Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือ Boot Camp 65 รวมปก

คู่มือ Boot Camp 65 รวมปก

Description: คู่มือ Boot Camp 65 รวมปก

Search

Read the Text Version

ก คำนำ คู่มืออบรมครูภำษำอังกฤษ Boot Camp 2022 (Handbook for English Teacher Boot Camp 2022) ฉบับน้ี จัดทำขึ้นเพ่ือใช้ประกอบกำรจัดกิจกรรมกำรอบรม เชิงปฏิบัติกำรพัฒนำกำรจัดกำรเรียนกำรสอนภำษำอังกฤษ (Boot Camp) โดยใช้ระบบ Digital Technology ของสำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำประถมศึกษำอุดรธำนี เขต 4 เน้ือหำประกอบดว้ ยกจิ กรรมตำ่ ง ๆ ประกอบกำรอบรม ซึ่งจะชว่ ยให้ผ้เู ขำ้ รบั กำรอบรม มีควำมรู้ควำมเข้ำใจในเนื้อหำต่ำง ๆ มำกย่ิงขึ้น คณะผู้จัดทำ ได้รวบรวมเรียบเรียงจำก หลักสูตร Boot Camp Turbo โดยแนวกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้มุ่งเน้นเพื่อกำรสื่อสำร (Communicative Approach) และกำรจัดกำรเรียนรู้ภำษำอังกฤษแบบเชิงรุก (Active Learning) ตลอดจนเอกสำรอ่ืนๆ ที่เก่ียวข้องในดำ้ นสอื่ เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั หวงั เป็น อยำ่ งยิ่งวำ่ จะเป็นประโยชน์แกค่ รผู ู้สอนภำษำอังกฤษสำหรบั ใช้ในกำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนรู้ ตอ่ ไป กลุม่ นเิ ทศ ตดิ ตำมและประเมนิ ผลกำรจดั กำรศึกษำ สำนักงำนเขตพนื้ ทก่ี ำรศึกษำประถมศกึ ษำอดุ รธำนี เขต 4

ข สำรบญั เรอ่ื ง หน้ำ คำนำ ก สำรบญั ข การสอนโฟนกิ ส์ (Phonics) 1 กิจกรรมการสอนอ่าน (Reading) 7 กิจกรรมการสอนเขยี น (Writing) 15 กจิ กรรมการตอบสนองดว้ ยท่าทาง 23 (Total Physical Response: TPR) 30 กิจกรรมการสอนไวยากรณเ์ พื่อการสื่อสาร (CLT Grammar) 51 การติดตามและใหผ้ ลยอ้ นกลบั (Monitoring and Feedback) 53 การให้ผลสะทอ้ นกลบั (Giving Feefback) 58 การจดั การเรยี นการสอนโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทลั (Digital Technology) 60 ภาคผนวก 61 กาหนดการการอบรมเชิงปฏบิ ัตกิ าร โครงการฯ 62 65 รายละเอียดกิจกรรมการอบรม Boot Camp คณะผจู้ ดั ทา

1 การสอนโฟนิกส์ (Phonics) โฟนกิ ส์ เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกบั ความสัมพนั ธ์ระหว่างตวั อักษรและเสียงของตัวอักษรท่ี ม่งุ เน้นให้สามารถอ่านได้ วิธีการสอนแบบโฟนิกส์ 1. ขนั้ การนาเสนอความสัมพันธ์ระหว่างตวั อกั ษรและเสยี งของตัวอกั ษร (Letter- Sound Correspondence) นาเสนอตัวอกั ษรและจานวนเสียงในแต่ละครง้ั เช่น c ช่อื ซี ออกเสียงวา่ เคอะ 2. ข้ันการนาเสนอเทคนคิ การผสมเสียงเพ่ือใหเ้ กิดการอา่ น (Blending) ผสมเสียงดว้ ยการลากเสียงแตล่ ะเสยี งในคาตอ่ เนื่องกัน จนเกิดเปน็ เสียงของคาน้นั ๆ เช่น 2.1 ช้ีใหผ้ เู้ รียนเห็นว่า คาศัพั ท์มเี สยี งของอกั ษรอะไรบ้าง เช่น คาศััพท์วา่ “cat” ประกอบดว้ ยเสยี งของตวั อกั ษร c = เคอะ เสยี งของอกั ษร a = แอะ และเสียงของตวั อกั ษร t = เทอะ 2.2 ใหล้ ากเสียงตวั อักษรเสียงแรก คอื เสยี งอักษร c =เคอะ ลากเสยี งของเสยี งแรกมาเชือ่ ต่อกับเสยี งที่สองคอื เสยี งของตวั อักษร a = แอะ 2.3 ลากเสียงมาจนจบกับเสยี งท่ีสาม คอื เสยี งของตัวอักษร t = เทอะ จนเกิดการออกเสยี งคาวา่ “cat” = แคท

2 3. ขัน้ การเรียนร้กู ารสรา้ งคา เปน็ การเรียนรเู้ พอื่ เสริมทกั ษะการถอดรหัสเสียงในคา การแทนทเี่ สียงในคา และ การจดจารปู คาศัพั ท์ สามารถระบลุ าดับกอ่ นหลังของตัวอักษรในคาศััพท์แตล่ ะคาได้ เพื่อให้ เขา้ ใจวธิ ีเขียนอ่านและรูปแบบการสะกดคา เช่น brain ตัด b ออก เป็น rain และแทนที่ b ด้วย t ก็จะเป็น train การออกเสียงแบบ Phonics ตัวอักษร อา่ นออกเสียง วธิ อี อกเสยี ง คาศัพท์ A a แอะ apple, ant B b เบอะ bat, ball C c เคอะ cat, cow D d เดอะ dog, duck E e เอะ engine, egg F f ฟึ fan, fox G g เกอะ, เจอะ goat, guitar H h ฮะ hot, house I I อิ ink, igloo J j เจอะ jam, jelly K k เคอะ king, kite L l อลื leaf, lollipop M m อืม mouse, man N n อืน nose, nest O o เอาะ, โอ orange, ox P p เพอะ parrot, pie Q q เควอะ quilt, queen Rr เออร์ ล้ินไมแ่ ตะอะไรเลย rabbit, rat S s ซึ snake, sun T t เทอะ tiger, tap U u อ้ะ umbrella, uncle V v เวอะ ฟนั บนแตะริมฝปี ากลา่ ง violin, van W w เวอะ ฟันไม่แตะอะไร ทาปากจู๋ wind, wax

3 ตัวอกั ษร อา่ นออกเสยี ง วธิ อี อกเสียง คาศพั ท์ Xx คะสึ box, fox Yy เยอะ yellow, yogurt Zz ซึ zoo, zipper หมายเหตุ คุณครูสามารถฝึกออกเสยี งไดจ้ าก https://www.youtube.com/watch?v=Ka7z_Sxj1iE แนวทางการจัดการเรยี นการสอนออกเสียง การสอนออกเสยี ง ควรอยู่ในบริบททม่ี คี วามหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์ตอ่ การนาไปใช้ใน ชวี ิตประจาวนั (สุรยิ นั ต์ิ ปานเล่ห์, 2554) เชน่ การฝกึ คู่เทียบเสยี ง Minimal Pairs ตวั อย่างเช่น pet vs bet tent vs dent ship vs chip และถ้าสามารถนาคาเหล่านัน้ ไปใส่ไวใ้ นบรบิ ทที่เปน็ เพลงหรอื กลอนหรือ Tongue Twister จะเป็น ประโยชน์กบั ผู้เรยี นและทาให้ผเู้ รยี นไดส้ นใจมากกวา่ การสอนระดับเสียงเดยี่ ว อาจเริ่มจากคาเทียบเสียงเช่น เสียงท่ีนักเรยี นมีปญั หาในการออกเสยี ง เช่น เสยี ง /Sh/ และเสียง /Ch/ โดยเรม่ิ ให้นักเรียนฟังเสยี งสองเสยี งนี้ในคาเดี่ยวๆ เชน่ ship chip sherry cherry shoes choose sheep cheep washing watching cash catch

4 จากน้ันให้นักเรยี นฝึกเสียงเดย่ี วๆ ในประโยค เช่น /Sh/ Those are pretty shoes. I can see a red ship in the sea. Do you like washing your own clothes? /Ch/ It’s very cheap. There’s one gray chair in the room. That’s a pretty child. จากนั้นอาจทดสอบเสียงโดยใหผ้ ูเ้ รยี นฟังประโยคแล้วเลอื กคาทถ่ี กู ต้อง เช่น 1. Small shops / chops are often expensive. 2. The dishes / ditches need cleaning. 3. She enjoys washing / watching the children play in the park. และอาจทากิจกรรมเพื่อการส่ือสารดว้ ยการถามความชอบของตนเองและเพื่อน ร่วมชน้ั โดยใช้เสียง /Sh/ และ /Ch/ ตามใบงานข้างลา่ งนี้ Worksheet เร่ือง /Sh/ vs /Ch/ How much do you enjoy the things in the chart below? เช่น How much do you enjoy playing chess? 1= very much 2= not much 3 = not at all Fill in the chart for yourself, and then ask three other people. You Friend1 Friend 2 Friend 3 Playing chess Watching TV Washing up Going to a football match Cooking chips Eating chips Lying in the sunshine Shopping

5 การสอนเสียงสูงต่า การสอนเสียงสงู ต่าทั้งในระดับคา (Stress) และใน ระดับประโยค (Intonation) ซง่ึ มีความจาเปน็ ต่อ การสื่อสารเปน็ อยา่ งยิง่ การเน้นหนักเสียงในระดบั คา Stress in words เช่น 1. คาสองพยางค์สว่ นใหญ่เน้นเสียงทีพ่ ยางคแ์ รก เชน่ 'doctor 'cabbage 'travel 2. คานามประสม (Compound Nouns) เนน้ เสยี งท่พี ยางคแ์ รก เช่น 'coffe shop 'bookshop 'orange juice 3. คากริยาประสม เนน้ เสียงทส่ี ว่ นหลัง เช่น get 'up put 'on get 'dressed ในระดับประโยคนั้น เสยี งสูงตา่ แสดงใหเ้ ห็นถงึ เจตนา อารมณ์ ความรู้สึกของผู้พูด มกั จะใช้สญั ลักษณ์เป็นลูกศัร    (สรุ ิยันต์ิ ปานเลห่ ์, 2554) คาๆ เดยี ว เช่น คาว่า Really ในเสยี งท่ขี น้ึ ลงแตกตา่ งกันทาให้เราสามารถทราบถึง เจตนาของผู้พดู ท่แี ตกต่างกันได้ Really?  เสียงสงู แสดงถงึ ความไมแ่ นใ่ จ ตืน่ เต้น หรอื สงสยั Really!  เสียงต่า แสดงถงึ ความเคลอื บแคลง ความไม่ไว้ใจ Really.  และ  แสดงถงึ ความรสู้ กึ เป็นกลาง สาหรับ Intonation ระดับเสยี งสูงต่าในประโยค ท่สี าคญั ได้แก่ (รพพี ร สรอ้ ยน้า, 2553) 1. ระดับเสียงสงู ท้ายประโยค Rising Intonation เช่น การถามด้วยประโยคแบบ Yes-N0 questions Did you enjoy the film?  Are you coming to the party tomorrow?  Were you at the conference yesterday?  2. ระดบั เสียงต่าท้ายประโยค Falling Intonation ใชใ้ นประโยคบอกเล่า ประโยคคาถามและคาตอบแบบ Wh-Questions คาสงั่ เม่อื คาดว่า ผฟู้ ังจะปฏบิ ตั ติ ามคาสงั่

6 ประโยคบอกเล่า Last month, I went to Australia to attend the graduation ceremony.  Loy Krathong is one of the most famous festivals in Thailand.  ประโยคคาถามและคาตอบแบบ Wh-questions What time are you leaving for Bangkok?  At seven.  Where did you study for your doctoral degree?  At the State University of New York.  When did you visit Japan?  In 1999.  Why do teenagers want to be movie stars?  Because they can earn a lot of money in this career.  Who is the most famous person in the world?  I don’t know.  How long does it take to fly From Pert to Brisbane?  Around six hours.  คาส่งั เมือ่ คาดว่า ผู้ฟังจะปฏิบตั ิตามคาสั่ง Don’t be late for the meeting.  Keep away from the fire.  Listen to the questions carefully when taking the listening test.  หนงั สืออ้างองิ รพพี ร สร้อยน้า (2553). เอกสารประกอบการอบรมครูประจาการที่สอนไมต่ รงวุฒิ/วิชาเอก กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ). มหาวทิ ยาลัยราชภัฏ อดุ รธาน.ี สุรยิ ันต์ิ ปานเลห่ .์ (2555).การสอนออกเสยี ง.ใน อรุณี วิริยะจิตรา (บรรณาธกิ าร). เหลียวหลัง แลหน้า การสอนภาษาองั กฤษ (หนา้ 100-102). กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พห์ น้าตา่ งสู่ โลกกวา้ ง

7 กิจกรรมการสอนอ่าน (Reading) British Council แบ่งข้ันตอนการสอนอา่ นสาหรับระดับประถมศึกษา (A primary reading lesson) โดยใช้เรอื่ งส้ัน (Short story) ซึ่งมีข้ันตอนในการสอนจานวน 7 ขั้นได้แก่ 1. Lead in ขนั้ นาเข้าส่บู ทเรยี น 2. Pre-teach vocabulary ขนั้ การสอนคาศพั ทท์ ใี่ ช้สาหรับในการอ่าน 3. Pre-reading Activity ขน้ั กิจกรรมก่อนการอา่ น 4. Gist reading activity ขั้นกจิ กรรมการอ่านใจความหลัก/ใจความสาคัญ 5. Scan reading Activity ขั้นกจิ กรรมการอ่านแบบกวาดสายตา 6. Detailed reading activity ขัน้ กจิ กรรมการอ่านแบบรายละเอียดรอบคอบและลึกซ้ึง 7. Post-reading Task ข้นั กิจกรรมงานหลังการอ่าน รายละเอยี ดขั้นตอนการสอนอา่ นท้ัง 7 ขนั้ ตอนมดี งั น้ี Stage Procedure Aims ข้ันตอน กระบวนการ/กิจกรรม จุดมุง่ หมาย 1. Lead in  Gather students around you. To create interest in ข้นั นาเขา้ สู่บทเรยี น the topic of the story  Show students one of the story and to set the context. pictures. Students look at a  Elicit ideas and vocabulary from the เพอื่ สรา้ งความสนใจ picture from the story  picture by asking ‘What’s this?’ ‘Who’s เกี่ยวกบั หวั ข้อเรื่องและ and talk about what this?’ and ‘Where is it?’. กาหนดเนอ้ื หาบริบท they see in the picture. Tell students they are going to read a story, but first they are going to learn some words from the story. นักเรียนมองดทู ่ีรปู ภาพ จากเร่อื งและพูดเก่ยี วกับ ส่ิงทเ่ี ห็นในรปู ภาพ

8 2. Pre-teach  Divide students into groups of 4-5. To enable students to vocabulary understand key  Give each group a set of vocabulary vocabulary essential for ขนั้ การสอนคาศัพท์ที่ใช้ picture cards. understanding the สาหรับในการอ่าน story.  Students look at the vocabulary Students match picture cards and ask each other pictures with key vocabulary from the ‘what’s this?’. เพื่อทาใหน้ ักเรียนสามารถท่ี story and play a จะเข้าใจคาศัพท์ท่จี าเป็นต่อ game to help them  Give each group a set of vocabulary การเขา้ ใจเนื้อเรื่องได้ remember the word cards. Ask students to match the words. pictures with the words as quickly as นกั เรียนจับค่ภู าพกับ they can. The group who finishes first คาศัพท์ทสี่ าคัญจากเร่ือง และเล่นเกมเพ่ือช่วยให้ is the winner. นักเรยี นจาคาศัพท์ได้  Demonstrate a game of ‘pelmanism’ 3. Pre-reading Activity (matching). All the cards are face-down ขน้ั กิจกรรมกอ่ นการอา่ น and students take it in turns to turn Students look at the over a picture card and a word card. If key vocabulary from the story and they match, they keep them, if they predict what will happen. don’t, they put them back. The student with the most cards is the winner,  Tell students that they are going to To give students a read a story, and that these words are chance to predict to from the story. help them understand the general text  Ask students to predict what the story content. will be about, using the vocabulary as clues to help them. เพอื่ ให้โอกาสแกน่ ักเรียนที่ จะทานาย เป็นการชว่ ยให้  Monitor and help students by asking นักเรียนไดเ้ ข้าใจเนื้อหาท่วั ๆ questions. ไป  Students can predict in Thai if it helps them. นกั เรยี นดคู าศพั ทจ์ ากเร่ือง แลว้ ทานายสง่ิ ที่จะเกดิ ขึ้น 4. Gist reading  Give each student a copy of the story To allow students to activity and a set of story picture cards. practice the skill of  Students read the story and see if they reading for general predicted what would happen in the understanding. story correctly.

9 ขน้ั กิจกรรมการอา่ น  Students order the story picture cards เพื่อใหน้ กั เรียนได้ฝึกทักษะ ใจความหลัก/ใจความ in groups and then match them with ของการอ่านเพ่ือความเขา้ ใจ สาคัญ the story word cards. The group who โดยท่ัวๆ ไป orders and matches them the quickest Students read the is the winner. story and order the story pictures. They  Students check their answers with match the sentences other groups. from the story with the pictures. นกั เรียนอา่ นเร่ืองและ เรยี งลาดับภาพเนอื้ เรือ่ ง และจับค่ปู ระโยคจากเรื่อง กบั รปู ภาพ 5. Scan reading  Ask students to find the 12 words from To provide practice in Activity the beginning of the lesson in the scanning for specific ขนั้ กจิ กรรมการอา่ นแบบ story. words กวาดสายตา  Tell students that the first student to เพือ่ ฝึกนักเรียนใหร้ ้จู ักการ Students scan the find all 12 words is the winner. กวาดสายตาคาศพั ท์เฉพาะ story and underline  Students underline the 12 words in the text. the key vocabulary they learned at the beginning of the lesson. นกั เรยี นกวาดสายตาอา่ น เรอื่ งและขดี เสน้ ใต้คาศัพท์ ทสี่ าคัญท่ีไดเ้ รยี นมาในชว่ ง เริ่มต้นของบทเรียน 6. Detailed reading  Option 1: Rip and run - Stick a rip and To allow students to activity practice the skill run worksheet of wh-questions on the of reading for in-depth understanding board for each group of students. One (comprehension check) ขน้ั กิจกรรมการอา่ นแบบ student from each group runs to the รายละเอยี ดรอบคอบและ board, rips off a question and returns ลกึ ซ้งึ to the group. They read the story and

10 Students read the write the answer to the question เพ่ือใหน้ ักเรยี นไดฝ้ ึกทักษะ story again and together. Then the student checks the การอ่านเพ่ือความเขา้ ใจใน answer wh- questions answer with the teacher and rips off รายละเอยี ด about information in the next question. The group that rips the story. off and correctly answers all the questions first is the winner. นกั เรียนอา่ นเร่ืองอกี ครั้ง  Option 2: Wh-question worksheet – และตอบคาถามที่ข้นึ ตน้ Give each pair of students a copy of Wh-Question เกย่ี วกับ the Wh-questions. Students work ขอ้ มลู ในเนื้อเรื่อง together to read the story and answer the questions. Students check their answers with each other. Whole class feedback. 7. Post-reading Task  Ask students to think about a time To provide writing when they visited people in their practice by allowing ข้ันกจิ กรรมงานหลังการ family. Tell students to write a short students to respond to อา่ น story about it. the story and explore the topic of the story Students write their  Give students an example, e,g, ‘One further. own story (on the day, Somchai went to visit his grandad. same topic). On his way, he met a…’ เพ่ือใหน้ กั เรยี นได้มโี อกาส ฝึกการเขียนโดยใหน้ ักเรยี น  Students share stories with each other. ไดต้ อบสนองกับเนอ้ื เร่ือง และสารวจหวั ข้อของเรื่อง นกั เรยี นเขียนเร่ืองของ มากยง่ิ ข้นึ ตนเอง เกย่ี วกบั หัวข้อเดิม โดยทัว่ ๆ ไป ขนั้ ตอนการสอนอา่ น อาจแบ่งเป็น 3 ขนั้ ตอน ได้แก่ 1. Pre-reading ก่อนการอา่ น 2. While-reading ระหว่างการอา่ น 3. Post-reading หลงั การอา่ น

11 ตัวอย่างของกจิ กรรมของการสอนอ่าน มีดังน้ี 1. Pre-reading กจิ กรรมกอ่ นการอ่าน ไดแ้ ก่ PRE : Predict the content of the text from key words. PRE : Guess the answers on the question sheet before reading the text. PRE : Use the picture / title to predict the content of the text. PRE : Predict vocabulary that will be in the text from the title / picture. PRE : Match key vocabulary from the text with definitions / pictures. PRE : Explain the meaning of key vocabulary from the text. 2. While-reading กจิ กรรมระหว่างการอา่ นหรือขณะสอนอ่าน ไดแ้ ก่ WHILE : Order the pictures and match the pictures to sentences from the text. WHILE : Read and choose the best of three summaries for text. WHILE : Read a text with a few sentences taken out and put the sentences back in the correct places. WHILE : Race other students to find specific information from a text. WHILE : Look for key words in the text and underline them. WHILE : Match paragraphs from the text with a set of titles / headings. WHILE : Put paragraphs from the text in order. WHILE/POST: Answer True/False or Wh- questions about the text. 3. Post-reading กิจกรรมหลงั การอา่ น ได้แก่ POST : Write a similar text on the same topic. POST : Write a response to the text. POST: Discuss personal experiences related to the topic of the text.

12 POST : Write quiz questions about the text for other students. POST : Draw pictures to match different parts of the text (e.g. make a comic strip. สถาบนั ภาษาอังกฤษ (ม.ป.ป., 52-53) แบ่งกิจกรรมการสอนอ่าน เป็น 3 กจิ กรรม ดงั น้ี 1. กิจกรรมก่อนการอ่าน (Pre-reading Activities) เป็นการสร้างความสนใจและปูพื้นฐานในเรือ่ งที่จะอา่ น อาจใชก้ ิจกรรมนาให้ นักเรยี นไดม้ ีข้อมูลบางส่วนเพ่อื ช่วยสร้างความเขา้ ใจในบริบทกอ่ นเร่ิมตน้ อา่ นสารท่กี าหนดให้ มี 2 ขัน้ ตอนคอื  ขัน้ Personalization เป็นขั้นสนทนา โตต้ อบ ระหว่างครูกับนักเรียน หรอื ระหว่าง นกั เรยี นกบั นกั เรยี น เพื่อทบทวนความรู้เดิมและตรยี มรบั ความรใู้ หม่จากการอ่าน  ขั้น Predicting เป็นข้ันท่ีให้นกั เรียนคาดเดาเกี่ยวกบั เร่ืองทีจ่ ะอา่ น โดยอาจใช้รูปภาพ แผนภมู ิ หัวเร่ือง ฯลฯ ท่เี กี่ยวขอ้ งกบั เรื่องท่ีจะไดอ้ ่าน แล้วนามาสนทนา หรืออภิปราย หรือหาคาตอบเกีย่ วกบั ภาพน้ันๆ หรืออาจฝกึ กิจกรรมท่ีเก่ียวกบั คาศััพท์ เช่น ขดี เสน้ ใต้ หรือวงกลมลอ้ มรอบคาศัพั ท์ในสารทอี่ ่าน หรอื อา่ นคาถามเก่ียวกบั เรอื่ งท่ีจะได้อ่าน เพ่อื ใหน้ ักเรียนไดท้ ราบแนวทางวา่ จะไดอ้ ่านสารเกีย่ วกบั เร่อื งใด เปน็ การเตรยี มตวั ล่วงหน้าเกยี่ วกับขอ้ มูลประกอบการอา่ น และคน้ หาคาตอบท่ีจะได้จากการอ่านสาร น้ันๆ หรอื ทบทวนคาศััพท์จากความรู้เดมิ ท่มี อี ยู่ ซึง่ จะปรากฏในสารที่จะไดอ้ ่าน โดยอาจใชว้ ิธีบอกความหมาย หรือทาแบบฝึกหัดเติมคา

13 2. กิจกรรมระหวา่ งการอา่ นหรือขณะสอนอา่ น (While-reading Activities) เปน็ การทาความเข้าใจโครงสร้างและเน้ือความท่จี ะอ่าน กิจกรรมน้ี ไม่ใช่ การทดสอบการอ่าน แตเ่ ปน็ การอ่านเพ่อื ความเขา้ ใจ กิจกรรมที่จดั ให้ขณะอา่ น มดี ังน้ี  Questioning คือการตงั้ คาถามเก่ยี วกบั เรือ่ งท่ีอ่าน ขณะอ่านจบยอ่ หนา้ เพื่อให้ ทราบว่า ใครทาอะไร ท่ีไหน และอย่างไร  Predicting คอื การให้คาดเดาว่ายอ่ หนา้ ตอ่ ไปน่าจะพูดเกย่ี วกับเร่อื งอะไร  Clarifying คือ การหาความชัดเจนของคาศัพั ท์ หรือวลี ในเน้ือเรือ่ งทีอ่ ่าน  Summarizing คอื การสรปุ ในแต่ละย่อหน้าท่ีอ่านเพื่อจับใจความสาคัญ  Matching คอื อ่านแลว้ จบั คูค่ าศัพั ท์ กับคาจากัดความหรอื จับคู่ประโยค เนอื้ เรอื่ งกับ ภาพ แผนภูมิ  Ordering คือ อา่ นแล้วเรียงภาพ แผนภูมิ ตามเนอื้ เร่อื งทอ่ี ่าน หรอื เรียงประโยค (Sentences)  Completing คือ อ่านแล้วเติมคา สานวน ประโยค ข้อความ ลงในภาพ แผนภมู ิ ตาราง ฯลฯ ตามเร่อื งทอ่ี ่าน  Correcting คือ อา่ นแล้วแก้ไขคา สานวน ประโยค ข้อความ ใหถ้ กู ต้องตามเนือ้ เรื่องท่ี ไดอ้ ่าน  Deciding คอื อา่ นแล้วเลือกคาตอบทถ่ี ูกต้อง (Multiple Choice) หรือ เลอื กประโยค ถกู ผิด (True/False) หรอื เลอื กว่ามีประโยคน้ันๆ ในเน้ือเร่ืองหรอื ไม่ หรือ เลอื กว่า ประโยคน้ันเป็นข้อเทจ็ จริง (Fact) หรือเป็นความคดิ เห็น (Opinion)  Supplying/Identifying คืออ่านแล้วหาประโยคหัวข้อเร่ือง (Topic Sentence) หรอื สรุปใจความสาคัญ )Conclusion) หรือจับใจความสาคญั (Main idea) หรือตั้งช่ือเรอื่ ง (Title) หรือย่อเร่ือง (Summary) หรือหาขอ้ มูลรายละเอียดจากเรอ่ื ง (Specific Information)

14  เขียนแผนผังความสัมพันธ์ของเนื้อเร่อื ง  เติมข้อความลงในแผนผังของเน้อื เรื่อง 3. กิจกรรมหลงั การอ่าน (Post- Reading activities) เปน็ กิจกรรมทม่ี งุ่ ใหน้ ักเรยี นไดฝ้ กึ การใชภ้ าษาในลกั ษณะทกั ษะสมั พันธเ์ พิ่มข้นึ จาก การอา่ น ท้งั การฟงั การพูดและการเขียน หลงั จากทีไ่ ดฝ้ ึกกิจกรรมระหว่างการอ่านแล้ว โดยอาจ ฝึกการแข่งขันเก่ียวกับคาศััพท์ สานวน ไวยากรณ์ จากเรื่องท่ีอ่าน เป็นการตรวจสอบทบทวน ความรู้ ความถูกต้องของคาศััพท์ สานวน ไวยากรณ์ หรือฝึกทักษะการฟัง การพูด โดยให้ นักเรยี นร่วมกันตั้งคาถามเกย่ี วกบั เนื้อเรื่องแลว้ ชว่ ยกันหาคาตอบ สาหรบั นกั เรยี นระดบั สงู อาจให้ พูดอภิปรายเก่ียวกบั อารมณห์ รอื เจตคตขิ องผเู้ ขียนเรื่องน้ัน หรือฝึกทักษะการเขียนแสดง ความคดิ เห็นเกี่ยวกบั เร่ืองที่ได้อา่ น ให้แสดงบทบาทสมมติ ใหเ้ ขียนเร่อื งหรอื เขยี นโตต้ อบ เชน่ เขยี นจดหมาย เขียนบทสนทนา เขยี นแบบฟอร์ม วาดรูป เป็นตน้ ควรฝึกให้นกั เรยี นแสดง ความคิดเหน็ สรุปสาระและส่ิงทีไ่ ด้รบั จากการอ่านหรอื ประสบการณ์ การคิดแก้ปัญหา หรอื แสดงความคดิ สร้างสรรคท์ กุ ครง้ั หนังสอื อ้างองิ สถาบันภาษาองั กฤษ สานักงานคณะกรรมการการประถมศักึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน. คูม่ ือการจัด การเรียนการสอนภาษาอังกฤษแนวใหม่ ตามกรอบมาตรฐานความสามารถทาง ภาษาอังกฤษทเ่ี ป็นสากล ระดับช้ันประถมศึกษา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การ สงเคราะห์ทหารผ่านศัึก. 52-53 เอกสารประกอบการอบรม Boot Camp Turbo (Trainer’s Book), Reading for Primary

15 กิจกรรมการสอนเขยี น (Writing) ประเภทของกิจกรรมการเขยี น (Different types of writing practice) 1. การเขียนแบบคัดลอก (Copying) นกั เรยี นทากจิ กรรม ได้แก่ การฝึกเขียนตัวอกั ษรในหนงั สอื คดั ลายมอื การเขียนประโยค บนกระดานทีค่ ดั ลอกมาจากหนงั สอื เรยี น Students practice letter shapes in a handwriting books, note down sentences on the board copy example from a text books, etc. 2. การทาแบบฝึกหดั (Doing exercises)( การเขียนแบบควบคมุ / Controlled writing) นักเรียนเขยี นคา วลี ประโยค เป็นกิจกรรมท่คี วบคมุ การทาแบบฝกึ หัด มีข้อจากัดทจ่ี ะ เลอื กเขยี นและจากัดในเร่ืองการสร้างสรรค์หรอื ทาในสิ่งที่จะทาใหผ้ ดิ ได้ Student write single words, phrases, sentences, etc. in controlled practice activities with limited options and limited opportunities for creativity or getting things wrong. 3. การเขยี นแบบชี้แนะ (Guided writing) ครูให้คาชแ้ี นะแก่นกั เรียนในการเขียนใหย้ าวขึ้นซ่ึงกิจกรรมจะควบคุมโดยการให้ตัวอย่าง รูปแบบ ภาษาทเี่ ป็นประโยชน์ กรอบ (Writing frame) และเทมเพลท (Templeates) ของ การเขยี น The teacher guides students to write longer text in control activities by giving students example, model, useful language, writing frame and templates.

16 4. การเขยี นแบบอิสระ (Freer writing) นกั เรียนเขียนเนอื้ หาท่ียาวข้นึ โดยใช้สง่ิ กระตุ้นจากรูปภาพ คาถาม คาตอบทไ่ี ดจ้ าก การสัมภาษณ์ และข้อมูลการสารวจ นกั เรียนเขยี นในสิง่ ทต่ี อ้ งการ ด้วยความชว่ ยเหลือและ การให้แรงเสริมจากครู Students write longer text using prompt such as pictures, questions, interview answers and survey data. They write what they want to, with help and encouragement from the teacher. ตวั อย่างของการเขียนแบบชแ้ี นะ (Guided writing) มีตัวอย่างของการเขียนแบบช้ีแนะ จานวน 3 ตวั อยา่ งกิจกรรม ได้แก่ 1. กจิ กรรม Write it down! 2. กจิ กรรม Recipe 3. กิจกรรม Letter to Santa รายละเอยี ดของ 3 กจิ กรรมมีดงั น้ี ตัวอย่างของการเขยี นแบบชแี้ นะ (Guided Writing) 1. กจิ กรรม Write it down! Instruction: Write the story by completing the space below คาสั่ง: เขียนเรื่องโดยการเตมิ ช่องวา่ งดา้ นล่างให้สมบูรณ์

17 2. กจิ กรรมการเขียนตารับอาหาร (recipe) Instruction: Write the recipe about how to cook food. Write the name of the food, ingredients and directions or step of cooking คาสงั่ : เขียนตารับอาหารหรือสตู รอาหารเก่ยี วกบั วธิ ีปรุงอาหาร เขียนชือ่ อาหาร สว่ นผสมและขั้นตอนวธิ ีการทาอาหาร

18 3. กจิ กรรมการเขยี นจดหมายถงึ ซานตา (Letter to Santa) Instruction: write the letter to Santa by using the letter on the left as a model. คาสั่ง : เขียนจดหมายถงึ Santa โดยใช้จดหมายทางด้านซ้ายมอื เป็นแบบอย่าง

19 กิจกรรมการเขียนแบบอิสระ (Freer writing) มีตัวอยา่ งการเขยี นอิสระจานวน 3 กจิ กรรมไดแ้ ก่ 1. Picture story 2. Collaborative story 3. Find who wrote it กิจกรรมท่ี 1 Picture Story เร่ืองจากภาพ Instruction: Divided into 6 groups, each group will be given 1 picture and 1 blank paper. Make a story from a picture. Put picture in order and retell the story, try to relate the story into the same story. แบ่งผเู้ รียนออกเป็น 6 กลมุ่ แต่ละกล่มุ จะได้รบั ภาพ 1 ภาพและกระดาษป่าว 1 แผน่ ให้สร้างเร่ืองจากภาพ และจัดลาดับภาพและเลา่ เร่ืองจากภาพ พยายามท่ีจะ เชอ่ื มโยงใหเ้ ปน็ เรอื่ งเดียวกัน

20 กจิ กรรมการเขียนแบบรว่ มมือ (Collaborative story( Instruction: divide into group of five. Give each student a piece of writing paper. Dictate first sentence of the story. (e.g. “One dark night, a boy woke up suddenly in his bed”) Students copy the sentence at the top the paper. The teacher writes a question on the board “What woke the boy?” All students answer the question, and then pass their paper to next student in their group. Students add the next sentence until the last person. Student read stories and choose the one they like most. คาสั่ง แบ่งนกั เรยี นออกเป็น 5 กลุ่ม นักเรยี นแต่ละคนจะได้รบั กระดาษสาหรับเขยี นเร่ือง กาหนดประโยคแรกของการเขียนไว้ก่อน เช่น “One dark night, a boy woke up suddenly in his bed” นกั เรยี นลอกประโยคที่ดา้ นบนของกระดาษ ครเู ขยี นคาถามบนกระดาน What woke the boy? ใครปลุกเดก็ ผ้ชู าย นักเรียนทุกคน ตอบคาถามแล้วสง่ กระดาษไปให้นักเรียนคนท่ีอยูถ่ ัดไปในกลุ่มของตน นักเรยี นเขยี นประโยคเพ่มิ จนกระทัง่ ถงึ คนสุดทา้ ย นักเรียนอ่านเร่ืองและเลือกเรอ่ื งที่ตนเองชอบมากทีส่ ดุ (จาก 5 กลมุ่ )

21 กจิ กรรม Find who wrote it (หาดูซวิ า่ ใครเขียน) Instruction: Give each student a small piece of paper, and then ask them to write a sentence about their holiday, e.g. I went to Phuket with my friends last week. Tell them not to write their name, then take and mix up the papers. Give out papers to other students and keep it the secret. Go mingle and find who wrote the paper, by asking the question “Did you go to Phuket last week?” แจกกระดาษชิ้นเลก็ ๆ แก่นักเรยี นและขอให้นักเรยี นเขยี นประโยคเก่ยี วกบั วันหยุดพกั ผ่อน ของตน เช่น I went to Phuket with my friends last week. บอกนกั เรยี นไม่ใหเ้ ขยี นชือ่ ของตน แลว้ ถอื ไวแ้ ละนากระดาษท่เี ขียนไปคลุกเคล้าผสมกัน แจกกระดาษให้นักเรียนคนอื่นๆและเก็บไว้ เป็นความลับ เดนิ เข้าไปผสมกันและหาว่าใครเป็นคนเขียนกระดาษแผ่นนน้ั โดยถามคาถาม เช่น “Did you go to Phuket last week?”

22 5. การเขยี นตามกรอบแนวทางทกี่ าหนด (A Writing frame) ตวั อย่างกิจกรรมการเขียนตามกรอบ My wonderful week - Ask CPs to work in pairs and look at the topic “What did you do on……….?” - Elicit activities from CPS eg. went to the beach, cooked food, visit friends and, etc, - They could do this activity simply by writing table on A4 paper that given and make table. You can show them the sample on the board - At the end, CPs go mingle around the class with their pairs they have invented. - ขอให้ผอู้ บรมทางานเปน็ ค่แู ละมองดูที่หัวข้อ Topic “What did you do on………?” - ถามหาขอ้ มูลกิจกรรมจากผู้อบรม เช่น went to the beach, cooked food, visit friends and, etc, เปน็ ต้น - ผูเ้ ข้าอบรมสามารถทากิจกรรมนี้อย่างง่ายโดยเขียนลงบนกระดาษ A4 ทแ่ี จกและทา ตาราง วิทยากรสามารถโชว์ตวั อยา่ งบนกระดาน - ในตอนทา้ ย ผูเ้ ข้าอบรมเดินผสมกันรอบห้องกบั คเู่ พือ่ ไปพูดคยุ กับคขู่ องคนอ่ืนว่า เขยี น ว่าอยา่ งไรบ้าง หนงั สอื อ้างอิง เอกสารประกอบการอบรม Boot Camp Turbo (Trainer’s Book), Writing for Primary

23 กจิ กรรมการตอบสนองดว้ ยทา่ ทาง (Total Physical Response: TPR) เทคนคิ การสอนภาษาดว้ ย TPR - Total Physical Response หมายถงึ การสอนภาษาโดยการใช้ทา่ ทาง โดยให้ผ้เู รยี นฟังคาสง่ั จากครูแลว้ ผเู้ รียนทาตาม เป็นการ ประสานการฟังกับการใช้การเคลือ่ นไหวของร่างกายเป็นการตอบรับให้ทาตามโดยผูเ้ รยี นไม่ตอ้ ง พดู วธิ ีสอนภาษาโดยการใชท้ ่าทางใชส้ าหรับการเร่มิ ต้นเรยี นภาษาที่ 2 ประเภทของ TPR TPR - B (Total Physical Response - Body) เป็นการสอนโดยใช้คาส่งั ท่มี ี คาศัพั ท์ เก่ยี วกับการเคลอื่ นไหวของร่างกาย (body movement) เชน่ น่ังลง (sit down) ยนื ขึ้น (stand up) เลย้ี วซ้าย (turn left) เลย้ี วขวา (turn right) เดนิ หน้า (go straight) ถอยหลัง (back) กระโดด (jump) ปรบมือ (clap your hand) หยุด (stop) กลบั หลงั หัน (turn around) ชูมอื ข้นึ (raise your hand) เอามอื ลง (put down your hand) โบกมือ(wave your hand) เป็นต้น กิจกรรมหรอื เกมทใี่ ชอ้ าจใชเ้ กม Simon Says เช่น Simon Says touch your Nose ถ้าไมไ่ ดพ้ ดู คา วา่ Simon Says ไม่ตอ้ งทาตาม ขอ้ ควรคานงึ - กรยิ า/ท่าทาง ทกุ อยา่ งท่แี สดงต้องสมจริง (must be real) ไม่ใช่การสมมุติ และต้องถูกตอ้ ง - เวลาครสู าธิต ตอ้ งพดู คาสั่งจบก่อนแลว้ จึงทาทา่ ทาง (เพ่ือตง้ั ใจฟังกอ่ น และปอ้ งกันผ้เู รียนทา ตามครโู ดยทีไ่ มเ่ ขา้ ใจ) - พูดและทาท่าทางเป็นตัวอยา่ งให้ผู้เรยี นดู อย่างน้อย 3 ครง้ั - ทุกหน่งึ รอบของการทาท่าทาง ควรจะให้จบกระบวนการ

24 - ทุกๆ การสอน ตอ้ งทบทวนบทเรียน/คาศัพั ท์ในอาทิตย์ที่แล้ว หรืออาทติ ย์ทผ่ี า่ นๆ มาโดยครู อาจทาพรอ้ มผูเ้ รียน หรือครสู งั่ แล้วใหผ้ ู้เรยี นทาพร้อมกนั โดยทบทวนก่อนสอนคาชุดใหม่ - พดู คาทีต่ ้องการสอนเทา่ นั้น สิ่งท่ีไม่ตอ้ งการให้ผเู้ รียนรบั รกู้ ็ไมจ่ าเป็นตอ้ งพดู - จัดสถานทใ่ี หเ้ หมาะสมกับคากรยิ า/คาส่ังทต่ี อ้ งการสอน TPR - O (Total Physical Response - Objects) เปน็ การสอนโดยใชค้ าส่ังท่ีมี คาศัพั ทท์ ี่เปน็ ส่งิ ของ (objects) เชน่ สมุด (book) ปากกา (pen) ดนิ สอ (pencil) ยางลบ (eraser) ไม้บรรทดั (ruler) แผนที่ (map)โตะ๊ (table) เก้าอี้ (chair) ประตู (door) นาฬิกา (clock) ไฟฉาย (flash light) ดอกไม้ (flower) ใบไม้ (leaf) ก้อนหิน (rock) จาน (plate) ชาม (bowl) แกว้ นา้ (glass) ช้อน (spoon) ส้อม (fork) หวี (comb) กระจก (mirror) เปน็ ตน้ ไม่ควรไปตดิ การสอนในช้นั เรยี น เท่าน้ัน อาจพาผเู้ รยี นออกนอกห้องเรียน เพือ่ เรยี นรวู้ ตั ถุสง่ิ ของตา่ งๆ หรอื อาจใชเ้ กม bring me (a pen, a red pencil) วตั ถุประสงค์ ต้องการให้ผเู้ รยี นฟงั คาสงั่ ใหเ้ ข้าใจและทาตามคาสง่ั โดยผู้สอนมเี ปา้ หมาย ให้ผู้เรยี นร้จู กั กลุ่มคาเกี่ยวกบั ส่งิ ของตา่ งๆ ขอ้ ควรคานึง - ต้องพดู หลายคร้ังจนแน่ใจว่าผู้เรียนเข้าใจ - ใหร้ ะวงั คาที่มคี วามหมายใกล้กัน - หากว่าบทเรียนยากเกนิ ไป ครูอาจแบง่ เป็น 2 บทเรียนกไ็ ด้ เพื่อใหเ้ ห็นความเชื่อมโยงของเนือ้ หา - ถา้ หากผู้เรียนทาผิด ครจู ะต้องทาใหด้ ู ทบทวน จนแน่ใจว่า ผู้เรยี นทาได้ หากผู้เรยี นทาไมไ่ ด้ ใหก้ าลังใจ อยา่ ทาให้นักเรยี นเสยี หน้าหรือขาดความม่นั ใจ

25 วิธีปฏิบัติ - ครูเรยี กชื่อของสง่ิ ของ 3 ครงั้ และหยบิ ของสาธติ ใหด้ ู - ใหต้ วั แทน 2 คน ออกมาแสดง พร้อมกับครู และให้ผเู้ รียนแสดงใหด้ ู 3 คร้งั การทา TPR - O อาจแทรกคาศััพท์ TPR - B ได้เพราะเรยี นมาจากบททแี ลว้ ผสมกันไปแต่เอาง่ายๆ ก่อน แล้วเพม่ิ ความยากไปเร่ือยๆ - ใหท้ ุกคนทาพร้อมๆ กัน - แบง่ เป็นกลุม่ ย่อย(กลุ่มละ 3-5 คน)และปฏิบัติตามคาส่ังของครู โดยให้ผเู้ รียนแสดง TPR - P (Total Physical Response - Picture) เป็นการสอนเกยี่ วกับการออก คาสง่ั ทเ่ี กย่ี วข้องกับรปู ภาพ การเลือกภาพที่ใชใ้ นการเรยี นการสอนควรใชใ้ ห้เหมาะสมกับผเู้ รยี น โดยยกตัวอยา่ งคาถามจากภาพ เมื่อครูถามแล้วใหผ้ ้เู รยี นไปชี้ภาพให้ดู ไม่มกี ารพูดภาพที่ครู กาหนดควรเปน็ ภาพตดั แปะจะได้เคลือ่ นย้าย คน สตั ว์ ส่ิงของ ไปไว้ตามตาแหน่งต่างๆของภาพได้ เพอื่ ตรวจสอบว่าผู้เรยี น เปน็ การสอนโดยใชค้ าสงั่ ที่เก่ียวขอ้ งกับรูปภาพ มเี ป้าหมายให้ผเู้ รยี นรู้จกั กลุ่มคาเกย่ี วกบั ภาพต่างๆ มี 3 ประเภท คอื - ภาพโปสเตอร์ แผ่นพับ รูปภาพทม่ี ีอยแู่ ลว้ - ภาพตัดแปะจากผา้ หรือ กระดาษ - ภาพวาดลายเส้นหรือภาพสีทผ่ี ลติ โดยครูหรอื ผู้เรียน หรือภมู ปิ ัญญา ทอ้ งถิ่น หลกั การ - รูปภาพท่ีใช้ตอ้ งมสี ิ่งของ/กิจกรรมตา่ งๆ/ผ้คู นท่ีจะสอนผู้เรียนได้ - ครจู ะสอนใหผ้ ู้เรียนมาช้ี จบั แตะ สง่ิ ต่างๆในภาพตามท่คี รูต้องการสอน - การใช้ TPR - P อาจสอนอาทติ ยล์ ะคร้ัง แต่ถา้ ผู้เรียนมีความก้าวหน้าอาจใช้สอนมากกว่าน้ี - ภาพหนึง่ อาจสอนได้หลายๆคร้ัง โดยอาจสอนเสรมิ เมอ่ื ผู้เรียนรคู้ าศััพทม์ ามากแลว้

26 - อาจใช้ TPR - B ประกอบการสอน TPR - P เชน่ สอนเรื่อง ข้างหน้าขา้ งหลงั ข้างๆ สอนคา เหล่านี้ก่อน จึงสอนคาจากรูปภาพ - ภาพควรเป็นภาพทเ่ี หมาะสมกบั บคุ คลและสอดคลอ้ งกับสภาพของผเู้ รียน TPR - S (Total Physical Response - Story telling) เปน็ การสอนภาษาโดย การเล่าเรื่อง โดยครเู ล่าเรื่องคล้ายกับชีวติ ประจาวันของนกั เรียน หรือเล่านิทาน 2-3 ครั้ง แลว้ ให้ ผู้เรยี นมาแสดงละครจากเรือ่ งท่ีครเู ล่า หรอื บางครัง้ อาจเปลยี่ นเป็นอาจารยอ์ ่านใหฟ้ งั 1-3 ครงั้ ใหผ้ เู้ รยี นเขยี นข้ึนมาใหมเ่ หมือนครเู ล่าหรือไม่ แสดงว่าผเู้ รียนฟงั แล้วเข้าใจมากนอ้ ยแคไ่ หน ให้เร่ิม จากงา่ ยๆ ก่อน การสอนภาษาด้วยการเลา่ เร่อื ง ควรใช้เม่ือผูเ้ รียนมีความพรอ้ มด้านภาษาอังกฤษ โดยครู เลอื กเร่อื งราวท่ีคล้ายคลงึ กบั ชีวิตประจาวนั ของผู้เรยี น หรอื นิทานเรื่องง่ายๆ ครูเล่าเร่ืองให้ฟัง อีกครงั้ หนงึ่ จากนั้นใหผ้ ู้เรยี นออกมาแสดงเรอ่ื ง (ตามที่ครเู ลา่ ) โดยไมต่ ้องพูด ตอ่ มาใหผ้ เู้ รียนเล่า เรื่องเอง แล้วให้ผเู้ รียนคนอืน่ มาแสดงละครตามเรอ่ื งทผ่ี ู้เรยี นเล่าให้ฟัง จดุ ประสงค์ ให้ผู้เรียนฟังครพู ดู ใหเ้ ข้าใจและทาทา่ ทาง โดยผู้เรยี น ไมต่ อ้ งพูด เพยี งแต่แสดงทา่ ทาง ประกอบการเล่าเรอื่ ง ทาไม TPR จงึ มปี ระสทิ ธิภาพในการสอนภาษา - มาจากวธิ กี ารทีท่ ารกเรยี นภาษา โดยเริ่มฟังคาพดู จากพ่อแม่ - การใชก้ ารเคล่ือนไหวทางร่างกายรว่ มกับภาษา - การเรยี นร้ทู ีไ่ ม่ใชก้ ารพูดจะใชส้ มองซีกขวา ผลดีของการจัดการเรยี นการสอนแบบ TPR - เป็นตน้ แบบโดยครู ครูพดู ครทู า ให้ผเู้ รียนดูก่อน - เนน้ การสาธิต ครแู ละผ้เู รยี นอาสาสมคั รทาพรอ้ มกัน

27 - ใหก้ าลงั ใจเม่ือผู้เรียนทาไม่ได้ ไมเ่ ร่ง ต้องแน่ใจว่าผูเ้ รยี นทาได้ ครไู ม่รีบเร่งแต่จะให้ผู้เรียนเข้าใจ เอง - ครูให้ผเู้ รยี นทาเม่อื แน่ใจวา่ ผู้เรยี นเข้าใจแลว้ - มสี ่วนขยาย เพ่ิมวงคาศััพทท์ เี่ รียนมาแลว้ แนวการสอน TPR - อาจสอนเป็นชว่ งๆ วันละประมาณ 20 นาที - TPR - B TPR-O TPR - S อาจสอนสลบั กันได้ - สามารถนาเพลง เกม มาใช้สอนประกอบด้วย เช่น เพลงเกี่ยวกบั ร่างกายของเรา - การนา TPR ไปใช้สอนกบั วิชาต่างๆ เชน่ คณิตศัาสตร์ สขุ ศักึ ษา และศัิลปะ เป็นตน้ - การสอน TPR เปน็ การสอนคาศััพท์ใหม่ๆ ครั้งแรกควรสอน ประมาณ 5-10 คาก่อน โดยครูทา ให้ดูเป็นตน้ แบบ มีการสาธิตทาตามครู แลว้ ให้ผเู้ รียนทาเองตามคาสั่งครู เม่อื เริม่ ต้นกาหนดคาท่ี ตอ้ งใช้ ควรตรวจสอบว่าผเู้ รยี นเข้าใจคาทค่ี รูพูดหรือไม่ ขอ้ ควรคานงึ กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน - การออกแบบกระบวนการเรยี นด้านภาษา จะต้องตระหนกั ใหผ้ เู้ รียน เกิดความเชอ่ื มัน่ ใน การเรียนรู้แบบต่างๆ เช่น การเรียนด้วยภาพ/ส่ิงของ การเรียนด้วยการพูดสนทนา บรรยาย พรรณนา อธบิ าย อภิปราย และวพิ ากษ์วิจารณ์สง่ิ ต่างๆได้ - การถามคาถามปลายเปิด เพื่อให้ผู้เรียนมีความสามารถในการพรรณนา อธิบาย วพิ ากษ์วิจารณเ์ ร่อื งราวต่างๆได้ สิ่งท่ีสาคัญท่ีสุดของการเรียนภาษาที่สองก็คือ ผู้เรียนต้องไม่รู้สึกกลัวหรืออาย การเรียน ภาษาท่ีสอง จะต้องเร่ิมจากส่ิงท่ีผู้เรียนรู้ และขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้เรียน และเร่ืองท่ีเรียนรู้ จะตอ้ งสนกุ สนาน การสอน TPR ใช้สอนระยะแรกที่ผู้เรียนไม่รู้จักวงคาศััพท์ในภาษาอังกฤษ อาจใช้สอน ประมาณ 1-2 เดอื นแรกท่เี ข้าเรยี นเท่านัน้

28 Sample Lesson Plan Learning outcome: 1. ผูเ้ รยี นสามารถเขา้ ใจคาส่ังและทาตามคาสัง่ ได้ 2. ผ้เู รียนสามารถเรียนรู้คาศัพทใ์ หม่ ๆ ได้อยา่ งรวดเร็ว 3. ผเู้ รียนมคี วามสนกุ สนานในการเรยี นภาษาอังกฤษ Materials: ภาพโปสเตอร์ แผน่ พบั รปู ภาพ บัตรคา Topic: Classroom commands Vocabulary: give me, show me, put, open, touch, any words about classroom objects Method: TPR & Monitoring and Feedback for Productive Activities Stage Interactive Procedure Timing Warm Up Teacher – Students, - ครนู าเสนอ Secret Box โดยส่มุ ให้ผู้เรยี นคนหนึ่งมาล้วงมือเข้าไปสัมผัส 10 minutes Student – สง่ิ ทอี่ ยู่ในกล่องโดยไมใ่ หม้ องเห็น แตใ่ หบ้ อกว่าของสงิ่ น้นั คืออะไร Teacher ผู้เรยี นผลัดเปลีย่ นกนั ออกมาล้วงกล่อง กระทัง่ ครูม่ันใจว่าเพียงพอแลว้ - ครูนาเสนอคาศัพทเ์ กี่ยวกับส่งิ ของในห้องเรียน โดยใช้บตั รภาพนาเสนอ ด้วยเทคนคิ Slowly Reveal เพื่อใหผ้ ู้เรียนไดใ้ ชค้ วามคดิ และ จินตนาการในการตอบวา่ ภาพน้ันคือภาพอะไร จากนน้ั สอนการออก เสยี งคาศัพทน์ ั้น แลว้ นาบตั รภาพตดิ ไวบ้ นกระดาน ทบทวนการออก เสียงคาศัพทน์ น้ั อีกครั้ง กระท่ังครมู ั่นใจว่าเพยี งพอแลว้ - ครทู ดสอบความเขา้ ใจของผูเ้ รียนดว้ ย Missing Game ให้ผ้เู รยี น หลบั ตา ครดู งึ บัตรภาพออกจากกระดานหนง่ึ ภาพ แลว้ ให้ผ้เู รียนลมื ตา แลว้ บอกว่าภาพทห่ี ายไปคือภาพอะไร เมื่อดึงออกจนครบ จงึ ใหผ้ ู้เรยี น นาไปติดเรียงไว้บนกระดานทีละภาพ ตามทคี่ รูบอก - ครนู าเสนอบัตรคาศัพทข์ องแต่ละรปู ภาพทลี ะคา โดยใช้เทคนคิ Slowly Reveal ค่อยๆ เผยอักษรให้ปรากฏทลี ะตวั เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นได้สะกด

29 คาศัพทแ์ ละค่อยๆ ออกเสียงตามคาท่ีอ่านได้ จากนั้นครูนาบัตรคาศัพท์ ทอ่ี า่ นแล้วไปเทยี บกับรปู ภาพ ถามผู้เรียนว่าครจู บั คูบ่ ตั รคาศพั ท์กับบตั ร ภาพถูกต้องหรือไม่ จนคาศัพทค์ รบทุกคา Presentation Teacher – - ครูลองออกคาสั่งสั้นๆ เชน่ Give me a pen. ใหผ้ ู้เรียนลองปฏบิ ตั ติ าม 15 minutes Students, คาส่งั ผลัดเปลีย่ นประโยคคาส่ังทใ่ี ช้ กระท่ังครมู ่ันใจว่าเพยี งพอแล้ว - ครนู าเสนอประโยคที่ใช้ในชัน้ เรยี น ในรปู แบบแถบประโยค แลว้ นาตดิ Student – บนกระดาน ทบทวนการออกเสียง กระทงั่ ครมู ่นั ใจว่าเพียงพอแลว้ Teacher - ทบทวนความเข้าใจอีกครงั้ ด้วยเกม Run and Slap โดยการแบ่งกลุ่ม เลน่ เกมแข่งขนั Practice Teacher – - ครูใหน้ ักเรยี นเตรียมพร้อมสาหรบั การรบั คาส่ัง โดยอาจพดู ว่า “Now, 10 minutes Students, let’s play a game to check if you understand what you’ve Students - studied.” “Are you ready?” Teacher - ครถู ามทวนวา่ เราจะทาอะไรกันต่อไป ซ่ึงคาตอบท่ีคาดหวังคือ เล่นเกม หรอื play a game - ครยู ้านกั เรียนว่านักเรยี นสามารถเคลื่อนท่ีออกจากท่ีนงั่ ได้เพือ่ ทาตาม คาสัง่ โดยพูดว่า “In this game, you can move to anywhere you want.” - เม่อื นักเรยี นพร้อมแลว้ ครูบอกใหน้ กั เรยี นตงั้ ใจฟัง “Listen to me.”, “Listen.”, “Listen carefully.” - ครสู งั่ ใหน้ กั เรยี นทาสง่ั ต่าง ๆ อาจใช้เกม Simon says มาใชด้ ว้ ยกไ็ ด้ โดยในขั้นตอนน้ใี ชว้ ิธีการเล่นแบบ whole class และ small group - ครถู ามหาอาสาสมัครเพ่ือฝึกออกคาส่งั เพื่อน “Who volunteers?” โดยครูสามารถร่วมเลน่ ได้ - เมอื่ ครบเวลาท่ีกาหนด ครปู ระกาศหมดเวลาและใหน้ กั เรยี นแยกยา้ ยไป นง่ั ท่ีของตนเอง “Time’s up.” “Go back to your seat, please.” Production Teacher – - ครใู หน้ กั เรยี นจับคแู่ ละฝึกออกคาส่งั ให้กนั และกัน 20 minutes Students - แต่งประโยคเพิ่มโดยใช้คาศพั ทท์ ไี่ ดเ้ รียนรู้ใหม่และวงคาศัพทเ์ ดิมมาใช้ ด้วยได้ Wrap up Teacher – Students, - ครูให้นักเรียนทบทวนความรู้ คาศัพท์ และประโยคที่ไดเ้ รียนรู้ในคาบ 5 minutes Students - Teacher เรยี นนรี้ ่วมกัน

30 กจิ กรรมการสอนไวยากรณเ์ พ่ือการส่ือสาร (CLT Grammar) การสอนภาษาเพ่ือสื่อสาร (Communicative Language Teaching: CLT) เป็นการ สอนภาษาที่เน้นใหผ้ ้เู รียนสามารถใชภ้ าษาในการส่อื สารในสถานการณ์ตา่ งๆ ได้อย่างถกู ตอ้ งและ เหมาะสม การทผี่ เู้ รยี นจะมคี วามสามารถในการสอ่ื สารได้น้นั ผู้เรยี นจาเป็นตอ้ งมอี งค์ประกอบ ของความสามารถในการสื่อสาร 4 ดา้ นดังนี้ 1. ความสามารถในด้านไวยากรณ์หรือโครงสร้าง (Grammatical Competence) หมายถงึ ผ้เู รยี นจะต้องมคี วามสามารถในด้านหลักไวยากรณ์ การออกเสียงคาศัพั ท์ การสะกด การใช้รปู แบบของคา โครงสร้างของคา และประโยค 2. ความสามารถในด้านสังคม (Sociolinguistic Competence) หมายถงึ การใช้ภาษา ได้เหมาะสมตามสภาพแวดล้อมในสังคม ได้แก่ วฒั นธรรม ประเพณี ฐานะทางสังคม บทบาท เป็นตน้ เมื่อผู้เรยี นมคี วามเขา้ ใจในเร่ืองเหล่านี้ ก็จะทาให้สามารถใชภ้ าษาไดเ้ หมาะสมและถูก กาลเทศัะ 3. ความสามารถในการเชอ่ื มโยงขอ้ ความ (Discourse Competence) หมายถึง ผู้เรียน สามารถวิเคราะห์ ตีความ ความสัมพันธ์ระหว่างประโยค และสามารถสอ่ื ความหมายท่ีเก่ยี วข้อง ออกมาในรูปของการเขียน การสนทนา 4. ความสามารถดา้ นกลยทุ ธในการส่อื สาร (Strategic Competence) หมายถงึ การใช้ กลยทุ ธ์ในการสือ่ ความหมายเพอื่ ใหป้ ระสบผลสาเร็จในการสื่อสารด้านการพูด เพื่อท่จี ะไมท่ าให้ การสนทนาหยุดกลางคัน เชน่ การใช้ภาษาทา่ ทาง (Body Language) การพูดซ้า การพูดใหม่ การลงั เล การเดา การยา้ การรุก การเปล่ยี นน้าเสียง เป็นต้น

31 จะเหน็ ไดว้ า่ การจดั การเรยี นการสอนเพ่อื การส่ือสาร (CLT) จะไมล่ ะเลยความรู้ ทางด้านไวยากรณ์ แต่ในการสอนจะตอ้ งนาไวยากรณ์ไปใช้เพอ่ื การสื่อความหมายหรอื สื่อสาร ซึ่งแสดงใหเ้ ห็นถงึ ความสาคัญของไวยากรณท์ จ่ี ะขาดไม่ได้ในการจัดการเรียนการสอนเพอื่ การส่ือสาร ดังนั้นความคลอ่ งแคล่ว ในการใช้ภาษา (Fluency) และความถกู ต้องในการใช้ภาษา (Accuracy) จงึ มีความสาคัญเทา่ เทียมกันในการใช้ภาษาเพือ่ การสือ่ สาร Theory on grammar for primary Primary Students have a holistic approach to language, which means that they understand meaningful messages but they cannot analyse grammar yet. Grammar is a concept which primary students do not understand until they are about ten years old. This means that grammar should be learned in a holistic way, focusing on learning language chunks instead of individual grammatical structures. Primary students should learn grammar in meaningful contexts through stories, songs and games. They should take a very little notice of grammar rules and grammatical structures. When they reach secondary school, however, they will begin to show interest in language analysis and they will start to break down the language chunks they have already learned in primary school and analyse the structure Adapted from Pinter, A. 2006. “Teaching Young Language Learners’ Oxford: OUP. ทฤษฎไี วยากรณส์ าหรบั ชนั้ ประถมศึกษา นกั เรยี นชั้นประถมศัึกษาเรียนรู้ภาษาแบบองค์รวม ซ่งึ หมายความว่า พวกเขาเขา้ ใจข้อมูล ขา่ วสารที่มีความหมายแตย่ งั ไมส่ ามารถที่จะวิเคราะห์ไวยากรณ์ได้ ไวยากรณเ์ ปน็ เร่อื งของแนวคิด ซ่ึงนักเรียนประถมไม่สามารถทีจ่ ะเข้าใจได้จนกว่าพวกเขาจะมีอายุประมาณ 10 ขวบจึงจะเข้าใจได้ นี่ก็หมายความว่า ไวยากรณค์ วรเรียนในลักษณะทเ่ี ปน็ องคร์ วม เน้นไปในเรือ่ งของกลมุ่ คาแทนท่ี จะไปเรียนโครงสรา้ งของภาษา นักเรียนประถมควรเรยี นไวยากรณใ์ นบริบทท่มี คี วามหมายโดย เรียนผ่านเรอ่ื งตา่ งๆ เพลงและเกม พวกเขาควรใช้เวลาเล็กน้อยที่ตอ้ งมาสังเกตลักษณะของกฎ และโครงสร้างของไวยากรณ์ เมื่อเขาเรยี นถึงระดับมัธยมศัึกษา เขาจึงจะแสดงความสนใจใน

32 การวิเคราะหภ์ าษาและสามารถที่จะเริ่มเรียนในสว่ นทแ่ี ยกย่อยของกลุ่มคาทไี่ ด้เรยี นในช้ันประถม มาได้และสามารถท่จี ะวิเคราะห์โครงสรา้ งของภาษาได้ เทคนิคการสอนไวยากรณ์ (Grammar Teaching Techniques) เสนอแนะ 7 เทคนคิ ได้แก่ 1. การใช้สือ่ รปู ภาพ (Visuals) 2. การใชเ้ รื่องเล่า (Story) 3. การใช้ของจรงิ (Realia) 4. การใชเ้ พลง (Song) 5. การใช้ตารางการแทนท่ี (Substitution table) 6. การใช้แผนภูมิ (Chart) 7. การใช้เร่อื งของตนเอง (Personalising)

33 แนวทางการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ (ภาสพงศั,์ 2555) 1. การสอนไวยากรณ์แบบตรงหรือแบบนิรนัย (Deductive approach) เป็นแนวการสอนทไ่ี ด้แนวคิดมาจากการสอนภาษาองั กฤษแบบเน้นไวยากรณ์และการแปล ผู้สอนจะอธิบายไวยากรณ์เป็นเรอ่ื ง ๆ และเน้นใหผ้ เู้ รียนท่องจากฎเกณฑ์ และทาแบบฝกึ หัด ไวยากรณเ์ พื่อทบทวนความรแู้ ละใช้ในการทดสอบไวยากรณ์ทเี่ รียนโดยไม่เน้นการส่ือสารและ การใช้ภาษาในบริบท การสอนไวยากรณ์แบบนิรนัย มขี ้อดคี ือสามารถวางแผนการสอนและ วัดผลการเรยี นรู้ไวยากรณเ์ ร่อื งใดเร่ืองหน่งึ ได้อย่างชัดเจน ผูเ้ รียนเข้าใจกฎไวยากรณ์ได้อย่าง รวดเร็ว และผู้สอนสามารถใช้ภาษาท่ีหน่ึงในการอธิบายกฎไวยากรณ์ท่ีมคี วามซบั ซ้อนเข้าใจยาก ส่วนขอ้ เสียคือผู้เรยี นขาดโอกาสในการสังเกตการใชภ้ าษาจากตวั อยา่ งจริง และไม่สามารถสรุป กฎไวยากรณ์ได้ด้วยตนเอง การสอนไวยากรณ์แบบนิรนัยท่ีมคี วามเหมาะสามควรยึดแนวทางดังนี้ 1. อธิบายกฎไวยากรณ์เทา่ ท่ีจาเป็น เช่นอธิบายเฉพาะเรื่องใหมส่ าหรับผู้เรยี นหรือเรือ่ งท่ีมี ความซับซ้อน หรอื มขี ้อยกเว้นหลายข้อ 2. อธิบายกฎไวยากรณ์แต่เปน็ เพียงสว่ นหนงึ่ ของกาเรยี นการสอนไวยากรณ์ เช่น อธิบาย เพื่อทบทวนบทเรียนทผ่ี า่ นมา อธิบายเพ่ือนาเข้าสู่บทเรยี น หรอื อธบิ ายเพือ่ สรุปสิ่งทเ่ี รยี น โดยใช้ กจิ กรรมอื่นๆ มาประกอบการอธิบาย เช่นการเลน่ เกมไวยากรณ์ การทากิจกรรมทผี่ ้เู รยี น สามารถนากฎไวยากรณท์ ่ีผู้สอนอธบิ ายไปใช้ในการส่ือสารจริง 3. ศักึ ษากฎหรอื ข้อยกเว้นใหเ้ ข้าใจถ่อแทก้ ่อนจะอธบิ ายใหผ้ ู้เรียน เช่น ศัึกษากฎและการใช้ ภาษาจากแหลง่ ข้อมูลท่ีเชื่อถือได้ และมีคาอธบิ ายชดั เจน เช่น หนังสือหรือพจนานุกรม เพื่อจะได้ อธิบายกฎไวยากรณ์ได้ชัดเจน ครอบคลุมประเดน็ ทสี่ าคัญและขอ้ ยกเวน้ ตา่ งๆ อย่างครบถ้วน 4. ยกตวั อยา่ งประกอบการอธิบายกฎไวยากรณ์ เช่น ยกตัวอย่างประโยค หรือบทสนทนา จากภาษาทีใ่ ช้จรงิ เพื่อให้ผเู้ รียนได้สังเกตการใช้ไวยากรณใ์ นบรบิ ท 5. ใช้สอ่ื หรอื อุปกรณ์ เช่น รูปภาพหรือแผนภูมติ ่างๆ ในการประกอบการอธบิ ายไวยากรณ์

