Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 7 เรื่องการจัดการองค์กรณ์

หน่วยที่ 7 เรื่องการจัดการองค์กรณ์

Published by ronnaphoom naksomboon, 2022-01-11 05:40:11

Description: หน่วยที่ 7 เรื่องการจัดการองค์กรณ์

Search

Read the Text Version

แผนการจดั การเรียนรู้ ชื1อวชิ า การพฒั นาองค์การด้วยระบบบริหารคุณภาพ หน่วยท1ี 7 จาํ นวน 3 ช1ัวโมง ชื1อหน่วย หลกั การจดั องคก์ าร สัปดาห์ที1 11 สาระสําคญั การจดั องคก์ ารกระบวนการสร้างความสมั พนั ธ์ระหวา่ งหนา้ ที8การงานของบุคลากร ความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งงานประเภทต่างๆ สายงานการบงั คบั บญั ชา อยา่ งชดั เจนที8ผบู้ ริหารและผทู้ 8ีไดร้ ับมอบหมายเป็นผู้ กาํ หนด เพื8อใชเ้ ป็นกรอบ และทิศทางใหส้ มาชิกในองคก์ ารไดป้ ฏิบตั ิ เพ8ือใหก้ ารปฏิบตั ิงานขององคก์ าร ดาํ เนินไดอ้ ยา่ งชดั เจน มีระเบียบและมีแบบแผน สาระการเรียนรู้ 7.1 ความหมายของการจดั องคก์ าร 7.2 ประเภทขององคก์ าร 7.3 หลกั การจดั องคก์ าร 7.4 กระบวนการจดั องคก์ าร 7.5 การจดั โครงสร้างขององคก์ าร สมรรถนะประจาํ หน่วย อธิบายความหมายของการจดั องคก์ าร บอกประเภทขององคก์ าร รู้จกั หลกั การจดั องคก์ าร กระบวนการจดั องคก์ ารและการจดั โครงสร้างขององคก์ าร จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายความหมายของการจดั องคก์ ารได้ 2. บอกประเภทขององคก์ ารได้ 3. อธิบายหลกั การจดั องคก์ ารได้ 4. อธิบายกระบวนการจดั องคก์ ารได้ 5. อธิบายการจดั โครงสร้างขององคก์ ารได้

เนื<อหา 7.1 ความหมายของการจดั องค์การ องคก์ าร คือกลุ่มบุคคลแต่เป็นกลุ่มที8ค่อนขา้ งใหญ่และมีลกั ษณะเฉพาะท8ีมีจุดมุ่งหมายในการดาํ เนินการ อยา่ งใดอยา่ งหน8ึงโดยกลุ่มบุคคลนXีจะมีส8ิงยดึ เหนี8ยวร่วมกนั และร่วมแรงรวมใจกนั ทาํ งานเพื8อบรรลุเป้าหมาย ที8วางไว้ องคก์ ารจึงมีลกั ษณะดงั นXี 1. องคก์ ารเป็นรูปแบบของการรวมบุคคล 2. มีความสมั พนั ธ์ท8ีจะทาํ กิจกรรมอยา่ งใดอยา่ งหน8ึงร่วมกนั 3. มีการแบ่งงาน จดั สรรหนา้ ที8ใหส้ มาชิกในองคก์ าร 4. มีโครงสร้างขององคก์ ารในลกั ษณะของการบงั คบั บญั ชา 5. มีการยอมรับในสงั คม ตามระเบียบแบนแผน ประเพณี หรือกฎหมาย รูปท8ี 7.1 กลุ่มบุคคลในองคก์ าร 7.1.1) ทฤษฎีองคก์ าร ทฤษฎีองคก์ ารอาจแบ่งได้ 3 ทฤษฎี คือ (1) ทฤษฎีดXงั เดิม แนวความคิดทฤษฎีดXงั เดิมววิ ฒั นาการจากการปกครองแบบทหาร จนถึงปลายศตวรรษท8ี19 ไดน้ กั บริหารสร้างรูปแบบการบริหารในระบบราชการขXึน คือ แมค วเี บอร์ และสร้างรูปแบบการบริหารโดย ใชก้ ารจดั การทางวทิ ยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริค เทยเ์ ลอร์ ทฤษฎีนXีมีหลกั การวา่ “ คนเป็นเครื8องมือท8ีทาํ ให้ องคก์ ารไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทางได”้ ซ8ึงจะไดก้ ล่าวรายละเอียดต่อไปนXี ก) การจดั องคก์ ารแบบราชการของ แมค วเี บอร์ไดเ้ นน้ ใหเ้ ห็นถึงการจดั โครงการท8ีเป็น ระเบียบ สาระสาํ คญั ที8 แมค วเี บอร์ ไดเ้ นน้ คือ องคก์ ารแบบราชการในอุดมคตินXนั จะตอ้ งประกอบดว้ ย a) จะตอ้ งมีการแบ่งงานกนั ทาํ โดยใหแ้ ต่ละคนปฏิบตั ิงานในสาขาท8ีตนมีความชาํ นาญ b) การยดึ ถืองานใหย้ ดึ ถือกฎเกณฑร์ ะเบียบวนิ ยั โดยเคร่งครัด เพื8อที8จะใหไ้ ดม้ าตรฐานของ งานเท่าเทียมกนั การยดึ ถือกฎเกณฑน์ Xีจะช่วยขจดั พฤติกรรมท8ีบุคลแตกต่างกนั สามารถมาประสานกนั ได้ c) สายการบงั คบั บญั ชาตอ้ งชดั เจน โดยผบู้ งั คบั บญั ชามอบหมายอาํ นาจหนา้ ท8ีและความ รับผดิ ชอบลดหลนั8 กนั ลงไป d) บุคคลในองคก์ ารตอ้ งไม่คาํ นึกถึงความสมั พนั ธ์ส่วนบุคคล โดยพยายามทาํ งานใหด้ ีที8สุด เพื8อเป้าหมายขององคก์ าร

e) การคดั เลือกบุคคล การวา่ จา้ ง ใหข้ Xึนอยกู่ บั ความสามารถ และการเลื8อนตาํ แหน่งให้ คาํ นึงถึงการประสบความสาํ เร็จในการงานและอาวโุ สดว้ ย จุดอ่อนขององคก์ ารแบบราชการกค็ ือ การเนน้ ท8ี องคก์ ารโดยละเลยการพิจารณาถึงปัญหาของคน และเชื8อวา่ การที8มีโครงสร้างท8ีรัดกมุ แน่นอนจะช่วยให้ บุคคลปรับพฤติกรรมใหเ้ ป็นไปตามความตอ้ งการขององคก์ ารได้ ข) การจดั องคก์ ารแบบวทิ ยาศาสตร์ของ เฟรดเดอริค เทยเ์ ลอร์ เป็นการจดั องคก์ ารแบบนาํ เอา วธิ ีการศึกษาวทิ ยาศาสตร์มาวเิ คราะห์และแกป้ ัญหาเพื8อปรับปรุงประสิทธิภาพขององคก์ ารใหด้ ีขXึนการศึกษา ทางวทิ ยาศาสตร์ไดเ้ ริ8มจากการหาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งงานและคนงานโดยการใชก้ ารทดลอง เป็นเกณฑ์ เพ8ือหามาตรการทาํ งานที8มีประสิทธิภาพสูงสุดโดยท8ีคนงานจะถูกพิจารณาวา่ ตอ้ งการทาํ งานเพื8อเศรษฐกิจ ดา้ นเดียว โดยละเลยการศึกษาถึงแรงจูงใจ อารมณ์ และความตอ้ งการในสงั คมของกลุ่มคนงาน เพราะเช8ือวา่ เงินตวั เดียวจะล่อใจใหค้ นทาํ งานไดด้ ีท8ีสุด 7.1.2) ทฤษฎีสมยั ใหม่ ทฤษฎีสมยั ใหม่เป็นทฤษฎีท8ีพฒั นามาจากดXงั เดิม ทฤษฎีนXีมีหลกั การวา่ “คนเป็นปัจจยั สาํ คญั และ มีอิทธิพลต่อการเพิ8มผลผลิตขององคก์ าร”โดยเนน้ ใหเ้ ห็นถึงความสาํ คญั ของคนท8ีทาํ หนา้ ที8ร่วมกนั ใน องคก์ ารถือวา่ องคก์ ารประกอบไปดว้ ยบุคคลซ8ึงทาํ งานโดยมีเป้าหมายร่วมกนั และกลุ่มคนงานจะเป็นผมู้ ีส่วน ร่วมในการกาํ หนดผลผลิตดว้ ย ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคลเป็นปัจจยั ท8ีสาํ คญั และมีอิทธิพลต่อการ กาํ หนดการผลิต กล่าวโดยสรุปวา่ ทฤษฎีนXีไดเ้ นน้ เร8ืองมนุษยส์ มั พนั ธ์โดยไดม้ ีการศึกษาและคน้ พบวา่ บุคคล แต่ละคนยอ่ มมีความแตกต่างกนั ขวญั ในการทาํ งานเป็นสิ8งสาํ คญั การเขา้ มีส่วนร่วมในกิจกรรมและการ ตดั สินใจระหวา่ งฝ่ ายบริหารและฝ่ ายคนงานยอ่ มจะสร้างความพ8ึงพอใจใหก้ บั ทุกฝ่ ายโดยไดส้ ร้างผลผลิต อยา่ งเตม็ เมด็ เตม็ หน่วยไดท้ ฤษฎีท8ีมีส่วนสาํ คญั มากต่อกระบวนการมนุษยส์ มั พนั ธ์ไดแ้ ก่ ทฤษฎีของ เอลตนั เมโย ซ8ึงไดท้ าํ การทดลองวจิ ยั และคน้ พบวา่ ขวญั ของคนงานมีความสาํ คญั ต่อการเพิ8มผลผลิตกลุ่มคนงานจะ พยายามสร้างปทสั ถานของกลุ่มตน และคนงานจะทาํ งานเป็นทีมโดยมีการกาํ หนดมาตรฐานของกลุ่มขXึนเอง 7.1.3) ทฤษฎีสมยั ปัจจุบนั ทฤษฎีนXีกล่าววา่ เป็นการศึกษารูปแบบขององคก์ ารในปัจจุบนั โดยเนน้ ท8ีการวเิ คราะห์องคก์ ารใน เชิงระบบกล่าวคือ นกั ทฤษฎีไดพ้ ิจารณาองคก์ ารในลกั ษณะที8เป็นส่วนรวมทXงั หมด ตลอดจนความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งส่วนต่างๆ ท8ีอยภู่ ายในองคก์ าร การศึกษาวา่ องคก์ ารเป็นระบบหน8ึงๆ นXนั ไดค้ าํ นึงถึงองคป์ ระกอบ ภายในองคก์ ารทุกส่วน ไดแ้ ก่ ตวั ป้อน กระบวนการ ผลผลิต ผลกระทบ และสิ8งแวดลอ้ ม การศึกษาองคก์ าร ในรูประบบนXนั ไดพ้ ยายามท8ีจะมององคก์ ารในลกั ษณะการเคลื8อนไหวและปรับเขา้ กบั รูปแบบองคก์ ารไดใ้ น ทุกสภาวะแวดลอ้ ม ทXงั นXีเพราะนกั ทฤษฎีปัจจุบนั ไดม้ ององคก์ ารในลกั ษณะกระบวนการทางดา้ นโครงสร้าง ที8บุคคลต่างๆ จะตอ้ งเกี8ยวพนั ซ8ึงกนั และกนั เพื8อบรรลุเป้าหมายตามท8ีตอ้ งการ จึงมีการศึกษาพฤติกรรม องคก์ ารในลกั ษณะใหม่ๆ เช่น พฤติกรรมศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ การบริการแบบมีส่วนร่วม การพฒั นาองคก์ าร คิว.ซี. และการบริหารแบบอนาคตนิยม เป็นตน้ 7.2. ประเภทขององค์การ(Types of Organization)

ในการแบ่งประเภทขององคก์ ารนXนั ขXึนอยกู่ บั จุดมุ่งหมายขององคก์ ารวา่ เป็นอยา่ งไร ซ8ึงมีลกั ษณะการ ดาํ เนินงานท8ีแตกต่างกนั โดยสามารถแบ่งประเภทขององคก์ ารไดด้ งั นXี 7.2.1) การแบ่งองคก์ ารตามความตอ้ งการของบุคคล (1) องคก์ ารเบXืองตน้ เป็นองคก์ ารท8ีสมาชิกมีความรู้สึกสนิทสนมกนั ดี มีลกั ษณะเป็นครอบครัว ญาติมิตร เพ8ือนฝงู มีลกั ษณะที8ค่อนขา้ งไม่มีพิธีรีตอง มีจุดมุ่งหมายเนน้ ไปท8ีความสนุกสนาน (2) องคก์ ารทุติยภูมิเป็นองคก์ ารท8ีกาํ หนดบทบาทและหนา้ ที8ของสมาชิกในองคก์ ารมี ความสมั พนั ธ์ไม่แน่นแฟ้ม เป็นไปในลกั ษณะชวั8 คราว มีลกั ษณะเป็น โรงงาน ร้านคา้ สมาคม สโมสร เป็ นตน้ 7.2.2) การจาํ แนกองคก์ ารโดยยดึ โดยยดึ โครงสร้างแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดงั นXี (1) องคก์ ารแบบเป็นทางการ เป็นองคก์ ารท8ีมีการจดั โครงสร้างอยา่ งเป็นระเบียบแบบแผนแน่นอน การจดั ตXงั มีกฎหมายรองรับ บางแห่งเรียกวา่ องคก์ ารรูปนยั ไดแ้ ก่ บริษทั มูลนิธิ หน่วยราชการ กรม โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ ซ8ึงการศึกษาเรื8ององคก์ ารและการจดั การจะเป็นการศึกษาในเร8ืองขององคก์ าร ประเภทนXีทXงั สิXน (2) องคก์ ารแบบไม่เป็นทางการเป็นองคก์ ารที8รวมกนั หรือจดั ตXงั ขXึนดว้ ยความพ8ึงพอใจและ ความสมั พนั ธ์กนั เป็นส่วนตวั ไม่มีการจดั ระเบียบโครงสร้างภายในมีการรวมตวั กนั อยา่ งง่ายๆ และเลิกลม้ ได้ ง่าย องคก์ ารแบบนXีเรียกวา่ องคก์ ารอรูปนยั หรือองคก์ ารนอกแบบ เช่น ชมรมต่างๆ หรือกลุ่มต่างๆอาจเป็น การรวมกลุ่มกนั ดว้ ยความสมคั รใจของสมาชิกกลุ่ม ซ8ึงเน8ืองมาจากรายได้ อาชีพ รสนิยม ศาสนา ประเพณี ตาํ แหน่งงาน ฯลฯ 7.2.3) การแบ่งองคก์ ารตามจุดมุ่งหมายขององคก์ าร (1) องคก์ ารที8แสวงหาผลประโยชน์ เป็นองคก์ ารที8มุ่งทางการคา้ การแสวงหาผลกาํ ไรเขา้ องคก์ าร หรือเขา้ กลุ่มสมาชิก เป็นลกั ษณะรงงานอุตสาหกรรมที8ผลิตสินคา้ ร้านคา้ สาํ นกั งาน เป็นตน้ (2) องคก์ ารที8แสวงหาผลประโยชนเ์ ป็นองคก์ ารท8ีใหบ้ ริการเพ8ือสงั คม เพ8ือสาธารณประโยชน์ เช่น สมาคมการกศุ ลต่างๆ สมาคมศิษยเ์ ก่า มูลนิธิ เป็นตน้ 7.3 หลกั การจดั องค์การ หลกั การจดั องคก์ าร OSCAR ของเฮนรี ฟาโยล (Henri Fayol) มาจากคาํ ภาษาองั กฤษ 5 คาํ คือ Objective, Specialization, Coordination, Authority และ Responsibility ซ8ึงฟาโยลไดเ้ ขียนหลกั ของการจดั องคก์ ารไว้ 5ขอ้ เมื8อนาํ ตวั อกั ษรตวั แรกของคาํ ทXงั 5 มาเรียงต่อกนั จะทาํ ใหส้ ะกดไดค้ าํ วา่ OSCAR สาํ หรับ รายละเอียดทXงั 5 คาํ จะขอกล่าวไวใ้ น “หลกั ในการจดั องคก์ ารท8ีดี” หลกั ในการจดั องคก์ ารที8ดีจะตอ้ งมี องคป์ ระกอบและแนวปฏิบตั ิดงั ต่อไปนXี 7.3.1) หลกั วตั ถุประสงค์ หลกั วตั ถุประสงค์ กล่าววา่ องคก์ ารตอ้ งมีวตั ถุประสงคท์ 8ีกาํ หนดไวอ้ ยา่ งชดั เจน นอกจากนXนั การ ดาํ รงตาํ แหน่งยงั ตอ้ งมีวตั ถุประสงคย์ อ่ ยกาํ หนดไวเ้ พื8อวา่ บุคคลจะไดพ้ ยายามบรรลุวตั ถุประสงคย์ อ่ ยซ8ึงช่วย ใหอ้ งคก์ ารบรรลุวตั ถุประสงคร์ วม

7.3.2) หลกั ความรู้ความสามารถเฉพาะอยา่ ง หลกั ความรู้ความสามารถเฉพาะอยา่ ง กล่าววา่ การจดั แบ่งงานควรจะแบ่งตามความถนดั พนกั งาน ควรจะมอบรับมอบหนา้ ที8เฉพาะเพียงอยา่ งเดียวและงานหนา้ ที8ท8ีคลา้ ยกนั หรือสมั พนั ธ์กนั ควรจะตอ้ งอยู่ ภายใตก้ ารบงั คบั บญั ชาของคนคนเดียว 7.3.3) หลกั การประสานงาน หลกั การประสานงาน กล่าววา่ การประสานงานกนั คือ การหาทางทาํ ใหท้ ุกๆ ฝ่ ายร่วมมือกนั และ ทาํ งานสอดคลอ้ งกนั โดยใชห้ ลกั สามคั คีธรรม เพ8ือประโยชนข์ ององคก์ าร 7.3.4) หลกั ของอาํ นาจหนา้ ท8ี หลกั ของอาํ นาจหนา้ ท8ี กล่าววา่ ทุกองคก์ ารตอ้ งมีอาํ นาจสูงสุด จากบุคคลผมู้ ีอาํ นาจสูงสุดนXีจะมีการ แยกอาํ นาจออกเป็นสายไปยงั บุคคลทุกๆ คนในองคก์ าร หลกั นXี เรียกวา่ หลกั ความลดหลนั8 ของอาํ นาจ หรือเรียกวา่ สายการบงั คบั บญั ชา การกาํ หนดสายการบงั คบั บญั ชานXีกเ็ ป็นวธิ ีประสานงานอยา่ งหน8ึง 7.3.5) หลกั ความรับผดิ ชอบ หลกั ความรับผดิ ชอบ กล่าววา่ อาํ นาจหนา้ ท8ีควรจะเท่ากบั ความรับผดิ ชอบ คือ บุคคลใดเม8ือไดร้ ับ มอบหมายความรับผดิ ชอบกค็ วรจะไดร้ ับมอบหมายอาํ นาจใหเ้ พียงพอ เพ8ือทาํ งานใหส้ าํ เร็จดว้ ยดี 7.3.6) หลกั ความสมดุล หลกั ความสมดุลจะตอ้ งมอบหมายใหห้ น่วยงานยอ่ ยทาํ งานใหส้ มดุลกนั กล่าวคือ ปริมาณงานควร จะมีปริมาณท8ีใกลเ้ คียงกนั รวมทXงั ความสมดุลระหวา่ งงานกบั อาํ นาจหนา้ ท8ีท8ีมอบหมายดว้ ย 7.3.7) หลกั ความต่อเน8ือง หลกั ความต่อเน8ือง ในการจดั องคก์ ารเพ8ือการบริหารงานควรจะเป็นการกระทาํ ท8ีต่อเน8ืองไม่ใช่ขาด ความจริงจงั หรือไม่ใหค้ วามสาํ คญั กบั การดาํ เนินงาน หากเป็นบริษทั หรือหา้ งร้านจะส่งผลต่อความน่าเช8ือถือ 7.3.8) หลกั การโตต้ อบและการติดต่อ หลกั การโตต้ อบและการติดต่อ ตาํ แหน่งทุกตาํ แหน่งจะตอ้ งมีการโตต้ อบระหวา่ งกนั และติดต่อส8ือสารกนั องคก์ ารจะตอ้ งอาํ นวยความสะดวก จดั ใหม้ ีเคร8ืองมือและการติดต่อสื8อสารที8เป็นระบบ

รูปท8ี 7.2 การติดต่อสื8อสารในองคก์ าร 7.3.9) หลกั ขอบเขตของการควบคุม หลกั ขอบเขตของการควบคุมเป็นการกาํ หนดขีดความสามารถในการบงั คบั บญั ชาของ ผบู้ งั คบั บญั ชาคนหน8ึงๆ วา่ ควรจะควบคุมดูแลผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาหรือจาํ นวนหน่วยงานยอ่ ยไม่มากเกินไปโดย หวั หนา้ ปกติ 1 คน มีขอบเขตในการรับผดิ ชอบไม่เกิน 6 หน่วยงาน 7.3.10) หลกั เอกภาพในการบงั คบั บญั ชา หลกั เอกภาพในการบงั คบั บญั ชา ในการจดั องคก์ ารท8ีดี ผรู้ ับคาํ สง8ั จากผบู้ งั คบั บญั ชาหรือหวั หนา้ งาน ควรมีเพียงคนเดียวเท่านXนั เพ8ือใหเ้ กิดเอกภาพในการบงั คบั บญั ชาจึงถือหลกั การวา่ “One Man One Boss” 7.3.11) หลกั ตามลาํ ดบั ขXนั หลกั ตามลาํ ดบั ขXนั ในการที8นกั บริหารหรือหวั หนา้ จะออกคาํ สงั8 แก่ผใู้ ชใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชา ควร ปฏิบตั ิการตามลาํ ดบั ขXนั ของสายการบงั คบั บญั ชาไม่ควรออกคาํ สงั8 ขา้ มหนา้ ผบู้ งั คบั บญั ชาหรือผทู้ ี8มีความ รับผดิ ชอบโดยตรง 7.3.12) หลกั การเล8ือนขXนั เล8ือนตาํ แหน่ง หลกั การเลื8อนขXนั เลื8อนตาํ แหน่ง