Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรวิทยาศาสตร์2565

หลักสูตรวิทยาศาสตร์2565

Published by นนนภรรท โสมณวัฒน์, 2022-08-24 04:16:40

Description: หลักสูตรวิทยาศาสตร์2565

Search

Read the Text Version

๙๕ หนว่ ย ชื่อหนว่ ย มาตรฐานการ สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั / ท่ี การเรียนรู้ เรยี นรู้/ตวั ชีว้ ัด (ชั่วโมง) คะแนน ๘ • ดวงจันทร์เป็นวัตถุที่เป็นทรงกลม แต่รูปร่าง (ตอ่ ) ของดวงจนั ทรท์ ม่ี องเหน็ หรือรูปร่างปรากฏของ ดวงจันทร์บนท้องฟ้าแตกต่างกันไปในแต่ละวนั โดยในแต่ละวันดวงจันทร์จะมีรูปร่างปรากฏ เป็นเสี้ยวท่ีมีขนาดเพิ่มขึน้ อย่างต่อเนื่องจนเตม็ ดวงอีกครั้งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นแบบรูป ซ้ำกันทกุ เดือน • ระบบสุริยะเป็นระบบท่ีมีดวงอาทิตย์เป็น ศูนย์กลางและมีบริวารประกอบด้วย ดาว เคราะหแ์ ปดดวง และบริวาร ซึง่ ดาวเคราะห์แต่ ละดวงมีขนาดและระยะห่างจากดวงอาทิตย์ แตกต่างกัน และยังประกอบด้วย ดาวเคราะห์ แคระ ดาวเคราะหน์ อ้ ย ดาวหาง และวตั ถขุ นาด เล็กอื่น ๆ โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์ วัตถุขนาด เล็กอนื่ ๆ เมอ่ื เข้ามาในช้ันบรรยากาศเน่ืองจาก แรงโนม้ ถว่ งของโลก ทำใหเ้ กิดเปน็ ดาวตกหรือผี พุ่งไต้และอุกกาบาต ๙ วิทยาการ ว ๔.๒ ป.๔/๓, • การใช้คำค้นที่ตรงประเด็น กระชับ จะทำให้ ๒0 10 คำนวณ ๒ ป. ๔/๔, ป. ๔/๕ ได้ ผลลพั ธท์ ี่รวดเร็วและตรงตามความต้องการ • การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เช่น พิจารณาประเภทของเว็บไซต์ (หน่วยงาน ราชการ สำนักข่าว องค์กร) ผู้เขียน วันท่ี เผยแพรข่ ้อมลู การอา้ งองิ • เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการจากเว็บไซต์ต่าง ๆ จะตอ้ งนำเนื้อหามาพจิ ารณา เปรยี บเทียบ แลว้ เลอื กข้อมูลท่มี ีความสอดคลอ้ งและสัมพนั ธก์ นั • การทำรายงานหรือการนำเสนอขอ้ มลู จะต้อง นำข้อมูลมาเรียบเรียง สรุป เป็นภาษาของ ตนเอง ท่เี หมาะสมกบั กลุ่มเป้าหมายและวิธีการ นำเสนอ (บรู ณาการกบั วิชาภาษาไทย) • การรวบรวมข้อมูล ทำได้โดยกำหนดหัวข้อท่ี ต้องการ เตรียมอุปกรณ์ในการจดบันทึก • การประมวลผลอย่างง่าย เช่น เปรียบเทียบ จัดกลมุ่ เรยี งลำดับ การหาผลรวม

๙๖ หน่วย ชื่อหน่วย มาตรฐานการ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั / ท่ี การเรยี นรู้ เรียนรู้/ตวั ชว้ี ัด (ชัว่ โมง) คะแนน ๙ (ต่อ) วิเคราะห์ผลและสร้างทางเลือกที่เป็นไปได้ ประเมนิ ทางเลอื ก (เปรยี บเทียบ ตัดสนิ ) • การนำเสนอข้อมูลทำได้หลายลักษณะตาม ค ว า ม เ ห ม า ะ ส ม เ ช ่ น ก า ร บ อ ก เ ล่ า เอกสารรายงาน โปสเตอร์ โปรแกรมนำเสนอ • การใช้ซอฟต์แวร์เพื่อแก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวัน เช่น การสำรวจเมนูอาหาร กลางวันโดยใช้ซอฟต์แวร์สร้างแบบสอบถาม และเก็บข้อมูล ใช้ซอฟต์แวร์ตารางทำงานเพ่ือ ประมวลผลข้อมูล รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ คุณค่าทางโภชนาการและสร้างรายการอาหาร สำหรับ ๕ วัน ใช้ซอฟตแ์ วรน์ ำเสนอผลการ สำรวจรายการอาหารท่ีเปน็ ทางเลือกและข้อมูล ดา้ นโภชนาการ • การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เขา้ ใจสทิ ธแิ ละหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของ ผู้อื่น เช่น ไม่สร้างข้อความเท็จและส่งให้ผู้อ่ืน ไม่สร้าง ความเดือดร้อนต่อผู้อื่นโดยการส่ง สแปมข้อความลูกโซ่ ส่งต่อโพสต์ที่มีข้อมูล ส่วนตัวของผู้อื่น ส่งคำเชิญเล่นเกม ไม่เข้าถึง ข้อมูลส่วนตัวหรือการบ้านของบุคคลอื่นโดย ไม่ได้รับอนุญาต ไม่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์/ชื่อ บัญชขี องผอู้ ืน่ • การสอื่ สารอยา่ งมีมารยาทและรกู้ าลเทศะ • การปกป้องข้อมูลส่วนตัว เช่น การออกจาก ระบบเมื่อเลิกใช้งาน ไม่บอกรหัสผ่าน ไม่บอก เลขประจำตวั ประชาชน สอบปลายภาคเรียนท่ี ๒ 1 ๑๕ รวม ๖๐ 50

๙๗ โครงสร้างหน่วยการเรียนรู้ รายวชิ าพน้ื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ๔ รหัสวชิ า ว ๑๔๑๐๑ ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี ๔ ภาคเรียนท่ี ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖5 เวลา ๖๐ ชว่ั โมง หนว่ ย หนว่ ยการ แผนการจัดการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนร้/ู เวลา น้ำหนกั คะแนน ท่ี เรยี นรู้ ตัวชี้วัด (ช่วั โมง) ๕ ๑ ความ ๑. ส่ิงมีชวี ิตกลุ่มพืชและกลมุ่ สัตว์ ว 1.3 ป.4/1 ๒ ๑๐ หลากหลายของ ๒. การจำแนกส่งิ มีชวี ติ กลุ่มพชื และกลมุ่ สัตว์ ว 1.3 ป.4/1 ๒ ๕ ส่งิ มีชวี ติ ๓. สิ่งมชี วี ิตกลุม่ ไม่ใชพ่ ชื และสัตว์ ว 1.3 ป.4/1 ๑ ๕ ๔. ค้นหาส่งิ มชี ีวิตทไ่ี ม่ใชพ่ ืชและสตั ว์ ว 1.3 ป.4/1 ๑ ๒ พชื และสตั ว์ ๑. โครงสรา้ งภายนอกของพืช ว ๑.2 ป.4/1 ๑ ๒. หนา้ ทีข่ องราก ว ๑.2 ป.4/1 ๒ ๓. หนา้ ทข่ี องลำต้น ว ๑.2 ป.4/1 ๒ ๔. หน้าท่ีของใบ ว ๑.2 ป.4/1 ๒ ๕. หน้าทข่ี องดอก ว ๑.2 ป.4/1 ๑ ๖. พชื มีดอกและพชื ไมม่ ดี อก ว 1.3 ป.4/๒ ๒ ๗. ความหลากหลายของสตั ว์ ว 1.3 ป.4/๓, ป.4/๔ ๑ ๘. การจำแนกสัตว์ ว 1.3 ป.4/๓, ป.4/๔ ๑ ๙. สตั วไ์ มม่ ีกระดูกสนั หลงั ว 1.3 ป.4/๓, ป.4/๔ ๑ ๑๐. สัตวม์ ีกระดกู สนั หลงั ว 1.3 ป.4/๓, ป.4/๔ ๒ ๓ สมบัตวิ ัสดุนา่ รู้ ๑. วัสดุรอบตวั เรา ว ๒.๑ ป.๔/๑, ป.๔/๒ ๑ ๒. ความแขง็ ของวัสดุ ว ๒.๑ ป.๔/๑, ป.๔/๒ ๒ ๓. การเปล่ยี นแปลงสภาพยดื หยนุ่ ของวสั ดุ ว ๒.๑ ป.๔/๑, ป.๔/๒ ๒ ๔. การนำความร้อนของวสั ดุ ว ๒.๑ ป.๔/๑, ป.๔/๒ ๒ ๕. การนำไฟฟ้าของวัสดุ ว ๒.๑ ป.๔/๑, ป.๔/๒ ๒ ๖. ประโยชนข์ องวัสดุ ว ๒.๑ ป.๔/๑, ป.๔/๒ ๑ ๔ สสารรอบตัวเรา ๑. สสารและสถานะของสสาร ว ๒.๑ ป.๔/๓, ป.๔/๔ ๒ ๒. สมบัติของสสารในสถานะของแขง็ ว ๒.๑ ป.๔/๓, ป.๔/๔ ๒ ๓. สมบตั ขิ องสสารในสถานะของเหลว ว ๒.๑ ป.๔/๓, ป.๔/๔ ๒ ๔. สมบตั ขิ องสสารในสถานะแกส๊ ว ๒.๑ ป.๔/๓, ป.๔/๔ ๒

๙๘ หน่วย หน่วยการ แผนการจัดการเรยี นรู้ มาตรฐานการ เวลา นำ้ หนกั เรียนร้/ู ตัวชวี้ ัด (ชัว่ โมง) คะแนน ท่ี เรยี นรู้ ว 4.2 ป.4/1 ว 4.2 ป.4/1 1 ๑๐ ๕ การแก้ปัญหา 1. การฝึกลำดับความคดิ ว 4.2 ป.4/1 1 ว 4.2 ป.4/1 1 2.การเลอื กวธิ ีการแก้ปัญหา ว 4.2 ป.4/1 1 ว 4.2 ป.4/1 1 3. แนวทางการแกป้ ญั หา ว 4.2 ป.4/1 1 ว 4.2 ป.4/1 1 4. การคาดการณ์ผลลพั ธข์ องปญั หา ว 4.2 ป.4/1 1 1 5. ร้จู กั ขั้นตอนการแก้ปญั หา 6. การแกป้ ญั หาตามข้ันตอนการแกป้ ัญหา 7. การออกแบบข้นั ตอนการแก้ปญั หา 8. การออกแบบโปรแกรมการแกป้ ัญหา 9. การเขียนโปรแกรมใหต้ ัวละครส่ือสาร ระหว่างกนั เครอื ข่าย 1. เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ว 4.2 ป.4/3,ป.4/5 1 คอมพิวเตอร์ 2.การใชอ้ นิ เทอร์เนต็ ว 4.2 ป.4/3,ป.4/5 1 ว 4.2 ป.4/3,ป.4/5 1 3. การใชค้ ำค้นหาขอ้ มูล ว 4.2 ป.4/3,ป.4/5 1 ว 4.2 ป.4/3,ป.4/5 1 4. การคน้ หาภาพบนอินเทอร์เน็ต ว 4.2 ป.4/3,ป.4/5 1 ว 4.2 ป.4/3,ป.4/5 1 5. ฉลาดค้นบนอนิ เทอร์เน็ต 6. การค้นหาขอ้ มูลทสี่ นใจ 7. บรกิ ารบนอินเทอรเ์ นต็ :ไปรษณีย์ อเิ ล็กทรอนกิ ส์ 8. บริการบนอนิ เทอรเ์ น็ต : ยูทบู ว 4.2 ป.4/3,ป.4/5 1 ว 4.2 ป.4/3,ป.4/5 1 9. บริการบนอินเทอรเ์ นต็ : เครือขา่ ยสังคม ออนไลน์ 10. บรกิ ารบนอนิ เทอรเ์ นต็ : บรกิ ารของ ว 4.2 ป.4/3,ป.4/5 1 Google 11. ข้อปฏิบตั ิในการใชอ้ ินเทอรเ์ น็ต ว 4.2 ป.4/3,ป.4/5 1 ๑ สอบปลายภาคเรยี นท่ี ๒ ๖๐ ๑๕ ๕๐ รวม

๙๙ โครงสรา้ งหน่วยการเรียนรู้ รายวชิ าพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ๔ รหัสวชิ า ว ๑๔๑๐๑ ชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๔ ภาคเรียนท่ี ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖5 เวลา ๖๐ ชัว่ โมง หน่วย หนว่ ยการ แผนการจัดการเรยี นรู้ มาตรฐานการ เวลา น้ำหนกั ท่ี เรียนรู้ เรียนร/ู้ ตวั ชี้วัด (ชั่วโมง) คะแนน ๖ แรงและการ ๑. ทศิ ทางการเคลือ่ นท่ีของวัตถุตามแรงโน้ม ว 2.๒ ป.4/1 ๒ ๘ เคล่อื นที่ ถ่วงของโลก ๒. การกระโดดหนีแรงโนม้ ถ่วงของโลก ว 2.๒ ป.4/1 ๒ ๓. การค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก ว 2.๒ ป.4/1 ๒ ๔. มวลและน้ำหนกั ของวตั ถุ ว 2.๒ ป.4/1,ป.4/๒ ๒ ๕. ออกแรงเคลอื่ นยา้ ยวตั ถุ ว 2.๒ ป.4/๓ ๒ ๗ แสงและ ๑. สมบตั ขิ องตวั กลางแสง ว ๒.๓ ป.๔/๑ ๒ ๗ ตวั กลางของ ๒. สมบตั ขิ องตัวกลางแตล่ ะชนิด ว ๒.๓ ป.๔/๑ ๒ แสง ๓. ชนดิ ของตัวกลาง ๑ ว ๒.๓ ป.๔/๑ ๒ ๔. ชนดิ ของตวั กลาง ๒ ว ๒.๓ ป.๔/๑ ๒ ๕. ประโยชน์ของตวั กลางแสง ว ๒.๓ ป.๔/๑ ๒ ๘ ดวงจนั ทรแ์ ละ ๑. การขนึ้ ตกของดวงจนั ทร์ ว ๓.๑ ป.๔/๑ ๑ ๑๕ ดวงดาวใน ๒. สาเหตกุ ารเกดิ ปรากฏการณ์การขน้ึ และตก ว ๓.๑ ป.๔/๑ ๒ ระบบสุริยะ ของดวงจนั ทร์ ๓. แบบจำลองการมองเหน็ ดวงจนั ทร์ ว ๓.๑ ป.๔/๒ ๒ ๔. ขา้ งขึน้ ขา้ งแรม ว ๓.๑ ป.๔/๒ ๒ ๕. โลก ดวงจนั ทร์ และดวงอาทติ ย์ ว ๓.๑ ป.๔/๓ ๒ ๖. ดาวบนทอ้ งฟา้ ในเวลากลางคืน ว ๓.๑ ป.๔/๓ ๒ ๗. ดาวเคราะหใ์ นระบบสุริยะ ว ๓.๑ ป.๔/๓ ๒ ๘. วัตถุบนทอ้ งฟ้า ว ๓.๑ ป.๔/๓ ๒ ๙. แบบจำลองระบบสุรยิ ะ ว ๓.๑ ป.๔/๓ ๒ ๑๐. ดาวตก ผพี ่งุ ไต้ และอุกกาบาต ว ๓.๑ ป.๔/๓ ๒ ๙ การรวบรวม 1. การรวบรวมขอ้ มลู ว 4.2 ป.4/4 1 ๑๐ ขอ้ มูลและ 2. วิธกี ารรวบรวมขอ้ มลู ว 4.2 ป.4/4 1 ซอฟตแ์ วร์ 3. รูปแบบการนำเสนอข้อมูล ว 4.2 ป.4/4 1 ประยกุ ต์ 4. การออกแบบรูปแบบการนำเสนอ ว 4.2 ป.4/4 1 5. ซอฟตแ์ วร์ ว 4.2 ป.4/4 1 6. การใช้ซอฟตแ์ วรป์ ระมวลคำ ว 4.2 ป.4/4 1

๑๐๐ หนว่ ย หน่วยการ แผนการจดั การเรยี นรู้ มาตรฐานการ เวลา นำ้ หนกั ท่ี เรยี นรู้ เรยี นรู้/ตัวชี้วัด (ช่วั โมง) คะแนน 7. ซอฟตแ์ วรต์ ารางทำงาน ว 4.2 ป.4/4 1 8. การใชซ้ อฟตแ์ วร์ตารางทำงานแก้ปญั หา ว 4.2 ป.4/4 1 9. ผลกระทบจากการใช้คอมพิวเตอร์ ว 4.2 ป.4/4 1 การเขียน 1. การทำงานของคอมพิวเตอร์ ว 4.2 ป.4/2 1 โปรแกรม 2. การเขยี นโปรแกรมคอมพวิ เตอรเ์ บอ้ื งต้น ว 4.2 ป.4/2 1 เบือ้ งต้น 3. รู้จกั โปรแกรม Scratch ว 4.2 ป.4/2 1 4. เรยี นรูก้ ารเขียนโปรแกรมดว้ ย Scratch ว 4.2 ป.4/2 1 5. การออกแบบการเขยี นโปรแกรม Scratch ว 4.2 ป.4/2 1 6. รจู้ ักอัลกอริทมึ ว 4.2 ป.4/2 1 7. การเขียนอัลกอรทิ มึ ว 4.2 ป.4/2 1 8. บอกเล่ากิจวัตรประจำวนั ดว้ ย Scratch ว 4.2 ป.4/2 1 9. การออกแบบอลั กอริทึมและเขยี นโปรแกรม ว 4.2 ป.4/2 1 ให้ตัวละครเล่าเรือ่ ง 10. การเขียนโปรแกรมโตต้ อบกบั ผู้ใช้ ว 4.2 ป.4/2 1 11. สนกุ กับตัวละครโต้ตอบกับผู้ใช้ ว 4.2 ป.4/2 1 ๑ ๑๕ สอบปลายภาคเรยี นท่ี ๒ ๖๐ ๕๐ รวม

๑๐๑ คำอธบิ ายรายวิชาพน้ื ฐาน ว 1๕101 รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ๕ กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๕ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖5 เวลา ๑๒๐ ช่วั โมง ศกึ ษาการเรยี นรู้โครงสรา้ งและลกั ษณะของสง่ิ มชี ีวิตที่เหมาะสมกบั การดำรงชวี ิตในแหล่งที่อยู่พ้ืนท่ี กรงุ เทพมหานคร ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตและความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสง่ิ มีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของพืช สัตว์ประจำชาติในกลุ่มอาเซียน และมนุษย์ การเปลี่ยนสถานะ ของสสาร การละลายของสารในน้ำ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงทีผ่ ันกลับไดแ้ ละผันกลบั ไม่ได้ แรงลพั ธ์ แรงเสยี ดทาน การไดย้ ินเสียงผ่านตวั กลาง ลักษณะและการเกิดเสียงสูง เสียงตำ่ เสยี งดัง และมลพิษ ทางเสียง ความแตกต่างของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ การใช้แผนที่ดาว แบบรูปเส้นทางการขึ้นและตก ของกล่มุ ดาวฤกษ์บนท้องฟ้า เปรยี บเทยี บปรมิ าณน้ำในแต่ละแหลง่ ระบปุ รมิ าณนำ้ ที่มนษุ ย์สามารถนำมาใช้ได้ การใช้น้ำอย่างประหยัดและการอนุรักษ์น้ำวัฏจักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง และน้ำค้างแข็ง กระบวนการเกดิ ฝน หมิ ะ และลูกเห็บ ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา การอธิบายการทำงาน การคาดการณ์ผลลัพธ์ จากปัญหาอย่าง ง่าย ออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มีการใช้เหตุผลเชิงตรรกะอย่างง่าย ตรวจหาข้อผิดพลาดและแก้ไข ใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาข้อมูล ติดต่อสื่อสารและทำงานร่วมกัน ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลรวบรวม ประเมิน นำเสนอข้อมูลและสารสนเทศตามวัตถุประสงค์โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือบริการบนอินเทอร์เน็ตที่ หลากหลาย เพื่อแกป้ ญั หาในชีวิตประจำวนั ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภยั มมี ารยาท เขา้ ใจสิทธิและ หน้าทีข่ องตน เคารพในสิทธขิ องผอู้ ืน่ แจง้ ผู้เก่ียวข้องเม่อื พบขอ้ มูลหรือบุคคลที่ไมเ่ หมาะสม ใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการหาคำตอบ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะ กระบวนการทางในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเบื้องต้น สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น ใช้อินเทอร์เน็ตติดต่อสื่อสารและค้นหาข้อมูล แยกแยะ ข้อเทจ็ จรงิ กับข้อคดิ เหน็ ประเมินความน่าเชอ่ื ถือ ของขอ้ มลู ตระหนักถึงคุณค่าของความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และใช้ความรู้และกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัยและมีมารยาท มีจิตวิทยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คุณธรรม และคา่ นิยมท่เี หมาะสม ตัวชี้วัด ว ๑.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๒, ป.๕/๓, ป.๕/๔ ว ๑.๓ ป.๕/๑, ป.๕/๒ ว ๒.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๒, ป.๕/๓, ป.๕/๔ ว ๒.๒ ป.๕/๑, ป.๕/๒, ป.๕/๓, ป.๕/๔, ป.๕/๕ ว ๒.๓ ป.๕/๑, ป.๕/๒, ป.๕/๓, ป.๕/๔, ป.๕/๕ ว ๓.๒ ป.๕/๑, ป.๕/๒, ป.๕/๓, ป.๕/๔, ป.๕/๕ ว ๓.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๒ ว ๔.๒ ป.๕/๑, ป.๕/๒, ป.๕/๓, ป.๕/๔, ป.๕/๕ รวม ๘ มาตรฐาน ๓๒ ตวั ชวี้ ัด

๑๐๒ โครงสร้างรายวิชากลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชาพน้ื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ๔ รหสั วชิ า ว ๑๕๑๐๑ ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ ๕ ภาคเรยี นที่ ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖5 เวลา ๖๐ ชวั่ โมง สดั สว่ นคะแนน / ภาคเรียน 35 : 15 หน่วย ชือ่ หน่วยการ มาตรฐานการ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนัก/ ท่ี เรยี นรู้ เรียนรู้/ตัวชวี้ ัด (ชัว่ โมง) คะแนน ๑ ชีวติ กบั ว ๑.๑ ป.๕/๑, • สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์มีโครงสร้างและ ๘ ๗ สงิ่ แวดล้อม ป.๕/๒, ป.๕/๓, ลักษณะ ที่เหมาะสมในแต่ละแหล่งที่อยู่ ซึ่ง ป.๕/๔ เป็นผลมาจาก การปรับตัวของสิ่งมีชีวิต เพือ่ ให้ดำรงชีวิตและอยรู่ อดได้ในแต่ละแหล่ง ที่อยู่ เช่น ผักตบชวามีช่องอากาศในก้านใบ ชว่ ยใหล้ อยนำ้ ได้ตน้ โกงกางทขี่ ึ้นอย่ใู นป่าชาย เลนมีรากค้ำจุนทำให้ลำต้นไม่ล้ม ปลามีครีบ ช่วยในการเคล่อื นที่ในนำ้ • ในแหล่งที่อยู่หนึ่ง ๆ สิ่งมีชีวิตจะมี ความสัมพันธ์ ซึ่งกันและกันและสัมพันธ์กับ สิ่งไม่มีชีวิต เพื่อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต เช่น ความสัมพันธ์กันด้านการกินกันเป็น อาหาร เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย หลบภัยและ เลย้ี งดูลูกออ่ น ใชอ้ ากาศในการหายใจ • สิ่งมีชวี ิตมกี ารกินกันเป็นอาหาร โดยกินต่อ กันเป็นทอด ๆ ในรูปแบบของโซ่อาหาร ทำ ให้สามารถระบุบทบาทหน้าที่ของสิ่งมีชีวิต เป็นผูผ้ ลิตและผู้บรโิ ภค ๒ การดำรงพนั ธ์ ว ๑.๓ ป.๕/๑, • สง่ิ มีชวี ติ ท้งั พชื สตั ว์ และมนษุ ย์ เมอื่ โตเตม็ ท่ี ๙ ๕ ของสงิ่ มชี วี ติ ป.๕/๒ จะมีการสืบพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวนและดำรง พันธุ์ โดยลูก ที่เกิดมาจะได้รับการถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ทำให้มี ลักษณะทางพันธุกรรมที่เฉพาะแตกต่างจาก สง่ิ มชี วี ติ ชนิดอ่ืน • พืชมีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่น ลักษณะของใบ สดี อก • สัตว์มีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่นสีขน ลกั ษณะของขน ลกั ษณะของหู • มนุษย์มีการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม เช่น เชงิ ผมท่ีหนา้ ผาก ลักย้ิม ลกั ษณะหนงั ตา การห่อลิน้ ลักษณะของติง่ หู

๑๐๓ หน่วย ชือ่ หนว่ ยการ มาตรฐานการ สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั / ท่ี เรียนรู้ เรียนรู้/ตวั ชว้ี ัด (ชั่วโมง) คะแนน ๓ การ ว ๒.๑ ป.๕/๑, • การเปลี่ยนสถานะของสสารเป็นการ ๑๐ ๘ เปลีย่ นแปลง ป.๕/๒, ป.๕/๓, เปล่ียนแปลงทางกายภาพ เมื่อเพ่มิ ความร้อน ของสารใน ป.๕/๔ ให้กับสสารถึงระดับหนึ่งจะทำให้สสารที่เป็น ชีวิตประจำวนั ของแขง็ เปลย่ี นสถานะเปน็ ของเหลว เรียกว่า การหลอมเหลว และเมอ่ื เพมิ่ ความร้อนต่อไป จนถึงอีกระดับหนึ่งของเหลวจะเปลี่ยนเป็น แก๊ส เรียกว่าการกลายเป็นไอ แต่เมื่อลด ความร้อนลงถึงระดับหนึ่ง แก๊สจะเปลี่ยน สถานะเป็นของเหลว เรียกว่าการควบแน่น และถา้ ลดความร้อนตอ่ ไปอีกจนถึงระดับหนึ่ง ข อ ง เ ห ล ว จ ะ เ ป ล ี ่ ย น ส ถ า น ะ เ ป ็ น ข อ ง แ ข็ ง เรียกว่า การแข็งตัว สสารบางชนิดสามารถ เปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นแก๊สโดยไม่ ผ่านการเป็นของเหลว เรียกว่า การระเหิด สว่ นแก๊สบางชนดิ สามารถเปลย่ี นสถานะเป็น ของแข็งโดยไมผ่ า่ นการเป็นของเหลว เรียกว่า การระเหดิ กลบั • เมอื่ ใส่สารลงในนำ้ แล้วสารนนั้ รวมเป็นเน้ือ เดียวกันกับน้ำทั่วทุกส่วน แสดงว่าสารเกิด การละลาย เรียกสารผสมท่ีไดว้ า่ สารละลาย • เมื่อผสมสาร ๒ ชนิดขึ้นไปแล้วมีสารใหม่ เกิดขึ้น ซึ่งมีสมบัติต่างจากสารเดิมหรือเม่ือ สารชนิดเดยี ว เกิดการเปลยี่ นแปลงแลว้ มีสาร ใหม่เกิดขึ้นการเปลี่ยนแปลงนี้เรียกว่า การ เปลีย่ นแปลงทางเคมี ซึง่ สังเกตได้จากมสี หี รือ กลิ่นต่างจากสารเดิม หรือมีฟองแก๊ส หรือมี ตะกอนเกิดขึ้น หรือมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลง ของอณุ หภมู ิ • เมื่อสารเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว สาร สามารถเปลี่ยนกลับเป็นสารเดิมได้ เป็นการ เปลี่ยนแปลงที่ผันกลับได้ เช่น การ หลอมเหลว การกลายเป็นไอ การละลาย แต่ สารบางอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วไม่ สามารถเปลี่ยนกลับเป็นสารเดิมได้ เป็นการ เปลี่ยนแปลงที่ผันกลับไม่ได้ เช่นการเผาไหม้ การเกิดสนิม

๑๐๔ หนว่ ย ช่ือหน่วย มาตรฐานการ สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนกั / ท่ี การเรียนรู้ คะแนน ๔ เสียงและ เรยี นรู้/ตัวชวี้ ัด (ช่ัวโมง) การได้ยิน ๕ ว ๒.๓ ป.๕/๑, • การได้ยินเสียงตอ้ งอาศัยตวั กลาง โดยอาจเปน็ ๑๒ ๕ วทิ ยาการ ๑๐ คำนวณ 1 ป.๕/๒, ป.๕/๓, ของแข็ง ของเหลว หรืออากาศ เสียงจะสง่ ผ่าน ป.๕/๔, ป.๕/๕ ตวั กลางมายงั หู • เสียงที่ได้ยินมีระดับสูงต่ำของเสียงต่างกัน ขึ้นกับความถีข่ องการสั่นของแหลง่ กำเนิดเสยี ง โดยเมื่อแหล่งกำเนิดเสียงสั่นด้วยความถี่ต่ำจะ เกิดเสียงตำ่ แตถ่ า้ สน่ั ดว้ ยความถี่สูงจะเกิดเสียง สูง ส่วนเสียงดังค่อยที่ได้ยินขึ้นกับพลังงานการ สั่นของแหล่งกำเนิดเสียง โดยเมื่อแหล่งกำเนิด เสียงสั่นด้วยพลังงานมากจะเกิดเสียงดัง แต่ถ้า แหล่งกำเนิดเสียงสั่นด้วยพลังงานน้อยจะเกิด เสียงค่อย • เสียงดังมาก ๆ เป็นอันตรายต่อการได้ยินและ เสียงที่ก่อให้เกิดความรำคาญเป็นมลพิษทาง เสียง เดซิเบล เปน็ หนว่ ยทีบ่ อกถึงความดงั ของเสยี ง ว ๔.๒ ป.๕/๑, • การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนำกฎเกณฑ์ ๒๐ ป.๕/๒, ป.๕/๓ หรือเง่ือนไขท่ีครอบคลมุ ทุกกรณมี าใช้พิจารณา ในการแก้ปัญหา การอธิบายการทำงาน หรือ การคาดการณ์ ผลลพั ธ์ • สถานะเรมิ่ ต้นของการทำงานท่ีแตกต่างกันจะ ใหผ้ ลลัพธ์ที่แตกตา่ งกัน • ตัวอย่างปัญหา เช่น เกม Sudoku โปรแกรม ทำนายตัวเลข โปรแกรมสรา้ งรูปเรขาคณติ ตามค่าขอ้ มูลเขา้ การจัดลำดบั การทำงานบ้าน ในช่วงวันหยดุ จัดวางของในครัว • การออกแบบโปรแกรมสามารถทำได้โดยเขียน เป็นข้อความหรือผงั งาน • การออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มีการ ตรวจสอบเงอื่ นไขท่ีครอบคลุมทุกกรณเี พอื่ ให้ได้ ผลลัพธ์ท่ถี ูกต้องตรงตามความตอ้ งการ • หากมีข้อผิดพลาดใหต้ รวจสอบการทำงาน ทีละคำส่งั เม่อื พบจุดที่ทำใหผ้ ลลพั ธ์ไม่ถูกต้อง ให้ทำการแกไ้ ขจนกวา่ จะไดผ้ ลลพั ธ์ท่ีถกู ต้อง • การฝกึ ตรวจหาขอ้ ผิดพลาดจากโปรแกรมของ ผู้อ่ืน จะช่วยพัฒนาทกั ษะการหาสาเหตุของ ปญั หาได้ดียิ่งข้นึ

๑๐๕ หน่วย ช่ือหนว่ ย มาตรฐานการ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั / ท่ี การเรียนรู้ เรยี นรู้/ตวั ชี้วัด (ชัว่ โมง) คะแนน ๕ (ตอ่ ) • ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมตรวจสอบ เลขคู่เลขคี่ โปรแกรมรับข้อมูลน้ำหนักหรือ ส่วนสูงแล้วแสดงผลความสมส่วนของร่างกาย โ ป ร แ ก ร ม ส ั ่ ง ใ ห ้ ต ั ว ล ะ ค ร ท ำ ต า ม เ ง ื ่ อ น ไ ข ที่ กำหนด • ซอฟตแ์ วรท์ ีใ่ ช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo • การค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต และการ พิจารณาผลการค้นหา • การติดต่อสือ่ สารผ่านอนิ เทอร์เนต็ เช่น อีเมล บล็อก โปรแกรมสนทนา • การเขียนจดหมาย (บูรณาการกับวิชา ภาษาไทย) • การใช้อินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสารและ ทำงานร่วมกัน เช่น ใช้นัดหมายในการประชุม กลุ่ม ประชาสัมพันธ์กิจกรรมในห้องเรียน การ แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นในการเรียน ภายใต้การดแู ลของครู • การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เช่น เปรียบเทียบความสอดคล้อง สมบูรณ์ของ ข้อมูลจากหลายแหล่ง แหล่งต้นตอของข้อมูล ผู้เขียน วันท่เี ผยแพรข่ อ้ มูล • ข้อมลู ทีด่ ตี ้องมรี ายละเอยี ดครบทกุ ด้าน เชน่ ข้อดแี ละขอ้ เสีย ประโยชน์และโทษ สอบปลายภาคเรียนท่ี ๒ 1 ๑๕ รวม ๖0 50

๑๐๖ โครงสร้างรายวชิ ากลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ าพืน้ ฐาน วิทยาศาสตร์ ๕ รหัสวิชา ว ๑๕๑๐๑ ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๕ ภาคเรยี นที่ ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖5 เวลา ๖๐ ชวั่ โมง สัดสว่ นคะแนน / ภาคเรยี น 35 : 15 หน่วย ชอื่ หนว่ ยการ มาตรฐานการ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนัก/ ท่ี เรยี นรู้ เรยี นรู้/ตัวชว้ี ัด (ชั่วโมง) คะแนน ๖ แรงใน ว ๒.๒ ป.๕/๑, • แรงลัพธ์เป็นผลรวมของแรงที่กระทำต่อ ๑๒ ๑๐ ชวี ติ ประจำวนั ป.๕/๒, ป.๕/๓, วตั ถุ โดยแรงลัพธ์ของแรง ๒ แรงท่ีกระทำต่อ ป.๕/๔, ป.๕/๕ วตั ถเุ ดยี วกนั จะมขี นาดเท่ากบั ผลรวมของแรง ทั้งสองเมอ่ื แรงทัง้ สองอยู่ในแนวเดียวกันและ มีทศิ ทางเดยี วกัน แตจ่ ะมีขนาดเท่ากับผลต่าง ของแรงทั้งสองเมื่อแรงทั้งสองอยู่ในแนว เดียวกันแต่มีทิศทางตรงข้ามกัน สำหรับวัตถุ ทีอ่ ยู่นงิ่ แรงลัพธ์ทีก่ ระทำต่อวัตถมุ คี ่าเปน็ ศนู ย์ • การเขียนแผนภาพของแรงทีก่ ระทำต่อวตั ถุ สามารถเขียนได้โดยใช้ลูกศร โดยหัวลูกศร แสดงทิศทางของแรง และความยาวของ ลูกศรแสดงขนาดของแรงทกี่ ระทำต่อวัตถุ • แรงเสยี ดทาน เกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผัสของ วัตถุ เพื่อต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น โดย ถ้าออกแรงกระทำต่อวัตถุที่อยู่นิ่งบนพื้นผิว หนึ่งใหเ้ คลื่อนที่ แรงเสียดทานจากพื้นผิวน้ัน ก็จะต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุ แต่ถ้าวัตถุ กำลังเคลื่อนที่ แรงเสียดทานก็จะทำให้วัตถุ น้ันเคลอื่ นท่ชี า้ ลงหรอื หยุดน่งิ ๗ แหล่งนำ้ และ ว ๓.๒ ป.๕/๑, • โลกมีทั้งนำ้ จดื และน้ำเค็มซ่ึงอยู่ในแหล่งน้ำ ๑๖ ๘ ลมฟา้ อากาศ ป.๕/๒, ป.๕/๓, ต่าง ๆ ที่มีทั้งแหล่งน้ำผิวดิน เช่น ทะเล ป.๕/๔, ป.๕/๕ มหาสมุทร บงึ แม่น้ำ และแหลง่ น้ำใตด้ ิน เชน่ น้ำในดินและน้ำบาดาล น้ำทั้งหมดของโลก แบ่งเป็นนำ้ เคม็ ประมาณร้อยละ ๙๗.๕ ซง่ึ อยู่ ในมหาสมุทรและแหล่งน้ำอื่น ๆ และที่เหลอื อีกประมาณร้อยละ ๒.๕ เป็นน้ำจืด ถ้า เรียงลำดับปริมาณน้ำจืดจากมากไปน้อยจะ อยูท่ ี่ ธารนำ้ แข็ง และพดื นำ้ แขง็ นำ้ ใตด้ นิ ชน้ั ด ิ น เ ย ื อ ก แ ข ็ ง ค ง ต ั ว แ ล ะ น ้ ำ แ ข ็ ง ใ ต ้ ดิ น ทะเลสาบ ความชื้นในดิน ความชื้นใน บรรยากาศ บึง แม่น้ำ และน้ำในส่ิงมชี ีวติ

๑๐๗ หน่ว ช่อื หน่วยการ มาตรฐานการ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั / ยที่ เรียนรู้ เรยี นรู้/ตวั ชีว้ ัด (ชั่วโมง) คะแนน ๗ • นำ้ จืดที่มนษุ ย์นำมาใช้ได้มปี ริมาณน้อยมาก (ตอ่ ) จึงควรใชน้ ้ำอย่างประหยัดและร่วมกนั อนุรักษ์ นำ้ • วฏั จกั รนำ้ เปน็ การหมนุ เวียนของนำ้ ทมี่ แี บบ รูป ซ้ำเดิม และต่อเนื่องระหว่างน้ำใน บรรยากาศน้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน โดย พฤติกรรมการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์ส่งผล ตอ่ วฏั จักรนำ้ • ไอน้ำในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองน้ำ เล็ก ๆ โดยมีละอองลอย เชน่ เกลอื ฝุน่ ละออง ละอองเรณูของดอกไม้ เป็นอนุภาคแกนกลาง เมื่อละอองน้ำจำนวนมากเกาะกลุ่มรวมกัน ลอยอยู่สูงจากพื้นดินมาก เรียกว่า เมฆ แต่ ละอองน้ำที่เกาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้พื้นดิน เรียกว่า หมอก ส่วนไอน้ำที่ควบแน่นเป็น ละอองน้ำเกาะอยู่บนพื้นผิววัตถุใกล้พื้นดิน เรียกว่า น้ำค้าง ถ้าอุณหภูมิใกล้พืน้ ดินต่ำกวา่ จดุ เยอื กแข็งนำ้ ค้างก็จะกลายเปน็ นำ้ คา้ งแข็ง • ฝน หิมะ ลูกเห็บ เป็นหยาดน้ำฟ้าซึ่งเป็นน้ำ ที่มีสถานะต่าง ๆ ที่ตกจากฟ้าถึงพื้นดิน ฝน เกิดจากละอองน้ำในเมฆที่รวมตัวกันจน อากาศไม่สามารถพยุงไว้ได้จึงตกลงมา หิมะ เกิดจากไอน้ำในอากาศระเหิดกลับเป็นผลึก น้ำแข็งรวมตัวกันจนมีน้ำหนักมากขึ้นจนเกิน กว่าอากาศจะพยุงไว้จึงตกลงมา ลูกเห็บเกิด จากหยดน้ำที่เปลี่ยนสถานะเป็นน้ำแข็งแล้ว ถูกพายุพัดวนซ้ำไปซ้ำมาในเมฆฝนฟ้าคะนอง ที่มีขนาดใหญ่และอยู่ในระดับสูงจนเป็นก้อน นำ้ แข็งขนาดใหญ่ขึน้ แลว้ ตกลงมา ๘ ดวงดาวบน ว ๓.๑ ป.๕/๑, • ดาวท่มี องเหน็ บนท้องฟา้ อยู่ในอวกาศซ่ึงเป็น ๑๑ ๗ ทอ้ งฟ้า ป.๕/๒ บริเวณทอ่ี ยู่นอกบรรยากาศของโลก มีท้ังดาว ฤก ษ์และ ดาว เค ร าะ ห์ ดาว ฤก ษ์ เ ป็ น แหล่งกำเนิดแสงจึงสามารถมองเห็นได้ ส่วน ดาวเคราะห์ไม่ใชแ่ หลง่ กำเนดิ แสง แต่สามารถ มองเห็นได้เนื่องจากแสงจากดวงอาทิตย์ตก กระทบดาวเคราะห์แลว้ สะท้อนเขา้ สู่ตา

๑๐๘ หนว่ ย ช่ือหน่วยการ มาตรฐานการ สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั / ท่ี เรียนรู้ เรยี นรู้/ตัวชว้ี ัด (ชว่ั โมง) คะแนน ๘ • การมองเหน็ กลุ่มดาวฤกษม์ ีรูปร่างต่างๆ เกิด (ต่อ) จากจินตนาการของผู้สังเกตกลุ่มดาวฤกษ์ ต่างๆที่ปรากฏในท้องฟ้าแต่ละกลุ่มมดี าวฤกษ์ แต่ละดวงเรียงกันที่ตำแหน่งคงที่ และมี เส้นทางการขึ้นและตกตามเส้นทางเดิมทุกคืน ซ่งึ จะปรากฏตำแหน่งเดิม การสังเกตตำแหน่ง และการขนึ้ และตกของดาวฤกษ์ และกลุ่มดาว ฤกษ์ สามารถทำได้โดยใช้แผนที่ดาว ซึ่งระบุ มุมทิศและมุมเงยที่กลุ่มดาวนั้นปรากฏ ผู้สังเกตสามารถใช้มือในการประมาณค่าของ มุมเงยเมอื่ สงั เกตดาวในท้องฟ้า ๙ วทิ ยาการ ว ๔.๒ ป.๕/๔, • การรวบรวมข้อมูล ประมวลผล สร้าง ๒๐ ๑๐ คำนวณ ๒ ป.๕/๕ ทางเลือก ประเมินผล จะทำให้ได้สารสนเทศ เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาหรือการตัดสินใจได้ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ • การใช้ซอฟต์แวร์หรือบริการบนอินเทอร์เนต็ ท่หี ลากหลายในการรวบรวม ประมวลผลสร้าง ทางเลือก ประเมินผล นำเสนอ จะช่วยให้การ แก้ปัญหาทำได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และ แม่นยำ • ตัวอย่างปัญหา เช่น ถ่ายภาพ และสำรวจ แผนที่ ในท้องถิ่นเพื่อนำเสนอแนวทางในการ จัดการพื้นที่ว่างให้เกิดประโยชน์ ทำแบบ สำรวจความคิดเห็นออนไลน์ และวิเคราะห์ ข้อมูล นำเสนอข้อมูลโดยการใช้ blog หรือ web page • อนั ตรายจากการใชง้ านและอาชญากรรมทาง อินเทอร์เนต็ • มารยาทในการติดต่อสื่อสารผ่าน อินเทอร์เน็ต (บรู ณาการกบั วชิ าทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง) สอบปลายภาคเรยี นท่ี ๒ 1 ๑๕ รวม ๖0 50

๑๐๙ โครงสรา้ งหนว่ ยการเรียนรู้ รายวชิ าพื้นฐาน วทิ ยาศาสตร์ ๔ รหัสวิชา ว ๑๕๑๐๑ ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๕ ภาคเรยี นท่ี ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖5 เวลา ๖๐ ชั่วโมง หน่วย หนว่ ยการ แผนการจัดการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้/ เวลา นำ้ หนัก คะแนน ท่ี เรยี นรู้ ตวั ชี้วัด (ชั่วโมง) ๗ ๑ ชีวติ กบั ๑. โครงสรา้ งและลักษณะของสิ่งมีชีวติ ว ๑.๑ ป.5/1 ๒ ๑ ๕ สง่ิ แวดลอ้ ม ๒. ความสมั พันธ์ระหว่างสง่ิ มีชวี ิตกบั สิง่ มชี ีวติ ว ๑.๑ ป.5/๒ ๘ ๓. โซ่อาหาร ว ๑.๑ ป.5/๓ ๒ ๕ ๔. สายใยอาหาร ว ๑.๑ ป.5/๓ ๒ ๕. การมีสว่ นร่วมในการดูแลรกั ษา ว ๑.๑ ป.5/๔ ๑ ส่งิ แวดล้อม ๒ การดำรงพันธ์ุ ๑. สำรวจลกั ษณะทางพันธกุ รรมของพืช ว ๑.๓ ป.5/1 ๒ ของสิ่งมีชวี ิต ๒. สำรวจลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของสัตว์ ว ๑.๓ ป.5/1 ๒ ๓. สำรวจลักษณะทางพนั ธุกรรมของมนษุ ย์ ว ๑.๓ ป.5/1 ๒ ๔. แมแ่ ละลกู ว ๑.๓ ป.5/1 ๑ ๔. ลกั ษณะทค่ี ล้ายคลึงกนั ของตนเองกับพ่อ ว ๑.๓ ป.5/๒ ๒ แม่ ๓ การ ๑. การเปลย่ี นสถานะของสสาร ว 2.๑ ป.5/1 ๒ เปลยี่ นแปลง ๒. การหลอมเหลว การกลายเปน็ ไอ การ ว 2.๑ ป.5/1 ๒ ของสารใน แขง็ ตัว และการควบแน่น ว 2.๑ ป.5/๒, ป.5/๔ 2 ชีวติ ประจำวนั ๓. การละลายของสารในนำ้ ๔. การเปลี่ยนแปลงทางเคมี ว 2.๑ ป.5/3, ป.5/๔ ๒ ๕. การเปลยี่ นแปลงท่ผี ันกลบั ได้และผนั กลบั ไม่ได้ ว 2.๑ ป.5/4 ๒ ของสาร ๔ เสยี งและการ ๑. การไดย้ ินเสยี งผา่ นตวั กลาง ว 2.๓ ป.5/1 ๒ ไดย้ ิน ๒. เสยี งสงู เสยี งต่ำ ว 2.๓ ป.5/๒ ๒ ๓. เสียงดงั เสยี งค่อย ว 2.๓ ป.5/๓ ๒ ๔. การไดย้ ินเสยี ง ว 2.๓ ป.5/๔, ป.5/๕ ๒ ๕. สำรวจเสียงในสง่ิ แวดล้อม ว 2.๓ ป.5/๔, ป.5/๕ ๒ ๖. อนั ตรายจากเสยี งดงั ว 2.๓ ป.5/๔, ป.5/๕ ๒

๑๑๐ หน่วย หน่วยการ แผนการจดั การเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นร/ู้ เวลา น้ำหนกั ท่ี เรยี นรู้ ตวั ชี้วัด (ชั่วโมง) คะแนน ๕ การใช้เหตุผล 1. การแก้ปัญหา ว 4.2 ป.5/1 1 ๑0 แก้ปัญหา 2. การพิจารณาปัญหาและการวางแผน ว 4.2 ป.5/1 1 แกป้ ัญหา 3. วธิ ีการแกป้ ัญหา ว 4.2 ป.5/1 1 4. เกมการแก้ปญั หา ว 4.2 ป.5/1 1 5. การแกป้ ญั หากับคอมพวิ เตอร์ ว 4.2 ป.5/1 1 การเขยี น 1. การทำงานของคอมพิวเตอร์ ว 4.2 ป.5/2 1 โปรแกรม 2. การออกแบบอลั กอรทิ ึม ว 4.2 ป.5/2 1 เบ้อื งต้น 3. การเขยี นโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ ว 4.2 ป.5/2 1 4. การตรวจสอบข้อผดิ พลาดของโปรแกรม ว 4.2 ป.5/2 1 5. การเขยี นโปรแกรมด้วย Scratch ว 4.2 ป.5/2 1 6. การเขียนโปรแกรมควบคุมการเคลื่อนที่ของ ว 4.2 ป.5/2 1 ตวั ละคร 7. การเขียนโปรแกรมใหต้ วั ละครเคลอ่ื นที่ ว 4.2 ป.5/2 1 เหมอื นจริง 8. การแตง่ เติมภาพเคลอ่ื นไหว ว 4.2 ป.5/2 1 9. ตวั แปรและการเขยี นโปรแกรมการสรา้ ง ว 4.2 ป.5/2 1 เครอ่ื งคดิ เลขอยา่ งง่าย (การบวก) 10. การเขียนโปรแกรมการสร้างเครอื่ งคิดเลข ว 4.2 ป.5/2 1 อยา่ งง่าย (การลบ) 11. การเขียนโปรแกรมการสร้างเครื่องคิดเลข ว 4.2 ป.5/2 1 อย่างงา่ ย (การคณู ) 12. การเขยี นโปรแกรมการสร้างเครือ่ งคิดเลข ว 4.2 ป.5/2 1 อย่างง่าย (การหาร) 13. การเขียนโปรแกรม Scratch ในการสร้าง ว 4.2 ป.5/2 1 รปู เรขาคณิต 14. การเขยี นโปรแกรมตรวจสอบเลขคู่และ ว 4.2 ป.5/2 1 เลขค่ี 15. การเขยี นโปรแกรมคำนวณความสมส่วน ว 4.2 ป.5/2 1 ของรา่ งกาย สอบปลายภาคเรียนที่ ๑ ๑ ๑๕ รวม ๖๐ ๕๐

๑๑๑ โครงสร้างหน่วยการเรยี นรู้ รายวชิ าพื้นฐาน วทิ ยาศาสตร์ ๔ รหัสวิชา ว ๑๕๑๐๑ ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ ๕ ภาคเรยี นที่ ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖5 เวลา ๖๐ ช่ัวโมง หนว่ ย หน่วยการ แผนการจัดการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นร/ู้ เวลา นำ้ หนกั ตวั ชี้วัด (ชั่วโมง) คะแนน ท่ี เรยี นรู้ 1๐ ๖ แรงใน ๑. แรงและแรงลัพธ์ ว ๒.๒ ป.5/1, ป.5/๒ ๒ ๘ ชวี ติ ประจำวนั ๒. การรวมแรงทีก่ ระทำตอ่ วัตถุ ว ๒.๒ ป.5/1, ป.5/๒, ๒ ป.5/๓ ๗ ๓. ผลรวมของแรงเมอื่ วตั ถุหยุดนิง่ ว ๒.๒ ป.5/1, ป.5/๒, ๒ ป.5/๓ ๔. พน้ื ผวิ ของวตั ถุกับการเคลอ่ื นที่ ว ๒.๒ ป.5/๔, ป.5/5 ๒ ๕. การลดและเพิม่ แรงเสยี ดทาน ว ๒.๒ ป.5/๔ ๒ ๖. ประโยชน์ของแรงเสียดทาน ว ๒.๒ ป.5/๔, ป.5/5 ๒ ๗ แหลง่ น้ำและลม ๑. ปรมิ าณน้ำในแหล่งต่างๆ ว 3.2 ป.5/1 ๒ ฟ้าอากาศ ๒. แหล่งน้ำในท้องถน่ิ และการใชป้ ระโยชน์ ว 3.2 ป.5/1 ๒ ๓. การใช้นำ้ ในชีวิตประจำวนั ว 3.2 ป.5/๒ ๒ ๔. การอนรุ ักษ์นำ้ ว 3.2 ป.5/๒ ๒ ๕. วัฏจกั รของนำ้ ว 3.2 ป.5/๓ ๒ ๖. การเกดิ เมฆ หมอก นำ้ ค้าง และน้ำคา้ ง แข็ง ว 3.2 ป.5/๔ ๒ ๗. สงั เกตเมฆบนท้องฟา้ ว 3.2 ป.5/๔ ๒ ว 3.2 ป.5/๕ ๒ ๘. การเกิดฝน หมิ ะ และลกู เหบ็ ว 3.1 ป.5/1 ๑ ว 3.1 ป.5/1 ๒ ๘ ดวงดาวบน ๑. ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ ว 3.1 ป.5/2 ๒ ท้องฟา้ ๒. จัดกล่มุ ดาวบนท้องฟา้ ว 3.1 ป.5/2 ๒ ๓. การขนึ้ และตกของดวงอาทติ ย์ ดวงจันทร์ ว 3.1 ป.5/2 ๒ และดาว ว 2.3 ป.5/2 ๒ ๔. สร้างแบบจำลองกลมุ่ ดาว ๕. การใช้แผนที่ดาว ๖. ดูดาว

๑๑๒ หน่วย หน่วยการ แผนการจัดการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้/ เวลา น้ำหนกั ท่ี เรยี นรู้ ตัวชี้วัด (ชัว่ โมง) คะแนน ๙ การออกแบบ 1. วิธีการแกป้ ญั หา ว 4.2 ป.6/1 1 ๑๐ วิธีการแกป้ ัญหา 2. กระบวนการทำงานแบบวนซ้ำ ว 4.2 ป.6/1 1 ๑๕ ๕๐ 3. แกป้ ัญหากบั เกมทายตัวเลข ว 4.2 ป.6/1 1 4. การแก้ปัญหาในชวี ติ ประจำวัน ว 4.2 ป.6/1 1 การเขียน 1. การทำงานของคอมพิวเตอร์ ว 4.2 ป.6/2 1 โปรแกรมเพอื่ 2. การเขียนอัลกอริทึมเพือ่ ส่งั งาน ว 4.2 ป.6/2 1 แก้ปญั หา คอมพวิ เตอร์ 3. การเขยี นโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ ว 4.2 ป.6/2 1 ว 4.2 ป.6/2 1 4. การเขยี นโปรแกรมแบบมีเงอ่ื นไข ว 4.2 ป.6/2 1 ว 4.2 ป.6/2 1 5. การตรวจสอบขอ้ ผิดพลาดของโปรแกรม ว 4.2 ป.6/2 1 ว 4.2 ป.6/2 1 6. การฝกึ หาขอ้ ผิดพลาดของโปรแกรม ว 4.2 ป.6/2 1 7. การเขยี นโปรแกรมดว้ ย Scratch 8. ตวั แปรและตวั ดำเนนิ การทางคณิตศาสตร์ 9. การเขียนโปรแกรมคำนวณพื้นท่รี ูป สามเหลี่ยม 10. การเขยี นโปรแกรมนบั เลข 1 ถงึ 10 ว 4.2 ป.6/2 1 ว 4.2 ป.6/2 1 11. การเขยี นโปรแกรมหาผลรวมตวั เลข ว 4.2 ป.6/2 1 12. การเขยี นโปรแกรมหาตวั คูณรว่ มน้อย (ค.ร.น.) 13. การเขยี นโปรแกรมตวั ละครเปลย่ี น ว 4.2 ป.6/2 1 ทา่ ทาง 14. การเขยี นโปรแกรมเคลอื่ นที่แบบมี ว 4.2 ป.6/2 1 เงื่อนไข 15. การพัฒนาโปรแกรม ว 4.2 ป.6/2 1 ว 4.2 ป.6/2 1 16. การพฒั นาโปรแกรมฝึกพิมพ์ ๑ ๖๐ สอบปลายภาคเรยี นท่ี ๑ รวม

๑๑๓ คำอธิบายรายวิชาพนื้ ฐาน ว 1๖101 รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ๖ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ ๖ ปีการศึกษา ๒๕๖5 เวลา ๑๒๐ ชั่วโมง ศึกษาการเรยี นรูเ้ กย่ี วกับสารอาหาร แนวทางในการเลอื กรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วน ในสดั สว่ นท่เี หมาะสมกับเพศและวยั และปลอดภยั ตอ่ สุขภาพ ระบบยอ่ ยอาหารและหน้าท่ีของอวัยวะในระบบ ย่อยอาหาร รวมทงั้ การย่อยอาหารการดูดซึมสารอาหาร แนวทางในการดแู ลรักษาอวัยวะในระบบย่อยอาหาร ให้ทำงานเป็นปกติ การแยกสารผสมโดยการหยิบออก การร่อน การใช้แม่เหล็กดึงดูด การรินออก การกรอง และการตกตะกอน แรงไฟฟ้าซึ่งเกิดจากวัตถุที่ผ่านการขัดถู ส่วนประกอบและบรรยายหน้าที่ของแต่ละ ส่วนประกอบวงจรไฟฟ้าอยา่ งง่ายการต่อวงจรไฟฟา้ อย่างง่าย การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน และการนำไปใช้ประโยชน์ การเกดิ เงามืดเงามวั ปรากฏการณส์ ุรยิ ุปราคา และจนั ทรุปราคา เทคโนโลยีอวกาศ กระบวนการเกิดหินอัคนี หินตะกอน และหินแปร และวัฏจักรหิน ลักษณะและสมบัติของหินและแร่ การใช้ ประโยชน์ของหนิ และแร่ การเกดิ ซากดกึ ดำบรรพ์และสภาพแวดล้อม ในอดีตของซากดึกดำบรรพ์ การเกิดลม บก ลมทะเล และมรสุม ผลของมรสุมต่อการเกิดฤดขู องประเทศไทย ลักษณะและผลกระทบของน้ำท่วม การ กัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม แผ่นดินไหว สึนามิ การเกิดและผลกระทบ ของปรากฏการณ์เรือนกระจก และการ ปฎบิ ัติตนให้ปลอดภยั จากธรณีพิบตั ใิ นพืน้ ท่ีกรุงเทพมหานคร ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการอธิบายและออกแบบวิธีการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตประจำวันออกแบบและ เขียนโปรแกรมอย่างง่ายและตรวจหาข้อผิดพลาดของโปรแกรม ใช้อินเทอร์เน็ตในการค้นหาข้อมูลอย่างมี ประสิทธิภาพ และใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศทำงานรว่ มกันอย่างปลอดภัย เข้าใจสิทธแิ ละหน้าท่ีของตน เคารพ ในสิทธิของผู้อน่ื แจ้งผู้เก่ยี วข้องเมอ่ื พบข้อมูลหรอื บุคคลทไ่ี มเ่ หมาะสม โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการคิดวเิ คราะห์ และกระบวนการสร้างความรู้ความเข้าใจ รวมถึงการออกแบบ การเขยี นโปรแกรมและ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการทำงานรว่ มกนั เพื่อให้นักเรียนเห็นคุณค่าของการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่าง สร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นของตนเอง และยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น มีจิตวิทยาศาสตร์จริยธรรม คณุ ธรรมและคา่ นิยมท่ีประสงค์ ตัวช้วี ดั ว ๑.๒ ป.๖/๑, ป.๖/๒, ป.๖/๓, ป.๖/๔, ป.๖/๕ ว ๒.๑ ป.๖/๑ ว ๒.๒ ป.๖/๑ ว ๒.๓ ป.๖/๑, ป.๖/๒, ป.๖/๓, ป.๖/๔, ป.๖/๕, ป.๖/๖, ป.๖/๗, ป.๖/๘ ว ๓.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒ ว ๓.๒ ป.๖/๑, ป.๖/๒, ป.๖/๓, ป.๖/๔, ป.๖/๕, ป.๖/๖, ป.๖/๗, ป.๖/๘, ป.๖/๙ ว ๔.๒ ป.๖/๑, ป.๖/๒, ป.๖/๓, ป.๖/๔ รวม ๗ มาตรฐาน ๓๐ ตวั ช้วี ัด

๑๑๔ โครงสรา้ งรายวิชากลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาพน้ื ฐาน วิทยาศาสตร์ ๖ รหัสวชิ า ว ๑๖๑๐๑ ช้นั ประถมศึกษาปีที่ ๖ ภาคเรยี นที่ ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖5 เวลา ๖๐ ชวั่ โมง สัดส่วนคะแนน / ภาคเรยี น 35 : 15 หนว่ ย ชือ่ หน่วยการ มาตรฐานการ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั / ท่ี เรยี นรู้ เรียนรู้/ตัวช้ีวัด (ช่ัวโมง) คะแนน ๑ อาหารและ ว ๑.๒ ป.๖/๑, • สารอาหารที่อยู่ในอาหารมี ๖ ประเภท ๑๓ ๑๐ การยอ่ ย ป.๖/๒, ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตนี ไขมัน เกลอื แร่ อาหาร ป.๖/๓, ป.๖/๔ วติ ามนิ และนำ้ ป.๖/๕ • อาหารแต่ละชนิดประกอบดว้ ยสารอาหาร ที่แตกต่างกัน อาหารบางอย่างประกอบด้วย สารอาหารประเภทเดียว อาหารบางอย่าง ป ร ะ ก อ บ ด ้ ว ย ส า ร อ า ห า ร ม า ก ก ว ่ า ห น่ึ ง ประเภท • สารอาหารแตล่ ะประเภทมีประโยชนต์ อ่ ร่างกายแตกต่างกัน โดยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เป็นสารอาหารที่ให้ พลังงานแก่ร่างกาย ส่วนเกลือแร่ วิตามิน และน้ำ เป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงานแก่ รา่ งกาย แตช่ ่วยใหร้ ่างกายทำงานได้เปน็ ปกติ • การรับประทานอาหาร เพื่อให้ร่างกาย เจริญ เติบโต มีการเปล่ยี นแปลงของร่างกาย ตามเพศและวัย และมีสุขภาพดี จำเป็นต้อง รับประทานให้ได้พลังงานเพียงพอกับความ ต้องการของร่างกาย และให้ได้สารอาหาร ครบถ้วน ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศและ วยั รวมทั้งต้องคำนึงถงึ ชนิดและปริมาณของ วัตถุเจือปนในอาหารเพื่อความปลอดภัยต่อ สขุ ภาพ • ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตับ และตับ อ่อน ซึ่งทำหน้าที่ร่วมกันในการย่อยและดดู ซมึ สารอาหาร • อวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหารมี ความสำคัญ จึงควรปฏิบัติตน ดูแลรักษา อวัยวะใหท้ ำงานเปน็ ปกติ

๑๑๕ หนว่ ย ชือ่ หน่วยการ มาตรฐานการ สาระสำคญั เวลา น้ำหนัก/ ท่ี เรียนรู้ เรียนรู้/ตวั ชว้ี ัด ๒ การแยกสาร ว ๒.๑ ป.๖/๑ (ช่ัวโมง) คะแนน เนื้อผสม ว ๓.๒ ป.๖/๑, • สารผสมประกอบดว้ ยสารต้ังแต่ ๒ ชนดิ ขึน้ ๑๗ ๘ ๓ หินและซาก ป.๖/๒, ป.๖/๓ ดกึ ดำบรรพ์ ไปผสมกัน เช่น น้ำมันผสมน้ำ ข้าวสารปน กรวดทราย วิธีการที่เหมาะสมในการแยก สารผสมขึ้นอยู่กับลักษณะและสมบัติของ สารที่ผสมกัน ถ้าองค์ประกอบของสารผสม เปน็ ของแขง็ กบั ของแขง็ ท่มี ีขนาดแตกตา่ งกัน อยา่ งชัดเจน อาจใชว้ ิธีการหยิบออกหรือการ ร่อนผ่านวัสดุที่มีรู ถ้ามีสารใดสารหนึ่งเป็น สารแม่เหล็กอาจใช้วิธีการใช้แม่เหล็กดึงดูด ถ้าองค์ประกอบเป็นของแข็งที่ไม่ละลายใน ของเหลว อาจใช้วิธีการรินออก การกรอง หรือการตกตะกอน ซึ่งวิธีการแยกสาร สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ได้ • หินเป็นวัสดุแข็งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ๙ ๗ ประกอบด้วย แร่ตั้งแต่หนึ่งชนิดขึ้นไป สามารถจำแนกหินตามกระบวนการเกิดได้ เป็น ๓ ประเภท ได้แก่ หินอัคนี หินตะกอน และหินแปร • หนิ อัคนีเกิดจากการเยน็ ตัวของแมกมา เน้อื หินมีลักษณะเป็นผลึก ทั้งผลึกขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก บางชนดิ อาจเป็นเนื้อแกว้ หรือ มรี พู รุน • หินตะกอน เกิดจากการทับถมของตะกอน เมื่อถูกแรงกดทับและมีสารเชื่อมประสานจงึ เกดิ เป็นหิน เน้ือหินกล่มุ นส้ี ่วนใหญ่มลี ักษณะ เป็นเม็ดตะกอนมีทั้งเนื้อหยาบและเนื้อ ละเอยี ด บางชนิดเป็นเน้ือผลกึ ทย่ี ดึ เกาะกนั เกิดจากการตกผลึกหรือตกตะกอนจากน้ำ โดยเฉพาะน้ำทะเล บางชนิดมีลักษณะเป็น ชน้ั ๆ จึงเรียกอีกชอ่ื ว่า หินช้ัน

๑๑๖ หน่วย ช่อื หนว่ ยการ มาตรฐานการ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนัก/ ท่ี เรยี นรู้ เรยี นรู้/ตวั ชี้วัด (ชัว่ โมง) คะแนน • หินแปร เกิดจากการแปรสภาพของหินเดิม ซึ่งอาจเป็นหินอคั นี หินตะกอน หรือหินแปร โดยการกระทำของความรอ้ น ความดนั และ ปฏิกิริยาเคมี เนื้อหินของหินแปรบางชนิด ผลึกของแร่เรียงตัวขนานกันเป็นแถบ บาง ชนิดแซะออกเป็นแผ่นได้ บางชนิดเป็นเน้ือ ผลึกทม่ี คี วามแขง็ มาก • หินในธรรมชาติทั้ง ๓ ประเภท มีการ เปลี่ยนแปลงจากประเภทหนึ่งไปเป็นอีก ประเภทหนึ่ง หรือประเภทเดิมได้ โดยมีการ เปลีย่ นแปลงคงที่และตอ่ เนือ่ งเป็นวฏั จกั ร • หนิ และแร่แตล่ ะชนดิ มีลกั ษณะและสมบัติ แตกต่างกัน มนุษย์ใช้ประโยชน์จากแร่ใน ชีวิตประจำวันในลักษณะต่าง ๆ เช่น นำแร่ มาทำเครื่องสำอาง ยาสีฟัน เครื่องประดับ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และนำหินมาใช้ใน งานก่อสรา้ งต่าง ๆ เป็นต้น • ซากดกึ ดำบรรพ์เกิดจากการทบั ถมหรอื การ ประทับรอยของสิ่งมีชีวิตในอดีต จนเกิดเปน็ โครงสรา้ งของซากหรอื รอ่ งรอยของส่งิ มชี ีวติ ท่ีปรากฏอยใู่ นหนิ ในประเทศไทยพบซากดึก ดำบรรพ์ที่หลากหลาย เช่น พืช ปะการัง หอย ปลา เตา่ ไดโนเสาร์ และรอยตีนสตั ว์ • ซากดึกดำบรรพ์สามารถใช้เป็นหลักฐาน หนึง่ ท่ชี ว่ ยอธบิ ายสภาพแวดล้อมของพื้นท่ีใน อดีตขณะเกิดสิ่งมีชีวิตนั้น เช่น หากพบซาก ดึกดำบรรพ์ ของหอยน้ำจืด สภาพแวดล้อม บริเวณนั้นอาจเคยเป็นแหล่งน้ำจืดมาก่อน และหากพบซากดึกดำบร รพ์ของ พืช สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นอาจเคยเป็นป่ามา ก่อน นอกจากน้ีซากดึกดำบรรพ์ ยังสามารถ ใช้ระบุอายุของหินและเป็นข้อมูล ใน การศกึ ษาวิวฒั นาการของสง่ิ มชี ีวติ

๑๑๗ หนว่ ย ชอื่ หน่วยการ มาตรฐานการ สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั / ท่ี เรยี นรู้ เรียนรู้/ตัวชี้วัด (ช่ัวโมง) คะแนน ๔ วทิ ยาการ ว ๔.๒ ป.๖/๑, • การแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนจะช่วยให้ ๒๐ ๑๐ คำนวณ ๑ ป.๖/๒ แกป้ ญั หาได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ • การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนำ กฎเกณฑ์ หรือเงื่อนไขที่ครอบคลุมทุกกรณี มาใชพ้ จิ ารณาในการแกป้ ญั หา • แนวคิดของการทำงานแบบวนซ้ำ และ เง่อื นไข • การพิจารณากระบวนการทำงานที่มีการ ทำงานแบบวนซำ้ หรอื เงอื่ นไขเปน็ วธิ กี ารทีจ่ ะ ช่วยให้การออกแบบวิธีการแก้ปัญหาเป็นไป อย่างมปี ระสิทธิภาพ • ตัวอย่างปัญหา เช่น การค้นหาเลขหน้าท่ี ต้องการให้เร็วที่สุด การทายเลข ๑- ๑,๐๐๐,๐๐๐ โดยตอบให้ถูกภายใน ๒๐ คำถาม การคำนวณเวลาในการเดนิ ทาง โดย คำนงึ ถงึ ระยะทาง เวลาจุดหยดุ พกั • การออกแบบโปรแกรมสามารถทำได้โดย เขียน เป็นข้อความหรือผังงาน• การ ออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มีการใช้ตัว แปร การวนซำ้ การตรวจสอบเงอ่ื นไข • หากมีข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบการทำงาน ทีละคำสั่ง เมื่อพบจุดที่ทำให้ผลลัพธ์ไม่ ถูกตอ้ งใหท้ ำการแก้ไขจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ท่ี ถูกต้อง • การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรม ของผู้อื่นจะช่วยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุ ของปัญหาได้ดียงิ่ ขึ้น • ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมเกม โปรแกรมหาค่า ค.ร.น. เกมฝึกพมิ พ์ • ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo สอบปลายภาคเรียนท่ี ๑ 1 ๑๕ รวม ๖0 50

๑๑๘ โครงสรา้ งรายวิชากลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชาพนื้ ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ๖ รหสั วิชา ว ๑๖๑๐๑ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๖ ภาคเรยี นที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖5 เวลา ๖๐ ชัว่ โมง สัดส่วนคะแนน / ภาคเรยี น 35 : 15 หนว่ ย ช่ือหน่วยการ มาตรฐานการ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนัก/ ท่ี เรียนรู้ เรยี นรู้/ตัวช้วี ัด (ชัว่ โมง) คะแนน ๕ แรงไฟฟา้ และ ว ๒.๒ ป.๖/๑, • วตั ถุ ๒ ชนดิ ท่ผี า่ นการขดั ถูแล้ว เมื่อนำเข้า ๑๒ ๑๒ พลงั งาน ใกลก้ นั อาจดึงดูดหรือผลักกัน แรงทเ่ี กิดข้ึนนี้ ไฟฟา้ เป็นแรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นแรงไม่สัมผัส เกิดขึ้น ระหว่างวตั ถุทม่ี ีประจุไฟฟ้า ซึง่ ประจุไฟฟ้ามี ๒ ชนิด คือ ประจไุ ฟฟา้ บวกและประจุไฟฟ้า ลบ วัตถุที่มีประจไุ ฟฟ้าชนิดเดียวกันผลักกัน ชนดิ ตรงข้ามกนั ดึงดูดกนั ว ๒.๓ ป.๖/๑, • วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยแหล่ง ป.๖/๒, ป.๖/๓, กำเนิดไฟฟ้า สายไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้า ป.๖/๔, ป.๖/๕, หรืออุปกรณ์ไฟฟ้า แหล่งกำเนิดไฟฟ้า เช่น ป.๖/๖ ถ่านไฟฉาย หรือแบตเตอรี่ ทำหน้าที่ให้ พลงั งานไฟฟ้า สายไฟฟ้าเป็นตวั นำไฟฟ้า ทำ หน้าที่เชื่อมต่อระหว่างแหล่งกำเนิดไฟฟ้า และเครื่องใชไ้ ฟฟ้าเข้าดว้ ยกนั เครือ่ งใช้ไฟฟ้า มีหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงาน อื่น • เมื่อนำเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มาต่อเรียง กันโดยให้ขั้วบวกของเซลล์ไฟฟ้าเซลล์หน่ึง ต่อกับขั้วลบของอีกเซลล์หนึ่งเป็นการต่อ แบบอนุกรมทำให้มีพลังงานไฟฟ้าเหมาะสม กบั เครือ่ งใช้ไฟฟา้ ซึง่ การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบ อนุกรมสามารถนำไปใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจำวัน เช่น การต่อเซลล์ไฟฟ้าในไฟ ฉาย • การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รมเม่อื ถอด หลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่งออกทำให้หลอด ไฟฟ้าที่เหลือดับทั้งหมด ส่วนการต่อหลอด ไฟฟ้าแบบขนาน เมอ่ื ถอดหลอดไฟฟ้าดวงใด ดวงหนึ่งออก หลอดไฟฟ้าที่เหลือก็ยังสว่าง ได้ การต่อหลอดไฟฟ้าแต่ละแบบสามารถ นำไปใชป้ ระโยชน์ได้ เชน่ การตอ่ หลอด

๑๑๙ หน่วย ชอื่ หนว่ ยการ มาตรฐานการ สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั / ท่ี เรยี นรู้ เรยี นรู้/ตัวชว้ี ัด ๕ (ชัว่ โมง) คะแนน (ต่อ) ว.๓.๒ ป.๖/๔, ป.๖/๕, ป.๖/๖, ไฟฟา้ หลายดวงในบา้ นจงึ ต้องต่อหลอดไฟฟ้า ๖ ปรากฏการณ์ ป/๖/๗,ป.๖/๘, ของโลก แบบขนาน เพื่อเลือกใช้หลอดไฟฟ้าดวงใด และภยั ป.๖/๙ ธรรมชาติ ดวงหนึ่งได้ตามต้องการ • ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกดิ จากพนื้ ดนิ ๑๗ ๘ และพื้นน้ำ ร้อนและเย็นไม่เท่ากันทำให้ อุณหภูมิอากาศเหนือพื้นดินและพื้นน้ำ แตกต่างกัน จึงเกิด การเคลื่อนทีข่ องอากาศ จากบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ ไปยังบริเวณที่มี อณุ หภูมสิ งู • ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจำถิ่นที่พบ บริเวณชายฝั่ง โดยลมบกเกิดในเวลา กลางคืนทำให้มีลมพัดจากชายฝั่งไปสู่ทะเล ส่วนลมทะเลเกิดในเวลากลางวัน ทำให้มีลม พัดจากทะเลเข้าส่ชู ายฝั่ง • มรสมุ เป็นลมประจำฤดูเกิดบริเวณเขตร้อน ของโลก ซึ่งเป็นบริเวณกว้างระดับภูมิภาค ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ไ ด ้ ร ั บ ผ ล จ า ก ม ร สุ ม ตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงประมาณ กลางเดือนตุลาคมจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ทำ ให้เกิดฤดูหนาว และได้รับผลจากมรสุม ตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงประมาณกลางเดือน พฤษภาคมจนถงึ กลางเดอื นตุลาคมทำให้เกิด ฤดูฝน ส่วนช่วงประมาณกลางเดือน กุมภาพันธ์จนถึงกลางเดือนพฤษภาคมเป็น ช่วงเปลี่ยนมรสุมและประเทศไทยอยู่ใกล้ เสน้ ศนู ย์สูตร แสงอาทิตย์เกือบตัง้ ตรงและตั้ง ตรงประเทศไทยในเวลาเที่ยงวนั ทำให้ได้รับ ความรอ้ นจากดวงอาทิตยอ์ ย่างเต็มท่ี อากาศ จงึ ร้อนอบอ้าวทำให้เกิดฤดรู อ้ น • น้ำท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม แผ่นดินไหว และสึนามิ มีผลกระทบต่อชีวิต และสิ่งแวดล้อมแตกต่างกนั • มนุษย์ควรเรียนรูว้ ิธีปฏบิ ัติตนให้ปลอดภยั เช่น ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ เตรียม ถุงยังชีพ ให้พร้อมใช้ตลอดเวลา และปฏิบัติ ตามคำสัง่ ของผูป้ กครองและเจา้ หนา้ ท่อี ย่าง

๑๒๐ หนว่ ย ชือ่ หน่วยการ มาตรฐานการ สาระสำคญั เวลา นำ้ หนัก/ ท่ี เรยี นรู้ เรียนรู้/ตวั ช้วี ัด (ชัว่ โมง) คะแนน ๖ เครง่ ครัดเมือ่ เกดิ ภัยธรรมชาติและธรณีพิบัติ (ต่อ) ภัย • ปรากฏการณ์เรือนกระจกเกิดจากแก๊ส เรือนกระจกในช้นั บรรยากาศของโลกกักเก็บ ความร้อนแล้ว คายความรอ้ นบางส่วนกลับสู่ ผิวโลก ทำให้อากาศ บนโลกมีอุณหภูมิ เหมาะสมต่อการดำรงชวี ิต • หากปรากฏการณ์เรือนกระจกรุนแรงมาก ขึ้นจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โ ล ก ม น ุ ษ ย ์ จ ึ ง ค ว ร ร ่ ว ม ก ั น ล ด ก ิ จ ก ร ร ม ที่ ก่อใหเ้ กิดแก๊สเรือนกระจก ๗ เงา อุปราคา ว ๒.๓ ป.๖/๗, • เมื่อนำวัตถุทึบแสงมากัน้ แสงจะเกดิ เงาบน ๑๐ ๕ และ ป.๖/๘ ฉาก รับแสงที่อยู่ด้านหลังวัตถุ โดยเงามี เทคโนโลยี รูปร่างคล้ายวัตถุที่ทำให้เกิดเงา เงามัวเป็น อวกาศ บรเิ วณที่มี ว ๓.๑ ป.๖/๑, แสงบางส่วนตกลงบนฉาก ส่วนเงามืดเป็น ป.๖/๒ บริเวณท่ีไมม่ แี สงตกลงบนฉากเลย • เมื่อโลกและดวงจันทร์ โคจรมาอยู่ในแนว เส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์ในระยะทาง ที่เหมาะสม ทำให้ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ เงาของดวงจันทร์ทอดมายังโลก ผู้สังเกตที่ อยู่บริเวณเงาจะมองเห็น ดวงอาทิตย์มืดไป เกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคา ซึ่งมีทั้ง สุริยุปราคาเต็มดวง สุริยุปราคาบางส่วน และสรุ ยิ ปุ ราคาวงแหวน • หากดวงจันทร์และโลกโคจรมาอยู่ในแนว เส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์ แล้วดวง จันทร์เคลื่อนที่ผ่านเงาของโลก จะมองเห็น ด ว ง จ ั น ท ร ์ ม ืด ไ ป เก ิ ด ป ร า ก ฏก าร ณ์ จันทรุปราคา ซึ่งมีทั้งจันทรุปราคาเต็มดวง และจนั ทรปุ ราคาบางส่วน • เทคโนโลยีอวกาศเริ่มจากความต้องการ ของมนุษย์ในการสำรวจวัตถุท้องฟ้าโดยใช้ ตาเปลา่ กล้องโทรทรรศน์ และได้พฒั นาไปสู่

๑๒๑ หนว่ ย ชื่อหน่วยการ มาตรฐานการ สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนกั / ท่ี เรียนรู้ เรียนรู้/ตัวชว้ี ัด (ช่วั โมง) คะแนน ๗ การขนส่ง เพื่อสำรวจอวกาศด้วยจรวดและ (ต่อ) ยานขนส่งอวกาศ และยังคงพัฒนาอย่าง ต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีอวกาศ บางประเภทมาประยุกต์ใช้ในชวี ติ ประจำวัน เช่น การใช้ดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร การ พยากรณ์อากาศ หรือการสำรวจ ทรพั ยากรธรรมชาติ การใชอ้ ปุ กรณ์วัดชีพจร และการเตน้ ของหวั ใจ หมวกนริ ภัย ชดุ กีฬา ๘ วิทยาการ ว ๔.๒ ป.๖/๓, • การค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการ ๒๐ ๑๐ คำนวณ ๒ ป.๖/๔ ค้นหาข้อมูลที่ได้ตรงตามความต้องการใน เวลาที่รวดเร็ว จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ หลายแหล่ง และข้อมลู มคี วามสอดคล้องกัน • การใช้เทคนิคการค้นหาขั้นสูง เช่น การใช้ ตัวดำเนินการ การระบุรูปแบบของข้อมูล หรือชนดิ ของไฟล์ • การจัดลำดับผลลัพธ์จากการค้นหาของ โปรแกรมค้นหา • การเรยี บเรียง สรุปสาระสำคัญ (บูรณาการ กบั วชิ าภาษาไทย) • อนั ตรายจากการใชง้ านและอาชญากรรม ทางอนิ เทอร์เน็ต แนวทางในการปอ้ งกัน • วิธกี ำหนดรหสั ผา่ น • การกำหนดสิทธิ์การใช้งาน (สิทธิ์ในการ เข้าถงึ ) • แนวทางการตรวจสอบและป้องกันมัลแวร์ • อันตรายจากการติดตั้งซอฟต์แวร์ที่อยู่บน อินเทอรเ์ น็ต สอบปลายภาคเรยี นท่ี ๒ 1 ๑๕ รวม ๖0 50

๑๒๒ โครงสร้างหนว่ ยการเรียนรู้ รายวิชาพน้ื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ๖ รหสั วิชา ว ๑๖๑๐๑ ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ ๖ ภาคเรียนที่ ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖5 เวลา ๖๐ ชั่วโมง หนว่ ย หนว่ ยการ แผนการจัดการเรียนรู้ มาตรฐานการเรยี นร/ู้ เวลา นำ้ หนกั คะแนน ท่ี เรยี นรู้ ตวั ช้วี ัด (ชั่วโมง) ๑๐ ๑ อาหารและการ ๑. ประเภทของสารอาหาร ว 1.2 ป.6/1 ๑ ๘ ย่อยอาหาร ๒. ประโยชนข์ องสารอาหารแต่ละประเภท ว 1.2 ป.6/1 ๒ ๗ ๓. การเลอื กรบั ประทานอาหารให้เหมาะสม ว 1.2 ป.6/2,ป.6/2 ๒ กับเพศและวยั ๔. การย่อยอาหาร ว 1.2 ป.6/4 ๒ ว 1.2 ป.6/4 ๑ ๕. อวัยวะในระบบย่อยอาหาร ว 1.2 ป.6/4 ๒ ว 1.2 ป.6/4 ๒ ๖.หนา้ ทขี่ องอวัยวะในระบบย่อยอาหาร ๗. การสรา้ งแบบจำลองหน้าที่ของอวยั วะใน ระบบย่อยอาหาร ๘. การดูแลรกั ษาอวัยวะในระบบยอ่ ยอาหาร ว 1.2 ป.6/5 ๑ ว 2.1 ป.6/1 ๑ ๒ การแยกสารเนื้อ ๑. สารเนือ้ ผสม ว 2.1 ป.6/1 ๑ ว 2.1 ป.6/1 ๒ ผสม ๒. ประเภทของการแยกสาร ว 2.1 ป.6/1 ๒ ว 2.1 ป.6/1 ๒ ๓. การหยิบออก ว 2.1 ป.6/1 ๒ ว 2.1 ป.6/1 ๒ ๔. การร่อน ว 2.1 ป.6/1 ๒ ว 2.1 ป.6/1 ๒ ๕. การกรอง ๖. การใช้แมเ่ หล็กดงึ ดดู ๗. การตกตะกอน ๘. การรนิ ออก ๙. เปรียบเทยี บวธิ กี ารแยกสารเน้ือผสมดว้ ย วิธตี า่ ง ๆ ๑๐. วิธกี ารแยกสารเพอ่ื นำไปใช้ประโยชนใ์ น ว 2.1 ป.6/1 ๑ ชวี ิตประจำวนั ๓ หนิ และซากดึก ๑. การเกิดหินแต่ละประเภท ว 3.2 ป.6/1 ๑ ดำบรรพ์ ๒. ประเภทและตวั อยา่ งของหนิ แต่ละ ว 3.2 ป.6/1 ๑ ประเภท ๓. กระบวนการเปลีย่ นแปลงของหินแต่ละ ว 3.2 ป.6/1 ๑ ประเภท ๔. การสร้างแบบจำลองวัฏจกั รของหนิ ว 3.2 ป.6/1 ๒ ว 3.2 ป.6/2 ๑ ๕. การใชป้ ระโยชน์ของหนิ

๑๒๓ หน่วย หน่วยการ แผนการจดั การเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นรู/้ เวลา น้ำหนกั คะแนน ท่ี เรยี นรู้ ตัวชว้ี ัด (ช่วั โมง) ๑๐ ๓ ๖. การใชป้ ระโยชนข์ องแร่ ว 3.2 ป.6/2 ๑ ๑๕ (ตอ่ ) ๗. การเกดิ ซากดึกดำบรรพ์ ว 3.2 ป.6/3 ๑ ๕๐ ๘. ประโยชน์ของซากดกึ ดำบรรพ์ ว 3.2 ป.6/๓ ๑ ๔ การออกแบบ 1. วิธกี ารแก้ปัญหา ว 4.2 ป.6/1 1 วธิ ีการแก้ปัญหา 2. กระบวนการทำงานแบบวนซำ้ ว 4.2 ป.6/1 1 3. แก้ปญั หากับเกมทายตัวเลข ว 4.2 ป.6/1 1 4. การแกป้ ัญหาในชวี ิตประจำวัน ว 4.2 ป.6/1 1 การเขยี น 1. การทำงานของคอมพวิ เตอร์ ว 4.2 ป.6/2 1 โปรแกรมเพ่อื 2. การเขียนอัลกอรทิ มึ เพ่อื ส่ังงาน ว 4.2 ป.6/2 1 แกป้ ัญหา คอมพวิ เตอร์ 3. การเขยี นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ว 4.2 ป.6/2 1 ว 4.2 ป.6/2 1 4. การเขยี นโปรแกรมแบบมเี งือ่ นไข ว 4.2 ป.6/2 1 ว 4.2 ป.6/2 1 5. การตรวจสอบข้อผดิ พลาดของโปรแกรม ว 4.2 ป.6/2 1 ว 4.2 ป.6/2 1 6. การฝกึ หาขอ้ ผิดพลาดของโปรแกรม ว 4.2 ป.6/2 1 7. การเขยี นโปรแกรมดว้ ย Scratch 8. ตวั แปรและตัวดำเนนิ การทางคณิตศาสตร์ 9. การเขียนโปรแกรมคำนวณพน้ื ท่ีรูป สามเหล่ียม 10. การเขยี นโปรแกรมนับเลข 1 ถึง 10 ว 4.2 ป.6/2 1 ว 4.2 ป.6/2 1 11. การเขียนโปรแกรมหาผลรวมตัวเลข ว 4.2 ป.6/2 1 12. การเขียนโปรแกรมหาตวั คูณรว่ มน้อย (ค.ร.น.) 13. การเขียนโปรแกรมตวั ละครเปล่ยี น ว 4.2 ป.6/2 1 ท่าทาง 14. การเขียนโปรแกรมเคลอ่ื นทแี่ บบมี ว 4.2 ป.6/2 1 เงือ่ นไข 15. การพัฒนาโปรแกรม ว 4.2 ป.6/2 1 ว 4.2 ป.6/2 1 16. การพฒั นาโปรแกรมฝกึ พมิ พ์ ๑ ๖๐ สอบปลายภาคเรยี นที่ ๑ รวม

๑๒๔ โครงสร้างหนว่ ยการเรียนรู้ รายวิชาพน้ื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ๖ รหสั วิชา ว ๑๖๑๐๑ ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ ภาคเรยี นท่ี ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖5 เวลา ๖๐ ชัว่ โมง หนว่ ย หนว่ ยการ แผนการจดั การเรียนรู้ มาตรฐานการเรยี นรู/้ เวลา นำ้ หนัก ท่ี เรยี นรู้ ตวั ชวี้ ัด (ช่ัวโมง) คะแนน ๕ แรงไฟฟ้าและ ๑. การเกดิ ไฟฟา้ ว 2.2 ป.6/1 ๑ ๑๒ พลังงานไฟฟ้า ๒. การทดลองการเกดิ แรงไฟฟา้ ว 2.2 ป.6/1 ๑ ๘ ๓. ผลของแรงไฟฟา้ ระหวา่ งวตั ถทุ ม่ี ีประจุ ว 2.2 ป.6/1 ๑ ไฟฟ้า ๔. แรงไฟฟ้าในชีวติ ประจำวัน ว 2.2 ป.6/1 ๑ ๕. สว่ นประกอบและหนา้ ท่ขี องสว่ นประกอบ ว 2.๓ ป.6/1 ๑ ในวงจรไฟฟา้ อย่างง่าย ๖. การต่อวงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย ว 2.๓ ป.6/1 ๑ ๗. การเขียนแผนภาพวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ว 2.๓ ป.6/๒ ๑ ๘. การต่อเซลลไ์ ฟฟ้าแบบอนุกรม ว 2.๓ ป.6/๓ ๑ ๙. การนำความรู้เรือ่ งการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบ ว 2.๓ ป.6/๔ ๑ อนุกรมไปใชป้ ระโยชน์ ๑๐. การต่อหลอดไฟแบบอนุกรมและแบบ ว 2.๓ ป.6/๕ ๑ ขนาน ๑๑. การเปรยี บเทยี บการต่อหลอดไฟฟา้ แบบ ว 2.๓ ป.6/๕ ๑ อนกุ รมและแบบขนาน ๑๒. การนำความรเู้ รอื่ งการตอ่ หลอดไฟไปใช้ ว 2.๓ ป.6/๖ ๑ ประโยชน์ ๖ ปรากฏการณ์ ๑. ลมบก ลมทะเล ว 3.2 ป.6/4 ๑ ของโลก ๒. ผลของลมบก ลมทะเลท่มี ีต่อสิง่ มชี วี ติ และ ว 3.2 ป.6/4 ๑ ส่ิงแวดล้อม ว 3.2 ป.6/4 ๑ และภยั ธรรมชาติ ๓. มรสมุ ๔. ผลของมรสุมทีม่ ีต่อส่ิงมชี วี ิตและ ว 3.2 ป.6/๕ ๒ สิ่งแวดล้อม ๕. ปรากฎการณเ์ รือนกระจก ว 3.2 ป.6/8 ๒ ๖. การสรา้ งแบบจำลองการเกดิ ปรากฏการณ์ ว 3.2 ป.6/8 ๒ เรือนกระจก ๗. ผลของปรากฎการณ์เรือนกระจกท่ีมีต่อ ว 3.2 ป.6/8 ๑ ส่ิงมีชวี ติ และสงิ่ แวดล้อม

๑๒๕ หนว่ ย หนว่ ยการ แผนการจดั การเรยี นรู้ มาตรฐานการเรียนร้/ู เวลา นำ้ หนัก ท่ี เรยี นรู้ ตัวช้ีวัด (ช่วั โมง) คะแนน ๖ ๘. การปฏิบัติตนเพื่อลดกิจกรรมที่ก่อให้เกดิ ว 3.2 ป.6/๙ ๑ ๕ (ต่อ) แก๊สเรอื นกระจก ๑๐ ๙. ลกั ษณะและผลกระทบของน้ำท่วม ว 3.2 ป.6/6 ๑ ๑๐. ลักษณะและผลกระทบของการกัดเซาะ ว 3.2 ป.6/6 ๑ ชายฝง่ั ๑๑. ลกั ษณะและผลกระทบของดนิ ถล่ม ว 3.2 ป.6/6 ๑ ๑๒. ลักษณะและผลกระทบของแผ่นดนิ ไหว ว 3.2 ป.6/6 ๑ ๑๓. ลักษณะและผลกระทบของสึนามิ ว 3.2 ป.6/6 ๑ ๑๔. การเฝ้าระวังและปฏิบัติตนต่อการเกิด ว 3.2 ป.6/๗ ๑ ภัยธรรมชาติ ๗ เงา อุปราคา ๑. การเกิดเงามดื และเงามวั ว 2.3 ป.6/7 ๑ ๑ และเทคโนโลยี ๒. การเขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดงการ ว 2.3 ป.6/7,ป.6/๘ อวกาศ เกิดเงามดื และเงามวั ๓. ความหมายและประเภทของอุปราคา ว 3.1 ป.6/1 ๑ ๔. การเกิดสุริยุปราคา ว 3.1 ป.6/1 ๑ ๕. การเกิดจนั ทรปุ ราคา ว 3.1 ป.6/1 ๑ ๖. การเปรยี บเทยี บความแตกต่างระหวา่ ง ว 3.1 ป.6/1 ๑ สรุ ิยุปราคาและจันทรุปราคา ๗. การสร้างแบบจำลองอธบิ ายการเกิด ว 3.1 ป.6/1 ๑ สรุ ยิ ุปราคาและจนั ทรุปราคา ๘. ความกา้ วหน้าของเทคโนโลยอี วกาศจาก ว 3.1 ป.6/๒ ๑ อดตี จนถงึ ปัจจุบนั ๙. เทคโนโลยอี วกาศทีใ่ ชใ้ นการสำรวจอวกาศ ว 3.1 ป.6/2 ๑ ๑๐. ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศทีม่ ตี ่อ ว 3.1 ป.6/2 ๑ มนษุ ย์ ๘ การใช้ 1. เครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ ว 4.2 ป.6/3 1 อินเทอร์เน็ต 2. การใช้คำค้นค้นหาข้อมูล ว 4.2 ป.6/3 1 ค้นหาขอ้ มลู 3. การค้นหาข้อมูลบนอนิ เทอร์เนต็ ว 4.2 ป.6/3 1 4. เทคนคิ การค้นหาขอ้ มูล ว 4.2 ป.6/3 1 5. การใช้เครือ่ งหมายและคำเช่อื มทางบูลีน ว 4.2 ป.6/3 1 ในการค้นหาข้อมลู 6. การค้นหาภาพบนอนิ เทอรเ์ น็ต ว 4.2 ป.6/3 1

๑๒๖ หน่วย หน่วยการ แผนการจัดการเรียนรู้ มาตรฐานการเรยี นร/ู้ เวลา น้ำหนกั ท่ี เรยี นรู้ ตวั ช้ีวัด (ชว่ั โมง) คะแนน ๘ 6. การค้นหาภาพบนอนิ เทอร์เนต็ ว 4.2 ป.6/3 1 (ตอ่ ) 7. การค้นหาขอ้ มูลโดยระบปุ ระเภทของไฟล์ ว 4.2 ป.6/3 1 8. การใช้อนิ เทอร์เนต็ คน้ หาข้อมูล ว 4.2 ป.6/3 1 9. การประยุกต์ใช้การคน้ หาขอ้ มูลเพ่ือ ว 4.2 ป.6/3 1 พฒั นาการเรียน 10. การค้นหาข้อมูลตวั ละครในวรรณคดีไทย ว 4.2 ป.6/3 1 บนอนิ เทอรเ์ น็ต 11. การค้นหาขอ้ มลู นกั วิทยาศาสตร์ ว 4.2 ป.6/3 1 4 การใช้ 1. ผลกระทบจากการใช้งานเทคโนโลยี ว 4.2 ป.6/4 1 เทคโนโลยี สารสนเทศ ว 4.2 ป.6/4 1 สารสนเทศ ว 4.2 ป.6/4 1 ร่วมกันอย่าง 2. แนวทางปอ้ งกันการใช้เทคโนโลยี ปลอดภัย สารสนเทศ 3. การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ ง ปลอดภัย 4. อุปกรณเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศท่คี วร ว 4.2 ป.6/4 1 กำหนดรหสั ผ่าน 5. การกำหนดรหัสผา่ นบนเครือขา่ ย ว 4.2 ป.6/4 1 อินเทอร์เน็ต 6. แนวทางในการกำหนดรหสั ผา่ น ว 4.2 ป.6/4 1 7. สิทธใิ นการเข้าถงึ ขอ้ มูลและรหัสผา่ น ว 4.2 ป.6/4 1 8. อันตรายจากการตดิ ตง้ั ซอฟต์แวรบ์ น ว 4.2 ป.6/4 1 อินเทอรเ์ นต็ 9. อันตรายจากมัลแวร์ (Malware) ว 4.2 ป.6/4 1 สอบปลายภาคเรียนท่ี ๒ ๑ ๑๕ รวม ๖๐ ๕๐

๑๒๗  ผสู้ อนด้านการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ศึกษา/วเิ คราะห์ มาตรฐาน/ตวั ชี้วัด จากหลักสูตรสถานศกึ ษาและโครงสรา้ งรายวิชา - กำหนดภาระงาน/ชน้ิ งาน ออกแบบหนว่ ยการเรียนรู้ - เลือกวิธกี ารประเมิน และแผนการประเมนิ - สร้าง/จดั หาเครื่องมือ/ เกณฑ์การประเมนิ ชแ้ี จงรายละเอยี ดของแผนการประเมินแกผ่ เู้ รียน ประเมนิ วิเคราะหผ์ ูเ้ รยี น สอนซ่อมเสริม ประเมนิ ความก้าวหนา้ ระหว่างเรียน ไม่ผา่ น ประเมินความสำเร็จหลังเรียน หน่วยท๑่ี ผา่ น สอบแกต้ วั หน่วยที๒่ ไม่ผ่าน สอนซ่อมเสรมิ ดำเนินการตาม หน่วยที่ … ระเบยี บ ประเมินผลปลายปี/ สถานศกึ ษา ปลายภาค เรยี นซำ้ รายวชิ าตาม ตัดสนิ ผลการเรียน ระเบียบสถานศึกษา ส่งผลการเรยี นให้ ผ่าน - ครปู ระจำชั้น/ครทู ปี่ รกึ ษา - คณะอนุกรรมการกลุ่มสาระ - ฝา่ ยทะเบียนวดั ผล อนมุ ัติผลการเรยี น รายงานผลการเรยี นตอ่ ผูเ้ กี่ยวขอ้ ง แผนภาพท่ี ๔.๑ แสดงภารกจิ ของผสู้ อนดา้ นการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้

๑๒๘ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ในช้นั เรียนเปน็ การดำเนินงานทบี่ ูรณาการในกระบวนการเรยี นการสอน ผล ที่ได้จากการประเมินในชั้นเรียนสะท้อนทันทีถึงการจัดการสอนของผู้สอน และการเรียนรู้ของผู้เรียน การ ประเมนิ ในชั้นเรียนจึงเป็นแหล่งขอ้ มลู ทม่ี ีความสำคัญต่อการส่งเสริมการเรยี นรู้บนพ้ืนฐานของหลักฐานอันเป็น ผลมาจากการจัดการเรียนรู้ ดังนั้นการประเมินในชัน้ เรียนจึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ ของผู้เรียน ทำอยา่ งไรท่ี จะทำให้การประเมนิ ในช้นั เรียนซ่ึงอยใู่ นความรับผดิ ชอบของผสู้ อนมกี ารดำเนินงานที่ มีประสิทธิภาพที่สุด แผนภาพที่ ๔.๑ นำเสนอภารกิจของผู้สอนด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ซ่ึง ครอบคลมุ ตง้ั แต่การทำความเขา้ ใจกับมาตรฐาน/ตัวช้วี ัด ซงึ่ เปน็ เปา้ หมายการเรยี นรู้ จนถึงการดำเนนิ งานตาม ระเบียบสถานศกึ ษาว่าดว้ ยการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้  ตวั ชี้วัด : เป้าหมายการเรียนรปู้ ระเภทตา่ ง ๆ หากถามว่า ทา่ นต้องการใหน้ กั เรียนของทา่ นเกิดการเรยี นรูอ้ ะไร ครทู ส่ี อนตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ จะไม่ลังเลที่จะชี้ไปที่มาตรฐานและตัวชี้วัด และหากถามต่อว่า ตัวชีว้ ัดเหลา่ น้นั จัดอยใู่ นประเภทใดบา้ ง หลายทา่ นคงจัดกลุ่มตัวชี้วัดดว้ ยความชำนาญเปน็ ดา้ นความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) และเจตคติ (A) และถึงแม้จะมกี ารจดั ประเภทเชน่ นี้ แต่ก็เขา้ ใจกันอยแู่ ลว้ ว่าไม่ใช่การจัดแบ่ง ทต่ี ายตัว เพราะในความเป็นจริงเป้าหมายการเรยี นรหู้ นง่ึ อาจเหลื่อมซ้อนอย่ใู นหลายประเภท เช่น ความรู้เป็น สง่ิ ท่ตี อ้ งมมี ากอ่ นในทุกเปา้ หมาย ตวั ชว้ี ัดสอื่ สารให้ทราบถึงสง่ิ ท่ีคาดหวังให้เกิดการเรียนรู้ที่คอ่ นข้างเจาะจง ตัวช้ีวัดจึงเป็นพื้นฐาน ในการจดั การเรยี นรู้และสรา้ งภาระงานการประเมนิ และสะท้อนวา่ ส่งิ ทจี่ ะวดั และประเมนิ นน้ั จัดเป็นเป้าหมาย ประเภทใด การรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าตัวชี้วัดนั้นเป็นเป้าหมายการเรียนรู้ประเภทใดจะทำให้ผู้สอน สามารถออกแบบหน่วยการเรียนรู้หรือแผนการสอน กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมการประเมินได้อย่าง มีประสทิ ธิภาพ เพราะผสู้ อนจะได้ภาพท่ีบง่ ชีช้ ัดเจนข้ึนว่าผู้เรียนควรรู้อะไร ทำอะไรได้ นอกจากการจัดกลุ่มตัวชี้วัดเป็นด้านความรู้ (K) ด้านกระบวนการ (P) และเจตคติ (A) ดังกล่าว ข้างต้นแล้ว Stiggins (๒๐๐๕) ไดจ้ ัดเป้าหมายการเรยี นรู้ เปน็ ๕ ด้าน ประกอบดว้ ย ➢ เป้าหมายด้านความรู้ความเข้าใจ (Knowledge and Understanding Targets) เป็น เป้าหมายเกย่ี วกบั ความรูค้ วามเข้าใจในเนอื้ หา ไดแ้ ก่ ขอ้ เท็จจริง เหตกุ ารณ์ กรอบความคิด กฎเกณฑ์ ➢ หลักการ ตลอดจนความรู้ว่ากระบวนการ วิธีการ ขั้นตอนกล่าวไว้ว่าอย่างไร คำสำคัญที่บ่ง บอกเป้าหมายด้านนี้ ได้แก่ อธิบาย เข้าใจ พรรณนา ระบุ บอก บอกชื่อ บอกรายการ นิยาม จับคู่ เลือกจำ ระลึกได้เปน็ ตน้ ➢ เป้าหมายด้านการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล (Reasoning Targets) เป็นเปา้ หมายทเ่ี กี่ยวกบั ความสามารถในการคิด โดยกำหนดให้ต้องใช้ความรู้มาแก้ปัญหา ความรู้นี้จะได้มาจากการคิดอย่างลึกซึ้ง คิดด้วย รูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การวิเคราะห์ เปรียบเทียบความเหมือนความแตกต่าง ๆ สังเคราะห์ จัดประเภท อุปนัย นิรนัย ตัดสิน ประเมินค่า เมื่อคิดแล้วต้องแสดงออกมาให้เหน็ ว่ารู้โดยผ่านผลผลิตที่เป็นได้ทัง้ ชิ้นงานหรือการ กระทำ ผลผลิตที่เป็นชิ้นงาน เช่น ประเด็นคำถามปลายเปิดที่ผู้เรยี นสร้างขึ้นเพื่อสอบถามความคิดเห็น หรือ การทำ คือสาธติ ใหด้ ู ฉะนัน้ เคร่ืองมือประเมินประเภทเลือกตอบ เช่น ขอ้ สอบแบบเลือกตอบไม่เพียงพอที่จะ บอกได้ถึงกระบวนการคิดรูปแบบตา่ ง ๆ ข้างต้น

๑๒๙ ➢ เป้าหมายดา้ นทกั ษะการปฏิบัติ เป็นเป้าหมายทเ่ี กี่ยวกับความสามารถในการปฏิบัติหรือใช้ วธิ ีการต่าง ๆ ไดด้ ี เพอ่ื ให้เกิดการเรียนรู้ที่ยั่งยนื การประเมินการปฏิบตั ิมกั ประเมนิ ผา่ นการเห็นหรือได้ยิน คำ สำคัญที่บ่งบอกเป้าหมายด้านนี้ ได้แก่ สังเกต ทดลอง แสดง ทำ ตั้งคำถาม ประพฤติ ทำงาน ฟัง อ่าน พูด ประกอบ ปฏิบัติ ใช้ สาธิต วัด สำรวจ เป็นแบบอย่าง รวบรวม การจะมีทักษะการปฏิบัติได้จะต้องผ่าน เปา้ หมายด้านความรู้มาก่อนเสมอ และในหลายกรณตี ้องผ่านเปา้ หมายดา้ นการใหเ้ หตผุ ลด้วย ➢ เป้าหมายด้านผลผลิต เปน็ เปา้ หมายท่เี กย่ี วกับความสามารถในการใชค้ วามรู้ การคิด ทกั ษะ เพอ่ื สร้างผลผลติ สุดท้ายที่มีคุณภาพและเปน็ รูปธรรม เชน่ งานเขยี น ช้ินงานศิลปะ รายงาน แผน แบบจำลอง เป็นต้น คำสำคญั ท่ีบง่ บอกเป้าหมายนี้ ไดแ้ ก่ ออกแบบ ทำ สรา้ ง ผลติ พัฒนา เขียน วาด ทำแบบจำลอง จัด นทิ รรศการ จดั แสดง ➢ เป้าหมายด้านจิตนิสัย (Disposition Targets) เป็นเป้าหมายที่มิใช่ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ แตเ่ ป็นสถานะทางดา้ นอารมณ์ ความร้สู ึก เชน่ ทศั นคตติ ่อสิง่ ตา่ ง ๆ ความม่นั ใจในตนเอง แรงจงู ใจ เป็นตน้ เมื่อได้พิจารณาเป้าหมายการเรียนประเภทต่าง ๆ แล้ว จะเห็นว่าตัวชี้วัดที่กำหนดในหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน สามารถจัดอยูใ่ นประเภทต่าง ๆ ได้เหมาะสมและชดั เจนขน้ึ ตารางท่ี ๔.๑ ตวั อย่างตัวชีว้ ัดในกล่มุ สาระต่าง ๆ ท่ปี ระกอบด้วยเปา้ หมายการเรียนรปู้ ระเภทตา่ ง ๆ สาระ ความรู้ การคิด ทักษะการปฏิบัติ ผลผลติ จิตนสิ ัย ความเขา้ ใจ การให้เหตผุ ล (เจตคติ/คุณลักษณะ) ภาษาไทย พดู รายงานเร่อื ง หรอื แตง่ บทร้อยกรอง จำแนกส่วนประกอบของ พูดแสดงความคดิ เหน็ และ ประเดน็ ท่ศี ึกษาคน้ คว้า ( ท ๔.๑ ป.๖/๕) ท่องจำบทอาขยาน ประโยค (ท ๔.๑ ป.๕/๒) ความรสู้ กึ จากเรื่องทฟ่ี ัง จากการฟงั การดู และ ทมี่ ีคณุ คา่ ตามความ และดู (ท ๓.๑ ป.๓/๔) การสนทนา สนใจ (ท ๕.๑ ป.๔/๔) ( ท ๓.๑ ป.๖/๔) คณิตศาสตร์ บอกจำนวนสง่ิ ตา่ ง ๆ แสดง เปรยี บเทยี บ เรยี งลำดับ วดั และเปรียบเทียบ ใชข้ อ้ มูลจากแผนภมู ิ เลือกใชเ้ ครอื่ งตวงท่ี ส่ิงต่าง ๆ ตามจำนวนท่ี เศษสว่ นและจำนวนคละที่ ความยาวเป็นเมตรและ วงกลมในการหาคำตอบ เหมาะสม วดั และ กำหนด อา่ นและเขียน ตวั สว่ นตัวหนึง่ เปน็ พหุคูณ เซนติเมตร ของโจทยป์ ัญหา เปรียบเทยี บปริมาตร ตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลข ของอีกตวั หน่ึง (ค 2.1 ป.2/2) (ค 3.1 ป.6/1) ความจเุ ปน็ ลติ รและ ไทย แสดงจำนวนนับไม่ (ค 1.๑ ป.4/4) มลิ ลิลติ ร เกิน 100 และ 0 (ค 2.๑ ป.๓/11) (ค 1.๑ ป.1/1) วิทยาศาสตร์ อธิบายแบบรูปเส้นทางการ เปรียบเทยี บความ ใชเ้ ครอื่ งมอื เพอื่ วดั มวล สรา้ งแบบจำลองแสดง ตระหนกั ถงึ ความสำคัญ และเทคโนโลยี ข้ึนและตกของดวงจนั ทร์ แตกตา่ งของดาว และปรมิ าตรของสสาร องค์ประกอบของระบบ ของดวงอาทติ ย์ โดย เคราะหแ์ ละดาวฤกษ์ ท้ัง ๓ สถานะ บรรยายประโยชนข์ อง (ว ๓.๑ ป.๔/๑) สุริยะ (ว ๓.๑ ป.๔/๓) จากแบบจำลอง (ว ๒.๑ ป.๔/๔) ดวงอาทติ ย์ตอ่ สิง่ มชี วี ิต (ว ๓.๑ ป.๕/๑) (ว ๓.๑ ป.๓/๓) สงั คมศึกษา บอกความหมาย วิเคราะห์ความสำคัญ ปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ธรรม บอกวิธแี ละประโยชน์ เห็นคณุ ค่า และปฏบิ ัติ ศาสนาและ ความสำคญั และเคารพ ของพระพทุ ธศาสนา ของศาสนาทตี่ นนบั ถอื ตนในศาสนพธิ ีพิธกี รรม วฒั นธรรม พระรตั นตรัย ปฏบิ ัตติ าม หรอื ศาสนาทตี่ นนบั ถอื เพอ่ื การพัฒนาตนเอง ของการใช้ทรัพยากร และวันสำคญั ทาง หลักธรรมโอวาท ๓ ใน ในฐานะทเี่ ปน็ มรดกทาง และสง่ิ แวดลอ้ ม ศาสนา ตามท่กี ำหนดได้ พระพทุ ธศาสนา หรือ วฒั นธรรมและหลกั ใน (ส ๑.๑ ป.๖/๑) อย่างยง่ั ยืน ถกู ตอ้ ง (ส ๑.๒ ป.๓/๒) หลกั ธรรมของศาสนาท่ีตน การพฒั นาชาตไิ ทย (ส ๓.๑ ป.๖/๓) นบั ถือตามท่ีกำหนด (ส ๑.๑ ป.๕/๑) (ส ๑.๑ ป.๑/๓)

๑๓๐ สาระ ความรู้ การคดิ ทักษะการปฏิบตั ิ ผลผลิต จติ นสิ ัย ความเข้าใจ การให้เหตุผล (เจตคติ/คุณลักษณะ) สขุ ศกึ ษาและ ออกกำลังกาย และเล่น เลน่ กีฬาท่ตี นเองชอบ พลศึกษา อธบิ ายความสำคัญของ วิเคราะหผ์ ลกระทบที่ เกมได้ด้วยตนเองอย่าง อย่างสม่ำเสมอโดยสร้าง เลน่ เกมและกีฬาดว้ ย ระบบสบื พันธุ์ ระบบ เกิดจากการระบาดของ สนุกสนาน ทางเลอื กในวิธปี ฏบิ ัติ ความสามัคคแี ละ ศิลปะ ไหลเวียนโลหิตและระบบ โรคและเสนอแนว (พ ๓.๒ ป.๒/๑) ของตนเองอย่าง มนี ้ำใจนกั กีฬา หายใจ ท่มี ผี ลตอ่ สุขภาพ ทางการปอ้ งกัน หลากหลายและมีน้ำใจ (พ ๓.๒ ป.๖/๖) การงานอาชพี การเจริญเติบโตและ โรคติดต่อสำคัญทีพ่ บใน รอ้ งเพลงไทยหรือเพลง นกั กีฬา พัฒนาการ ประเทศไทย สากลหรือเพลงไทย (พ ๓.๒ ป.๕/๒) ภาษาตา่ ง (พ ๑.๑ ป.๖/๑) (พ ๔.๑ ป.๖/๒) สากลท่เี หมาะสมกับวยั ประเทศ (ศ 2.1 ป.5/5) แสดงทา่ ทางประกอบ จำแนกทศั นธาตุของ อภปิ รายเกี่ยวกับอิทธพิ ล เปรียบเทียบความ ส่งิ ตา่ ง ๆ ในธรรมชาติ ของความเชื่อความศรทั ธา แตกตา่ งระหว่างงาน ใช้วัสดุ อปุ กรณ์ และ เพลงตามรปู แบบ ส่ิงแวดล้อม และงาน ในศาสนาทีม่ ผี ลต่องาน ทศั นศลิ ป์ ทส่ี ร้างสรรค์ เครื่องมือ ตรงกับ นาฏศิลป์ ทัศนศลิ ป์ โดยเน้น ทัศนศลิ ปใ์ นทอ้ งถิน่ ด้วยวัสดุอุปกรณแ์ ละ ลกั ษณะงาน เรอ่ื งเส้นสี รูปร่าง (ศ 1.2 ป.6/3) วิธีการท่ีตา่ งกนั (ง ๑.๑ ป.๓/๒) (ศ 3.1 ป.1/2) รูปทรง พ้ืนผิว และ (ศ1.1 ป. 5/2) พื้นที่วา่ ง อธิบายวธิ กี ารและ ใชภ้ าษาสอื่ สารใน (ศ 1.1 ป.4/3) ประโยชนก์ ารทำงาน ใชท้ กั ษะการจัดการใน สถานการณ์ตา่ ง ๆ เพื่อชว่ ยเหลือตนเอง การทำงาน อย่างเปน็ ทเี่ กดิ ขนึ้ ในหอ้ งเรยี น ทำงานเพื่อช่วยเหลอื ใช้พลงั งานและ ครอบครวั และสว่ นรวม ระบบ ประณีต และมี และสถานศกึ ษา ตนเองและครอบครวั ทรัพยากรในการทำงาน (ง ๑.๑ ป.๓/๑) ความคดิ สรา้ งสรรค์ (ต 4.1 ป. 6/1) อย่างปลอดภัย อยา่ งประหยัด และ (ง ๑.๑ ป.๕/๒) (ง ๑.๑ ป.๒/๒) คุ้มคา่ (ง ๑.๑ ป.๔/๔) ระบุตวั อกั ษรและเสยี ง ตวั อกั ษรของ เปรียบเทียบความ พูด/เขยี นให้ขอ้ มูล เข้ารว่ มกจิ กรรมทาง ภาษาตา่ งประเทศและ เหมอื น/ความแตกตา่ ง ภาษาไทย (ต 2.2 ป.1/1) ระหวา่ งเทศกาลและ เก่ยี วกับตนเอง และ ภาษาและวฒั นธรรม ประเพณขี องเจ้าของ เรอ่ื งใกลต้ วั ตามความสนใจ ภาษากับของไทย (ต 1.3 ป.5/1 ) (ต 2.1 ป.6/3) (ต 2.2 ป.6/2)  ภารกิจโดยสงั เขปของผู้สอนดา้ นการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ๑. ศึกษา วิเคราะห์หลักสูตร มาตรฐานและตัวชี้วัดจากหลักสูตรสถานศึกษา สัดส่วนคะแนน ระหว่างเรียนกับคะแนนปลายปี/ปลายภาค เกณฑ์ต่าง ๆ ที่สถานศึกษากำหนด ตลอดจนต้องคำนึงถึง คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ การอ่าน คดิ วเิ คราะหแ์ ละเขยี น รวมทงั้ สมรรถนะต่าง ๆ ทต่ี ้องการให้เกิดข้ึนในตัว ผูเ้ รียน เพื่อนำไปบูรณาการ สอดแทรกในระหว่างการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน ทัง้ นโี้ ดยคำนึงถึงธรรมชาติ รายวิชา รวมถึงจุดเน้นของสถานศึกษา ๒. กำหนดหนว่ ยการเรยี นรู้และแผนการประเมนิ ๒.๑ วิเคราะห์ตัวชี้วัดในแต่ละมาตรฐานการเรียนรู้แล้วจัดกลุ่มตัวชี้วัด ซึ่งอาจใช้การ วิเคราะห์ ๕ ด้านตามแนวทางของ Stiggins หรือ อาจจัดเป็น ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านการรับรู้ข้อเท็จจริง (Knowledge) ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (Process) และด้านความรู้สึกนกึ คิด (Attitude) ดงั ตวั อย่างน้ี

๑๓๑ ตวั อยา่ งการวเิ คราะห์มาตรฐานการเรยี นรูก้ ล่มุ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ ความรู้ ทกั ษะ คุณลักษณะ ตัวช้วี ัด (K) (P) (A) ค ๑.๒ ป.๔/๑    บวก ลบ คูณ หาร และบวก ลบ คูณ หาร ระคนของจำนวนนับและศนู ย์พร้อมท้งั ตระหนกั ถึงความสมเหตสุ มผลของคำตอบ ค ๑.๒ ป.๔/๒    วเิ คราะห์และแสดงวธิ หี าคำตอบของโจทย์ และโจทย์ปัญหาระคนของ จำนวนนบั และศูนย์พรอ้ มท้ังตระหนักคา่ ความสมเหตสุ มผลของคำตอบและสรา้ งโจทยไ์ ด้ ค ๑.๒ ป.๔/๓ - บวกและลบเศษส่วนทีม่ ีตอ่ ส่วนเท่ากนั  ขอ้ พงึ คำนงึ คอื ในความเปน็ จรงิ แลว้ เป้าหมายการเรียนรู้มีความเหล่ือมซอ้ นกนั เป้าหมายท่ีเป็น ความรู้จะเป็นพื้นฐานที่ต้องมีมาก่อนอยู่ในทุกตัวชี้วัด โดยที่ตัวชี้วัดเป็นการชี้วัดความก้าวหน้าในการเรียนรู้ เป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ครูผู้สอน และช่วยให้ผู้เรียนสามารถติดตามผลการเรียนรู้ของตนเอง (Self- monitor) เป็นการประเมินการปฏิบัติ เพื่อนำสู่การพัฒนาปรับปรุงการเรียนต่อไป (Michael Fullan, Peter Hill and Cormel Crevola , ๒๐๐๖) การวิเคราะห์ตัวชี้วัดจึงช่วยผู้สอนในการกำหนดกิจกรรมการ เรยี นรู้และการประเมนิ ใหพ้ ัฒนาไปไดถ้ งึ ลกั ษณะของตัวชว้ี ดั ท่ีกำหนด ๒.๒ กำหนดหนว่ ยการเรียนรูโ้ ดยเลอื กมาตรฐาน/ตัวชว้ี ดั ทีส่ อดคล้องสัมพนั ธ์กันหรอื ประเด็นปัญหาที่อยูใ่ นความสนใจของผเู้ รียน ซึ่งอาจจัดเปน็ หนว่ ยเฉพาะวิชา (Subject unit) หรือหนว่ ยบรู ณาการ (Integrated unit) ท้ังนี้ต้องคำนงึ ถึงคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ และสมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี นในหน่วยการ เรียนรูด้ ้วย ในขณะเดยี วกันผ้สู อนสามารถวางแผนการประเมินท่สี อดคล้องกบั มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ช้วี ดั ซง่ึ ในการประเมนิ นน้ั ควรใช้วิธกี ารประเมนิ ท่ีหลากหลาย เพ่ือสามารถประเมินผเู้ รียนไดอ้ ย่างครอบคลุมและไม่ ลำเอยี ง ๒.๓ กำหนดสดั ส่วนเวลาเรียนในแตล่ ะหนว่ ยการเรียนรู้ ตามโครงสรา้ งหลกั สูตรโดยคำนึงถึง ความสำคัญของมาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรยี นรใู้ นหนว่ ยการเรยี นรู้ ๒.๔ กำหนดภาระงานหรือชิ้นงานหรือกิจกรรมที่เป็นหลักฐานแสดงว่าผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถสะทอ้ นตามตัวชี้วดั ๒.๕ กำหนดเกณฑ์สำหรับประเมินภาระงาน/ชิ้นงาน/กิจกรรม โดยใช้เกณฑ์การประเมิน (Rubric) หรือกำหนดเปน็ ร้อยละ หรือตามทีส่ ถานศึกษากำหนด ๓. ชี้แจงรายละเอียดของการวัดและประเมินผลใหผ้ ูเ้ รียนเข้าใจ โดยปกติ ผู้เรียนมักจะมีความ วติ กกังวลว่าในรายวิชาท่ีตนเรียนจะตดั สนิ ผลการเรียนอย่างไร การอธบิ ายให้ผู้เรียนทราบว่าตนถูกคาดหวังให้ เรยี นรอู้ ะไรบา้ ง ทำอะไรบ้าง เชน่ ตอ้ งทำชน้ิ งานอะไร จำนวนก่ชี นิ้ การให้คะแนนเป็นอย่างไร มีการสอบเม่ือ ใดบ้าง จะทำให้ผู้เรียนมีการเตรียมตัวดียิ่งขึ้น และหากเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ร่วมอภิปรายเกี่ยวกับการเก็บ คะแนน เกณฑก์ ารให้คะแนน จะเป็นการสรา้ งแรงจูงใจและความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ยง่ิ ขนึ้ ด้วย

๑๓๒  การเกบ็ หลักฐานการประเมิน ปัจจุบันผู้สอนจะไดร้ บั การฝึกใหอ้ อกแบบหน่วยการเรียนรูโ้ ดยคิดถงึ เป้าหมายการเรียนรู้กอ่ นวา่ จะให้ผู้เรียนรู้อะไร ทำอะไรเป็น มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์อย่างไร ทั้งนี้โดยมมี าตรฐาน/ตัวชี้วัด สมรรถนะ สำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของหลักสูตรเป็นพื้นฐานในการกำหนด จากนั้น จึงคิดว่า หลกั ฐานเชน่ ใดท่ีจะแสดงว่าผู้เรยี นบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ แล้วจงึ เลอื กวิธีการและเครื่องมอื ประเมินที่จะใช้ เก็บรวบรวมผลการเรียนรู้ของแต่ละคนเพื่อให้เข้าใจผู้เรียนได้ดีขึ้น ผลการเรียนรู้ที่เก็บในชั้นเรียนแต่ละครง้ั ไมใ่ ชส่ ่ิงท่ีตอ้ งนำมาตัดสนิ ผลให้คะแนนทุกครงั้ บางครงั้ เป็นการตรวจสอบความก้าวหนา้ บางคร้ังเป็นการฝกึ ฝน บางครั้งเป็นการหาว่ามีปัญหาอะไร เป็นต้น ฉะนั้น ในการเก็บหลักฐานการประเมินจงึ ขึ้นอยูก่ ับวัตถุประสงค์ ด้วย การจัดประเภทของการประเมินตามวตั ถุประสงค์กล่าวโดยสรปุ ดังต่อไปน้ี ประเภทของการประเมนิ ในชน้ั เรยี นโดยท่วั ไปจะมกี ารใช้การประเมนิ ๓ ประเภทต่อไปน้ี ➢ การประเมินเพื่อวินิจฉัย (Diagnostic Assessment) เป็นการเก็บข้อมูลเพื่อค้นหาว่า ผู้เรยี นรู้อะไรมาบ้างเกี่ยวกบั สิง่ ที่จะเรยี น ส่งิ ที่รู้มากอ่ นนถี้ กู ต้องหรอื ไม่ จงึ เปน็ การใช้ในลักษณะประเมินก่อน เรียน นอกจากนี้ยังใชเ้ พือ่ หาสาเหตุของปัญหาหรืออปุ สรรคต่อการเรยี นรู้ของผูเ้ รียนเป็นรายบคุ ลที่มกั จะเป็น เฉพาะเร่ือง เช่น ปญั หาการออกเสยี งไม่ชดั แลว้ หาวธิ ีปรับปรงุ เพือ่ ให้ผู้เรยี น สามารถพัฒนาและเรียนรู้ขั้นต่อไป วิธีการประเมินใช้ได้ทั้งการสังเกต การสอบพูดคุย สอบถาม หรือการใช้ แบบทดสอบกไ็ ด้ ➢ การประเมินความก้าวหน้า (Formative Assessment) เป็นการประเมินเพื่อพัฒนาการ เรียนรู้ (assessment for learning) ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดการเรียนการสอนโดยมิใช่ใช้แต่การ ทดสอบระหว่างเรียนเป็นระยะ ๆ อย่างเดียว แต่เป็นการที่ครูเก็บข้อมูลการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างไม่เป็น ทางการด้วย ขณะที่ให้ผู้เรียนทำภาระงานตามที่กำหนด ครูสังเกต ซักถาม จดบันทึก แล้ววิเคราะห์ข้อมลู วา่ ผเู้ รยี นเกดิ การเรียนรู้หรือไม่ จะต้องให้ผูเ้ รยี นปรับปรงุ อะไรหรือผู้สอนปรับปรุงอะไรเพ่ือให้เกิดความก้าวหน้า ในการเรียนรู้ตามมาตรฐาน/ตัวชี้วัด การประเมินระหว่างเรียนดำเนินการได้หลายรูปแบบ เช่น การให้ ข้อแนะนำ ข้อสังเกตในการนำเสนอผลงาน การพูดคุยระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล การ สมั ภาษณ์ ตลอดจนการวเิ คราะหผ์ ลการสอบ เปน็ ตน้ ➢ การประเมินสรุปผลการเรียนรู้ (Summative Assessment) มักเกิดข้ึนเมื่อจบหน่วยการ เรียนรู้เพื่อตรวจสอบผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามตัวชี้วัด และยังใช้เป็นข้อมูลในการเปรียบเทียบกับการ ประเมินก่อนเรียนทำให้ทราบพัฒนาการของผู้เรียน การประเมินสรุปผลการเรียนรู้ยังเป็นการตรวจสอบ ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนตอนปลายปี/ปลายภาคอีกด้วย การประเมินสรุปผลการเรียนรู้ใช้วิธีการและเครื่องมอื ประเมนิ ได้อยา่ งหลากหลาย โดยปกตมิ ักดำเนินการอยา่ งเป็นทางการมากกว่าการประเมินระหว่างเรียน  วิธีการประเมิน ในการประเมนิ ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ผสู้ อนควรใช้วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผลอย่างหลากหลาย เหมาะสม สอดคล้องกับตัวชี้วัด/มาตรฐานการเรียนรู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สะท้อนความรู้ความสามารถและ ศกั ยภาพของผู้เรยี น โดยผูส้ อนสามารถเลือกวธิ ีการประเมินจากวิธีตา่ ง ๆ ต่อไปน้ี ๑. การสังเกตพฤติกรรม เป็นการเก็บข้อมูลจากการดูการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียนโดยไม่ ขัดจังหวะการทำงานหรือการคิดของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ทำได้ตลอดเวลา แต่ควรมี กระบวนการที่ชัดเจน และมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนว่าต้องการประเมินอะไร โดยอาจใช้เครื่องมือ เช่น แบบ

๑๓๓ ประเมินค่า แบบตรวจสอบรายการ สมุดจดบันทึก เพื่อประเมินผู้เรียนตามตัวชี้วัด และควรทำการสังเกต บ่อยครัง้ เพ่อื ขจัดความลำเอยี ง ๒. การสอบปากเปล่า เป็นการให้ผู้เรียนได้แสดงออกด้วยการพูด ตอบประเด็นเกี่ยวกับการ เรียนรู้ตามมาตรฐาน ผู้สอนเก็บข้อมูล จดบันทึก รูปแบบการประเมินนี้ผู้สอนและผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กัน สามารถมีการอภิปราย โต้แย้ง ขยายความ ปรับแก้ไขความคิดกันได้ มีข้อที่พึงระวงั คือ อย่าเพิ่งขัดความคดิ ขณะทีผ่ ูเ้ รียนกำลังพูด ๓. การพูดคุย เป็นการสื่อสาร ๒ ทาง อีกประเภทหนึ่งระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน สามารถ ดำเนนิ การเปน็ กลมุ่ หรอื รายบุคคลก็ได้ โดยทว่ั ไปมกั ใชอ้ ย่างไมเ่ ปน็ ทางการเพ่ือติดตามตรวจสอบว่าผู้เรียนเกิด การเรียนรู้เพียงใด เป็นข้อมูลสำหรับพัฒนา วิธีการนี้อาจใช้เวลา แต่มีประโยชน์ต่อการค้นหา วินิจฉัยข้อ ปญั หา ตลอดจนเร่ืองอ่นื ๆ ทอ่ี าจเปน็ ปญั หา อปุ สรรคตอ่ การเรยี นรู้ เช่น วิธกี ารเรียนรทู้ ่แี ตกต่างกัน เป็นต้น ๔. การใช้คำถาม การใช้คำถามเป็นเร่ืองปกตมิ ากในการจัดการเรยี นรู้ แต่ขอ้ มลู งานวิจัยบ่งชี้ว่า คำถามที่ครูใช้เป็นด้านความจำ และเป็นเชงิ การจัดการท่วั ๆ ไปเปน็ ส่วนใหญ่ เพราะถามงา่ ย แต่ไม่ท้าทายให้ ผู้เรียนต้องทำความเข้าใจและเรียนรูใ้ ห้ลึกซึ้ง การพัฒนาการใช้คำถามให้มีประสิทธิภาพแม้จะเป็นเร่ืองทีย่ าก แตส่ ามารถทำได้ผลรวดเร็วขึน้ หากผสู้ อนมกี ารเปลยี่ นแปลงวิธีการประเมินในชั้นเรียน โดยทำการประเมินเพ่ือ พฒั นาใหแ้ ขง็ ขนั (Clarke, 2005) Clarke ยังไดน้ ำเสนอวธิ กี ารฝกึ ถามให้มีประสทิ ธิภาพ ๕ วิธี ดงั นี้ วธิ ที ี่ ๑ ให้คำตอบที่เป็นไปได้หลากหลาย เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเริ่มต้นเปลี่ยนการถาม แบบความจำให้เป็นคำถามทีต่ ้องใช้การคิดบา้ งเพราะมีคำตอบที่เป็นไปได้หลายคำตอบ (แต่พึงระวงั วา่ การใช้ คำถามหมายความว่าผู้เรียนต้องผ่านการเรียนรู้ มีความเข้าใจพื้นฐานตามตัวชี้วัดที่กำหนดให้เรียนรู้มาแล้ว) คำถามแบบนี้ทำให้ผู้เรียนต้องใช้การตัดสินใจว่า คำตอบใดถูก หรือใกล้เคียงท่ีสุดเพราะเหตุใด และที่ไม่ถูก เพราะเหตุใด นอกจากนี้ การใช้คำถามแบบนี้จะทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ยิ่งขึ้นอีกหากมีกิจกรรมให้ผู้เรียนทำเพอื่ พสิ จู นค์ ำตอบ วธิ ีที่ ๒ เปลี่ยนคำถามประเภทความจำให้เป็นคำถามประเภทที่ผู้เรียนต้องแสดงความ คิดเห็นพร้อมเหตุผล การใช้วธิ นี ้จี ะต้องให้ผ้เู รียนได้อภปิ รายกนั ผเู้ รียนตอ้ งใชก้ ารคดิ ทีส่ ูงขน้ึ กวา่ วิธแี รก เพราะ ผู้เรียนจะต้องยกตัวอย่างสนับสนุนความเห็นของตน เมื่อให้ประโยคที่ผู้เรียนจะต้องสะท้อนความคิดเห็น ผเู้ รียนจะตอ้ งปกปอ้ งหรอื อธบิ ายทัศนะของตน การฝึกดว้ ยวธิ กี ารน้ีบอ่ ย ๆ จะเป็นการพฒั นาผู้เรียนให้เปน็ ผฟู้ ัง ที่ดี มีจิตใจเปิดกว้างพรอ้ มรับฟัง และเปลี่ยนแปลงความคิดเหน็ โดยผ่านกระบวนการอภิปราย ครูใช้วิธีการนี้ กดดันให้เกิดการอภิปรายอย่างมีคุณภาพสูงระหว่างเด็กต่อเด็ก และให้ข้อมูลเพื่อการพัฒนาแก่ทุกคนในชั้น เรียน วิธีท่ี ๓ หาสง่ิ ตรงกันขา้ ม หรอื สงิ่ ที่ใช/่ ถกู ส่งิ ทีไ่ มใ่ ช่/ผดิ และถามเหตุผล วิธีการนี้ใช้ได้ดีกับ เน้ือหาทีเ่ ปน็ ข้อเทจ็ จริง เชน่ จำนวนในวชิ าคณิตศาสตร์ การสะกดคำ โครงสรา้ งไวยากรณใ์ นวิชาภาษา เปน็ ต้น เมือ่ ได้รับคำถามวา่ ทำไมทำเชน่ นถี้ กู แตท่ ำเช่นน้ีผิด หรอื ทำไมผลบวกนี้ถูก แต่ผลบวกน้ีผิด หรือทำไมประโยค นี้ถูกไวยากรณ์แต่ประโยคนผ้ี ิดไวยากรณ์ เปน็ ตน้ จะเป็นโอกาสให้ผเู้ รียนคิดและอภิปรายมากกวา่ เพียงการถาม ว่าทำไมโดยไม่มกี ารเปรยี บเทยี บกนั และวธิ ีการนจ้ี ะใช้กับการทำงานคมู่ ากกวา่ ถามท้งั หอ้ ง แล้วใหย้ กมอื ตอบ วธิ ีที่ ๔ ให้คำตอบประเด็นสรุปแล้วตามด้วยคำถามให้คิด เป็นการให้ผู้เรียนต้องอธิบาย เพ่ิมเตมิ วิธีท่ี ๕ ต้ังคำถามจากจดุ ยืนทีเ่ หน็ ต่าง เป็นวธิ ที ีต่ ้องใชค้ วามสามารถมากทงั้ ผสู้ อนและผู้เรียน เพราะมีประเดน็ ทีต่ ้องอภปิ รายโต้แย้งเชงิ ลึกเหมาะทีจ่ ะใช้อภิปรายในประเดน็ ทเี่ ก่ียวกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม ปัญหาสขุ ภาพ ปญั หาเชงิ จริยธรรม เปน็ ต้น

๑๓๔ นอกจากน้ี การใช้ Bloom’s Taxonomy เป็นกรอบแนวคิดในการต้ังคำถามกเ็ ป็นวิธีการที่ดีใน การเกบ็ ข้อมูลการเรียนรู้จากผู้เรยี น ๕. การเขียนสะท้อนการเรยี นรู้ (Journals) เป็นรปู แบบการบันทึกการเขียนอีกรูปแบบหนึ่งท่ี ให้ผู้เรียนเขียนตอบกระทู้ หรือคำถามของครู ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับความรู้ ทักษะที่กำหนดในตัวชีว้ ัด การ เขียนสะท้อนการเรียนรู้นี้นอกจากทำให้ผู้สอนทราบความก้าวหน้าในผลการเรียนรู้แล้ว ยังใช้เป็นเครื่องมือ ประเมินพัฒนาการด้านทักษะการเขียนได้อีกดว้ ย ๖. การประเมินการปฏิบัติ (Performance assessment) เป็นวิธีการประเมินงานหรือ กจิ กรรมท่ผี ู้สอนมอบหมายใหผ้ ู้เรียนปฏบิ ัตงิ านเพอื่ ให้ทราบถึงผลการพัฒนาของผู้เรยี น การประเมนิ ลักษณะ นี้ ผู้สอนตอ้ งเตรยี มส่ิงสำคัญ ๒ ประการ คอื ภาระงาน (Tasks) หรอื กิจกรรมท่ีจะให้ผู้เรยี นปฏิบัติ เช่น การทำโครงการ /โครงงาน การสำรวจ การนำเสนอ การสร้างแบบจำลอง การท่องปากเปลา่ การสาธติ การ ทดลองวิทยาศาสตร์ การจัดนิทรรศการ การแสดงละคร เป็นต้น และเกณฑ์การให้คะแนน (Scoring Rubrics) การประเมนิ การปฏิบตั ิ อาจจะปรบั เปลยี่ นไปตามลักษณะงานหรือประเภทกิจกรรม ดงั นี้  ภาระงานหรือกิจกรรมที่เน้นข้ันตอนการปฏบิ ตั แิ ละผลงาน เชน่ การทดลองวิทยาศาสตร์ การจัดนิทรรศการ การแสดงละคร แสดงเคลื่อนไหว การประกอบอาหาร การประดิษฐ์ การสำรวจ การ นำเสนอ การจัดทำแบบจำลอง เป็นต้น ผู้สอนจะต้องสังเกตและประเมินวิธีการทำงานที่เปน็ ขั้นตอนและ ผลงานของผเู้ รียน  ภาระงานหรือกจิ กรรมทม่ี งุ่ เน้นการสร้างลกั ษณะนสิ ยั เช่น การรกั ษาความสะอาด การ รักษาสาธารณสมบัติ/สิ่งแวดล้อม กิจกรรมหน้าเสาธง เป็นต้น จะประเมินด้วยวิธีการสังเกต จดบันทึก เหตุการณ์เกีย่ วกับผเู้ รยี น  ภาระงานที่มีลักษณะเป็นโครงการ/โครงงาน เป็นกิจกรรมที่เน้นขัน้ ตอนการปฏิบัติและ ผลงานที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ จึงควรมีการประเมินเป็นระยะ ๆ เช่น ระยะก่อนดำเนินโครงการ/ โครงงาน โดยประเมินความพรอ้ มการเตรียมการและความเป็นไปได้ในการปฏิบัตงิ าน ระยะระหว่าง ดำเนินโครงการ/โครงงาน จะประเมินการปฏิบัติจริงตามแผน วิธีการและขั้นตอนที่กำหนดไว้ และ การ ปรับปรุงระหว่างการปฏิบัติ สำหรับระยะสิ้นสุดการดำเนินโครงการ/โครงงาน โดยการประเมินผลงาน ผลกระทบและวิธีการนำเสนอผลการดำเนนิ โครงการ/โครงงาน  ภาระงานที่เน้นผลผลิตมากกว่ากระบวนการขั้นตอนการทำงาน เช่น การจัดทำแผนผัง แผนที่ แผนภูมิ กราฟ ตาราง ภาพ แผนผงั ความคดิ เปน็ ตน้ อาจประเมนิ เฉพาะคณุ ภาพของผลงานก็ได้ ในการประเมินการปฏิบัติงาน ผู้สอนต้องสร้างเครื่องมือเพื่อใช้ประกอบการประเมิน เช่น แบบมาตรประมาณค่า แบบบนั ทึกพฤติกรรม แบบตรวจสอบรายงาน แบบบนั ทกึ ผลการปฏบิ ัติ เป็นตน้ ๗. การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน (Portfolio assessment) แฟ้มสะสมงานเป็นการเก็บ รวบรวมชิ้นงานของผเู้ รียนเพอ่ื สะท้อนความกา้ วหนา้ และความสำเร็จของผูเ้ รียน เชน่ แฟ้มสะสมงานท่ีแสดง ความก้าวหน้าของผู้เรียน ต้องมผี ลงานในช่วงเวลาตา่ ง ๆ ทแ่ี สดงถงึ ความก้าวหน้าของผเู้ รียน หากเป็นแฟ้ม สะสมงานดีเด่นต้องแสดงผลงานที่สะท้อนความสามารถของผู้เรียน โดยผู้เรียนต้องแสดงความคิดเห็นหรือ เหตุผลที่เลือกผลงานนนั้ เก็บไว้ตามวัตถุประสงค์ของแฟม้ สะสมงาน แนวทางในการจัดทำแฟม้ สะสมงานมดี ังนี้  กำหนดวัตถุประสงค์ของแฟ้มสะสมงานว่าต้องการสะท้อนเกี่ยวกับความก้าวหน้าและ ความสำเรจ็ ของผเู้ รยี นในเรื่องใดด้านใด ท้งั นอ้ี าจพิจารณาจากตวั ชีว้ ดั /มาตรฐานการเรียนรู้  วางแผนการจดั ทำแฟ้มสะสมงานท่ีเน้นการจัดทำชิ้นงาน กำหนดเวลาของการจัดทำแฟ้ม สะสมงาน และ เกณฑก์ ารประเมิน

๑๓๕  จดั ทำแผนแฟม้ สะสมงานและดำเนนิ การตามแผนท่ีกำหนด  ให้ผู้เรียนเกบ็ รวบรวมช้ินงาน  ให้มีการประเมินชิ้นงานเพื่อพัฒนาชิ้นงาน ควรประเมินแบบมีส่วนร่วม โดย ผู้ประเมิน ไดแ้ ก่ ตนเอง เพอ่ื น ผสู้ อน ผปู้ กครอง บคุ คลทีเ่ กย่ี วข้อง  ใหผ้ ้เู รียนคัดเลือกชน้ิ งาน ประเมนิ ช้ินงาน ตามเงือ่ นไขที่ผสู้ อนและผเู้ รยี นร่วมกันกำหนด เชน่ ชนิ้ งานท่ยี ากที่สุด ชนิ้ งานท่ีชอบท่ีสุด เปน็ ตน้ โดยดำเนินการเป็นระยะ อาจจะเป็นเดือนละครั้งหรือ บทเรยี นละคร้ังก็ได้  ใหผ้ ู้เรียนนำชิ้นงานทค่ี ัดเลือกแล้วจดั ทำเปน็ แฟม้ ทสี่ มบูรณ์ ซึง่ ควรประกอบดว้ ย หนา้ ปก คำนำ สารบัญ ช้ินงาน แบบประเมินแฟม้ สะสมงาน และอน่ื ๆ ตามความเหมาะสม  ผู้เรียนต้องสะท้อนความรู้สกึ และความคิดเหน็ ต่อชน้ิ งานหรือแฟม้ สะสมงาน  สถานศึกษาควรจัดให้ผู้เรียนแสดงแฟ้มสะสมงานและชิ้นงานเมื่อสิ้นภาคเรียน/ ปีการศกึ ษาตามความเหมาะสม ๘. การวัดและประเมินด้วยแบบทดสอบ เป็นการประเมินตัวชี้วัด ด้านองค์ความรู้ (Knowledge) เชน่ ข้อมูล ความรู้ ข้ันตอน วธิ กี าร กระบวนการต่าง ๆ เปน็ ต้น ผสู้ อนควรเลอื กใชแ้ บบทดสอบ ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการวัดและประเมินนั้น ๆ เช่น แบบทดสอบเลือกตอบ แบบทดสอบถูก -ผิด แบบทดสอบจับคู่ แบบทดสอบเติมคำ แบบทดสอบความเรียง เป็นต้น ทั้งนี้แบบทดสอบที่จะใช้ต้องเป็น แบบทดสอบทมี่ ีคุณภาพ มีความเที่ยงตรง (Validity) และเชื่อมนั่ ได้ (Reliability) ๙. การประเมนิ ด้านจติ พิสยั (Affective Domain) เป็นการประเมินคุณธรรม จริยธรรม คุณลกั ษณะและเจตคติ ทคี่ วรปลูกฝงั ในการจดั การเรียนรู้ ซง่ึ วดั และประเมินเปน็ ลำดับขนั้ จากต่ำสุดไปสูงสุด ดงั นี้  ข้ันรบั รู้ เป็นการประเมนิ พฤตกิ รรมที่แสดงออกว่ารู้จัก เต็มใจ สนใจ  ขั้นตอบสนอง เป็นการประเมนิ พฤติกรรมที่แสดงว่าเช่ือฟัง ทำตาม อาสาทำ พอใจที่ จะทำ  ข้นั เห็นคณุ ค่า (คา่ นยิ ม) เป็นการประเมนิ พฤติกรรมท่แี สดงความเชอื่ ซึ่งแสดงออกโดย การกระทำหรือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ยกย่องชมเชย สนับสนุน ช่วยเหลือหรือทำกิจกรรมที่ตรงกับความเชอื่ ของตน ทำดว้ ยความเชอื่ มั่น ศรทั ธา และปฏเิ สธท่ีจะกระทำในสิง่ ทีข่ ัดแย้งกบั ความเชื่อของตน  ขั้นจัดระบบคุณค่า เป็นการประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรม อภิปราย เปรียบเทยี บจนเกิดอุดมการณ์ในความคดิ ของตนเอง  ขนั้ สร้างคณุ ลกั ษณะ เปน็ การประเมนิ พฤติกรรมท่มี ีแนวโน้มว่าจะประพฤติปฏบิ ตั เิ ชน่ นัน้ อยู่เสมอในสถานการณเ์ ดยี วกัน หรือเกดิ เปน็ อปุ นสิ ยั การวดั และประเมนิ ผลด้านจิตพิสยั ควรใช้การสังเกตพฤติกรรมการปฏบิ ัติเป็นหลักและ สังเกตอย่างต่อเนื่องโดยมีการบันทึกผลการสังเกต ทั้งนี้อาจใช้เครื่องมือการวัดและประเมินผล เช่น แบบ ประเมินค่า แบบตรวจสอบรายการ แบบบนั ทึกพฤติกรรม แบบรายงานพฤติกรรมตนเอง เป็นตน้ นอกจากนี้อาจใช้แบบวัดความรู้และความรู้สึก เพื่อรวบรวมข้อมูลเพ่ิมเติม เช่น แบบ วดั ความรู้โดยสร้างสถานการณ์เชิงจรยิ ธรรม แบบวัดเจตคติ แบบวัดเหตุผลเชิงจรยิ ธรรม แบบวัดพฤติกรรมเชิง จรยิ ธรรม เปน็ ต้น

๑๓๖ ๑๐. การประเมนิ ตามสภาพจริง (Authentic assessment) เปน็ การประเมินดว้ ยวิธีการที่ หลากหลายดังที่กล่าวมาแลว้ ข้างตน้ เพ่อื ใหไ้ ดผ้ ลการประเมินท่ีสะท้อนความสามารถที่แท้จริงของผู้เรยี น จึง ควรใช้การประเมินการปฏิบัติ (Performance assessment) ร่วมกับการประเมินด้วยวิธีการอื่น ภาระงาน (Tasks) ควรสะท้อนสภาพความเป็นจริง หรือใกล้เคียงกับชีวิตจริงมากกว่าเป็นการปฏิบัติกิจกรรมทั่ว ๆ ไป ดังนนั้ การประเมนิ สภาพจริงจะตอ้ งออกแบบการจัดการเรียนรู้และการประเมินผลไปด้วยกัน และกำหนดเกณฑ์ การประเมิน (Rubrics) ใหส้ อดคลอ้ งหรือใกลเ้ คยี งกับชวี ิตจริง ๑๑. การประเมินตนเองของผู้เรียน (Student self - assessment) การประเมินตนเอง นับเป็นทั้งเครื่องมือประเมินและเครื่องมือพัฒนาการเรียนรู้ เพราะทำให้ผู้เรียนได้คิดใคร่ครวญว่าได้เรียนรู้ อะไร เรียนรู้อย่างไร และผลงานที่ทำน้ันดีแล้วหรือยัง การประเมินตนเองจึงใช้เป็นวิธีหนึ่งทีจ่ ะชว่ ยพัฒนา ผู้เรียนให้เป็นผู้ที่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง การใช้การประเมินตนเองของผู้เรียนให้ประสบความสำเร็จได้ดี จะตอ้ งมเี ปา้ หมายการเรยี นรทู้ ี่ชัดเจน มีเกณฑ์ทีบ่ ่งบอกความสำเร็จของชน้ิ งาน / ภาระงาน และมาตรการการปรบั ปรงุ แก้ไขตนเอง เปา้ หมายการเรียนรูท้ ่กี ำหนดชัดเจนและผู้เรียนไดร้ ับทราบหรือรว่ มกำหนดดว้ ย จะทำให้ผู้เรียน ทราบว่าตนถกู คาดหวังให้รูอ้ ะไร ทำอะไร มีหลักฐานใดท่ีแสดงการเรียนรู้ตามความคาดหวังนัน้ หลักฐานท่มี ี คุณภาพควรมีเกณฑ์เช่นไรเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้เรียนพิจารณาประเมิน ซึ่งหากเกิดจากการทำงานร่วมกัน ระหวา่ งผเู้ รยี นกับผู้สอนดว้ ยจะเป็นการเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น การที่ผู้เรียนได้ใช้การประเมิน ตนเองบ่อย ๆ โดยมกี รอบแนวทางการประเมินท่ีชัดเจนนี้ จะชว่ ยส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนประเมนิ ได้ค่อนข้างจริงและ ซื่อสัตย์ คำวิจารณ์ คำแนะนำของผู้เรียนมักจะจริงจังมากกว่าของครู การประเมินตนเองจะเกิดประโยชน์ ยง่ิ ขึ้น หากผูเ้ รยี นทราบส่ิงทีต่ ้องปรับปรุงแกไ้ ขได้ต้งั เป้าหมาย การปรบั ปรงุ แกไ้ ขของตน แล้วฝึกฝน พัฒนา โดยการดูแล สนบั สนุนจากผูส้ อนและความร่วมมอื ของครอบครัว เครอ่ื งมอื ท่ใี ชใ้ นการประเมนิ ตนเองมหี ลายรปู แบบ เช่น การอภิปราย การเขยี นสะท้อนผลงาน การใช้แบบสำรวจ การพดู คยุ กับผู้สอน เป็นตน้ ๑๒. การประเมินโดยเพื่อน (Peer assessment) เป็นเทคนิคการประเมินอีกรูปแบบหนึ่งท่ี น่าจะนำมาใช้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เข้าถึงคุณลักษณะของงานที่มีคุณภาพ เพราะการที่ผู้เรียนจะบอกได้ว่า ชิ้นงานนั้นเป็นเช่นไร ผู้เรียนต้องมีความเข้าใจอย่างชัดเจนก่อนว่าเขากำลังตรวจสอบอะไรในงานของเพ่อื น ฉะน้นั ผสู้ อนตอ้ งอธิบาย ผลท่ีคาดหวงั ใหผ้ ู้เรียนทราบกอ่ นท่จี ะลงมือประเมิน การท่ีจะสร้างความมั่นใจวา่ ผู้เรียนเขา้ ใจการประเมินรปู แบบนี้ ควรมกี ารฝกึ ผเู้ รียนโดยผสู้ อนอาจ หาตัวอยา่ ง เช่น งานเขยี น ให้นกั เรยี นเป็นกลุ่มตัดสินใจว่าควรประเมนิ อะไร และควรให้คำอธิบายเกณฑ์ที่ บง่ บอกความสำเรจ็ ของภาระงานน้นั จากนั้นใหน้ กั เรียนประเมนิ ภาระงานเขยี นนนั้ โดยใช้เกณฑ์ทช่ี ่วยกันสร้าง ขน้ึ หลังจากน้ันครตู รวจสอบการประเมินของนกั เรียนและใหข้ ้อมลู ย้อนกลับแกน่ ักเรยี นที่ประเมนิ เกินจริง การใช้การประเมินโดยเพื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ท่ี สนับสนุนให้เกิดการประเมินรูปแบบนี้ กลา่ วคือ ผเู้ รียนต้องร้สู ึกผ่อนคลาย เชอ่ื ใจกัน และไมอ่ คติ เพื่อการให้ ข้อมูลย้อนกลบั จะได้ซื่อตรง เป็นเชิงบวกทีใ่ ห้ประโยชน์ ผู้สอนที่ให้ผู้เรียนทำงานกลุ่มตลอดภาคเรียนแล้วใช้ เทคนิคเพอ่ื นประเมินเพื่อนเป็นประจำ จะสามารถพัฒนาผูเ้ รียนให้เกิดความเขา้ ใจซงึ่ กันและกัน อันจะนำไปสู่ การให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลับทเ่ี กง่ ข้นึ ได้

๑๓๗  เกณฑ์การประเมิน (Rubrics) และตวั อย่างชน้ิ งาน (Exemplars) จะประเมินภาระงานที่มีความซบั ซ้อนอยา่ งไรดี รู้ได้อย่างไรว่าภาระงานนั้นดีเพียงพอแล้ว เช่น การนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียนที่จะต้องดูทั้งความถูกต้องของเนื้อหาสาระ กระบวนการที่ใช้ในการทำงาน ความสามารถในการสื่อสาร การใชภ้ าษา การออกเสียง เปน็ ตน้ คำตอบก็คือใช้เกณฑ์การประเมนิ เพราะ เกณฑ์การประเมินเป็นแนวทางให้คะแนนทีป่ ระกอบด้วยเกณฑ์ด้านต่าง ๆ เพื่อใช้ประเมินค่า ผลการปฏิบัติ ของผู้เรียนในภาระงาน/ชิ้นงาน ที่มีความซับซ้อน เกณฑ์เหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่ผู้เรียนควรรู้และปฏิบัติได้ นอกจากนี้ยังมีระดับคุณภาพแต่ละเกณฑ์และคำอธิบายคุณภาพทุกระดับ ดังตัวอย่างตารางที่ ๔.๒ เป็น รูปแบบการสร้างเกณฑ์การประเมินแบบแยกประเด็น (Analytic rubrics) เป็นรูปแบบกลางผู้สอนสามารถ นำไปปรบั ใชไ้ ดก้ ับวิชาต่าง ๆ ตารางท่ี ๔.๒ แสดงตัวอย่างการประเมินแบบแยกประเด็น เกณฑ์ ระดบั การประเมิน ชอื่ เรอื่ ง ๔ ๓ ๒ ๑ ๐ น่าสนใจ ทันสมัย น่าสนใจแต่ ทั่ว ๆ ไป ไมเ่ กี่ยวข้องกบั ไมม่ ขี ้อมูลเพยี งพอ เหมาะสมกับ ไม่ทันสมยั ไมน่ ่าสนใจ สาระท่เี รยี น ต่อการตดั สนิ เนอื้ เรือ่ ง สอดคลอ้ งกบั เนื้อหา ไมส่ อดคลอ้ ง กบั เนื้อหา เนอ้ื หา ขอ้ มูลถูกต้อง ข้อมูลถกู ต้อง ตรง มีขอ้ มูลทผี่ ดิ บ้าง ข้อมูลส่วนใหญ่ ไมม่ ขี ้อมูลเพยี งพอ สมบรู ณ์ ประเดน็ แต่ขาด และยังไม่สมบูรณ์ ไมถ่ ูกตอ้ งและ ตอ่ การตดั สิน การลำดบั ตรงประเดน็ รายละเอยี ด ขาดหาย ใจความ ไมม่ ีข้อมูลเพียงพอ ใจความชดั เจน ใจความสบั สนบ้าง ใจความไมช่ ดั เจน ไมต่ ่อเนื่อง ตอ่ การตัดสิน ลำดับเหตกุ ารณ์ แต่ยงั สามารถ ขาดความสมเหตุ ขาดความ สมเหตุ สมผล เขา้ ใจได้ ขาดความ สมผล สมเหตุสมผล สมเหตุ สมผลไป บา้ ง หลักเกณฑ์ ประโยคสมบูรณ์ เขียนประโยคได้ เขียนประโยค เขียนประโยค ไมม่ ีข้อมลู เพียงพอ ทางภาษา ถูกต้องตาม สมบูรณ์ แตย่ ึด สมบรู ณ์บา้ ง ผดิ หลกั เกณฑท์ าง ต่อการตดั สนิ หลักเกณฑ์ หลกั เกณฑท์ าง ไม่สมบูรณบ์ า้ ง ภาษา ส่ือความ ทางภาษา ภาษา ส่ือความได้ ผดิ หลกั เกณฑท์ าง ไมไ่ ด้ ส่อื ความได้ชัดเจน ภาษาอยา่ งมาก สอื่ ความไมช่ ัด นอกจากเกณฑ์การประเมินแบบแยกประเดน็ แล้ว ยังมีเกณฑก์ ารประเมินแบบภาพรวม (Holistic Rubric) เช่น ตอ้ งการประเมนิ การเขียนเรียงความแต่ไม่ได้พจิ ารณาแยกแต่ละประเดน็ ว่าเขยี น นำเรอ่ื ง สรปุ เร่อื ง การผูกเรื่องแตล่ ะประเดน็ เป็นอยา่ งไร แต่เปน็ การพจิ ารณาในภาพรวมและให้คะแนนในภาพรวม ดงั ตวั อย่าง ในตารางที่ ๔.๓

๑๓๘ ตารางท่ี ๔.๓ แสดงตัวอยา่ งเกณฑ์การประเมินแบบภาพรวมสำหรบั ประเมนิ การเขียนเรียงความ คะแนน เกณฑ์ ๕ เขยี นบทนำและบทสรุปได้ดี ทำใหง้ านเขยี นมีใจความสัมพนั ธ์กัน หวั ข้อเร่อื งมีรายละเอียด ๔ สนบั สนนุ อยา่ งชัดเจน การผูกเรือ่ งเปน็ ลำดับข้ันตอน รปู ประโยคถกู ต้อง มสี ะกดคำผิดบ้าง ๓ เลก็ น้อย สำนวนภาษาสละสลวย ๒ ......................................................................... ๑ มีบทนำ บทสรุป เนื้อหาสอดคล้องกับหัวข้อเรื่อง รายละเอียดสนับสนุนน้อย เนื้อหา บางสว่ นไม่ชดั เจน การผกู เรอื่ งเปน็ ลำดบั รูปประโยคถูกต้อง มีสะกดคำผดิ อยูบ่ ้าง สำนวน ภาษาสละสลวยบางแห่ง ......................................................................... ไม่มีบทนำและหรือบทสรุป เนื้อหาอ้อมค้อม ไม่ตรงประเด็นนัก มีรายละเอียดสนับสนุน นอ้ ย และไม่สมเหตสุ มผล เขยี นสะกดคำผดิ มาก เกณฑก์ ารประเมินนอกจากจะใช้เพอื่ ประเมินชน้ิ งาน/ภาระงานแลว้ ยังสามารถใชเ้ ป็นเครื่องมือ ใน การสอนได้อยา่ งดี โดยใหผ้ ูเ้ รยี นได้รับทราบว่าผู้สอนคาดหวงั อะไรบ้างจากชิน้ งานที่มอบหมาย หรือให้ ผู้เรียนร่วมในการสร้างเกณฑ์ก็จะทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและรับผิดชอบ ผู้สอนที่ใช้เกณฑ์การประเมินเปน็ ประจำจะพูดตรงกันว่า เกณฑก์ ารประเมินให้ภาพท่ีชดั เจนดกี ว่าคำส่ัง และหากมตี วั อยา่ งชนิ้ งานประกอบให้ ผเู้ รียนไดช้ ่วยกนั พจิ ารณา อภปิ รายโดยใชเ้ กณฑ์ท่รี ่วมกันสร้างขึ้น ก็จะย่ิงทำให้ผูเ้ รียนสามารถแยกแยะได้ว่า ชิ้นงานทีด่ ีมีคุณภาพเป็นอย่างไร ตัวอย่างชิ้นงาน (Exemplars) คือ ผลงานของผู้เรียน ซึ่งผู้สอนอาจเก็บรวบรวมจากงานที่ ผู้เรยี นทำสง่ ในแต่ละปีการศกึ ษา เพ่ือเป็นแบบอย่างใหเ้ หน็ ว่าลักษณะงานแบบใดทด่ี ีกว่า ตัวอยา่ งชนิ้ งานควร มีหลาย ๆ ระดบั เพอื่ ผู้เรียนจะได้เห็นความแตกตา่ ง เกณฑก์ ารประเมินยงั ใช้เปน็ เคร่อื งมือส่ือสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรยี น ผสู้ อนกับผ้ปู กครอง และ ผู้เรียนกับผู้ปกครอง การมีภาพความคาดหวังที่ชัดเจนจะช่วยให้ผู้สอนสามารถให้ข้อมูลย้อนกลับที่เป็น ประโยชนแ์ ก่ผู้เรียน และเป็นประเด็นสำหรับพูดคุยเพ่ือการพัฒนาการเรยี นรู้ไดด้ ีย่งิ ข้ึน

๑๓๙  สมรรถนะหลักของผู้เรยี น : ประเมนิ อยา่ งไร แนวคิดและหลักการของการวัดและประเมินผลฐานสมรรถนะ (Competency-Based Assessment: CBA) การวดั และประเมนิ ฐานสมรรถนะ เป็นการตรวจสอบว่าผู้เรียนเกิดสมรรถนะ หรอื มคี วามก้าวหน้าใน สมรรถนะนั้น ๆ โดยพิจารณาจากการแสดงออกทางพฤติกรรมหรือการกระทำในการใช้ชีวิต การแก้ปัญหา และการปฏิบัติงาน เน้นใช้การประเมินเพื่อพัฒนาที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ เพื่อช่วยให้ผู้เรียน ก้าวหน้าในการเรียนรู้เป็นรายบุคคล และใช้หลักฐานที่แสดงความเชี่ยวชาญตามสมรรถนะที่กำหนดสำหรับ การประเมินเพอื่ สรปุ ผล การวดั และประเมนิ ผลฐานสมรรถนะจะตอ้ งดำเนินการให้สอดคล้องกับหลักสูตร การวัดและประเมินผลฐานสมรรถนะ มหี ลกั การและแนวทาง ดงั น้ี 1. ให้ความสำคญั กับการประเมนิ เพือ่ พัฒนา (Formative Assessment) โดยถือว่าการประเมิน เป็น กิจกรรมในกระบวนการเรียนการสอนตามปกติ ผู้เรียนมีการประเมินตนเองระหว่างเรียน (Assessment as Learning) เพื่อนำผลการประเมนิ มาใช้ในการปรับปรุงวิธีการเรียนรู้ของตนให้ดีย่ิงขึ้น ก้าวหน้าขึ้น ครูสังเกต และเก็บข้อมูล การเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อนำผลการประเมินมาใช้ในการปรับปรุงการสอนของตน และ พัฒนาการเรยี นรู้ของ ผเู้ รียนให้ดีขึน้ (Assessment for Learning) 2. การประเมินเพื่อพัฒนาใช้วิธีการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) จากสิ่งท่ี ผู้เรียนไดป้ ฏิบตั ิจริง เช่น การประเมินโดยใช้แฟม้ สะสมผลงาน (Portfolio) การประเมินจากชิ้นงาน จากการ ปฏบิ ตั งิ าน รวมไปถึงการประเมินตนเองและการประเมนิ โดยเพ่ือน 3. การประเมินตัดสินผล (Summative Assessment) จะมุ่งวัดสมรรถนะองค์รวมที่แสดงถึง ความสามารถในการประยุกต์ใช้K (Knowledge) S (Skill) A (Attitude and Values) ในการปฏิบัติงานใน สถานการณ์ต่าง ๆ 4. การประเมินเพื่อตัดสินผล เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ (Assessment of Learning) โดยใช้ วิธีการวัดจากพฤติกรรม การกระทำ การปฏิบัติของผู้เรียนในสถานการณ์ต่าง ๆ (Performance Test) ที่ แสดงออกถึงความสามารถในการประยุกต์ใช้ K S A ตามเกณฑ์การปฏิบัติ (Performance Criteria) และ หลักฐานการเรยี นรู้อืน่ ๆ (Evidence) เปน็ การประเมนิ แบบองิ เกณฑ์ไม่ใช่อิงกลุ่ม 5. การประเมินฐานสมรรถนะ มีการใช้สถานการณ์เป็นฐาน เพื่อให้บรบิ ทการประเมนิ เป็นสภาพจริง หรอื ใกลเ้ คียงสภาพจรงิ มากที่สดุ 6. ผู้เรียนจะได้รับการประเมนิ เมื่อพรอ้ ม หากไม่ผ่านการประเมนิ ตามเกณฑ์ที่กำหนด ผู้เรียนจะตอ้ ง ได้รับ การสอนซ่อมเสริมหรอื ได้รับความชว่ ยเหลือด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่เหมาะสมกบั ปัญหาและความต้องการ ของผเู้ รยี นจนสามารถผา่ นไดต้ ามเกณฑ์ จึงจะกา้ วไปสูก่ ารเรยี นร้ใู นขนั้ หรือระดับท่สี ูงขึน้ 7. การรายงานผล เป็นการให้ข้อมูลพัฒนาการของผู้เรียนในด้านต่าง ๆ ที่ช่วยให้ผู้ปกครอง และ ผู้เก่ียวข้องไดข้ อ้ มลู เกี่ยวกับการเรียนร้แู ละการพฒั นาการของผ้เู รียน ตามความเปน็ จรงิ อยา่ งรอบด้าน ซ่งึ แต่ละ สถานศึกษาสามารถพฒั นาขน้ึ ตามความเหมาะสมกับหลกั สูตรสถานศึกษา การประเมินผลการเรียนรู้ที่ท่านใช้อยู่ในปัจจุบันเน้นการประเมินแบบใด ใช้เครื่องมือประเภทให้ ผเู้ รียนเลือกตอบ หรอื ใช้เครื่องมือประเภทให้ผ้เู รยี นสร้างคำตอบเอง จะเห็นว่าสมรรถนะหลกั ของผู้เรียน เป็น ตัวแทนตัวชี้วัด/มาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดในการพัฒนาผู้เรียนนั่นเอง ดังนั้นการออกแบบภาระงานการ ประเมิน ตอบสนองใหเ้ กิดการพฒั นาผู้เรียนตามตัวชีว้ ัด/มาตรฐานการเรียนรู้หรอื ไม่ ผเู้ รยี นไดเ้ ป็นผู้ลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้หรือไม่ และในกระบวนการเรียนการสอนได้มีการให้ข้อมูลย้อนกลับที่จะนำให้ผู้เรียนได้

๑๔๐ พฒั นาครอบคลุมมติ ติ ่าง ๆ ของสมรรถนะหลักของผู้เรียนอยา่ งเพยี งพอหรือไม่ จำเปน็ ตอ้ งมีการเปลยี่ นแปลง ใดอกี เพ่อื ใหส้ ามารถพัฒนาผเู้ รยี นให้บรรลุผลตามตวั ช้ีวดั และมาตรฐานการเรียนรู้ การประเมนิ สมรรถนะหลักของผู้เรยี นจึงควรใชว้ ิธีการประเมนิ ที่เน้นการปฏิบตั ิและบูรณาการอยู่ใน กระบวนการเรียนการสอนแล้ว ไมเ่ ปน็ การแยกประเมนิ ตา่ งหากอกี  การประเมินผลการเรียนรู้ตามกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุม่ สาระการเรียนรู้ทั้ง ๘ กลุ่มสาระ เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ ตามตัวช้วี ดั ในหลักสูตร ซง่ึ จะนำไปสู่การสรุปผลการเรยี นรู้ของผ้เู รียนตามมาตรฐานการเรียนรู้ต่อไป ภารกิจ ของสถานศกึ ษาในการดำเนินการประเมนิ ผลการเรียนรูต้ ามกลมุ่ สาระการเรียนรู้ มรี ายละเอียดดังน้ี ๑. กำหนดสัดส่วนคะแนนระหว่างเรียนกับคะแนนปลายปี/ปลายภาค โดยให้ความสำคัญของ คะแนนระหว่างเรยี นมากกวา่ คะแนนปลายป/ี ปลายภาค เชน่ ๖๐:๔๐ , ๗๐:๓๐ , ๘๐:๒๐ เป็นตน้ ๒. กำหนดเกณฑ์การตัดสินผลการเรียน โดยพิจารณาความเหมาะสมตามระดับชั้นเรียน เช่น ระดับประถมศึกษาอาจกำหนดเป็นระดับผลการเรียน หรือระดับคุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียนเป็นระบบ ตัวเลข ระบบตัวอกั ษร ระบบรอ้ ยละและระบบคุณภาพสะท้อนมาตรฐาน สำหรับระดบั มธั ยมศึกษากำหนด เปน็ ระดบั ผลการเรียน ๘ ระดับ และกำหนดเง่ือนไขต่าง ๆ ของผลการเรียน เช่น การประเมินที่ยังไม่สมบูรณ์ (ได้ ร) การไมม่ ีสทิ ธิเขา้ รับ การสอบ (ได้ มส ) เป็นต้น นอกจากนี้ สถานศกึ ษาอาจกำหนดคุณลักษณะของ ความสำเร็จตามมาตรฐานการศึกษาแตล่ ะชัน้ ปเี ป็นระดบั คณุ ภาพเพิ่มอกี ก็ได้ ๓. กำหนดแนวปฏิบัติในการสอนซ่อมเสริม การสอบแก้ตัว กรณีผู้เรียนมีระดับผลการเรียน “๐” และแนวดำเนินการกรณีผู้เรยี นมีผลการเรียนท่มี เี ง่อื นไข คือ “ ร ” “ มส.” ๔. กำหนดแนวปฏบิ ัตใิ นการอนมุ ตั ผิ ลการเรยี น ๕. กำหนดแนวทางในการรายงานผลการประเมินต่อผู้เกย่ี วข้อง เชน่ ผู้ปกครอง ๖. กำหนดแนวทาง วิธีการในการกำกับ ติดตามการบันทึกผลการประเมินในเอกสารหลักฐาน การศึกษา ทั้งแบบที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ และแบบที่สถานศึกษา กำหนด

๑๔๑  เกณฑ์การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ ๑. การตัดสินผลการเรยี น หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กำหนดโครงสร้าง เวลาเรียน มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ช้วี ดั การอา่ น คิดวิเคราะห์และเขยี น คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์และกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียนที่สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มีคุณภาพเต็มตามศักยภาพและให้สถานศึกษากำหนด หลกั เกณฑ์ การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ เพอื่ ตัดสินผลการเรียนของผู้เรียน ดงั น้ี ๑) ผู้เรยี นต้องมเี วลาเรียนไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ ๘๐ ของเวลาเรียนท้งั หมด ๒) ผู้เรยี นต้องไดร้ ับการประเมนิ ทกุ ตัวชี้วัด และผ่านตามเกณฑ์ท่ีสถานศึกษากำหนด ๓) ผู้เรยี นตอ้ งไดร้ ับการตัดสนิ ผลการเรยี นทุกรายวชิ า ๔) ผูเ้ รยี นต้องไดร้ บั การประเมนิ และมผี ลการประเมนิ ผา่ นตามเกณฑ์ท่สี ถานศกึ ษากำหนด ในการอ่าน คดิ วเิ คราะห์และเขียน คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ และกิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น ๒. การให้ระดับผลการเรียน สถานศึกษาต้องกำหนดเกณฑ์การตัดสินผลการเรียน ซึ่งสามารถอธิบายผลการตัดสินว่าผู้เรียนต้อง มีความรู้ ทักษะและคณุ ลักษณะโดยรวมอยใู่ นระดับใด จึงจะยอมรบั ว่าผา่ นการประเมิน การตัดสนิ ผลการเรียนรายวิชาของกลุ่มสาระการเรยี นรู้ สถานศกึ ษาสามารถให้ระดับผลการเรียน ๘ ระดับ หรอื ระดับคณุ ภาพการปฏิบัติของผเู้ รียนเป็นระบบตัวเลข ระบบตัวอกั ษร ระบบ รอ้ ยละและระบบที่ใช้ คำสำคัญท่สี ะทอ้ นมาตรฐาน กรณีท่สี ถานศึกษาใหร้ ะดบั ผลการเรียนดว้ ยระบบตา่ ง ๆ สามารถเทยี บกนั ได้ดงั น้ี คะแนนรอ้ ยละ ระบบตัวเลข ระบบคุณภาพ แบบ ๒ แบบ ๑ แบบ ๓ ดเี ยย่ี ม ดเี ย่ียม ๘๐-๑๐๐ ๔ ๗๕-๗๙ ๓.๕ ดี ดี ๗๐-๗๔ ๓ ผ่าน ๖๕-๖๙ ๒.๕ พอใช้ ๖๐-๖๔ ๒ ผ่าน ๕๕-๕๙ ๑.๕ ผ่าน ๕๐-๕๔ ๑ ไมผ่ า่ น ไม่ผ่าน ไม่ผา่ น ๐-๔๙ ๐

๑๔๒  การประเมินการอ่าน คิดวเิ คราะหแ์ ละเขียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กำหนดให้มีการประเมินการอา่ น คิด วิเคราะห์และเขยี น ดังนั้นสถานศึกษาต้องวางแผนการพัฒนาความสามารถ ด้านการอ่าน คิดวิเคราะห์และ เขียน ควบคไู่ ปกบั การจดั การเรยี นรู้ในรายวชิ าต่าง ๆ สถานศกึ ษาอาจกำหนดขนั้ ตอนดำเนนิ การ ดังแผนภาพที่ ๓.๒ ประชุมชแ้ี จงแนวการสง่ เสรมิ /พัฒนา กำหนดเกณฑ์ คณะกรรมการพัฒนาและประเมนิ การประเมนิ และแนวทางการวัดผลประเมนิ ผล การอา่ น คิดวิเคราะหแ์ ละเขียน ดำเนินการส่งเสริม/พฒั นา ควบค่กู ับการจดั กจิ กรรม ครูผสู้ อน การเรยี นรู้ ๘ กลุม่ สาระ/โครงการ/กิจกรรมส่งเสริม ครผู สู้ อน ครทู ่ปี รึกษา/ครปู ระจำช้นั วัดผล ประเมนิ ผล บนั ทกึ ผล (สรุปผล) หรือผู้ทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย ประมวลผล สรุปผล คณะกรรมการพฒั นาและประเมนิ การอา่ น คดิ วิเคราะห์และเขียน ไม่ผ่าน ผ่าน ซอ่ มเสริม - ครูประจำชัน้ ดีเย่ียม ดี - ครูที่ปรกึ ษา - นายทะเบียน ผ่าน บันทึกผล

๑๔๓  เกณฑก์ ารวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ ๑. การตัดสินผลการเรียน หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ได้กำหนดโครงสร้าง เวลาเรยี น มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวช้วี ัด การอา่ น คดิ วิเคราะหแ์ ละเขียน คุณลักษณะอนั พงึ ประสงคแ์ ละกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน ทสี่ ถานศึกษาตอ้ งจัดให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรู้ มคี ณุ ภาพเตม็ ตามศักยภาพและใหส้ ถานศึกษากำหนด หลกั เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เพื่อตัดสนิ ผลการเรียนของผู้เรียน ดังน้ี ๑) ผู้เรียนตอ้ งมีเวลาเรียนไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรยี นทั้งหมด ๒) ผเู้ รยี นตอ้ งไดร้ บั การประเมินทุกตวั ชี้วัด และผ่านตามเกณฑท์ ่ีสถานศกึ ษากำหนด ๓) ผู้เรยี นตอ้ งไดร้ ับการตดั สินผลการเรยี นทุกรายวิชา ๔) ผเู้ รียนต้องได้รบั การประเมนิ และมีผลการประเมนิ ผา่ นตามเกณฑ์ทีส่ ถานศกึ ษากำหนด ในการอา่ น คิดวิเคราะห์และเขยี น คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ และกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียน ๒. การให้ระดบั ผลการเรยี น สถานศึกษาต้องกำหนดเกณฑก์ ารตัดสนิ ผลการเรียน ซง่ึ สามารถอธิบายผลการตัดสินว่า ผเู้ รียนต้องมีความรู้ ทักษะและคณุ ลกั ษณะโดยรวมอยใู่ นระดบั ใด จงึ จะยอมรบั ว่าผา่ นการประเมนิ การตัดสินผลการเรียนรายวชิ าของกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ สถานศกึ ษาสามารถใหร้ ะดับผลการ เรียน ๘ ระดับ หรอื ระดับคณุ ภาพการปฏบิ ตั ิของผูเ้ รียนเป็นระบบตัวเลข ระบบตวั อกั ษร ระบบ ร้อยละและ ระบบท่ีใช้คำสำคญั ท่สี ะท้อนมาตรฐาน กรณที ีส่ ถานศึกษาใหร้ ะดับผลการเรียนดว้ ยระบบตา่ ง ๆ สามารถเทียบกนั ไดด้ งั นี้ คะแนนร้อยละ ระบบตัวเลข แบบ ๑ ระบบคุณภาพ แบบ ๓ ดีเยย่ี ม แบบ ๒ ๘๐-๑๐๐ ๔ ๗๕-๗๙ ๓.๕ ดี ดีเย่ยี ม ๗๐-๗๔ ๓ ๖๕-๖๙ ๒.๕ พอใช้ ดี ๖๐-๖๔ ๒ ผ่าน ๕๕-๕๙ ๑.๕ ผ่าน ๕๐-๕๔ ๑ ไม่ผา่ น ผา่ น ๐-๔๙ ๐ ไม่ผา่ น ไมผ่ า่ น

๑๔๔ การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้นให้ระดับผลการประเมินเปน็ ผา่ นและไม่ผา่ น กรณีทีผ่ ่านใหร้ ะดับผลการเรยี นเปน็ ดีเยย่ี ม ดีและผ่าน สถานศกึ ษาสามารถกำหนดความหมายของผลการประเมินคุณภาพดีเยี่ยม ดแี ละผา่ น ไดด้ งั นี้ ๑. การประเมินอา่ น คิดวเิ คราะหแ์ ละเขียน ดีเย่ียม หมายถึง สามารถจับใจความสำคญั ได้ครบถว้ น เขยี นวพิ ากษว์ ิจารณ์ เขยี นสรา้ งสรรค์ แสดงความคดิ เหน็ ประกอบอยา่ งมเี หตผุ ล ไดถ้ ูกต้องและสมบรู ณ์ ใช้ภาษาสุภาพและเรียบเรยี ง ไดส้ ละสลวย ดี หมายถงึ สามารถจับใจความสำคญั ได้ เขยี นวิพากษ์วิจารณ์ และเขียนสร้างสรรคไ์ ด้โดยใช้ภาษาสุภาพ ผ่าน หมายถงึ สามารถจับใจความสำคญั และเขียนวิพากษว์ ิจารณ์ ไดบ้ ้าง ๒. การประเมินคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ดเี ยี่ยม หมายถึง ผู้เรียนมีคุณลักษณะในการปฏิบัติจนเป็นนิสัยและ นำไปใช้ในชีวิตประจำวันเพอื่ ประโยชนส์ ุขของตนเองและสงั คม ดี หมายถึง ผเู้ รียนมีคณุ ลักษณะในการปฏิบัตติ ามกฎเกณฑ์ เพือ่ ใหเ้ ป็นที่ยอมรบั ของสังคม ผา่ น หมายถึง ผเู้ รียนรับรู้และปฏบิ ตั ิตามกฎเกณฑ์และเงอ่ื นไข ทีส่ ถานศึกษากำหนด การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติกิจกรรม และผลงานของผเู้ รียนตามเกณฑท์ ี่สถานศกึ ษากำหนดและใหผ้ ลการประเมินเป็นผา่ นและไม่ผา่ น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook