Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑

Published by อนัญญา สุทธิ, 2021-05-30 18:31:20

Description: แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑
นางสาวอนัญญา สุทธิ เลขที่ ๑๗ หมู่เรียน D๕

Search

Read the Text Version

๔๖ แบบประเมินการให้คะแนนการแตง่ บทรอ้ ยกรอง ประเภทกาพยย์ านี ๑๑ ชอื่ -สกุล................................................................................................ ชัน้ /หอง................... เลขท่.ี .................... คาํ ช้ีแจง ครูประเมินผลงานของนกั เรยี นรายบุคคลในการแต่งบทร้อยกรอง ประเภทกาพย์ยานี ๑๑ และให้คะแนนลงใน่อง รายการประเมนิ ระดับคะแนน รวม ๑. รูปแบบฉนั ทลักษณ์ ๔ (ดีมาก) ๓ (ดี) ๒ (พอใช้) ๑ (ปรับปรุง) ๒๐ คะแนน ๒. เน้ือหาสาระทนี่ ำเสนอ ๓. ความไพเราะ การเลน่ คำ เล่นอกั ษร เลน่ สระ ๔. การเขียนสะกดคำ ๕. การเสนอแนวความคดิ เกณฑก์ ารประเมนิ คุณภาพ (ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ร้อยละ ๘๐ ขน้ึ ไป) ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ ๑๗-๒๐ ดีมาก ๑๓-๑๖ ดี ๙-๑๒ พอใช้ ต่ำกว่า ๙ ปรบั ปรุง ลงชือ่ ............................................................ผปู้ ระเมนิ (........................................................) ............../.................../...............

๔๗ รายละเอียดเกณฑ์การให้คะแนนการแตง่ บทร้อยกรอง ประเภทกาพยย์ านี ๑๑ รายการประเมิน ดมี าก (4) ระดับคุณภาพ / ระดบั คะแนน ปรับปรงุ (1) รปู แบบฉันทลกั ษณ์ ดี (3) พอใช้ (2) รูปแบบฉนั ทลักษณ์ ๑. รปู แบบ ถกู ต้อง ดมี าก ถูกตอ้ งเปน็ ส่วนน้อย ฉนั ทลักษณ์ รูปแบบฉนั ทลักษณ์ รปู แบบฉนั ทลักษณ์ ถูกต้องเปน็ สว่ นมาก ถกู ต้องเพยี ง บางสว่ น ๒. เนอ้ื หาสาระ เนอ้ื หาสาระที่ เนื้อหาสาระที่ เนื้อหาสาระท่ี เนื้อหาสาระที่ ทน่ี ำเสนอ นำเสนอถูกตอ้ ง นำเสนอ มีสาระอยู่ นำเสนอ มีสาระ นำเสนอ ไม่มี ๓. ความไพเราะ การเลน่ คำ ครบถว้ น ในเกณฑด์ ี อยใู่ นเกณฑ์พอใช้ สาระชดั เจน เล่นอกั ษร เลน่ สระ ความไพเราะ การเล่น ความไพเราะ ความไพเราะ ขาดความไพเราะ ๔. การเขียน คำ เลน่ อกั ษร เล่น การเล่นคำ เลน่ อักษร การเลน่ คำ ไม่มีการเล่นคำ สะกดคำ สระ อย่างใดอยา่ ง เล่นสระ อยา่ งใด เล่นอักษร เลน่ สระ เลน่ อกั ษร หรือเล่น ๕. การเสนอ แนวความคดิ หนึง่ อยใู่ นระดับ อย่างหนึ่ง อยู่ใน อย่างใดอย่างหนึ่ง สระ ขาดสัมผสั ดีมาก ระดบั ดี อยใู่ นระดับพอใช้ ในวรรค เขยี นสะกดการันต์ เขียนสะกดการันต์ได้ เขียนสะกดการันต์ เขยี นสะกดการนั ต์ ไดถ้ ูกต้องตาม ถูกต้อง มีผดิ ๑-๒ คำ ถูกต้อง มีผดิ ๒-๓ ถูกต้อง มีผิดเกนิ พจนานุกรม คำ ๓ คำ การเสนอ การเสนอ การเสนอ การเสนอ แนวความคดิ แนวความคิด แนวความคดิ แนวความคิด โดดเดน่ แปลกใหม่ คอ่ นข้างโดดเด่น ไม่โดดเด่น ไม่น่าสนใจ ไม่มีความคิดใหม่

๔๘ แบบสังเกตพฤตกิ รรมการเรียนของนกั เรยี นรายบุคคล คำชแ้ี จง ให้ทำเครื่องหมาย √ ลงในชอ่ ง คุณธรรม การมสี ว่ น ความ ในการเรยี น ร่วมในการ รบั ผิดชอบ ความสนใจ ทำกิจกรรม ต่องาน เช่น กระตือรือรน้ เชน่ ตอบ ทไี่ ด้รับ เลขท่ี ชอ่ื -สกุล ในการเรียน คำถาม มอบหมาย ความขยัน รวม ความ ซ่ือสัตย์ มจี ิต- สาธารณะ ๑ ๒ ๓ ๑ ๒ ๓ ๑ ๒ ๓ ๑ ๒ ๓ ๑๒ ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเติม : ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ เกณฑการประเมนิ ระดับคุณภาพ ๓ หมายถึง ดี ๙ – ๑๒ คะแนน ระดบั ดี ๒ หมายถึง พอใช้ ๕ – ๘ คะแนน ระดบั พอใช้ ๑ หมายถึง ปรับปรงุ ๑ – ๔ คะแนน ระดับปรับปรุง ลงช่ือ............................................................ผูป้ ระเมิน (........................................................) ............../.................../...............

๔๙ รายละเอียดเกณฑก์ ารให้คะแนนแบบสังเกตพฤตกิ รรมการเรียนของนักเรยี นรายบุคคล ประเด็นการประเมนิ เกณฑ์การให้คะแนน ๑ ๒๓ ๑. ความสนใจ มคี วามสนใจและ มีความสนใจและ ขาดความสนใจและ กระตือรอื ร้น กระตือรอื ร้นในการเรยี น กระตือรือร้นในบางเวลา ความกระตือรือร้น ในการเรยี น ตลอดเวลา พูดคยุ นอกเรื่องบางครั้ง พูดคุยนอกเร่ืองบ่อยครัง้ ในคาบ หรอื เปน็ ประจำ ๒. การมีสว่ นรว่ มใน มีส่วนรว่ มในการทำ มีส่วนรว่ มในการทำ ขาดการมีส่วนรว่ มใน การทำกจิ กรรม เช่น กจิ กรรมสมำ่ เสมอตลอด ตอบคำถาม คาบ ตอบคาํ ถามทกุ ครง้ั ที่ กิจกรรมสมำ่ เสมอตลอด การทำกจิ กรรม ไม่ตอบ ครถู าม ๓. ความรบั ผดิ ชอบ มคี วามรับผดิ ชอบตองานที่ คาบ ตอบคาํ ถามทค่ี รถู าม คําถามทคี่ รูถาม ต่องานท่ีได้รับ ไดร้ ับมอบหมายอย่างดี มอบหมาย ทำงานเสรจ็ และส่งตาม บอ่ ยครง้ั เวลาทุกครั้ง มีความรับผดิ ชอบต่อ ขาดความรบั ผิดชอบต่อ งานท่ีได้รับมอบหมายแต่ งานทีไ่ ด้รับมอบหมาย ทำงานไมเ่ สรจ็ และส่งไม่ ทำงานไม่เสร็จและส่งไม่ ทันเวลาบางครั้ง ทันเวลาบ่อยคร้งั หรือ ทกุ คร้ัง ๔. คุณธรรมในการ มคี ณุ ธรรมในการเรียน มีคณุ ธรรมในการเรยี น ขาดคณุ ธรรมในการ เรยี น เช่น โดยมีความขยัน ซ่ือสัตย์ ความขยัน และมจี ิตสาธารณะต่อครู โดยมีความขยนั ซ่ือสตั ย์ เรยี นโดยไม่ขยนั เรยี น ความซอื่ สัตย์ และเพ่ือนทุกครง้ั ที่มโี อกาส มจี ิตสาธารณะ และมีจิตสาธารณะต่อครู ไมซ่ ื่อสัตย์และไม่มี และเพื่อนบ้างบางครง้ั จติ สาธารณะต่อครูและ เพือ่ น

๕๐ แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการทำงานกลุ่มของนกั เรยี น คำชแี้ จง ใหท้ ำเครื่องหมาย √ ลงในชอ่ ง ความ การมี ความคิด เลขที่ ช่อื - นามสกลุ ถูกตอ้ ง ส่วนร่วม สรา้ งสรรค์ การตรงตอ่ รวม ชดั เจนของ สรา้ งสรรค์ ในการ เวลา เนอ้ื หา งานกลุ่ม นำเสนอ ๓ ๒ ๑ ๓ ๒ ๑ ๓ ๒ ๑ ๓ ๒ ๑ ๑๒ ขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เติม : ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ เกณฑการประเมนิ ระดับคุณภาพ ๓ หมายถงึ ดี ๙ – ๑๒ คะแนน ระดับดี ๒ หมายถงึ พอใช้ ๕ – ๘ คะแนน ระดับพอใช้ ๑ หมายถึง ปรบั ปรุง ๑ – ๔ คะแนน ระดบั ปรบั ปรุง ลงชอื่ ............................................................ผูป้ ระเมิน (........................................................) ............../.................../...............

๕๑ รายละเอยี ดเกณฑก์ ารให้คะแนนแบบสงั เกตพฤติกรรมการเรยี นของนกั เรยี นรายกลุม่ ประเด็นการประเมนิ ๓ เกณฑ์การให้คะแนน ๑ ๒ ความถูกตอ้ งชัดเจนของ เนอ้ื หาท่นี ำเสนอมีความ เนื้อหาทนี่ ำเสนอมคี วาม เนอ้ื หาทน่ี ำเสนอขาด เนอ้ื หาที่นำเสนอ ถกู ต้อง ชัดเจน ในทกุ ถูกต้อง ชัดเจน แต่มี ความถกู ต้อง ชดั เจน ประเดน็ มีรายละเอยี ด ขอ้ ผดิ พลาดบา้ ง ๑-๒ และมีข้อผิดพลาด ๓ ครบถ้วน ประเดน็ ประเด็นข้นึ ไป การมีสว่ นร่วมสรา้ งสรรค์ สมาชิกมีสว่ นร่วมใน การ สมาชกิ ส่วนใหญ่มสี ว่ น สมาชิกส่วนใหญ่มสี ่วน งานกล่มุ สรา้ งสรรค์งานกลมุ่ โดย รว่ มในการสรา้ งสรรค์ รว่ มในการสร้างสรรค์ ยอมรับฟัง ความคิดเห็น งานกลุ่ม แตม่ สี มาชกิ ใน งานกลุ่ม แตม่ สี มาชกิ ใน ของผู้อ่นื และแสดง กลมุ่ ทไ่ี ม่มสี ว่ นรว่ ม กลมุ่ ทไี่ ม่มสี ว่ นร่วม ความ คดิ เห็นทุกครัง้ สรา้ งสรรคง์ านบ้าง สรา้ งสรรคง์ าน ๓ คน ๑– ๒ คน ขึน้ ไป ความคิดสร้างสรรค์ใน มคี วามคิดสรา้ งสรรค์ ใน ขาดความคิดสรา้ งสรรค์ ขาดความคดิ สร้างสรรค์ การนำเสนอ การนำเสนอ ผลงานที่ ในการนำเสนอผลงาน ในการนำเสนอผลงาน แปลกใหม่ นา่ สนใจ และ แตเ่ ป็นผลงานทม่ี ีคุณค่า และผลงานไม่มีคุณคา่ มคี ณุ ค่า ผลงานไม่มี คุณคา่ การตรงต่อเวลา งานของกลุ่มเสร็จ ตาม งานของกลมุ่ เสร็จตาม งานของกลุ่มเสร็จไม่ กำหนดเวลาและงานมี กำหนดเวลาแต่งานไมม่ ี ทนั เวลาท่กี ำหนดและ คณุ ภาพดี คุณภาพ งานไม่มคี ุณภาพ

๕๒ แบบสังเกตพฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกิจกรรม (ในช้ันเรียน) คำช้ีแจง ให้ทำเครื่องหมาย √ ลงในช่องรายการสงั เกตพฤตกิ รรมท่ีนักเรียนปฏบิ ัติ รายการ เข้ารว่ ม เลขที่ ชอ่ื - สกุล ร่วมมอื ในการ กล้าออกมา กจิ กรรมด้วย สรปุ ผล ทำกจิ กรรม แสดง ความ การประเมนิ ความสามารถ สนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ ผา่ น ไม่ผ่าน ผ่าน ไมผ่ ่าน ผ่าน ไมผ่ ่าน ผ่าน ไม่ผ่าน เกณฑก์ ารประเมนิ ผา่ นตั้งแต่ ๒ รายการ ถอื ว่า ผา่ น ผา่ น ๑ รายการ ถือว่า ไม่ผ่าน ลงชอื่ ....................................................... ผปู้ ระเมนิ (.......................................................) ............../.................../...............

๕๓ แบบประเมินใบงาน ชื่อ-สกลุ ................................................................................................ ช้นั /หอง................... เลขท.่ี ................... คำช้แี จง ใหค้ รผู สู้ อนประเมินใบงานของนกั เรียนแล้วใหท้ ำเครื่องหมาย ✓ ลงในช่องท่ีตรงกบั ระดับคะแนน ลำดับ ประเดน็ การประเมิน คุณภาพการปฏบิ ตั งิ าน ๔ (ดมี าก) ๓ (ด)ี ๒ (พอใช้) ๑ (ปรบั ปรุง) ๑ เนื้อหาสอดคลอ้ งกบั หัวข้อ ๒ ความถูกต้อง ๓ ความเปน็ ระเบียบเรียบร้อย ๔ ความตรงต่อเวลา รวม เกณฑ์การประเมนิ คะแนน ระดับคุณภาพ ๑๖-๒๐ ดมี าก ๑๑-๑๕ ดี ๖-๑๐ พอใช้ ๐-๕ ปรบั ปรุง ลงชอื่ ....................................................... ผปู้ ระเมิน (.......................................................) ............../.................../...............

๕๔ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนใบงาน ประเดน็ การประเมิน ๔ (ดีมาก) คะแนน ๑ (ปรับปรุง) ๓ (ด)ี ๒ (พอใช้) ๑. เน้ือหาสอดคลอ้ งกบั หัวข้อ ผลงานสอดคลอ้ ง ผลงานสอดคลอ้ ง ผลงานไมค่ ่อย ผลงานไม่ กบั หัวขอ้ หรือ กับหัวขอ้ หรือเรื่อง สอดคล้องกับหวั ข้อ สอดคล้องกับ เรื่องท่ีกำหนด ทก่ี ำหนดบางสว่ น หรือเรือ่ งทกี่ ำหนด หวั ขอ้ หรอื เร่ืองที่ กำหนด ๒. ความถูกตอ้ ง เนอื้ หาสารถกู ตอ้ ง เนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระถูกต้อง เนอื้ หาสาระ ครบถว้ น สมบรู ณ์ ถกู ต้องเปน็ สว่ น บางประเด็น ไมถ่ ูกตอ้ ง ใหญ่ ๓. ความเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย ผลงานมีความ ผลงานมีความเป็น ผลงานมีความเปน็ ผลงานไมม่ ี เปน็ ระเบียบ ระเบยี บเรียบรอ้ ย ระเบยี บเรียบร้อย ความเปน็ ระเบยี บ เรียบร้อย น่าอ่าน น่าอ่าน แต่ยงั มี แต่ยงั มขี ้อบกพร่อง เรยี บรอ้ ย ขอ้ บกพร่อง เลก็ นอ้ ย บางสว่ น ๔. ความตรงต่อเวลา ส่งงานตรงเวลามี รับผิดชอบในงาน ทำงานที่ไดร้ ับ ทำงานที่ไดร้ บั ความรับผิดชอบ ที่ได้รบั มอบหมาย มอบหมายได้ มอบหมายไม่ครบ ในงานท่ไี ดร้ ับ สง่ งานตรงเวลา ทกุ สว่ น มอบหมาย บางคร้งั

๕๕ แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น ช่ือ-สกลุ ................................................................................................ ชนั้ /หอง................... เลขท.่ี ................... คาํ ชีแ้ จง : ใหผ้ ู้สอนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรียน แลวขดี √ ลงในช่องให้ตรงกับระดับคะแนน สมรรถนะด้าน รายการประเมิน ระดบั คะแนน ๓๒๑๐ ๑. ความสามารถ ๑.๑ มีความสามารถในการรับ – ส่งสาร ในการสือ่ สาร ๑.๒ มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความเข้าใจของ ตนเองโดยใช้ภาษาอย่างเหมาะสม ๒. ความสามารถ ๑.๓ ใช้วธิ ีการสอื่ สารทเ่ี หมาะสม ในการคดิ ๑.๔ วเิ คราะห์แสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตผุ ล ๒.๑ มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สงั เคราะห์ ๓. ความสามารถ ๒.๒ มีทกั ษะในการคิดนอกกรอบอย่างสร้างสรรค์ ในการแกป้ ญั หา ๒.๓ สามารถคดิ อย่างมวี ิจารณญาณ ๒.๔ มีความสามารถในการคิดอยา่ งมีระบบ ๔. ความสามารถ ๒.๕ ตัดสินใจแก้ปญั หาได้ ในการใช้ทักษะ ๓.๑ สามารถแก้ปญหาและอุปสรรคตา่ ง ๆ ที่เผชิญได้ ชีวติ ๓.๒ ใชเ้ หตุผลในการแก้ปญั หา ๓.๓ เข้าใจความสมั พนั ธ์และการเปล่ียนแปลงในสงั คม ๕. ความสามารถ ๓.๔ แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการแก้ไขปัญหา ในการใช้ ๔.๑ สามารถทำงานกลมุ่ รว่ มกบั ผู้อ่ืนได้ เทคโนโลยี ๔.๒ ปฏบิ ัตติ ามบทบาทหน้าท่ี ๔.๓ ให้ความร่วมมือในการทำงาน ๔.๔ รว่ มกิจกรรมสม่ำสมอ ๔.๕ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ทส่ี ่งผลกระทบตอตนเอง ๕.๑ เลอื กและใช้เทคโนโลยีได้เหมาะสมตามวยั ๕.๒ มีทกั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี ๕.๓ ใชเ้ ทคโนโลยใี นการแก้ปัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ ๕.๔ มีคุณธรรม จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี รวม รวมคะแนน/เฉล่ีย

๕๖ หมายเหตุ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………................................... เกณฑก์ ารใหคะแนนระดบั คณุ ภาพ ให้ ๓ คะแนน ดีมาก – พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ตั ชิ ดั เจนและสมำ่ เสมอ ให้ ๒ คะแนน คะแนน ๕๐ – ๖๖ ระดับคุณภาพดเี ยย่ี ม ให้ ๑ คะแนน ดี - พฤตกิ รรมทป่ี ฏบิ ัตชิ ัดเจนและบ่อยครั้ง ให้ ๐ คะแนน คะแนน ๔๐ – ๕๙ ระดบั คุณภาพดี พอใช้ - พฤติกรรมท่ีปฏิบตั บิ างครงั้ คะแนน ๒๐ – ๓๙ ระดบั คุณภาพพอใช้ ต้องปรับปรุง - ไมเ่ คยปฏิบตั ิพฤติกรรม คะแนน ๐ – ๑๙ ระดบั คุณภาพปรบั ปรุง สรปุ ผลการประเมนิ ระดบั ด่เี ย่ียม ดี พอใช้ ปรบั ปรงุ ลงชื่อ............................................................ผปู้ ระเมนิ (........................................................) ............../.................../...............

๕๗ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๓

๕๘ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๓ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย รายวชิ า ภาษาไทย ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๑ ภาคเรยี นท่ี ๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๔ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๓ เรือ่ ง เรยี นรู้ถ้อยคำภาษา เวลา ๗ ชว่ั โมง ๑. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัด มาตราฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ ความรสู้ ึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสรา้ งสรรค์ มาตรฐาน ท ๔.๑ เขา้ ใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปล่ยี นแปลงของภาษาและพลัง ของภาษา ภมู ิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ปน็ สมบัติของชาติ ตวั ชีว้ ัด ท ๓.๑ ม.๑/๖ มมี ารยาทในการฟงั การดู และการพูด ท ๔.๑ ม.๑/๔ วิเคราะห์ความแตกต่างของภาษาพูดและภาษาเขียน ท ๔.๑ ม.๑/๖ จำแนกและใช้สำนวนทเ่ี ปน็ คำพงั เพยและสภุ าษิต ๒. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ด้านความรู้ (K) - นกั เรยี นสามารถอธิบายมารยาทในการฟัง การดู และการพูดได้ - นกั เรียนสามารถวเิ คราะหค์ วามแตกต่างของภาษาพูดและภาษาเขียนได้ - นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของภาษาพูดและภาษาเขียนได้ - นักเรียนสามารถจำแนกความแตกต่างและใช้สำนวนท่ีเปน็ คำพังเพยและสภุ าษติ ได้ - นักเรยี นสามารถอธิบายความหมายของสำนวนทเี่ ป็นคำพังเพยและสภุ าษิตได้ ดานทักษะ/กระบวนการ (P) - นกั เรียนปฏบิ ัตติ นเป็นผูม้ มี ารยาทในการฟงั การดู และการพดู ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม - นักเรยี นสามารถนำเสนอการวเิ คราะห์ความแตกต่างของภาษาพดู และภาษาเขียนได้ - นักเรยี นสามารถนำเสนอการจำแนกและใชส้ ำนวนที่เป็นคำพงั เพยและสภุ าษติ ได้ ด้านเจตคติ (A) - นกั เรียนเหน็ ความสำคญั ถึงมารยาทในการฟงั การดู และการพดู - นกั เรยี นเห็นความสำคัญของการวเิ คราะห์ความแตกต่างของภาษาพูดและภาษาเขียน

๕๙ - นักเรียนเห็นคณุ คา่ ของการจำแนกและใชส้ ำนวนที่เปน็ คำพงั เพยและสภุ าษิต ๓. สาระสำคญั การสื่อสารที่ดีผู้ใช้ภาษาจะต้องมีความรู้เรื่องการใช้ภาษาพูดและภาษาเขียน เข้าใจความหมาย ลักษณะภาษาพูดและภาษาเขียน สามารถใช้ภาษาได้ถูกต้องตามหลักภาษาและระดับภาษา มีความรู้เรื่อง การใชส้ ำนวนสุภาษติ ที่มีใช้ในชวี ติ ประจำวนั ควรใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์และบริบทต่างๆ เพ่อื ให้การส่ือสาร มีประสิทธิผล มีความรู้เรื่องการมีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ และเปน็ มารยาททางสังคมทพี่ ึงปฏิบัติ ๔. สาระการเรยี นรู้ ๑. มารยาทในการฟัง การดู และการพดู ๒. การวิเคราะห์ความแตกต่างของภาษาพูดและภาษาเขยี น - ภาษาพดู - ภาษาเขียน ๓. การจำแนกและใช้สำนวนทเ่ี ปน็ คำพงั เพยและสภุ าษติ - สำนวนท่ีเปน็ คำพังเพยและสภุ าษติ ๕. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรนู้ )ี้  ความสามารถในการสือ่ สาร  ความสามารถในการคดิ  ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี ๖. ทักษะของผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 (3R 8C + 2L)  ทกั ษะการอ่าน (Reading)  ทกั ษะการเขยี น (Writing) ทกั ษะการคิดคำนวณ (Arithmetic) ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical thinking and problem solving) ทกั ษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and innovation)  ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ (Collaboration, teamwork and leadership)

๖๐ ทกั ษะด้านความเขา้ ใจต่างวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์ (Cross-cultural understanding) ทักษะด้าน การสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ (Communication information and media literacy) ทกั ษะดา้ นคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร (Computing) ทักษะอาชีพและทกั ษะการเรยี นรู้ (Career and learning self-reliance, change) ทักษะการเปลย่ี นแปลง (Change) ทักษะการเรยี นรู้ (Learning Skills) ภาวะผู้นำ (Leadership) ๗. ชิน้ งานหรอื ภาระงาน ๗.๑ ใบงานที่ ๑ เรือ่ ง “มารยาทในการฟัง การดู และการพูด” ๗.๒ ใบงานท่ี ๑.๒ เร่ือง “ประเมนิ ตนเอง” “สำนวน สภุ าษติ คำพงั เพย” ๗.๓ ใบงานที่ ๒ เรื่อง “ภาษาพูด-ภาษาเขียน” ๗.๔ ใบงานท่ี ๓ เร่ือง “สำนวน สภุ าษติ คำพังเพย” ๗.๕ ทายภาพ เรอ่ื ง สำนวน สภุ าษติ คำพังเพย ๗.๖ แบบทดสอบประจำหน่วยยอ่ ย เรอื่ ง สำนวน สุภาษิต คำพงั เพย ๘. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ หน่วยยอ่ ยท่ี ๑ เรอื่ ง มารยาทการฟงั การดู และการพูด ช่วั โมงท่ี ๑ (ใชร้ ปู แบบการเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ ๕E) ข้ันท่ี ๑ ขน้ั สร้างความสนใจ ๑. ครูให้นักเรียนดูวิดีทัศน์ “เสียงดังไม่มีมารยาท รบกวนคนอื่น หนังสั้น” เพื่อให้นักเรียนเห็นภาพ กวา้ ง ๆ เก่ยี วกบั เรอ่ื งมารยาทการฟัง การดู และการพดู ๒. ครเู ปิดประเดน็ ด้วยการถามคำถามนักเรยี นเก่ยี วกบั คลปิ วิดีโอทใี่ หด้ ู ขนั้ ท่ี ๒ ขนั้ สำรวจและคน้ หา ๑. ครูให้นักเรียนศึกษาหาความรู้ เรื่อง มารยาทการฟัง การดู และการพูดจากใบความรู้ที่ ๓ ภายใน เวลา ๕ นาที ๒. เมื่อนักเรียนศึกษาหาความรู้จากใบความรู้ที่ ๑ แล้ว ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ ๓-๕ คน ร่วมกันหาวิธิีแก้ไขบุคคลที่ไม่มีมารยาทในการฟัง การดูและการพูด อย่างสร้างสรรค์และนำไปใช้ได้จริงแล้ว ออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน ขั้นที่ ๓ ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ ๑. ครูให้นักเรียนกลุ่มเดิมร่วมกันอภิปรายถึงความสำคัญ และประโยชน์ของการมีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด แลว้ ออกมานำเสนอหนา้ ชั้นเรยี น

๖๑ ๒. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั สรุปความรูด้ งั น้ี ๒.๑ การมมี ารยาทในการฟงั การดู และการพูด ทำใหก้ ารสอื่ สารมปี ระสทิ ธภิ าพ และเปน็ มารยาท ทางสังคมทีพ่ งึ ปฏิบัติ ข้นั ท่ี ๔ ข้นั ขยายความรู้ ครูนำความรู้จากเรื่องมารยาทในการฟัง การดู และการพูด ให้นักเรียนร่วมกิจกรรมเกม “พูดอย่าให้ผิด” มีจุดประสงค์เพื่อฝึกสมาธิในการพูด ไม่ให้ผิดพลาด โดยนักเรียนดูบัตรข้อความที่ฝึกพูด ทลี ะขอ้ ความ ไดแ้ ก่ “ยักษใ์ หญ่ยักไหล่ไปไลย่ ักษเ์ ลก็ ” “ระนอง -ระยอง - ยะลา” “เช้ากนิ ผดั ฟกั เย็นกินฟักผัด” ให้นักเรียนฝึกพูดทีละคู่ผลัดกันพูดแต่ละข้อความ คนละ ๓ ครั้ง เร็ว ๆ อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่พูดไม่ผิด ไม่ตดิ ขัด เปน็ ผู้ชนะ จากนัน้ ให้นักเรียนร่วมกนั สนทนาถงึ ความสำคญั ของการพูดท่ถี ูกตอ้ งและชัดเจน ขน้ั ท่ี ๕ ข้นั ประเมิน ๕. หลงั จากเสร็จสิน้ การสอนแลว้ ครูใหน้ ักเรยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเหน็ โดยครูใชค้ ำถาม ดังน้ี ๕.๑ ถ้าทุกคนไม่มีมารยาทในการฟัง การดู และการพูดจะมีผลอย่างไรบ้าง พร้อมให้นักเรียนทำ ใบงานที่ ๑.๑ และใบงานท่ี ๑.๒ หนว่ ยย่อยที่ ๒ เร่ือง การวิเคราะหค์ วามแตกต่างของภาษาพูดและภาษาเขียน - ภาษาพูด - ภาษาเขียน ชว่ั โมงที่ ๒-๔ (ใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ๕E) ขั้นที่ ๑ ข้ันสรา้ งความสนใจ ๑. ครูมีบตั รประโยคมาให้ ๓ ประโยค ให้นักเรยี นสังเกตประโยคต่อไปน้ี ฉนั กนิ ข้าว ฉันเจอเคา้ เมื่อวานน้ี ทาํ ยังไงถงึ จะสอบผ่าน ๒. ครูถามนักเรียนว่าเป็นภาษาอะไร จากนั้นครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงประโยคข้างต้น และ ครูอธิบายความหมายของภาษาพูดและภาษาเขียน ๓. ครใู หน้ ักเรียนเปล่ยี นบัตรประโยคทเ่ี ปน็ ภาษาพดู ใหเ้ ปน็ ภาษาเขียน ข้ันที่ ๒ ขน้ั สำรวจและคน้ หา ๒. ครูอธิบายการใชแ้ ละลักษณะของภาษาพูด ภาษาเขียน ๓. ครใู หน้ ักเรยี นศึกษาใบความรู้ท่ี ๑ เร่ือง ความแตกต่างของภาษาพดู และภาษาเขยี น

๖๒ ๑. ครูใชก้ จิ กรรมชวนคดิ ชวนคุยสำรวจความเขา้ ใจของนกั เรยี น จากสอ่ื ชดุ เปิดกลอ่ งภาษา“ภาษาอะไรเอย่ ??” ๒. ครูให้นักเรียนเลือกเปิดกล่องภาษา ๓ กล่อง แล้วให้นักเรียนวิเคราะห์ข้อมูลในกล่องว่าเป็น ภาษาพูดหรือภาษาเขยี น ขัน้ ที่ ๓ ขนั้ อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ ๑. ครอู ธบิ ายเนือ้ หาเพิ่มเตมิ จากใบความรู้ที่ ๒ เรอ่ื ง ความแตกต่างของภาษาพูดและภาษาเขยี น และ จากกิจกรรมเปิดกล่องภาษา “ภาษาอะไรเอ่ย??” พรอ้ มท้ังเปิดโอกาสให้นกั เรยี นซกั ถาม ๒. ครูและนกั เรียนร่วมกันสรุปความรูแ้ ละความแตกต่างของภาษาพดู และภาษาเขียน พร้อมทง้ั ครูถาม คำถามนกั เรยี นเพื่อเปน็ การเช็คความรคู้ วามเข้าใจของนกั เรยี นหลงั จากทเี่ รยี น ข้ันที่ ๔ ขัน้ ขยายความรู้ ๑. ครูใหน้ กั เรยี นทำกิจกรรม “โต้ตอบสองภาษา” โดยให้นักเรียน ทำดงั นี้ ๑.๑ แบง่ นักเรยี นเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มละ ๔ คน กลุม่ ท่ี ๑ ชื่อว่าภาษาพดู กล่มุ ที่ ๒ ช่อื ว่าภาษาเขยี น ๑.๒ แล้วให้กลุ่มท่ี ๑ พูดภาษาพดู คนละ๑ คาํ และให้กลมุ่ ท่ี ๒ แกภ้ าษาพดู ให้เป็นภาษาเขยี น ๑.๓ จากนั้นให้กลุ่มที่ ๒ พูดภาษาเขียน และให้กลุ่มที่ ๑ แก้เป็นภาษาพูด ซึ่งแต่ละกลุ่มจะส่ง ตวั แทนมาโต้ตอบไปมาทลี ะคู่ โดยคําที่คดิ ขึน้ ในแตละกลมุ่ หรือแตล่ ะคู่นัน้ ห้ามซำ้ กัน จากน้นั ครูตรวจสอบถกู ตอ้ ง ๒. หลังจากทำกจิ กรรมเสรจ็ ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ ประโยชนท์ ่ไี ดร้ บั หลงั จากการทำกิจกรรม ขน้ั ท่ี ๕ ขนั้ ประเมนิ ครูให้นักเรียนทำใบงานที่ ๒ เรื่อง ภาษาพูด-ภาษาเขียน เพื่อเป็นการทบทวนเนื้อหาและประเมินผล ความเข้าใจหลงั จากการจดั การเรยี นการสอน หนว่ ยย่อยที่ ๓ เรอื่ ง สำนวนทเ่ี ปน็ คำพังเพยและสภุ าษติ ช่วั โมงที่ ๕-๗ (ใช้รูปแบบการเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ ๕E) ขั้นที่ ๑ ขนั้ สร้างความสนใจ ๑. ครูนักเรียนทายภาพสำนวนไทย ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ อย่าเห็นกงจักรว่าเป็นดอกบัว และบอก ความหมายสำนวน ๒. ครูให้นักเรียนวิเคราะห์ลักษณะความหมายสำนวน ระหว่าง “อย่าเห็นกงจกั รว่าเป็นดอกบัว” กับ “ตำน้ำพริกละลายแมน่ ำ้ ” วา่ มีความเหมือนและตา่ งกันหรือไม่ อย่างไร ๓. ครูให้นักเรียนเล่นเกมต่อคำสำนวนไทยและครูซักถามนักเรียนความหมายของสำนวน สุภาษิต คำพังเพย ขน้ั ที่ ๒ ขน้ั สำรวจและคน้ หา ๑. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มศึกษาความหมายของสำนวน สุภาษิต คำพังเพยจากใบความรู้ที่ ๓ เรื่อง สำนวน สุภาษติ คำพงั เพย

๖๓ ๒. ครูให้นักเรียนทำแผนภาพความคิด จำแนกความเหมือนความแตกต่างของสำนวน สุภาษิต และคำพงั เพย ๓. ครนู กั เรียนยกตัวอยา่ งสำนวนไทยพร้อมสถานการณท์ ี่นักเรยี นเคยนำสำนวนมาใช้ ข้ันที่ ๓ ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ ๑. ครูใหต้ วั แทนกลมุ่ นำเสนอแผนภาพความคิดจำแนกสำนวน สุภาษิต และคำพังเพยพร้อมร่วมแสดง ความคิดเห็น ตรวจสอบความถูกตอ้ ง และสรปุ ใหข้ อ้ เสนอแนะการนำเสนอผลงาน ๒. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปลกั ษณะท่ีเหมอื นและแตกต่างกนั ระหว่างสำนวน สุภาษิต คำพังเพย ๓. ครแู ละนกั เรยี นช่วยกันสรุปความรแู้ ละคณุ ค่าของสำนวน สุภาษิตและคำพังเพย ขนั้ ที่ ๔ ขน้ั ขยายความรู้ ๑. ครูให้นักเรียนไปค้นคว้าสุภาษิต และคำพังเพยจากสำนวนในสื่อต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในการเรียน ช่วั โมงถัดไป ๒. ครูให้นักเรียนรวบรวมสำนวนและความหมายจากหนังสือเรียนหรือแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อนำไป ประยกุ ต์ใช้เปน็ คตสิ อนใจในการดำเนินชวี ิต ขัน้ ที่ ๕ ขั้นประเมิน ครูใหน้ กั เรียนทำใบงานที่ ๓ เรื่อง สำนวน สุภาษติ คำพงั เพย และทำแบบทดสอบเก็บคะแนนรวมเร่ือง สำนวน สภุ าษติ คำพงั เพย ๙. สอ่ื การสอน ๙.๑ วดี ิทศั นป์ ระกอบการเรียนการสอน เรอ่ื ง “เสียงดังไมม่ มี ารยาท รบกวนคนอนื่ หนงั สั้น” ๙.๒ ใบความรู้ ๙.๓ กิจกรรม “โต้ตอบสองภาษา” ๙.๔ กิจกรรม “ทายภาพสำนวนไทย” ๗.๕ เกมต่อสำนวน ๙.๖ ภาพสำนวน ๙.๗ สือ่ การเรยี นการสอนประกอบการนำเสนอ power point ๙.๘ บตั รประโยค ๙.๙ เปิดกล่องภาษา “ภาษาอะไรเอ่ย??” ๑๐. แหล่งเรียนรู้ในหรอื นอกสถานท่ี ๑๐.๑ ห้องสมุด ๑๐.๒ อินเทอร์เน็ต

๖๔ ๑๑. การวดั และประเมินผล เครื่องมอื วัด เกณฑก์ ารให้คะแนน เกณฑก์ าร จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วธิ วี ัด ประเมนิ ๑. ด้านความรู้ (K) ๑.๑ นกั เรียนสามารถ ตรวจใบงานท่ี ใบงานท่ี ๑.๑ ๑๖-๒๐คะแนนระดบั ดีมาก ผ่านเกณฑ์ อธิบายมารยาทในการ ๑.๑ มารยาทใน มารยาทในการฟัง ๑๑-๑๕คะแนน ระดับดี การประเมิน ฟงั การดู และ การฟงั การดู การดู และการพูด ๖-๑๐ คะแนนระดบั พอใช้ ระดับดขี นึ้ ไป การพูดได้ และการพูด ๐-๕คะแนนระดับปรบั ปรงุ ๑.๒ นกั เรยี นสามารถ ตรวจใบงานที่ ๒ ใบงานที่ ๒ ๑๖-๒๐คะแนนระดบั ดีมาก ผ่านเกณฑ์ วเิ คราะหค์ วามแตกต่าง ภาษาพดู และ ภาษาพดู และ ๑๑-๑๕คะแนนระดบั ดี การประเมนิ ของภาษาพูดและ ภาษาเขียน ภาษาเขยี น ๖-๑๐ คะแนนระดบั พอใช้ ระดับดขี น้ึ ไป ภาษาเขียนได้ ๐-๕คะแนนระดบั ปรบั ปรงุ ๑.๕ นกั เรียนสามารถ สังเกตจาก แบบสังเกต ๙-๑๒ คะแนนระดับดี ผ่านเกณฑ์ อธบิ ายความหมายของ พฤติกรรมการ พฤติกรรมการ ๕-๘ คะแนนระดับพอใช้ การประเมนิ ภาษาพดู และภาษา เรียนของนักเรียน เรยี นของนักเรยี น ๑-๔คะแนนระดบั ปรบั ปรงุ รอยละ ๘๐ ข้ึนไป เขยี นได้ รายบคุ คล รายบคุ คล ๑.๖ นักเรยี นสามารถ ตรวจใบงานท่ี ๓ ใบงานท่ี ๓ ๑๖-๒๐คะแนนระดับดีมาก ผ่านเกณฑ์ จำแนกความแตกต่าง สำนวน สภุ าษติ สำนวน สภุ าษิต ๑๑-๑๕ คะแนนระดับดี การประเมนิ และใชส้ ำนวนท่ีเป็นคำ คำพงั เพย คำพงั เพย ๖-๑๐ คะแนนระดับพอใช้ ระดับดขี ึ้นไป พงั เพยและสภุ าษติ ได้ ๐-๕คะแนนระดบั ปรบั ปรุง ๑.๗ นกั เรียนสามารถ ตรวจ แบบทดสอบ ๘-๑๐ คะแนนระดับดี ผ่านเกณฑ์ อธิบายความหมายของ แบบทดสอบ ๕-๗คะแนน ระดับพอใช้ การประเมิน สำนวนท่เี ปน็ คำพังเพย ๐-๔คะแนนระดับปรบั ปรงุ ร้อยละ ๘๐ ข้ึนไป และสภุ าษิตได้ ๒. ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P) ๒.๑ นกั เรยี นปฏบิ ัติตน สังเกตจาก แบบสงั เกต ๑ รายการ=๑คะแนน ผา่ นตั้งแต่ ๒ เป็นผมู้ มี ารยาทในการ พฤติกรรมของ พฤติกรรม รายการถือว่าผา่ น ฟงั การดู และการพดู นักเรียนในการ การเรยี นของใน ผ่าน ๑ รายการ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เขา้ รว่ มกจิ กรรม การเขา้ รว่ ม ถอื ว่า ไมผ่ ่าน กิจกรรม

๖๕ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วิธวี ัด เครอ่ื งมอื วดั เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑ์การ ประเมิน ๒. ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) ๒.๑ นกั เรยี นปฏบิ ัติตน ตรวจใบงานท่ี ใบงานที่ ๑.๒ ๑๖-๒๐คะแนนระดบั ดีมาก ผ่านเกณฑ์ เป็นผมู้ มี ารยาทในการ ๑.๒ ประเมนิ ประเมินตนเอง ๑๑-๑๕ คะแนนระดบั ดี การประเมนิ ฟงั การดู และการพดู ตนเอง ๖-๑๐ คะแนนระดับพอใช้ ระดับดขี ึน้ ไป ได้อยา่ งเหมาะสม (ต่อ) ๐-๕คะแนนระดบั ปรบั ปรุง ๒.๒ นักเรียนสามารถ สงั เกตจาก แบบสงั เกต ๑๖-๒๐คะแนนระดับดีมาก ผ่านเกณฑ์ นำเสนอการวิเคราะห์ พฤติกรรม พฤติกรรมการ ๑๑-๑๕คะแนนระดบั ดี การประเมนิ ความแตกตา่ งของ การเรียนของ เรยี นของนักเรียน ๖-๑๐ คะแนนระดบั พอใช้ ระดับดขี ึ้นไป ภาษาพดู และภาษา นกั เรยี นรายกลมุ่ รายกลุ่ม ๐-๕คะแนนระดบั ปรบั ปรุง เขียนได้ ๒.๓ นักเรยี นสามารถ นำเสนอผลงาน แบบประเมิน ๑๘-๒๐คะแนนระดบั ดมี าก ผ่านเกณฑ์ นำเสนอการจำแนก การเขียน นำเสนอผลงาน ๑๔–๑๗คะแนนระดบั ดี การประเมนิ และใชส้ ำนวนทีเ่ ปน็ คำ แผนภาพ การเขียน ๑๐ – ๑๓ คะแนน ระดบั ดีขน้ึ ไป พงั เพยและสภุ าษิตได้ ความคิด แผนภาพ ระดับพอใช้ ความคิด ตำ่ กวา๑๐คะแนน ระดับปรับปรุง ๓. ด้านเจตคติ (A) ๓.๑ นักเรียนเหน็ สังเกตจาก แบบสงั เกต ๙-๑๒ คะแนนระดับดี ผ่านเกณฑ์ ความสำคญั ถึงมารยาท พฤติกรรมการ พฤติกรรมการ ๕-๘ คะแนนระดบั พอใช้ การประเมิน ในการฟัง การดู และ เรยี นของนักเรียน เรียนของนักเรียน ๑-๔คะแนนระดบั ปรบั ปรงุ รอยละ ๘๐ ขน้ึ ไป การพูด รายบุคคล รายบคุ คล สงั เกตจาก แบบสังเกต ๑๖-๒๐คะแนนระดับดมี าก ผ่านเกณฑ์ พฤติกรรม พฤติกรรม ๑๑-๑๕ คะแนนระดบั ดี การประเมนิ การเรียนของ การเรยี นของ ๖-๑๐ คะแนนระดบั พอใช้ ระดับดีข้ึนไป นกั เรยี น นักเรยี น ๐-๕ คะแนน ระดับ รายกลมุ่ รายบุคคล ปรบั ปรงุ

๖๖ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วธิ วี ดั เครือ่ งมือวัด เกณฑก์ ารให้คะแนน เกณฑก์ าร ประเมนิ ๓. ด้านเจตคติ (A) ๓.๒ นกั เรยี นเห็น สังเกตจาก แบบสังเกต ๙-๑๒ คะแนนระดับดี ผ่านเกณฑ์ ความสำคญั ของการ พฤติกรรมการ พฤติกรรมการ ๕-๘ คะแนนระดบั พอใช้ การประเมิน วเิ คราะหค์ วามแตกต่าง เรยี นของนักเรยี น เรยี นของนักเรียน ๑-๔คะแนนระดบั ปรบั ปรุง รอยละ ๘๐ ขึ้นไป ของภาษาพูดและ รายบุคคล รายบุคคล ภาษาเขยี น สงั เกตจาก แบบสังเกต ๑๖-๒๐คะแนนระดบั ดมี าก ผ่านเกณฑ์ พฤติกรรม พฤติกรรมการ ๑๑-๑๕ คะแนนระดบั ดี การประเมนิ การเรยี นของ เรยี นของนักเรียน ๖-๑๐ คะแนนระดบั พอใช้ ระดับดขี ึน้ ไป นักเรียน รายบุคคล ๐-๕คะแนนระดับปรบั ปรงุ รายกลุ่ม ๓.๓ นักเรยี นเห็น สงั เกตจาก แบบสงั เกต ๙-๑๒ คะแนนระดับดี ผ่านเกณฑ์ คุณคา่ ของการจำแนก พฤติกรรมการ พฤติกรรมการ ๕-๘ คะแนนระดบั พอใช้ การประเมนิ และใช้สำนวนทีเ่ ป็นคำ เรยี นของนักเรยี น เรียนของนักเรยี น ๑-๔คะแนนระดบั ปรบั ปรงุ รอยละ ๘๐ ขน้ึ ไป พังเพยและสุภาษิต รายบคุ คล รายบุคคล สงั เกตจาก แบบสงั เกต ๑๖-๒๐คะแนนระดับดีมาก ผ่านเกณฑ์ พฤติกรรมการ พฤติกรรมการ ๑๑-๑๕ คะแนนระดบั ดี การประเมิน เรยี นของนักเรยี น เรียนของนักเรยี น ๖-๑๐ คะแนนระดับพอใช้ ระดบั ดีขน้ึ ไป รายกลุ่ม รายบคุ คล ๐-๕คะแนนระดับปรบั ปรงุ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น วธิ ีวดั เคร่อื งมอื วดั เกณฑ์การให้ เกณฑก์ าร คะแนน ประเมิน ๑. ความสามารถใน สงั เกตพฤติกรรม แบบสงั เกต ตารางเกณฑ์การให้ ผา่ นเกณฑ์ตั้งแต่ การสื่อสาร การปฏิบตั งิ าน พฤติกรรมการ คะแนนสมรรถนะ ระดบั ปานกลาง รายบุคคลและ ปฏบิ ตั งิ าน ของผูเ้ รียน ขึน้ ไป พฤติกรรมการเข้า รายบุคคลและ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม แบบสงั เกต พฤติกรรมการเข้า ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม

๖๗ สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น วธิ วี ดั เครอื่ งมอื วดั เกณฑก์ ารให้ เกณฑก์ าร คะแนน ประเมนิ ๒. ความสามารถในการคดิ สงั เกต แบบประเมนิ ตารางเกณฑ์การให้ ผ่านเกณฑต์ ั้งแต่ ใบงาน คะแนนสมรรถนะ ระดับปานกลาง ของผูเ้ รยี น ขึ้นไป ๓. ความสามารถในการ สังเกตพฤตกิ รรม แบบสงั เกต ตารางเกณฑ์การให้ ผา่ นเกณฑ์ต้ังแต่ แก้ปญั หา การปฏิบตั งิ าน พฤติกรรมการ คะแนนสมรรถนะ ระดบั ปานกลาง รายบคุ คลและ ปฏิบัติงาน ของผู้เรียน ขึ้นไป พฤติกรรมการเข้า รายบุคคลและ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม แบบสงั เกต พฤติกรรมการเข้า ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม ๑๒. กจิ กรรมเสนอแนะ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ๑๓. บนั ทึกผลหลงั การสอน สรุปผลการเรียนการสอน นกั เรียนท้งั หมดจำนวน.....................คน จดุ ประสงค์การเรยี นร้ขู อ้ ท่ี จำนวนนักเรยี นท่ีผ่าน จำนวนนักเรียนทไี่ มผ่ ่าน จำนวน (คน) รอ้ ยละ จำนวน (คน) รอ้ ยละ ๑๕. ปญั หา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

๖๘ ๑๖. ขอ้ เสนอแนะ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ.............................................................. .. (...............................................................) ตำแหนง่ ครูวทิ ยฐานะ ...................................... ลงชือ่ ................................................................ หวั หน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ (...............................................................) ลงชื่อ................................................................ รองผู้อำนวยการกลมุ่ บรหิ ารวชิ าการ (...............................................................) ความเห็นของหวั หนา้ สถานศกึ ษา ได้ทำการตรวจแผนการเรยี นรขู้ อง......................................................................แลว้ มคี วามคดิ เห็นดงั น้ี ๑. เปน็ แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี  ดีมาก  ดี  พอใช้  ควรปรับปรงุ ๒. การจดั กิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้  เน้นผ้เู รียนเปน็ สำคญั มาใชใ้ นการสอนไดอ้ ย่างเหมาะสม  ยังไมเ่ น้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพฒั นาตอ่ ไป ๓. ข้อเสนอแนะอ่นื ๆ .............................................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................ ...................................... .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชอ่ื ............................................................................... (................................................................................) ผู้อำนวยการโรงเรยี น…………………………………………………..

๖๙ ใบความรู้

๗๐ ใบกจิ กรรมที่ ๑ ทายภาพ เรือ่ ง สำนวน สภุ าษิต คำพังเพย หน่วยยอ่ ยที่ ๓ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๒ เร่ือง สำนวนทเ่ี ปน็ คำพังเพยและสภุ าษติ รายวชิ าภาษาไทย รหัส ท ๒๑๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑

๗๑ ใบความร้ทู ี่ ๑ เรอ่ื ง มารยาทในการฟงั การดู และการพูด  การฟงั ไเขยี น การฟงั คอื การรบั ร้คู วามหมายจากเสียงท่ีไดย้ ินเปน็ การรับร้สู ารทางหูท้ังที่ฟังจากบคุ คลโดยตรง และฟังจาก จากสอื่ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ตา่ ง ๆ เพราะขา่ วสาร ความรู้และศลิ ปะวทิ ยาการต่าง ๆ ท่ีมนุษยถ์ ่ายทอดกันตงั้ แตส่ มยั โบราณ จนถึงปจั จุบนั ยงั ใช้วิธีการพูดอธิบายให้ฟงั แมจ้ ะมีหนงั สือบันทกึ ไว้เป็นลายลกั ษณ์อักษรแลว้ กต็ าม  จดุ มุ่งหมายของการฟงั การฟังตอ้ งมจี ุดมุง่ หมายหลกั ๓ ประการ คอื ๑. ฟงั เพื่อความรู้ ได้แก่ การฟังเรือ่ งราวทเ่ี ปน็ วิชาการ ข่าวสารและข้อแนะนำต่าง ๆ ๒. ฟังเพ่อื ความเพลดิ เพลิน คือ การฟังเร่อื งราวท่สี นุกสนานเพลดิ เพลิน ๓. ฟงั เพอ่ื ให้ได้รับคติหรอื ความจรรโลงใจ คอื การฟังเรื่องท่ีทำให้เกดิ แนวคดิ และสตปิ ัญญา  หลักการฟงั ทดี่ ี การฟงั ที่ดมี ีหลักสำคัญคือ ๑. ฟังใหต้ รงตามความม่งุ หมาย โดยท่ัวไปแล้หลักการฟังมีความมุ่งหมายหลัก ๓ ประการ ๑.๑ ฟงั เพอ่ื ความเพลดิ เพลนิ ไดแ้ ก่ การฟังเรอ่ื งราวทีส่ นุกสนาน ๑.๒ ฟงั เพือ่ ความรู้ ไดแ้ ก่ การฟงั เรอื่ งราวทางวิชาการ ขา่ วสารและข้อเสนอแนะตา่ ง ๆ ๑.๓ ฟังเพื่อให้ได้คติชีวิตหรือความจรรโลงใจ ได้แก่ การฟังที่ก่อให้เกิดสติปัญญา ความสุขมุ และวิจารณญาณ ๒. ฟังโดยมีความพร้อม ความพร้อมในท่นี ี้ ได้แก่ – ความพรอ้ มทางร่างกาย หมายถงึ การมสี ุขภาพทางร่างกายเป็นปกติ – ความพร้อมทางจิตใจ หมายถงึ การมีพ้ืนฐานความรู้ความเข้าใจอย่างเพยี งพอ ๓. ฟงั โดยมสี มาธิ หมายถึง ฟังด้วยความตงั้ ใจมน่ั จดจ่ออยูก่ ับเร่อื งที่ฟัง ๔. ฟังด้วยความกระตือรือรน้ ๕. ฟังโดยไมอ่ คติ ผู้พดู โดยไม่อคติต้องพิจารณาให้ละเอยี ดถี่ถว้ นไมเ่ ป็นโทษแกผ่ ้อู ่นื

๗๒ ใบความร้ทู ่ี ๑ (ตอ่ ) เร่ือง มารยาทในการฟงั การดู และการพดู  มารยาทในการฟงั ไเขยี น ๑. เมื่อฟังอยเู่ ฉพาะหนา้ ผูใ้ หญ่ ควรฟังโดยสำรวมกิริยามารยาท ฟังดว้ ยความสภุ าพเรยี บรอ้ ย และตง้ั ใจฟงั ๒. การฟงั ในที่ประชุม ควรเขา้ ไปนั่งก่อนผูพ้ ูดเร่มิ พดู โดยน่ังท่ดี ้านหน้าให้เต็มกอ่ นและควรต้งั ใจฟงั จนจบเร่ือง ๓. จดบันทึกข้อความที่สนใจหรือข้อความที่สำคัญ หากมีข้อสงสัยเก็บไว้ถามเมื่อมีโอกาสและถามด้วย กริ ยิ าสุภาพ ๔. มองสบตาผู้พูด ไม่มองออกนอกห้อง หรือมองไปท่ีอื่น อนั เปน็ การแสดงวา่ ไมส่ นใจเรื่องท่ีพูด และไม่เอา หนงั สือไปอ่านขณะทีฟ่ ัง หรอื นำอาหารเครอ่ื งด่มื เขา้ ไปรับประทานระหวา่ งฟัง ๕. ฟังด้วยใบหน้าย้ิมแย้มแจ่มใสเป็นกันเองกับผู้พูด แสดงสีหนา้ พอใจในการพดู ไม่มีแสดงกริ ยิ ากา้ วร้าว ๖. ฟังด้วยความสุขมุ ไม่ควรกอ่ ความรำคาญใหบ้ ุคคลอ่นื ควรรกั ษามารยาทและสำรวมกริ ยิ าไมห่ วั เราะเสยี งดงั ๗. ฟังด้วยความอดทนแม้จะมคี วามคิดเห็นขัดแยง้ กบั ผู้พูดก็ควรมใี จกว้างรบั ฟังอยา่ งสงบ ๘. ไม่พูดสอดแทรกขณะท่ีฟัง ควรฟังเร่อื งให้จบกอ่ นแลว้ คอ่ ยซกั ถามหรอื แสดงความคิดเห็น ๙. ควรให้เกียรติวิทยากรด้วยการปรบมือ เมื่อมีการแนะนำตัวผู้พูด ภายหลังการแนะนำ และเมื่อวิทยากรพูดจบ  การดู การดู คือ การรับสารผ่านทางสายตา ทำใหม้ องเห็นภาพของสิ่งตา่ งๆ ไมว่ า่ จะมชี ีวติ หรอื ไม่มชี ีวิตก็ตาม  หลกั การฟังทีด่ ี ๑. ดูอย่างมีจุดมุ่งหมาย คือ ดูไปเพื่ออะไร เพื่อความรู้ เพื่อความเพลิดเพลิน หรือ เพื่อให้ได้ข้อคิด ในการนำไปปฏิบตั ติ าม ๒. ดูในสิ่งที่ควรดู เช่น ผู้ที่อยู่ในวัยเรียน ควรดูรายการที่ทำให้เกดิ ประโยชน์ต่อการศึกษาเล่าเรียน ไดแ้ ก่ รายการตอบปญั หาทางวิชาการ รายการท่ีมุ่งให้แนวทางการปฏิบตั ติ นใหเ้ หมาะสม ฯลฯฃ ๓. ดอู ย่างมวี ิจารณญาณ ให้ดแู ละคิดไตรต่ รองหาเหตแุ ละผลทกุ ครง้ั ๔. ดูแล้วนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างถูกต้องและเกิดประโยชน์ การดูภาพสัญลักษณ์ เป็น ส่ิงสำคัญทต่ี ้องดเู พื่อให้เขา้ ใจและนำมาใช้ปฏบิ ตั ิใหถ้ ูกต้อง เชน่ สญั ลักษณท์ แี่ สดงเครื่องหมายการจราจร เครื่องหมาย หา้ มผา่ น เครือ่ งหมายอันตราย ฯลฯ

๗๓ ใบความรู้ท่ี ๑ (ต่อ) เรื่อง มารยาทในการฟัง การดู และการพดู  มารยาทในการดู ไเขยี น ๑. ดอู ยา่ งสงบเรียบร้อยไมส่ งเสียงดงั รบกวนผ้อู นื่ ๒. ดอู ย่างตงั ใจ ๓. ไม่คุยหรอื เล่นในขณะทดี่ ู ไมส่ งเสียงดังรบกวนผ้อู นื่ ๔. ปรมมือเมือ่ จบการแสดง ๕. ไปถึงสถานท่ีทมี่ ีการแสดงกอ่ นเวลา ประมาณ ๑๕ นาที ๖. ไมน่ ำอาหาร-เครือ่ งดื่มเข้าไปในงาน ๗. ไมล่ กุ เดนิ ไปมา  การพดู การพูด หมายถึง พฤติกรรมการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึกหรือความต้องการของผู้พูดเพื่อสื่อ ความหมายไปยังผู้ฟังโดยใช้ถ้อยคำ น้ำเสยี ง สีหน้า แววตา และกริ ิยาทา่ ทาง เพอ่ื ให้ผฟู้ ังรบั รู้เข้าใจ และสนองตอบต่อ สารทผ่ี ู้พดู ไดส้ ื่อไปยังผู้ฟัง  หลกั การพูด การพูด มคี วามสำคญั ตอ่ ชีวติ มนษุ ย์เปน็ อนั มากไม่ว่าจะอยู่ ณ ทใี่ ด ประกอบกิจการงานใด ๑. การพูดระหว่างบคุ คล ไดแ้ ก่ ๑.๑ การทักทายปราศรัย ลกั ษณะการทักทายปราศรัยท่ดี ี มดี ังนี้ – หนา้ ตายม้ิ แยม้ แจ่มใส แสดงอาการยินดที ี่ไดพ้ บผทู้ เ่ี ราทักทาย – กลา่ วคำปฏิสันถารทเี่ ป็นทย่ี อมรบั กนั ในสงั คม เชน่ สวัสดคี รับ สวสั ดคี ่ะ – แสดงกริ ยิ าอาการประกอบคำปฏิสนั ถาร – ข้อความทีใ่ ชป้ ระกอบการทกั ทายควรเปน็ เร่ืองที่กอ่ ให้เกิดความสบายใจ ๑.๒ การแนะนำตนเอง การแนะนำเป็นสิ่งจำเป็นและมีความในการดำเนินชีวิตประจำวัน บุคคลอาจแนะนำตนเองในหลายโอกาสด้วยกันการแนะนำตนเองมีหลักปฏิบัติดังนี้ คือ ต้องบอกชื่อ นามสกุล บอกรายละเอียดกบั ตัวเราและบอกวตั ถุประสงค์ในการแนะนำตวั

๗๔ ใบความรูท้ ่ี ๑ (ต่อ) เรอ่ื ง มารยาทในการฟงั การดู และการพดู ไเขยี น ๑.๓ การสนทนา หมายถึง การพูดคยุ กนั พูดจาเพือ่ สอ่ื สารแลกเปลีย่ นความรู้ ความคิด ความรสู้ ึก คณุ สมบตั ิของการสนทนาที่ดี คอื – หนา้ ตายิม้ แยม้ แจม่ ใส – ใช้ถ้อยคำสำนวนภาษาท่ีงา่ ย ๆ สุภาพ คำพดู และน้ำเสียงน่าฟงั เปน็ กนั เองกับคู่สนทนา ๒. การพูดในกลมุ่ การพูดในกลุ่มเป็นกิจกรรมที่สำคัญในสมัยปัจจุบัน ทั้งในชีวิตประจำวันและในการศึกษา เป็นเปิดโอกาสให้สมาชิกในกลุ่มได้ซักถาม แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วมาเล่าให้ฟังกัน มวี ิธีการดงั ต่อไปน้ี – เลา่ ถงึ เนื้อหาและประเด็นประเดน็ สำคญั ๆ ว่ามอี ะไรบา้ ง – ภาษาท่ใี ช้ควรเปน็ ภาษาท่ีงา่ ย – น้ำเสยี งชดั เจนนา่ ฟัง เนน้ เสยี งในตอนทส่ี ำคญั – ใช้กริ ยิ าทา่ ทางประกอบการเล่าเรอื่ งตามความเหมาะสม – ผูเ้ ลา่ เรอ่ื งควรจำเร่อื งได้เป็นอยา่ งดี  มารยาทในการพูด ๑. เตรยี มตัวใหพ้ ร้อม ๒. มีกิริยาทา่ ทางดี ๓. ใช้คำพูดสุภาพเหมาะสมกับเรอื่ งทีพ่ ดู ๔. ควบคมุ อารมณ์ในขณะท่พี ูด ๕. รบั ฟงั ความคดิ เห็นของผู้อื่น ๖. ควรพูดใหเ้ หมาะสมกบั เวลา

๗๕ ใบความรทู้ ่ี ๒ เร่ือง ความแตกตา่ งของภาษาพดู และภาษาเขยี น ความหมายของภาษาพูดและภาษาเขียน ภาษาพูด คือ ภาษาเฉพาะกลุ่ม หรือเรยี กว่า ภาษาปาก เช่น พวกภาษากลุม่ วยั รนุ่ บางครง้ั ฟังแล้วดูไม่สุภาพ มักใช้พดู ระหว่างคนท่สี นิทสนมกนั มาก ๆ ภาษาเขียน คือ ภาษาเขียนทลี่ ักษณะเครง่ ครัด ในหลกั ทางภาษา เรยี กว่า ภาษาแบบแผน ระดบั ไม่เคร่งครัด มากนัก เรยี กวา่ ภาษากึง่ แบบแผน หรือ ภาษาไม่เปน็ ทางการ ความแตกต่างระหวา่ งภาษาพดู กับภาษาเขยี น การเลือกใช้ภาษาควรคำนงึ ถงึ กาลเทศะในการใช้คำนัน้ ๆ บางคำก็ใช้เป็นภาษาเขยี นอยา่ งเดยี วบางคำก็ใช้พูด อย่างเดียว และบางคำอยู่ตรงกลางคืออาจเป็นทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนก็ได้ ความแตกต่างระหว่างภาษาพูดกับ ภาษาเขียนพออธบิ ายไดด้ ังน้ี ๑) ภาษาเขียนไม่ใชถ้ ้อยคำหลายคำทีเ่ ราใช้ในภาษาพดู เทา่ นัน้ เชน่ เยอะแยะ อือหือ ๒) ภาษาเขียนไม่มีสำนวนเปรียบเทียบหรือคำสแลงที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับในภาษา เช่น ชักดาบ พลิกล็อค โดดร่ม ๓) ภาษาเขียนมีการเรียบเรียงถ้อยคำที่สละสลวยชัดเจน ไม่ซ้ำคำหรือซ้ำความโดยไม่จำเป็น ในภาษาพูด อาจจะใช้ซำ้ คำหรือซ้ำความได้ เชน่ การพูดกลบั ไปกลบั มา เปน็ การย้ำคำหรือเนน้ ข้อความนั้นๆ ๔) ภาษาเขยี น เม่ือเขยี นเสรจ็ เรยี บร้อยแลว้ ผเู้ ขยี นไม่มีโอกาสแก้ไขเปลีย่ นแปลงได้ แต่ถ้าเปน็ ภาษาพูด ผู้พูด มโี อกาสชแ้ี จงแก้ไขในตอนทา้ ยได้ นอกจากนี้ยังมขี ้อแตกตา่ งระหว่างภาษาพูดและภาษาเขียนอกี หลายประการ คือ ๔.๑) ภาษาเขียนใช้คำภาษามาตรฐาน หรือภาษาแบบแผน ซึ่งนิยมใช้เฉพาะในวงราชการหรือ ในขอ้ เขยี นที่เปน็ วชิ าการทง้ั หลายมากกวา่ ภาษาพดู เช่น ภาษาเขียน – ภาษาพดู สุนัข - หมา สุกร - หมู กระบอื - ควาย แพทย์ - หมอ เคร่ืองบิน - เรือบนิ

๗๖ ใบความรู้ที่ ๒ (ตอ่ ) เรอ่ื ง ความแตกต่างของภาษาพูดและภาษาเขยี น เขยี น ๔.๒) ภาษาพดู มักจะออกเสยี งไม่ตรงกบั ภาษาเขียน คือ เขียนอยา่ งหนึ่งเวลาออกเสียงจะเพี้ยนเสียง ไปเลก็ น้อย สว่ นมากจะเป็นเสียงสระ เชน่ ภาษาเขียน – ภาษาพดู ฉัน - ชน้ั เขา - เค้า ไหม - ไม้(ม้ยั ) เท่าไร - เท่าไหร่ หรอื - หรอ, เรอ้ ะ ๔.๓) ภาษาพดู สามารถแสดงอารมณ์ของผู้พดู ไดด้ ีกวา่ ภาษาเขียน คือ มกี ารเนน้ ระดับเสียงของคำให้ สงู -ตำ่ -สนั้ -ยาว ได้ตามตอ้ งการ เชน่ ภาษาเขยี น – ภาษาพดู ตาย - ตา๊ ย บ้า - บ๊า ใช่ - ช่าย เปลา่ - ปล่าว ๔.๔) ภาษาพูดนิยมใช้คำช่วยพูดหรือคำลงท้าย เพื่อช่วยให้การพูดนั้นฟังสุภาพและไพเราะยิ่งขึ้น เช่น ไปไหนคะ ไปตลาดค่ะ รีบไปเลอะ ไม่เปน็ ไรหรอก นงั่ น่งิ ๆ ซิจะ๊ ๔.๕) ภาษาพูดนิยมใช้คำซ้ำ และคำซ้อนบางชนิด เพื่อเน้นความหมายของคำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ดี๊ดี เกา๊ เก่า อา่ นเอนิ่ ผ้าห่มผ้าเห่ิม กวาดแกวด ดงเดิน มอื ไม้

๗๗ ใบความรทู้ ี่ ๓ เรอื่ ง สำนวน สุภาษิต คำพังเพย ➢ ความหมายของสำนวน สุภาษติ คำพงั เพย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๕๔ : ๑๒๒๗) ได้อธิบายความหมาย “สำนวน” ไว้ว่า “ถ้อยคำท่ี เรียบเรียง, โวหาร, บางทีก็ใช้ว่าสำนวนโวหาร ; ถ้อยคำหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว มีความหมายไม่ ตรงตามตัวหรอื มีความหมายอนื่ แฝงอยู่ เช่น สอนจระเขใ้ หว้ ่ายน้ำ รำไมด่ ีโทษปีโทษกลอง” สำนวน จึงเป็นถ้อยคำที่มีความหมายไม่ตรงตามตัวอักษร เป็นคำกล่าวเชิงเปรียบเทียบเพื่อใช้อธิบาย การกระทำ พฤติกรรม หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ผู้พูดไม่ได้กล่าวถึงโดยตรง มีความหมายไม่ตรงรูปคำ แต่เป็นที่เข้าใจ ความหมายกันระหวา่ งผ้สู ง่ สารกับผู้รับสาร เชน่ น้ำทว่ มทุง่ ตีท้ายครัว หมอ้ ข้าวไมท่ นั ดำ สุภาษิต คือ ถ้อยคำที่กล่าวไว้เป็นคติหรือเตือนใจ มักเป็นถ้อยคำที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว มีจุดมุ่งหมายเพื่อสั่งสอนและเป็นข้อเตือนใจให้ปฏิบัติตาม โดยมามีคำว่า “อย่า” หรือ “ให้” ปรากฏในสุภาษิต น้ันดว้ ย เชน่ น้ำเชยี่ วอยา่ ขวางเรอื คบคนให้ดูหนา้ ซื้อผ้าให้ดูเน้ือ คำพังเพย คือ ถ้อยคำที่กล่าวให้ข้อคิด โดยจะกล่าวถึงพฤติกรรม การกระทำบางอย่างในสถานการณ์ต่าง ๆ เชน่ ปดิ ทองหลงั พระ ดังนั้น สุภาษิตคำพังเพย จึงจัดรวมอยู่ใน “สำนวน” ด้วยกันท้ังคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเปน็ ถ้อยคำทใ่ี ช้สืบเน่ืองกนั มานาน ➢ ลักษณะของสภุ าษิต และคำพังเพย สุภาษิต มีลักษณะเป็นถ้อยคำที่มักใช้ส้ัน ๆ กะทัดรัด แต่มีความหมายลึกซ้ึง มีสัมผัสคล้องจอง หรือบางคร้ัง อาจใชค้ ำแปลกชวนใหส้ ะดดุ ใจ คดิ ตีความ ส่วนใหญส่ ภุ าษติ ทใี่ ชก้ ันในสังคมไทย มกั มที ี่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา ธรรมะในพุทธศาสนา หรืออาจนำมาจากธรรมชาติ และสิ่งต่าง ๆ รอบตัว สุภาษิตเป็นถ้อยคำที่กล่าวสืบต่อกันมา แต่โบราณ มกั พบในวรรณคดเี รื่องต่าง ๆ เชน่ สุภาษติ พระร่วง โคลงโลกนิติ สุภาษติ สอนหญิง เป็นต้น

๗๘ ใบความรทู้ ี่ ๓ (ตอ่ ) เร่อื ง สำนวน สุภาษติ คำพงั เพย เขยี น ตัวอยา่ ง ❖ ทำดีได้ดี สอนวา่ หากทำดกี ็จะไดร้ บั ผลดตี อบแทน ❖ ทำชั่วได้ชว่ั สอนว่าหากทำชว่ั กจ็ ะไดร้ บั ส่งิ ไม่ดีตอบแทน ❖ นำ้ ข้นึ ให้รบี ตกั สอนใหร้ ีบทำเม่ือมโี อกาสดี ❖ น้ำขนุ่ อยใู่ น น้ำใสอยูน่ อก สอนใหเ้ กบ็ ความไม่พอใจเอาไว้ แสดงท่าทีเป็นมติ ร ❖ อยา่ ไวใ้ จทาง อยา่ วางใจคน สอนไม่ใหไ้ ว้ใจหรือเช่อื อะไรใครง่าย ๆ ❖ พึงเอาชนะความโกรธด้วยความไมโ่ กรธ สอนให้รจู้ ักระงบั ความโกรธ คำพังเพย มีลักษณะเป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรม หรือธรรมชาติรอบตัว โดยมากมักเป็น ถ้อยคำท่ีเป็นข้อสรปุ การกระทำหรอื พฤติกรรมทั่วไป อาจมที มี่ าจากนทิ าน ตำนาน วรรณคดี เป็นตน้ ตวั อย่าง ❖ ทองไมร่ ูร้ อ้ น หมายถงึ ทำตวั ไม่มีความร้สู กึ ไมม่ ีปฏิกริ ิยา ❖ ขม้ินกับปูน หมายถึง ไม่ถกู กัน ทะเลาะกนั เปน็ ประจ า ❖ กบเลอื กนาย หมายถงึ คนชา่ งเลือก เลือกมากจนตวั เองเดือดร้อน ❖ ทำคณุ บชู าโทษ หมายถงึ ทำความดแี ต่กลับได้รับสิ่งไม่ดตี อบแทน ❖ รำไม่ดโี ทษป่โี ทษกลอง หมายถึง ตนเองทำผดิ แต่โทษวา่ เป็นความผิดของผ้อู ่ืน ❖ มือไมพ่ าย เอาเท้าราน้ำ หมายถึง ตนเองไม่ช่วยทำแล้วยังขัดขวางการทำงานของผู้อื่น ➢ คณุ คา่ ของสำนวนไทย สำนวนไทยมีคุณค่าหลายประการ ดังนี้ ๑) ช่วยพฒั นาปัญญาของคนไทยในสงั คม ๒) เป็นมรดกแห่งภมู ปิ ัญญาทางภาษาไทย ๔. เป็น ๕. สะทอ้ นวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนาและวถิ ีชวี ิตความเปน็ อย่ขู องคนไท

๗๙ ใบความรู้ที่ ๓ (ต่อ) เร่ือง สำนวน สภุ าษติ คำพังเพย เขยี น ๓) เป็นแนวทางประพฤตทิ ดี่ ใี ห้แกค่ นในสังคม ๔) เป็นแบบแผนควบคมุ พฤติกรรมของคนในสังคม ๕) สะทอ้ นวฒั นธรรม ประเพณี ศาสนาและวถิ ชี วี ติ ความเป็นอยู่ของคนไทย ➢ สรปุ สุภาษิต และคำพังเพยนั้น จัดเป็น “สำนวน” ด้วยกันท้ังคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็น ถอ้ ยคำท่ีใช้สบื เนื่องกนั มานาน สุภาษิต เปน็ ถอ้ ยคำท่ีมักใช้คำส้ัน ๆ กะทัดรดั แต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา หรืออาจนำมาจากธรรมชาติ และสิ่งต่าง ๆ รอบตัว คำพังเพยเป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็น ข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี สำนวนไทยมีคุณค่าหลายประการ เช่น สะท้อนวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย ช่วยพัฒนาปญั ญาของคนในสังคมไทย เป็นแนวทางประพฤติทดี่ ใี หแ้ กค่ นในสงั คม

๘๐ ใบงาน

๘๑ ใบงานที่ ๑.๑ มารยาทในการฟัง การดู และการพดู ๑. ใหน้ ักศึกษาบอกมารยาทในการฟัง การดู และการพูดมาอย่างละ ๕ ข้อ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………….………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

๘๒ ใบงานที่ ๑.๑ (ตอ่ ) มารยาทในการฟัง การดู และการพดู ๒. ให้ผ้เู รยี นใช้วิจารณญาณใหร้ อบคอบวา่ เม่ือฟังข้อความโฆษณานี้แล้ว น่าเช่ือถือหรือเปน็ ความจริงมาก น้อย เพียงไร “ครมี ถนอมผวิ ชว่ ยให้ผวิ นมิ่ ผิวทีม่ ีริ้วรอยเหย่ี วยน่ จะกลบั เตง่ ตงึ เปลง่ ปลง่ั ผวิ ทอี่ ่อนเยาว์ในวยั เด็กจะกลับคืนมา คุณสุภาพสตรโี ปรดวางใจ และเรยี กใช้ครีมถนอมเนื้อ” ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………................................................. ๓. ให้นกั ศึกษาเขียนคำพูดตามสถานการณท์ ก่ี ำหนดใหต้ ่อไปนี้ ๓.๑ เขียนคำขอบคณุ ส้นั ๆ ที่เพ่อื นคนหน่งึ เกบ็ กระเป๋าสตางคท์ ่ตี กหายมาใหเ้ รา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………............. ๓.๒ เขียนคำอวยพรวนั เกดิ ของเพ่ือน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….............. ๓.๓ เขยี นคำกล่าวแสดงความยินดีในโอกาสทเี่ พ่ือนสอบสัมภาษณเ์ ข้าทำงานได้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….............

๘๓ ใบงานท่ี ๑.๒ ประเมนิ ตนเอง ใหน้ ักเรียนประเมนิ ตนเองว่าเป็นผฟู้ งั ผู้ดแู ละผู้พดู ท่ีมีมารยาท ในการสนทนาหรือไม่ โดยพิจารณาจากเกณฑ์ตอ่ ไปนี้ 0 ไม่ทำกิจกรรมอ่ืนขณะท่สี นทนา 0 ความคิดจดจ่ออยกู่ ับคู่สนทนาและเร่ืองท่ีสนทนา 0 ไม่พูดแทรกขณะท่ีคู่สนทนากำลงพดู 0 ใชค้ ำพดู สุภาพเรยี บร้อยในการสนทนา 0 พดู ดว้ ยน้ำเสยี งนา่ ฟงั ไมต่ ะโกนหรือตะคอก 0 ไมพ่ ูดข้ามศรี ษะผู้อนื่ 0 แสดงทา่ ทางประกอบการพูดอยา่ งเหมาะสม 0 ไม่พูดนนิ ทาหรอื กลา่ วรา้ ยผ้อู ่ืน ๑. นักเรยี นมมี ารยาทในการสนทนาอยา่ งไรบา้ ง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. .……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………… .…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………............................................ ๒. นกั เรยี นควรปรบั ปรงุ มารยาทในการสนทนาของตนเองอยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………......................................

๘๔ ใบงานที่ ๒ ภาษาพูด-ภาษาเขยี น ตอนท่ี ๑ ตอบคำถามต่อไปน้ีให้ถูกตอ้ ง ๑. ภาษาพดู หมายถงึ ภาษาอะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ..................………………………………………………………………………………………………………………………………………….. .…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๒. ภาษาเขยี น หมายถงึ ภาษาอะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ....................………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๓. ภาษาพดู และภาษาเขยี นใช้สอื่ สารโดยวธิ ใี ด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. .............………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๔. การจะใชภ้ าษาใดพูดหรอื เขยี น ผู้ใช้ภาษาจะต้องพจิ ารณาถึงสิ่งใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………................................ ๕. ภาษาพูด มขี ้อสังเกตอยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………..........................

๘๕ ใบงานที่ ๒ (ตอ่ ) ภาษาพดู -ภาษาเขยี น ตอนที่ ๒ ให้นักเรียนเปล่ยี นคําภาษาพูดท่ีกําหนดใหเ้ ปนคำภาษาเขียนท่ถี ูกต้อง ๑. กนิ ขา้ ว ๑. .................................................... ๒. ทํายังไงมหาลัย ๒. .................................................... ๓. อาทิตยห์ นา้ ๓. .................................................... ๔. กล้วย ๆ ๔. .................................................... ๕. งานยุ่งชะมดั ๕. .................................................... ๖.ตน้ ไม้เยอะแยะ ๖. .................................................... ๗. หมอ ๗. .................................................... ๘. โทรฯ ๘. .................................................... ๙. ไดม้ ะ ๙. .................................................... ๑๐. เจ๋ง ๑๐. .................................................... ๑๑. วัยโจ๋ ๑๑. .................................................... ๑๒. แหว้ ๑๒. .................................................... ๑๓. เดยี้ ง ๑๓. .................................................... ๑๔. คอ่ ยยงั ชั่ว ๑๔. .................................................... ๑๕. โดนสวด ๑๕. .................................................... ๑๖. ตีนเปล่า ๑๖. .................................................... ๑๗. จิงอะปา่ ว ๑๗. .................................................... ๑๘. เว่อร์ ๑๘. .................................................... ๑๙. กนุ ซอื ๑๙. ....................................................

๘๖ ใบงานที่ ๒ (ตอ่ ) ภาษาพูด-ภาษาเขียน ตอนท่ี ๓ ใหน้ กั เรียนเปลี่ยนภาษาในประโยคต่อไปนใ้ี ห้เป็นภาษาเขยี น ๑. คณุ ตาและคุณยายของเขาตายหมดแล้ว ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๒. ในช่วงปดเทอมวัดต่าง ๆ จะมกี ารบวชสามเณรภาคฤดรู ้อน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๓. เมอื่ ผู้ชายไทยอายุ ๒๑ ปเต็มจะต้องไปจบั ใบดำใบแดงเพื่อเข้าเป็นทหารเกณฑ์ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๔. ญาติของเขามีอาการโคม่า ตอนนอ้ี ยใู่ นห้องไอซยี ู ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๕. ขอเชญิ ร่วมฟังสวดศพที่วัดบางไกรนอก ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๖. ชว่ ยกนั ดแู ลบ้านเรอื นใหส้ ะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ไมส่ กปรก รกรุงรัง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๗. วนั น้คี ุณแมแ่ ตง่ ตวั จา๊ บจรงิ ๆ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๘. ตำรวจให้ไปเสียค่าปรบั ที่โรงพกั ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๙. ครสู อนเกนิ เวลาไปหนอ่ ยเดียวเท่านน้ั …………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

๘๗ ใบงานที่ ๒ (ต่อ) ภาษาพดู -ภาษาเขยี น ตอนที่ ๔ ใหน้ กั เรียนเปลยี่ นคำที่ขีดเสน้ ใต้ในประโยคใหเ้ ปน็ ภาษาเขยี นให้ถกู ตอ้ ง ๑. เค้าไปเที่ยวด้วยคนนะ (....................................) ๒. เธอจะไปเทย่ี วภูเก็ตจรงิ ๆ รึ (....................................) ๓. ฉันไม่มีเงนิ ในกระเป๋าซกั บาท (....................................) ๔. เรอ่ื งน้ีเธอรูแ้ ล้วใช่ม้ัย (....................................) ๕. วันนี้มีผู้มาชมการแสดงเยอะแยะ (....................................) ๖. ฉนั ชอบหนงั เร่ืองพระนเรศวรมาก (....................................) ๗. พรุ่งนี้พบกนั ท่ีโรงเรียนแปดโมงเชา้ (....................................) ๘. ปากกาดา้ มนรี้ าคาเทา่ ไหร่ (....................................) ๙. แม่อยากให้ผมศึกษาต่อจนจบปริญญาตรี (....................................) ๑๐. เมื่อรู้ยังงแี้ ล้วเธอยงั จะทำอกี หรือ (....................................) ๑๑. บ้านของทา่ นกำนันหลังเบ้อเรม่ิ เท่ิม (....................................) ๑๒. คณุ พ่อซ้ือคอมใหฉ้ นั แล้วเมือ่ วานนี้ (....................................) ๑๓.เธอทำยังไงคุณปจู่ งึ รักเธอมาก (....................................) ๑๔. เธอไมค่ วรทำอย่างงน้ั อีกตอ่ ไป (....................................) ๑๕. คนไทยทุกคนรักในหลวงมาก (....................................) ๑๖.เด็กวัยรุน่ เดีย๋ วน้ีขับรถเคร่ืองเรว็ มาก (....................................) ๑๗.โรงเรยี นของฉนั มีรถเมล์ว่ิงผ่านหลายสาย (....................................) ๑๘.สมชายใช้รถถบี มาโรงเรียน (....................................) ๑๙. เราไม่ควรดูทีวีตลอดท้ังวัน (....................................)

๘๘ ใบงานที่ ๒ (ตอ่ ) ภาษาพูด-ภาษาเขยี น ตอนที่ ๕ ให้นักเรียนขีดเส้นใต้คำที่ไม่เหมาะสมกับระดับภาษาพร้อมทั้งเขียนข้อความใหม่ตามระดับ ภาษาท่ีถูกต้อง ๑. เรียน ทา่ นผู้อำนวยการบริษัทสง่ เสริมภักดี ดิฉนั ในนามของคณะผู้จัดทำโครงการคิดก่อนใช้รว่ มใจประหยัดพลังงาน ขอขอบพระคุณท่าน ผอู้ ำนวยการมากท่ีสละเวลามาเป็นประธานในพิธีการเปดิ โครงการในวันน้ี ข้อความใหม่ ………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๒. แม่ : หนดู ีเห็นเจา้ ดา่ งหรอื เปล่าลูก ลกู : ไม่เหน็ เลยคุณแม่ สนั นิษฐานว่าเธอคงออกไปวิ่งเลน่ ข้างนอก ข้อความใหม่ ………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๓. ในวารดิถีขึ้นปีใหม่นี้ ขอให้พระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท้ังหลายทั้งปวง ปกป้องคุ้มครองให้ คุณตามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีความสุขความเจริญและเป็นร่มโพธ์ิร่มไทรให้แก่ลูกหลานทุกคนตลอดไป ตราบนานเท่านาน ข้อความใหม่ ………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๔. รายงานเรือ่ ง “ระดับภาษา” ฉบับนีเ้ ป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทย ท ๒๑๑๐๑ ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี ๑ ทำขนึ้ เพ่อื หาความรู้เกี่ยวกบั ภาษาไทยทใ่ี ช้สื่อสารในระดับตา่ ง ๆ ขอ้ ความใหม่ ………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

๘๙ ใบงานท่ี ๓ สำนวน สภุ าษติ คำพังเพย ตอนที่ ๑ จงตอบคำถามต่อไปนใ้ี ห้ถกู ตอ้ งสมบูรณ์ สภุ าษติ คำพังเพย จดั รวมอยู่ใน “สำนวน” ดว้ ยกนั ท้ังคู่ เพราะ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ตอนที่ ๒ จงจำแนกสำนวนไทยต่อไปน้ีว่าสำนวนใดเปน็ สุภาษติ สำนวนใดเปน็ คำพงั เพย ๑. บวั ไมใ่ ห้ช้ำ น้ำไมใ่ ห้ขนุ่ เปน็ ..................................................................... ๒. มีสลึงพงึ บรรจบใหค้ รบบาท เป็น ..................................................................... ๓. มือถอื สาก ปากถือศีล เป็น ..................................................................... ๔. น้ำขน้ึ ใหร้ ีบตกั เป็น ..................................................................... ๕. กบเลอื กนาย เป็น ..................................................................... ๖. ขมน้ิ กบั ปูน เป็น ..................................................................... ๗. น้ำขนุ่ อยใู่ น น้ำใสอยนู่ อก เป็น ..................................................................... ๘. อย่าไวใ้ จทาง อย่าวางใจคน เปน็ ..................................................................... ๙. ทำคณุ บชู าโทษ เปน็ ..................................................................... ๑๐. พึงเอาชนะความโกรธดว้ ยความไมโ่ กรธ เปน็ ..................................................................... ๑๑. คบคนใหด้ หู นา้ ซอ้ื ผา้ ให้ดเู น้ือ เป็น ..................................................................... ๑๒. เข้าเมืองตำหล่ิว ตอ้ งหลิ่วตาตาม เปน็ .................................................................... ๑๓. กง่ิ ทองใบหยก เปน็ .................................................................... ๑๔. เขยี นเสือให้วัวกลัว เปน็ ....................................................................

๙๐ ใบงานที่ ๓ (ตอ่ ) สำนวน สุภาษติ คำพังเพย ตอนที่ ๓ จงบอกความหมายของสำนวนต่อไปน้ี ๑. สูจ้ นยบิ ตา หมายถึง ............................................................................................................................. ................................................ ๒. งอมพระราม หมายถงึ .................................................................................................................................. ........................................... ๓. เจ้าไมม่ ศี าล สมภารไมม่ ีวัด หมายถงึ ............................................................................................................................................................................ .. ๔. ตีนแมว หมายถงึ ............................................................................................................ .................................................................. ๕. เข้าตามตรอกออกตามประตู หมายถึง ............................................................................................................................. ................................................ ๖. ออ้ ยเขา้ ปากช้าง หมายถึง ............................................................................................................................. ................................................ ๗. หนอนหนงั สือ หมายถึง .................................................................................................................................... ......................................... ๘. เศรษฐียังขาดไฟ หมายถึง ............................................................................................................................................................................. ๙. รูร้ กั ษาตวั รอดเปน็ ยอดดี หมายถงึ ............................................................................................................................. ................................................

๙๑ ใบงานที่ ๓ (ตอ่ ) สำนวน สภุ าษิต คำพังเพย ตอนท่ี ๔ จงเติมสำนวนลงในชอ่ งว่างใหถ้ กู ต้องตรงความหมาย ๑. หาประโยชนใ์ สต่ นโดยขดู รีดจากคนอืน่ ............................................................................................................................. ................................................ ๒. สร้างเรอ่ื งไมจ่ ริงใหเ้ ปน็ เรื่องจรงิ ...................................................................................................................................................................... ....... ๓. คำพดู ตรง แต่ไมน่ ่าฟัง ................................................................................................ ............................................................................. ๔. เอาความลบั ไปบอกใหใ้ คร ๆ รู้ ............................................................................................................................. ................................................ ๕. ชอบว่าคนอื่นไมด่ ี แตต่ ัวกับทำเสียเอง ............................................................................................................................. ................................................ ๖. หายหนักใจ ............................................................................................................................. ................................................ ๗. คนแตง่ เกา่ ๆ ขาด ๆ แต่ร่ำรวยมที รัพย์ .................................................................................................................................................................. ........... ๘. เรอ่ื งไม่ละเอียดถีถ่ ้วน กถ็ ือเปน็ จรงิ เปน็ จรงิ ............................................................................................................................................................................. ๙. คนทเี่ งยี บ หงมิ ๆ มกั จะมีความคิดลกึ ซ้งึ ............................................................................................................................. ................................................

๙๒ ใบงานที่ ๓ (ตอ่ ) สำนวน สุภาษิต คำพงั เพย ตอนท่ี ๕ พิจารณาสถานการณต์ ่อไปน้ีว่าตรงกบั สำนวนใด ๑. สมชายไมช่ ว่ ยเพื่อนทำรายงาน แล้วยงั เปิดวทิ ยเุ สยี งดังรบกวนเพอ่ื น ตรงกบั สำนวนใด .................................................................................................................................................. ๒. พอ่ แมอ่ ตุ ส่าหก์ ู้หนย้ี มื สนิ หาเงนิ มาให้เรียนหนงั สือกลับหนโี รงเรยี นเอาเงินไปเที่ยวกบั เพื่อน ตรงกบั สำนวนใด ....................................................................................................................... ......................... ๓. ครูของฉนั สอนลกู ศษิ ยไ์ ดผ้ ลดยี ิ่ง ลูกศษิ ยส์ อบได้ยกชน้ั ทุกปี ท่านทำงานมาเกือบสิบปแี ลว้ เพ่ิงได้ เงินเดอื นขึ้นคร้งั เดียวเท่านั้น ทัง้ นีเ้ พราะทา่ นไมต่ อ้ งการโฆษณาความดีของท่าน การกระทำของครนู ี้ ตรงกบั สำนวนใด …………………………………………………………………………………………………….. ๔. นกั การเมอื ง ๒ คนน้ี เขารู้จดุ อ่อนและเลห่ ์เหลย่ี มของกันและกัน ตรงกับสำนวนใด .................................................................................................................................................. ๕. นายแดงเปน็ คนจน งานหาเลยี้ งชพี ก็ไมม่ ีทำ แต่นายแดงชอบแตง่ ตัวหรูหราจนคนอนื่ ๆ เข้าใจว่า เป็นคนร่ำรวย ลักษณะของนายแดง ตรงกบั สำนวนใด ……………………………………………………………………………………………………

๙๓ แบบทดสอบ เรอื่ ง สำนวน สุภาษิต คำพงั เพย หน่วยยอ่ ยท่ี ๓ แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี ๒ เร่ือง สำนวนทเ่ี ปน็ คำพังเพยและสุภาษิต รายวิชาภาษาไทย รหัส ท ๒๑๑๐๑ ภาคเรียนท่ี ๑ ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี ๑ คำชแี้ จง ใหน้ ักเรียนเลือกคำตอบที่ถกู ต้องทสี่ ดุ เพียงขอ้ เดียวเท่าน้นั ๑. ข้อใดเป็นคำพังเพย ๖. \"คนเราจิตใจต่างกัน\" พดู เปน็ สำนวนว่าอย่างไร ก. ขม้ินกับปนู ก. ขนมพอสมน้ำยา ข. นำ้ ขึน้ ใหร้ บี ตกั ข. ลางเน้ือชอบลางยา ค. น้ำขนุ่ อยู่ใน น้ำใสอยู่นอก ค. คอหยกั ๆ สกั แต่ว่าคน ง. พึงเอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ ง. คับที่อยู่ไดค้ ับใจอย่ยู าก ๒. ขอ้ ใดไมใ่ ชค่ ำพังเพย ๗. \"พกหนิ ดกี ว่าพกนุน่ \" หมายความว่าอย่างไร ก. ทองไม่รู้ร้อน ก. หนิ หนกั กว่านุ่น ข. กระตา่ ยตน่ื ตมู ข. ไปไหนควรเอาหนิ ไปด้วย ค. ทำดไี ด้ดที ำช่ัวได้ชว่ั ค. ทำงานหนกั ไดป้ ระโยชน์กว่างานเบา ง. มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ ง. ให้ใจคอหนกั แนน่ อยา่ หเู บาใจเบา ๓. “สมทรงไม่ช่วยเพ่ือนทำรายงาน แล้วยังเปดิ ๘. \"ตปี ลาหนา้ ไซ\" หมายความว่าอย่างไร วทิ ยุเสยี งดังรบกวนเพ่ือน” ข้อความนี้ควรใช้ ก. จบั ปลาได้มาก สำนวนใด ข. ทำร้ายเด็กต่อหน้าผใู้ หญ่ ก. กินในทล่ี บั ไขในท่ีแจ้ง ค. ทำให้ผูอ้ นื่ เสยี ประโยชน์ทเ่ี ขาควรจะได้ ข. มอื ไมพ่ ายเอาเท้าราน้ำ ง. ฉวยโอกาสกอบโกย ค. คบคนพาล พาลพาไปหาผิด ๙. ผ้ทู ่ีมีส่งิ ทีต่ นไม่ร้คู ุณค่า อุปมาว่าอย่างไร ง. เขา้ ตามตรอกออกตามประตู ก. กิ้งกา่ ได้ทอง ๔. นักการเมือง ๒ คนน้ี เขารู้จุดออ่ นและเลห่ ์ ข. วานรได้แก้ว เหลย่ี มของกันและกนั ข้อความนค้ี วรใช้สำนวนใด ค. หวั ล้านได้หวี ก. สู้จนยบิ ตำ ง. ตาบอดได้แวน่ ข. ว่าแต่เขาอเิ หนาเปน็ เอง ๑๐. \"คนท่ีรอู้ ะไรด้านเดียว แลว้ ก็เข้าใจว่าสงิ่ นนั้ ค. ไก่เห็นตนี งู งเู ห็นนมไก่ เป็นอยา่ งนัน้ \" ตรงกบั สำนวน ง. ขา้ งนอกสกุ ใส ขา้ งในเป็นโพรง ก. ตาบอดไดแ้ ว่น ๕. \"วันพร่งุ นส้ี อบ คืนนคี้ อ่ ยดูหนงั สอื \" ตรงกบั ข. ตาบอดคลำช้าง สำนวนใด ค. ตาบอดสอดตาเหน็ ก. หวังน้ำบอ่ หน้ำ ง. ตาบอดตาใส ข. ใจดสี เู้ สอื ค. ตำขา้ วสารกรอกหม้อ ง. ช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงาม

๙๔ แบบสังเกตพฤตกิ รรมการเรียนของนกั เรยี นรายบุคคล คำชแ้ี จง ให้ทำเครื่องหมาย √ ลงในชอ่ ง คุณธรรม การมสี ว่ น ความ ในการเรยี น ร่วมในการ รบั ผิดชอบ ความสนใจ ทำกิจกรรม ต่องาน เช่น กระตือรือรน้ เชน่ ตอบ ทไี่ ด้รับ เลขท่ี ชอ่ื -สกุล ในการเรียน คำถาม มอบหมาย ความขยัน รวม ความ ซ่ือสัตย์ มจี ิต- สาธารณะ ๑ ๒ ๓ ๑ ๒ ๓ ๑ ๒ ๓ ๑ ๒ ๓ ๑๒ ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเติม : ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ เกณฑการประเมนิ ระดับคุณภาพ ๓ หมายถึง ดี ๙ – ๑๒ คะแนน ระดบั ดี ๒ หมายถึง พอใช้ ๕ – ๘ คะแนน ระดบั พอใช้ ๑ หมายถึง ปรับปรงุ ๑ – ๔ คะแนน ระดับปรับปรุง ลงช่ือ............................................................ผูป้ ระเมิน (........................................................) ............../.................../...............

๙๕ รายละเอียดเกณฑก์ ารให้คะแนนแบบสังเกตพฤตกิ รรมการเรียนของนักเรยี นรายบุคคล ประเด็นการประเมนิ เกณฑ์การให้คะแนน ๑ ๒๓ ๑. ความสนใจ มคี วามสนใจและ มีความสนใจและ ขาดความสนใจและ กระตือรอื ร้น กระตือรอื ร้นในการเรยี น กระตือรือร้นในบางเวลา ความกระตือรือร้น ในการเรยี น ตลอดเวลา พูดคยุ นอกเรื่องบางครั้ง พูดคุยนอกเร่ืองบ่อยครัง้ ในคาบ หรอื เปน็ ประจำ ๒. การมีสว่ นรว่ มใน มีส่วนรว่ มในการทำ มีส่วนรว่ มในการทำ ขาดการมีส่วนรว่ มใน การทำกจิ กรรม เช่น กจิ กรรมสมำ่ เสมอตลอด ตอบคำถาม คาบ ตอบคาํ ถามทกุ ครง้ั ที่ กิจกรรมสมำ่ เสมอตลอด การทำกจิ กรรม ไม่ตอบ ครถู าม ๓. ความรบั ผดิ ชอบ มคี วามรับผดิ ชอบตองานที่ คาบ ตอบคาํ ถามทค่ี รถู าม คําถามทคี่ รูถาม ต่องานท่ีได้รับ ไดร้ ับมอบหมายอย่างดี มอบหมาย ทำงานเสรจ็ และส่งตาม บอ่ ยครง้ั เวลาทุกครั้ง มีความรับผดิ ชอบต่อ ขาดความรบั ผิดชอบต่อ งานท่ีได้รับมอบหมายแต่ งานทีไ่ ด้รับมอบหมาย ทำงานไมเ่ สรจ็ และส่งไม่ ทำงานไม่เสร็จและส่งไม่ ทันเวลาบางครั้ง ทันเวลาบ่อยคร้งั หรือ ทกุ คร้ัง ๔. คุณธรรมในการ มคี ณุ ธรรมในการเรียน มีคณุ ธรรมในการเรยี น ขาดคณุ ธรรมในการ เรยี น เช่น โดยมีความขยัน ซ่ือสัตย์ ความขยัน และมจี ิตสาธารณะต่อครู โดยมีความขยนั ซ่ือสตั ย์ เรยี นโดยไม่ขยนั เรยี น ความซอื่ สัตย์ และเพ่ือนทุกครง้ั ที่มโี อกาส มจี ิตสาธารณะ และมีจิตสาธารณะต่อครู ไม่ซื่อสัตย์และไม่มี และเพื่อนบ้างบางครง้ั จติ สาธารณะต่อครูและ เพือ่ น