ยคุ วรรณกรรมเพื่อประชาชน (พ.ศ. 2517 – ปจั จุบัน)
หลังเหตกุ ารณ์ 14 ตลุ าคม 2516 เรยี กได้ว่าเป็น ยุคประชาธปิ ไตยเบ่งบาน วงการวรรณกรรมคกึ คัก อยู่เพยี งชว่ั ขณะ เพราะหลงั จากน้ันไม่นานก็เกิดการปฏริ ปู การปกครองในวันท่ี 6 ตลุ าคม 2519 รัฐบาลของนายธานินทร์ ไกรวิเชยี ร ปกครองประเทศด้วยนโยบายขวาจัด ออกคาสงั่ ห้ามประชาชนมี หนงั สอื ตอ้ งห้าม จานวน 15 รายการ สภาพเช่นนท้ี าใหว้ งการวรรณกรรมซบเซาลงทันที นักเขยี น ในยคุ ก่อนบางคนทีย่ ังยึดอาชพี นกั เขยี นต้องเปลยี่ นแปลงแนวการเขยี นเล่ียงการกลา่ วโดยตรง ไปใชส้ ญั ลักษณ์สอ่ื ความหมายแทน และบางคนหลีกเลี่ยงการใช้ฉากในประเทศไปเขียนเร่อื งราวท่ใี ช้ฉาก ต่างประเทศแทน
จากนนั้ เม่ือเกดิ รัฐประหารอกี คร้งั เม่อื วันที่ 20 ตุลาคม 2520 บรรยากาศในวงการวรรณกรรมกลับมาสดใส อกี ครง้ั นักเขียนรนุ่ เก่าหายหนา้ ไปบ้าง แตก่ ็ยังเกิดนักเขียนรุ่นใหม่ ๆ เกิดขึ้นอีกหลายคน เช่น ชาติ กอบจิตติ มาลา คาจนั ทร์ จาลอง ฝั่งชลจิตร ประมวล มณีโรจน์ เป็นต้น การไดป้ ระชาธิปไตยกลับคนื มาแมเ้ พียงคร่ึงใบ ก็มผี ลทาใหว้ งการวรรณกรรมมีบรรยากาศทด่ี กี ว่าเดมิ งานวรรณกรรมสว่ นใหญม่ เี นอ้ื หาสะท้อนปญั หาสังคม และแสวงหาความยตุ ธิ รรมซง่ึ เป็นท่ยี อมรับของนักอ่านอย่างกวา้ งขวาง (สายทพิ ย์ นกุ ูลกิจ, 2537:6-26)
หลกั จากการคืนสเู่ มืองของนักเขียน นกั คิด ปญั ญาชน ตามนโยบาย 66/23 หรอื ทเ่ี รยี กอยา่ ง เป็นทางการว่า คาสัง่ นายกรัฐมนตรที ี่ 66/2523 เร่ืองนโยบายการตอ่ ส่เู พื่อเอาชนะคอมมวิ นสิ ต์ งานวรรณกรรมของนักเขยี นในยุคคนป่าคืนเมือง ทาให้เกิดการรวมกลมุ่ ของนักคิด นักเขียน ในสถาบันการศึกษาตา่ ง ๆ ทง้ั สว่ นกลางและภมู ิภาค นอกจากนีส้ ถานศึกษาทัง้ ระดับประถม มัธยม และอดุ มศกึ ษา ยงั ไดใ้ หค้ วามสาคัญตอ่ การปลูกฝ่ังหรอื จดุ ประกายใหก้ บั นกั เขียนรนุ่ ยุวชนผ่านการจัด ค่ายวรรณกรรมต่าง ๆ
ซง่ึ จะเห็นไดว้ ่าปจั จบุ นั การขยายตัวมากขนึ้ ของวงวรรณกรรม มีการพฒั นาตามลาดบั เพราะนอกจาก จะมหี นังสอื ทีผ่ ลติ ขนึ้ ด้วยกระดาษแลว้ ในยคุ ขอ้ มลู ข่าวสารยงั มีส่ือสารสนเทศที่ทาใหส้ ามารถเข้าถงึ ขอ้ มลู อยา่ งสะดวกสบาย แม้แต่การผลิตงานวรรณกรรมก็สามารถทาในระบบ “พมิ พ์เอง – ขายเอง” ทาให้บทบาทของบรรณาธกิ ารลดลง อกี ทง้ั ยังมีนกั เขยี นหน้าใหมท่ ่มี ากจากบคุ คลในอาชพี อน่ื ๆ ไม่ว่าจะเปน็ ดารา นกั รอ้ ง นักแสดง กส็ ามารถเขยี นและมีหนงั สอื เป็นของตัวเองและยังมีนักเขียนในโลก ออนไลน์เกิดข้นึ อกี เป็นจานวนมากดว้ ยเชน่ กัน
ปจั จยั ท่ที าใหว้ รรณกรรมไทยเปล่ยี นแปลงสู่ยคุ ปจั จบุ นั
เน่ืองดว้ ยวรรณกรรมไทยจะมีเรอื่ งราวทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับวถิ ีชวี ติ สภาพบ้านเมอื ง สังคม และชว่ งเวลาต่าง ๆ ทาให้วรรณกรรมยอ่ มเกิดความเปล่ียนแปลงไปตามปจั จยั ต่าง ๆ สายทพิ ย์ นกุ ูลกิจได้กล่าวถึงปัจจัยสาคัญ ทท่ี าให้เกดิ ความเปลี่ยนแปลงกบั วรรณกรรมไทย ในหลาย ๆ ดา้ น และในทสี่ ดุ วรรณกรรมไทยกก็ ้าวเข้าสู่ ยุคปจั จบุ ันอยา่ งเดยี ว สรปุ ปจั จยั ดังกลา่ วมี 7 ประการคอื
1. การปฏริ ูปการศึกษา ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัว พระองคท์ รงปฏิรปู การศึกษาด้วยการโปรดเกลา้ ฯ ให้ตัง้ โรงเรียนหลวงขนึ้ เปน็ คร้ังแรกใน พ.ศ. 2414 โรงเรยี นพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้ต้ัง “โรงเรียนทหารมหาดเล็ก” หรือ “โรงเรียนพระตาหนกั สวนกุหลาบ” ซึ่งในครั้งแรกมจี ุดม่งุ หมายเพอ่ื หัดวิชาทหาร ต่อมาไดข้ ยายและเปลีย่ นชือ่ เป็น “โรงเรยี นพลเรือน” เพอ่ื ประโยชน์แกก่ ารฝึกหดั ข้าราชการท่วั ไป และตั้งแต่ พ.ศ. 2427 เป็นตน้ มา โปรดเกล้าฯ ให้ตง้ั โรงเรียนสาหรบั สามัญชน ตามวดั ตา่ ง ๆ ท้งั ในกรุงเทพและหัวเมือง
และใน พ.ศ. 2435 โปรดเกล้าฯ ใหต้ ัง้ กระทรวงพระราชบญั ญตั ิประถมศกึ ษา ซึง่ เปน็ การจดั การศึกษา ใหแ้ กท่ วยราษฎร ในสมยั รชั กาลท่ี 6 พระองค์ทรงประกาศใชพ้ ระราชบัญญัตปิ ระถมศกึ ษา ซ่ึงเปน็ การจดั การศกึ ษาให้แก่ทวยราษฎร์และผลของการศึกษาปรากฏให้เหน็ ชัดเจนในรัชกาลที่ 7 คือ มีผูร้ ้หู นงั สอื อา่ นออกเขียนไดม้ ากขึ้น ดังนน้ั การสรา้ งสรรคว์ รรณกรรมซงึ่ เดมิ จากดั อยู่เฉพาะในวงั เริ่มขยายตวั สู่สามัญชนมากข้นึ ขณะเดยี วกันผู้อา่ นวรรณกรรมก็ขยายตวั กว้างมากขน้ึ เช่น อีกทง้ั รสนิยมในการอ่านของคนเหลา่ นี้เปลยี่ นไปจากกลมุ่ เดิม พวกเขาต้องการอ่านวรรณกรรมที่มเี น้อื หา กลา่ วถึงสภาพชวี ติ ในสังคมสมัยใหม่ ผเู้ ขยี นจงึ ตอ้ งแสวงหารปู แบบการเขียนและเนอ้ื หาใหม่ ๆ เพอ่ื สนอง ความต้องการของคนอา่ นการศกึ ษาจงึ เป็นปจั จยั หน่ึงทที่ าให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงข้นึ กับวรรณกรรมไทย
2. การสง่ นักเรียนไปศกึ ษาต่างประเทศ คนไทยเร่ิมเรียนภาษาองั กฤษในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกลา้ เจ้าอยู่หวั โดยเรยี นมชิ ชันนารี อเมรกิ ัน ซ่ึงเขา้ มาตัง้ สานกั งานอยใู่ นกรงุ เทพฯ เม่อื พ.ศ. 2371 ต่อมาไดม้ ีการเรยี นภาษาองั กฤษ กันอย่างแพร่หลายจนถงึ ขน้ั สง่ นกั เรียนไปศึกษาภาษาและวิชาการในตา่ งประเทศโดยเฉพาะในทวีปยุโรป ในรชั กาลต่อ ๆ มาในรชั กาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั ทรงจา้ งสตรีชาวตา่ งประเทศเขา้ ไปสอน ภาษาอังกฤษแกเ่ จา้ ลูกเธอในบรมมหาราชวงั และทรงคดั เลอื กนกั เรียน จานวน 3 คน ส่งไปศกึ ษา ในทวีปยโุ รป
คร้ันถึงสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัวทรงส่งนักเรยี นไปเรียนภาษาองั กฤษทสี่ ิงคโปร์ จานวนหนง่ึ และไดค้ ัดเลอื กบางคนส่งตอ่ ไปยังยุโรป เม่อื นักเรียนทง้ั 2 รุน่ เรียนประสบความสาเร็จ ดงั พระราชประสงค์ พระองค์จึงทรงสง่ พระราชโอรสออกไปศึกษาวชิ าการในต่างประเทศแทบทกุ พระองค์ นอกจากน้ียังทรงให้โอกาสแก่บตุ รขา้ ราชการและสามัญชนในการที่จะไปศกึ ษาตอ่ ตา่ งประเทศ โดยโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานทุนเลา่ เรียนหลวง (King's scholarship) ให้แก่นกั เรียนเหล่าน้นั
ต้งั แตน่ ั้นมา จึงมีผู้ไปศกึ ษาวชิ าการยงั ตา่ งประเทศเปน็ จานวนมากขน้ึ มที งั้ ผูท้ ไ่ี ด้รับพระราชทานทนุ และผู้ทไ่ี ปศกึ ษาดว้ ยทนุ ส่วนตวั บุคคลเหล่าน้ีเมอื่ กลับมาตา่ งกม็ บี ทบาทสาคญั ในการปรับปรุงประเทศ ในดา้ นต่าง ๆ อกี ทัง้ ยงั เปน็ ส่ือนาวัฒนธรรมและความคดิ แบบตะวันตก รวมท้งั แบบแผนวรรณกรรม อย่างให้อันไดแ้ ก่ หนังสอื พิมพ์ เรื่องสัน้ นวนิยาย และละครแบบใหม่มาเผยแพร่ ในประเทศไทย
3. ความเจรญิ ด้านการพมิ พ์และกิจการหนงั สอื พมิ พ์ จากหลักฐานทป่ี รากฏเก่ียวกบั กาเนิดของแทน่ พิมพ์ และตวั พิมพภ์ าษาไทยแสดงวา่ แท่นพมิ พ์ และตัวพมิ พ์ไทยเร่ิมมีขน้ึ ครงั้ แรก ในประเทศพมา่ เม่ือ พ.ศ. 2359 โดยนางแอน จตั สัน และชา่ งพิมพ์ช่อื เฮาห์ ไดค้ ดิ ตวั พิมพ์อกั ษรไทยขนึ้ ต่อมาได้ย้ายไปตง้ั โรงพิมพเ์ ป็นการถาวรของคณะแบบตสิ ด์ข้ึน ในเมอื งกัลกัตตา ประเทศอนิ เดีย คร้ันถงึ พ.ศ. 2369 แท่นพิมพ์นี้ได้ใชพ้ มิ พห์ นงั สอื ทางคริสตศ์ าสนา และได้พิมพ์ตาราไวยากรณ์ไทย ซง่ึ ร้อยเอกเจมส์ โลว์ (James Low) แต่งขน้ึ
เม่อื พ.ศ. 2371 ตอ่ มานักสอนศาสนาช่ือ โรเบริ ์ต เบิรน์ และ ทอมสนั ได้ซอ้ื แท่นพิมพ์น้ไี ปตง้ั ทส่ี งิ คโปร์ รับพมิ พ์หนังสือไทย เมือ่ โรเบริ ต์ เบริ ์น ถึงแกก่ รรม โรงพิมพ์ไดข้ ายแท่นพมิ พใ์ ห้แก่มิชชนั นารีอเมริกนั และไดม้ อบให้หมอบรดั เลย์ (Rev Dan Beach Bradley M.D.) นาเขา้ มาในกรุงเทพฯ เมอ่ื พ.ศ. 2378 กจิ การหนงั สอื พิมพ์ในประเทศไทย เร่มิ ขึ้นในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจ้าอยหู่ วั โดยในปี พ .ศ. 2387 หมอบรดั เลย์ มชิ ชนั นารชี าวอเมรกิ นั ไดอ้ อกหนังสือพมิ พช์ อื่ บางกอกรีคอเดอร์ ซงึ่ มภี าษาไทยและภาษาองั กฤษ เร่อื งท่ีตพี ิมพ์จะเปน็ ขา่ วประกาศแจง้ ความและสาระนา่ รู้ต่าง ๆ ท้งั ภายในประเทศและตา่ งประเทศ ด้วยจดุ ประสงคจ์ ะให้ชาวตา่ งประเทศทอ่ี าศยั อยู่ในประเทศไทย ได้ทราบข่าวความเคลือ่ นไหวในต่างประเทศและประเทศของตน หนงั สอื พิมพ์บางกอกรีคอเดอร์ จึงไดร้ ับความนิยมจากผ้อู ่านกว้างขวาง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว โปรดเกล้าฯ ใหต้ ้ังโรงพิมพห์ ลวงแห่งแรกข้ึนท่ี วดั บวรนิเวศวหิ าร เรยี กว่า โรงพมิ พอ์ กั ษรพมิ พการ และทรงออกหนงั สือพมิ พเ์ ล่มแรกของไทยคอื ราชกิจจานเุ บกษา ข้ึน ใน พ.ศ. 2401 ทงั้ นีเ้ พอ่ื ใชเ้ ปน็ ทป่ี ระกาศข่าวในพระราชส านกั และข่าวท่ัวไป ที่ประชาชนควรทราบ กจิ การหนังสอื พิมพ์เจริญร่งุ เรอื งมากในสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ดว้ ย ทรงตระหนกั ดีวา่ กจิ การพิมพ์เปน็ หนทรงส าคัญ ที่จะชว่ ยสง่ เสรมิ การศึกษาของประชาขน พระองค์จึง ทรงสนับสนุนการพิมพอ์ ยา่ งมาก ประกอบกันประชาชนคนไทยได้รบั การศกึ ษามากขึ้น
จึงเห็นความสาคญั และสนใจในขา่ วสารบ้านเมือง อีกทง้ั มนี กั เรยี นไทยเดินทางกลับจากการศกึ ษา ในต่างประเทศหลายคน นกั เรยี นนอกเหลา่ นนั้ ไดอ้ อกหนงั สอื พิมพ์ เช่น ดรโุ ณวาท (2417) ข่าวราชการ (เดิมชือ่ Court-2418) วชริ ญาณวิเศษ (รายสปั ดาห,์ 2427 - 2437) วชริ ญาณ (รายเดือน) ลักวิทยา (รายเดอื น, 2443 - 2445) ถลกวิทยา (รายเดอื น, 2447 - 2450) ทวีปญั ญา (รายเดอื น, 2447 - 2450) จีนโนสยามวารศัพท์ (รายวนั , 2450 - 2466) เป็นต้น การที่ทรงให้เสรภี าพในการพมิ พ์หนังสือ อย่างเต็มทน่ี ีเ่ อง ท าใหม้ ีหนังสอื พิมพ์ในรัชกาลนม้ี ากถึง 54 ฉบับ เป็นรายวนั 14 ฉบบั รายสัปดาห์ 14 ฉบบั (เป็นภาษาองั กฤษประเภทละ 6 ฉบบั ) รายปกั ษ์ 7 ฉบับ และรายเดือน 19 ฉบบั
ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอย่หู วั กจิ การหนงั สือพิมพเ์ จรญิ กา้ วหนา้ มากย่ิงขึน้ มีหนังสือพมิ พใ์ นสมยั นปี้ ระมาณ 165 ฉบบั ทั้งภาษาไทย จีน อังกฤษ มีท้งั หนงั สือพมิ พ์ รายวัน ราย 3 วนั รายสปั ดาห์ รายสิบวนั รายปักษ์ รายเดือน รายสามเดอื น และรายสะดวก หนังสือพมิ พเ์ หล่าน้ัน ไดแ้ ก่ ผดุงวิทยา (รายปักษ์, 2455 - 2458) ศรีกรุง (รายเดือน, 2456 - 2470) ดสุ ิตสมติ (รายสปั ดาห์ 2461 - 2467) ศัพท์ไทย (รายเดอื น, 2464 - 2470) เปน็ ตน้ กิจการหนงั สอื พิมพท์ เ่ี จริญก้าวหนา้ ข้ึนตามลาดบั นัน้ เปน็ ส่วนสาคัญท่สี ง่ เสริมใหว้ รรณกรรมตะวันตก เขา้ มามอี ิทธพิ ลต่อการสร้างสรรคว์ รรณกรรมไทย เน่อื งจากหนังสือพิมพเ์ ปน็ สนามใหแ้ ก่วรรณกรรมตะวนั ตก ทง้ั วรรณกรรมส่ือมวลชน เชน่ ข่าว บทความ บทสัมภาษณ์ สารคดี และบันเทงิ คดี ท้ังทีเ่ ปน็ นทิ านเรอ่ื งแปล ทง้ั นวนิยายและเรื่องส้ัน รวมถงึ ร้อยกรองที่ถอดความจากวรรณกรรมตา่ งชาติ
4. การสง่ เสรมิ ทางดา้ นการประพนั ธ์ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว ทรงมีบทบาทสาคัญในการส่งเสริมการประพันธ์ ท้ังรอ้ ยแก้วรอ้ ยกรอง และยังทรงสนับสนนุ ให้มีการแปลหนงั สอื จากภาษาต่างประเทศอกี ด้วย นอกจากพระองค์จะทรงส่งเสริมโดยตรงแลว้ ยงั ทรงสง่ เสรมิ การอ่านและการแต่งหนังสอื ทางออ้ ม โดยโปรดเกล้าฯ ใหร้ วมหอพระมณเฑยี รธรรมหอพุทธสังคหะหอสมุดวชิรญาณ จดั ตั้งเป็นหอสมุดสาธารณะ เปิดใหป้ ระชาชนไดอ้ ่านหาความรแู้ ละโปรดเกลา้ ฯ ให้สรา้ งเหรียญและประกาศนียบัตรข้นึ ในนามของหอสมุด วชิรญาณ สาหรับเป็นรางวลั แก่ผู้แตง่ ผเู้ รยี บเรยี งและผแู้ ปลหนงั สอื ท่มี ีประโยชนส์ มควรถือเป็นแบบแผนได้ หรอื ทรงอนุญาตใหป้ ระทบั ตราพระราชลญั จกรรปู มังกรคาบแกว้ ลงบนหนงั สือทค่ี ณะกรรมการของโบราณคดี สโมสรเห็นวา่ แปลหรอื แตง่ ดมี คี ุณคา่ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อย่หู วั ทรงส่งเสรมิ การประพนั ธ
ในสมัยของพระองค์โดยการต้งั สามัคคสี โมสร ทวีปญั ญาสโมสร และวรรณคดสี โมสรขึ้นเพ่ือพจิ ารณา ให้รางวัลหนงั สือทดี่ ที งั้ รูปแบบและเนอ้ื หา และประทบั ตราพระราชลญั จกรรูปพระพฆิ เนศลงบนหนังสอื พระปรีชาสามารถในดา้ นอักษรศาสตรแ์ ละความสนพระทัยในดา้ นการประพนั ธ์ของพระองค์ จงึ เป็นมลู เหตุของการรับอิทธพิ ลวรรณกรรมตะวันตกในไทย ดว้ ยงานพระราชนพิ นธจ์ านวนหน่ึง เปน็ งานแบบตะวนั ตกซ่งึ มีท้ังเรอ่ื งแปล ดดั แปลง และไดเ้ กดิ เป็น \"การโดยเสดจ็ พระราชนยิ ม\" ทาให้ขนุ นาง ข้าราชการ เจ้านาย ดาเนนิ ตามรอยพระยุคลบาท วรรณกรรมในสมยั นจ้ี งึ เจรญิ รงุ่ เรอื งมาก
5. ความต้องการรูปแบบวรรณกรรมทส่ี อดคลอ้ งกบั ชวี ิตจริง นโยบายเปดิ ประเทศและทาประเทศให้ทันสมัยทเ่ี รมิ่ ข้ึนในสมยั รชั กาลที่ 4 เปน็ ผลให้วัฒนธรรมตะวันตก หลงั่ ไหลเขา้ มาอยา่ งรุนแรง วิทยากรและเทคโนโลยีสมยั ใหม่ของตะวนั ตก สง่ ผลใหว้ ิถีชวี ิตของคนไทย เปลย่ี นไป การรบั อารยธรรมตะวนั ตกเร่มิ จากชนชนั้ สูง (เจา้ นายและขุนนาง) ของสังคมเกา่ แล้วจงึ แพรไ่ ป ยังสามัญชนโดยผ่านระบบการศกึ ษาระบบราชการและการคมนาคม วทิ ยาการทไี่ ดร้ ับมานท้ี าให้คนไทย รุ่นใหม่มที ัศนคติ คา่ นิยม และแนวคิดเปลี่ยนแปลงไปจากคนไทยในสงั คมเก่า มคี วามคิดทีเ่ ป็นเหตุเป็นผล และเปน็ วทิ ยาศาสตร์มากข้นึ รสนิยมในการอ่านวรรณกรรมของคนร่นุ ใหมจ่ ึงเปลีย่ นไป คนเหลา่ นี้ต้องการ วรรณกรรมที่มเี นอ้ื หาใกล้เคียงความเป็นจริงในชวี ิต และใช้เหตผุ ลมากข้นึ
วรรณกรรมประเภทบันเทิงแตเ่ ดมิ ซึ่งมรี ปู แบบเป็นร้อยกรอง เปน็ เรอื่ งเลา่ ขนาดยาวและ มกั จะเป็นเรอ่ื งราวของชนช้ันสงู ตัวเอกเป็นโอรสกษัตริย์ โครงเรอ่ื งของเร่อื งประเภทน้สี ว่ นใหญ่จะคล้ายกัน คอื เจา้ ชายมนุษย์เดนิ ทางไปศึกษาวิชาในปา่ เม่ือสาเรจ็ การศึกษาแลว้ ขณะเดนิ ทางกลบั พบเจา้ หญิง ธดิ ายักษ์ แล้วมกั จะไดเ้ จ้าหญิงนนั้ หลงั จากรบชนะกษัตริยย์ กั ษ์ จนมคี ากลอนวา่ \"รักลกู สาวยกั ษาพากันจร แลว้ กลบั ยอ้ นมาฆ่าพ่อตาตาย\" (บญุ เหลือ เทพยสวุ รรณ, 2520 : 69) อนั เป็นโครงเรือ่ งทผี่ ู้อา่ นคาดเดา ไดว้ ่าจะจบลงอยา่ งไร ซง่ึ ทรรศนะของผู้ไดร้ บั การศึกษาเหน็ วา่ เรอื่ งจักร ๆ วงศ์ ๆ เหลา่ นีเ้ ปน็ เรื่องพน้ สมยั คลา้ ยคลึงกัน ไมม่ อี ะไรแปลกใหมแ่ ละหา่ งไกลจากวถิ ชี ีวิตของพวกเขา
คนรุน่ ใหม่เหล่าน้จี งึ หันมานยิ มอา่ นนยิ ายแบบใหม่ซงึ่ \"อา่ นรเู้ ร่ืองราวกนั ไดง้ า่ ย แมแ้ ตค่ นทมี่ ี ความรทู้ างอักษรศาสตร์ เพียงแตพ่ ออา่ นออกเขียนได้และที่เหนืออื่นใดน้ัน ส่วนมากมีท้องเรอ่ื งอัน ประกอบขนึ้ ดว้ ยเหตุการณ์ที่อาจเกิดในชวี ติ จรงิ ได้\" นอกจากคนรุน่ ใหม่จะไม่นิยมอ่านเร่อื งประเภทจักร ๆ วงศ์ ๆ แลว้ ความนิยมในคาประพนั ธร์ อ้ ยกรองกไ็ ด้เสอื่ มลงด้วยดังคากลา่ วทวี่ า่ \"กวีนพิ นธ์ซงึ่ สว่ นมาก เป็นคากลอนได้เส่ือมลงไปอยา่ งแทบกลา่ วไดว้ ่า ดิง่ สู่บาดาล มีนิยมกแ็ ต่พวกสูงอายุเท่านน้ั พวกหนุ่มสาวแลว้ ไม่แตะตอ้ งเอาทีเดียว\" ดังน้นั วรรณกรรมประเภทร้อยแก้วจึงขยายตวั เพ่มิ ขึน้ และเมื่อมคี นอ่านจานวนมากข้ึน คนอ่านกแ็ ยกแยะออกจากกนั เป็นหลายเหล่าหลายช้ัน มาถึงยคุ น้ี นักเขยี นจะเลอื กเอาร้อยแกว้ เป็นพาหะมากกวา่ รอ้ ยกรอง ดงั นัน้ จงึ อาจกล่าวได้วา่ เน้ือหาและรปู แบบ ของวรรณกรรมทตี่ อ้ งเปล่ียนแปลงไปนัน้ เป็นไปเพื่อให้สอดคลอ้ งกบั วถิ ชี ีวติ ของผู้คนในขณะนัน้ น่ันเอง
6. การเปล่ยี นแปลงทางการเมืองและสังคม การปฏิรปู และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสาคญั ของไทย คอื การปฏิรปู การบรหิ ารราชการแผ่นดิน และการทาใหป้ ระเทศมีความทนั สมยั ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว ทั้งน้ีเน่ืองจากสังคมไทย ในยุคตน้ รตั นโกสินทร์ยงั อยู่ ในสภาพกงึ่ ราชอาณาจกั รโบราณ โดยมีรูปแบบการปกครองแบบตะวนั ออก บนฐานของอารยธรรมอนิ เดียและจีน เมอ่ื เปรยี บเทียบกับชาตติ ะวนั ตก ซง่ึ มีการจัดองคก์ รทท่ี ันสมัย โดยเฉพาะในเรื่องการทหาร วทิ ยาการในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยแี ล้ว จึงอยู่ในสภาพท่ลี า้ หลงั มาก เพ่อื รับมือกบั ชาติตะวนั ตกทีก่ าลงั หลั่งไหลเข้ามา พระองคจ์ ึงเรม่ิ การปฏริ ปู ขนานใหญโ่ ดยโปรดเกลา้ ฯ ให้ยกเลกิ ระบบเจ้าเมืองซ่งึ สืบทอดทางสายโลหิตมาเปน็ แบบผู้วา่ ราชการจงั หวัดแตง่ ต้ังจากกรุงเทพฯ ตง้ั กระทรวง ทบวง กรมข้นึ รับผิดชอบงานดา้ นตา่ ง ๆ จัดการศึกษาอยา่ งเปน็ ระบบ ปฏิรูประบบ สาธารณูปโภค เชน่ สร้างถนน ขดุ คลอง สรา้ งทางรถไฟ ไฟฟา้ โทรเลข โทรศัพท์ ฯลฯ
การปฏิรปู การบริหารราชการแผ่นดนิ ท่เี กิดข้นึ ในสมัยรัชกาลที่ 5 น้นั มีการเตรยี มการไวแ้ ล้ว ต้งั แต่สมยั รัชกาลท่ี 4 และไดส้ านตอ่ โดยรัชกาลที่ 6 ส่งิ ท่ีตามมากบั การปฏิรปู ประเทศ เพอื่ ความ ทันสมยั คือ การเปลี่ยนแปลงทางโครงสรา้ งของสงั คมไทย การเลิกทาสและระบบไพร่ท าให้สงั คมไทย มีลกั ษณะเสรมี ากขน้ึ คนมีอิสระในการเลอื กอาชีพ ประกอบกบั การประกาศพระราชบญั ญตั ิ ประถมศกึ ษาในรัชกาลที่ 6 ท าให้การศกึ ษาไดข้ ยายตัวส่ทู ุกชนชน้ั ในสังคมไทย ผลผลติ ของการปฏิรปู ทางสังคมท าใหเ้ กดิ \"ชนชัน้ กลาง\" ขนึ้ ในสงั คมไทย และชนช้นั กลางน้ีเองเข้ามามบี ทบาททางการเมือง และก่อให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมยั รชั กาลท่ี 7 ชนชั้นกลาง ไดแ้ สดงความต้องการที่จะ มสี ว่ นรวมในการแกไ้ ขปญั หาการบรหิ ารของประเทศโดยเสนอข้อมูลขา่ วสาร บทวพิ ากษว์ ิจารณใ์ น หนา้ หนงั สือพิมพ์ รูปแบบการเขียนซง่ึ แตเ่ ดิมเปน็ รอ้ ยกรองไม่อาจใช้ไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพในขอ้ เขยี น แสดงความคิดเหน็
ดังความเหน็ ของ บุญเหลือ เทพยสวุ รรณ ที่วา่ \"เมือ่ นกั เขียนใคร่จะแสดงตน แสดงความนกึ คดิ ในด้านใด นักเขยี นจะเลอื กใช้ร้อยแก้วก่อนใช้รอ้ ยกรอง\" จะเห็นวา่ งานเขียนประเภทสารคดีได้ \"เพ่ิมขึน้ ทั้งทีไ่ มม่ ผี ใู้ ด ต้ังเจตตนจานงจะให้เปน็ เพราะมีการรวมบทความของนกั เขียนท่ีมคี วามสาคญั เปน็ เล่มข้ึนบ้าง มีผู้สนใจ กบั ประวตั ขิ องนักการเมอื งบ้าง แลว้ เลยไปใหค้ วามสนใจแกร่ ฐั บุรุษในสมยั กอ่ นขึน้ มาอกี เปน็ ลูกโซก่ นั ไป\" นอกจากจะเกดิ ความเปลยี่ นแปลงในรูปแบบของวรรณกรรมแลว้ เนื้อหาในวรรณกรรมซ่งึ แต่เดิม สะทอ้ นเพยี งภาพชนชั้นสงู ก็ได้ขยายวงกวา้ งออกไปสชู่ นชัน้ อ่นื ๆ ในสงั คม และมลี กั ษณะตแี ผ่นสภาพ สังคมอยา่ งตรงไปตรงมาในแนวสัจนยิ ม ความเปล่ยี นแปลงทางวรรณกรรมดังกล่าวขา้ งตน้ เปน็ ผลสบื เน่อื งจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมอื งและสังคมเปน็ สาคญั
7. อทิ ธิพลทางด้านเศรษฐกจิ และความตอ้ งการของตลาด ผลจากการท าสนธสิ ัญญาเบาริ่ง กับประเทศองั กฤษและประเทศอืน่ ๆ ใน พ.ศ. 2398 ซ่ึงตรง กบั รชั สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั ระบบเศรษฐกจิ แบบทนุ นยิ มของประเทศตะวนั ตก ไดห้ ลง่ั ไหลเข้าส่ปู ระเทศไทย เปน็ ผลให้เกิดการเปลย่ี นแปลงจากระบบเศรษฐกจิ ท่มี ีการผลติ เพอื่ เพยี งพอตอ่ การยังชพี ไปเปน็ การผลติ เพอ่ื การคา้ ขาย หรือกลายเป็นเศรษฐกิจแบบตลาด ระบบ เศรษฐกิจแบบตลาด ระบบเศรษฐกิจทนุ นยิ มนเ้ี ปิดโอกาสให้ชนกลุ่มใหม่ทม่ี ีฐานะทางเศรษฐกจิ ดี มี การศกึ ษาดีและเป็นคนในสังคมเมืองทีไ่ ดร้ ับรู้วฒั นธรรมสมยั ใหมแ่ บบตะวนั ตก ไดเ้ ขยบิ ฐานะของตน มาเป็น ชนชั้นกลาง เป็นชนช้นั ทีเ่ ข้ามามีบทบาทและอทิ ธพิ ลอยา่ งสูงในสงั คมไทย ไม่วา่ จะเปน็ ด้าน การเมอื ง เศรษฐกิจ สงั คม และรวมไปถึงวงวรรณกรรมด้วยไมว่ า่ จะในฐานะผู้สร้างหรือผ้เู สพ
การสรา้ งสรรคว์ รรณกรรม ซง่ึ เดมิ อยู่ในความอปุ ถมั ภข์ องราชสานักและชนช้นั สงู พระมหากษัตรยิ ์ ทรงชบุ เลีย้ งกวี การสรา้ งสรรคผ์ ลงานส่วนใหญ่ของกวีจึงเพื่อ \"ถวายบาเรอท้าวไทธ้ ิราชผูม้ ีบญุ \" แม้การเขา้ มาของแทน่ พิมพแ์ ละการกาเนิดขนึ้ ของหนงั สือพมิ พ์ จะทาใหว้ รรณกรรมแผ่กระจายออกไป สูส่ ามัญชนมากขน้ึ แต่ \"จานวนคนอา่ นหนังสอื ออกยังนอ้ ย วรรณกรรมไทยในระยะน้ี จงึ เป็นวรรณกรรม สาหรับคนในหมู่เดยี วกนั ฐานะทางเศรษฐกจิ ใกล้เคียงกนั ฐานะทางวิชาการกเ็ กือบจะเท่ากัน... หนงั สือพมิ พ์จึงเปน็ เสมอื นของใหม่นา่ เลน่ น่าสนกุ มากกว่า\" ดังนัน้ ในชว่ งต้นงานเขยี นจึงยังยึดเป็นอาชพี ไม่ได้ นักเขียนส่วนใหญจ่ ะมอี าชีพอน่ื ประจาอยู่ การเขยี นเรอ่ื งอาจได้ค่าสมนาคณุ บ้างเลก็ นอ้ ยหรอื ไม่ไดเ้ ลย ผปู้ ระพันธ์จงึ ยังมฐี านะเพียง นกั ประพันธส์ มคั รเลน่
การเกิดขน้ึ ของสานักพมิ พห์ ลายแหง่ นบั แต่ปี พ.ศ. 2470 เป็นต้นมา ทาใหก้ ารเขียนหนงั สอื เริ่มมลี ักษณะเป็น \"อาชพี \" มากข้ึน เพราะสานักพมิ พ์นอกจากซอ้ื เรื่องของนกั เขียนภายนอกแล้ว ยงั จาเป็นตอ้ งจ้างนกั เขยี นประจา เพอ่ื เปน็ หลกั ประกนั วา่ จะมีเร่อื งพิมพ์ออกมาได้อยา่ งสม่าเสมอด้วย และจากสภาพเศรษฐกิจภายหลัง พ.ศ. 2475 ทสี่ ามญั ชนมีโอกาสประกอบการคา้ มากขึน้ ระบบการแขง่ ขนั ทางการคา้ และความสามารถเป็นเจา้ ของปจั จัยการผลิตของสามัญชนบางสว่ น ทาใหว้ รรณกรรมกลายสภาพ เป็นระบบการค้าไปด้วย” เม่ือการเขียนหนังสือกลายเป็นอาชพี อยา่ งหนึ่งท่ีสรา้ งความ “ร่ารวย” ได้การเขยี น หนังสือเพอ่ื ตามใจ “ตลาด” หรอื ท่ีจรงิ คอื ตามใจนายทนุ ซ่งึ เปน็ เจ้าของสานักพมิ พ์ ท่ีมงุ่ ผลิตวรรณกรรม ประเภท “ขายด”ี เทา่ นัน้ จึงเกิดขึ้นและได้สร้างความคบั ขอ้ งใจแก่นักเขยี นคณุ ภาพบางส่วน แต่นักเขยี น บางสว่ นก็ยนิ ยอมเป็นเครื่องจักรในกระบวนการผลติ เพอ่ื ตอบสนองความต้องการของตลาด อทิ ธิพลของ เศรษฐกจิ และความต้องการของตลาดจงึ เขา้ มามีบทบาทในการกาหนดรูปแบบ เน้อื หา และแนวคดิ แทนที่ราชสานักและบคุ คลช้ันสงู ในสงั คมเดิม
คลีค่ ลายขยายตวั ของวรรณกรรมจากอดีตจนถงึ ปจั จบุ นั ช้ใี หเ้ หน็ ลักษณะสาคัญประการหนึ่ง ของวรรณกรรม คอื วรรณกรรมของยุคใดยอ่ มสอดคลอ้ งกันสภาพแวดล้อมทางสังคมในบุคคลนั้น ๆ หรืออาจกล่าวได้วา่ วรรณกรรมใด ๆ กต็ ามไม่เคยเกิดข้นึ ในความว่างเปล่า แตจ่ ะเกดิ ขึ้นท่ามกลาง สภาวะแวดล้อมอย่างใดอยา่ งหนง่ึ ของสงั คม การศึกษาความเปลี่ยนแปลงของวรรณกรรม จึงตอ้ งพิจารณาควบคไู่ ปกบั ความเปลยี่ นแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสงั คม ในยคุ สมยั ทผี่ ลติ วรรณกรรมนนั้ กล่าวโดยสรุปความเปลยี่ นแปลงทเี่ กดิ ขึน้ กับวรรณกรรมไมว่ า่ จะเป็นรปู แบบ เน้อื หา หรอื แนวคดิ เป็นความเปลย่ี นแปลงท่คี วบคู่ไปกบั พัฒนาการทางสังคมนัน่ เองจากปัจจยั ทท่ี าใหว้ รรณกรรม ไทยเปลย่ี นแปลงสู่ยุคปัจจบุ นั ทัง้ ทางการเมอื ง เศรษฐกจิ และสังคม สังเกตได้ว่าวรรณกรรมไทย มีความเปล่ียนแปลงในหลายด้าน ท้งั ดา้ นเนอื้ หาและรปู แบบดังสรปุ ได้จากตารางเปรยี บเทียบ ความแตกตา่ งระหว่างลักษณะวรรณกรรมไทยแบบเดิมกับ วรรณกรรมไทยปัจจบุ ันต่อไปน้ี
ความแตกต่างระหวา่ งลักษณะวรรณกรรมไทยแบบเดิมกบั วรรณกรรมไทยปัจจบุ ัน วรรณกรรมไทยแบบเดมิ วรรณกรรมไทยปัจจุบนั 1. มแี นวคดิ ในการเขยี นส่วนใหญแ่ บบจนิ ตนยิ ม 1. มแี นวคิดในการเขยี นส่วนใหญ่เป็นแบบ เพราะผู้แต่งมกั จะเขียนเรอ่ื งไปตามจินตนาการ สจั นิยมคือพยายามสร้างเร่ืองทกุ บททกุ ตอนใหย้ ืน ของของตนโดยไมต่ ้องคานงึ ถึงความเปน็ ไปได้ อยบู่ นความสมจรงิ วรรณกรรมเรือ่ งใด หรอื ไม่ มลี กั ษณะสมจรงิ มากเทา่ ใด ก็ดูเหมอื นจะไดร้ ับยก ย่องมากขึน้ เทา่ น้นั
2. รูปแบบในการเขยี นท่ียึดตามธรรมเนยี มนยิ ม 2. ไมย่ ึดธรรมเนียมในการแต่งวรรณกรรม เกา่ ๆ อย่างแน่นอน เช่น ธรรมเนียมในการเริ่ม แบบใดแบบหน่งึ โดยเฉพาะผแู้ ตง่ มกั พยายาม เรื่องด้วยบทไหว้ครู ในตอนทา้ ยมักบอกชื่อผู้แต่ง แสวงหารปู แบบในการเขยี นให้กว้างขวางแปลก ใหมอ่ อกไปจากเดมิ อย่เู สมอท้ังในดา้ นเนอ้ื เร่ือง 3. เป็นวรรณกรรมที่มุ่งใหค้ ณุ ค่าทางอารมณแ์ ก่ ศลิ ปะการแต่ง ผอู้ า่ นยง่ิ กวา่ อยา่ งอนื่ แม้จะมวี รรณกรรมหลาย เร่อื งที่มุ่งสัง่ สอนกม็ กั สรา้ งเรือ่ งให้ผ้อู ่านศรทั ธา 3. เปน็ วรรณกรรมที่มุ่งใหค้ ุณค่าทางด้านปัญญา เลือ่ มใสมากกวา่ จะให้คุณค่าทางปัญญา ความคิด ความรอบรู้มากขน้ึ วรรณกรรมกลายเปน็ เคร่ืองมือให้ผู้อา่ นหาประสบการณ์ในดา้ นตา่ งๆ ของชวี ติ อยา่ งกว้างขวาง
4. การดาเนนิ เรอื่ งมักคานึงถึงศิลปะในการใชถ้ ้อยคา 4. ผแู้ ตง่ เพ่งเล็งท่ศี ิลปะในการดาเนินเรื่อง และอรรถรสของเร่อื งเปน็ สาคญั โครงเรื่องเปน็ เพียง ท่เี ป็นสาคัญ โดยยึดความสมจรงิ ตามแนว สว่ นประกอบเท่านน้ั การเล่นคา เลน่ อกั ษรให้เกดิ ทางวทิ ยาศาสตร์และจติ วทิ ยา เป็นส่วนใหญ่ ความไพเราะจงึ เป็นความจาเป็นท่จี ะต้องพถิ พี ิถนั เปน็ พิเศษ 5. เน้ือเร่ืองมกั อย่ใู นวงจากดั ซา้ ซากวนไปวนมา 5. ผู้แต่งนยิ มเขยี นเรือ่ งที่อยูใ่ นสงั คมใกล้ตัวเอง โดยทวั่ ไปกวนี ิยมเขยี นเรอ่ื งไกลตวั ของผู้อ่าน เปน็ ส่วนใหญ่ ฉะนนั้ วรรณกรรมปจั จบุ ันจงึ สนใจ ส่วนใหญ่ เช่น เรื่องราวของกษัตริย์ ยักษ์ เทวดา เกี่ยวกบั ปัญหาสงั คม สภาพบา้ นเมอื งและสะท้อน นรก สวรรค์ ฯลฯ ความเป็นจริงในสงั คมออกมาอย่างกว้างขวาง
6. กวีมักมคี วามเชื่อในเร่อื งไสยศาสตร์ เวทมนตร์ 6. วรรณกรรมปัจจบุ นั มกั ดาเนนิ เรื่องไปตาม คาถา และกรรมเกา่ ฉะน้นั วรรณกรรมแบบเดมิ กฎแหง่ กรรม ใครทาดยี ่อมได้รับผลดี ใครทาชวั่ สว่ นมากจงึ มกั ใหต้ ัวละครยอมจานนต่อโชคชะตา ยอ่ มได้รบั ผลชว่ั ตอบแทน อยู่เสมอ 7. การสร้างฉากและบรรยากาศในเรือ่ ง 7. การสร้างฉากและบรรยากาศ ยึดหลักความสมจรงิ มกั เปน็ สิ่งสมมุติ มงุ่ ความงดงามและความไพเราะ เป็นสาคัญ 9. กวตี อ้ งมีส่ิงดลใจใหเ้ กิดอารมณก์ วีกอ่ น 9. นกั เขยี นมกั จะต้งั ใจจะแตง่ หนังสือกอ่ นแลว้ จึงจะแต่งวรรณคดี จึงค่อยคดิ ว่าวัตถดุ ิบ หรืออารมณ์กวใี นภายหลงั
นอกจากนี้ ไพลิน รุ้งรัตน์ (2530: 21-29) ได้จาแนกเน้ือหา และรูปแบบของวรรณกรรม เท่าทเ่ี ปน็ มาจากอดีตถงึ ปจั จบุ นั โดยจดั เป็นกลุ่ม 3 กล่มุ ไดแ้ ก่ 1. แบบสนองอารมณห์ รือแบบดอกไม้ งานวรรณกรรมทีม่ งุ่ ใหค้ วามพงึ พอใจแกผ่ ู้อา่ นเปน็ หลัก และรวมไปถงึ ความพึงใจทไี่ ด้จากรูปแบบวธิ ีการ ประพนั ธ์ดว้ ย สว่ นมากจะเป็นเรอื่ งที่แตง่ ขึ้นจากจนิ ตนาการ วรรณกรรมแบบดอกไมน้ ้ีจาแนกได้ 2 แบบ คือ 1.1 แบบดอกไมห้ อม ไดแ้ ก่งานวรรณกรรมท่เี นน้ เสริมสร้างอารมณท์ กุ ดา้ นไมว่ า่ จะเป็นสขุ เศร้า หรือขบขนั กล่าวคอื ไม่เปน็ พิษเป็นภยั แกผ่ อู้ า่ น หรอื ยัว่ ยุ มอมเมาให้ผู้อา่ นเกดิ ความผิดพลาด บางครั้งวรรณกรรม รูปแบบดอกไมห้ อมน้ีอาจสอดแทรกเน้ือหาสาระความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ อนั เป็นคุณค่าแกง่ านวรรณกรรม งานวรรณกรรมประเภทนม้ี ผี ู้อ่านนยิ มมาก โดยเฉพาะกล่มุ เยาวชน เนือ่ งจากเปน็ วยั ทีมีอารมณแ์ รง ซง่ึ ตรงกบั จุดแด่นของวรรณกรรมประเภทนจ้ี ะเนน้ ท่ีอารมณเ์ ป็นหลัก
งานวรรณกรรมประเภทนี้มี 2 ลกั ษณะคือ ลกั ษณะเพราะเนอื้ หา ไดแ้ ก่ งานวรรณกรรมทอ่ี ่านงา่ ย บันเทงิ อารมณ์ และมีเกร็ดทีเ่ ป็นประโยชน์ เชน่ งานชุดเร่อื งสั้นของ จันท ราไพ ทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับครองครวั ของเธอกับชีวติ ในต่างแดนทีเ่ อควาดอร์ ซงึ่ จะเลา่ ถงึ พฤตกิ รรมของเดก็ ๆ ในครอบครวั อา่ นแลว้ จะไดอ้ ารมณ์ร่วมกบั พฤตกิ รรมของตวั ละครเหลา่ น้นั และบางคร้ังผู้อา่ นจะไดร้ ับบางสง่ิ อย่างไมร่ ู้ตวั เป็นต้นวา่ นิสยั ของตวั ละครทีค่ วรยึดเป็นแบบอย่าง อีกประเภทหนงึ่ คือ ลักษณะเพราะรูปแบบ ได้แก่ งานวรรณกรรมที่เนน้ กลวธิ ใี นการนาเสนอเป็นสาคัญ มีการหกั มมุ จบชนดิ ท่ที าใหผ้ ู้อา่ นตกตะลึง คาดไม่ถงึ กลา่ วคอื มีกลวธิ ีการนาเสนอท่แี พรวพราว บางครง้ั ผูเ้ ขยี นวรรณกรรมประเภทน้ีจะลดความสาคญั ของเนื้อหาลง แตจ่ ะให้ผอู้ า่ นไดร้ บั อารมณ์จากกลวิธกี ารเขียนแทน
1.2 แบบดอกไม้พษิ ไดแ้ ก่ งานวรรณกรรมทม่ี งุ่ เนน้ ไปในทางสง่ เสริมความพงึ ใจแกผ่ ้อู ่านทกุ ดา้ น เชน่ เดยี วกับแบบดอกไม้หอม แต่จะมคี วามแตกต่างคือวรรณกรรมประเภทน้จี ะมลี กั ษณะมอมเมา ยว่ั ยุ ใหผ้ ้อู า่ นเกิดความร้สู ึกไปในทางทไี่ มด่ ีไม่งาม งานวรรณกรรมประเภทนี้จะม่งุ สนองอารมณส์ ว่ นตวั ของผู้เขียนอยา่ งชดั เจน ผ้เู ขียนงานประเภทนจ้ี ะค่อนข้างขาดวิจารณญาณ และสติในเร่อื งของศลี ธรรม แต่เป็นทีน่ ่าสังเกตเกี่ยวกบั งานเขียนประเภทน้ีว่าจะเปน็ งานทตี่ ีพมิ พใ์ นหนังสอื ทว่ั ไป มีตลาดคอ่ นขา้ ง กว้างและเปน็ ที่นิยมของผ้อู ่าน เน่อื งจากมีเนื้อหาส่วนใหญ่เกย่ี วข้องกับเร่ืองเพศ เรอื่ งการทาสง่ิ ช่ัวชา้ ตลอดจนเรอ่ื งที่ทาให้คนไร้ศลี ธรรม ล่มุ หลงอบายมขุ เปน็ ต้น
2. แบบสะทอ้ นภาพ หรือแบบกระจกเงา งานวรรณกรรมทม่ี ่งุ สะทอ้ นภาพสังคมทเี่ ป็นจริง ซงึ่ ปัจจยั สาคญั ในการสะท้อน คือ ความคดิ ที่ข้นึ ตอ่ ฐานะ ทางชนชนั้ ของผเู้ ขยี น ผเู้ ขียนสว่ นมากจะเขยี นเรื่องเกี่ยวกบั ชนชัน้ ของตนเอง เพราะเป็นเรอื่ งทผี่ ู้เขียนใกลช้ ดิ และรู้จักดี ทาใหถ้ า่ ยทอดไดอ้ ยา่ งชดั เจน แตบ่ างคร้งั ผู้เขยี นบางคนอาจจะเขยี นเร่อื งราวข้ามชนชั้นได้ วรรณกรรมแบบกระจกเงาแบ่งออกเปน็ 3 ระดับ ได้แก่
2.1 แบบกระจกเงาคนชั้นสงู คือ งานวรรณกรรมท่สี ะทอ้ นภาพการดารงชวี ิตของชนชน้ั สูงทางสังคม ไมว่ า่ จะเปน็ การเสพสขุ การมฐี านะ มียศศักด์ิ มีอานาจ และมีทรัพย์สินเงินทอง โดยงานเขียนที่สะท้อนภาพ สงั คมชนั้ สงู ที่แสดงออกในวรรณกรรมจะมี 2 ลักษณะ คือ สะท้อนภาพชีวติ ในราชสานกั หรอื ราชวงศใ์ นอดตี เช่น งานท่สี ะท้อนภาพคนชน้ั สงู ไดอ้ ย่างงดงามทงั้ รายละเอียด และกลวิธกี ารนาเสนอ จนทาใหผ้ ู้อ่าน เห็นภาพในราชสานักด้วยความชน่ื ชม ในเรอ่ื ง ส่แี ผ่นดนิ ของ ม.ร.ว. คกึ ฤทธิ์ ปราโมทย์ เปน็ ตน้ ในบางคร้ังวรรณกรรมทส่ี ะท้อนภาพคนชัน้ สูงอาจนาเสนอสภาพการดารงชีวติ ในแง่มุมทอี่ ัปลกั ษณ์ เพราะสภาพสังคมในปจั จุบนั ไม่เอ้ืออานวยตอ่ การเขยี นอย่างเปน็ อิสรเสรี เช่น เรือ่ ง ละครแหง่ ชีวิต ของ ม.จ. อากาศดาเกิง รพพี ัฒน์ และเรือ่ ง บา้ นทรายทอง ของ ก.สรุ างค์นางค์ ท่ีมตี ัวละครบางตัว มีเชอ้ื สายศกั ดนิ า แต่มคี วามประพฤตไิ มด่ ี อจิ ฉารษิ ยา
นอกจากน้ีวรรณกรรมท่ีสะท้อนภาพสงั คมชัน้ สงู ยงั มีอกี ลักษณะหน่ึงคือ วรรณกรรมท่สี ะทอ้ นภาพชวี ิต ผดู้ ีใหม่ กลา่ วคอื การสะทอ้ นภาพชวี ติ ของคนกล่มุ หนึ่งทม่ี ฐี านะทางเศรษฐกจิ และสงั คมสูงกว่าประชาชนท่วั ไป สว่ นใหญม่ ักเป็นกล่มุ คนเช้อื สายจนี และบางครง้ั อาจเปน็ ผทู้ ่มี ีเช้อื สายในราชสานัก โดยการสะท้อนภาพชวี ติ ผดู้ ีใหมผ่ า่ นทางวรรณกรรมนี้จะมีท้ังการสะท้อนเพยี งบางแงม่ มุ เนน้ ไปในเรือ่ งพาฝนั และการสะท้อนเนอื้ แท้ ของผ้ดู ีใหม่ อาจเปน็ ความโลภ ความหลง ความไมเ่ คยพอ ความทะเยอทะยาน นักเขยี นทีม่ กั สะทอ้ นภาพ เหล่าน้ไี ด้ดี เช่น กฤษณา อโศกสิน โดยสว่ นมากจะเขียนสะทอ้ นภาพครอบครัวทลี่ ้มเหลว อยา่ งในเร่ือง นา้ เซาะทราย เป็นตน้
2.2 แบบกระจกเงาคนชั้นกลาง คือ กลมุ่ คนท่พี อมกี ิน มีใชแ้ ต่ไม่ถงึ กบั ร่ารวย และไม่ขาดแคลน ท้งั นร้ี วมไปถึงพวกปญั ญาชนดว้ ย งานวรรณกรรมสะทอ้ นชีวติ ของชนชนั้ กลางนีผ้ ู้เขียนมักสะทอ้ นภาพ สงั คมในหลายลกั ษณะไม่วา่ จะเปน็ การสะท้อนปญั หาความรกั และครอบครัวของชนช้ันกลาง บางครัง้ ถ่ายทอดมาจากประสบการณข์ องผ้เู ขยี นเอง ส่วนมากจะถ่ายทอดออกเป็นวรรณกรรม ประเภทนวนิยาย อกี ทั้งยังพบว่ามีการเขียนสะท้อนแนวความคดิ ในการดารงชีวติ ของชนช้ันกลาง ซึ่งสว่ นใหญแ่ ลว้ งานประเภทน้มี กั ผลติ โดยปัญญาชน
2.3 แบบกระจกเงาของผูใ้ ชแ้ รงงาน เป็นวรรณกรรมทม่ี งุ่ สะทอ้ นปัญหาตา่ งๆ ของผ้ใู ช้แรงงานระดบั ล่างสดุ ของสังคม ไมว่ ่าจะเปน็ ผยู้ ากไร้ ทางานหนกั และมีชวี ติ ทแี่ รน้ แคน้ อดอยาก ส่วน ใหญแ่ ลว้ งานวรรณกรรมประเภทน้จี ะถูกเขียนสะทอ้ นออกมาโดยชนชั้นอ่นื มากกว่าชนชน้ั ผ้ใู ชแ้ รงงาน กลา่ วคือ ผูเ้ ขียนวรรณกรรมประเภทนมี้ กั เปน็ กลุม่ ชนชั้นกลาง เนอื่ งจากกลุ่มชนชนั้ ผูใ้ ชแ้ รงงานไมอ่ ยู่ ในสถานะผสู้ ะท้อนชวี ิตตนเองได้ แตป่ ญั ญาชนเป็นกลุ่มท่ีมองเหน็ ปญั หาตา่ ง ๆ และท าหน้าท่ีสะท้อน สง่ิ ต่าง ๆ ทเ่ี กิดข้ึนผ่านงานวรรณกรรมแนวสังคมนิยม
3. แบบชีน้ าหรอื แบบโคมไฟ งานวรรณกรรมรูปแบบน้ี ถอื ได้ว่ามีนอ้ ยทส่ี ุดในลกั ษณะทีก่ ล่าวมาทง้ั หมดเนอ่ื งจากงานวรรณกรรมแบบ ชนี้ านเี้ ป็นงานท่ตี อ้ งใชร้ ูปแบบศลิ ปะทีซ่ บั ซอ้ นกว่าแบบอื่น ๆ ในปัจจุบันนักเขยี นส่วนมากพยายามสร้างสรรค์ งานทีม่ ลี ักษณะสะท้อนภาพ ควบคูไ่ ปกบั การชี้นา โดยพยายามให้ลกั ษณะการชี้นาไมโ่ ดดเดน่ มาก จนทาให้ผอู้ า่ นรูส้ ึกวา่ ถกู สง่ั สอนหรอื ถกู ช้ีนา งานวรรณกรรมลกั ษณะนอี้ าจแบ่งได้ 2 ลกั ษณะ 3.1 ลักษณะชนี้ าอยา่ งมีเปา้ หมายทางการเมอื ง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในชว่ งหลงั เหตุการณ์ 14 ตลุ าคม 2516 – 6 ตุลาคม 2519 ซงึ่ เปน็ ชว่ งเวลาทวี่ รรณกรรมลักษณะช้ีนาทางการเมอื งมคี วามเปิดเผยมาก เนอ่ื งจาก มีความเปลย่ี นแปลงทางดา้ นสังคมและการเมอื งคอ่ นข้างชัดเจน เชน่ กอ่ นไปส่ภู ูเขา ของ สถาพร ศรสี ัจจงั งกู นิ นา ของ วัฒน์ วรรลยางกูร และ จารกึ บนหนงั สือ ของ สุรชัย จันทิมาธร
3.2 ลกั ษณะช้นี าทว่ั ไป การช้ีนาท่วั ไปนสี้ ว่ นใหญ่เกิดจากนักเขยี นบางกลมุ่ พยายามลดชอ่ งวา่ ง ในสังคมทเ่ี กดิ จากความแตกแยก ความเหล่อื มล้าระหว่างผู้คน โดยการเขียนวรรณกรรมช้ีใหผ้ ูอ้ ่านเห็นสภาพ สังคมทีเ่ ปน็ จรงิ บางครัง้ อาจเป็นการสอน หรือจูงใจผอู้ ่านไปในทศิ ทางทีผ่ ้เู ขียนต้องการ เช่น สร้อยเส้นนัน้ ของ ศิริพร หนแู กว้ ขวัญ ทมี่ ีเนอ้ื หาชใี้ ห้เหน็ คณุ ค่าของการใช้แรงงาน บา่ แบกและแอกอ้ึง ของ เหลือง ฝ้ายคา ที่มเี นอื้ หาชใ้ี หเ้ ห็นการไมย่ อมอยู่ใตแ้ อกของการขูดรีดของประชาชน เม่อื พจิ ารณารปู แบบและเนอื้ หา ของวรรณกรรมที่กลา่ วไปแลว้ นั้น พบวา่ ทงั้ 3 รปู แบบ มีความสัมพันธ์กนั กลา่ วคือ งานวรรณกรรม แบบสนองอารมณห์ รอื แบบดอกไม้ถือเป็นบนั ไดขน้ั แรกของการสรา้ งสรรค์วรรณกรรม นกั เขียนสว่ นใหญ่ มกั เรมิ่ ดว้ ยการเขยี นรูปแบบน้ี จากนน้ั เมอ่ื ผเู้ ขียนเริ่มเขา้ ใจโลก เขา้ ใจชีวิตมากข้นึ จะสามารถก้าวไปสบู่ ันได ขั้นทข่ี องคือการเขยี นวรรณกรรมแบบสะท้อนสงั คม หรือแบบกระจกเงา ซ่ึงถอื เป็นวรรณกรรม ทีแ่ สดงความสัมพนั ธ์ระหว่างนกั เขียนและสงั คมไดช้ ดั เจน จากนั้นเม่ือนกั เขียนมองเหน็ ปญั หาตา่ ง ๆ ในสงั คม กจ็ ะส่งผลใหเ้ กดิ วรรณกรรมแบบชนี้ าหรอื แบบโคมไฟตอ่ ไป
สรุป พฒั นาการของวรรณกรรมไทยปจั จุบันที่กลา่ วไปขา้ งต้นจะแบง่ เปน็ 2 ชว่ งกว้าง ๆ คือยคุ บุกเบิก จนถึงเปล่ียนแปลงการปกครอง และยคุ หลงั เปลีย่ นแปลงการปกครองถงึ ปัจจบุ นั ซึง่ ในทง้ั สองยคุ นน้ั จะประกอบไปดว้ ยรายละเอยี ดปลีกย่อยของแต่ละยคุ เพอื่ ให้ผู้อา่ นได้มองเหน็ ภาพพฒั นาการ ของวรรณกรรมไทยปัจจุบันชัดเจนยง่ิ ขน้ึ จะเห็นไดว้ า่ ชว่ งเวลาตา่ ง ๆ ของวรรณกรรมจะมคี วามสมั พันธ์ กับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในบ้านเมือง เหตุการณ์ทางการเมอื งทง้ั สงบสุข และชว่ งแหง่ ความขดั แย้ง นกั เขยี นในแตล่ ะยุคก็เช่นเดยี วกนั ที่ล้วนมคี วามเก่ียวข้องกบั เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ไม่มากกน็ ้อย ดังนนั้ การจะศกึ ษาพัฒนาการของวรรณกรรมไทยปจั จุบันนนั้ ผู้อ่านจงึ ไมส่ ามารถปฏิเสธการเรียนรู้ เกย่ี วกบั สภาพสงั คมในแต่ละช่วงเวลาด้วย
นอกจากพัฒนาการตามชว่ งเวลาแล้ว ผอู้ า่ นยงั ต้องศึกษาเกีย่ วกบั ปจั จยั ทที่ าใหว้ รรณกรรมไทยเปลี่ยนแปลง สู่ยคุ ปัจจุบนั ซึ่งประกอบไปดว้ ยการปฏริ ปู การศกึ ษา ความเจริญกา้ วหนา้ ทางดา้ นเทคโนโลยกี ารพมิ พ์ การสง่ เสรมิ ทางดา้ นการประพนั ธ์ รวมไปถงึ สภาพเศรษฐกิจและความตอ้ งการของตลาด ปจั จยั ทัง้ หลายลว้ นสง่ ผลต่อรปู แบบการเขียนท่เี ปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
แบบฝกึ หัด 1. ลกั ษณะของวรรณกรรม “ไทยกึ่งเทศ” เกิดข้นึ ในยุคใด และมีลกั ษณะอยา่ งไร 2. ความเปล่ียนแปลงดา้ นการปกครองทส่ี ่งผลการงานวรรณกรรมอยา่ งไร จงอธบิ าย 3. จงอธิบายลักษณะของวรรณกรรมท่เี กิดขนึ้ ในยคุ มืดทางปญั ญา 4. “พอสิน้ ฤดูทานา ทางโรงพิมพก์ ็จะเอาหนังสือบรรทุกเรอื จนเพียบแประ แจวไปตามคลองสู่ย่าน ชนบท ภายในไมช่ ้ากแ็ จวเรือเปลา่ กลับมาขนเอาไปอกี ...” จงแสดงความคดิ เห็นต่อขอ้ ความขา้ งต้นอย่างกวา้ งขวาง 5. จงยกตัวอยา่ งวรรณกรรมแบบดอกไม้ แบบกระจกเงา และแบบชนี้ า อย่างละ 1 เร่ือง พร้อมทัง้ อธิบายและยกตวั อยา่ งประกอบ 6. นักศกึ ษามีความเห็นอยา่ งไร ทมี่ ีการกลา่ วว่า “ลกั ษณะเน้ือหาวรรณกรรมแบบชี้นาหรอื แบบโคมไฟเป็นการเขียนที่คอ่ นขา้ งยาก” 7. วรรณกรรมยคุ บุกเบกิ ถงึ กอ่ นการเปล่ียนแปลงการปกครอง มลี กั ษณะเดน่ อย่างไร 8. วรรณกรรมแปลในยคุ เรมิ่ ต้นมีเรอื่ งอะไรบา้ ง ใครเปน็ ผู้แตง่ และผู้แปล 9. กหุ ลาบ สายประดษิ ฐ์ มีความสาคญั อย่างไรตอ่ วงการวรรณกรรมไทย 10. จงอธบิ ายความเปลยี่ นแปลงของวรรณกรรมในยคุ จอมพล ป. พิบลู สงคราม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146