ผบู้ งั คบั บญั ชาโดยตรงยอ่ มทราบพฤติกรรมในการทาํ งานของ ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาไดด้ ีกวา่ ผอู้ 8ืนดงั นXนั การพิจารณาใหค้ ุณและโทษแก่ผทู้ 8ีอยใู่ ตบ้ งั คบั บญั ชาของผใู้ ดกค็ วรใหผ้ ู้ นXนั ทราบและมีสิทธิมีเสียงในการพิจารณาดว้ ยเพ8ีอความเป็นธรรมแก่ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาของเขา และเพื8อเป็น การเสริมสร้างขวญั ในการทาํ งานของบุคคลในองคก์ ารดว้ ย 7.4 กระบวนการจดั องค์การ (Process of Organizing) ประกอบดว้ ย กระบวนการ 3 ขXนั 7.4.1) พิจารณาแยกประเภทงาน จดั กลุ่มงาน และออกแบบงานสาํ หรับผทู้ าํ งานแต่ละคนก่อนอื8น ผบู้ ริหารจะตอ้ งพิจารณาตรวจสอบแยกประเภทดูวา่ กิจการของตนนXนั มีงานอะไรบา้ งที8จะตอ้ งจดั ทาํ เพื8อให้

กิจการไดร้ ับผลสาํ เร็จตามวตั ถุประสงค์ ขXนั ต่อมากค็ ือ การจดั กลุ่มงานหรือจาํ แนกประเภทงานออกเป็น ประเภท โดยมีหลกั ที8วา่ งานที8เหมือนกนั ควรจะรวมอยดู่ ว้ ยกนั เพ8ือใหเ้ ป็นไปตามหลกั การของการแบ่งงาน กนั ทาํ โดยการจดั จาํ แนกงานตามหนา้ ท8ีแต่ละชนิดออกเป็นกลุ่มๆ ตามความถนดั และตามความสามารถของ ผทู้ 8ีจะปฏิบตั ิ 7.4.2) ทาํ คาํ บรรยายลกั ษณะงานระบุขอบเขตของงานและมอบหมายงาน พร้อมทXงั กาํ หนดความ รับผดิ ชอบ และใหอ้ าํ นาจหนา้ ที8 7.4.3) จดั วางความสมั พนั ธ์การจดั วางความสมั พนั ธ์จะทาํ ใหท้ ราบวา่ ใครตอ้ งรายงานต่อใคร เพ8ือให้ งานส่วนต่างๆ ดาํ เนินไปโดยปราศจากขอ้ ขดั แยง้ มีการทาํ งานร่วมกนั อยา่ งเป็นระเบียบเพื8อใหท้ ุกฝ่ ายร่วมมือ กนั ทาํ งานมุ่งไปสู่จุดหมายอนั เดียวกนั 7.5 การจดั โครงสร้างขององค์การ (Organization Structure) การจดั โครงสร้างขององคก์ ารมีหลายแบบ ซ8ึงแต่ละแบบมีขอ้ ดีขอ้ เสียแตกต่างกนั ฉะนXนั การท8ีผบู้ ริหาร จะวางแนวทางในการจดั โครงสร้างนXนั อาจจะตอ้ งพิจารณาจากหลายๆ ปัจจยั ดว้ ยกนั อยา่ งไรกต็ ามการจดั โครงสร้างขององคก์ ารสามารถแบ่งแยกออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 5ประเภท ดงั นXี 7.5.1) โครงสร้างองคก์ ารตามหนา้ ท8ีการทาํ งาน โครงสร้างองคก์ ารตามหนา้ ท8ีการงาน หมายถึง โครงสร้างท8ีจดั ตXงั ขXึนโดยแบ่งไปตามประเภทหรือ หนา้ ที8การทาํ งาน เพ8ือแสดงใหเ้ ห็นวา่ ในแต่ละแผนกนXนั มีหนา้ ที8ตอ้ งกระทาํ อะไรบา้ งซ8ึงผลดีก่อใหเ้ กิดการ ไดค้ นมีความสามารถทาํ งานในแผนกนXนั ๆทXงั ยงั ฝึกบุคคลในแผนกนXนั ๆใหม้ ีความเช8ียวชาญกบั หนา้ ท8ีของ งานนXนั อยา่ งลึกซXึง สาํ หรับฝ่ ายบริหารระดบั สูงนXนั กเ็ ป็นเพียงแต่กาํ หนดนโยบายไวก้ วา้ งๆ เพราะมี ผเู้ ชี8ยวชาญเฉพาะดา้ นคอยป้อนขอ้ มูลท8ีถูกตอ้ งใหพ้ ิจารณาตดั สินใจและใหม้ ีความผดิ พลาดไดน้ อ้ ยมากอีก ประการหน8ึงในแต่ละแผนกนXนั เม8ือทุกคนมีความเช8ียวชาญงานในหนา้ ท8ีชนิดเดียวกนั ยอ่ มก่อใหเ้ กิดการ ประสานงานไดง้ ่ายเน8ืองจากแต่ละคนมีความสนใจในงานและใชภ้ าษาเดียวกนั ทาํ ใหส้ ามารถสร้าง บรรยากาศการทาํ งานท8ีดีไดง้ ่ายและการบริหารงานก่อเกิดความประหยดั ดว้ ยอยา่ งไรกต็ ามการจดั รูปแบบ องคก์ ารแบบนXีมีผลเสียในทางการบริหารหลายประการ อาทิเช่น การแบ่งงานออกเป็นหลายแผนกและมี ผเู้ ชี8ยวชาญหลายคน ทาํ ใหก้ ารวางแผนยงุ้ ยากขXึน อาจมีการปัดความรับผดิ ชอบได้ นอกจากนXนั การจดั องคก์ ารรูปแบบนXีมกั เนน้ ที8การรวมอาํ นาจไว้ ณ จุดท8ีสูงที8สุด ไม่มีการกระจายอาํ นาจในการบริหารให้ ลดหลน8ั ลงไป

รูปท8ี 7.3 โครงสร้างองคก์ ารตามหนา้ ท8ีการงาน 7.5.2)โครงสร้างองคก์ ารตามสายงานหลกั โครงสร้างองคก์ ารตามสายงานหลกั หมายถึง การจดั รูปแบบโครงสร้างใหม้ ีสายงานหลกั และ มีการบงั คบั บญั ชาจากบนลงล่างลดหลน8ั เป็นขXนั ๆจะไม่มีการสง8ั การแบบขา้ มขXนั ตอนในสายงานซ8ึง โครงสร้างแบบนXีเหมาะสมสาํ หรับองคก์ ารต่างๆ ที8ตอ้ งการใหม้ ีการขยายตวั ในอนาคตไดเ้ พราะเพียงแต่ เพิ8มเติมโครงสร้างในบางสายงานใหม้ ีการควบคุมบงั คบั บญั ชาลดหลนั8 ลงไปอีกไดก้ ารจดั องคก์ ารแบบนXี อาจจะคาํ นึงถึงสภาพของงานที8เป็นจริง เช่น แบ่งตามลกั ษณะของผลิตภณั ฑ์ หรือแบ่งตามอาณาเขต หรือ แบ่งตามประเภทลูกคา้ หรือแบ่งตามกระบวนการ ผลดีของโครงสร้างแบบนXี คือ การจดั โครงสร้างดว้ ย รูปแบบท8ีเขา้ ใจง่าย การบงั คบั บญั ชาตามสายงานเป็นขXนั ตอน ฉะนXนั จุดใดท8ีมีการปฏิบตั ิงานล่าชา้ กส็ ามารถ ตรวจสอบไดร้ วดเร็ว จากผบู้ งั คบั บญั ชาในระดบั นXนั ไดง้ ่าย ผปู้ ฏิบตั ิงานไดค้ ลุกคลีกบั สภาพของปัญหาท8ีเป็น จริงและเกิดขXึนเสมอ ทาํ ใหก้ ารตดั สินใจต่างๆ มีขอ้ มูลที8แน่นอนและสามารถตดั สินใจไดถ้ ูกตอ้ งรวดเร็วซ8ึง ส่งผลสะทอ้ นใหม้ ีการปกครองบงั คบั บญั ชาท8ีอยใู่ นระเบียบวนิ ยั ไดด้ ี การติดต่อสื8อสารและการควบคุมการ ทาํ งานทาํ ไดง้ ่าย ประการสุดทา้ ย องคก์ ารนXีเหมาะสาํ หรับการจดั รูปแบบองคก์ ารขนาดเลก็ แต่ไม่เหมาะที8จะ จดั ในลกั ษณะองคก์ ารขนาดใหญ่ที8มีการปฏิบตั ิงานสลบั ซบั ซอ้ น ส่วนขอ้ เสีย ประการแรกไม่ไดส้ นบั สนุน ใหผ้ ทู้ าํ งานมีความเชี8ยวชาญเฉพาะดา้ น ปริมาณของงานมีมาก จนตอ้ งใชเ้ วลาทาํ งานประจาํ ใหเ้ สร็จ ไม่มี เวลาท8ีจะมาศึกษาถึงระบบการทาํ งานท8ีดีกวา่ และอีกประการ คือ ผบู้ ริหารระดบั สูงอาจจะไม่ยอมมอบหมาย งานใหผ้ บู้ ริหารระดบั รองๆ ลงมา ทาํ ใหข้ วญั ของผปู้ ฏิบตั ิงานในระดบั รองๆ ไม่ดี หมดกาํ ลงั ใจในการ ปฏิบตั ิงาน เนื8องจากโครงสร้างแบบนXีใหอ้ าํ นาจควบคุมโดยตรงต่อผบู้ งั คบั บญั ชาระดบั สูงเท่านXนั รูปท8ี 7.4 โครงสร้างองคก์ ารตามสายงานหลกั 7.5.3) โครงสร้างองคก์ ารแบบคณะที8ปรึกษา โครงสร้างองคก์ ารคณะที8ปรึกษา หมายถึง การจดั โครงสร้างโดยการใหม้ ีท8ีปรึกษาเขา้ มาช่วย การบริหารงาน เช่น ท8ีปรึกษานายกฯ ท8ีปรึกษาผวู้ า่ ฯ กทม. เป็นตน้ เพราะวา่ ที8ปรึกษามีความรู้ความชาํ นาญ เฉพาะดา้ น โดยเฉพาะการใชเ้ ทคโนโลยสี มยั ใหม่ ซ8ึงตอ้ งอาศยั ผเู้ ชี8ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนาํ ทาํ ให้ องคก์ ารมองเห็นความสาํ คญั ของการมีที8ปรึกษาขXึน อยา่ งไรกต็ าม พวกท8ีปรึกษาไม่มีอาํ นาจในการสงั8 การ ใดๆ นอกจากคอยป้อนขอ้ มูลใหผ้ บู้ ริหารเป็นผชู้ XีขาดอีกชXนั หน8ึง ซ8ึงการจดั องคก์ ารรูปแบบนXีมีผลดี คือ ทาํ ให้ การดาํ เนินงานต่างๆ มีการวางแผนและประเมินสถานการณ์ล่วงหนา้ ไดม้ ีท8ีปรึกษาคอยใหค้ วามกระจ่างและ

ประสานงานกบั หน่วยงานอื8นๆ และทาํ ใหก้ ารทาํ งานใชห้ ลกั เหตุและผลมากขXึน มีการใชเ้ คร8ืองมือที8ทนั สมยั และคนมีประสิทธิภาพยงิ8 ขXึน แต่ผลเสียของการใชท้ 8ีปรึกษาอาจมีการปี นเกลียวกนั เน8ืองจากความเห็นไม่ลง รอยกนั และฝ่ ายคณะที8ปรึกษาอาจทอ้ ถอยในการทาํ งานได้ เพราะมีหนา้ ที8เพียงเสนอแนะแต่ไม่มีอาํ นาจสงั8 การ รูปที8 7.5 โครงสร้างองคก์ ารแบบคณะท8ีปรึกษา 7.5.4) โครงสร้างองคก์ ารแบบคณะกรรมการบริหาร โครงสร้างองคก์ ารแบบคณะกรรมการบริหาร หมายถึง การจดั โครงสร้างองคก์ ารโดยใหม้ ีการ บริหารงานในลกั ษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คณะกรรมการ อสมท.และคณะกรรมการบริหารบริษทั เจริญโภคภณั ฑ์ เป็นตน้ ผลดีจะช่วยขจดั ปัญหา การบริหารงานแบบ ผกู ขาดของคนคนเดียว หรือการใชแ้ บบเผดจ็ การเขา้ มาบริหารงาน นอกจากนXนั การตXงั คณะกรรมการซ8ึง ประกอบดว้ ยบุคคลมาจากหลายๆฝ่ ายจะทาํ ใหท้ ุกคนเขา้ ใจปัญหาและก่อใหเ้ กิดการยอมรับในปัญหาที8ฝ่ าย อ8ืนเผชิญอยทู่ าํ ใหก้ ารประสานงานเป็นไปไดง้ ่ายขXึน ขอ้ เสีย คือ เกิดการสูญเสียทรัพยากรโดยใช่เหตุเน8ืองจาก เวลาส่วนใหญ่ใชไ้ ปในการประชุมถกเถียงกนั หรืออาจเกิดการแลกเปล8ียนผลประโยชนใ์ นระดบั คณะกรรมการหรือยอมประนีประนอมกนั เพ8ือใหไ้ ดข้ อ้ ยตุ ิที8รวดเร็ว ทาํ ใหก้ ารตXงั คณะกรรมการไร้ผล 7.5.5) โครงสร้างองคก์ ารงานอนุกรม โครงสร้างองคก์ ารงานอนุกรม คือ หน่วยงานช่วย หรือเรียกวา่ หน่วยงานแม่บา้ นซ8ึงเป็นงาน เก8ียวกบั ธุรกิจและอาํ นวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายในเป็นตน้ รูปท8ี 7.6 โครงสร้างองคก์ ารแบบอนุกรม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook