เดก็ สมาธสิ ั้น คูมือสาํ หรับครู
ชือ่ หนงั สอื : เดก็ สมาธสิ นั้ คูมือสาํ หรบั ครู จัดพิมพโดย : สถาบันราชานกุ ลู พิมพคร้ังที่ 1 : สงิ หาคม 2555 จาํ นวนพิมพ : 1,000 เลม พมิ พท ่ี : บริษทั บียอนด พับลสิ ชงิ่ จํากดั 2 เด็กสมาธิสน้ั คมู อื สาํ หรับครู
คาํ นํา โรคสมาธสิ น้ั นน้ั แทจ รงิ แลว ไดร บั การบรรยายไวใ นวารสารทางการแพทย อยางเปนทางการมากวา 100 ปแลว เด็กท่ีเปนโรคสมาธิสั้นจะมีลักษณะ อยูไมนิ่ง มีปญหาในการคงสมาธิ และมักพบวามีปญหาในการควบคุม ตนเองและเกิดปญหาพฤติกรรมตางๆ ใหผูคนรอบขางปวดศีรษะไดบอยๆ ในปจ จบุ นั ทง้ั ในวงการแพทยแ ละวงการการศกึ ษาไดใ หค วามสนใจโรคสมาธสิ น้ั อยางจริงจัง ทําใหมีการศึกษาวิจัยและรวบรวมประสบการณที่เกี่ยวของกับ เดก็ สมาธสิ น้ั จนเกดิ ความรเู กย่ี วกบั วธิ กี ารดแู ลรกั ษาและชว ยเหลอื เดก็ สมาธสิ น้ั อยางมากมาย คูมือเลมนี้เปนการรวบรวมความรูท้ังจากตําราและจากขอมูลที่ได จากการสัมมนาแลกเปล่ียนเรียนรูประสบการณระหวางผูปกครอง ครูและ ครูการศึกษาพิเศษที่มีประสบการณกับเด็กสมาธิสั้น โดยรวบรวมลักษณะ อาการทพ่ี บไดบ อ ย ปญ หาพฤตกิ รรมรวมถงึ แนวทางการดแู ลแกไ ขปญ หาตา งๆ ท่ีงายตอการปฏิบัติจริง และคูมือเลมน้ีนาจะเปนตัวชวยท่ีดีในการชวยคุณครู ในการดแู ลเด็กสมาธสิ ั้นตอไป คณะผจู ดั ทาํ เด็กสมาธสิ ้ัน คูม อื สําหรบั ครู 3
สารบัญ มาทาํ ความรูจักกับโรคสมาธสิ ้ัน 7 ขอสังเกตเดก็ สมาธสิ ัน้ แตล ะชว งวัย 11 โรคน้พี บไดบ อ ยแคไหน 13 เพราะอะไรจงึ เปนโรคสมาธสิ ้นั 13 ปญ หาพฤตกิ รรมทพี่ บรว ม 14 แพทยต รวจอยา งไรถึงบอกไดว าเด็กเปนโรคสมาธิสั้น 15 หลากหลายคาํ ถามเกย่ี วกบั โรคสมาธิสน้ั 16 การชว ยเหลือเดก็ ท่เี ปน โรคสมาธสิ น้ั 18 การชว ยเหลือเดก็ สมาธสิ ้นั ในโรงเรียน 19 19 การชว ยเหลือดา นการเรียน 26 การพฒั นาทกั ษะทางสังคม 28 การปรบั พฤติกรรม 4 เด็กสมาธิส้นั คมู อื สาํ หรบั ครู
สารบัญ ปญหาพฤตกิ รรมทพ่ี บบอ ยในโรงเรียน 31 แนวทางการตดิ ตามพฤตกิ รรมเดก็ สมาธสิ ั้นในชัน้ เรยี น 35 ตัวอยา งประสบการณแหง ความสําเรจ็ “การดแู ล ชวยเหลอื เดก็ สมาธสิ ้นั ” 37 เอกสารอางอิง 45 เดก็ สมาธิสน้ั คมู ือสาํ หรับครู 5
เดก็ สมาธิสั้น คมู ือสําหรบั ครู 6 เด็กสมาธิส้นั คมู อื สาํ หรบั ครู
เดก็ สมาธสิ ้ัน มาทําความรโูจรกั คกับสมาธสิ ั้น โรคสมาธิสั้นเปนกลมุ ความผิดปกติของพฤตกิ รรม ประกอบดวย o ขาดสมาธิ o ซน อยไู มนง่ิ o หนุ หนั พลันแลน ขาดการยบั ยั้งใจตนเอง โดยแสดงอาการอยางตอเนื่องยาวนาน จนทําใหเกิดผลกระทบ ตอการใชชีวิตประจําวันและการเรียน ซึ่งเปนพฤติกรรมท่ีไมเหมาะสมกับ อายุและระดับพัฒนาการ โดยท่ีความผิดปกติดังกลาวเกิดขึ้นกอนอายุ 7 ป อาการตอ งเปน มาตลอดตอ เนอ่ื งไมตา่ํ กวา 6 เดอื น เดก็ สมาธสิ นั้ คูม ือสําหรับครู 7
อาการของโรคสมาธิส้ันน้ันแบงออกเปน 2 กลุมอาการใหญ คือ กลมุ อาการขาดสมาธิ และกลมุ อาการซน/หุนหนั พลนั แลน กลุมอาการขาดสมาธิ • ไมสามารถจดจํารายละเอียดของงานที่ทําได หรือทําผิด เน่ืองจาก ขาดความรอบคอบ • ไมมสี มาธใิ นการทํางาน หรอื การเลน • ไมสนใจฟงคาํ พูดของผอู ืน่ และดเู หมอื นไมฟ งเวลาพดู ดวย • ไมป ฏบิ ัติตามคําสง่ั และทาํ งานไมเสร็จหรอื ผิดพลาด • ไมส ามารถรวบรวมการทาํ งานใหเปน ระเบยี บ • หลีกเลีย่ ง ไมช อบ หรอื ลังเลที่จะทาํ งานซง่ึ ตองใชค วามคดิ • ปลอ ยปละละเลยสง่ิ ของทจ่ี าํ เปน สาํ หรบั การทาํ งาน ทาํ ของใชส ว นตวั หรือของจาํ เปนสาํ หรบั งานหรอื การเรยี นหายอยูบอยๆ • วอกแวกงาย เสียสมาธิ แมม ีเสยี งรบกวนเพียงเล็กนอย • ลมื กิจวัตรท่ที าํ เปน ประจํา 8 เด็กสมาธสิ ้นั คมู ือสําหรับครู
กลมุ อาการซน / หนุ หันพลันแลน • ยุกยกิ อยไู มสุข ไมส ามารถอยูน ง่ิ ๆ ได มอื และเทาขยับไปมา • ในสถานทท่ี เ่ี ด็กจาํ เปน ตอ งนง่ั เฉยๆ จะลุกจากทนี่ ่ังไปมา • มกั วงิ่ ไปมา หรอื ปน ปา ยในสถานทท่ี ไี่ มค วรทาํ ถา ผปู ว ยเปน วยั รนุ จะ มคี วามรสู กึ กระวนกระวายใจ • ไมสามารถเลน หรอื พักผอนเงียบๆได • ตอ งเคลอ่ื นไหวตลอดเวลาเหมอื นติดเคร่อื งยนต • พดู มาก • พูดสวนทนั ทีกอนผถู ามจะพดู จบ • รอคอยตามระเบียบไมไ ด • ขัดจังหวะ กาวราวผูอื่น หรือสอดแทรกเวลาผูอื่นกําลังคุยกัน หรอื แยง เพื่อนเลน เดก็ สมาธสิ น้ั คมู อื สาํ หรับครู 9
10 เดก็ สมาธสิ ้นั คมู อื สําหรบั ครู
ขอ สงั เกต เดก็ สมาธสิ ้ันแตล ะชวงวยั คณุ ครูจะสงั เกตเดก็ สมาธสิ ้ันไดอ ยา งไรบาง วัยอนุบาล เด็กมักมีประวัติในชวงขวบปแรกวามีลักษณะเลี้ยงยาก เชน กินยาก นอนยาก รอ งกวนมาก มีอารมณห งุดหงดิ แตเ ด็กจะมพี ัฒนาการคอ นขางเรว็ ไมว าจะเปน การตง้ั ไข คลาน ยืน เดนิ หรอื วง่ิ เม่ือเรม่ิ เดินก็จะซนอยไู มน ่งิ ว่ิงหรือปนปายไมหยุด เม่ือเขาอนุบาลคุณครูมักจะเห็นวาเด็กยุกยิกอยูไมนิ่ง ลุกจากเกาอ้ี เดินออกนอกหอง ปนปาย คนร้ือสิ่งของ พลังงานมาก ไมนอนกลางวนั เลนกับเพอื่ นแรงๆ กะแรงไมถ กู เด็กสมาธสิ นั้ คมู อื สาํ หรบั ครู 11
วัยประถมศึกษา เมื่อเขาวัยเรียน จะสังเกตไดวาเด็กมีสมาธิสั้น วอกแวกงาย ไมส ามารถนงั่ ทาํ งานหรอื ทาํ การบา นไดจ นเสรจ็ ทาํ ใหม ปี ญ หาการเรยี นตามมา การควบคุมตนเองของเด็กไมคอยดี อาจมีพฤติกรรมกาวราว หงุดหงิดงาย ทนตอ ความคบั ขอ งใจไมค อ ยได ทาํ ใหเ กดิ ปญ หากบั เพอื่ นๆ เมอ่ื อยใู นหอ งเรยี น ก็ไมสามารถใชชีวิตไดเหมือนเพ่ือนคนอ่ืนๆ มักจะรบกวนชั้นเรียน ไมคอยให ความรวมมือในการปฏบิ ัตติ ามกฎเกณฑของหอ งเรยี น วัยมธั ยมศกึ ษา เม่ือยางเขาวัยรุน อาการซนอยูไมนิ่งในเด็กบางคนอาจลดลง แต ความไมมีสมาธิและขาดความยับย้ังช่ังใจของเด็กจะยังคงอยู ปญหาการเรียน จะหนักข้ึน เพราะอาการขาดสมาธิท่ีไมไดรับ การแกไขอยางถูกตอง ดวยลักษณะที่ชอบ ความต่ืนเตนทาทาย เบ่ืองาย ประกอบกับ ความลมเหลวตั้งแตเล็กและความรูสึกวาตนเอง ไมด ี เดก็ อาจจะเกดิ พฤตกิ รรมเกเร รวมกลมุ กบั เพอื่ นทม่ี ีพฤติกรรมคลายกัน ชกั ชวนกันทาํ เรอ่ื ง ฝาฝน กฎของโรงเรียนจนอาจเลยเถิดไปถึงการใช สารเสพติดได 12 เด็กสมาธิส้นั คมู อื สาํ หรบั ครู
โรคนี้พบได บอ ยแคไหน การสํารวจในประเทศไทย พบวามีความชุกประมาณรอยละ 5 โดย พบในกลมุ เดก็ นกั เรยี นชาย มากกวากลุมเด็กนักเรียนหญิง ในหองเรยี นที่มเี ดก็ ประมาณ 50 คน จะมีเดก็ สมาธิส้ัน 2 - 3 คน เพราะอะไรจงึ เปนโรคสมาธิส้ัน โรคสมาธสิ ั้นอาจมสี าเหตมุ าจากองคประกอบตอไปน้ี o พันธุกรรม โรคนี้มีการถายทอดทางยีน สังเกตไดในครอบครัว ของเดก็ สมาธสิ ้นั อาจมพี ่ี หรือนอ ง หรอื ญาติของเด็กมอี าการสมาธสิ ัน้ ดว ย o สารเคมีในสมองหลัง่ ผดิ ปกติ เชน โดปามีน เซโรโทนิน o การไดร บั บาดเจ็บอาจเกิดต้ังแตเ ดก็ อยู ในครรภห รือหลังคลอด เชน ขาดออกซเิ จน อุบัติทางสมอง เด็กสมาธสิ ัน้ คมู ือสาํ หรบั ครู 13
o โรคสมองอกั เสบ o การไดร ับสารพิษ o มารดาด่มื สรุ า สบู บุหรขี่ ณะตงั้ ครรภ สาเหตุดังกลาวสงผลใหมีการทํางานของสมองสวนหนาที่ทําหนาท่ี ในการควบคุมพฤติกรรมทํางานไดไมเต็มที่ เน่ืองจากสารเคมีในสมอง หลง่ั ผดิ ปกติ เชน สารโดปามนี เซโรโตนิน ปจจุบันเชื่อวาโรคสมาธิสั้นเปนความผิดปกติของสมอง ไมได เกิดจากความผิดหรือความบกพรองของพอแม หรือการเลี้ยงดูเด็กผิดวิธี (แตการเลี้ยงดูท่ีผดิ วิธีจะทาํ ใหอาการของโรครุนแรงขึ้น) ปญหาพฤตกิ รรมทีพ่ บรว ม โรคสมาธสิ น้ั เกดิ จากความบกพรอ งในการทาํ งานของสมอง จงึ สามารถ พบรวมกับความบกพรองในความสามารถอนื่ รวมดวยกบั โรค เชน • ความบกพรองในทักษะการเรียน ถือเปนความบกพรองทาง การเรียนรูท่ีพบไดบอยในเด็กวัยเรียน เด็กท่ีเปนโรคสมาธิสั้น จะพบภาวะนรี้ ว มดว ยรอ ยละ 20 - 30 เดก็ จะมลี กั ษณะอา นหนงั สอื เขยี นหนงั สอื คํานวณไมไ ด หรอื ทาํ ไดบ า งแตแ ตกตางจากเด็กอืน่ 2 ชั้นเรียน ทั้งที่ฉลาดเทา กัน • การพูดและการส่ือความส่ือความหมาย มักมีประวัติพูดชา ในวัยเด็ก เม่ือโตขึ้นจะพูดมากและพูดเร็ว แตจะมีความเขาใจ ในสง่ิ ทีค่ นอน่ื พดู ดว ยต่ํากวา คนอน่ื • ใชมือไมคลอง เด็กกลุมหนึ่งจะใชมืองุมงาม สับสนซายขวา เขยี นหนังสอื ชา โยเ ย ทํางานไมทนั 14 เด็กสมาธสิ ั้น คูมือสําหรับครู
• ปสสาวะรดท่ีนอนหรืออั้นปสสาวะ ไมคอยได • ปญหาพฤติกรรมและอารมณ เด็กที่ เปนโรคสมาธิส้ันจะดื้อ ไมเช่ือฟง ชอบเถยี ง กา วรา ว โกรธเรว็ หลายคน ไมทําตามกฎเกณฑของโรงเรยี น • โรคกระตุก อาจมีการกระตุกของ กลามเนื้อ บริเวณค้ิว แกม มุมปาก คาง คอ บางคนมีเสียงในลาํ คอ แพทยต รวจอยางไรถึงบอกไดวา เด็กเปนโรคสมาธิส้นั แพทยจะตรวจประเมินอยางละเอียดเพ่ือใหแนใจวาเด็กเปนโรค สมาธิส้ัน ไดแก การซักประวัติ การตรวจรางกาย (ตรวจหู ตรวจสายตา) ใชแบบประเมินพฤติกรรมเด็ก การตรวจ ทางจิตวิทยา (ตรวจเชาวนปญญา ตรวจวัด ความสามารถดานการเรียน) และสังเกต พฤติกรรมเด็ก ปจจุบันยังไมมีการตรวจเลือด เอ็กซเรยสมอง หรือการตรวจคลื่นสมอง เพ่อื วินจิ ฉยั โรคสมาธสิ ้นั เด็กสมาธสิ น้ั คมู อื สําหรับครู 15
หลากหลาย คําถามเกีย่ วกบั โรคสมาธสิ ้ัน สมาธสิ ้ัน….สัน้ อยา งไรจงึ เรียกวา ผิดปกติ ? อาการขาดสมาธิ ซน อยูไมน่ิง หุนหันพลันแลน สามารถพบไดใน คนปกตทิ ว่ั ไป แตส าํ หรบั เดก็ สมาธสิ นั้ นน้ั อาการตอ งเปน ตลอดเวลา ทกุ สถานท่ี ทุกบุคคล จนทําใหเสียหายตอการเรียน เชน เรียนไมทันเพ่ือน ผลการเรียน ตกตํ่า นอกจากน้ียังสงผลตอการใชชีวิตอยูรวมกันคนอื่น คนใกลเคียงรูสึก ราํ คาญไมอ ยากทํางานดวย เด็กแคเบ่ืองายเวลาทํางาน ไมเห็นซน จะเรียกวาสมาธิสั้น ไดอ ยางไร ? เปนไปไดคะ เพราะเด็กบางคนจะมีอาการสมาธิสั้นเพียงอยางเดียว แตไมซนหรือวูวาม ซึ่งพบไดในเด็กผูชายและเด็กผูหญิง มักทําใหผูใหญ มองขา มไป ถูกวินิจฉัยไดชาและไมไดรับความชวยเหลือเทาท่คี วร บอกวาเดก็ เปน โรคสมาธสิ ั้น แลว ทําไมเดก็ ดูทีวีหรือเลน เกม นานเปน ช่วั โมงๆ ? สมาธิสามารถถูกกระตุนไดจากส่ิงเราท่ีนาสนใจ เชน โทรทัศน หรือเกมคอมพิวเตอร ซึ่งมีภาพและเสียงประกอบเปนตัวเรา ความสนใจ 16 เดก็ สมาธสิ ัน้ คูมอื สาํ หรับครู
ไมนาเบื่อ ดังนั้นเด็กสมาธิส้ันจึงสามารถมีสมาธิ จดจอกับโทรทัศนและเกมคอมพิวเตอรไดนานๆ โทรทัศนแ ละเกมคอมพวิ เตอร จึงเปนตวั กระตุนความสนใจไดเปน อยางดี การจะพจิ ารณาวา เดก็ สามารถจดจอ ตอ เนอื่ ง มสี มาธดิ หี รอื ไม ควรสังเกต เม่ือเด็กทาํ งานที่ไมชอบ และงานเปนงานที่นาเบ่ือ (สําหรับเด็ก) เชน การทํา การบาน การทบทวนบทเรียน การทํางานที่ไดรับ มอบหมาย จะเกดิ อะไรไหม…ถา ไมร ักษา ? o ในวัยประถมศึกษากลุมท่ีมีสมาธิสั้นอยางเดียว ไมมีอาการซน หุนหันพลันแลน สวนหน่ึงจะไมเกิดอะไร นอกจากผลการเรียน ตํ่ากวาความสามารถ จะพบอารมณซึมเศรา มองตัวเองไมดี ขาดความมนั่ ใจในความสามารถของตนเอง o วัยประถมศกึ ษากลุมทีส่ มาธสิ ้นั ซน วูวาม ไมเ ชื่อฟงและตอ ตา น จะพบความหงุดหงิด กังวล เครียด อารมณเสียงาย เบ่ือหนาย การเรยี น ขาดแรงจงู ใจในการเรยี น มองไมเ หน็ คณุ คา ภายในตวั เอง พอ แมก ไ็ มพ อใจในผลการเรยี น เขา กบั เพอ่ื นไดย าก พบพฤตกิ รรม ทีย่ งั เปนเดก็ ตํ่ากวา อายุ ดื้อตอตานคําส่งั จนทําความผดิ รนุ แรงได เชน โกหก ขโมย ไมยอมทาํ ตามกฎ ทาํ ตัวเปนนกั เลง o เม่ือเขาวัยรุน เด็กมักไปรวมกลุมกับเด็กท่ีเรียนไมเกง พฤติกรรม ตอตา น กา วราว โกหก ขโมย หนเี รยี นยิ่งเห็นไดชัดขึ้น หลายราย เริ่มใชยาเสพติด ในดานการเรียนท่ีตกตํ่าลงมาก เกิดเปนความ เบอ่ื หนา ยตอการเรยี น และออกจากโรงเรียนกอนวยั อนั ควร เด็กสมาธสิ นั้ คูม อื สาํ หรบั ครู 17
การชว ยเหลอื เดก็ ที่เปน โรคสมาธสิ ้ัน การชวยเหลือเด็กที่เปนโรคสมาธิส้ัน อยางมีประสิทธิภาพน้ันตองมีการชวยเหลือ หลายดา น จากหลายฝา ย ทงั้ แพทย ครู และพอ แม การชว ยเหลอื ประกอบดว ย • การชว ยเหลอื ดานจติ ใจ แพทยจะใหขอมูลท่ีถูกตอง เพื่อขจัดความเขาใจผิดตางๆ ของพอ แมโ ดยเฉพาะความเขา ใจผดิ ทคี่ ดิ วา เดก็ ดอื้ หรอื เกยี จครา น และเพื่อใหเด็กเขาใจวาปญหาท่ีตนเองมีน้ันไมไดเกิดจากการที่ ตนเองเปนคนไมด ี • การปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรม จะชวยใหเด็กมีสมาธิ มีความอดทน ควบคุมตนเองไดดีขึ้น การปรับพฤติกรรมน้ันหากคุณครูและพอแมปฏิบัติเปนไปใน แนวทางเดียวกันพฤติกรรมของเด็กจะปรับเปลี่ยนไปในทาง ท่ดี ีขึ้นได • การชว ยเหลอื ดา นการศกึ ษา เดก็ สมาธสิ น้ั ควรไดร บั การจดั การเรยี นการสอนใหเ หมาะลกั ษณะ การเรียนรสู ําหรับเดก็ • การรักษาดว ยยา เดก็ บางคนอาจตอ งรกั ษาดว ยยา ซง่ึ ยาจะไปกระตนุ ใหส ารเคมใี น สมองทชี่ อื่ โดปามนี หลง่ั ออกมามากขน้ึ ทาํ ใหเ ดก็ นงิ่ ขน้ึ และมสี มาธิ มากขึ้น 18 เดก็ สมาธิสนั้ คมู อื สาํ หรบั ครู
การชว ยเหลือเดก็ สมาธสิ ้ัน ในโรงเรยี น การชว ยเหลอื เดก็ สมาธสิ ัน้ การชวยเหลือเด็กสมาธิสั้นในโรงเรียนนั้น คุณครู สามารถชว ยเหลอื ไดตามแนวทางดังตอ ไปน้ี การเรียน : เพ่ิมความสามารถในดานการเรียน เพ่ือชวยใหเด็กสมาธิส้ันประสบผลสําเร็จดานการเรียน (ตามศกั ยภาพ) และเกดิ ความภาคภมู ใิ จในตนเอง สังคม : เพิ่มทักษะทางสังคมท่ีจําเปนตอการปรับตัวอยูรวมกับผูอ่ืน ของเดก็ สมาธสิ ั้น พฤตกิ รรม : ลดพฤติกรรมปญหาทร่ี บกวนการเรยี นรู อันเปน ผลจาก อาการของโรคสมาธิสัน้ การชวยเหลือดา นการเรียน เด็กสมาธิส้ันควบคุมตนเอง จัดระเบียบใหตนเองไดนอยหรือ ไมไดเหมือนกับเด็กทั่วไป คุณครูควรชวยจัดระเบียบการเรียนไมใหซับซอน ซง่ึ สามารถทาํ ไดดงั นี้ 1.1 การจัดกิจกรรมประจาํ วนั 1.1.1 กิจกรรมในแตละวันตองมีลักษณะคงที่ มีตารางเรียนแนนอน ครูตองบอกลวงหนา และยํ้าเตือนความจําทุกครั้งกอนมีการ เปล่ียนแปลง เชน เตือนกอนหมดเวลาเรียนคณิตศาสตร 5 นาที เมื่อหมดช่ัวโมงเรียนเตือนเด็กอีกครั้งเพ่ือเตรียมตัว เรียนวชิ าตอ ไป เด็กสมาธสิ ัน้ คมู ือสาํ หรบั ครู 19
1.1.2 หาปาย ขอความ สัญลักษณ หรือชวยเหลือความจําเดก็ ในการ ทํากิจกรรมตางๆใหเรียบรอย เชน ใหเด็กเขียนช่ือวันท่ีตองใช หนงั สอื หรอื สมุดลงบนปก เพือ่ จัดตารางเรยี นใหสะดวก 1.2 การจัดส่งิ แวดลอ มใหเหมาะสมกบั การเรยี นรขู องเด็ก 1.2.1 การจัดหองเรียน • เขียนขอ ตกลงเปนลายลักษณอักษร เชน ถอดรองเทา กอ นเขา หองเรียน ไมว่ิงเลนในหองเรียน สงการบานเปนท่ี ขอตกลง ควรมีลักษณะเขาใจงาย เขียนส้ันๆ เฉพาะท่ีสําคัญ แนนอน ไมเปลี่ยนไปมา ทบทวนขอตกลงบอยๆ ลงโทษตามท่ีตกลง กันไว • จัดหาที่วางของหองเรียนในตําแหนงเดิม เพ่ือใหเด็กจํางาย วางใหเปน ท่ีเปน ทาง • ภายในหองเรียนควรหลีกเลี่ยงการตกแตงดวยสีสันสวยหรู เพราะจะทาํ ใหเ ดก็ สนใจสง่ิ เรา เหลา นน้ั มากกวา สนใจการสอน ของครู • ชวยเด็กจัดโตะเรียนใหเปนระเบียบ และควรเก็บสมุดตางๆ ทเี่ ดมิ เพอื่ สะดวกแกการจําและหยบิ ใช • ใหม สี ิง่ ของบนโตะเรยี นของเดก็ ใหน อยทส่ี ดุ 1.2.2 การจดั ที่นัง่ • จดั ใหน ่ังขา งหนา หรอื แถวกลาง • ไมอยใู กลป ระตูหรือหนา ตา งทีม่ องเหน็ ขางนอกหอ งเรยี น • จดั ใหนั่งใกลค รูเพือ่ ดูแลไดอยางใกลชิด • ไมใ หเ พอ่ื นทซ่ี กุ ซนนง่ั อยใู กลๆ จดั ใหม เี ดก็ เรยี บรอ ยนง่ั ขนาบขา ง 20 เดก็ สมาธิสั้น คมู ือสําหรบั ครู
1.3 จัดการเรียนการสอนใหเหมาะสมกับความสามารถและชวง ความสนใจของเดก็ 1.3.1 การเตรียมการสอน • เตรยี มเอกสารทมี่ ีตัวอกั ษรขนาดใหญ อา นงา ย พมิ พดวยสเี ขม มชี อ งไฟกวาง • งานที่ใหทําตองเหมาะสมกับความสนใจและความสามารถ ของเด็ก • แบงงานเปนข้ันตอนยอยๆ ใหเหมาะสมกับชวงเวลาสมาธิ ของเดก็ ใหเ ดก็ ทาํ ทลี ะขน้ั เมอ่ื เสรจ็ แลว จงึ ใหท าํ ขน้ั ตอนตอ ๆ ไป ตามลําดับ เดก็ ในหองอาจทํางานทีละ 20 ขอ แตเด็กสมาธสิ ้ัน อาจใหท ํางานทลี ะ 5 ขอ เมอ่ื ทาํ เสรจ็ 5 ขอ ก็ใหเด็กเปลยี่ น อริ ิยาบถ • ควรมีชวงเวลาใหเด็กเปลี่ยนอิริยาบถ และเปนกิจกรรม ที่สรางสรรคที่เด็กทําได เพ่ือชวยลดความเบื่อของเด็ก ทําให เรียนไดนานข้ึน เชน มอบหมายหนาท่ีใหชวยครูเดินแจกสมุด ใหเ พื่อนในหอ ง ชวยลบกระดาน เปน ตน เด็กสมาธิสน้ั คูมอื สําหรบั ครู 21
• เลอื กกจิ กรรมการเรยี นการสอนทตี่ อ งใชป ระสาทรบั รหู ลายดา น ทง้ั ดา นการฟง การใชสายตาหรอื การลงมือปฏบิ ตั ิ • ใชสื่อทางสายตา อาจใชเปนรูปภาพประกอบ เพ่ือใหเด็ก จบั ประเด็นไดงาย 1.3.2 ระหวางการสอน • เขียนงานทเี่ ด็กตอ งทําในชั้นเรียนใหช ดั เจนบนกระดาน (กระดานขาวดกี วา กระดานดาํ ) อยา เขยี นจนแนน เตม็ กระดาน • พยายามสง่ั งานดว ยวาจาใหน อ ยทส่ี ดุ หากตอ งสง่ั งานดว ยวาจา ใหเดก็ ทบทวนคาํ ส่ัง • ตรวจสมดุ งานของเด็กเพื่อใหแ นใ จวา เดก็ จดงานไดค รบถว น • ใหเ ดก็ ทาํ งานตามเวลาทก่ี าํ หนดให เมอ่ื ครบเวลาทกี่ าํ หนดแลว งานยงั ไมเ สร็จคณุ ครูตองตรวจงาน • ใชการสอนแบบตวั ตอ ตวั เพือ่ ควบคมุ ใหเด็กมีสมาธิ • ยืดหยุนการเรียนการสอนใหเขากับความพรอมของเด็ก โดยเฉพาะในรายวิชาหลักหรือวิชาที่ยาก เชนคณิตศาสตร ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เปนตน • ฝก ใหเ ดก็ ตรวจสอบทบทวนผลงาน การจดบันทกึ • ชวยใหเด็กสนใจบทเรียน โดยใชสีระบายคําสําคัญ ขอความ สําคญั วงรอบหรอื ตกี รอบขอความสาํ คัญท่คี รูเนน • ใชวิธีเตือนหรือเรียกใหเด็กกลับมาสนใจบทเรียน โดยไมทําให เดก็ เสยี หนา เชน เคาะท่ีโตะเดก็ หรือแตะไหลเ ด็กเบาๆ • ใหคําชมเชย หรือรางวัลเล็กๆ นอยๆ เม่ือเด็กปฏิบัติตัวดี หรอื ทําสิง่ ท่ีเปนประโยชน 22 เด็กสมาธิสนั้ คมู ือสําหรบั ครู
• หลกี เลี่ยงการใชว าจาตําหนิ ประจาน ประณามทจ่ี ะทําใหเดก็ รูส กึ อบั อาย และไมลงโทษเด็กรุนแรง เชน การตี • ใชว ธิ กี ารตดั คะแนน งดเวลาพกั ทาํ เวร หรอื อยตู อ หลงั เลกิ เรยี น (เพ่ือทํางานทคี่ างอยูใ หเ สร็จ) เมอื่ เดก็ ทาํ ความผิด 1.3.3 การมอบหมายงาน • ครูควรใชคาํ พูดใหนอยลง พูดชา ๆ ชัดเจน กระชับ ครอบคลุม ไมใ ชค ําสัง่ คลุมเครือ ไมบ น ตาํ หนิติเตียนจนเด็กแยกไมถูกวา ครใู หท ําอะไร • ใหเ ดก็ พดู ทบทวนทค่ี รสู ง่ั หรอื อธบิ ายกอ นลงมอื ทาํ เพอื่ ใหแ นใ จ วาเขาใจในส่ิงที่พูด อีกท้ังยังเปนการฝกพูดใหเด็กถายทอด ความคิดของตนเอง • ในกรณีท่ีเด็กมีสมาธิสั้นมาก ควรมอบหมายงานที่มีระยะเวลา การทํางานส้ันลง แตพยายามเนนในเร่ืองความรับผิดชอบ ทาํ งานใหเ สรจ็ 1.4 การชวยเหลอื ดา นทักษะเฉพาะในการเรียน 1.4.1 ทักษะในการอานหนังสือ คุณครู อาจเลือกหนังสือท่ีเด็กชอบมาให เด็กอานเสริม โดยหนังสือที่อาน ไมจําเปนตองเปนหนังสือเรียน อาจเปนหนังสือผจญภัย หนังสือ สอบสวน หนงั สอื ชวี ติ สตั ว ชวี ประวตั ิ ประวตั ศิ าสตรห รอื วทิ ยาศาสตรก ไ็ ด จ า ก นั้ น ค ว ร พู ด คุ ย ถึ ง สิ่ ง ที่ อ า น ใหเลา เร่ือง หรอื ใหสรุป เด็กสมาธิส้นั คูมอื สาํ หรบั ครู 23
1.4.2 ทักษะการเขยี นหนังสือ การฝก ใหเขียนหนังสอื บอยๆ จะทําให สายตาและมือทํางาน ประสานกันไดดีข้ึน เชน ฝกใหเขียน ส่ิงท่ีอยูในชีวิตประจําวัน เขียนบรรยายความรูสึกตอพอแม เขียนแผนที่คาดวา จะทําในชว งปดภาคเรยี น 1.4.3 ทกั ษะการฟงและจบั ประเด็น ฝกเด็กใหสรปุ ส่ิงทีไ่ ดยิน ไดเหน็ ไดลองทําตาม จะเปนรากฐานท่ีดีในการชวยฝก สมาธิ 1.4.4 ทักษะในการวางแผนทํางาน คุณครูควรฝกเด็กใหเรียงลําดับ งานสําคัญ กอ น-หลัง ตัง้ สมาธกิ บั งานและลงมือทํา 1.4.5 การบา น • จัดแบงการบานออกเปนสวนๆ เพื่อใหเด็กสามารถลงมือทํา จนสําเร็จไดในชวงเวลาส้ันๆ เม่ือเด็กทํางานเสร็จเองบอยๆ จะทําใหเด็กอารมณดี พอใจในตนเอง สถานการณเชนนี้ จะทาํ ใหเด็กมีความพยายามในการทํางานเพม่ิ ข้นึ • เรียงลําดับขอ ที่งา ยไวขอแรกๆ เพื่อใหเด็กเร่ิมทาํ จากงานที่งาย แลวเสร็จเร็ว ไปสูงานท่ีซับซอนยุงยากหรือมีปญหาที่ตองใช เวลาแกน านขนึ้ • ใหเ ดก็ เริ่มทํางานที่มีความเรงดว น ท่ีตอ งสง กอ น • มอบหมายการบานใหฝกอานหนังสือและทบทวนบทเรียนจน ตดิ เปนนิสยั 1.4.6 สอนเทคนคิ ในการเรียนและการเตรียมตวั สอบ • สอนใหเด็กใชเทคนิคชวยจํา เชน การใชแถบปากกาสี การขดี เสน ใตข อ ความทส่ี าํ คญั การยอ ประเดน็ สาํ คญั การจดสตู ร หรอื คาํ ยากๆในสมดุ บนั ทกึ • การหดั คิดเลขกลบั ไปกลบั มา 24 เดก็ สมาธสิ ัน้ คูม อื สําหรบั ครู
• ฝกสอนเทคนิคในการทําขอสอบ เชน ขอสอบท่ีจับเวลา หรือ มเี วลาทาํ จาํ กัด ขอ ทที่ าํ ไมไ ดใ หข ามไปกอน อยาลมื วงหนาขอ เพือ่ กลับมาทาํ ซา้ํ หรือเพ่อื ไมใ หวงสลับขอ เปนตน 1.5 ชวยเดก็ จดั การเก่ียวกบั เวลา เด็กสมาธิสั้นรูเก่ียวกับเวลาวาตองทําส่ิงใดบาง แตปญหาของเด็กคือ “แบงเวลาไมเปน” การตั้งเวลาและการเตือนจึงเปนสิ่งที่จําเปนสําหรับเด็ก อยาคาดหวงั ใหเ ดก็ รจู กั เวลาเอง ส่ิงทค่ี ณุ ครูสามารถชว ยไดคอื 1.5.1 เตือนใหเด็กตรงตอเวลา โดยสงสัญญาณเตือนเมื่อใกลถึง เวลานัด หรอื เวลาตอ งสงงาน 1.5.2 ชวยเด็กจัดทํากําหนดเวลาหรือปฏิทินงาน ทําลงกระดาษแลว ติดไวท ี่โตะเรยี นของเดก็ 1.5.3 ใชน ากิ าเตอื น โดยอาจใชน ากิ าระบบสนั่ สะเทอื น เพอ่ื ปอ งกนั การรบกวนเดก็ อน่ื 1.5.4 ใหแรงเสริมทางบวก เชน คําชม การสะสมดาวเพื่อแลก ของรางวัล เปนตน เมอื่ เด็กสงงานตามเวลา เด็กสมาธสิ น้ั คมู อื สาํ หรับครู 25
การพัฒนาทกั ษะทางสังคม ชวยเดก็ สมาธิส้นั ใหม เี พือ่ น เด็กสมาธิส้ันจํานวนมากมีปญหากับเพื่อน ชอบกลั่นแกลงหรือ แหยเ พ่อื น บางคนอาจมลี กั ษณะกา วราว ท้ังนี้เพราะเดก็ สมาธสิ นั้ จะมีอารมณ เสียงาย และไมคิดกอนที่จะทํา บางรายอาจเรียกรองความสนใจแบบไมคอย เหมาะสม เชน ทาํ เปนตวั ตลกใหค นอ่ืนแหยเ ลน เปนตน อีกทง้ั เดก็ ยังมีปญหา การแปลวธิ ีการสอ่ื สารที่ไมใชคาํ พดู ทําใหเดก็ ไมสามารถรบั รูอารมณข องผูอ่ืน จากการไดเห็นเฉพาะสหี นาทาทาง และแววตาของคนท่ีตนสัมพนั ธด วย ท้ังหมดน้ีทําใหเด็กไมสามารถรักษาความสัมพันธกับเพ่ือนไวได นานพอ เด็กอาจตอบโตเพ่ือนแบบกาวราวเมื่อถูกย่ัว ความไมมีสมาธิ ไมรู เวลาทาํ ใหเ ดก็ ปฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑห รอื กตกิ าตา งๆ ไมไ ด การเลน กบั เพอ่ื นจงึ มี ปญหาและไมมีใครอยากเลน ดว ย การฝก ทักษะทางสังคมจะชว ยใหเดก็ เขากบั เพ่ือนไดด ีขน้ึ รจู ักทํางานรว มกับผอู นื่ ซึง่ คุณครูสามารถชว ยเหลอื เด็กไดด ังน้ี 2.1 คนหาวาปญหาการเขาสังคมกับเพ่ือนอยูที่ไหน โดยอาศัย การสังเกต การเลนของเด็ก ทักษะตางๆ ท่ีเด็กใชเวลา เขากลุมกับเพ่ือน ไดแ ก • ทักษะในการส่ือสาร การเร่ิมตนเลนดวยการรับฟงกติกา การซักถามขอ สงสัย การสรา งคาํ ถามที่เหมาะสม การชีช้ วนให เพ่ือนๆ เลน ตาม คาํ พูด และสาํ เนียงทใ่ี ชพ ดู • ความสามารถในการเลน ควรสังเกตวาเด็กเลนในสิ่งท่ีเพ่ือนๆ เลน ไดจ รงิ หรอื ไม ในกฬี าตา งๆ เชน หมากรกุ หมากฮอส ปง ปอง บาสเกตบอล ฟุตบอล เปน ตน 26 เด็กสมาธิสน้ั คูมอื สาํ หรับครู
• ทักษะในการอยูรวมกับผูอื่น ความสามารถเลนตามเพื่อนหรือ นําเพื่อนได รูจักเอ้ือเฟอ รูจักขอโทษ ขอบใจ และการแสดง นา้ํ ใจ เคารพในกตกิ า เขา ใจความรสู กึ ของคนอน่ื ไวตอ ความรสู กึ ของคนรอบขา ง 2.2 จัดโอกาสและหาแบบฝกหดั ใหเดก็ ไดฝ กฝนทกั ษะ ควรหากจิ กรรมใหเ ดก็ ไดท าํ เปนคูหรือเปน กลมุ โดยกิจกรรมเหลาน้ัน ตอ งมรี ะเบียบกฎเกณฑ และขน้ั ตอนทีช่ ัดเจน โดยครชู ว ยควบคุม 2.3 แบบอยางทด่ี ี ครสู ามารถเปน แบบอยา งทด่ี ใี นการตดิ ตอ สมั พนั ธก บั ผอู น่ื ทง้ั การแสดง ทาทาง คําพูด การฟง การใหความชวยเหลือผูอื่น การแบงปน การขอ ความชว ยเหลือ การกลาวคาํ ขอโทษ หรอื ขอบคณุ 2.4 จดั เพอื่ นชว ยดแู ลเด็กสมาธิส้นั ครูควรจัดเพ่ือนท่ีเด็กสนิทหรือเพื่อนที่อาสาชวยดูแล คอยเตือน เมื่อเด็กไมมีสมาธิชวยสอนการบานโดยอาจจัดเปนคู หรือจัดเปนกลุม เพ่ือนรวมดูแลเหลาน้ีควรเปนคนที่เด็กชอบพอ เขาอกเขาใจกันและทําอะไร ดวยกันได ทั้งนี้ครูควรชวยติดตามปญหาตางๆ ท่ีอาจเกิดกับเพื่อนผูชวยดูแล เดก็ ได เด็กสมาธิสนั้ คูม ือสาํ หรับครู 27
การปรบั พฤติกรรม กอนที่จะกลาวถึงการปรับพฤติกรรม คุณครูควรหาทางปองกันไมให ปญหาเกิดขึน้ ซ่ึงทําไดด ังนี้ • บอกเด็กใหช ัดเจนวา เราตองการใหท าํ อะไร • สอนใหเด็กทราบวาพฤติกรรมใดเปนที่ตองการ พฤติกรรมใด ไมเปนท่ีตองการ • กาํ หนดกิจวัตรประจาํ วนั ใหเปน ข้นั ตอน • ปฏิบตั กิ บั เดก็ อยา งคงเสนคงวา สมํ่าเสมอ • ปฏิบัตติ นใหเ ปนแบบอยางแกเ ด็ก • ปฏิบัตกิ บั เดก็ ดวยความยุตธิ รรม • เขา ใจปญหา ความตอ งการ และความสามารถของเด็ก • ใชค วามอดทนกับปญ หาพฤตกิ รรมของเดก็ • บางครงั้ ตองยืดหยนุ บาง • คอยใหคําแนะนาํ ชว ยเหลือเด็กเม่อื จาํ เปน ตอไปน้ีเปนเทคนิคการปรับพฤติกรรม 3.1 การกําหนดกฎระเบียบหรือคําส่ัง คุณครูกําหนดขอปฏิบัติ ที่งา ยๆ ส้นั ๆ เชน • เตรยี มพรอมทจ่ี ะเรียนหนังสือ • ทาํ ตามทคี่ รสู ัง่ • ตาจองทหี่ นา กระดาษ ไมมองไปทางอืน่ • เอามือวางไวแนบลําตวั • ทาํ งานเงยี บๆ • ทํางานใหส ะอาด เรียบรอ ย 28 เด็กสมาธิสัน้ คมู อื สาํ หรบั ครู
3.2 การใหแ รงเสรมิ ทางบวก คณุ ครคู วรเปลย่ี นจากการ “จบั ผดิ ” มาเปน “จับถูก” • ช่ืนชมเมื่อเด็กมพี ฤติกรรมทีพ่ ึงประสงค “ครูชอบมากที่หนยู กมอื ขึน้ กอนถามครู” “ดีมากท่หี นยู ืนเขาแถวเงียบๆ ไมค ยุ กนั ” • ใหส ิทธิพิเศษเมอ่ื เดก็ มีพฤตกิ รรมทด่ี ี เชน มอบใหค วบคมุ แถว ใหเก็บสมุดงานจากเพ่อื นนกั เรียน • รางวัลไมจําเปนตองเปนรางวัลชิ้นใหญ อาจเปนคําชมเชย รางวลั เล็กๆ นอยๆ • ตวั อยา งแรงเสรมิ เชน ใหเ ลน เกมทชี่ อบ ใหเ วลาในการฟง เพลง โดยใชหฟู ง ใหเ ลนดนิ น้าํ มัน ตดั กระดาษ ใหเลอื กการบา นเอง ใหก ลบั บานเรว็ ขนึ้ 3.3 การสะสมเบีย้ รางวัล • การสะสมคูปองที่เขยี นมูลคาไว เม่อื ครบมูลคาที่กาํ หนดไวก ใ็ ห เลือกทาํ กจิ กรรมท่ชี อบได 1 อยาง • หากเด็กมีพฤติกรรมที่ดี คุณครูอาจนําลูกแกวมาใสโถใสไว เมอื่ โถเต็มกจ็ ัดงานเลีย้ งเลก็ ๆ ในหองเรียน 3.4 การใชบ ตั รสี เพือ่ ควบคมุ พฤติกรรมเดก็ ทงั้ หองเรียน • คณุ ครตู ดิ แผน ปา ยไวห นา หอ งเรยี น บนแผน ปา ยจะมชี อ่ื ของเดก็ พรอ มบตั รสี • เร่มิ เรียนตอนเชา ทุกคนจะมปี ายมชี มพู • หากเด็กมีพฤติกรรมไมเหมาะสมก็ใหบัตรสีเขียวแตไมมี การลงโทษ • หากยังมีพฤติกรรมที่ไมเหมาะสมเด็กจะใหบัตรสีเหลือง พรอ มกับงดการเขารวมกจิ กรรม 5 นาที เด็กสมาธสิ น้ั คมู ือสําหรบั ครู 29
• หากยังมีพฤติกรรมที่ไมเหมาะสมอีกใหงดการเขารวมกิจกรรม 10 นาที แลว เปลี่ยนบตั รเปนสีแดง หมายความวาตองรายงาน ผูอํานวยการ หรอื แจงผูป กครอง 3.5 การใชบตั รตัวเลข • เปนบตั รขนาดเทา ฝา มอื มตี วั เลข 1-5 5 หมายถึง ประพฤติตวั ดมี าก เปน เดก็ ดีของครู 4 หมายถึง วนั นป้ี ระพฤติดี 3 หมายถงึ พอใช ไมส รางปญหา 2 หมายถงึ วันนีค้ อนขางมปี ญ หา ไมเ ปน เดก็ ดเี ทาทีค่ วร จําเปนตอ งปรับปรุงตนเอง 1 หมายถงึ วนั นแ้ี ยม าก ไมน า รกั เลย คราวหนา ตอ งแกต วั ใหม • ใหเ ด็กถอื บัตรนี้กลบั บา นดว ย 3.6 การทําสญั ญา ในสญั ญาควรประกอบดวย 2 สว นใหญๆ คอื • สัญญาวาจะทําพฤติกรรมท่ีไมเหมาะสม เชน มาโรงเรียนสาย ไมสงงาน คยุ กันในหอ งเรยี น เปนตน • สัญญาในทางทดี่ ีทเ่ี หมาะสม เชน ต้งั ใจเรียน ควบคุมอารมณ ตนเอง ต้ังใจฟงครูสอน สงงานตามกําหนดเวลา นั่งเรียน อยา งเรยี บรอย พูดจาไพเราะ คณุ ครคู วรกาํ หนดรางวลั ทเี่ ดก็ จะไดร บั เชน ไดเ ลน คอมพวิ เตอร ตามลาํ พังนาน 10 นาที แตถา ไมปฏบิ ัติจะไมไ ดไปทัศนศกึ ษา กบั เพ่อื น 3.7 การฝก หายใจ เปน วธิ ที จ่ี ะสามารถชว ยผอ นคลายความเครยี ด ใหแกเด็กได • ฝกใหเด็กหายใจอยางถูกตอง ใหนั่งในทาที่สบาย หายใจเขา ใหท อ งพอง หายใจออกใหทอ งแฟบ มสี ติอยูก ับลมหายใจ 30 เด็กสมาธิสนั้ คูมอื สําหรับครู
3.8 ทํากิจกรรมฝกสมาธิ เชน ถือของท่ีแตกงายไปสงใหผูอ่ืน ถือขันน้ําที่มีน้ําปริ่มโดยไมใหหก แสดงทาวายนํ้าในอากาศ แสดงอาการลอยตัวเมือ่ อยูนอกโลก 3.9 การใชดนตรี อาจใชดนตรีประกอบกิจกรรมกอนเรียน หรือ หลังเลิกเรยี น เชน “ถา ไดยินเสียงรัวกลองใหทกุ คนว่งิ ประจําที่” “ถา ไดย นิ เสียงบรรเลงเพลงจบ ใหท กุ คนคอยๆ เดิน ยอ งเบาๆ เขา ทน่ี ่ังตนเอง” ปญ หาพฤติกรรม ท่ีพบบอยในโรงเรยี น พนม เกตุมาน (2551) ไดใหรายละเอียดแนวทางการจัดการปญหา พฤตกิ รรมเด็กสมาธิสั้นท่ีพบบอ ยไวด งั น้ี ดือ้ ดือ้ คอื พฤตกิ รรมหลีกเล่ยี ง หลบเลีย่ งไมทําตามคาํ สั่ง หรอื ทาํ ผดิ ไป จากขอ ตกลงทท่ี าํ ไวล ว งหนา อาการดอ้ื ของเดก็ สมาธสิ นั้ เปน พฤตกิ รรมทพ่ี บได บอ ย เดก็ จะด้ือจากหลายสาเหตุ คือ 1. เดก็ ไมต ้งั ใจจะฟง คําส่งั ไมใสใจ เมือ่ ส่ังแลวลมื หรอื ทาํ ไมครบ 2. เดก็ ไมค อ ยอยากทาํ ตามคาํ สงั่ เนอ่ื งจากตดิ เลน หรอื กาํ ลงั ทาํ อะไร เพลินๆ สนุกๆ 3. เด็กอาจหงุดหงิด หรอื โกรธไมพอใจในเรอ่ื งอ่นื เมือ่ สง่ั ใหทําอะไร ก็ไมอยากทํา จงึ อาจใชก ารดือ้ ไมรว มมอื ไมท าํ ตาม เปน การตอบโต เดก็ สมาธิส้ัน คมู ือสาํ หรบั ครู 31
เด็กดื้ออาจจะแสดงออกด้ือตรงๆ ตอบโตคําส่ังทันที หรือดื้อเงียบ คือปากวาจะทํา แตขอผัดผอนไปกอน แลวในที่สุดก็ไมทํา (ดวยเจตนาหรือ ลืมจริงๆ) การปองกัน ครูควรใชคําสั่งท่ีไดผล เวลาส่ังควรแนใจวาเด็กสนใจในคําสั่งนั้น ควรใหเด็กหยุดเลนหรือหยุดพฤติกรรมใดๆ ที่กําลังทําอยูเสียกอน สั่งส้ันๆ ชัดเจน อยาใชหลายคําส่ังพรอมๆ กัน ใหเด็กทวนคําส่ัง แลวเร่ิมปฏิบัติ ทันที อยาใหเด็กหลบเล่ียง พรอมกับชมเม่ือเด็กทําได ในกรณีที่คําสั่งน้ัน ไมไ ดผ ล คณุ ครตู อ งคอยกาํ กบั ใหท าํ สมาํ่ เสมอในระยะเวลาแรกๆ กอ น ไมค วรสง่ั หรอื ตกลงกันในกิจกรรมทีค่ รูไมม ีเวลาคอยกาํ กับใหทําในระยะแรกๆ แกลงเพ่อื น เนื่องจากเด็กมักจะซน ควบคุมตัวเองลําบาก ทําใหอาจไปละเมิด เดก็ อน่ื ได แตเ ดก็ มกั ไมค อ ยยอมรบั วา ตนเองเปน ผเู รม่ิ ตน ละเมดิ คนอนื่ กอ น เชน ลอเลียน แหย แกลง ทําใหคนอื่นไมพอใจ จนมีการตอบโตกันไปมา แตเมื่อ ใหเดก็ สรปุ เอง เขาจะบอกวา โดนแกลง กอน ทัง้ ๆ ทีก่ อ นหนา น้ีเขาอาจจะเปน ผเู รมิ่ ตนกอนกไ็ ด บางทกี ารตอบโตน ้ันเกิดเปน วงจนหาจดุ เร่มิ ตน จรงิ ๆ ไมได เม่ือเด็กมาฟองครูวาตนเองถูกรังแก ครูตองทําใจใหเปนกลาง อยาเพ่ิงเช่ือเด็กทันที ควรสอบถามใหชัดเจนกอนวา เหตุการณท่ีเกิดข้ึนจริงๆ เปน อยางไร ยกตัวอยาง เชน 32 เด็กสมาธิส้ัน คมู อื สาํ หรับครู
“ลองเลาเหตุการณท ีเ่ กิดขนึ้ อยางละเอียดซิ” “ ตอนน้นั หนทู าํ อะไรอย”ู “กอนหนา นน้ั หนทู าํ อะไร” “มีอะไรท่ีทาํ ใหเขาไมพ อใจหนูอยูกอ น” “กอ นหนาหนูทาํ อะไรใหเขาไมพ อใจบางไหม” “อะไรทําใหเ ขามาทาํ เชน น้กี บั หน”ู “หนูคงโกรธที่เขาทาํ เชน น้นั ” “แลว หนตู อบโตไ ปอยางไร” “หนูคิดวา เขาจะคิดอยา งไร รสู ึกอยางไร” “หนูคดิ วาเร่ืองมนั นาจะจบลงแคน้ีหรือเปลา ” “เพือ่ นเขาอาจเจบ็ แคน มาหาเรอ่ื งในวนั หลงั ไดหรอื ไม” “หนูคิดวา จะหาทางออกอยางไรดี ทีจ่ ะไดผ ลดใี นระยะยาว” สิ่งที่ครูควรจะสอนเด็กคือ วีธีการแกปญหาดวยวิธีการที่นุมนวล หาทางออกสําหรับแกปญหาหลายๆ แบบใหเด็กเลือกใช โดยไมไปตําหนิเด็ก ตรงๆ กอ น กาวรา ว เด็กท่ีถูกเพ่ือนย่ัวบอยๆ หากไมไดฝกควบคุมตนเอง อาจทําใหเด็ก ตอบสนองตอเพ่ือนดวยวิธีกาวราวรุนแรงได การลงโทษดวยวิธีรุนแรง เชน ตีหรือประจานใหเสียหนา อาจชวยหยุดพฤติกรรมไดในระยะส้ันๆ แตไมชวย แกไ ขปญหาพฤติกรรมของเดก็ ในระยะยาว สง่ิ ท่ีครสู ามารถชว ยเด็กได คอื • ฝก ใหเ ด็กระบายอารมณ และจดั การอารมณตนเองอยา งสมา่ํ เสมอ ดังที่กลา วมาขา งตน • เมื่อเกิดสถานการณ ครูตองเขาไปไกลเกล่ีย แยกเด็กซ่ึงเปนคูกรณี ออกจากกัน แตถาเด็กมีพฤติกรรมอาละวาด ในเด็กเล็กครูอาจใช เดก็ สมาธิส้นั คมู อื สําหรบั ครู 33
วิธี “กอด” เดก็ ไว สว นในเด็กโต อาจใหครผู ูชายตัวโตๆ อยางนอย 2-3 คน ชว ยล็อคตวั เด็กไว และพาเด็กไปอยทู ่ีสงบพรอมบอกเดก็ วา “หนโู กรธไดแ ตท าํ รา ยคนอน่ื ไมไ ด” จากนนั้ พดู คยุ ใหเ ดก็ ระบาย ความรสู ึก และใชวธิ ีพดู คยุ สอบถามเชนเดยี วกบั กรณีแกลง เพือ่ น • ชวยใหเด็กคิดหาทางออกในหลากหลายวิธี และปรับความเขาใจ ซงึ่ กันและกนั ในสถานการณท่ีทงั้ คมู ีอารมณสงบดีแลว • สอนใหเด็กรูจัดสังเกตอารมณของตนเองและผูอ่ืน รวมถึงหาวิธี หลีกเลี่ยงและสื่อสารความตอ งการอยางเหมาะสม - ใหเ ดก็ พยายามหลกี เลย่ี งสถานการณ ซงึ่ เปน ตวั กระตนุ ใหโ กรธ - คิดทบทวนดูวาเร่ืองอะไรที่มีผลกระทบตออารมณมากที่สุด โดยสังเกตวารางกายสงสัญญาณเตือนอยางไรเม่ือมีอารมณ เปลี่ยนแปลงจากเร่ืองท่ีเขามารบกวน เชน หายใจเร็ว ใจสั่น หนา แดง ฯลฯ และรบี ออกจากทีเ่ กิดเหตุ ไมพ ดู ตอ ลอ ตอเถยี ง ในขณะทีอ่ กี ฝา ยกําลังมอี ารมณโกรธ - ใหเ ดก็ บอกตวั เองวา ตอ งควบคมุ อารมณโ กรธกอ นทอี่ ารมณโ กรธ จะควบคุมเรา - นกึ ถงึ สง่ิ ดๆี ในชวี ิต เพ่ือใหอ ารมณผ อ นคลายลง - ขอบคุณตัวเองที่สามารถเอาชนะอารมณโกรธได ในการสอน ใหเด็กรูจักสังเกตอารมณของผูอ่ืน ครูอาจใหเด็กท้ังหองเรียน รูอารมณรวมกัน โดยแสดงสถานการณสมมติ ขออาสาสมัคร แสดงสีหนาทาทางถึงภาวะอารมณตางๆ ใหเด็กคนอ่ืนๆ ชวยกันทาย รวมถึงอาจใหเด็กแลกเปล่ียนวาถาเพ่ือนอยูใน อารมณโกรธพวกเขาควรทําอยางไร ใหเด็กชวยกันคิดวิธี และแสดงทาทางตอบสนองเวลาท่ีเพื่อนมีอารมณโกรธ ก็จะ ชวยใหเด็กเรียนรูจักวีธีสังเกตและตอบสนองอารมณผูอ่ืน อยา งสนกุ สนาน 34 เดก็ สมาธสิ นั้ คูม ือสําหรบั ครู
แนวทางการติดตาม พฤตกิ รรมเดก็ สมาธสิ น้ั ในชน้ั เรียน ครูควรใชแบบประเมินพฤติกรรม สังเกตและบันทึกการเปล่ียนแปลง ของเด็กทุกสัปดาห และหาโอกาสพูดคุยกับเด็กถึงการเปล่ียนแปลงของเขา เปน ระยะวา เดก็ สามารถพฒั นาอะไรขน้ึ บา ง โดยพยายามพดู ถงึ ความกา วหนา ในทางทดี่ แี ละตามดวยส่ิงที่เด็กควรแกไขเพื่อใหเด็กเกดิ ความรสู กึ ท่ีดี เด็กสมาธิส้นั คมู ือสาํ หรบั ครู 35
ตวั อยา งสมุดบนั ทกึ พฤตกิ รรมเปน ชว งสปั ดาห (ชาญวิทย พรนภดล,2545) พฤติกรรมเดก็ แยลง ไมเ ปลยี่ นแปลง ดีข้นึ ดขี ้ึนมาก มสี มาธิ สามารถจดจอ กับการงานทที่ ํา นง่ั ตดิ ท่ี พดู จาเหมาะสม มีปฏิสัมพนั ธทีด่ ี กับเพื่อนและครู ประโยชนข องสมดุ บนั ทกึ พฤตกิ รรมสาํ หรบั เดก็ สมาธสิ น้ั นน้ั จะชว ยให ขอมลู แพทยในการตดิ ตามการรกั ษาและอาการของเด็กท่โี รงเรยี น ครสู ามารถ เห็นความเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมของเด็กชดั เจนยงิ่ ข้นึ และยงั เปน ขอมูลสาํ คญั ในการสอ่ื สารกับผปู กครอง รวมถงึ ใชส ง ตอขอมลู ระหวา งครดู วยกันไดอ ีกดวย อยา 10 ประการ ฝากไวส าํ หรบั คณุ ครูผูดูแลเดก็ สมาธสิ ้ัน 1. อยา เขา ใจวา เดก็ เปน เดก็ ขเี้ กยี จ บางอาการเดก็ เปน อยนู อกเหนอื การควบคมุ 2. อยาลงโทษเด็กเพราะเห็นวาเด็กแกลงไมทํางาน เนื่องจาก ความสามารถของเดก็ ยังไมค งเสนคงวา สิ่งทีเ่ ดก็ ทําไดใ นครงั้ กอ นอาจทําไมได ในคร้งั น้ี 3. อยาฟงครูคนอื่นท่ีวิพากษวิจารณเด็กในทางลบ ความจริงเด็ก อาจไมเลวรา ยอยา งครูอ่นื ๆ พูดกไ็ ด 4. อยาฟงครูประจําชั้นคนเดิม (เก่ียวกับทัศนคติทางลบ) ลองประเมนิ เดก็ ดว ยตนเอง และหาเทคนคิ ในการจดั การพฤตกิ รรมใหเ หมาะสม 36 เดก็ สมาธสิ ั้น คูม ือสําหรับครู
5. อยาลงโทษเด็กดวยอารมณ 6. อยาลืมผูปกครอง ตกลงกับผูปกครองเกี่ยวกับการสอนและ รายงานความกาวหนาใหผปู กครองทราบสมา่ํ เสมอ 7. อยาทํางานคนเดียว ขอความชวยเหลือจากครูอื่นในการชวย สังเกตพฤตกิ รรมเดก็ และเสนอแนวทางในการสอน 8. อยา ลืมปรับพฤติกรรม ควบคูกับการเรยี นการสอน 9. อยา เนนผลสอบจนเกนิ ไป ควรมองพฒั นาการเด็กทีด่ ีขน้ึ 10. อยาเลิกลมความตั้งใจงายๆ หากวันนี้คุณครูไมชวยแลวใครจะ ชว ยเหลือเดก็ ตวั อยางประสบการณแ หงความสาํ เรจ็ “การดูแล ชว ยเหลอื เด็กสมาธิสน้ั ” กรณีศึกษาตอไปน้ี คัดเลือกจากกรณีศึกษาที่ประสบความสําเร็จใน การดแู ลชว ยเหลอื เดก็ สมาธสิ น้ั ในโรงเรยี น โดยคณะทาํ งานกลมุ งานสขุ ภาพจติ โรงเรยี นของสถาบนั สขุ ภาพจติ เดก็ และวยั รนุ ราชนครนิ ทร ไดส มั ภาษณค ณุ ครู ผูดูแลเด็กสมาธิสั้น ผูปกครอง รวมถึงตัวเด็กเอง และนําขอมูลทั้งหมด มาประมวลเปนกรณีศึกษาเพ่ือเปนตัวอยางใหแกผูสนใจนําไปประยุกตใช ดแู ลชว ยเหลอื เดก็ สมาธิสัน้ ในโรงเรยี นอยางครมู อื อาชีพ กรณีศกึ ษา เดก็ วยั ประถมศกึ ษาตอนตน ทาํ งานชา ลมื สง การบา น ของหายบอ ยๆ วอกแวกงาย ทํางานไมระเบียบ ผลการเรียนต่ํากวาความสามารถท่ีแทจริง ครูสามารถประเมินอาการสมาธิสั้นของเด็กไดต้ังแตระยะประถมศึกษาตน และใหความสําคัญในการชวยเหลือและพัฒนาเด็กอยางจริงจังและตอเน่ือง สงผลใหเด็กไดรับการรักษาตั้งแตเริ่มตน โดยครอบครัวพยายามศึกษาเรียนรู เดก็ สมาธสิ ้นั คูมือสําหรับครู 37
ใหเขาใจและยอมรับเด็กอยางแทจริง มีความหวังและแสวงหาแนวทางในการ พัฒนาเด็กอยา งไมหยดุ น่งิ นาํ มาสูผลสําเร็จท่งี ดงามและนาภาคภมู ใิ จ ขอมลู ท่วั ไป เด็กเรียนชั้นประถมศึกษาปท่ี 2 เปนบุตรคนโต มีนองสาว 1 คน บดิ ามอี าชพี รบั ราชการ ตาํ แหนง หนา ทคี่ อ นขา งสงู ตอ งปฏบิ ตั หิ นา ทร่ี บั ผดิ ชอบ อยปู ระจําตา งจังหวดั จะกลับบานในชวงสดุ สปั ดาห มารดามีอาชพี รับราชการ ตาํ แหนง นกั วชิ าการ มารดาเปน ผอู บรมเลย้ี งดู ตลอดจนการดแู ละเรอ่ื งการทาํ งาน และการทําการบา นของ ลกู ๆ โดยลําพัง เด็กและนองสาวมีความผูกพันรักใคร เอาใจใสใกลชิดกันดี โดยเฉพาะเด็กจะรักและตามใจนองมาก สวนนองสาว คอนขางเอาแตใจตนเอง และอิจฉาพี่ท่ีแมมักจะใหเวลาดูแลการทําการบาน ของพี่มากกวาตนเอง และนองสาวมักจะไมพอใจเมื่อเห็นเด็กทํางานชา และ หลงลืมบอย ความเปน มาของการเจ็บปวย มารดาสังเกตเห็นวา เด็กตองการความชวยเหลือต้งั แตอยชู ้นั อนุบาล 3 โดยเริ่มจากกลามเน้ือมัดเล็ก ทํางานไดไมดี และมีปญหาในระบบการ ทํางานประสานกันระหวางมือกับตา สงผลใหเด็กประสบความยากลําบาก ในการเขยี นหนงั สอื ทาํ งานชา ไมเ สรจ็ ตามเวลาที่กําหนด เดก็ ใชเวลานานมาก ในการทาํ การบา น หากไมน ง่ั เฝา จะทาํ การบา นไมเ สรจ็ วอกแวกงา ยและเดก็ ยงั มอี าการนัง่ เหมอเหมือนไมไดฟ ง ชั้นประถมศกึ ษาปที่ 1 อาจารยป ระจําชนั้ รายงานวา เดก็ ไมมีปญหา เรื่องการอาน แตมีปญหาดานการไมมีสมาธิในการเรียน เวลาเรียนมักจะ น่ังเหมอลอย ทํางานชามากไมเสร็จตามเวลา และไมเสร็จในชั่วโมงเรียน ตองนํางานกลับไปทําตอที่บานเปนประจํา การเขียนมักจะตกหลน หลงลืม มผี ลใหก ารเรียนตาํ่ กวาความสามารถทแ่ี ทจ ริง 38 เด็กสมาธสิ ัน้ คูมอื สําหรบั ครู
ชนั้ ประถมศึกษาปท ่ี 2 ปญ หาตางๆ มีมากข้ึน เด็กยังคงทํางานชา มาก หลงลืมบอย เชน ลืมสงการบาน ของหายบอยๆ วอกแวกงาย ทํางาน ไมเปนระเบียบ ผิดพลาดบอย ผลการเรียนต่ํากวาความสามารถที่แทจริง อาจารยแนะแนวเชิญมารดามาพบเพ่ือรายงานถึงปญหาที่เกิดข้ึนในโรงเรียน และขออนุญาตศึกษารายกรณีเพราะรูสึกวิตกกังวลและเปนหวง มารดา จึงอนุญาตและใหความรวมมือในการใหขอมูลเต็มที่ อาจารยแนะแนวได รวบรวมขอมูลของเด็กดวยวิธีการตางๆ และไดเสนอแนะวาเด็กนาจะพบ แพทยเพ่ือการตรวจวินิจฉัย จึงไดพาเด็กไปพบแพทย เพ่ือจะไดทราบสาเหตุ ปญ หาทแี่ ทจรงิ และการหาทางชวยเหลอื ทถ่ี กู ตอ งเหมาะสมสาํ หรบั เด็ก และ ภาคปลายของประถมศกึ ษาปท่ี 2 เมื่อเด็กอายุได 7 ขวบ มารดาไดพาเด็กไป พบแพทยที่โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ แพทยวินิจฉัยวา เด็กเปน โรคสมาธสิ ้นั ชนดิ ท่ีไมซ น (Attention Deficit Disorder, ADD) อาการเจ็บปวย และสภาพปญ หาที่เกิดจากการเจบ็ ปว ย 1. เวลาเรยี นเหมอ ลอย วอกแวกงา ย เหมอื นไมส นใจฟง เวลาอาจารย สอน ไมซ กั ถาม 2. การทาํ งานผดิ พลาด ตกหลน บอ ยครง้ั ทาํ งานชา ไมเ สร็จตามเวลา ลายมือไมเ ปนระเบยี บ 3. ของหายบอยข้ีลืม เชน ลืมสง การบาน ลมื อุปกรณก ารเรียน 4. ดเู ปนเดก็ ฉลาด แตผลการเรยี นไมด ี 5. ทอแท ขาดแรงจงู ใจในการเรยี น 6. อารมณอ อ นไหวงา ย หงดุ หงดิ งา ย ใจรอ น ไมม คี วามสขุ ไมส ามารถ สรา งสมั พันธภาพกบั ผูอ น่ื ไดด ี มีเพอ่ื นนอย เด็กสมาธสิ น้ั คมู ือสําหรบั ครู 39
การดแู ล และการแกไขปญ หาของมารดา เมือ่ แพทยวินิจฉัยวา เดก็ เปน โรคสมาธสิ ั้น มารดารูส ึกเสียใจ ผิดหวัง อยา งรนุ แรง แพทยไ ดใ หค วามเขา ใจเรอื่ งโรคสมาธสิ น้ั แกม ารดา ซงึ่ ทาํ ใหม ารดา เรมิ่ ทาํ ใจและมองเหน็ ความหวงั ในการชว ยเหลอื เดก็ และตระหนกั วา ครอบครวั มีสวนสําคัญ หากครอบครัวไมชวยเหลือเด็กอยางจริงจัง เด็กจะไมสามารถ พัฒนาได หลังจากนั้นมารดา จึงเร่ิมศึกษาทําความเขาใจในพฤติกรรมของ เด็กอยางจริงจัง ซ่ึงทําใหเขาใจวาพฤติกรรมปญหาตางๆ ท่ีเด็กแสดงออกนั้น เปนอาการของโรคที่เด็กไมไดต้ังใจอยากจะเปน และสิ่งที่เด็กเปนอยูน้ี สงผล ใหเด็กไมมีความสุข รูสึกมีปมดอย ไมมีความมั่นใจ ขาดความภาคภูมิใจใน ตัวเอง ฉะน้ันสิ่งที่จะชวยเด็กไดคือ การใหกําลัง การสรางความมั่นใจใหเด็ก สรางความสําเรจ็ ใหตัวเอง เม่ือมารดามีความเขาใจเด็กมากข้ึนวา การขาดสมาธิสงผลตอ ความสามารถในการเรียนของเด็ก ทําใหเด็กมีผลการเรียนต่ํา และมี ความภาคภูมิใจตนเองตํ่า มารดาจึงไมใหความสําคัญกับผลการเรียนมากนัก ไมต้ังความหวังกับผลการเรียนเปนเบื้องตน ใหความสําคัญในกระบวนการ เรยี นมากกวา ผลการเรยี น กลา วคอื การดแู ลใหเ ดก็ ทาํ การบา น และการสง งาน ใหสําเร็จ สวนการเรียนจะไดเกรดอะไรไมสําคัญ แมจะไมผานก็ไมเปนไร เพราะสอบแกตัวใหมได เมื่อมารดาไมวิตกกังวลกับผลการเรียนและ คอยใหกําลังใจ เมื่อเด็กผิดพลาด ไดมีผลชวยใหเด็กลดความวิตกกังวลได ระดับหนึง่ การสงเสริมดานการเรียนนั้น นอกจากการดูแลการทําการบานและ การสง งานของโรงเรยี นแลว มารดาไดใ หก ารสง เสรมิ ทกั ษะการอา น ดว ยความ คิดวาการที่คนเราจะมีความรูไดน้ัน แหลงความรูสวนใหญไดจากการอาน การทําใหเด็กอยากอานนั้น ใหเริ่มฝกจากการสงเสริมเรื่องที่เด็กสนใจ และ 40 เด็กสมาธสิ นั้ คูมือสําหรับครู
คอยๆ จูงใจวา หากอยากรูอะไรก็ใหหาคําตอบจากการอานหนังสือ ยิ่งอาน กย็ ่งิ รมู าก เมอื่ เดก็ อยากรกู ็พาเดก็ ไปรานหนังสือเรียนบอ ยๆ ซ่งึ พบวาวธิ กี ารน้ี ไดผ ลดมี ากคอื เดก็ ชอบอา นหนงั สอื ทกุ ชนดิ และสง ผลใหก ารอา นหนงั สอื เรยี น สามารถทาํ ไดง ายข้ึน และยอ มทําใหผลการเรียนดีข้ึนดวย การสรางความภาคภูมิใจในตนเองแกเด็กน้ัน มารดาไดชวยใหเด็ก สํารวจความสนใจในกิจกรรมตางๆ และคอยสนับสนุนใหเด็กไดมีกิจกรรม ทั้งกีฬา ดนตรี ศิลปะ ฯลฯ สนับสนุนใหเด็กไดฝกทักษะตางๆ เต็มที่ การทํากิจกรรมที่หลากหลาย เพ่ือใหเด็กมีโอกาสคนหาจุดเดน และพัฒนา ความสามารถพิเศษขึ้น เมื่อเด็กเร่ิมทําอะไร ไดสําเร็จก็จะพัฒนาความรู ทักษะในดานอ่ืนๆ นอกจากการเรียน และสรางความรูสึกที่ดีตอตนเอง มีความม่นั ใจ และภาคภูมิใจในตนเองมากขน้ึ การชวยเหลือดานพฤติกรรมนั้น มารดาไดอธิบายถึงปญหาของเด็ก ใหเด็กไดเขาใจตนเองอยางงายๆ ตามคําแนะนําของแพทย เพื่อใหเด็ก ใหความรวมมือในการสรางพฤติกรรมที่เหมาะสมดวยการฝกอยางสมํ่าเสมอ ดว ยการใหแ รงเสริม และการตดิ ตามผลอยา งสมํา่ เสมอ เด็กสมาธิส้ัน คมู อื สาํ หรับครู 41
การดูแลของครู การชวยเหลือของโรงเรียนเร่ิมตนข้ึน เม่ือครูประจําช้ันประถมศึกษา ปท่ี 2 สังเกตเห็นปญหาการเรียนและพฤติกรรมของเด็ก และสงสัยวาเด็ก มีการปวยท่ีจําเปนตองไดรับการดูแล จึงไดมีกระบวนการดูแลเด็กรายนี้ เปน ลาํ ดับข้ันตอนดงั ตอไปนี้ 1. อาจารยประจําช้ันไดแจงอาจารยแนะแนวถึงปญหาท่ีเกิดข้ึน เพือ่ ขอใหฝายแนะแนวไดศ กึ ษาเด็กเปนรายกรณี 2. อาจารยแนะแนวพบมารดา เพือ่ ขออนญุ าตศกึ ษารายกรณี 3. อาจารยแนะแนวไดรวบรวมขอมูลตางๆ เพื่อศึกษาปญหาและ สาเหตุ 4. อาจารยแนะแนวพบผูปกครอง เพ่ือสรุปปญหาและขอใหมารดา พาเด็กไปพบแพทย 5. มารดาไดพาเด็กไปพบแพทย เม่ือแพทยวินิจฉัยพรอมกับให ขอเสนอแนะในการใหความชวยเหลือแกมารดาของเด็ก ดวยเทคนิควิธีการ ท่ถี ูกตอง 6. อาจารยแนะแนวของโรงเรียน ทําหนาท่ีประสานงานระหวาง แพทยและคณะอาจารยที่เกี่ยวของเพ่ือรวมปรึกษาหารือ และทําความเขาใจ ใหผ เู กยี่ วขอ งไดเ ขา ใจถงึ ลกั ษณะอาการของเดก็ สมาธสิ นั้ ชนดิ ไมซ นและวธิ กี าร ใหค วามชว ยเหลอื ตลอดจนวิธปี ฏิบัตกิ ับเด็กอยา งถกู ตอ งและเหมาะสม 7. อาจารยแ นะแนวไดต ดิ ตามการใหค วามชว ยเหลอื และประสานงาน กับอาจารยผูเก่ียวของ และใหขอมูลในการสงตอเด็กตามระดับช้ันในแตละป เพื่อการปฏบิ ตั ิท่เี ปน แนวทางเดียวกนั 42 เด็กสมาธสิ นั้ คูมือสําหรับครู
8. อาจารยแนะแนวเชิญมารดาบิดาของเด็กเพ่ือรวมปรึกษาหารือ กับอาจารยประจําช้ันและอาจารยท่ีเก่ียวของ เพ่ือการปฏิบัติกับเด็กเปนไป ในทางเดยี วกนั 9. โรงเรยี นไดจ ดั อบรมใหแ กผ ปู กครอง ทลี่ กู มปี ญ หาเปน โรคสมาธสิ น้ั ถึงเทคนคิ วธิ กี ารอบรมเลย้ี งดแู ละการปรับพฤติกรรม ผลจากการใหความชวยเหลือในโรงเรียน ไดชวยสรางเสริมความ รูสึกภูมิใจ ความมีคุณคาในตนเองของเปนลําดับ ผลท่ีตามมา คือเด็กเริ่มมี ความสามารถทางการเรยี นเพม่ิ ขนึ้ เมอื่ เดก็ เรยี นระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เด็กสมาธิสน้ั คูม ือสาํ หรบั ครู 43
ปจ จัยความสําเรจ็ จากการชว ยเหลือ 1. ความเขาใจในปญ หาจากทุกฝา ยเปน ปจจยั ทสี่ าํ คญั ทสี่ ุด 2. การทําความเขาใจในปญหาของเด็กแตละคนอยางเฉพาะเจาะจง เพราะในเดก็ ทเ่ี ปน สมาธสิ น้ั แมม อี าการโรคสมาธสิ น้ั เชน เดยี วกนั แตเ ดก็ สมาธสิ น้ั แตละคนก็ยังมีความแตกตางกัน ทั้งพฤติกรรมและอารมณความรูสึก และ วิธีการเรียนรู การเขาใจเด็กแตละคนอยางเฉพาะเจาะจงดวยการศึกษา รายกรณีอยางถ่ีถวน จะชวยใหผูที่เก่ียวของไดคิดหาเทคนิควิธีการเหมาะสม และมีประสิทธิภาพกบั เด็กแตละคนได 3. การยอมรับจากอาจารยผูเกี่ยวของจะมีผลตอความรูสึกของเด็ก จะเห็นไดวา หากชวงปใดเด็กไดอาจารยท่ีเขาใจและยอมรับเด็ก ไมใชวิธีการ ตาํ หนติ เิ ตียน ดุ วา กลาวใหอ บั อาย เดก็ จะมีความสขุ มกี าํ ลังใจในการทาํ งาน มากกวา พบครูท่ไี มเขาใจ และปฏิบตั ติ อเด็กดวยวิธกี ารเชงิ ลบ 4. ความสม่ําเสมอเปนส่ิงท่ีสําคัญในการฝกฝน การเอาใจใสใกลชิด ใหกาํ ลังใจ และมีรปู แบบในการฝก หดั ที่ชัดเจน จะชว ยใหการฝกพฤตกิ รรม ทีเ่ หมาะสมประสบความสาํ เร็จ 44 เดก็ สมาธิสั้น คูม ือสําหรับครู
เอกสารอางอิง ชาญวิทย พรนภดล. (2545).โรคซน-สมาธิสั้น (Attention-Deficit/ Hyperactivity Disorder-ADHD) ใน วินัดดา ปยะศิลปและ พนม เกตุมาน . ตําราจิตเวชเด็กและวัยรุน. (พิมพคร้ังท่ี 1). กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั บยี อนด เอ็นเทอรไ พรซ. ชาญวิทย พรนภดล และพนม เกตุมาน. (2550). โรคสมาธิส้ัน (Attention Deficit Hyperactivity Disorder). คนเมื่อวันท่ี 18 สงิ หาคม 2553 จาก, http://www.psyclin.co.th/myweb1.htm นงพนา ลิ้มสุวรรณ. (2542). โรคสมาธิส้ัน Attention-Deficit/ Hyperactivity Disorders. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร. ผดุง อารยะวิญู. (2544). วิธีสอนเด็กสมาธิสั้น. กรุงเทพมหานคร: บรษิ ัท ราํ ไทย เพรส จาํ กดั . พนม เกตุมาน. (2548). สุขใจกับเด็กสมาธิส้ัน คูมือคุณพอคุณแม และครสู าํ หรบั การฝก เดก็ . กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ทั คลั เลอร ฮารโ มน่ี จํากัด. วมิ ลรตั น วนั เพญ็ และคณะ. (2553). แนวทางการดแู ลชว ยเหลอื เดก็ สมาธสิ นั้ ในโรงเรยี น. กรงุ เทพฯ: สถาบนั สขุ ภาพจติ เดก็ และวยั รนุ ราชนครนิ ทร อุมาพร ตรังคสมบัติ. (2544). สรางสมาธิใหลูกคุณ. กรุงเทพมหานคร: ซันตา การพมิ พ. เด็กสมาธิสัน้ คูมือสาํ หรบั ครู 45
......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... 46 เด็กสมาธสิ ้นั คูมือสําหรับครู
......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... เดก็ สมาธสิ นั้ คูมือสาํ หรับครู 47
......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... ......................................................................................................................... 48 เดก็ สมาธิส้นั คูม อื สาํ หรบั ครู
Search
Read the Text Version
- 1 - 48
Pages: