“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ จะเห็นว่าแนวทางการรักษาและให้คาแนะนา จากผลวิจัยจากงานทั้งสองฉบับสรุปได้ว่า การ ผู้ป่วยจากการศึกษาข้างต้นก็จะมีความแตกต่างจาก ใช้ วุ้นชุ่มปากอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 1 เดือน ช่วยลด กรณผี ้ปู ่วยที่จดั ฟัน ซ่ึงผปู้ ่วยรายน้ที นั ตแพทย์ได้แนะนา อาการของภาวะปากแห้ง (xerostomia) ได้เป็นอย่างดี ให้ผู้ป่วยใช้ \"น้าลายเทียมชนิดเจล หรือ วุ้นชุ่มปาก นอกจากน้ี การศึกษายังพบว่า วุ้นชุ่มปากสามารถช่วย (Oral Moisturizing Jelly)\" (รูปภาพท่ี 4) เน่ืองจากวุ้น ใ น ก า ร ป รั บ ส ม ดุ ล pH ใ น ช่ อ ง ป า ก แ ล ะ ป รั บ ชุ่มปากสามารถท่ีจะช่วยบรรเทาอาการปากแห้งให้ ความสามารถในการกลืนอาหาร ดีขึ้นและสามารถเพิ่ม ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตท่ีดีขึ้นมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ pH ของน้าลาย (p=0.042) และ บัฟเฟอร์ (p= 0.013) น้าลายที่หล่ังออกมาตามธรรมชาติมาก เพราะมีค่า อย่างมีนัยสาคัญหลงั จากมีการใช้ 1 เดือน นอกจากน้ีวุ้น ความเป็นกรด-ด่าง (pH) ท่ีเป็นกลาง ช่วยสามารถ ชุ่มปากยังสามารถลดจานวนสายพันธุ์ Candida ปรับสมดุลของสิ่งแวดล้อมในชอ่ งปากให้เปน็ กลางโดยไม่ ลงอย่างมีนัยสาคัญที่ 1 และ 2 เดือนตามลาดับ28 ก่อให้เกิดการละลายของผิวฟัน และไม่ดึงเอาแร่ธาตุ วิธีเพิ่มระยะเวลาของน้าในปากให้นานขึ้นโดยวิธีท่ีทาได้ ออกจากฟัน อีกท้ัง วุ้นชุ่มปาก ยังมีความปลอดภัย ง่ายด้วยตัวเองโดยการอมน้าแข็งเป็นระยะๆพบว่า ผู้ป่วยสามารถกลืนเพื่อให้ความชุ่มช้ืนในลาคอได้ ผลิต สามารถทาใหป้ ากชุมชืน่ ได้นานขึ้น และผลพลอยได้จาก ด้วยเทคโนโลยีทางอาหารให้มีอายุการเก็บรักษา อุณหภูมิที่เย็นทาให้ผู้ป่วยสดชื่นและลดอาการแห้งผาก ยาวนานโดยไม่มีส่วนผสมของวัตถุกันเสีย ซึ่งแตกต่าง ในปากลงได้เช่นเดียวกับคนปกติท่ีกระหายน้าเม่ือปาก จากผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นในช่องปากท่ัวไปท่ีมีวัตถุ แห้งจะรู้สึกสดช่ืนขึ้นได้ทันทีเมื่อได้ดื่มน้าเย็น ผู้ป่วยจึง กันเสียจึงไม่สามารถกลืนลงคอได้ 25 เป็นผลิตภัณฑ์ของ พึงพอใจวธิ ีนี้มาก และถอื ปฏิบัติเปน็ ประจา มู ล นิ ธิ ทั น ต น ว ต ก ร ร ม ใ น พ ร ะ บ ร ม ร า ชู ป ถั ม ภ์ ขอ้ ยตุ แิ ละการนาไปใช้ประโยชน์ จ า ก ก า ร ศึ ก ษ า ใ น ผู้ สู ง อ า ยุ ที่ รั บ ป ร ะ ท า น ย า รั ก ษ า เบาหวาน และยาลดความดันโลหิตสงู แล้วมีผลขา้ งเคียง ผู้ป่วยท่ีมีภาวะปากแห้ง ในระหว่างเข้ารับการ คือ อาการปากเม่ือมีการให้วุ้นชุ่มปากเพ่ือรักษาอาการ รักษาจัดฟันสามารถรักษาต่อจนเสร็จสมบูรณ์ได้โดยใช้ ป า ก แ ห้ ง พ บ ว่ า ก า ร ใ ช้ วุ้ น ชุ่ ม ป า ก 2 สั ป ด า ห์ แนวทาง 5 ขอ้ ข้างต้นร่วมกับการเพิม่ ระยะเวลาให้น้าชุ่ม อาการปากแห้งลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะท่ีใช้เป็น อยู่ในปากดว้ ยน้าแข็ง พบว่าผู้ป่วยไม่มีความผิดปกติของ เวลา 1 เดือน ลดอาการปากแห้งได้ดีป้องกันการลดลง ฟัน เหงือกและเน้ือเย่ืออ่อนที่รุนแรงสามารถใช้ชีวิตได้ ของ pH ของน้าลายจึงปกป้องฟันและเน้ือเยื่อ ตามปกติจึงควรใช้เป็นแนวทางในการดูแลและให้ ในช่องปากต่อภาวะเป็นกรดได้ดีขึ้น นอกจากนี้ผู้ป่วย คาแนะนาผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวในผู้ป่วยปากแห้ง ร้อยละ 65 ท่ีมีภาวะปากแห้งต้องการวุ้นชุ่มปาก เพียงอย่างเดียวและอยู่ระหว่างจัดฟันหรือใส่ฟันปลอม เน่ืองจากเป็นเป็นน้าลายที่กินได้เหมาะสาหรับผู้ป่วย ไดต้ อ่ ไป สงู อายทุ ท่ี กุ ข์ทรมานจากปากแห้ง26 การศึกษาผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและคอที่เคยรับ รังสีรักษาครบแล้วแต่ยังมีภาวะปากแห้ง และกลืน ลาบากอยู่ การใช้วุ้นชุ่มปากหลังจาก 1 และ 2 เดือน พบว่า คะแนนปากแห้ง คะแนนปัญหาการกลืน เวลา กลืน และภาวะโภชนาการทางคลินิกของท้ังสองกลุ่มดี ขึน้ อยา่ งมนี ยั สาคญั (p <0.0001) 27 37
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ เอกสารอา้ งอิง 11. Peri Y, Agmon-Levin N, Theodor E, Shoen- 1. Guggenheimer J, Moore PA. Xerostomia: Eti- feld Y. Sjögren’s syndrome, the old and the ology, recognition and treatment. J Am Dent new. Best Pract Res Clin Rheumatol 2012; 26 Assoc 2003; 134(1): 61-9. (1): 105-17. 2. Hopcraft MS, Tan C. Xerostomia: An update 12. Cheng YM, Lan SH, Hsieh YP, Lan SJ, Hsu for clinicians. Aust Dent J 2010; 55(3): 238-44. SW. Evaluate five different diagnostic tests for 3. Johansson AK, Johansson A, Unell L, Ekbäck dry mouth assessment in geriatric residents in G, Ordell S, Carlsson GE. Self-reported dry long-term institutions in Taiwan. BMC Oral mouth in Swedish population samples aged Health 2019; 19(1): 106. 50, 65 and 75 years. Gerodontology 2012; 29 13. Osailan SM, Pramanik R, Shirlaw P, Proctor (2): 107-15. GB, Challacombe SJ. Clinical assessment of 4. Turner MD, Ship JA. Dry mouth and its ef- oral dryness: Development of a scoring system fects on the oral health of elderly people. J related to salivary flow and mucosal wetness. Am Dent Assoc 2007; 138: S15-20. Oral Surg Oral Med Oral Pathol Oral Radiol 5. Han P, Suarez-Durall P, Mulligan R. Dry 2012; 114(5): 597-603. mouth: A critical topic for older adult patients. 14. Fox PC, Busch KA, Baum BJ. Subjective re- J Prosthodont Res 2015; 59(1): 6-19. ports of xerostomia and objective measures of 6. Villa A, Connell C, Abati S. Diagnosis and salivary gland performance. J Am Dent Assoc management of xerostomia and hyposaliva- 1987; 115(4): 581-4. tion. Ther Clin Risk Manag 2014; 11: 45-51. 15. Thomson WM, Chalmers JM, Spencer AJ, 7. Thomson WM, Lawrence HP, Broadbent JM, Williams SM. The Xerostomia Inventory: a multi Poulton R. The impact of xerostomia on oral- -item approach to measuring dry mouth. Com- health-related quality of life among younger munity Dent Health 1999; 16(1): 12-7. adults. Health Qual Life Outcomes 2006; 4: 86. 16. Al-Dwairi Z, Lynch E. Xerostomia in com- 8. Glore RJ, Spiteri Staines K, Paleri V. A patient plete denture wearers: prevalence, clinical with dry mouth. Clin Otolaryngol 2009; 34(4): findings and impact on oral functions. 358-63. Gerodontology 2014; 31(1): 49-55. 9. Saleh J, Figueiredo MAZ, Cherubini K, Salum 17. Gupta A, Epstein JB, Sroussi H. Hyposaliva- FG. Salivary hypofunction: An update on aetiol- tion in elderly patients. J Can Dent Assoc 2006; ogy, diagnosis and therapeutics. Arch Oral Biol 72(9): 841-6. 2015; 60(2): 242-55. 18. Gilbert GH, Heft MW, Duncan RP. Mouth 10. Jensen SB, Vissink A. Salivary gland dys- dryness as reported by older Floridians. Com- function and xerostomia in sjögren’s syn- munity Dent Oral Epidemiol 1993; 21(6): 390-7. drome. Oral Maxillofac Surg Clin North Am 2014; 26(1): 35-53. 38
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ 19. Navazesh M, Wood GJ, Brightman VJ. Rela- 25. วนุ้ ชุ่มปากน้าลายเทยี มชนดิ เจล โครงการ tionship between salivary flow rates and Can- พระราชดารเิ พ่อื ผปู้ ่วยปากแห้ง-นา้ ลายน้อย [Internet]. dida albicans counts. Oral Surg Oral Med Oral kapook.com. 2016 [cited 2021 Jun 24]. Availa- Pathol Oral Radiol Endod 1995; 80(3): 284-8. ble from: https://health.kapook.com/ 20. Ship JA. Diabetes and oral health: An over- view159375.html view. J Am Dent Assoc 2003; 134(Spec): 4S-10S. 26. Dalodom S, Lam-Ubol A, Jean- 21. Ship JA, Pillemer SR, Baum BJ. Xerostomia maneechotechai S, Takamfoo L, Intachai W, and the geriatric patient. J Am Geriatr Soc Duangchada K, et al. Influence of oral moistur- 2002; 50(3): 535-43. izing jelly as a saliva substitute for the relief of 22. จุฑารนิ ทร์ ศรเี จริญ, ศศธิ ร ไชยประสิทธ.ิ์ สภาวะ xerostomia in elderly patients with hyperten- ปากแหง้ : การให้ความหมายและประสบการณก์ ารดูแล sion and diabetes mellitus. Geriatr Nurs N Y N. ตนเองในทศั นะของผูป้ ว่ ย. ชม ทันตสาร 2561: 2016 Apr;37(2):101–9. 393 ;117-132. 27. Nuchit S, Lam-Ubol A, Paemuang W, Ta- 23. ปิยวดี ขดั ทะเสมา, พรรณวดี พธุ วฒั นะ, ดรุณี ชุณ lungchit S, Chokchaitam O, Mungkung O-O, et หะวตั . ภาวะนา้ ลายแหง้ วิธีการจดั การ และผลลัพธข์ อง al. Alleviation of dry mouth by saliva substi- ผปู้ ่วยมะเรง็ ศรี ษะ และคอภายหลังไดร้ ับรังสรี กั ษา. Ra- tutes improved swallowing ability and clinical ma Nurs J 2010: January-April :40–53. nutritional status of post-radiotherapy head 24. นิรมล พจน์ด้วง, ฉววี รรณ เจิมสม, จไุ รรตั น์ ธรรม and neck cancer patients: a randomized con- เพียร. ประสบการณ์อาการวธิ ีการจัดการกับอาการและ trolled trial. Support Care Cancer Off J Mul- คณุ ภาพชีวิตผปู้ ่วยมะเรง็ ศรี ษะและคอท่เี กิดภาวะ tinatl Assoc Support Care Cancer. 2020 Jun;28 น้าลายแหง้ หลังครบรงั สีรักษาณศนู ยม์ ะเรง็ ลพบรุ .ี (6):2817–28. มะเร็งวิวฒั น์”วารสารสมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยา 28. Lam-Ubol A, Matangkasombut O, Tra- แหง่ ประเทศไทยปีท่ี 15 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน chootham D, Tarapan S, Sattabanasuk V, Ta- 2552. :93–106. lungchit S, et al. Efficacy of gel-based artificial saliva on Candida colonization and saliva prop- erties in xerostomic post-radiotherapy head and neck cancer patients: a randomized con- trolled trial. Clin Oral Investig. 2021 Apr;25 (4):1815–27. 39
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ รายงานการสอบสวนโรคสุกใสในโรงเรียนแห่งหนึง่ หมู่ 4 บา้ นเวียง ตาบลปา่ แดด อาเภอป่าแดด จังหวดั เชียงราย ระหวา่ งวันท่ี 13 มกราคม – 9 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 รซู ีฮัน เจ๊ะนุ1 สภุ าพร ธปู หอม1 อะวาฏฟี ยะผา1 ศภุ ลักษณ์ พรหมเสน2 และ ศริ ญิ าพร ขนั ทะสอน1 E-mail: [email protected] บทคัดยอ่ ความสาคัญ: หน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลป่าแดด ตาบลป่าแดด อาเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย ได้รับ แจง้ จากครวู า่ มีนกั เรียนป่วยเป็นโรคสกุ ใส จากการสอบสวนโรคเบื้องตน้ พบว่ามีนักเรยี นทีม่ ีอาการและอาการแสดง เข้ากับนิยามโรคสุกใสจานวน 6 ราย ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน จานวน 1 ราย และได้เข้ารับการ รักษาทโ่ี รงพยาบาลป่าแดด จานวน 5 ราย แพทย์วินจิ ฉยั ว่าป่วยด้วยโรคสกุ ใส ดังนนั้ ทีมเฝา้ ระวังสอบสวนเคล่ือนที่ เรว็ ตาบลป่าแดด อาเภอป่าแดด จงึ ออกดาเนนิ การสอบสวนโรคในวันท1่ี 3 มกราคม 2564 วัตถปุ ระสงค:์ เพือ่ ยืนยันการวินิจฉัยและยืนยันการระบาดของโรค ศึกษาลักษณะการเกิดการกระจายของโรค ตามลกั ษณะบคุ คล เวลา และสถานที่ เพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคสุกใสตามหลักสามเหล่ียมระบาด และวางแผนการดาเนนิ งานปอ้ งกันและควบคมุ โรค เปน็ การศึกษาเชงิ ระบาดวทิ ยาเชงิ พรรณนา รูปแบบการศึกษา: โดยวิธีดาเนินการทบทวนสถานการณ์ของโรคสุกใส ย้อนหลัง 5 ปี และเปรียบเทียบกับ สถานการณ์ปัจจุบัน ของตาบลป่าแดด อาเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย ทบทวนเวชระเบียนการรักษาผู้ป่วยและ รวบรวมข้อมลู การเจบ็ ปว่ ยของผ้ปู ว่ ย โดยการสัมภาษณ์ผปู้ กครองของนักเรียนท่มี อี าการปว่ ยโดยศึกษาส่ิงแวดล้อม สารวจลักษณะส่งิ แวดล้อม และลักษณะท่ัวไปของโรงเรียนแห่งหน่ึง หมู่ 4 บ้านเวียง ตาบลป่าแดด อาเภอป่าแดด จงั หวดั เชยี งราย ผลการศึกษา: ผลการสอบสวน โดยพบผ้ปู ว่ ยท้งั สิน้ จานวน 20 ราย คิดเป็นอัตราป่วยร้อยละ 69.30 เป็นหญิง 11 ราย ชาย 9 ราย อาการ/อาการแสดงส่วนใหญ่มีผ่ืนแดง และตุ่มใส/ตุ่มหนอง ร้อยละ 68.42 รองลงมามีไข้ ร้อยละ 63.15 อ่อนเพลีย ร้อยละ 10.52 และแผลในปาก ร้อยละ 5.26 โดยผปู้ ว่ ยรายแรกเรม่ิ ปว่ ยเมอื่ 4 มกราคม 2564 สว่ นรายลา่ สดุ เรมิ่ ปว่ ยเมอื่ 28 มกราคม 2564 พบอตั ราปว่ ยสงู สดุ ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 60 มาตรการควบคมุ โรคไดแ้ ก่ คัดกรองนกั เรียนเพื่อค้นหาผู้ป่วยท่ีสงสยั ใหส้ ุขศึกษาแกค่ รูและนักเรียนเพ่ือป้องกันโดย เน้นพฤติกรรมคนในโรงเรียน พ่นคลอรีนทาความสะอาดห้องเรียน สนามเด็กเล่น และรถรับส่งนักเรียน ให้เด็กท่ี ป่วยหยุดเรียนจนกวา่ แผลจะตกสะเกด็ และแห้ง ข้อยุติและการนาไปใช้: สรุปการระบาดโรคสุกใสในครั้งน้ีเกิดขึ้นที่โรงเรียนแห่งหน่ึงในตาบลป่าแดด เป็นการ ระบาดท่ีเกิดจากแหล่งโรคแพร่กระจาย สาเหตุการเกิดโรคสุกใสในครั้งน้ี จากการสอบถามครูและผู้ปกครองของ นักเรียน พบว่าผู้ป่วยรายแรกติดจากผู้ปกครองและจากการรักษาโรคท่ียังไม่หายดีผู้ปกครองได้นาเด็กมาเรียน โรงเรียนควรปิดเป็นระยะเวลา 20 - 40 วัน ซ่ึงระยะฟักตัวสองเท่า ด้านสิ่งแวดล้อมควรทาความสะอาดโดยใช้ Sodium Hypochlorite ในสัดส่วนที่เหมาะสม จากการเฝ้าระวังอย่างต่อเน่ืองจนถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ยังไม่พบ ผปู้ ่วยเพิม่ ขน้ึ คาสาคัญ: โรคสกุ ใส การสอบสวนโรค 1 สานกั วชิ าวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ มหาวิทยาลยั แมฟ่ ้าหลวง 2 โรงพยาบาลปา่ แดด 40
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ความสาคัญ: โรคสุกใส คือ การติดเช้ือท่ีเกิดจากเชื้อ เมอ่ื วนั ที่ 5 มกราคม 2564 ด้วยอาการมีผ่ืนแดง ตุ่มใส varicella-zoster virus และมีระยะฟกั ตวั 10 - 21 วัน แพทย์ยืนยันวินิจฉัยว่าเป็นโรคสุกใส ทางหน่วยบริการ อาการแสดงของสุกใส เช่น มีไข้ต่า ๆ ผ่ืนแดง ตุ่มใส ปฐมภูมิโรงพยาบาลป่าแดด ได้ประสานทีมเฝ้าระวัง บางคนมีผ่ืนขึ้นในช่องปาก บางคนอาจไม่มีไข้ มีเพียง สอบสวนเคลื่อนที่เร็วตาบลป่าแดดออกสอบสวนโรค ผื่นขึน้ เทา่ น้นั โรคนี้สามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสและ และได้ประสานผู้อานวยการโรงเรียนให้มีการปิด ทางอากาศ การติดต่อเกิดขึ้นโดยการไอ จาม การ โรงเรียน 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 14 - 18 มกราคม 2564 หายใจ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดได้รับเช้ือโดยการหายใจเอาเช้ือ เพ่ือเป็นการหยุดการแพร่เชื้อ พร้อมทั้งประสาน เข้าไป หรือสัมผัสโดยตรงกับแผลของผู้ป่วย นอกจากน้ี เทศบาลตาบลป่าแดดดาเนินการควบคุมโรค โดยการ อาจสัมผัสโดยอ้อมกับของใช้ต่าง ๆ ของผู้ป่วย และใน พ่นคลอรีนในพ้ืนท่ี เพื่อฆ่าเช้ือบริเวณห้องเรียน กรณีท่ีมีอาการรุนแรงอาจส่งผลให้เป็นปอดอักเสบ รถโดยสารประจาทางของนักเรียน รถตู้ประจาทาง สมองอักเสบ หรือตับอักเสบ บางรายมีอาการรุนแรง สนามเดก็ เลน่ และสถานทท่ี ีน่ กั เรียนทากิจกรรมร่วมกัน มากจนถึงเสยี ชวี ิต1 วตั ถุประสงค์ 1.เพอื่ ยืนยันการวินิจฉัยโรคและโรคระบาดของโรค สถานการณ์ในจังหวัดเชียงรายวันที่ 1 มกราคม 2.เพ่ือศึกษาการกระจายของโรคตามลักษณะบุคคล - 31 ธนั วาคม 2563 มีผ้ปู ว่ ยท้งั สน้ิ 1,389 ราย คิดเป็น เวลา และสถานที่ อัตรา 107.51 ต่อประชากรแสนคน สัดส่วนเพศชาย: 3.เพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคสุใส หญงิ 1.08:12 อาเภอปา่ แดด มีรายงานผู้ป่วยโรคสุกใส ตามหลกั สามเหลยี่ มระบาด 16 ราย คิดเป็น 63.23 ต่อประชากรแสนคน สัดส่วน 4.เพ่ือการวางแผนการดาเนินงานป้องกันและควบคุม เพศชาย:หญิง 1:1 และตาบลป่าแดด มีรายงานผู้ป่วย โรคทเ่ี หมาะสม โรคสุกใส 3 ราย คิดเป็น 53.50 ต่อประชากรแสนคน วธิ กี ารสอบสวนโรค อตั ราสว่ นเพศชาย:หญิง 2:13 การศกึ ษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนา (Descriptive study) มขี ้นั ตอนการศึกษาดังนี้ วันที่ 13 มกราคม 2564 เวลา 9.30 น หน่วย บริการปฐมภูมิโรงพยาบาลป่าแดด ตาบลป่าแดด 1. รวบรวมข้อมูลผู้ป่วย ประวัติการรักษาจาก อาเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย ได้รับแจ้งจากครูว่ามี ข้ อ มู ล เ ว ช ร ะ เ บี ย น ใ น โ ป ร แ ก ร ม HOSxP ข อ ง นักเรียนสงสัยป่วยด้วยโรคสุกใส 6 ราย พบเป็นเพศ โรงพยาบาลป่าแดด สอบถามข้อมูลจาก ครู และ ชาย 3 ราย เพศหญิง 3 ราย คิดเป็นสัดส่วนเพศชาย: ผู้ปกครองเก่ียวกับข้อมูลท่ัวไปของผู้ป่วย ข้อมูลการ เพศหญิงเท่ากับ 1:1 ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เจ็บปว่ ย ประวตั กิ ารรกั ษา ประวัตกิ ารสัมผัสโรค เอกชน จานวน 1 ราย และได้เข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลป่าแดด จานวน 5 ราย แพทย์วินิจฉัยว่า 2. ศึกษาสิ่งแวดล้อม สุขาภิบาล ปัจจัยต่าง ๆ ท่ี ป่วยด้วยโรคสุกใส จากการสอบสวนโรคเบื้องต้นพบว่า เ อื้ อ ต่ อ ก า ร เ กิ ด โ ร ค โ ด ย ส า ร ว จ ส ภ า พ ท่ั ว ไ ป มีนักเรียนที่มีอาการและอาการแสดงเข้ากับนิยามโรค กระบวนการ หรือกิจกรรมต่าง ๆ การทาความสะอาด สุกใสและมีนักเรียนที่ต้องเฝ้าระวังจานวน 32 ราย วัสดอุ ปุ กรณท์ เ่ี ดก็ ใชร้ ่วมกัน เนื่องจาก มีผ่ืนแดงและตุ่มใส นักเรียนท้ังหมดศึกษาใน โรงเรียนแห่งหนึ่ง หมู่ 4 ตาบลป่าแดด อาเภอป่าแดด 3. การค้นหาผู้ป่วยเพ่ิมเติมจากการสอบถาม จังหวัดเชียงราย พบว่านักเรียนชายอายุ 9 ปีเรียนอยู่ คุณครู ผู้ปกครองนกั เรยี น และคนขบั รถประจาทางโดย ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 เป็นผู้ป่วยรายแรก เข้ารับการ ต ล อ ด จ น ติ ด ต า ม แ ล ะ เ ฝ้ า ร ะ วั ง โ ร ค ใ น โ ร ง เ รี ย น รักษาท่ีโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย โดยมีนิยามการป่วยด้วยโรคสุกใสตามเกณฑ์ทางคลินิก ดังน้ี มไี ข้ ผื่นแดง ตุม่ ใส/ต่มุ หนอง 41
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ผู้ป่วยสงสัย (Suspected case) หมายถึง ผู้ที่ โดยผปู้ ว่ ยเปน็ หญิง 11 ราย ชาย 9 ราย ไดร้ ับการยืนยัน มอี าการทางคลนิ กิ ทส่ี งสัยป่วยโรคสกุ ใส4 และวินิจฉัยโดยแพทย์ว่า เป็นสุกใส จานวน 11 ราย ถึ ง แ ม้ ว่ า ผู้ ป่ ว ย ทุ ก ร า ย ไ ม่ ไ ด้ รั บ ก า ร ต ร ว จ ท า ง ผู้ป่วยที่เข้าข่าย (Probable case) หมายถึง ห้องปฏิบัติการ แต่เม่ือแพทย์วินิจฉัยร่วมกับอาการเข้า ผู้ท่ีมีอาการทางคลินิก แต่ไม่ได้รับการยืนยันทาง ได้ตามนิยามที่กาหนดไว้ แสดงว่าพบการป่วยด้วยโรค ห้องปฏบิ ตั กิ าร หรอื ไม่ไดร้ บั การวนิ ิจฉยั จากแพทย์5 สุกใสขึ้น และส่วนใหญ่มีผื่นแดง และตุ่มใส/ตุ่มหนอง จานวน 13 ราย (ร้อยละ 68.42) รองลงมามีไข้ จานวน ผู้ป่วยยืนยันผล (Confirm case) หมายถึง ผู้ที่ 12 ราย (ร้อยละ 63.15) อ่อนเพลีย จานวน 2 ราย มีอาการตามเกณฑ์ทางคลินิก และได้รับการวินิจฉัยจาก (ร้อยละ 10.52) และแผลในปาก จานวน 1 ราย แพทย์ ดว้ ยICD10 (B019)5,7 (ร้อยละ 5.26) (ภาพท่ี 1) 2. การยืนยันการระบาด 4. เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบสวนโรคสุกใส ของ สานักระบาดวทิ ยา จากการศึกษาข้อมูลผู้ป่วยโรคสุกใสจากรายงาน การเฝ้าระวังการเกิดโรคสุกใส ตั้งแต่เดือนมกราคม – 5. สถิติท่ีใช้ในการศึกษาคือสถิติเชิงพรรณนา กุมภาพันธ์ 2564 โดยเปรียบเทียบกับค่ามัธยฐาน ได้แก่ จานวน (Number) ค่าร้อยละ (Percentage) (Median) ย้อนหลัง 5 ปี (พ.ศ. 2559 – 2563) พบว่า และคา่ มธั ยฐาน (Median) จานวนผู้ป่วยมากกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปี ย้อนหลังในช่วง ผลการสอบสวนโรค เวลาเดียวกัน แสดงให้เห็นว่ามีการระบาดเกิดข้ึนใน 1. การยืนยนั การวนิ จิ ฉัยโรค พื้นท่ี (ภาพที่ 2) จากการสอบสวนโรคสุกใสและการค้นหาเพิ่มเติม ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง หมู่ 4 บ้านเวียง ตาบลป่าแดด อาเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 13 มกราคม – 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 พบว่า เด็กมี อาการแสดงทางคลินกิ ทั้งหมด 20 ราย ภาพท่ี 1 รอ้ ยละของผู้ป่วยโรคสุกใสในโรงเรียนแห่งหนงึ่ จำแนกตำมอำกำรและอำกำรแสดง 42
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ภาพท่ี 2 จำนวนผปู้ ว่ ยโรคสุกใส จำแนกรำยเดอื น ตำบลปำ่ แดด เปรยี บเทยี บข้อมูลปี 2564 กับคำ่ มธั ยฐำน 5 ปีย้อนหลงั (2559-2563) 3. ผลการศึกษาระบาดวทิ ยาเชงิ พรรณนา 3.3 ลกั ษณะการกระจายโรคตามเวลา 3.1 ลักษณะการกระจายโรคตามบุคคล พบว่าผู้ป่วย ผู้ปว่ ยรายแรกเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 รายแรกเร่ิมมีอาการป่วย ในวันที่ 4 มกราคม 2564 ได้ เร่ิมป่วยเม่ือวันท่ี 4 มกราคม 2564 จากนั้นพบผู้ป่วย เข้ารบั การรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหน่ึงในจังหวัด อย่างต่อเน่ืองโดยช่วงเวลาท่ีพบมากสุดคือ วันที่ 13 เชียงราย ด้วยอาการมีผื่นแดง ตุ่มใส ได้รับการวินิจฉัย มกราคม 2564 ถึง 15 มกราคม 2564 และพบราย โดยแพทย์ เม่ือวันที่ 5 มกราคม 2564 ว่าป่วยด้วยโรค สุดท้ายปว่ ยเมอื่ วัน 28 มกราคม 2564 ลักษณะเป็นการ สุกใส จากการสอบสวนโรค พบผู้ป่วยตามนิยามที่ต้อง ร ะ บ า ด ท่ี เ กิ ด จ า ก แ ห ล่ ง โ ร ค แ บ บ แ พ ร่ ก ร ะ จ า ย เฝ้าระวังจานวน 32 ราย ได้รับรายงานว่าป่วย 12 ราย (Propagated Source Outbreak) เกิดจากการแพร่ และในช่วงวันท่ี 15 มกราคม 2564 – 9 กุมภาพันธ์ เช้ือ หรือถ่ายทอดโรคจากคนหน่ึงไปสู่อีกคนหนึ่ง ระยะ 2564 พบผู้ป่วยเพิ่มข้ึนอีกจานวน 2 ราย เป็นเพศชาย ฟักตัวส้ันที่สุด Cluster แรก 7 วัน Cluster ท่ีสอง 10 2 ราย รวมพบผู้ป่วยท้ังส้ิน จานวน 20 ราย เป็นเพศ วัน และ Cluster ที่สาม 2 วัน ระยะฟักตัวยาวท่ีสุด 21 ชาย 9 ราย เพศหญิง 11 ราย จากการสอบสวนโรค วัน ระยะฟักตวั เฉลยี่ 14-16 วนั ผู้ป่วยรายแรกหรือกลุ่ม พบว่าอายุท่ีมีผู้ป่วยสูงสุด คือ อายุ 9 ปี จานวนผู้ป่วย แรกท่ีไปรับเชื้อมาและจะถ่ายโอนโรคสู่เพ่ือน แล้ว 18 ราย คิดเปน็ ร้อยละ 90 แพร่กระจายจากคนหน่ึงแพร่ไปสู่อีกคนหน่ึงไม่ว่าจะ 3.2 ลักษณะการกระจายโรคตามสถานท่ี พบอัตรา ทางตรงหรือทางอ้อม ในการเร่ิมต้นของโรคจะช้าเพราะ ป่วยสูงสุดช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 อัตราป่วยร้อยละ 60 ผู้ป่วยค่อยๆเพิ่มจานวนขึ้นพบผู้ป่วยได้หลายๆช่วงระยะ รองลงมาเป็นช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 อัตราป่วยร้อยละ ฝักตัวของโรค ผู้ป่วยจะลดลงช้าลงแตจ่ ะจากัดจานวนลง 4.76 และชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 อัตราป่วย ร้อยละ ด้วยตัวของมันเอง เน่ืองจากคนท่ีไม่มีภูมิคุ้มกันหรือมี 4.54 และจากการระบาดของโรคสุกใสจาแนกตามรถ ความตา้ นทานโรคตา่ มีจานวนนอ้ ยลงทกุ ที (ภาพที่ 3) รับ-สง่ พบอัตราปว่ ยสงู สุดรถตู้สายใหม่ใต้ สันโค้ง อัตรา ปว่ ย ร้อยละ 16.12 43
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ภาพท่ี 3 จำนวนผ้ปู ว่ ยโรคสุกใสในโรงเรียนแหง่ หนึง่ หมู่ 4 บำ้ นเวยี ง จำแนกตำมวันเริ่มปว่ ย 3.4 การค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม 3.5 ปจั จยั ท่ีมคี วามสมั พนั ธ์ 3.4.1 ข้อมลู ทวั่ ไป 3.5.1 ด้านสง่ิ แวดลอ้ ม โรงเรียนแห่งนี้สังกัดเทศบาลตาบลป่าแดด ต้ังอยู่ โรคสุกใสเป็นโรคท่ีแพร่ระบาดได้ง่ายโดยเฉพาะ ที่หมู่ 4 บ้านเวียง ตาบลป่าแดด อาเภอป่าแดด จังหวัด โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเด็กหรือตามชุมชนที่อยู่อาศัย เชียงราย ทิศเหนือติดกับตาบลป่าแงะ ทิศใต้ติดกับ ท่ัวไป สามารถพบได้ตลอดท้ังปี แต่มีอุบัติการณ์เกิดข้ึน ตาบลสันมะค่า ทิศตะวันออกติดกับอาเภอป่าแดด และ สงู สดุ ในช่วงเดอื น มกราคม ถึงเดอื น เมษายน ทิศตะวันตกติดกับตาบลโรงช้าง มีบุคลากรและคุณครู จากแผนที่โรงเรียน ตัวอาคารเรียนเป็นอาคาร จานวน 19 ราย มีนักเรียนทั้งหมด จานวน 164 ราย คอนกรีต 3 ชั้น ใช้ใต้ถุนเรียนไว้สาหรับทากิจกรรม เป็นเพศชาย 77 ราย เพศหญิงจานวน 87 ราย และ ร่วมกัน มีรั้วรอบชัดเจน ห้องเรียนเป็นห้องพัดลม มีรถตู้โดยสารรับ-ส่งนักเรียน จานวน 3 สาย รถเมล์ ทิศทางลมจะเข้าทางประตูห้องและหน้าต่างท่ีเป็น โรงเรียน และอ่ืน ๆ คือ นักเรียนท่ีมาโรงเรียนด้วย กระจกอลูมิเนยี ม ภายในหอ้ งเรียนพ้นื สกปรก ภายในตัว จกั รยาน, เดินเท้า และผู้ปกครองมารบั -สง่ อาคารมีห้องน้า 3 ห้อง แบ่งเป็นห้องน้าหญิง 1 ห้อง 3.4.2 ขอ้ มูลอาคารสถานที่ ห้องน้าชาย 2 ห้อง ห้องน้าไม่ค่อยสะอาดเท่าท่ีควร ภายในโรงเรียนมีอาคารเรียน 1 หลัง ภายใน (มีอาคารห้องน้าแยก แต่ไม่สามารถใช้งานได้) ห้องน้า อาคารเรียนมีห้องน้า 3 ห้อง ใต้ถุนอาคารเป็น และอ่างล้างมือไม่มีสบู่ไว้ทาความสะอาดมือ พื้นห้องน้า ลานอเนกประสงค์และโรงอาหาร ข้าง ๆ อาคารเรียน ดาสกปรก จุดน้าดื่มมีแก้วน้าใช้ร่วมกัน กิจกรรมท่ีทา มีห้องสมุด 1 หลัง ห้องน้า 1 หลัง และบ้านพักภารโรง ร่วมกันได้แก่ เข้าแถวเคารพธงชาติ และรับประทาน 2 หลัง บรเิ วณหนา้ อาคารมโี รงยมิ 1 หลัง อาหารเท่ยี งพรอ้ มกนั ในโรงอาหาร นอกน้ันเป็นกิจกรรม การเรียนการสอน หน้าช้ันเรยี นมีเจลแอลกอฮอลส์ าหรับ ล้างมอื เฉพาะบางห้องเรียนเท่านั้น สาหรับรถรบั -ส่งนักเรียนน้ันเน่ืองจากรับนักเรียน หลายคนและค่อนข้างแออัดเหมาะอย่างย่ิงท่ีจะเป็น แหล่งแพร่กระจายของโรคไดอ้ ย่างรวดเร็ว (ภาพที่ 4) 44
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ภาพที่ 4 แผนผงั โครงสร้างอาคารเรียนโรงเรียนหมู่ 4 บ้านเวียง แนวทางมาตรการในการควบคมุ และป้องกันโรคสกุ ใส 5. ให้มีการคัดกรองเด็กนักเรียนท่ีเข้าข่ายป่วยโรค ในโรงเรยี น สุกใสก่อนเข้าโรงเรียนและเข้าห้องเรียนโดยคุณครู และ 1. ประชาสัมพันธ์ให้ครูและนักเรียน รู้ถึงวิธี หากพบให้รีบแจง้ เจ้าหน้าทส่ี าธารณสขุ ทนั ที ป้องกันตนเอง โดยใหค้ รแู ยกเด็กปว่ ยออกจากเด็กคนอื่น 1.ลดการสัมผสั และใหห้ ยดุ เรยี นจนกว่าจะแผลตกสะเกด็ และแหง้ 1.1 ประชำสัมพันธ์แก่นักเรียน คุณครู โดยเน้น 2. ประสานเทศบาลตาบลป่าแดด พ่นคลอรีน กำรแยกผู้ป่วย หลีกเล่ียงกำรสัมผัสคลุกคลีไม่ใช้สิ่งของ ทาความสะอาดตามห้องเรียน สนามเด็กเล่น รถรับส่ง ร่วมกบั ผู้ปว่ ย นักเรียน และประสานครูล้างทาความสะอาดสิ่งของ 1.2 ตัดเลบ็ ใหส้ ั้น ล้ำงมือด้วยสบู่บ่อย ๆ อย่ำแกะ เครื่องใช้ต่าง ๆ ในห้องเรียน ที่สัมผัสกับน้ามูก น้าลาย หรือเกำแผล หรือตุ่ม เพื่อป้องกันกำรติดเช้ือบริเวณแผล และของเหลว แผลจากผู้ป่วยด้วยการผสมคลอรีนน้า หรือตุ่ม อตั ราสว่ น คลอรนี 1 ช้อนชา ลงน้า 20 ลติ ร 1.3 ควรนำของเล่นล้ำงทำควำมสะอำดด้วย 3. ให้สุขศึกษาเรื่องโรคการดูแลตนเองแก่ครูและ ผงซักฟอกวันละครัง้ แลว้ ผง่ึ แดดฆำ่ เชอื้ นักเรียน ให้ครูประจาชั้นทาการเฝ้าระวังอย่างต่อเน่ือง 1.4 ทำควำมสะอำดหอ้ งเรียนโดยกำรกวำดและถู เมื่อพบเด็กป่วยให้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พืน้ ทุกวนั ชว่ งเยน็ และกวำดพ้นื ชว่ งเชำ้ และให้เด็กหยดุ เรยี น 4. ประสานผู้อานวยการโรงเรียน ปิดโรงเรียน 5 วัน ตงั้ แต่วนั ท่ี 14-18 มกราคม 2564 เพื่อดาเนินการ เฝ้าระวังอย่างต่อเน่ือง ดังน้ันทีมระบาดวิทยา ตาบลป่าแดด จึงได้จัดทา war room เพื่อแจ้ง สถานการณ์และหามาตรการควบคุมเฝา้ ระวังโรค 45
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ 2. ระบบการเฝ้าระวงั กระจกอลูมิเนียม ภายในห้องเรียนพื้นสกปรก 2.1 แนะนาครูผู้ดูแลโรงเรียน หากพบว่ามีผู้ป่วย จากการสอบสวนการระบาดโรคสุกใสครั้งนี้ พบผู้ป่วย รายแรกเริ่มป่วย วันที่ 4 มกราคม 2564 ไม่เคยได้รับ ท่ีมีอาการสงสัยโรคสุกใสให้แจ้งผู้ปกครองทราบเพื่อนา วัคซีนสุกใส ทาให้ติดเชื้อสุกใสได้แม้อาการไม่รุนแรงแต่ เดก็ ไปรักษาต่อและให้เดก็ หยดุ เรยี น สามารถแพร่กระจายเช้ือได้ และพบว่า รายแรกติดจาก ผู้ปกครอง และจากการรักษาโรคที่ยังไม่หายดี 2.2 ให้ความรู้เร่ืองโรคแก่ครู นักเรียน พนักงาน ผู้ปกครองได้นาเด็กมาเรียนต่อจึงเป็นสาเหตุให้เกิด ขับรถรับ- ส่งนักเรียน เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย ระบาดในครง้ั น้ี จากข้อมูลในการสอบสวนพบเด็กท่ีป่วย เชื้อของโรค ท้ังหมด 20 ราย อาการของผู้ป่วยตรงตามนิยาม การค้นหา คือ เด็กมีอาการไข้ ผ่ืนแดง ตุ่มใส/ตุ่มหนอง 2.3 คัดกรองนักเรียนทุกวัน หากพบผู้ป่วยที่มี และได้รับการยืนยนั การวนิ จิ ฉยั จากแพทย์ผู้รักษาว่าเป็น อาการเข้ากับผู้ป่วยสงสัยและเข้าข่าย ให้ครูรายงาน โรคสุกใส เมื่อเปรียบเทียบจานวนผู้ป่วยด้วยโรคสุกใสปี ทุกรายให้หน่วยบริการสาธารณสุข ทันทีเพ่ือเข้ามา 2564 กับค่ามัธยฐานย้อนหลัง 5 ปี พบมีค่ามากกว่า ชว่ ยป้อง กนั ควบคุมโรคตอ่ ไป ค่ามธั ยฐานย้อนหลงั 5 ปี 2.4 จัดต้ังกลุ่มไลน์ โรงเรียนข้ึนเพื่อติดต่อ โรคสุกใสพบไดท้ กุ ประเทศทั่วโลกและโดยมากจะ ประสานงาน แจง้ สถานการณโ์ รคตดิ ต่อต่าง ๆ พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ พบในชายและเพศหญิงได้ 3. ดาเนินการควบคุมโรค ใกล้เคียงกัน6จากการสอบสวนโรควันที่ 13 มกราคม 2564 พบผู้ป่วยตามนิยามท่ีต้องเฝ้าระวังจานวน 3.1 ให้สุขศึกษาแก่คุณครูและนักเรียนในด้าน 32 ราย ได้รับรายงานว่าป่วย 12 ราย และในช่วงวันที่ การป้องกันควบคุมโรค โดยเน้นพฤติกรรมส่วนบุคคล 15 มกราคม 2564 – 9 กุมภาพันธ์ 2564 พบผู้ป่วย ในโรงเรียน ในประเด็น การล้างมือ โดยเฉพาะในช่วง เพ่ิมข้ึนอีกจานวน 2 ราย เป็นเพศชาย 2 ราย รวมพบ ก่อน-หลังรับประทานอาหาร และหลังจากการออกจาก ผู้ป่วยทั้งส้ิน จานวน 20 ราย เป็นเพศชาย 9 ราย ห้องนา้ อีกท้งั การสังเกตอาการโรคสุกใสด้วยตนเองของ เพศหญิง 11 ราย และได้ทาการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง คุณครูและนกั เรียน จนถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ยังไม่พบผู้ป่วยเพ่ิมข้ึน และเมื่อแยกการป่วยตามอายุ พบว่า ร้อยละของผู้ป่วย 3.2 ประสานผู้อานวยการโรงเรียนให้มีการปิด สูงสุด คือ อายุ 9 ปี ผู้ป่วยรายแรกเป็นนักเรียน โรงเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เริ่มป่วยวันท่ี 4 มกราคม 2564 จากนั้นพบผู้ป่วยอย่างต่อเน่ือง โดยช่วงเวลาท่ีพบผู้ป่วย 3.3 ประสานกบั ครอู นามยั โรงเรยี น ให้ผู้ป่วยหยุด มากสุดคือวันท่ี 13 มกราคม 2464 ถึง 15 มกราคม เรียนจนกวา่ หาย หรือจนกวา่ ผน่ื ตกสะเก็ดหาย 2564 และพบผู้ป่วยรายสุดท้ายเมื่อ วันที่ 28 มกราคม 2564 เมื่อหาอัตราป่วยจาแนกตามช้ันเรียน พบอัตรา 3.4 เจ้าหน้าที่สาธารณสขุ ติดตาม/เฝ้าระวังอย่าง ป่วยสูงสดุ ในชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่3 อัตราป่วยร้อยละ 60 ตอ่ เน่ือง เพือ่ ป้องกันการระบาดซา้ รองลงมาคือ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 เท่ากับ 4.76 และ วิจารณ์และอภิปรายผล ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 เท่ากับ 4.54 จะเห็นว่าส่วนใหญ่ เกิดขน้ึ ไดบ้ ่อยในเด็กทีม่ อี ายตุ า่ กว่า 15 ปี การระบาดครั้งนี้ มีลักษณะการระบาดเป็น ก า ร ร ะ บ า ด ท่ี เ กิ ด จ า ก แ ห ล่ ง โ ร ค แ พ ร่ ก ร ะ จ า ย (Propagated Source Outbreak) โ ด ย ผู้ ป่ ว ย รายแรกเร่ิมป่วยเม่ือ 4 มกราคม 2564 ส่วนรายล่าสุด เริ่มป่วยเม่ือ 28 มกราคม 2564 และผลการสารวจ สภาพแวดล้อมโรงเรียน พบว่าห้องน้าแยกชายหญิง ชัดเจน พ้ืนห้องน้าสกปรก ในห้องน้า และอ่างล้างมือไม่ มีสบู่ไว้ทาความสะอาดมือ ห้องเรียนเป็นห้องพัดลม ทิศทางลมจะเข้าทางประตูห้องและหน้าต่างท่ีเป็น 46
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ สาเหตุการเกิดโรคสุกใสในครั้งน้ี จากการ สรปุ ผล สอบถามครแู ละผู้ปกครองของนักเรียน พบว่าผู้ป่วยราย การระบาดโรคสุกใส ในคร้ังน้ีเกิดขึ้นที่โรงเรียน แรกติดจากผปู้ กครอง และจากการรักษาโรคท่ียังไม่หาย แห่งหน่ึง หมู่ 4 บ้านเวียง ตาบลป่าแดด อาเภอป่าแดด ดี ผู้ปกครองได้นาเด็กมาเรียนเน่ืองจากเด็กมักมี จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 13 มกราคม – 9 พฤติกรรมคลุกคลีกันเป็นกลุ่ม ทากิจกรรมร่วมกัน กิน กุมภาพันธ์ 2564 โดยพบผู้ป่วยท้ังสิ้น จานวน 20 ราย อาหารร่วมกันใช้แก้วน้าใบเดียวกัน ทั้งน้ีอาจเป็นปัจจัย เป็นหญิง 11 ราย ชาย 9 ราย อัตราป่วยเพศหญิง:เพศ เสย่ี งในการระบาดของโรคได้ ตลอดการขึ้นรถรับ-ส่งคัน ชายเท่ากบั 2.4:1 อาการ/อาการแสดงส่วนใหญ่มีผ่ืนแดง เดียวกนั มีความสัมพันธ์เปน็ พ่ีน้องกัน จึงเกิดการระบาด และตุ่มใส/ตุ่มหนอง ร้อยละ 68.42 รองลงมามีไข้ ถึงแมจ้ ะเรียนอยูต่ ่างห้องเรยี นกนั ร้อยละ 63.15 อ่อนเพลีย ร้อยละ 10.52 และแผล ภายหลังได้รับแจ้งจากครูหน่วยบริการปฐมภูมิ ในปาก ร้อยละ 5.26 ส่วนใหญ่เรียนช้ันประถมศึกษาปี โรงพยาบาลป่าแดดทีมระบาดวิทยาตาบลป่าแดด ท่ี 3 จานวน 18 ราย อัตราป่วยร้อยละ 60 รองลงมา ประสานครูโรงเรียนท่ีเกิดการระบาด เพ่ือช้ีแจงเหตุผล เรยี นเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 อตั ราปว่ ย รอ้ ยละ 4.76 ในการลงพ้ืนท่ีสอบสวนควบคุมโรคสุกใส ลงตรวจ และช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 อัตราป่วยร้อยละ 4.54 สุขภาพนักเรียน ทุกระดับช้ันและถามข้อมูลจากครู ซงึ่ ผู้ป่วยทัง้ 18 ราย มีประวัติเรียนห้องเดียวกันและอีก ประจาชั้นเพื่อหาจานวนนักเรียนป่วยด้วยโรคสุกใส 2 ราย ขึ้นรถโดยสารรถตู้สายเดียวกันกับผู้ป่วย ประชาสัมพันธ์ให้ครูและนักเรียน รู้ถึงวิธีป้องกันตนเอง โดยผปู้ ว่ ยรายแรกเรมิ่ ปว่ ยเมอ่ื 4 มกราคม 2564 สว่ นราย โดยให้ครูแยกเด็กป่วยออกจากเด็กคนอ่ืน และให้หยุด ลา่ สุดเรม่ิ ปว่ ยเมอื่ 28 มกราคม 2564 เนื่องจากเด็กมักมี เรยี นจนกวา่ จะแผลตกสะเกด็ และแห้ง ประสานเทศบาล พฤติกรรมคลุกคลีกันเป็นกลุ่ม ทากิจกรรมร่วมกัน ตาบลป่าแดด พ่นคลอรีนทาความสะอาดตามห้องเรียน กินอาหารร่วมกัน ใช้แก้วน้าใบเดียวกัน และข้ึนรถตู้ สนามเด็กเล่น รถรับส่งนักเรียน และประสานครูล้างทา สายเดียวกันกับผู้ป่วย ท้ังนี้อาจเป็นปัจจัยเส่ียงในการ ความสะอาดสิ่งของเคร่ืองใช้ต่าง ๆ ในห้องเรียน ท่ี ระบาดของโรคได้ มาตรการควบคุมโรคได้แก่ ประสาน สัมผัสกับน้ามูก น้าลาย และของเหลว แผลจากผู้ป่วย โรงเรียนให้มีการปิดโรงเรียน 5 วัน ให้สุขศึกษา ด้วยการผสมคลอรีนน้า อัตราส่วน คลอรีน 1 ช้อนชา แก่นักเรียนและครูการทาความสะอาดห้องเรียน ลงน้า 20 ลิตร ให้สุขศึกษาเรื่องโรคการดูแลตนเองแก่ สนามเด็กเล่น ของเล่น และรถตู้โดยสาร และให้เด็ก ครู และนักเรียนและให้ครูประจาช้ันทาการเฝ้าระวัง ท่ีป่วยหยุดเรียนจนกวา่ แผลจะตกสะเกด็ และแห้ง อย่างต่อเน่ือง เม่ือพบเด็กป่วยให้แจ้งเจ้าหน้าท่ี ปญั หาและข้อจากัดในการสอบสวนโรค สาธารณสุขทันที และให้เด็กหยุดเรียน ประสาน 1. ปัญหาการเฝ้าระวังเหตุการณ์ อาจยังไม่ดีพอ ผู้อานวยการโรงเรียน ปิดโรงเรียน 5 วันตั้งแต่วันท่ี เมื่อเกิดโรครายแรกทาให้ไม่มีการรายงานทันที ทาให้ 14-18 มกราคม 2564 เพ่ือดาเนินการเฝ้าระวังอย่าง การควบคมุ โรคลา่ ช้า ต่อเน่ือง นอกจากนี้ ได้จัดทา war room เพื่อแจ้ง 2. เด็กป่วยที่ยังไม่หายดี ผู้ปกครองยังพามาเรียน สถานการณ์และหามาตรการควบคมุ เฝา้ ระวังโรค ปกติ 3. การคัดกรองสุขภาพเด็กก่อนเข้าโรงเรียน มี การคัดกรองไม่ต่อเน่ือง มีเด็กที่ป่วยมานั่งเรียนร่วมกับ เด็กปกติ 47
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ข้อเสนอแนะ 2. โปรแกรม ข้อมูลรายงานเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา 1. ทางทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็วควร รง.506 ศูนย์ระบาดวิทยา อาเภอป่าแดด จังหวัด จัดเตรียมแผนความพร้อมในการอบรมคุณครู โดยเน้น เชยี งราย (2546). รายงานสถานการณ์โรคสุกใส. สืบค้น การให้ความรู้โรคสุกใส แนวทางการคัดกรองโรคสุกใส เมื่อ 8 กุมภาพนั ธ์ 2564. และแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดลอ้ มของโรงเรียนให้ 3. โปรแกรม ข้อมูลรายงานเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา ดาเนินงานตามมาตรฐานโรงเรียนปลอดโรคและแนว รง.506 ศูนย์ระบาดวิทยา จังหวัดเชียงราย (2546). ทางการรายงานเหตกุ ารณ์ผดิ ปกติให้ทนั เหตกุ ารณ์ รายงานสถานการณ์โรคสุกใส. สืบค้นเม่ือ 8 กุมภาพันธ์ 2. โรงเรียนควรจัดหาแก้วน้าด่ืมสาหรับนักเรียน 2564. ให้เพียงพอกับจานวนนักเรียน ไม่ให้นักเรียนใช้แก้วน้า 4. Centers for Disease Control and Prevention รว่ มกัน (CDC). Chickenpox (Varicella)[Online]. 2021 3. โรงเรียนควรจัดหาสบลู่ ้างมอื ใหม้ ที ุกห้องนา้ [cited 2021 Feb 1]. Available from: https:// 4. โรงเรียนควรมีเจลแอลกอฮอล์สาหรับล้างมือ www.cdc.gov/chickenpox/health-departments/ ใหม้ ที กุ หอ้ งเรียน conducting-surveillance.html) 5. ผู้ปกครอง ควรตะหนักรู้เม่ือบุตรป่วยควรรีบ 5. กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวง พาไปรักษาท่ีสถานพยาบาลและให้หยุดเรียนจนกว่า สาธารณสุข. นิยามโรคและแนวทางการรายงาน จะหาย โรคติดต่ออันตราย และโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังใน 6. การคัดกรองก่อนเข้าโรงเรียน เข้าห้องเรียน ประเทศไทย. พิมพ์คร้ังท่ี 1. กรุงเทพฯ : หจก.แคนนา โดยมีคุณครูตรวจประเมินสุขภาพนักเรียนเบื้องต้น กราฟฟิค. 2563 หากพบนักเรียนมีอาการสงสัยว่าป่วยให้แยกเด็ก 6. สานักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวง นั ก เ รี ย น แ ล ะ แ จ้ ง ผู้ ป ก ค ร อ ง พ ร้ อ ม แ น ะ น า สาธารณสุข. ตาราวัคซีนและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ใหไ้ ปพบแพทย์ โรค ปี 2556. พิมพ์คร้ังท่ี 1. กรุงเทพฯ : สานัก 7. แจ้งข่าวสารหรือประชาสัมพันธ์ให้กับชุมชน โรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข, เพอื่ ตระหนักและเฝ้าระวงั โรคอย่างตอ่ เน่ือง 2556. กติ ติกรรมประกาศ 7. สุริยะ คูหะรัตน์. สุกใส. นิยามโรคติดเช้ือ ประเทศ ขอขอบคณุ บุคคลหรือหน่วยงานทใี่ ห้ความร่วมมือ ไทย. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การรับส่ง ในการดาเนินการสอบสวนโรค นายแพทย์วิมุตชพรรณ สนิ คา้ และพสั ดภุ ัณฑ์ (ร.ส.พ); 2546. หนา้ 126-7. ชัยชยะ ผู้อานวยการโรงพยาบาลป่าแดด ผู้อานวยการ 8. ฐาปกรณ์ จิตตนูนท์ และญาณษา สันติญากุล. การ โรงเรียน คุณครู ผู้ปกครอง นกั เรยี น นางสาว ศุภลักษณ์ ประเมินระบบเฝ้าระวังโรคอีสุกอีใสในกลุ่มวัยเรียนของ พรหมเสน ทีม SRRT และดร. ศิริญาพร ขันทะสอน โรงพยาบาลชมุ ชนในจงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา. วารสาร อาจารย์ประจาสานักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ สมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย. 2562;9 มหาวทิ ยาลัยแมฟ่ า้ หลวง (3):313-325. เอกสารอ้างองิ 9. ปภาดา วิจิตรปภาวิรัช. รายงานการสอบสวน การ 1. ปราณี เคหะจินดาวัฒน์. บุคลากรทางการแพทย์ กับ ระบาดของโรคสุกใสเจ้าหน้าท่ีในหอผู้ป่วยหนัก อีสุกอีใส. จุลสารชมรมควบคุมโรคติด เช้ือใน โรงพยาบาลศรีสะเกษ ปี 2563. วารสารสานักงาน โรงพยาบาลแห่งประเทศไทย. 2551;18(2):5-10 ป้องกันควบคุมโรคท่ี 10. 2563;18(1):52-60. 48
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ รายงานสอบสวนโรคผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายที่ 65 จังหวดั เชียงราย วนั ที่ 20 มกราคม 2564 โรงพยาบาลเชียงรายประชานเุ คราะห์ สนุ ันทา คาบญุ เรอื ง1 ศกั ด์ิชาย เลขะคณุ 1 สนั ติ สภุ าวชิ ยั 1 ชาลสิ า กอบกา2 อาซูรา จารมะ2 ภมรศรี ศรีวงคพ์ ันธ3์ E-mail: [email protected] บทคดั ยอ่ ความสาคัญ: วันท่ี 19 มกราคม 2564 เวลา 21.00 นาฬิกา เจ้าหน้าท่ีงานป้องกันควบคุมโรคและระบาด วิทยา กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ศรีบรุ ินทรว์ า่ มผี ้ปู ว่ ยมาขอรับการตรวจเชอื้ โควดิ -19 ทโี่ รงพยาบาล ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่าติดเช้ือโค วิด-19 จากการสอบสวนโรคเบอ้ื งต้นพบวา่ ผ้ปู ว่ ยเป็นชายไทย อายุ 27 ปี ภูมิลาเนาเดิมอยู่ที่อาเภอแม่จัน จังหวัด เชียงราย มีประวัติการเดินทางมาจากกรุงเทพมหานครและได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ป่วยมี อาการและอาการแสดงเข้ากับนิยามโรคโควิด-19 ได้รับการรักษาผู้ป่วย ณ ห้องแยกโรค (Negative pressure room) ของโรงพยาบาลเชียงรายฯ และทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคล่ือนท่ีเร็ว ของโรงพยาบาลเชียงรายฯและ โรงพยาบาลแมจ่ นั จงึ ออกดาเนินการสอบสวนโรควนั ที่ 20 มกราคม 2564 และ วนั ที่ 25 มกราคม 2564 วัตถุประสงค์: เพ่ือยืนยันการวินิจฉัยโรคและค้นหาผู้สัมผัสกับผู้ป่วย ศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนาตาม ลักษณะบุคคล เวลา สถานที่ ค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตามหลักสามเหลี่ยมระบาดวิทยาและค้นหา มาตราการควบคุมและป้องกนั การระบาดของโรค รูปแบบการศึกษา: การศึกษาระบาดเชิงพรรณนา โดยการศึกษาขอ้ มูลด้านการเจ็บป่วย ประวัติการสัมผัสโรคและ ประวัติการเดินทางของผู้ป่วย และค้นหาผู้สัมผัสผู้ป่วยในชุมชนร่วมกับทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนท่ีเร็วของ โรงพยาบาลเชียงรายประชานเุ คราะห์และโรงพยาบาลแม่จนั ผลการศึกษา: พบผู้สัมผัสท่ีเส่ียงต่อการติดเช้ือสูง จานวน 7 ราย และผู้สัมผัสที่เสี่ยงต่อการติดเช้ือต่า จานวน 6 ราย โดยผู้สัมผัสท้ังสองกลุ่ม หลังจากการกักตัวเพื่อสังเกตอาการ ณ ท่ีพักอาศัย (Home quarantine) และเฝ้าระวังจนครบ 14 วัน ไม่มอี าการและอาการแสดง ส่งผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยวิธี Real-Time RT- PCR ไม่พบการติดเช้ือโควิด-19 การตั้งสมมติฐานในเบื้องต้น ผู้ป่วยอาจติดเช้ือโคโรนา 2019 จากการเดินทางไป เที่ยวในสถานท่เี ดยี วกนั กบั ผู้ป่วยยืนยนั โรคโควิด 2019 รายที่ 50 ของจังหวดั เชยี งใหม่ในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ข้อยุติและการนาไปใช้: ผู้ป่วยมีความตระหนักถึงการกักกันและป้องกันตนเอง ภายหลังจากการเดินทาง กลับมาจากจังหวัดเชียงใหม่ จึงทาให้ ไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายอื่น ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายนี้ จึงถือว่าไม่มี การระบาดของเชอื้ โควิด-19 อันเน่ืองมาจากผปู้ ว่ ยรายน้ี คาสาคัญ: การสอบสวนโรค การติดเชื้อ COVID-19 จงั หวัดเชียงราย 1 นักวชิ าการสาธารณสุข กล่มุ งานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ 2 นกั ศึกษาหลกั สตู รสาธารณสุขศาสตรบ์ ณั ฑติ สานกั วิชาวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ มหาวทิ ยาลยั แมฟ่ า้ หลวง 3 อาจารย์ประจาสานกั วชิ าวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ มหาวทิ ยาลยั แมฟ่ า้ หลวง 49
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ความเป็นมา: การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ระยะท่ีสอง เริ่มมีการระบาดจากสถานบันเทิง สายพนั ธใุ์ หม่ 2019 (โควิด-19) เริม่ มีการรายงานผู้ป่วย 1G1 ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า โดยเป็นการระบาด จากเมืองอฮู่ ัน่ ประเทศจีน ตัง้ แต่ประมาณเดือนธันวาคม ของโรค โดยคนไทยได้เดินทางกลับมาโดยผ่านช่องทาง พ.ศ.2562 โดยพบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่น่าจะรับเชื้อมา ธรรมชาติ พบจานวนผู้ป่วย 64 ราย สามารถควบคุม จากตลาดค้าอาหารทะเลแห่งหน่ึง ซึ่งจากการวิเคราะห์ ป้องกันโรค ภายใน 18 ธันวาคม 2563 เมื่อวันที่ 19 รหัสพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนานี้พบว่า 96.2% ธันวาคม 2563 มกี ารระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทย มีความคล้ายคลึงกับเช้ือในค้างคาว จึงเช่ือว่าต้นกาเนิด ซ่ึงพบผูป้ ว่ ยติดเช้อื ท่ตี ลาดก้งุ จังหวัดสมทุ รสาคร นามา ของเช้ือน้ีน่าจะมาจากค้างคาว แต่ยังไม่ทราบว่าสัตว์ ซ่ึงการตรวจคัดกรองเชิงรุก กระท่ังวันที่ 19 ธันวาคม ชนิดใดเป็นตัวเชื่อมจากค้างคาวมายังคน ต่อมาไวรัส พบแรงงานต่างด้าวติดเชื้อเพ่ิม 516 ราย ทาให้จังหวัด มี ก า ร ป รั บ ตั ว ใ ห้ ส า ม า ร ถ แ พ ร่ เ ชื้ อ จ า ก ค น สู่ ค น สมุทรสาครประกาศควบคุมพื้นที่และมาตรการต่างๆ หลงั จากนัน้ การแพร่ระบาดได้แพร่หลายเป็นวงกว้างไป เพ่ือควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคให้ได้ ในหลายประเทศ และ องค์การอนามัยโลกได้ประกาศ เร็วท่ีสุด ข้อมูล ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 พบผู้ติด ให้ โควิด19 เป็นภาวะฉุกเฉินระหว่างประเทศ (Public เชื้อสะสม (ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2563 –วันท่ี 4 Health Emergency of International Concern, กุมภาพันธ์ 2564) 17,090 ราย 3 จังหวัดแรกที่มียอด PHEIC) ในวันท่ี 31 มกราคม พ.ศ.2563 และต่อมา ผู้ติดเช้ือสูงสุด คือ สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร และ ป ร ะ ก า ศ เ ป็ น ภ า ว ะ ที่ มี ก า ร ร ะ บ า ด ไ ป ทั่ ว โ ล ก ชลบรุ ี (pandemic coronavirus) ในวันที่ 11 มีนาคม 2563 โดยข้อมูลล่าสุด นับต้ังแต่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2562 ถึง ในจังหวัดเชียงราย พบผู้ติดเช้ือรายแรกใน 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 มีการระบาดทั่วโลก การระบาดระลอกใหม่ เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 100,823,310 ราย เสยี ชวี ิต 2,166,940 ราย เวลา 21.00 นาฬิกา เจ้าหน้าท่ีงานป้องกันควบคุมโรค และระบาดวิทยา กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาล ในประเทศไทยพบผู้ป่วยรายแรก เม่ือวันที่ 12 เชียงรายประชานุเคราะห์ ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาล มกราคม 2563 ซ่ึงเป็นชาวจีนที่เดินทางมาท่องเท่ียวท่ี เกษมราษฎร์ศรีบุรินทร์ว่า มีผู้ป่วยมาขอรับการตรวจที่ ประเทศไทย วันท่ี 15 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยคนไทย โรงพยาบาล ซ่ึงสันนิฐานว่าเป็นการติดเชื้อผู้ป่วยยืนยัน รายแรกที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และวันท่ี รายที่ 50 ของจังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้เดินทางไปเท่ียว 31 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยคนไทยรายแรกที่ไม่ได้มี สถานบนั เทงิ ในชว่ งเวลาเดยี วกัน ซึง่ ทาให้ตอนน้ีจังหวัด ประวัติเดินทางมาจากต่างประเทศ การระบาด เชยี งรายมยี อดผู้ป่วยสะสมรวมรอบแรกอยู่ท่ี 65 ราย ในประเทศเร่ิมก้าวกระโดด หลังจากมีเหตุการณ์การ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จึงได้ประสาน ระบาดจากสนามมวย (เริ่มการระบาดต้ังแต่ 11 ข้อมูลเพ่ือสอบสวนโรค วันท่ี 20 มกราคม 2564 เวลา มีนาคม พ.ศ. 2563) และแหล่งบันเทิง และการระบาด 08.00 นาฬิกา เรม่ิ กระจายจากกรงุ เทพและปริมณฑลไปยังต่างจังหวัด โดยเฉพาะ ตั้งแต่หลัง 15 มีนาคม พ.ศ.2563 เป็นต้น มา จนถึงเดือนกรกฎาคมท่ีประเทศไทยไม่มียอดผู้ป่วย ติดเช้ือเพิ่มข้ึน โดยมียอดผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 3,074 คน จังหวัดเชียงราย ระยะแรก พบผู้ป่วยในจังหวัดจานวน 9 ราย ต้งั แต่เดอื นมีนาคม -เมษายน 2563 50
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ วตั ถปุ ระสงค์ ผ้สู ัมผัสท่ีเสีย่ งต่อการติดเช้ือต่า (Low-risk contact) 1. เพ่ือยืนยันการวินิจฉัยโรคและค้นหาผู้สัมผัส คือ ผู้สัมผัสทั่วไป (Casual contact) หมายถึง การอยู่ ผู้ปว่ ย ในสถานท่ีแคบและปิด (เช่น ห้องแคบ รถโดยสาร) 2. เพ่ือศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนาตาม ร่วมกับผู้ติดเช้ือในระยะห่างมากกว่า 1 เมตร น้อยกว่า ลักษณะบคุ คล เวลา และสถานที่ 5 นาที โดยไม่ได้ใช้อุปกรณ์ป้องกันการรับเช้ือที่ 3. เพ่อื ค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค ตามหลัก เหมาะสม รวมถงึ บุคลากรทางการแพทย์ สามเหลี่ยมระบาดวิทยา 2. ศึกษาผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ 4. เพอ่ื ค้นหาแนวทางการควบคมุ และป้องกันการ (Laboratory Criteria) โ ด ย ก า ร ต ร ว จ ห า เ ช้ื อ ระบาดของโรค SAR-CoV2 จ า ก ตั ว อ ย่ า ง nasopharyngeal swab วิธีการศกึ ษา (NPS) ด้วยวิธีการ Real time-PCR เพ่ือประกอบการ 1.การศกึ ษาระบาดเชิงพรรณนา โดยศึกษาข้อมูล วนิ จิ ฉยั ของแพทย์ ด้านการเจ็บป่วย ประวัติการสัมผัสโรคและประวัติ 3. เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ : แบบสอบสวนผ้ปู ว่ ยโรคตดิ เช้ือ การเดินทางของผู้ป่วยค้นหาผู้สัมผัสผู้ป่วยในชุมชน ไวรสั โคโรนา 2019 (Novel corona 2) ร่ว มกับทีมเฝ้าระวังสอบสว นเคลื่อนที่เร็ว ของ 4. ดาเนินการตามมาตรการควบคมุ โรค โรงพยาบาลเชียงรายฯ และโรงพยาบาลแม่จันโดย ผลการสอบสวนโรค นยิ ามผสู้ ัมผสั ดงั น้ี ผู้ป่วยเพศชายอายุ 27 ปี ภูมิลาเนาจังหวัด ผู้สมั ผสั ท่เี สยี่ งต่อการตดิ เช้ือสงู (High-risk contact) เชยี งราย มีผลทางห้องปฏิบตั กิ าร (ตารางที่ 1) คือ ผูท้ ่สี มั ผัสใกล้ชิด (Close contacts) กับผู้ท่ีน่าจะติด ตารางที่ 1 ผลทางหอ้ งปฏิบตั ิการ เชื้อหรอื ผตู้ ดิ เชือ้ ในชว่ งเวลาท่ีแพร่เชอ้ื ได้แก่ ผลการทดสอบ 1.1 การอยู่ใกล้ชิด ในระยะน้อยกว่า 1 เมตร SAR-CoV2 detected นานกวา่ 5 นาที • อาศยั ในท่อี ยู่ร่วมกัน ใช้ท่ีส่วนกลาง และ E gene (Ct) RdRP (Ct) N gene (Ct) กินอาหารรว่ มกนั กับผตู้ ิดเชือ้ โควิด-19 22.04 28.42 25.16 • อยู่ในสถานท่ีแคบและปิดร่ว มกับ **ทดสอบโดย Real-time RT-PCT เก็บตัวอยา่ งจาก ผู้ติดเชื้อ หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโดยเผชิญหน้ากันที่ Nasopharyngeal swab test. ระยะน้อยกว่า 1 เมตร นานกว่า 5 นาที โดยไม่ได้ใช้ การค้นหาผู้สัมผัสเพิ่มเติม ผู้สัมผัสท่ีเส่ียงต่อ อุปกรณป์ ้องกันการรับเชอื้ อยา่ งเหมาะสม การติดเชื้อสูง จานวน 7 ราย (ตารางท่ี 3) ผู้สัมผัส 1.2 การสมั ผสั โดยตรงกบั ผู้ตดิ เช้อื โควิด-19 ที่เส่ียงต่อการติดเช้อื ต่า จานวน 6 ราย (ตารางท่ี 4) • การสัมผัสทางกายโดยตรง เช่น จับมือ จากผลการตรวจหาเชอ้ื โคโรนา 19 ของผ้สู มั ผสั กอด จูบ ใกล้ชดิ ในวนั ท่ี 20 เดอื นมกราคม 2564 และ วันท่ี 25 • สัมผัสโดยตรงกับน้าลาย เสมหะ น้ามูก เดอื นมกราคม 2564 เบื้องต้น พบวา่ ไมม่ ีการตดิ เชื้อ ของผตู้ ิดเช้อื โควิด-19 เชน่ ถูกผู้ติดเช้อื ไอหรือจามรด โคโรนา-19 รายอ่ืนๆ 1.3 การดแู ลผูต้ ิดเชอ้ื หรือผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดย ไม่ป้องกนั อยา่ งเหมาะสม 51
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ตารางท่ี 2 ผู้สัมผสั ท่ีเส่ยี งตอ่ การติดเช้อื สูง จานวน ชอ่ งทางการสัมผสั ตวั อย่าง ผลการตรวจห้องปฏบิ ตั ิการ มาตรการ (ราย) อาศัยอยู่บา้ นเดยี วกับผูป้ ว่ ย Detected Not detected กกั ตัวท่บี า้ นเป็น 3 03 เวลา 14 วัน 1 เดินทางรถยนตค์ ันเดยี วกบั ผ้ปู ว่ ย NPS 01 3 รับประทานอาหารเย็นกบั ผูป้ ่วย 03 ตารางที่ 3 ผสู้ ัมผัสทเี่ ส่ียงต่อการตดิ เชอ้ื ต่า จานวน ช่องทางการสมั ผัส ตัวอยา่ ง ผลการตรวจห้องปฏบิ ัตกิ าร มาดรการ (ราย) Detected Not detected เฝา้ ระวงั ตวั เองเปน็ 6 บคุ ลากรทาง NPS 06 เวลา 14 วนั การแพทย์ หลักระบาดวิทยาตามบุคคล: ผู้ป่วยเป็นเพศชาย อายุ หลักระบาดวิทยาตามเวลาและสถานท่ี: ข้อมูลผู้ป่วย 27 ปี อาชีพ พนักงานบริษัทแห่งหน่ึง เขตจตุจักร ด้านการเจ็บปว่ ยและการเดินทาง(ภาพที่ 1) และ แผนท่ี กรงุ เทพมหานคร มีภูมิลาเนาเดิมอยู่ที่บ้านเลขท่ี 12 หมู่ ทางภูมิศาสตร์ (Spot map) (ภาพที่ 2) 9 ตาบลป่าซาง อาเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ไม่แสดง ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตามหลักสามเหลี่ยมระบาด อาก ารไ ด้เ ดินท าง ไปรั บกา รต รว จ Covid-19 ท่ี วิทยา: บุคคล (Host) ส่ิงก่อโรค (Agent) ส่ิงแวดล้อม โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ศรีบุรินทร์ ในวันท่ี 19 (Environment) (ภาพท่ี 3) มกราคม 2564 เน่ืองจากเพ่ือนในกลุ่มท่ีไปเที่ยวด้วยกัน ติดเช้อื COVID-19 ซึง่ ผลการตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัติการ ‘พบการตดิ เชอ้ื โควดิ -19’ ภาพที่ 1 Timeline ของผู้ติดเช้ือรายที่ 65 ของจงั หวดั เชียงราย 52
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ The place where the patient trav- M.9 Pa sang subdistrict, eled and found a large number of Mae chan district, Chiang rai. House of people with COVID-19 (Some club in Mueang, Chiang Mai.) patients. ภาพที่ 2 แผนที่ทางภูมศิ าสตร์ (Spot map) - เพศชาย อายุ 27 ปี - ไมส่ วมหน้ากากอนามัย SAR-CoV2 - สถานบันเทงิ ท่แี คบและ ปดิ - ละออง (droplets) / พืน้ ผิวท่ีปนเปื้อนเช้อื - พ้ืนที่แออดั ภาพที่ 3 ปัจจยั เสีย่ งต่อการเกดิ โรคตามหลักสามเหล่ียมระบาดวิทยา 53
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ แนวทางการควบคมุ และปอ้ งกัน การเก็บสิ่งส่งตรวจ Nasopharyngeal swab ใน 1.ลดการสัมผสั ผูป้ ว่ ย ผู้สัมผัสที่มีความเส่ียงต่อการติดเช้ือสูง (High risk con- tact) เพ่ือตรวจหาเช้ือ SARS-CoV-2 ด้วยวิธี Real- รักษาผปู้ ว่ ย ณ หอ้ งแยกโรค (Negative pressure time PCR จานวน 2 คร้งั คอื room) ของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ - เก็บตัวอย่างคร้ังแรกโดยเร็ว เมื่อเจ้าหน้าที่ระบุ 2.ผู้สัมผัสที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง (High-risk ผู้สัมผสั เสย่ี งสงู ได้ contact) ทาการกกั กนั ตวั เองเพื่อสงั เกตอาการ ณ ที่พัก อาศยั (Home quarantine) ให้ผ้สู มั ผัสปฏิบัตติ น ดังนี้ - เก็บตัวอย่างครั้งที่สอง 7 วันหลังจากตรวจคร้ัง แรก หรือ 13 วัน หลังจากวันสัมผัสผู้ป่วยยืนยันครั้ง หยุดเรียน หยุดงาน และพักอยู่กับบ้านจนกว่าจะ สดุ ท้ายแลว้ แตว่ ่าวนั ใดถึงกอ่ น ครบ 14 วันหลงั การสัมผัส 3. ผู้สัมผัสที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่า (Low-risk นอนแยกห้อง ไม่ออกไปนอกบ้าน ไม่เดินทางไปที่ contact) ให้หลีกเล่ียงการเดินทางไปในที่ที่มีผู้คน ชมุ ชนหรอื ที่สาธารณะ จานวนมาก สังเกตอาการตนเอง (Self-monitoring) เป็นเวลา 14 วัน ปฏิบัติตามมาตรการ DMHTT รับประทานอาหารแยกจากผู้อื่น อย่างเคร่งครัดและหากมีไข้หรืออาการของระบบ ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ท า ง เ ดิ น ห า ย ใ จ ใ ห้ แ จ้ ง เ จ้ า ห น้ า ที่ ส า ธ า ร ณ สุ ข ทั น ที เพ่อื เกบ็ ส่งิ สง่ ตรวจและตดิ ตามอาการ แก้วนา้ หลอดดูดน้า ร่วมกบั ผอู้ ่นื วิจารณ์และอภิปรายผล หากมอี าการไอ ให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หากไอขณะท่ีไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย ให้ใช้แขน จากการสอบสวนโรคผู้ป่วยชายไทย อายุ 27 ปี ได้เดินทางมาจากกรุงเทพมหานครและได้เดินทางไป เสือ้ ปิดปากจมูกเมอ่ื ไอหรอื จาม หรือใช้กระดาษทิช เท่ียวท่ีจังหวดั เชียงใหม่ วนั ที่ 26 เดือนธันวาคม 2563 – ชู โดยปดิ ถงึ คาง วันที่ 4 เดอื นมกราคม 2564 และเดนิ ทางมายังเชียงราย หน้ากากอนามัย กระดาษทิชชูท่ีใช้แล้ว ให้ทิ้งใน วันท่ี 5 มกราคม 2564 เม่ือวันท่ี 6 มกราคม 2564 ถุงพลาสติก ปิดปากถุงให้สนิทก่อนทิ้ง และทา ได้เข้ารับการตรวจ SAR-CoV2 ที่โรงพยาบาลเชียงราย ความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือน้าและ ประชานุเคราะห์ ผลการตรวจไม่พบเช้ือโควิด-19 สบทู่ นั ที และรับการตรวจ SAR-CoV2 อีกครั้งที่โรงพยาบาล เมื่ออยู่กับผู้อ่ืนต้องสวมหน้ากากอนามัย และอยู่ เกษมราษฎร์ศรีบุรินทร์ เม่ือวันที่ 19 เดือนมกราคม ห่างจากคนอ่ืน ๆ ในบ้านประมาณ 1-2 เมตรหรือ 2564 ผลการตรว จพบเชื้อโควิด -19 เมื่อวันที่ อยา่ งนอ้ ยประมาณหนง่ึ ชว่ งแขน 19 มกราคม 2564 เวลา 21.00 นาฬิกา เจ้าหน้าท่ี หลีกเล่ียงการใกล้ชิดบุคคลอ่ืนในที่พักอาศัย งานป้องกันควบคุมโรคและระบาดวิทยา กลุ่มงาน โดยเฉพาะผู้สงู อายุ ผ้ปู ่วยโรคเร้อื รงั ตา่ ง ๆ เวชกรรมสังคม โรงพยาบาลเชียงรายฯ ได้รับแจ้งจาก ทุกคนในบ้านควรล้างมือบ่อยคร้ังที่สุด เพ่ือลดการ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ศรีบุรินทร์ว่ามีผู้ป่วยมาขอรับ รบั และแพร่เช้ือ การตรวจเช้ือโควิด-19 ท่ีโรงพยาบาล ผลการตรวจ ทาความสะอาดเสื้อผ้า ผ้าปูเตียง ผ้าขนหนู ฯลฯ ทางห้องปฏิบัติการพบว่าติดเช้ือโควิด-19 ทางทีม ด้วยสบู่หรือผงซักฟอกธรรมดาและน้า หรือซักผ้า สอบสวนโรค โรงพยาบาลเชียงรายฯ จึงได้ประสาน ดว้ ยนา้ ร้อนท่ีอุณหภูมนิ า้ 60-90 องศาเซลเซียส ข้อมูลเพื่อสอบสวนโรคและรับผู้ป่วยมารักษา ณ ห้อง เฝ้าระวังอาการเจ็บป่วยของผู้สัมผัสใกล้ชิดหรือ แยกโรค (Negative pressure room) สมาชิกในบ้าน ภายในระยะเว ลา 14 วัน หลังสัมผัสผู้ป่วยโดยวัดไข้และรายงานอาการต่อ ทมี สอบสวนโรคทกุ วนั 54
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ส่งผลตรวจยนื ยันงานตรวจอณูชีววิทยา กลุ่มงาน ปัญหาและข้อจากัดในการสอบสวนโรค เทคนิคการแพทย์และพยาธิวิทยาคลินิก โรงพยาบาล การให้ข้อมูลตามความเป็นจริง ผู้ป่วยปกปิด เชียงรายฯ ผลการตรวจเป็น SAR-CoV2 detected ข้อมูลในช่วงแรก แต่ภายหลังมีการให้ข้อมูลเพิ่มเติม สาเหตุการติดเชื้อในคร้ังน้ี ตามหลักสามเหลี่ยม เน่ืองจากผู้ป่วยรายนี้อยู่ อาเภอแม่จัน ซึ่งเป็นเขตนอก ระบาดวิทยา ผู้ป่วยมีประวัติการเดินทางไปเท่ียวสถาน พื้ น ท่ี รั บ ผิ ด ช อ บ ข อ ง โ ร ง พ ย า บ า ล เ ชี ย ง ร า ย ฯ บันเทิงท่ีจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมกับเพื่อนจานวน 6 ราย การสอบสวนโรคจึงต้องมีการประสานงานนอกเขตพื้นท่ี ในช่วงเวลาท่ีมีการระบาดของโรคโควิด-19 และตรวจ รับผิดชอบระหว่างสองพ้ืนที่ การสอบสวนโรคบางอย่าง พบผู้ติดเช้ือโควิด-19 เป็นจานวนมาก ซึ่งผู้ป่วยและ จึงจาเป็นต้องใช้วิธีการติดต่อทางโทรศัพท์ ทาให้ข้อมูล เพื่อนในกลุ่มเดียวกันไม่สวมหน้ากากอนามัยในขณะอยู่ บางสว่ นอาจมกี ารคลาดเคลื่อน ในพื้นท่ีดังกล่าว ท่ีเป็นสถานท่ีแคบและปิด แออัด และ สรปุ ผล อาจมีละอองหรือพ้นื ผิวบริเวณนั้นปนเปื้อนเชื้อโควิด-19 ผู้ป่วยรายน้ีเป็นผู้ป่วยยืนยัน(Confirmed case) ภายหลังจึงตรวจพบเช้ือโควิด-19 ทุกราย จึงยืนยันว่า ว่ า “ติ ด เ ช้ื อ โ ค วิ ด -1 9 จ า ก ผ ล ก า ร ต ร ว จ ท า ง ผู้ป่วยติดเชื้อโคโรนา 2019 จากการเดินทางไปเท่ียวใน ห้องปฏิบัติการด้วยวิธี Real-time PCR และได้รับการ สถานที่บันเทิงแห่งน้ี ซ่ึงเป็นสถานที่เดียวกันกับผู้ป่วย รักษา ณ ห้องแยกโรค (Negative pressure room) ยืนยันโรคโควิด 2019 รายท่ี 50 ของจังหวัดเชียงใหม่ ของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์” และทีม ในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ภายหลังสถานบันเทิง SRRT ได้มีการดาเนินมาตรการควบคุมและป้องกัน ดังกล่าวได้ปิดทาความสะอาดและทีมเฝ้าระวังสอบสวน การระบาดของโรค หลังจากเฝา้ ระวังครบ 14 วัน ไม่พบ เคล่ือนท่ีเร็ว ของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ผู้ติดเชอ้ื โควิด-19 รายอนื่ ๆ และโรงพยาบาลแม่จันร่วมกันค้นหาผู้สัมผัสกับผู้ป่วย ข้อเสนอแนะ พบสัมผัสที่เส่ียงต่อการติดเช้ือสูง จานวน 7 ราย และ เนื่องจากโรคโควิด 19 เป็นโรคท่ีอุบัติข้ึนใหม่ สัมผัสที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่า จานวน 6 ราย โดยผู้ มีการปรบั เปล่ียนแนวทางในการปฏิบัติการสอบสวนโรค สัมผัสทั้งสองกลุ่ม หลังจากการกักตัวเพื่อสังเกตอาการ เป็นระยะๆ ทาให้ทุกพื้นที่/ทุกหน่วยงาน มีการ ณ ที่พักอาศัย (Home quarantine) และเฝ้าระวังจน ปฏบิ ัติการสอบสวนโรคท่ีแตกต่างกัน แต่เนื่องจากมีการ ครบ 14 วนั ไมม่ อี าการและอาการแสดง ส่งผลตรวจทาง สอบสวนและประสานงานท่ีเพ่ิมมากย่ิงข้ึน จึงทาให้ทุก ห้องปฏิบัติการ โดยวิธี Real-Time RT-PCR ไม่พบการ พ้ืนที่ และทุกหน่วยงาน มีการพัฒนาระบบแนวทางการ ติดเชอื้ โควดิ -19 และยังคงให้หลีกเลยี่ งการเดินทางไปใน ปฏิบตั กิ ารสอบสวนโรคโควดิ จึงมีการประสานงาน และ ท่ีท่ีมีผู้คนจานวนมาก ปฏิบัติตามมาตรการ DMHTT รับทราบข้อมูลมากยิ่งข้ึน ทาให้การสอบสวนโรคโควิด และหากมีไข้หรืออาการของระบบทางเดินทางหายใจให้ เปน็ ไปในทศิ ทางเดยี วกนั รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที เพื่อเก็บสิ่งส่งตรวจ กติ ติกรรมประกาศ และติดตามอาการ ขอขอบพระคุณ นายแพทย์ไชยเวช ธนไพศาล ผู้ป่วยมีความตระหนักถึงการกักกันและป้องกัน ผู้อานวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ตนเอง ภายหลังจากการเดินทางกลับมาจากจังหวัด รองผู้อานวยการฝ่ายปฐมภูมิ โรงพยาบาลเชียงราย เชียงใหม่ จึงทาให้ ไม่พบผู้ติดเช้ือโควิด-19 รายอื่น ประชานุเคราะห์ หัวหน้างานป้องกัน ควบคุมโรคและ ท่ีสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายน้ี จึงถือว่าไม่มีการระบาด ระบาดวทิ ยา และเจ้าหน้าท่ีงานปอ้ งกัน ควบคุมโรคและ ของเชื้อโควดิ -19 อันเน่อื งมาจากผ้ปู ่วยรายน้ี ระบาดวทิ ยาโรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ 55
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ เอกสารอา้ งอิง 1. กรมควบคมุ โรค.(2563).โรคตดิ เชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19)(ออนไลน์).สบื ค้นจาก: https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ guidelines.php (1 กุมภาพันธ์ 2564) 2. กรมควบคุมโรค.(2564).นิยามผสู้ งสัยตดิ เชอ้ื ไวรสั โค โรนา 2019 ทเี่ ขา้ เกณฑ์สอบสวนโรค.สบื คน้ จาก: https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ file/ (30 มกราคม 2564) 3. พญ.จไุ ร วงศ์สวัสด.ิ์ (2563).ระบาดวิทยา:เชอ้ื ไวรัสโค โรนาสายพันธใุ์ หม่ 2019(ออนไลน)์ .สืบคน้ จาก: file:///C:/Users/User/Downloads/FILE (1 กมุ ภาพันธ์ 2564) 4. สานกั ระบาดวทิ ยา กรมควบคมุ โรค.(2550).การเขียน รายงานสอบสวนทางระบาดวิทยา (ออนไลน)์ .สืบคน้ จาก: https:// aihd.mahidol.ac.th/37yearsofAIHD/file/ (25 มกราคม 2564) 5.องค์การอนามยั โลก ประเทศไทย.(2563).โรคโควิดคือ อะไร.(ออนไลน์).สบื ค้นจาก: https://www.who.int/docs/default-source/ searo/thailand (30 มกราคม 2564) 56
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ความรอบรดู้ ้านอนามยั สง่ิ แวดลอ้ มและพฤตกิ รรมการปอ้ งกันผลกระทบต่อสุขภาพจาก ฝุ่นละอองขนาดไมเ่ กิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ของอาสาสมคั รสาธารณสขุ ประจาหมบู่ า้ น ตาบลศรีถ้อย อาเภอแมส่ รวย จงั หวัดเชยี งราย ตรยี าพร กานสุ นธิ์¹ ธนาพร ปรชั ญาภวิ ฒั น์¹ พลิ าสนิ ี วงษน์ ุช² ชลันดา ธรรมจกั ร์² ณัฐทรี สมศร²ี E-mail: [email protected] บทคดั ย่อ ความสาคัญ: ปัจจุบันปัญหามลภาวะทางอากาศถือเป็นปัญหาสาคัญประการหน่ึงในประเด็นด้านส่ิงแวดล้อม เป็นปัญหาท่ีจะเกิดข้ึนในภาคเหนือตอนบน หมอกควันน้ันปกคลุมท่ัวท้ังจังหวัดเชียงรายเป็นประจาทุกปี โดยเฉพาะ อย่างย่ิงในเดือนมีนาคม สาเหตหุ ลกั ของสถานการณ์ฝนุ่ หมอกควันนน้ั เกิดจากการเผาในที่โล่งโดยเฉพาะเศษวัสดุเหลือ ใช้ทางการเกษตรและพนื้ ทปี่ ่าไม้ซึ่งทาให้เกดิ การป่วยและเสยี ชวี ิต วัตถุประสงค์: เพ่ือทดสอบคว ามรอบรู้ด้านอนามัยสิ่งแว ดล้อมและพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบ ด้านสุขภาพที่เก่ียวข้องกับ PM 2.5 และปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับความรอบรู้ด้านอนามัยส่ิงแวดล้อมและพฤติกรรมการ ป้องกนั ผลกระทบด้านสุขภาพท่เี กี่ยวข้องกับ PM 2.5 ของอาสาสมคั รสาธารณสขุ ประจาหมู่บ้าน ตาบลศรีถ้อย อาเภอ แม่สรวย จังหวัดเชยี งราย รูปแบบการศึกษา: การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบตัดขวาง (Cross-sectional analytical study) ของอาสาสมัคร สาธารณสุขประจาหมู่บ้าน ตาบลศรีถ้อย อาเภอแม่สรวย จานวน 107 คน จากท้ังหมด 124 คน ซ่ึงมีเกณฑ์การแยก อาสาสมัครออกจากการวิจยั คืออาสาสมคั รสาธารณสุขชุมชนท่ีไม่มีโทรศัพท์มือถือหรือไม่มีเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เก็บ รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ (Online Questionnaire) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยจานวน ร้อยละ และ ค่าเฉลี่ย ความสัมพันธ์ของตัวแปรกับความรอบรู้ด้านอนามัยส่ิงแวดล้อมและการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ วิเคราะห์ดว้ ยสถติ ิ Chi-square โดยเกณฑ์การประเมินการจัดระดบั คะแนนเฉล่ียของความคิดเห็นเกี่ยวกับความรอบรู้ ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) แบ่งได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้ คะแนนเฉลี่ย 4.01 - 5.00 หรือ มากกว่า 80% ของคะแนนเต็ม แสดงว่าอยู่ใน ระดับมาก คะแนนเฉล่ีย 3.01 - 4.00 หรือ ต้ังแต่ 60 - 80% ของคะแนนเต็ม แสดงว่าอยู่ในระดับปานกลาง คะแนน เฉล่ีย 1.00 - 3.00 หรือ นอ้ ยกว่า 60% ของคะแนนเต็ม แสดงวา่ อย่ใู นระดบั นอ้ ย ผลการศึกษา: ความรอบรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจาก PM 2.5 มากกว่าครึ่งหน่ึงนั้นมีระดับ“ ปานกลาง” ประสบการณ์การทางานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้านมี ความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบจาก PM 2.5 อย่างมี นัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั 0.05 ข้อยุติและการนาไปใช้: จาเป็นท่ีจะต้องส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพแก่อาสาสมัครสาธารณสุขในหมู่บ้าน ซึ่งเป็น องคป์ ระกอบที่สาคัญในการหลีกเล่ียงการสัมผัสกับความเส่ียงท่ีส่งผลกระทบต่อสุขภาพตั้งแต่ระดับบุคคลจนถึงระดับ ชุมชน มงุ่ สกู่ ารมีชุมชนท่ีเข้มแข็ง สามารถจดั การตนเองได้ มกี ารพัฒนาและยกระดบั คณุ ภาพชีวิตในชุมชน คาสาคญั : ความรอบรู้ด้านอนามยั สิง่ แวดล้อม พฤตกิ รรมการปอ้ งกันผลกระทบต่อสุขภาพจาก PM 2.5 PM 2.5 1 นกั วชิ าการสาธารณสุข กลุม่ งานเวชกรรมสงั คม โรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ 2 นักศกึ ษาหลกั สูตรสาธารณสขุ ศาสตรบ์ ณั ฑิต สานกั วิชาวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลยั แม่ฟา้ หลวง 3 อาจารยป์ ระจาสานกั วิชาวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟา้ หลวง 57
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ความเป็นมา: ปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 เสี่ยงท่ีส่งผลกระทบต่อสุขภาพท้ังในระดับบุคคลไปถึง ไมครอน (PM 2.5) เริ่มมีข้ึนต้ังแต่ปี 2554 โดยมีค่าฝุ่น ระดับชุมชน โดยใช้ข้อมูลข่าวสารด้านอนามัย เกินมาตรฐานในหลายพื้นท่ี ปัจจุบันปัญหามลภาวะ ส่ิงแวดล้อม เพื่อนาไปสู่การตัดสินใจในการลดความ ทางอากาศถอื เปน็ ปญั หาสาคัญประการหนึ่งในประเด็น เส่ียง และสร้างเสริมสุขภาพ รวมทั้ง ปรับปรุง ด้านส่ิงแวดล้อม เป็นปัญหาที่จะเกิดข้ึนในภาคเหนือ สภาพแวดลอ้ มภายในชมุ ชนใหด้ ีขนึ้ 1-11ง ตอนบน หมอกควันน้ันปกคลุมทั่วทั้งจังหวัดเชียงราย วัตถปุ ระสงค์ เป็นประจาทุกปี โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเดือนมีนาคม สาเหตุหลักของสถานการณ์ฝุ่นหมอกควันนั้นเกิดจาก 1. เ พ่ื อท ดส อ บค ว าม รอ บ รู้ด้ าน อนา มั ย ก า ร เ ผ า ใ น ท่ี โ ล่ ง โ ด ย เ ฉ พ า ะ เ ศ ษ วั ส ดุ เ ห ลื อ ใ ช้ ท า ง ส่ิงแวดล้อมและพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบ การเกษตรและพ้ืนท่ีป่าไม้ เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ ด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับ PM 2.5 ของอาสาสมัคร มักจะกาจดั เศษวัสดทุ างการเกษตรด้วยการเผามากกว่า สาธารณสุขประจาหมู่บ้าน ตาบลศรีถ้อย อาเภอ การไถกลบเพราะเป็นวิธีท่ีสะดวกและเป็นทางเลือกใน แม่สรวย จังหวดั เชยี งราย ก า ร เ ต รี ย ม ที่ ดิ น ส า ห รั บ ก า ร เ พ า ะ ป ลู ก ค ร้ั ง ต่ อ ไ ป นอกจากน้ีด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่มีอาณาเขต 2. เพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับความรอบรู้ ติดตอ่ กับประเทศเพ่ือนบา้ นจึงไดร้ ับผลกระทบมลภาวะ ด้านอนามัยส่ิงแวดล้อมและพฤติกรรมการป้องกัน หมอกควันขา้ มแดน ซงึ่ สง่ ผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ ผลกระทบด้านสุขภาพท่ีเกี่ยวข้องกับ PM 2.5 ของ อนามัยของประชาชนในพ้ืนท่ี ก่อให้เกิดการเจ็บป่วย อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน ตาบลศรีถ้อย และเสียชีวิต ทั้งโรคระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจ อาเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย และหลอดเลือด ระบบตา ระบบผิวหนัง นอกจากนี้ฝุ่น ระเบยี บวิธีวจิ ยั ละอองขนาดเล็กยังเพิ่มความเสี่ยงของอัตราตายจาก 1. ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ งท่ใี ช้ในการวจิ ัย ภาวะเส้นเลอื ดอุดตันในสมองอีกด้วย 1.1 กลมุ่ ตัวอยา่ ง บทบาทในการขับเคลื่อนความรอบรู้ด้าน อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน ตาบลศรี สุขภาพ ได้ถูกบรรจุในแผนปฏิรูปประเทศด้าน ถ้อย อาเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย จานวน 107 คน สาธารณสุข เพื่อให้เกิดสังคมแห่งความรอบรู้ด้าน จากจานวนทง้ั หมด 124 คน สุขภาพ (Health Literate Societies) โดยความรอบรู้ เกณฑ์การคัดเลือกอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการ ด้านอนามัยส่ิงแวดล้อม (Environmental Health (Inclusion criteria) Literacy -EHL) เป็นแนวคิดท่ีเกิดข้ึนใหม่ โดยให้ - อ า ส า ส มั ค ร ส า ธ า ร ณ สุ ข ชุ ม ช น ท่ี มี ความสาคัญเก่ียวกับความรู้ความเข้าใจความสัมพันธ์ โทรศพั ทม์ อื ถือพรอ้ มเครือขา่ ยอินเทอร์เนต็ ทุกคน ระหว่างปัจจัยเสี่ยงทางส่ิงแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อ เกณฑ์การแยกอาสาสมัครออกจากโครงการ สุขภาพ ซ่ึงพัฒนามาจากแนวคิดความรอบรู้ด้าน (Exclusion criteria) สุขภาพ ผสมผสานกับการสื่อสารความเสี่ยงและ - อ า ส า ส มั ค ร ส า ธ า ร ณ สุ ข ชุ ม ช น ท่ี ไ ม่ มี วิทยาศาสตร์อนามัยส่ิงแวดล้อม จากผลการวิจัยใน โทรศัพทม์ ือถอื หรือไมม่ เี ครือข่ายอินเทอร์เน็ต ต่างประเทศพบว่า ความรอบรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม เป็นเคร่ืองมือที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างความรู้ความ เข้าใจให้กับชุมชนแบบมีส่วนร่วมเกี่ยวกับความเสี่ยง ด้านอนามัยส่ิงแวดล้อม การหลีกเล่ียงการสัมผัสความ 58
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ 2. เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการวจิ ัย โดยแบง่ ไดเ้ ป็น 3 ระดบั ดังนี้ เคร่ืองมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัย คะแนนเฉลี่ย 4.01 - 5.00 หรือ มากกว่า 80% เป็นแบบสอบถามออนไลน์ (Online Questionnaire) ของคะแนนเต็ม แสดงวา่ อยู่ในระดบั มาก เ พ่ื อ ท ร า บ ถึ ง ร ะ ดั บ ข อ ง ค ว า ม ร อ บ รู้ ด้ า น อ น า มั ย คะแนนเฉล่ยี 3.01 - 4.00หรือ ต้ังแต่ 60 - 80% สิ่งแวดล้อม โดยแบบสอบถามจะแบ่งเป็น 3 ส่วน ของคะแนนเตม็ แสดงวา่ อยู่ในระดบั ปานกลาง ประกอบดว้ ย คะแนนเฉลีย่ 1.00 - 3.00 หรือ น้อยกว่า 60% ส่วนท่ี 1 ข้อมูลด้านปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ ของคะแนนเตม็ แสดงวา่ อยู่ในระดบั น้อย อายุ ประสบการณ์การเป็นอาสาสมัครประจาหมู่บ้าน 3. วิธีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในชุมชน ระดับการศึกษา 3.1 การค้นคว้าจากหนังสือ รายงานการศึกษา สถานภาพการสมรส ลักษณะงานหลักท่ีทาอยู่ใน วิทยานิพนธ์ รายงานการวิจัย และเอกสารท่ีเก่ียวข้อง ชีวิตประจาวัน ประวัติการมีโรคประจาตัว ประวัติการ เช่น การจัดทาสถานการณ์ความรอบรู้ด้านอนามัย สืบค้น/ค้นหาข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพและอนามัย สิ่งแวดล้อมในการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น ส่ิงแวดล้อม แหล่งสืบค้น/ค้นหาความรู้ด้านสุขภาพและ ละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ( PM2.5) ของ อนามัยสิ่งแวดล้อม ประเภทความรู้ด้านสุขภาพและ อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) ในพ้ืนที่ อนามยั สิ่งแวดลอ้ มท่สี ืบคน้ จานวน 11 ข้อ เมอื งอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เป็นตน้ ส่วนที่ 2 แบบวัดความรอบรู้ด้านอนามัย 3.2 การเก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม ผู้วิจัยได้ ส่ิงแวดล้อม มีจานวน 28 ข้อ แบ่งเป็น 4 ด้าน คือ ดาเนินการเก็บรว บรว มข้อมูลจากอาสาสมัคร 1. การเข้าถึงข้อมูลอนามัยสิ่งแวดล้อม 2. การเข้าใจ สาธารณสุขประจาหมู่บ้าน ตาบลศรีถ้อย อาเภอ ข้อมูลอนามัยสิ่งแวดล้อม 3. การตรวจสอบข้อมูล แม่สรวย ในวัตถุประสงค์เกี่ยวกับความรอบรู้ด้าน อนามัยส่ิงแวดล้อม 4. การตัดสินใจเลือกป้องกันตนเอง อนามยั ส่ิงแวดลอ้ มและการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ จากPM2.5 ซ่ึงเป็นคาถามให้เลือกระดับโดยมีระดับ 5 จากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ระดับ คือ น้อยท่ีสดุ น้อย ปานกลาง มาก มากทสี่ ุด โดยใช้วิธีแบบสอบถามออนไลน์และใช้วิธีการทา ส่ว น ท่ี 3 แ บ บ วัด พ ฤ ติ กร ร ม ก าร ป้ อ ง กั น แบบสอบถามดว้ ยตนเองของผูเ้ ขา้ รว่ ม ผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 3.3 การตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือ การหา ไมครอน (PM2.5) มีจานวน 20 ขอ้ แบ่งเป็น 2 ด้าน คือ ค่าความเช่ือมั่นของเคร่ืองมือ (Reliabilityโดยโปรแกรม 1. การเฝ้าระวังสุขภาพตนเองและชุมชนจาก สาเร็จรูปทางสถิติโดยใช้สูตรสัมประสิทธ์ิอัลฟ่าของ PM2.5 2. การป้องกันการสัมผัสฝุ่นละออง PM2.5 ซ่ึง ครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) ได้ค่า เป็นคาถามให้เลือกระดับโดยมีระดับ 5 ระดับ คือ ไม่ได้ ความเชื่อมั่นความรอบรู้ด้านอนามัยส่ิงแวดล้อม เท่ากับ ปฏิบัติ ปฏิบัตินานๆ คร้ัง ปฏิบัติบ้างบางคร้ัง ปฏิบัติ 0.964 การป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละออง บ่อยๆ และปฏิบัติเป็นประจา โดยเกณฑ์การประเมิน ขนาดไม่เกนิ 2.5 ไมครอน (PM2.5) เทา่ กบั 0.954 การจัดระดับคะแนนเฉล่ียของความคิดเห็นเก่ียวกับ ความรอบรู้ด้านอนามัยส่ิงแวดล้อม และพฤติกรรมการ ป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) 59
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ 4. วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล 5.2 ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ (Analytical Statistics หลังจากที่ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลและตรวจสอบ Analysis) หาความเก่ียวข้องของตัวแปรทางสังคมกับ ความถูกต้องเรียบร้อยแล้ว จะนาแบบสอบถามท่ีได้ ความรอบรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและการป้องกัน ท้ังหมดมาลงรหัส (Coding) เพื่อไปประมวลผลและ ผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 คานวณหาค่าสถิติที่ใช้ในการวิจัย โดยใช้โปรแกรม ไมครอน (PM2.5) โดยรวมทุกด้านซ่ึงวิเคราะห์โดยการ คอมพิวเตอร์สาเร็จรปู ซง่ึ มขี น้ั ตอนดังนี้ ห า ค่ า ส ถิ ติ Chi-square โ ด ย มี ต า ร า ง แ ส ด ง ค่ า 4.1 ข้อมูลท่ัวไปเกี่ยวกับผู้ตอบแบบสอบถาม Chi-square และ P-value วเิ คราะห์โดยการแจกแจงความถ่ี และรอ้ ยละ ผลการศกึ ษา (Results) 4.2 ระดับความรอบรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ก า ร วิ จั ย เ รื่ อ ง “ค ว า ม ร อ บ รู้ ด้ า น อ น า มั ย และการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละออง ส่ิงแวดล้อมและพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อ ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) โดยรวมทุกด้าน สุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM วิเคราะหโ์ ดยการหาค่าเฉล่ยี 2.5) ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน ตาบล 4.3 การหาความเก่ียวข้องของตัวแปรทางสังคม ศรีถ้อย อาเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ” ผ่าน กับความรอบรู้ด้านอนามัยส่ิงแวดล้อมและการป้องกัน การนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปตาราง ผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ประกอบการอธิบาย แบ่งผลการวิจยั เปน็ 5 สว่ น ดงั นี้ ไมครอน (PM2.5) โดยรวมทุกด้านซึ่งวิเคราะห์โดย ลักษณะทางด้านชีวสังคมข องอาสาสมัคร การหาค่าสถติ ิ Chi-square สาธารณสุขประจาหมู่บ้าน ตาบลศรีถ้อย อาเภอ 5. สถติ ิท่ีใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู แม่สรวย จังหวัดเชียงราย ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยนาผลท่ีได้จากการประมวลผลด้วย จากอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้านในพ้ืนท่ีตาบล โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูปมาวิเคราะห์สรุปและ ศรีถ้อย อาเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย รวมจานวน นาเสนอในรูปของตารางประกอบการบรรยาย ส่วนสถิติ ท้ังสิ้น 107 คน พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศ ที่ใช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู มีดงั นี้ หญิง (ร้อยละ 72.9) ส่วนใหญ่มีสถานภาพสมรส (ร้อย 5.1 ข้อมูลเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics ละ 87.9) รองลงมาคือ หม้าย/หย่า/แยก (ร้อยละ 9.3) Analysis) โดยใช้ตารางแจกแจงความถ่ี (Frequency) ส่วนใหญ่มีประสบการณ์การเป็นอาสาสมัครประจา ร้อยละ (Percentage) เพ่ืออธิบายลักษณะปัจจัยส่วน หมู่บ้าน (อสม.) 13 ปีข้ึนไป (ร้อยละ 55.1) อายุส่วน บุคคลของกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย เพศ อายุ ใหญ่ต่ากว่า 60 ปี (ร้อยละ 86.0) ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใน ประสบการณ์การเป็นอาสาสมัครประจาหมู่บ้าน ชุมชน มากกว่า 40 ปี (ร้อยละ 59.8) ส่วนใหญ่มีระดับ ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในชุมชน ระดับการศึกษา การศึกษาสูงสุดเป็นระดับประถมศึกษา (ร้อยละ 50.5) สถานภาพการสมรส ลักษณะงานหลักที่ทาอยู่ใน ส่วนใหญ่ทาอาชีพเกษตรกร (ร้อยละ 73.8) และส่วน ชีวิตประจาวัน ประวัติการมีโรคประจาตัว ประวัติการ ใหญไ่ มม่ ีโรคประจาตัว (รอ้ ยละ 76.6) (ตารางที่ 1) สืบค้น/ค้นหาข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพและอนามัย ส่ิงแวดล้อม แหล่งสืบค้น/ค้นหาความรู้ด้านสุขภาพและ อนามัยส่ิงแวดล้อม ประเภทความรู้ด้านสุขภาพและ อนามัยสิ่งแวดล้อมท่ีสืบค้น ตารางแสดงค่าเฉล่ีย (Mean) เพ่ือแสดงระดับความรอบรู้ด้านอนามัย ส่ิงแวดล้อมและการปอ้ งกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น ละอองขนาดไมเ่ กนิ 2.5 ไมครอน (PM2.5) 60
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ระดับความรอบรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมของ ตารางที่ 1 ลักษณะทางด้านชีวสังคมของอาสาสมัคร อาสาสมัครสาธ ารณสุขประจาหมู่บ้าน ผู้ตอบ สาธารณสุขประจาหมู่บ้าน ตาบลศรีถ้อย อาเภอ แบบสอบถามมรี ะดับความรอบรดู้ ้านอนามัยสิ่งแวดล้อม แมส่ รวย จงั หวดั เชียงราย รวมท้ัง 4 ด้านส่วนมากอยู่ในระดับ “ปานกลาง” (ร้อยละ 59.8) รองลงมาคือระดับ “น้อย” (ร้อยละ ลักษณะ จานวน ร้อยละ 29.9) และสุดท้าย คือ มีความรอบรู้ด้านอนามัย เพศ (คน) = 107 27.1 ส่งิ แวดลอ้ ม ในระดับ “มาก” (ร้อยละ 10.3)(ตารางที่ 2) ชาย 29 ระดับพฤติกรรมการป้องกัน ผลกระทบต่อ หญิง 78 72.9 อายุ สุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน น้อยกว่า 60 ปี 92 86.0 15 14.0 (PM 2.5) ผู้ตอบแบบสอบถามมีระดับพฤติกรรม 60 ปขี นึ้ ไป สถานภาพการสมรส การป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาด ไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ส่วนมากอยู่ในระดับ แตง่ งาน 94 87.9 “ปานกลาง” (ร้อยละ 43.9) รองลงมา คือ ระดับ 12.1 อ่นื ๆ 13 ประสบการณ์การเปน็ อาสาสมัครประจาหมบู่ า้ น “มาก” (ร้อยละ 36.4) และสุดท้าย คือ มีความรอบรู้ นอ้ ยกวา่ 13 ปี 48 44.9 ด้านอนามยั สิ่งแวดล้อม ในระดับ “น้อย”(ร้อยละ 19.6) 13 ปขี นึ้ ไป 59 55.1 (ตารางท่ี 3) ระยะเวลาที่อาศยั อยใู่ นชมุ ชน นอ้ ยกวา่ 40 ปี 43 40.2 ปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับความรอบรู้ด้านอนามัย 40 ปขี นึ้ ไป 64 59.8 สิ่งแวดล้อม ประสบการณ์การเป็นอาสาสมัคร ระดับการศึกษา ประถมศึกษา 54 50.5 สาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) เป็นปัจจัยท่ีมี อนื่ ๆ 53 49.5 อาชพี ความเกี่ยวข้องกับความรอบรู้ด้านอนามัยส่ิงแวดล้อม เกษตรกร 79 73.8 ด้านการตรวจสอบข้อมูลอนามัยสิ่งแวดล้อมอย่าง อนื่ ๆ 28 26.2 มีนยั สาคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั 0.05 (ตารางท่ี 4) ประวตั กิ ารมีโรคประจาตวั ปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการป้องกัน ไม่มโี รคประจาตวั 82 76.6 ผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 มีโรคประจาตัว 25 23.4 ประวัตกิ ารสบื คน้ /ค้นหาขอ้ มลู ความรดู้ ้านสขุ ภาพและอนามยั สิง่ แวดล้อม ไมครอน (PM 2.5) ประสบการณ์การเป็นอาสาสมัคร ไม่เคย 82 76.6 สาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) เป็นปัจจัยที่มีความ 23.4 เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการป้องกันการสัมผัสฝุ่นละออง เคย 25 33.6 แหล่งสืบคน้ /คน้ หาความรู้ดา้ นสขุ ภาพและอนามัยสิง่ แวดลอ้ ม อนิ เทอรเ์ น็ต 36 PM2.5 อ ย่ า ง มี นั ย ส า คั ญ ท า ง ส ถิ ติ ท่ี ร ะ ดั บ 0 . 0 5 หนังสือเรียน/หนังสือพิมพ/์ วารสาร 4 3.7 62.6 (ตารางท่ี 5) อื่น ๆ เชน่ ชมรม หรอื กลมุ่ อสม. 67 ประเภทความร้ดู า้ นสุขภาพและอนามยั สิ่งแวดล้อมที่สืบคน้ ตารางที่ 2 ระดับความรอบรู้ด้านอนามัยส่ิงแวดล้อม โรคและการเจบ็ ป่วยตา่ ง ๆ 30 28.0 ของอาสาสมคั รสาธารณสุขประจาหมบู่ ้าน วธิ กี ารปฏบิ ตั ติ นเมื่อเกิดหมอกควนั 20 18.7 อืน่ ๆ 57 53.3 ความรอบรดู้ า้ นอนามัยสิ่งแวดล้อม จานวน % น้อย 32 29.9 64 59.8 ปานกลาง 11 10.3 มาก 61
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ตารางที่ 3 ระดับพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ( PM พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั ผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละออง จานวน % ขนาดไมเ่ กิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) น้อย 21 19.6 47 43.9 ปานกลาง 39 36.4 มาก ตารางท่ี 4 ปัจจยั ท่ีเกย่ี วข้องกบั ความรอบรดู้ า้ นอนามัยสิง่ แวดลอ้ ม การตรวจสอบข้อมูลอนามัยส่งิ แวดลอ้ ม ปจั จยั ทางสงั คม น้อย ปานกลาง มาก ทัง้ หมด Chi P-value จานวน (%) จานวน (%) จานวน (%) เพศ ชาย 12 (41.4) 13 (44.8) 4 (13.8) 29 2.314 0.301 หญิง 28 (35.9) 45 (57.7) 5 (6.4) 78 อายุ น้อยกว่า 60 ปี 36 (39.1) 50 (54.3) 6 (6.5) 92 3.155 0.191 60 ปขี นึ้ ไป 4 (26.7) 8 (53.3) 3 (20.0) 15 สถานภาพการสมรส โสด 1 (33.3) 2 (66.7) 0 (0) 3 1.007 0.964 แตง่ งาน 36 (38.3) 50 (53.2) 8 (8.5) 94 หม้าย/หยา่ /แยกกันอยู่ 3 (30.0) 6 (60.0) 1 (10.0) 10 ประสบการณก์ ารเป็นอาสาสมัครประจาหมู่บา้ น นอ้ ยกวา่ 13 ปี 26 (54.2) 20 (41.7) 2 (4.2) 48 10.719 0.004 13 ปขี ึ้นไป 14 (23.7) 38 (64.4) 7 (11.9) 59 ระยะเวลาทอ่ี าศยั อยใู่ นชมุ ชน นอ้ ยกวา่ 40 ปี 19 (44.2%) 21 (48.8%) 3 (7.0%) 43 .798 0.724 40 ปขี ้นึ ไป 23 (35.9%) 35 (54.7%) 6 (9.4%) 64 ระดบั การศึกษา ไมไ่ ด้รับการศึกษา 1 (100.0) 0 (0.0) 0 1 9.608 0.579 ประถมศึกษา 21 (38.9) 26 (48.6) 7 (13.0) 54 มธั ยมศกึ ษาตอนต้น 9 (34.6) 15 (57.7) 2 (7.7) 26 มธั ยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. 9 (37.5) 15 (62.5) 0 (0.0) 24 อนปุ รญิ ญา/ปวส. 0 (0.0) 1 (100.0) 0 (0.0) 1 ปริญญาตรขี ้ึนไป 0 (0.0) 1 (100.0) 0 (0.0) 1 อาชีพ รับจ้างท่ัวไป 8 (40.0) 12 (60.0) 0 (0.0) 20 9.681 0.231 เกษตรกร เช่น ทาไร่ ทานา ทาสวน 31 (39.2) 40 (50.6) 8 (10.1) 79 คา้ ขาย/ทาธรุ กจิ 0 (0.0) 4 (80.0) 1 (20.0) 5 พนักงานโรงงาน/บรษิ ัท/เอกชน 1 (100.0) 0 (0.0) 0 (0.0) 1 ไม่ไดท้ างาน/เปน็ พอ่ บา้ นแมบ่ า้ น 0 (0.0) 2 (100.0) 0 (0.0) 2 ประวตั กิ ารมีโรคประจาตัว ไม่มโี รคประจาตวั 27 (32.9) 49 (59.8) 6 (7.3) 82 4.572 0.099 มโี รคประจาตัว 13 (52.0) 9 (36.0) 3 (12.0) 25 ประวตั กิ ารสืบคน้ /ค้นหาข้อมูลความรดู้ ้านสุขภาพและอนามัยสิง่ แวดลอ้ ม ไมเ่ คย 6 (54.5) 5 (45.5) 0 (0) 11 1.555 0.483 เคย 34 (35.4) 53 (55.2) 9 (9.4) 96 62
