Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยชั้นเรียน

วิจัยชั้นเรียน

Published by rattiyakorn.don, 2019-10-20 04:13:47

Description: วิจัยชั้นเรียน

Search

Read the Text Version

รายงานการวิจยั ในชน้ั เรยี น เรอ่ื ง โดย มิสวันดี จเู ปีย่ ม ครสู อนวิชา วทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ป.3 นาเสนอ โรงเรยี นอสั สัมชัญแผนกประถม ปกี ารศึกษา 2553

2 บทท่ี 1 บทนา ภูมหิ ลัง การพฒั นาประชากรให๎มคี ุณลักษณะนิสัยทเี่ อื้อตอํ การพัฒนาประเทศ จาเปน็ ตอ๎ งพฒั นาคุณธรรม ท้งั น้ี เพราะประเทศใดท่ีประชากรมคี ณุ ธรรมสูง เชนํ มรี ะเบยี บวินยั มีความรบั ผิดชอบ มีความซ่ือสตั ยส์ ุจรติ ประเทศนนั้ จะพัฒนาไปได๎อยํางรวดเรว็ ความรับผิดชอบเป็นคณุ ลักษณะหนงึ่ ของบคุ คลทแี่ สดงถึง ความเป็นผู๎มวี ุฒภิ าวะ ทางด๎านอุปนสิ ยั เพราะแตํละบุคคลยอํ มมบี ทบาททจี่ ะต๎องกระทามากมายในสงั คม เชนํ บทบาทของพลเมอื งดี บทบาทของลูก บทบาทของพอํ แมํ บทบาทของนักเรยี น เปน็ ต๎น ถ๎าทุกคนรับผดิ ชอบเปน็ อยาํ งดี ยํอมทาใหส๎ งั คมมี ความเจริญรงุํ เรอื งประเทศชาตกิ จ็ ะพฒั นาไปดว๎ ยดี การกระทาทกุ อยาํ งจะดีหรอื เลว จะสาเร็จหรอื ล๎มเหลว ยอํ มขึ้นอยํูกบั ความรับผดิ ชอบของบคุ คล บคุ คลทม่ี ีความรบั ผดิ ชอบสูงยอํ มเอาใจใสํตอํ หนา๎ ที่ของตน ทัง้ ในสวํ น ทีเ่ ก่ยี วขอ๎ งกบั ตนเอง และที่เกี่ยวขอ๎ งกบั ผูอ๎ ่นื สํวนบุคคลที่มีความรับผิดชอบตา่ ยอํ มไมสํ นใจในหน๎าท่ขี องตน ทาสงิ่ ใดกป็ ลอํ ยปละละเลย กอํ ให๎ตนเองและสงั คมเสียหาย ความรบั ผดิ ชอบจึงเป็นคุณลักษณะทพี่ งึ ประสงคข์ องสงั คม และเปน็ คณุ ลักษณะพ้ืนฐานของบคุ คล อนั จาเป็นตอํ การพัฒนาประเทศ และการดาเนนิ ชีวิตในสังคมประชาธิปไตย ดังนั้นการปลูกฝังคุณธรรมดา๎ นความรบั ผดิ ชอบให๎กบั ประชากรจงึ เป็นเรื่องสาคัญ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาแหํงชาติ (2545: 20) ยังได๎ตระหนักถึงการจัดการศึกษาและการจัด กระบวนการเรยี นรทู๎ ่ีเกีย่ วข๎องกับการพฒั นาลักษณะอันพงึ ประสงค์และการกาหนดสาระของหลกั สูตรไวใ๎ น พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหงํ ชาติ พ.ศ. 2542 ไว๎ในมาตรา 24(4) ไว๎วํา การจดั กระบวนการเรยี นรูใ๎ หส๎ ถานศึกษา และหนํวยงานทีเ่ ก่ียวข๎องจัดการเรยี นการสอนโดยผสมผสานสาระความร๎ตู าํ งๆ อยํางไดส๎ ัดสํวนสมดลุ กนั รวมทัง้ ปลูกฝงั คณุ ธรรม คํานิยมทด่ี งี าม และคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ไว๎ในทุกวชิ า และในมาตรา 28 วรรคสองไวว๎ าํ สาระของหลักสูตรท้ังที่เป็นวิชาการและวชิ าชพี ต๎องมุํงพฒั นาคนใหม๎ คี วามสมดุลท้งั ดา๎ นความร๎ู ความคิด ความสามารถ ความดงี าม และความรับผิดชอบตอํ สังคม แสดงให๎เหน็ วาํ ทัง้ พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหงํ ชาติ พ.ศ. 2542 และแผนการศึกษา ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมแหํงชาติ พ.ศ. 2545 – 2559 ตํางก็ให๎ความสาคัญกับ คุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ ซ่ึงไดแ๎ กํ ความมีระเบียบวนิ ัย ความรบั ผดิ ชอบ และความ ซอื่ สัตย์ เปน็ ต๎น จากข๎อมลู ดงั กลาํ วขา๎ งตน๎ จะเห็นไดว๎ าํ ความรับผดิ ชอบเปน็ คุณธรรมอนั สาคัญยงิ่ จะต๎องปลกู ฝังให๎เกิดเปน็ คุณธรรมประจาใจของมนุษย์เปน็ อันดับแรก หากทกุ คนมีความรบั ผดิ ชอบปญั หาตาํ งๆ ของสงั คมจะลดน๎อยลงไป มาก กจิ การท้ังหลายของบ๎านเมอื งจะเจรญิ ไปอยาํ งรวดเรว็ ความรับผดิ ชอบจึงเป็นสิ่งที่มคี วามสาคัญและ จาเปน็ ตอ๎ งปลกู ฝงั ให๎กับนักเรยี น เพราะความรบั ผิดชอบเปรยี บเสมือนรากฐานสาคัญท่ที าใหก๎ ิจกรรมตํางๆ สาเร็จ ลลุ ํวงไปดว๎ ยดี (คานงึ อยํูเลศิ . 2541: 1)

3 ตลอดระยะเวลาที่ผวู๎ ิจัยไดป๎ ฏิบัติหน๎าที่ครูผสู๎ อนวิชาวิทยาศาสตร์เปน็ เวลา 10 ปี ได๎สังเกตพบวํา นักเรยี น ของโรงเรยี นอัสสมั ชัญแผนกประถมบางสวํ นยงั ขาดความรบั ผดิ ชอบตํองานท่ีได๎รับมอบหมาย ซึง่ จะสํงผลให๎ นกั เรยี นเหลาํ น้ีมีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นต่า และเกิดผลเสยี ตํอนักเรียนอกี หลายด๎านตามมาในระยะยาวหากเป็น บุคคลทีข่ าดความรบั ผดิ ชอบตั้งแตํวยั เด็ก เบีย้ อรรถกรเปน็ ตัวเสริมแรงทม่ี ปี ระสิทธิภาพในการรกั ษาหรือเพม่ิ พฤตกิ รรมไดม๎ ากกวาํ ตวั เสริมแรงอน่ื ๆ เน่ืองจากมอี านาจในการแผํขยาย ( Generalized Reinforcers ) สามารถนาไปแลกเป็นตัวเสรมิ แรงได๎มากกวาํ 1 อยาํ ง ซ่งึ ทาให๎ไมหํ มดสภาพการเปน็ ตัวเสรมิ แรงเหมอื นกบั ตัวเสริมแรงอนื่ ๆ นอกจากนีเ้ บยี้ อรรถกรยงั สามารถ ใชเ๎ ปน็ ตัวเชื่อมโยงระหวํางพฤตกิ รรมเป้าหมายกบั ตวั เสรมิ แรงอนื่ ๆ เชํน เช่ือมโยงกบั อาหารทเี่ ด็กชอบหรอื กจิ กรรม ท่เี ดก็ สนใจ เปน็ ตน๎ และสามารถใหไ๎ ด๎ทนั ทหี ลงั จากพฤตกิ รรมเกดิ ขนึ้ ไมขํ ัดขวางกจิ กรรมทก่ี าลงั ดาเนนิ อยแํู ละ ใช๎ไดก๎ ับทุกคนรวมทัง้ การทดลองกบั กลํมุ ใหญๆํ แม๎วาํ แตลํ ะคนจะชอบตํางกันก็ตาม แตํก็สามารถนาเบี้ยไปแลก ของทต่ี นเองต๎องการได๎ เนอ่ื งจากมีสิง่ ของให๎แลกเปลีย่ นหลายอยําง และยงั สามารถใหเ๎ บยี้ อรรถกรไดต๎ ามจานวน พฤติกรรม ( สมโภชน์ เอีย่ มสภุ าษิต. 2526: 105 ) ดว๎ ยเหตุนี้ผวู๎ ิจยั จึงเกดิ ความสนใจที่จะใชเ๎ สรมิ แรงทางบวกด๎วยเบ้ียอรรถกรเพือ่ ปรับพฤตกิ รรมความ รับผดิ ชอบในการทางานท่ีไดร๎ ับมอบหมายในรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3/5 โรงเรยี นอสั สัมชญั แผนกประถม และเพ่อื ให๎นักเรยี นเป็นผ๎ทู ่ีมีคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงคต์ ามพระราชบญั ญัติ การศกึ ษาแหงํ ชาติ พ.ศ. 2542 สามารถเปน็ กาลังในการพัฒนาประเทศชาติตํอไปในอนาคต ความมงุ่ หมายของการศกึ ษาคน้ คว้า เพ่ือศึกษาผลของการใชแ๎ รงเสริมทางบวกด๎วยเบ้ยี อรรถกรทม่ี ีตํอพฤติกรรมความรบั ผดิ ชอบในการทางานท่ี ได๎รบั มอบหมายในรายวิชาวทิ ยาศาสตรข์ องนักเรยี นระดบั ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 3/5 ความสาคญั ของการศึกษาค้นควา้ ผลของการศกึ ษาในครงั้ นี้ เป็นประโยชน์แกํครู ผท๎ู ีเ่ กี่ยวข๎องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให๎แกํ นกั เรียนในการให๎แรงเสรมิ ทางบวกด๎วยเบย้ี อรรถกรไปใชใ๎ นการเสริมสร๎างพฤตกิ รรมความรบั ผิดชอบในการทางานท่ี ได๎รบั มอบหมายแกนํ กั เรยี น ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า 1. กลุ่มเป้าหมายทีใ่ ชใ้ นการศกึ ษาค้นคว้า กลํมุ เปา้ หมายทใ่ี ช๎ในการศกึ ษาคน๎ ควา๎ ได๎แกํ นกั เรยี นระดบั ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 3/5 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2553 โรงเรยี นอสั สัมชัญแผนกประถม แขวงยานนาวา เขตสาทร กรงุ เทพมหานคร จานวน 45 คน

4 2. ระยะเวลาทใ่ี ชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ ผว๎ู ิจัยดาเนินการทดลองในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2553 ใชเ๎ วลาในการทดลอง 24 คาบ คาบละ 50 นาที สปั ดาหล์ ะ 2 คาบ รวมทงั้ ส้ิน 12 สัปดาห์ ดาเนินการทดลองในชวั่ โมงเรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์ของ นักเรียนกลมํุ เปา้ หมาย 3. ตวั แปรทใ่ี ชใ้ นการศึกษา 3.1 ตวั แปรอสิ ระ ไดแ๎ กํ วิธีพฒั นาพฤตกิ รรมความรับผดิ ชอบในการทางานที่ได๎รับมอบหมายในรายวชิ า วทิ ยาศาสตรโ์ ดยการใช๎แรงเสริมทางบวกดว๎ ยเบยี้ อรรถกร 3.2 ตัวแปรตาม ไดแ๎ กํ ความรับผิดชอบในการทางานทไ่ี ดร๎ บั มอบหมายในรายวิชาวิทยาศาสตร์ นิยามศัพท์เฉพาะ 1. พฤตกิ รรมความรบั ผดิ ชอบในการทางานท่ไี ด้รบั มอบหมาย หมายถงึ การทีน่ ักเรียนแสดง พฤติกรรมต้งั ใจทางาน ทางานเสรจ็ และสํงงานตรงตามเวลาทีก่ าหนด และมีพฤติกรรมปรับปรงุ แก๎ไขงานใน รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ซ่งึ พฤตกิ รรมความรับผดิ ชอบในการทางานที่ได๎รบั มอบหมายในรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ จาแนกไดเ๎ ปน็ 1.1 พฤติกรรมความตงั้ ใจทางาน สงั เกตไดจ๎ ากการทีน่ กั ศกึ ษา 1.1.1 ปฏบิ ัตติ ามคาแนะนาของครู 1.1.2 ซักถามรายละเอียดและข๎อสงสัยในการทางานท่ีครูมอบหมายให๎ 1.1.3 ทางานทีค่ รมู อบหมายให๎ทาอยํางตํอเน่อื งจนงานน้นั สาเรจ็ โดยไมํแสดงพฤติกรรมอน่ื ซง่ึ ไมเํ ก่ยี วข๎องกบั งานท่ไี ดร๎ ับมอบหมาย เชํน สํงเสยี งรบกวนเพ่อื น ลุกจากที่น่ัง เป็นต๎น พฤตกิ รรมความตงั้ ใจทางาน วดั โดยใช๎การสังเกตและบนั ทกึ พฤติกรรมความต้งั ใจทางาน ถ๎าบันทกึ “1” ในชํวงเวลาทท่ี าการสงั เกต หมายความวาํ นักเรียนไดแ๎ สดงพฤตกิ รรมความตงั้ ใจทางานในชํวงเวลานั้น แตํถา๎ บนั ทึก “0” ในชวํ งเวลาท่ที าการสังเกต หมายความวาํ นักเรียนไมํไดแ๎ สดงพฤตกิ รรมความตงั้ ใจทางานใน ชวํ งเวลาน้นั และคดิ คะแนนการแสดงพฤติกรรมความตัง้ ใจทางานเปน็ รอ๎ ยละของแสดงพฤตกิ รรมความตั้งใจ ทางาน 1.2 พฤติกรรมการทางานเสร็จและสงํ งานตามกาหนด หมายถงึ การทน่ี กั เรียนสามารถปฏบิ ัติงานท่ีครู มอบหมายได๎และนาไปสํงครูตามเวลาท่เี วลาท่คี รูกาหนดซึง่ เป็นชวั่ โมงเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์ในคาบเรียนตํอไป พฤติกรรมการทางานเสร็จและสํงงานตามกาหนด ซ่ึงวดั โดยแบบบันทึกความถีข่ องการทางานเสร็จและสํง งานตามกาหนด ใน 1 คาบเรยี นจะกาหนดใหส๎ งํ งาน 2 คร้งั คอื หลังครูจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนเสรจ็ แล๎ว จะทาให๎ทาแบบฝึกหดั ทา๎ ยคาบเรยี นเปน็ การสํงงานครง้ั แรก และสํงงานที่ตอ๎ งแก๎ไขเป็นการสงํ งานครง้ั ที่ 2 ถา๎ นกั เรยี นทางานเสร็จและสํงงานตรงตามเวลาท่ีกาหนด ผ๎ูวจิ ัยจะบันทึก “1” แตถํ ๎าเมอ่ื ถึงกาหนดเวลานักเรยี น

5 ทางานไมเํ สร็จหรอื ไมนํ างานมาสํงผู๎วิจัยจะบันทึก “0” ถ๎านักเรียนนกั เรยี นสงํ งาน 2 ครัง้ จะคิดคะแนนพฤติกรรม ทางานเสร็จและสงํ งานตามกาหนดเป็นร๎อยละ 100 ถา๎ นกั เรียนสงํ งาน 1 ครัง้ จะคิดคะแนนพฤตกิ รรมการทางาน เสรจ็ และสงํ งานตามกาหนดเทํากับร๎อยละ 50 แตถํ า๎ นักเรียนไมํสํงงานเลยจะคดิ คะแนนพฤติกรรมการทางานเสร็จ และสงํ งานตามกาหนดเทาํ กับรอ๎ ยละ 0 การคานวณคา่ คะแนนพฤตกิ รรมความรบั ผดิ ชอบในการทางานทีไ่ ด้รับมอบหมาย หาไดจ๎ ากการรวมคะแนนร๎อยละของพฤตกิ รรมท้งั 2 สํวน คอื พฤตกิ รรมความต้ังใจทางาน พฤติกรรม การทางานเสร็จและสํงงานตามกาหนดแล๎วหารดว๎ ย 2 ก็จะไดค๎ ะแนนพฤตกิ รรมความรบั ผดิ ชอบในการทางานที่ ได๎รับมอบหมาย ถา๎ นักเรยี นมีคะแนนเฉลย่ี พฤติกรรมความรบั ผดิ ชอบในการทางานทีไ่ ด๎รบั มอบหมายต่ากวาํ รอ๎ ย ละ 50 แสดงวํานกั เรียนมพี ฤตกิ รรมความรับผดิ ชอบในการทางานท่ีได๎รบั มอบหมายต่า 2. การเสรมิ แรงทางบวกด้วยเบ้ยี อรรถกร ( Token Reinforcement ) หมายถึง วิธีการปรับ พฤตกิ รรม โดยการใช๎คะแนนเปน็ ตัวเสรมิ แรงทางบวกแกพํ ฤติกรรมเป้าหมายภายหลังจากท่ีนักเรียนแสดง พฤติกรรมความรับผดิ ชอบในการทางานทไี่ ด๎รับมอบหมาย โดยมเี กณฑก์ ารเสรมิ แรงตามเงือ่ นไขท่ีกาหนดและ คะแนนนส้ี ามารถนาไปแลกเป็นสิ่งของได๎ 3. คา่ เฉลี่ยพฤติกรรม หมายถงึ ผลรวมของคาํ ร๎อยละของการแสดงพฤติกรรมความรับผดิ ชอบในการ ทางานท่ีได๎รบั มอบหมายในชวํ งเวลาท่ีกาหนดท้ังหมดหารดว๎ ยจานวนคร้ังของการสังเกตพฤตกิ รรมในแตํละรายการ ของการทดลอง กรอบแนวคิดในการทาวจิ ยั วิธพี ัฒนาพฤตกิ รรมความ ความรับผิดชอบในการ รับผดิ ชอบในการทางานท่ีไดร๎ บั ทางานทีไ่ ดร๎ ับ มอบหมายในรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ โดยการใชแ๎ รงเสรมิ ทางบวกด๎วย มอบหมายในรายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ เบย้ี อรรถกร สมมติฐานของการวิจัย นกั เรียนระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 3/5 มพี ฤติกรรมความรบั ผิดชอบในการทางานทไ่ี ด๎รบั มอบหมายใน รายวิชาวทิ ยาศาสตรม์ ากข้ึนหลังการใช๎แรงเสรมิ ทางบวกด๎วยเบ้ียอรรถกรและมพี ฤตกิ รรมความรับผดิ ชอบในการ ทางานท่ีได๎รับมอบหมายสงู กวําร๎อยละ 70

6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ในการวจิ ยั ครง้ั น้ี ผว๎ู จิ ยั ไดศ๎ ึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ยี วข๎อง และได๎นาเสนอตามหัวข๎อ ตํอไปนี้ 1. เอกสารและงานวิจัยทเี่ กยี่ วข๎องกบั ความรับผดิ ชอบ 1.1 ความหมายของความรับผิดชอบ 1.2 ประเภทของความรับผดิ ชอบ 1.3 ความสาคญั ของความรับผดิ ชอบ 1.4 ลกั ษณะของบุคคลท่มี คี วามรับผดิ ชอบ 1.5 การปลกู ฝังความรบั ผดิ ชอบ 1.6 ปจั จยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอํ การพฒั นาความรบั ผดิ ชอบ 1.7 การวัดความรับผิดชอบ 1.8 งานวิจยั ทีเ่ กีย่ วขอ๎ งกับความรบั ผิดชอบ 2. เอกสารท่เี ก่ยี วขอ๎ งกบั การปรับพฤติกรรม 2.1 ความหมายของการปรบั พฤตกิ รรม 2.2 แนวทางในการปรบั พฤติกรรม 2.3 แนวคิดทฤษฎกี ารเรียนรกู๎ ารวางเงอ่ื นไขแบบการกระทา 3. เอกสารและงานวิจัยท่เี กย่ี วขอ๎ งกบั การใช๎เบีย้ อรรถกรในการปรับพฤติกรรม 3.1 ขอ๎ ดขี องการใช๎เบีย้ อรรถกรในการปรบั พฤตกิ รรม 3.2 ข๎อจากดั ของการใช๎เบย้ี อรรถกรในการปรบั พฤตกิ รรม 3.3 งานวจิ ัยทเ่ี กีย่ วข๎องกบั การใช๎เบ้ยี อรรถกรในการปรับพฤตกิ รรม 1. เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ียวขอ้ งกับความรับผิดชอบ 1.1 ความหมายของความรับผดิ ชอบ นกั จติ วิทยาและนกั การศึกษาไดใ๎ ห๎ความหมายของความรบั ผิดชอบ (Responsibility) ไว๎แตกตํางกนั ดังนี้ กดู๏ (ศิรินนั ท์ วรรตั นกิจ. 2545: 8 ; อา๎ งองิ จาก Good. 1959: 498) ได๎กลําววําในหนงั สือ Dictionary of Education ได๎ให๎ความหมายของคาวําความรับผิดชอบไวห๎ ลายนยั เชนํ นยั แรกไดอ๎ ธบิ ายวาํ เป็นหนา๎ ทป่ี ระจาของ แตลํ ะบคุ คลเม่อื ไดร๎ ับมอบหมายอยาํ งใดอยํางหนงึ่ สํวนอกี นยั หน่งึ ใหค๎ วามหมายไวว๎ าํ การปฏิบตั ิงานและหนา๎ ท่ี โดยเฉพาะซึ่งไดร๎ ับมอบหมายใหด๎ ีที่สุดตามความหมายของตน ฟังค์ และแวคเนลส์ (Funk and Wagnall. 1961: 1073) ไดใ๎ หค๎ วามหมายของความรบั ผดิ ชอบไว๎วํา ความ รบั ผดิ ชอบ คอื การแสดงออกถงึ ความรับผดิ และรับชอบในการกระทาของตน มคี วามซือ่ สตั ยไ์ วใ๎ จได๎ สามารถจดั หา

7 เงินและทาหนา๎ ท่ีท่ไี ด๎รับมอบหมายได๎อยํางมปี ระสิทธิภาพ และยงั หมายถึง ความสามารถในการตอบสนองตํอ หน๎าที่หรอื ขอ๎ ตกลงท่ตี ้งั ไว๎ตามอดุ มคติ กฎของศีลธรรมและหลกั ธรรมอกี ดว๎ ย แคทเทล (Cattell. 1963: 145) ไดก๎ ลาํ วถึงบคุ คลทีม่ ีความสามารถในความรบั ผิดชอบไว๎วํา คือ บุคคลท่ี รบั ผิดชอบในหน๎าทีม่ ีความบากบัน่ พากเพยี ร ถอื ศกั ดศ์ิ รี ยึดมน่ั ในกฎเกณฑล์ กั ษณะของคนที่ไมมํ คี วามรบั ผดิ ชอบ คอื คนที่ถือความสะดวกเป็นเกณฑ์ หลีกเลย่ี งขอ๎ บังคบั โกฟว์ (ศริ ินันท์ วรรัตนกิจ. 2545: 8 ; อา๎ งอิงจาก Gove. 1965: 1935) ได๎กลาํ ววาํ ในหนังสอื Webster’s Third New International Dictionary ไดอ๎ ธิบายความหมายของคาวาํ ความรบั ผิดชอบไว๎หลายนัย ซ่งึ นยั แรกให๎ ความหมายไว๎วําเปน็ คณุ สมบัตหิ รือเง่ือนไขท่ีบุคคลจะต๎องรับผิดชอบ เชํนความรบั ผิดชอบทางด๎านศีลธรรม กฎหมาย หรอื ทางดา๎ นจติ ใจ ความเช่ือใจได๎ความเชือ่ ถือได๎ อกี นยั หนึ่งไดอ๎ ธิบายวาํ เปน็ บางสง่ิ บางอยํางซึ่งบคุ คล ใดบุคคลหน่งึ จะต๎องรบั ผดิ ชอบ เชํน ความเปน็ ผูน๎ าจะต๎องมีความรับผิดชอบอยาํ งสูง ทํานพุทธทาสภิกขุ (ศริ ินันท์ วรรัตนกจิ . 2545: 9 ; อา๎ งองิ จาก พทุ ธทาสภิกขุ. 2520 :376 - 377) กลาํ ววาํ ความรบั ผดิ ชอบ คือการยอมรบั รู๎แลว๎ กระทาตอบสนองด๎วยความสมัครใจตํอสิ่งท่ตี ๎องกระทา ในฐานะท่ีเป็นหน๎าที่ ของตนไมํใชเํ พียงแตํคิดหรอื รบั รู๎อยูํในใจ พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน (2525: 679) ให๎ความหมายของความรับผิดชอบไวว๎ ํา หมายถึง ยอมรับตามผลทีด่ หี รือไมํดีในกิจการทไี่ ด๎กระทาไป ปรยี า ชัยนิยม (2542: 9) ได๎กลาํ ววาํ ความรับผิดชอบ หมายถึงความมํงุ ม่ันตงั้ ใจท่ีจะปฏบิ ัติหน๎าท่ีด๎วยความ ผูกพัน พากเพยี ร และความละเอียดรอบครอบ ตง้ั ใจทจี่ ะทางานในหน๎าทที่ ีม่ ตี ํอตนเองและสงั คม เพอ่ื ใหบ๎ รรลุผล สาเรจ็ ตามความมงํุ หมาย ไมํยอํ ท๎อตอํ อุปสรรค ยอมรบั ผลการกระทาในการปฏิบัติหนา๎ ท่ีดว๎ ยความเต็มใจ โดยมี ความรับผดิ ชอบและยอมรบั การกระทาของตนอง ทงั้ พยายามทจี่ ะปรบั ปรุงการปฏิบัตหิ นา๎ ทใ่ี ห๎ดยี งิ่ ข้ึน จันทรา พวงยอด (2543: 3) ไดก๎ ลําววําความรับผิดชอบ หมายถึง พฤติกรรมหรอื การกระทาของนกั เรยี นที่ แสดงออกถึง ความมงํุ ม่นั ต้งั ใจปฏิบัติตนตามกฎระเบียบของโรงเรยี น การปฏบิ ตั ติ นในการเรียน และการยอมรบั ผล การกระทาของตนเอง ถวลิ จันทร์สวําง (2545: 10) ไดก๎ ลาํ ววําความรบั ผิดชอบ หมายถงึ การทาตามหน๎าทีป่ ฏบิ ัติตามกฎระเบยี บ การงานท่ีได๎รับมอบหมาย การทาตามทตี่ นไดพ๎ ูดหรือให๎คามัน่ สัญญาไว๎ และการยอมรับในส่งิ ที่ตนเองได๎พูดหรือได๎ กระทาลงไป ทงั้ ในด๎านทเ่ี ปน็ ผลดี และข๎อบกพรอํ งตาํ งๆ ทุกคร้งั ศริ ินนั ท์ วรรัตนกจิ (2545: 13) ได๎กลําววํา ความรบั ผดิ ชอบ หมายถงึ การที่บคุ คลประพฤติปฏบิ ตั ิงานตํางๆ ดว๎ ยความเตม็ ใจ เอาใจใสํ ระมดั ระวังทจ่ี ะทางาน และตดิ ตามผลงานที่ทาไปแลว๎ เพอื่ ปรับปรงุ แกไ๎ ขใหส๎ าเร็จด๎วยดี ยอมรับในสงิ่ ทีต่ นเองกระทาลงไปทงั้ ดา๎ นท่ีเป็นผลดี และผลเสีย อกี ท้งั ยงั ไมปํ ัดหน๎าท่ขี องตนใหแ๎ กํผูอ๎ ื่น จากความหมายของความรับผิดชอบตามทน่ี กั จิตวทิ ยา นกั การศึกษา ได๎ให๎ความหมายไว๎ สามารถสรปุ ได๎ วํา ความรบั ผดิ ชอบ หมายถงึ การทีบ่ ุคคลประพฤตปิ ฏิบัติหนา๎ ที่หรอื การงานทไี่ ด๎รับมอบหมายดว๎ ยความตง้ั ใจและ เอาใจใสํ เพ่ือให๎การทางานนน้ั สาเร็จไปตามเป้าหมาย โดยมกี ารวางแผนการทางาน มคี วามขยันหม่ันเพยี ร อดทน