34 6. ส่งเสริมให้ผูเ้ รียนอธิบายกฎไวยากรณ์ดว้ ยตนเองบ้างในบางครั้ง เช่นใหผ้ เู้ รียนคน้ คว้า ศักึ ษาจากกฎไวยากรณ์จากแหล่งขอ้ มูลต่างๆ และอธิบายใหเ้ พอื่ นๆในช้ันเรยี นฟัง เพอื่ เป็นการฝกึ ทกั ษะการค้นควา้ ข้อมูลและส่งเสรมิ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 2. การสอนไวยากรณ์แบบออ้ มหรือแบบอุปนัย (Inductive Approach) ผู้สอนจะไม่อธิบายกฎไวยากรณโ์ ดยตรง แต่จะใหผ้ เู้ รยี นใช้ภาษาในการส่ือสารหรอื ทา กิจกรรมภาษาจากน้ัน จงึ ใหผ้ ู้เรยี นสรุปกฎไวยากรณแ์ ละใช้หลังจากทากจิ กรรม การสอน ไวยากรณแ์ นวนท้ี าไดห้ ลายรปู แบบ เช่น 2.1 การใช้เกมไวยากรณ์ (Grammar games) การใชเ้ กมไวยากรณ์จดั เปน็ การสอนไวยากรณ์แบบอุปนัยเนื่องจากผูเ้ รียนใชภ้ าษาใน การเลน่ เกมก่อน จากน้ันจึงวิเคราะหภ์ าษาและไวยากรณท์ ี่ใช้และสรุปเปน็ กฎไวยากรณ์ใน ภายหลัง เกมไวยากรณ์มขี อ้ ดีหลายประการ ในด้านการเรยี น ผู้เรยี นรู้สึกสนุกสนานในการเรียน และได้ใช้ภาษาเพอ่ื การส่อื สารและฝกึ ฝนทกั ษะการฟงั พดู อ่านและเขียน ในด้านการสอน ผู้สอนไมต่ ้องเสยี เวลาในการเตรียมสอนหรือคิดแผนการสอนเพราะส่วนใหญเ่ ป็นเกมสาเร็จรูปที่มี คาอธบิ ายการใช้ชดั เจน เช่น วตั ถุประสงค์ ไวยากรณห์ รือศัพั ท์ทตี่ อ้ งการเน้น ระดบั ของผูเ้ รียน เวลาที่ใช้ อุปกรณท์ ีใ่ ช้ หรือข้อควรระวังเป็นต้น ข้อควรระวังในการใช้เกมไวยากรณ์คือ บางครง้ั ต้องปรับหรือดัดแปลงใหเ้ ขา้ กบั เวลา เนื้อหา บรบิ ท และระดบั ของผ้เู รียน เชน่ เกม Find someone who…. ผ้เู รยี นจะตอ้ งรโู้ ครงสร้าง Yes / No Question (e.g. “Are you a good cook?”) และ Wh-Question (e.g. “What is your speciality”) 2.2 การใช้กจิ กรรมที่เนน้ การสื่อความหมาย (Communicative Activities) กิจกรรมท่ีเนน้ การสื่อความหมายเปิดโอกาสให้ผู้เรียนใช้ภาษาในการส่ือสาร เป็นกิจกรรม ทใี่ ช้ในวธิ กี ารสอนภาษาเพื่อสื่อสาร เร่มิ จากการใชภ้ าษาในการสื่อสารกอ่ น แล้วจึงอธบิ ายหรือ สอนไวยากรณภ์ ายหลัง กจิ กรรมที่เน้นการส่ือความหมายทใ่ี ช้ไดด้ กี ับผู้เรยี นระดับกลางมหี ลาย กจิ กรรม เช่น

35 ก.กจิ กรรมแลกเปลี่ยนขอ้ มูล (Information gap activities) กจิ กรรมแลกเปล่ียนขอ้ มูลเป็นกิจกรรมประเภทหนึ่งทนี่ ิยมใช้ในแนวการสอนเพ่ือสื่อสาร มพี น้ื ฐานมาจากแนวคิดที่วา่ การแลกเปลยี่ นข้อมูลเป็นกิจกรรมทีต่ อ้ งใช้ภาษาในการส่ือสารจริง กล่าวคือ ผเู้ รยี นทุกคนจะมีข้อมูลบางอย่างในเรื่องหรอื หัวขอ้ เดียวกนั แตข่ อ้ มลู ของแต่ละคนจะไม่ สมบูรณ์ ผเู้ รียนจะถูกแบ่งเปน็ สองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะมีข้อมูลบางอยา่ งทอี่ กี กลมุ่ หน่งึ ไมม่ ี และ ผู้เรียนทงั้ สองกลมุ่ ตอ้ งใช้ภาษในการสอื่ สารเพื่อแลกเปลยี่ นข้อมลู ของกันและกนั เพ่อื ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มมี ข้อมูลท่สี มบูรณ์ ตวั อย่างเชน่ การถามเก่ยี วกับตารางเวลาหรอื ข้อมลู สว่ นตัวของบุคคล เชน่ ใบงาน A: Jane’s timetable ใบงาน B: Jane’s timetable 8 am: Go to school 8 am: 12 am: 12 am: Have lunch at the school canteen 4 pm: Go home 4 pm: 6 pm: 6 pm: Go to the gym 8 pm: Go home and study 8 pm: 10 pm: 10 pm: Go to bed ผูเ้ รียนทไี่ ด้ใบงาน A จะตอ้ งขอข้อมลู ท่ีตัวเองไม่มีจากคนทไี่ ดร้ ับใบงาน B เช่น “What does Jane usually do at 8am?” ในขณะทผี่ ูเ้ รียนท่ีได้รับใบงาน B ตอ้ งหาขอ้ มลู ที่หายไปเช่นกัน เช่น “What does Jane do at 4pm?” โดยไวยากรณท์ ีต่ อ้ งใชเ้ ปน็ หลกั ในการทากิจกรรมนี้กค็ อื Present Tense

36 ข.กิจกรรมการสัมภาษณ์ การสมั ภาษณ์เป็นการแลกเปลยี่ นข้อมลู ทแี่ ท้จริงแบบหนึ่ง ปกตแิ ลว้ การสมั ภาษณเ์ ป็น กจิ กรรมฝกึ ทักษะการฟังพดู แต่สามารถนามาดดั แปลงเป็นกิจกรรมไวยากรณไ์ ด้โดยการกาหนด รูปแบบการใช้ภาษาหรือไวยากรณ์ทชี่ ัดเจน เช่น การตงั้ คาถามนา ตวั อยา่ งเชน่ การเน้นการตงั้ คาถามแบบ Yes / No Questions และ การใช้ Tense ตา่ งๆ เป็นกจิ กรรมทเ่ี หมาะสาหรับเร่ิมต้น ชน้ั เรียนหรือละลายพฤติกรรม (Ice-Breaking Activities) และจะไดผ้ ลดถี ้าผเู้ รยี นไม่รู้จกั กันมา ก่อนหรอื ไมส่ นทิ กนั ข้ันแรกผเู้ รียนจะตอ้ งจับคู่กับเพอื่ นที่อยากทาความรู้จกั ใหม้ ากขึ้น จากน้ันทง้ั คูจ่ ะต้องพยายามเดาวา่ ขอ้ ความในแต่ละขอ้ นั้นเป็นความจรงิ หรือไม่ เช่น มองหนา้ แล้วเดาว่า เพื่อนของเราเป็นคนโรแมนติกหรือไม่ ถ้าใช่ ให้ทาเครอ่ื งหมายถูก เมอ่ื เดาครบทุกขอ้ ความแล้ว ให้สมั ภาษณ์เพื่อนเป็นภาษาอังกฤษเพ่ือตรวจสอบวา่ เดาถูกก่ีข้อ ผู้สอนอาจใหแ้ นวคาถามเพ่ือให้ ผูเ้ รยี นใช้รปู แบบคาถามและtense ที่ถกู ต้อง หรอื ใหผ้ ้เู รียนถามเองกอ่ นแล้วค่อยอธบิ ายการใช้ คาถามและ tense ท่ีถูกต้องภายหลัง Directions: Work in pair. First without your partner, make a guess and decide whether the statements are true or false then ask yes/ no questions to find out whether you’ve made correct guesses Your friend……………. True False Correct? 1. is romantic. 2. was plump when he/she was young. 3. spends a lot of time on the Internet. 4. has a boyfriend or a girlfriend. 5. will take some extra course or lessons in the evening or at the weekends. 6. stayed up late last night. 7. does sports or exercise regularly. 8. can play a musical instrument. 9. likes going to pubs. 10. has had an operation at the hospital.

37 ค. กจิ กรรมชนิ้ งาน (Tasks) กิจกรรมไวยากรณ์ท่ีเน้นการส่อื สารอกี ประเภทหน่ึงอยู่ในรูปแบบของช้นิ งาน (Tasks) ท่ี อาจไม่ได้มีการกาหนดเนื้อหาไวยากรณท์ ่ตี ้องการสอนหรือต้องการให้ผเู้ รียนสังเกตไวอ้ ยา่ ง ชดั เจน ข้อดขี องกจิ กรรรมประเภทนค้ี อื เป็นกิจกรรมท่เี น้นการสื่อสารทแ่ี ทจ้ ริง ไมม่ เี น้อื หา ไวยากรณม์ าเป็นตวั บงั คับหรือกาหนดการใช้ภาษาในการทากิจกรรมเหมอื นกบั เกมไวยากรณ์ ผเู้ รียนต้องใช้ภาษาสอ่ื สารกับเพือ่ นๆ ในการทางานใหส้ าเร็จ โดยท่ีผู้สอนไม่จาเป็นต้องคาดหวังวา่ ผู้เรยี นจะใชไ้ วยากรณ์ในรปู แบบใดรูปแบบหนึง่ ในการทางานชิ้นนัน้ ๆ และเม่ือทางานสาเรจ็ แล้ว ผสู้ อนอาจมกี ิจกรรมตอ่ เนื่องให้ผเู้ รียนสังเกตภาษาและไวยากรณใ์ นภายหลงั กจิ กรมประเภทน้ี แบง่ เป็น 3 ข้นั ตอนหลกั ๆ ตามรูปข้างล่างนี้ Pre-task Introduction to topic and task Task cycle Task Planning Report Language Focus Analysis Practice ข้นั แรกคอื กจิ กรรมนา (Pre-task) เปน็ ข้ันตอนท่ผี ้สู อนใช้กจิ กรรมสั้นๆ เพื่อนาเขา้ สบู่ ทเรยี น เชน่ การพดู คยุ ทกั ทายเปน็ ภาษาอังกฤษ หรอื การแบง่ ผเู้ รียนเป็นกล่มุ ย่อยๆ จากนั้นอธบิ ายและ ช้ีแจงวธิ กี ารทางาน

38 ขัน้ ตอนท่สี องคอื ข้นั การทางาน (task cycles) ซึง่ ประกอบด้วยการทางานท่ีได้รบั มอบหมาย (task) การวางแผนและเตรยี ม.ซอ้ มการายงานผลการทางาน (Planning) และการรายงาน (Report) ในข้ันตอนของการทางาน จะไมเ่ น้นความถูกต้องของไวยากรณ์มากนัก เปดิ โอกาสให้ ผ้เู รียนใชภ้ าษาในการทางานใหม้ ากท่สี ุด ผูเ้ รยี นไมต่ อ้ งกงั วลมากับไวยากรณ์เพราะเป็นการพูดคยุ อย่างไม่เปน็ ทางการในกลุม่ ย่อยของตน สว่ นขน้ั ตอนของการวางแผนการรายงานผลงานและการ รายงานนน้ั เป็นขน้ั ตอนทผี่ เู้ รียนจะใหค้ วามสนใจกับความถกู ตอ้ งของไวยากรณ์มากขึ้น เพราะ ตอ้ งรายงานใหช้ ั้นเรียนฟงั ซึ่งเป็นการเพิ่มบริบทการส่ือสารอย่างเป็นทางการ ขน้ั ตอนสุดท้ายคอื การทาแบบฝึกหดั หรอื กจิ กรรมท่ีเน้นการสงั เกตการใช้ภาษาและไวยากรณ์ (language focus) ซึง่ อาจอยูใ่ นรูปแบบของการวิเคราะหภ์ าษา (analysis) หรือ การฝึกฝนการใช้ ภาษา (practice) ตัวอย่างกิจกรรมชิ้นงาน ระดับ (Levels) : ผเู้ รยี นระดับกลาง (intermediate) วตั ถปุ ระสงคแ์ ละไวยากรณเ์ ปา้ หมาย (Aims and target grammar): - Yes/ No question and Wh – Questions - Present Simple เวลาท่ีใช้ (Class tiem): 45 นาทถี ึงหนึง่ ชั่วโมง สอื่ การสอน (Materials): กระดาษเปลา่ ดินสอสี ขั้นตอน (Procedures) ขน้ั 1 กิจกรรมนา (Pre-task) (ประมาณ 5 นาท)ี 1. แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยๆ กลุ่มละประมาณ 3-5 คน ควรให้ผเู้ รียนจับกลุ่มกบั คนทีย่ ังไม่รจู้ กั สนิท อาจใหผ้ เู้ รยี นเป็นผูเ้ ลอื กกลุม่ เอง หรอื ผู้สอนอาจมี warm up activity เพ่ือจดั กล่มุ ตาม เง่ือนไขต่างๆ เช่น ใช้การนับเลข หรือให้น่งั เป็นกลมุ่ ตามวนั หรอื เดือนเกิด หรอื ตามหมูเ่ ลือด เป็น ตน้ จากน้ันหากผู้เรียนยงั ไม่รู้จกั กัน ใหผ้ ู้เรียนถามชอื่ และทาความรูจ้ ักสมาชิกของกลุ่มโดยใช้ ภาษาองั กฤษในการพูดคุย 2. ผสู้ อนอธบิ ายงานท่ีผู้เรียนต้องทา (ในงานชิ้นน้ี ผเู้ รยี นต้องวาดภาพท่ีใหข้ อ้ มลู เรอ่ื งราวหรือ บอกบุคลกิ ลกั ษณะหรือนิสยั ใจคอของตน และใหส้ มาชิกคนอ่ืนๆ ที่อยู่ในกลมุ่ ตัง้ คาถาม โดยผู้วาด ภาพตอ้ งตอบคาถามและให้ขอ้ มูล (เพ่มิ เตมิ )

39 ขัน้ ท่ี 2 ขน้ั ทางาน (task cycle) (ประมาณ 40 นาที) -การทางาน (task) (ประมาณ 20 นาที) 1.แจกกระดาษและดนิ สอให้ผ้เู รียนทุกคน ผ้เู รยี นแตล่ ะคนตอ้ งวาดรปู หรือสัญลักษณท์ ี่ให้ข้อมูล เกีย่ วกับตวั เองหรอื บง่ บอกถงึ นิสยั ของตน (เช่น วาดรูปโทรทัศัน์และมีลูกฟตุ บอลอยใู่ น จอโทรทศั ัน์ เพื่อบอกว่า ชอบดูการถ่ายทอดสดฟตุ บอล หรือวาดรูปหนังสือเพอ่ื บอกวา่ เป็นคน ชอบอา่ นหนงั สือเป็นต้น 2. ใหผ้ ลดั กันแสดงรูปที่วาดให้สมาชิกในกลมุ่ ดูโดยทไ่ี มต่ อ้ งอธิบายรูป ให้สมาชกิ ชว่ ยกันถาม คาถามทเี่ กย่ี วกบั รูป เจ้าของรูปตอบคาถามและให้ขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ ได้ เช่น สมาชิกกลุ่ม: Do you like watching football on TV? เจา้ ของรปู : Yes. I like watching live football matches. I support Liverpool. 3. เม่ือทกุ คนแสดงรูปแลว้ ให้กลมุ่ ประชุมกนั เพื่อคัดเลือกรูปทน่ี ่าสนใจที่สุด 2-3 รปู พรอ้ มสรุป เหตผุ ลว่าทาไมกลุ่มถงึ เลอื กรูปน้ัน 4. ในขั้นตอนการทางานน้ี ผู้สอนไม่จาเป็นต้องให้ความช่วยเหลอื หรือแกไ้ ขภาษาทผี่ ูเ้ รยี นใชใ้ น การทางาน ผู้สอนควรมีบทบาทเปฯ้ เพียงผู้สงั เกตการณ์ รักษาเวลา และกระตุน้ ให้ผู้เรยี นใช้ ภาษาองั กฤษให้มากที่สุดในการทางาน - การวางแผนการรายงานผลทางานและการรา่ ยงาน (Planning) ประมาณ 10 นาที 1. ให้กลุม่ แต่งตง้ั คนท่จี ะเปน็ ตวั แทนรายงานผลการทางานให้ทกุ คนในชั้นเรยี นฟงั 2. ประชมุ เพ่อื เตรยี มรา่ งบทรายงาน เชน่ “our group chose these three pictures. The first picture is drawn by Pat. We love it because it looks like a real hamburger. The picture shows that Pat likes to eat hamburgers. He eats two hamburger a day. The second picture is Noi’s picture……..” 3. ในขั้นตอนน้ีผู้สอนอาจชว่ ยตรวจสอบความถูกต้องของภาษาและตรวจรา่ งรายงานของแต่ละ กลุ่มได้

40 - การรายงาน (report) ประมาณ 10 นาที 1. แตล่ ะกลมุ่ ส่งตัวแทนรายงานผลการทางานใหท้ ุกคนในช้ันเรยี นฟงั 2. ผู้ฟังสามารถซักถามหาข้อมูลเพิ่มเตมิ เก่ยี วกับรปู ได้ ขนั้ ท่ี 3 การทาแบบฝึกหดั หรอื กจิ กรรมทีเ่ น้นการใชภ้ าษาและไวยากรณ์ (language focus) (ประมาณ 15 นาที ส่วนที่เป็นแบบฝกึ หดั ใหท้ าเป็นการบ้านได้) 1. ผสู้ อนยกตวั อย่างคาถามและคาตอบที่ไดย้ ินจากการเดินสงั เกตการณ์การทางานและให้ผู้เรียน สงั เกตการใช้ Verb form ใน Present Simple Tense ในประโยคคาถาม ประโยคบอกเล่า และ ประโยคปฏเิ สธ เช่น Do you like shopping? Does Pat like to eat hamburgers? How many burgers does he have a day No, I don’t play football. I like watching football on TV. No, she doesn’t wear eyeglasses. The picture means she doesn’t want to wear eyeglasses 2. ให้นกั เรยี นทาแบบฝึกหัดทฝ่ี กึ ฝนการต้งั คาถาม การตอบรับ และการตอบปฏิเสธ โดยใช้ Present Simple Tense เช่น เลอื กคาหรือวลที ี่ถูกตอ้ ง A: (Do you like/Are you like) pop songs? B: No. I don’t I really (hate/hates) pop music. I can’t stand it. A: What about your girlfriend? (Does she likes/Does she like) this kind of music? B: No. She (doesn’t likes/ doesn’t like) it either. She (like/likes) rock music! 3. ผู้สอนอาจอธิบายหรือสรุปการใช้ verb ในประโยคคาถาม บอกเลา่ และปฏเิ สธ ใน Present Simple Tense โดยอาจใหต้ วั อยา่ งเพิม่ เติม

41 ข้อจากดั หรอื ข้อเสยี งของกจิ กรรมประเภทนคี้ อื การขาดประเด็นทางไวยากรณท์ ่ชี ัดเจน ดังนั้นผู้เรียนอาจไม่ไดฝ้ ึกฝนการใชไ้ วยากรณ์เร่ืองใดเรอ่ื งหน่ึงในระหวา่ งการทางาน และหลังจาก การทางานแล้ว ผู้สอนอาจประสบปญั หาในการสังเกตลักษณะภาษาหรือไวยากรณเ์ นื่องจาก ผู้เรยี นอาจใช้ไวยากรณ์หลายเร่ืองในการทางาน ปญั หาอีกประการหน่ึงคือ ผเู้ รียนอาจใช้ศัพั ทท์ ่ี เกยี่ วกบั รปู ร่าง ขนาด สี และองค์ประกอบต่างๆ ของรา่ งกาย ผูเ้ รียนอาจนกึ คาภาษาไทยได้แต่ไม่ รู้วา่ จะสอ่ื สารเป็นภาษาอังกฤษอยา่ งไร จงึ อาจใช้แต่ภาษาไทยหรือหลกี เลย่ี งการใชภ้ าษาเลย เช่น ใช้นว้ิ หรอื ปากกาชี้ หรือแสดงท่าทาง จึงผดิ วตั ถปุ ระสงคข์ องการเรยี นการอสนที่เน้นใหผ้ ู้เรยี นใช้ ภาษาอังกฤษใหม้ ากท่ีสุดในการทางาน การแก้ปัญหาแบบหน่ึงคือ การกาหนดขอบเขตของงานใหแ้ คบลง เพ่ือช่วยให้สามารถ คาดคะเนรูปแบบภาษาหรือไวยากรณ์หรือศัพั ทท์ ผี่ เู้ รียนจะใช้ในการทางานให้มากท่ีสุด หรอื ให้ ตัวอยา่ งรูปแบบภาษาเพอื่ เปน็ แนวทางในการทางานสาหรับผูเ้ รยี นระดับปานกลาง เช่น อาจให้ ผเู้ รยี นเปรยี บเทยี บรูปท่ีผ้สู อนเป็นผเู้ ตรียมและควบคมุ ลกั ษณะที่ปรากฏได้ เชน่ ใหเ้ ปรยี บเทียบ คนคนเดียวกันตอนเป็นหนุม่ กับตอนมีอายแุ ลว้ เพอ่ื จะไดใ้ หต้ ัวอย่างการใช้ภาษาแกผ่ ู้เรยี นได้ เชน่ โครงสร้างการเปรยี บเทียบหรอื ศััพท์ทเี่ ก่ียวกบั การบรรยายลักษณะของคน เช่น “to have shorter/ longer hear” “ to dress more/ less casual” เป็นตน้ 3. กิจกรรมการสังเกตรูปแบบภาษาและการใช้ไวยากรณ์ (Language focus activities) กจิ กรรมประเภทน้อี าจใช้เปน็ บทเรยี นไวยากรณ์ได้โดยตัวของมันเอง โดยผ้เู รียนสังเกต รปู แบบการใช้ภาษาหรือประเด็นทางไวยากรณ์จากตัวอยา่ งภาษาในรูปแบบตา่ งๆ เช่น จาก ตวั อย่างประโยคหรือศักึ ษาจากขอ้ ความต่างๆ แล้วพยายามสังเกตและสรุปการใช้ภาษาดว้ ย ตัวเองกอ่ นทผี่ สู้ อนจะยืนยันหรือแก้ไขขอ้ สรปุ น้ันๆ กจิ กรรมประเภทน้ี อาจใช้ในกิจกรรมทเี่ นน้ การส่อื ความหมายหรือกิจกรรมประเภทงาน โดยในช่วงทา้ ยของกิจกรรมหรือการทางานใหผ้ ู้เรียนสังเกตรปู แบบการใช้ภาษาและไวยากรณ์บาง ประเด็นอันจะมผี ลให้ผู้เรียนสนใจความถูกต้องของภาษานอกเหนือจากการใช้ภาษาอย่าง คล่องแคล่วและเป็นธรรมชาตเิ พ่อื จดุ ประสงคด์ ้านการส่อื ความหมายแตเ่ พยี งอยา่ งเดียว ตัวอย่างของกจิ กรรมการสงั เกตรูปแบบภาษาที่สามารถใชไ้ ด้กับผเู้ รียนระดับกลางมดี ังนี้

42 3.1 การเน้นขอ้ ความ (Input enhancement) กิจกรรมการเน้นข้อความพัฒนาจากงานวิจยั ของ (Doughty, 1988) ที่เสนอว่า การเน้นคา วลหี รอื ประโยคทแ่ี สดงประเดน็ ทางไวยากรณ์ในข้อความท่ีนามาสอน (ซ่งึ อาจตอ้ งมีการดดั แปลง จากของจริง) จะชว่ ยให้ผ้เู รยี นสามารถสังเกตและวิเคราะห์ประเด็นทางไวยากรณ์ไดด้ ีกว่าการไม่ เน้นข้อความ การเน้นข้อความทาได้หลายรูปแบบ เช่น การขีดเส้นใต้ การทาตัวทึบ หรือตัวเอน ตวั อยา่ งเช่น The Goose with the Golden Eggs One day a countryman went to the nest of his goose and found there and egg all yellow and glittering. When he took it up it was as heavy as lead and he was going to throw it away, because he thought a trick had been played on him. But he took it home on second thoughts, and soon found that it was an egg of pure gold. Every morning the same thing occurred, and he grew rich by selling his eggs. As he grew rich he grew greedy; and thinking to get at once all the gold the goose could give, he killed it and opened it only to find nothing. Greed often overreaches itself. (Original text taken form: http:www.umass.edu/Aesop/) จะเหน็ ว่า การผสู้ อนเน้นคากริยาทีป่ รากฏอยู่ในขอ้ ความในรูปของ past tense ใหเ้ ห็น ชัดเจนโดยทาตัวเอน ตัวหนาและขีดเส้นใต้ การเน้นรปู กริยาจะช่วยให้ผเู้ รยี นสนใจและสังเกต รูปแบบของคากริยาที่เป็น past tense แบบตา่ งๆ เช่น past simple หรือ past continuous และ past perfect โดยผ้สู อนอาจตงั้ คาถามเพ่ือช่วยในการวเิ คราะห์ เช่น ภาษาอังกฤษมกั ใช้ tense อะไรในการเลา่ เรอื่ งหรือเหตุการณ์ทว่ั ๆ ไป หรือการเล่าความคดิ ความรสู้ ึกของตวั ละคร (เช่น “found”, “thought”) ใช้ tense อะไรในการเน้นความตนื่ เตน้ ของเหตุการณ์หรือ เน้นวา่ กาลงั ทา action บางอย่างในชว่ งเวลาน้นั (เชน่ “was going to throw it away”) หรือ ใช้ tense อะไรใน การเน้นว่า เหตุการณ์หนึ่งไดเ้ กิดข้ึนกอ่ นเหตุการณ์หลกั ที่กาลงั เล่าอยู่ (เชน่ “…..a trick had been played on him”)

43 3.2 การเตมิ คาหรอื ขอ้ ความ วิธีนีด้ เู หมอื นเป็นแบบฝึกหัดเตมิ คาในช่องว่างแบบหน่ึง แตค่ าหรือข้อความท่หี ายไปมี ประเดน็ ทางไวยากรณ์ท่ตี ้องการเน้นหรือต้องการใหผ้ ู้เรยี นสังเกต กอ่ นทากจิ กรรมดงั กล่าว ผู้สอนไม่จาเป็นตอ้ งบอกวา่ จดุ ทเี่ น้นคอื ประเด็นทางไวยากรณ์เรือ่ งอะไร อาจทาเหมือนแบบฝึกหัดหรือเกมธรรมดา แลว้ คอ่ ย มาอธิบายหรือตั้งคาถามนาใหผ้ เู้ รียนสงั เกตประเด็นทางไวยากรณ์นน้ั ในภายหลัง ประเภทของ ข้อความที่นามาใหผ้ ้เู รียนฝกึ เติมคาอาจมหี ลากหลาย เช่น เพลง ข่าว หรอื บทความสน้ั ๆ ท่ี เหมาะสมกบั ระดับภาษาและความสนใจของผูเ้ รียน และอาจทาเป็นส่วนหน่งึ ของกิจกรรมฝึก ทกั ษะดา้ นต่างๆ Sunshine by Sonny O’Brien How do I begin to stop loving you How do I go on by letting go How do I pretend I know what ……… (The answer is “to do”.) When deep inside I know that I don’t (***) My heart is weak Too tired ………….. (The answer is “to sleep”.) I’m incomplete Like a day without sunshine God only knows This faded soul Must stand alone Waiting on sunshine How do I forgot ……………… you (The answer is “to remember”.) Tell me how …………. a broken heart (The answer is “to mend”.) How can I explain what I’m going through It’s like trying …………… a shadow in the dark (The answer is “to find”.) ตัวอยา่ งขา้ งบนน้เี ป็นการเติมขอ้ ความในเพลงซ่ึงอาจทาในชวั่ โมงการฟงั ได้ โดยเปิดให้ ผเู้ รียนฟังและใหเ้ ตมิ คาหรอื วลีในชอ่ งว่าง โดยคาหรือวลีท่หี ายไปเป็นไวยากรณ์เร่อื ง “to-infinitive” ซึ่งหลงั จากทีเ่ ฉลยคาตอบแล้ว ผสู้ อนสามารถใหผ้ ูเ้ รยี นชว่ ยกันวิเคราะห์การใช้ infinitive หรอื อธบิ ายไวยากรณ์เรือ่ งนเี้ พิ่มเติมได้

44 3. การสังเกตตัวเลือกทีถ่ กู และผดิ กจิ กรรมนี้ดัดแปลงจากแบบฝึกหัด Grammatical Consciousness Raising (C-R) (Rutherford, 1987) ผ้สู อนคดั เลอื กขอ้ ความหรือบทความท่ีมีตัวอย่างของประเด็นทางไวยากรณท์ ี่ ตอ้ งการใหผ้ เู้ รียนสงั เกต เมื่อผเู้ รียนอ่านข้อความไปถงึ จุดท่มี ีประเดน็ ไวยากรณ์นั้นๆ จะมีตวั เลือก หลายตวั ใหเ้ ห็น มกี ารกาหรอื ขีดตัวเลือกท่ีผิดออกใหเ้ ห็นชดั เจนว่าตวั เลือกทีถ่ กู ตอ้ งคอื อะไร วธิ ีนี้ เหมาะกับการสงั เกตความแตกต่างระหวา่ งไวยากรณ์ที่คล้ายกันหรอื มักสร้างความสับสนแก่ ผเู้ รียน ตวั อยา่ งเช่น Hua Hin 281 kilometers south (of, in, at) Bangkok, Hua Hin, (which, where, who) literally means stone head in Thai, is the (old, older, oldest) beach resort of the country and is still very (popular, popularly, popularity). Clean white sand, crystal clear water and a tranquil atmosphere has continued (to attract, attract, attracting) tourists in search of peaceful and relaxing holidays. จะเหน็ ว่า จุดประสงค์หลกั ของแบบฝึกหัดประเภทนี้ไมไ่ ด้มีเพ่อื ทดสอบความรู้ทาง ไวยากรณ์ แต่เพือ่ ให้ผู้เรียนไดส้ งั เกตการใช้ภาษาและประเด็นทางไวยากรณ์ตา่ งๆ ที่ผู้สอน สามารถอธิบายเพม่ิ เตมิ หรือเป็นการนาไปสู่กิจกรรมอ่ืนๆ ได้ ข้อความที่คัดเลอื กมาไม่ยากเกนิ ไป เป็นข้อมูลการทอ่ งเทีย่ วเบอื้ งต้นของสถานทท่ี ่นี ักเรยี นไทยรู้จกั และประเดน็ ทางภาษาในตัวอย่าง น้ีเป็นไวยากรณท์ นี่ ักเรียนไทยคุ้นเคยอยู่แลว้ เช่น preposition, relative clause, connector, parts of speech และ verb forms สง่ิ ท่คี วรทาและไมค่ วรทาในการเรียนการสอนไวยากรณ์  ส่ิงท่คี วรทา  สิ่งไมค่ วรทา ทากิจกรรมการสอ่ื สารกอ่ นและมีกิจกรรมที่ ไมส่ อนไวยากรณ์ ใหผ้ เู้ รยี นทากจิ กรรมที่เน้น เนน้ การสังเกตการณ์ใช้ภาษาและไวยากรณ์ การสอ่ื สารอยา่ งเดียว เพือ่ รกั ษาสมดุลระหวา่ งความคลอ่ งและความ ถกู ตอ้ งในการใช้ภาษา

45 สอนไวยากรณเ์ ป็นส่วนหนงึ่ ของการสอน สอนไวยากรณโ์ ดยอธิบายกฎเกณฑ์และทา ทกั ษะภาษาอังกฤษ หรือเป็นสว่ นหน่ึงของ แบบฝกึ หัดอยา่ งเดียว กิจกรรมทเี่ น้นการสอื่ สาร สอนเน้นทงั้ รปู แบบ (Form) และการใชภ้ าษา สอนไวยากรณโ์ ดยเน้นทีร่ ปู แบบภาษา (Form) ในบรบิ ทตา่ งๆ (Use) อย่างเดียว สอนไวยากรณ์ในประเดน็ ทแ่ี ตกตา่ ง ให้ความสาคญั กับไวยากรณเ์ รื่องประเภทของ หลากหลายและสง่ เสรมิ ให้ผู้เรยี นสังเกต คาและโครงสรา้ งประโยค ไวยากรณ์ในมุมมองใหม่ๆ เชน่ ไวยากรณข์ อง คา คาปรากฏร่วมจาเพาะ (Collocation) หรือ ไวยากรณข์ องภาษาพดู (Grammar of Spoken English) Lesson Stages ข้นั ตอนของการสอนไวยากรณ์ สถาบนั สอนภาษา British Council ไดแ้ นะนาข้ันตอนการสอนไวยากรณ์ ตามข้ันตอน การสอนแบบ PPP ซง่ึ อาจจะเรม่ิ ต้นดว้ ยการนาเข้าสู่บทเรยี น Lead in ก่อน 1. Lead-in: The topic of the lesson is introduced and students do a short game or activity to revise vocabulary. นาเขา้ สู่บทเรียนดว้ ยเกมหรือทบทวนคาศัพท์ 2. Presentation: New languages is introduced to the students (e.g. using visuals, using a story etc.). นาเสนอเน้ือหาใหม่โดยอาจใชภ้ าพ หรอื เร่อื งราวเปน็ ต้น

46 3. Controlled practice: Students practice the new language in a restricted way. It usually involve exercises in which there is only one correct answer. ฝกึ ภาษาในรูปแบบทก่ี าหนด 4. Semi-controlled practice: Students practice the new language with an increased amount of freedom. Students can personalize the language and there are a limited number of language options they can use. มอี ิสระในการฝกึ มากขึ้น 5. Free practice/production: Students produce the new language and they have freedom in choosing which language to use to do the activity. มอี สิ ระอย่างเตม็ ทีใ่ นการเลือกใชภ้ าษา หมายเหตุ ขนั้ Semi-controlled practice stage อาจจะไม่จาเป็นต้องมี อาจจะมีการฝึก (Practice) เพยี ง 1-2 กิจกรรมกไ็ ด้ กระบวนการสอนไวยากรณเ์ พ่ือการสื่อสาร สถาบันภาษาองั กฤษ ไดก้ าหนดกระบวนการสอนไวยากรณ์เพ่ือการสื่อสาร ไว้ 5 ขั้น โดย ใช้รปู แบบ PPP เปน็ หลัก ดังน้ี 1. ขั้นนาเข้าสู่บทเรยี น (Warm up/Lead in) มจี ดุ มงุ่ หมายเพ่อื ให้นักเรยี นเกิดความพร้อมและอยากร้อู ยากเรยี นในบทใหม่ เน้ือหาจะ เช่ือมโยงไปสู่สาระสาคัญของบทนน้ั ๆ เม่ือครผู ู้สอนเห็นว่า นักเรียนมีความพรอ้ ม เกิดความสนุก และสนใจอยากเรียนแล้ว กเ็ ริ่มเรยี นเนื้อหาต่อไป กจิ กรรมท่กี าหนดไวใ้ นข้ันนี้มหี ลากหลาย เช่น เล่นเกม ปรศิ ันาคาทาย เพ่อื ทบทวนความร้ทู ่เี รียนมาแลว้

47 2. ข้ันนาเสนอ (Presentation) ในข้ันนี้ครูจะให้ข้อมูลทางภาษาแก่นักเรียน มีการนาเสนอศััพท์ใหม่ โครงสร้างทาง ไวยากรณ์ เนอ้ื หาใหม่ ให้เขา้ ใจทงั้ รปู แบบและความหมาย กิจกรรมทีก่ าหนดไวป้ ระกอบด้วย การให้ฟังเน้ือหาใหม่ ให้นักเรียนฝึกพูดตาม ในข้ันนี้ครูเป็นผู้ให้ความรู้ทางภาษาที่ถูกตอ้ งและเปน็ แบบอยา่ งทีถ่ ูกต้องในการออกเสยี ง คอื Informant (ผู้ให้ความรู้) รปู แบบของภาษาจงึ เนน้ ท่ี ความถูกต้อง (Accuracy) เป็นหลัก ในข้ันนาเสนอน้ี เน้นการให้ผู้เรียนได้เข้าใจความหมาย (Meaning) ของไวยากรณ์ท่ีนาเสนอก่อนแล้วตามด้วยรู้จักรูปแบบหรือโครงสร้างทางไวยากรณ์ น้ันๆ (Form) และจบลงด้วยการออกเสียง (Pronunciation) ดังนั้น ในขั้นน้ีสามารถท่ีจะจดจา ประเด็นสาคญั ในการนาเสนอในรูปอกั ษรยอ่ คอื MFP 3. ขั้นฝกึ (Practice) ในข้ันนี้นักเรียนจะได้ฝึกใช้ภาษาทเ่ี รยี นมาแลว้ ในขั้นนาเสนอ โดยมวี ัตถปุ ระสงคใ์ ห้ นักเรียนใช้ภาษาได้ถกู ตอ้ ง ขณะเดยี วกันก็เน้นในเร่อื งการใช้ภาษาใหค้ ล่องแคล่ว (Fluency) การฝกึ อาจจะฝกึ ท้งั ชั้น เป็นกลมุ่ เป็นคู่ หรอื รายบุคคล ขัน้ นีเ้ ป็นข้ันท่ีครูจะแกไ้ ขข้อผิดพลาดของ นกั เรียนในการใชภ้ าษาซ่งึ การแก้ไขข้อผิดพลาดน้นั ควรทาหลังการฝึก หากทาระหว่างท่ีนักเรยี น กาลงั ลองผิดลองถูกอยู่ ความมั่นใจทจี่ ะใชภ้ าษาให้คล่องแคล่วอาจลดลงได้ หรอื อาจจะเปิดโอกาส ใหน้ กั เรียนได้ฝกึ อย่างอิสระ (Learning by doing)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook