Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กระเทาะเปลือกความทุกข์ สุขให้ถึงเเก่น

กระเทาะเปลือกความทุกข์ สุขให้ถึงเเก่น

Description: กระเทาะเปลือกความทุกข์ สุขให้ถึงเเก่น

Search

Read the Text Version

โดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ(สมชาย ฐานวุฑโฒ)^ เจ้าของรางวัลพระราขทานเสาเสมารรรมจักรปี 2557 สาขาแต่งหนังสิฮทางพระพุทธศาสนา - ^1!^ล้านคบ I^FFBB//TThhanavuddhostorv กรุพุ) เปลือก , ความแทฃ์ ใเฯถึวแก่น วางใจให้ถูกจุด สลัดทุกข์จากการงานที่ยงหาทางออกไม่เจอ อยู่อย'างมีความสุข เพยงรู้จักการจัดการ แล้วให้ \"บุญ\" ร้องเรียกความโซคดี ความสำ!รจในปีวิถอยู่ไม่ไกล!กินความคิกคุณ www.kalyanamitra.org

A www.kalyanamitra.org

ก8ll^'7# เปลือก ความMทฃ www.kalyanamitra.org

ใหัสงแก่น www.kalyanamitra.org

[ๆร เปลือก . ควาบฺหุทย่ 5* Tmjiin'u ทรรท;ปฬัสุวัพนไพร{น(สมซา& ]านๅ<ทไพ) บรรณาธํการเล่ม จรรยาพร เจริญไทย สืลปกรรม ปวีร'ใจขื่อกุล พสูจน่อักษร ชุฟ้'ตรา มะโนนัย ประลาบงาน ศดิญา ใดรวิเขื่ยร ฟ้มพ์ครงที่ 1 พฤคจกายน 2559 ISBN 978-616-7963-07-5 ราคา 95 บาท อัดหำโดย บริษัท ล่านักพมพ์ หํนโลกท'นธรรม จำ กัด เลขที่ 62/13 ทมู่ 11 ต. คลองสอง อ. คลองหลวง จ,ปทุมธานี 12120 โทรสัพหํ 0-2901-9044 โทรสาร 0-2901-9044 เว็บใขต์ www.tltpress.com อเมล [email protected] อัดจำหปายโดย บริษัท ขื่เอ็ดยูเคขั่น จำ กัด(มหาขบ) SE-EDUCATION PUBLIC COMPANY LIMITED เลขที่ 1858/87-90 กนนบางนา-ตราด แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260 โทรสัพท'0-2739-8000,0-2739-8222 โทรสาร 0-2739-8356-9 เว็บโขด wvvw.se-ed.com พิมพ์ที่ บริษัท โอ.เอส, พริ้นติ้ง เฮาส์ จำ กัด โทรสัพท'0-2424-6944 โทรสาร 0-2434-3802 www.kalyanamitra.org

สรางความสว่าJ แห่ป้ป็ญญฺา ถ้วยการอาน www.kalyanamitra.org

บทบรรณาธิการ หากจะกล่าวถึงความยากง่ายในการดำเนินชีวิตของ แต่ละคนย่อมต่างกัน มีปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่ส่งผลกระทบ ที่งซ่วงเวลา สถานการณ์ สภาพแวดล้อม หลักวิธคิด และ สภาวะจิตของแต่ละคน รวมทั้งบุญกรรมนำพาย่อมมีผลต่อ ความสำเร็จในชีวิตของเราด้วย คนเราจึงมีความสามารถใน การปลดเปลื้องทุกข์พบความสุขและความสำเร็จได้มากน้อย ต่างกันไป หนังสือ กะเทาะเปลือกความทุกข์ สุขให้ถึงแก่น เล่มนี้ เกิดขึ้นได้ด้วยความเมตตาของพระอาจารย์ฐานวุฑโฒ www.kalyanamitra.org

ที่อนุญาตให้คณะทำงานได้ร่วมกันรวบรวมเนื้อหาอันเป็น ธรรมรสเพื่อจัดพิมพ์หนังสือ นำ มาซึ่งใจความสำคัญจากธรรม ที่ตรัสไว้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อมาประยุกต์ใช้ในการ ก้าวเดินไปสู่ความสุขความสำเร็จในชีวิต ด้วยการเดิมพลังใจ เพื่มพลังบุญ เสริมพลังงาน และสร้างพลังแห่งความสำเร็จ เรามาร่วมกันไขความลับพุทธวิธีทำใจให้ล่อนหลุดจาก ทุกข์ วางใจอย่างไรให้ถูกจุด แล้วจะพบความสุขได้ง่าย ๆ เมื่อรู้ซ่องขี้ทางให้บุญร้องเรียกความโขคดีมาสู่คุณนักอ่านผู้เป็น กัลยาณมิตรทุกท่าน บรรณาธิการ www.kalyanamitra.org

บทนำ คนเราเกิดมามีต้นทุนมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป แต่ก็มีสิงที่จะนำเราทุกคนไปสู่ความสุขความสำเร็จในชืวิต ได้ ทุก ๆ เรื่องย่อมมีหลักของมัน ถ้าเราจับหลักได้ถูก ไม่ ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เราก็จะผ่านไปได้ด้วยดีเสมอ เพราะฉะนั้น เกิดเป็นมนุษย์นั้นยากแสนยาก เมื่อเกิดมา แล้วก็ต้องทำชีวิตให้ประเสริฐ ให้มีคุณค่า ให้มีความหมาย และพบความสุขความสำเร็จในชีวิตด้วย ทุกวันนี้คนเราใช้ชีวิตกันอย่างเร่งรืบ และวิ่งตาม ๆ กันไป อาตมภาพจึงอยากจะให้ข้อคิดเป็น 2 ย่างก้าวสำคัญ www.kalyanamitra.org

เพื่อใซ้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตอย่างช้า ๆ แต่ ประสบความสำเร็จแบบวิถีพุทธ หรือที่เราเรียกกันว่า \"Slow Life\" ในแบบที่กำลังเป็นกระแสสังคมตอนนี้ คือ ใช้ชีวิตอย่างไรให้พอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป อยู่ในกฎที่ จะกำหนดอนาคตให้ดีได้มีความสุขด้วย และประสบความ สำ เร็จตั้งแต่ในชาตินี้ ตลอดจนภพชาติต่อ ๆ ไป ชออนุโมทนาคณะบรรณาธิการที่ร่วมด้นคว้า และ เรียบเรียงข้อมูลประกอบ ทำ ให้เนี้อหามีความสมบูรณ์ยิ่งชีน ฮานจุฑฺโฒ ภิกขุ www.kalyanamitra.org

สารบัญ กัาวที่ เสริมพลังวาน 13 สรัาวพลังแห่งความสำเรๆ า| \"ร10พ Life\" วิ ถี Lบทธ 14 2ไไมม่่มนาอกยไไปบ 32 ■2 กปเทล็ก กาหนดอนาคถ 46 www.kalyanamitra.org

กัาวท 53 2 ควาบลบขอJ เถิบพลัง?ๆ 4 รอยยบ เพมพลัJUญ 92 เ- \"บบุุญญ\" ๖รอชงงเรียก ล่อนหลุถ 'ใากกุกข ^ ควาบโชคถี 54 102 วาjTจ 2ให้คกๆถ 55 •9 ควาบสุข อยู่ไกนหนอ 80 www.kalyanamitra.org

www.kaly■a'^namitr■^a' .ฟ้o;\"■rg-\".A--... ;-::j>^.\\fc's-:..-^^:;!^-Sv '^ - :.■ฬ