8 ไมยํ ํอท๎อตํออปุ สรรคตํางๆ ไมํผลกั ภาระหน๎าทข่ี องตนเองใหผ๎ ๎ูอน่ื และตดิ ตามผลงานที่ทาไปแลว๎ เพ่อื ปรับปรุงแกไ๎ ข ใหส๎ าเรจ็ ด๎วยดี รวมทั้งยงั ยอมรับในการกระทาของตนเองทงั้ ในสวํ นท่เี ป็นผลดี และผลเสีย และผว๎ู จิ ยั ขอสรุป ความหมายของ พฤติกรรมความรบั ผดิ ชอบในการทางานที่ไดร๎ ับมอบหมายในการศึกษาครงั้ น้ี หมายถงึ การที่ นักเรยี นแสดงพฤติกรรมความตง้ั ใจในการทางาน พฤติกรรมการทางานเสร็จและสงํ งานตามที่กาหนด และ พฤติกรรมการปรับปรุงแก๎ไขงานในรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ซึ่งพฤติกรรมความรับผดิ ชอบในการทางานท่ี ได๎รบั มอบหมาย จาแนกไดเ๎ ปน็ 1. พฤติกรรมต้งั ใจทางาน ซงึ่ สงั เกตได๎จาก 1.1 ปฏบิ ัติตามคาแนะนาของครู 1.2 ซกั ถามรายละเอียดและขอ๎ สงสยั ในงานทีค่ รุมอบหมายใหท๎ า 1.3 ทางานทไ่ี ดร๎ บั มอบหมายจากครูอยาํ งตํอเน่ืองจนงานนั้นสาเร็จ 2. พฤตกิ รรมการทางานเสร็จและสงํ งานตามกาหนด 3. พฤติกรรมการปรับปรงุ แกไ๎ ขงาน 1.2 ประเภทของความรับผดิ ชอบ กรมสามญั ศกึ ษา (2526: 66 - 92) จาแนกความรบั ผิดชอบไดเ๎ ป็น 4 ดา๎ น ดงั นี้ 1. ความรับผดิ ชอบในการศึกษาเลําเรยี น หมายถึง การที่นักเรียนศกึ ษาเลําเรียนจนประสบความสาเร็จ ตามทมี่ ุํงหมาย ดว๎ ยความขยนั หม่ันเพียร อดทน เขา๎ ห๎องเรียนและสงํ งานทไี่ ดร๎ บั มอบหมายตรงตามเวลาที่นัดหมาย เมือ่ มีปัญหาหรือไมเํ ขา๎ บทเรยี นกพ็ ยายามศึกษาคน๎ ควา๎ ซกั ถามอาจารยใ์ หเ๎ ข๎าใจ เมื่อทาแบบฝกึ หัดผิดกย็ อมรบั วาํ ทาผิด แลว๎ พยายามแก๎ไขปรบั ปรุงให๎ถกู ต๎องดว๎ ยตนเองอยํูเสมอ มผี ลการเรียนผาํ นทุกวิชาในทุกภาคเรยี น 2. ความรับผิดชอบตอํ สถานศึกษา หมายถึง การทน่ี กั เรยี นมสี ํวนรํวมในกจิ กรรมตาํ งๆของสถานศกึ ษา รักษาผลประโยชน์ เกยี รตยิ ศ ชอื่ เสียงของสถานศกึ ษา ชํวยกันรักษาความสะอาดของสถานศกึ ษา ไมขํ ีดเขียนโตะ๏ เรียน ผนงั ห๎องเรียน หอ๎ งน้า แตงํ เคร่ืองแบบนักเรยี นเรียบรอ๎ ย ไมทํ ะเลาะวิวาทกบั นกั เรียนโรงเรียนอ่ืน คอยตักเตือน เพือ่ นนักเรียนทจ่ี ะหลงผิด อนั จะทาใหโ๎ รงเรียนเสยี ช่ือเสยี ง เมอื่ โรงเรียนตอ๎ งการความรวํ มมือหรือความชวํ ยเหลือก็ เตม็ ใจให๎ความรํวมมอื อยาํ งเตม็ ที่ เข๎ารวํ มกิจกรรมตาํ งๆของโรงเรยี นตามความสนใจและความสามารถของตน เพ่ือ สรา๎ งช่ือเสียงให๎แกโํ รงเรยี น เชนํ เปน็ นกั กฬี า นกั แตงํ คาขวัญเรยี งความ และอนื่ ๆ 3. ความรบั ผดิ ชอบตํอครอบครวั หมายถึง การที่นกั เรยี นมคี วามต้งั ใจชํวยเหลืองานตํางๆ ภายในบา๎ น เพื่อ แบงํ เบาภาระซึง่ กนั และกันตามความสามารถของตน และรูจ๎ ักแสดงความคิดเหน็ และปฏบิ ัตติ นเพอื่ ความสขุ และ ชอ่ื เสยี งของครอบครวั ชวํ ยแก๎ปญั หาการท่สี มาชกิ ภายในครอบครัวไมเํ ข๎าใจกนั เมอ่ื มปี ญั หาก็ปรึกษาและให๎พํอแมํ ทราบปัญหาของตนทุกเรือ่ ง ชํวยครอบครวั ประหยดั ไฟฟา้ นา้ อาหาร สิง่ ของเครอื่ งใชภ๎ ายในบ๎าน 4. ความรบั ผดิ ชอบตํอสังคม หมายถึง การที่นักเรยี นมีสํวนรํวมในกิจกรรมตํางๆ ของชุมชนและสงั คม บาเพ็ญประโยชน์และสรา๎ งสรรคค์ วามเจริญใหช๎ ุมชนอยํางเต็มความสามารถ ชวํ ยสอดสอํ งพฤตกิ รรมของบคุ คลที่

9 เป็นภยั ตอํ สังคม ใหค๎ วามร๎ู ความสนุกเพลดิ เพลนิ แกํประชาชนตามความสามารถของตนเอง ชํวยคิดและแก๎ปญั หา ตํางๆ ของสังคม เชนํ ความสกปรก การรกั ษาสาธารณสมบตั ิ การเสียภาษี และการรบั บรกิ ารสถานบี รกิ ารตาํ งๆ ของ รฐั จรุ รี ตั น์ นันทัยทวกี ุล (2538: 5) ได๎ศึกษาการวิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบคณุ ลักษณะความรับผดิ ชอบออกเปน็ 8 ด๎าน คอื 1. ความรบั ผดิ ชอบตํอตนเอง หมายถงึ การรักษาป้องกันตนเองให๎ปลอดภยั จากอันตราย โรคภยั ไข๎เจบ็ รักษารํางกายให๎แข็งแรง บงั คบั ควบคมุ จติ ใจไมํใหต๎ กเปน็ ทาสของกเิ ลสประพฤตติ นอยใูํ นศีลธรรมและละเว๎นความ ช่ัว รู๎จักประมาณการใชจ๎ าํ ยตามสมควรแกฐํ านะ จัดหาเคร่อื งอปุ โภคทเี่ หมาะสม 2. ความรับผดิ ชอบตอํ การศกึ ษาเลาํ เรียน หมายถึง การท่ีนกั เรยี นศึกษาเลาํ เรยี นจนประสบความสาเรจ็ ตาม ความมุงํ หมาย ดว๎ ยความขยันหม่ันเพียร อดทน เข๎าหอ๎ งเรยี น และสงํ งานทีไ่ ด๎รับมอบหมายตรงตามเวลา เมอ่ื มี ปัญหาหรอื ไมเํ ขา๎ ใจบทเรยี นกพ็ ยายามแกไ๎ ขปรบั ปรงุ ใหถ๎ กู ต๎อง 3. ความรับผิดชอบตํองานทีไ่ ด๎รบั มอบหมาย หมายถึง การปฏบิ ัตหิ นา๎ ทที่ ไ่ี ด๎รบั มอบหมายด๎วยความเอาใจ ใสํ ขยันหม่ันเพียร อดทนตํอสอ๎ู ุปสรรคโดยไมยํ อํ ทอ๎ มคี วามละเอียดรอบคอบ ซื่อสัตย์ ตรงตอํ เวลา ไมลํ ะเลยทอดทงิ้ หรือหลีกเลยี่ ง พยายามปรบั ปรุงการงานของตนใหด๎ ีย่งิ ข้ึน รจู๎ ักวางแผนงานและป้องกนั ความบกพรํองเสอ่ื มเสยี ใน งานทีต่ นรับผดิ ชอบ 4. ความรับผิดชอบตอํ การกระทาของตน หมายถึง การยอมรับการกระทาของตนทงั้ ทเ่ี ป็นผลดีและผลเสีย ไมํปัดความรับผดิ ชอบในหนา๎ ทขี่ องตนให๎ผูอ๎ ่ืน พร๎อมท่ีจะปรบั ปรุงแก๎ไขเพ่อื ใหไ๎ ดผ๎ ลดยี ิง่ ขึ้น ไตรตํ รองใหร๎ อบคอบวํา ส่ิงทต่ี นทาลงไปนน้ั จะเกิดผลเสียข้ึนหรือไมํ ปฏบิ ตั แิ ตสํ ง่ิ ท่ที าใหเ๎ กิดผลดี และกล๎าเผชิญตอํ ความจริง 5. ความรบั ผิดชอบตํอครอบครวั หมายถึง การที่นักเรียนตั้งใจชํวยเหลืองานตาํ งๆภายในบา๎ น เพ่ือแบํงเบา ภาระซึง่ กนั และกนั ตามความสามารถของตน ร๎ูจกั แสดงความคิดเหน็ และปฏบิ ัตติ น เพ่ือความสขุ และช่อื เสียงของ ครอบครวั ชํวยแก๎ปญั หาทส่ี มาชิกของครอบครวั ไมํเขา๎ ใจกนั เมอ่ื มีปัญหากป็ รึกษา และใหพ๎ ํอแมรํ บั ทราบปัญหาของ ตนทกุ เรื่อง ชวํ ยครอบครัวประหยัดไฟฟา้ นา้ อาหาร สงิ่ ของเครื่องใชภ๎ ายในบ๎าน และอ่ืนๆ 6. ความรบั ผิดชอบตํอเพ่อื น หมายถงึ การทนี่ ักเรยี นชวํ ยกันตกั เตอื นแนะนา เมอ่ื เห็นเพอ่ื นกระทาผิด ชวํ ยเหลอื เพอ่ื นตามความถกู ตอ๎ งและเหมาะสม ให๎อภยั เม่อื เพ่ือนทาผดิ ไมเํ อาเปรยี บเพือ่ น เคารพสทิ ธซิ งึ่ กนั และกนั 7. ความรับผดิ ชอบตํอโรงเรียน หมายถงึ การทน่ี ักเรยี นมสี วํ นรํวมในกจิ กรรมตํางๆของโรงเรยี น รักษา ผลประโยชน์เกียรตยิ ศชอ่ื เสยี งของโรงเรยี น ชํวยกันรกั ษาความสะอาดของโรงเรยี น ไมขํ ดี เขียนผนงั หอ๎ งเรยี น ห๎องน้า หอ๎ งส๎วม แตงํ เคร่ืองแบบนักเรียนเรยี บร๎อย ไมํทะเลาะววิ าทกบั นักเรียนโรงเรยี นอ่ืน เม่ือโรงเรยี นตอ๎ งการความ รํวมมอื หรือขอความชํวยเหลอื กเ็ ต็มใจให๎ความรํวมมอื อยาํ งเตม็ ที่ เข๎ารวํ มกจิ กรรมตํางๆ ตามความสนใจและ ความสามารถของตน เพ่ือสรา๎ งช่ือเสยี งให๎แกํโรงเรียน 8. ความรบั ผิดชอบตอํ สังคม หมายถึง การที่นักเรียนมสี วํ นรวํ มในกจิ กรรมตาํ งๆของชมุ ชนและสงั คม บาเพ็ญประโยชนแ์ ละสร๎างสรรคค์ วามเจรญิ ให๎ชมุ ชนและสงั คมอยํางเต็มความสามารถ ชํวยสอดสอํ งพฤติกรรมของ

10 บุคคลท่ีจะเป็นภัยตํอสงั คม ให๎ความร๎ู ความสนุกสนานเพลิดเพลินแกํประชาชนตามความสามารถของตน ชวํ ยคดิ และแก๎ปญั หาตํางๆ ของสงั คม จากเอกสารท่ีเกยี่ วข๎องกับประเภทของความรับผิดชอบ ผู๎วจิ ัยเลอื กทจี่ ะศกึ ษาความรบั ผิดชอบตํอการศกึ ษา เลําเรียนในด๎านการทางานท่ีไดร๎ บั มอบหมายจากครู 1.3 ความสาคัญของความรับผดิ ชอบ กรมการศาสนา (กรมการศาสนา. 2525: 2) กลําววํา ความรับผดิ ชอบ เปน็ คณุ ลกั ษณะของคนไทยอยาํ ง หน่ึงท่จี าเปน็ ต๎องปลูกฝังใหก๎ บั คมไทยนอกจากความมีระเบยี บวินัย ความซ่ือสตั ย์ สุจรติ ความขยัน ประหยัด เสียสละ ฯลฯ การปลกู ฝงั ให๎คนไทยมสี านึกในหนา๎ ที่และความรบั ผิดชอบตอํ สงั คมและประเทศชาติกเ็ ป็นส่งิ จาเปน็ ยิ่ง เพราะความรับผดิ ชอบเป็นลกั ษณะของความเป็นพลเมอื งทด่ี ี เป็นปจั จัยสาคัญท่จี ะชํวยให๎สังคมเป็นระเบียบ และสงบสุข ทองคูณ หงสพ์ นั ธ์ุ (2535 : 122) ได๎กลาํ วถงึ อานิสงสข์ องผทู๎ ่ีมีความรบั ผดิ ชอบไว๎วาํ 1. ไดร๎ บั ความเชอื่ ถอื และไว๎วางใจจากผู๎อ่ืน 2. การงานสาเรจ็ เรยี บร๎อยไดผ๎ ลดี 3. เกดิ ความเชือ่ มั่นในตนเอง เพราะไดป๎ ฏบิ ัติหน๎าที่อยาํ งถกู ต๎องครบถ๎วน 4. เกิดความม่ันคงในสงั คมและประเทศชาติ 5. สังคมและประเทศชาตสิ ามารถพฒั นาไปสูํความเจรญิ ไดร๎ วดเร็ว 6. มีความสะดวกสบายและรํมเย็นเป็นสุขเกดิ ขน้ึ ในสังคมและประเทศชาติ อรรถวรรณ นยิ ะโต (2536 : 51) กลําววาํ ความรบั ผดิ ชอบเปน็ สิ่งท่เี ก้ือหนนุ ใหป๎ ฏบิ ตั งิ านสอดคล๎องกบั กฎ จรยิ ธรรมและหลกั เกณฑ์ของสงั คม โดยไมํตอ๎ งมกี ารบังคบั จากผ๎อู ่นื ไมทํ าให๎เปน็ ต๎นเหตุของความเสือ่ มและความ เสยี หายแกํสวํ นรวม ทาให๎เกดิ ความก๎าวหน๎าสงบสขุ เรยี บร๎อยแกสํ งั คม อนวุ ตั ิ คณู แกว๎ (2538: 52) กลาํ ววํา ความรบั ผดิ ชอบเป็นลักษณะหน่ึงท่มี คี วามสาคญั มาก เพราะจะทาให๎ หน๎าทหี่ รอื งานทมี่ อบหมายใหร๎ ับผิดชอบประสบความสาเรจ็ และเสร็จตามเวลาทีก่ าหนด ซง่ึ มีผลทาให๎เป็นคนท่มี ี คุณภาพ ดังนน้ั หลักสตู รในปจั จุบันจึงกาหนดให๎มีการปลูกฝังและพฒั นาใหน๎ ักเรียนมีความรับผดิ ชอบ จินตนา ธนวบิ ลู ยช์ ยั (2540 : 81-82) กลาํ ววาํ ความรับผดิ ชอบเปน็ คณุ ลกั ษณะทางจริยธรรมทส่ี าคญั ประการหนง่ึ ผูท๎ มี่ คี วามรับผดิ ชอบจะสามารถอยํูรวํ มกับผู๎อื่นในสงั คมไดด๎ ๎วยความสงบสขุ เพราะบุคคลแตลํ ะบคุ คล ยํอมตอ๎ งมบี ทบาทหน๎าท่ที ่จี ะตอ๎ งกระทามากมายถ๎าทกุ คนในสังคมมคี วามรับผดิ ชอบในบทบาทหนา๎ ที่ของตนเปน็ อยํางดีแลว๎ ก็ยํอมทาใหเ๎ กิดความสนั ตสิ ุขและความเจรญิ ก๎าวหนา๎ ในชีวิต ในประเทศท่ีความเจรญิ ทางเทคโนโลยี ก๎าวหน๎าไปอยาํ งรวดเร็วน้ันยิ่งตอ๎ งการบุคลากรทมี่ คี วามรบั ผดิ ชอบอยํางยง่ิ ประเทศไทยเป็นประเทศหนง่ึ ที่ใน ปจั จบุ นั ความเจริญทางเทคโนโลยี ซง่ึ เป็นการพฒั นาดา๎ นวตั ถุ ทง้ั ๆ ทก่ี ารพัฒนาทางดา๎ นจรยิ ธรรมนน้ั ท่มี คี วาม จาเปน็ ไมํน๎อยกวําความเจรญิ ทางวัตถจุ ึงเปน็ สาเหตุหน่ึงท่ที าให๎เกดิ ปัญหาสงั คมมากขึ้น การใหค๎ วามสาคัญในการ

11 พัฒนาดา๎ นจติ ใจนั้นจะพจิ ารณาไดว๎ ํายงั ไมสํ ามารถพฒั นาได๎รวดเร็วดังเชํนการพัฒนาเทคโนโลยี ดังนัน้ การพัฒนา จริยธรรมด๎านความรับผิดชอบจงึ มีความสาคัญมาก จากเอกสารดังกลําว สรปุ ได๎วํา ความรับผดิ ชอบเปน็ สิ่งสาคัญ และจาเป็นตอ๎ งปลกู ฝงั หรือเสรมิ สร๎างใหก๎ บั นักเรียน ท้งั นีเ้ พราะบคุ คลที่มีความรับผิดชอบจะมคี วามเพยี รพยายาม อดทน ตัง้ ใจ ทางานใหส๎ าเร็จตามเปา้ หมาย ท่ีตงั้ ไว๎ อีกทง้ั ลกั ษณะนสิ ยั และทศั นคติของบคุ คลที่มีความรบั ผดิ ชอบ เปน็ เครอื่ งผลักดันให๎บุคคลปฏบิ ัตติ าม ระเบยี บ เคารพสทิ ธผิ อู๎ นื่ ทาตามหน๎าที่ของตน และมีความซื่อสตั ยส์ จุ ริต อีกทงั้ ความรบั ผดิ ชอบเป็นสง่ิ ทเี่ กื้อหนุนให๎ บุคคลปฏบิ ตั งิ านสอดคลอ๎ งกับกฎจรยิ ธรรมและหลักเกณฑ์ของสังคม เปน็ เหตใุ หเ๎ กดิ ความก๎าวหน๎าสงบสขุ เรียบรอ๎ ยแกํสงั คม และประเทศชาตยิ ํอมพัฒนาไปได๎อยาํ งรวดเร็ว เนือ่ งมาจากบคุ คลในชาติมคี วามรับผิดชอบ จากเอกสารทเ่ี กย่ี วขอ๎ งกับความสาคัญของความรบั ผิดชอบ สรุปได๎วาํ ความรับผดิ ชอบเป็นส่ิงสา คัญ และจา เปน็ ต๎องปลกู ฝงั หรอื เสรมิ สรา๎ งใหก๎ ับนกั เรยี น ทงั้ นเี้ พราะบคุ คลท่ีมคี วามรบั ผิดชอบจะมคี วามเพยี รพยายาม อดทน และ ต้ังใจทางานให๎สาเรจ็ ตามเปา้ หมายท่ีต้งั ไวเ๎ พอ่ื เกิดความกา๎ วหนา๎ ตํอตนเองและสังคม 1.4 ลกั ษณะของบคุ คลทม่ี ีความรบั ผิดชอบ บราวเน และคอหน์ (Brouwne and Cohn, 1968: 58) ไดส๎ รุปองคป์ ระกอบของความรับผิดชอบไดว๎ ํา ผูม๎ ี ความรับผิดชอบตอ๎ งเปน็ ผู๎ทไี่ ว๎วางใจได๎ มคี วามคดิ รเิ ริ่ม ไมํยอํ ท๎อตอํ อปุ สรรคต้งั ใจทางาน มคี วามเช่ือมัน่ ในตนเอง มี ความปรารถนาทจ่ี ะทาใหด๎ กี วําเดมิ สามารถปฏิบตั งิ านให๎สาเร็จลลุ วํ งไดต๎ ามเป้าหมาย มีความซือ่ สัตยส์ ุจริต และ ตรงตอํ เวลา แซนฟอรด์ (Sanford. 1970 : 65) ได๎อธิบายลกั ษณะของผ๎มู ีความรับผิดชอบวาํ สามารถปฏิบัตหิ นา๎ ทก่ี าร งาน หน๎าท่ที างสงั คม หน๎าที่อันพึงปฏบิ ัติตอํ ตนเอง ตอํ บิดามารดา ญาติพ่ีน๎อง บุคคลทัว่ ไป และตํอประเทศชาติ อยํางดที สี่ ดุ เตม็ ความสามารถ จรุ รี ตั น์ นันทยั ทวีกลุ (2538: 4 - 5) สรุปลกั ษณะของบุคคลทีม่ คี วามรบั ผิดชอบไว๎ ดังนี้ 1. มีความเอาใจใสํ หมายถึง ลักษณะพฤติกรรมท่แี สดงถึงการปฏบิ ัติงานด๎วยความตัง้ ใจจรงิ โดยมุงํ มัน่ ที่ จะผลกั ดันใหป๎ ระกอบกิจกรรมดว๎ ยความสนใจ เตม็ ใจทาอยาํ งสม่าเสมอ มจี ุดหมายปลายทาง มีใจจดจํอ มีสมาธิ เพ่ือใหง๎ านในหน๎าทข่ี องตนหรอื งานทไ่ี ด๎รับมอบหมายเสรจ็ เรยี บรอ๎ ยติดตามงาน ไมลํ ะเลยทอดท้ิง หรือหลกี เลยี่ ง และหาทางปอ้ งกันไมํให๎เกดิ การบกพรอํ งเส่ือมเสยี ในงานทีต่ นรับผิดชอบอยูํ 2. มีความละเอียดรอบคอบ หมายถึง ลกั ษณะพฤติกรรมทแี่ สดงถึงการรูจ๎ ักใครํครวญในงานทท่ี า เพอ่ื ให๎ ถกู ตอ๎ งและสมบูรณ์ รจ๎ู ักคดิ กอํ นทาวํางานน้ันจะมผี ลดีผลเสยี อยํางไรบา๎ งวิเคราะห์ปญั หาและอปุ สรรคท่จี ะเกดิ ข้นึ และหาทางป้องกันไวล๎ ํวงหนา๎ และเมอื ทางานเสร็จแล๎วต๎องตรวจทานดวู าํ ถูกตอ๎ งเรยี บร๎อยดหี รือยัง 3. มีความขยนั หม่ันเพยี ร หมายถึง ความพยายามอยาํ งสม่าเสมอเพอื่ ใหไ๎ ด๎รับผลสาเรจ็ ในงานท่ีทา และทา ด๎วยความระมดั ระวัง เอาใจใสํอยาํ งตํอเนื่อง ไมชํ อบอยํเู ฉยหรือวาํ งงานรเิ ริ่มงาน แสวงหางานใหมๆํ อยํูเสมอ

12 4. มคี วามอดทน หมายถงึ ความสามารถของราํ งกาย ความคิด และจิตใจทจี่ ะทนตํอการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม ตํางๆ ได๎นานๆ จนทาใหส๎ าเรจ็ ได๎โดยไมํคานึงถึงอุปสรรคใดๆ มีรํางกายแขง็ แรงมจี ติ ใจเข๎มแขง็ ควบคมุ ตนเองได๎ดี เม่ือเกิดความเหนอื่ ยออํ นหรือเกียจครา๎ น 5. มคี วามตรงตอํ เวลา 6. การยอมรบั ผลการกระทาของตนเอง หมายถึง ลกั ษณะพฤตกิ รรมทแ่ี สดงถงึ การยอมรับในสิง่ ทตี่ นเองได๎ กระทาลงไป ไมวํ าํ ผลของงานนั้นจะออกมาดีหรือไมํดีกต็ าม 7. การปรับปรุงงานของตนเองให๎ดียิ่งขน้ึ หมายถึง ลักษณะพฤตกิ รรมทแ่ี สดงถงึ การติดตามผลงานท่ีได๎ทา ไปแล๎ว ถา๎ ไมดํ กี ต็ อ๎ งพยายามแก๎ไขปรับปรงุ ให๎ดยี ิ่งขนึ้ นภดล ภวนะวิเชียร (2540: 70 – 71) กลําวถงึ ลักษณะพฤติกรรมหลักท่ีแสดงถึงความรับผดิ ชอบวํา ประกอบดว๎ ยพฤตกิ รรมหลัก 5 ประการ คอื 1. ตระหนกั ถึงความสาคญั ของหน๎าท่ี ประกอบด๎วยพฤตกิ รรมตํางๆ คอื 1.1 รับรต๎ู ํอส่งิ ท่กี ระทา 1.2 ยอมรับวาํ หน๎าท่เี ปน็ ส่ิงท่ีตนต๎องทา 1.3 ร๎ูสกึ ชอบตอํ การกระทาหน๎าที่ 1.4 รู๎สึกวําหนา๎ ทข่ี องตนเปน็ สง่ิ ที่สาคญั 2. ทาหนา๎ ท่ีดา๎ ยความเตม็ ใจโดยไมตํ อ๎ งมกี ารบงั คับ มพี ฤติกรรมดงั นี้ คอื 2.1 สมคั รใจทาหนา๎ ที่ 2.2 ควบคมุ ตนเองได๎ 3. ทาหนา๎ ทดี่ ๎วยความตั้งใจ เอาใจใสํ พฤตกิ รรมสํวนนม้ี ีพฤติกรรมเสริม คอื 3.1 วางแผนในการทาหนา๎ ที่ของตน 3.2 มีระเบียบวนิ ัย 3.3 มีความซือ่ สัตย์ 3.4 มีความระเอยี ดรอบคอบ 3.5 มสี ติ 4. ทาหน๎าทอี่ ยํางตอํ เนอื่ งจากงานเสร็จ พฤตกิ รรมสวํ นนม้ี ีพฤตกิ รรมเสรมิ คือ 4.1 มคี วามอดทน 4.2 มีความเพยี ร 4.3 มกี ารเตรียมการและแก๎ไขปญั หาท่ีเกิดข้นึ 4.4 มมี นษุ ยสัมพันธ์ 4.5 รักษาสุขภาพให๎แขง็ แรง

13 5. ยอมรบั ผลการกระทาของตน ประกอบดว๎ ยพฤตกิ รรม ดงั น้ี 5.1 ติดตามผลการกระทาของตน 5.2 มเี หตุผล 5.3 ปรบั ปรงุ การกระทาของตน สุทธิพงษ์ บญุ ผดุง (2541 : 7) กลําวถงึ บคุ คลทีม่ ีลกั ษณะความรับผิดชอบ ไว๎ 4 ลักษณะ ไดแ๎ กํ 1. มีวินัยในตนเอง 2. มคี วามกระตอื รือรน๎ 3. มีความเชอ่ื มน่ั ในตนเอง 4. มคี วามขยันหมั่นเพยี ร จากเอกสารทีด่ งั กลําว สรปุ ได๎วํา ความรบั ผดิ ชอบเปน็ คณุ ลกั ษณะพ้ืนฐานทสี่ าคัญทีท่ าให๎บคุ คลประสบ ความสาเรจ็ ในการเรียนและการทางาน บุคคลท่มี ีความรบั ผดิ ชอบจะมีความตัง้ ใจในการปฏบิ ัติงาน มคี วามเพยี ร พยายาม อดทนไมยํ ํอทอ๎ ตํออปุ สรรค มคี วามปรารถนาท่จี ะทางานใหด๎ ีขนึ้ มกี ารวางแผนในการทางาน มีความ ละเอียดรอบคอบ รจู๎ ักต้ังเป้าหมายในการทางาน และสามารถปฏิบตั งิ านให๎สาเร็จลุลํวงตามเป้าหมายที่ตงั้ ไว๎ 1.5 การปลกู ฝงั ความรบั ผิดชอบ ความรบั ผิดชอบเปน็ สิ่งท่ีเกดิ จากการฝึกอบรมตงั้ แตใํ นวยั เดก็ คณุ ลักษณะนี้จะพฒั นาขึน้ เรือ่ ยๆ จากวัยเดก็ ไปสวํู ยั รุนํ และจากวัยรุํนไปสํูวัยผใ๎ู หญํ ในระยะแรกๆ ของชีวิตเดก็ ยังชํวยตนเองไมํไดต๎ ๎องพ่งึ พาอาศยั ผอ๎ู ่ืน ตลอดเวลาเมือ่ โตขน้ึ จะมีความสามารถในด๎านตาํ งๆเพ่ิมขน้ึ และชํวยตัวเองได๎มากข้นึ (เอนกกลุ กรแี สง. ม.ป.ป.: 8) การพัฒนาความรับผดิ ชอบให๎กบั เดก็ ควรเรมิ่ อยาํ งคํอยเป็นคํอยไป เร่มิ ด๎วยการที่ให๎งานงํายๆ เพอ่ื ให๎เด็กเกิดความ เชื่อมัน่ ในตนเองและมีประสบการณ์ในการทางานดว๎ ยตนเอง (Hurlock. 1967: 224) ดงั นัน้ ครูควรจัดสถานการณ์ ใหก๎ ารเรยี นการสอนในโรงเรยี นให๎แกํเด็ก เพ่อื ปลูกฝังและพฒั นาความรบั ผิดชอบให๎เขาเกดิ ความร๎ู ความเข๎าใจและ สามารถปฏิบัติเองได๎ (ชม ภูมภิ าค. 2518: 25) มลิ ตัน และแฮรสิ (Mittion and Harris. 1962: 407 – 416) ไดใ๎ ห๎ข๎อเสนอแนะในการฝกึ ความรับผิดชอบ ดังนี้ 1. การฝึกความรบั ผดิ ชอบ ควรเริม่ ต้ังแตํวยั เด็ก 2. เด็กทกุ คนควรได๎รบั การฝกึ ความรับผิดชอบ โดยการปฏบิ ัตจิ รงิ ให๎เด็กได๎มีสวํ นรํวมในการทางาน 3. การจดั ประสบการณ์ใหเ๎ ด็กรบั ผดิ ชอบตํอหน๎าที่การงาน ควรใหเ๎ หมาะสมกับวยั และความสามารถของแตํ ละบุคคล 4. ควรใหเ๎ ด็กทราบวาํ ผูใ๎ หญหํ วังอะไรจากเขา 5. ในการฝึกความรบั ผดิ ชอบนน้ั ผูใ๎ หญํต๎องร๎ูจกั ยืดหยนํุ ไมคํ วรเรงํ รดั เดก็ จนเกนิ ไป 6. ต๎องระลกึ ไวเ๎ สมอวํา ในการทางานนน้ั เดก็ ตอ๎ งการคาแนะนาจากผูใ๎ หญํ

14 7. เด็กต๎องการความไว๎วางใจจากผูใ๎ หญํ ดงั น้นั เม่ือมอบหมายงานใหท๎ าแล๎วก็ควรเปิดโอกาสใหเ๎ ขาได๎ รบั ผิดชอบอยาํ งเต็มท่ี 8. ทศั นคติและพฤตกิ รรมความรับผิดชอบของผู๎ใหญมํ ีอิทธิพลตอํ ความรบั ผดิ ชอบของเด็ก 9. ไมคํ วรให๎เด็กรบั ผิดชอบเกินความสามารถ ชาเรือง วฒุ จิ ันทร์ (ศริ นิ นั ท์ วรรัตนกิจ. 2545: 30 – 31; อา๎ งองิ จาก ชาเรือง วุฒจิ ันทร์.2524: 93 – 99) กลาํ ว วาํ การปลกู ฝังคุณธรรมเพือ่ เสริมสร๎างความรบั ผิดชอบนั้น สามารถทาได๎ 2 ลกั ษณะ คือ ลกั ษณะทม่ี งุํ เน๎นความร๎ู ทางทฤษฎี และลักษณะที่มงุํ เน๎นการประพฤตปิ ฏบิ ตั จิ ริง หรอื การจัดในรูปหลักสูตรแฝง ซ่ึงการจดั ทัง้ 2 ลกั ษณะน้ี จะตอ๎ งจัดควบคกํู นั และมลี ักษณะท่ีเกื้อกลู ซึ่งกันและกัน ดงั นี้ 1. ลักษณะที่มุงํ เนน๎ ความรท๎ู างทฤษฎี 1.1 โดยการอภิปราย เปน็ วธิ ีการท่ีเร่มิ ดว๎ ยการเลาํ เรือ่ งปญั หาที่ต๎องการปลูกฝังเรอ่ื งนี้อาจแตํงขึ้นหรือ เรือ่ งจากหนังสอื พิมพ์ แตเํ รื่องนัน้ จะต๎องมีลักษณะความขดั แย๎งทางจรยิ ธรรมอยํูแลว๎ ใหน๎ ักเรียนชํวยกันอภปิ ราย พร๎อมเหตผุ ลประกอบ การอภิปรายเชนํ นจี้ ะทาใหน๎ กั เรยี นรู๎จกั พฒั นาความคิดใหเ๎ หตุผลเชงิ จริยธรรม 1.2 การสอนแบบสืบสวนสอบสวน มวี ิธีคลา๎ ยกบั การสอนแบบวทิ ยาศาสตร์ตรงทีต่ ๎องคน๎ หาเหตุผลมา ประกอบการแกป๎ ญั หาทีเ่ กิดขนึ้ ซึ่งสอดคล๎องกับการศกึ ษาของยุพา อานันทสิทธิ์ (2515: 114 – 120) พบวําเด็กที่ สอนแบบสืบสวนสอบสวนมีพฒั นาการทางดา๎ นความร๎สู กึ รับผิดชอบสูงขึ้น 1.3 การเลนํ บทบาทสมมตุ ิ มีลักษณะเปน็ สถานการณท์ ี่สมมตุ ิข้ึน เชนํ การเลํนละครการแสดงโดยครู กาหนดเร่ืองราวให๎ เปน็ ตน๎ วิธีการนช้ี วํ ยใหผ๎ เ๎ู รียนได๎วิเคราะห์ความรสู๎ กึ นกึ คิดพฤตกิ รรมท่ีตนเองแสดงอยาํ งลึกซึง้ ทาใหไ๎ ด๎เรยี นรแ๎ู ละเข๎าใจความรูส๎ กึ ของผู๎อ่นื รูจ๎ กั เอาใจเขามาใสใํ จเรา ซงึ่ สอดคลอ๎ งกับการศกึ ษาของกันยา ประสงค์เจริญ (2526: 20 - 23) ดุษฎี ทรัพยป์ รุง (2529:54 - 55) และพรรัตน์ แกนํ ทอง (2529: 53) ทพ่ี บวาํ การใช๎ บทบาทสมมุติ หรือแมแํ บบทาให๎มีพัฒนาการดา๎ นความรับผิดชอบสงู ขน้ึ 1.4 การเลยี นแบบจากตัวแบบ อาศัยแนวคิดและหลักการของทฤษฎีการเรียนร๎ทู างสังคมเปน็ พน้ื ฐาน โดยตัวแบบอาจใช๎บคุ คลท่มี ีชีวิตจริง บุคคลในอุดมคติโดยตวั แบบนัน้ ต๎องเป็นบคุ คลที่นักเรยี นเลอ่ื มใสศรัทธาจะชวํ ย ใหน๎ กั เรยี นเลยี นแบบพฤตกิ รรมไดม๎ ากเมื่อทาจนเกิดเปน็ นิสยั ทาให๎เกดิ ความคดิ เหตผุ ลเชงิ จริยธรรมกายเป็น คณุ ธรรมประจาใจของนกั เรยี น ทาให๎มพี ฤติกรรมอยาํ งน้นั ตอํ ไป 2. ลักษณะทม่ี ุํงเนน๎ การปฏิบัตจิ ริง หรือการจัดในรูปหลกั สตู รแฝง 2.1 การจัดปรัชญาของสถานศึกษา โดยเลอื กคณุ ธรรมที่ต๎องเนน๎ เป็นข๎อความงาํ ย มคี วามหมายชดั เจน 2.2 การเรยี นการสอนทกุ วิชา ต๎องสอดแทรกคณุ ธรรมตาํ งๆ ท่ีโรงเรยี นตอ๎ งการใหเ๎ กดิ แกนํ ักเรยี นทกุ คร้ังที่ มโี อกาส 2.3 จัดกิจกรรมเสริมหลักสตู รทีม่ ีคุณคําตํอการปลูกฝังจริยธรรมแกนํ ักเรียน 2.4 การจดั ชมุ นมุ ตํางๆ ซงึ่ ชวํ ยเสรมิ สรา๎ งคุณธรรมทีต่ ๎องการเนน๎ ไปด๎วย

15 ประเทิน มหาขันธ์ (2536: 7, 29 - 36) กลําววาํ การสอนเด็กให๎มคี วามรับผิดชอบนัน้ ไมํมเี วลาใดทจ่ี ัดวําเร็ว เกินไป แม๎วาํ เดก็ จะอยํใู นวัยทารก พํอแมกํ ็สามารถสอนให๎เด็กรับผิดชอบได๎การสอนน้ันผใู๎ หญจํ ะสอนไดด๎ ีกต็ ํอเมือ่ สถานการณเ์ ออ้ื อานวย หรอื ผใู๎ หญพํ ยายามสรา๎ งสถานการณข์ ึน้ ในตอนต๎นๆ ของชีวิตเดก็ ความรับผิดชอบทเ่ี ด็กพึง มีจะต๎องควบคํไู ปกบั การเลํนเสมอ ท้งั นี้เพราะเหตวุ าํ การเลนํ เปน็ ชวี ิตจติ ใจของเดก็ เปน็ สิง่ ทเี่ ดก็ พึงพอใจ แตกํ าร งานและความรับผิดชอบเป็นความไมํสบายใจ เปน็ ความเบอื่ หนําย ยากลาบาก แตํอยาํ งไรกต็ าม งานเปน็ ส่ิงทีส่ ร๎าง ความรบั ผิดชอบใหเ๎ ด็ก เดก็ จะมีความรับผดิ ชอบได๎ดีเมื่อมงี านหรือมีกจิ กรรมให๎ทาแมว๎ าํ เดก็ จะพอใจในการเลํน ถา๎ สามารถเปลย่ี นการเลํนของเด็กให๎เปน็ งาน หรือให๎เดก็ ทางานดว๎ ยความสนุกเพลิดเพลนิ เหมือนกบั การเลํนได๎ ก็จะ เป็นการดีทเี่ ดก็ สามารถทางานได๎ ความรบั ผิดชอบกจ็ ะเกิดขน้ึ การเลํนจงึ เปน็ ปัจจัยสาคญั ในการเตรียมตวั เดก็ ใหม๎ ี ความรบั ผิดชอบ เดก็ จะเรยี นร๎ูในการรับผดิ ชอบ ถา๎ หากวาํ มีความพรอ๎ มหรอื มีสถานการณ์ดงั ตอํ ไปนี้ 1. เด็กๆ ร๎ูจกั ตัดสนิ ใจ การตดั สินใจที่ถูกตอ๎ งของเด็กไดร๎ ับความสนใจจากพอํ แมํ และเสรมิ แรงด๎วยการให๎ รางวลั ตามความเหมาะสม 2. พํอแมํ และครู จะตอ๎ งสร๎างสถานการณห์ รือเปิดโอกาสใหเ๎ ดก็ ได๎ตัดสินใจอยํูเสมอผู๎ใหญํจะต๎องสร๎าง บรรยากาศให๎เด็กมีความรับผิดชอบ ละเวน๎ การตาหนติ ิเตียน 3. พอํ แมํ และครู จะต๎องหลกี เลยี่ งการตัดสินใจแทนเดก็ ในส่ิงทสี่ ามารถตัดสนิ ใจด๎วยตนเอง เพราะการที่ ผใ๎ู หญํแทนเดก็ เปน็ การนาไปสกํู ารไมรํ ูจ๎ ักการรบั ผิดชอบของเด็กเด็กที่มีความรบั ผดิ ชอบจะรูส๎ ึกวําตนประสบ ความสาเร็จ และความสาเรจ็ เป็นรางวลั กระตุน๎ ให๎ปฏิบัตติ ํอไป สวํ นเดก็ ที่ขาดความรับผดิ ชอบเมอ่ื ผลเสียเกิดขึน้ ผลเสียนัน้ จะเป็นการลงโทษและเปน็ คาติเตียน เปน็ การบัน่ ทอนกาลงั ใจของเด็กเปน็ ผลทาให๎การนับถอื ตนเองของ เดก็ ลดลง เดก็ จะไมํเช่ือมั่นในการกระทาของตนและการกระทาท่ีผูอ๎ ื่นปฏบิ ตั ิตอํ ตน ยิ่งไปกวําน้นั เดก็ จะมีทัศนคติท่ี ไมํดตี อํ ตนเองและตอํ ชวี ติ ดังน้นั การปลูกฝังความรบั ผดิ ชอบใหแ๎ กํเด็กต๎อง สร๎างบรรยากาศของการให๎รางวัล เพอื่ ใหเ๎ กดิ แรงจงู ใจในการแสดงพฤตกิ รรม หากเด็กไมไํ ดร๎ บั รางวลั หรอื คาชมเชยจากพฤติกรรมท่เี ขาแสดงออก ก็ เปน็ การยากที่จะทาใหเ๎ ดก็ มีความรบั ผิดชอบได๎ ดังน้นั ในการสอนใหม๎ คี วามรับผดิ ชอบจงึ ต๎องคานึงถึงการเสริมแรง ด๎วย เชนํ การใหร๎ างวัล คาชมเชย การแสดงความยนิ ดี เปน็ ตน๎ สานักงานทดสอบการศกึ ษา (2539: 2 - 3) ไดก๎ ลําวถึงหลกั ในการพัฒนาตนเองในด๎านคณุ ธรรมซ่ึง ประกอบด๎วยความรับผิดชอบมีหลักในการพัฒนาดงั น้ี 1. โรงเรยี นตอ๎ งมีนโยบายทจ่ี ะพัฒนานักเรยี นใหม๎ คี ุณธรรมอยํางชัดเจนและนานโยบายไปปฏบิ ตั อิ ยําง จรงิ จงั 2. การพัฒนานกั เรยี นให๎มคี ุณธรรมใดก็ตามต๎องดาเนินการพฒั นาทางดา๎ นความร๎ูความคิดความรส๎ู ึก และ การปฏบิ ตั ไิ ปพรอ๎ มๆกนั 3. สอดแทรกคุณธรรมไปกับการเรียนการสอน การจัดกิจกรรม และการดาเนนิ ชวี ติ ประจาวนั 4. บรรยากาศส่งิ แวดล๎อมและแบบอยํางทีด่ เี อื้อตอํ การปลูกฝังสร๎างเสริมให๎มคี ณุ ธรรม 5. บคุ ลากรทุกฝ่ายทัง้ ในบ๎าน วดั โรงเรยี น และชมุ ชน รํวมมือกนั พัฒนานกั เรียน

16 6. หลกั วิชา ทฤษฎี และเทคนคิ อยาํ งหลากหลาย เป็นปจั จัยในการพฒั นานกั เรียน 7. การปลูกฝงั สร๎างเสริมคณุ ธรรมให๎กับนักเรียนต๎องทาอยํางตอํ เน่อื งเปน็ ระบบและนาผลมาเป็นข๎อมลู ใน การพัฒนาตํอไป จากที่กลําวมาแลว๎ ขา๎ งตน๎ สามารถสรุปได๎วาํ ความรับผิดชอบเป็นสิง่ ที่ปลูกฝงั ให๎เกดิ ขึน้ กบั เด็กได๎ ซงึ่ พอํ แมํ ผ๎ูปกครอง และครจู ะเป็นสํวนสาคญั ในการปลูกฝัง และพัฒนาความรับผิดชอบใหเ๎ กิดขึ้นกบั เด็ก โดยมวี ิธีการ ปลูกฝังดงั นี้ 1. เรม่ิ ปลกู ฝังการรบั ผดิ ชอบให๎กบั เดก็ ตง้ั แตํอายยุ ังนอ๎ ย 2. ให๎เด็กมโี อกาสฝึกความรับผดิ ชอบ โดยการไดป๎ ฏิบัตจิ ริง 3. หดั ไมํให๎ปัดความรบั ผดิ ชอบใหแ๎ กผํ อู๎ ่ืน 4. ฝึกให๎ทางานใหเ๎ สรจ็ เปน็ ชนิ้ เปน็ อนั โดยไมํละทิ้งงานที่ไดท๎ าไว๎แล๎ว 5. ให๎คาแนะนาเก่ยี วกับความรับผดิ ชอบในการทางาน 6. ปลูกฝังและพัฒนาความรับผดิ ชอบอยาํ งสมา่ เสมอ 7. สรา๎ งบรรยากาศท้ังท่ีบ๎าน และที่โรงเรยี นให๎เหมาะสม สํงเสรมิ ให๎เดก็ ไดม๎ กี ารกระทามิใชํคอยควบคมุ ห๎าม ปราม สงํ เสรมิ ใหเ๎ ดก็ ไดร๎ ํวมมอื กันรบั ผิดชอบ 1.6 ปัจจัยทมี่ อี ิทธพิ ลตอ่ การพฒั นาความรับผดิ ชอบ ประดินนั ท์ อปุ รมยั (สมวาสนา ธนเมธกี ุล. 2546: 12-13; อ๎างองิ จาก ประดนิ นั ท์ อุปรมัย.2530) ได๎กลําวถึง ปจั จัยท่ีมอี ทิ ธพิ ลตํอการพฒั นาพฤติกรรมรับผิดชอบดังน้ี 1. ปัจจยั ในครอบครัว ไดแ๎ กํ 1) ความสม่าเสมอของพํอแมใํ นการปลูกฝงั ความรบั ผดิ ชอบใหก๎ บั เดก็ 2) ทศั นคตขิ องพอํ แมํ 3) การปฏิบตั ิตนเป็นแบบอยาํ งของพํอแมํ4) สภาพเศรษฐกจิ ของครอบครวั 5) ลาดับการเกดิ ของเดก็ ในครอบครวั และ 6) บุคคลอืน่ ๆ ท่ีอยํูในครอบครัว 2. ปจั จยั ภายในสถานศึกษา ไดแ๎ กํ 1) ครูมอี ิทธพิ ลตํอการพฒั นาพฤตกิ รรมความรบั ผดิ ชอบของเด็กด๎วย การปฏบิ ัติตนของครู และด๎วยการให๎เด็กมสี วํ นรํวมในกิจกรรมทเี่ ขาจะตอ๎ งรบั ผดิ ชอบโดยตรง และ 2) เพื่อนมี อทิ ธพิ ลตอํ การมคี วามรบั ผดิ ชอบของเด็ก เพราะปฏิสมั พนั ธ์ระหวาํ งเด็กกบั เพ่อื นแตํละคนจะทาให๎ตํางฝ่ายตําง ถาํ ยทอดลกั ษณะนิสยั ให๎แกกํ นั และกนั 3. ปัจจัยในสงั คม ได๎แกํ 1) การปฏบิ ัตติ นของคนในสงั คมที่เด็กเข๎าไปเป็นสมาชกิ และ 2) สื่อสารมวลชน 1.7 การวัดความรับผดิ ชอบ ล๎วน สายยศ และองั คณา สายยศ (2542: 184 - 186) กลาํ ววํา ความรสู๎ กึ รับผิดชอบเปน็ จรยิ ธรรมอยําง หน่ึงทีค่ วรไดร๎ บั การปลกู ฝงั พัฒนาให๎มีขึ้น ซง่ึ การทจี่ ะรไ๎ู ด๎วําความรบั ผดิ ชอบเกิดขนึ้ หรอื ไมํน้นั จะสามารถวัดได๎โดย

17 การใชว๎ ิธีการไดห๎ ลายรูปแบบ เพราะการท่จี ะวดั จรยิ ธรรมให๎ครอบคลุมชัดเจนแนํนอน ควรจะตอ๎ งจัดออกแบบ เครอ่ื งมอื การวัดใหไ๎ ดท๎ ้ัง 3 สํวน คอื 1. ความร๎ใู นเนือ้ หาทางจริยธรรม 2. ความรสู๎ กึ เกยี่ วกบั จรยิ ธรรม 3. พฤตกิ รรมทางจรยิ ธรรม เน่ืองจากความรบั ผิดชอบเป็นจริยธรรมแบบหน่ึง ดังนนั้ การวัดความรับผิดชอบจงึ ใชเ๎ คร่อื งมอื วดั แบบ เดยี วกบั เครอื่ งมอื วัดจริยธรรม ซ่ึงมขี ้นั ตอนการสรา๎ งเครอ่ื งมอื ดังนี้ 1. กาหนดจริยธรรมทจ่ี ะวัด ในขั้นนี้เป็นเหมือนจุดประสงค์วําต๎องการวัดจริยธรรมอะไรเป็นแบบรวมๆ หรอื แบบเดียวเฉพาะอยําง 2. ศึกษาเอกสารท่ีเกยี่ วข๎องเพอื่ ให๎เขา๎ ใจจรยิ ธรรมนนั้ ใหด๎ ีขึ้น เพื่อนิยามให๎ชัดเจน 3. เลอื กรปู แบบของเคร่ืองมอื ในการสรา๎ งเครือ่ งมือการวดั จริยธรรม ซ่งึ มหี ลายรปู แบบโดยจะตอ๎ งเลือกตาม ความเหมาะสมใหส๎ อดคลอ๎ งกบั จุดมํุงหมาย โดยมรี ูปแบบดงั นี้ - แบบสัมภาษณ์ - แบบสังเกต - แบบเขียนตอบ - แบบสร๎างจนิ ตนาการ ในแบบเขยี นตอบที่นยิ มใช๎มแี บบเติมเสรี กับแบบมีตัวเลอื ก 4. เขียนขอ๎ ความ ภาพ หรอื สถานการณ์ และขอ๎ คาถามให๎สามารถวัดจริยธรรมท่ตี อ๎ งการวดั โดยจะต๎องมี ความเหมาะสมกบั รูปแบบของเครื่องมือ 5. ตรวจสอบเครอื่ งมือโดยให๎ผู๎เชย่ี วชาญด๎านนั้น และผ๎ชู านาญการทางดา๎ นวดั ผลตรวจสอบ 6. ตรวจสอบคุณสมบัติรายขอ๎ โดยนาไปทดลองใช๎กบั กลมุํ ทเี่ ปน็ เป้าหมายเพอื่ ดวู ําแตลํ ะขอ๎ วัดจรยิ ธรรมได๎ จริงหรือไมํ และคดั เลือกเฉพาะข๎อทม่ี ีคณุ ภาพดี 7. จดั ข๎อสอบเป็นชดุ โดยจะตอ๎ งมีขอ๎ สอบทม่ี คี ุณภาพตรงตามจุดมุํงหมาย ในการวัดจรยิ ธรรมมีการสร๎าง คาชแี้ จงการสอบ จัดวางแบบของข๎อสอบพรอ๎ มกาหนดเวลาในการดาเนนิ การสอบ 8. ศึกษาคุณภาพของเครือ่ งมือ โดยดูความเทยี่ งตรง (Validity) และความเช่อื มนั่ (Reliability) วําถึงเกณฑ์ท่ี ดีของขอ๎ สอบตามทฤษฎีทางการวัดผลท่ีกาหนดไว๎หรอื ไมํ 9. สร๎างเกณฑป์ กตขิ องเครอ่ื งมือวัดจริยธรรมฉบบั น้นั ณฐั ภัทร ธรณี (2548: 38) กลาํ ววํา การวัดความรบั ผิดชอบเป็นการวดั ดา๎ นความรูส๎ กึ หรอื อารมณ์ เปน็ เรอ่ื ง ท่ีละเอียดออํ นและซับซ๎อน จงึ ทาให๎การวดั พฤตกิ รรมทางดา๎ นน้ีกระทาได๎ยาก ทงั้ นี้เพราะการสร๎างเครอ่ื งมือทีจ่ ะใช๎ วดั พฤติกรรมดงั กลาํ ว เราไมแํ นใํ จวําวัดได๎ตรงกับความเปน็ จริงหรือไมํ แตํนกั จิตวทิ ยาและนักวดั ผลการศกึ ษากไ็ ด๎

18 หาวธิ กี ารและสร๎างเครอื่ งมือที่มีคณุ ภาพดเี พยี งพอทจ่ี ะกระตุน๎ ใหเ๎ ห็นลกั ษณะท่แี ทจ๎ ริงของผูถ๎ กู วดั เพื่อใหไ๎ ด๎ ข๎อมูลที่ เชือ่ ถอื ได๎ ทวี ทอํ แก๎ว และอบรม สนิ ภิบาล (2527: 121) กลําววํา ถ๎าจะให๎เคร่ืองมอื มีความเที่ยงตรงสงู ควรจะใช๎ หลายๆ วธิ ีประกอบกนั ซึง่ โดยทวั่ ๆ ไปวธิ ที ใี่ ชว๎ ัดมอี ยํู 5 วิธี คอื 1. วธิ ีการสังเกต เปน็ วธิ ีการทใี่ ชก๎ ารสงั เกตพฤตกิ รรมและลักษณะทว่ั ๆ ไปท่ีบคุ คลแสดงออก ซึ่งแบํง ออกเปน็ 2 แบบด๎วยกนั คอื 1.1 การสังเกตแบบควบคมุ เป็นการสงั เกตพฤตกิ รรมของบคุ คลในสถานการณใ์ ดสถานการณ์หนึง่ ท่ีจัด ไว๎โดยเฉพาะ 1.2 การสังเกตโดยทวั่ ไปในชีวติ ประจาวนั ทีบ่ ุคคลแสดงออกวธิ กี ารสงั เกตท้งั สองแบบทกี่ ลําวไวข๎ ๎างตน๎ ต๎องบันทกึ ผลตามทีเ่ ห็นจริง โดยไมํนาความรส๎ู ึกสํวนตัวเขา๎ ไปเกยี่ วข๎อง ท่สี าคัญผส๎ู งั เกตควรจะไดร๎ ับการฝกึ ฝนมา เป็นทเี่ รียบร๎อยกํอนจงึ จะไดผ๎ ลดี 2. วธิ ีการรายงานตนเอง แบํงออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 2.1 การวเิ คราะห์ตนเอง เป็นวธิ กี ารให๎บคุ คลประเมินคาํ ตนเอง แบบวิเคราะหต์ นเองโดยใชล๎ กั ษณะ คาถามเปน็ แบบปรนัยทเ่ี ปน็ นามธรรม เชนํ ความสนใจในวิชาตํางๆ เจตคตติ ํอส่ิงเรา๎ แล๎วแปลผลเขา๎ สมูํ าตรฐานการ วัด 2.2 การสัมภาษณ์ เปน็ วธิ ีการสนทนาระหวาํ งบคุ คล 2 คนอยาํ งมีจดุ หมาย โดยผูส๎ ัมภาษณเ์ ตรยี มคาถาม มา และจดบันทกึ ประมาณคาํ ทง้ั นผ้ี ๎ถู กู สัมภาษณจ์ ะตอ๎ งไมรํ ูต๎ ัววําถูกทดสอบลักษณะนสิ ยั 3. วิธีการศกึ ษาความคดิ เหน็ จากคนอื่น เป็นวิธกี ารท่ีผ๎ูวัดจะตอ๎ งสร๎างแบบทดสอบเพอ่ื ใชถ๎ ามบคุ คลอ่นื วาํ มี ความรู๎สกึ เกีย่ วกับบคุ คลน้นั ๆ อยาํ งไร เชํน ครู ผูป๎ กครอง และเพือ่ น เป็นตน๎ 4. วิธีการใช๎แบบทดสอบ เป็นวิธีการท่นี ยิ มใชก๎ ันมาก โดยมีการสร๎างแบบทดสอบประกอบด๎วยคาถามหรอื ข๎อความหลายข๎อ ซึ่งผูท๎ ดสอบสรา๎ งขึ้นโดยยึดถอื ปกตวิ สิ ัยของคนโดยทว่ั ๆไปเป็นเกณฑม์ าตรฐาน ข๎อคาถามหรอื สถานการณท์ ีส่ ร๎างขน้ึ มักจะเกยี่ วขอ๎ งกบั ความร๎ูสกึ ของผถู๎ กู ทดสอบเองหรือสอดคล๎องเกย่ี วข๎องกับส่งิ แวดล๎อม หรอื พฤตกิ รรมทป่ี ฏบิ ตั อิ ยูํเป็นประจาเมือ่ ตกอยใูํ นสภาพการณ์นั้นๆ ท้งั น้ีผ๎ถู กู ทดสอบต๎องรวํ มมือกบั ผท๎ู ดสอบในการ ตอบแบบทดสอบ เพ่อื ใหไ๎ ดผ๎ ลทนี่ าํ เชอื่ ถือหรอื เป็นไปตามวัตถปุ ระสงค์ 5. วิธีการฉายภาพ (Projective Technique) เปน็ วิธีการทผ่ี ู๎วัดได๎จดั สง่ิ เร๎าขึ้นมาใหบ๎ ุคคลไดแ๎ สดงพฤตกิ รรม การตอบสนอง เชํน เลําเรื่องจากรปู ที่นามาให๎ดู ตวั อยาํ งไดแ๎ กํ แบบทดสอบรอร์ชาคและรูปภาพท่ีเกิดจากการหยด หมึก ให๎สร๎างความสมั พันธต์ ํอเนื่องจากคาที่กาหนดให๎ ให๎เตมิ ข๎อความทไี่ มํสมบูรณ์ ให๎แสดงออกด๎วยการวาดภาพ เป็นต๎น ซ่ึงเทคนคิ เหลาํ นีจ้ ะต๎องใช๎ผท๎ู ดสอบทไี่ ด๎รบั การฝกึ ฝนมาเปน็ อยํางดีทั้งสน้ิ การเลือกวิธกี ารวัดความ รบั ผิดชอบขึ้นอยูกํ บั ความเหมาะสมทงั้ ผท๎ู ดสอบ และผถู๎ ูกทดสอบสภาพการณท์ ่ใี ชท๎ ดสอบ และส่งิ ทใี่ ชว๎ ดั เพ่ือ ทาการศึกษา

19 ผกา สตั ยธรรม (2528: 6 -13) แบํงการวดั หรือการประเมินความรบั ผดิ ชอบออกเปน็ 2 ภาค คือ 1. ภาคปฏิบัติ ได๎แกํ การสงั เกตพฤติกรรม การสมั ภาษณ์ การถามผู๎ที่เก่ยี วขอ๎ งจะได๎ข๎อมลู ตรงจดุ มากข้นึ แตตํ ๎องใช๎เวลาเปน็ การบันทกึ พฤติกรรมการแสดงออกเพ่อื ติดตามผลแก๎ไขพฤติกรรมน้นั 2. ภาคทฤษฎี เป็นการประเมนิ ด๎วยข๎อทดสอบ หรอื แบบสอบถาม ตามระดบั ความมากนอ๎ ย ซึ่งอาจจะมี ระดับต้ังแตํดมี าก ดี คอํ นข๎างดี พอใช๎ ต๎องแก๎ไข และต๎องปรบั ปรงุ ใหมํทงั้ หมด จากเอกสารทผ่ี ๎ูวิจยั ไดร๎ วบรวมมาแล๎วข๎างตน๎ สรุปไดว๎ ํา การวัดความรับผิดชอบนน้ั สามารถใช๎เครอ่ื งมือวัด ไดห๎ ลายประเภท ซึ่งจะต๎องพจิ ารณาให๎เหมาะสมกับจดุ มุํงหมาย วิธกี ารวจิ ยั ลักษณะของผูถ๎ ูกประเมนิ โดยเคร่อื งมอื ที่ใช๎วดั ความรบั ผดิ ชอบได๎แกํ แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบสงั เกต และแบบสมั ภาษณ์ และในการศึกษาครัง้ นี้ ผ๎ูวิจยั ได๎เลอื กใช๎เครื่องมอื วดั ประเภทแบบสงั เกตเพอื่ บนั ทกึ พฤติกรรมความรับผดิ ชอบในการทางานทไี่ ดร๎ บั มอบหมายในรายวชิ าวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4 โรงเรียนอสั สัมชัญแผนกประถม 1.8 งานวจิ ยั เกย่ี วกับความรับผดิ ชอบ 1.8.1 งานวจิ ยั ในประเทศ แคทลยี า แสนนางชน. (2549). ไดท๎ าการศึกษาผลของกิจกรรมกลุมํ ท่ีมีตอํ ความรบั ผดิ ชอบด๎านการ ทางานท่ีเกีย่ วขอ๎ งกบั การเรียนของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปที ี่ 6 โรงเรียนนาหลวง เขตทงุํ ครุ จังหวัด กรุงเทพมหานคร พบวํานกั เรียนมคี วามรับผดิ ชอบด๎านการทางานทเ่ี กีย่ วข๎องกับการเรยี นมากขน้ึ หลงั จากเขา๎ รวํ ม กจิ กรรมกลมํุ อยาํ งมนี ยั สาคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .01 นักเรียนมีความรับผดิ ชอบด๎านการทางานท่เี กี่ยวขอ๎ งกับการ เรียนมากขนึ้ หลงั จากไมไํ ด๎เขา๎ รวํ มกิจกรรมกลมุํ อยาํ งมนี ัยสาคัญทางสถิตทิ ่ีระดบั .01 นักเรียนทเี่ ขา๎ รวํ มกิจกรรม กลุํมมีความรับผดิ ชอบดา๎ นการทางานทเี่ ก่ียวขอ๎ งกับการเรียนมากกวํานักเรียนทไี่ มํได๎เข๎ารวํ มกจิ กรรมกลํมุ อยาํ งมี นยั สาคญั ทางสถติ ิท่รี ะดับ.01 วงศ์รวี โพธิ์สวัสด์ิ. (2549). ไดท๎ าการพัฒนาความรบั ผิดชอบดา๎ นการเรียนของนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรียนปริยตั ริ งั สรรค์ อาเภอเมอื ง จังหวัดเพชรบุรี พบวํา นักเรยี นกลํมุ ควบคมุ มคี ะแนนความรบั ผิดชอบกอํ น และหลงั การทดลองไมแํ ตกตาํ งกนั นักเรียนกลํุมทดลองมีคะแนนความรบั ผิดชอบกํอนและหลงั การทดลองแตกตําง กันอยํางมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดบั .01 นกั เรยี นกลมุํ ควบคมุ และกลุมํ ทดลองมคี ะแนนความรับผิดชอบกํอนและ หลงั การทดลองแตกตาํ งกนั อยํางมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .001 จิรชั ญา ทิขตั ติ. (2550). ได๎ทาการเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนและความรับผดิ ชอบทางการเรียน ภาษาไทยท่ไี ดร๎ บั การสอนแบบรวํ มมอื และการสอนแบบปกตขิ องนักเรียนชนั้ มธั มศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นอัสสัมชัญ ธนบรุ ี พบวาํ นกั เรยี นทไี่ ดร๎ บั การสอนแบบรวํ มมือกบั นักเรยี นที่ได๎รบั การสอนแบบปกตมิ ีความรบั ผดิ ชอบทางการ เรยี นวชิ าภาษาไทยแตกตํางกนั อยาํ งมนี ยั สาคัญทางสถติ ิทร่ี ะดบั .05 นกั เรียนท่ีได๎รบั การสอนแบบรํวมมือกํอน และหลังการทดลองมีความรบั ผดิ ชอบทางการเรยี นวิชาภาษาไทยแตกตาํ งกนั อยาํ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ี่ระดบั .05

20 2. เอกสารที่เกีย่ วขอ้ งกับการปรับพฤตกิ รรม 2.1 ความหมายของการปรบั พฤตกิ รรม การปรบั พฤตกิ รรม หมายถึง การประยุกต์หลักพฤติกรรมมาใชแ๎ ก๎ปญั หาพฤตกิ รรมของคน โดยมคี วามเช่ือ พน้ื ฐานวําพฤติกรรมเกดิ จากการเรยี นร๎ู การแก๎ไขพฤติกรรมนน้ั ควรแกไ๎ ขท่กี ารเรยี นรู๎ ปัญหาหน่งึ ท่ีพบบอํ ยของครูผสู๎ อน หรือพอํ แมํ ผ๎ูปกครอง คอื พฤติกรรมอนั ไมพํ ึงประสงค์ของนักเรยี น จงึ ขอ เสนอความเชอ่ื พนื้ ฐานเก่ียวกบั พฤตกิ รรมของนักจติ วทิ ยาพฤติกรรมนยิ ม และนกั ปรับพฤตกิ รรมของคน ดังน้ี 1. พฤตกิ รรมของคนเป็นผลมาจากการเรยี นรู๎ พฤติกรรมปกติ และพฤตกิ รรมไมํปกตสิ ํวนใหญเํ กดิ จาก กระบวนการเรยี นรู๎ กลาํ วคอื ถา๎ เรียนรมู๎ าเหมาะสมก็มีพฤตกิ รรมปกติ ถา๎ เรียนรู๎มาไมดํ ี ไมเํ หมาะสมก็มีพฤติกรรม ไมปํ กติ 2. พฤติกรรมสามารถเปล่ียนแปลงแกไ๎ ขได๎โดยหลักการเรียนรู๎ คอื ถา๎ คนมพี ฤตกิ รรมไมํปกติ เนอ่ื งจากเขา เรยี นรูม๎ าไมดํ ี ไมํเหมาะสม ถา๎ เราวางเงื่อนไขการเรียนร๎ูใหมํให๎เหมาะสมยอํ มสร๎างพฤติกรรมปกติได๎เชํนกัน 3. การปรับพฤตกิ รรมสามารถกระทาไดท๎ ุกพฤตกิ รรม ยกเวน๎ พฤตกิ รรมทเี่ กิดจากสาเหตุภายในสภาพ ราํ งกาย หรอื ระบบประสาทบางสวํ นถูกทาลาย เชนํ พดู ไมํไดเ๎ พราะสมองสวํ นควบคมุ การพดู ถกู ทาลาย เรียน หนังสือไมไํ ดเ๎ พราะปัญญาอํอนมาก วตั ถปุ ระสงคข์ องการปรบั พฤติกรรม คอื การแก๎ไขพฤติกรรมทีเ่ ป็นปัญหา ดังนัน้ กอํ นที่จะทาการปรับ พฤตกิ รรมใด ๆ กต็ าม ต๎องพิจารณากอํ นวาํ พฤติกรรมอยาํ งไรจงึ จะถอื วาํ เป็นพฤตกิ รรมท่เี ปน็ ปัญหาแล๎วดาเนินการ ปรบั พฤติกรรมเพอ่ื ใหม๎ คี ัณลักษณะตามทป่ี ระสงค์ 2.2 แนวทางในการปรบั พฤติกรรม กรมสุขภาพจติ กระทรวงสาธารณสขุ ( 2544 ) ไดเ๎ สนอแนวทางในการปรับพฤตกิ รรม ซึ่งสามารถนามา ประยกุ ต์ใช๎เพอื่ ปรบั พฤตกิ รรมการขาดความรบั ผิดชอบในการทางานทไี่ ด๎รบั มอบหมายของนกั เรียนได๎ ดังนี้ 1. การเสรมิ แรงทางบวก ( Positive Reinforcement ) การเสรมิ แรงทางบวก หมายถงึ ขบวนการที่สงํ เสรมิ พฤติกรรมของบุคคลเพื่อให๎บุคคลแสดงพฤติกรรมท่พี งึ ประสงค์ ซ้าอกี เมือ่ ได๎รับคาชมเชยหรือรางวัล ตวั อยํางเชํน เมอ่ื เดก็ ทางานสํงครตู รงตามเวลาทีก่ าหนด ครคู วรพูดวาํ เกํง ดี วเิ ศษ ยอดเยยี่ ม ดีมาก เปน็ ตน๎ อุปกรณ์เสริมแรงทเ่ี ปน็ ส่งิ ของได๎แกํ อาหาร เชํน ลกู กวาด อมยม้ิ เป็นต๎น ของเลนํ เชนํ ต๏ุกตา ลูกหนิ ดนิ น้ามนั เป็นต๎น การให๎แรงเสรมิ ควรใหอ๎ ยาํ งสม่าเสมอในตอนแรกเมอื่ พฤติ กรรมเร่มิ คงที่แล๎ว ควรลดแรงเสริมลงและใหแ๎ รงเสริมเป็นคร้งั คราวเทาํ น้ันเม่ือพฤติกรรมคงทแ่ี ล๎ว 2. แรงเสริมทางลบ ( Negative Reinforcement ) แรงเสริมทางลบ หมายถึง ขบวนการที่สงํ เสริมพฤติกรรมของบุคคลเพือ่ ใหบ๎ คุ คลแสดงพฤติกรรมทพ่ี ึง ประสงคซ์ า้ อีก เดก็ แสดงพฤตกิ รรมท่พี งึ ประสงคเ์ พอ่ื ต๎องการหลีกเล่ยี งสภาวะทีเ่ ดก็ ไมํพงึ พอใจ ตวั อยาํ งเชนํ ครูบอก กับนกั เรียนวาํ “ ถ๎านักเรยี นคนใดมีความรบั ผดิ ชอบในการทางานทีไ่ ดร๎ บั มอบหมาย สงํ งานตรงตามเวลาทกี่ าหนด

21 จะไมํถูกครลู งโทษโดยการใหท๎ าแบบฝกึ หัดเพิ่ม ” นกั เรียนจึงมคี วามเพยี รพยายามทจี่ ะทางานทค่ี รมู อบหมายให๎ เสร็จเพื่อหลกี เล่ียงการถูกลงโทษโดยการให๎ทาแบบฝึกหัดเพิ่ม ดงั น้ัน การไมํถูกครลู งโทษโดยการทาแบบฝึกหัดเพ่มิ จึงแรงเสริมทางลบ เพราะเปน็ สง่ิ ทเี่ ดก็ ต๎องการหลกี เลย่ี ง แตกํ ารทาแบบฝึกหดั เพ่มิ นท้ี าใหเ๎ ด็กแสดงพฤตกิ รรมท่พี ึง ประสงค์ 3. การหยุดยัง้ (Extinction) เป็นการงดใหร๎ างวลั งดให๎ความสนใจตอํ พฤตกิ รรมของเดก็ ซงึ่ เปน็ พฤตกิ รรมที่ไมพํ งึ ประสงค์ครคู วรใหแ๎ รง เสรมิ แกพํ ฤตกิ รรมท่ีพึงประสงคค์ วบคํูกันไปดว๎ ย เชนํ เมอื่ เดก็ ไมสํ ํงงาน ขาดความรับผิดชอบในการทางานทไ่ี ดร๎ ับ มอบหมาย ครแู สดงอาการไมสํ นใจ แตํเมอ่ื เด็กมีความรับผดิ ชอบตํองานท่ีไดร๎ บั มอบหมายครจู ะชม เปน็ ต๎น การ เพิกเฉยของครูเหมาะสมสาหรบั พฤติกรรมที่ไมํรนุ แรงเทาํ นน้ั วธิ ีนี้ไมํเหมาะสมสาหรับพฤตกิ รรมทร่ี ุนแรง เชํน การชก ตํอย ซึ่งครคู วรหยุดพฤตกิ รรมน้ีทันที 4. เบ้ียอรรถกร ( Token Economy ) เหรยี ญรางวลั เป็นการสะสมเหรียญหรอื คะแนน เพอื่ ให๎นกั เรียนมีสิทธ์ิได๎รับรางวัลอยํางใดอยํางหนง่ึ หรือ กระทากจิ กรรมทน่ี ักเรยี นชอบ โดยครกู าหนดคะแนนหรือเหรยี ญเปน็ ระดบั ตาํ งๆ แตลํ ะระดบั มรี างวลั แตกตาํ งกัน เชํน ครูจะให๎คะแนน 1 คะแนน แกํนกั เรียนทุกครงั้ ทที่ างานเสร็จภายในเวลาทก่ี าหนดให๎ ถ๎าใครสะสมคะแนนได๎ 10 คะแนน ครูจะมรี างวลั ให๎ เปน็ ต๎น การใหร๎ างวลั ควรจดั ตามระดับความสาคญั ของรางวลั และการใหค๎ ะแนนควร ให๎สาหรบั พฤตกิ รรมท่เี ดก็ สามารถทาได๎ 5. Overcorrection เปน็ การแก๎ไขผลการกระทาของเดก็ และแกไ๎ ขในปริมาณทม่ี ากกวาํ เดิม เชํน เดก็ คนหนง่ึ ไมํสํงงานครู ติดตํอกันหลายครั้งครูจะตดิ ตามงานของนกั เรียนให๎มากขึ้นกวําเดิมจนงานเสร็จทั้งหมดแลว๎ มอบหมายงานเพ่มิ นอกเหนือจากนกั เรียนคนอ่นื โดยครกู ากับการทางานอยํางใกล๎ชดิ จะเหน็ ได๎วาํ การปรับพฤตกิ รรมนีม้ ี 2 ขน้ั ตอน ขน้ั ตอนแรกคอื เดก็ ตอ๎ งแกไ๎ ขผลการกระทาของตนเสียกอํ น สํวนท่ี 2 เปน็ การให๎เดก็ ทาในสงิ่ ท่ีดี แตเํ ด็กอาจไมชํ อบ เชํน การให๎นักเรียนทางานเพมิ่ มากกวํานกั เรยี นคนอ่นื เปน็ ต๎น การใหเ๎ ดก็ กระทาเชํนน้ีเปน็ การลงโทษสถานเบา 6. Timeout เปน็ การงดให๎รางวัลในชวํ งเวลาจากดั เชํน นักเรียนทขี่ าดความรบั ผดิ ชอบในการทางานท่ีไดร๎ ับมอบหมาย จะถกู ตัดสทิ ธ์ิไมใํ ห๎เลํนเกมหรือทากิจกรรมท่คี รจู ดั ขน้ึ เป็นตน๎ การงดใหร๎ างวลั ควรกระทาใหเ๎ หมาะสม ควรงดในส่ิงที่ เด็กชอบและไมคํ วรงดนานจนเกนิ ไป 7. การทาสญั ญากับเด็ก (Behavioral contract) เปน็ การทาสัญญาระหวํางครกู ับนักเรยี น ในลกั ษณะทเี่ ปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร เชํน นักเรยี นสัญญากับครวู ํา จะมีความรบั ผิดชอบในการทางานที่ไดร๎ บั มอบหมาย ตลอดระยะเวลา 2 เดือน เปน็ สิง่ ทีจ่ ะใหเ๎ ดก็ ทาสัญญาควรเปน็ ส่ิงทีน่ ักเรยี นสามารถทาได๎ ระยะเวลาในสัญญาไมคํ วรนานเกนิ กวาํ ทีเ่ ด็กจะทาได๎ มีการตรวจสอบเด็กตลอดเวลาวาํ เดก็ ปฏบิ ตั ิตามสญั ญาหรือไมหํ ากผิดสญั ญาควรมกี ารลงโทษ หากปฏิบตั ติ ามสัญญาควรใหร๎ างวัล

22 8. การลงโทษ (Punishment) เป็นขบวนการขจัดพฤตกิ รรมทไ่ี มพํ งึ ประสงค์ท่ีเด็กแสดงออก และไมใํ ห๎เดก็ แสดงพฤตกิ รรมเชํนน้อี กี ใน อนาคต การลงโทษอาจเป็นการลงโทษดว๎ ยวาจา เชนํ การตาหนิ หรือการลงโทษทางกาย เชนํ การเฆยี่ นตี ครพู ึง ระวงั วํา การลงโทษเปน็ การหยุดพฤติกรรม ไมํใชํการเสริมพฤติกรรม หากลงโทษแล๎ว เด็กยงั แสดงพฤติกรรมดงั เดิม อกี แสดงวาํ การลงโทษเปน็ วิธีปรบั พฤตกิ รรมท่ไี มํประสิทธภิ าพสาหรับเด็กคนนั้น 9. การหล่อหลอมพฤติกรรม (Shaping) เปน็ การเลือกใช๎แรงเสรมิ เฉพาะพฤตกิ รรมท่ีพงึ ประสงคเ์ ทําน้ัน เชํน ในห๎องเรยี นครชู มนักเรียนที่เคยขาด ความรับผดิ ชอบในการทางานที่ไดร๎ ับมอบหมายกับเพ่ือนเมอื่ นักเรียนคนนั้นประพฤติตนเป็นเดก็ ดี ตง้ั ใจฟังครู มี ความรบั ผดิ ชอบตํอการทางานทีไ่ ด๎รับมอบหมายมากขน้ึ แตํเม่อื ไรท่ีนกั เรียนเร่ิมขาดความรบั ผดิ ชอบในการทางาน ที่ได๎รบั มอบหมายหน่ึงครั้งครจู ะแสดงอาการไมสํ นใจ ไมพํ ูดคุยดว๎ ย การเลอื กชมเฉพาะพฤติกรรมทีพ่ งึ ประสงค์ จะ ชวํ ยให๎เด็กแสดงพฤตกิ รรมน้ันซา้ อกี เพราะไดร๎ บั ความชื่นชมจากครู จากข๎อมูลเก่ยี วกับการปรับพฤตกิ รรมการขาดความรบั ผิดชอบในการทางานทไ่ี ด๎รับมอบหมายดงั กลาํ ว สามารถสรุปได๎วํา ถา๎ จะปรบั พฤตกิ รรมการขาดความรบั ผิดชอบในการทางานทีไ่ ด๎รับมอบหมายของนกั เรียนก็ต๎อง ได๎รบั ความรํวมมือและความตระหนักรํวมกันของผเู๎ กย่ี วข๎องทจ่ี ะตอ๎ งเขา๎ ใจรวํ มกนั วางเง่ือนไขและทาอย่างต่อเนอ่ื ง ดว๎ ยการไมํตามใจ ต๎องไมํเพกิ เฉยเมือ่ เดก็ แสดงพฤตกิ รรมที่ไมํพึงประสงค์ ควรรบี ใหค๎ าชมชมและให๎รางวลั ทุก พฤตกิ รรมทเ่ี ดก็ แสดงออกอยํางเหมาะสมให๎มีความย่งั ยืน เดก็ คือผา๎ ขาว นาอะไรมาแตงํ แตม๎ กจ็ ะเป็นไปตามนัน้ และต๎องอาศยั ความรวํ มมือของผูเ๎ กย่ี วข๎องทาอยาํ งตํอเนือ่ งเพือ่ ที่จะสํงเสริมการเรยี นรูข๎ องเด็ก ๆ ให๎มพี ฤติกรรมอัน พงึ ประสงค์มีพัฒนาการครบทุกดา๎ น คอื เปน็ คนดี เกํง และอยํใู นสังคมไดอ๎ ยํางมคี วามสุข ซง่ึ รปู แบบในการปรับ พฤตกิ รรมที่ผู๎วิจยั เลอื กนามาใชค๎ รง้ั น้ี คอื การใหแ๎ รงเสรมิ ทางบวกและการใช๎เบีย้ อรรถกร 2.3 แนวคดิ ทฤษฎกี ารเรียนรู้การวางเงอ่ื นไขแบบการกระทา ( Operant Conditioning ) ทฤษฎีการเรยี นรู๎การวางเงือ่ นไขแบบการกระทานน้ั มีความเชือ่ วํา พฤตกิ รรมของบคุ คลเป็นผลเนื่องมาจาก การปฏิสมั พนั ธก์ บั สภาพแวดล๎อมและพฤตกิ รรมทเี่ กดิ ขึ้นของบคุ คลจะแปรเปลย่ี นไปเนอ่ื งจากผลกรรมที่เกิดข้นึ ใน สภาพแวดลอ๎ มนัน้ สกินเนอร์ (Skinner) ใหค๎ วามสนใจกบั ผลกรรม 2 ประเภท ได๎แกํ ผลกรรมท่ีเป็นตวั เสรมิ แรง (Reinforcer) ที่ทาให๎พฤติกรรมทีบ่ ุคคลกระทานน้ั ยุติลง (สมโภชน์ เอย่ี มสุภาษิต.2536 : 32) ตามแนวคดิ ของทฤษฎกี ารเรยี นรูแ๎ บบเง่ือนไขการกระทานนั้ จะใหค๎ วามสาคญั ทีเ่ ง่ือนไขผลกรรมเป็นหลกั ซงึ่ ผลกรรมน้ันสามารถแบํงออกเป็น 2 ประเภท คอื การเสรมิ แรงและการลงโทษ การเสรมิ แรง (Reinforcement) คอื การทาให๎ความถีข่ องพฤตกิ รรมเพ่มิ ข้นึ อันเปน็ ผลมาจากผลกรรมท่ตี ามหลังพฤตกิ รรม ผลกรรมทท่ี าให๎ พฤตกิ รรมมีความถี่เพ่ิมขึน้ เรยี กวํา ตัวเสรมิ แรง (Reinforcer) แคชดนิ ( Kazdin. 1977 : 3) ตัวเสริมแรงทใี่ ชก๎ ันอยนํู ัน้ แบํงออกเป็น 2 ชนิด คือ 1. ตัวเสรมิ แรงปฐมภมู ิหรือตวั เสริมแรงท่ีไมํตอ๎ งวางเง่อื นไข ( Primary or Unconditioned Reinforcers )

23 หมายถงึ ตวั เสรมิ แรงท่ีมีคุณสมบัตเิ ป็นตวั เสริมดว๎ ยตัวของมันเองที่ไมตํ อ๎ งอาศัยกระบวนการเรียนร๎ูหรือไมตํ ๎องไป สมั พนั ธ์กับสง่ิ อื่นสามารถตอบสนองความตอ๎ งการของอนิ ทรียไ์ ด๎โดยตรง เชนํ อาหารสาหรบั คนทีห่ ิวหรอื น้าสาหรบั คนทก่ี ระหายน้า เป็นต๎น 2. ตวั เสรมิ แรงทตุ ยิ ภมู ิ หรอื ตวั เสรมิ แรงที่ตอ๎ งวางเงือ่ นไข ( Secondary or Conditioned Reinforcers ) หมายถงึ ตวั เสริมแรงทไี่ มมํ คี ุณสมบตั ขิ องการเสรมิ แรงอยใูํ นตัวเองเป็นสิ่งเร๎าทเ่ี ป็นกลาง แตไํ ดน๎ ามาเขา๎ คูํกับตวั แรงปฐมภมู บิ อํ ยคร้ังจงึ ทาให๎บคุ คลเกดิ การเรียนรว๎ู ําส่งิ เรา๎ น้ันมคี ณุ สมบตั ิเปน็ ตวั เสริมแรง เชํน เงนิ คะแนน คา ชมเชย เป็นต๎น ซง่ึ ตวั เสริมแรงบางตวั สามารถนาไปแลกเปลี่ยนเปน็ ตวั เสริมแรงอ่ืนๆได๎หลายอยาํ ง จงึ ทาใหม๎ ี ประสทิ ธภิ าพในการเสรมิ แรงได๎ดีกวําตวั เสริมแรงไดด๎ กี วําตัวเสรมิ แรงท่ีไมํสามารถนาไปแลกเปล่ยี นเปน็ ตวั เสริมแรง อนื่ ๆได๎ ตัวเสรมิ แรงชนิดนเี้ รยี กวาํ ตวั เสรมิ แรงแผํขยาย ( Generalized Reinforcers ) เชนํ เงินหรือคูปองแลก ของตามห๎างสรรพสินค๎า การให๎ความสนใจหหหรือคาชมเชย เป็นต๎น ตวั เสริมแรงแผํขยายไมํกอํ ใหเ๎ กดิ สภาวะท่ี เรียกวาํ การหมดประสิทธภิ าพเปน็ ตัวเสรมิ แรงไดง๎ ําย นอกจากน้นั การเสรมิ แรงสามารถดาเนินการได๎ 2 วธิ ี คือ 1. การเสรมิ แรงทางบวก ( Positive Reinforcement ) หมายถงึ กระบวนการในการใหผ๎ ลกรรม บาง สิ่งบางอยาํ งหลงั จากบุคคลแสดงพฤตกิ รรมแลว๎ ทาให๎บคุ คลแสดงพฤติกรรมน้นั ๆอยํางสม่าเสอหรือเพม่ิ ขึ้น ผล กรรมที่บุคคลไดร๎ ับ เรยี กวาํ ตวั เสริมแรงบวก ( Positive Reinforcer ) 2. การเสริมแรงทางลบ ( Negative Reinforcement ) หมายถึง กระบวนการในการถอดถอนผลกรรม บางสง่ิ บางอยํางหลังจากบุคคลแสดงพฤตกิ รรมแล๎ว ทาใหบ๎ ุคคลแสดงพฤตกิ รรมน้ันๆอยํางสม่าเสมอหรือเพ่ิมขึ้น การท่บี คุ คลไดร๎ ับการถอดถอนผลกรรมที่ไมพํ ึงพอใจออกไดน๎ ัน้ เทาํ กับวําบคุ คลได๎รับการเสริมแรงโดยการลด สภาพการณ์ท่ีไมพํ งึ พอใจลงผลกรรมที่บคุ คลไดร๎ ับน้ัน เรียกวาํ ตวั เสริมแรงลบ ( Negative Reinforcer ) ในการปรบั พฤติกรรมนยิ มใช๎การเสริมแรงทางบวก เพราะเป็นวธิ กี ารเพิ่มพฤติกรรมและไมํกอํ ให๎เกิดปญั หา ทางอารมณ์เหมือนกับการใช๎วิธกี ารลงโทษหรือการหยดุ ย้งั หรือการเสรมิ แรงทางลบ ( สมโภชน์ เอ่ียมสุภาษิต. 2526 : 73 ) ประเภทของตัวเสรมิ แรงทางบวก ตวั เสรมิ แรงทางบวก แบงํ ได๎เป็น 5 ชนิด ไดแ๎ กํ 1. ตวั เสริมแรงทเ่ี ป็นสง่ิ ของ 2. ตัวเสริมแรงทางสังคม 3. ตวั เสริมแรงที่เป็นกิจกรรม 4. ตวั เสรมิ แรงที่เปน็ เบ้ียอรรถกร 5. ตัวเสริมแรงภายใน การเสริมแรงเปน็ วธิ ีการท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพในการเพม่ิ พฤติกรรมโดยเฉพาะอยํางยิ่งการเสรมิ แรงทางบวกดว๎ ย

24 เบ้ียอรรถกร เพราะไมํกอํ ใหเ๎ กดิ ปญั หาทางอารมณ์ ซ่ึงสมโภชน์ เอ่ยี มสภุ าษิต กลาํ วเสรมิ วาํ การทีเ่ บย้ี อรรถกร สามารถนาไปแลกกบั ตวั แรงเสรมิ อื่นๆ เชนํ ขนม อปุ กรณ์การเรยี น และสทิ ธิพเิ ศษตาํ งๆ ฯลฯ ได๎มากกวาํ 1 ตัว จงึ ทาให๎ตวั ของมันเองมีคณุ สมบตั เิ ป็นตวั เสริมแรงแผขํ ยายและมปี ระสทิ ธิภาพในการเป็นตวั เสริมแรงอยาํ งมาก ( สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษติ . 2536 : 104 ) ในงานวจิ ัยคร้ังนีจ้ ึงไดเ๎ ลอื กการใช๎แรงเสรมิ ดว๎ ยเบ้ยี อรรถกรในการเพ่มิ พฤติกรรมความรบั ผดิ ชอบในการทางานท่ีไดร๎ ับมอบหมายในรายวชิ าวทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรียนระดบั ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรียนอสั สมั ชัญแผนกประถม 3. เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กีย่ วข้องกับเบย้ี อรรถกร ( Token Economy ) เบีย้ อรรถกร ( Token Economy ) เป็นสญั ญลกั ษณอ์ ยาํ งหนึ่งมีลักษณะหรอื รปู แบบหลายอยาํ งอาจอยูใํ น รปู ของคะแนน เบ้ยี ดาว คปู อง แสตมป์ เป็นตน๎ ซึง่ ผ๎ทู ีไ่ ด๎รับสามารถนาไปแลกสง่ิ ตํางๆไดต๎ ามความต๎องการของ แตํละบคุ คลภายใตอ๎ านาจการแลกเปลย่ี นของแตํละชนิด มอรสิ ( Moris. 1976: 55) ไดเ๎ สนอวําลกั ษณะของเบ้ยี (Token) ทีจ่ ะใชเ๎ ป็นสิง่ เสริมแรงในโปรแกรมการปรบั พฤตกิ รรมควรมลี กั ษณะดงั ตํอไปนี้ 1. มองเห็นได๎ จับตอ๎ งได๎และนบั ได๎ 2. เก็บไวไ๎ ด๎โดยไมเํ สื่อมคุณภาพ 3. นาไปแลกเปน้ สิ่งของทีต่ อ๎ งการได๎ 4. ไมสํ ามารถไดร๎ บั จากแหลงํ อ่ืนๆนอกรับจากครูหรือผูท๎ าการวจิ ัยแตํตอ๎ งอยํูในโปรแกรมน้นั ๆ 3.1 ข้อดีของการใชเ้ บ้ยี อรรถกรในการปรับพฤตกิ รรม แอลลอนและแอชริน ( Ayllon and Azrin. 1968: 61 ) ได๎เสนอแนะถึงการนาเบี้ยอรรถกรไปใชใ๎ นกรณี ดังตํอไปนี้ คือ 1. ตวั เสรมิ แรงบวกชนิดอืน่ เกดิ ขึ้นโดยธรรมชาติมจี านวนนอ๎ ยหรือหาได๎ยาก 2. ตวั เสรมิ แรงบวกชนดิ อน่ื ที่ไมํสามารถให๎ได๎ทันทที นั ใดหลังจากพฤตกิ รรมเกิดขึ้น เพราะจะไปขัดขวาง กจิ กรรมทีก่ าลงั ดาเนินอยูํ ตัวเสริมแรงพวกน้ี ไดแ๎ กํ อาหารหรือกิจกรรมบางอยาํ ง เชํน การไดไ๎ ปเที่ยว การได๎เลํน เกม การได๎พักผํอน เปน็ ตน๎ หรอื ในกรณีของคนกลุํมใหญทํ ี่ตอ๎ งใหต๎ ัวเสริมแรงบวกหลายชนดิ ใน การตอบสนอง ความต๎องการของแตํละบคุ คลซงึ่ อาจกํอใหเ๎ กิดความยงุํ ยากในการให๎การเสรมิ แรง เพอ่ื ลดปัญหาเหลาํ น้ีควรใชเ๎ บ้ยี อรรถกรเป็นตวั เชอ่ื มโยงระหวาํ งพฤตกิ รรมกับตัวเสรมิ แรงชนิดน้นั 3. ถ๎าการเสรมิ สร๎างพฤติกรรมต๎องใชร๎ ะยะเวลานาน เบ้ียอรรถกรกอ็ าจนามาใช๎เพอื่ จูงใจให๎บุคคลแสดง พฤติกรรมไดน๎ าน 4. ตวั เสรมิ แรงบวกชนิดอื่นๆนัน้ เม่อื ให๎การเสรมิ แรงไประยะหนึ่งแลว๎ อาจจะหมดประสทิ ธภิ าพในการ เปน็ ตัวเสริมแรงได๎ 5. มีความต๎องการใหเ๎ บี้ยอรรถกรเป็นสญั ญาเตอื นวําจะไดร๎ ับการเสริมแรงเมอ่ื บุคคลแสดงพฤตกิ รรม สมโภชน์ เอย่ี มสภุ าษติ ( 2526 : 105 ) กลาํ ววาํ เบีย้ อรรถกรเปน็ ตวั เสรมิ แรงทม่ี ปี ระสิทธภิ าพในการ

25 รกั ษาหรอื เพม่ิ พฤติกรรมไดม๎ ากกวาํ ตวั เสริมแรงอน่ื ๆ เนื่องจากมีอานาจในการแผขํ ยาย ( Generalized Reinforcers ) สามารถนาไปแลกเปน็ ตัวเสรมิ แรงไดม๎ ากกวาํ 1 อยาํ ง ซงึ่ ทาให๎ไมํหมดสภาพการเป็นตัวเสริมแรง เหมือนกบั ตัวเสริมแรงอ่นื ๆ นอกจากนีเ้ บ้ยี อรรถกรยงั สามารถใชเ๎ ป็นตัวเชอื่ มโยงระหวาํ งพฤตกิ รรมเป้าหมายกับตวั เสรมิ แรงอน่ื ๆ เชํน เชอ่ื มโยงกับอาหารท่ีเดก็ ชอบหรอื กจิ กรรมที่เดก็ สนใจ เป็นตน๎ และสามารถให๎ได๎ทันทีหลงั จาก พฤติกรรมเกิดข้นึ ไมํขดั ขวางกิจกรรมทกี่ าลังดาเนินอยํแู ละใช๎ได๎กบั ทกุ คนรวมทัง้ การทดลองกับกลมํุ ใหญํๆ แม๎วํา แตลํ ะคนจะชอบตํางกันกต็ าม แตํกส็ ามารถนาเบย้ี ไปแลกของท่ตี นเองต๎องการได๎ เนอ่ื งจากมสี ่ิงของให๎แลกเปลี่ยน หลายอยําง และยงั สามารถใหเ๎ บย้ี อรรถกรไดต๎ ามจานวนพฤติกรรม เพอ่ื ใหโ๎ ปรแกรมการปรบั พฤตกิ รรมทใ่ี ชเ๎ บีย้ อรรถกรเปน็ ตวั เสรมิ แรงทีม่ ีประสิทธภิ าพมากยง่ิ ขน้ึ แคชดนิ ( Kazdin. 1977: 42-52 ) เสนอวาํ ควรจะไดว๎ างแผนและเตรยี มการตามลาดบั ดงั นี้ 1. ระบุลกั ษณะของพฤตกิ รรมท่พี ึงประสงคใ์ หช๎ ัดเจน 2. กาหนดวิธีการและเทคนคิ การปรบั พฤตกิ รรมทส่ี ามารถประเมินผลไดอ๎ ยํางชดั เจน 3. เลือกส่งิ ท่จี ะนามาใช๎เป็นเบยี้ (Token) ให๎เหมาะสมกับสถานการณแ์ ละบคุ คล 4. เลอื กตวั เสรมิ – แรงหนุน ( Back – up Reinforcers ) และกาหนดอัตราแลกเปลย่ี นให๎เหมาะสม 5. กาหนดเงอื่ นไขการเสริมแรง โดยทาความตกลงรวํ มกนั ระหวาํ งผูด๎ าเนินการโปรแกรมและผ๎ถู กู ปรับ พฤติกรรม 3.2 ขอ้ จากัดของการใช้เบย้ี อรรถกรในการปรับพฤติกรรม แคชดิน ( Kazdin. 1977: 44-45 ) กลาํ ววํา หลงั จากท่ีให๎การเสรมิ แรงด๎วยเบ้ยี อรรถกรเสริมแรง พฤตกิ รรมแลว๎ การหยดุ ใหเ๎ บย้ี อรรถกรทนั ที อาจทาใหพ๎ ฤตกิ รรมลดลงอยาํ งรวดเร็วได๎ เนื่องจากบคุ คลเรยี นร๎ถู ึง ความสมั พนั ธก์ ันของการให๎เบีย้ อรรถกรกับพฤตกิ รรมท่ีไมพํ ึงประสงค์ ดังนัน้ เม่ือหยดุ การใหเ๎ บยี้ อรรถกรพฤติกรรมท่ี พึงประสงคอ์ าจยตุ หิ รือลดลงด๎วย 3.3 งานวจิ ัยทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับการใช้เบ้ียอรรถกรในการปรบั พฤตกิ รรม 3.3.1 งานวิจัยต่างประเทศ การเสริมแรงทางบวกดว๎ ยการให๎เบยี้ อรรถกรในการปรับพฤตกิ รรมตาํ งๆของบุคคลได๎มีการนาไปใช๎อยําง กวา๎ งขวางในสภาพการณต์ าํ งๆ คนท่ีมีปัญหาทางการพดู (พูดตดิ อาํ ง) ปัญหามลพิษ การอนรุ กั ษ์พลงั งานและ การจ๎างงาน เป็นตน๎ ( Kazdin. 1977: 85 -104 ) สาหรบั นาไปใช๎ในห๎องเรยี นท่เี กย่ี วข๎องกับพฤติกรรมการเรยี น และพฤติกรรมอนื่ ๆทเ่ี ป็นปญั หาอุปสรรคตํอการเรียนการสอน ไดม๎ ีการนาไปใชอ๎ ยาํ งกว๎างขวาง มากกวาํ ใน สภาพการณอ์ ื่นๆ ( Kazdin. 1977: 105 ) เชํน ในการเสรมิ สร๎างพฤตดิ รรมทพ่ี ึงประสงค์ในชัน้ เรยี น วอลค์ เกอร์และฮอบส์ ( Walker and Hops. 1976 ) ไดเ๎ ลอื กกลุํมตวั อยําง จานวน 24 คน ซ่งึ แสดง พฤตกิ รรมการฟังครูสอน การทาตามคาสงั่ การตง้ั ใจทางาน การทางานเสร็จภายในเวลาท่กี าหนดโดยแสดง พฤติกรรมเหลําน้ตี ่ากวํารอ๎ ยละ 60 ของเวลาทส่ี ังเกต การทดลองได๎แบํงกลํุมตัวอยาํ งออกเปน็ 3 กลุํม กลุํมละ

26 8 คน ข้นั แรกได๎เก็บข๎อมลู ระยะพ้นื ฐานในสภาพหอ๎ งเรยี นปกตเิ ป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ และสภาพหอ๎ งเรียนท่ีใชใ๎ น การทดลองอีก 2 – 3 สัปดาห์ จากนนั้ จึงเริ่มดาเนินโปรแกรมเบี้ยอรรถกรในหอ๎ งเรยี นทดลองอีก 7 – 10 สปั ดาห์ แลว๎ จึงกลับสํหู อ๎ งเรยี นตามปกติซงึ่ จะมกี าริตามผลการทดลองอีกคร้ัง จากการทดลองปรากฏวํา กลํุมที่ 1 ไดร๎ บั เง่ือนไขการให๎เบย้ี อรรถกรและคาชมเชยตํอพฤติกรรมทเี่ ฉพาะเจาะจง เชนํ พฤติกรรมตั้งใจทางาน ฟังครูสอน ทา ตามครสู ง่ั การอาสาสมคั ร สวํ นกลํุมท่ี 2 ได๎รับเงอ่ื นไขการให๎เบย้ี อรรถกรและคาชมเชยตอํ พฤติกรรมการทางาน ถกู ต๎อง และกลมุํ ท่ี 3 จะได๎รบั ทง้ั สองเงอ่ื นไขรวมกนั จากการตดิ ตามหลังจากดาเนินการโปรแกรมแล๎ว 2 – 3 เดือน พบวําการใช๎เง่ือนไขเบยี้ อรรถกรของนักเรียนทงั้ 3 กลุํมยงั คงเพิ่มพฤติกรรมตาํ งๆทางการเรียนได๎ เชํนเดยี วกับขณะดาเนินโปรแกรม กรนี และพอลล่สี ตอ๏ ก ( Green and Polirstok. 1975 ) ทไ่ี ดท๎ าการทดลองโดยการฝกึ นกั เรียน 3 คนซ่ึงมี ปัญหาทางการเรียนและระเบียบวินัยให๎เปน็ ผู๎ติวนกั เรียนระดับ 8 จานวน 15 คน แบํงเป็นกลมํุ กลุมํ ละ 5 คน ตํอ ผ๎ตู วิ 1 คน การทดลองคร้งั นีม้ ีวัตถปุ ระสงค์เพอ่ื ให๎นกั เรียนท่ีถูกติวมคี วามสามารถในการอํานมากข้นึ และเพมิ่ พฤติกรรมความต้ังใจเรียนและคะแนนการอาํ นของผต๎ู วิ ดว๎ ยโดยทาการทดลองแบบ ABCBF ระยะ A ให๎ผต๎ู ิว ดาเนนิ การตวิ นกั เรยี นแบบปกติ จากนั้นจึงนาผูต๎ วิ มาฝกึ ใหร๎ ู๎จักการเสริมแรงทางสังคมอยํางเป็นระบบแล๎วจึงเริม่ ระยะ B โดยวางเงอ่ื นการใหเ๎ บย้ี ตํอพฤติกรรมตัง้ ใจเรยี นของผต๎ู วิ และพฤติกรรมการใช๎แรงเสรมิ ทางสงั คมระหวําง การตวิ นักเรียน ซง่ึ เบยี้ อรรถกรนสี้ ามารถนาไปแลกเป็นอุปกรณ์การเรียน อาหาร ฟลิ ์มภาพยนตรแ์ ละเคร่อื งเลํนเทป ได๎ พอระยะ C เป็นระยะงดการให๎เบ้ียอรรถกร ตอํ มาจงึ เร่มิ ระยะ B คือ การใหเ๎ บย้ี อรรถกรอีกคร้ังหนง่ึ จนกระทง่ั สิ้นสุดการทดลอง จากนน้ั 2 สัปดาหจ์ ึงตดิ ตามผล ปรากฏวํา ความสามารถในการอาํ นของผถ๎ู กู ตวิ เพ่ิมขึ้นในชวํ งท่ีผตู๎ วิ ได๎รับเบ้ยี อรรถกรและจากการติดตามผลพบวํา พฤตกิ รรมน้ยี งั คงอยใูํ นระดบั สงู นอกจากน้ี พฤติกรรมต้งั ใจเรียนและคะแนนการอํานของผ๎ตู ิวไดเ๎ พม่ิ ขึ้นดว๎ ย ซึง่ ผลการทดลองสอดคลอ๎ งกับผลการทดลองซ้าในทานองเดยี วกนั หลงั จากน้ี 1 ปี โดยการเลือกนักเรียน ระดับ 8 ซง่ึ มคี ะแนนการอํานต่ากวาํ เกณฑ์มาตรฐานเป็นผตู๎ ิวนกั เรียนเกรด 7 และไมไํ ด๎เลือกนักเรยี นท่ีมีปัญหา ทางการเรียนและเร่อื งระเบียบวนิ ยั เป็นผตู๎ ิว พบวํา ยังคงไดผ๎ ลในทานองเดียวกันน้ี 3.3.2 งานวิจยั ในประเทศ สวุ ิทย์ เภตรา (2533) ไดศ๎ ึกษาผลการเสรมิ แรงทางบวกดว๎ ยเบีย้ อรรถกรตํอพฤติกรรมการทาแบบฝึกหดั วชิ าคณติ ศาสตร์ของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 พบวํา นกั เรียนกลุํมทีไ่ ดร๎ ับการเสรมิ แรงทางบวกด๎วยเบยี้ อรรถ กรจะมคี วามเร็วและความถูกตอ๎ งในการทาแบบฝกึ หดั สงู กวํากลมุํ ทีไ่ มไํ ดร๎ ับการเสริมแรงทางบวก โสภิดา ลมิ้ วัฒนาพนั ธ์ (2538) ไดท๎ าการเปรยี บเทียบผลของการปรบั พฤติกรรมโดยใชก๎ ารควบคมุ ตนเอง กบั การเสริมแรงทางบวกด๎วยเบี้ยอรรถกรทีม่ ีตอํ การเพิ่มและการคงอยํูของพฤติกรรมความรบั ผิดชอบในงานท่ไี ด๎รบั มอบหมายของนักศึกษาวทิ ยาลยั เทคนคิ บรุ รี ัมย์ ช้ันปที ่ี 1 พบวํานักศกึ ษากลมํุ ทใ่ี ช๎เทคนคิ การควบคมุ ตนเองและ นักศึกษากลํุมท่ไี ดร๎ บั การเสรมิ แรงทางบวกดว๎ ยเบยี้ อรรถกรมีพฤตกิ รรมความรับผิดชอบในงานทไี่ ดร๎ ับมอบหมายใน ระยะทดลองและระยะติดตามผลสงู กวําระยะเสน๎ ฐาน อยํางมีนยั สาคัญทางสถิตทิ รี่ ะดับ .05 นักศกึ ษากลมํุ ที่ใช๎

27 เทคนิคการควบคมุ ตนเองและนักศึกษากลมํุ ท่ไี ดร๎ ับการเสริมแรงทางบวกด๎วยเบีย้ อรรถกรมีพฤตกิ รรมความ รับผิดชอบในงานที่ได๎รับมอบหมายนกั ศึกษากลํมุ ควบคุมทง้ั ในระยะทดลองและระยะตดิ ตามผล อยํางมีนยั สาคัญ ทางสถิติทีร่ ะดบั .05 ในระยะทดลองพบวาํ นักศกึ ษากลมํุ ที่ใชเ๎ ทคนิคการควบคุมตนเองและนักศกึ ษากลมํุ ท่ีไดร๎ ับ การเสริมแรงทางบวกด๎วยเบ้ียอรรถกรมีพฤตกิ รรมความรบั ผิดชอบในงานที่ได๎รบั มอบหมายไมแํ ตกตาํ งกัน ในระยะ ตดิ ตามผลพบวํา นกั ศึกษากลํุมทีใ่ ช๎เทคนคิ การควบคมุ ตนเองมพี ฤติกรรมความรับผิดชอบในงานท่ไี ด๎รบั มอบหมาย สงู กวํานกั ศกึ ษากลุํมที่ไดร๎ บั การเสรมิ แรงทางบวกดว๎ ยเบ้ยี อรรถกร มนตรา ประถมภฏั (2548) ได๎ทาการศึกษาผลของการใช๎เบย้ี อรรถกรควบคกูํ บั การช้แี นะเพ่อื พฒั นาความ มวี ินยั ของพลทหารกองประจาการ พบวํา กํอนและหลังการเสรมิ แรงด๎วยเบยี้ อรรถกรควบคกูํ ับการชี้แนะทหารกอง ประจาการมวี ินยั แตกตํางกันโดยพลทหารกองประจาการมวี นิ ัยเพม่ิ มากขึน้ ในทิศทางท่ีพึงประสงค์ และแนวโน๎ม ของอตั ราการเปลีย่ นแปลงของการผดิ วินัยของพลทหารกองประจาการลดลงทัง้ ในระยะทดลองและระยะหลงั การ ทดลองเม่อื เทียบกับระยะเสน๎ ฐาน

28 บทที่ 3 วธิ กี ารดาเนนิ การวิจยั ในการศึกษาคน๎ ควา๎ ในคร้งั นี้ ผว๎ู จิ ัยไดด๎ าเนินการตามขั้นตอนดงั นี้ 1. ประชากรและกลํุมตวั อยาํ งท่ใี ชใ๎ นการศึกษาค๎นควา๎ 2. เคร่ืองมือทใี่ ชใ๎ นการวจิ ยั 3. การสร๎างและหาคณุ ภาพเครือ่ งมอื ทใี่ ช๎ในการวจิ ัย 4. วิธีดาเนนิ การวิจยั 5. การเกบ็ รวบรวมขอ๎ มูล 6. สถิติที่ใช๎ในการวิเคราะห์ข๎อมูล 1. กลุ่มเป้าหมายทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาค้นควา้ กลมํุ เปา้ หมายทใ่ี ช๎ในการศึกษาค๎นคว๎า ไดแ๎ กํ นกั เรียนระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศกึ ษา 2553 โรงเรียนอัสสมั ชญั แผนกประถม แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร จานวน 45 คน 2. เคร่อื งมือทีใ่ ช้ในการวจิ ัย 2.1 แบบบนั ทกึ พฤติกรรมความรับผดิ ชอบในการทางานทไี่ ด๎รับมอบหมาย สาหรับผูว๎ จิ ยั ใช๎บนั ทกึ พฤตกิ รรมความรับผิดชอบในการทางานทีไ่ ดร๎ ับมอบหมายในรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียนระดบั ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 ประกอบด๎วย 2.1.1 แบบบันทกึ พฤติกรรมความต้ังใจในการทางาน 2.1.2 แบบบนั ทึกความถี่พฤติกรรมการทางานเสรจ็ และสํงงานตามกาหนด 2.2 ตารางกาหนดอตั ราการแลกเปลี่ยนตัวเสริมแรง 2.3 สิ่งของแลกเปล่ยี น เชํน ดินสอ ยางลบ ไม๎บรรทัด สมดุ ฯลฯ 2.4 ตารางเปรียบเทยี บรอ๎ ยละของชวํ งเวลาและความถขี่ องการแสดงพฤตกิ รรมความรบั ผดิ ชอบ 3. การสรา้ งและหาคุณภาพเครอื่ งมือทใี่ ช้ในการวจิ ัย 3.1 แบบบันทึกพฤติกรรมความรบั ผดิ ชอบในการทางานที่ได้รบั มอบหมาย พฤติกรรมความรับผิดชอบในการทางานท่ีได๎รับมอบหมาย ประกอบดว๎ ยพฤติกรรมยํอย 3 สวํ น คือ พฤติกรรมความตัง้ ใจทางาน พฤติกรรมการทางานเสร็จและสํงงานตามกาหนด พฤตกิ รรมการปรบั ปรงุ แกไ๎ ขงาน 3.1.1 แบบบันทกึ พฤติกรรมความตงั้ ใจในการทางาน 3.1.1.1 ผ๎ูวิจยั ศึกษาเอกสารและงานวจิ ัยทเี่ ก่ียวข๎องกับการสังเกตและบันทึกพฤตกิ รรม

29 3.1.1.2 ผวู๎ จิ ัยสรา๎ งแบบสงั เกตและบันทกึ ผลความตงั้ ใจทางาน ซง่ึ เป็นแบบบันทกึ พฤตกิ รรม ตามทเี่ กิดข้นึ ในการเรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์ ในขณะทป่ี ฏิบตั ิงานตามที่มอบหมาย 3.1.1.3 นาแบบบันทึกพฤติกรรมความตั้งใจในการทางานที่ผู๎วิจัยสร๎างขึน้ ไปให๎ผูเ๎ ชี่ยวชาญ ตรวจสอบความเหมาะสมของขอ๎ มลู ทใ่ี ชส๎ งั เกตความตั้งใจในการทางาน 3.1.1.4 นาแบบบนั ทึกพฤตกิ รรมความตง้ั ใจในการทางานไปปรับปรุงแกไ๎ ขตามคาแนะนาของ ผ๎เู ชย่ี วชาญ การให๎คะแนน การให๎คะแนนพฤติกรรมความตัง้ ใจในการทางาน ถา๎ นกั เรยี นพฤตกิ รรมทตี่ อ๎ งการบนั ทกึ ในคาบเรยี นนัน้ ให๎ นบั เพียง 1 ครงั้ โดยบันทกึ เลข “1” ลงในชํองวําง ถา๎ พฤตกิ รรมท่ีต๎องการบันทึกไมเํ กดิ ขน้ึ ให๎บนั ทึกเลข “0” ใน ชอํ งวําง 3.1.2 แบบบันทึกความถีพ่ ฤตกิ รรมการทางานเสรจ็ และสง่ งานตามกาหนด 3.1.2.1 ศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วข๎องกบั การสรา๎ งแบบบันทกึ ความถ่ี 3.1.2.2 ผูว๎ ิจัยกาหนดระยะเวลาในการปฏบิ ตั ิงาน และจานวนคร้ังการสงํ งานในรายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ตลอดระยะเวลาทที่ าการทดลองเพ่อื นามากาหนดเง่อื นไขพฤติกรรมการทางานเสรจ็ และสํงงานตาม กาหนดเวลา ดงั นี้ คือ ใน 1 คาบเรยี น กาหนดให๎สงํ งานท่ีได๎รับมอบหมายจากครู 2 ครั้ง คือ หลังครูจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนเสรจ็ แลว๎ จะทาใหท๎ าแบบฝกึ หดั ทา๎ ยคาบเรยี นเป็นการสํงงานครัง้ แรก และสงํ งานท่ีตอ๎ ง แกไ๎ ขเป็นการสํงงานคร้งั ที่ 2 3.1.2.3 นาเง่อื นไขดังกลาํ วมาสรา๎ งเปน็ ตาราง บันทกึ ความถ่ีพฤตกิ รรมการทางานเสรจ็ และสงํ งานตามกาหนดเวลา 3.1.2.4 นาแบบบนั ทกึ ความถีพ่ ฤติกรรมการทางานเสรจ็ และสงํ งานตามกาหนดท่ีผ๎วู ิจัยสรา๎ งข้นึ ไป ใหผ๎ เู๎ ช่ยี วชาญตรวจสอบความเหมาะสมของขอ๎ มูลทใ่ี ช๎บนั ทกึ ความถ่ีพฤตกิ รรมการทางานเสร็จและสํงงานตาม กาหนด 3.1.2.5 นาแบบบนั ทกึ ความถี่พฤตกิ รรมการทางานเสรจ็ และสงํ งานตามกาหนดไปปรบั ปรุงแกไ๎ ข ตามคาแนะนาของผเู๎ ชี่ยวชาญ การใหค๎ ะแนน ถ๎านักเรียนสามารถทางานทผี่ ๎วู ิจัยกาหนดให๎เสรจ็ ผูว๎ จิ ัยจะบนั ทกึ เลข “1” แตเํ ม่อื เลยกาหนดเวลาแล๎ว นกั เรียนไมํนางานมาสํงหรือนามาสํงแตไํ มเํ สร็จผว๎ู จิ ยั บันทกึ เลข “0” แล๎วนาผลทไ่ี ดม๎ าคดิ เป็นรอ๎ ยละการแสดงพฤตกิ รรมการทางานเสรจ็ และสงํ งานตามกาหนด นน่ั คอื ถา๎ นักเรยี นนักเรยี นสํงงาน 2 ครงั้ จะคิดคะแนนพฤตกิ รรมทางานเสรจ็ และสงํ งานตามกาหนดเปน็ รอ๎ ยละ 100 ถา๎ นกั เรยี นสงํ งาน 1 ครงั้ จะคดิ คะแนนพฤตกิ รรมการทางานเสรจ็ และสงํ งานตามกาหนดเทํากับรอ๎ ยละ 50 แตํถ๎า นักเรียนไมสํ งํ งานเลยจะคดิ คะแนนพฤติกรรมการทางานเสร็จและสงํ งานตามกาหนดเทํากับร๎อยละ 0

30 4. วธิ ีดาเนินการวิจัย ผวู๎ ิจัยดาเนินการวิจัยในชั่วโมงเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์ของนักเรียนกลํุมตวั อยํางระดบั ช้ัน ประถมศึกษาปที ่ี 3/5 แบํงเปน็ 2 ขน้ั คอื ขนั้ เตรยี มการทดลอง และขั้นการทดลอง 1. ขน้ั เตรยี มการทดลอง ใชเ๎ วลาทง้ั สนิ้ 2 สปั ดาห์ โดยผว๎ู ิจัยได๎ดาเนินการ ดังตํอไปน้ี 1.1 ผวู๎ จิ ัยดาเนนิ การคดั เลอื กกลํุมเป้าหมายซง่ึ เปน็ นักเรยี นระดับชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 3/5 โรงเรียนอัสสมั ชญั แผนกประถม จานวน 45 คน 1.2 สร๎างเครือ่ งมือทีใ่ ชใ๎ นการวจิ ยั ไดแ๎ กํ แบบบันทึกพฤติกรรมความตงั้ ใจในการทางาน แบบบนั ทกึ ความถพ่ี ฤติกรรมการทางานเสร็จและสํงงานตามกาหนด 1.3 ชแี้ จงใหน๎ ักเรยี นกลํุมเปา้ หมายเขา๎ ใจถงึ วัตถุประสงคแ์ ละรายละเอยี ดของการปรับพฤตกิ รรมความ รับผิดชอบในการทางานท่ไี ดร๎ ับมอบหมายในรายวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนโดยการใชแ๎ รงเสริมทางบวกด๎วยเบ้ีย อรรถกร 2. ขน้ั การทดลอง การวิจยั ครง้ั นี้ใช๎เวลาทงั้ สน้ิ 12 สปั ดาห์ การวจิ ัยคร้ังนี้ดาเนินการในชั่วโมงเรียนวิชา วทิ ยาศาสตร์ ของนกั เรียนกลํมุ เปา้ หมาย ซึง่ ในแตลํ ะสปั ดาห์จะมกี ารสอนท้ังสิ้น 2 คาบ คาบละ 50 นาที รวม ทง้ั หมด 24 คาบ ซึ่งในแตํละคาบ ใชเ๎ วลาสังเกตและบนั ทกึ พฤตกิ รรม ดงั น้ี - สงั เกตและบนั ทกึ พฤติกรรมต้งั ใจทางานทไ่ี ดร๎ ับมอบหมาย 10 นาที - บนั ทกึ ความถี่พฤติกรรมการทางานเสรจ็ และสงํ งานตามกาหนด รวมระยะเวลาท่ีใชใ๎ นการทดลอง 12 สัปดาห์ โดยแบงํ ระยะเวลาการทดลองออกเปน็ 3 ขน้ั ดังนี้ 2.1 ระยะเสน๎ ฐาน (Baseline) เปน็ ระยะรวบรวมขอ๎ มูลพื้นฐานกํอนดาเนนิ โปรแกรมการปรบั พฤติกรรม โดยการสังเกตและบันทกึ พฤติกรรมความรบั ผดิ ชอบในงานท่ไี ดร๎ บั มอบหมายโดยดูจาก พฤตกิ รรมตง้ั ใจทางาน พฤติกรรมทางานเสรจ็ และสงํ งานตามกาหนดของกลํุมตวั อยาํ งในชํวงเวลา 2 สปั ดาห์ มีวธิ กี ารดาเนนิ การ ดังน้ี 2.1.1 ผ๎วู จิ ยั เก็บรวบรวมข๎อมูลพื้นฐาน เกี่ยวกบั จานวนชวํ งเวลาที่นกั เรยี นแสดงพฤตกิ รรมความ ตงั้ ใจทางาน ความถีข่ องพฤติกรรมทางานเสร็จและสํงงานตามกาหนด โดยผว๎ู ิจยั เป็นผู๎ดาเนินการสอนด๎วยตนเอง และการสอนในแตํละคาบของวิชาวิทยาศาสตร์ไดด๎ าเนนิ การสอนเป็นเวลา 50 นาที โดยแบํงชํวงเวลาการสอน ดงั น้ี 1. ทาการสอนเนอื้ หาตาํ งๆและทากิจกรรมการทดลอง 40 นาที 2. ผ๎วู ิจัยให๎นกั เรยี นทาแบบฝึกหดั เพือ่ ทบทวนความเข๎าใจเกย่ี วกับเร่อื งท่เี รียน 10 นาที 3. มีการกาหนดให๎สงํ งาน ในการเก็บรวบรวมข๎อมลู พ้นื ฐานเก่ยี วกับพฤติกรรมความตงั้ ใจทางาน พฤติกรรมทางานเสรจ็ และ สํงงานตามกาหนดของกลํุมตวั อยาํ ง ผวู๎ ิจยั ทาการสังเกตและบนั ทกึ ผลของพฤตกิ รรมทงั้ 2 สวํ นตงั้ แตํเรม่ิ ตน๎ ทา การสอนกระทั่งสอนเสร็จ

31 สํวนที่ 1 พฤตกิ รรมตั้งใจทางานทผ่ี ๎วู ิจยั ใชว๎ ิธกี ารสังเกตและบนั ทกึ พฤติกรรมในชวํ งทค่ี รมู อบหมายงานให๎ ทา ถ๎าผ๎ูวจิ ัยสงั เกตเห็นวํานักเรียนแสดงพฤตกิ รรมต้งั ใจทางานตามลกั ษณะที่กาหนดไว๎ ผ๎วู จิ ยั จะบันทึกเลข “1” ถา๎ นักเรยี นแสดงพฤติกรรมทแี่ ตกตํางจากทกี่ าหนดไว๎ เชํน ไมํปฏิบัติตามคาส่งั ครู ไมํเขียนคาถามแบบฝึ กหัดให๎ เสร็จ ผ๎วู จิ ยั จะบนั ทกึ เลข “0” ในชํวงเวลาสังเกตนน้ั รวมชํวงเวลาในการสงั เกตทัง้ ส้ิน 24 ชวํ ง ตํอจากน้นั นาคาํ พฤตกิ รรมความตงั้ ใจในการทางานมาหาคําเฉลย่ี ร๎อยละของการแสดงพฤติกรรมความต้งั ใจในการทางานของกลุํม ตัวอยาํ ง ซึ่งต๎องนาคะแนนสวํ นนไี้ ปรวมกบั คะแนนสํวนที่ 2 คอื จานวนคะแนนรอ๎ ยละของพฤตกิ รรมการทางาน เสรจ็ และสงํ งานตามกาหนด สวํ นที่ 2 คะแนนรอ๎ ยละของพฤตกิ รรมการทางานเสรจ็ และสงํ งานตามกาหนด เน่ืองจากในแตํละคาบ ผ๎ูวจิ ัยจะให๎นักเรยี นทาแบบฝึกหัดเพอ่ื ทบทวนความเข๎าใจเกี่ยวกบั เรอื่ งที่เรยี นแลว๎ นามาสงํ ในชว่ั โมงเรยี นวิชา วทิ ยาศาสตร์คาบเรยี นตํอไป ถา๎ นักเรียนสามารถทางานเสร็จและสงํ งานภายในเวลาทกี่ าหนด ผูว๎ ิจยั จะบันทกึ เลข “1” ในแบบบนั ทกึ ความถีก่ ารสํงงานตามกาหนด ถ๎าเลยเวลาที่กาหนด นกั เรียนไมํสํงงานหรือทางานไมเํ สรจ็ ตามท่กี าหนด ผู๎วจิ ยั จะบนั ทึกเลข “0” ลงในแบบบันทึกพฤตกิ รรมการทางานเสรจ็ ละสงํ งานตามกาหนด การคิดคะแนนร๎อยละของพฤตกิ รรมการทางานเสรจ็ และสํงงานตามกาหนด เน่อื งจากใน 1 คาบ กาหนดใหม๎ กี ารสํงงาน 1 ครง้ั ถา๎ นักเรยี นกลํุมตวั อยาํ งสงํ งาน 1 ครัง้ กจ็ ะไดค๎ ะแนนร๎อยละของพฤติกรรมการ ทางานเสร็จและสงํ งาน คิดเปน็ ร๎อยละ 100 ถา๎ ไมํได๎สงํ งานเลยก็จะคดิ เปน็ ร๎อยละ 0 การคิดคะแนนพฤตกิ รรมความรับผดิ ชอบในการทางานทีไ่ ดร๎ ับมอบหมาย หาไดจ๎ ากการรวมคะแนนร๎อยละของข๎อมลู ท้ัง 2 สํวนแลว๎ หารดว๎ ย 2 ซึ่งในทน่ี ้กี ค็ ือ พฤตกิ รรมยอํ ย ( พฤตกิ รรมความต้งั ใจในการทางาน พฤติกรรมการทางานเสร็จและสงํ งานตามกาหนด ) กจ็ ะไดค๎ ะแนนพฤตกิ รรม ความรับผดิ ชอบในการทางานที่ไดร๎ บั มอบหมายในแตลํ ะคร้ังของการสงั เกต 2.2 ระยะดาเนนิ การทดลอง ( Treatment ) ใชเ๎ วลาใช๎เวลา 12 สปั ดาห์ โดยผ๎ูวจิ ยั ได๎ดาเนนิ การแบํง ระยะเวลาของการทดลองออกเปน็ 2 ขัน้ ตอน ดังน้ี 2.2.1 ข้ันเตรยี มการกอํ นทดลอง ผูว๎ ิจัยทาความเขา๎ ใจกบั นักเรยี นเกีย่ วกบั ความสาคญั ของการมคี วามรบั ผดิ ชอบในการทางานที่ ได๎รับมอบหมายและการให๎การเสริมแรงทางบวกดว๎ ยเบี้ยอรรถกร เมื่อนกั เรียนได๎แสดงพฤตกิ รรมความรับผิดชอบ ตอํ งานทไ่ี ด๎รับมอบหมายตามเปา้ หมายท่กี าหนดไวห๎ รอื สงู กวําเป้าหมายนักศึกษาจะได๎รบั การเสริมแรงทางบวกด๎วย เบี้ยอรรถกรตามเงือ่ นไขทก่ี าหนดไว๎ 2.2.2 ขัน้ ดาเนินการทดลอง ผู๎วิจัยดาเนินการให๎แรงเสรมิ ทางบวกดว๎ ยเบีย้ อรรถกร ซ่งึ ดาเนินการ ดงั น้ี 1. ผูว๎ ิจัยชแ้ี จงใหน๎ กั เรียนกลมํุ ตวั อยาํ งทราบวาํ ครมู คี วามต๎องการทจี่ ะพฒั นาพฤติกรรมความ รับผิดชอบในการทางานที่ไดร๎ ับมอบหมาย ซง่ึ เป็นพฤติกรรมท่ีมีความสาคัญในการทางานในอนาคตและถา๎

32 นกั เรียนคนใดสามารถปฏบิ ตั ิไดต๎ ามเกณฑท์ กี่ าหนดไว๎จะมรี างวลั ให๎ ซ่ึงพฤติกรรมความรบั ผิดชอบในท่นี ้มี ี รายละเอยี ด ประกอบดว๎ ยพฤติกรรมยํอย ดงั น้ี 1.1 พฤติกรรมความตงั้ ใจทางาน สงั เกตได๎จากการทีน่ กั ศึกษา - ปฏบิ ัตติ ามคาแนะนาของครู - ซักถามรายละเอียดและข๎อสงสัยในการทางานทีค่ รมู อบหมายให๎ - ทางานท่ีครมู อบหมายให๎ทาอยํางตํอเนอื่ งจนงานน้นั สาเรจ็ 1.2 พฤตกิ รรมการทางานเสรจ็ และสํงงานตามกาหนด 2. ผ๎วู ิจยั อธิบายให๎นักเรยี นทราบเก่ยี วกับนักเรยี นท่ีมพี ฤตกิ รรมความรบั ผิดชอบในการทางานที่ได๎รับ มอบหมายทั้ง 2 สํวนไดต๎ ามเกณฑ์ท่ีผู๎วิจยั ได๎กาหนดไว๎กจ็ ะได๎รับคะแนนตามเกณฑท์ ่กี าหนดซ่ึงนกั เรยี นสามารถ นาคะแนนนไี้ ปแลกเปน็ สิ่งของได๎ ตามตารางการเสรมิ แรงในชํวงพกั กลางวนั หรอื หลงั เลิกเรยี น โดยครูจะเขยี น คะแนนทีน่ กั เรียนได๎รบั ในแตลํ ะชวั่ โมงเรยี นไว๎ 3. เมอื่ ผ๎ูวจิ ัยอธบิ ายเกณฑต์ ํางๆเรยี บรอ๎ ยแลว๎ จะดาเนนิ การสอนเนื้อหาตํางๆ จดั กิจกรรมการทดลอง และใหน๎ ักเรยี นทาแบบฝกึ หดั เพือ่ ทบทวนความเข๎าใจเก่ียวกบั เร่อื งทเ่ี รยี น พรอ๎ มทัง้ กาหนดเวลาในการสํงงานและ ให๎นกั เรียนเริ่มปฏบิ ตั งิ าน 4. ในขณะทผ่ี ูว๎ จิ ยั มอบหมายงานเสรจ็ จะสังเกตพฤตกิ รรมความตัง้ ใจในการทางานของนกั เรยี นกลมํุ ตัวอยําง 5. การสงั เกตและบันทึกพฤตกิ รรมความต้งั ใจในการทางาน พฤติกรรมการทางานเสรจ็ และสงํ งานตาม เวลาทกี่ าหนด พฤตกิ รรมการปรบั ปรงุ แกไ๎ ขงานซึง่ กระทาโดยผู๎วิจยั 6. นาผลการบนั ทึกท้ัง 2 สวํ น มาคิดเปน็ คะแนนร๎อยละของพฤติกรรมความตง้ั ใจในการทางาน คะแนน รอ๎ ยละของพฤตกิ รรมการทางานเสร็จและสํงงานตามเวลาทีก่ าหนดและนาคะแนนร๎อยละทงั้ 2 สํวนมารวมกันแลว๎ หาร 2 จะได๎คะแนนพฤตกิ รรมความรบั ผิดชอบในการทางานที่ไดร๎ ับมอบหมาย 3. ระยะติดตามผล เป็นระยะท่ยี ตุ ิโปรแกรมการทดลอง ซึง่ นกั เรยี นกลุํมตัวอยาํ งจะไดร๎ บั การสอน ตามปกติ ซึ่งจะไมมํ ีการเสริมแรงทางบวกด๎วยเบี้ยอรรถกร ผว๎ู จิ ยั จะทาการสังเกตและบันทกึ พฤตกิ รรมความตง้ั ใจ ในการทางาน พฤติกรรมการทางานเสร็จและสํงงานตามเวลาทก่ี าหนดในระยะนใี้ ชเ๎ วลาทงั้ สนิ้ 2 สัปดาห์

33 5. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล การเก็บรวบรวมข๎อมูล ใชว๎ ิธกี ารสังเกตและบนั ทึกพฤติกรรมความต้ังใจในการทางานที่ได๎รบั มอบหมาย ความถขี่ องการทางานเสรจ็ และสงํ งานตามเวลาที่กาหนดในรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ตลอดระยะเวลาการทดลอง คือ ระยะเส๎นฐาน ระยะการทดลอง และระยะติดตามผล การคิดคะแนนพฤตกิ รรมความรับผิดชอบในการทางานที่ได้รบั มอบหมาย คานวณจากการรวมคะแนนร๎อยละของท้ัง 2 พฤติกรรมยํอย ( พฤตกิ รรมความตัง้ ใจในการทางาน พฤติกรรมการทางานเสรจ็ และสงํ งานตามเวลาทกี่ าหนด ) แล๎วหารด๎วย 2 ก็จะได๎คะแนนพฤตกิ รรมความ รับผดิ ชอบในการทางานทไ่ี ด๎รับมอบหมายในแตลํ ะครงั้ ของการสงั เกตของนกั เรยี นกลุํมตัวอยํางแตลํ ะคน และหา คะแนนเฉลยี่ ของพฤติกรรมความรบั ผดิ ชอบของนักเรยี นกลุํมตวั อยาํ ง ดงั น้ี พฤติกรรม = %พฤตกิ รรมต้งั ใจทางาน+%ทางานเสรจ็ และสํงงานตามกาหนด 2 คําเฉลย่ี คะแนน = คะแนนพฤตกิ รรมความรบั ผดิ ชอบของคนที่ 1+คนที่ 2+ ……+ คนที่ 45 45 6. สถติ ทิ ่ใี ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล 1.สถิตพิ ืน้ ฐาน 1.1 คําร๎อยละ 1.2 คําเฉลี่ย (Mean) คานวณจากสตู ร เมื่อ X แทน คะแนนเฉล่ยี  X แทน ผลรวมของคะแนนทงั้ หมด N แทน จานวนนกั เรยี นท้งั หมดในกลุํมตัวอยําง

34 บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล ในการเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ๎ มูล ผูว๎ จิ ัยขอเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ๎ มลู ดงั นี้ 1. สญั ลกั ษณ์และอักษรยอํ ทใ่ี ช๎ในการวเิ คราะห์ขอ๎ มลู 2. ผลการวเิ คราะห์ข๎อมูล สญั ลกั ษณแ์ ละอกั ษรยอ่ ท่ีใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู ในการเสนอผลการวเิ คราะหข์ ๎อมูลเพอื่ ให๎เกิดความเข๎าใจในการแปลความหมายของผลการวิเคราะห์ขอ๎ มูล ผูว๎ จิ ัยจงึ ได๎กาหนดสัญลักษณย์ อํ ทใี่ ชใ๎ นการวิเคราะหข์ ๎อมลู ดงั นี้ A = ร๎อยละของพฤตกิ รรมตัง้ ใจทางาน B = ร๎อยละของทางานเสรจ็ และสํงงานตามกาหนด X = คะแนนพฤตกิ รรมความรับผดิ ชอบในการทางานทีไ่ ดร๎ บั มอบหมาย  X = ผลรวมคะแนนพฤตกิ รรมความรับผิดชอบในการทางานท่ีได๎รับมอบหมายของกลุํม ตัวอยําง X = คะแนนเฉล่ยี ของพฤตกิ รรมความรบั ผดิ ชอบในการทางานที่ได๎รบั มอบหมาย ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู การนาเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ๎ มลู ผวู๎ จิ ยั จะนาเสนอขอ๎ มลู เกี่ยวกับพฤตกิ รรมความรบั ผดิ ชอบใน การทางานทีไ่ ดร๎ บั มอบหมายในรายวชิ าวทิ ยาศาสตรข์ องนักเรียนระดับชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 3/5 โดยพิจารณาจาก คะแนนคะแนนเฉลีย่ ของพฤตกิ รรมความรบั ผดิ ชอบในการทางานทไ่ี ดร๎ บั มอบหมายซึ่งไดม๎ าจากการคานวณจาก การรวมคะแนนร๎อยละของท้งั 2 พฤตกิ รรมยํอย ( พฤตกิ รรมความตัง้ ใจในการทางาน พฤตกิ รรมการทางานเสรจ็ และสํงงานตามเวลาที่กาหนด ) แล๎วหารดว๎ ย 2 ในการวจิ ัยครั้งน้ีผ๎วู จิ ัยตอ๎ งการศึกษาวาํ การใชแ๎ รงเสรมิ ทางบวกด๎วยเบี้ยอรรถกรมีผลตํอพฤติกรรม ความรบั ผิดชอบในการทางานที่ได๎รบั มอบหมายในรายวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรยี นหรอื ไมํ โดยทาการทดลองกบั ระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 3/5 โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม จานวน 45 คน รายละเอยี ดผลการวิเคราะห์ข๎อมูล ปรากฏดังตาราง 1

35 ตาราง 1 พฤตกิ รรมความต้งั ใจในการทางานท่ไี ดร๎ บั มอบหมายในรายวิชาวทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี น ระดบั ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 3/5 นกั เรยี นเลขท่ี A B X X 1 62.50 75.00 68.75 2 79.20 75.00 77.08 3 70.80 75.00 75.02 4 83.00 79.17 85.41 5 62.50 70.83 66.65 6 83.00 79.16 81.26 7 54.20 70.83 62.48 8 54.20 58.33 56.23 9 62.50 70.83 66.65 10 91.70 100.00 95.83 11 62.50 70.83 66.65 12 75.00 70.83 72.90 13 91.70 95.83 93.73 14 75.00 70.83 72.90 15 62.50 75.00 68.75 16 87.50 87.50 87.50 17 66.60 70.83 68.73 18 62.50 62.50 62.50 19 62.50 66.66 72.90 20 79.20 83.33 81.23 21 58.30 62.50 60.42 22 66.60 66.66 66.63 23 54.20 58.33 56.23 24 83.30 66.66 74.96 25 58.30 58.33 58.32 26 79.20 66.66 72.88

36 ตาราง 1 (ตํอ) A B X X 91.60 83.33 87.48 นกั เรยี นเลขท่ี 66.00 70.83 68.73 X = 72.954 27 100.00 100.00 100.00 28 100.00 100.00 100.00 29 66.60 54.16 60.43 30 54.20 58.33 56.23 31 70.80 75.00 72.92 32 87.50 83.33 85.40 33 62.50 66.66 64.55 34 62.50 62.50 62.50 35 36 79.20 70.83 74.98 70.80 75.00 72.92 37 58.30 66.60 62.46 38 79.20 79.20 79.18 39 75.00 79.20 77.10 40 58.30 70.80 64.56 41 70.80 79.20 75.02 42 70.80 75.00 72.92 43 70.80 75.00 72.92 44 45 X = 3292.95 จากตาราง 1 พบวาํ นกั เรียนกลํุมเปา้ หมายทุกคนมคี ะแนนเฉล่ียพฤตกิ รรมความรับผิดชอบในการ ทางานทไ่ี ดร๎ ับมอบหมายสูงกวาํ รอ๎ ยละ 50 แสดงวาํ นักเรยี นมีพฤตกิ รรมความรับผดิ ชอบในการทางานท่ไี ดร๎ บั มอบหมายอยใํู นระดบั สูง โดยมีนกั เรยี นทีม่ คี ะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมความรับผดิ ชอบระหวาํ ง 50 – 60% อยูํ 6 คน คดิ เปน็ ร๎อยละ 13.33 คะแนนเฉลยี่ พฤติกรรมความรบั ผดิ ชอบระหวําง 61 – 70% อยูํ 14 คน คดิ เป็นร๎อยละ 31.11 คะแนนเฉล่ยี พฤตกิ รรมความรบั ผิดชอบระหวาํ ง 71 – 80% อยํู 15 คน คิดเปน็ รอ๎ ยละ 33.33 คะแนน เฉลย่ี พฤติกรรมความรับผิดชอบระหวาํ ง 81 – 90% อยํู 6 คน คิดเปน็ ร๎อยละ 13.33 และคะแนนเฉล่ยี

37 พฤติกรรมความรับผดิ ชอบระหวาํ ง 91 – 100% อยูํ 4 คน คดิ เป็นรอ๎ ยละ 8.88 และคะแนนเฉลี่ยของพฤติกรรม ความรบั ผิดชอบในการทางานท่ีได๎รบั มอบหมายของนักเรยี นกลุํมเปา้ หมายมคี ํารอ๎ ยละ 72.954 แสดงวํานกั เรียน มพี ฤตกิ รรมความรบั ผิดชอบในการทางานทไี่ ด๎รับมอบหมายในรายวชิ าวิทยาศาสตร์มากขน้ึ หลงั การใช๎แรงเสริม ทางบวกด๎วยเบี้ยอรรถกร นอกจากนี้นกั เรียนกลุมํ ตวั อยาํ งทกุ คนมคี ะแนนเฉลย่ี ของพฤติกรรมความต้งั ใจในการ ทางาน พฤติกรรมการทางานเสร็จและสงํ งานตามกาหนดในระยะการทดลองสูงกวาํ ระยะเสน๎ ฐานและมีความ คงทนของพฤติกรรมความรับผิดชอบในการทางานที่ไดร๎ ับมอบหมายในรายวิชาวทิ ยาศาสตร์หลงั การใช๎แรงเสรมิ ทางบวกด๎วยเบย้ี อรรถกร ซง่ึ สงั เกตได๎จากนกั เรียนทุกคนมีคะแนนเฉลีย่ ของพฤตกิ รรมความตงั้ ใจในการทางานและ พฤตกิ รรมการทางานเสรจ็ และสงํ งานตามกาหนดในระดับสงู ทีร่ ะยะตดิ ตามผล ( ขอ๎ มูลในภาคผนวก )

38 บทท่ี 5 สรปุ ผลการวิจัย อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ ในการการวิจยั ครัง้ นเ้ี ป็นศกึ ษาผลของการใชแ๎ รงเสรมิ ทางบวกด๎วยเบ้ียอรรถกรท่มี ีตอํ พฤติกรรมความ รับผดิ ชอบในการทางานทไี่ ด๎รบั มอบหมายในรายวชิ าวิทยาศาสตรข์ องนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/5 ซ่งึ สามารถสรุปผล อภปิ รายผลและมขี ๎อเสนอแนะ ดังนี้ ความมงุ่ หมายของการวจิ ัย เพ่ือศกึ ษาผลของการใช๎แรงเสริมทางบวกดว๎ ยเบี้ยอรรถกรทม่ี ตี ํอพฤตกิ รรมความรับผิดชอบในการทางานที่ ได๎รบั มอบหมายในรายวชิ าวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนระดับชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 3/5 สมมตฐิ านของการวิจัย นักเรยี นระดบั ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 3/5 มีพฤติกรรมความรับผิดชอบในการทางานทไ่ี ด๎รับมอบหมายใน รายวิชาวทิ ยาศาสตรม์ ากขนึ้ หลงั การใชแ๎ รงเสรมิ ทางบวกดว๎ ยเบย้ี อรรถกร กลุ่มเปา้ หมาย กลมุํ เปา้ หมายที่ใชใ๎ นการศกึ ษาคน๎ ควา๎ ไดแ๎ กํ นกั เรยี นระดบั ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3/5 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2553 โรงเรยี นอัสสัมชญั แผนกประถม แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร จานวน 45 คน ระยะเวลาทใ่ี ช้ในการวิจัย ผ๎ูวจิ ัยดาเนินการทดลองในภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2553 ใช๎เวลาในการทดลอง 24 คาบ คาบละ 50 นาที สปั ดาห์ละ 2 คาบ รวมท้งั สิน้ 12 สัปดาห์ ดาเนนิ การทดลองในชวั่ โมงเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ของ นกั เรยี นกลุํมเปา้ หมาย ตวั แปรท่ศี ึกษา ตัวแปรที่ใชใ๎ นการศึกษาครั้งนี้ แบํงเปน็ ตัวแปรอิสระ ไดแ๎ กํ วิธีพัฒนาพฤติกรรมความรับผิดชอบในการทางานทไี่ ด๎รบั มอบหมายในรายวิชา วิทยาศาสตรโ์ ดยการใชแ๎ รงเสริมทางบวกด๎วยเบย้ี อรรถกร ตวั แปรตาม ไดแ๎ กํ ความรบั ผดิ ชอบในการทางานท่ไี ดร๎ ับมอบหมายในรายวชิ าวิทยาศาสตร์ เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการวิจัย เคร่ืองมอื ทใ่ี ช๎ในการวิจยั ครัง้ น้ี ประกอบด๎วย 1. แบบบนั ทกึ พฤติกรรมความรบั ผิดชอบในการทางานท่ไี ดร๎ บั มอบหมาย 1.1 แบบบันทึกพฤติกรรมความตั้งใจในการทางาน 1.2 แบบบันทึกความถ่พี ฤติกรรมการทางานเสร็จและสงํ งานตามกาหนด

39 2. ตารางกาหนดอัตราการแลกเปล่ยี นตัวเสริมแรง 3. สง่ิ ของแลกเปลย่ี น เชนํ ดนิ สอ ยางลบ ไมบ๎ รรทัด สมุด ฯลฯ วิธีดาเนินการวิจยั การวิจยั ครงั้ นีผ้ ๎ูวิจยั มวี ิธดี าเนนิ การทดลองเพ่ือศึกษาผลของการใช๎แรงเสริมทางบวกดว๎ ยเบย้ี อรรถกรทม่ี ีตอํ พฤตกิ รรมความรับผดิ ชอบในการทางานท่ไี ด๎รบั มอบหมายในรายวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 3/5 แบํงเป็น 2 ขนั้ คอื ขั้นเตรียมการทดลอง และขั้นการทดลอง ดงั นี้ 1. ขั้นเตรยี มการทดลอง ใช๎เวลาท้งั ส้นิ 2 สัปดาห์ โดยผวู๎ จิ ยั ได๎ดาเนนิ การ ดงั ตํอไปน้ี 1.1 ผูว๎ ิจัยดาเนนิ การคดั เลอื กกลุมํ เปา้ หมายซ่ึงเปน็ นักเรยี นระดบั ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 3/5 โรงเรียนอสั สัมชัญแผนกประถม จานวน 45 คน 1.2 สรา๎ งเครอื่ งมือทใ่ี ชใ๎ นการวิจัย ไดแ๎ กํ แบบบันทึกพฤติกรรมความตั้งใจในการทางาน แบบบันทกึ ความถีพ่ ฤติกรรมการทางานเสร็จและสํงงานตามกาหนด 1.3 ชแี้ จงใหน๎ ักเรยี นกลมุํ เปา้ หมายเข๎าใจถึงวตั ถปุ ระสงคแ์ ละรายละเอยี ดของการปรบั พฤตกิ รรมความ รบั ผดิ ชอบในการทางานที่ไดร๎ บั มอบหมายในรายวิชาวิทยาศาสตรข์ องนักเรียนโดยการใช๎แรงเสริมทางบวกดว๎ ยเบี้ย อรรถกร 2. ขัน้ การทดลอง การวจิ ยั ครง้ั น้ีใช๎เวลาทั้งส้ิน 12 สัปดาห์ การวจิ ยั ครั้งนี้ดาเนนิ การในช่วั โมงเรยี นวชิ า วทิ ยาศาสตร์ ของนกั เรียนกลํุมเป้าหมาย ซึง่ ในแตํละสปั ดาหจ์ ะมีการสอนทัง้ สิน้ 2 คาบ คาบละ 50 นาที รวม ทัง้ หมด 24 คาบ ซง่ึ ในแตลํ ะคาบ ใช๎เวลาสังเกตและบันทึกพฤตกิ รรม ดังนี้ - สงั เกตและบนั ทกึ พฤติกรรมต้งั ใจทางานทไี่ ดร๎ ับมอบหมาย 10 นาที - บันทกึ ความถพ่ี ฤติกรรมการทางานเสร็จและสงํ งานตามกาหนด รวมระยะเวลาทใ่ี ชใ๎ นการทดลอง 12 สัปดาห์ โดยแบํงระยะเวลาการทดลองออกเปน็ 3 ข้นั ดังนี้ 2.1 ระยะเส๎นฐาน (Baseline) เป็นระยะรวบรวมขอ๎ มลู พืน้ ฐานกอํ นดาเนนิ โปรแกรมการปรบั พฤติกรรม โดยการสงั เกตและบันทกึ พฤติกรรมความรับผิดชอบในงานทีไ่ ดร๎ ับมอบหมายโดยดจู ากพฤติกรรมตัง้ ใจทางาน พฤติกรรมทางานเสรจ็ และสงํ งานตามกาหนดของกลุํมเป้าหมายในชวํ งเวลา 2 สปั ดาห์ มวี ธิ กี ารดาเนินการ ดงั น้ี 2.1.1 ผวู๎ ิจยั เก็บรวบรวมข๎อมูลพน้ื ฐาน เกย่ี วกับจานวนชํวงเวลาท่ีนักเรียนแสดงพฤติกรรมความ ตัง้ ใจทางาน ความถ่ีของพฤตกิ รรมทางานเสรจ็ และสงํ งานตามกาหนด โดยผวู๎ ิจยั เป็นผ๎ูดาเนินการสอนดว๎ ยตนเอง และการสอนในแตลํ ะคาบของวชิ าวทิ ยาศาสตรไ์ ด๎ดาเนินการสอนเปน็ เวลา 50 นาที โดยแบงํ ชวํ งเวลาการสอน ดงั น้ี 1. ทาการสอนเนือ้ หาตํางๆและทากิจกรรมการทดลอง 40 นาที 2. ผู๎วจิ ัยใหน๎ กั เรียนทาแบบฝึกหดั เพื่อทบทวนความเข๎าใจเกยี่ วกบั เรื่องท่ีเรยี น 10 นาที 3. มกี ารกาหนดให๎สงํ งาน

40 ในการเก็บรวบรวมข๎อมลู พื้นฐานเก่ียวกับพฤตกิ รรมความตงั้ ใจทางาน พฤติกรรมทางานเสร็จและ สงํ งานตามกาหนดของกลํมุ ตวั อยําง ผว๎ู จิ ัยทาการสงั เกตและบันทกึ ผลของพฤติกรรมท้งั 2 สํวนตั้งแตํเริ่มต๎นทา การสอนกระท่ังสอนเสรจ็ สวํ นท่ี 1 พฤติกรรมตงั้ ใจทางานที่ผูว๎ จิ ัยใช๎วิธีการสังเกตและบนั ทึกพฤตกิ รรมในชวํ งทีค่ รูมอบหมายงานให๎ ทา ถ๎าผ๎วู ิจยั สงั เกตเหน็ วํานักเรยี นแสดงพฤติกรรมตัง้ ใจทางานตามลกั ษณะที่กาหนดไว๎ ผว๎ู จิ ยั จะบนั ทกึ เลข “1” ถา๎ นกั เรยี นแสดงพฤติกรรมทแ่ี ตกตาํ งจากทีก่ าหนดไว๎ เชนํ ไมํปฏิบัตติ ามคาสัง่ ครู ไมเํ ขียนคาถามแบบฝึกหดั ให๎ เสร็จ ผูว๎ จิ ยั จะบันทกึ เลข “0” ในชํวงเวลาสงั เกตนนั้ รวมชํวงเวลาในการสังเกตท้ังสน้ิ 24 ชํวง ตอํ จากนน้ั นาคํา พฤตกิ รรมความต้ังใจในการทางานมาหาคาํ เฉลยี่ ร๎อยละของการแสดงพฤติกรรมความตงั้ ใจในการทางานของกลมํุ ตัวอยาํ ง ซงึ่ ต๎องนาคะแนนสํวนนไี้ ปรวมกบั คะแนนสํวนที่ 2 คือ จานวนคะแนนร๎อยละของพฤตกิ รรมการทางาน เสร็จและสงํ งานตามกาหนด สวํ นท่ี 2 คะแนนร๎อยละของพฤตกิ รรมการทางานเสรจ็ และสงํ งานตามกาหนด เนอ่ื งจากในแตํละคาบ ผวู๎ ิจยั จะให๎นักเรยี นทาแบบฝกึ หัดเพือ่ ทบทวนความเขา๎ ใจเก่ียวกบั เรื่องทเ่ี รยี นแล๎วนามาสงํ ในชวั่ โมงเรียนวชิ า วทิ ยาศาสตร์คาบเรียนตอํ ไป ถ๎านกั เรยี นสามารถทางานเสร็จและสํงงานภายในเวลาทีก่ าหนด ผว๎ู ิจยั จะบนั ทกึ เลข “1” ในแบบบันทึกความถ่ีการสงํ งานตามกาหนด ถ๎าเลยเวลาทีก่ าหนด นกั เรียนไมสํ งํ งานหรือทางานไมเํ สรจ็ ตามที่กาหนด ผว๎ู จิ ัยจะบนั ทกึ เลข “0” ลงในแบบบนั ทึกพฤตกิ รรมการทางานเสร็จละสํงงานตามกาหนด การคดิ คะแนนร๎อยละของพฤติกรรมการทางานเสรจ็ และสํงงานตามกาหนด ถ๎านักเรียนกลมํุ ตวั อยํางสงํ งาน 1 ครงั้ ก็จะได๎คะแนนร๎อยละของพฤติกรรมการทางานเสรจ็ และสํงงาน คิดเป็นร๎อยละ 100 ถ๎าไมไํ ดส๎ ํงงาน เลยกจ็ ะคิดเปน็ รอ๎ ยละ 0 การคดิ คะแนนพฤตกิ รรมความรบั ผดิ ชอบในการทางานท่ีไดร๎ ับมอบหมาย หาไดจ๎ ากการรวมคะแนนรอ๎ ยละของขอ๎ มูลท้ัง 2 สํวนแล๎วหารด๎วย 2 ซ่งึ ในท่ีนีก้ ็คือ พฤติกรรมยอํ ย ( พฤติกรรมความต้งั ใจในการทางาน พฤตกิ รรมการทางานเสรจ็ และสํงงานตามกาหนด ) กจ็ ะได๎คะแนนพฤตกิ รรม ความรับผิดชอบในการทางานท่ีไดร๎ ับมอบหมายในแตํละคร้ังของการสงั เกต 2.2 ระยะดาเนินการทดลอง ( Treatment ) ใช๎เวลาใช๎เวลา 12 สปั ดาห์ โดยผู๎วิจัยไดด๎ าเนินการแบงํ ระยะเวลาของการทดลองออกเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้ 2.2.1 ขนั้ เตรยี มการกอํ นทดลอง ผู๎วจิ ัยทาความเข๎าใจกบั นกั เรียนเก่ยี วกบั ความสาคญั ของการมคี วามรับผดิ ชอบในการทางานที่ ได๎รบั มอบหมายและการใหก๎ ารเสรมิ แรงทางบวกด๎วยเบี้ยอรรถกร เมอ่ื นกั เรยี นไดแ๎ สดงพฤติกรรมความรับผิดชอบ ตํองานทีไ่ ด๎รบั มอบหมายตามเป้าหมายท่ีกาหนดไว๎หรือสงู กวาํ เปา้ หมายนกั ศึกษาจะไดร๎ ับการเสรมิ แรงทางบวกด๎วย เบ้ียอรรถกรตามเง่อื นไขทก่ี าหนดไว๎ 2.2.2 ขนั้ ดาเนินการทดลอง ผวู๎ ิจยั ดาเนินการใหแ๎ รงเสริมทางบวกดว๎ ยเบี้ยอรรถกร ซึง่ ดาเนินการ ดังนี้

41 1. ผูว๎ ิจยั ชแ้ี จงให๎นักเรยี นกลุํมตวั อยาํ งทราบวํา ครมู ีความตอ๎ งการที่จะพัฒนาพฤติกรรมความ รบั ผดิ ชอบในการทางานทีไ่ ด๎รบั มอบหมาย ซ่งึ เปน็ พฤตกิ รรมที่มีความสาคญั ในการทางานในอนาคตและถ๎า นักเรยี นคนใดสามารถปฏบิ ัติไดต๎ ามเกณฑท์ ่ีกาหนดไว๎จะมรี างวัลให๎ ซึง่ พฤตกิ รรมความรบั ผิดชอบในทีน่ ้ีมี รายละเอยี ด ประกอบด๎วยพฤตกิ รรมยํอย ดังนี้ 1.2 พฤติกรรมความตง้ั ใจทางาน สังเกตไดจ๎ ากการที่นักศกึ ษา - ปฏิบัตติ ามคาแนะนาของครู - ซกั ถามรายละเอียดและข๎อสงสัยในการทางานท่คี รูมอบหมายให๎ - ทางานที่ครูมอบหมายใหท๎ าอยํางตํอเน่ืองจนงานน้ันสาเร็จ 1.2 พฤติกรรมการทางานเสร็จและสํงงานตามกาหนด 2. ผว๎ู ิจัยอธบิ ายให๎นักเรียนทราบเกยี่ วกบั นักเรยี นท่มี ีพฤติกรรมความรบั ผิดชอบในการทางานท่ี ได๎รับมอบหมายท้ัง 2 สวํ นได๎ตามเกณฑ์ทผ่ี ๎ูวจิ ยั ไดก๎ าหนดไว๎ก็จะได๎รบั คะแนนตามเกณฑท์ ก่ี าหนดซึง่ นักเรยี น สามารถนาคะแนนนไ้ี ปแลกเป็นสิ่งของได๎ ตามตารางการเสริมแรงในชวํ งพกั กลางวันหรือหลังเลิกเรียน โดยครจู ะ เขียนคะแนนทน่ี กั เรยี นได๎รับในแตลํ ะช่วั โมงเรียนไว๎ 3. เมอ่ื ผูว๎ ิจัยอธิบายเกณฑต์ าํ งๆเรยี บรอ๎ ยแลว๎ จะดาเนินการสอนเนื้อหาตาํ งๆ จดั กจิ กรรมการทดลอง และให๎นกั เรียนทาแบบฝกึ หัดเพอ่ื ทบทวนความเขา๎ ใจเกี่ยวกับเร่อื งท่เี รียน พร๎อมทัง้ กาหนดเวลาในการสงํ งานและ ใหน๎ กั เรยี นเริ่มปฏบิ ตั งิ าน 4. ในขณะทผี่ วู๎ ิจัยมอบหมายงานเสรจ็ จะสังเกตพฤตกิ รรมความตัง้ ใจในการทางานของนกั เรียนกลํมุ ตัวอยําง 5. การสงั เกตและบนั ทกึ พฤติกรรมความตัง้ ใจในการทางาน พฤติกรรมการทางานเสรจ็ และสงํ งานตาม เวลาทก่ี าหนดซง่ึ กระทาโดยผูว๎ จิ ัย 6. นาผลการบนั ทึกทง้ั 2 สวํ น มาคิดเปน็ คะแนนรอ๎ ยละของพฤติกรรมความตงั้ ใจในการทางาน คะแนน รอ๎ ยละของพฤติกรรมการทางานเสร็จและสงํ งานตามเวลาที่กาหนด และนาคะแนนรอ๎ ยละทั้ง 2 สํวนมารวมกนั แล๎วหาร 2 จะไดค๎ ะแนนพฤตกิ รรมความรับผดิ ชอบในการทางานทีไ่ ด๎รบั มอบหมาย 3. ระยะตดิ ตามผล เป็นระยะทยี่ ุตโิ ปรแกรมการทดลอง ซึ่งนักเรยี นกลุํมตัวอยาํ งจะไดร๎ ับการสอน ตามปกติ ซ่งึ จะไมํมีการเสริมแรงทางบวกดว๎ ยเบ้ยี อรรถกร ผูว๎ ิจยั จะทาการสังเกตและบนั ทึกพฤติกรรมความตั้งใจ ในการทางาน พฤติกรรมการทางานเสรจ็ และสํงงานตามเวลาทก่ี าหนด ในระยะนใี้ ชเ๎ วลาทง้ั สิ้น 2 สัปดาห์

42 การวิเคราะห์ขอ้ มลู การวิจัยครัง้ น้ผี ๎วู ิจัยทาการวิเคราะห์ข๎อมลู เพ่ือศกึ ษาผลของการใช๎แรงเสรมิ ทางบวกด๎วยเบ้ียอรรถกรทมี่ ตี ํอ พฤตกิ รรมความรบั ผิดชอบในการทางานท่ีได๎รบั มอบหมายในรายวิชาวิทยาศาสตรข์ องนักเรี ยนระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/5 โดยใช๎สถิตพิ ืน้ ฐาน สรปุ ผลการวิจยั นกั เรยี นระดับช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 3/5 มีพฤตกิ รรมความรบั ผิดชอบในการทางานทไ่ี ด๎รบั มอบหมายใน รายวิชาวทิ ยาศาสตรม์ ากขึ้นหลงั การใช๎แรงเสริมทางบวกดว๎ ยเบีย้ อรรถกรและมพี ฤติกรรมความรบั ผิดชอบในการ ทางานท่ไี ดร๎ ับมอบหมายสงู กวาํ รอ๎ ยละ 70 ซง่ึ เป็นไปตามเกณฑท์ ่ีตงั้ ไว๎ การอภปิ รายผล ผลการวิจยั พบวํา นักเรยี นกลุมํ ตัวอยํางทุกคนมีคะแนนเฉลยี่ ของพฤติกรรมความต้งั ใจในการทางาน คะแนนเฉลี่ย ของพฤตกิ รรมการทางานเสรจ็ และสงํ งานตามกาหนดในระยะการทดลองสูงกวาํ ระยะเสน๎ ฐานและมคี วามคงทน ของพฤติกรรมความรับผิดชอบในการทางานที่ไดร๎ ับมอบหมายในรายวิชาวิทยาศาสตร์หลงั การใช๎แรงเสรมิ ทางบวก ดว๎ ยเบีย้ อรรถกร ซง่ึ สงั เกตได๎จากนกั เรียนทุกคนมคี ะแนนเฉลยี่ ของพฤติกรรมความต้ังใจในการทางาน คะแนน เฉลี่ยของพฤตกิ รรมการทางานเสรจ็ และสงํ งานตามกาหนดที่ระยะตดิ ตามผลอยใํู นระดบั สูง ดังน้ันนกั เรยี นระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3/5 มีพฤตกิ รรมความรบั ผดิ ชอบในการทางานทไ่ี ด๎รับมอบหมายในรายวิชาวทิ ยาศาสตรม์ ากขึน้ หลงั การใชแ๎ รงเสริมทางบวกด๎วยเบ้ียอรรถกรและมพี ฤติกรรมความรบั ผิดชอบในการทางานทีไ่ ดร๎ ับมอบหมายสูง กวาํ รอ๎ ยละ 70 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ทตี่ งั้ ไว๎ ทงั้ น้อี าจเปน็ เพราะในการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนสาหรบั นักเรียน ระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 3/5 ครูได๎แบํงชํวงเวลาการสอนอยาํ งชัดเจน คอื ทาการสอนเนอื้ หาตํางๆและทา กิจกรรมการทดลอง 40 นาที และทาแบบฝึกหดั เพ่ือทบทวนความเขา๎ ใจเกี่ยวกบั เรื่องท่เี รียน 10 นาที นอกจากน้ี มกี ารกาหนดให๎สงํ งานอยํางชดั เจน มีการตดิ ตามการทางานของนกั เรียนเป็นระยะอยํางตํอเนอื่ ง เม่อื นกั เรยี นนา งานมาสํงครจู ะตรวจสอบความถูกตอ๎ งของคาตอบและชีแ้ จงข๎อบกพรอํ งในการทางานใหน๎ ักเรยี นทราบเปน็ รายบุคคลเพอื่ ใชเ๎ ป็นแนวทางในการปรับปรงุ แก๎ไขงานใหม๎ คี ุณภาพดขี ึ้นในคร้งั ตอํ ไป นอกจากนีย้ ังมีการให๎แรง เสรมิ ทางบวกดว๎ ยการชมในเบอ้ื งตน๎ เมอ่ื นกั เรยี นมพี ฤติกรรมความต้งั ใจในการทางาน ทางานเสรจ็ และสํงงานตาม กาหนด และจะใหแ๎ รงเสริมทางบวกด๎วยเบยี้ อรรถกรทันทีเมอื่ นักเรียนมคี ะแนนความตั้งใจในการทางาน คะแนน ของพฤติกรรมการทางานเสรจ็ และสํงงานตามกาหนดครบตามเกณฑ์ทีค่ รูกาหนด ผลการวจิ ยั นี้สอดคล๎องกับการ วิจัยของสุวทิ ย์ เภตรา (2533) ไดศ๎ ึกษาผลการเสริมแรงทางบวกดว๎ ยเบ้ยี อรรถกรตํอพฤตกิ รรมการทาแบบฝึกหดั วชิ าคณิตศาสตรข์ องนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบวํา นักเรยี นกลํมุ ที่ได๎รับการเสริมแรงทางบวกด๎วยเบี้ยอรรถ กรจะมคี วามเรว็ และความถกู ตอ๎ งในการทาแบบฝึกหดั สูงกวาํ กลมุํ ท่ีไมไํ ด๎รับการเสรมิ แรงทางบวก นอกจากนี้

43 โสภดิ า ล้มิ วฒั นาพนั ธ์ (2538) ไดท๎ าการเปรยี บเทียบผลของการปรับพฤตกิ รรมโดยใชก๎ ารควบคมุ ตนเองกับการ เสรมิ แรงทางบวกดว๎ ยเบย้ี อรรถกรที่มีตํอการเพิม่ และการคงอยขํู องพฤตกิ รรมความรับผิดชอบในงานทไี่ ด๎รับ มอบหมายของนักศึกษาวทิ ยาลัยเทคนคิ บรุ ีรมั ย์ ชน้ั ปที ่ี 1 พบวํานกั ศกึ ษากลมุํ ท่ีใชเ๎ ทคนคิ การควบคุมตนเองและ นกั ศกึ ษากลมุํ ทไี่ ดร๎ บั การเสรมิ แรงทางบวกดว๎ ยเบีย้ อรรถกรมีพฤตกิ รรมความรับผิดชอบในงานทไ่ี ดร๎ ับมอบหมายใน ระยะทดลองและระยะตดิ ตามผลสูงกวําระยะเส๎นฐาน อยํางมีนยั สาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 นักศึกษากลํุมท่ใี ช๎ เทคนคิ การควบคุมตนเองและนักศึกษากลุมํ ที่ได๎รบั การเสริมแรงทางบวกดว๎ ยเบยี้ อรรถกรมีพฤตกิ รรมความ รบั ผดิ ชอบในงานทไี่ ด๎รับมอบหมายนกั ศึกษากลุํมควบคุมทัง้ ในระยะทดลองและระยะติดตามผล อยาํ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .05 ในระยะทดลองพบวาํ นกั ศกึ ษากลมุํ ทใี่ ช๎เทคนคิ การควบคุมตนเองและนกั ศึกษากลมํุ ท่ีไดร๎ ับ การเสรมิ แรงทางบวกดว๎ ยเบ้ยี อรรถกรมีพฤติกรรมความรบั ผดิ ชอบในงานท่ไี ดร๎ ับมอบหมายไมํแตกตํ างกัน ในระยะ ตดิ ตามผลพบวาํ นักศกึ ษากลุํมทใ่ี ชเ๎ ทคนิคการควบคุมตนเองมพี ฤตกิ รรมความรับผดิ ชอบในงานทไ่ี ด๎รับมอบหมาย สงู กวาํ นกั ศึกษากลมุํ ท่ไี ด๎รับการเสรมิ แรงทางบวกดว๎ ยเบ้ยี อรรถกรและงานวจิ ยั ของมนตรา ประถมภฏั (2548) ได๎ ทาการศึกษาผลของการใช๎เบ้ียอรรถกรควบคกํู บั การชี้แนะเพือ่ พฒั นาความมีวนิ ยั ของพลทหารกองประจาการ พบวาํ กํอนและหลังการเสริมแรงด๎วยเบีย้ อรรถกรควบคกูํ บั การชีแ้ นะทหารกองประจาการมวี นิ ัยแตกตาํ งกันโดยพล ทหารกองประจาการมวี ินยั เพิ่มมากขน้ึ ในทิศทางท่ีพงึ ประสงค์ และแนวโนม๎ ของอัตราการเปลีย่ นแปลงของการผดิ วนิ ัยของพลทหารกองประจาการลดลงทั้งในระยะทดลองและระยะหลังการทดลองเม่ือเทียบกับระยะเส๎นฐาน จาก การวิจัยครัง้ นแี้ สดงให๎เห็นวําการใชแ๎ รงเสรมิ ทางบวกด๎วยเบีย้ อรรถกรมผี ลตอํ พฤติกรรมความรบั ผิดชอบในการ ทางานทไี่ ด๎รบั มอบหมายในรายวิชาวิทยาศาสตรข์ องนักเรยี น เพราะเบยี้ อรรถกรสามารถใช๎เป็นตวั เช่อื มโยงระหวําง พฤตกิ รรมเปา้ หมายกับตัวเสริมแรงอืน่ ๆ เชนํ เชอื่ มโยงกับอาหารท่เี ดก็ ชอบหรอื กิจกรรมทเ่ี ด็กสนใจ เปน็ ตน๎ และ สามารถใหไ๎ ด๎ทันทีหลงั จากพฤติกรรมเกิดขนึ้ ไมํขัดขวางกจิ กรรมทก่ี าลังดาเนินอยูแํ ละใช๎ได๎กบั ทุกคนรวมท้ังการ ทดลองกับกลุํมใหญํๆ แม๎วําแตลํ ะคนจะชอบตํางกันก็ตาม แตํกส็ ามารถนาเบีย้ ไปแลกของที่ตนเองตอ๎ งการได๎ เนื่องจากมสี ง่ิ ของให๎แลกเปลีย่ นหลายอยาํ ง สามารถใหเ๎ บยี้ อรรถกรไดต๎ ามจานวนพฤตกิ รรมทีแ่ สดงออกมาและ ชวํ ยปลูกฝงั ใหน๎ กั เรียนเป็นผทู๎ ีม่ คี วามรบั ผดิ ชอบในการทางานทไี่ ด๎รบั มอบหมายในภายภาคหน๎าถึงแมไ๎ มไํ ดร๎ ับแรง เสริมทางบวกดว๎ ยเบีย้ อรรถกรกต็ าม

44 ขอ้ เสนอแนะ ข้อเสนอแนะสาหรบั การนาผลการวจิ ัยไปใช้ 1. ครผู ส๎ู อนทุกรายวชิ าสามารถนาผลการวิจยั ครง้ั น้ไี ปใช๎เป็นแนวทางในการปรบั พฤติกรรมของนกั เรยี นใน ห๎องเรียนของตนเองหรอื ในรายวิชาทีส่ อนใหเ๎ ป็นผู๎ทีม่ ีพฤตกิ รรมความต้ังใจทางาน พฤติกรรมการทางานเสร็จและ สงํ งานตามกาหนดเพือ่ ใหเ๎ ปน็ ผ๎ูท่ีมีพฤติกรรมความรับผดิ ชอบในการทางานที่ได๎รบั มอบหมาย 2. ครูผ๎ูสอนหรือครปู ระจาช้ันสามารถนาผลจากการวจิ ยั น้ีไปประยกุ ตใ์ ชใ๎ นการปรบั พฤตกิ รรมท่ไี มํพึง ประสงคข์ องนกั เรียนในเรอ่ื งอนื่ ท่ีนอกเหนือจากความรบั ผดิ ชอบในการทางานทไ่ี ด๎รบั มอบหมายเพอื่ พัฒนานักเรยี น ใหเ๎ ป็นผทู๎ ่มี ีคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ และเป็นผูใ๎ หญํที่มคี ณุ ภาพในอนาคต 3. ผูบ๎ รหิ ารสถานศกึ ษาสามารถนาแนวคิดทีไ่ ด๎จากงานวจิ ยั น้ไี ปใชใ๎ นการวางแผนการบริหารงาน สถานศกึ ษาเพื่อพัฒนาผูเ๎ รียนในด๎านการมีความรับผิดชอบให๎สงู ขึ้น ซึ่งจะชวํ ยสํงผลให๎การบริหารงานในด๎านตาํ งๆ ดาเนนิ ไปอยํางราบรื่น 4. ผปู๎ กครองหรือผทู๎ สี่ นใจสามารถนาผลการวิจยั นี้ไปใช๎สาหรับปรับพฤติกรรมทไ่ี มํพึงประสงค์ของเดก็ ใน ความดูแลของตนเองได๎ ข้อเสนอแนะสาหรบั การวจิ ยั ครัง้ ตอ่ ไป 1. ควรทาการศกึ ษาผลทเี่ กิดขึ้นจากการใช๎แรงเสรมิ ทางบวกด๎วยเบี้ยอรรถกรในตวั แปรอืน่ ๆ เชนํ เจตคติ ในการเรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์ ความคงทนของพฤติกรรมความรับผดิ ชอบในการทางานที่ได๎รับมอบหมายในระยะ ยาว ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ เป็นตน๎ 2. ควรช้ีแจงให๎นกั เรียนทราบและมีความเข๎าใจเกีย่ วกับความจาเปน็ ที่ต๎องมีพฤตกิ รรมความรบั ผิดชอบใน การทางานทไ่ี ดร๎ ับมอบหมายและร๎ูจักหนา๎ ทีข่ องตนเองโดยไมหํ วงั สง่ิ ตอบแทน 3. ควรศกึ ษาเพื่อเปรียบเทยี บผลทีเ่ กิดจากการใช๎แรงเสริมทางบวกด๎วยเบี้ยอรรถกรทม่ี ตี ํอพฤตกิ รรมความ รับผดิ ชอบในการทางานที่ได๎รบั มอบหมายในรายวิชาวทิ ยาศาสตร์กับรายวิชาตาํ งๆ

45 บรรณานกุ รม

46 บรรณานกุ รม กรมการศาสนา. (2525). คูม่ อื การศกึ ษาจรยิ ธรรมระดับอุดมศึกษาตอนท่ี 2. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์กรมศาสนา. กรมสามญั ศกึ ษา. (2526). ชุดการปลกู ฝังและสรา้ งค่านยิ มพื้นฐาน เรอื่ งความรบั ผดิ ชอบ. กรงุ เทพฯ: หา๎ งหุ๎นสํวน จากดั จงเจรญิ การพิมพ์. กรมสุขภาพจติ . (2544). คมู่ ือการดูแลผู้มีปัญหาสขุ ภาพจติ และจติ เวชสาหรับแพทย์. กรงุ เทพฯ. ม.ป.ท. แคทลียา แสนนางชน. (2549). ผลของกจิ กรรมกลมุ่ ท่ีมตี ่อความรบั ผิดชอบดา้ นการทางานทเี่ กย่ี วขอ้ งกับการเรยี น ของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6 โรงเรยี นนาหลวง เขตทงุ่ ครุ กรุงเทพมหานคร. ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. (จติ วทิ ยาการศกึ ษา) ). กรงุ เทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ถํายเอกสาร. จันทรา พวงยอด. (2543). การพัฒนาความรับผิดชอบของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรียนพุทธจกั รวิทยา โดยใชก้ จิ กรรมและเทคนิคการประเมินผลจากสภาพจริง. ปริญญานพิ นธ์กศ.ม. กรงุ เทพฯ: บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ถาํ ยเอกสาร. จินตนา ธนวบิ ลู ยช์ ัย. (2540). คุณสมบัติในการวดั และคณุ ภาพของมาตราวดั เจตคตเิ ชิง จริยธรรมดา้ นความ รบั ผดิ ชอบทส่ี รา้ งขน้ึ โดยประยุกต์วิธกี ารของธอนไดค์. ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. (จติ วิทยาการศกึ ษา) กรงุ เทพฯ: บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ. จิรัชญา ทิขตั ติ. (2550). การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนและความรับผิดชอบทางการเรียนภาษาไทยท่ี ได้รับการสอนแบบร่วมมือและการสอนแบบปกติของนกั เรียนชัน้ มธั มศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนอสั สมั ชัญธนบรุ ี ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม.(การมัธยมศกึ ษา). กรงุ เทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถาํ ย เอกสาร. จุรรี ตั น์ นันทัยทวีกุล. (2538). การวิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบคุณลกั ษณะความรับผิดชอบของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษา ปที ี่ 1 ในกรงุ เทพมหานคร. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การวัดผลการศกึ ษา). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. ถาํ ยเอกสาร. ชาเรอื ง วฒุ ิจันทร์. (2524). คุณธรรมและจริยธรรมหลักการและวิธีการพฒั นาจรยิ ศกึ ษาในสถานศกึ ษา สังกดั กระทรวงศกึ ษาธิการ. กรงุ เทพฯ: กรมศาสนา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. ณัฐภัทร ธรณี. (2548). การศกึ ษาปจั จยั บางประการทส่ี มั พนั ธก์ บั ประสทิ ธภิ าพการสอนของครใู นโรงเรยี นขยาย โอกาสทางการศกึ ษาสงั กัดกรงุ เทพมหานคร. ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. (การวจิ ยั และสถิตทิ างการศกึ ษา). กรงุ เทพฯ: บณั ฑติ วิทยาลัยมหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ ถาํ ยเอกสาร. ถวิล จนั ทร์สวําง. (2545). การศกึ ษาความสมั พันธร์ ะหวา่ งปัจจัยบางประการกับความรบั ผดิ ชอบของนกั เรยี นใน โรงเรียนสงั กดั กรงุ เทพมหานคร. ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. (การวจิ ัยและสถติ ทิ างการศึกษา). กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ. ถํายเอกสาร. ทวี ทํอแก๎ว และอบรม สินภบิ าล. (2527). จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ .

47 ทองคณู หงส์พนั ธุ์. (2535). วิถีแห่งบัณฑติ การครองตน ครองคน และครองงาน. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพรา๎ ว. นภดล ภวนะวิเชียร. (2540). การศึกษาค่านิยมดา้ นความรับผดิ ชอบของนกั เรยี นระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ ทไ่ี ด้รับ การสรา้ งเสรมิ ด้วยกระบวนการท่ีพัฒนาตามแนวคดิ ของไอเซ็นและแรทส์. วทิ ยานิพนธ์ ค.ม. (หลกั สตู รและ การสอน). กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวทิ ยาลยั จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ถํายเอกสาร. ประเทิน มหาขันธ์. (2536). สอนเดก็ ให้มคี วามรับผิดชอบ. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตรก์ ารพิมพ์. ปรยี า ชัยนยิ ม. (2542). การศกึ ษาคิดเห็นของครตู ่อการสอนความรับผดิ ชอบ และความมีระเบยี บวินัย โดย กระบวนการกล่มุ สัมพนั ธใ์ นสถานศกึ ษา สงั กดั สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน. ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. ถาํ ยเอกสาร. ผกา สตั ยธรรม. (2528). “วิธสี อนจริยศกึ ษา” วารสารมติ รครู. 27(3); ธันวาคม 2528. มนตรา ประถมภฏั . (2548). ทาการศกึ ษาผลของการใชเ้ บย้ี อรรถกรควบคู่กับการชแี้ นะเพ่ือพฒั นาความ มวี ินยั ของพลทหารกองประจาการ. ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม.(จติ วทิ ยาแนะแนว). กรุงเทพฯ: บณั ฑิต วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. ถํายเอกสาร. ราชบัณฑิตยสถาน. (2525). พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ: นานมีบ๏ุคส์พับลิเคชันส์ จากดั . ล๎วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2538). เทคนิคการวจิ ยั ทางการศกึ ษา. พมิ พ์ครั้งท่ี 5.กรงุ เทพฯ: สวุ รี ิยาสาส์น. _______. (2542). การวัดดา๎ นจติ พสิ ยั . กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์สุวรี ยิ าสาส์น. วงศ์รวี โพธ์ิสวัสดิ์. (2549). การพฒั นาความรับผดิ ชอบดา้ นการเรียนของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรียน ปริยัตริ ังสรรค์ อาเภอเมอื ง จงั หวัดเพชรบุรี. กศ.ม. (จติ วทิ ยาแนะแนว). กรงุ เทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ถํายเอกสาร. ศิรินันท์ วรรตั นกจิ . (2545). การศึกษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างปจั จยั บางประการกับความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองและ ส่วนรวมของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โดยใช้วิธวี ิเคราะหแ์ บบสหสมั พันธ์คาโนนคิ อล. ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. (การวจิ ยั และสถติ ทิ างการศกึ ษา). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. ถํายเอกสาร. สมโภชน์ เอีย่ มสภุ าษติ . (2528). ชว่ ยลกู ให้เรยี นดขี ้นึ . แมแ่ ละเด็ก. 8(12): 40-42. ________ . (2536). ทฤษฎีและเทคนคิ การปรบั พฤตกิ รรม. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพโ์ อเดียนสโตร์, 2536. สมวาสนา ธนเมธีกุล. (2546). จิตลักษณะและสถาณการณท์ ีเ่ กย่ี วข้องกับพฤติกรรมรับผดิ ชอบของนกั ศึกษาระดับ ประกาศนียบตั รวชิ าชพี สังกดั กรมอาชวี ศกึ ษา จังหวัดขอนแกน่ . วิทยานพิ นธ์ ศษ.ม. (จิตวทิ ยาการศกึ ษา). ขอนแกํน: บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั ขอนแกนํ . ถํายเอกสาร. สทุ ธิพงศ์ บญุ ผดุง. (2541). การสร้างแบบทดสอบวัดลกั ษณะความรับผิดชอบสาหรบั นักเรยี นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3

48 โดยใชก้ ารแสดงหลักฐานความเทีย่ งตรง ความไม่เทยี่ งตรง และความเช่ือมนั่ . ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม. กรงุ เทพฯ: บณั ฑติ วิทยาลัยมหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ. สวุ ิทย์ เกตรา. (2533). ศึกษาผลการเสริมแรงทางบวกด้วยเบย้ี อรรถกรตอ่ พฤติกรรมการทาแบบฝึกหัดวชิ า คณิตศาสตรข์ องนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 6. วิทยานิพนธ์ ค.ม. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . อัดสาเนา โสภิดา ลิ้มวัฒนาพันธ์. (2538). การเปรียบเทยี บผลของการปรบั พฤติกรรมโดยใช้การควบคุมตนเองกับการ เสรมิ แรงทางบวกด้วยเบยี้ อรรถกรทมี่ ีต่อการเพ่ิมและการคงอยขู่ องพฤตกิ รรมความรบั ผิดชอบในงานท่ไี ดร้ บั มอบหมายของนักศึกษาวทิ ยาลัยเทคนิคบุรีรมั ย์ ชั้นปที ่ี 1. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การวจิ ัยพฤตกิ รรม ศาสตรป์ ระยกุ ต์).กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. ถํายเอกสาร. สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแหงํ ชาติ. (2545). แผนการศึกษา ศาสนา ศลิ ปะ และวฒั นธรรม แหง่ ชาติ (พ.ศ. 2545-2559) . กรุงเทพฯ: สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแหํงชาติ. สานกั งานทดสอบการศกึ ษา กระทรวงศึกษาธิการ. (2539). “คณุ ธรรมพนื้ ฐาน” คูม่ ือการพฒั นาโรงเรยี นเขา้ สู่ มาตรฐานการศกึ ษา. กรุงเทพ: กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. อนวุ ตั ิ คณู แกว๎ . (2538). การวัดผลและการพฒั นาความรับผิดชอบของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1. ปรญิ ญา นพิ นธ์ กศ.ด. (การทดสอบและวัดผลการศึกษา). กรงุ เทพฯ: บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ศรีนครินทร วโิ รฒ. ถํายเอกสาร. อรรถวรรณ นยิ ะโต. (2536). การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น ความรับผดิ ชอบตนเองและความรบั ผิดชอบ ตอ่ สงั คม ของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 ทีเ่ รียนวชิ าสงั คม ศึกษาโดยใช้การสอนแบบบรู ณาการกับการ สอนตามคมู่ ือครู. ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม. กรงุ เทพฯ:บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ. Browne, C.G. and Thomas S. Chon. (1968). The Study of Leadership. The InterstatePrinter and Publishers. Inc., Illinois. Cattell, Raymond B. (1963). Manual for Jr. – sr. High school Personality Questionnaire“HSP” Form A. Illinois : The Institute for Personality and ability Testing. Funk & Wagnalls. (1961). New Standard Dictionary of The English Language. New York: McGraw – Hill Book Company. Kazdin, Alan E. The Token Economy : A Review and Evaluation. New York: Plenum Press,1977. Mitton, Betty L. and Dale B. Harris. (1962). “The Development of Responsibility in Children,” The Child : A Book Reading. 46 : 407 – 416. Sanford,F.H,.et.Al. (1970).Psychology : Ascientific Study of Man.California : Caoifornia : Wadsworth Publishing Company.Inc.

49 ภาคผนวก ก เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการวิจยั 1. แบบบนั ทึกพฤติกรรมความรับผดิ ชอบในการทางานทีไ่ ดร๎ ับมอบหมาย - แบบบนั ทึกพฤติกรรมความตงั้ ใจในการทางาน - แบบบนั ทกึ ความถ่พี ฤตกิ รรมการทางานเสร็จและสงํ งานตามกาหนด 2. ตารางกาหนดอัตราการแลกเปล่ียนตัวเสริมแรง

50


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook