ี วัดมหาธาตุยวุ ราชรังสฤษฎิ์ 18 ๑๐๘ ทก่ี รงุ เทพฯ
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ถา่ ยจากเครอ่ื งบนิ โดย ปเี ตอร์ วลิ เลยี ม ฮนั ต์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙ ที่มา : หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ วดั มหาธาตยุ วุ ราชรงั สฤษฎมิ์ สี ิง่ ทีแ่ ปลกกว่าวดั อ่นื ๆ ในกรุงเทพฯ อยา่ งหนง่ึ คอื มพี ระเจดยี ท์ องบรรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตปุ ระดษิ ฐานอยใู่ น พระมณฑป ซง่ึ เขา้ ใจวา่ จะทำ� ตามแบบวดั พระศรสี รรเพชญท์ ก่ี รงุ ศรอี ยธุ ยา (เรียกพระเจดยี ์นี้ว่า “พระเจดยี ์ศรีรตั นมหาธาตุ”) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์เป็นพระอารามหลวงช้ันเอก ชนิด ราชวรมหาวหิ าร ส. พลายน้อย 19
วดั ราชบรุ ณะ วัดราชบุรณะเป็นวัดโบราณประเภทพระอารามหลวงชน้ั โท ชนดิ ราชวรวหิ าร อยตู่ รงขา้ มโรงเรยี นสวนกหุ ลาบวทิ ยาลยั ถนนตรเี พชร เดมิ มชี อื่ วา่ “วดั เลยี บ” เหตทุ ม่ี ชี อื่ เชน่ น้ี มเี รอ่ื งเลา่ กนั มาวา่ ในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา มีพ่อค้าจีนคนหน่ึงชื่อเล๊ียบ ได้จอดเรือขายสินค้าอยู่บริเวณเชิงสะพาน พระพทุ ธยอดฟา้ ปจั จบุ นั นี้ เมอ่ื จนี เลย๊ี บรำ�่ รวยขนึ้ ไดม้ จี ติ ศรทั ธาสรา้ งเจดยี ์ วิหาร ศาลาการเปรยี ญ ขึ้นตรงบริเวณใกล้เคียงกบั ท่ตี นจอดเรือค้าขาย อยู่นนั้ ด้วยเหตุนี้คนจงึ เรียกวัดนี้ว่า “วดั จีนเล๊ยี บ” ต่อมาเรยี กกันส้ันๆ ว่าวดั เลียบ เรื่องนีค้ ล้ายกับชอ่ื วดั หงส์ ซ่ึงกล่าวกนั ว่าเจ้าขรัวหง ชาวจีน เป็นผู้สร้าง เรื่องช่ือของวัดบางท่านมีความเห็นว่า อาจจะน�ำมาจากชื่อต้นไม้ คอื ตน้ เลยี บกไ็ ด้ แตท่ น่ี ำ� มากลา่ วไวก้ เ็ พอื่ ใหท้ ราบวา่ เคยเชอื่ กนั มาอยา่ งไร เท่านัน้ จะขอกล่าวประวัตทิ ่มี ีหลกั ฐานต่อไป วัดเลียบคงร่วงโรยมานาน เพราะบ้านเมืองไม่ปกติสุข ครั้นถึง สมัยกรุงเทพฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหรริ กั ษ์ พระโอรสสมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระศรีสุดารักษ์ (สมเด็จพระพี่นางในรัชกาลท่ี ๑) เสด็จประทับ เป็นประธานรักษาพระนครทางด้านประตูสะพานหัน ด้านต้นทางที่จะ ไปส�ำเพ็ง ซ่ึงมีอาณาบริเวณใกล้กับวัดเลียบ จึงได้ทรงรับปฏิสังขรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงช่วยและพระราชทาน นามใหม่ว่า “วดั ราชบุรณะ” ต่อมาในรชั กาลที่ ๒ โปรดให้ถอนสมี าเก่า แล้วสร้างพระอุโบสถและพระวิหารใหม่ ซ่ึงเห็นจะเป็นการปฏิสังขรณ์ ครั้งใหญ่ทส่ี ุด เพราะในรัชกาลท่ี ๓ กไ็ ม่ปรากฏว่าได้ซ่อมแซมอะไรมาก นอกจากทรงสร้างพระปรางค์องค์หน่ึง ซ่ึงถือว่างดงามเป็นแบบอย่างให้ ในรชั กาลท่ี ๔ - ๕ ได้ทรงปฏสิ งั ขรณ์บ้าง 20 ๑๐๘ ทก่ี รงุ เทพฯ
พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย วัดราชบรุ ณะก่อนถูกลกู ระเบิดทำ�ลาย โปรดเกล้าฯ ให้ทำ�การก่อสร้างพระอโุ บสถ ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ และพระวิหารวัดราชบรุ ณะใหม่ ให้งดงามกว่าเดิม ที่มา : หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ ภูมิทัศน์โดยรอบวัดราชบรุ ณะก่อนถูกระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ คร้ันเมื่อสงครามโลกครัง้ ท่ี ๒ วัดราชบุรณะถกู ลกู ระเบดิ ท�ำลาย พระอุโบสถและพระวิหารพังหมดท้ังวัด เหลือแต่พระปรางค์ที่สร้างใน รัชกาลที่ ๓ เพียงองค์เดยี ว ในปัจจบุ นั ได้บรู ณปฏิสังขรณ์ขึน้ ใหม่ ส. พลายน้อย 21
22 ๑๐๘ ทกี่ รุงเทพฯ
วดั ราชบรุ ณะถกู ระเบดิ ชว่ งสงครามโลกครง้ั ท่ี ๒ ที่มา : หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ ส. พลายน้อย 23
วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม วัดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น วัดราชประดิษฐส์ ถิตมหาสีมาราม แตก่ อ่ นนนั้ ทดี่ นิ บรเิ วณทเ่ี ปน็ วดั ราชประดษิ ฐฯ์ (ระหวา่ งถนนราชนิ ี กบั คเู มืองเดิม) เป็นสวนกาแฟของพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ สวนกาแฟรกร้างไม่ได้ผล พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้สร้างวัดราชประดิษฐ์ฯ ข้ึนในที่น้ัน เม่ือปีชวด พ.ศ. ๒๔๐๗ ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระคลังข้างท่ี โดย ทรงพระราชอทุ ศิ วดั นเี้ ฉพาะพระสงฆค์ ณะธรรมยตุ ิ ซง่ึ ไดเ้ ปน็ ศษิ ยานศุ ษิ ย์ ศึกษาตามลัทธิธรรมที่พระองค์ได้ทรงตั้งข้ึน ถึงรัชกาลท่ี ๕ โปรดให้ แบ่งพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไปบรรจุไว้ใน 24 ๑๐๘ ทก่ี รงุ เทพฯ
พระพุทธอาสน์เพื่อเป็นที่สักการบูชาในวัดราชประดิษฐ์ฯ น้ีด้วย วัดน้ี มีชื่อเต็มว่า “วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม” จัดอยู่ในประเภท พระอารามหลวงช้นั เอก ชนดิ ราชวรวิหาร เร่ืองเก่ียวกับช่ือวัดมหาธาตุฯ วัดราชบุรณะ วัดราชประดิษฐ์ฯ สามวัดน้ี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงอธิบายไว้เป็น เรอ่ื งน่ารู้ จึงขอคดั มาให้อ่านเพ่ือเป็นหลกั ฐานดังต่อไปน้ี พระอารามซง่ึ บรจิ าคพระราชทรพั ยใ์ หจ้ ดั ซื้อท่แี ล้ว ทรง สถาปนาสรา้ งขน้ึ ในทศิ ตะวนั ออกพระบรมมหาราชวงั พระราชทาน นามไวว้ า่ วดั ราชประดษิ ฐส์ ถติ มหาสมี าราม ตามธรรมเนยี มโบราณ ซึ่งเคยมีมาในเมืองใหญ่ๆ ท่ีตั้งเป็นกรุงมหานคร อย่างเมือง สุโขทัย เมืองสวรรคโลก เมอื งพิษณโุ ลก และกรงุ เกา่ คือมี วดั มหาธาตุ และวดั ราชประดษิ ฐาน และวดั ราชบรุ ณะ เปน็ ของ ส�ำหรับเมืองทุกเมือง และนามช่ือว่าวัดราชประดิษฐ์ในครั้งน้ี แต่เดิมเร่ิมแรกสร้างก็ได้โปรดให้เขียนในแผ่นกระดานปักไว้ เป็นส�ำคัญ ภายหลังโปรดให้จารึกช่ือน้ันลงในเสาศิลาติด ตามก�ำแพงนั้นก็มี แต่บัดนี้มีผู้เรียกและเขียนลงในหนังสือ ตามดำ� รขิ องตนเองวา่ วดั ราชบณั ฑติ บา้ ง วดั ทรงประดษิ ฐบ์ า้ ง เปลี่ยนแปลงไปไม่ถูกต้องตามช่ือท่ีพระราชทานไว้แต่เดิม ท�ำให้เป็นสองอย่างสามอย่างเหมือนขนานช่ือข้ึนใหม่ เพราะฉะนั้นต้ังแต่น้ีสืบไป ห้ามอย่าให้ใครเรียกร้องและกราบ บงั คมทลู พระกรณุ า และเขยี นลงในหนงั สอื บตั รหมายในราชการ ต่างๆ ให้ผิดๆ ไปจากช่ือท่ีพระราชทานไว้น้ันเป็นอันขาด ส. พลายน้อย 25
ใหใ้ ช้ว่า วัดราชประดิษฐ์ หรือวา่ ให้สิ้นช่ือว่า วัดราชประดษิ ฐ์ สถติ มหาสีมาราม ใหย้ ่ังยนื คงอย่ดู งั นี้ ยังอีกวัดเลียบ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ทรงสร้าง พระอุโบสถใหม่และหอไตรลง ในหลวงจึงพระราชทานนามว่า วดั ราชบรุ ณะ เพอ่ื จะใหเ้ ปน็ คกู่ นั กบั วดั มหาธาตุ กเ็ ปน็ วดั เคราะหร์ า้ ย เหมือนกัน คนเรยี กวัดเลียบอย่นู ่นั เองทงั้ บ้านทัง้ เมอื ง เพราะ เปน็ คกู่ บั วดั โพธ์ิ เหมอื นบา้ นเลยี บ บา้ นแพน บา้ นโพ บา้ นหวา้ แขวง กรงุ เกา่ คลอ่ งปากนกั ยกั ไมไ่ ด้ อยา่ วา่ แตค่ นอน่ื เลย ถานานกุ รม ลางองคใ์ นวัดนน้ั เองไม่ร้จู ักชอ่ื วดั ราชบรุ ณะกม็ ี ไดย้ ินความตามลทั ธเิ ก่าข้างเมอื งเหนือเลา่ สบื มาว่า วัด มหาธาตุ มีทกุ เมอื งน้ัน เพราะเป็นพระเจดยี ส์ ถานของพระเจ้า อโศกมหาราช ตง้ั แตค่ รง้ั พระเจา้ อโศกมหาราชแผศ่ าสนาทกุ บา้ น ทกุ เมอื ง แตเ่ ดมิ ที ครน้ั ศาสนาตงั้ แลว้ พระเจา้ แผน่ ดนิ และราษฎร ในเมอื งนนั้ ๆ คดิ จะให้มวี ัดเป็นทอี่ ยขู่ องพระสงฆ์ข้นึ อีก ๒ วัด พระเจ้าแผ่นดินจึงสร้างวัดหน่ึงข้ึนด้วยพระราชทรัพย์หลวง ราษฎรเรยี่ ไรกนั สรา้ งวดั หนง่ึ ขนึ้ ดว้ ยทนุ เปน็ ของเรย่ี ไร จงึ ใหช้ อื่ วดั ราชบรุ ณะ แปลวา่ ราษฎรทำ� ใหเ้ ตม็ กฝ็ า่ ยวดั ทพี่ ระเจา้ แผน่ ดนิ สรา้ งจึงขนานนามว่า วดั ราชประดษิ ฐาน แปลว่าวดั ในหลวง สรา้ งดว้ ยทนุ หลวงอยา่ งเดยี ว แตว่ ดั มหาธาตเุ ปน็ ทต่ี งั้ พระบรมธาตุ ซ่ึงพระเจ้าอโศกมหาราชแจกมาแต่เดิม จึงเรยี กว่าวดั มหาธาตุ ค�ำโบราณเล่ามาอยา่ งนี้ ก็เมืองใหญ่ๆ มีวัดมหาธาตุ วัดราชประดิษฐาน วดั ราชบรุ ณะ ทกุ เมอื ง แตใ่ นกรงุ บางกอกนยี้ งั ไมม่ ี จงึ ทรงสรา้ งขนึ้ ที่ ทศิ ตะวนั ออกพระบรมมหาราชวงั แล้วทรงพระราชทานนามว่า 26 ๑๐๘ ทกี่ รุงเทพฯ
วัดราชประดิษฐ์ ก็คือวัดราชประดิษฐานน้ันเอง แต่ลดฐาน ออกเสยี เพราะกลวั คนจะเรยี กวา่ วดั ราดตดิ ฐาน เหมอื นทกี่ รงุ เกา่ ต่อไป วดั นภ้ี ูมิวัดเลก็ ใหญ่ก็เท่าๆ กันกบั วดั ราชประดษิ ฐานท่ี กรุงเกา่ แตเ่ ดี๋ยวนี้คนมาเรียกวัดราชบัณฑติ เรียกอยา่ งนผี้ ดิ พวกราชบัณฑิตไม่ได้เข้าทุนด้วย ถ้าใครขืนเรียกขืนเขียน อย่างน้ันจะปรับ ๒ ต�ำลึง วัดอรุณราชวราราม ในสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา วัดอรุณราชวรารามมีชื่อว่า “วัดมะกอก” เขา้ ใจวา่ บรเิ วณนน้ั จะเปน็ ดงมะกอกมากอ่ น และตำ� บลนน้ั กช็ อื่ บางมะกอก ด้วย ภายหลงั เม่อื เสียกรุงศรีอยธุ ยาแล้วจงึ เปลย่ี นเป็น “วัดแจ้ง” มเี รอ่ื ง เล่ากันว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกกองทัพล่องเรือมาถึง บางกอกตรงท่เี ป็นวดั มะกอกนัน้ เป็นเวลารุ่งแจ้งพอดี จงึ ได้ถอื นมิ ิตนั้น เรียกช่ือวัดว่า “วัดแจ้ง” ในสมัยกรุงธนบุรีไม่มีพระสงฆ์จ�ำพรรษาและ เปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานพระแกว้ มรกต ครนั้ ถงึ สมยั กรงุ เทพฯ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หล้านภาลยั ได้ทรงปฏสิ งั ขรณ์ต่อจากครง้ั รชั กาลท่ี ๑ โดย สร้างพระอุโบสถและพระวิหารต่อจนส�ำเร็จเรียบร้อย ในครั้งน้ันได้ ทรงพระอุตสาหะปั้นหุ่นพระพุทธรูปด้วยฝีพระหัตถ์ ประดิษฐานเป็น พระประธานในพระอโุ บสถ ไดพ้ ระราชทานพระนามวา่ “พระพทุ ธธรรม มิศรราชโลกนารถดิลก” และได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดอรุณ ราชธาราม” โดยแปลงจากนามว่าแจ้งนัน่ เอง ได้จดั การฉลองสมโภชเม่อื พ.ศ. ๒๓๖๓ ส. พลายน้อย 27
พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม พระปรางค์ใหญ่ที่เห็นอยู่ขณะนี้เดิมสูงเพียง ๑๖ เมตรเท่าน้ัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชปรารภจะสถาปนา พระปรางคอ์ งคน์ ใี้ หส้ งู ขนึ้ แตย่ งั ไมท่ นั ทจ่ี ะไดด้ �ำเนนิ การอยา่ งไรไดเ้ สดจ็ สวรรคตเสยี กอ่ น เมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสวยราชสมบตั ิ ตอ่ มา จงึ ไดโ้ ปรดใหด้ ำ� เนนิ การสถาปนาตอ่ ไปตามพระราชปรารภ ไดเ้ สดจ็ พระราชดำ� เนินไปทรงวางอิฐก่อพระฤกษ์เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. 28 ๑๐๘ ทกี่ รุงเทพฯ
๒๓๘๕ เม่อื สร้างเสร็จแล้ว พระปรางค์มขี นาดวัดฐานโดยรอบได้ ๒๓๔ เมตร สูง ๖๗ เมตร และได้สร้างปรางค์เล็กสท่ี ศิ เพ่ิมขึ้นอกี ด้วย สรุปว่าพระปรางค์องค์นีไ้ ด้ส�ำเรจ็ เรยี บร้อยในรัชกาลที่ ๓ ต่อมาในสมยั รชั กาลที่ ๔ ไดท้ รงตกแตง่ เพมิ่ เตมิ ให้สวยงามยงิ่ ขน้ึ เช่น โปรดให้ประดับกระเบื้องลายสีท่ีพระวิหารที่ผนังและท่ีเสานอก พระอุโบสถ เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้โปรดให้สร้างบุษบกยอดปรางค์ที่ มขุ หน้าและหลังพระอโุ บสถ กับโปรดให้หล่อพระพทุ ธนฤมิตร ซ่ึงเป็น พระพุทธรูปฉลองพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ข้ึนอีกพระองค์หนึ่ง เพื่อจะได้ประดิษฐานในบุษบกด้านหน้า แต่ พระราชด�ำรินี้ได้ด�ำเนินไปไม่เท่าไรก็สิ้นรัชกาล ต่อมาพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงด�ำเนินการก่อสร้างจนเสร็จบริบูรณ์ ตามพระราชประสงค์ นอกจากนี้ ในรชั กาลที่ ๔ ยงั ไดอ้ ญั เชญิ พระอรณุ ซง่ึ เปน็ พระพทุ ธรปู โบราณที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแต่คร้ังยัง ด�ำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้อัญเชิญมาจาก นครเวียงจันทน์ ไปประดิษฐานไว้ในพระวิหาร (เดิมอยู่ในพระบรม มหาราชวงั ) และไดอ้ ญั เชญิ พระบรมอฐั พิ ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัยประดิษฐานไว้ท่ีผ้าทิพย์ฐานพระประธานในพระอุโบสถด้วย แลว้ โปรดใหแ้ กน้ ามวดั จาก “วดั อรณุ ราชธาราม” เปน็ “วดั อรณุ ราชวราราม” ส. พลายน้อย 29
พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม สัญลักษณ์สำ�คัญของกรุงเทพฯ 30 ๑๐๘ ทก่ี รงุ เทพฯ
ส. พลายน้อย 31
เกาะหนา้ วัดอรณุ ราชวราราม รูปเกาะหน้าวัดอรุณราชวรารามเป็นรูปเก่าท่ีไม่แพร่หลายอีก รูปหนึ่ง คนส่วนมากนึกไม่ถึงว่าจะมีเกาะเช่นน้ีอยู่หน้าวัด รูปเดิมเป็น รูปภาพแผ่นสำ� หรับส่งไปรษณีย์ อย่างท่ที �ำขายในสมยั รชั กาลที่ ๕ เกาะนจี้ ะเกดิ ขนึ้ อยา่ งไรไมพ่ บหลกั ฐาน และในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ตอนต้น แม่นำ�้ ตรงหน้าวดั ยังไม่มี ยงั เป็นแผ่นดนิ ตดิ ต่อเป็นผืนเดยี วกนั ในหนงั สอื ภมู ศิ าสตรป์ ระเทศสยาม ของกรมต�ำรา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้กล่าวไว้ตอนหนง่ึ ว่า เมืองธนบุรีเดิมตั้งอยู่ในคลองบางกอกใหญ่ ตรงวัด คูหาสวรรค์ หรอื ที่เรียกวา่ วดั ศาลาสี่หนา้ เมอื่ รัชกาลสมเดจ็ พระชยั ราชาธริ าช สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา โปรดใหข้ ดุ คลองลดั แมน่ ำ้� เจา้ พระยาตงั้ แตป่ ากคลองบางกอกนอ้ ยเดย๋ี วน้ี มาถงึ ปากคลอง บางกอกใหญท่ ต่ี รงวดั อรณุ ราชวราราม คลองนน้ั นานมากลาย เป็นแม่น้�ำเจา้ พระยา จงึ ย้ายเมอื งธนบรุ มี าต้งั ป้อมปราการขึ้น ท่ีตรงวัดอรุณราชวราราม... ภายหลังเมื่อพระเจ้าตากสินได้ พยายามปราบปรามพมา่ คนื ความอสิ รภาพมาไดอ้ ยา่ งเดมิ และ ได้ยกเมอื งธนบุรขี ้ึนเปน็ ราชธานีในปลาย พ.ศ. ๒๓๑๐ น้นั ขนานนามวา่ กรุงธนบรุ ี ก่อนทีจ่ ะขุดคลองลดั นนั้ เมอ่ื มาจากกรงุ ศรอี ยุธยา จะต้องเลีย้ ว เข้าคลองบางกอกน้อย ไปเลี้ยวลงวัดข้ีเหล็ก ตลิ่งชัน กว่าจะมาออก ปากคลองบางกอกใหญ่ใช้เวลาต้ังแต่เช้าจนเย็น มีเร่ืองเล่าว่า ตอนเช้า 32 ๑๐๘ ทกี่ รงุ เทพฯ
หงุ ข้าวอยู่ปากคลองบางกอกน้อยแล้วลมื หม้อไว้ จนเรือมาถงึ ปากคลอง บางกอกใหญต่ อนเยน็ จะหงุ ขา้ วเยน็ กนิ นกึ ไดว้ า่ ลมื หมอ้ ขา้ วไว้ จงึ จอดเรอื แล้วเดินไปทางบก เอาหม้อกลับมาหุงข้าวเย็นกินได้ทันเวลา แสดงว่า คลองเดิมอ้อมมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรง พระราชนพิ นธถ์ งึ คลองโบราณนว้ี า่ ชอื่ คลองบางหลวง มคี วามตอนหนงึ่ วา่ ก็ล�ำบางกอกใหญ่นั้นแต่เดิมก็ใหญ่โตเท่ากับคลอง บางกอกนอ้ ย แตเ่ พราะตงั้ อยใู่ กลเ้ มอื งธนบรุ ี คนสรา้ งเหยา้ เรอื น ลงมามาก ปักถมที่ทางออกมาก็ท�ำให้แคบไป ราษฎรเห็นว่า เลก็ กวา่ ลำ� บางกอกนอ้ ย ไมค่ วรจะเรยี กวา่ บางกอกใหญ่ เหน็ วา่ เทา่ กบั ลำ� บางหลวงเสยี แลว้ กเ็ รยี กวา่ คลองบางหลวงเสยี ทเี ดยี ว แตผ่ รู้ เู้ ปน็ อนั มากไมว่ า่ อยา่ งนนั้ วา่ ทเ่ี รยี กวา่ คลองบางหลวงนน้ั เรียกเม่ือแผ่นดินเจ้าตาก เพราะพระเจ้าตากไปต้ังวังอยู่ที่วัง กรมหลวงวงษาเด๋ียวนี้ คนก็เรียกว่าวังหลวง ก็ในคลองนั้น เจา้ ตากใหไ้ ปไลบ่ า้ นราษฎรเปน็ อนั มากเอาเปน็ ทหี่ ลวง ประทาน ขนุ นางแลเจ้านายในแผ่นดนิ น้นั แลคนจะเดนิ เรอื ทางนั้นก็ตอ้ ง ระวังตัวต่างๆ คนจึงเรียกว่าคลองบางหลวงไป เพราะเป็น คลองรมิ วงั หลวง เหมอื นกบั จนี แตจ้ ว๋ิ ในแผน่ ดนิ นนั้ คนเรยี กวา่ จีนหลวง เพราะเปน็ เมอื งเดยี วฤๅพวกเดยี วกันกบั เจา้ ตาก แต่ในกระบวนราชการแล้ว เคยบาดหมายเพ็ดทูลว่า บางกอกใหญเ่ สมออยู่ ไมใ่ ชบ้ างหลวงเลย ใชว้ า่ คลองบางหลวง ต้ังแต่ด่านเลย้ี วเขา้ ไปข้างวัดปากน้ำ� นอกน้นั ออกมายังคงเป็น บางกอกใหญ่ ส. พลายน้อย 33
เกาะหน้าวัดอรณุ ราชวราราม เกาะที่เห็นในรูปน้ันจะเกิด บนเกาะมีเก๋งจีนขนาดเล็กหลังหนึ่ง แตค่ รงั้ ขดุ คลองลดั ดงั กลา่ วขา้ งตน้ และมีต้นไม้ต้นอินทผลัมขึ้นอยู่ หรือมีเหตุน�้ำเซาะอย่างใดหา หลกั ฐานไมพ่ บ แตม่ ที น่ี า่ สงั เกตวา่ ที่เกาะนั้นมีต้นไม้ขนาดใหญ่ อยู่ต้นหนึ่ง เรียกว่าต้นอินทผลัม พระยาวินิจวนันดรได้เขียนเล่าไว้ ในหนงั สอื ตำ� นานไม้ต่างประเทศ บางชนิดในเมืองไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ ตอนหนง่ึ ว่า เจา้ คุณพจนปรชี าวา่ เม่ือราว ๖๐ ปมี าแล้ว เคยเห็น (อนิ ทผลมั ) ในกรงุ เทพฯ มีอยู่ ๒ ตน้ คือต้นหน่งึ ท่เี กาะหน้า วดั แจง้ อกี ตน้ หนง่ึ ทว่ี ดั พระแกว้ เวลานนั้ ตน้ สงู ถงึ คอราว ๑๐ ศอก หรือ ๓ วา และตกผลแล้ว เจ้าคณุ พจนฯ สันนษิ ฐานวา่ บางที พวกแขกจะเอาเข้ามาจากเม็กกะในสมัยรัชกาลท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔) เกาะนอ้ี ยมู่ าจนถงึ รชั กาลที่ ๕ เมอ่ื ก.ศ.ร. กหุ ลาบ แตง่ นริ าศยสี าน ว่าได้ออกเรือจากกรุงเทพฯ เมื่อวนั ท่ี ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๒ ได้ พรรณนาถึงเกาะหน้าวดั อรุณราชวรารามไว้ชัดเจน 34 ๑๐๘ ทก่ี รงุ เทพฯ
ตะพานทา่ หน้ามุขมีสีห่ นา้ รูปกมุ ภาท�ำด้วยหินดิ้นไม่ไหว สองตวั ค่อู ยู่รมิ ท่าชลาไลย ตรงนัน้ ไซรม้ ีช่องร่องวาริน แผน่ ผาศลิ าลาดดูหยาดเหยาะ ท�ำเปน็ เกาะฝั่งทา่ ชลาสนิ ธุ์ มีเขื่อนคน่ั รายรอบเปน็ ขอบดนิ ปลกู ต้นอินทผลมั มีหนามคม ใบกางกางมีทางคล้ายกบั ตาล รสผลหวานแหลมชดิ สนทิ สนม มเี กง๋ ใกลไ้ ปมาเป็นท่าลม ดนู ่าชมทา่ เรอื จ้างหนทางจร จาก นริ าศยสี าน เร่อื งนจ้ี ึงเป็นหลกั ฐานแน่ชดั ว่า เกาะทห่ี น้าวดั อรณุ ราชวรารามทเ่ี หน็ ในรปู นนั้ เปน็ ความจรงิ และจะพงั ทลายจมนำ้� หายไป เมื่อใดไม่ทราบ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง เป็นวัดแบบ พทุ ธาวาส คอื ไมม่ พี ระสงฆอ์ ยจู่ ำ� พรรษา พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชโปรดใหส้ รา้ งพรอ้ มกบั พระนคร เมอ่ื ปขี าล พ.ศ. ๒๓๒๕ สร้างอยู่ ๒ ปี จงึ ได้อัญเชญิ พระพุทธมหามณรี ตั นปฏิมากรจากวดั อรุณ ราชวรารามมาประดษิ ฐานในพระอโุ บสถ เมอื่ ณ วนั จนั ทร์ เดอื น ๔ แรม ๑๒ คำ�่ ปมี ะโรง จ.ศ. ๑๑๔๖ ตรงกบั วนั ท่ี ๗ มนี าคม พ.ศ. ๒๓๒๗ แลว้ ส. พลายน้อย 35
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ถ่ายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙ โดย ปีเตอร์ วิลเลียมส์ ฮันต์ ที่มา : หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ 36 ๑๐๘ ทก่ี รงุ เทพฯ
นมิ นตพ์ ระสงฆร์ าชาคณะประชมุ ทำ� สงั ฆกรรมสวดผกู พทั ธสมี าในวนั นนั้ รปู ในหนา้ ๓๘-๓๙ มองจากดา้ นหลงั (ตะวนั ตก) ในพระบรมมหาราชวงั ท่ีเห็นหลังคาทางด้านขวามือคือพระอุโบสถ พระเจดีย์องค์ใหญ่นั้นคือ พระศรรี ตั นเจดยี ์ ซงึ่ สรา้ งตามแบบพระมหาสถปู ในวดั พระศรสี รรเพชญ์ ทก่ี รงุ ศรอี ยธุ ยา พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงกอ่ ฤกษเ์ มอื่ เดือนย่ี แรม ๑๑ คำ่� ปีเถาะ ตรงกบั วันที่ ๑ กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๙๘ พระราชทานนามวา่ พระศรรี ตั นเจดยี ์ ตอ่ มาพระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหมนื่ อดิศรอุดมเดช (ภายหลังเป็น พลโท กรมหลวง ต้นสกุลสุขสวัสด์ิ) ทำ� การเสรมิ พอกแกร้ ปู องคพ์ ระศรรี ตั นเจดยี แ์ ละปพู นื้ ประดบั กระเบอื้ งทอง เม่ือ พ.ศ. ๒๔๒๓ และพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั เสดจ็ พระราชด�ำเนินมาทรงบรรจุพระบรมธาตุในพระเจดีย์องค์เล็กแล้ว อัญเชิญไปบรรจุ ณ พระศรรี ตั นเจดีย์ เม่อื วนั ที่ ๒๕ กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๔ ถดั พระศรรี ตั นเจดยี อ์ อกไปทางทศิ ตะวนั ออก เปน็ พระมณฑปใหญ่ ยอดแหลม ผนังรอบลายเทพนม องค์พระมณฑปแกะสลักลวดลาย ปดิ ทองประดบั กระจก ผนงั มซี มุ้ ประตเู ขา้ สพู่ ระมณฑปสด่ี า้ น บานประตู ทั้งสี่ด้านประดับมุกลาย ไพทีที่ตง้ั พระมณฑปมีบันไดนาคเป็นทางขึน้ ลง ตรงกบั ประตทู งั้ สด่ี า้ น มพี ลยกั ษย์ นื สองขา้ ง ชนั้ บนบนั ไดละหนง่ึ คู่ สม่ี มุ ไพทีหน้าเสาบัวพระมณฑปก่อเป็นฐานตั้งพระพุทธรูปศิลา ส่วนภายใน พระมณฑปนั้นมเี สอื่ ทสี่ านด้วยลวดเงนิ ปูเต็มพ้ืนที่ แล้วตงั้ ตู้ทรงมณฑป ประดับมกุ ลวดลายงดงาม ต่อจากพระมณฑปออกไปเห็นเป็นยอดปรางค์น้ันคือปราสาท พระเทพบดิ ร ซง่ึ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหส้ รา้ งขน้ึ ด้วยมีพระราชด�ำริจะให้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ทรงก่อฤกษ์ ส. พลายน้อย 37
38 ๑๐๘ ทกี่ รุงเทพฯ
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ถ่ายโดย วิลเลียม ปีเตอร์ ฮันต์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙ ส. พลายน้อย 39
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระเจดีย์องค์ใหญ่คือพระศรีรัตนเจดีย์ 40 ๑๐๘ ทกี่ รงุ เทพฯ
ส. พลายน้อย 41
เมอ่ื เดือน ๖ แรม ๙ คำ�่ ปีเถาะ (วนั ที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๘) แต่ เมื่อสร้างแล้วเห็นไม่พอท่ีจะท�ำการพระราชพิธีต่างๆ จึงงดไว้ (ในที่ บางแหง่ กลา่ ววา่ ไดเ้ คยใชเ้ ปน็ ทส่ี อนพระปรยิ ตั ธิ รรมแกพ่ ระสงฆส์ ามเณร อยู่คราวหนง่ึ ) และเรยี กว่า “พระพุทธปรางค์ปราสาท” ครน้ั ถงึ สมยั รชั กาลที่ ๕ เมอื่ วนั ที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๖ เวลาคำ�่ ไดเ้ กดิ ไฟไหมห้ ลงั คาพระพทุ ธปรางคป์ ราสาท ไหมเ้ ครอื่ งไมห้ มดทงั้ หลงั พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงเป็น องค์ประธานในการดับเพลิง เหตุที่เกิดเพลิงไหม้ได้ความว่า สายไฟฟ้า ช�ำรุด ได้โปรดให้ทำ� เครอ่ื งบนใหม่ แต่การค้างอยู่จนตลอดรชั กาล 42 ๑๐๘ ทก่ี รงุ เทพฯ
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ซ่อมและ ตกแต่งพระพุทธปรางค์ปราสาทให้เรียบร้อยงดงามดี แล้วอัญเชิญ พระบรมรปู พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทงั้ หา้ รชั กาล ทปี่ ระดษิ ฐานอยู่ พระทนี่ ง่ั ศวิ าลยั มหาปราสาทไปประดษิ ฐาน ณ พระพทุ ธปรางคป์ ราสาท ซึง่ พระราชทานนามใหม่ว่า “ปราสาทพระเทพบิดร” และทรงพระกรณุ า โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูปในวันท่ี ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๑ เป็นคร้ังแรก ส. พลายน้อย 43
หอระฆังวดั พระแก้ว หอระฆังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้รับการยกย่องว่าเป็น หอระฆงั ทมี่ รี ปู ทรงงดงาม ฝมี อื การประดบั กระเบอื้ งกป็ ระณตี ตามประวตั ิ กล่าวว่าพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รชั กาลที่ ๔ โปรดให้รื้อ หอระฆงั ทส่ี รา้ งไวแ้ ตค่ รงั้ รชั กาลที่ ๑ แลว้ สรา้ งใหมใ่ นทเ่ี ดยี วกนั ในหนงั สอื จดหมายเหตุการบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามในการฉลอง พระนครครบ ๒๐๐ ปี พุทธศกั ราช ๒๕๒๕ (กรมศิลปากร) ได้อธิบาย ต่อไปอีกว่า “ในครั้งนั้นให้แขวนระฆังซึ่งขุดพบคราวทรงปฏิสังขรณ์ วดั ระฆงั โฆสติ าราม กลา่ วกนั วา่ เปน็ ระฆงั ทม่ี เี สยี งกงั วานไพเราะอยา่ งยงิ่ ” เรือ่ งระฆังน้เี ป็นปัญหา เพราะมีกล่าวไว้ไม่ตรงกนั ฝ่ายวัดระฆัง โฆสิตารามก็ว่าเอามาจากวัดระฆังฯ ฝ่ ายวัดสระเกศก็ว่าเอามาจากวัด สระเกศ จะจรงิ เทจ็ อยา่ งไรกไ็ มท่ ราบ บางทอี าจจะเปน็ ระฆงั ทเ่ี อามาแตค่ รง้ั รัชกาลที่ ๑ คร้ันร้ือหอระฆังสร้างใหม่ในรัชกาลท่ี ๔ ก็อาจเปลี่ยน ระฆังด้วย หรือเปล่ียนมาก่อนน้ันก็ได้ ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะมีกลอน เพลงยาวของกรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธ์ิ กล่าวถึงระฆังวัดพระศรี รัตนศาสดาราม ตอนหนึ่งว่า ถึงจะทุ่มหนักเบากบ็ นั ดาล ส่งกังวานเสนาะลัน่ ไม่พลกิ แพลง แตแ่ รกหลอ่ มากน็ านจนปานน้ี สบิ เจด็ ปที เ่ี ปน็ นิตย์ไมผ่ ิดกระแสง 44 ๑๐๘ ทกี่ รุงเทพฯ
กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธ์ิเป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๒ (พ.ศ. ๒๓๔๔ - ๒๓๙๙) ฉะน้นั ที่กล่าวว่าระฆังหล่อมาได้นาน ๑๗ ปี จงึ เปน็ ระฆงั ทหี่ ลอ่ ใหมอ่ ยา่ งแนน่ อน ไมใ่ ชร่ ะฆงั ทว่ี า่ เอามาจากวดั สระเกศ หรือวดั ระฆังฯ ที่กล่าวมาข้างต้น แต่จะหล่อเมอ่ื ไรไม่พบหลกั ฐาน ผู้ที่รู้เร่ืองการหล่อระฆังอีกคนหนึ่งก็คือ นายมี กวีมีช่ือในสมัย รชั กาลที่ ๓ ไดเ้ ขยี นจดหมายเหตพุ รรณนาถงึ ระฆงั วดั พระแกว้ ไวต้ อนหนง่ึ ว่า องค์ระฆังแขวนห้อยร้อยเหล็กห่วง อยู่กลางดวงดาว ยาววา ๑ ถงึ คอเหลก็ ล้วนปิดทอง ลงมาคลอ้ งหน่วงห่วงนาค หลังระฆังทองหล่อ ปากแลคอค่างแลขอบรอบไปล้วนใสขัด หมดจด ผา้ พาดและรดั ประคดแลปมุ่ นน้ั ปดิ สวุ รรณคำ� เปลวลว้ น โดยส่วนสงู ศอกคืบ ๕ นว้ิ กวา้ งศอก ๔ น้ิว ขึน้ ลอยล่ิวลั่นช่ือ ลือเสียงส�ำเนียงเสนาะ เม่ือถึงยามย่�ำบันเดาะเพราะดังเป็น กงั วาน วเิ วกหวานวงั เวงเงง่ แวว่ เขา้ แกว้ หู เปน็ ทชี่ ชู นื่ ใจไพรฟ่ า้ วงศาสรุ ศกั ดิ เคยประจกั ษจ์ ำ� สำ� เหนยี กสำ� เนยี งไกเ่ มอ่ื ตี ๑๑ ... และอีกตอนหน่ึงเล่าประวัติว่า ด้วยเดิมท่ีสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวอันทรงธรรอนันต คณุ วบิ ลุ เลศิ ฟา้ ทล่ี ว่ งแลว้ นน้ั ทรงหลอ่ พรอ้ มดว้ ยพระหนอ่ สรุ วิ ง เสนาองคนางใน ถอดกำ� ไลแหวนทองแลเงนิ แลนากนน้ั หลากหลาย ใสล่ ะลายหลอ่ หลอมพรอ้ มเพรยี งเสยี งจงึ ดี ดว้ ยพระบารมภี นิ หิ าร ส. พลายน้อย 45
หอระฆังภายใน วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว อนั ทรงหลอ่ ตอ่ ตงั้ มาครง้ั นเ้ี ลา่ สมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั อนั ทรง ธรรวริ ยิ าทกึ โดยลกึ ซงึ้ แสนละเอยี ดสขุ มุ ภาพมาทรงปฏสิ งั ขรณ์ กย็ งิ่ วัฒนาถาวรวิจิตรโจกระฆงั ทั้งจงั หวดั คู่บารมีพระศรีรตั น ปฏมิ ากรมรกฏ ซงึ่ พระอนิ ทรองคท์ รงรจนามาแตง่ ตงั้ ใครไดฟ้ งั ก็เป็นมงคลควรเงย่ี หชู นื่ ชใู จ ตามประวัติก็อาจเป็นได้ว่าระฆังได้หล่อเม่ือรัชกาลที่ ๒ และ รชั กาลท่ี ๓ ปฏสิ งั ขรณว์ ดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ความกด็ เู กย่ี วขอ้ งกนั ดี สรปุ ว่าเรอ่ื งระฆังทเี่ ล่ากันมาดังกล่าวข้างต้นไม่เป็นความจริง 46 ๑๐๘ ทก่ี รุงเทพฯ
ส. พลายน้อย 47
วดั พระเชตุพนวิมลมังคลาราม วดั นเี้ ดมิ มชี อื่ วา่ “วดั โพธาราม” เปน็ วดั โบราณ เขา้ ใจกนั วา่ จะสรา้ ง ระหว่าง พ.ศ. ๒๒๓๑ - ๒๒๔๖ ใครจะเป็นผ้สู ร้างไม่ทราบ เดมิ ทจี ะเป็น วัดที่ราษฎรสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา เม่ือพระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกทรงปฏสิ ังขรณ์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๒ สำ� เร็จเรียบร้อยแล้ว ได้พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส” และ สันนษิ ฐานว่าจะได้เปลีย่ นสร้อยใหม่ในรัชกาลท่ี ๔ (ราว พ.ศ. ๒๓๙๔) เปน็ “วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลารามราชวรมหาวหิ าร” แตค่ นโดยมากยงั นยิ มเรียกว่า “วัดโพธิ”์ ตามนามเดิมอยู่จนทกุ วนั นี้ วดั พระเชตพุ นฯ เปน็ วดั ทมี่ พี ระเจดยี ม์ ากทสี่ ดุ ในกรงุ เทพฯ เพราะ มพี ระเจดยี ร์ ายรอบนอกพระระเบยี ง ขนาดสงู ๓ วา ๒ ศอก รวมกนั ถงึ ๗๑ องค์ ส่วนพระเจดยี ์ขนาดใหญ่มีส่อี งค์ และต่างสีกนั จะขอเล่าสรุป ดังต่อไปนี้ พระมหาเจดีย์ท่ีสร้างเป็นองค์แรกคือที่ประดับกระเบื้องสีเขียว สรา้ งแตค่ รง้ั รชั กาลท่ี ๑ เรอ่ื งเดมิ มอี ยวู่ า่ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชโปรดใหช้ ะลอพระพทุ ธปฏมิ ากรศรสี รรเพชญท์ ถี่ กู พมา่ เอาไฟสมุ ลอกเอาทองไปเมอ่ื พ.ศ. ๒๓๑๐ จนองคพ์ ระทรดุ โทรมไมส่ ามารถ จะปฏิสังขรณ์ให้ดไี ด้นน้ั ลงมากรุงเทพฯ พระพทุ ธรปู องค์นี้ สมเดจ็ พระ รามาธิบดที ี่ ๒ ทรงสร้างเมอ่ื ปีขาล พ.ศ. ๒๐๑๓ เป็นพระพทุ ธรปู ยนื สูง ๘ วา พระเจดีย์รายภายในวัดพระเชตพุ นฯ ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ 48 ๑๐๘ ทก่ี รุงเทพฯ
ส. พลายน้อย 49
ในชนั้ แรกมพี ระราชประสงคจ์ ะหลอมหลอ่ ใหม่ แตเ่ มอ่ื ทรงปรกึ ษา พระสังฆราชและพระราชาคณะแล้ว ต่างเห็นว่าไม่สมควร จึงโปรดให้ บรรจุไว้ในพระเจดีย์แทน ปรากฏตามจดหมายเหตุพอสรุปความได้ว่า ณ วันศุกร์ เดือน ๓ ขึ้น ๑๐ คำ่� ปีขาล ฉศก เพลาเช้า (ตรงกบั วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๓๓๗) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราชเสด็จพระราชด�ำเนินพร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ์ เสนา พฤฒามาตย์ราชปโรหิต โหราจารย์มายังที่ลานพระมหาเจดีย์ จึงให้ ชักชะลอพระพุทธปฏิมากรศรีสรรเพชญ์อันช�ำรุดน้ันเข้าวางบนราก พระเจดีย์ที่ท�ำเตรียมไว้แล้ว ทรงวางอิฐทอง อิฐนาก อิฐเงินก่อราก ต่อจากนั้นข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวงระดมกันก่อฐานกว้าง ๘ วา ถงึ ทบ่ี รรจุ จงึ เชญิ พระบรมธาตแุ ลฉลองพระเขย้ี วแกว้ องคห์ นง่ึ พระเขย้ี วทอง องค์หน่ึง พระเขี้ยวนากองค์หน่ึง บรรจุในห้องพระมหาเจดีย์ แล้วก่อ สืบต่อไปจนสำ� เร็จ ยกยอดสูง ๘๒ ศอก ถวายนามว่า “พระมหาเจดยี ์ ศรีสรรเพชญ์ดาญาณ” พระมหาเจดยี อ์ งคน์ เ้ี มอื่ แรกสรา้ งหมุ้ ดว้ ยดบี กุ ตอ่ มาพระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงซ่อมใหม่ โปรดให้ประดับด้วยกระเบ้ืองเขียว และทรงสร้างพระมหาเจดีย์ข้ึนเคียงอีกข้างละองค์ องค์ทางทิศเหนือ ประดบั กระเบอ้ื งสขี าวทรงขนานนามวา่ “พระมหาเจดยี ด์ ลิ กธรรมนทิ าน” (ในพระราชพงศาวดารวา่ ดลิ กธรรมกรกนธิ าน) ทรงพระราชอทุ ศิ ถวาย สมเด็จพระบรมชนกนาถ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย องค์ทางใต้ประดับกระเบื้องสีเหลืองทรงขนานนามว่า “พระมหาเจดีย์ มุนปี ัตตบรขิ าร” เป็นส่วนของพระองค์เอง ครน้ั ถงึ วนั ท่ี ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๘๒ เพลากลางวนั พระองคเ์ จา้ ชุมสาย (กรมขุนราชสีหวิกรม) กราบทูลว่า ยอดพระเจดีย์ใหญ่วัด 50 ๑๐๘ ทกี่ รงุ เทพฯ
พระเชตุพนฯ น้ันเอียงไปต้ังแต่คอระฆังขึ้นไปท้ังสามองค์ องค์เหนือ เอียงมาข้างเหนือ องค์กลางเอียงมาข้างตะวันตก องค์ใต้เอียงไปข้างใต้ เอียงไปองค์ละศอกหนึ่ง ศอกเศษบ้าง ตรัสถามว่าทำ� อย่างไรจงึ เอยี งไป หมดทั้งสามองค์ พระองค์เจ้าชุมสายกราบทูลว่าเอียงด้วยหนักบัวกลุ่ม ครงั้ นนั้ ไมส่ ำ� ราญพระราชหฤทยั ตรสั ถงึ ยอดพระเจดยี ว์ า่ ชา่ งกระไรเลย เอยี งไปหมดทั้งสามองค์ทีเดยี ว จะเหลอื ให้สักองค์หนึ่งกไ็ ม่ได้ ไม่มใี คร เอาใจใส่ดูแล ครน้ั ถงึ รชั กาลท่ี ๔ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดให้ ถ่ายอยา่ งพระเจดยี ์วดั สวนหลวงสบสวรรค์ทจี่ งั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา มาสรา้ งอกี องคห์ นงึ่ ตรงกบั พระมหาเจดยี ศ์ รสี รรเพชญด์ าญาณ ประดบั กระเบื้องสีม่วงแก่ มองจะดูสูงกว่าองค์อ่ืนๆ และเพ่ิงมาแล้วเสร็จใน รชั กาลท่ี ๕ อนง่ึ เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ใกล้จะเสดจ็ สวรรคต ได้มพี ระราชด�ำรัสว่า พระเจดยี ์วดั พระเชตพุ นฯ นัน้ กลายเป็น ใส่คะแนนพระเจ้าแผ่นดินไป ถ้าจะใส่คะแนนอยู่เสมอจะไม่มีท่ีสร้าง ควรจะถอื วา่ พระเจา้ แผน่ ดนิ ทงั้ สพี่ ระองคน์ นั้ ทา่ นไดเ้ หน็ กนั ทงั้ สพ่ี ระองค์ จงึ ควรมพี ระเจดยี ์อยู่ด้วยกัน ต่อไปอย่าให้ต้องสร้างทุกแผ่นดินเลย นอกจากพระเจดีย์แล้ว ยังได้รวบรวมพระพุทธรูปเก่าๆ ตาม หัวเมืองมาไว้มากที่สุด ปรากฏในจารึกที่ผนังพระวิหารพระโลกนาถ ตอนหน่ึงว่า เชิญพระพุทธปฏิมากรอันหล่อด้วยทองเหลือง ทอง สมั ฤทธิ์ ชำ� รดุ ปรกั หกั พงั อยู่ ณ เมอื งพษิ ณโุ ลก เมอื งสวรรคโลก เมอื งสโุ ขทยั เมอื งลพบรุ ี เมอื งกรงุ เกา่ วดั ศาลาสห่ี นา้ ใหญน่ อ้ ย พันสองร้อยส่ีสิบแปดพระองค์ลงมาให้ช่างหล่อต่อพระศอ ส. พลายน้อย 51
พระมหาเจดีย์ที่วัดพระเชตพุ นฯ 52 ๑๐๘ ทก่ี รุงเทพฯ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปในการพระราชทานผ้าพระกฐิน ที่วัดพระเชตุพนฯ เมื่อเดือนตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๐๘ ที่มา : หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ พระเศยี ร พระหตั ถ์ พระบาท แปลงพระพกั ตร์ พระองคใ์ หง้ ามแลว้ พระพทุ ธรปู พระประธานวดั ศาลาสหี่ นา้ หนา้ ตกั หา้ ศอกคบื สนี่ วิ้ เชิญมาบูรณปฏิสังขรณ์เสร็จแล้วประดิษฐานเป็นพระประธาน ในพระอโุ บสถ บรรจพุ ระบรมธาตถุ วายพระนามว่า พระพทุ ธ เทวปฏิมากร ส. พลายน้อย 53
พระพทุ ธไสยาสน์ วัดพระเชตพุ นวิมลมังคลาราม 54 ๑๐๘ ทก่ี รุงเทพฯ
ส ่ ว น ท่ี พ ร ะ วิ ห า ร มี พ ร ะ พทุ ธไสยาสน์ ยาว ๑ เส้น ๒ วา ๒ ศอก วั ด พ ร ะ เ ช ตุ พ น วิ ม ล มั ง คลารามได้ชื่อว่าเป็นวัดมหา วิทยาลัย เพราะพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิต และนายช่างสาขาต่างๆ ปั้นรูป เขยี นภาพ หลอ่ รปู และจารกึ ตำ� รา วชิ าตา่ งๆ เชน่ ตำ� รายา วชิ าหมอนวด ตำ� ราโคลงฉนั ท์กาพย์กลอน ฯลฯ ลงในแผ่นศิลาประดับไว้ในท่ี เปิดเผย เป็นตลาดวิชาท่ีใครจะ เรียนก็ได้โดยไม่ต้องเสียเงิน วั ด นี้ จึ ง ถื อ เป ็ น เค ร่ื อ ง เชิ ด ชู พระเกียรติพระบาทสมเด็จพระ นัง่ เกล้าเจ้าอยู่หวั อกี อย่างหน่งึ ส. พลายน้อย 55
Search