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ตารางที่ 5 ปัจจัยที่เก่ียวข้องกับพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) พฤตกิ รรมการเฝ้าระวงั สุขภาพตนเองและชุมชน ปัจจยั ทางสังคม จาก PM2.5 ทัง้ หมด Chi P-value 0.145 นอ้ ย ปานกลาง มาก 29 3.916 0.608 78 0.745 จานวน (%) จานวน (%) จานวน (%) 0.001 92 5.092 0.869 เพศ 15 0.910 ชาย 2 (6.9) 18 (62.1) 9 (31.0) 3 2.181 0.316 94 หญิง 18 (23.1) 37 (47.4) 23 (29.5) 10 0.623 0.578 อายุ 48 14.431 59 นอ้ ยกวา่ 60 ปี 20 (21.7) 44 (47.8) 28 (30.4) 43 0.338 60 ปขี ึ้นไป 0 (0) 11 (73.3) 4 (26.7) 64 สถานภาพการสมรส 1 6.309 54 โสด 0 (0) 1(33.3) 2 (66.7) 26 24 แตง่ งาน 18 (19.1) 48 (51.1) 28 (29.8) 1 1 หมา้ ย/หยา่ /แยกกนั อยู่ 2 (20.0) 6 (60.0) 2 (20.0) 20 8.340 ประสบการณก์ ารเปน็ อาสาสมคั รประจาหมบู่ า้ น 79 5 น้อยกว่า 13 ปี 15 (31.2) 26 (54.2) 7 (14.6) 1 2 13 ปขี ้ึนไป 5 (8.5) 29 (49.2) 25 (42.4) 82 0.939 ระยะเวลาทีอ่ าศยั อยู่ในชมุ ชน 25 น้อยกวา่ 40 ปี 9 (20.9) 22 (51.2) 12(27.9) 11 1.174 96 40 ปขี น้ึ ไป 11 (17.2) 33 (51.6) 20 (31.2) ระดับการศึกษา ไมไ่ ดร้ ับการศกึ ษา 0 (100.0) 1 (100.0) 0 ประถมศึกษา 9 (38.9) 30 (55.6) 15 27.8) มธั ยมศึกษาตอนต้น 7 (34.6) 10 (38.5) 9 (34.6) มธั ยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. 4 (37.5) 12 (50.0) 8 (33.3) อนปุ ริญญา/ปวส. 0 (0) 1 (100.0) 0 (0.0) ปริญญาตรีขึ้นไป 0 (0) 1 (100.0) 0 (0.0) อาชพี รับจ้างทวั่ ไป 4 (40.0) 14 (70.0) 2 (10.0) เกษตรกร เช่น ทาไร่ ทานา ทาสวน 16 (39.2) 36 (45.6) 27 (34.2) ค้าขาย/ทาธุรกิจ 0 (0.0) 3 (60.0) 2 (40.0) พนกั งานโรงงาน/บริษทั /เอกชน 0 (0.0) 1 (100.0) 0 (0) ไม่ไดท้ างาน/เปน็ พอ่ บา้ นแม่บา้ น 0 (0.0) 1 (50.0) 1 (50.0) ประวตั กิ ารมโี รคประจาตัว ไม่มโี รคประจาตวั 14 (17.1) 42 (51.2) 26 (31.7) มโี รคประจาตัว 6 (24.0) 13 (52.0) 6 (24.0) ประวัตกิ ารสืบคน้ /คน้ หาข้อมูลความรดู้ า้ นสุขภาพและอนามัยส่ิงแวดล้อม ไม่เคย 3 (54.5) 6 (45.5) 2 (0.0) เคย 17 (17.7) 49 (51.0) 30 (31.2) 63
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ การอภิปรายผล จากการศึกษาความเก่ียวข้องของตัวแปรทางสังคม ผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่มีประสบการณ์อาสาสมัคร พบว่าประสบการณ์ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจา ส า ธ า ร ณ สุ ข ป ร ะ จ า ห มู่ บ้ า น ม า ก ก ว่ า 1 3 ปี หมู่บ้านมีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านอนามัย (ร้อยละ 55.1) มีการค้นหาข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบจาก และอนามัยสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 89.7 และประเภท PM 2.5 อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ทิ ี่ 0.05 ของข้อมูล คือ โรคหรือความเจ็บป่วย ร้อยละ 28.0 สรุปผลการวิจัย (Conclusion) ตามด้วยวิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดหมอกควัน ร้อยละ 18.7 การศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพส่ิงแวดล้อม และวิธีล้างมือ ร้อยละ 16.8 เช่นเดียวกับการศึกษา และการป้องกันผลกระทบด้านสุขภาพจากฝุ่นละออง อา ส าส มั คร ส า ธ า ร ณสุ ข ปร ะ จ าห มู่ บ้า น ใน เ ข ต ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ของอาสาสมัคร อุตสาหกรรมเชิงนิเวศในเมือง ซ่ึงพบว่าอาสาสมัคร สาธารณสุขหมู่บ้านในตาบลศรีถ้อย อาเภอแม่สรวย สาธารณสุขประจาหมู่บ้านค้นหาข้อมูลความรู้ด้าน จังหวัดเชียงราย ในช่วงสถานการณ์มลพิษทางอากาศ สุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม รอ้ ยละ 89.7 ในตาบลศรีถ้อย พบว่าอาสาสมัครสาธารณสุขประจา ในส่วนของความรอบรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม หมู่บ้าน มากกว่าครึ่งหน่ึงนั้นมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ ผลการศึกษาพบว่า 1. การเข้าถึงข้อมูลอนามัย ส่ิงแวดล้อมและการป้องกันผลกระทบด้านสุขภาพจาก ส่ิงแวดล้อมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ( PM 2.5) อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 47.7) 2. ความเข้าใจ อยู่ในระดบั “ ปานกลาง” เก่ียวกับข้อมูลอนามัยส่ิงแวดล้อมของอาสาสมัคร ประสบการณ์ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจา สาธารณสุขประจาหมู่บ้านอยู่ในระดับปานกลาง หมู่บ้านมีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านอนามัย (ร้อยละ 52.3) 3. การตรวจสอบข้อมูลอนามัย ส่ิงแวดล้อมและพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบจาก สิ่งแวดล้อมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน PM2.5 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ 0.05 ซ่ึงมีความ อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 54.2) 4. การตัดสินใจ จาเป็นท่ีจะต้องส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพให้กับ เลือกป้องกันตนเองจาก PM2.5 ของอาสาสมัคร อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน หากอาสาสมัคร สาธารณสุขประจาหมู่บ้านอยู่ในระดับปานกลาง สาธารณสุขประจาหมู่บ้านมีความรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับ (ร้อยละ 52.3) มลพิษทางอากาศเพียงพอ จะเป็นองค์ประกอบหลักท่ี ในส่วนของพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบจาก สาคัญในการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับความเส่ียงท่ีส่งผล PM2.5 ผลการศึกษาพบว่าโดยรวมแล้วอาสาสมัคร กระทบต่อสุขภาพต้ังแต่ระดับบุคคลจนถึงระดับชุมชน สาธารณสุขประจาหมู่บ้านมีพฤติกรรมการป้องกัน มุ่งสู่การมีชุมชนท่ีเข้มแข็ง สามารถจัดการตนเองได้ ผลกระทบจาก PM2.5 ระดับปานกลาง (ร้อยละ 43.9) สามารถพฒั นาและยกระดบั คุณภาพชีวติ ในชมุ ชน เมื่อพิจารณารายด้าน 1. การเฝ้าระวังสุขภาพตนเอง และชุมชนจาก PM2.5 ของอาสาสมัครสาธารณสุข ประจาหมู่บา้ นอยทู่ ีร่ ะดบั ปานกลาง (ร้อยละ 51.4) และ 2. พฤติกรรมการป้องกันการสัมผัสฝุ่นละออง PM2.5 ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้านอยู่ในระดับ ปานกลาง (ร้อยละ 40.2) 64
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ เอกสารอา้ งองิ 7.Gray, K. M. (2018). From content knowledge 1.กระทรวงสาธารณสขุ และกระทรวง to community change: A review of representa- ทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม. (2560). แผน tions of environmental health literacy. Interna- ยุทธศาสตรอ์ นามัยส่งิ แวดลอ้ มแหง่ ชาติ ฉบบั ที่ 3 พ.ศ. tional Journal of Environmental Research and 2560-2564. กรุงเทพฯ: ศูนย์บริการวชิ าการ Public Health, 15, 466 มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ 8.Marsili, D., Comba, P., & De Castro, P. (2015). 2.กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ Environmental health literacy within the Italian ส่ิงแวดล้อม. (2547). เกรด็ ความรเู้ รอื่ งฝุ่นละออง. Asbestos Project: experience in Italy and Latin เข้าถงึ ไดจ้ ากhttp://pcd.go.th/: http://pcd.go.th/ American contexts. Commentary. Ann Ist Super info_serv/air_dust.htm กระทรวงสาธารณสุข. Sanita, 51(3), 180-2. doi: 10.4415/ (2563). ค่มู ือการดาเนินงานด้านการแพทย์และ ANN_15_03_02 สาธารณสุขเพอ่ื ปอ้ งกันผลกระทบต่อสขุ ภาพจากฝุน่ 9.Lichtveld, M.Y., Covert, H.H., Sherman, M., ละอองขนาดไมเ่ กิน 2.5 ไมครอน ปี 2563. นนทบรุ ี: Shanka,r A., Je_rey, K. Wickli_e, & Cecilia กระทรวงสาธารณสขุ . S.Alcala. (2019). advancing environmental 3.พยงค์ วณิเกียรต, อมั พร กรอบทอง,กมล ไชยสิทธ health literacy: Validated scales of generalenvi- บรรจบ ชณุ หสวสั ดิกลุ . (2563). ผลตอ่ สุขภาพของฝนุ่ ronmental health and environmental media- ละอองในอากาศขนาดไม่เกนิ 2.5 ไมครอน. วารสาร specific knowledge, attitudes and behaviors. การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก ปที 1ี่ 8 Int. J.Environ. Res. Public Health, 16, ฉบับท่ี 1 มกราคม-เมษายน 2563, 190. 4157.doi:10.3390/ijerph16214157 4.กลุม่ พัฒนาอนามัยสง่ิ แวดล้อม. (2562). รายงาน 10.Simkhovich BZ, Kleinman MT, Kloner RA. วเิ คราะห์สถานการณ์ปญั หาฝุ่นละอองขนาดไมเ่ กนิ 2.5 (2008). Air Pollution and Cardiovascular injury. ไมครอน (PM2.5) ในพ้ืนทศ่ี ูนย์อนามัยท่ี 7 ขอนแก่น. Journal of the American College of Cardiology, ขอนแกน่ : ศนู ยอ์ นามยั ท่ี 7 ขอนแก่น. 52(9), 719-726. 5.อังศนิ ันท์ อนิ ทรกาแหง รว่ มกับ สานักอนามัย 11.WHO. (1998). Health Promotion Glossar. สิ่งแวดลอ้ ม กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสขุ .(2562). Geneva: WHO Publication. การรวบรวมประมวลผลข้อมูล และจดั ทารายงานผล 12.WHO. (2019). Retrieved from World Health การดาเนนิ งานเครื่องมือประเมินความรอบรู้ด้านการ Organization: https://www.who.int/ จดั การสภาพแวดลอ้ มทเี่ หมาะสมต่อผสู้ งู อายตุ ิดบ้านติด airpollution/en/ เตียงของอาสาสมัครสาธารณสขุ ประจาหมบู่ ้านในพน้ื ท่ี เขตเมืองและเขตชนบท. กรุงเทพฯ: สถาบนั วิจยั พฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ. 6.Finn, S., & O’Follon, L. (2017). The emer- gence of environmental health literacy – From its roots to its future potential. Environmental Health Perspectives, 125, 495-501. 65
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ผลของโปรแกรมสขุ ศกึ ษาออนไลนเ์ พ่ือสง่ เสรมิ ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมสุขภาพเกี่ยวกับ ฝ่นุ ละอองขนาดเล็กไม่เกนิ 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน บ้านปา่ จน่ั หมู่ที่ 7 ตาบลเวยี งกาหลง อาเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย พิมพล์ ภัส พนิตกมล1 นายภูผา ธิตอิ นนั ตป์ กรณ์1 สนุ ทรี สุรัตน์1 ประดษิ ฐ์ ประทองคา3 E-mail: [email protected] บทคดั ย่อ ความสาคัญ: ปัญหามลพิษทางอากาศเป็นวิกฤตเร้ือรังที่ประเทศไทยต้องเผชิญ มักพบการเพิ่มสูงข้ึนของฝุ่น ละอองในหลายพื้นท่ี โดยเฉพาะพ้ืนท่ีภาคเหนือ ซึ่งปัญหาดังกล่าวสามารถป้องกันได้โดยการปรับเปลี่ยนความรู้ ทศั นคติ และพฤติกรรมสขุ ภาพ วัตถปุ ระสงค:์ เพือ่ ศึกษาผลการใช้สอื่ โปรแกรมการสง่ เสริมความรู้ ทศั นคติ และพฤตกิ รรมสขุ ภาพ รูปแบบการศึกษา: กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน จานวน 50 คน บ้านป่าจั่น หมู่ท่ี7 ตาบลเวยี งกาหลง อาเภอเวียงปา่ เปา้ จงั หวัดเชยี งราย โดยใช้เคร่ืองมือวิจัย คือ แบบประเมินความรู้ ทัศนคติ และ พฤติกรรมด้านสุขภาพท่ีได้จากการทบทวนวรรณกรรมของผู้วิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน และทดสอบความความแตกต่างดว้ ยสถิติ Paired T-test ผลการศกึ ษา: ลักษณะท่วั ไปพบว่า รอ้ ยละ74 เปน็ ผหู้ ญิง มีอายรุ ะหว่าง 22-59 ปี (ร้อยละ 78) ระดับการศึกษา ประถมศึกษา (ร้อยละ56) สถานภาพสมรส (ร้อยละ70) รายได้ต่อเดือน 0 -5,000 บาท (ร้อยละ52) อาศัยอยู่ ในพื้นที่มากกว่า 10 ปี (ร้อยละ96) หลังจากได้รับส่ือโปรแกรมสุขศึกษา พบว่า ระดับความรู้ทางด้านสุขภาพอยู่ ในระดับท่ีดี (ร้อยละ90) ระดับทัศนคติทางด้านสุขภาพ อยู่ในระดับท่ีดี (ร้อยละ96) ระดับพฤติกรรมอยู่ในระดับ ที่ดี (ร้อยละ92) นอกจากนี้ ผลการทดสอบความแตกต่างค่าเฉล่ีย ความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรม เกี่ยวกับฝุ่นละออง ขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ก่อนและหลังการให้โปรแกรมสุขศึกษาพบว่า ระดับทัศนคติเกี่ยวกับ ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<0.001) ส่วน ระดับความร้แู ละพฤติกรรมเกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ไม่แตกต่างกัน แม้จะพบว่า ไม่มีความแตกต่างกันในทางสถิติ ดังน้ันผู้ที่มีส่วนเก่ียวข้องควรมีการอบรมให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับค่ามาตรฐาน ของฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ช่วงระยะเวลาที่สามารถทาการเผา และกฎหมายท่ีลงโทษ ผกู้ อ่ มลพษิ ทางอากาศ ข้อยุติและการนาไปใช้: การพัฒนาโปรแกรมสุขศึกษาออนไลน์เพื่อเป็นแนวทางให้อาสาสมัครสาธารณสุข ประจาหมูบ่ า้ น ในบ้านป่าจ่ัน หมู่ท่ี7 ตาบลเวียงกาหลง อาเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้นา ไปใช้ในการพฒั นาพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนในชุมชนไดอ้ ย่างถูกต้องต่อไป คาสาคัญ: โปรแกรมสขุ ศกึ ษา ความรู้ ทศั นคติ พฤติกรรมสขุ ภาพ ฝนุ่ ละอองขนาดเลก็ ไม่เกิน 2.5 ไมครอน 1 นกั ศกึ ษาปรญิ ญาตรี หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยั แม่ฟ้าหลวง 2 อาจารย์ทป่ี รกึ ษาหลัก: อาจารยป์ ระจาหลักสตู รสาธารณสุขศาสตรบณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั แมฟ่ า้ หลวง 3 อาจารยท์ ป่ี รกึ ษารว่ ม: นักวิชาการสาธารณสขุ ผู้อานวยการโรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพตาบลเวียงกาหลง 66
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ความเป็นมา: มลพิษทางอากาศซ่ึงเกิดจากความ สะสมมลพิษในบรรยากาศข้ึนได้ และการเผาในที่โล่ง เข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเล็ก (Particulate matter; แจ้ง ซึง่ พบไดห้ ลายรูปแบบ เช่น การเผาขยะ การเผาไร่ PM) ที่ เ พิ่ ม สู ง ขึ้ น เ ป็ น วิ ก ฤ ต ส า คั ญ อ ย่ า ง ห น่ึ ง หรอื การเผาวชั พืชเพ่อื เตรยี มพ้ืนที่สาหรับทาการเกษตร ของประเทศไทย ตลอดระยะเวลาท่ีผ่านมาประเทศไทย ในช่วงฤดูฝน ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ได้พบปัญหาฝุ่นขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน คือ (PM2.5) นอกจากจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพแล้วน้ัน มลพิษฝุ่นท่ีมีขนาดเล็กกว่า 1 ใน 25 ส่วนของ ยังก่อใหเ้ กดิ ความเดอื ดรอ้ นราคาญแก่ประชาชน บดบัง เส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์จนสามารถเล็ดลอด ทัศนวิสัย อุปสรรคในการขนส่งคมนาคม ทาลาย ขนจมูกเข้าสู่ร่างกายได้ทาให้ฝุ่นพิษเข้าสู่เส้นเลือดฝอย ทรัพยากรธรรมชาติ และระบบนิเวศป่าไม้ รวมถึง กระจายไปตามอวัยวะต่าง ๆ ก่อให้เกิดความเสี่ยงของ ผลกระทบต่อการทอ่ งเทย่ี ว ระบบทางเดินหายใจ คนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด อยู่ในกลุ่ม เด็ก คนชรา และคนท่ีมีโรคประจาตัว เช่น จากการทาแบบสารวจข้อมูลของนักศึกษา ภูมิแพ้หอบ หืด หากสูดดมฝุ่น PM 2.5 เข้าไปมากมี ฝึกปฏิบัติงานภาคชุมชน สาขาสาธารณสุขศาสตร์ ความเสี่ยงกับการเป็น ถุงลมโป่งพอง หัวใจขาดเลือด มหาวิทยาลัยแมฟ่ า้ หลวง จานวน 92 ครัวเรือน ในพ้นื ท่ี เส้นเลือดหัวใจตีบ หรือหัวใจล้มเหลว รวมท้ังถูกระบุว่า บ้านป่าจ่ัน หมู่ที่7 พบว่าในหมู่บ้านมีการจัดการขยะ เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่1 ในการเกิดมะเร็งปอดได้ ด้วยวิธกี ารเผามากท่ีสดุ โดยคดิ เปน็ รอ้ ยละ 79.54 และ ส่วนคนท่ีไม่มีโรคประจาตัว ในช่วงแรกจะมีอาการ จากการคืนข้อมูลให้กับประชาชน พบว่าประชาชน ระคายเคืองจมูก แสบคอ และคันตา แหล่งกาเนิดของ มีความตระหนักต่อปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน ฝุ่นพวกนี้มาจากควันเสียของรถยนต์ โรงไฟฟ้า โรงงาน 2.5 ไมครอน (PM2.5) เปน็ อันดับหนง่ึ อุตสาหกรรม และควันที่เกิดจากการหุงต้มโดยใช้ฟืน หรือบางครั้งอาจเกิดจากปฏิกิริยาของก๊าซซัลเฟอร์ได แนวคิดทฤษฎีแรงจูงใจเพ่ือป้องกันโรค พัฒนา ออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ สารประกอบอินทรีย์ โดย Roger โดยมีแนวคิดวา่ พฤติกรรมการป้องกันโรคมี ระเหยง่าย ส่งผลทาให้สถานการณ์ PM 2.5 ประเทศ ผลมาจากความกลัวโดยการได้รับข้อมูลข่าวสารเพ่ิม ไทย อย่ใู นระดบั \"เรม่ิ มผี ลกระทบต่อสขุ ภาพ\" สงู ขน้ึ ความตระหนักและการรับรู้เกี่ยวกับโรคนั้น คือ ประเมินว่าภาวะคุกคาม (Treat appraisal) โรคน้ัน ในทุก ๆ ต้นปี ระหว่างเดือนมกราคม จนถึง มีความรุนแรงและอันตราย (Severity) ตนเองเส่ียงต่อ เดือนมิถุนายน ปัญหามลพิษทางอากาศเป็นวิกฤต การเป็นโรค (Vulnerability) รวมถึงประเมินว่าตนเอง เรื้อรังที่ประเทศไทยต้องเผชิญ มักพบการเพ่ิมสูงข้ึน สามารถเผชิญปัญหาได้ คือ รับรู้ตนเองมีความสามารถ ของฝุ่นละอองในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ ทาได้ (Self-efficacy) และคาดหวังว่ากระทานั้นมีผล สาเหตุเกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งปัจจัยที่สาคัญมีอยู่ ต่อตน (Response efficacy) ตลอดจนประหยัด 3 เ รื่ อ ง ไ ด้ แ ก่ ส ภ า พ ภู มิ ป ร ะ เ ท ศ ท า ง เ ห นื อ ค่าใช้จ่ายทาให้บุคคลมีความตั้งใจท่ีจะปฏิบัติเพื่อ ประกอบดว้ ยพื้นท่ีราบที่มีภูเขาล้อมรอบ ทาให้ลักษณะ ป้องกันโรค (Behavior intention) ส่วนแรงสนับสนุน คล้ายแอ่งกระทะ สภาพอากาศในช่วงปลายฤดูหนาว ทางสังคม (Social support) เป็นปฏิกิริยาสัมพันธ์ ก่อนเข้าฤดแู ล้ง จะมสี ภาพอากาศที่นิ่งและแห้ง ไม่มีลม ระหว่างบุคคลได้รับการสนับสนุนให้ความช่วยเหลือ พัด และความกดอากาศสูง จึงส่งผลให้เกิดไฟป่าได้ง่าย ด้าน ความรักใคร่ ห่วงใย ความไว้วางใจ ด้านการเงิน ท้ังในประเทศไทยและประเทศเพ่ือนบ้าน (พม่า ลาว ส่งิ ของ แรงงาน และการให้ข้อมลู ข่าวสาร และกัมพูชา) ทาให้ฝุ่นละอองต่าง ๆ ลอยอยู่ใน บรรยากาศได้นาน ไม่ตกลงสู่พ้ืนดิน ก่อให้เกิดการ 67
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ การให้โปรแกรมสุขศึกษาแบบออนไลน์น้ัน ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง เป็นส่ือที่นิยมกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก เนื่องจากการ กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจา ใช้งานที่ง่าย และสามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้อย่างรวดเร็ว หมู่บ้าน บ้านป่าจ่ัน หมู่ที่7 ตาบลเวียงกาหลง อาเภอ นอกจากน้ีส่ือออนไลน์มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ เวยี งปา่ เปา้ จงั หวดั เชียงราย จานวน 50 คน การระบาดของโรคโควดิ 19 (COVID-19) ซ่ึงต้องการลด เกณฑ์การคัดเข้า (Inclusion criteria) การรวมตัวของกลุ่มคนในการให้สุขศึกษาแบบกลุ่ม 1. อายไุ มต่ ่ากว่า 18 ปบี ริบูรณ์ มีชอ่ื ในทะเบยี นบ้าน โดยการใช้สือ่ ออนไลน์น้นั สามารถใหค้ วามรู้ เพ่มิ ทัศนคติ 2. อาศัยอยู่เป็นการประจาในหมู่บ้านหรือชุมชน ไม่ และปรับเปล่ยี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพของประชาชนได้ น้อยกวา่ 6 เดอื น จากท่ีกล่าวมาข้างต้น ทีมวิจัยจึงได้ดาเนินการ 3. มคี วามสมคั รใจและยินดใี นการเข้าร่วมโครงการ ผลิตสื่อโปรแกรมสุขศึกษาออนไลน์ข้ึน เพื่อส่งเสริม เกณฑ์การคัดออก (Exclusion criteria) ความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมสุขภาพ ในกลุ่ม 1. มโี รคตดิ ตอ่ รา้ ยแรง อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน บ้านป่าจั่น หมู่ที่ 2. เป็นผู้บกพร่องทางสติปัญญาและร่างกาย เช่น 7 ตาบลเวยี งกาหลง อาเภอเวียงปา่ เปา้ จังหวัดเชยี งราย หหู นวก ตาบอด สติไม่ดี เป็นตน้ วัตถุประสงคก์ ารวจิ ัย เคร่อื งมือวิจัย เพื่อศึกษาผลของการใช้ส่ือโปรแกรมสุขศึกษา เคร่อื งมือวิจัยแบง่ เป็น 2 อย่างคอื ออนไลน์ในการส่งเสริมความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรม 1. เครือ่ งมือที่ใชใ้ นการทดลอง สุขภาพ โดยใช้ในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจา โปรแกรมสุขศกึ ษาออนไลน์ คือ วิดีโอโปรแกรม หมู่บ้าน บ้านป่าจ่ัน หมู่ท่ี7 ตาบลเวียงกาหลง อาเภอ การส่งเสริมความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมสุขภาพ เวียงปา่ เปา้ จงั หวัดเชยี งราย โดยเนื้อหาประกอบด้วย ความรู้เกี่ยวกับฝุ่นละออง ขอบเขตการวิจัย ขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5), ค่าดัชนี การศึกษาน้ีมีรูปแบบการวิจัยแบบกึ่งทดลอง คุณภาพอากาศ (Air Quality Index), ความรู้เก่ียวกับ (Quasi-experimental study) กลุ่มเดียววัดก่อน-หลัง ปัจจัยที่เก่ียวข้องกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ทดลอง (one-group pretest-posttest design) โดย ไมครอน (PM2.5), ผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก ได้ดาเนินการศึกษาในช่วง เดือนมีนาคม ถึง เดือน ไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) และความรู้เกี่ยวกับการ พฤษภาคม 2564 โดยผู้วิจัยได้ออกแบบส่ือโปรแกรมสุข ป้องกันตนเองเกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ศึกษาออนไลน์ ทีเ่ น้นการให้ความรู้เรื่องฝุ่นละอองขนาด ไมครอน (PM2.5) เล็กไม่เกิน2.5 ไมครอน (PM2.5) เพ่ือส่งเสริมความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มอาสาสมัคร สาธารณสขุ ประจาหมบู่ ้าน 68
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ 2. เคร่อื งมือทีใ่ ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู เหน็ ดว้ ย = 2 คะแนน เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) ที่ผู้วิจัย ไม่เหน็ ดว้ ย = 1 คะแนน สร้างขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรม ประกอบด้วย ไม่แน่ใจ = 0 คะแนน 4 ส่วน ดังตอ่ ไปนี้ สาหรับเกณฑ์ในการแบ่งระดับทัศนคติเก่ียวกับ ส่วนท่ี1: ข้อมูลทวั่ ไปบคุ คล ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ได้ แบบสอบถามประกอบไปด้วย เพศ อายุ พิจารณาคะแนนรวมท่ีได้จากการตอบคาถามครบทุกข้อ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน และ มดี งั นี้ ระยะเวลาทอี่ าศยั ในพน้ื ท่ี (ปี) จานวน 6 ข้อ ระดับทัศนคติสูง = คะแนนทัศนคติมากกว่า ส่วนที่ 2: ความรูเ้ ก่ยี วกบั ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 รอ้ ยละ 80 ของคะแนนเตม็ ไมครอน (PM 2.5) ระดับทัศนคติปานกลาง = คะแนนทัศนคติอยู่ ความรู้เกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ระหว่างร้อยละ 61-79 ของคะแนนเต็ม ไมครอน (PM2.5) จานวน 13 ข้อ ลักษณะคาถามเป็น ระดับทัศนคติต่า = คะแนนทัศนคติน้อยกว่า การถามคาถามให้เลือกตอบ ถูกผิดตามความคิดเห็น ร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม ของผ้ตู อบแบบสอบถามความรู้เก่ียวกับฝุ่นละอองขนาด ส่วนที่ 4 พฤติกรรมการป้องกันตนเองเพื่อลดการรับ เลก็ ไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) โดยเป็นคาถามปลาย สมั ผัสฝ่นุ ละอองขนาดเลก็ (PM 2.5) ปิด มเี กณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดงั ตอ่ ไปนี้ พฤตกิ รรมการป้องกันตนเองเพ่ือลดการรับสัมผัส ตอบถกู 1 คะแนน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) จานวน 8 ข้อลักษณะ ตอบผิด 0 คะแนน คาถามเป็นคาถามปลายปิด ให้เลือกระดับความคิดเห็น สาหรับเกณฑใ์ นการแบ่งระดับความรู้เกี่ยวกับฝุ่น มี 3 ระดับความคิดเห็น คือ ปฏิบัติประจา ปฏิบัติ ละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ( PM 2.5) บอ่ ยคร้งั ไมป่ ฏบิ ตั ิ โดยมีเกณฑก์ ารให้คะแนนดังนี้ ได้พจิ ารณาคะแนนรวมที่ได้จากการตอบคาถามครบ 13 ปฏบิ ตั ปิ ระจา = 2 คะแนน ข้อ ตามคะแนนรวมมากน้อยเป็น 3 กลุ่ม ตามเกณฑ์ ปฏิบัติบ่อยครง้ั = 1 คะแนน ของบลมู มดี งั นี้ ไมป่ ฏิบตั ิ = 0 คะแนน ระดับความรูด้ ี = คะแนนความรู้มากกว่า ร้อยละ สาหรับเกณฑ์ในการแบ่งระดับพฤติกรรมการ 80 ของคะแนนเต็ม (10 คะแนนขนึ้ ไป) ป้องกันตนเองเพื่อลดการรับสัมผัสฝุ่นละอองขนาดเล็ก ระดับความรู้ปานกลาง = คะแนนความรู้อยู่ (PM 2.5) ได้พิจารณาคะแนนรวมที่ได้จากการตอบ ระหวา่ งร้อยละ 61-79 ของคะแนนเต็ม (8 - 9 คะแนน) คาถามครบทุกขอ้ มีดังนี้ ระดับความรนู้ อ้ ย = คะแนนความรู้ น้อยกว่าร้อย ระดบั พฤติกรรมสูง = คะแนนพฤติกรรมมากกว่า ละ 60 ของคะแนนเต็ม (นอ้ ยกว่า 7 คะแนน) ร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม ส่วนท่ี 3 ทศั นคติเก่ยี วกับฝุ่นละอองขนาดเลก็ ไมเ่ กิน 2.5 ระดับพฤติกรรมปานกลาง = คะแนนพฤติกรรม ไมครอน (PM 2.5) ระหว่างรอ้ ยละ 61-79 ของคะแนนเตม็ ทัศนคติเก่ียวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ระดบั พฤติกรรมต่า = คะแนนพฤติกรรมน้อยกว่า ไมครอน (PM2.5) จานวน 7 ข้อ ลักษณะคาถามเป็น รอ้ ยละ 60 ของคะแนนเตม็ คาถามปลายปิด ให้เลือกระดับความคิดเห็นมี 3 ระดับ ความคิดเห็น คือ เหน็ ดว้ ย ไม่เห็นด้วย และไม่แน่ใจ โดย มเี กณฑก์ ารใหค้ ะแนนดงั น้ี 69
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ วิธดี าเนนิ การวิจยั สัปดาห์ที่ 4 เก็บรว บรว มข้อมูลหลังการทดลอง ขัน้ เตรยี มการ ทดสอบ Post-test ผู้วิจัยประสานงานกับพื้นท่ี ขอความอนุเคราะห์ แบบประเมินความรู้เก่ียวกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก ในการดาเนินการวิจัย และมีการจัดประชุมชี้แจง ไมเ่ กนิ 2.5 ไมครอน (PM2.5) คณะผวู้ ิจยั เพ่ือกาหนดขอบเขต กลุ่มเป้าหมาย กิจกรรม สถานทแ่ี ละวางแผนการดาเนนิ งาน แบบประเมนิ ทัศนคตใิ นการสร้างเสริมสุขภาพ ข้ันดาเนนิ การ แบบประเมินพฤติกรรมการป้องกันตนเองเพื่อ ลดการรับสมั ผัสฝ่นุ ละอองขนาดเลก็ (PM 2.5) ก า ร ใ ห้ ส่ื อ โ ป ร แ ก ร ม สุ ข ศึ ก ษ า อ อ น ไ ล น์ แบบประเมนิ ความพึงพอใจในผเู้ ขา้ ร่วมวิจยั ดาเนินการในบ้านป่าจ่ัน หมู่ท่ี7 ตาบลเวียงกาหลง สัปดาห์ท่ี 5 บันทึกข้อมูลลงในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ อาเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ระหว่างเดือน วิเคราะหข์ ้อมลู เปรยี บเทียบ มีนาคม ถึง เดือนพฤษภาคม 2564 โดยจัดกิจกรรม การวิเคราะหข์ ้อมูลและสถติ ิท่ใี ช้ จานวน 3 ครง้ั ครั้งละ 3 ชั่วโมง และมีการประเมินก่อน และหลงั การทดลองดังนี้ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ สัปดาห์ที่ 1 เก็บรว บรว มข้อมูลก่อนการทดลอง ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและสถิติทดสอบ (Paired T- ทดสอบ Pre-test test) ข้อพิจารณาด้านจรยิ ธรรมการวิจยั แบบประเมินความรู้เก่ียวกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก ไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) การวิจัยนี้ได้ดาเนินการตามคาประกาศของ เฮลซิงกิ โดยผวู้ ิจยั ไดอ้ ธบิ ายถงึ วัตถุประสงค์ของการวิจัย แบบประเมินทัศนคตใิ นการสร้างเสรมิ สุขภาพ ระยะเวลาของการทาวิจัย วิธีการวิจัย อันตราย หรือ แบบประเมินพฤติกรรมการป้องกันตนเอง อาการท่ีอาจเกิดขึ้นจากการวิจัย รวมท้ังประโยชน์ที่จะ เพ่อื ลดการรบั สมั ผสั ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) เกดิ ขน้ึ จากการวจิ ยั และให้เวลาและเปิดโอกาสเพียงพอ สัปดาห์ท่ี 2-3 ดาเนินการให้สื่อโปรแกรมสุขภาพใน ในผเู้ ข้ารว่ มวิจัยได้ซักถามข้อสงสัยจนมีความเข้าใจ โดย กลมุ่ อาสาสมคั รสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน โดยเผยแพร่ ผู้วิจัยได้ตอบคาถามต่าง ๆ ด้วยความเต็มใจไม่ปิดบัง สอ่ื ผ่านทาง ออนไลน์ ประกอบด้วย ซ่อนเร้นจนผู้เข้าร่วมวิจัยพอใจถึงก่อนเร่ิมการศึกษา ความรู้เกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน น อ ก จ า ก นี้ ผู้ เ ข้ า ร่ ว ม ส า ม า ร ถ ห ยุ ด ก า ร เ ข้ า ร่ ว ม ไ ด้ 2.5 ไมครอน (PM2.5) ตลอดเวลาโดยไม่มีผลกระทบท่ีไม่พึงประสงค์ และผู้วิจัย ค่าดัชนคี ณุ ภาพอากาศ (Air Quality Index) รักษาข้อมูลเป็นความลบั โดยมีการเก็บในคอมพิวเตอร์ท่ี ปัจจัยท่ีทาให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 มีรหัสความปลอดภัยท่ีมีเฉพาะผู้วิจัยที่สามารถเข้าถึง ไมครอน (PM2.5) ขอ้ มลู ไดแ้ ละนาเสนอผลการศกึ ษาในภาพรวมเทา่ นนั้ ผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน2.5 ไมครอน (PM2.5) การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันตนเองจากฝุ่นละออง ขนาดเล็กไมเ่ กิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) 70
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ผลการวิจัย ก า ร เ ป รี ย บ เ ที ย บ ค่ า เ ฉ ลี่ ย ค ะ แ น น ค ว า ม รู้ ข้อมูลพื้นฐานในอาสาสมัครสาธารณสุขประจา เก่ียวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 (PM2.5) หมู่บ้าน บ้านป่าจ่ัน หมู่ท่ี7 ตาบลเวียงกาหลง อาเภอ ในกลุ่มอาสาสมคั รสาธารณสุขประจาหมู่บ้านบ้านป่าจั่น เวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย พบว่า กลุ่มตัวอย่าง หมู่ที่ 7 ตาบลเวียงกาหลง อาเภอเวียงป่าเป้า เปน็ เพศชาย มีจานวน 13 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 26.0 และ จังหวัดเชียงราย ก่อนและหลังใช้โปรแกรม พบ คะแนน เพศหญิง มีจานวน 37 คน คิดเป็นร้อยละ 74.0 เฉล่ียความรู้เก่ียวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ช่วงอายุที่พบมากที่สุดคือ 22-59 ปี มีจานวน 39 คน (PM2.5) ในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 78.0 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จบ ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมสุขศึกษาออนไลน์ไม่มี ประถมศึกษา มีจานวน 28 คน คิดเป็นร้อยละ 56.0 ความแตกต่างกนั (ตารางท่ี 5) สถานภพสมรส มีจานวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 70.0 ก า ร เ ป รี ย บ เ ที ย บ ค่ า เ ฉ ลี่ ย ค ะ แ น น ทั ศ น ค ติ กลุ่มตัวอย่าง มีรายได้ 0-5,000 บาท จานวน 26 คน เกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 (PM2.5) คิดเป็นร้อยละ 52.0 อาศัยอยู่ในพื้นที่ >10ปี มีจานวน ในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้านบ้านป่าจ่ัน 48 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 96.0 (ตารางที่ 1) หมู่ท่ี 7 ตาบลเวียงกาหลง อาเภอเวียงป่าเป้า ระดับความรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับฝุ่นละออง จังหวัดเชียงราย ก่อนและหลังใช้โปรแกรม พบว่า ขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ( PM2.5) หลังใช้ คะแนนเฉลี่ยทัศนคติเกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน โปรแกรมสุขศึกษา ในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข 2.5 ไมครอน (PM2.5) ก่อนและหลังจากการได้รับ ประจาหมู่บ้าน บ้านป่าจ่ัน หมู่ที่7 ตาบลเวียงกาหลง โปรแกรมสุขศึกษาออนไลน์ในกลุ่มอาสาสมัคร อาเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย พบระดับความรู้ สาธารณสุขประจาหมบู่ ้าน แตกตา่ งอย่างมนี ยั สาคัญทาง เก่ียวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน สถติ ิ (p < 0.001) (ตารางที่ 6) (PM2.5) หลังจากการให้สื่อโปรแกรมสุขศึกษาอยู่ใน การเปรียบเทียบค่าเฉล่ียคะแนนพฤติกรรม ระดับดีถึงรอ้ ยละ 92 (ตารางที่ 2) สุขภาพเกย่ี วกบั ฝุ่นละอองขนาดเลก็ ไมเ่ กิน 2.5 (PM2.5) ระดับทัศนคติด้านสุขภาพเก่ียวกับฝุ่นละออง ในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้านบ้านป่าจ่ัน ขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ( PM2.5) หลังใช้ หมู่ที่ 7 ตาบลเวียงกาหลง อาเภอเวียงป่าเป้า โปรแกรมสุขศึกษา ในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข จังหวัดเชียงราย ก่อนและหลังใช้โปรแกรม พบว่า ประจาหมู่บ้าน บ้านป่าจ่ัน หมู่ที่7 ตาบลเวียงกาหลง ค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมสุขภาพเกี่ยวกับฝุ่นละออง อาเภอเวยี งป่าเป้า จังหวดั เชียงราย พบผลระดับทัศนคติ ขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 (PM2.5) ในกลุ่มอาสาสมัคร เกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน สาธารณสุขประจาหมู่บ้านก่อนและหลังได้รับโปรแกรม (PM2.5) หลังจากการให้สื่อโปรแกรมสุขศึกษาอยู่ใน สขุ ศึกษาออนไลน์ไมค่ วามแตกตา่ งกนั (ตารางท่ี 7) ระดบั ดีถึงร้อยละ 92 (ตารางท่ี 3) ระดับพฤติกรรมด้านสุขภาพเกี่ยวกับฝุ่นละออง ขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ( PM2.5) หลังใช้ โปรแกรมสุขศึกษา ในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข ประจาหมู่บ้าน บ้านป่าจั่น หมู่ท่ี7 ตาบลเวียงกาหลง อาเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย พบระดับพฤติกรรม ด้านสุขภาพเกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) หลังจากการให้สื่อโปรแกรมสุขศึกษา อยใู่ นระดับดีถึงร้อยละ 96 (ตารางที่ 4) 71
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ตารางที่1: ข้อมูลพ้ืนฐานในอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน บ้านป่าจั่น หมู่ท่ี7 ตาบลเวียงกาหลง อาเภอเวียงป่าเป้า จงั หวดั เชียงราย (n=50) คุณลักษณะ จานวน (รอ้ ยละ) เพศ 13 (26.0) ชาย 37 (74.0) หญงิ อายุ (ปี) 39 (78.0) 22-59 ปี 11 (22.0) ≥60 ปี ระดับการศึกษา 28 (56.0) ประถมศึกษา 5 (10.0) มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ 14 (28.0) มัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. 3 (6.0) ปรญิ ญาตรหี รือมากกวา่ สถานภาพสมรส 7 (14.0) โสด 35 (70.0) สมรส 8 (16.0) หม้าย รายได้ต่อเดอื น 26 (52.0) 0-5,000 บาท 22 (44.0) 5,001-10,000 บาท 1 (2.0) 10,001-20,000 บาท 1 (2.0) 20,001-30,000 บาท ระยะเวลาทีอ่ าศัยอยใู่ นพืน้ ท่ี (ปี) 1 (2.0) ≤1 ปี 1 (2.00) 6-10 ปี 48 (96.0) >10 ปี ตารางที่ 2 ระดับความรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ( PM2.5) หลังใช้ โปรแกรมสขุ ศกึ ษา ในกลมุ่ อาสาสมคั รสาธารณสุขประจาหมบู่ า้ น บา้ นป่าจ่ัน หม่ทู ่7ี ตาบลเวยี งกาหลง อาเภอเวียง ปา่ เปา้ จงั หวดั เชยี งราย (n=50) ระดบั ความร้เู กย่ี วกบั ฝนุ่ ละอองขนาดเลก็ ไมเ่ กิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) จานวน (ร้อยละ) ระดบั ความรู้ อยู่ในระดบั ดี 46 (92.0) ระดบั ความรู้ อย่ใู นระดบั ปานกลาง 4 (8.0) ระดับความรู้ อยใู่ นระดบั นอ้ ยท่สี ดุ 0 (0.0) ตารางท่ี 3 ระดับทัศนคติด้านสุขภาพเก่ียวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ( PM2.5) หลังใช้ โปรแกรมสขุ ศึกษา ในกลมุ่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บา้ น บา้ นป่าจ่นั หมทู่ ่7ี ตาบลเวียงกาหลง อาเภอเวียง ป่าเปา้ จังหวัดเชยี งราย (n=50) ระดบั ทศั นคติเก่ียวกับฝุน่ ละอองขนาดเลก็ ไมเ่ กิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) จานวน (ร้อยละ) ทศั นคติ อยใู่ นระดับท่ดี ี 46 (92.0) ทศั นคติ อยใู่ นระดับปานกลาง 4 (8.0) ทัศนคติ อยู่ในระดบั น้อยท่ีสดุ 0 (0.0) 72
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ตารางที่ 4: ระดับพฤติกรรมด้านสุขภาพเก่ียวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ( PM2.5) หลังใช้โปรแกรมสุขศึกษา ในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน บ้านป่าจ่ัน หมู่ที่7 ตาบลเวียงกาหลง อาเภอเวียงปา่ เปา้ จังหวัดเชยี งราย (n=50) ระดับพฤตกิ รรมเกยี่ วกบั ฝุ่นละอองขนาดเลก็ ไมเ่ กิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) จานวน (ร้อยละ) พฤติกรรม ปฏิบัติประจา 48 (96.0) พฤตกิ รรม ปฏบิ ตั บิ ่อยครงั้ 8 (16.0) พฤตกิ รรม ไมป่ ฏิบตั เิ ลย 0 (0.0) ตารางท่ี 5: การเปรียบเทียบค่าเฉล่ียคะแนนความรู้เก่ียวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ( PM2.5) ในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน บ้านป่าจั่น หมู่ท่ี7 ตาบลเวียงกาหลง อาเภอเวียงป่าเป้า จงั หวดั เชียงราย ก่อนและหลงั ใช้โปรแกรม (n=50) ความรเู้ กย่ี วกบั PM 2.5 Mean SD t p-value กอ่ นไดร้ บั โปรแกรม หลงั ได้รบั โปรแกรม 24.96 1.23 -0.86 0.394 25.12 0.92 ตารางที่ 6: การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนทัศนคติเก่ียวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ( PM2.5) ในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน บ้านป่าจั่น หมู่ท่ี7 ตาบลเวียงกาหลง อาเภอเวียงป่าเป้า จงั หวดั เชียงราย กอ่ นและหลงั ใชโ้ ปรแกรม (n=50) ทศั นคติเก่ยี วกบั PM 2.5 Mean SD t p-value ก่อนได้รบั โปรแกรม 11.28 1.31 7.13 < 0.001* หลังได้รบั โปรแกรม 13.08 1.12 ตารางที่ 7: การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมสุขภาพเก่ียวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 (PM2.5) ในกล่มุ อาสาสมัครสาธารณสขุ ประจาหม่บู า้ น บ้านป่าจ่ัน หมู่ท่ี7 ตาบลเวียงกาหลง อาเภอเวียงป่าเป้า จงั หวดั เชียงราย ก่อนและหลงั ใชโ้ ปรแกรม (n=50) พฤตกิ รรมสุขภาพเก่ียวกบั PM 2.5 Mean SD t p-value ก่อนได้รับโปรแกรม 13.84 หลังได้รับโปรแกรม 13.92 2.32 -0.175 0.862 2.32 73
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ สรปุ ผลและอภปิ รายผลการวิจัย ขอ้ เสนอแนะ ผลการวจิ ัยพบวา่ คะแนนเฉล่ียของระดับทัศนคติ เน่ืองจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ทาให้การ ก่อนและหลังให้ส่ือโปรแกรมสุขศึกษามีความแตกต่าง ทางานด้านสาธารณสุขบางช่วงไม่สามารถลงในพื้นที่ได้ กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ซ่ึงสอดคล้องกับการศึกษา รวมถึงระยะเวลาในการจัดทาโครงการวิจัยท่ีจากัด ที่กล่าวถึง ทัศนคติ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม ทาให้โครงการวิจัยออกมาในรูปแบบออนไลน์ เพื่อให้ การป้องกันฝุ่นอย่างมีนัยสาคัญและท่ีกล่าว ถึง ง่า ยต่ อก าร ติ ดต่ อส่ื อส า รกั บก ลุ่ม ตั ว อ ย่า งแ ล ะ ความตระหนักถึงพิษภัยของปัญหาไฟป่าหมอกควันที่มี เว้นระยะห่างทางสังคม โครงการท่ีจัดทาข้ึนเป็นการ ผลต่อสุขภาพของคนในครัวเรือน นอกจากนี้ประชาชน สารวจข้อมูลเบื้องต้นเพื่อให้กลุ่มตัวอย่างมีความรู้และ ในพื้นที่ มีความตระหนักต่อปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ความตระหนักในการปอ้ งกันตนเองจากฝุ่นละอองขนาด ไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ท่ีสามารถเกิดข้ึน เล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) เพ่ิมมากข้ึน เป็นการ อย่างรุนแรงและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต โดยอาการ เริ่มต้นการจัดกิจกรรมในรูปแบบออนไลน์ท่ีสามารถ ฉับพลันเม่ือได้รับควันจะก่อให้เกิดอาการแสบตา ต่อยอดดาเนินการไดใ้ นโครงการอ่ืน ๆ ต่อไป ระคายเคืองตา หายใจลาบากและก่อให้เกิดโรคเก่ียวกับ เอกสารอา้ งอิง ระบบทางเดินหายใจ สอดคล้องผลกระทบทาง 1.แก้วประดิษฐ์, ว. (2021). Sugarcane straw man- ด้านมลพิษทางอากาศโดยทั่วไป ได้แก่ การรู้สึก agement to mitigate particulate matter and ระคายเคือง แสบตา ภาวะหายใจไม่สะดวก โดยเฉพาะ encourage sustainable sugarcane production. คนที่เป็นหอบหืดมีความเส่ียงจะมีอาการทรุดหนักและ Khon Kaen Agriculture Journal, 78-80. เสียชีวิตได้ และสอดคล้องกับสานักจัดการคุณภาพ 2. จริ าภรณ์ หลาบคา, จินตนา ศริ ิบรู ณพ์ ิพัฒนา และ อากาศและเสียง ท่ีกล่าวถึงฝุ่นละอองหรือหมอกควันท่ี ธนาพร ทองสมิ . (2561). พฤตกิ รรมการป้องกันฝ่นุ หิน สะสมอยู่ในบรรยากาศที่มีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐาน ของพนักงานโรงโมห่ ินในอาเภอนา้ ยนื จังหวัด กาหนดจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพอนามัยของ อบุ ลราชธาน.ี วารสารวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ประชาชน การเข้าถึงข้อมูลพบว่า ข้อมูลที่ภาครัฐให้กับ มหาวิทยาลยั อุบลราชธานี อบุ ลราชธาน,ี 19(1), 73-83 ประชาชนมีความเหมาะสมและประชาชนส่วนใหญ่ 3. ณฐั ชยา อุน่ ทองดี N. U., & จุฑารตั น์ ชมพนั ธ์ุC. C. เข้าถึงข้อมูลได้ ซึ่งมีผลต่อการเข้ามามีส่วนร่วมของ (1). การมสี ่วนร่วมของประชาชนในป้องกนั และแก้ไข ประชาชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง มลพิษทางอากาศจากหมอกควันในจังหวัดแม่ฮ่องสอน. ขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) เพิ่มมากขึ้น 4. JOURNAL OF ENVIRONMENTAL MANAGE- โดยสอดคล้องกับงานวิจยั ของที่กล่าวถึง การได้รับข้อมูล MENT, 10(2). Retrieved from https://so02.tci- ข่าวสารจากภาครฐั และเอกชนทร่ี ่วมกันเผยแพร่ รณรงค์ thaijo.org/index.php/JEM/article/view/27556 ประชาสัมพันธ์ การงดเผาในท่ีโล่งทาให้ประชาชนมี 5. ดวงใจ ดวงทพิ ย.์ 2557. การส่งเสรมิ ศักยภาพชมุ ชน พฤติกรรมในการลดการเผาเพ่ือป้องกันผลกระทบจาก เพอื่ การจัดการปัญหาไฟป่าและหมอกควนั . สานกั งาน ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) สง่ิ แวดลอ้ มภาคที่1 เชยี งใหม,่ 68-75 หลังจากการให้โปรแกรมการส่งเสริมความรู้ ทัศนคติ 6. มงคล รายะนาคร. 2553. หมอกควนั และมลพษิ ทาง และพฤติกรรมสุขภาพเกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก อากาศในจงั หวัดเชียงใหม.่ เชียงใหม่: ล๊อคอิน ดไี ซน์ ไมเ่ กิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) พบว่า ร้อยละของความรู้ เวิรค์ . ทัศนคติและพฤตกิ รรมสุขภาพมรี ะดับดีขน้ึ 74
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจาปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ 7. รุจจนพนั ธุ,์ บ. (2021, 5 13). เกณฑ์สาหรบั ประเมิน ความพึงพอใจ. Retrieved from iT Blog: http:// www.thaiall.com/blog/burin/1165/ 8. รสสคุ นธ์ วงคแ์ สนคา. 2550. การจดั การมลพษิ ทาง อากาศของผมู้ ีสว่ นไดส้ ว่ นเสยี ในอาเภอเมอื ง จงั หวดั เชียงใหม่. การค้นคว้าแบบอสิ ระ สาธารณสุขศาสตร์ มหาบณั ฑติ (สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร)์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ . 9. ศศธิ ร มะโนมน่ั . (2562). The Level of Knowledge and Practice about the Dust of PM 2.5 Faculty of Management Science Nakhon Pathom Rajabhat University Students. วจิ ยั สร้าง นวตั กรรม เพ่ือพัฒนาท้องถน่ิ และสงั คมไทย สู่ Disrup- tive Society , 904-906. 10. สานกั จัดการคุณภาพอากาศและเสยี ง. 2556. คู่มอื แนวทางการบรหิ ารจัดการปัญหามลพิษจากหมอกควนั และการเผาในที่โล่งในระดบั พื้นท.ี่ กรุงเทพมหานคร: กรมควบคุมมลพิษ. 11. Srithawirat, J. k. (2016). Knowledge and practice levelsin air pollution prevention of motorcycle riders in Phitsanulok Province. PSRU Journal of Science and Technology , 3-4. University, C. (2019,410). เรียนรู้ อยู่กับฝนุ่ PM2.5. Retrieved from https://www.chula.ac.th/wp- content/uploads/2019/10/Chula-PM25.pdf 75
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจ้าปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ผลของการพัฒนาระบบการป้องกนั การแพ้ยาซา้ ต่ออบุ ัตกิ ารณ์การแพย้ าซ้าของผูป้ ว่ ย ในแผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ รชั นวี รรณ มาจาก E-mail: [email protected] บทคัดยอ่ ความส้าคัญ: จากการรายงานความคลาดเคล่ือนทางยาของโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ พบรายงานอุบัติการณ์ การแพ้ยาซ้าปี 2560 มีจ้านวน 1 ราย ปี พ.ศ. 2561 มีจ้านวน 0 รายปี 2562 มีจ้านวน 4 ราย ซึ่งทั้ง 4 ราย เป็นผู้ป่วยในท้ังสิ้น จะเห็นได้ว่าอุบัติการณ์การแพ้ยาซ้าเพ่ิมสูงขึ้นถึงแม้จะวางระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้าใน ทุกกระบวนการต้ังแต่แรกรับผู้ป่วยจนถึงข้ันตอนการจ่ายยาและบริหารยาของพยาบาลในหอผู้ป่วยเพื่อเป็นข้อมูล เชิงประจักษ์ส้าหรับทบทวนและหาโอกาสพัฒนาตลอดจนปรับปรุงการวางระบบป้องกันการแพ้ยาซ้าให้มี ประสิทธภิ าพย่ิงขึ้น วัตถุประสงค:์ เพือ่ ศกึ ษาผลของการพฒั นาระบบการปอ้ งกันการแพ้ยาซ้าตอ่ อบุ ตั ิการณ์การแพ้ยาซ้าของผู้ป่วย ในแผนกศลั ยกรรมโรงพยาบาลเพชรบรู ณ์ รูปแบบการศึกษา: การศกึ ษาเชิงวิเคราะห์ขอ้ มลู แบบย้อนหลัง โดยศึกษากับกลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นผู้ป่วยแบบเจาะจง จากฐานข้อมูลโปรแกรม HOSxP จ้านวนท้ังหมด 1,181 คน เก็บข้อมูลระหว่างวันท่ี 1 เมษายน 2562 – 31 มีนาคม 2563 และบุคลากรทางการแพทย์จ้านวน 145 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสามถามประกอบด้วย ข้อมูล ทั่วไปและแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และการทดสอบของฟชิ เชอร์ ผลการศกึ ษา: ผ้ปู ่วยในทเ่ี ข้ารับบริการในแผนกศัลยกรรมและมีประวัติแพย้ า ส่วนใหญเ่ พศหญิงร้อยละ 61.47 มีอายเุ ฉลย่ี 38 ปี (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 17.25) ก่อนวางระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้าเท่ากับ 566 คน และหลังวางระบบเท่ากับ 615 คน ผลการศึกษาอุบัติการณ์การแพ้ยาซ้าของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังวางระบบ ป้องกันการแพ้ยาซ้าพบว่าแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยส้าคัญทางสถิติเม่ือศึกษาถึงความพึงพอใจต่อระบบป้องกัน การแพ้ยาซ้าของบุคลาการทางการแพทย์จ้านวน 145 คน พบว่า ความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลยี่ เทา่ กับ 3.83 และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.66 สว่ นความพึงพอใจในการอ้านวยความสะดวก หรือการสนับสนุนขององค์กรท่ีเอ้ือต่อการท้าตามระบบท่ีวางไว้ซ่ึงประกอบด้วย ความพร้อมของอุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และเอกสารข้อมูลความรู้เร่ืองการแพ้ยาอยู่ในระดับปานกลาง โดยมคี า่ เฉลย่ี เทา่ กบั 3.63 3.63 และ 3.66 และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.73 0.72 และ 0.72 ตามล้าดบั ข้อยุติและการน้าไปใช้: ผู้บริหารโรงพยาบาลควรพิจารณาเพิ่มการสนับสนุนเก่ียวกับนโยบาย เคร่ืองมือ อุปกรณ์และเทคโนโลยีต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับระบบให้มากข้ึน ผลการศึกษานี้อาจน้าไปใช้เพื่อปรับปรุงระบบ การปอ้ งกันการแพ้ยาซ้าในผ้ปู ว่ ยตลอดจนคุณภาพของการบริการสขุ ภาพของบุคลากรทางการแพทย์ต่อไป ค้าสา้ คญั : การพฒั นา ระบบการป้องกนั การแพ้ยา อุบัติการณก์ ารแพ้ยาซ้า ผู้ป่วยใน ความพึงพอใจ กลุ่มงานเภสัชกรรมโรงพยาบาลเพชรบรู ณ์ 76
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจา้ ปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ความเป็นมา: ยามีวัตถุประสงค์เพ่ือใช้ในการ ที่สุดคือ ยา ceftriaxone ibuprofen และ enalapril บ้าบัดโรคและอาการเจ็บป่วย อย่างไรก็ตามหากมี จ้านวน 2,800 2,272 และ 1,594 ฉบับตามล้าดับ7-8 การใช้ยาอย่างไม่เหมาะสม เน่ืองมาจากปัจจัยหลาย ซ่ึงสอดคล้องการศึกษาของยาที่ก่อให้เกิดอาการไม่พึง ประการ ได้แก่ ความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลท่ีผู้ป่วยแจ้ง ประสงค์มากที่สุดจากการใช้ยาในแผนกกุมารเวช ความคลาดเคลื่อนในการใช้ยา อาจก่อให้เกิดอาการ โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ ระหว่างปี พ.ศ .2549 – 2552 ไม่พึงประสงค์จากยาได้ (Adverse Drug Reaction: คือ ยา Ceftriaxone โดยพบอุบัติการณ์คิดเป็นร้อยละ ADR)1โดยอาการดังกล่าวนี้เป็นอาการไม่พึงปรารถนา 26.6 9การแพ้ยาซ้าในผู้ป่วยท่ีเคยมีประวัติการแพ้ยา ท้ังผู้ป่วย และบุคลากรสาธารณสุข ซ่ึงถือว่าเป็นปัญหา มาก่อนถือเป็นอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา จากการใช้ยา (Drug Related Problems: DRPs) ชนิดป้องกันได้ (preventable ADRs) ซึ่งในประเทศ ท่ีพบได้ถึงร้ อย ละ 64. 8 ของ DRPs ทั้งห มด 2-3 ไ ท ย มี ร า ย ง า น อุ บั ติ ก า ร ณ์ ก า ร แ พ้ ย า ซ้ า เ ท่ า กั บ ร้อยละ 4.310ท้ังนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เห็น การแพ้ยาจัดเป็นอาการไม่พึงประสงค์ซ่ึงพบ ความส้าคัญในการป้องกันการเกิดอุบัติการณ์การแพ้ยา ร้อยละ 6-10 ของอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ซ้าโดยได้ประกาศนโยบายด้านความปลอดภัยของ ทั้งหมด4 องค์การอนามัยโลกได้ให้ค้านิยามในเรื่องการ ผู้ป่วยระดับชาติในปี พ.ศ. 2550-2551 โดยหน่ึง เฝ้าระวงั ความปลอดภัยด้านยา (Pharmacovigilance) ในประเด็นหลัก คือ มาตรการความปลอดภัยด้านยา ว่าเป็นศาสตร์และกิจกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับการ ตรวจจับ ในหัวข้อ “ยาปลอดภัยผู้ป่วยปลอดภัยซึ่งมาตรการลด (Detection) การประเมิน (Assessment) เพื่อให้ อาการไม่พึงประสงค์ท่ีรุนแรง/การแพ้ยาซ้าเป็นหนึ่งใน เข้าใจ และป้องกันอาการไม่พึงประสงค์หรือปัญหา สี่ของมาตรการความปลอดภัยด้านยาที่กระทรวง ที่เก่ียวข้องกับการใช้ยานั้น5 ส้าหรับประเทศไทยมีการ สาธารณสุขก้าหนด11 แม้ว่าโดยภาพรวมของอาการ ด้า เ นิ น ง า น เ รื่ อง นี้ โ ด ย ศู น ย์ ติ ดต า ม อ า ก า ร อั น ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาระดับความรุนแรงมีอยู่ ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาซ่ึงในแต่ละปีจะมีรายงาน ประมาณร้อยละ 20 ของอาการไม่พึงประสงค์จากการ ข้อมูลศูนย์ติดตามอาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ ใช้ยาท้ังหมดแต่อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ยาท่ีมีการสรุปรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ ระดับท่ีรุนแรงจะท้าให้เกิดผลกระทบต่อผู้ป่วยโดยตรง ยา โ ด ย ร ะบ บ Spontaneous Reporting System เช่น ต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือท้าให้ (SRS) จากโรงพยาบาลสถานบริการสาธารณสุข ต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้น จึงต้องเสียค่าใช้จ่าย ระดบั ตา่ ง ๆ ทวั่ ประเทศและผู้ประกอบการ6 จากข้อมูล เพิ่มขึ้น บางคร้ังผู้ป่วยอาจเสียชีวิตหรือพิการตลอดจน การเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพของ บุ ค ล า ก ร ท า ง ก า ร แ พ ท ย์ ต้ อ ง เ สี ย เ ว ล า ใ น ก า ร ประเทศไทยปีพ.ศ.2562 พบรายงานเหตุการณ์ รักษาพยาบาลเพ่ิมขน้ึ 12-13 จากการศึกษาพบสาเหตุของ ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาจ้านวน 40,792 ฉบับ การแพ้ยาซ้า หรือการส่ังจ่ายยาที่ผู้ป่วยเคยแพ้ พบว่า จากรายงานดังกล่าวพบ ความร้ายแรงของเหตุการณ์ ส่วนหนึ่งบุคลากรขาดความรู้เรื่องการแพ้ยาในกลุ่ม ไม่พึงประสงค์ชนิดไม่ร้ายแรง ( seriousness of เดยี วกนั หรือไม่ทราบข้อมูลยาท่ีส้าคัญ สาเหตุประการ adverse event) ร้อยละ 72.7 และชนิดร้ายแรง ที่สอง คือ ระบบท่ียังไม่ครอบคลุมหรือเครื่องมือท่ีใช้ ร้อยละ 20.3 ในจ้านวนนี้พบความร้ายแรงจาก ในระบบไม่เอื้อต่อการเฝ้าระวัง และบางคร้ังสาเหตุ เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่ท้าให้ผู้ป่วยต้องเข้ารับ เกิดจากตัวผู้ป่วยที่ไม่ตระหนักถึงการเฝ้าระวังตนเอง การรักษาในโรงพยาบาลหรือท้าให้เพิ่มระยะเวลา จากการแพ้ยาซ้าไม่แสดงบัตรแพ้ยา ไม่จ้าช่ือยาท่ีเคย ในการรักษานานข้ึนมากที่สุดถึงร้อยละ 77.7 แพ1้ 2 โดยรายการยาที่ได้รับการระบุว่าเป็นยาที่สงสัยมาก 77
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจ้าปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ การศึกษาข้อมูลอาการไม่พึงประสงค์ที่น้ามาศึกษา ข อ ง ส้ า นั ก ง า น ส า ธ า ร ณ สุ ข จั ง ห วั ด เ พ ช ร บู ร ณ์ ทั้งในกลุ่มผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยในเป็นอาการที่ไม่พึง ตามเอกสารการรับรองการศึกษาวิจัยในมนุษย์ เลขท่ี ประสงค์จากการใช้ยาท่ีสามารถป้องกันได้ ร้อยละ 52 พช.0032.203/2025 ลงวนั ท่ี 14 เมษายน 2563 และ 4514 ตามล้าดับ ดังน้ันจะเห็นได้ว่า หากมีการ ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง น้ารายงานข้อมูลอาการท่ีไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ในองคก์ รมาวเิ คราะห์แยกประเภทของข้อมูลที่สามารถ ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ แบ่งออกเป็น ป้องกันได้มาค้นหาสาเหตุ ทบทวนเพื่อหาโอกาสพัฒนา 1. ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยในของหอผู้ป่วย และปรับปรุงการวางระบบป้องกันให้ดีย่ิงข้ึนก็จะท้าให้ ท่ีห้องจ่ายยา แผนกศัลยกรรมโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ การเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านยามีความเข้มแข็งและ รับผิดชอบให้บริการจ่ายยา มีประวัติแพ้ยา 1,181 คน ลดความเสี่ยงด้านการใช้ยาลง ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความ 2. บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขของ ปลอดภัยจากการใช้ยาเพิ่มมากข้ึนได้และจากการ หอผู้ป่วยท่ีห้องจ่ายยา แผนกศัลยกรรมโรงพยาบาล รายงานความคลาดเคล่ือนทางยาของโรงพยาบาล เพชรบูรณ์ รบั ผิดชอบให้บริการจ่ายยาจ้านวน 145 คน เพชรบูรณ์ พบรายงานอุบัติการณ์การแพ้ยาซ้าปี 2560 ส้าหรับเกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างเข้าร่วมการวิจัย มีจ้านวน 1 ราย ปี พ.ศ. 2561 มีจ้านวน 0 ราย (Inclusion Criteria) ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาแบบ ปี 2562 มีจ้านวน 4 ราย ซึ่งทั้ง 4 ราย เป็นผู้ป่วยใน ผู้ป่วยใน ของหอผู้ป่วยท่ีห้องจ่ายยา แผนกศัลยกรรม ทั้งสิ้นจะเห็นได้ว่า อุบัติการณ์การแพ้ยาซ้าเพิ่มสูงข้ึน โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ รับผิดชอบให้บริการจ่ายยา ถึงแม้จะวางระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้าในทุก ทมี่ ีประวตั ิแพ้ยา กระบวนการต้ังแต่แรกรับผู้ป่วยจนถึงขั้นตอนการจ่าย โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยท่ีเข้ารับการรักษาแบบ ยาและบริหารยาของพยาบาลในหอผู้ป่วยเพื่อเป็น ผู้ ป่ ว ย ใ น ข อ ง ห อ ผู้ ป่ ว ย ที่ ห้ อ ง จ่ า ย ย า ข้อมลู เชงิ ประจักษ์ส้าหรับทบทวนและหาโอกาสพัฒนา แผนกศัลยกรรมโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ รับผิดชอบ ตลอดจนปรับปรุงการวางระบบป้องกันการแพ้ยาซ้าให้ จ่ายยาที่มีประวัติแพ้ยา ช่วงก่อนวางระบบป้องกันการ มปี ระสทิ ธิภาพยง่ิ ขนึ้ แพ้ยาซ้า จ้านวน 566 คนและหลังวางระบบ จ้านวน วัตถุประสงค์: 1.เพื่อศึกษาผลของการพัฒนาระบบ 615 คน การป้องกันการแพ้ยาซ้าต่ออุบัติการณ์การแพ้ยาซ้า เครอ่ื งมือทใี่ ช้ในการวจิ ยั ของผ้ปู ่วยในแผนกศลั ยกรรม โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ 2. เพ่ือส้ารวจความพึงพอใจของบุคลากรสาธารณสุขท่ี เครื่องมือท่ีใช้ในการด้าเนินการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ เกี่ยวข้อง ตอ่ ระบบการป้องกนั การแพย้ าซา้ ระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้า ท่ีผู้วิจัยได้พัฒนาจาก การทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เก่ียวข้องร่วมกับ ระเบยี บวิธวี จิ ยั ที ม ส ห วิ ช า ชี พ ใ น รู ป แ บ บ ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ร ะ บ บ ย า ก า ร ศึ ก ษ า น้ี เ ป็ น ก า ร วิ จั ย ก่ึ ง ท ด ล อ ง เ ชิ ง โดยมีแนวทางปฏิบัติตามข้ันตอนของระบบที่วางไว้ (ตารางที่ 1) เปรียบเทียบก่อนและหลังวางระบบ โดยการวิเคราะห์ ข้ อ มู ล ย้ อ น ห ลั ง ( retrospective analysis) จ า ก ฐานข้อมูลเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ในโปรแกรม HOSxP ด้าเนินการเก็บข้อมูลระหว่างวันท่ี 1 เมษายน พ.ศ. 2562 –31 มีนาคม พ.ศ. 2563 โครงการวิจัยน้ี ผ่ า น ค ว า ม เ ห็ น ช อ บ ข อ ง ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร จ ริ ย ธ ร ร ม 78
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจ้าปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ตารางที่ 1 ระบบการป้องกนั การแพย้ าซ้า ในแผนกศลั ยกรรมโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ แผนก/บุคลากรทใี่ หบ้ ริการ การพฒั นา/วางระบบการปอ้ งกันการแพย้ าซ้า ทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ ห้องท้าบตั ร คัดกรองผปู้ ่วยเบื้องต้นบนั ทึกขอ้ มูลทว่ั ไปของผ้ปู ่วยและข้อมูลการแพย้ าในช่องประวตั ิแพย้ าในระบบ Hos xP จดุ ซักประวัติ: พยาบาล ซักประวตั ิผ้ปู ่วย: ผ้ปู ว่ ยมีประวัติแพย้ า ให้ใส่ Wrist band ทข่ี อ้ มอื ผูป้ ว่ ย ติดป้ายระบขุ อ้ ความ”แพย้ า ” สีชมพู ทห่ี น้าแฟ้มประวตั ิผู้ปว่ ย พร้อมตรวจสอบข้อมลู แพ้ยาในระบบHosxPหากไม่มีขอ้ มลู ในระบบ HosxP หอ้ งตรวจ: แพทย์ ส่งพบเภสชั กรเพ่ือซักประวตั แิ พ้ยาเพ่ิมเตมิ และลงบนั ทกึ ขอ้ มูลแพ้ยา ในระบบ HosxP หมายเหตุ Wrist band ทีข่ ้อมือผู้ปว่ ย ใสต่ ลอดการรักษาใน Visit นน้ั ระบบ Hos xp ซักประวตั ิแพย้ าผู้ปว่ ยทกุ ครงั้ ก่อนสั่งจา่ ยยา หอ้ งจา่ ยยา :เภสัชกร ล๊อครายการยาทผ่ี ู้ปว่ ยมปี ระวตั แิ พย้ าทงั้ กล่มุ ในผู้ปว่ ยท่ีมปี ระวตั ิแพ้แบบรนุ แรง (Steven Johnson Syndrome , Toxic epidermal necrolysis) ส่งผลให้ ไมส่ ามารถจ่ายยาท้ังกลุ่มยาที่ผูป้ ว่ ยมีประวัติแพ้ได้ ในกรณที ผ่ี ูป้ ว่ ยมีประวัติแพย้ าในระบบ Hos xPแลว้ จะมี Pop up เตอื นขนึ้ เมือ่ เปิดโปรแกรมบันทึกขอ้ มูลการรักษา และจา่ ยยาในระบบ Hos xP เภสชั กรซักประวตั แิ พย้ าและลงบนั ทึกขอ้ มลู แพ้ยาในระบบ Hos xP เปล่ียนแบบบนั ทึกการใชย้ าของผปู้ ว่ ย(Drug Profile) จากสีชมพูเปน็ สเี ขียวเมอื่ ซกั ประวตั ไิ ดว้ ่า ผูป้ ว่ ยมปี ระวตั แิ พย้ า ระบบจะแจง้ เตือนกอ่ นเภสัชกรจา่ ยยา การรวบรวมข้อมลู เครอื่ งมือที่ใชว้ ัดในการศึกษาวจิ ัย ข้อมูลที่รวบรวมจากเวชระเบยี นอิเลก็ ทรอนิกส์ใน ผู้วิจัยได้ประยุกต์โดยการทบทวนวรรณกรรมให้เข้ากับ วตั ถปุ ระสงคท์ จ่ี ะศึกษาประกอบด้วย 2 สว่ น คอื โปรแกรม HOSxPประกอบดว้ ยตัวแปรท่ีจะศกึ ษา ดงั นี้ ตัวแปรต้น ได้แก่ ระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้า ส่ ว น ท่ี 1 แ บ บ บั น ทึ ก ข้ อ มู ล อุ บั ติ ก า ร ณ์ การแพ้ยาซ้า ประกอบด้วยข้อมูลท่ัวไป จ้านวน 3 ข้อ และขอ้ มลู ท่วั ไปของกลุ่มตวั อย่าง ข้อมูลของผู้ป่วย จ้านวน 3 ข้อ และข้อมูลการ ตัวแปรตาม ได้แก่ อุบัติการณ์การเกิดการ ด้าเนินงานตามระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้า ซ่ึงเป็น แบบตรวจสอบรายการ จ้านวน 5 ขอ้ แพ้ยาซ้าในผู้ป่วยในท่ีเข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยใน ของหอผู้ปว่ ยท่หี ้องจ่ายยา แผนกศัลยกรรมโรงพยาบาล ส่วนที่ 2 แบบประเมินพึงพอใจของบุคลากรต่อ เพชรบูรณ์ รับผิดชอบให้บริการจ่ายยา และความ ระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้า จ้านวน 8 ข้อ ลักษณะ พึงพอใจตอ่ ระบบการปอ้ งกนั การแพย้ าซ้า เป็นค้าตอบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ (1 คือ น้อยท่ีสุดหรือต้องมีการปรับปรุงแก้ไข การศึกษาครั้งนี้ ได้ด้าเนินการเก็บข้อมูลในระยะ ถึง 5 คือ มากท่ีสุดหรือดีมาก) การแปลผลเพ่ืออธิบาย ก่อน ว าง ระบ บระ บบก ารป้ องกั นกา รแพ้ ยาซ้ า ตัว แป รต าม แ นว คิด กา ร แบ่ งช่ ว ง ค ะแ นน เฉ ลี่ ย ด้วยเครื่องมือที่ใช้วัดในการศึกษาวิจัยระหว่างวันที่ โดยใช้คะแนนสูงสุดลบด้วยคะแนนต้่าสุดและหารด้วย 1 เมษายน พ.ศ. 2562 - 30 กันยายน พ.ศ. 2562 จ้านวนกลุ่ม ซึ่งน้าคะแนนมาแบ่งกลุ่มออกเป็น จากนั้นได้พัฒนาและวางระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้า 3 ระดับ15 คือ ระดับต้่า (1.00-2.33) ปานกลาง และท้าการเก็บข้อมูลหลังวางระบบ ระหว่างวันท่ี1 (2.34-3.67 และระดับสูง (3.68-5.00) ซึ่งแนวคิดการ ตุลาคม พ.ศ. 2562 – 31 มนี าคม พ.ศ. 2563 แบ่งช่วงคะแนนเฉล่ียนี้ได้ถูกน้ามาใช้ในการศึกษาวิจัย ท่ี ผ่ า น ม า กั บ ก ลุ่ ม ตั ว อ ย่ า ง ท่ี เ ป็ น บุ ค ล า ก ร ทางการแพทย1์ 6-17 79
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจ้าปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ การทดสอบคุณภาพเครือ่ งมอื ผลการวจิ ัย หลังจากได้รับการรับรองจริยธรรมการวิจัยจาก ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างจ้านวน 1,181 คน คณะอนุกรรมการจริยธรรมการวิจัยส้านักงาน พบว่า สว่ นใหญเ่ ปน็ เพศหญิง รอ้ ยละ 61.47 มีอายุเฉล่ีย สาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์แล้ว ผู้วิจัยได้น้าเคร่ืองมือ 38 ปี (SD =17.25) ผู้ป่วยในที่เข้ารับการรักษาในแผนก ที่ใช้วัดในการศึกษาวิจัย ให้ผู้เช่ียวชาญ จ้านวน 3 ท่าน ศัลยกรรมก่อนวางระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้า ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาและน้ามาหาค่าความ มีจ้านวนทั้งหมด 566 คน โดยหอผู้ป่วยท่ีผู้ป่วยเข้ารับ เที่ยงตรงและความเชื่อมั่นของเครื่องมือจากนั้นน้ามา การรักษาสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ ตึกพิเศษเฉลิม ทดสอบหาค่าความเช่ือมั่นโดยใช้สัมประสิทธ์ิอัลฟ่า พระเกียรติ 72 ปีหอผู้ป่วยตา หู คอ จมูก และหอผู้ป่วย ของครอนบาค มคี า่ เทา่ กบั 0.72 ศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ ร้อยละ 28.1 13.4 และ การวิเคราะหข์ อ้ มลู 11.3 ตามล้าดับ และวิเคราะห์ข้อมูลหลังจากวางระบบ ประมวลผลข้อมูลโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การป้องกันการแพ้ยาซ้า พบว่า มีผู้ป่วยแพ้ยาจ้านวน ส้าเร็จรูป ก้าหนดระดับนัยส้าคัญเท่ากับ 0.05 และใช้ 615 คน หอผู้ป่วยท่ีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาสูงสุดสาม สถติ ใิ นการวเิ คราะห์ข้อมูลการวจิ ยั ดังน้ี อันดับแรก ได้แก่ ตึกพิเศษเฉลิมพระเกียรติ 72ปี 1) ข้อมูลท่ัวไป อุบัติการณ์การแพ้ยาซ้า และ หอผู้ป่วยศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ และ หอผู้ป่วย ความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างวิเคราะห์โดยสถิติ ศัลยกรรมหญงิ ร้อยละ 22.415.1 และ 14.6 ตามล้าดับ เชิงบรรยาย ด้วยการแจกแจงความถี่ (Frequency) (ตารางท่ี 2) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉล่ีย (Mean) และส่วน เบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard deviation) 2) การวิเคราะห์เพื่อประเมินประสิทธิผลของการ พัฒนาระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้า ด้วยการ เปรียบเทียบอุบัติการณ์การแพ้ยาซ้าก่อนและหลังการ วางระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้าวิเคราะห์โดยใช้สถิติ Chi-Square ตารางที่ 2 ผูป้ ่วยในแผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ ท่มี ีประวัตแิ พย้ า จ้าแนกตามหอผูป้ ่วย หอผู้ปว่ ย จา้ นวน (ร้อยละ) ตกึ พิเศษเฉลมิ พระเกยี รติ 72 ปี ก่อนวางระบบ (n = 566) หลังวางระบบ (n = 615) หอผปู้ ว่ ยวกิ ฤติแผนกศลั ยกรรม หอผ้ปู ่วยวกิ ฤติทางระบบทางเดินหายใจ 159 (28.1) 138 (22.4) หอผู้ปว่ ยเดก็ หอผู้ป่วยตา หู คอ จมกู 5 (0.9) 2 (0.3) หอผปู้ ่วยศลั ยกรรมกระดกู ชาย หอผปู้ ว่ ยศัลยกรรมกระดกู หญงิ 7 (1.2) 11 (1.8) หอผู้ป่วยศัลยกรรมชาย หอผู้ปว่ ยศลั ยกรรมทางเดนิ ปัสสาวะ 46 (8.1) 47 (7.6) หอผู้ป่วยศลั ยกรรมหญงิ หอผปู้ ่วยสูตกิ รรมหลังคลอดและนรีเวช 76 (13.4) 58 (9.4) หอ้ งคลอด 47 (8.3) 33 (5.4) 39 (6.9) 49 (8.0) 37 (6.5) 57 (9.3) 64 (11.3) 93 (15.1) 58 (10.2) 90 (14.6) 22 (3.9) 30 (4.9) 6 (1.1) 7 (1.1) 80
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจ้าปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ผลการศึกษาประวัติการแพ้ยาเดิมของกลุ่มตัวอย่าง 0 ตามลา้ ดบั (ตารางที่ 5) พบว่า ผู้ป่วยในไม่มีประวัติแพ้ยาและไม่มีประวัติใน ความพึงพอใจของบุคลากรที่เกี่ยวข้องต่อระบบ ระบบ Hosxp (ผู้ป่วยแพ้ยารายใหม่) ก่อนและหลังวาง การป้องกันการแพ้ยาซ้า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉล่ีย ระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้า มีจ้านวน 16 คน ของความพึงพอใจต่อระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้า (ร้อยละ 2.8) และ 11 คน (ร้อยละ1.8) ตามล้าดับ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (mean=3.83, SD=0.66) ส้าหรับผู้ป่วยในมีประวัติแพ้ยาแต่ไม่มีประวัติในระบบ เมื่อการประเมินระดับความพึงพอใจของบุคลากร Hosxp ก่อนและหลังวางระบบมีจ้านวน 16 คน ที่เกยี่ วขอ้ งตอ่ ระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้าได้พิจารณา (รอ้ ยละ 2.8) และ 36 คน (ร้อยละ 5.8) สว่ นผู้ป่วยในที่ แยกเป็นประเด็นย่อยดงั ตอ่ ไปน้ี มีประวัติแพ้ยาและมีประวัติในระบบ Hosxp นั้นพบว่า ด้านการวางระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้าและ ก่อนวางระบบมีจ้านวน 534 คน (ร้อยละ 94.4) และ การประเมินระบบ พบว่าปัจจัยย่อยท่ีมีระดับคะแนน หลังวางระบบมีจ้านวน 568 คน (ร้อยละ 92.4) เฉล่ียสูงสดุ คอื ทา่ นคดิ ว่าระบบน้ีสามารถลดอุบัติการณ์ (ตารางที่ 3) การแพ้ยาซ้าได้ กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจระดับมาก จ้านวนของผู้ป่วยท่ีมีประวัติแพ้ยาจ้าแนกตาม (mean =4.09, SD=0.73) รองลงมา คือ ท่านสามารถ ค้าสั่งยาโดยแพทย์ ก่อนและหลังวางระบบการป้องกัน ป ฏิ บั ติ ต า ม ร ะ บ บ ที่ ว า ง ไ ว้ อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ม า ก การแพ้ยาซ้า พบว่าส่วนใหญ่แพทย์ไม่ได้สั่งจ่ายยาที่ (mean =3.99, SD = 0.65) ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ ร้อยละ 97.0 และ 96.2 ตามล้าดับ ด้านการอ้านวยความสะดวกท่ีเอื้อต่อการท้าตาม ส่วนแพทย์สั่งจ่ายยาที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้น้ันพบ ระบบท่ีวางไว้พบว่าปัจจัยย่อยท่ีมีระดับคะแนนเฉลี่ย ร้อยละ 0.2 และ 2.0 ตามล้าดับ และในกรณีที่แพทย์สั่ง สูงสุด คือ เอกสารข้อมูลความรู้เรื่องการแพ้ยา จ่ายยาที่ผู้ป่วยแพ้ยารายใหม่ ก่อนวางระบบ พบร้อยละ อยู่ในระดับปานกลาง (mean =3.66, SD =0.72) 2.8 และหลังวางระบบ ร้อยละ 1.8 (ตารางที่ 4) จากผล รองลงมา คือ ความพร้อมของอุปกรณ์ต่าง ๆ และ การศึกษาอุบัติการณ์การแพ้ยาซ้าของกลุ่มตัวอย่างก่อน ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ อยู่ในระดับปานกลาง และหลังวางระบบป้องกันการแพ้ยาซ้าพบว่า แตกต่าง (mean =3.63, SD =0.73) และ (mean =3.63, SD กันอย่างไม่มีนัยส้าคัญทางสถิติ (p=0.223) กล่าวคือ =0.72) ตามลา้ ดบั (ตารางที่ 6) ก่อนและหลังวางระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้า เภสัช กรจ่ายยาให้ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยาซ้า ร้อยละ 0.2 และ ตารางท่ี 3 ประวตั กิ ารแพย้ าเดิมของกลุ่มตวั อยา่ ง ประวตั แิ พ้ยาเดิม จา้ นวน (ร้อยละ) 1.ผู้ป่วยในไม่มีประวตั ิแพย้ าและไมม่ ีประวตั ิในระบบ HosxP ก่อนวางระบบ (n=566) หลังวางระบบ (n=615) 2.ผู้ปว่ ยในมีประวตั ิแพ้ยาแต่ไม่มปี ระวัติในระบบ HosxP 3. ผูป้ ว่ ยในมีประวัติแพย้ าและมปี ระวัติในระบบ HosxP 16 (2.8) 11 (1.8) 16 (2.8) 36 (5.8) 534 (94.4) 568 (92.4) ตารางท่ี 4 ผู้ป่วยที่มีประวตั ิแพ้ยาจา้ แนกตามค้าสงั่ ใชย้ าโดยแพทย์ คา้ ส่งั ใช้ยาโดยแพทย์ จา้ นวน (ร้อยละ) 1.แพทย์ไมไ่ ด้สั่งจ่ายยาทผ่ี ้ปู ว่ ยมปี ระวัตแิ พ้ ก่อนวางระบบ (n=566) หลงั วางระบบ (n=615) 2.แพทย์ส่ังจา่ ยยาทผ่ี ้ปู ว่ ยมปี ระวตั แิ พ้ 3. แพทยส์ ่ังจา่ ยยาทผี่ ปู้ ่วยแพย้ ารายใหม่ 549 (97.0) 592 (96.2) 1 (0.2) 12 (2.0) 16 (2.8) 11(1.8) 81
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจา้ ปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ตารางท่ี 5 อุบัตกิ ารณ์การแพ้ยาซ้าของกลุ่มตัวอย่างระหว่างกอ่ นและหลงั วางระบบป้องกันการแพ้ยาซา้ ระบบปอ้ งกนั การแพ้ยาซา้ อุบัติการณ์ p-value* 0.479 ก่อนวางระบบ (n=566) จา่ ยยาแพซ้ า้ ไมจ่ า่ ยยาแพซ้ ้า หลงั วางระบบ(n=615) 1 (0.2) 565 (99.8) 0 (0) 615 (100) *p-value ของ Fisher Exact test ตารางที่ 6 คะแนนความพึงพอใจของบคุ ลากรทางการแพทยต์ อ่ ระบบการป้องกนั การแพย้ าซ้า ปจั จยั ย่อย คะแนน (Mean + SD) ระดบั ความพงึ พอใจ 1. การวางระบบการปอ้ งกนั การแพย้ าซา้ และการประเมินระบบ 3.93+0.63 มาก 1.1 การวางระบบรว่ มกันระหว่างสหสาขาวิชาชพี 3.97+0.62 มาก 1.2 ท่านมีความเขา้ ใจในการดา้ เนินงานตามระบบที่ 3.99+0.65 มาก 1.3 ทา่ นสามารถปฏิบัตติ ามระบบทว่ี างไว้ 3.31+0.96 ปานกลาง 1.4 ท่านคดิ วา่ ระบบน้ีเพ่มิ ภาระงานใหท้ ่าน 4.09+0.73 มาก 1.5 ท่านคิดวา่ ระบบนส้ี ามารถลดอุบตั ิการณ์การแพย้ าซา้ ได้ 2.การอ้านวยความสะดวกทีเ่ ออื้ ต่อการทา้ ตามระบบทวี่ างไว้ 3.63+0.73 ปานกลาง 2.1 ความพร้อมของอปุ กรณต์ ่างๆ 3.63+0.72 ปานกลาง 2.2 ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 3.66+0.72 ปานกลาง 2.3 เอกสารข้อมูลความรู้ เรอ่ื งการแพย้ า 3.83+0.66 3. ความพงึ พอใจของท่านต่อภาพรวมของระบบท่ีวางไว้ มาก การอภิปรายผล ผู้ป่วยที่เขา้ รับบริการสว่ นใหญท่ ัง้ ก่อนและหลังวางระบบ ระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้านอกจากจะมี ป้องกันการแพ้ยาซ้าเป็นกลุ่มท่ีมปี ระวัติแพ้ยาเดิม และมี ความส้าคัญกับผู้ป่วยท่ีได้รับยาอย่างถูกต้อง เหมาะสม ประวัตแิ ลว้ ในระบบ HosxP ถงึ ร้อยละ 94.4 และ 92.4 และปลอดภัยแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและ ตามล้าดับ ส่งผลให้มีข้ันตอนการคัดกรองประวัติ คุณภาพของการให้บริการของสหวิชาชีพที่เป็นไปตาม การแพ้ยาของเภสัชกรก่อนจ่ายยาจากระบบ HosxP มาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพอีกด้วย ไม่ต่างกันจึงมีจ้านวนผู้ป่วยท่ีถูกจ่ายยาแพ้ซ้า ก่อนและ การศึกษาครั้งนี้พบว่า หลังจากท่ีเร่ิมด้าเนินการ หลังวางระบบมีจ้านวนน้อยมาก เพียง 1 รายและ 0 ตามแนวทางพัฒนาระบบการป้องการแพ้ยาซ้า ราย คิดเป็น ร้อยละ 0.2 และ 0 ราย ตามล้าดับ ของผู้ป่วยในแผนกศัลยกรรมโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ ซึ่งจะสอดคล้องกับการศึกษาที่ศึกษาการพัฒนาระบบ พบว่า อุบัติการณ์การแพ้ยาซ้าของกลุ่มตัวอย่างก่อน แจ้งเตือนการแพ้ยาในคอมพิวเตอร์ร่วมกับแนวทางการ และหลังวางระบบป้องกันการแพ้ยาซ้าแตกต่างกัน จัดการฐานข้อมูลการแพ้ยาของโรงพยาบาลพบว่า อย่างไม่มีนัยส้าคัญทางสถิติ ท้ังนี้อาจเน่ืองมาจาก ภายหลังการพัฒนางานร่วมกันในส่วนของการลงบันทึก อุบัตกิ ารณ์การจ่ายยาที่ผู้ป่วยมปี ระวตั แิ พย้ าซ้า ก่อนวาง ข้อมูลลงในฐานข้อมูลการแพ้ยา การพัฒนาระบบแจ้ง ระบบน้อยมาก กล่าวคือ เภสัชกรจ่ายยาให้ผู้ป่วยท่ีมี เตือนการแพ้ยา และแนวทางการจัดการฐานข้อมูลการ ประวัติแพ้ยาซ้า จ้านวน 1 ราย คิดเป็น ร้อยละ 0.2 แพ้ยา ความคลาดเคล่ือนจากการสั่งจ่ายยาที่ผู้ป่วยมี จึงอาจส่งผลต่อการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง ประวัติว่าแพ้ลดลงร้อยละ 35 เม่ือเทียบกับในช่วงเดือน ก่อนและหลังวางระบบป้องกันการแพ้ยาซ้า จึงน้าข้อมูล เดียวกนั ของปีท่ผี ่านมา18 มาหาค่าอ้านาจของการทดสอบ (Power of test) มีค่า เท่ากบั 20 ซง่ึ อาจหมายถึงว่าระบบป้องกันการแพ้ยาซ้า ที่วางไว้ สามารถป้องกันการแพ้ยาซ้าได้ แต่เน่ืองมาจาก 82
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจ้าปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชนั้ ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ อย่างไรก็ตามการศึกษาครั้งน้ีพบว่า ผู้ป่วยใน ที่มีประวัติแพ้ยาให้มากขึ้น ซึ่งระบบการป้องการแพ้ยา แผนกศัลยกรรมท่ีมีประวัติแพ้ยา แต่ไม่มีประวัติใน ซ้าระบบใหม่น้ี เป็นการออกแบบระบบโดยทีมสหสาขา ระบบ HosxP ก่อนวางระบบ มีจ้านวน 16 คน หลังวาง วิชาชีพให้ครอบคลุมทุกข้ันตอนตั้งแต่ผู้ป่วยเร่ิมท้าบัตร ระบบมีจ้านวน 36 คน หรือ ร้อยละ2.8 และ 5.85 พยาบาล แพทย์ เภสัชกรซ่ึงเป็นการท้างานร่วมกันของ ตามล้าดับ แสดงให้เห็นถึงจ้านวนการคัดกรองผู้ป่วยที่มี ทีมสหวิชาชีพที่มีการวางแผน และท้าความเข้าใจถึง ประวัติแพ้ยาเดิมที่เพิ่มสูงข้ึน การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า ขั้นตอนและระบบของการให้บริการผู้ป่วยทุกรายที่ต้อง ผู้ปว่ ยมกี ารแจง้ ประวัติการแพ้ยารอ้ ยละ 72.40 เป็นการ มีการซักประวัติแพ้ยาทุกครั้งในขณะให้บริการ แจ้งด้วยวาจาร้อยละ 39.60 และด้วยการแสดงบัตรแพ้ นอกจากนี้ระบบท่ีวางใหม่ยังมีการเพ่ิมสัญลักษณ์ให้เป็น ยาร้อยละ 29.20 ทั้งน้ีอาจเนื่องมาจากหลายปัจจัยที่ จุดสังเกตต่อบุคลากรทางการแพทย์มากขึ้นโดยจัดท้า ส่งผลต่อการแจ้งประวตั แิ พย้ าของผู้ป่วยเช่น ความไวต่อ เป็นWrist band สีชมพูเข้มใส่ข้อมือผู้ป่วยที่ซักประวัติ การแพย้ า ทัศนคติตอ่ การแจง้ ประวตั ิ ความรู้เกี่ยวกับตัว ได้ว่าแพ้ยา และเปล่ียนสีแบบบันทึกการใช้ยา ยาท่ีแพ้และอุปสรรคของการแจ้งประวัติแพ้ยา 19 (Drug profile) จากสีชมพู (ผู้ป่วยที่ไม่มีประวัติแพ้ยา) ดังนั้นจากการศึกษาท่ีผ่านมาจะเห็นว่ายังมีผู้ป่วยอีก เป็นสีเขียวในผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยา และการป้องกัน ร้อยละ 27.6 ท่ีไม่แจ้งประวัติแพ้ยา ซึ่งถ้าบุคลากรที่ การจ่ายยาที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ยาโดยใช้โปรแกรม เก่ียวข้อง สามารถเพ่ิมจ้านวนการคัดกรองผู้ป่วยที่มี คอมพิวเตอร์ ระบบ HosxP ล๊อครายการยาท้ังกลุ่ม ประวัติแพ้ยาเดิมได้น้าไปสู่การเฝ้าระวังความปลอดภัย ในผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้แบบรุนแรง (Steven Johnson ในการใช้ยามากข้ึนเพ่ือเป็นการป้องกันเหตุการณ์ Syndrome, Toxic epidermal necrolysis) ท้าให้ผู้ ไม่พึงประสงค์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นซ้า เภสัชกรไม่สามารถจ่ายยาทั้งกลุ่มยาที่ผู้ป่วย มีประวัติ จากการใช้ยา ส่งผลให้อุบัติการณ์การแพ้ยาซ้าลดลงได้ แพ้ได้ จากผลส้ารวจความพึงพอใจของบุคลากรที่ การศึกษาคร้ังนี้พบว่า แพทย์มีค้าส่ังจ่ายยาท่ีผู้ป่วย เก่ียวข้องพบว่าความพึงพอใจโดยภาพรวมต่อระบบการ มีประวัติแพ้ยาก่อนวางระบบมีจ้านวน 1 คน หลังวาง ป้ อ ง กั น ก า ร แ พ้ ย า ซ้ า ที่ ว า ง ไ ว้ อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ม า ก ระบบมีจ้านวน 12 คน จะเห็นได้ว่า แพทย์มีค้าส่ังจ่าย เม่ือพิจารณารายข้อพบว่าโดยส่วนใหญ่กลุ่มตัวอย่างมี ยาที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ยาเพิ่มสูงข้ึนมากหลังวางระบบ ความพึงพอใจอยู่ในระดับมากคิดว่า ระบบนี้สามารถ ซ่ึงควรจะลดลง ท้ังนี้อาจเนื่องมาจากการซักประวัติแพ้ ลดอุบัติการณ์การแพ้ยาซ้าได้ และสามารถปฏิบัติตาม ยา ของพยาบาลเพิ่มมากขึ้น ดูได้จากตารางท่ี 2 ผู้ป่วย ระบบท่ีวางไวไ้ ด้ ถงึ แม้จะคดิ ว่าระบบน้ี เพ่ิมภาระงานให้ ในมีประวัติแพ้ยาแต่ไม่มีประวัติในระบบ HosxP แสดงให้เห็นถึงทัศนคติและเจตคติท่ีดีต่อระบบที่วางไว้ เพิ่มสูงข้ึน โดยก่อนและหลังวางระบบเป็น 16 คน และ ซึ่งจะส่งผลให้การด้าเนินงานตามระบบท่ีวางไว้มีความ 36 คน ตามล้าดับ แต่อาจเป็นการซักประวัติในข้ันตอน ต่อเน่ือง สอดคล้องกับการพัฒนาคุณภาพของ ของพยาบาลท่ีหอผู้ป่วย จึงยังไม่มี Wrist band สีชมพู โรงพยาบาลท่ีเนน้ การท้างานเป็นทีมร่วมกันให้บริการ มี ท่ีข้อมือผู้ป่วย หรือป้ายเตือนแพ้ยาท่ีหน้าแฟ้มประวัติ การศึกษา ท้าความเข้าใจ และร่วมกันพัฒนาระบบการ ผู้ป่วย เมื่อแพทย์มีค้าสัง่ ใช้ยา ถึงแม้ว่าแพทย์มีค้าส่ังจ่าย ท้างานอย่างต่อเน่ือง เพ่ือปรับปรุงระบบงานให้ ยาท่ีผู้ป่วยมีประวัติแพ้ยาเพิ่มสูงข้ึน แต่จากการศึกษา ตอบสนองปัญหาและความต้องการของผู้ป่วย ทั้งนี้ต้อง พบว่า ในข้นั ตอนการจ่ายยา เภสชั กรจ่ายยาให้กับผู้ป่วย อาศัยผู้น้าองค์กรที่ให้ความส้าคัญและให้การสนับสนุน ท่ีมีประวัติแพ้ยาก่อนวางระบบมีจ้านวน 1 คน หลังวาง อย่างเข้มแข้งและต่อเน่ือง20 อย่างไรก็ตามบุคลากร ระบบมีจ้านวน 0 คน ตามล้าดับ แสดงให้เห็นว่าหลัง ทางการแพทย์มีระดับความพึงพอใจในด้านการอ้านวย วางระบบมีการคัดกรองที่มีประสทิ ธภิ าพมากขึ้น แต่อาจ ความสะดวกทเ่ี ออ้ื ตอ่ การทา้ ตามระบบทีว่ างไว้ ต้องเพ่ิมจุดสังเกตส้าหรับแพทย์ก่อนส่ังจ่ายยาให้ผู้ป่วย 83
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ที่ ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจ้าปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ในประเด็นความพร้อมของอุปกรณ์ต่าง ๆ ระบบ การแพ้ยาซ้าลดลงได้ และในการศึกษาจะพบว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและเอกสารข้อมูลความรู้เร่ืองการ ในข้ันตอนการสั่งจ่ายยาโดยแพทย์ ยังมีการส่ังจ่ายยา แพ้ยา อยู่ในระดับปานกลางท้ังน้ีอาจจะเป็นเพราะว่า ที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ซ้าที่เพ่ิมสูงข้ึน จึงเป็นโอกาสพัฒนา การให้บริการทางการแพทย์ ในปัจจุบันในเร่ืองของ ของทีมคณะกรรมการระบบยา ที่จะเพ่ิมจุดสังเกตของ เคร่ืองมือ อุปกรณ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ตลอดจน แพทย์ก่อนสั่งจ่ายยา เช่น มีตราปั๊มข้อความเตือนแพ้ยา ข้อมูลข่าวสารที่เป็นปัจจุบัน มีความส้าคัญท้ังต่อผู้ ด้วยตัวอักษรสีแดงท่ีใบค้าสั่งแพทย์ทุกใบ หรือเปล่ียนสี ให้บริการและผู้รับบริการเป็นอย่างมาก หากระบบการ ใบค้าสั่งแพทย์เปน็ สีที่แตกต่างจากเดิม ส้าหรับผู้ป่วยท่ีมี ให้บริการมีข้อจ้ากัด เช่นความรู้ทักษะของบุคลากร ประวัติแพ้ยา และเม่ือศึกษาถึงความพึงพอใจต่อระบบ ข้อจ้ากัดของอุปกรณ์และระบบคอมพิวเตอร์ที่ยังไม่เอื้อ การป้องการแพ้ยาซ้าของผู้ป่วยของทีมสหวิชาชีพนั้น ต่อการเฝ้าระวังการแพ้ยาซ้า อาจท้าให้การลงบันทึก โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยในด้านการอ้านวยความ ข้อมูลการแพ้ยาของบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ถูกต้อง สะดวกที่เอื้อต่อการท้าตามระบบท่ีวางไว้อยู่ในระดับ และไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้ไม่สามารถส่ง ปานกลาง ดังน้ันหน่วยงานควรเพิ่มการสนับสนุนความ ต่อข้อมูลการแพ้ยาท่ีมีคุณภาพระหว่างบุคลากรทาง พร้อมของส่ิงอ้านวยความสะดวกในการท้างาน ท้ังใน การแพทย์ได้18 ดังนั้นหน่วยงานควรเพ่ิมการสนับสนุน ด้านอุปกรณ์ ใหเ้ พียงพอ หรือพฒั นาเทคโนโลยีในการสั่ง ความพร้อมของส่ิงอ้านวยความสะดวกในการท้างานให้ จ่ายยาโดยแพทย์ เช่น ให้แพทย์สามารถส่ังจ่ายยาผ่าน มากขึ้น รวมถึงการเพ่ิมความรู้ ทักษะท่ีเก่ียวข้องเพื่อ ระบบ Hosxp ขณะตรวจผู้ป่วยได้เลย ซ่ึงระบบจะล๊อค เสรมิ สร้างสมรรถนะให้บุคลากรสามารถให้บริการผู้ป่วย การสั่งจ่ายยาที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ยาแล้ว ตั้งแต่ข้ันตอน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากข้ึน สอดคล้องกับผล แรกของการส่ังจ่ายยา เพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ การศึกษาท่ีท้าการศึกษาการพัฒนาระบบการส่ังใช้ยา การป้องการแพ้ยาซ้าของผู้ป่วย น้ามาสู่การพัฒนา ปฏิชีวนะเพื่อการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ได้สรุปว่าการ คุณภาพของการให้บริการ ลดโอกาสการเกิดอุบัติการณ์ วิเคราะห์ปัญหาและร่วมกันพัฒนาระบบการสั่งใช้ยา อันไมพ่ ึงประสงคจ์ ากยา ปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในระหว่างกลุ่มสหสาขาวิชาชีพ โดยควรมีปัจจัยสนับสนุนท้ังด้านปัจจัยน้า ปัจจัยเสริม การศึกษาครั้งน้ีมีข้อดี คือ เป็นการศึกษาเก็บ และปัจจัยเอื้อท่ีเหมาะสมกับบริบทของโรงพยาบาล ข้อมูลแบบตามรอยระบบท้ังขั้นตอนการซักประวัติ สง่ ผลให้เกดิ การใช้ยาปฏชิ ีวนะสมเหตผุ ลมากขึน้ 21 แพ้ยา สั่งจ่ายยา และจ่ายยา ท้าให้สามารถน้าข้อมูลมา ขอ้ ยตุ แิ ละการน้าไปใช้ วิเคราะห์ได้วา่ ในข้ันตอนไหนท่ยี ังเปน็ ปัญหาท่ีต้องแก้ไข แตข่ อ้ จ้ากัดของการศึกษาครั้งน้ี คือ การวิเคราะห์ข้อมูล ระบบการป้องการแพ้ยาซ้าของผู้ป่วยในแผนก ย้อนหลังจากฐานขอ้ มูลเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ข้อมูล ศัลยกรรมโรงพยาบาลเพชรบูรณ์พบว่ามีอุบัติการณ์การ ที่ได้ว่า เปน็ การซกั ประวตั แิ พ้ยาเดมิ ของผู้ป่วยที่เพิ่มมาก แพ้ยาซ้าของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังวางระบบ ขึ้นของพยาบาลต้ังแต่แรกรับผู้ป่วย หรือพยาบาลท่ี ป้องกันการแพ้ยาซ้าร้อยละ 0.2 และ 0 ตามล้าดับ หอผู้ป่วย ส่งผลให้ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ข้อมูลท่ีได้ ซึ่งแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยส้าคัญทางสถิติแต่จาก ว่าแพทย์มีการส่ังจ่ายยาที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ซ้าสูงข้ึน การศึกษาจะพบว่า หลังวางระบบการป้องกันการแพ้ยา หลังวางระบบ เกิดจากท้าตามระบบแล้วแพทย์ ซ้าสามารถเพ่มิ ทง้ั จา้ นวนและประสิทธิภาพการคัดกรอง สังเกตเห็นไม่ชัดเจน หรือไม่มีจุดสังเกตให้แพทย์ ซึ่งถือ ผู้ป่วยท่ีมีประวัติแพ้ยาเดิมท่ีเพ่ิมสูงขึ้น ซ่ึงน้าไปสู่การ เป็นโอกาสในการศึกษาคร้ังต่อไป เพ่ือเป็นข้อมูลส้าหรับ เฝ้าระวังความปลอดภัยในการใช้ยามากข้ึนเพ่ือเป็น พัฒนาระบบการป้องกันการแพ้ยาซ้าให้มีประสิทธิภาพ การป้องกันเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หรือความเสียหาย มากข้ึนและต่อเนื่องเพ่ือความปลอดภัยจากการใช้ยา ที่อาจจะเกิดข้ึนซ้าจากการใช้ยา ส่งผลให้อุบัติการณ์ ของผปู้ ว่ ยเปน็ สา้ คัญ 84
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครง้ั ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจ้าปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ เอกสารอา้ งอิง 8. Department of medical informatics. Sum- 1. Kanjanaporn Wiboonsirikul. Development of mary Statistics 2019-2020 in SurgeryDepart- Repeated Drug Allergy Prevention System in ment, Phetchabun Hospital. 2020. Health Promotion Hospital Network of Bang 9. Wongthonglua T. Adverse drug rections in Pahan District, Phra Nakhon Si Ayutthaya Prov- hospitalized pediatric patients of Phetchabun ince byEvaluating the Accuracy of Patient Drug hospital. The Journal of Prapokklao Hospital Allergic History. Journal of Preventive Medicine Clinical Medical Education Center. 2010;27 Association of Thailand 2015;5(3):245-61. (1):33-40. 2. Nataporn Chaipichit, Narumol Jarernsiriporn- 10. Oraya Panya, Surasak Chaiyasong. Guidance kul, Pansu Chumworathayi. Knowledge, for Preventing Repeated Drug Allergy in Sub- Understanding of Drug Allergy and Drug Allergy district Health Promoting Hospitals, Kamalasai Card Carrying Behavior of Drug Allergic Patients District, Kalasin Province. Journal of Science in Srinagarind hospital Srinagarine Medical and Technology Mahasarakham University. Journal. 2009;24(3):224-30. 2016;35(5):548-58. 3. Routledge PA, O'Mahony MS, Woodhouse 11. Kitiphon Khrueawang. Medication Error KW. Adverse drug reactions in elderly patients. Public Health and Health Laws Journal. British journal of clinical pharmacology. 2018;14(2):251-6. 2004;57(2):121-6. 12. Runglak Kid Kuakarun, Sirilak Towaranon, 4. Demoly P, Pichler W, Pirmohamed M, Roma- Abhisit Thianchairoj, Sutisa Somboon. The re- no A. Important questions in Allergy: 1--drug sults of the development of the surveillance allergy/hypersensitivity. Allergy. 2008;63(5):616- system Beware of repeated drug allergies Phut- 9. tachinarat Hospital, Phitsanulok. Buddhachina- 5. World Health Organization (WHO). Essential raj Medical Journal. 2008;25(3):852-61. medicines and health products: World Health 13. Rungnapa Songsiriphan. Factors Related to Organization; 2018 [cited 2021 january 10]. a Severity Level of Adverse Drug Reactions Available from:https://apps.who.int/iris/ (ADRs) The Southern College Network Journal handle/10665/272972. of Nursing and Public Health. 2018;5(2):46-56. 6. Passakorn Rattanadechsakul, Junjaruak Rat- 14. Hakkarainen KM, Hedna K, Petzold M, Hägg tanadechsakul. Reduce the risks of drug use S. Percentage of patients with preventable ad- with translated information. 2017 [cited 2020 verse drug reactions and preventability of ad- June 5]. Available from: https:// verse drug reactions--a meta-analysis. PLoS ccpe.pharmacycouncil.org/index.php. One. 2012;7(3):1-9. 7. Pornkanok Jankhom. Adverse Drug Reaction 15. Best J. W. Research in Education. 3 ed. New Report 2019: Thai health product vigilance da- Jersey: Prentice hall Inc. ; 1987. tabase. Medical and Health Product Bulletin 2020;23(3):8-12. 85
“Research to Innovation: จากงานวจิ ยั มงุ่ สนู่ วตั กรรม” การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ท่ี ๑๓ (HoRNetS 2021) ประจ้าปี ๒๕๖๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ มถิ นุ ายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชมุ 9A ชน้ั ๙ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ 16. Saipin Saidum, Pirasak Sriruecha. Organiza- 19.Chutima Rakangtong, Sanguan Lerkiatbundit. tional Climate Affecting the Pharmacists' Factors Affecting Patients’ Notification of Drug Organizational Commitment at the Regional Allergy History. Thai Journal of Pharmacy Prac- Hospitals in the Northeast. Thai Journal of tice. 2010;2(1):46-59. Pharmacy Practice. 2009;1(1):71-83. 20.The Healthcare Accreditation Institute 17.Teeraphun Kaewdok, Nantika Soonthorn- (Public Organization). Hospital and Health care chaikul, Mayuree Nirattharadorn. Factors influ- Standard. 4 ed. Nonthaburi: D-One book com- encing infectious disease prevention behav- pany limited; 2018. iours among health care professional in Wich- 21.Atchara Chaitham, Hathaikan Chow- ianburi hospital. Journal of safety and health. wanapoonpohn. Development of the System 2011;4(13):28-36. for Rational Antibiotic Prescribing: Case Studies 18.Chanitnun Suthapradit, Itsarawan Sakunrag. of Respiratory Infections and Simple Traumatic Development of Computerized Drug Allergy Wound in a Community Hospital in Upper Alert System Combined with Management of Northern. Thai Journal of Pharmacy Practice. Drug Allergy Database at a Hospital in Samut- 2021;13(1):74-87. sakhon. Thai Journal of Pharmacy Practice. 2019;11(2):431-44. 86
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119