1 เสริมพลังงา ความสำเรจ www.kalyanamitra.org

๒LJ iFo วทพุ IB www.kalyanamitra.org

fflวที่ 1 14 เสรมพลังงาบ สร้างพลังแห่งความสำเร็จ 15 Life\" 5กพุ1/|| ตอนนี้มีกระแสมาแรงในสังคมเรื่องฃองการใช้ซีวิตให้ช้าลง หรือที่เราเรียกกันว่า \"Slow Life\" เซ่น ตื่นมา'ปิบก็นั่งจิบกาแฟไป เรื่อย ๆ นั่งสูดอากาศ หรือบางครั้งถ้าว่าง ๆ ก็ออกไปปีนจักรยาน แต่ แห้จริงแล้ว \"SLovy Life\" สามารถ■นำมาใช้ในชีวิตจริงได้หรือไม่ \"ฮวิถแบบ ร1๐พ Life กี่?คร ๆ กล่าวทีJ บาวว่าถี บาวว่าไม่ถี เรามาถกันว่า ร!๐พ Life ในมุบมอวของ พรรพุทธกาสนาแลgการ?ชัปิวิกชัา q ในมุมมอง พรรอาการย์วานวุกโฌ ทมายความว่าอยางไร \"Slow Life\" เป็นศัพท!หม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาในยุคนี้ อาจจะ เป็นเพราะว่า วิถีชีวิตม'ยุษย์ในยุคปิจจุบันค่อนช้างเร่งรัดมาก อะไร ๆ ก็ดูรืบไปหมดจนกระทั่งเวลาไม่ค่อยม่ เวลานอนก็ไม่ค่อยพอ เราจึงมี ความร้สีกว่าเหนื่อยและอยาก'พักบ้าง จิงมีคนนำเสนอว่าพวกเราน่าจะ ใช้ชีวิตให้มันช้าลงกว่านี้อีกหน่อย www.kalyanamitra.org

ปรากฏว่า \"Slow Life\" กลายเป็นกระแสฮิตติดลมบน ดังระเป็ดไปทั้งโลกทันที มีคนแห่ทำตามกันมากเพราะสอดคล้องกับ ความต้องการของคนส่วนใหญ่ ที่รู้สึกว่าตนเองเหนื่อยเหลือเกินแล้ว อยากจะมีมุมพักของชีวิตบ้าง แต่ \"เราถัองแยกแยรคำว่า ร1๐ฌ Life กับคำว่า เรอย!อ่อย ใหออก พอุขอกว่า?หัชัาลjQu คนส่วช?หญ่จรรสั๋ก!รอย!□อย ชวารัว ๆ ไม่?ช'ความหมายขอวคำว่า\"รเอพ Life\" \"Slow Life\" มีนัยที่แท้จริง คือ \"ให้เราดำเนินชีวิตอย่าง มีลดิมากขึ้น\" คนสมัยนี้ทำอะไรก็เร่งรีบไปหมด ไม่ค่อยมีเวลาจดจ่อ กับเรื่องต่าง ๆ กินข้าวก็รีบเคี้ยว กินยังไม่ท้นเสร็จก็ต้องรีบไปทำอย่างอื่น ไจไม่ค่อยอยู่กับเนี้อกับตัว พอกำลังทำอีกอย่าง ไจกลับไปพะวงเรื่องอื่นต่อไปเรื่อย ๆ บางคนกลายเป็นคนสมาธิลันไปเลยก็มี เซ่น ทำ เรื่องนี้ยังไม่ท้นเสร็จ ก็ทิ้งไปทำเรื่องโน้น ทำ เรื่องโน้นยังไม่ท้นเสร็จ ก็ทิ้งไปทำเรื่องนั้น มัน เร่งรัดไปหมดจนกระทั่งสุขภาพกายแย่ สุขภาพไจก็ยรแย่ตามไปต้วย ทั้งกังวล เครียด เบื่อหน่าย รู้สึกหมดเรื่ยวแรง จนบางคนนอนนิ่งไป www.kalyanamitra.org

เฉย ๆ มีอาการเหมือนคนเป็นโรคประสาทที่หมดกำลังไ'ปดื้อ ๆ ตรวจ หาอาการป่วยก็ไม่พบ เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดจากความเครียด ที่สะสม จนกระทั่งร่างกายหมดแรงไปนั่นเอง แต่ถ้าเราใฃ'ชีวิตอย่างมืสติคือ ไม่ว่าจะทำอะไรใจก็จดจ่อกับ สิ่งนั้น เซ่น เวลาพูดหรือฟ้งผู้อื่นก็มีสมาธิ ไมใซ่ฟ้งบ้าง แล้วก็ถ้มลง ใต้โต๊ะกดแซต อีกลัก 10 - 20 วินาที ก็เงยหน้าฃี้นมาฟังคู่สนทนา อย่างนี้เสียสมาธิเพราะสติไม่อยู่กับเนี้อกับตัว ใจกระโดดไปทางนั้บที กระโดดไปทางนี้ที จนสับสนวุ่นวายไปหมด ถ้าเรามีสติอยู่กับตัว ไม่ว่าจะทำอะไรใจก็จดจ่อกับเรื่องนั้น เซ่น เวลากินข้าวก็ดื้งใจเคี้ยวข้าวให้ละเอียดแล้วค่อยกลืนลงไป อย่างนี้ เหมือนกับว่าเราทำอะไรข้าลงนั่นเอง อาตมภาพต้องขอเน้นยํ้าสำหรับคนที่ซอบเผลอ เพราะคำว่า \"ข้า\" เชื่อมกับคำว่า \"เฉื่อย\" ในชีวิตคนเราร้อยละ 80 เปอร์เซ็นต์ ที่เราทำอยู่นั้น มันให้ผลงานจริง ๆ กับชีวิตของเราแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ www.kalyanamitra.org

เท่านั้น แต่สิ่งที่เราทำโดยใช้เวลา 20 เปอร์เซ็นต์ กลับให้ผลลัพธ์ที่ ดีกับชีวิตเราถึง 80 เปอร์เซ็นต์ สิ่งเป็นหลักสากลที่เขาศึกษากันมา แล้วทั้งโลก พอรู้อย่างนี้ ทำ ไมเราไมให้เวลากับตรงส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ ที่ให้ผลลัพธ์กับชีวิตเราถึง 80 เปอร์เซ็นต์ให้มากขึ้น แทนที่จะให้เวลา เพียง 20 เปอร์เซ็นต์ เราเพิ่มเวลาให้เป็น 25 - 30 เปอร์เซ็นต์ เราก็ จะรู้สึกว่าไม่ต้องเร่งรบเลย ยกตัวอย่าง ล้าเราขับรถแล้วเหยียบคันเร่งที่ 140 กิโลเมตร/ ชั่วโมง กับ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้นต่างกันมาก เราจะมีความรู้สึกว่า การเหยียบคันเร่งที่ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เราสามารถควบคุมรถไต้ อย่างสบาย ๆ แต่พอเราเหยียบคันเร่งที่ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง เรา ซักจะรู้สึกหวาดเสียวแล้ว เพราะล้ามีอุ'บต็เหตุเกิดขึ้น เราอาจจะเบรก ไม่ทันและควบคมรถไม่อย่ ■การถำเนินฮธถซอ0เรากัเหมือนกับการขับรถ คัา!รา!รวรถมาท!กินไป เราจรรัสึก!กรง เกรียก แลรสัชสน\" www.kalyanamitra.org

18 19 แต่ถ้าเราผ่อนปรนเรื่องนั้น ๆ ลงมาอีกนิด แล้วให้ใจอยู่กับตัว มากขึ้นอีกหน่อย ส่วนสำคัญที่เราเคยใช้เวลาปกติเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ให้ผลดีกับชีวิตถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เราก็จะได้ให้เวลากับมันมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้จากการกระทำนั้น ก็จะสูงขึ้นกว่าเวลาที่สูญเสียไป ถ้าถามว่าเราจะเอาเวลาที่โหนมาให้กับส่วนนี้ ในเมื่อชีวิตเร่ง ร้อนขนาดนี้ ก็ให้เราโปตัดเวลามาจาก 80 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ เวลา 80 เปอร์เซ็นต์ที่เราใช้ไปแล้วให้ผลลัพธ์กับชีวิตเราแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ก็ให้ไปตัดตรงส่วนท้าย ๆ ที่แทบจะไม่ให้ผลลัพธ์อะไรเลย แต่เป็น ความรู้สึกที่เราอยากทำมากกว่านั้นออกไป เซ่น ซ่วงเวลาที่เราแซตคุย ไร้สาระกับเพื่อน เป็นด้น ถ้าเราตัดการใช้เวลาตรงส่วนนี้ออกไปได้ แล้วมาให้เวลากับเรื่องที่สำคัญ ๆ เราจะรู้สึกว่า มีเวลาพอที่จะเตรียมการ ล่วงหน้า แทนที่กระหืดกระหอบทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยเวลาน้อยนิด เมื่อเราได้เตรียมการล่วงหน้า พอถึงเวลาเราก็จะสามารถทำ ทุกอย่างได้อย่างสบาย ๆ โดยไม่ด้องรีบร้อน ไม่ต้องกระหืดกระหอบ นี่คือความหมายที่แท้จรีงของคำว่า \"Slow Life\" ความจริงแล้วคนที่คิดเรื่อง \"Slow Life\" นี้ เขาอาจจะยัง ไม่เห็นประเด็นตรงนี้ซัดเจนด้วยซํ้าไป เขาอาจจะรู้แต่เพียงว่า ชีวิต มันยุ่งเกินไปแล้ว เร่งรัดเกินไปแล้ว ต้องทำให้มันช้าลงบ้าง กินช้าว www.kalyanamitra.org

ให้ข้าลง ลดจังหวะการทำงานให้ข้าลง แล้วมืเวลาไปเที่ยวซนบท ได้ สัมผัสธรรมชาติบ้าง ตนเองจะได้มีเวลาออกกำลังกายให้เหงื่อออก ได้ดูแลสุขภาพร่างกายบ้างเท่านั้น จริง ๆ แล้วเราควรลดเวลาที่ให้กับโฃเซียลเน็ตเวิร์กลงบ้าง เพี่อจะได้มีเวลาทำอย่างอื่นมากขึ้น มีเวลาอยู่กับคนในครอบครัวและ เพื่อนฝูงมากขึ้น เราควรเน้นไปที่ความหมายที่แท้จริงของคำว่า \"Slow Life\" ให้ได้ผลอย่างแท้จริงคือ \"อยู่กับสติ ทำ ทุกอย่าง อย่างมีสติ ไม่ใช่ทำแบบหนูถีบจักร มันก็ถีบไปเรื่อย ๆ เพียงเพราะ มีจักรให้ถีบเท่า'^\" จักรเป็นวงกลมที่มีขั้นบันไดเล็ก ๆ พอหนูมันถีบไป นั้าหนัก ตัวของหนูก็ถูกแรงดึงดูดของโลกดูดลงมาอยู่ด้านล่าง พอมันพยายาม ถีบตัวเองขึ้นมา ตัวมันก็ตกลงไปอยู่ด้านล่างอีก มันจังพยายามวิ่ง ยิ่ง วิ่งเร็ว ล้อจักรมันก็ยิ่งหมุนเร็ว สุดท้ายหนูมันก็วิ่งอยู่ด้านล่างตลอด \"คนในโลกถอนนคลัาย ๆ กับหนถีบจักร กัาวไปแบบเบลอ C| เทนใครกำอร่ไรกันกักาทาม!ขาไป เพรารกลัวจรถกยุค กลัวว่าเราจรสู้เขาไม'ไถั คิถห่ววไปเอวเาเลยกำไปอย่าJUU\" www.kalyanamitra.org

20 21 ถ้าเราสังเกตฃีวิตคนที่ประสบความสำเร็จ ก็จะพบว่า เขามี เวลาละเมียดละไมในการใฃ้ชีวิตมากกว่าคนทั่วไป เขาไม่ไต้ยุ่งอยู่กับ การแซตตลอดทั่งวัน แต่ไข้เวลาของเขาไปกับเรื่องที่เขาพิจารณาแล้ว ว่าสำคัญ อาตมภาพเคยพบผู้ใหญ่ระดับผู้นำประเทศหลายท่าน ก็ เป็นอย่างบี้ สมมติว่านัดบ่ายโมง ท่านจะมาถึงก่อนเวลานัดราวครื่งขั่วโมง มีเวลาดื่มนํ้าและรับประทานอาหารว่าง ท่าทุกอย่างแบบสบาย ๆ ไม่ กระหืดกระหอบร้อนรน ถามว่า เขาเป็นผู้ใหญ่ขนาดบี้ท่าไมถึงมีเวลา ก็เพราะเขา เลือกแล้วว่าเขาจะท่าอะไร ไม่ไต้ท่าไปหมดเสียทุกอย่าง แต่เลือกท่า สิ่งที่พิจารณาแล้วว่าสำคัญ แล้วให้เวลากับสิ่งนั้น ๆ อย่างเหมาะสม ไม่ใช่ว่าท่าอะไรเยอะมั่วไปหมด แล้วบีบให้แต่ละอย่างมีเวลาเหลือ นิดเติยว แทรกเรื่องนั้นเรื่องบี้ ท่าอะไรข้อนกันไปหมด อย่างนั้นชีวิต ไม่มีคุณภาพ กลายเป็นชีวิตที่เร่งรัด แล้วก็รัสืกเครียด พอเลือกสิ่งที่ต้องท่าแล้วให้ความสำคัญกับสิ่งนั้น เราก็จะ จัดการทุกเรื่องไต้ลงตัวอย่างสบาย ๆ สามารถสัมผัสกับแต่ละกิจกรรม ไต้แบบละเมียดละไมต้วยความสุขุมนุ่มลก กลายเป็นชีวิตที่มีคุณภาพ www.kalyanamitra.org

คนสมัยก่อนที่ใซ้ชีวิตในยุคสังคมเกษตร ทำ ไมเขามีเวลาให้ กับชีวิตและกิจกรรมแต่ละอย่างได้มากมาย ไม่เหมือนคนลมัยนี้ที่ชีวิต ยุ่งวุ่นวาย ตั้งแต่ที่เราเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ด้องเข้างานเป็นกะ เวลา เริ่มเร่งรัดขึ้น ต่อมาเมืองใหญ่ขึ้น เราก็ต้องไข้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้นอีก และเริ่มเข้าสู่ยุคข้อมูลข่าวสาร เมื่อก่อนเราอยู่ต่างจังหวัด บ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานเดินแปิบเดียว ก็ถึงห้องนา แต่พอมาอยู่ไนกรุงเทพฯ ต้องนั่งรถไปทำงาน 1 ชั่วโมง กลับอีก 1 ชั่วโมง วันหนึ่งหมดไปกับการเดินทาง 2 ชั่วโมงแล้ว บางคนไข้เวลาเดินทางนานก็จริง แต่พอเขาวางแผนดี ๆ กลับ ไข้เวลาเดินทางเป็นเวลาลวดมนต์ด้วย เดินทางไปกลับวันหนึ่งลวด สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย \"อิติปี โส ภะคะวา \" ไต้ 100 จบ เลยทีเดียว พอเวลาที่เสียไปกับการเดินทางกลายเป็นเวลาทำภาวนา ชีวิตก็มืคุณค่ามากขึ้น \"เราต้องเข้าใจอดีต แด'ไมไซ่มัวโหยหาอยากกลับไปสู่อดีต อยากดำเนินชีวิตเหมือนอดีต\" เพราะมันเป็นไปไม่ไต้ เราจะไปทำ ไร่ไถนาอย่างเดียว รอเกี่ยวข้าวแล้วเอาควายไปไถ เดี๋ยวนี้ควายไถสู้ รถเครื่องไถไม่ไต้แล้ว เนึ่องจากค่านํ้ามันที่จ่ายไปเทียบกับค่าแรงและ เวลาที่ลงไปแล้ว มันประหยัดกว่า www.kalyanamitra.org

22 23 เพราะฉะนั้น เราไม่ควรคาดหวังว่าจะต้องกลับใ.ปดำเนิน ขีวิดแบบในอดืต แต่ต้องเข้าใจอดีต ดูจุดแข็งแล้วนำมา*ปรับให้ เข้ากับวิถีชีวิตในฟ้จจุบัน บริหารจัดการในขอบเขตที่เราหำใต้ พอฃืวิตมนุษย์เข้าสู่ยุคข้อมูลข่าวสาร เวลาก็รัดตัวเข้ามาอืก เพราะมีข้อมูลมากมายทะลักเข้ามาถึงตัว เราสามารถเข้าถึงข้อมูลใน โลกอินเทอร์เน็ตเพื่อลูเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด สิ่งเหล่านี้ ดูดเวลาของเราไปอย่างมาก เวลาที่เหลือทำอย่างอื่นจึงลดลง ต้องทำอย่างกระหืดกระหอบ แล้วก็ทำไม่ค่อยจะทันอยู่เสมอ กลายเป็นชีวิตที่เคร่งเครียดมากขึ้น ๆ จนใกล้ถึงจุดระเบิด ผู้คนต่างก็อยากจะร้องตะโกนว่า ไม่ไหวแล้ว พอมีคนประกาศแนวทางการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ด้วยคัพทํว่า \"Slow Life\" จึงโดนใจคนทั่วไปเข้าอย่างจัง เพราะฉะนั้น ขอให้เข้าใจคำว่า \"Slow Life\" ให้ชัดเจน แล้วร้ที่มาว่าทำไมจึงต้องใช้ชีวิตให้ช้าลง ให้เช้าใจว่าชีวิตมนุษย์ใน บิจจุบันมันเร่งรัดเกินไปอย่างไร และเราควรจัดการมันอย่างไร เราก็ จะสามารถดำเนินชีวิตไปอย่างมีคุณภาพด้วยความมีสติไต้ www.kalyanamitra.org

\"คนกุกกนควร?ชชีวิค?หชัาลJ เพรารคนกุกคนถัอวฮสทิอยู่กับคัว มืบางท่านกล่าวแย้งขึ้นมาว่า คนที่อยู่ในช่วงวัยกำลังสร้างเนื้อ สร้างตัวไม่ควรจะไซ้ซีวิตแบบ \"Slow Life\" จริง ๆ แล้วคนทุกช่วง อายุตั้งแต่วัยเรียนไนชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา หรืออุดมศึกษา ที่ยังเรียนอยู่ก็ตาม ที่เรียนจบทำงานแล้วก็ตาม ไม่ว่าคนวัยใดก็ควร ดำ เนินชีวิตอย่างมีสติตลอดเวลา นักเรียนคนไดเรียนอย่างมีสติ ก็จะกลายเป็นเด็กเรียนเก่ง โดยที่ร้สึกว่าตนเองเรียนไม่หนักเลย รู้สึกว่าตนเองเรียนได้อย่างสบาย ๆ แต่ผลการเรียนก็ออกมาดีเพราะเขาเรียนอย่างมีสติ พออาจารย์สอน ก็ตั้งไจฟ้งอย่างมีสติ กลับมาบ้านทบทวนการบ้าน ค้นคว้าทำรายงาน เสร็จ ก็ดูก่อนล่วงหน้าว่าพรุ่งนื้จะเรียนอะไร มีการเตรียมตัวเตรียมใจ ที่ดี และไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ควรมากเกินไป บางคนเก่ง เรียนก็ดี กีฬาก็เลิศ แถมด้านดนตรี วาดรูป งาน ศิลปะแขนงต่าง ๆ ก็ทำ ได้ดี โดยไซ้ชีวิตแบบสบาย ๆ ไม่เคร่งเครียด เป็นคนที่มีลังคมดี เพื่อนฝูงรักใคร่ ชีวิตมีความสุขเพราะเขาดำเนิน ทุกกิจกรรมอย่างมีสติ www.kalyanamitra.org

24 25 ยิ่งพอเรียนจบแล้วทำงาน ถ้ามีสติ^วิตจะก้าวหน้าเร็ว อย่า ไปคิดว่าพอจบแล้วต้องทำอะไรแบบลุยแหลก ทำ หมดทุกอย่างแบบ ขาดสติ ไม่มีการวางแผน ต่อให้ไน 1 วัน มี 48 ซั่วโมงก็ไม่พอ กลายเป็นทำมาก แต่ได้ผลน้อย แต่ล้าเราเลือกทำทุกอย่างแบบมีสติ มีการพินิจพิจารณา มี การปรับวิธีการและรูปแบบให้เหมาะสม พัฒนาตนเองตลอดเวลา เรา ก็จะกลายเป็นคนที่ \"ทำน้อย ไต้ผลมาก\" ดีกว่า \"ทำมาก ได้ผล น้อย\" ชีวิตเราก็จะลบาย มีความสุข มีผลงานดี และมีความสำเร็จ ใน'ซจจุบันที่มีแต่ความเร่งรีบ กิจกรรมที่ดูดเวลาของเราให้ เสียไปโดยใข่เหตุ ได้แก่ กิจกรรมในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก รวมทังลือ ทุกขนิด บางคนเริ่มมีอายุหน่อยไม่ค่อยใ'ซ้อินเทอร์เน็ตมากนัก แต่ กลับไปติดโทรทัศน์ 'นั่งดูครั้งละ 3 - 5 ซั่วโมง เสียเวลาไปกับ สิ่งเหล่านี้มากเกินไป ไม่ใช่ว่าเราต้องปฏิเสรโลกแห่งการสื่อสารนี้เสียทีเดียว เ'พื่อ เราจะได้รู้เท่าทันโลก เพราะโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นแหล่งเขื่อมโยงเรา ไปลู่ข้อมูลข่าวลารต่าง ๆ ของโลก แต่เราควรไข้เวลากับมันอย่างพอดี อย่าให้มันมากลืนกินเวลาของชีวิต จนกระทั่งเราไม่มีเวลาพอไปทำ อย่างอื่น www.kalyanamitra.org

\"อาหารกายแลรอาหาร?จุ คอเรอวทเราควร?ทเวลากับมันเพมขน\" \"อาหารกาย\" คือ การให้เวลาตนเองในการรับประทาน อาหาร เราควรเพิ่มเวลาอีกนิดโดย 1 มื้อ เพิ่มเวลาขึ้นอีกสัก 5 - 10 นาที เคี้ยวข้าวให้ละเอียดหน่อย ค่อย ๆ กลืนลงใป กินให้อิ่มจน เรียบร้อยแล้วค่อยลุกไปทำอย่างอื่น ไมโซ่ว่ายังเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปาก ก็ลุกจากโต๊ะอาหารแล้วเพราะกสัวว่าจะตกรถ เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน เดี๋ยวจะทำงานไม่ทัน เราควรให้เวลากับสุขภาพร่างกายเพิ่มขึ้น เพราะเราบริโภค อาหารบำรุงกำลัง เพื่อให้อาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ส่วน \"อๆหารใจ\" คือ การจัดเวลาให้กับการสวดมนต์ นั่ง สมาธิ เราควรแบ่งเวลามาทำในส่วนนี้ เพราะเป็นการลกสติของเรา โดยตรง พอได้สวดมนต์นั่งสมาธิแล้วใจเราอยู่กับเนี้อกับตัว มีสติ พอ เราจะไข้เวลากับกิจกรรมอื่น ๆ ก็สามารถทำได้อย่างมีคุณภาพ ถือว่า เป็นการดำเนินชีวิตให้ข้าลง ใช้ชีวิตแบบ \"Slow Life\" ได้ตรง วัตลุประสงค์อย่างแห้จริง คือ \"ดำเนินชีวิตด้วยความมีฝึติ\" นั่นเอง www.kalyanamitra.org

26 27 สำ หรับคนที่หาเซ้ากินคํ่า บางคนมีหนีสินมากมาย ยังสร้าง เนื้อสร้างตัวไม่ค่อยได้ ด้องตื่นแต่เซ้าตรู่ แล้วเสิกงานค่อนข้างดก อย่างนื้ยิ่งด้องทำชีวิตให้ \"Slow Life\" มากชีนไปอีก พอเราเข้าใจคำว่า \"Slow Life\" ว่าคือการคำเนีนชีวิตอย่าง มีสติ ตังนั้น คนทุกเพศทุกวัย รวมทั้งทุกระตับฐานะทางสังคม ก็ควร จะคำเนินชีวิตอย่างมีสติด้วย ยิ่งเป็นคนจนที่ต้องหาเข้ากินคํ่า ถ้าเผลอไปคำเนินชีวิตอย่าง ไม่มีสติ ไข้ชีวิตเร่งรีบมาก ๆ เซ่น ต้องข้บรถกลางคืน ก็ไปพึ่งยาบ้า เพึ่อจะให้ตนเองไม่ง่วงนอนและข้บรถกสวงศืมไ'พร หรีอไปพงเครีองดืม ที่มี คาเฟอีน (Caffeine) มาก ๆ เพึ่อทำให้ตนเองตาสว่าง บางทีก็ เอาบุหรี่ซ่วย เอาเครี่องดื่มแอลกอฮอล์ซ่วย ที่หวังจะมีรายรับเพิ่มขึ้น กลายเป็นว่าหมดไปกับสิ่งเหล่านิ ทังค่าบุหรี ค่าเหล้า ค่ายาเสพติด ค่าเที่ยวเตร่เฮฮาเพึ่อหวังจะคลายเครียด แล้วในที่สุดเราก็จะพบว่า ไม่คุ้มกันเลย กลับเครียดขึ้นไปอีกเพราะเงินไม่พอไข้ ถ้าเราคำเนินชีวิตอย่างมีสติ ก็ไม่ต้องทำทุกอย่างทังหมด แต่ เลือกทำบางอย่างและทำสิ่งที่เสือกแล้รให้ดีที่สุด คุณภาพของงานก็ www.kalyanamitra.org

จะดีขึ้นด้วย ไม่นานสืมือเราจะพัฒนา รายรับก็จะเพิ่มขึ้น กลายเป็น ไซ้เวลาเท่ากัน แต่รายรับเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว อยู่ได้อย่างสบาย ๆ ซีวิตก็มืความสุขเพราะไม่เคร่งเครียดจนเกินไป \"การถำเบินฮวิถแบบ Slouu Life เรบดันถวยทลักบิๅบ ๆ กอ สวถมนดิ ป้งสบาธิ แลัววาอแพชแบ่วเวลาในแถ่ลรวัน?กด\" เด็กรุ่นใหม่ดำเนินชีวิตแบบ \"Slow Life\" ได้ง่ายๆแต่ได้สติ ด้วยการสวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน เราก็จะกลายเป็นคนทีสงบนิ่ง ทรงพลัง ไม่วุ่นวายอยู่ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย กลายเป็นเหมือนเสาหิน 8 ศอก ตอกเป็นหลักมั่นคงอยู่อย่างนี ใครมองก็รู้สึกว่าเราน่าเชื่อถือ มีลักษณะของบุคคลที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตต่อไป ตังนัน ขอให้เราสวดมนต์ นั่งสมาธิ วันอาทิตย์ก็หมั่นเซ้าวัด อย่าไปคิดว่าเซ้าวัดวันอาทิตย์แล้วเราจะสูญเสียเวลาข่วงกลางวัน 1 ใน 7 ของลัปดาห์ไป แต่ชีวิตเราจะมีคุณภาพมากขึ้นไปอีก ซ้อต่อมา คือ \"จัดตารางเวลาในแต่ละวัน\" แบ่งว่าเราจะ ทำ อะไรบ้าง ไปโรงเรียน กลับมาทำการบ้าน แล้วไปพักผ่อน ออกกำลังกายตอนไหนอย่างไร ก็ให้จัดเวลาตามความเหมาะสม www.kalyanamitra.org

28 29 แบ่งช่วงเวลาเพื่อสวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือหาความรู้ในโลก โซเซียลมีเดียบ้างก็ได้ในเวลาที่เหมาะสม แบ่งเวลาแต่ละวันให้ลงตัว แล้วพยายามทำให้ได้อย่างนั้น เท่านี้ก็จะเป็นการดำเนินซีวิตแบบ \"Slow Life\" ซึ่งเป็นการใช้ซีวิตประจำวันที่มีคุณภาพอย่างดีเยี่ยม ชีวิตสมณะ ถือเป็นต้นแบบของชีวิต \"Slow Life\" ตั้งแต่ สมัยพุทธกาล พระภิกษุมีเครื่องกังวลน้อยเพราะมีเพียงบาตรและ จีวรก็สามารถไปได้ทุกที่ เหมีอนนกที่มีปีก 2 ช้าง ถึงเวลาก็บิณฑบาต ได้อาหารมาขบฉัน ได้มาอย่างไรก็ฉันอย่างนั้น มีจีวรใช้ห่ม ล้าจารืก ไปเรื่อย ๆ ก็ด้องมีกลดด้วย เหมีอนแบกบ้านติดตัวไปด้วยได้ ไปถึง ไหนก็อย่ได้สบาย ๆ ใจไร้กังวล พอบิณฑบาต ฉันแล้วล้างบาตรเสร็จ เรืยบร้อย ก็มีเวลาพอสำหรับการปฏิบ้ติธรรมได้ทังวัน คนทั่วไปหมดเวลาไปกับการเผื่อเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนกระทั่ง รู้สึกว่าจะหาเวลานั่งสมาธิสัก 1 ชั่วโมงก็แสนยาก กิจกรรมมันแน่น ไปหมด แต่พอทำตามหลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ \"ตัด\" แล้วบวซเป็นพระภิกษุ บิณฑบาตเสร็จแล้วก็สามารถให้เวลาทั้งวันกับ การปฏิบัติธรรมได้เลย ล้ามีกิจเรื่องประโยซน์ท่าน ซึ่งเป็นเรื่องเพื่อประซาซน เพื่อ สังคม เพื่อพระพุทธศาสนา คือ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ก็แบ่ง www.kalyanamitra.org

เวลากันไป คิดอย่างนี้ไม่ใช่เพื่อตัวเรา ความเครียดและความกดตันก็ น้อยกว่ากันมาก คนทางโลกพอทำอะไรแล้วคนที่ได้รับผลคือตนเอง พอทำงาน มีรายรับเข้ามา ในน้านก็มีงบดุลที่ดีฃึ้น ล้ามีผลกระทบอะไรเกิดขึ้น ความกดตันจึงสูง แต่ในทางกลับกัน เวลาที่พระสงฆ์คิด ท่านก็คิด เพื่อพระพุทธศาสนา คิดเพื่อประซาซน ใจจึงโปร่ง แล้วสามารถมา ช่วยกันคนละไม้คนละมีอ ทำ ด้วยความสบายใจ เป็นซีวิตที่มีจังหวะ จะโคน ล้าได้บวซแล้วก็จะรู้สึกว่า หลุดจากความกังวลทางโลก และ สามารถไข้เวลาแต่ละวันได้อย่างคุ้มค่า สรุปว่า \"Slow Life\" คือการใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบ แบบแผน มีการวางแผนเป็นขั้นตอน ทำ อะไรเป็นลำดับก่อนหลัง เรียกง่าย ๆ ก็คือการไข้ชีวิตอย่างมีลดิ ที่สำ คัญคือเรื่องซองอาหาร กายและอาหารใจ ได้แก่ สุขภาพร่างกายซองเรา รวมไปถึงเรื่องซอง จิตใจ คือเรื่องซองการศึกษาธรรมะ เพื่อเป็นหลักในการดำเนินซีวิต และที่สำคัญอย่างยิ่งคือการแกสมาธินี้นเอง www.kalyanamitra.org

ใม่บากฺ]ป >>> ใบ่นัอยใป jy www.kalyanamitra.org

www.kalyanamitra.org

ffnวทึ๋ 1 32 เสริมพลังงาน สร้างพลังแห่งความสำเรีจ 33 ไมมาก]ป ไม่นัอยไป คนเรามีเวลาเท่ากัน แต่ไม่ลามารถจัดการงานได้เท่ากัน ต่อ ให้งานเข้ามาในปริมาณที่เท่ากันก็ตาม •บางคนทำงานหน้าดำครํ่าเครียด แต่ก็ไม่สามารถจัดการงานให้สำเร็จ และไม่เหลือเวลาทำเรื่องส่วนตัว ในขณะที่อีกคนสามารถจัดการงานได้อย่างสบาย ๆ จนเหลือเวลาไป ทำ เรื่องส่วนตัว มีเวลาให้ครอบครัว มีเวลาให้สังคม และมีเวลาดูแล สุขภาพตนเอง การบริหารจัดการเป็นฟ้จจัยสำคัญต่อประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลของงาน ดังนั้น เรามาลูเรื่องเทคนิคการทำน้อยให้ได้มากกัน \"ทำนอย?ทัไถัมากมี2 นัยทวยกัน นัยแรก คือ ไชั!วลากำช้อย แท่ไถัพลลัพธ์มาก นัยทสอว คือ ลงทุนนาวอย่าวฒียวนิถทน่อย แท่ไกัพลทอบแกนกลับมามหากาล\" www.kalyanamitra.org

เราจะเห็นความจริงอย่างหนึ่งของชีวิตมนุษย็ในยุคปีจจุบันว่า งานในแต่ละวันนั้นมีมากมาย เรามักจะรู้สึกว่า มีเรื่องเต็มหัวไปหมด ทำ เท่าไรก็ไม่หมดสักที ทำ เท่าไรก็เสร็จไม่ทันสักที เราควรจะจัดการ ชีวิตตนเองอย'างไรให็ใม่เครืยด แล้วทำงานให็ได้ผลมาก ๆ โดยที่ ตัวเราโปร่งโล่งเบาสบาย นักศีกษาเศรษฐศาสตร์ขาวอิตาเลียน วิลเฟรโด พาเรโต (Vilfredo Poreto) ศึกษาเรื่องนี้ แล้วได้นำเสนอ \"กฎพาเรโต\" ฃึ่งเป็นแนวคิดเพิ่มประสิทธิภาพ 20/80 เปอร์เซ็นต์ เขาพบว่า ชีวิตมนุษย์โดยทั่วไปมีเรื่องที่สำคัญ และใหัผลลัพธ์ กับชีวิตเรามากกง 80 เปอร์เซ็นต์ แต่คนส่วนใหญ่ใข้เวลาเพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นในการทำสิ่งเหล่านี้ แล้วใฃ้เวลาที่หมดไปของชีวิต อืก 80 เปอร์เซ็นต์ กับเรื่องที่ให้ผลลัพธ์กับชีวิตเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเราเข้าใจหลักตรงนี้แล้ว เราก็จะสามารถนำมาประยุกต์ใข้ในชีวิต ตนเองได้ ก่อนอื่นเราต้องพิจารณาตนเองก่อนว่า ที่ว่าเรายุ่งๆทั้งวับ นั้น เพราะเรามัวแต่ทำงานทุกอย่างที่เข้ามาไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่า มีงานรอคิวอย่มากมายเลยทำไม่ทันสักทีหรึอไม่ www.kalyanamitra.org

34 35 เพราะฉะนั้น เราควรเลือกว่าในงานที่รอคิวกันอยู่นั้น งานใด ที่ทำ แล้วจะให้ผลลัพธ์กับชีวิตเรามาก ก็ให้เราเลือกหยิบงานนั้นขึ้นมา ทำ ก่อน พอทำอย่างนี้เราก็จะใช้เวลาแค' 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ได้ผลลัพธ์ มากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว ส่วนเวลาที่เหลืออีก 80 เปอร์เซ็นต์ เราก็สามารถทำงานที่มี ความสำคัญลดหลั่นกันลงไปได้อย่างสบาย ๆ เพราะรู้สึกว่า เราได้ตุน ผลลัพธ์ที่ดีไว้แล้วจากงานแรกถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือนั้นเรา จะทำเพิ่มเติมได้ลักเท่าไร อย่างไรเราก็สอบผ่านอยู่แล้ว แต่ถ้าเรามัวแต่ใช้เวลา 80 เปอร์เซ็นต์ ทำ งานที่ให้ผลลัพธ์ กับชีวิตเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วเหลือเวลาอีกแค' 20 เปอร์เซ็นต์ งานสำคัญต่างๆก็ยังไม'เสร็จ เราก็จะเครียดเพราะไม'ได้วางแผน และ ไม่ได้มีการเลือกงานที่สำคัญไว้ก่อนล่วงหน้า www.kalyanamitra.org

มีคำ หนึ่งที่นิยมกันในหมู่นักบวขซาวจีนว่า กวานดู๋จิง\" แปลว่า \"นัดประตูอ่านคัมภีร์\" เนึ่องจากเขารู้หลักในฃีวิตมนุษย์ว่า เวลาส่วนใหญ่ของคนเราค่อนข้างเสียใปกับเรื่องราวใร้สาระ เข่น มารยาททางลังคม การพูดจาทักทายกัน และการปฏิสันถารลัมพันธ์กัน เพราะฉะนั้น นักบวช จะจัดเวลาข่วงหนึ่งกักขังตนเองอยู่ใน ห้อง ซึ่งใม่ใข่ห้องแบบนักโทษ แต่เป็นพื้นที่เฉพาะ โดยด้านหลังห้อง อาจจะมีสวนสวยและมีบรรยากาศที่ดีก็ใด้ แต่ต้องอยู่คนเดียว นัด ห้องล็อกประตู แล้วเจาะข่องประตูไว้สำหรับรับส่งอาหาร พอถึงมื้อ อาหารก็จะมีคนนำภัตตาหารมาส่งทางข่องประตู ฉันเสร็จก็ล้างถ้วย จานวางไว้ พอถึงมื้อต่อไปก็จะมีคนนำอาหารมาส่งอย่างนี้อีก ดังนั้น นักบวขจึงไม่ได้พบใคร ไม่ได้พูดคุยกับใคร จิตที่ด้อง ไปเกี่ยวเนึ่องสัมพันธ์กับผู้คนทั้งหลายก็หมดไป เหลือเพียงการดูแล สุขภาพตนเองเท่านั้น เข่น สรงนํ้า ซักจีวร ออกกำลังกาย ฉัน ภัตตาหาร เป็นด้น แล้วเวลาที่เหลือจากนั้นก็หมดไปภับการอ่านคัมภีร์ นักบวขจีนไม่เนันเรื่องสมาธิมากนัก แต่หนักไปทางด้านการ ศึกษาคัมภีร์ ภายในห้องจีงมีคัมภีร์เรียงรายเต็มไปหมด เมื่อไม่ได้พูด คุยภับใคร ไม่ได้ดูโทรทัศน์ หรือแขตกับใครเพราะไม่มีอุปกรณ์สื่อสาร ใด ๆ ทั้งสิน เวลาที่เหลือจีงใซ้อ่านคัมภีร์อย่างเดียว www.kalyanamitra.org

36 37 นัก'บวชจีนบางคนกักตัวอ่านคัมภีร์ 2-3 ปีก็มี เหมือนกับ กักตัวฟ้กวิทยายุทธเลยทีเดียว พอออกมาเรียกได้ว่า ศึกษาคัมภีร์I ทะลุปรุโปร่ง เพราะลามารถจดจ่อกับการอ่านคัมภีร์ได้อย่างเต็มที่ I ซึ่งหลักการนี้เราสามารถนำไปประยุกตใช้กับงานอื่น ๆ ได้ 1 บางคนยังรู้สีกว่าตนเองต้องทำงานหนัก พบเจอผู้คนจำนวน มาก จะมากักตัวอ่านคัมภีร์อย่างเดียวเหมือนนักบวชจีนได้อย่างไร นี่ ก็เป็นการเปรียบให้เหนว่า พอเราตัดสิ่งที่ไม่สำคัญออกไป แล้วเลือก ทำ สิ่งที่สำคัญที่สุด เราจะพบว่าตนเองมีเวลาทำเรื่องสำคัญเพิ่มชื้น อื กมาก ลองดูชีวิตชองตนเองที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่เรียนหนังสือตอน ด้นเทอมแบบสบาย ๆ เลิกเรียนก็ไปเล่นกีฬากับเพื่อนบ้าง ไปเที่ยวเตร่ เฮฮาบ้าง จะกลับมาอ่านหนังสือกันจรีงจังก่อนสอบ 1 -2 สัปดาห์ เท่านั้น ล้าเราจัดการชีวิตตนเอง โดยอ่านหนังสือสมาเสมอตลอดทัง เทอมเหมีอนตอนก่อนสอบ การเรียนของเราก็จะดีชื้นอย่างแนํนอน www.kalyanamitra.org

ดังนั้น วิถีชีวิตของคนทั่วไปมักจะถูกงานไม่สำคัญส่วนใหญ่ ดึงเวลาไปมาก เพียงเราย้อนกลับมาสำรวจตนเอง แล้วจัดสำดับความ สำ คัญใหม่ โดยอะไรที่ไม่สำคัญจริง ๆ ให้คัดออกไป ทำ งานหลักที่ สำ คัญให้สำเร็จก่อน โดยใซ้เวลาแค' 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ใน 1 วันมี 24 ชั่วโมง ดังนั้น 20 เปอร์เซ็นต์ ก็ประมาณ 5 ชั่วโมง ถ้าเราให้เวลาจริงจังกับการเรียนหรือการงานที่สำคัญ ๆ 5 ชั่วโมงต่อวัน เราจะพบว่าเรื่องหลัก ๆ ที่สำ คัญของเรานั้นสำเร็จแล้ว แต่คนทั่วไปมักจะปส่อยเวลาเกือบทั่งหมดให้หมดไปกับเรื่องไม่สำคัญ ทั่งนั้น ทั่งแซตกับเพื่อนคนนั้น โทรคัพทํคุยกับเพื่อนคนนี้ ดูโทรทัศน์บ้าง เล่นเกมคอมพิวเตอร์บ้าง เท่านี้ก็หมดวันแล้ว เราจะพบว่า จริง ๆ แล้วใน 1 วันนั้นเราใช้เวลาไปกับการ เรืยนหนังสือ หรือให้เวลากับการทำงานสำคัญ ๆ อย่างจริงจังเพียง นิดเดึยว เพราะฉะนั้น เรามาสำรวจเวลาในชีวิตของตนเองอีกครั้ง ปรับปรุงวิถีชีวิตตนเองใหม่อย่างจริงจัง แล้วในที่สุดเราก็จะกลายเป็น คนที่ \"ทำน้อย แต่ได้มาก\" www.kalyanamitra.org

38 39 'บคคลทีประสบความสำเร็จจากการ\"หำน้อยได้มาก\" อย่าง ฝ็ตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) เขายึดหลักที่มีประโยชน์มากในซีวิตเขา คือ การเจริญมรณานุฝีติ เจาศึกษาพระพทรศาสนา แล้วเปลียนมา เป็นชาวพุทธ นั่งสมาธิพุกวัน วันละ 2 ชั่วโมง จอบส์กล่าวว่า พระพุทธศาสนาให้ชีวิตใหม่แก'เขา หำ ให้เขา ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน สามารถคิดด้นและสร้างนวัตกรรม ใหม่ ๆ ได้มากมาย เขาเจริญมรณานุสติบ่อยครั้งและนึกถึงความตาย บ่อย ๆ \"สกีฟ สอบส์ ?ชัธธีเซิงปฎิบถิ โดย!ขา)ชักหยุถถามถนเองว่า ถัาเขาถายในวันน เขาอยากสรใชั!วสากี่!หลออย่กีาอรไร ถ้าเขาได้คำตอบว่า ไมใช่สิ่งที่เขากำลังหำอยู่ในขณะนี้ แล้ว ตอบซํ้า ๆ อย่างนึหลายวัน เขาคิดว่าถึงเวลาทต้องเปลยนแปลงตนเอง เพราะคำตอบนี้แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เขากำลังหำอยู่นั้นมันไมใช่แล้ว คนทั่วไปเวลาจะตัดสินใจว่า ตนเองจะหำหรือไม่หำอะไร ก็ มักจะห่วงหน้าพะวงหลังว่าคนรอบข้างจะมองเราอย่างไร จะดูไม่ดี www.kalyanamitra.org

ในสายตาคนอื่นหรือไม่ เราจะเสียขื่อเสียงหรือไม่ หรือเราจะเก้อเขิน หรือไม่ มีเรื่องให้คิดห่วงมากมายไม่หมด สุดห้ายก็จะม่ล่อยให้เวลา ผ่านไปเรื่อย ๆ อย่างที่มันเคยเป็น จอบส์กล่าวว่า ถ้าเราคิดถึงความตายแล้วถามตนเองว่า สิ่งที่ เรากำลังทำอยู่นี้มันใช่แล้วหรือไม่ ถ้าเราจะต้องตายในเวลาอันสั้น พอถึงตอนนั้นความรู้สีกว่า กลัวจะเสียหน้า หรือกลัวจะดูไม่ดีในสายตา คนอืนกจะหลุดออกไม่หมด เพราะคนใกล้ตายย่อมหมดห่วงเรื่อง เหล่านื เราก็จะได้คำตอบถึงสิ่งที่ตนเองอยากทำจรืง ๆ บี่คิออานิสงส์ ของการเจริญมรณๆ'นุสติ ทุกคนสามารถนำหลักคิดนี้มาม่รับใช้ในขิวิตตนเองได้ แล้ๆ เราก็จะม่ระสบความสำเร็จในซืวิต ประสบความสำเร็จในการบริหาร เวลาอย่างคาดไม่ถึงเลย'ตีเดียว ■ทำไม่มาก แค่ใถัฒลบาก ทางพระพุทธคาสนาในสมัยพุทธกาล ก็มีให้ได้เห็นและคิกษา ต่อกันมา ดังตัวอย่างของ'พระสารีบุตร ซึ่งเป็นตัวอย่างในการทำ ไม่มาก แตใด้ผลมากในด้านการให้ทาน www.kalyanamitra.org

40 41 พระสารีบุตรต้องการจะไปโปรดพราหมณ์ที่เป็นเพื่อนกั'บพ่อ ต้วยความเคารพนับถือเหมือนกับเป็นพ่อคนหนึ่งของท่าน ท่านจึง เดินผ่านบิณฑบาตหน้าบ้านทุกวัน แต่พราหมณ์คนนี้ยากจนมาก พอ เห็นพระสารีบุตรผ่านมาบิณฑบาต ตนเองไม่มือะไรจะถวายจึงหลบ หน้าพระสารีบุตรทุกครั้งไป พระสารีบุตรไม่ว่าอะไรเพราะท่านตั้งใจมาโปรด ตัวท่านนั้น เป็นพระอรหันต์แล้ว ถือว่าเป็นเนี้อนาบุญกับญาดิโยมทั้งหลาย ท่าน จึงมาโปรดอย่างนี้ทุก ๆ วัน แต่พราหมณ์ก็หลบหน้าท่านทุก ๆ วัน เซ่นกัน จนกระทั่งวันหนึ่งพราหมณ์ไต้ข้าวมธุปายาสกับผ้าสาฎกเนี้อ หยาบมา 1 ผืน จึงดีใจมากที่ตนเองมืโทยธรรม แล้วเฝืารอพระสารี- บุตรว่าจะมาเมื่อใด พระสารีบุตรเห็นเหตุการณ์ด้วยญาณหัสนะจึงมาโปรดพราหมณ์ เพื่อนพ่อ พอท่านมาถึงพราหมณ์ก็ดีใจมาก นำ ข้าวมธุปายาสใส่บาตร พระสารีบุตร ใส่ไปไต้ครึ่งหนึ่งพระสารีบุตรก็บิดบาตร พราหมณ์กำลัง เกิดความปีติจึงกส่าวว่า ท่านอย่าสงเคราะห์ผมในชาตินี้เลย อาหาร มื้อนี้เพียงพอสำหรับบุคคลเดียว ท่านอย่าแบ่งครึ่งเลย..... www.kalyanamitra.org

พราหมณ์ถวายทานจากใจเต็มจำนวน แล้วถวายผ้าสาฎกเนื้อ หยาบ ซึ่งดีที่สุดเท่าที่ตนมีในตอนนั้นแล้ว พอพระสารีบุตรอนุโมทนาบุญ พราหมณ์ก็ปลื้มปีติอย่างมาก ต่อมาไม่นานพราหมณ์ก็เสียชีวิตลง ด้วยบุญนั้นส่งให้ไปเกิดในครรภ์ของหญิงฐานะดีคนหนึ่ง ผู้เป็น อุป้ฏฐากของพระสารีบุตร พอบุญส่งผลให้พราหมณ์มาเกิด ขนาดยังอยู่ในครรภ์มารดา มารดาก็มีอาการแพ้ท้อง อยากจะถวายผ้ากัมพลเนื้อดีให้กับพระภิกษุ คราวหนึ่งถึง 500 รูป เลยทีเดียว พอมารดาถวายภัตตาหารเสร็จ แล้วรับประทานอาหารที่พระภิกษุฉันเหลือ อาการแพ้ท้องก็หายไป ทันที อาการแพ้ท้องอย่างนื้เป็นคนมีบุญมาเกิด ไม่ใช่แพ้ท้องอยาก กินมะม่วง อยากกินของเปรี้ยว ๆ แต่แพ้ท้องอยากจะทำบุญทำทาน เมื่อเด็กคลอดออกมาก็มีหน้าตาน่ารักทีเดียวจากนั้นพอพระ- สารีบุตรมาที่บ้าน เด็กก็ระลึกชาติได้ รู้ว่าตนเองมาเกิดในครอบครัวดี มีฐานะอย่างนื้ เพราะอาศัยบุญจากที่พระสารีบุตรเป็นเนื้อนาบุญให้ใน อดีตชาติ ก็อยากจะให้ทานอีก ทั้งที่ตนเองยังเป็นเด็กเล็กพูดไม่ได้ ก็เอานื้วไปเกี่ยวผ้ากัมพลไว้ ผู้ใหญ่ก็นีกว่าเด็กซนจะปลดมีอออกจากผ้า แต่พอตั้งใจก็มีแรงมาก ทั้งที่เพิ่งคลอดได้ไม่นาน ครั้นพอผ่าน ไปหน้าพระสารีบุตร เด็กก็คลายนื้วให้ผ้ากัมพลตกอยู่แทบเท้าพระ- www.kalyanamitra.org

42 43 สารีบุตร ผู้ใหญ่ต่างสงสัยว่าเด็กอยากจะถวายผ้ากัมพลแก่พระสารีบุตร แน่ ๆ จึงได้ถวายผ้ากัมพลผืนนั้น ตั้งแต่แรกคลอดไม่นาน ยังพูดไม่ได้ ใจก็คิดอยากจะให้ทานแล้ว พอเติบโตอายุได้ 7 ขวบ ก็ออกบวซ ได้เป็นสามเณรอรห้นต์ ในเวลาไม่นาน จากนั้นลาภสักการะเกิดขึ้นมามากมาย เพราะใจที่ ปีติในบุญ บุญนั้นจึงส่งผลมีอานุภาพดึงดูดทรัพย์ พอถึงฤดูหนาว สามเณรเห็นพระภิกษุสงฆ์ท่านหนาวก็เอ่ย ถามท่านว่า ทำ ไมท่านไม่นำผ้ากัมพลมาห่ม พระภิกษุสงฆ์ตอบว่า ผ้ากัมพลนั้นหายากเพราะเป็นผ้าเนื้อดึที่มีราคาแพง สามเณรจึงมี ความรู้สึกว่าเรื่องนื้1ม่ยากเลย แค่ท่านเตินไปในตลาดขาวบ้านซาวเมีอง ก็นำ ผ้ากัมพลมาถวายคราวละ 500 ผืนแล้ว ขนาดเศรษฐีที่ขึ้เหนียวที่สุดในเมีอง มีผ้ากัมพลเนื้อดีเก็บไว้ 2 ผืน เพียงสามเณรเดินผ่านหบ้าบ้านเท่านั้น พอเศรษฐีขึ้เหนียวเห็น ก็เกิดความรู้สึกรักสามเณรท่วมท้นหัวใจ รีบไปนำผ้ากัมพลที่ตนเอง เก็บไว้มาถวาย บุญส่งผลมากขนาดนื้เลยทีเดียว www.kalyanamitra.org

เราจะประกอบธุรกิจการงานให้ประสบสำเร็จ อย่าดูแค่เหตุ ในภพปัจจุบันเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีเหตุในอดีต คือ มีบุญหนุนส่ง ด้วย บุญที่เราทำในวันนี้ ก็จะเป็นบุญเก่าหนุนส่งเราตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ต่อไปภายหน้าข้ามภพข้ามชาติ \"การกำบญถวยความบลมอถิ?นบญ แมักานอย!เต'ก]ถัพลมาก\" www.kalyanamitra.org

www.kalyanamitra.org

o. ร^ . www.kalyanamitra.org

ก้าวทิ 1 46 47 เสริมพลังงาน สร้างพลังแฟงความสำเร็จ nginaก กำ หนถ อนาคต การที่คนเราจะมีความสามารถพิเศษด้านใดต้านหนึ่งจนจัดว่า เป็นอัจฉริยะไต้นั้น จำ เป็นจะต้องมีพรสวรรค์ แต่หลายคนกล่าวว่า พรสวรรค์ไม่สำคัญเท่าพรแสวง เรามาดูกันว่า \"พรสวรรค์\" กับ \"พรแสวง\" แตกต่างกันอย่างไร \"พรสวรรค์\" เป็นสิ่งที่มนุษย์ไต้มาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถทางต้านดนตริ หริอทักษะในการวาดภาพ คือ สามารถ วาดภาพไต้สวยกว่าเพื่อน ๆ ที่อยู่ในระคับเดียวกันตอนเริ่มต้น นึ่ง \"พรสวรรค์\"อาจจะเกิดจากธรรมฃาติทางพันธุกรรมหริอสิ่งแวดล้อม หาถัวยถนเอว รความสามาร เจ!หมอช www.kalyanamitra.org

กระต่ายมีพรสวรรค์ สามารถวิ่งได้เร็ว ส่วนเต่าวิ่งช้า I แต่มีพรแสวง พยายามจนวิ่งเช้าเสันช้ยได้ก่อนกระต่าย สรุปว่า ทั้งพรสวรรค์และพรแสวงนั้นมีความสำคัญ ถ้าเรามี พรสวรรค์ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าเราใส่ พรแสวงเพิ่มเข้าไป แกฝนตนเองให้มีทักษะในระดับสูง เราก็จะประสบ ผลสำเร็จได้มากฃี้น ในโลกปัจจุบันมีการแข่งขันมากมาย ทุกคนต้องพัฒนาตนเอง เพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการทำงาน แล้วพัฒนางานของตนเอง ให้ทัดเทํยมกับผู้อื่น หรือให้อยู่ในระดับที่สูงกว่าผู้อื่น ดังนั้น ปัจจุบัน พรแสวงมีความสำคัญกับคนเรามากทีเดียว คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันที่ประสบผลสำเร็จ 99 เปอร์เซ็นต์ มาจากพรแสวง อีก 1 เปอร์เซ็นต์มาจากพรสวรรค์ แสดงว่า พรแสวงนั้นสำคัญมาก นั้ ^ ยกตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จจากพรแสวง เข่น ไทเกฺอร์ วูดสํ (Tiger Woods) นักกอล์ฟอาชีพชื่อดังระดับโลก ชาวอเมริกัน ที่เคยทำรายได้สูงสุดในโลกติดต่อกันเป็นเวลาหลายปิ www.kalyanamitra.org

48 49 หรือ บิล เกตส์ (Bill Gates) นักธุรกิจซาวอเมริกัน หนึ่งใน ผู้ก่อตั้งบริษัทไมใครซอฟต์ และผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ที่ประสบความสำเร็จ สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) นักธุรกิจผู้มืความสามารถสร้าง นวัตกรรมใหม่ทางด้านคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสาร วอร์เรน นัฟเฟตด้ (Warren Bujfett) นักลงทุนทางด้านการเงิน หรือจะเป็น นักร้องซื่อด้งอย่าง โมฃาร์ท และ เดอะบีเทิลส์ ก็ล้วนประลบผลสำเร็จ จากการสร้างทักษะของตนเองขึ้นมา หรือที่เราเรืยกว่า \"พรแสวง\" นั่นเอง บุคคลที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ ทุกคนล้วนผ่านกฎเหล็ก ที่สามารถประสบผลสำเร็จได้ด้วยการแกฝน และให้เวลากับมัน เริ่มด้นจาก ไทเกอร์ วูดส์ (Tiger Woods) เขาเริ่มตีกอล์ฟ ตั้งแต่อายุ 2 ปี แล้วแกตีกอล์ฟวันละ 10 ชั่วโมง ตลอดระยะเวลา 20 ปี ไทเกอร์ วูดส์ ประสบผลสำเร็จเทิร์นโปรตอนอายุ 20 ปีเศษ แสดงว่า เขาแกฝนทักษะมาเป็นเวลานานมาก ไมใช่บุญหล่นทับ แต่ เขาอาศัยการแกฝนอย่างหนักตลอดเวลาต่างหาก www.kalyanamitra.org