ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ อตั ราการเสยี ชวี ติ ในระยะเวลา 30 วนั ในผูป้ ่ วยทไี่ ดร้ บั การวนิ จิ ฉยั เป็ นโรคตดิ เชอื้ เอนเทอโรแบคทเี รยี ซอี ดี ้อื ยาในกลุ่มคารบ์ าเพเนม หลงั จากได้ยาปฏชิ ีวนะทเ่ี หมาะสม ของ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ สปิ ปากร ปินชยั พบ., ภฤศภคั พยงุ พบ. ภาควชิ าอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ปัจจุบันไดม้ กี ารดอื้ ยาจุลชพี หลายขนานในกลมุ่ เชอื้ เอนเทอโรแบคทเี รียซอี รี วมทัง้ คารบ์ าเพ- เนม ทาใหไ้ ม่สามารถรักษาดว้ ยยากลมุ่ นไ้ี ดจ้ งึ มอี ตั ราการเสยี ชวี ติ สูงมากขนึ้ สาหรับสถานการณโ์ รคตดิ เชอ้ื เอนเทอโรแบคทีเรียซอี ีดอื้ ยาในกลุ่มคารบ์ าเพเนมในโรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะหม์ ีแนวโนม้ ที่ เพมิ่ ขน้ึ ดงั นัน้ การศกึ ษาถงึ ปัจจัยเสยี่ งทีม่ ผี ลต่ออัตราการเสยี ชวี ติ ในระยะเวลา 30 วนั ในผูป้ ่ วยทไ่ี ดร้ ับการ วนิ จิ ฉัยเป็ นโรคตดิ เชอื้ เอนเทอโรแบคทเี รยี ซอี ดี อื้ ยาในกลมุ่ คารบ์ าเพเนมหลงั จากไดย้ าปฏชิ วี นะทเี่ หมาะสม เพื่อนาขอ้ มูลท่ีไดม้ าวเิ คราะหว์ างแผนพัฒนาปรับปรุงเพ่ือลดอุบัตกิ ารการเกดิ โรค และการรักษาใหม้ ี ประสทิ ธภิ าพมากขน้ึ วตั ถปุ ระสงค:์ เพอ่ื ศกึ ษาอบุ ตั กิ ารณก์ ารเกดิ โรคตดิ เชอ้ื เอนเทอโรแบคทีเรียซอี ดี อ้ื ยาในกลุม่ คารบ์ าเพเนม และหาปัจจัยทม่ี ผี ลตอ่ อตั ราการเสยี ชวี ติ ของผูป้ ่ วยทไ่ี ดร้ ับการวนิ จิ ฉัยเป็ นโรคตดิ เชอื้ เอนเทอโรแบคทีเรยี ซอี ี ดอื้ ยาในกลมุ่ คารบ์ าเพเนม หลงั จากไดย้ าปฏชิ วี นะทีเ่ หมาะสมระยะเวลา 30 วัน ของโรงพยาบาลเชยี งราย ประชานุเคราะห์ รปู แบบศกึ ษา สถานท่ี และผูป้ ่ วย: การศกึ ษาวจิ ัยเชงิ พรรณนาแบบยอ้ นหลัง เก็บรวบรวมขอ้ มูลผูป้ ่ วยท่ี ไดร้ บั การวนิ จิ ฉัยเป็ นโรคตดิ เชอ้ื เอนเทอโรแบคทเี รยี ซอี ดี อ้ื ยาในกลมุ่ คารบ์ าเพเนม หลงั จากไดย้ าปฏชิ วี นะที่ เหมาะสมระยะเวลา 30 วัน ของโรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ ตัง้ แตว่ นั ท่ี 1 ตลุ าคม 2558 ถงึ 30 กนั ยายน 2562 การวดั ผล และวธิ กี าร: เก็บขอ้ มูลจากเวชระเบยี นผูป้ ่ วยโรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ จากการ รวบรวมขอ้ มูลจากกลุ่มงานเฝ้ าระวังและควบคุมการตดิ เชอื้ ทาการวเิ คราะหต์ ัวแปรเดยี ว (univariate analysis) โดยใชส้ ถติ ิ simple logistic regression นาเสนอดว้ ย P-value และหาขนาดความสมั พนั ธข์ องแต่ ละปัจจัย นาเสนอดว้ ยค่า Hazard ratio (HR) อย่างหยาบค่กู บั ชว่ งความเชอ่ื มั่น 95% และนาปัจจัยที่มีค่า P-value < 0.05 มาวเิ คราะหเ์ พ่อื หาความสัมพันธห์ ลายตวั แปรดว้ ยสถติ ิ multiple logistic regression นาเสนอดว้ ย Hazard ratio (HR) คกู่ บั ชว่ งความเชอื่ ม่นั 95% ผล: มกี ารตรวจพบเชอ้ื เอนเทอโรแบคทเี รยี ซอี ดี อ้ื ยาในกลมุ่ คารบ์ าเพเนมจานวนตงั้ แต่ 1 ตุลาคม 2558- 30 กันยายน 2562 จานวน 66 คน เพศชาย 35 คน (รอ้ ยละ 53.03), อายุเฉลย่ี 61.39 ปี (3-97 ปี , SD 21.36 ปี )แบง่ เป็ นกลมุ่ เสยี ชวี ติ ในเวลา 30 วนั หลงั จากไดย้ าปฏชิ วี นะทเี่ หมาะสม 39 คน (รอ้ ยละ 59.09) โดยปัจจัย ทสี่ มั พนั ธก์ บั การเสยี ชวี ติ ในเวลา 30 วนั อย่างมีนัยสาคญั คอื คะแนน SOFA≥ 6 รอ้ ยละ 56.41 (P=0.011) และโรคหลอดลมอดุ กนั้ เรื้อรังรอ้ ยละ 25.64 (P=0.021) ส่วนส่วนปัจจัยทมี่ แี นวโนม้ ท่ีจะมผี ลต่ออัตราการ เสยี ชวี ติ ได ้ แต่ยังไม่มีความแตกตา่ งทางนัยสาคัญเช่น โรคไตวายเรอ้ื รัง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ผูป้ ่ วย แผนกผปู ้ ่ วยหนัก เป็ นตน้ ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ ปัจจยั ทมี่ ผี ลตอ่ อตั ราการเสยี ชวี ติ ของผูป้ ่ วยทไ่ี ดร้ ับการวนิ จิ ฉัยเป็ นโรคตดิ เชอ้ื เอน เทอโรแบคทีเรียซอี ีดอ้ื ยาในกลมุ่ คารบ์ าเพเนม หลังจากไดย้ าปฏชิ วี นะที่เหมาะสมระยะเวลา 30 วัน คอื คะแนน SOFA≥ 6 และโรคหลอดลมอดุ กนั้ เรือ้ รัง จงึ ควรเฝ้ าระวงั เพอื่ ไม่ใหเ้ กดิ การรักษาท่ลี ่าชา้ ในผูป้ ่ วย และจดั ทาแนวทางการรักษาทชี่ ดั เจน ขอ้ เสนอแนะสาหรับการศกึ ษาควรเพม่ิ ระยะเวลาในการจัดเก็บขอ้ มูล หรือมีการจัดเก็บขอ้ มูลต่ต่อไปขา้ งหนา้ (Prospective study) เพ่ือเป็ นการเพมิ่ จานวนกลมุ่ ตวั อย่างให ้ เพยี งพอกบั อานาจการทดสอบ ซงึ่ อาจสง่ ผลใหข้ อ้ มูลจัดเก็บบางขอ้ มูลทมี่ แี นวโนม้ วา่ จะเป็ นปัจจัยท่ีมผี ลตอ่ อตั ราการเสยี ชวี ติ ได ้ แตย่ งั ไม่มคี วามแตกต่างทางนัยสาคัญเช่น โรคไตวายเรอื้ รัง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ผปู ้ ่ วยแผนกผปู ้ ่ วยหนัก เป็ นตน้ คาสาคญั : โรคตดิ เชอ้ื เอนเทอโรแบคทเี รยี ซอี ดี อ้ื ยาในกลมุ่ คารบ์ าเพเนม, ปัจจยั ทมี่ ผี ลตอ่ อตั ราการเสยี ชวี ติ , ยาปฏชิ วี นะ การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพและพฤตกิ รรมสุขภาพ 3อ.2ส. ของกลุ่มวยั ทางาน สาหรบั หมูบ่ า้ นจดั การ สขุ ภาพ: กรณศี กึ ษาชมุ ชนทา่ คราวนอ้ ย อาเภอเมอื งลาปาง จงั หวดั ลาปาง ยวุ รี จนั ทมิ า, สลุ าลยั ชมภูปิน, คทั ลยี า อนิ ทะยศ กลมุ่ ภารกจิ ดา้ นการพยาบาล โรงพยาบาลลาปาง บทคดั ยอ่ ความสาคญั : สถานการณโ์ รคไม่ตดิ ต่อเรื้อรังท่ีมีแนวโนม้ สงู ขน้ึ เรือ่ ยๆในการแกไ้ ขปัญหาสุขภาพใหล้ ดลง นัน้ จาเป็ นอย่างยงิ่ ในการปรับเปลยี่ นพฤตกิ กรมสุขภาพ ใหป้ ระชาชนมีพฤตกิ รรมสุขภาพที่ถูกตอ้ ง โดยการ สง่ เสรมิ และพัฒนาปัจจัยท่เี กย่ี วขอ้ ง ไดแ้ ก่ ปัจจัยภายในตัวบุคคล (ปัจจัยนา) เชน่ ความรู ้ การรับรู ้ ความ เขา้ ใจ และปัจจัยแวดลอ้ ม (ปั จจัยเออ้ื ปัจจัยเสรมิ ) อย่างเหมาะสม ในการพัฒนา ปัจจัยภายในจะตอ้ ง ปลกู ฝังใหป้ ระชาชนเกดิ ความรอบรดู ้ า้ นสขุ ภาพ (Health Literacy) เพราะการพัฒนาความรอบรูด้ า้ นสุขภาพ เป็ นการสรา้ งและพฒั นาขดี ความสามารถในระดบั บุคคล และเป็ นการรักษาสขุ ภาพอยา่ งย่งั ยนื วตั ถปุ ระสงค:์ เพื่อศกึ ษาความรอบรูด้ า้ นสขุ ภาพและพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3อ.2ส. ของประชาชนกลุม่ วัย ทางาน และศกึ ษาหาความสมั พันธข์ องความรอบรดู ้ า้ นสขุ ภาพกบั พฤตกิ รรมสุขภาพของประชาชนวัยทางาน รปู แบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: การวจิ ัยเชงิ สารวจ เก็บขอ้ มูลระหวา่ งเดอื นพฤษภาคมถงึ มถิ ุนายน 2564 กลมุ่ ตวั อย่างใชก้ ารสมุ่ อยา่ งง่าย ตามสดั สว่ นจากกลุ่มวยั ทางานอายุ 15-59 ปี ในชุมชนท่าคราวนอ้ ย อาเภอเมอื ง จงั หวดั ลาปาง จานวน 62 คน การวดั ผล และวธิ กี าร: เครอื่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเป็ นแบบประเมนิ ความรอบรดู ้ า้ นสขุ ภาพ และ พฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3อ.2ส. กล่มุ วยั ทางานอายุ 15-59 ปี ของกองสุขศกึ ษา กรมสนับสนุนบรกิ ารสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ฉบับปี 2564 มคี า่ ความตรงเชงิ เน้ือหา CVI = 0.89 วเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยใชร้ อ้ ยละ คา่ เฉลย่ี สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และสถติ ทิ ดสอบสหสมั พันธเ์ พยี รส์ นั ไคสแควร์ ผล: กลมุ่ ตวั อยา่ งมีความรอบรูด้ า้ นสขุ ภาพโดยรวมอยู่ในระดบั ดมี าก โดยมีค่าเฉลย่ี 40.23 และพฤตกิ รรม สขุ ภาพ 3อ.2ส. อยใู่ นระดบั ดี โดยมคี า่ เฉลยี่ 66.69 สว่ นความรอบรูด้ า้ นสขุ ภาพโดยภาพรวมมคี วามสัมพันธ์ กบั พฤตกิ รรมสขุ ภาพตามหลกั 3อ.2ส. อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั p< 0.001 ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ ผลการศกึ ษานจ้ี ะใชเ้ ป็ นขอ้ มูลพน้ื ฐานเพอ่ื เสรมิ สรา้ งความรอบรูด้ า้ นสุขภาพและ พฤตกิ รรมสขุ ภาพประชาชนในชมุ ชนทา่ คราวนอ้ ย คนื ขอ้ มูลใหก้ บั ชมุ ชน ทากจิ กรรมกลุ่มต่อยอดเป็ นชมุ ชน ตน้ แบบ “รอบรู ้ สรู่ อบรัว้ ”ตอ่ ไป คาสาคญั : ความรอบรดู ้ า้ นสขุ ภาพ, พฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3อ.2ส., หมู่บา้ นจดั การสขุ ภาพ การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ผลของคลนิ กิ ตดิ ตามอาการผปู้ ่ วยหลงั ทาหตั ถการถา่ งขยายหลอดเลอื ดหวั ใจและสอ่ื สุขภาพ อเิ ลคทรอนคิ สต์ อ่ ความสามารถในการดแู ลตนเองและการป้ องกนั การกลบั เป็ นซา้ ของ โรคหลอดเลอื ดหวั ใจ พรทวิ า ทักษิณ, ดวงสดุ า แสนวงค,์ ปิ ยวรา กาจารี, รสสคุ นธ์ ธรรมนติ ยย์ างกูร กล่มุ งานการพยาบาล ผปู ้ ่ วยนอกโรงพยาบาลลาปาง บทคดั ยอ่ ความสาคญั :โรคหลอดเลอื ดหัวใจเป็ นสาเหตกุ ารเสยี ชวี ติ อันดับตน้ ๆ ของประชากรท่ัวโลก (World Health Organization, 2019) ผูป้ ่ วยจานวนมากจะกลับไปใชช้ วี ติ ปกตไิ ดห้ ลงั ทาหัตถการถ่างขยาย หลอดเลอื ดหัวใจ ความสามารถในการดแู ลตนเองทถ่ี ูกตอ้ งสามารถลดความเสย่ี งและป้ องกันการกลบั เป็ นซา้ ของโรคหลอดเลอื ดหวั ใจ วตั ถปุ ระสงค:์ เพอ่ื ศกึ ษาผลของคลนิ กิ ตดิ ตามอาการผปู ้ ่ วยหลังทาหัตถการถ่างขยายหลอดเลอื ดหัวใจ และสอ่ื สขุ ภาพอเิ ลคทรอนคิ ส์ ตอ่ คะแนนความสามารถในการดแู ลตนเอง และการป้ องกนั การกลบั เป็ นซ้า ของโรคหลอดเลอื ดหัวใจ รูปแบบศกึ ษา สถานท่ี และผูป้ ่ วย: การวจิ ัยกง่ึ ทดลองชนิด Therapeutic research แบบ two groups pre-post-test design กลมุ่ ตวั อย่างคอื ผปู ้ ่ วยหลงั ทา PCI ครงั้ แรก มา follow up ทคี่ ลนิ กิ โรคหลอดเลอื ด หวั ใจโรงพยาบาลลาปาง จานวน 160 ราย แบ่งเป็ นกลุม่ ควบคุมและกลุ่มทดลองกลมุ่ ละ 80 ราย กลุ่ม ทดลองไดร้ ับการตดิ ตามอาการและการใหค้ วามรูผ้ ่านโปรแกรมสอ่ื สุขภาพอเิ ลคโทรนิคส์ ผ่าน line applicationและการตดิ ตามอาการทางโทรศพั ทอ์ าทติ ยล์ ะ 1 ครัง้ ส่วนกลุ่มควบคมุ ไดร้ ับการพยาบาล ตามปกติ วดั ผลหลงั ใหค้ วามรู ้ 2 อาทติ ย์ และ 3 เดอื น การวดั ผล และวธิ กี าร: เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ัย ไดแ้ ก่ 1) โปรแกรมสอื่ สขุ ภาพอเิ ลคโทรนิคส์ เรอื่ ง การดแู ลตนเองและการป้ องกนั การกลบั เป็ นซ้าของโรคหลอดเลอื ดหวั ใจ 2) แบบวดั ความสามารถในการ ดแู ลตนเอง 3) แบบบันทกึ คะแนนความเสย่ี งและการป้ องกันการกลบั เป็ นซ้าของหลอดเลอื ดหัวใจ (A Guideline From the American Heart Association and American College of Cardiology Foundation, 2011) ที่มคี า่ ความตรงเชงิ เน้ือหา CVI= 0.86, 0.84 และ 0.86 ตามลาดับ วเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บความตา่ งของคะแนนความสามารถในการดแู ลตนเองและการป้ องกันการกลบั เป็ นของโรค หลอดเลอื ดหัวใจ ภายในกลมุ่ ดว้ ยสถติ ิ Paired t-test และระหวา่ งกลมุ่ ควบคมุ และกลุ่มทดลองดว้ ยสถติ ิ Independent t-test ผล: จากการศกึ ษาพบวา่ กลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ มคี ะแนนความสามารถในการดูแลตนเอง คะแนน ความเสย่ี งและการป้ องกนั การกลบั เป็ นซ้าของหลอดเลอื ดหัวใจ หลังการทดลองแตกตา่ งกนั อย่างมี นัยสาคญั ทางสถติ ิ (p value < 0.005) ผลการวจิ ัยครัง้ นี้แสดงใหเ้ ห็นถงึ การสง่ เสรมิ ความสามารถในการ ดแู ลตนเองโดยใชโ้ ปรแกรมสอ่ื สขุ ภาพอเิ ลคทรอนคิ สท์ าใหผ้ ปู ้ ่ วยทเี่ ป็ นโรคหลอดเลอื ดหัวใจหลงั ทา PCI มคี วามสามารถในการดแู ลตนเองเพอ่ื ลดความเสย่ี งและป้ องกนั การกลบั เป็ นซา้ ของหลอดเลอื ดหัวใจ ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ ควรนาโปรแกรมนีไ้ ปเป็ นส่วนหนง่ึ ของกจิ กรรมการดแู ล เพมิ่ เตมิ ดว้ ยการทา วดิ ทิ ศั นใ์ หค้ วามรผู ้ ปู ้ ่ วยดรู ะหวา่ งรอตรวจ และควรศกึ ษาถงึ คุณภาพชวี ติ ของผูป้ ่ วยโรคหลอดเลอื ดหัวใจ หลงั ทา PCI ในระยะยาวตอ่ ไป คาสาคญั : คลนิ กิ ตดิ ตามอาการผปู ้ ่ วย, หัตถการถา่ งขยายหลอดเลอื ดหัวใจ, สอื่ สขุ ภาพอเิ ลคทรอนคิ ส,์ ความสามารถในการดแู ลตนเอง, การป้ องกนั การกลบั เป็ นซา้ การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
การพฒั นาสมรรถนะพยาบาลโรงพยาบาลชมุ ชนระดบั ตน้ สามารถดแู ลผปู้ ่ วยวกิ ฤตทใี่ ช้ เครอื่ งชว่ ยหายใจภายในจงั หวดั ลาปาง สกุ ญั ญา เลาหธนาคม หอผปู ้ ่ วยอายรุ กรรมชาย 3 โรงพยาบาลลาปาง บทคดั ยอ่ ความสาคญั : กระทรวงสาธารณสขุ มนี โยบายพฒั นาระบบบรกิ ารใหเ้ ชอื่ มโยงเครอื ขา่ ยบรกิ ารระดบั ปฐม ภูมิ ทุตยิ ภูมิ และตตยิ ภูมิเขา้ ดว้ ยกนั จังหวัดลาปาง ไดต้ อบรับนโยบายพัฒนา Lampang Model เชอ่ื มโยงระบบสาธารณสขุ ภายในจังหวดั (One Province, One hospital) มจี ุดเนน้ ใชท้ รัพยากรร่วมกนั ภายในจังหวดั แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลลาปางพบปัญหาผูป้ ่ วยแออดั เกนิ เตยี งบรกิ าร มีผูป้ ่ วยคา ทอ่ ชว่ ยหายใจเฉลยี่ วนั ละ 30-40 รายตอ่ วัน ซงึ่ ผูป้ ่ วยมากกวา่ 1 ใน 3 เป็ นผูป้ ่ วยระยะสุดทา้ ยเป็ นทมี่ า ของการพัฒนาสมรรถนะของพยาบาล โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) ระดับตน้ 9 โรงพยาบาล ใหส้ ามารถ ดูแลผูป้ ่ วยวิกฤตท่ีใชเ้ ครื่องช่วยหายใจ ในระยะแรกดูแลกลุ่มผูป้ ่ วยระยะสุดทา้ ยใหร้ ับบริการใน โรงพยาบาลชมุ ชน “ใกลบ้ า้ นใกลใ้ จ” วตั ถปุ ระสงค:์ เพอื่ วเิ คราะหส์ ถานการณก์ ารดแู ลผูป้ ่ วยทใี่ ชเ้ ครอ่ื งช่วยหายใจภายในโรงพยาบาลชมุ ชน ระดับตน้ พัฒนาสมรรถนะพยาบาล (รพช.) และวางระบบในจังหวัด และศกึ ษาผลภายหลังพัฒนา สมรรถนะพยาบาล (รพช.) ตามกรอบแนวคดิ CIPP Model รปู แบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: การวจิ ัยและพัฒนา (Research and development) ขนั้ ตอน การศกึ ษาประกอบดว้ ย ขนั้ ตอนท่ี 1 วเิ คราะหส์ ถานการณ์ (Context Evaluation: C) ขนั้ ตอนท่ี 2 พัฒนา ระบบ (Input Evaluation: I) ขนั้ ตอนท่ี 3 ใชร้ ะบบ (Process Evaluation: P) ขนั้ ตอนท่ี 4 การ ประเมนิ ผล (Product Evaluation: P) ดังนี้ Process outcome, Primary outcome, Secondary outcome กลุ่มตัวอย่าง จานวน 95 ราย คอื พยาบาล 68 ราย หัวหนา้ พยาบาล (รพช.) 9 ราย ผูป้ ่ วย 9 ราย และญาตผิ ปู ้ ่ วย 9 ราย ประกอบดว้ ย กลมุ่ กอ่ นการศกึ ษา เดอื นกุมภาพันธ-์ มนี าคม 2564 จานวน 68 ราย และกลมุ่ ทม่ี กี ารศกึ ษา เดอื นมนี าคม-เมษายน 2564 จานวน 95 ราย การวดั ผล และวธิ กี าร: เคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษา คอื โครงการพัฒนาศกั ยภาพพยาบาลวชิ าชพี ใน โรงพยาบาลชมุ ชน ระดบั ตน้ เครอื่ งมอื รวบรวมขอ้ มูล 1) ขอ้ สอบการใชง้ านเครอื่ งชว่ ยหายใจ 2) ขอ้ สอบ การหย่าเคร่ืองช่วยหายใจ 3) แบบประเมินสมรรถนะดา้ นการปฏิบัตกิ ารใชเ้ คร่ืองช่วยหายใจ 4) แบบสอบถามหวั หนา้ พยาบาล และพยาบาลปฏบิ ัตกิ าร (รพช.) (Google from) 5) แบบสอบถามความ พงึ พอใจญาติ (Telephone visits) การตรวจสอบคณุ ภาพของเครอื่ งมอื โดยผทู ้ รงคณุ วฒุ ิ 3 ท่าน (CVI= 0.97,0.96,0.94,0.92 และ 0.95ตามลาดบั ) การตรวจหาความเชอื่ มั่นของแบบสอบถาม คา่ สัมประสทิ ธ์ิ แอลฟาของครอนบาค= 0.70 วเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยใชส้ ถติ เิ ชงิ พรรณนา รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานและ paired t-test ผล: จากการศกึ ษา 1) การประเมนิ ความรูพ้ ยาบาลหลังการอบรมพบว่า คะแนนการใชง้ านเครอ่ื งช่วย หายใจเพมิ่ ขน้ึ เฉลย่ี 10.58 (±1.28) คะแนน คะแนนการหย่าเครือ่ งช่วยหายใจเพม่ิ ขนึ้ เฉลยี่ 10.58 (±1.28) คะแนน แตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ p-value< 0.001 และผลการประเมนิ ปฏบิ ัติ รายบุคคลผา่ นรอ้ ยละ100 พบจานวนครงั้ ของการเกดิ ปัญหา ปรกึ ษา Specialist ventilator 3 ครัง้ และมี ผูป้ ่ วย Refer-out ไป รพช.ระดับตน้ 9 ราย 2) สมรรถนะดา้ นความรูข้ องพยาบาล (รพช.) ในการดูแล เครื่องชว่ ยหายใจ ประเมินโดยหัวหนา้ พยาบาล (รพช.) ภาพรวมเฉลย่ี รอ้ ยละ 82.68 และพยาบาล ปฏบิ ตั กิ ารประเมนิ ตนเองภาพรวมเฉลยี่ รอ้ ยละ 80.02 ผูป้ ่ วยไม่มีภาวะแทรกซอ้ นจากการใชเ้ ครื่องช่วย หายใจ 3) ความพงึ พอใจของญาติ จาก Telephone visits อยู่ในระดบั ดี รอ้ ยละ 88.89 ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ เสนอแนะวา่ การพฒั นาสมรรถนะพยาบาลโรงพยาบาลชมุ ชนระดบั ตน้ ในการ ใชเ้ ครื่องช่วยหายใจ จาเป็ นตอ้ งปรับใหส้ อดคลอ้ งกับบริบทแตล่ ะท่ี เนน้ การเรยี นรูม้ ากกว่าการสอน เพื่อใหเ้ กิดทักษะ การใชเ้ ครือข่ายและการใชเ้ ทคโนโลยีที่ทันสมัยมาร่วมสอน หรือมีช่องทาง ตดิ ต่อส่ือสาร นอกจากน้ี ควรวางระบบการดูแล และส่งผูป้ ่ วยกลับ รวมถึงสนับสนุนอุปกรณ์จาเป็ น ท่ี (รพช.) ขาด และควรเพม่ิ ผปู ้ ่ วยกลมุ่ ตวั อยา่ ง คาสาคญั : การพัฒนาสมรรถนะ, พยาบาลโรงพยาบาลชุมชนระดับตน้ , ผูป้ ่ วยท่ใี ชเ้ คร่อื งช่วยหายใจ, เครอื่ งชว่ ยหายใจ การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ประสทิ ธผิ ลของการพฒั นาแนวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลทางคลนิ กิ สาหรบั ผูป้ ่ วยเด็กทใี่ ชเ้ ครอื่ งชว่ ย หายใจโรงพยาบาลลาปาง ธรชิ ญา รกั ษ์กติ ตกิ ลุ พยาบาลวชิ าชพี ชานาญการ โรงพยาบาลลาปาง บทคดั ยอ่ วตั ถุประสงค์: เพื่อศกึ ษาผลของการใชแ้ นวปฏิบัติการพยาบาลทางคลนิ ิกสาหรับผูป้ ่ วยเด็กท่ีใช ้ เครอ่ื งชว่ ยหายใจโรงพยาบาลลาปาง รูปแบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: การศกึ ษาน้ีเป็ นการวจิ ัยกง่ึ ทดลอง ศกึ ษาในกลุม่ ผูป้ ่ วยเด็กท่ีใช ้ เครือ่ งชว่ ยหายใจท่ีเขา้ รับการรักษาในหอผูป้ ่ วยหนักกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลลาปาง คัดเลอื กกล่มุ ตวั อยา่ งแบบจาเพาะเจาะจง โดยแบ่งเป็ น 2 กลุ่ม กลุม่ ท่ีไดร้ ับการพยาบาลตามปกตคิ อื ผูป้ ่ วยเด็กทมี่ า รับบรกิ ารก่อนการใชแ้ นวปฏบิ ัตกิ ารพยาบาล ระหวา่ งเดอื นมนี าคม-พฤษภาคม 2563 จานวน 54 ราย และกลมุ่ ทใี่ ชแ้ นวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลทางคลนิ กิ ตงั้ แตเ่ ดอื นมนี าคม-พฤษภาคม 2564 จานวน 54 ราย การวดั ผล และวธิ กี าร: เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ประกอบดว้ ย แนวปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลทางคลนิ กิ สาหรับ ผูป้ ่ วยเด็กที่ใชเ้ ครอื่ งชว่ ยหายใจ โรงพยาบาลลาปางที่พัฒนาขน้ึ อย่างเป็ นระบบในปี 2563 ตามกรอบ แนวคดิ การพัฒนาแนวปฏบิ ัตทิ างคลนิ ิก NHMRC (1999) ประกอบดว้ ย 1) การปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลใน ดแู ลผปู ้ ่ วยเด็กทใี่ ชเ้ ครอ่ื งชว่ ยหายใจ 2) การใชแ้ นวทางการปฏบิ ตั เิ พอื่ การหย่าเครือ่ งชว่ ยหายใจนาโดย พยาบาล (Nurse-led Mechanical Ventilator Weaning Protocol) 3) การจัดการความรูแ้ กบ่ ุคลากร และผูด้ ูแล 4) การดูแลต่อเนื่อง ไดต้ รวจสอบความตรงของเนื้อหาโดยใชเ้ กณฑ์ AGREE II โดย ผทู ้ รงคณุ วฒุ ิ 5 ทา่ น ไดร้ อ้ ยละ 80.32 และมีขอ้ สรุปตรงกันว่า สามารถนาแนวปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลน้ีไป ใชไ้ ด ้ เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการรวบรวมงานวจิ ัย ไดแ้ ก่ แบบบันทึกขอ้ มูลผูป้ ่ วย แบบประเมนิ ความรูข้ อง พยาบาล และแบบประเมนิ ความพงึ พอใจต่อการใชแ้ นวปฏบิ ัตฯิ ท่ผี ่านการตรวจสอบจากผูท้ รงคุณวุฒิ 3 ท่านและหาคา่ ความตรงเชงิ เน้ือหา CVI = 0.83, 0.88 และ 0.88 ตามลาดบั และหาคา่ สมั ประสทิ ธค์ิ รอนบาคได=้ 0.84 วเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยใชส้ ถติ พิ รรณนา, exact probability test, multivariable risk different regression, multivariable risk ratio regression และ generalized linear regression model ผล: จากการวจิ ยั พบวา่ ลกั ษณะท่ัวไปของทัง้ สองกลมุ่ ไมแ่ ตกตา่ งกนั ผปู ้ ่ วยเด็กกลมุ่ ทใ่ี ชแ้ นวปฏบิ ัตกิ าร พยาบาลสามารถหย่าเคร่ืองช่วยหายใจไดเ้ ร็วขนึ้ 6.2 ชว่ั โมง (p<0.05) ลดระยะเวลาหย่าเครอื่ งช่วย หายใจไดเ้ ร็วขน้ึ 10.5 ชวั่ โมง ลดระยะเวลาการคาทอ่ ช่วยหายใจลงเหลอื 12.1 ชว่ั โมง (p<0.05) และ ลดภาวะแทรกซอ้ นจากการใชเ้ ครอื่ งชว่ ยหายใจ เหลอื 0.14 เท่า (p=0.056) ผูป้ ่ วยเด็กทัง้ สองกลมุ่ ไม่ กลับมาใสท่ ่อช่วยหายใจซ้า ไม่พบผูป้ ่ วย Unplan CPR ไม่มีอบุ ัตกิ ารณ์การเสียชวี ติ ผลลพั ธด์ า้ น พยาบาลพบว่าพยาบาลวชิ าชีพมีความรูแ้ ละทักษะภายหลังพัฒนาเพมิ่ ขนึ้ อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิ (p < 0.001) วดั ความพงึ พอใจของพยาบาลตอ่ การใชแ้ นวปฏบิ ัตพิ บวา่ สว่ นใหญ่พงึ พอใจระดบั ดมี าก รอ้ ยละ 91.11 ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ การใชแ้ นวปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลทางคลนิ ิกสาหรับผูป้ ่ วยเด็กท่ีใชเ้ ครอ่ื งช่วย หายใจ ทาใหผ้ ลลพั ธบ์ รกิ ารพยาบาลทัง้ ดา้ นผปู ้ ่ วยและพยาบาลดขี น้ึ จงึ ควรนาแนวปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลนี้ ไปใชใ้ นระยะยาวเพอื่ ยนื ยันผลลพั ธข์ องประสทิ ธผิ ลการใชแ้ นวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลทางคลนิ กิ ตอ่ ไป คาสาคญั : เครอ่ื งชว่ ยหายใจในผปู ้ ่ วยเดก็ , แนวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลทางคลนิ กิ , การหยา่ เครอ่ื งชว่ ยหายใจ การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ศกึ ษาผลการใชน้ วตั กรรม BT Crow เพอื่ ลดการบาดเจ็บตอ่ รมิ ฝี ปากและฟนั ในผปู้ ่ วยทไ่ี ดร้ บั การระงบั ความรสู้ กึ ประเภททว่ั ตวั บญุ ทนั แตม้ คม, วนั ทนา บุญคง กลมุ่ งานการพยาบาลวสิ ญั ญี บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ภาวะแทรกซอ้ นจากการใสท่ ่อชว่ ยหายใจในผปู ้ ่ วยทเ่ี ขา้ รับการผ่าตัด และระงับความรูส้ กึ คอื ฟันบนิ่ แตก หัก หรอื เนื้อเย่อื ของทางเดนิ หายใจสว่ นบนบาดเจ็บ รมิ ฝี ปากแตก เศษฟันท่หี ักบน่ิ ตก หล่นเขา้ ไปในหลอดลมและปอด ซงึ่ เป็ นอันตรายถงึ กับชีวติ มีผลทาใหผ้ ูป้ ่ วยตอ้ งเพม่ิ การรักษาและ ส่งผลทางจติ ใจ และนาไปสกู่ ารฟ้ องรอ้ งได ้ การใหบ้ รกิ ารงานวสิ ัญญใี หค้ วามสาคญั ในการดูแลความ ปลอดภัยของผูใ้ ชบ้ รกิ ารโดยยดึ หลกั Patient Safety Goal : SIMPLE ผูว้ จิ ัยจงึ มีความสนใจประดษิ ฐ์ นวตั กรรมวสั ดรุ องฟันทท่ี าจากโฟม EVA (Ethylene Vinyl Acetate) ยังไม่มีรายงานความเป็ นพษิ และ อนั ตราย ไดน้ าตวั อย่างของโฟม EVA ใหว้ ศิ วกรสถาบันเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนาลาปางตรวจสอบ และอปุ กรณไ์ ดผ้ า่ นการรบั รองความปลอดภัยสามารถนามาเป็ นวัสดุรองฟันชว่ ยใหล้ ดแรงกระทบต่อฟัน ขณะใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจ สง่ ผลใหล้ ดอบุ ตั กิ ารณไ์ มพ่ งึ ประสงคต์ อ่ การใชท้ อ่ ชว่ ยหายใจ วตั ถปุ ระสงค:์ 1) เพอื่ ศกึ ษาการเกดิ อบุ ัตกิ ารณก์ ารบาดเจ็บทรี่ มิ ฝี ปาก ฟัน และอบุ ตั กิ ารณไ์ ม่พงึ ประสงค์ ก่อนและหลังการใชน้ วตั กรรม BT Crow 2) เพอื่ ศกึ ษาความพงึ พอใจของพยาบาลวสิ ัญญีในการใช ้ นวตั กรรม BT Crow รูปแบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: เป็ นการวจิ ัยแบบ quasi-experimental research ศกึ ษาในหอ้ ง ผ่าตดั โรงพยาบาลลาปาง โดยศกึ ษาผูป้ ่ วยทเ่ี ขา้ รับการผ่าตัดแบบนัดไวล้ ว่ งหนา้ (elective case) และ ไดย้ าระงบั ความรูส้ กึ แบบทั่วตวั อายตุ งั้ แต่ 18 ปี ขน้ึ ไป และไดย้ าระงับความรูส้ กึ แบบท่ัวตวั ASA class I, II ในชว่ งเดอื นเมษายน ถงึ พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ณ หอ้ งผ่าตดั โรงพยาบาลลาปาง โดยยกเวน้ ผปู ้ ่ วยทใ่ี สท่ ่อชว่ ยหายใจ หรอื เจาะคออยูเ่ ดมิ กอ่ นผ่าตดั ผปู ้ ่ วยทไ่ี ดร้ บั การใสท่ ่อช่วยหายใจ และผูป้ ่ วยท่ี มปี ระวตั แิ พ ้ EPA ขนาดกลมุ่ ตวั อย่างไดจ้ ากการประมาณของ prevalence ในผูป้ ่ วยทมี่ ารับบรกิ ารใหย้ า ระงับความรูส้ กึ ประเภทท่ัวตัว พบอบุ ัตกิ ารณก์ ารเกดิ แผลทร่ี มิ ฝี ปาก รอ้ ยละ 17.74 โดยตอ้ งการระดับ ความเชอื่ มั่น 95% และอานาจในการทดสอบ 80% ไดข้ นาดตวั อยา่ งกลมุ่ ละ 37 ราย การวดั ผล และวธิ กี าร: วิเคราะหเ์ ปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มดว้ ยสถิติ รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน, t test, fisher’s exact test ผล: จากการศกึ ษาพบวา่ อปุ กรณย์ ดึ เกาะไดเ้ หมาะสม กระชบั ดี เมอื่ ใสเ่ ขา้ ไปในชอ่ งปากจานวน 37 ราย ผูป้ ่ วยไม่เกดิ ภาวะแทรกซอ้ นจากการใส่ท่อช่วยหายใจ ไม่ริมฝี ปากแตก ไม่มีการบาดเจ็บของฟัน คา่ เฉลย่ี 0.26 (SD 0.44) 95% CI 0.15-0.36 P < 0.001 ระดบั ความพงึ พอใจในภาพรวมตอ่ นวัตกรรม BT Crow พบวา่ อปุ กรณม์ นี ้าหนักเบา ใชง้ านไดง้ ่าย และสะดวก มีระดบั ความพงึ พอใจสูงสดุ รอ้ ยละ 90 ดังนั้นนวัตกรรม BT Crow มีความปลอดภัย สามารถนาไปใชเ้ ป็ นอุปกรณ์รองฟัน ลดอุบัตกิ ารณ์ ไมพ่ งึ ประสงคไ์ ด ้ คาสาคญั : นวตั กรรม BT Crow, การบาดเจ็บตอ่ รมิ ฝี ปากและฟัน, การระงบั ความรูส้ กึ ประเภททั่วตวั การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
แนวทางการบรหิ ารการพยาบาลในสถานการณ์การระบาดของโรค COVID–19 โรงพยาบาลลาปาง สมพร เลศิ วริ ยิ เสถยี ร, มุกดา พรมแกว้ งาม, คทั ลยี า อนิ ทะยศ, วนั ทนา บุญคง, ปิยพนั ธ์ วะนะสขุ กลมุ่ ภารกจิ ดา้ นการพยาบาล บทคดั ยอ่ วตั ถปุ ระสงค:์ น้มี วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ 1) ศกึ ษาแนวทางการบรหิ ารการพยาบาลในสถานการณ์การระบาดของ โรค COVID–19 โรงพยาบาลลาปาง รูปแบบศกึ ษา สถานท่ี และผูป้ ่ วย: Descriptive research ประชากรคือ บุคลากรทางการพยาบาล ประกอบดว้ ย พยาบาลวชิ าชพี 191 คน พนักงานผูช้ ว่ ยเหลอื คนไข ้ 63 คน และผปู ้ ่ วยจากหน่วยงาน ARI clinic 14,374 ราย ผูป้ ่ วย PUI 5,353 ราย ผูป้ ่ วย COVID–19 126 ราย จาก ARI Clinic หอผูป้ ่ วยที่รับ ดูแลผูป้ ่ วย Covid-19 ไดแ้ ก่ หอผูป้ ่ วยกรุณา หน่วยแยกโรคตดิ เชือ้ ระบบทางเดนิ หายใจ (มุทิตา) หอผปู ้ ่ วยพเิ ศษเมตตา 4, 5 หอผปู ้ ่ วย Cohort ระหวา่ งเดอื นมกราคม 2563-มถิ นุ ายน 2564 การวดั ผล และวธิ กี าร: ไดแ้ ก่ การวางแผนและจัดการการระบาดของโรค COVID–19 ในระยะกอ่ นเกดิ เหตุ ขณะเกดิ เหตุ หลังเกดิ เหตุ และคมู่ อื /แนวปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลการจัดการในสถานการณก์ ารระบาด ของโรค COVID–19 และ2) ศกึ ษาสถานการณก์ ารดูแลผูป้ ่ วยโรค COVID–19 ในโรงพยาบาลลาปาง โดยใชแ้ นวคดิ 3S คอื Staffs (การบรหิ ารจดั การกาลังคน) Stuffs (สถานท่แี ละอุปกรณ์) และ Systems (ระบบปฏบิ ัตงิ านเครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั คอื แนวทางการบรหิ ารการพยาบาลในสถานการณก์ ารระบาด ของโรค COVID–19 ในโรงพยาบาลสงั กดั กระทรวงสาธารณสขุ โรงพยาบาลลาปาง ตรวจสอบคุณภาพ ของเครอ่ื งมอื โดยผทู ้ รงคณุ วฒุ ิ 3 ทา่ นมคี า่ ความตรงเชงิ เนอื้ หา CVI= 0.84 เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการรวบรวม ขอ้ มลู ผลการวจิ ัย ไดแ้ ก่ 1) แบบบันทกึ ขอ้ มูลส่วนบุคคลของพยาบาล 2) แบบบันทกึ ขอ้ มูลสว่ นบุคคล ของผปู ้ ่ วย มคี า่ ความตรงเชงิ เนื้อหา CVI = 0.82 วเิ คราะหข์ อ้ มูลดว้ ยสถติ เิ ชงิ พรรณนา ความถ่ี รอ้ ยละ และคา่ เฉลยี่ ผล: จากการศกึ ษาพบวา่ แนวทางการบรหิ ารการพยาบาลในสถานการณก์ ารระบาดของโรค COVID–19 ในโรงพยาบาลลาปาง ไดแ้ ก่ การวางแผนและจัดการการระบาดของโรค COVID–19 ในระยะกอ่ นเกดิ เหตุ ขณะเกดิ เหตุ หลังเกิดเหตุ ท่ีมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์นั้นๆ ครอบคลุมการระบาดทั้ง 3 ระลอก โดยการบรหิ ารงานของผูอ้ านวยการศนู ยบ์ ัญชาการ EOC โรงพยาบาลลาปางดา้ น Staffs มีการบรหิ ารจัดการกาลังบุคลากรตามลักษณะอาการของผูป้ ่ วย แผนการจัดอัตรากาลังสารอง และ การพฒั นาสมรรถนะของบุคลากร เพื่อใหเ้ กดิ ความปลอดภัยต่อทัง้ ผูป้ ่ วยและตนเองดา้ น Stuffs มีศนู ย์ ปฏบิ ัตกิ ารตอบโตภ้ าวะฉุกเฉินดา้ นการพยาบาล (Emergency Operation Center : EOC) ณ สานักงาน กล่มุ ภารกจิ ดา้ นการพยาบาล ชนั้ 6 อาคารนวมนิ ทรราชประชาภักดี ทัง้ ในภาวะปกติ และภาวะฉุกเฉิน สถานท่ี ARI Clinic หอผูป้ ่ วยกรณุ า หน่วยแยกโรคตดิ เชอื้ ระบบทางเดนิ หายใจ (มุทติ า) หอผูป้ ่ วยพเิ ศษ เมตตา 4, 5 หอผูป้ ่ วย Cohort รับผูป้ ่ วย COVID–19 และ PUI เพอื่ เป็ น Ward Buffer จัดหาอุปกรณ์ที่ จาเป็ นตอ่ การปฏบิ ตั งิ าน เชน่ PPE. เครอื่ งชว่ ยหายใจ ชดุ ตรวจวนิ จิ ฉัยโรค หุ่นยนตส์ ง่ ของ คอมพวิ เตอร์ กลอ้ งวงจรปิด เครอื่ งมอื ระบบสอ่ื สาร ฐานขอ้ มูลผปู ้ ่ วย และมาตรฐาน/แนวทางปฏบิ ตั งิ านจานวน 30 เรอ่ื ง ในการจัดการและดูแลผูป้ ่ วยตัง้ แต่รับใหม่จนจาหน่าย และดา้ น Systems การบริหารจัดการระบบ ปฏบิ ตั งิ าน ตามบทบาท/หนา้ ที่ของศนู ยป์ ฏบิ ัตกิ ารตอบโตภ้ าวะฉุกเฉินดา้ นการพยาบาล ซง่ึ ครอบคลุม ตงั้ แต่วางแผนกาหนดและมอบหมายผูร้ ับผดิ ชอบ กาหนดตัวชีว้ ัดผลการดาเนนิ งานและระบบกากับ ตดิ ตาม การประเมนิ ผลการดาเนินงานสาหรับสถานการณ์การดแู ลผูป้ ่ วยCOVID–19 ของโรงพยาบาล ลาปาง พบผปู ้ ่ วยตดิ เชอ้ื ทเ่ี ขา้ รับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลลาปางทัง้ 3 ระลอก จานวน 126 ราย จานวนผูป้ ่ วยจาหน่ายกลับบา้ น 124 ราย จานวนผูป้ ่ วยเสยี ชีวติ ในโรงพยาบาลลาปาง 2 ราย ไม่พบ อบุ ตั กิ ารณก์ ารตดิ เชอ้ื COVID–19 ของผูป้ ่ วยท่ัวไปในโรงพยาบาลลาปาง ไม่พบอุบัตกิ ารณ์การตดิ เชอ้ื ของบุคลากรทางการพยาบาล บุคลากรทางการพยาบาลโรงพยาบาลลาปางไดร้ ับการฉีดวัคซีน COVID–19 รอ้ ยละ 65.58 ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ ผลการวจิ ัยนี้สามารถรองรับและควบคุมสถานการณ์การระบาดของ COVID–19 ในโรงพยาบาลลาปางได ้ จงึ ควรใชเ้ พอ่ื จัดการและควบคมุ การระบาดในระลอกใหม่ คาสาคญั : การบรหิ ารการพยาบาล, สถานการณก์ ารระบาดของโรค COVID–19 การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
การศกึ ษาเปรยี บเทยี บความชกุ ของเหตกุ ารณร์ นุ แรงในวยั เด็กและความสมั พนั ธข์ องเหตุการณ์ รนุ แรงในวยั เด็กกบั ความพงึ พอใจในชวี ติ ในกลมุ่ ผูป้ ่ วยโรคเรอ้ื รงั และกลมุ่ ประชากรปกติ วชริ าภรณ์ อรุโณทอง, กญั ญาณัฐ จงกลรตั น,์ นรเศรษฐ์ ภริ มณ,์ พสชนัน ฉัตรทนิ วฒั น,์ วรยิ า จนิ ดาหลวง กลมุ่ งานจติ เวช โรงพยาบาลลาปาง บทคดั ยอ่ ความสาคญั : การศกึ ษาในต่างประเทศหลายการศกึ ษาแสดงใหเ้ ห็นถงึ ความสัมพันธข์ องเหตกุ ารณ์ รุนแรงในวัยเด็กท่ีมีผลกระทบต่อภาวะสุขภาพ และความพงึ พอใจในชวี ติ ในประเทศไทยการศกึ ษา ดังกล่าวยังค่อนขา้ งนอ้ ยและไม่ค่อยมีการพูดถงึ เรื่องภาวะดังกล่าวว่าสามารถมีความสัมพันธ์กบั ภาวะ สขุ ภาพตา่ งๆ ได ้ วตั ถุประสงค:์ เพ่ือศกึ ษาเปรียบเทยี บความชกุ ของเหตุการณร์ ุนแรงในวัยเด็ก(Adverse childhood events; ACEs)ในกลุ่มผูป้ ่ วยโรคเร้ือรังและกลุ่มประชากรปกติ และ เพ่ือศกึ ษาความสัมพันธ์ของ เ ห ตุ ก า ร ณ์ รุ น แ ร ง ใ น วั ย เ ด็ ก แ ล ะ ค ว า ม พึง พ อ ใ จ ใ น ชีวิต ใ น ก ลุ่ ม ป ร ะ ช า กร 2 ก ลุ่ ม ดั ง ก ล่ า ว รปู แบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: เป็ นการวจิ ยั แบบมกี ลมุ่ ควบคมุ เก็บขอ้ มูลจากกลมุ่ ตวั อย่างท่ีเขา้ รับ บรกิ าร ณ โรงพยาบาลลาปาง ทมี่ อี ายุมากกวา่ 18 ปี ขน้ึ ไป โดยกลุ่มตวั อย่างแบ่งเป็ น 2 กลุ่มคอื กลุ่มที่ ป่ วยเป็ นโรคเรื้อรัง และ กลุ่มประชากรปกติ กลุ่มตัวอย่างทัง้ 2 กลุ่มตอบแบบสอบถามขอ้ มูล ทวั่ ไป แบบสอบถามเหตกุ ารณร์ นุ แรงในวยั เดก็ และแบบประเมนิ ความพงึ พอใจในชวี ติ การวดั ผล และวธิ กี าร: ขอ้ มูลจากการตอบแบบสอบถาม ถูกนามาวเิ คราะหท์ างสถติ โิ ดยอาศยั สถติ เิ ชงิ พรรณนา,fisher’s exact test, student t-test และ หาความสมั พนั ธโ์ ดยใช ้ logistic regression ผล: กลุ่มผูป้ ่ วยโรคเรอ้ื รัง 303 คน และ กล่มุ ประชากรท่ัวไป 305 คนตอบแบบสอบถาม 23.8% ของ กลุ่มผูป้ ่ วยโรคเร้ือรังและ 15.4 % ของกลุม่ ประชากรทั่วไปเคยเผชญิ เหตุการณร์ ุนแรงในวัยเด็ก เหตุการณ์รุนแรงในวัยเด็กทมี่ ีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคญั ของทัง้ 2 กลุ่มคอื การถูกเลยี้ งดใู น ครอบครัวทม่ี ผี ปู ้ ่ วยโรคจติ เวช/ฆ่าตวั ตาย (p =0.05) และการทีอ่ ยู่ในครอบครัวทีม่ ีผูป้ กครองเคยตดิ คุก (P <0.001) โดยพบวา่ ความชกุ ของทัง้ 2 เหตกุ ารณน์ ใ้ี นของกลมุ่ ผปู ้ ่ วยโรคเรอ้ื รังมสี งู กวา่ กลมุ่ ประชากร ปกติ กลุ่มตวั อย่างทัง้ 2 กลุ่ม 91.2% มีความพงึ พอใจในชวี ติ ระดับปกตขิ น้ึ ไป คา่ เฉลย่ี ระดบั ความพงึ พอใจในชวี ติ ในกลุ่มผูป้ ่ วยโรคเรื้อรังและกลุ่มประชากรปกติไม่มีความแตกต่างกัน แต่พบว่าในกลุ่ม ตวั อย่างทัง้ 2 กลมุ่ ๆ ทเ่ี คยเผชญิ เหตกุ ารณร์ ุนแรงในวัยเด็กอย่างนอ้ ย 1 เหตกุ ารณท์ าใหค้ วามพงึ พอใจ ในชีวติ ของทัง้ ผูป้ ่ วยโรคเรือ้ รังและกลุ่มประชากรปกตลิ ดลงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิตทิ ี่ P <0.001 ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ ความชกุ ของเหตุการณ์รุนแรงในวยั เด็กในกลุม่ ผูป้ ่ วยโรคเรื้อรังสงู กว่ากลุ่ม ประชากรปกติ และเหตกุ ารณร์ ุนแรงในวยั เดก็ มผี ลทาใหค้ วามพงึ พอใจในชวี ติ ของทัง้ ผูป้ ่ วยโรคเรอื้ รังและ กลมุ่ ประชากรปกตลิ ดลง ดงั นัน้ การป้ องกนั เหตกุ ารณร์ ุนแรงในวยั เดก็ ในรปู แบบตา่ ง ๆ และการช่วยเหลอื ผไู ้ ดร้ บั ผลกระทบจากความรนุ แรงในวยั เดก็ น่าจะเป็ นการป้ องกนั ผลกระทบตา่ งๆ ทต่ี ามมาในอนาคต คาสาคญั เหตกุ ารณร์ นุ แรงในวยั เด็ก โรคเรอ้ื รัง ความพงึ พอใจในชวี ติ การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
การใชแ้ นวทางการดูแลผูป้ ่ วยจติ เวชทมี่ ภี าวะวกิ ฤตติ ามระดบั ความเร่งด่วนในโรงพยาบาล ลาปาง พวงเพชร อบุ ลศร,ี ยพุ นิ ตนั อนุชติ ตกิ ลุ , วนั ทนา บุญคง, ศรปี ระไพ อนิ ทรช์ ยั เทพ กลมุ่ ภารกจิ ดา้ นการพยาบาล โรงพยาบาลลาปาง บทคดั ยอ่ วตั ถปุ ระสงค:์ เพอื่ ศกึ ษาการใชแ้ นวทางการดแู ลผปู ้ ่ วยจติ เวชทม่ี ีภาวะวกิ ฤตติ ามระดับ ความเร่งดว่ นใน โรงพยาบาลลาปาง เปรียบเทียบระยะเวลาวันนอนในโรงพยาบาลของผูป้ ่ วยจติ เวชท่ีมีภาวะวกิ ฤติ อบุ ตั กิ ารณค์ วามเสยี่ งของผปู ้ ่ วยจติ เวชทม่ี ภี าวะวกิ ฤติ ไดแ้ ก่ 1) การทารา้ ยตนเอง 2) การทารา้ ยผูอ้ น่ื 3) การบาดเจ็บจากพฤตกิ รรมรุนแรง 4) ภาวะแทรกซอ้ นจากการผกู ยดึ 5) การทาลายทรพั ยส์ นิ 6) การพลัด ตก/หกลม้ และ7) การหลบหนี ทัง้ ทส่ี าเร็จและไม่สาเร็จกอ่ นและหลงั การใชแ้ นวทางฯ และวดั ความพงึ พอใจของบคุ ลากรพยาบาลในการใชแ้ นวทางฯ รปู แบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: รูปแบบการวจิ ัยเป็ นแบบกง่ึ ทดลอง กลมุ่ ตวั อยา่ งเป็ นผปู ้ ่ วยจติ เวชท่ี มภี าวะวกิ ฤตใิ นหอผปู ้ ่ วยกรณุ า โรงพยาบาลลาปาง ในชว่ งเดอื นกรกฎาคมถงึ กันยายน พ.ศ. 2563 และ ในช่วงเดอื นมกราคมถงึ มนี าคม พ.ศ. 2564 จานวน 80 คนแบ่งออกเป็ น 2 กลมุ่ คอื กลุม่ ท่ใี หก้ าร พยาบาลตามแนวทางเดมิ และกลมุ่ ทใ่ี หก้ ารพยาบาลตามแนวทางฯ การวดั ผล และวธิ กี าร: เครอื่ งมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ัย ประกอบดว้ ยแนวทางการดแู ลผูป้ ่ วยจติ เวชท่ีมภี าวะ วกิ ฤตติ ามระดบั ความเร่งดว่ น ทปี่ ระยกุ ตจ์ ากแนวทางการดแู ลผปู ้ ่ วยจติ เวชทม่ี ีภาวะวกิ ฤตติ ามระดับความ เร่งด่วน โรงพยาบาลศรธี ัญญา ตรวจสอบความสอดคลอ้ งโดยผูท้ รงคุณวฒุ ิ 3 ท่าน ไดค้ ่า IOC 0.81 แบบบนั ทกึ ขอ้ มูลผปู ้ ่ วยจติ เวชทม่ี ภี าวะวกิ ฤติ แบบบนั ทกึ อบุ ตั กิ ารณค์ วามเสย่ี งของผูป้ ่ วยจติ เวชทีม่ ีภาวะ วกิ ฤติ และแบบสอบถามความพงึ พอใจของบุคลากรพยาบาลในการใชแ้ นวทางการฯ ทมี่ คี า่ ความตรงเชงิ เน้อื หา CVI = 0.82, 0.83 และ 0.86 ตามลาดบั วเิ คราะหข์ อ้ มูลดว้ ยสถติ เิ ชงิ พรรณนา รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ และ fisher exact probability test ผล: จากการศกึ ษาพบวา่ วนั นอนเฉลย่ี หลงั การใชแ้ นวทางฯ ลดลงเฉลยี่ 15 วนั (±16.347) อบุ ัตกิ ารณ์ ความเสยี่ งของผูป้ ่ วยจติ เวชทมี่ ภี าวะวกิ ฤติ ไดแ้ ก่ 1) ไม่เกดิ การทารา้ ยตนเอง 2) ไม่เกดิ อุบัตกิ ารณก์ าร ทารา้ ยผูอ้ น่ื 3) ไม่เกดิ ภาวะแทรกซอ้ นจากการผูกยดึ 4) ไม่เกดิ การทาลายทรัพยส์ นิ 5) ไม่เกดิ การ หลบหนี แต่ยังพบวา่ เกดิ การบาดเจ็บจากพฤตกิ รรมรุนแรง และการพลดั ตกหกลม้ ไม่แตกต่างกันทัง้ 2 กลมุ่ ในดา้ นความพงึ พอใจของบุคลากรพยาบาลในการใชแ้ นวทางฯ พบวา่ มีความพงึ พอใจอยู่ในระดบั มาก รอ้ ยละ 81.33 ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ แนวทางการดูแลผูป้ ่ วยจติ เวชท่ีมภี าวะวกิ ฤตติ ามระดับความเร่งด่วนมคี วาม เหมาะสมและสามารถนาไปใชใ้ นหอผูป้ ่ วยจติ เวช โรงพยาบาลลาปางได ้ สามารถนาไปประยุกตใ์ ชไ้ ดใ้ น หน่วยงานทมี่ ผี ปู ้ ่ วยจติ เวชทมี่ ภี าวะวกิ ฤตเิ ขา้ รบั การรกั ษาตอ่ ไปได ้ คาสาคญั : แนวทางการดแู ลผปู ้ ่ วยจติ เวช, ผปู ้ ่ วยจติ เวชทม่ี ภี าวะวกิ ฤติ การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
การพฒั นารปู แบบการพยาบาลผปู้ ่ วยทไ่ี ดร้ บั การผา่ ตดั แบบวนั เดยี วกลบั ของโรงพยาบาลลาปาง อภนิ ภสั ประจวบ หอ้ งตรวจศลั ยกรรม กลมุ่ งานการพยาบาลผปู ้ ่ วยนอก โรงพยาบาลลาปาง บทคดั ยอ่ ความสาคญั : การผ่าตดั แบบวนั เดยี วกลบั (One Day Surgery: ODS) เป็ นการรับผูป้ ่ วยมารับการรักษา ดว้ ยการผ่าตัดที่มีการเตรียมการและสามารถกลับบา้ นในวันเดยี วกับวันที่เขา้ รับการรักษา หรืออยู่ โรงพยาบาลไมเ่ กนิ 24 ชวั่ โมง ซงึ่ เป็ นนโยบายของกระทรวงสาธารณสขุ ทจ่ี ะลดความแออดั ลดระยะเวลา รอคอยลดคา่ ใชจ้ ่าย และประชาชนเขา้ ถงึ บรกิ ารทม่ี าตรฐาน สะดวก ปลอดภยั การพยาบาลผปู ้ ่ วยทไ่ี ดร้ ับ การผา่ ตดั แบบวนั เดยี วกลบั ทม่ี คี วามเหมาะสม ครอบคลมุ และทางานเป็ นทีมสหสาขาวิชาชพี จะช่วยให ้ ผปู ้ ่ วยมคี วามพรอ้ ม ไดร้ บั การผา่ ตดั ตามกาหนด และป้ องกนั ภาวะแทรกซอ้ นหลงั การผา่ ตดั วตั ถุประสงค:์ เพ่อื ศกึ ษาปัญหา ความตอ้ งการดา้ นการพยาบาล พัฒนารูปแบบการบรกิ ารทางการ พยาบาล และทดสอบประสทิ ธผิ ลของรูปแบบการพยาบาลผูป้ ่ วยท่ีไดร้ ับการผ่าตดั แบบวันเดยี วกลับ ทพ่ี ัฒนาขน้ึ รปู แบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: การวจิ ัยนี้เป็ นการวจิ ัยและพัฒนา (research and development) มที ัง้ หมด 3 ระยะคอื ระยะท่ี 1 การทา Focus group และทบทวนปัญหาของผปู ้ ่ วย ระยะที่ 2 การพัฒนา รูปแบบการพยาบาลผปู ้ ่ วยทไ่ี ดร้ บั การผา่ ตดั แบบวนั เดยี วกลบั และระยะที่ 3 การทดสอบประสทิ ธผิ ลของ รูปแบบการพยาบาลผปู ้ ่ วยทไ่ี ดร้ ับการผ่าตดั แบบวนั เดยี วกลบั กลมุ่ ตวั อยา่ งประกอบดว้ ย แพทย์ พยาบาล จานวน 10 คน และผูป้ ่ วยท่ีมารับบริการโครงการการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ จานวน 64 คน ทาการศกึ ษาท่ีงานผูป้ ่ วยนอก โรงพยาบาลลาปาง ตัง้ แต่เดือนกุมภาพันธ์ - มถิ ุนายน พ.ศ. 2564 เครอื่ งมอื ทใ่ี ชป้ ระกอบดว้ ยรูปแบบการผา่ ตดั แบบวนั เดยี วกลบั ทผ่ี วู ้ จิ ยั สรา้ งขนึ้ ผ่านผูท้ รงคณุ วฒุ ิ 3 ทา่ น มี คา่ คณุ ภาพของเครอ่ื งมอื CVI = 0.84 และคานวณคา่ สมั ประสทิ ธแิ์ อลฟาของครอนบาคของแบบประเมนิ ความวติ กกงั วลและความพงึ พอใจของพยาบาล = 0.92 การวดั ผล และวธิ กี าร: วเิ คราะหข์ อ้ มลู ดว้ ยสถติ ิ ความถ่ี รอ้ ยละ ผล: จากการศกึ ษาพบวา่ ระยะที่ 1 ปัญหาของผูป้ ่ วย ไดแ้ ก่ ความเครยี ด กงั วลเกยี่ วกบั การผ่าตดั และ การตดิ ตอ่ สอ่ื สาร เน่อื งจากการใหข้ อ้ มลู การเตรยี มพรอ้ มกอ่ นผ่าตดั มีระยะเวลาสนั้ หลังผ่าตัดผูป้ ่ วยตอ้ ง ดแู ลตวั เองทบ่ี า้ น จงึ ตอ้ งการการดูแลท่ีครอบคลมุ ปลอดภัย ระยะท่ี 2 รูปแบบท่พี ัฒนาประกอบดว้ ย 1) การเตรียมควา มพรอ้ มก่อนผ่าตัด 2) การพยาบาลข ณะผ่าตัด 3) การ พยาบาลหลังผ่าตัด 4) การตดิ ตามอาการหลงั ผ่าตดั และระยะท่ี 3 การนารูปแบบทพ่ี ัฒนาขนึ้ ทดสอบประสทิ ธผิ ลฯ พบว่า ผูใ้ ชบ้ รกิ ารสว่ นใหญเ่ ป็ นโรครดิ สดี วงทวารรอ้ ยละ 43.8 โรคไสเ้ ลอ่ื นขาหนบี รอ้ ยละ 32.8 และภาวะตงิ่ เนอื้ งอกลาไสใ้ หญ่รอ้ ยละ 23.4 ไม่มีภาวะแทรกซอ้ นหลังผ่าตดั เชน่ ภาวะตกเลอื ด แผลบวม ภาวะตดิ เชอ้ื และไม่มกี ารกลบั มารกั ษาตวั ในโรงพยาบาลภายใน 24 ชง่ั โมง มคี ะแนนความวติ กกังวลระดบั ตา่ รอ้ ยละ 73.4 และคะแนนความพงึ พอใจระดบั ดมี ากรอ้ ยละ 100 ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ รูปแบบท่ีพัฒนาขนึ้ มีความเป็ นไปไดใ้ นการนาไปใช ้ ทาใหผ้ ลลพั ธท์ างการ พยาบาล ไดแ้ ก่ ผูป้ ่ วยคลายความกงั วล มีความพึงพอใจระดับดมี าก ไม่มภี าวะแทรกซอ้ นหลังผ่าตัด ซงึ่ แสดงถงึ ผลดขี องการใชร้ ปู แบบทพี่ ฒั นาขน้ึ และเป็ นประโยชนส์ าหรับการนาไปใช ้ คาสาคญั : การผ่าตดั แบบวนั เดยี วกลบั , รปู แบบการพยาบาล, การทางานเป็ นทมี การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ยั โรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง PM2.5 กบั สมรรถภาพการทางานของปอดในผปู้ ่ วยเด็กทเ่ี ป็ นโรคหอบหดื ทเี่ ขา้ รบั บรกิ าร รกั ษาในโรงพยาบาลนครพงิ ค์ นนี นารา พรหมรกั ษา*, ปพชิ ญา ภญิ โญ*, ปาจรยี ์ อนิ ปรา*, สภุ ชยั เกดิ ลา่ *, ชรนิ กฤตเมธธาพร* ขนุ เขา ฤกษ์วรชยั *นสิ ติ แพทย์ ชนั้ ปีที่ 4 ศนู ยแ์ พทยศาสตรศ์ กึ ษาชนั้ คลนิ กิ โรงพยาบาลนครพงิ ค์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยพะเยา บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ปัจจุบันจังหวัดเชยี งใหม่มมี ลพษิ ทางอากาศสูงเป็ นอันดับหนงึ่ ของโลก ค่า PM2.5 ทสี่ งู ขนึ้ สง่ ผลกระทบตอ่ ร่างกายหลายระบบ โดยเฉพาะระบบทางเดนิ หายใจ ซง่ึ ในเด็กระบบทางเดนิ หายใจยังพัฒนา ไมเ่ ต็มที่ รวมถงึ มภี มู คิ มุ ้ กนั นอ้ ยกวา่ ผใู ้ หญ่ ทาใหม้ โี อกาสไดร้ ับผลกระทบจาก PM2.5 มากกวา่ วตั ถุประสงค:์ เพอื่ ศกึ ษาความสัมพันธร์ ะหว่าง PM2.5 กบั สมรรถภาพการทางานของปอดในผปู ้ ่ วยเด็ก ทเี่ ป็ นโรคหอบหดื รูปแบบศกึ ษา สถานท่ี และผูป้ ่ วย: เก็บขอ้ มลู ในรูปแบบการศกึ ษายอ้ นหลัง (Retrospective cohort study) กลมุ่ ตัวอยา่ งคอื ผปู ้ ่ วยเด็กอายุ 6-15 ปี ทเี่ ป็ นโรคหอบหดื ทมี่ าเขา้ รับการรักษาในโรงพยาบาล นครพงิ ค์ ในชว่ ง 1 มกราคม 2560 ถงึ 31 ธนั วาคม 2563 โดยใชข้ อ้ มลู จากเวชระเบยี น และขอ้ มลู PM2.5 จากกรมควบคมุ มลพษิ เมอ่ื ทาการวเิ คราะหโ์ ดย Mixed effect linear regression analysis และควบคมุ อทิ ธพิ ลของเพศ, อาย,ุ มลพษิ ทางอากาศชนดิ อน่ื ไดแ้ ก่ PM10, SO2, NO2 และ O3 , ระดับความรุนแรง ของโรคหอบหดื ขณะเรมิ่ เกบ็ ขอ้ มลู และโรครว่ มอนื่ ๆ ผล: กลมุ่ ตวั อยา่ งทัง้ หมด 216 ราย ค่ามธั ยฐานอายุ 9 ปี พบว่า เมอ่ื คา่ PM2.5 เพม่ิ ขน้ึ 1 g/m3 สง่ ผล ใหค้ ่า Percent predicted peak expiratory flow rate (PEFR) ลดลง 0.36% อยา่ งมนี ัยสาคัญทาง สถติ ิ (95%CI = -0.654 ถงึ -0.074, p = 0.014) ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ PM2.5 ทเี่ พม่ิ ขน้ึ มผี ลตอ่ สมรรถภาพการทางานของปอดในผปู ้ ่ วยเด็กโรค หอบหดื คาสาคญั : PM2.5, โรคหอบหดื , สมรรถภาพการทางานของปอด การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ความสอดคลอ้ งของการวดั พารามเิ ตอรใ์ นการประเมนิ นา้ หนกั ทารกกอ่ นคลอดระหวา่ งนสิ ติ แพทยช์ น้ั ปี ท่ี 4 กบั สูตนิ รแี พทย์ สุจณิ ันฐ์ นันทาภวัธน์ พ.บ.*,**, ปณัฐพงษ์ มณีมลู *, จริ ัฐตกิ าล อยูใ่ หม่*, พทิ วัส ตรงปัญญาโชต*ิ , สุปรยี า ตาวัง*, ณัฐสุดา ไชยวงศ์ *ศูนยแ์ พทยศาสตรศ์ กึ ษาชนั้ คลนิ กิ โรงพยาบาลนครพงิ ค์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยพะเยา **ภาควชิ าสูตศิ าสตร์ โรงพยาบาลนครพงิ ค์ บทคดั ยอ่ วตั ถุประสงค:์ วัตถุประสงคห์ ลักเพอื่ ศกึ ษาหาความสอดคลอ้ งของการวัดพารามเิ ตอรใ์ นการประเมนิ น้าหนัก ทารกกอ่ นคลอดระหว่างนสิ ติ แพทยช์ ัน้ ปี ที่ 4 เทยี บกับสตู นิ รแี พทยแ์ ละวัตถุประสงคร์ องเพอื่ เปรยี บเทยี บความแมน่ ยาในการทาอัลตราซาวด์เพือ่ ประเมนิ น้าหนักทารกของนสิ ติ แพทยช์ ัน้ ปี ที่ 4 เทยี บกับน้าหนักทารกแรกคลอด รูปแบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: โดยเป็ นการศกึ ษาแบบ DIAGNOSTIC STUDY ในกลุ่มตัวอยา่ ง สตรตี ัง้ ครรภท์ รี่ ับไวใ้ นหอ้ งคลอด โรงพยาบาลนครพงิ ค์ ระหว่างวันที่ 16-21 มนี าคม 2564 จานวน 14 ราย ซงึ่ สตรตี ัง้ ครรภจ์ ะไดร้ ับการทาอัลตราซาวดจ์ ากทัง้ สตู นิ รแี พทยแ์ ละนสิ ติ แพทยช์ ัน้ ปี ที่ 4 ทีผ่ ่านการฝึกอบรมระยะสัน้ จากนัน้ นาค่าทีไ่ ดจ้ ากการทาอัลตราซาวด์ มาวเิ คราะหด์ ว้ ยสถติ เิ ชงิ พรรณา, PAIRED T-TEST และ PEARSON’S CORRELATION ผล: มี 3 พารามเิ ตอร์ ทีน่ สิ ติ แพทยช์ ัน้ ปี ที่ 4 กับสูตนิ รแี พทยม์ คี วามสอดคลอ้ งกัน คอื การวัดความ กวา้ งของศรี ษะทารก (R=0.663) การวัดเสน้ รอบวงศรี ษะ (R=0.006) และการวัดเสน้ รอบทอ้ ง (R=0.508) สว่ น พารามเิ ตอรท์ สี่ อดคลอ้ งไปในทศิ ทางตรงกันขา้ ม คอื การวัดความยาวกระดูกตน้ ขา (R=-0.283) นอกจากนี้การ เปรยี บเทยี บความแม่นยาในการทาอัลตราซาวดข์ องนสิ ติ แพทยช์ ัน้ ปี ที่ 4 เทยี บกับน้าหนักทารกแรกคลอด พบว่ามคี วามแม่นยาอยู่ที่ 71.43% ทคี่ วามคลาดเคลือ่ นในการ ประเมนิ น้าหนักทารกไม่เกนิ รอ้ ยละ 10 ของน้าหนักทารกแรกคลอด ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ นสิ ติ แพทยช์ ัน้ ปี ท่ี 4 ทผี่ ่านการฝึกอบรมระยะสัน้ สามารถวัดพารามเิ ตอรไ์ ด ้ สอดคลอ้ งกับสตู นิ รแี พทย์ และมคี วามแมน่ ยาในการทาอัลตราซาวดอ์ ยูใ่ นระดับทย่ี อมรับได ้ คาสาคญั : คลืน่ เสยี งความถีส่ งู , การประมาณค่าน้าหนักทารกในครรภ์, แพทยศาสตรศกึ ษา, นสิ ติ แพทย์ การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ความชุกและปัจจยั ทสี่ มั พนั ธก์ บั ภาวะซมึ เศรา้ ในเด็กวยั รุน่ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 1-5 ปี การศกึ ษา 2563 (PREVALENCE AND ASSOCIATED FACTORS OF DEPRESSION IN ADOLESCENCE OF SEVENTH GRADE TO ELEVENTH GRADE STUDENTS OF ACADEMIC YEAR 2020) ณชิ าภัทร ศรตี ระกูลครี ี, ประเสรฐิ พลบูรณ์ศร,ี รชต หันตุลา, สกลุ ธดิ า ชนื่ บาน นสิ ติ แพทยช์ ัน้ ปี ที่ 4 คณะแพทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยพะเยา ศูนยแ์ พทยศาสตรศกึ ษาชัน้ คลนิ กิ โรงพยาบาลนครพงิ ค์ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ปัจจุบันภาวะซมึ เศรา้ เป็ นหนึง่ ในปัญหาสขุ ภาพจติ ทีพ่ บมากทีส่ ดุ ในวัยรุ่นและ มแี นวโนม้ เพมิ่ มากขนึ้ อย่างต่อเนื่องทัง้ ทั่วโลกรวมถงึ ประเทศไทย ในจังหวัดเชยี งใหม่มงี านวจิ ัย เรอ่ื งความชกุ และปัจจัยทสี่ ัมพันธก์ ับภาวะซมึ เศรา้ ในเด็กวัยรุ่นนอ้ ย วตั ถุประสงค:์ ศกึ ษาความชกุ และปัจจัย ทสี่ ัมพันธก์ ับภาวะ ซมึ เศรา้ ในเด็กวัยรุ่น ชัน้ มัธยมศกึ ษา ในจังหวัดเชยี งใหม่ รูปแบบศกึ ษา สถานท่ี และผูป้ ่ วย: การศกึ ษานี้เป็ นแบบภาคตัดขวางเชงิ วเิ คราะห์ (CROSS- SECTIONAL ANALYTICAL STUDY) ในเด็กนักเรยี น ชัน้ มัธยมศกึ ษาปี ที่ 1-5 ปี การศกึ ษา 2563 โรงเรยี นนวมนิ ทราชทู ศิ พายัพ จังหวัดเชยี งใหม่ โดยใชช้ ดุ แบบสอบถาม (QUESTIONNAIRE) แบง่ เป็ น 2 ตอน ไดแ้ ก่ 1) ขอ้ มูลทั่วไปรวมถงึ ปัจจัยความเสยี่ งทีเ่ กยี่ วขอ้ ง 2) แบบประเมนิ ภาวะ ซมึ เศรา้ ในวัยรุ่นฉบับภาษาไทย (THAI VERSION OF THE PATIENT HEALTH QUESTIONNAIRE FOR ADOLESCENT: PHQ-A) ใชเ้ กณฑค์ ะแนนรวม PHQ-A ตัง้ แต่ 8 คะแนนขน้ึ ไป การวดั ผล และวธิ กี าร: สถติ วิ เิ คราะหใ์ ชร้ อ้ ยละและ MULTIVARIABLE LOGISTIC REGRESSION นาเสนอ ค่า ODDS RATIO (OR) และ 95% CONFIDENCE INTERVAL (CI) ผล: กลุ่มตัวอย่างทีศ่ กึ ษามจี านวนทัง้ หมด 101 รายทตี่ อบแบบสอบถาม (รอ้ ยละ 6.61 ของจานวน นักเรยี นทัง้ หมด) ส่วนใหญ่เป็ นเพศหญงิ (รอ้ ยละ 72.28) มัธยมศกึ ษาตอนตน้ (รอ้ ยละ 54.46) ความ ชกุ ของ ภาวะซมึ เศรา้ พบรอ้ ยละ 57.43 ปัจจัยทีส่ ัมพันธก์ ับภาวะซมึ เศรา้ ไดแ้ ก่ การใชส้ ารเสพตดิ ในปัจจุบัน (OR 3.71, 95% CI 1.20-11.49, P<0.05) และประวัตเิ คยถูกกลั่นแกลง้ (OR 4.34, 95% CI 1.80-10.46, P<0.01) สรุปผลการศกึ ษาพบว่า ความชกุ ของภาวะซมึ เศรา้ พบรอ้ ยละ 57.43 และปัจจัยทส่ี ัมพันธก์ ับภาวะ ซมึ เศรา้ ไดแ้ ก่ การใชส้ ารเสพตดิ ในปัจจุบัน และประวัตกิ ารเคยถูกกลั่น แกลง้ จะเห็นไดว้ ่าพบความชกุ ของ ภาวะซมึ เศรา้ สูง ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ จงึ เสนอแนะใหเ้ ฝ้ าระวังในเด็กนักเรยี นทมี่ คี วามเสยี่ ง คอื นักเรยี นทใี่ ช ้ สารเสพตดิ และมปี ระวัติ เคยถูกกลั่นแกลง้ โดยการทาการคัดกรองเป็ นประจา เพอื่ วางแผนป้ องกัน รักษาอยา่ งเหมาะสม และเขา้ ถงึ กลุ่มวัยรุ่นทมี่ คี วามเสย่ี งดังกล่าวตามการศกึ ษา คาสาคญั : ภาวะซมึ เศรา้ วัยรุ่น นักเรยี นมัธยมศกึ ษา ปัจจัยทส่ี ัมพันธ์ การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
การศกึ ษาปัจจยั ทส่ี มั พนั ธก์ บั การเกดิ ความผดิ ปกตขิ องเซลลเ์ ยอื่ บุผวิ ปากมดลูกและทานาย โอกาสการเกดิ รอยโรคปากมดลูกขน้ั สูง (FACTORS ASSOCIATED WITH ABNORMAL HISTOLOGICALLY IN SQUAMOUS CELL INTRAEPITHELIAL LESIONS OF CERVIX AND PREDICTED TO PROBABILITY OF HIGH GRADE CERVICAL LESIONS) กรกมล แกว้ วังปวน*, กฤษดา วภิ าผล*, สรัญญา ดลี น้ *, ปพชิ ญา เชอ้ื ประเสรฐิ ศักด*์ิ , ชนิ ดนัย ชา้ งสาร* อัญชลี ชัยนวล** *นสิ ติ แพทยช์ นั้ ปี ท่ี 4 ศูนยแ์ พทยศาสตรช์ ัน้ คลนิ กิ โรงพยาบาลนครพงิ ค์ มหาวทิ ยาลัยพะเยา **โรงพยาบาลนครพงิ ค์ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ความผดิ ปกตขิ องเซลลเ์ ยอื่ ผวิ บุปากมดลูกชนดิ HIGH GRADE LESIONS ประกอบดว้ ย HIGH GRADE SQUAMOUS INTRAEPITHELIAL LESIONS (HSIL) และ SQUAMOUS CELL CARCINOMA ซง่ึ เป็ นรอยโรคกอ่ นเป็ นมะเร็งปากมดลูกและรอยโรคทเี่ ป็ นมะเร็งปากมดลูก มสี าเหตุหลักทที่ าใหเ้ กดิ คอื การตดิ เชอื้ HUMAN PAPILLOMAVIRUS (HPV) รวมทัง้ มปี ัจจัยเสยี่ งอนื่ ๆ ทีส่ ง่ เสรมิ ทาใหเ้ กดิ ความ ผดิ ปกตขิ องเซลลเ์ ยอื่ บุผวิ ปากมดลูกมากยงิ่ ขนึ้ วตั ถปุ ระสงค:์ เพอื่ ศกึ ษาปัจจัยทสี่ ัมพันธก์ ับการเกดิ ความผดิ ปกตขิ องเซลล์ เยอื่ บุผวิ ปากมดลูกและ ทานายโอกาสการเกดิ รอยโรคปากมดลูกขัน้ สูง รปู แบบศกึ ษา สถานท่ี และผปู้ ่ วย: เป็ นการศกึ ษาแบบ CROSS-SECTIONAL STUDY และวเิ คราะห์ ขอ้ มลู แบบ INDEPENDENT T-TEST เปรยี บเทยี บความแตกต่างระหว่างกลุ่มดว้ ยสถติ ิ FISHER’S EXACT TEST และ RANKSUM TEST ตามการกระจายของขอ้ มูล ทานายโอกาสในการเกดิ HIGH GRADE CERVICAL LESIONS โดยใช ้ MULTIVARIABLE LOGISTIC REGRESSION และ BACKWARD ELIMINATION REGRESSION กลุ่มตัวอยา่ ง คอื กลุ่มผูป้ ่ วยสตรที เี่ ขา้ รับการตรวจที่ โรงพยาบาลนครพงิ ค์ ซงึ่ มผี ลการ คัดกรองมะเร็งปากมดลูก และผลการตรวจชนิ้ เนื้อทางพยาธวิ ทิ ยาทีผ่ ดิ ปกติ ตัง้ แต่ปี งบประมาณ 2559-2562 จานวน 1,056 ราย โดยใชข้ อ้ มูลจากใบบันทกึ ผลการส่องกลอ้ งปากมดลูก (COLPOSCOPY) และผลการตรวจทางพยาธวิ ทิ ยา ผล: ผูป้ ่ วยสตรที ีม่ ผี ล HIV เป็ นบวกมคี วามสัมพันธก์ ับการเกดิ HIGH GRADE CERVICAL LESION มากกว่ากลุ่มทีม่ ผี ลตรวจเป็ นลบอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ (ADJUSTED OR 1.76, 95%CI 1.19- 2.60,P=0.005) และพบว่าอายุในชว่ ง 30-60 ปี มคี วามสัมพันธก์ ับการเกดิ HIGH GRADE CERVICAL LESION มากกว่ากลุ่มอายุนอ้ ยกว่า 30 ปี อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ (ADJUSTED OR 1.71, 95% 1.14- 2.57, P=0.009) ชว่ งอายุทมี่ ากกว่า 60 ปี มคี วามสัมพันธก์ ับการเกดิ HIGH GRADE CERVICAL LESION มากกว่ากลุ่ม อายุนอ้ ยกว่า 30 ปี อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ (ADJUSTED OR 3.28, 95% 1.80-5.96, P=<0.001) ส่วนปัจจัยดา้ น อายทุ มี่ เี พศสัมพันธค์ รัง้ แรก จานวนการตัง้ ครรภ์ การคุมกาเนดิ วัยหมด ประจาเดอื น ไม่พบ ความแตกต่างทางสถติ ใิ นกลุ่มทมี่ ผี ล HIV เป็ นบวกและกลุ่มมผี ล HIV เป็ นลบ ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ การศกึ ษานี้พบว่ากลุ่มทีต่ ดิ เชอื้ HIV ทมี่ อี ายมุ ากกว่า 30 ปี เป็ นตน้ ไป มคี วามเสีย่ งทีจ่ ะเกดิ รอยโรคที่ ปากมดลูกขัน้ สงู หากมคี วามผดิ ปกตขิ องผลการคัดกรองมะเร็ง ปากมดลูกควรจะไดร้ ับการตรวจชนิ้ เนื้อเพอื่ ทา การวนิ จิ ฉัยไดเ้ ร็วขนึ้ แต่ทัง้ นี้ตอ้ งอาศัยปัจจัยอนื่ ร่วม ในการพจิ ารณาของแพทยผ์ ูร้ ักษาในการทาการตรวจ วนิ จิ ฉัยดว้ ย คาสาคญั : HIGH GRADE CERVICAL LESIONS, HIGH GRADE SQUAMOUS INTRAEPITHELIAL LESIONS การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ลกั ษณะของผูป้ ่ วยทกี่ ลบั มาตรวจรกั ษาซา้ โดยไมไ่ ดน้ ดั หมาย ภายใน 48 ชว่ั โมง แผนกอุบตั เิ หตุ ฉุกเฉนิ คฑาวุฒิ ใจปิง* พัชรนิ ทร์ กันทะตา* สพุ ชิ ญา ดารงมณี* นศิ ากร นอ้ ยบัวทอง* ฉัตรบดี รัตนเสรมิ พงศ*์ วรัตมส์ ดุ า สมุทรทัย** *นสิ ติ แพทยช์ ัน้ ปี ท่ี 4 ศูนยแ์ พทยศาสตรศ์ กึ ษาชนั้ คลนิ กิ โรงพยาบาลนครพงิ ค์ มหาวทิ ยาลัยพะเยา **อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา บทคดั ยอ่ วตั ถุประสงค:์ เพือ่ ศกึ ษาอุบัตกิ ารณ์และลักษณะของผูป้ ่ วยทกี่ ลับมาตรวจรักษาซ้าโดยไม่ไดน้ ัดหมาย ภายใน 48 ช่ัวโมง แผนกอุบัตเิ หตุฉุกเฉนิ รปู แบบศกึ ษา สถานท่ี และผปู้ ่ วย: รูปแบบการศกึ ษาเชงิ พรรณนา เก็บขอ้ มลผูป้ ่ วยทกี่ ลับมาตรวจรักษา ซ้าโดยไมไ่ ดน้ ัดหมายในแผนกอบุ ัตเิ หตุฉุกเฉนิ ภายใน 48 ชั่วโมงยอ้ นหลังจากเวชระเบยี นโรงพยาบาล นครพงิ ค์ วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 ถงึ 31 ธันวาคม 2563 โดยมเี กณฑก์ ารคัดออกคอื ผูป้ ่ วยทไี่ ดร้ ับการ นัดหมายล่วงหนา้ แลว้ วเิ คราะหห์ าอุบัตกิ ารณ์และลักษณะของผูป้ ่ วยทีก่ ลับมารักษาซ้าโดยไมไ่ ด ้ นัดหมาย ผล: กลุ่มประชากรทีก่ ลับมาตรวจรักษาซ้าโดยไม่ไดน้ ัดหมายในแผนกอบุ ัตเิ หตุฉุกเฉิน ภายใน 48 ชัว่ โมง ระยะเวลา 18 เดอื น พบว่ามจี านวน 297 ราย คดิ เป็ นรอ้ ยละ 0.45 ลักษณะทั่วไป ของกลุ่มตัวอยา่ งส่วนใหญ่เป็ น เพศหญงิ รอ้ ยละ 58.2 มอี ายอุ ยู่ในชว่ ง 15-60 ปี รอ้ ยละ 62.3 พบว่า อัตราการกลับมา ตรวจซ้ามคี วามเกีย่ วขอ้ งกับลักษณะทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับผูป้ ่ วย, ลักษณะทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับ ความเจ็บป่ วย, ลักษณะทเี่ กยี่ วขอ้ งกับแพทยผ์ ูร้ ักษาและลักษณะอนื่ ๆ รอ้ ยละ 12.1 , 54.9 , 17.2 และ รอ้ ยละ 15.8 ตามลาดับ อาการนาทพี่ บมากทสี่ ดุ คอื ปวดทอ้ ง รอ้ ยละ 25.6 และผลสุดทา้ ยของกลุ่ม ตัวอย่างหลังกลับมาตรวจรักษาซ้าพบว่าสว่ นใหญ่ผูป้ ่ วยไดร้ ับการจาหน่ายกลับบา้ นมากทีส่ ุด รอ้ ยละ 52.9 รองลงมาไดร้ ับ การรักษาในหอผูป้ ่ วยใน รอ้ ยละ 40.7 ทัง้ นี้พบขอ้ มูลทสี่ าคัญว่ามผี ูป้ ่ วยเสยี ชวี ติ หลังกลับมาตรวจรักษาชา้ 1 ราย คดิ เป็ นรอ้ ยละ 0.3 และไดร้ ับการผ่าตัด รอ้ ยละ 2.4 ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ การศกึ ษานี้พบว่าอัตราการกลับมาตรวจชา้ มคี วามเกยี่ วขอ้ งกับลักษณะ ความเจ็บป่ วยในเรอ่ื งการดาเนนิ โรคทแี่ ยล่ งมากทสี่ ดุ คาสาคญั : กลับมาตรวจรักษาซ้า, แผนกอุบัตเิ หตุฉุกเฉนิ , UNSCHEDULED REVISITS, EMERGENCY DEPARTMENT การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
การพฒั นารปู แบบการสง่ เสรมิ พฤตกิ รรมดา้ นคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมของพยาบาลวชิ าชพี โรงพยาบาลนครพงิ ค์ จงั หวดั เชยี งใหม่ นาฏยา เออ้ื งไพโรจน,์ สทุ ธพิ ันธ์ ถนอมพันธ,์ อรทัย เสง็ กง่ิ , สดุ ารตั น์ วรรณสาร และ กลุ ดา พฤตวิ รรธน,์ ภารกจิ ดา้ นการพยาบาล โรงพยาบาลนครพงิ ค์ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ปัญหาขาดแคลนพยาบาล สง่ ผลกระทบตอ่ คุณภาพการปฏบิ ัตทิ างการพยาบาล และเป็ น สาเหตุหนง่ึ ทาใหเ้ กดิ ปัญหาดา้ นจรยิ ธรรมทางการพยาบาลเพม่ิ ขนึ้ การส่งเสรมิ ใหบ้ ุคลากรพยาบาล ตระหนัก และปฏบิ ตั ติ ามหลักจรยิ ธรรมทางการพยาบาลเป็ นสง่ิ สาคญั และมคี วามจาเป็ นอยา่ งยงิ่ วตั ถุประสงค:์ 1) เพอ่ื พัฒนารูปแบบการส่งเสรมิ พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรมและจรยิ ธรรมของพยาบาล วชิ าชพี โรงพยาบาลนครพงิ ค์ 2) เพอ่ื เปรยี บเทยี บคะแนนเฉลยี่ การประเมนิ พฤตกิ รรมจรยิ ธรรมของ พยาบาลวชิ าชพี ระยะก่อนและหลังการใชร้ ปู แบบการส่งเสรมิ พฤตกิ รรมดา้ นคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมของ พยาบาลวชิ าชพี โรงพยาบาลนครพงิ ค์ รูปแบบศกึ ษา สถานท่ี และผูป้ ่ วย: การศกึ ษานี้เป็ นการวจิ ัยเชงิ พัฒนา (Developmental Research) ดาเนินการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมดา้ นคุณธรรมและจริยธรรมของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลนครพงิ ค์ ระหวา่ ง เดอื นมกราคม พ.ศ. 2563- กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 ประชากรคอื พยาบาล วชิ าชพี และผปู ้ ่ วยทมี่ ารับบรกิ ารทัง้ หมด จานวน 793 และ565 คน ตามลาดับ กลุ่มตัวอยา่ ง แบง่ เป็ น 2 กลมุ่ ประกอบดว้ ย 1) กลุม่ พยาบาลวชิ าชพี ไดแ้ ก่ พยาบาลตัวแทนหน่วยงาน ผูพ้ ัฒนารปู แบบสง่ เสรมิ พฤตกิ รรมดา้ นคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมของพยาบาลวชิ าชพี จานวน 50 คน สมุ่ คดั เลอื กแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling) โดยมคี ุณสมบัติ คอื เป็ นพยาบาลวชิ าชพี ระดับปฏบิ ัตกิ าร มคี ะแนนประเมนิ จรยิ ธรรมระดับดี หรอื ดเี ดน่ สมัครใจเขา้ ร่วมการวจิ ัย และ พยาบาลผปู ้ ระเมนิ พฤตกิ รรมเชงิ จรยิ ธรรมการ ใหบ้ รกิ ารของพยาบาลวชิ าชพี ทัง้ หมดจานวน 260 คน และ 2) ผรู ้ บั บรกิ าร จานวน 565 คน โดยคานวณ ขนาดกลมุ่ ตัวอยา่ งโดยใชต้ ารางสาเร็จรูปของเครจซี และมอรแ์ กน (Krejcie & Morgan, 1977)และสมุ่ เลอื กแบบเป็ นระบบ (systematic sampling) ตามสัดสว่ นจานวนพยาบาลและผูม้ ารับบรกิ ารเฉลย่ี ในแต่ ละหน่วยบรกิ าร วธิ ดี าเนนิ งาน : แบง่ เป็ น 3 ระยะ ระยะที่ 1 การประเมนิ พฤตกิ รรมจรยิ ธรรมของพยาบาลวชิ าชพี กอ่ นใช ้ รูปแบบการส่งเสรมิ พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรมและจรยิ ธรรม โดยใช ้ แบบประเมนิ พฤตกิ รรมดา้ นจรยิ ธรรม ของผูป้ ระกอบวชิ าชพี การพยาบาลและการผดุงครรภ์ สภาการพยาบาล ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการ สง่ เสรมิ พฤตกิ รรมดา้ นคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมของพยาบาลวชิ าชพี โดยจัดประชมุ กลมุ่ พยาบาลตัวแทน หน่วยงาน ตามแผนประชมุ กล่มุ ทส่ี รา้ งขนึ้ ตามกรอบแนวคดิ เชงิ บูรณการวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารอยา่ งมสี ว่ น ร่วม และ การพัฒนาจรยิ ธรรมในตนเอง เพอื่ สรา้ งรูปแบบการส่งเสรมิ พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรมและ จรยิ ธรรม ตรวจสอบความเป็ นไปได ้ ความเหมาะสมในการนาไปใชจ้ ากองคก์ รพยาบาล และนาสู่การ ปฏบิ ัติ ระยะท่ี 3 การประเมนิ พฤตกิ รรมจรยิ ธรรมของพยาบาลวชิ าชพี หลังใชร้ ูปแบบการส่งเสรมิ พฤตกิ รรมดา้ นคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม การวเิ คราะหข์ อ้ มลู : ใชส้ ถติ เิ ชงิ พรรณนา วเิ คราะหเ์ น้ือหาเชงิ ลกึ และ สถติ นิ อนพาราเมตรกิ Kruskal Wallis Test วธิ วี ดั ผล: ประเมนิ คะแนนเฉล่ียพฤตกิ รรมจรยิ ธรรมของพยาบาลวชิ าชพี ระยะก่อน พัฒนารูปแบบ สง่ เสรมิ พฤตกิ รรมดา้ นคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมของพยาบาลวชิ าชพี และหลงั 1 เดอื น 3 เดอื นและ 6 เดอื น ผล: ไดร้ ูปแบบสง่ เสรมิ พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรมและจรยิ ธรรมของพยาบาลวชิ าชพี และคู่มอื การใช ้ ประกอบดว้ ย 18 กจิ กรรมสง่ เสรมิ การพัฒนาจรยิ ธรรมในตนเองทัง้ 3 ดา้ น คอื การเรยี นรจู ้ ากการกระทา การวเิ คราะหต์ นเอง และ การฝึ กตนควบคุมความประพฤตขิ องตน โดยมตี ัวแทนพยาบาลจรยิ ธรรม ภายใตก้ ารสนับสนุนหวั หนา้ หอผปู ้ ่ วย นาสกู่ ารปฏบิ ตั ิ เมอ่ื เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งคะแนนเฉลยี่ ประเมนิ พฤตกิ รรมจรยิ ธรรมของพยาบาลวชิ าชพี ระยะกอ่ น และหลัง 1 เดอื น 3 เดอื น และ 6 เดอื น เมอ่ื ประเมนิ โดยพยาบาลระดับปฏบิ ตั กิ าร พบวา่ คะแนนทัง้ ภาพรวมและจาแนกรายดา้ น เพมิ่ ขนึ้ อยา่ งมนี ัยสาคัญทาง สถติ ิ (P < 0.001) คะแนนพฤตกิ รรมบรกิ ารในภาพรวมอยรู่ ะดับดมี าก เมอื่ ประเมนิ โดยผรู ้ ับบรกิ าร พบว่า พฤตกิ รรมบรกิ ารภาพรวมอยใู่ นระดับดี พฤตกิ รรมบรกิ ารพยาบาลรายดา้ นมคี ะแนนเฉลย่ี สงู สดุ 3 อันดับ แรก ไดแ้ ก่ ดา้ นบคุ ลกิ ภาพ ความรับผดิ ชอบ และมนุษยส์ มั พนั ธ์ เมอื่ เปรยี บเทยี บคะแนนภาพรวมและราย ดา้ นระยะกอ่ นและหลังพัฒนารปู แบบ ไมม่ คี วามแตกตา่ งทางสถติ ิ ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ การพัฒนารูปแบบการส่งเสรมิ พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรมและจรยิ ธรรมของ พยาบาลวชิ าชพี ท่ีมาจากการมสี ่วนร่วมพยาบาลทาใหก้ ารดาเนินงานจรยิ ธรรมทางการพยาบาลใน หน่วยงานเป็ นรปู ธรรม สง่ ผลใหพ้ ยาบาลรับรแู ้ ละมกี ารเปลย่ี นแปลงดา้ นพฤตกิ รรมจรยิ ธรรมในทศิ ทางทด่ี ี การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ขน้ึ และควรนาเสยี งสะทอ้ นของผูร้ ับบรกิ ารมาพัฒนาร่วมกับใชก้ ลยุทธก์ ารมสี ่วนร่วมในการนเิ ทศการ ปฏบิ ตั ขิ องหัวหนา้ หอผปู ้ ่ วยอยา่ งตอ่ เนอื่ ง คาสาคญั : พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรมและจรยิ ธรรม, รูปแบบการส่งเสรมิ พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรมและ จรยิ ธรรม, คณุ ธรรมและจรยิ ธรรมของพยาบาลวชิ าชพี การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ประสทิ ธผิ ลของแนวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลเพอ่ื สง่ เสรมิ พฒั นาการทารกเกดิ กอ่ นกาหนด ในหอ้ ง ผปู้ ่ วยหนกั กมุ ารเวชกรรม โรงพยาบาลแพร่ The Effectiveness of Developmental care Program for Preterm infant in NICU Phrae Hospital สมานใจ เขยี วสลบั พย.บ.*, ชนื่ จติ ต์ สมจติ ต์ พย.ม.**, จนิ ตนา ชยั ธรรม พย.บ.*, ธญั ญรตั น์ นันทะยานา พย.บ.*, ยพุ าภรณ์ หลา้ คามี พย.บ.* *หอ้ งผปู ้ ่ วยหนักกมุ ารเวชกรรม โรงพยาบาลแพร่ ** หอ้ งตรวจกมุ ารเวชกรรม โรงพยาบาลแพร่ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ทารกเกดิ ก่อนกาหนดตอ้ งรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็ นระยะเวลานาน ลักษณะของ สง่ิ แวดลอ้ มในหอผปู ้ ่ วยหนักทารกแรกเกดิ ประกอบไปดว้ ยสง่ิ แวดลอ้ มทกี่ ระตนุ ้ ทารกมากเกนิ ไปจากแสง เสยี ง และการสัมผัสจับตอ้ ง สง่ ผลใหท้ ารกพักหลับไดน้ อ้ ยลง น้าหนักของทารกจะไม่เพมิ่ ขนึ้ ในระยะ ยาว พบวา่ ทารกเกดิ กอ่ นกาหนดมอี ตั ราการเจรญิ เตบิ โตของรา่ งกายชา้ ลง มคี วามผดิ ปกตดิ า้ นพฤตกิ รรม ทเ่ี ป็ นผลจาก พัฒนาการระบบประสาทเมอื่ โตขน้ึ การดูแลเพอ่ื สง่ เสรมิ พัฒนาการทารกเกดิ กอ่ นกาหนด จะทาใหท้ ารกมกี ารเจรญิ เตบิ โต และพัฒนาการทเ่ี หมาะสมและเป็ นปกติ วตั ถปุ ระสงค์ : เพอ่ื เปรยี บเทยี บ ระยะเวลาในการรักษาในโรงพยาบาล การขนึ้ ของน้าหนักขณะรับการ รักษาในหอ้ งผูป้ ่ วยหนักกุมารเวชกรรม การเจรญิ เตบิ โต พัฒนาการ ของทารกเกดิ กอ่ นกาหนดกลุ่มท่ี ไดร้ บั การพยาบาลเพอื่ สง่ เสรมิ พฒั นาการและกลมุ่ ทไี่ ดร้ ับการพยาบาลตามปกติ รปู แบบศกึ ษา สถานท่ี และผปู้ ่ วย: รูปแบบการศกึ ษา Historical controlled design ศกึ ษาทารกเกดิ ก่อนกาหนด อายุครรภ์นอ้ ยกว่า 37 สัปดาห์ ที่เขา้ รับการรักษาในหอ้ งผูป้ ่ วยหนักกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลแพร่ กลุ่มควบคมุ เป็ นทารกเกดิ กอ่ นกาหนด ทเี่ ขา้ รับการรักษา ระหว่าง เดอื น สงิ หาคม – ธันวาคม 2562 ไดร้ ับการพยาบาลแบบเดมิ จานวน 37 ราย กลมุ่ ทดลอง เป็ นทารกเกดิ กอ่ นกาหนด ทเ่ี ขา้ รับการรักษา ระหวา่ ง เดอื น สงิ หาคม – ธันวาคม 2563 ไดร้ ับการพยาบาลเพอ่ื สง่ เสรมิ พัฒนาการ ทารกเกดิ กอ่ นกาหนด จานวน 37 ราย วเิ คราะหข์ อ้ มลู ท่ัวไปดว้ ยสถติ เิ ชงิ พรรณนาไดแ้ ก่ จานวน รอ้ ยละ ค่าเฉลย่ี สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งระหว่างกล่มุ ดว้ ยสถติ ิ exact probability test และ t – test เปรยี บเทยี บการขนึ้ ของน้าหนักทารกขณะรับการรักษาในหอ้ งผูป้ ่ วยหนักกุมาร- เวชกรรมดว้ ย graph ชนดิ standard error bars ผล: ทารกคลอดก่อนกาหนดทัง้ สองกลุ่ม มลี ักษณะพื้นฐาน ไดแ้ ก่ เพศ อายุครรภ์ น้าหนักแรกเกดิ APGAR score นาทีที่ 1, 5, 10 การไดร้ ับออกซเิ จน การเกดิ ภาวะแทรกซอ้ นขณะรับการรักษา ไมแ่ ตกตา่ งกนั กล่มุ ทดลองมรี ะยะเวลานอนรับการรักษาในหอ้ งผปู ้ ่ วยหนักกมุ ารเวชกรรม นอ้ ยกวา่ กลุ่ม ควบคมุ (20.02 ± 11.78 VS 25.08 ±13.16, p =0.050) กลมุ่ ทดลองมกี ารขน้ึ ของน้าหนักทารกขณะ รบั การรกั ษาในหอ้ งผปู ้ ่ วยหนักกมุ ารเวชกรรมมากกวา่ กลมุ่ ควบคมุ ตดิ ตามพัฒนาการและการเจรญิ เตบิ โต ทอ่ี ายุ 1-2 เดอื น 4, 6, 9 ของทัง้ สองกลมุ่ มพี ฒั นาการและการเจรญิ เตบิ โต ไมแ่ ตกต่างกนั ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ การใชแ้ นวปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลเพอื่ สง่ เสรมิ พัฒนาการทารกเกดิ กอ่ นกาหนด สามารถลดระยะเวลาในการนอนรับการรักษาในหอ้ งผูป้ ่ วยหนักกุมารเวชกรรม ทารกเกดิ ก่อนกาหนด มนี ้าหนักเพม่ิ ขน้ึ เร็ว คาสาคญั : ทารกเกดิ กอ่ นกาหนด, การพยาบาลเพอ่ื สง่ เสรมิ พัฒนาการทารกเกดิ กอ่ นกาหนด การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ประสิทธผิ ลของการใช้แนวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลทางคลนิ กิ ในผู้ป่ วยที่มภี าวะไตบาดเจ็ บ เฉยี บพลนั ทไ่ี ดร้ บั การรกั ษาดว้ ยการบาบดั ทดแทนไตอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ในหอผปู้ ่ วยหนกั อายุรกรรม โรงพยาบาลแพร่ สมจติ ร สทุ ธนะ โรงพยาบาลแพร่ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ผูป้ ่ วยท่มี ภี าวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันท่ีไดร้ ับการรักษาดว้ ยการบาบัดทดแทนไตอย่าง ต่อเน่ืองอาจเกดิ ภาวะแทรกซอ้ นไดแ้ ก่ ความดันโลหติ ต่าขณะทา การเกดิ เลือดออกผดิ ปกติ การมี อณุ หภมู ริ า่ งกายต่า(hypothermia) ความไมส่ มดุลยข์ องสารน้า เกลอื แร่ กรดด่าง และสายสวนหลอด เลอื ดดาใหญ่เลื่อนหลุด หรอื ผดิ ตาแหน่ง การนาแนวปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลทางคลนิ กิ ผูป้ ่ วยทม่ี ภี าวะไต บาดเจ็บเฉยี บพลนั ทไี่ ดร้ ับการรักษาดว้ ยการบาบดั ทดแทนไตอยา่ งตอ่ เนอื่ ง มาใชจ้ ะชว่ ยเพมิ่ คณุ ภาพการ ดแู ลผปู ้ ่ วย ชว่ ยป้องกนั ไมใ่ หผ้ ปู ้ ่ วยเขา้ สภู่ าวะวกิ ฤต และปลอดภยั จากภาวะแทรกซอ้ นทอ่ี าจจะเกดิ ขนึ้ วตั ถปุ ระสงค:์ เพอ่ื ศกึ ษาประสทิ ธผิ ลของการใชแ้ นวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลทางคลนิ กิ ในผปู ้ ่ วยทม่ี ภี าวะไต บาดเจ็บเฉยี บพลนั ทไ่ี ดร้ บั การรักษาดว้ ยการบาบดั ทดแทนไตอยา่ งต่อเน่อื ง ในหอผปู ้ ่ วยหนักอายรุ กรรม โรงพยาบาลแพร่ รูปแบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: เป็ นการวจิ ัยกงึ่ ทดลอง (quasi-experimental research) วัดผล กอ่ นและหลงั การอบรมการใชแ้ นวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลทางคลนิ กิ ทาการศกึ ษาผปู ้ ่ วยทม่ี ภี าวะไตบาดเจ็บ เฉียบพลันท่ีไดร้ ับการรักษาดว้ ยการบาบัดทดแทนไตอย่างต่อเนื่อง ในหอผูป้ ่ วยหนักอายุรกรรม โรงพยาบาลแพร่ ระหวา่ งเดอื นมกราคม–ธันวาคม 2563 กอ่ นอบรมจานวน 20 ราย หลังอบรมจานวน 20 ราย และพยาบาลผใู ้ ชแ้ นวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลทางคลนิ กิ 15 ราย การวดั ผล และวธิ กี าร: ศกึ ษาขอ้ มลู การปฏบิ ตั กิ จิ กรรมการพยาบาล ผลลพั ธข์ องการรักษา และอาการ เปลย่ี นแปลงหลงั การรักษา ของกลมุ่ ทไ่ี มไ่ ดร้ บั การอบรมการใชแ้ นวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลทางคลนิ กิ ผูป้ ่ วย ทมี่ ภี าวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันทไี่ ดร้ ับการรักษาดว้ ยการบาบดั ทดแทนไตอยา่ งตอ่ เนื่อง เปรยี บเทยี บกบั กลมุ่ ทไ่ี ดร้ บั การอบรม ดว้ ยสถติ ิ Wilcoxon signed rank test, t-test และ Chi-square test ผล: กลุม่ ทไ่ี ดร้ ับการอบรมการใชแ้ นวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลทางคลนิ กิ มกี ารปฏบิ ัตกิ จิ กรรมการพยาบาล สว่ นใหญเ่ พมิ่ ขนึ้ ทกุ ขอ้ (p<.05) คา่ เฉลย่ี ของยเู รยี ครเี อตนิ นิ และโปแตสเซยี ม ลดลงจากค่าเรม่ิ ตน้ กอ่ น การรกั ษา (p<.05) และคา่ เฉลย่ี ของไบคารบ์ อเนต เพมิ่ ขนึ้ จากคา่ เรม่ิ ตน้ กอ่ นการรกั ษา(p<.05) อาการ เปลย่ี นแปลงหลงั การรักษาอาการทลี่ ดลง คอื มฟี องอากาศในวงจรตอ้ งยตุ กิ ารักษา (p<.01) ภาวะความ ดันโลหติ ตา่ ภาวะตัวกรองอดุ ตนั ภาวะอณุ หภมู กิ ายตา่ และภาวะโซเดยี มตา่ (p<.05) พยาบาลสว่ นใหญ่ มคี วามเห็นวา่ แนวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลทางคลนิ กิ สามารถนาไปใชไ้ ด ้ ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ การใชแ้ นวปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลทางคลนิ ิกในผูป้ ่ วยท่ีมีภาวะไตบาดเจ็บ เฉียบพลันทไี่ ดร้ บั การรักษาดว้ ยการบาบดั ทดแทนไตอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ทาใหเ้ กดิ ผลลัพธท์ ด่ี แี ละลดการเกดิ ภาวะแทรกซอ้ นกบั ผปู ้ ่ วย คาสาคญั : แนวปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลทางคลินิก ไตบาดเจ็บเฉียบพลัน การบาบัดทดแทนไตอย่าง ตอ่ เนอื่ ง การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ประสทิ ธผิ ลของการใชแ้ นวปฏบิ ตั ทิ างคลนิ กิ สาหรบั การจดั การความปวด ในผปู้ ่ วยวกิ ฤต ศลั ยกรรม หอ้ งผปู้ ่ วยหนกั ศลั ยกรรม โรงพยาบาลแพร่ ประวณี า อศั วพลไพศาล กลมุ่ งานการพยาบาล โรงพยาบาลแพร,่ จฬุ าวรี ชยั วงคน์ าคพนั ธ์ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนแี พร่ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ความปวดเป็ นปัญหาทพี่ บบ่อยในผูป้ ่ วยวกิ ฤตศัลยกรรม เกดิ ขน้ึ จากการรักษา การ ชว่ ยชวี ติ จากหตั ถการทางการแพทย์ และจากการพยาบาล สง่ ผลทาใหม้ อี ัตราการตาย ระยะเวลาการใช ้ เครอ่ื งชว่ ยหายใจ และจานวนวันนอนในหอผูป้ ่ วยวกิ ฤตเพมิ่ ขนึ้ ได ้ ความปวดในผูป้ ่ วยวกิ ฤตจงึ เป็ นสง่ิ ท่ี พยาบาลตอ้ งตระหนักและจัดการความปวดใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ คณะผูว้ จิ ัยจงึ นาแนวปฏบิ ัตทิ างคลนิ ิก สาหรบั การจดั การความปวดในผปู ้ ่ วยวกิ ฤตมาใชเ้ พอื่ ชว่ ยพัฒนาคณุ ภาพการดแู ลผปู ้ ่ วยวกิ ฤตศลั ยกรรม วตั ถุประสงค:์ เพอื่ เปรยี บเทยี บระดับความปวด และคะแนนความพงึ พอใจของผปู ้ ่ วยวกิ ฤตศัลยกรรม กลมุ่ ทไ่ี มใ่ ชแ้ ละใชแ้ นวปฏบิ ตั ทิ างคลนิ กิ สาหรบั การจัดการความปวดในผปู ้ ่ วยวกิ ฤต รปู แบบศกึ ษา สถานท่ี และผูป้ ่ วย: การวจิ ัยครัง้ น้เี ป็ นการวจิ ัย วจิ ัยกงึ่ ทดลอง (quasi experimental research) รูปแบบInterrupted time design ประชากรทศี่ กึ ษา คอื ผูป้ ่ วยวกิ ฤตทไี่ ดร้ ับการรักษาดว้ ย การผ่าตัดใหญ่ (major surgery) เขา้ รับการรักษาตัวในหอ้ งผูป้ ่ วยหนักศัลยกรรม โรงพยาบาลแพร่ กลมุ่ ตัวอยา่ งคอื ผปู ้ ่ วยวกิ ฤตทไ่ี ดร้ บั การรกั ษาดว้ ยการผา่ ตดั ใหญ่ (major surgery) เขา้ รบั การรกั ษาตัวใน หอ้ งผปู ้ ่ วยหนักศลั ยกรรม โรงพยาบาลแพร่ ตงั้ แตเ่ ดอื นกมุ ภาพันธ์ - พฤษภาคม 2564 แบง่ เป็ น 2 กลุ่ม เป็ นกลุ่มตัวอยา่ งกอ่ นการใชแ้ นวปฏบิ ัตทิ างคลนิ กิ สาหรับการจัดการความปวดในผูป้ ่ วยวกิ ฤต จานวน 22 ราย และกลมุ่ ตัวอย่างทใ่ี ชแ้ นวปฏบิ ัตทิ างคลนิ กิ สาหรับการจัดการความปวดในผูป้ ่ วยวกิ ฤต จานวน 22 ราย ประเมนิ ระดับความปวด และความพงึ พอใจของผูป้ ่ วยทีใ่ ชแ้ นวปฏบิ ัตทิ างคลนิ ิกสาหรับการ จัดการความปวดในผปู ้ ่ วยวกิ ฤต วเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บคะแนนกลุ่มทไ่ี ม่ใชแ้ ละใชแ้ นวปฏบิ ัตทิ างคลนิ กิ ดว้ ยสถติ ิ Independent t-test ผล: กลมุ่ ตัวอยา่ งทใ่ี ชแ้ นวปฏบิ ตั ทิ างคลนิ กิ สาหรับการจัดการความปวดในผปู ้ ่ วยวกิ ฤต มคี ะแนนความ ปวดทลี่ ดลง ( X = 2.24 ) มากกว่ากลุ่มตัวอยา่ งทไี่ มใ่ ชแ้ นวปฏบิ ัติ ( X =1.53) อย่างมนี ัยสาคัญทาง สถติ ทิ ร่ี ะดับ 0.001 และความพงึ พอใจของผูป้ ่ วยทใ่ี ชแ้ นวปฏบิ ัติ ( X =7.91) มากกว่ากลุ่มตัวอยา่ งที่ ไมใ่ ชแ้ นวปฏบิ ตั ิ ( X =5.68 ) อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ รี่ ะดับ 0.000 ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ การใชแ้ นวปฏบิ ัตทิ างคลนิ กิ สาหรับการจัดการความปวดในผูป้ ่ วยวกิ ฤต ชว่ ยบรรเทาความปวดเกดิ ผลลัพธท์ ด่ี ใี นการดแู ลผปู ้ ่ วยวกิ ฤต คาสาคญั : ประสทิ ธผิ ล, แนวปฏบิ ตั ทิ างคลนิ กิ , การจัดการความปวด, ผปู ้ ่ วยวกิ ฤตศลั ยกรรม การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
การศกึ ษาคณุ สมบตั ขิ อง Leukocyte Poor blood ทเ่ี ตรยี มใชใ้ นงานธนาคารเลอื ด Evaluation of Leukocyte Poor Blood Preparation in Blood Bank พเิ ชษฐ์ เวยี งหก , วรางคณา โสฬสลขิ ติ กลมุ่ งานเทคนคิ การแพทยแ์ ละพยาธวิ ทิ ยาคลนิ กิ โรงพยาบาลแพร่ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ความตอ้ งการใช ้ Leukocyte poor blood (LPB) สาหรับผปู ้ ่ วยทตี่ อ้ งรับโลหติ มเี พมิ่ มาก ขนึ้ โดยมจี ุดประสงค์ท่จี ะป้ องกันการเกดิ alloimmunization และ febrile transfusion reactions (FNHTR) เพราะเม็ดเลอื ดขาวทปี่ นเป้ื อนในส่วนประกอบของเลอื ดจะกระตุน้ ใหม้ กี ารสรา้ ง white cell antibodies ซง่ึ เป็ นสาเหตุของการเกดิ FNHTR1,refractoriness ต่อ platelet transfusion และ rejection ตอ่ organ transplantationและยังเป็ นสาเหตขุ องการเกดิ graft versus host disease ขอ้ บง่ ชต้ี ามมาตรฐานของAABB2 (American Association of Blood Bank) และยโุ รป (CE)3 กาหนด คณุ ภาพการเตรยี ม LPB เพอ่ื ใชก้ บั ผปู ้ ่ วย ตอ้ งลดจานวนของเม็ดเลอื ดขาวใหไ้ ดม้ ากทสี่ ดุ ซง่ึ วธิ ที นี่ ยิ มใช ้ ในปัจจุบันไดแ้ ก่วธิ ปี ่ันแยกเม็ดเลอื ดขาว Differential centrifugation4 หรอื วธิ กี รองดว้ ย Leukocyte filter โดยวธิ กี รองจะสามารถแยกเม็ดเลอื ดขาวออกไดม้ ากโดยทมี่ กี ารสญู เสยี เม็ดเลอื ดแดงนอ้ ย แตช่ ดุ กรองจะมีราคาแพง จงึ เป็ นอีกขอ้ จากัดที่สาคัญ ในเรื่องตน้ ทุนค่าใชจ้ ่าย เป็ นท่ีมาของการศกึ ษา คณุ สมบตั ขิ องผลติ ภณั ฑ์ LPB ทเี่ ตรยี มโดยวธิ กี ารป่ันแยก ซง่ึ ใชอ้ ยเู่ ป็ นประจา มตี น้ ทนุ คา่ ใชจ้ า่ ยนอ้ ย กบั LPB ทเี่ ตรยี มจากการกรองดว้ ย Leukocyte filter เพอ่ื ดปู รมิ าณเม็ดเลอื ดขาวทแ่ี ยกออกและปรมิ าณเม็ด เลอื ดแดงทย่ี งั คงเหลอื ในผลติ ภณั ฑท์ ัง้ สองชนดิ วตั ถปุ ระสงค:์ การศกึ ษาคุณสมบัตขิ องผลติ ภณั ฑ์ LPB ทเ่ี ตรยี มโดยวธิ กี ารปั่นแยกกับ LPB ทเี่ ตรยี ม โดยวธิ กี ารกรอง ในการแยกเม็ดเลอื ดขาวออกโดยยงั คงรักษาปรมิ าณเม็ดเลอื ดแดงไวไ้ ดต้ ามมาตรฐาน ทกี่ าหนด รปู แบบศกึ ษา สถานท่ี และผูป้ ่ วย: เป็ นการศกึ ษา Cross- sectional Analytical Study โดยใชแ้ บบ บนั ทกึ ขอ้ มลู (Case Record Form) บันทกึ ขอ้ มูลท่ัวไปของผูบ้ รจิ าคโลหติ ของสาขาบรกิ ารโลหติ แห่งชาตฯิ โรงพยาบาลแพรแ่ ละขอ้ มลู การเตรยี มสว่ นประกอบโลหติ ชนดิ LPB ทัง้ สองวธิ ี ทาการศกึ ษา ทห่ี น่วยงานธนาคารเลอื ด โรงพยาบาลแพร่ การวดั ผล และวธิ กี าร: ศกึ ษาผลของการเตรยี มสว่ นประกอบโลหติ ชนดิ LPB ทเ่ี ตรยี มโดยวธิ กี ารป่ัน แยกดว้ ยเครอ่ื งปั่นแยกสว่ นประกอบโลหติ ชนดิ ควบคมุ ความเยน็ กบั ผลติ ภณั ฑ์ LPB ทเี่ ตรยี มจากการกรอง ดว้ ย Leukocyte filter จานวนอยา่ งละ 30 ยนู ติ เกบ็ ขอ้ มลู ทัว่ ไปของประชากรกลมุ่ ตัวอยา่ งประกอบดว้ ย อายุ น้าหนัก จานวนครัง้ ของการบรจิ าค ขอ้ มลู กอ่ นและหลังการเตรยี มไดแ้ กป่ รมิ าตร จานวนเม็ดเลอื ด แดง เม็ดเลอื ดขาวและค่า % Hct รวมทัง้ คานวณหาค่า %White blood cell removal , %Red cell recovery และจานวน Residual white blood cell วเิ คราะหผ์ ลดว้ ยสถติ ริ อ้ ยละ ค่าเฉลย่ี ค่าเบย่ี งเบน มาตรฐาน t test และ rank sum test ผล: ผลติ ภณั ฑจ์ ากการเตรยี มทัง้ สองวธิ เี ปรยี บเทยี บกบั มาตรฐานทกี่ าหนด พบว่า % Hct ของ LPB ที่ เตรยี มโดยวธิ ปี ่ันแยกมคี า่ เฉลย่ี รอ้ ยละ 61.6 วธิ กี รองมคี า่ เฉลยี่ รอ้ ยละ 71.8 จานวนเม็ดเลอื ดขาวคงเหลอื ทเ่ี ตรยี มไดจ้ ากวธิ ปี ่ันมคี า่ เฉลย่ี 0.88x109 วธิ กี รองมคี ่าเฉลยี่ 4.01x106% WBC removal ใน LPB ที่ เตรยี มไดจ้ ากวธิ ปี ่ันมคี า่ เฉลยี่ รอ้ ยละ 70.2 จากวธิ กี รองมคี ่าเฉลยี่ รอ้ ยละ 99.8% RBC recovery ในLPB ทเี่ ตรยี มไดจ้ ากวธิ ปี ั่นมคี ่าเฉลย่ี รอ้ ยละ 87.2 และวธิ กี รองมคี ่าเฉลยี่ รอ้ ยละ 87.1 เป็ นไปตามมาตรฐานที่ กาหนดทัง้ มาตรฐาน AABB และ CE ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ ผลติ ภณั ฑ์ LPB ทไี่ ดจ้ ากการเตรยี มโดยวธิ ปี ั่นแยกสว่ นประกอบโลหติ และ วธิ กี รองมคี า่ % Hct, เม็ดเลอื ดขาวคงเหลอื (Residual WBC), % WBC removal และ % RBC recovery มคี ณุ ภาพเป็ นไปตามมาตรฐานทก่ี าหนดทัง้ มาตรฐาน AABB และมาตรฐาน CE คาสาคญั : febrile non haemolytic transfusion reactions (FNHTR), American Association of Blood Bank ( AABB ), Leukocyte Poor Blood (LPB ), Leukocyte poor Packed Red Cell (LPRC), Leukocyte depleted Packed Red Cell (LDPRC) การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ผลของการใชแ้ นวปฏบิ ตั ใิ นการดูแลผูป้ ่ วยโรคจอตาทไ่ี ดร้ บั การฉดี ยาอวาสตนิ เข้านา้ วุน้ ตา ในหอผปู้ ่ วยจกั ษุ โสต ศอ นาสกิ โรงพยาบาลแพร่ มะลิ การะปักษ์, อรพนิ มโนรส, จันทริ า ชยั สขุ โกศล, เพ็ญศรี ปัญโญ หอผูป้ ่ วยจักษุ โสต ศอ นาสกิ โรงพยาบาลแพร่ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : การดแู ลผปู ้ ่ วยโรคจอตาทไี่ ดร้ บั การรักษาดว้ ยการฉีดยาเขา้ น้าวนุ ้ ตา เพอ่ื ใหผ้ ลการรักษา มปี ระสทิ ธภิ าพ ไมเ่ กดิ ภาวะแทรกซอ้ นจากการฉีดยาเขา้ น้าวนุ ้ ลูกตา ผูป้ ่ วยตอ้ งปฏบิ ตั ติ ัวอยา่ งถกู ตอ้ ง มี ความรูค้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกับโรค การรักษาและการปฏบิ ัตติ ัวก่อนและหลังฉีดยาเขา้ น้าวุน้ ลูกตาจงึ มี ความสาคญั จงึ ไดศ้ กึ ษาวจิ ัยเรอ่ื งผลของการใชแ้ นวปฏบิ ัตใิ นการดูแลผปู ้ ่ วยทไี่ ดร้ ับการฉีดยาอะวาสตนิ เขา้ น้าวนุ ้ ตาทห่ี อผปู ้ ่ วยจกั ษุ โสต ศอ นาสกิ โรงพยาบาลแพร่ วตั ถปุ ระสงค:์ เพอ่ื เปรยี บเทยี บความเจ็บปวดและความพงึ พอใจของการใชแ้ นวปฏบิ ตั ใิ นการดแู ลผปู ้ ่ วย ทไี่ ดร้ บั การฉดี ยาอะวาสตนิ เขา้ น้าวนุ ้ ตาทหี่ อผปู ้ ่ วยจกั ษุ โสต ศอ นาสกิ โรงพยาบาลแพร่ การวดั ผล และวธิ กี าร: การศกึ ษาครัง้ นีเ้ ป็ นการวจิ ัย intervention ประชาการทศ่ี กึ ษา คอื ผูป้ ่ วยโรค จอตาท่ีไดร้ ับการฉีดยาอวาสตนิ เขา้ น้าวุน้ ตา ในหอผูป้ ่ วยจักษุ โสต ศอ นาสกิ โรงพยาบาลแพร่ ทาการศกึ ษาระหว่างเดอื นกันยายน 2563 ถงึ กมุ ภาพันธ์ 2564 จานวน 88 ราย โดยแบง่ เป็ น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ไดร้ ับการดูแลตามมาตรฐานปกติ จานวน 44 ราย และกลุ่มที่ไดก้ ารดูแลตามแนวปฏบิ ัติ จานวน 44 ราย วเิ คราะหผ์ ลดว้ ยความถ่ี รอ้ ยละ ค่าเฉลยี่ และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน และวเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บดว้ ยสถติ ทิ ดสอบ Chi-square และ Independent t-test ผล: ความเจ็บปวดจากการไดร้ ับการฉีดยาอวาสตนิ เขา้ น้าวนุ ้ ตามคี วามสมั พันธก์ บั การใชแ้ นวปฏบิ ตั ทิ าง คลินิกอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (P-value=<0.001) โดยคะแนนความพงึ พอใจต่อการพยาบาล ทัง้ 4 ดา้ นมคี วามสมั พันธก์ ับการใชแ้ นวปฏบิ ัตทิ างคลนิ กิ อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ี่ P-value=<0.001 ประกอบดว้ ย ความรเู ้ รอื่ งโรคและการรักษา มคี ะแนนเฉลยี่ 38.9±1.895 การเตรยี มตัวกอ่ นฉีดยาเขา้ วนุ ้ ตา มีคะแนนเฉลี่ย 3.98±1.811 การปฏิบัติตัวหลังฉีดยาเขา้ วุน้ ตา มีคะแนนเฉล่ีย 3.91 ±1.611 ภาวะแทรกซอ้ นหลังฉีดยาเขา้ วุน้ ตา มคี ะแนนเฉลี่ย 3.95±1.778 และการพยาบาล มคี ะแนนเฉลี่ย 3.43±1.641 และความพงึ พอใจของพยาบาลทุกดา้ นมคี วามสัมพันธก์ ับการใชแ้ นวปฏบิ ัตทิ างคลนิ ิก อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ (P-value=<0.001) ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ แนวปฏบิ ตั ใิ นการดแู ลผปู ้ ่ วยโรคจอตาทไี่ ดร้ ับการฉีดยาอวาสตนิ เขา้ น้าวนุ ้ ตา มคี วามเหมาะสมในการนาไปใชใ้ นการดแู ลผปู ้ ่ วยโรคจอตาทไี่ ดร้ ับการฉีดยาอวาสตนิ เขา้ น้าวนุ ้ ตา ในหอ ผปู ้ ่ วยจักษุ โสต ศอ นาสกิ โรงพยาบาลแพร่ คาสาคญั : ประสทิ ธผิ ล, แนวปฏบิ ตั ทิ างคลนิ กิ , การดแู ลผปู ้ ่ วยโรคจอตา, การฉีดยาอวาสตนิ เขา้ น้าวนุ ้ ตา การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ผลของโปรแกรมการมสี ว่ นรว่ มของพยาบาลวชิ าชพี ในการปฏบิ ตั ติ ามแนวทางการดแู ลผูป้ ่ วย ตอ่ คณุ ภาพการบรกิ ารพยาบาลดา้ นความปลอดภยั ในการผา่ ตดั โรงพยาบาลแพร่ ลักษณา จันทราโยธากร ป.พ.ส., กญั จนช์ ยารัตน์ อดุ คามี พย.ม.กล่มุ งานการพยาบาลผปู ้ ่ วยหอ้ งผา่ ตัด โรงพยาบาลแพร่ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : การป้ องกนั ความผดิ พลาดจากการผ่าตัดถอื เป็ นสง่ิ สาคัญตอ่ ความปลอดภัยและความ ไวว้ างใจในคณุ ภาพบรกิ ารของผปู ้ ่ วย การนาโปรแกรมการมสี ว่ นร่วมตามแนวคดิ ของโคเฮน และอฟั ฮอฟ (1980) มาปรับใชก้ บั พยาบาลวชิ าชพี หอ้ งผา่ ตัดในการปฏบิ ตั ติ ามแนวทางการดแู ลผปู ้ ่ วยต่อคุณภาพการ บรกิ ารพยาบาลดา้ นความปลอดภัยในการผ่าตัด และพยาบาลวชิ าชพี เกดิ ความพงึ พอใจต่อการใช ้ โปรแกรมการมีส่วนร่วมนั้นส่งผลใหผ้ ูป้ ่ วยไดร้ ับบริการผ่าตัดท่ีมีคุณภาพไดม้ าตรฐาน ปลอดภัย ตามเป้าหมายทวี่ างไว ้ วตั ถุประสงค:์ เพอื่ ศกึ ษาผลของโปรแกรมการมสี ่วนร่วมของพยาบาลวชิ าชพี ในการปฏบิ ัตติ ามแนว ทางการดแู ลผปู ้ ่ วยตอ่ คณุ ภาพการบรกิ ารพยาบาลดา้ นความปลอดภยั ในการผา่ ตัด โรงพยาบาลแพร่ รปู แบบศกึ ษา สถานท่ี และผปู้ ่ วย: กลมุ่ ตัวอยา่ ง ไดแ้ ก่ พยาบาลวชิ าชพี หอ้ งผา่ ตัดโรงพยาบาลแพร่ จานวน 30 คน เครอื่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู แบง่ เป็ น 3 สว่ น ประกอบดว้ ย 1)โปรแกรมการมี ส่วนร่วมของพยาบาลวชิ าชพี ในการปฏิบัติตามแนวทางการดูแลผูป้ ่ วยโดยใชแ้ นวคดิ ของโคเฮน และอฟั ฮอฟ (1980) 2) แบบสงั เกตและตรวจสอบการบนั ทกึ การพยาบาล 3) แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ ของพยาบาลวชิ าชพี ในการเขา้ ร่วมโปรแกรม โดยแบบสอบถามไดผ้ ่านการตรวจสอบความตรงเชงิ เนอ้ื หาโดยผทู ้ รงคณุ วฒุ ิ มคี า่ IOC เทา่ กบั 0.60-1.00 ผล: พบวา่ กลมุ่ ตัวอยา่ งมรี อ้ ยละของการปฏบิ ตั ติ ามแนวทางการดแู ลผปู ้ ่ วยผ่าตัด เพมิ่ ขน้ึ จากรอ้ ยละ 84.4 เป็ นรอ้ ยละ 92.2 มคี ่าคะแนนเฉล่ยี ของการปฏบิ ัตติ ามแนวทางการดูแลผูป้ ่ วยผ่าตัด ก่อนเขา้ โปรแกรม ( ̅=24.76, SD= 0.64) ใกลเ้ คยี งกบั หลังเขา้ โปรแกรม ( ̅=24.92, SD=0.27) หลังไดร้ ับ โปรแกรมกลมุ่ ตวั อยา่ งมคี ะแนนเฉลย่ี การปฏบิ ตั ติ ามแนวทางการดแู ลผปู ้ ่ วยผ่าตัดไมแ่ ตกต่างกบั กอ่ นการ ทดลอง (p-value=0.007) ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ พยาบาลหอ้ งผ่าตัดมคี ุณภาพการบรกิ ารพยาบาลเพอื่ ความปลอดภัยของ ผูป้ ่ วยผ่าตัดอยู่ในระดับที่ใกลเ้ คยี งกันทัง้ ก่อนทดลองและหลังทดลอง พยาบาลวชิ าชพี เกดิ ความพงึ พอใจต่อการใชโ้ ปรแกรมการมีส่วนร่วมตัง้ แต่การตัดสนิ ใจ การปฏิบัติ การรับผลประโยชน์และ การประเมนิ ผล ทาใหผ้ ปู ้ ่ วยไดร้ ับบรกิ ารทมี่ คี ณุ ภาพไดม้ าตรฐานและปลอดภยั คาสาคญั : การมสี ว่ นรว่ ม, คณุ ภาพบรกิ ารพยาบาล, ความปลอดภยั ในการผา่ ตัด การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
แบบแผนการบรกิ ารสขุ ภาพเพอื่ เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการบรกิ ารใหต้ อบสนองตอ่ ความตอ้ งในการ ป้ องกนั การเกดิ โรคปอดอกั เสบในผสู้ งู อายโุ รคปอดอดุ กนั้ เรอ้ื รงั อาเภอเดน่ ชยั มารยี า อดุ ม พย.บ. โรงพยาบาลสมเด็จพระยพุ ราชเดน่ ชยั บทคดั ยอ่ ความสาคญั : พบผสู ้ งู อายโุ รคถงุ ลมปอดอดุ กนั้ เรอื้ รัง ทมี่ ภี าวะแทรกซอ้ นของโรคปอดอกั เสบ มอี ัตรา การป่ วยท่ีรับไวน้ อนมากท่ีสุดจากขอ้ มูลยอ้ นหลังสถติ ปิ ี 2557-2559 พบ 37.58,31.59 และ 32.84 ในบางรายพบเกดิ ภาวะแทรกซอ้ นตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ด และเสยี ชวี ติ วตั ถปุ ระสงค:์ เพอื่ พฒั นาแบบแผนการบรกิ ารสขุ ภาพเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการบรกิ ารใหต้ อบสนองต่อความ ตอ้ งการในการป้องกนั การเกดิ โรคปอดอกั เสบในผสู ้ งู อายอุ าเภอเดน่ ชยั รูปแบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: เพือ่ สรา้ งแบบแผนการบรกิ ารสขุ ภาพเพอื่ เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการ บรกิ ารใหต้ อบสนองต่อความตอ้ งการในการป้ องกันการเกดิ โรคปอดอักเสบในผูส้ งู อายุโรคปอดอดุ กัน้ เรอื้ รัง อาเภอเดน่ ชยั ไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากคณะกรรมการจรยิ ธรรมในมนุษย์ สสจ.แพร่ ศกึ ษาในผปู ้ ่ วย โรคปอดอดุ กนั้ เรอ้ื รัง จานวน 100 ราย เลอื กแบบเฉพาะเจาะจง ทมี่ ารับการรักษาท่ี รพร.เดน่ ชยั ขอ้ มลู ทตุ ตยิ ภมู ิ จากบนั ทกึ เวชระเบยี น เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชด้ าเนนิ การวจิ ัย ประกอบดว้ ย แบบสมั ภาษณ์ ไดแ้ ก่ ขอ้ มลู ทั่วไป ขอ้ มลู การป่ วยดว้ ยโรคปอดอกั เสบแนวทางการสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ แนวทางการสนทนากลุ่ม แบบ สังเกตแบบมสี ่วนร่วม เกยี่ วกับขอ้ มูลบคุ ลากร การรักษา การพยาบาล การใหย้ า เครอื่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการ ทดลองไดแ้ ก่ Guideline การดูแลรักษาโรคปอดอักเสบตัง้ แต่กอ่ นป่ วย ขณะป่ วย และหลังป่ วยแบบให ้ ความรกู ้ ารป้องกนั และการดแู ลเมอ่ื เกดิ ภาวะปอดอกั เสบในผปู ้ ่ วย COPD แบบประเมนิ การรบั รโู ้ อกาสเสย่ี ง การดแู ล และการป้องกนั ตนเองตอ่ การเกดิ โรคปอดอกั เสบแบบประเมนิ บคุ ลากรดา้ นการดูแล รักษา การ ใหย้ าโดยศกึ ษาในชว่ งเดอื นตลุ าคม 2560 ถงึ เดอื นกนั ยายน 2562 สถติ ิ คา่ เฉลย่ี , รอ้ ยละ, Pair t-test, ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งระดับความรรู ้ ะดบั การรับรปู ้ ัจจัยเสยี่ งตอ่ การตดิ เชอื้ ปอดอกั เสบ และคณุ ลกั ษณะทาง ประชากรกับระดับพฤตกิ รรมการป้ องกันการตดิ เชอ้ื ปอดอักเสบใชส้ ถติ ิ Pearson product moment correlation ผล: ประสทิ ธภิ าพการบรกิ ารของแบบแผนการบรกิ ารสุขภาพสามารถตอบสนองต่อความตอ้ งในการ ป้ องกนั การเกดิ โรคปอดอักเสบในผสู ้ งู อายอุ าเภอเด่นชยั ตามความสมั พันธ์ The Six Building Blocks สง่ ผลใหอ้ ัตราการเกดิ โรคปอดอกั เสบในผสู ้ งู อายอุ าเภอเด่นชยั ลดลง อัตราการเกดิ โรคปอดอักเสบใน ผูส้ ูงอายุโรคปอดอุดกัน้ เรอ้ื รังต่อแสนประชากร ลดลงปี 2560-2562 คือ 10.81,21.62 และ 17.85 ตามลาดับ รวมทัง้ ระดับความรู ้ ระดับการรับรูป้ ัจจัยเสย่ี ง ระดับพฤตกิ รรมการป้ องกันการตดิ เชอ้ื ปอด อกั เสบ ระดับพฤตกิ รรมการป้ องกันและการดูแลตนเองเมอ่ื มกี ารตดิ เชอื้ ปอดอักเสบ ดา้ นการสรา้ งเสรมิ ความแข็งแรงของรา่ งกาย ดา้ นการหลกี เลยี่ งปัจจยั เสย่ี ง ดา้ นการจดั การสงิ่ แวดลอ้ ม และ การดแู ลตนเอง เมอ่ื มกี ารตดิ เชอ้ื ปอดอักเสบ ระดับคะแนน อยใู่ นระดับดเี พม่ิ มากขน้ึ อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ p-value <0.05 ทกุ ดา้ น ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ แบบแผนการบรกิ ารสขุ ภาพThe Six Building Block ทสี่ าคัญคอื ภาวะผูน้ า และธรรมมาภบิ าลซงึ่ เป็ นองคป์ ระกอบทส่ี นับสนุนการทาหนา้ ทข่ี ององคป์ ระกอบอนื่ ๆ อกี 5 องคป์ ระกอบ ใหด้ าเนนิ สาเร็จ โดยเฉพาะเพมิ่ สมรรถนะ ในการดูแลผูป้ ่ วยโรคปอดอดุ กัน้ เรอื้ รังเพอื่ ป้ องกันภาวะปอด อกั เสบ คาสาคญั : การฟื้ นฟสู มรรถภาพหลังผ่าตัดเปลยี่ นขอ้ เข่าเทยี ม ผูส้ งู อายผุ ่าตัดเปลี่ยนขอ้ เขา่ เทยี ม การรับรสู ้ มรรถนะแหง่ ตน การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
Cloud-Based Tracking System with Telemonitoring for CPAP Adherence of Patients with Obstructive Sleep Apnea. Piyaporn Sirijanchune, M.D., Worarat Imsanguan, M.D., Nonlawan Chueamuangphan, M.D. ABSTRACT AIM: This study aimed to evaluate CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) adherence using a cloud-based tracking system with telemonitoring compared to the standard usual care of patients with obstructive sleep apnea (OSA). METHODS: This is a prospective open-label single-center randomized controlled trial of newly diagnosed OSA patients who received initial treatment with CPAP at Chiangrai Prachanukroh Hospital, Thailand from January 2019 to November 2020 We conducted the study of CPAP adherence follow-up of telemedicine intervention using a cloud-based tracking system (CB group) in 3 months with monthly telephone-linked communication compared to the standard usual care (SD group). The primary outcome was the CPAP adherence measured by percent usage. RESULTS: A total of 83 patients were enrolled in the study. The percent usage was 90.1+8.0 in the CB group used CPAP 90.1+8.0 percent and the SD group used CPAP 78.35+7.93 percent. The good adherence evaluated by CPAP used more than 4 hours per night, the CB group had good adherence than SD groups, the percent of CPAP used more than 4 hours per night in CB group and SD group was 84.78+8.57, 73.21+10.36 respectively with statistical significance (P <0.001). After adjusted of age, gender, body weight, ESS, AHI, mean saturation and CPAP pressure, there was significant improvement in improved CPAP adherence (adjusted difference 11.89; CI 8.00 to 15.78; P <0.001). CONCLUSION: This study demonstrated that OSA patients with CB tracking systems with telemonitoring for initial CPAP use had promising results in relation to good adherence with effective treatment outcome at 3 months. Keywords: Obstructive sleep apnea; Continuous positive airway pressure; Adherence; Cloud-based tracking system; Telemonitoring. การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ปจั จยั ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั อตั ราการเสยี ชวี ติ ในโรงพยาบาล ของผปู้ ่ วยทไ่ี ดร้ บั การรกั ษาในโรงพยาบาล ดว้ ยภาวะเลอื ดออกในทางเดนิ อาหารสว่ นตน้ ในโรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ผดงุ เกยี รติ จงกจิ สมบรู ณ์, โชตพิ งษ์ ศริ พิ พิ ัฒนมงคล สาขาโรคระบบทางเดนิ อาหาร ภาควชิ าอายรุ ศาสตร์ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ภาวะเลอื ดออกในทางเดนิ อาหารสว่ นตน้ เป็ นปัญหาทสี่ าคัญของระบบสาธารณะสขุ เพราะ เป็ นสาเหตุหน่ึงของการเสียชวี ติ และเป็ นภาวะฉุกเฉินท่ีตอ้ งไดร้ ับการวนิ ิจฉัยและรักษาอย่างเร่งด่วน มปี ัจจัยทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั อัตราการเสยี ชวี ติ ในโรงพยาบาลหลายปัจจัย โรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ ภาวะเลอื ดออกในทางเดนิ อาหารถือว่าเป็ นหนง่ึ ในโรคทีม่ คี วามสาคัญ ดังนัน้ จงึ ไดจ้ ัดทาการศกึ ษานี้ขนึ้ เพอื่ ศกึ ษาปัจจยั ทท่ี าใหเ้ กดิ การเสยี ชวี ติ ในโรงพยาบาลของผปู ้ ่ วยภาวะเลอื ดออกในทางเดนิ อาหารสว่ นตน้ เพอ่ื จะไดป้ ระโยชนจ์ ากผลการศกึ ษา นาไปสกู่ ารพฒั นาแนวทางการรักษาทด่ี ยี งิ่ ขนึ้ ตอ่ ไป วตั ถุประสงค:์ เพ่ือศึกษาปั จจัยที่เกี่ยวขอ้ งกับอัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาลจากทุกสาเหตุ (all cause death) ของผูป้ ่ วยอายมุ ากกว่า 15 ปี ทีไ่ ดร้ ับการรักษาแบบผูป้ ่ วยใน ดว้ ยภาวะเลือดออก ในทางเดนิ อาหารสว่ นตน้ ในโรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ รูปแบบศกึ ษา สถานท่ี และผปู้ ่ วย: การศกึ ษาวจิ ัยเชงิ พรรณนาแบบยอ้ นหลัง เก็บขอ้ มลู ผูป้ ่ วยทมี่ ภี าวะ เลอื ดออกในทางเดนิ อาหารสว่ นตน้ ทเ่ี ขา้ รับการรกั ษาในโรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ แบบผปู ้ ่ วยใน ระหวา่ งวันท่ี 1 ตลุ าคม 2561 – 30 กนั ยายน 2562 โดยเกบ็ ขอ้ มลู จากขอ้ มลู เวชระเบยี นทาง electronics ที่ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ ทาการวเิ คราะหต์ ัวแปรเดยี ว (univariate analysis) โดยใชส้ ถติ ิ simple logistic regression นาเสนอดว้ ย P-value และหาขนาดความสมั พันธข์ อง แตล่ ะปัจจยั นาเสนอดว้ ย ค่า Odds ratio (OR) อยา่ งหยาบคูก่ บั ชว่ งความเชอ่ื ม่ัน 95% และวเิ คราะหเ์ พอ่ื หาความสมั พันธห์ ลายตัว แปรดว้ ยสถติ ิ multiple logistic regression นาเสนอดว้ ย Odds ratio (OR) คกู่ บั ชว่ งความเชอื่ มน่ั 95% ผ ล : ผู ป้ ่ ว ย ท่ีเ ข า้ รั บ ก า ร รั ก ษ า ด ว้ ย ภ า ว ะ เ ลือ ด อ อ ก ใ น ท า ง เ ดิน อ า ห า ร ส่ ว น ต น้ แ บ บ ผู ป้ ่ ว ย ใ น ในโรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ ระหวา่ งวันที่ 1 ตลุ าคม 2561 – 30 กนั ยายน 2562 มจี านวนทัง้ สนิ้ 1,054 ราย ลักษณะของกลมุ่ ประชากร ทเ่ี ขา้ ตามเกณฑก์ ารศกึ ษามที ัง้ สน้ิ 476 ราย แบง่ เป็ น กล่มุ ทเ่ี สยี ชวี ติ ในโรงพยาบาลจากทุกสาเหตุ (all cause death) 28 ราย (5.9%) และ กลุ่มทไี่ มเ่ สยี ชวี ติ ในโรงพยาบาล 448 ราย (94.1%) ทัง้ นแี้ บง่ เป็ นผปู ้ ่ วยชาย 393 ราย (82.5%) โดยมี 6 ปัจจัยทมี่ คี วามสัมพันธก์ บั อตั ราการ เสยี ชวี ติ ในโรงพยาบาลจากทกุ สาเหตุ (all cause death) อยา่ งมนี ัยสาคัญ แบง่ เป็ น ปัจจัยทเี่ พม่ิ อัตราการ เสยี ชวี ติ อย่างมนี ัยสาคัญคือ กลุ่มผูม้ โี รคมะเร็ง (Odds ratio 13.10, 95%CI: 2.02 - 84.86) กลมุ่ มภี าวะสญั ญาณชพี ไมค่ งตวั (hemodynamic unstable) (Odds ratio 11.25, 95%CI: 2.53 - 49.94) กลุ่มทไ่ี ดค้ ะแนนความรุนแรงของโรค AIMS65 score มากกว่าเทา่ กบั 2 คะแนน (Odds ratio 17.45, 95%CI: 2.22 - 137.19) และกลมุ่ ผูป้ ่ วยไดร้ ับการรักษาแบบผูป้ ่ วยในทหี่ อผปู ้ ่ วยศัลยกรรม (Odds ratio 60.90, 95%CI: 7.68 - 482.89) และปัจจัยทล่ี ดอัตราการเสยี ชวี ติ อยา่ งมนี ัยสาคัญคอื กลุ่มทใี่ ชย้ าตา้ น อกั เสบชนดิ ไมใ่ ชส่ เตยี รอยด์ (Odds ratio 0.10, 95%CI: 0.01 - 0.88) ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ จากการศกึ ษาปัจจัยทมี่ ผี ลต่ออตั ราการเสยี ชวี ติ ของผูป้ ่ วยทไ่ี ดร้ ับการรักษาใน โรงพยาบาลแบบผูป้ ่ วยใน ดว้ ยภาวะเลอื ดออกในทางเดนิ อาหารสว่ นตน้ ในโรงพยาบาลเชยี งรายประชานุ เคราะห์ พบวา่ ปัจจัยทเ่ี พมิ่ อตั ราการเสยี ชวี ติ อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ คิ อื กลมุ่ ผมู ้ โี รคประจาตัวเป็ นโรคมะเร็ง กลุ่มที่มภี าวะสัญญาณชพี ไม่คงตัว (hemodynamic unstable) กลุ่มท่ไี ดค้ ะแนนความรุนแรงของโรค AIMS65 score มากกวา่ เทา่ กบั 2 คะแนน และกล่มุ ผูป้ ่ วยไดร้ ับการรักษาแบบผูป้ ่ วยในทห่ี อผูป้ ่ วยศัลยกรรม สว่ นปัจจยั ทล่ี ดอตั ราการเสยี ชวี ติ อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ คอื กลมุ่ ทใี่ ชย้ าตา้ นอกั เสบชนดิ ไมใ่ ชส่ เตยี รอยด์ คาสาคญั : ภาวะเลอื ดออกในทางเดนิ อาหารสว่ นตน้ , ปัจจัยทม่ี ผี ลตอ่ อตั ราการเสยี ชวี ติ ในโรงพยาบาล การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ผลของการพฒั นาระบบการป้ องกนั การแพย้ าซา้ ตอ่ อบุ ตั กิ ารณก์ ารแพย้ าซา้ ของผปู้ ่ วยใน แผนกศลั ยกรรม โรงพยาบาลเพชรบรู ณ์ Effects of Repeated Drug Allergy Prevention System on Drug Allergy Incidence Among Hospitalized Patients in Surgery Department, Phetchabun Hospital รชั นวี รรณ มาจาก กลมุ่ งานเภสชั กรรมโรงพยาบาลเพชรบรู ณ์ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : อาการไมพ่ งึ ประสงคจ์ ากยาได ้ (Adverse Drug Reaction: ADR) เป็ นอาการไม่พงึ ปรารถนาทัง้ ผูป้ ่ วย และบคุ ลากรทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม อาการไมพ่ งึ ประสงคจ์ ากการใชย้ าบาง อบุ ตั กิ ารณ์ เป็ นอบุ ตั กิ ารณ์ทสี่ ามารถป้ องกันได ้ หากมกี ารนารายงานขอ้ มลู อาการทไ่ี มพ่ งึ ประสงคจ์ าก การใชย้ าในองคก์ รมาวเิ คราะหแ์ ยกประเภทของขอ้ มลู ทส่ี ามารถป้องกนั ไดม้ าคน้ หาสาเหตุ ทบทวนเพอ่ื หาโอกาสพฒั นาและปรบั ปรงุ การวางระบบป้องกนั ใหด้ ยี งิ่ ขน้ึ กจ็ ะทาใหก้ ารเฝ้าระวังความปลอดภยั ดา้ นยา มคี วามเขม้ แข็งและลดความเสย่ี งดา้ นการใชย้ าลง สง่ ผลใหผ้ ูป้ ่ วยเกดิ ความปลอดภัยจากการใชย้ าเพม่ิ มากขนึ้ ได ้ และจากการศกึ ษาเชงิ วเิ คราะหข์ อ้ มลู แบบยอ้ นหลัง วตั ถุประสงค:์ ศกึ ษาผลของการพัฒนาระบบการป้ องกันการแพย้ าซ้าต่ออบุ ัตกิ ารณ์การแพย้ าซ้าของ ผปู ้ ่ วยในแผนกศัลยกรรมโรงพยาบาลเพชรบรู ณ์ รูปแบบศกึ ษา สถานท่ี และผูป้ ่ วย: ศกึ ษากับกลุ่มตัวอย่างที่เป็ นผูป้ ่ วยแบบเจาะจงจากฐานขอ้ มูล โปรแกรม HOSxP จานวนทัง้ หมด 1,181 คน เก็บขอ้ มลู ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2562 –31 มนี าคม 2563 และบุคลากรทางการแพทย์จานวน 145 คน เก็บขอ้ มูลดว้ ยแบบสามถามแบ่งออกเป็ น 2 สว่ นประกอบดว้ ยขอ้ มลู ท่วั ไปและแบบประเมนิ ความพงึ พอใจ การวดั ผล และวธิ กี าร: วเิ คราะหข์ อ้ มลู ดว้ ยสถติ คิ วามถี่ รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และ การทดสอบไคสแควร์ ผล: ผูป้ ่ วยในทเี่ ขา้ รับบรกิ ารในแผนกศัลยกรรม และมปี ระวัตแิ พย้ า สว่ นใหญ่ เพศหญงิ รอ้ ยละ 61.47 มอี ายเุ ฉลยี่ 38 ปี (สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 17.25) กอ่ นวางระบบการป้ องกนั การแพย้ าซ้าเทา่ กบั 566 คน และหลังวางระบบเท่ากบั 615 คน ผลการศกึ ษาอบุ ัตกิ ารณ์การแพย้ าซ้าของกลุ่มตัวอยา่ งกอ่ น และหลงั วางระบบป้องกนั การแพย้ าซา้ พบวา่ แตกตา่ งกนั อยา่ งไมม่ นี ัยสาคัญทางสถติ ิ เมอื่ ศกึ ษาถงึ ความ พอใจตอ่ ระบบป้องกนั การแพย้ าซา้ ของบคุ ลาการทางการแพทยจ์ านวน 145 คน พบว่าความพงึ พอใจใน ภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก โดยมคี า่ เฉลยี่ เทา่ กบั 3.83 และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.66 สว่ นความ พงึ พอใจในการอานวยความสะดวกหรอื การสนับสนุนขององคก์ รทเ่ี ออ้ื ตอ่ การทาตามระบบทว่ี างไวซ้ ง่ึ ประกอบดว้ ย ความพรอ้ มของอุปกรณ์ เครอื่ งมอื ต่างๆ ระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ และเอกสารขอ้ มลู ความรูเ้ รอ่ื งการแพย้ าอยใู่ นระดับปานกลาง โดยมคี ่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.63, 3.63 และ 3.66 และสว่ น เบยี่ งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.73, 0.72 และ 0.72 ตามลาดับ ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ ผูบ้ รหิ ารโรงพยาบาลควรพจิ ารณาเพมิ่ การสนับสนุนเกย่ี วกับนโยบาย เครอื่ งมอื อปุ กรณ์และเทคโนโลยตี า่ งๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ระบบใหม้ ากขนึ้ ผลการศกึ ษานีอ้ าจนาไปใชเ้ พอ่ื ปรับปรงุ ระบบการป้องกนั การแพย้ าซ้าในผปู ้ ่ วย ตลอดจนคณุ ภาพของการบรกิ ารสขุ ภาพของบคุ ลากรทาง การแพทยต์ อ่ ไป คาสาคญั : การพฒั นา ระบบการป้องกนั การแพย้ า อบุ ตั กิ ารณก์ ารแพย้ าซา้ ผปู ้ ่ วยใน ความพงึ พอใจ การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ลกั ษณะเสย่ี งทางคลนิ กิ ตอ่ การเกดิ การกาเรบิ เฉยี บพลนั และการกลบั มานอนโรงพยาบาลซา้ ของผปู้ ่ วยโรคปอดอดุ กน้ั เรอื้ รงั โรงพยาบาลพะเยา ชนกชนม์ สาคะศภุ ฤกษ์, รงุ่ ทวิ า เกษจรัล, นภิ าภรณ์ เชอ้ื ยนู าน, พัชรนิ ทร์ คานวล, พชั รี พวงมาลยั โรงพยาบาลพะเยา บทคดั ยอ่ ความสาคญั : การกาเรบิ เฉียบพลัน (acute exacerbations) เป็ นสาเหตุทาใหผ้ ปู ้ ่ วยโรคปอดอุดกัน้ เรอ้ื รังกลับเขา้ มานอนรักษาในโรงพยาบาลซ้าส่งผลกระทบต่อคุณภาพชวี ติ ของผูป้ ่ วยและครอบครัว ความถข่ี องการเขา้ รับการรักษาทโี่ รงพยาบาลจากการเกดิ การกาเรบิ เฉียบพลันทาใหเ้ กดิ คา่ ใชจ้ ่ายของ การรักษาทเี่ พม่ิ ขนึ้ มากถงึ รอ้ ยละ 90 เมอ่ื เทยี บกบั ผปู ้ ่ วยทไี่ มเ่ กดิ อาการกาเรบิ เฉียบพลนั รนุ แรง แตล่ ะครงั้ ทเ่ี กดิ การกาเรบิ เฉยี บพลนั รนุ แรงจะทาใหส้ มรรถภาพปอดลดลง ความรนุ แรงของอาการทเ่ี พม่ิ ขนึ้ อาจทา ใหผ้ ปู ้ ่ วยตอ้ งใชเ้ ครอื่ งชว่ ยหายใจ บางรายอาจถงึ ขนั้ เสยี ชวี ติ ได ้ วตั ถปุ ระสงค:์ เพอ่ื ศกึ ษาลักษณะเสย่ี งทางคลนิ กิ ต่อการเกดิ การกาเรบิ เฉียบพลันและการกลับมานอน โรงพยาบาลซา้ ของผปู ้ ่ วยโรคปอดอดุ กนั้ เรอ้ื รงั รปู แบบศกึ ษา สถานท่ี และผูป้ ่ วย: การศกึ ษาครัง้ น้เี ป็ น prognostic determinant research ศกึ ษา จากเวชระเบยี นผปู ้ ่ วยโรคปอดอดุ กนั้ เรอื้ รงั ทม่ี กี ารกาเรบิ และนอนโรงพยาบาลพะเยาตงั้ แตป่ ี 2561-2562 การวดั ผล และวธิ กี าร: รวบรวมลักษณะท่ัวไป แสดงผลเป็ นจานวน รอ้ ยละ ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบยี่ งเบน มาตรฐาน เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งระหวา่ งกลมุ่ ดว้ ย non-parametric test for trend และวเิ คราะห์ ลักษณะทเี่ พม่ิ ความเสย่ี งต่อการเกดิ การกาเรบิ เฉียบพลันและการนอนโรงพยาบาลซ้า multivariable ordinal continuation ratio logistic regression สาหรบั ขอ้ มลู ตวั แปรตามทม่ี ลี ักษณะเรยี งลาดบั ผล: กลมุ่ ตัวอยา่ ง140 ราย แบง่ เป็ น 3 กลมุ่ กลุม่ ทไ่ี มเ่ กดิ การกาเรบิ และและนอนโรงพยาบาล 112 ราย รอ้ ยละ 80 กลมุ่ ทเ่ี กดิ การกาเรบิ และนอนโรงพยาบาล 1ครัง้ 21 ราย รอ้ ยละ 15 และเกดิ การกาเรบิ และ นอนโรงพยาบาลมากกวา่ 1ครงั้ 7 ราย รอ้ ยละ5 หลังจากวเิ คราะหด์ ว้ ยสมการหลายตัวแปร พบลักษณะท่ี เพมิ่ ความเส่ียงของการเกดิ การกาเรบิ เฉียบพลันและการนอนโรงพยาบาลซ้า ไดแ้ ก่การไดร้ ับยาส เตยี รอยดเ์ พม่ิ ความเสยี่ ง กาเรบิ เฉียบพลันและนอนโรงพยาบาลได ้ 68.71เท่า 95% CI 15.34 - 307.7 (p<0.001) การตดิ เชอื้ ในรา่ งกายเพมิ่ ความเสยี่ งกาเรบิ เฉียบพลันและนอนโรงพยาบาล 9.90 เทา่ 95% CI 1.15 – 85.60 (p 0.037) สว่ นการไดร้ ับวัคซนี ไขห้ วัดใหญ่ป้ องกนั การเกดิ กาเรบิ เฉียบพลันและนอน โรงพยาบาล 0.10 เทา่ 95% CI 0.02-0.45 (p 0.003) การรักษาในระยะทสี่ งบทเ่ี หมาะสมตามความ รนุ แรงของโรคชว่ ยลดการเกดิ กาเรบิ เฉียบพลันและนอนโรงพยาบาล 0.04 เท่า 95% CI 0.01 - 0.81 (p 0.036) และมแี นวโนม้ เพศชายเพมิ่ ความเสยี่ งกาเรบิ เฉียบพลันและนอนโรงพยาบาล2.31 เทา่ 95% CI 0.67 - 7.94 แตไ่ มม่ นี ัยสาคญั ทางสถติ ิ (p 0.184) ตวั แปร Odds Ratio 95% CI p-value เพศชาย การรักษาในระยะทส่ี งบ 2.31 0.67 - 7.94 0.184 การไดร้ บั ยาสเตยี รอยด์ 0.04 0.01 - 0.81 0.036 การไดร้ ับวัคซนี ไขห้ วดั ใหญ่ 68.71 15.34 - 307.7 <0.001 การตดิ เชอื้ ในรา่ งกาย 0.10 0.02-0.45 0.003 9.90 1.15 – 85.60 0.037 ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ ควรผลักดันเชงิ นโยบายใหผ้ ปู ้ ่ วยโรคปอดอดุ กนั้ เรอื้ รังไดเ้ ขา้ ถงึ วัคซนี ไขห้ วัด ใหญ่ทุกราย การรักษาโรคในระยะทีส่ งบเหมาะสมตามความรุนแรงของโรคจะชว่ ยบรรเทาอาการ ลด ความถแี่ ละความรนุ แรงของการเกดิ กาเรบิ เฉียบพลันและนอนโรงพยาบาลได ้ จงึ ควรมกี ารสรา้ งแนวทาง ปฏบิ ัตใิ นการป้ องกันภาวะปอดอักเสบตดิ เชอ้ื และการใชย้ าสเตยี รอยอย่างสมเหตสุ มผล เพอ่ื ยนื ยันผล การศกึ ษาควรมกี ารรวบรวมขอ้ มลู วจิ ัยเพม่ิ เตมิ เพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ ทชี่ ดั เจนมากขนึ้ กอ่ นนาไปปฏบิ ตั ิ คาสาคญั : โรคปอดอดุ กนั้ เรอื้ รงั , ลักษณะเสย่ี ง, การเกดิ การกาเรบิ และนอนโรงพยาบาล การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ผลการใชแ้ นวปฏบิ ตั ทิ างการพยาบาลเพอื่ ป้ องกนั ภาวะตกเลอื ด 2 ชว่ั โมงหลงั คลอดในแผนก หอ้ งคลอด โรงพยาบาลพะเยา สทุ ธพิ ร พรมจันทร์ RN, นอ้ งขวัญ สมทุ รจักร RN งานหอ้ งคลอด โรงพยาบาลพะเยา บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ภาวะตกเลอื ดหลังคลอด เป็ นภาวะแทรกซอ้ นทส่ี ามารถเกดิ ขน้ึ ไดก้ ับมารดาตัง้ ครรภท์ กุ ราย ถงึ แมว้ ่าจะเป็ นมารดาตัง้ ครรภท์ มี่ ภี าวะเสยี่ งต่าและมกี ารคลอดปกตกิ ็ตามไม่สามารถทานายล่วงหนา้ ได ้ การตกเลอื ดทค่ี วบคมุ ไมไ่ ดอ้ าจทาใหต้ อ้ งตดั มดลกู เพอ่ื หยดุ การเสยี เลอื ด ทาใหไ้ มส่ ามารถตงั้ ครรภต์ อ่ ไปได ้ และกรณที เ่ี ลอื ดออกอยา่ งรนุ แรงและรวดเร็วหรอื ดแู ลรักษาไมท่ ันทว่ งที อาจทาใหเ้ ป็ นอนั ตรายถงึ ชวี ติ ได ้ วตั ถปุ ระสงค:์ 1) เพอ่ื ศกึ ษาผลการใชแ้ นวปฏบิ ตั ทิ างการพยาบาลเพอ่ื ป้องกนั ภาวะตกเลอื ด 2 ชว่ั โมงหลัง คลอดในหอ้ งคลอดโรงพยาบาลพะเยา 2)ศกึ ษาอุบัตกิ ารณ์การเกดิ ภาวะตกเลือดหลังคลอด 3)ศกึ ษา ภาวะแทรกซอ้ นจากการตกเลือดหลังคลอด 4)เพอ่ื ศกึ ษาความเป็ นไปไดข้ องการนาแนวปฏบิ ัตทิ างการ พยาบาลไปใชใ้ นหอ้ งคลอด 5)การตดิ ตามความพงึ พอใจของพยาบาลแผนกหอ้ งคลอดต่อการใชแ้ นวปฏบิ ัติ ทางการพยาบาลเพอื่ ป้องกนั การตกเลอื ด 2 ชว่ั โมงหลังคลอด รูปแบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: เป็ นการการวจิ ัยกง่ึ ทดลองชนดิ 2 กลุ่มเปรยี บเทยี บคนละชว่ งเวลา (Interrupted time design) กลมุ่ ตัวอยา่ งประกอบดว้ ย กลุ่มหญงิ ตัง้ ครรภท์ ไี่ ดร้ ับการประเมนิ และมภี าวะ เสย่ี งต่อภาวะตกเลือดหลังคลอดท่ีแผนกหอ้ งคลอด โดยแบ่งเป็ นกลุ่มทไ่ี ดร้ ับการดูแลตามแนวปฏบิ ัติ แบบเดมิ ตัง้ แต่กนั ยายน 2562 ถงึ เดอื นมกราคม 2563 และกลุ่มทไ่ี ดร้ ับการดูแลตามแนวปฏบิ ัตทิ างการ พยาบาลที่พัฒนาขนึ้ มาผ่านการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมอื โดยผูเ้ ชยี่ วชาญ จานวน 5 ท่าน ตัง้ แต่เดอื น กนั ยายน 2563 ถงึ มกราคม 2564 จานวน 396 คน พยาบาลวชิ าชพี ปฏบิ ตั งิ านในหอ้ งคลอด จานวน 9 คน วเิ คราะหผ์ ลโดยใชส้ ถติ ทิ ดสอบแบบ t–test และ Exact probability test ทร่ี ะดับนัยสาคัญทางสถติ ิ .05 และวิเคราะห์ผลการใชแ้ นวปฏิบัติทางการพยาบาลเพ่ือป้ องกันการตกเลือดหลังคลอดโดยใช ้ Risk Regression ผล: ลักษณะทั่วไป ลักษณะทางคลนิ ิกของกลุ่มตัวอย่างทัง้ สองกลุ่มไม่แตกต่างกัน ภาวะเสีย่ งระยะ รอคลอด ระยะคลอดและระยะหลังคลอด มคี วามแตกตา่ งกนั P-value 0.001, 0.015 และ 0.008 ในกลุ่มท่ี ไดร้ ับแนวปฏบิ ัตทิ พ่ี ัฒนาขนึ้ มา มอี บุ ัตกิ ารณ์ตกเลือดหลังคลอด 14 : 5 ต่ากว่ากลุ่มก่อนใชแ้ นวปฏบิ ัติ อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ (p-value=0.01) เมอื่ วเิ คราะหด์ ว้ ย Multivariable risk regression และปรบั ความ แตกตา่ งของภาวะเสย่ี งแตล่ ะระยะทแ่ี ตกตา่ งกนั แลว้ พบวา่ การใชแ้ นวปฏบิ ตั ทิ างการพยาบาลเพอ่ื ป้ องกนั การ ตกเลอื ด 2 ชว่ั โมงหลงั คลอด ลดการตกเลอื ดหลังคลอดได ้ 77 (95%CI 0.07-0.71 P-value 0.01) ผลการ เปรยี บเทยี บภาวะแทรกซอ้ นของการตัดมดลกู และภาวะช็อกกับการตกเลอื ดหลังคลอดพบวา่ กลุม่ ทใี่ ชแ้ นว ปฏบิ ัตทิ ่ีพัฒนาขน้ึ มา มีการตัดมดลูกและมีภาวะช็อกนอ้ ยกว่ากลุ่มก่อนใชแ้ นวปฏิบัติ (2:1 และ 1:0) (p-value=0.01) ความเป็ นไปไดข้ องการนาแนวปฏบิ ตั ทิ างการพยาบาลเพอื่ ป้ องกนั การตกเลอื ด 2 ชวั่ โมง หลังคลอดไปใชใ้ นหอ้ งคลอดมคี วามเหมาะสมรอ้ ยละ 94.18 ความพงึ พอใจของพยาบาลแผนกหอ้ งคลอด ต่อการใชแ้ นวปฏบิ ัตทิ างการพยาบาลเพอ่ื ป้ องกันการตกเลอื ด 2 ช่วั โมงหลังคลอด พบว่ามคี วามพงึ พอใจ ในระดับดี ( X =4.20 SD=0.67 ) ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ แนวปฏบิ ัตทิ างการพยาบาลเพ่ือป้ องกันการตกเลอื ด 2 ชั่วโมงหลังคลอดที่ พัฒนาขน้ึ สามารถลดอตั ราการตกเลอื ดและตัดมดลกู หลังคลอด รวมถงึ ภาวะชอ็ ก สามารถนามาใชเ้ ป็ นแนว ปฏบิ ตั ทิ างพยาบาลในการป้องกนั ภาวะตกเลอื ดหลงั คลอด เกดิ ความรว่ มมอื ในการดูแลและการป้ องกนั ภาวะ ตกเลอื ดหลังคลอดได ้ คาสาคญั : แนวปฏบิ ตั ทิ างการพยาบาล ภาวะตกเลอื ดหลังคลอด 2 ชว่ั โมง การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
การศกึ ษาปัจจยั ทมี่ ผี ลต่อความสาเร็จของการบาบดั รกั ษาผูป้ ่ วยยาเสพตดิ ตาม โปรแกรม กาย จติ สงั คมบาบดั (Matrix Program) ในกลมุ่ บงั คบั บาบดั แบบไมค่ วบคมุ ตวั ทเ่ี ขา้ รบั การ บาบดั โรงพยาบาลพะเยา ณัฐธดิ า นมิ ติ รดี M.N.S. * พัชรนิ ทร์ คานวล PhD. (Clinical epidemiology) ** *กลมุ่ งานจติ เวชและยาเสพตดิ โรงพยาบาลพะเยา **กลมุ่ งานวจิ ยั และพฒั นาการพยาบาล โรงพยาบาลพะเยา บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ยาเสพตดิ เป็ นปัญหาสาคญั มแี นวโนม้ ระบาดรนุ แรงมากขนึ้ สง่ ผลกระทบอยา่ งกวา้ งขวาง ทัง้ ต่อบุคคลและสังคมโดยรวมโรงพยาบาลพะเยาไดน้ าโปรแกรมกาย จิต สังคมบาบัด (Matrix Program) มาใชบ้ าบัดผูต้ ดิ สารเสพตดิ ต่างๆ ในรูปแบบผปู ้ ่ วยนอก โปรแกรมบาบัดดังกล่าวมรี ูปแบบท่ี ตายตัวบาบดั เหมอื นกนั ทกุ คน ซงึ่ ไมต่ อบสนองตอ่ ความตอ้ งการของผเู ้ สพยาเสพตดิ ทกุ คนได ้ มผี รู ้ ับการ บาบดั บางสว่ นกลับไปเสพยาซ้าหลังจากไดร้ ับการบาบดั ครบตามโปรแกรม ดังนัน้ ผวู ้ จิ ยั จงึ ตอ้ งการศกึ ษา ปัจจัยที่มผี ลต่อความสาเร็จของการเลกิ เสพยาของผูเ้ ขา้ รับการบาบัดรักษายาเสพตดิ ดว้ ย Matrix Program ในกลุ่มบังคับบาบัดแบบไมค่ วบคมุ ตัวทเ่ี ขา้ รับการบาบัดครบตามโปรแกรมเพอ่ื นามาพัฒนา รปู แบบการบาบดั ทเี่ หมาะสมตอ่ ไป วตั ถุประสงค:์ เพื่อศึกษาปั จจัยที่มีผลต่อความสาเร็จของการบาบัดรักษาผูป้ ่ วยติดยาเสพติด ตามโปรแกรม กาย จติ สังคม ในกลุ่มบังคับบาบัดแบบไม่ควบคุมตัว ทเ่ี ขา้ รับการบาบัดโรงพยาบาล พะเยา รปู แบบศกึ ษา สถานที่ และผปู้ ่ วย: เป็ นการศกึ ษา Retrospective cohort study ศกึ ษาจากขอ้ มลู ผปู ้ ่ วยยาเสพตดิ ทเ่ี ขา้ รบั การบาบดั ระหวา่ งเดอื น มกราคม 2562 - ธันวาคม 2563 จานวน 225 คน โดยแบง่ เป็ นกลมุ่ ทไี่ ดร้ บั การบาบดั ครบไมก่ ลบั ไปเสพซา้ และกลมุ่ ทไ่ี ดร้ บั การบาบดั ครบกลบั ไปเสพซา้ การวดั ผล และวธิ กี าร: วเิ คราะห์ดว้ ยสถติ ิพรรณนานาเสนอค่าความถ่ี รอ้ ยละค่าเฉลี่ยและ สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และเปรยี บเทยี บระหวา่ งกลมุ่ โดยใช ้ rank sum test หรอื student t-test ขน้ึ อยู่ กับการกระจายของขอ้ มลู สว่ นขอ้ มลู ทเ่ี ป็ น categorical data เปรยี บเทยี บระหว่างกลุ่มโดยใช ้ fisher exact probability test วเิ คราะหป์ ัจจัยทส่ี ง่ ผลตอ่ ความสาเร็จของการบาบดั รักษาผปู ้ ่ วยตดิ ยาเสพตดิ ตาม matrix program ดว้ ยmultivariable logistic regression ท่ี p-value 0.05 พจิ ารณา statistic significant ผล: ผปู ้ ่ วยทัง้ หมด 225 ราย แบง่ เป็ นกล่มุ ทไ่ี ดร้ ับการบาบดั สาเร็จ จานวน 191 ราย (รอ้ ยละ 84.89) ไมส่ าเร็จจานวน 34 ราย (รอ้ ยละ 15.11) หลังจากวเิ คราะหแ์ บบ multivariable logistic regression พบปัจจยั ทม่ี ผี ลตอ่ ความสาเร็จของการเลกิ เสพยาเสพตดิ ของผปู ้ ่ วยในกลุม่ บังคับบาบัดไดแ้ ก่ ระยะเวลา ทใี่ ชย้ าเสพตดิ ต่ากว่า 5 ปี (OR 0.44 95% CI 0.20-0.95 p-value 0.038) และคะแนนผลการคัดกรอง ผใู ้ ชย้ าเสพตดิ (V2) นอ้ ยกวา่ 19 คะแนน (OR 0.25 เทา่ 95% CI 0.12-0.55 p-value 0.001) ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ ควรมกี ารประเมนิ ผลการคัดกรองผใู ้ ชส้ ารเสพตดิ กอ่ นใหก้ ารบาบดั ทกุ ราย ในผปู ้ ่ วยทเี่ สพยามานานเกนิ 5 ปี และการประเมนิ คา่ คะแนนผลการคดั กรองผใู ้ ชย้ าเสพตดิ (V2) มากกวา่ 19 คะแนน ควรมกี ารประยกุ ตโ์ ปรแกรมการบาบดั ทเี่ หมาะสมเพอื่ ความสาเร็จของการบาบดั คาสาคญั : ปัจจัยความสาเร็จ ผปู ้ ่ วยยาเสพตดิ กาย จติ สงั คมบาบดั บงั คับบาบดั การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ปจั จยั ทเี่ พม่ิ ความเสยี่ งตอ่ ภาวะไตเรอื้ รงั ในกลมุ่ ผปู้ ่ วยเบาหวานชนดิ ที่ 2 โรงพยาบาลพะเยา กชกร อนิ ต๊ะมลู , ธรี นัย เหลา่ กาว,ี ปัญญาพร เจรญิ รงุ่ เรอื งชยั , ศรัณยพ์ ร เชอ้ื หมอ, ศภุ ศกั ดิ์ สายยมิ้ นสิ ติ แพทยช์ นั้ ปีท่ี 4 ศนู ยแ์ พทยศาสตรศกึ ษาชนั้ คลนิ กิ โรงพยาบาลพะเยา บทคดั ยอ่ ความสาคญั : โรคไตเรอ้ื รงั เป็ นภาวะแทรกซอ้ นทพ่ี บมากทส่ี ดุ ของผปู ้ ่ วยเบาหวาน ผปู ้ ่ วยโรคไตเรอื้ รังระยะ สดุ ทา้ ยมคี วามจาเป็ นทตี่ อ้ งไดร้ ับการรักษาดว้ ยวธิ บี าบดั ทดแทนไต สง่ ผลกระทบโดยตรงตอ่ ทงั้ ตวั ผปู ้ ่ วยและ ครอบครัว ทัง้ ดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ เศรษฐกจิ และอาจรนุ แรงถงึ ขนั้ เสยี ชวี ติ วตั ถปุ ระสงค:์ เพอื่ หาปัจจัยทมี่ คี วามเสย่ี งตอ่ ภาวะไตเรอื้ รงั ในผปู ้ ่ วยเบาหวานชนดิ ท่ี 2 รูปแบบศกึ ษา สถานท่ี และผูป้ ่ วย: การวจิ ัยรูปแบบสมุฏฐานวทิ ยา (Etiognostic research) โดยเก็บ รวบรวมขอ้ มลู จากเวชระเบยี นของโรงพยาบาลพะเยา ตงั้ แตป่ ีงบประมาณ 2554 ถงึ 2564 จากผปู ้ ่ วยทัง้ หมด 4,516 ราย พจิ ารณาตามเกณฑค์ ัดออก 1,355 ราย เหลอื ผปู ้ ่ วยทที่ าการศกึ ษาจานวน 3,161 ราย คานวณ ตัวอย่างจากปัจจัยต่างๆ ทส่ี ัมพันธก์ ับภาวะไตเรื้อรังในผูป้ ่ วยเบาหวาน อัตราสว่ นผูป้ ่ วยท่มี ภี าวะไตเรอ้ื รัง ตอ่ ผปู ้ ่ วยทไ่ี มม่ ภี าวะไตเรอ้ื รัง 1:2 (Ratio 1:2) คา่ significant ที่ 0.05 ค่า Power ที่ 80% แบบ one-side test ในการศกึ ษาครัง้ น้ีไดก้ ลมุ่ ตัวอย่างทัง้ หมด 468 ราย โดยกลุ่มตัวอย่างเก็บขอ้ มลู ผูป้ ่ วยเบาหวานทม่ี ี ภาวะไตเรอื้ รงั ทัง้ หมด (กลมุ่ ศกึ ษา) จานวน 133 ราย (รอ้ ยละ 28.4) และคดั เลอื กกลมุ่ ผปู ้ ่ วยเบาหวานทไี่ มม่ ี ภาวะไตเรอ้ื รงั (กลมุ่ ควบคมุ ) จากการสมุ่ ลาดบั ตวั เลข จานวน 335 ราย (รอ้ ยละ 28.4) การวดั ผล และวธิ กี าร: รวบรวมลักษณะท่ัวไปวเิ คราะหข์ อ้ มูลดว้ ยสถติ เิ ชงิ พรรณนา นาเสนอเป็ นจานวน รอ้ ยละ ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งระหว่างกลุ่ม โดยใช ้ chi-squares test, student t test หรอื Wilcoxon’s rank sum test ตามการกระจายของขอ้ มลู และวเิ คราะหห์ าปัจจัยทมี่ ี ความเสยี่ งต่อการเป็ นโรคไตเรอื้ รังระยะสุดทา้ ยดว้ ยสถติ ิ multivariable logistic regression นาเสนอ คา่ odd Ratio และระดับความเชอื่ มน่ั ที่ 95% พจิ ารณา คา่ P-value <0.05 statistic significant ผล: พบว่า ผูป้ ่ วยเบาหวานชนดิ ท่ี 2 ทมี่ ภี าวะไตเรอื้ รังส่วนใหญ่เป็ นเพศชาย รอ้ ยละ 59.4 อายุเฉลีย่ 59.0±9.5 ปี สว่ นกลุ่มทไ่ี มม่ ภี าวะไตวายเรอ้ื รัง สว่ นมากเป็ นเพศหญงิ อายเุ ฉลย่ี 56±8.9 ปี (p-value < 0.001 และ 0.001) จากการวเิ คราะหแ์ บบหลายตวั แปร ดว้ ยวธิ ี backward stepwise multivariable logistic regression ปัจจัยทม่ี คี วามเสย่ี งตอ่ ภาวะไตเรอ้ื รงั ไดแ้ ก่ คอื เพศชาย (OR =2.27, p =0.005) อายุ ≥60 ปี (OR = 2.13, p =0.009) โรคประจาตัวเป็ นความดันโลหติ สงู (OR =3.11, p <0.001) ระยะเวลาการเป็ น เบาหวาน <5 ปี (OR =5.74, p <0.001) ค่ากรดยรู กิ ในเลอื ดสงู >7 mg/dL (OR =2.26, p =0.016) และ มภี าวะโปรตนี รั่วในปัสสาวะ (OR =2.36, p =0.007) ปัจจยั เสย่ี ง Odds Ratio 95% CI p-value เพศชาย 2.27 1.29 – 4.02 0.005 อายุ ≥60 ปี 2.13 1.21 – 3.75 0.009 โรคประจาตวั เป็ นความดันโลหติ สงู 3.11 1.71 – 5.67 <0.001 ระยะเวลาการเป็ นเบาหวาน <5 ปี 5.74 3.04 – 10.84 <0.001 คา่ กรดยรู กิ ในเลอื ดสงู >7 mg/dL 2.26 1.16 – 4.42 0.016 มภี าวะโปรตนี รว่ั ในปัสสาวะ 2.36 1.27 – 4.37 0.007 ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ ปัจจัยทมี่ คี วามเสยี่ งตอ่ ภาวะไตเรอื้ รังในผปู ้ ่ วยเบาหวานชนดิ ท่ี 2 ไดแ้ ก่ เพศชาย อายุ ≥60 ปี โรคความดันโลหติ สูง ค่ากรดยรู กิ ในเลอื ดสงู (>7 mg/dL) และภาวะโปรตนี รั่วในปัสสาวะ ดังนัน้ ผปู ้ ่ วยเบาหวานชนดิ ท่ี 2 ทมี่ ลี กั ษณะเสยี่ งขา้ งตน้ ควรไดร้ บั การตรวจคัดกรองโรคไตตงั้ แต่ระยะเรมิ่ ตน้ เพอ่ื ป้องกนั การเกดิ โรคไตเรอื้ รงั และควรมกี ารนาผลการศกึ ษาไปพัฒนาตอ่ ยอดเป็ นเครอื่ งมอื ทานายในการ คัดกรองกลมุ่ เสยี่ งตอ่ การเกดิ โรคไตเรอ้ื รังในผูป้ ่ วยเบาหวานชนดิ ท่ี 2 ในโรงพยาบาลพะเยาและขยายไปยัง หน่วยงานอนื่ คาสาคญั : ภาวะไตเรอื้ รงั , ผปู ้ ่ วยเบาหวานชนดิ ท่ี 2, โรคความดันโลหติ สงู , กรดยรู กิ ในเลอื ดสงู , ภาวะ โปรตนี รัว่ ในปัสสาวะ การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การเสยี ชวี ติ ในผปู้ ่ วยกลา้ มเนอื้ หวั ใจตายเฉยี บพลนั ชนดิ ST segment ยกขน้ึ (STEMI) ทเี่ ขา้ รบั การรกั ษาตวั ในโรงพยาบาลพะเยา ปภงั กร โตละหาน, วสิ มนทพิ ย์ ถน่ิ ทว,ี ศภุ โชค เจยี วกก๊ , อธพิ ัฒน์ จันทะวรี ะ ศนู ยแ์ พทยศาสตรศ์ กึ ษาชนั้ คลนิ กิ โรงพยาบาลพะเยา บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ST-Elevation Myocardial Ischemia (STEMI) เป็ นภาวะกลา้ มเน้อื หัวใจตายจากการขาด เลอื ดซงึ่ มอี ัตราการเสยี ชวี ติ ท่ีสูงในปี งบประมาณ 2563 เขตสุขภาพที่ 1 มอี ัตราการเกดิ STEMI สูงเป็ น อนั ดบั ที่ 3 ของประเทศ ดังนัน้ การศกึ ษาปัจจยั ทม่ี ผี ลตอ่ การเสยี ชวี ติ ของผปู ้ ่ วย STEMI จงึ มคี วามสาคัญเพอ่ื ใชเ้ ป็ นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงการดูแลรักษา ตลอดจนลดอัตราการเสยี ชวี ติ ของผูป้ ่ วยทเี่ ขา้ รับ รักษาในโรงพยาบาลพะเยา วตั ถปุ ระสงค:์ เพอื่ ศกึ ษาปัจจยั ทมี่ ผี ลตอ่ การเสยี ชวี ติ ในผปู ้ ่ วย STEMI ทเ่ี ขา้ รับการรักษาตวั ในโรงพยาบาล พะเยา รูปแบบศกึ ษา สถานท่ี และผปู้ ่ วย: รปู แบบการศกึ ษา retrospective cohort study ในผปู ้ ่ วย STEMI รายใหม่ ทม่ี อี ายตุ งั้ แต่ 20 ปีขนึ้ ไป ซงึ่ เขา้ รับการรกั ษาทโี่ รงพยาบาลพะเยา ตงั้ แตว่ ันท่ี 1 มกราคม 2556 ถงึ 31 พฤษภาคม 2564 คานวณขนาดตัวอยา่ งจากลกั ษณะเสย่ี งทพี่ บบอ่ ยของผูป้ ่ วยทเ่ี สยี ชวี ติ และไมเ่ สยี ชวี ติ จาก STEME Ratio 1:3 ความคลาดเคลอื่ นชนดิ ทหี่ นงึ่ (significant) ที่ 0.05 one sided-test และ power 80 % ไดจ้ านวนขนาดศกึ ษาในผูป้ ่ วยทเี่ สยี ชวี ติ อยา่ งนอ้ ย 57 ราย และผูป้ ่ วยทไ่ี มเ่ สยี ชวี ติ 171 ราย แต่เนือ่ งจากการเก็บรวบรวมขอ้ มลู พบว่าจานวนกลุ่มผทู ้ เ่ี สยี ชวี ติ และไมเ่ สยี ชวี ติ ในผูป้ ่ วย STEMI มจี านวน เทา่ กบั 59 ราย และ 149 ราย จงึ เก็บขอ้ มลู จากกลมุ่ ผปู ้ ่ วยทงั้ หมด จานวน 208 ราย การวดั ผล และวธิ กี าร: โดยศกึ ษาลักษณะต่างๆ ท่ีเพม่ิ ความเสย่ี งต่อการเสียชวี ติ ของผูป้ ่ วย STEMI ทัง้ การเสยี ชวี ติ ในโรงพยาบาลพะเยาและทบ่ี า้ นภายในวันท่ี 31 พฤษภาคม พ.ศ.2564 วเิ คราะห์อธบิ าย ขอ้ มลู ดว้ ยสถติ เิ ชงิ พรรณนา เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งระหว่างกลุม่ ดว้ ย student t-test rank sum test และ exact probability test และวเิ คราะหล์ ักษณะทเ่ี พม่ิ ความเสย่ี งต่อการเสยี ชวี ติ ดว้ ยสถติ ิ multivariable risk regression ผล: ผปู ้ ่ วย STEMI ทัง้ สนิ้ 208 ราย เป็ นกลมุ่ ทเ่ี สยี ชวี ติ 59 ราย (รอ้ ยละ 28.4) รอดชวี ติ 149 ราย (รอ้ ยละ 71.6) สว่ นใหญก่ ลมุ่ ทเ่ี สยี ชวี ติ มอี ายมุ ากกวา่ 65 ปี และกลมุ่ ทร่ี อดชวี ติ สว่ นมากอายนุ อ้ ยกวา่ 65 ปี (p-value <0.001) หลังจากวเิ คราะหแ์ บบ multivariable risk regression พบว่าลักษณะทเี่ พม่ิ ความเสยี่ งต่อการ เสยี ชวี ติ ในผปู ้ ่ วย STEMI ไดแ้ ก่ อายมุ ากกวา่ 65 ปี มคี วามเสยี่ ง 2.02 เทา่ ของผปู ้ ่ วยทอี่ ายนุ อ้ ยกวา่ 65 ปี (p-value 0.015) Systolic Blood Pressure (SBP) นอ้ ยกวา่ 105 mmHg มคี วามเสย่ี ง 1.79 เท่าของผูป้ ่ วย ที่ SBP มากกวา่ หรอื เท่ากับ 105 mmHg (p-value 0.050) ผปู ้ ่ วยทไี่ ดร้ ับการรักษาดว้ ย Percutaneous Coronary Intervention (PCI) ลดความเสย่ี งตอ่ การเสยี ชวี ติ ลงรอ้ ยละ 54 (p-value 0.007) สว่ นผูป้ ่ วย ทไ่ี ดร้ บั ยา Streptokinase (SK) มแี นวโนม้ ลดความเสย่ี งตอ่ การเสยี ชวี ติ ลงรอ้ ยละ 30 (p-value 0.232) p-value ตวั แปร Risk ratio 95%CI อายมุ ากกวา่ 65 ปี 2.02 1.15-3.54 0.015 Systolic Blood Pressure นอ้ ยกวา่ 105 mmHg 1.79 1.00-3.23 0.050 ไดร้ บั การรักษาดว้ ย Percutaneous Coronary 0.46 0.26-0.81 0.007 Intervention ไดร้ บั ยา Streptokinase 0.70 0.39-1.25 0.232 ขอ้ ยุตแิ ละการนาไปใช:้ ปัจจัยทเี่ พม่ิ ความเสย่ี งต่อการเสยี ชวี ติ ไดแ้ ก่ อายุมากกวา่ 65 ปี SBP นอ้ ยกว่า 105 mmHg ผปู ้ ่ วยทมี่ ลี ักษณะเสยี่ งดังกล่าวควรตระหนักและใหก้ ารรักษาอยา่ งรวดเร็วและเหมาะสมเพอื่ ไมใ่ หเ้ กดิ การเสยี ชวี ติ ในผปู ้ ่ วย STEMI สว่ นการไดท้ า PCI และการไดร้ ับยาสลายลมิ่ เลอื ด streptokinase ลดอัตราการตายของผปู ้ ่ วย STEMI ดังนัน้ ควรผลักดันเชงิ นโยบายใหผ้ ูป้ ่ วย STEMI ไดเ้ ขา้ ถงึ การใหย้ า SK และการทา PCI อย่างจรงิ จังโดยเฉพาะพน้ื ท่ีห่างไกลเพ่ือลดความเส่ียงของการเสยี ชวี ติ เพื่อยืนยัน ผลการศกึ ษาควรมกี ารรวบรวมขอ้ มลู วจิ ัยเพมิ่ เตมิ เพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ ทช่ี ดั เจนมากขน้ึ กอ่ นนาไปปฏบิ ตั ิ คาสาคญั : Risk factor ST-Elevation Myocardial Ischemia การเสยี ชวี ติ การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ปัจจยั เสย่ี งทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ บั การตดิ เชอ้ื ในกระเลอื ดของทารกแรกเกดิ ระยะแรกทคี่ ลอดใน โรงพยาบาลพะเยา ธญั ญาพร สรุ ยิ ไพฑรู ย,์ ฉัตรสดุ า ณะคราม, ปิยะดา อารรี อบ, ศลิ า กองวฒั นาสภุ า, สภาพฒั น์ สายวดี นสิ ติ แพทยช์ นั้ ปีท่ี 4 ศนู ยแ์ พทยศาสตรศกึ ษาชนั้ คลนิ กิ โรงพยาบาลพะเยา บทคดั ยอ่ ความสาคญั : การตดิ เชอื้ ในกระแสเลอื ดของทารกแรกเกดิ ทาใหเ้ กดิ ความพกิ าร เพม่ิ ระยะเวลาในการนอน โรงพยาบาล และค่าใชจ้ ่ายในการดูแลรักษา อกี ทัง้ ยังเป็ นสาเหตสุ าคัญของการเสยี ชวี ติ เนื่องจากอาการ ทางคลนิ ิกและผลการตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัตกิ าร ไม่มีความจาเพาะเจาะจงกับการตดิ เชอื้ ในกระแสเลอื ด ของทารกแรกเกดิ ทาใหก้ ารวนิ ิจฉัยภาวะน้ีเป็ นไปไดย้ าก การทราบปัจจัยเสยี่ งช่วยใหก้ ารวนิ ิจฉัยและ การรักษาการตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ดของทารกแรกเกดิ ระยะแรกไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว วตั ถปุ ระสงค:์ เพอื่ ศกึ ษาอบุ ตั กิ ารณ์และปัจจยั ทม่ี ผี ลตอ่ การตดิ เชอื้ ในกระแสเลอื ด รปู แบบศกึ ษา สถานท่ี และผปู้ ่ วย: รปู แบบการศกึ ษาเชงิ สมฏุ ฐานวทิ ยา (Etiognostic study) รปู แบบการ เก็บขอ้ มลู Retrospective cohort study โดยเก็บขอ้ มูลจากเวชระเบยี น 1 ปี ในทารกทค่ี ลอดใน โรงพยาบาลพะเยา ตงั้ แตเ่ ดอื นตลุ าคม พ.ศ.2562 ถงึ เดอื นกนั ยายน พ.ศ.2563 การวดั ผล และวธิ กี าร: ศกึ ษาปัจจัยทเ่ี พม่ิ ความเสยี่ งตอ่ การตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ดระยะแรก กลุ่มตัวอยา่ ง คานวณจากลักษณะเสยี่ งทเี่ พม่ิ ความเสยี่ งตอ่ การตดิ เชอื้ ในกระแสเลอื ดในทารกแรกเกดิ ระยะแรก Ratio 1:3 คา่ power ทร่ี อ้ ยละ 80 one-side test นัยสาคัญทางสถติ ทิ ี่ 0.05 ไดข้ นาดกลมุ่ ตัวอยา่ งทารกทเี่ กดิ การตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ดระยะแรก 95 ราย และขนาดกลมุ่ ควบคุม 285 ราย ผวู ้ จิ ัยไดเ้ ก็บขอ้ มลู ทัง้ หมดจากทารก แรกเกดิ ทค่ี ลอดในโรงพยาบาลพะเยาตัง้ แต่เดอื นตุลาคม พ.ศ.2562 ถงึ เดอื นกันยายน พ.ศ.2563 จานวน 1,436 ราย เขา้ เกณฑก์ ารศกึ ษาจานวน 1,407 ราย เป็ นทารกแรกเกดิ มภี าวะตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ดระยะแรก จานวน 50 ราย และไมม่ ภี าวะตดิ เชอื้ ในกระแสเลอื ดในระยะแรกจานวน 1,357 ราย วิเคราะห์ขอ้ มูลดว้ ยสถิตเิ ชงิ พรรณนา นาเสนอจานวนรอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตราฐาน เปรยี บเทยี บความแตกต่างระหว่างกลุ่มดว้ ย student t-test chi-square test หรอื exact probability และ วเิ คราะหป์ ัจจัยท่ีเพม่ิ ความเสยี่ งต่อการตดิ เชอื้ ในกระแสเลอื ดระยะแรก โดยใชส้ ถติ ิ multivariable risk regression กาหนดนัยสาคัญทางสถติ ทิ ี่ p-value < 0.05 ผล: ทารกแรกเกดิ ทคี่ ลอดในโรงพยาบาลพะเยาปีงบประมาณ 2563 จานวน 1,407 ราย พบทารกแรกเกดิ ท่ี มกี ารตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ดระยะแรกจานวน 50 ราย รอ้ ยละ 3.55 ไมม่ ภี าวะตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ดจานวน 1,357 ราย รอ้ ยละ 96.45 กล่มุ ทารกแรกเกดิ ทม่ี กี ารตดิ เชอื้ ในกระแสเลอื ดระยะแรกเป็ นเพศชายมากกว่า เพศหญงิ สองเทา่ รอ้ ยละ 68.00 และ 32.00 (P-value = 0.031) หลงั จากวเิ คราะหแ์ บบ multivariable risk regression พบว่า ปัจจัยทเ่ี พม่ิ ความเสย่ี งในการเกดิ การตดิ เชอื้ ในกระแสเลอื ดของทารกแรกเกดิ ระยะแรก ไดแ้ ก่ ทารกคลอดกอ่ นกาหนด นอ้ ยกวา่ 37 สปั ดาห์ (RR = 5.62, P-value < 0.001) มารดามภี าวะตดิ เชอ้ื ในทางเดนิ ปัสสาวะ (RR = 5.23, P-value = 0.027) ทารกน้าหนักแรกเกดิ นอ้ ยกว่า 2,500 กรัมป้ องกนั การ เกดิ ภาวะตดิ เชอื้ ในกระแสเลอื ดรอ้ ยละ 76 (RR = 0.24, P-value = 0.010) ปัจจยั เสย่ี ง Risk ratio 95%CI p-value ทารกคลอดกอ่ นกาหนด นอ้ ยกวา่ 37 สปั ดาห์ 5.62 3.00-10.52 < 0.001 มารดามภี าวะตดิ เชอ้ื ในทางเดนิ ปัสสาวะ 5.23 1.21-22.59 0.027 น้าหนักทารกแรกเกดิ นอ้ ยกวา่ 2,500 กรัม 0.24 0.08-0.71 0.010 ขอ้ ยุติ และการนาไปใช้: อุบัตกิ ารณ์การติดเช้ือในกระเลือดของทารกแรกเกดิ ระยะแรกท่ีคลอดใน โรงพยาบาลพะเยา รอ้ ยละ 3.55 ปัจจัยทเ่ี พม่ิ ความเสยี่ งตอ่ การตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ดระยะแรก ไดแ้ ก่ ทารก คลอดกอ่ นกาหนดนอ้ ยกวา่ 37 สปั ดาห์ และมารดามภี าวะตดิ เชอื้ ในทางเดนิ ปัสสาวะ ดังนัน้ แพทยแ์ ละผูด้ ูแล ควรเฝ้ าระวังและตดิ ตามอาการของทารกแรกเกดิ ทมี่ ปี ัจจัยเสยี่ งดังกลา่ ว เพอื่ วนิ จิ ฉัยและใหก้ ารรักษาอยา่ ง รวดเร็ว แตก่ ารศกึ ษานพ้ี บวา่ ทารกน้าหนักแรกเกดิ นอ้ ยกวา่ 2,500 กรัมเป็ นปัจจยั ป้องกนั การเกดิ ภาวะตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ด เพอื่ ยนื ยันผลการศกึ ษาควรมกี ารรวบรวมขอ้ มูลวจิ ัยเพม่ิ เตมิ ใหไ้ ดข้ อ้ สรุปทชี่ ัดเจนมากขน้ึ กอ่ นนาไปปฏบิ ตั ิ คาสาคญั : การตดิ เชอื้ ในกระเลอื ด, ทารกแรกเกดิ ระยะแรก, ทารกแรกเกดิ , ปัจจัยเสย่ี ง, อบุ ตั กิ ารณ์ การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ผลการใชแ้ นวปฏบิ ตั ทิ างการพยาบาลในการป้ องกนั การเกดิ ปอดอกั เสบ ในผูป้ ่ วยโรคหลอด เลอื ดสมอง โรงพยาบาลพะเยา The Efficacy of Nursing Practice Guidelines for Prevention Pneumonia in stroke patients in Phayao Hospital วาสนา ธรรมโชติ พย.ม., ศศวิ มิ ล มงคลดี พย.ม. หอผปู ้ ่ วยอายรุ กรรมรวม โรงพยาบาลพะเยา บทคดั ยอ่ ความสาคญั : การเกดิ ปอดอักเสบเป็ นภาวะแทรกซอ้ นที่สาคัญของผูป้ ่ วยโรคหลอดเลือดสมอง เป็ นสาเหตใุ หผ้ ปู ้ ่ วยตอ้ งนอนรกั ษาในโรงพยาบาลนาน สญู เสยี คา่ ใชจ้ า่ ยสงู หากไมไ่ ดร้ บั การดแู ลรักษาท่ี ถกู ตอ้ งอาจเกดิ ภาวะแทรกซอ้ นทร่ี นุ แรงจนเสยี ชวี ติ ได ้ วตั ถุประสงค:์ เพ่ือศกึ ษาผลการใชแ้ นวปฏบิ ัตทิ างการพยาบาลในการป้ องกันการเกดิ ปอดอักเสบ ในผปู ้ ่ วยโรคหลอดเลอื ดสมอง รปู แบบศกึ ษา สถานที่ และผปู้ ่ วย: เป็ นการศกึ ษาเชงิ ประสทิ ธภิ าพ (efficacy research) รูปแบบ interrupted time design ศกึ ษาประวัตกิ ารรักษาจากเวชระเบยี น ในผูป้ ่ วยโรคหลอดเลือดสมอง ในหอผปู ้ ่ วยโรคหลอดเลอื ดสมองและหอผปู ้ ่ วยอายรุ กรรมรวม โรงพยาบาลพะเยา โดยเก็บขอ้ มลู ในกลมุ่ ผูป้ ่ วยโรคหลอดเลอื ดสมองทใ่ี ชแ้ นวปฏบิ ัตเิ ดมิ ตัง้ แต่เดอื นกรกฎาคม 2562 ถงึ เดอื นธันวาคม 2562 และกลุ่มผูป้ ่ วยโรคหลอดเลือดสมองท่ีใชแ้ นวปฏบิ ัตทิ างการพยาบาลท่ีพัฒนาขนึ้ มา ระหว่างเดือน มกราคม 2563 ถงึ มถิ นุ ายน 2563 การวดั ผล และวธิ กี าร: รวบรวมขอ้ มูลส่วนบุคคลนาเสนอโดยค่าความถี่ รอ้ ยละ ค่าเฉลยี่ และส่วน เบยี่ งเบนมาตรฐานเปรยี บเทยี บความแตกต่างโดยใชส้ ถติ ทิ ดสอบ t-test และ exact probability test วเิ คราะห์ผลการใชแ้ นวปฏบิ ัตทิ างการพยาบาลในการป้ องกันการเกดิ ปอดอักเสบ ในผูป้ ่ วยโรคหลอด เลอื ดสมอง ดว้ ยสถติ ิ multivariable logistic regression ผล: ผปู ้ ่ วยโรคหลอดเลอื ดสมองทัง้ หมด 416 ราย เป็ นกลมุ่ ทใี่ ชแ้ นวปฏบิ ตั ทิ างการพยาบาลทพ่ี ฒั นาขน้ึ มาในการป้ องกันการเกดิ ปอดอักเสบจานวน 208 ราย พบการเกดิ ปอดอักเสบ 7 ราย (รอ้ ยละ 3.37) สว่ นผปู ้ ่ วยโรคหลอดเลอื ดสมองทใี่ หก้ ารพยาบาลโดยใชแ้ นวปฏบิ ตั เิ ดมิ 208 ราย พบการเกดิ ปอดอกั เสบ 23 ราย (รอ้ ยละ 11.06) ลักษณะทางคลนิ กิ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ไดแ้ ก่ ความพกิ ารของผปู ้ ่ วยโรคหลอดเลอื ด สมอง (MRS) ประเภทผูป้ ่ วย การไดร้ ับสารอาหารทางสายยาง การรับประทานอาหารก่อนจาหน่าย ระยะเวลาการนอนรักษาในโรงพยาบาล ลักษณะการจาหน่าย และการเกดิ ปอดอักเสบ ผลจากการใช ้ แนวปฏบิ ตั ทิ างการพยาบาลทพี่ ฒั นาขนึ้ มาเพอ่ื ป้องกนั ปอดอกั เสบในผปู ้ ่ วยโรคหลอดเลอื ดสมอง โดยวธิ ี วเิ คราะหแ์ บบ multivariable logistic regression โดยปรับความแตกตา่ งของ ความพกิ ารของผปู ้ ่ วย โรคหลอดเลอื ดสมอง (MRS) ระดับความรุนแรงของโรค และการใสส่ ายยางใหอ้ าหาร พบวา่ แนวปฏบิ ัติ ทางการพยาบาลทพ่ี ัฒนาขนึ้ มาสามารถป้ องกันปอดอกั เสบในผปู ้ ่ วยโรคหลอดเลอื ดสมองได ้ 0.27 เท่า เมอื่ เทยี บกบั การใหก้ ารพยาบาลโดยใชแ้ นวปฏบิ ตั เิ ดมิ 95% Cl 0.10-0.74 แตกต่างกนั อยา่ งมนี ัยสาคัญ ทางสถติ ิ P-value 0.010 ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ การใชแ้ นวปฏบิ ตั ทิ างการพยาบาลทพ่ี ัฒนาขนึ้ มาในการป้ องกันการเกดิ ปอด อกั เสบ ในผปู ้ ่ วยโรคหลอดเลอื ดสมองสามารถชว่ ยลดอบุ ตั กิ ารณ์การเกดิ ปอดอกั เสบได ้ ดงั นัน้ ควรนาแนว ปฏบิ ตั ทิ พี่ ัฒนา ขนึ้ มาน้ี เสนอผลการศกึ ษาตอ่ ผบู ้ รหิ าร โรงพยาบาลพะเยา เพอื่ ออกนโยบายสง่ เสรมิ ใหม้ ี การดแู ลผปู ้ ่ วยโรคหลอดเลอื ดสมองตามแนวปฏบิ ตั ทิ างการพยาบาลทพ่ี ัฒนาขน้ึ มาน้ี อันจะสง่ ผลในการ ป้ องกันหรือลดการเกดิ ปอดอักเสบในผูป้ ่ วยโรคหลอดเลือดสมองในหน่วยงานและเผยแพร่ไปยัง หน่วยงานอนื่ ตอ่ ไป คาสาคญั : แนวปฏบิ ตั ทิ างการพยาบาล การเกดิ ปอดอกั เสบ ผปู ้ ่ วยโรคหลอดเลอื ดสมอง การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ผลการใชแ้ นวปฏบิ ตั ทิ างการพยาบาลในการวางแผนจาหนา่ ยผูป้ ่ วยบาดเจ็บทศี่ รี ษะโรงพยาบาล พะเยา ณัฐธดิ า สรุ โิ ย RN*, วารณุ ี จนั ทรข์ นั ธ์ RN*, เปรมฤดี ศรวี ชิ ยั M.N.S. **, พชั รนิ ทร์ คานวล PhD (Epidemiology),RN*** *กลมุ่ งานการพยาบาลศัลยกรรม โรงพยาบาลพะเยา **วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนพี ะเยา ***กลมุ่ งานวจิ ัยและพฒั นาการพยาบาล โรงพยาบาลพะเยา บทคดั ยอ่ ความสาคญั : การบาดเจ็บที่ศีรษะ เป็ นสาเหตุของการเสยี ชวี ติ และทุพลภาพ มแี นวโนม้ ที่เพมิ่ สูงขนึ้ ความพกิ ารจากการบาดเจ็บที่สมองส่งผลกระทบต่อคุณภาพชวี ติ ของผูป้ ่ วยและครอบครัว ผูป้ ่ วยกลุ่มนี้ มปี ัญหาในเรอ่ื งการปฏบิ ัตติ ัวและการเตรยี มผดู ้ แู ลในการดแู ลตอ่ เนือ่ งทบ่ี า้ นทาใหเ้ กดิ ภาวะแทรกซอ้ น เชน่ แผลกดทับ ตดิ เชอื้ ในระบบทางเดนิ ปัสสาวะและกลบั มารักษาซ้าในโรงพยาบาลจากการปฏบิ ตั ติ ัวไมถ่ กู ตอ้ ง ผูว้ จิ ัยจงึ ไดพ้ ัฒนาแนวปฏบิ ัตทิ างการพยาบาลในการวางแผนจาหน่ายผูป้ ่ วยบาดเจ็บที่ศีรษะ ควบคู่กับ การสอนการปฏบิ ัตติ ัว (home program) เพอ่ื ใหผ้ ูป้ ่ วยเกดิ ความปลอดภัย และลดการเกดิ ภาวะแทรกซอ้ น ตา่ งๆ วตั ถปุ ระสงค:์ เพอื่ ศกึ ษาผลการใชแ้ นวปฏบิ ตั กิ ารวางแผนจาหน่ายผปู ้ ่ วยบาดเจ็บทศี่ รี ษะควบคู่กบั การสอน การปฏบิ ตั ติ วั (home program) โดยเปรยี บเทยี บผลระหวา่ งกลมุ่ กอ่ นและหลงั การใชแ้ นวปฏบิ ตั ิ รูปแบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: การศกึ ษานี้เป็ นการวจิ ัยเชงิ ประสทิ ธผิ ล (Efficacy research) Interrupted time design โดยเก็บจากเวชระเบยี นยอ้ นหลัง ผูป้ ่ วยบาดเจ็บทศ่ี รี ษะทร่ี ับไวใ้ นหอผูป้ ่ วย ศลั ยกรรม โรงพยาบาลพะเยา ตัง้ แตเ่ ดอื นตลุ าคม 2561 - ธนั วาคม 2563 โดยแบง่ เป็ นสองกลมุ่ กลมุ่ ทไ่ี ดร้ ับ การดแู ลตามแนวปฏบิ ตั กิ ารวางแผนจาหน่ายผปู ้ ่ วยบาดเจ็บศรี ษะทพ่ี ฒั นาขน้ึ ตัง้ แตเ่ ดอื น กรกฎาคม 2563 – ธันวาคม 2563 เปรยี บเทยี บกลุม่ ทไี่ ดร้ ับการพยาบาลตามปกติ ตัง้ แต่ตลุ าคม 2561 ถงึ เดอื นกนั ยายน 2562 เลอื กกลมุ่ ตัวอยา่ งแบบเจาะจง จานวน 208 ราย แบง่ เป็ นกลมุ่ ละ 104 คน การวดั ผล และวธิ กี าร: รวบรวมลกั ษณะทว่ั ไป วเิ คราะหโ์ ดยใชส้ ถติ พิ รรณนาแสดงผลเป็ น จานวน รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน เปรยี บเทยี บความแตกต่างโดยใชส้ ถติ ทิ ดสอบ t-test หรอื rank sum test และ exact probability test วเิ คราะหป์ ระสทิ ธผิ ลของแนวปฏบิ ตั ดิ ว้ ยสถติ ิ multivariable logistic regressionโดยคลมุ ตวั แปร ผดู ้ แู ล และคะแนนความสามารถปฏบิ ตั กิ จิ วัตรประจาวนั แรกรับทตี่ า่ งกนั ผล: พบวา่ การนาแนวปฏบิ ตั มิ าใชม้ ผี ลทาใหค้ วามสามารถในการปฏบิ ตั กิ จิ วัตรประจาวันของผปู ้ ่ วยเพมิ่ ขน้ึ ≥2 คะแนนขน้ึ ไป มากกวา่ กลมุ่ กอ่ นใชแ้ นวปฏบิ ตั ิ (p=≤0.001) และลดภาวะแทรกซอ้ น ไดแ้ ก่ ภาวะปอด อักเสบ และการตดิ เชื้อในระบบทางเดนิ ปั สสาวะ(p=0.046,0.004 ) และมีแนวโนม้ ลดแผลกดทับ (p=0.874) ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ แนวปฏบิ ตั ทิ างการพยาบาลในการวางแผนจาหน่ายผปู ้ ่ วยบาดเจ็บทศี่ รี ษะควบคู่ กบั การสอนการปฏบิ ตั ติ ัว (home program) ชว่ ยใหค้ วามสามารถในการปฏบิ ตั กิ จิ วัตรประจาวันของผปู ้ ่ วย เพมิ่ ขน้ึ และลดภาวะแทรกซอ้ นปอดอกั เสบ และการตดิ เชอื้ ในระบบทางเดนิ ปัสสาวะและมแี นวโนม้ ลดการเกดิ แผลกดทบั ดังนัน้ ควร นาแนวปฏบิ ตั ไิ ปประยกุ ตใ์ ชใ้ นหน่วยงานและเผยแพร่ไปยังหน่วยงานอนื่ เพอื่ ใหผ้ ปู ้ ่ วย ปลอดภยั ไมเ่ กดิ ภาวะแทรกซอ้ นตามมา คาสาคญั : การบาดเจ็บทีศ่ รี ษะ แนวปฏบิ ัตกิ ารวางแผนจาหน่าย ผูป้ ่ วยบาดเจ็บทศ่ี ีรษะ การวางแผน จาหน่าย การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ผลของการพฒั นาการเยยี่ มผูป้ ่ วยก่อนและหลงั ผา่ ตดั เพอื่ สง่ เสรมิ การเกดิ การฟ้ื นตวั หลงั ผ่าตดั ในผปู้ ่ วยมารบั การผา่ ตดั คลอดจากการไดร้ บั ยาระงบั ความรสู้ กึ ทางไขสนั หลงั โรงพยาบาลพะเยา สงกรานต์ จฑุ ารัตน,์ นภาภรณ์ อนิ ตะ๊ กลมุ่ งานการพยาบาลวสิ ญั ญี โรงพยาบาลพะเยา บทคดั ยอ่ ความสาคญั : การใหย้ าระงับความรูส้ กึ ทางไขสันหลังลดปัญหาการเกดิ Aspiration,ไม่รบกวนระบบ ทางเดนิ หายใจ ลดความปวดหลังผ่าตัดไดด้ ี ลดการใช ้ opioid จากผลการตดิ ตามเยยี่ มหลังผา่ ตัด พบว่า ผปู ้ ่ วยไมย่ อมขยับตัวและกลัวการเคลอื่ นไหวหลังผา่ ตัดสง่ ผลใหเ้ กดิ อาการทอ้ งอดื ปัสสาวะลาบาก การให ้ ขอ้ มลู ผปู ้ ่ วยกอ่ นผา่ ตัดและตดิ ตามการเยย่ี มหลังผ่าตัดโดยมกี ารประเมนิ ความพรอ้ มและเหมาะสมกับผปู ้ ่ วย จะกระตนุ ้ ใหเ้ กดิ การเคลอ่ื นไหวหลงั ผา่ ตดั โดยเร็ว ชว่ ยใหร้ ะบบการทางานของรา่ งกายเป็ นปกตเิ ร็วขนึ้ วตั ถปุ ระสงค:์ ศกึ ษาผลของการพฒั นาการเยย่ี มผปู ้ ่ วยกอ่ นและหลังผา่ ตดั เพอ่ื สง่ เสรมิ การฟื้นตัวหลังผา่ ตดั ในผปู ้ ่ วยมารับการผา่ ตดั คลอดจากการไดร้ ับยาระงับความรสู ้ กึ ทางไขสนั หลงั โรงพยาบาลพะเยา รปู แบบศกึ ษา สถานท่ี และผูป้ ่ วย: รูปแบบวจิ ัย Quasi-experimental research ศกึ ษาในผปู ้ ่ วยมารับการ ผ่าตัดคลอดและไดร้ ับยาระงับความรูส้ กึ ทางไขสันหลัง โรงพยาบาลพะเยา ในชว่ ง มกราคม 2564 – พฤษภาคม 2564 เปรยี บเทียบ การฟื้ นตัวหลังผ่าตัดโดยการลุกนั่งและเดนิ หลังผ่าตัดภายใน 6-12 ชม. คานวณขนาดตัวอย่าง จากการเยย่ี มก่อนและหลังผ่าตัดแบบเดมิ ผูป้ ่ วยมกี ารฟ้ื นตัวหลังผ่าตัดหลังผ่าตัด ลกุ เดนิ นั่งและเดนิ รอบเตยี ง ภายใน 6-12 ชัว่ โมง ทาไดร้ อ้ ยละ 10 หลังจากไดพ้ ัฒนาการเยยี่ มกอ่ นและ หลังผ่าตัดมีการใหข้ อ้ มูลผูป้ ่ วยก่อนผ่าตัดและตดิ ตามการเยยี่ มหลังผ่าตัดโดยใชก้ ารประเมนิ Bromage score แลว้ กระตนุ ้ ใหเ้ กดิ การเคลอ่ื นไหวหลังผา่ ตัดโดยเร็วตามความพรอ้ มและเหมาะสมกบั ผปู ้ ่ วยแตล่ ะราย ทาใหผ้ ปู ้ ่ วยมกี ารลกุ น่ังและเดนิ รอบเตยี ง ประมาณรอ้ ยละ 50 one sided test power =80 % alpha error =0.05 ไดข้ นาดกลมุ่ ตวั อยา่ งอยา่ งนอ้ ยกลมุ่ ละ 20 ราย รวมทงั้ หมด 40 ราย การวดั ผล และวธิ กี าร: ศกึ ษาลักษณะขอ้ มลู ทั่วไป วเิ คราะหน์ าเสนอค่าเฉลยี่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน เปรยี บเทยี บระหวา่ งกลมุ่ โดยใช ้ T-test Independence ผล: ลักษณะทั่วไป อายุ ดัชนีมวลกาย ค่า Hct ก่อนผ่าตัด การเสยี เลือดระหว่างผ่าตัด ทัง้ 2 กลุ่ม ไมแ่ ตกตา่ งกนั ผลการใหข้ อ้ มลู ผปู ้ ่ วยกอ่ นผา่ ตดั และตดิ ตามการเยยี่ มหลังผ่าตัดตามแนวทางทพ่ี ัฒนาขน้ึ มา โดยมกี ารประเมนิ Bromage score แลว้ กระตนุ ้ ใหเ้ กดิ การเคลอื่ นไหวหลังผ่าตัดโดยเร็วตามความพรอ้ มและ เหมาะสมกับผูป้ ่ วยแต่ละราย การฟื้ นตัวหลังผ่าตัด ระดับpain score ทัง้ 2 กลุ่มไมม่ คี วามแตกต่างกัน ระยะเวลาลกุ น่ังและเดนิ กลมุ่ กอ่ นพฒั นาการเยย่ี ม ลกุ น่ัง 15.35 ชวั่ โมง ลกุ เดนิ 21.75 ชวั่ โมงหลงั จากไดร้ ับ ยาทางไขสันหลัง กลุ่มหลังพัฒนา ลุกนั่ง 7.6 ชว่ั โมง ลุกเดนิ 16.30 ชัว่ โมงหลังไดร้ ับยาระงับความรูท้ าง ไขสนั หลัง การฟื้นตวั หลงั ผา่ ตัด กอ่ นพัฒนา หลงั พัฒนา mean SD mean SD p-value ระดับความปวดหลังไดร้ ับยาชา 1.60 0.503 1.70 0.470 0.519 (SB) 6 ชวั่ โมง ระดบั ความปวดหลังไดร้ บั ยาชา (SB) 12 ชวั่ โมง 1.60 0.502 1.80 0.616 0.267 ระยะเวลาลกุ นั่งหลงั ไดร้ ับยาชา 15.35 4.568 7.60 1.930 <0.001 ทางไขสนั หลงั (ชวั่ โมง) ระยะเวลาลกุ เดนิ หลงั ไดร้ ับยา 21.75 2.489 16.30 5.667 <0.001 ชาทางไขสนั หลงั (ชว่ั โมง) ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ การใชแ้ นวทางการพัฒนาการเยยี่ มผูป้ ่ วยกอ่ นผ่าตัดและหลังผา่ ตัดเพอ่ื สง่ เสรมิ การฟื้ นตัวหลังผ่าตัดคลอดจากการไดร้ ับยาระงับความรูส้ กึ ทางไขสันหลัง โดยใชก้ ารประเมนิ Bromage score แลว้ กระตนุ ้ ใหเ้ กดิ การเคลอื่ นไหวหลังผา่ ตัดโดยเร็วตามความพรอ้ มและเหมาะสมกบั ผปู ้ ่ วยแตล่ ะราย ทาใหผ้ ปู ้ ่ วยมกี ารฟ้ืนตัวหลังผ่าตัดไดเ้ ร็วขนึ้ จงึ ควรนาไปใชก้ ับผปู ้ ่ วยคลอดทไี่ ดร้ ับยาระงับความรสู ้ กึ ทางไข สนั หลังทกุ ราย คาสาคญั : การพัฒนาการเยย่ี มผูป้ ่ วยก่อนผ่าตัด ยาระงับความรูส้ กึ ทางไขสันหลัง การฟื้ นตัวหลังผ่าตัด คลอด การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
อตั ราการอยู่รอดโดยรวม และปัจจยั ทมี่ ผี ลต่อการเสยี ชีวติ ในผู้ป่ วยโรคมะเร็งเม็ดเลอื ดขาว ชนดิ เฉยี บพลนั แบบไมอลี อยด์ ในโรงพยาบาลเชยี งรายประชานเุ คราะห์ ณัฐณชิ า ยลศริ วิ ัฒน,์ ปิยาภรณ์ ศริ จิ ันทรช์ น่ื , นลวนั ท์ เชอื้ เมอื งพาน ภาควชิ าอายรุ ศาสตร์ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : โรคมะเร็งเม็ดเลอื ดขาวชนดิ เฉียบพลันแบบไมอลี อยด์ (Acute myeloid leukemia (AML)) เป็ นโรคท่ีพบไดใ้ นประชากรทั่วไป ถงึ แมว้ ่าปั จจุบันจะมีการพัฒนาและศกึ ษาเก่ียวกับการวนิ ิจฉัยและ การรกั ษาทเี่ พม่ิ ขน้ึ แตย่ งั พบวา่ มผี ปู ้ ่ วยเสยี ชวี ติ จากโรคนอ้ี ยเู่ ป็ นจานวนมาก โดยปัจจยั ทม่ี ผี ลต่อการเสยี ชวี ติ ของผปู ้ ่ วยโรค AML แบง่ ไดเ้ ป็ นปัจจัยทเี่ กย่ี วกบั ผปู ้ ่ วย และปัจจยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ตัวโรค วตั ถุประสงค:์ เพอ่ื ศกึ ษาหาปัจจัยทม่ี ผี ลตอ่ การเสยี ชวี ติ ในผปู ้ ่ วยโรคมะเร็งเม็ดเลอื ดขาวชนดิ เฉียบพลัน แบบไมอลี อยด์ ทร่ี ะยะเวลา 90 วัน ในโรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ ในปี พ.ศ. 2556-2562 รวมถงึ อตั ราการเสยี ชวี ติ และคา่ มัธยฐานระยะเวลาความอย่รู อด (median survival time) ของผปู ้ ่ วยโรคมะเร็ง เม็ดเลอื ดขาวชนดิ เฉียบพลนั แบบไมอลี อยด์ ในโรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ รปู แบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: การศกึ ษาวจิ ัยเชงิ พรรณนาแบบยอ้ นหลัง เก็บรวบรวมขอ้ มูลผูป้ ่ วย โรคมะเร็งเมด็ เลอื ดขาว ชนดิ เฉียบพลันแบบไมอลี อยด์ ระหวา่ งวันท่ี 1 มกราคม 2556 – 31 ธันวาคม 2562 จากเวชระเบยี นผปู ้ ่ วยโรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ จานวนประชากรในการศกึ ษาวจิ ัยใชโ้ ปรแกรม สาเร็จรูปในการกาหนดระดับนัยสาคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ 0.05 และใชอ้ านาจการทดสอบ 0.90 โดยจาก การศกึ ษากอ่ นหนา้ ผล: ผปู ้ ่ วยโรค AML ทเี่ สยี ชวี ติ ทร่ี ะยะเวลา 90 วัน จานวน 127 ราย (63.5%) และผปู ้ ่ วยทไ่ี มเ่ สยี ชวี ติ จานวน 73 ราย (36.5%) ปัจจัยทม่ี ผี ลตอ่ การเสยี ชวี ติ ของผปู ้ ่ วยโรค AML ไดแ้ กผ่ ปู ้ ่ วยทไี่ ดร้ ับการรักษา ดว้ ยยาเคมบี าบดั ทเี่ สยี ชวี ติ นอ้ ยกวา่ กลุม่ ทร่ี ักษาแบบประคับประคองอยา่ งมนี ัยสาคัญ (HR 0.47; 95% CI 0.32-0.70, p<0.001) อตั ราการเสยี ชวี ติ ของผูป้ ่ วยโรค AML ในโรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ ทร่ี ะยะเวลา 90 วัน คอื รอ้ ยละ 38.02 (31.17 – 44.83) ค่ามัธยฐานระยะเวลาความอยูร่ อด (median survival time) ของผปู ้ ่ วยผปู ้ ่ วยโรค AML ในโรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ อยทู่ ี่ 49 วัน ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ การรักษาดว้ ยยาเคมบี าบดั เป็ นปัจจยั ทล่ี ดการเสยี ชวี ติ ในผปู ้ ่ วยโรค AML อยา่ งมี นัยสาคัญทางสถติ ิ อย่างไรก็ตามการเก็บขอ้ มูลหรอื ส่งตรวจทางพันธุกรรมทม่ี ากขน้ึ อาจทาใหไ้ ดข้ อ้ มูล ปัจจัยทม่ี ผี ลตอ่ การเสยี ชวี ติ ในผปู ้ ่ วยโรค AML เพม่ิ มากขนึ้ คาสาคญั : โรคมะเร็งเม็ดเลอื ดขาวชนดิ เฉียบพลันแบบไมอลี อยด์ อตั ราการอยู่รอด ปัจจัยทมี่ ผี ลตอ่ การ เสยี ชวี ติ การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
การศกึ ษาประสทิ ธภิ าพของกา๊ ซไนโตรเจนเหลวรว่ มกบั การใชย้ าทาสเตยี รอยด์ เทยี บกบั การใชย้ าทาสเตยี รอยดร์ ว่ มกบั การพน่ นา้ เย็นในคนไขโ้ รคผมรว่ งเป็ นหยอ่ ม โกลญั ญา กงั วาลยศศกั ด,์ิ วชิ ช ธรรมปัญญา, นลวันท์ เชอ้ื เมอื งพาน, ปิยาภรณ์ ศริ จิ นั ทรช์ นื่ ภาควชิ าอายรุ ศาสตร์ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : โรคผมร่วงเป็ นหย่อมเป็ นโรคทมี่ ผี ลกระทบต่อสภาพจติ ใจของผทู ้ เี่ ป็ นโรค ทาใหไ้ มม่ คี วาม มนั่ ใจในดารเขา้ สงั คมเป็ นหลัก เนื่องจากเป็ นโรคทเี่ ห็นไดช้ ดั จากภายนอกและมผี ลตอ่ บคุ ลกิ ภาพภายนอก การรักษาโรคผมร่วงเป็ นหย่อม พนื้ ฐานเป็ นการใชย้ าทาสเตยี รอยด์ โดยผลการรักษาบางคนใชเ้ วลามาก หลายเดอื น บางคนไมต่ อ้ งรักษา สามารถหายไดแ้ ละผมขนึ้ ไดเ้ อง จงึ เรม่ิ มกี ารรักษาแบบใหม่ เชน่ การพ่น ความเย็นเพอื่ ชว่ ยกระตนุ ้ รูขมุ ขนใหผ้ มงอกใหมไ่ ดด้ ขี น้ึ และเร็วขน้ึ นามาสูก่ ารศกึ ษาน้ี ซงึ่ จะเป็ นประโยชน์ ในการนาไปพฒั นาแนวทางการรกั ษาโรคผมรว่ งเป็ นหยอ่ มใหเ้ หมาะสมต่อไป วตั ถุประสงค:์ เปรยี บเทยี บประสทิ ธภิ าพของการใชย้ าทาสเตยี รอยดร์ ่วมกับการพ่นก๊าซไนโตรเจนเหลว เทยี บกบั การใชย้ าทาสเตยี รอยดร์ ว่ มกบั การพน่ น้าเย็นในการรกั ษาโรคผมรว่ งเป็ นหยอ่ ม รูปแบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: ผูป้ ่ วยทเ่ี ขา้ รับการรักษาทแี่ ผนกโรคผวิ หนัง ภาควชิ าอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะหท์ ่ีไดร้ ับการวนิ จิ ฉัยว่าเป็ นโรคผมร่วงเป็ นหย่อม จานวน 35 ราย สุ่มเ ลือก เป็ น 2 กลุ่มโด ยใช ก้ ระดา ษปิ ด ผนึก คือ ก ลุ่มที่ได ย้ าทาสเ ตียรอยด์ร่ว มกับกา รพ่นก๊า ซ ไนโตรเจนเหลวและกลุ่มทีไ่ ดย้ าทาสเตียรอยด์ร่วมกับการพ่นน้าเย็น โดยตดิ ตามทุก 2 สัปดาห์ จนครบ 8 สัปดาห์ เปรยี บเทยี บประสทิ ธภิ าพโดยดูจากรอ้ ยละของผมเกดิ ใหม่เทยี บกับพนื้ ท่ีทีผ่ มร่วงทัง้ หมด ระยะเวลาทใ่ี ชเ้ มอื่ มผี มเกดิ ใหมค่ ดิ เป็ นรอ้ ยละ 50% จากพน้ื ทท่ี ผ่ี มรว่ งทงั้ หมด และผลการประเมนิ เรอ่ื งความ กังวลและคุณภาพชวี ติ ของผูป้ ่ วย รวมถงึ ผลขา้ งเคยี งจากการรักษาหลังจากเรมิ่ ไดร้ ับยาทาสเตยี รอยดแ์ ละ ไดร้ บั การพน่ ยาตามทกี่ าหนด ผล: จากการคานวณสถติ วิ เิ คราะหค์ วามแปรปรวนแบบวัดซ้า พบว่า ประสทิ ธภิ าพในการรักษาโรคผมร่วง เป็ นหยอ่ มในเรอื่ งรอ้ ยละของผมเกดิ ใหมเ่ ทยี บกบั พนื้ ทที่ ผ่ี มรว่ งทัง้ หมด และระยะเวลาทใี่ ชเ้ มอื่ มผี มเกดิ ใหม่ คดิ เป็ นรอ้ ยละ 50% ของทัง้ กลมุ่ ทไี่ ดย้ าทาสเตยี รอยดร์ ว่ มกบั การพน่ กา๊ ซไนโตรเจนเหลวเทยี บกับกลุ่มทไ่ี ด ้ ยาทาสเตยี รอยดร์ ว่ มกบั การพน่ น้ายาเยน็ ไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ (p-value= 0.575, 0.406 และ 95%CI -8.519-15.345, -0.138-0.342 ตามลาดับ) แต่ผลการประเมนิ เรอื่ งความกังวลและ คุณภาพชวี ติ ของผูป้ ่ วยพบว่าผูป้ ่ วยทอี่ ยใู่ นกลุ่มที่ไดย้ าทาสเตยี รอยดร์ ่วมกับการพ่นก๊าซไนโตรเจนเหลว ไดป้ ระเมนิ เรอื่ งความกังวลและคุณภาพชวี ติ ของผูป้ ่ วยไปในทางทดี่ กี ว่ากลุ่มทไ่ี ดย้ าทาสเตยี รอยดร์ ่วมกับ การพ่นน้าเย็นอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ (p-value=0.048 , 95%CI 0.001-0.373) ส่วนผลขา้ งเคยี ง จากการรักษา พบ 4 ราย โดยท่ี 2 รายมอี าการผวิ แดงบรเิ วณทพ่ี น่ ยา สว่ นอกี 2 รายมอี าการคันเล็กนอ้ ย ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ ประสทิ ธภิ าพในการรักษาโรคผมร่วงเป็ นหย่อมในกลุ่มทไ่ี ดย้ าทาสเตยี รอยด์ ร่วมกับการพ่นก๊าซไนโตรเจนเหลวเทียบกับกลุ่มท่ีไดย้ าทาสเตียรอยด์ร่วมกับการพ่นน้ าเย็นไม่มี ความแตกต่างกันอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ แต่ผลประเมนิ เร่อื งความกังวลและคุณภาพชวี ติ ในกลุ่มท่ีได ้ ยาทาสเตยี รอยดร์ ว่ มกบั พน่ กา๊ ซไนโตรเจนเหลวไปในทางทด่ี กี วา่ คาสาคญั : โรคผมรว่ งเป็ นหยอ่ ม ,การพน่ กา๊ ซไนโตรเจนเหลว , การใชย้ าทาสเตยี รอยด์ การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ปัจจยั พยากรณก์ ารเกดิ ภาวะกระดกู หกั ซา้ ในผปู ้ ่ วยกระดกู สะโพกหกั ทไี่ ดร้ บั การรกั ษาดว้ ยวธิ ผี า่ ตัด โรงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ จังหวดั เชยี งราย อมรศักด์ิ รปู สงู , สปุ วณี ์ ดา่ นชลวจิ ติ ร, ชานนท์ หาญสทุ ธเิ วชกลุ , พจิ ติ ร ขนุ เวชไวทยะ บทคดั ยอ่ วตั ถุประสงค:์ เพอ่ื ศกึ ษาปัจจัยพยากรณ์การเกดิ กระดูกหักซ้าในผูป้ ่ วยกระดูกสะโพกหักครัง้ แรกทร่ี ักษา ดว้ ยวธิ กี ารผา่ ตัด รูปแบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: เป็ นการศกึ ษาแบบ retrospective case-control study ในผูป้ ่ วย กระดูกสะโพกหักครัง้ แรกทม่ี อี ายุ ตัง้ แต่ 50 ปี ขนึ้ ไป จานวน 232 ราย โดยเปรยี บเทยี บสัดส่วนของปัจจัย ทอ่ี าจพยากรณ์การเกดิ กระดกู หกั ซ้าระหวา่ งกลมุ่ ผปู ้ ่ วยกระดูกสะโพกหักครัง้ แรกทไ่ี ดร้ ับการผ่าตัดรักษาและ เกดิ กระดูกหักซ้าจานวน 58 ราย กับกลุ่มท่ีไม่เกดิ กระดูกหักซ้า จานวน 174 ราย ที่มารับการรักษา ทโี่ รงพยาบาลเชยี งรายประชานุเคราะห์ ในชว่ งวนั ท่ี 1 ตลุ าคม พ.ศ.2556 ถงึ 30 กนั ยายน พ.ศ.2563 ผล: พบปัจจัยพยากรณ์การเกดิ กระดูกหักซ้า คอื ประวัตกิ ารหักของกระดูกในตาแหน่งอนื่ ๆ ก่อนการเกดิ กระดูกสะโพกหัก (OR 19.836; 95% CI 1.674-235.015, p=0.018), คะแนน Singh index ไมเ่ กนิ 3 (OR 8.082; 95% CI 2.535-25.466, p<0.001) และโรคตา (OR 11.361; 95% CI 2.720-47.437, p=0.001) ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ ปัจจัยพยากรณ์การเกดิ กระดกู หักซ้า คอื ประวัตกิ ารหักของกระดูกในตาแหน่ง อน่ื ๆ กอ่ นการเกดิ กระดูกสะโพกหัก คะแนน Singh index ไมเ่ กนิ 3 และโรคตา การตรวจพบปัจจัยขา้ งตน้ ในผูป้ ่ วยกระดูกสะโพกหักครัง้ แรกทรี่ ักษาดว้ ยวธิ กี ารผ่าตัด ทาใหส้ ามารถระบกุ ลุ่มผูป้ ่ วยทมี่ คี วามเสย่ี งสูง ตอ่ การเกดิ กระดกู หกั ซ้าไดซ้ ง่ึ สง่ ผลตอ่ การวางแผนป้ องกนั ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพมากขนึ้ คาสาคญั : ปัจจยั พยากรณ,์ กระดกู หกั ซ้า, กระดกู สะโพกหกั ครงั้ แรกทร่ี ักษาดว้ ยวธิ กี ารผา่ ตดั การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ผลการใชแ้ นวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลในการป้ องกนั การเกดิ ปอดอกั เสบที่สมั พนั ธก์ บั การใช้ เครอื่ งชว่ ยหายใจในทารกแรกเกดิ วกิ ฤต วธิ ศมน วฒุ ศิ ริ นิ ุกลู , สมุ ติ รา โพธป์ิ าน หอ้ งผปู ้ ่ วยหนักทารกแรกเกดิ 2 โรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราช พษิ ณุโลก บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ปอดอักเสบทสี่ ัมพันธก์ ับการใชเ้ ครอื่ งชว่ ยหายใจ (ventilator associated pneumonia: VAP) เป็ นภาวะแทรกซอ้ นสาคัญทพ่ี บไดบ้ อ่ ยในทารกแรกเกดิ วกิ ฤตทใี่ สท่ ่อชว่ ยหายใจ สง่ ผลกระทบ ทาใหต้ อ้ งนอนรกั ษาอยใู่ นโรงพยาบาลนาน สญู เสยี ค่าใชจ้ า่ ยเพม่ิ ขน้ึ และอาจคุกคามจนถงึ ขนั้ เสยี ชวี ติ ได ้ จากสถติ อิ บุ ตั กิ ารณก์ ารเกดิ VAP ในหอผปู ้ ่ วยหนักทารกแรกเกดิ โรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราช พษิ ณุโลก ปี 2561-2563 เทา่ กับ 8.5, 9.7 และ 6.6 ครัง้ ตอ่ 1,000 วันการใสเ่ ครอ่ื งชว่ ยหายใจ ตามลาดับ ซง่ึ สงู เกนิ เกณฑท์ ก่ี าหนดไวค้ อื นอ้ ยกวา่ 5 ครัง้ ตอ่ 1,000 วันการใสเ่ ครอ่ื งชว่ ยหายใจ จากการทบทวนพบว่า แนวปฏบิ ัตใิ นการป้ องกนั VAP ทใ่ี ชอ้ ยเู่ ป็ นแนวปฏบิ ัตทิ ป่ี ระยกุ ตใ์ ชต้ ามแนวปฏบิ ตั ขิ องผใู ้ หญ่ทเี่ รยี กว่า WHAP (Weaning/ Hand hygiene/ Aspiration Prevention /Precaution contamination) ซงึ่ บาง กจิ กรรมอาจจะไมส่ อดคลอ้ งกับบรบิ ทการดูแลทารกแรกเกดิ วกิ ฤติ รวมทัง้ จากการสังเกตการปฏบิ ัตขิ อง พยาบาลพบว่ายังปฏบิ ัตไิ ม่ถูกตอ้ งและไมส่ ม่าเสมอในบางกจิ กรรม ดังนัน้ จงึ ไดส้ นใจศกึ ษาผลการใช ้ แนวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลในการป้ องกันการเกดิ ปอดอักเสบทสี่ ัมพันธก์ บั การใชเ้ ครอ่ื งชว่ ยหายใจในทารก แรกเกดิ วกิ ฤตเิ พอ่ื พัฒนาแนวปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลในการป้ องกัน VAP ใหส้ อดคลอ้ งกับบรบิ ทการดูแล ผูป้ ่ วยทารกวกิ ฤตและมรี ะบบการนเิ ทศกากับการปฏบิ ัตขิ องพยาบาลวชิ าชพี ใหถ้ ูกตอ้ งและสม่าเสมอ เพอ่ื ลดการเกดิ VAP ใหเ้ ป็ นไปตามเกณฑท์ ก่ี าหนดไวแ้ ละเกดิ ความปลอดภัยต่อทารกแรกเกดิ วกิ ฤติ ตอ่ ไป วตั ถุประสงค:์ เพอ่ื เปรยี บเทยี บอบุ ัตกิ ารณ์การเกดิ ปอดอักเสบทสี่ ัมพันธก์ ับการใชเ้ ครอื่ งชว่ ยหายใจ ในทารกแรกเกดิ วิกฤตที่ใชแ้ นวปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลในการป้ องกัน VAP แบบใหม่และกลุ่มท่ีใช ้ แนวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลในการป้องกนั VAP แบบเดมิ รูปแบบการศกึ ษา: การวจิ ัยครัง้ นเี้ ป็ นการวจิ ัยกง่ึ ทดลอง แบบ 2 กลุ่มวัดผลหลังการทดลอง (Two group posttest only design) สถานทศี่ กึ ษา: หอผปู ้ ่ วยหนักทารกแรกเกดิ โรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราช พษิ ณุโลก ประชากรทศี่ กึ ษา: แบง่ เป็ น 2 กลุ่ม ไดแ้ ก่ กลมุ่ พยาบาลวชิ าชพี ทปี่ ฏบิ ัตงิ านในหอผูป้ ่ วยหนักทารก แรกเกดิ 1 และ 2 และกลุ่มผูป้ ่ วยหนักทารกแรกเกิดท่ีใส่ท่อช่วยหายใจและเครื่องช่วยหายใจ ในหอผปู ้ ่ วยหนักทารกแรกเกดิ 1 และ 2 กลมุ่ ตวั อยา่ ง: คัดเลอื กกลมุ่ ตัวอยา่ งแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling ) กาหนดขนาดกลุ่ม ตัวอยา่ งโดยใชส้ ตู รทราบจานวนประชากรแตป่ ระชากรไมม่ าก (Cochran, W.G.,1997) ไดข้ นาดกลุ่ม ตัวอยา่ งกลมุ่ ละ 30 คน โดยกลมุ่ ควบคมุ ใชแ้ นวแบบเดมิ เก็บขอ้ มลู ในเดอื นกมุ ภาพันธ์ – มนี าคม 2564 และกลมุ่ ทดลองใชแ้ นวปฏบิ ตั แิ บบใหม่ เก็บขอ้ มลู ในเดอื นเมษายน – พฤษภาคม 2564 วเิ คราะหข์ อ้ มลู ใชส้ ถติ :ิ ความถี่ รอ้ ยละ คา่ เฉลย่ี สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน chi-square และ Pair t-test การวดั ผล และวธิ กี าร: วัดผลการเกดิ VAP จากแบบบนั ทกึ ขอ้ มลู รว่ มกนั การยนื ยนั จาก ICN เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั : แนวปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลในการป้องกันการเกดิ ปอดอักเสบทส่ี ัมพันธก์ บั การ ใชเ้ ครอ่ื งชว่ ยหายใจแบบใหมเ่ รยี กว่า WHAPO แบบบันทกึ ขอ้ มูลการเกดิ VAP แบบบันทกึ การปฏบิ ัติ ตามแนวปฏบิ ตั ขิ องพยาบาล แบบประเมนิ ความพงึ พอใจของพยาบาล ผล: พบว่าการเกดิ VAP ของกลุ่มทดลองที่ใชแ้ นวปฏบิ ัตแิ บบใหม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุมท่ีใช ้ แนวปฏบิ ัตแิ บบเดมิ อย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ (p<0.05) โดยทารกทใี่ ชแ้ นวปฏบิ ัตแิ บบเดมิ เกดิ VAP 4 คน (รอ้ ยละ 14.3) หรอื คดิ เป็ น 10.42 ครงั้ ตอ่ 1,000 วัน การใสเ่ ครอื่ งชว่ ยหายใจ และทารกกลมุ่ ทใ่ี ช ้ แนวปฏบิ ตั แิ บบใหมไ่ มเ่ กดิ VAP เลย ผลการปฏบิ ตั ขิ องพยาบาลพบวา่ ปฏบิ ตั ติ ามแนวปฏบิ ตั ิ รอ้ ยละ 93.5 และความพงึ พอใจของพยาบาลวชิ าชพี หลังใชแ้ นวปฏบิ ัตสิ ูงกว่าก่อนใชแ้ นวปฏบิ ัตอิ ย่างมนี ัยสาคัญ ทางสถติ ิ (p<0.05) โดยระดับความพงึ พอใจกอ่ นการพัฒนาอยใู่ นระดับปานกลาง ( ̅ = 3.42, S.D. = 0.76) และหลงั การพัฒนาอยใู่ นระดับมากทส่ี ดุ ( ̅ = 4.81, S.D. = 0.40) ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ ควรมกี ารนาแนวปฏบิ ัติ WHAPO ไปใชโ้ ดยพัฒนารายละเอยี ดกจิ กรรม ในแต่ละหมวดใหม้ แี นวทางทช่ี ัดเจนมากยงิ่ ขน้ึ และทาการวัดผลลัพธท์ ี่เกดิ ขน้ึ กับทารกแรกเกดิ วกิ ฤต ในระยะยาวตอ่ ไป คาสาคญั : แนวปฏบิ ัตกิ ารพยาบาล การป้ องกันปอดอักเสบท่สี ัมพันธ์กับการใชเ้ ครือ่ งช่วยหายใจ ทารกแรกเกดิ วกิ ฤต การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
การใชย้ าฟ้ าทะลายโจรทดแทนยาปฏชิ วี นะในโรคตดิ เชอ้ื ทางเดนิ หายใจสว่ นบน คลนิ กิ หมอครอบครวั 3 เครอื ขา่ ยโรงพยาบาลพุทธชนิ ราช พษิ ณุโลก ภทั รศิ ตลิ กเลศิ *, วโิ รจน์ วรรณภริ ะ**, สธุ ชิ าติ มงคล*** *กลมุ่ งานเภสชั กรรม โรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราชพษิ ณุโลก **กลมุ่ งานเวชกรรมสงั คม โรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราชพษิ ณุโลก ***โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตาบลบา้ นสระโคล่ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ปัญหาเชอ้ื แบคทเี รยี ดอื้ ยาปฏชิ วี นะเป็ นปัญหาทรี่ ุนแรงต่อสขุ ภาพประชากรในประเทศ ไทยมาอย่างยาวนาน สาเหตุหลักคือการใชย้ าปฏชิ วี นะเกนิ จาเป็ น การมที างเลือกในการรักษา ทเ่ี หมาะสมจงึ เป็ นทางออกทด่ี แี กผ่ ปู ้ ่ วยและผใู ้ หบ้ รกิ าร วตั ถปุ ระสงค:์ เพอื่ ศกึ ษาผลจากการใชฟ้ ้าทะลายโจรในกลุ่มผปู ้ ่ วยโรคตดิ เชอื้ ทางเดนิ หายใจสว่ นบน ในคลนิ กิ หมอครอบครัว 3 เครอื ขา่ ยโรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราชพษิ ณุโลก รูปแบบศกึ ษา สถานท่ี และผูป้ ่ วย: ผูป้ ่ วยโรคตดิ เชอ้ื ทางเดนิ หายใจส่วนบน จานวน 120 คน เก็บขอ้ มูลระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2562 – มกราคม 2563 ใชว้ ธิ ีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (purposive sampling) เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัยเป็ นแบบสอบถาม วเิ คราะหข์ อ้ มลู ดว้ ย ความถ่ี รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ผล: ผลจากการใชฟ้ ้าทะลายโจรจนครบ 5 วัน พบรอ้ ยละ 60.0 เมอ่ื ตดิ ตามการรักษาจนครบ 7 วัน มอี ัตราหาย รอ้ ยละ 58.3 ไมห่ ายรอ้ ยละ 40.8 พบวา่ ยังมอี าการไอมากทสี่ ดุ รอ้ ยละ 63.3 สาหรับผูป้ ่ วย ทไี่ มห่ ายและเปล่ยี นวธิ กี ารรักษาพบว่าไปรักษาต่อท่คี ลนิ กิ ซอ้ื ยาปฏชิ วี นะจากรา้ นชา และซอื้ ยา ปฏชิ วี นะจากรา้ นยา คดิ เป็ นรอ้ ยละ 28.6 22.4 และ 14.3 ตามลาดับ ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ ฟ้าทะลายโจรเป็ นสมนุ ไพรทด่ี แี ละเหมาะสมในโรคตดิ เชอื้ ทางเดนิ หายใจ ส่วนบน ควรสรา้ งความรู ้ ความเขา้ ใจใหถ้ ูกตอ้ งแก่ประชาชนใหใ้ ชอ้ ย่างแพร่หลายเพอ่ื ลดการใชย้ า ปฏชิ วี นะทไี่ มเ่ หมาะสมลง คาสาคญั : ฟ้าทะลายโจร, ยาปฏชิ วี นะ, โรคตดิ เชอื้ ทางเดนิ หายใจสว่ นบน, คลนิ กิ หมอครอบครวั การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
การพฒั นาแนวทางการดแู ลผปู้ ่ วยโรคหวั ใจขาดเลอื ดทไ่ี ดร้ บั การสวนหวั ใจเพอ่ื การรกั ษา กรรณกิ าร์ เกยี รตสิ นธ,์ิ ทองแยม้ อปู เหลอื ง, สารณิ ี บวั ศร,ี วลิ าวณั ย์ นามวงศ์ หอผปู ้ ่ วยอายรุ กรรมหญงิ 3 โรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราช พษิ ณุโลก บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ผปู ้ ่ วยโรคหวั ใจขาดเลอื ดทไ่ี ดร้ ับการสวนหัวใจเพอ่ื การรักษามคี วามเสยี่ งทอี่ าจเกดิ ขนึ้ ได ้ ทุกขัน้ ตอนในกระบวนการสวนหัวใจและจะเพม่ิ ขน้ึ ตามภาวะความรุนแรงของโรคและความซับซอ้ น ของกระบวนการในการสวนหัวใจ วตั ถุประสงค:์ 1) เพ่อื พัฒนาแนวทางในการดูแลผูป้ ่ วยโรคหัวใจขาดเลอื ดทีไ่ ดร้ ับการสวนหัวใจ 2) เพ่อื การรักษาและประเมนิ ผลลัพธข์ องการพัฒนาเดือนมกราคม-กรกฎาคม พ.ศ. 2563 หอผูป้ ่ วย อายรุ กรรมหญงิ 3 โรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราช พษิ ณุโลก รูปแบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: การพัฒนาแบง่ เป็ น 4 ขัน้ ตอน: ขัน้ ตอน 1 วเิ คราะหป์ ัญหาและ วางแผนพัฒนา ขัน้ ตอน 2 พัฒนาโดยสรา้ งแนวทางการดูแลผูป้ ่ วยโรคหัวใจขาดเลือดที่ไดร้ ับการ สวนหัวใจเพอื่ การรักษา ขัน้ ตอน 3 นาแนวทางทพี่ ัฒนาไปใช ้ ขัน้ ตอน 4 ประเมนิ ผลลัพธก์ ารพยาบาล กลมุ่ ตวั อยา่ งประกอบดว้ ย กลมุ่ ผปู ้ ่ วยและกลมุ่ พยาบาลวชิ าชพี คัดเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) ไดแ้ ก่ ผูป้ ่ วยโรคหัวใจขาดเลอื ดทไี่ ดร้ ับการสวนหัวใจเพอื่ การรักษา แบง่ เป็ น กลุ่มก่อนการพัฒนาในช่วงเดอื นตุลาคม 2562 จานวน 32 คน และกลุ่มหลังการพัฒนา ในช่วงเดือน เมษายน 2563 จานวน 28 คน กลุ่มตัวอย่างพยาบาลวชิ าชพี คอื พยาบาลวชิ าชพี ท่ีปฏบิ ัตงิ านใน หอผปู ้ ่ วยอายรุ กรรมหญงิ 3 จานวน 15 คน การวดั ผล และวธิ กี าร: วเิ คราะหข์ อ้ มลู เชงิ เน้ือหาและนาเสนอเป็ นคา่ ความถ่ี คา่ รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ และ คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน เปรยี บเทยี บขอ้ มลู ดว้ ยการทดสอบ chi square test, paired t test และ Wilcoxon Signed Rank Test กาหนดระดับนัยสาคัญทางสถติ ทิ ่ี 0.05 ผล: พบว่าค่ามัธยฐานคะแนนความรูก้ ารปฏบิ ัตขิ องพยาบาลวชิ าชีพตามแนวทางการดูแลผูป้ ่ วย โรคหัวใจขาดเลอื ดทไี่ ดร้ ับการสวนหัวใจเพอื่ การรักษา และความพงึ พอใจต่อการใชแ้ นวทางการดูแล ผูป้ ่ วยสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ (p<0.001 และ p=0.001 ตามลาดับ) การปฏบิ ัตกิ ารดูแลตามแนวทางการดูแลผูป้ ่ วยโรคหัวใจขาดเลอื ดทไี่ ดร้ ับการสวนหัวใจเพอื่ การรักษา หลังพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ (p<0.001) กลุ่มผูป้ ่ วยทไ่ี ดร้ ับการดูแล ตามแนวทางการดูแลผูป้ ่ วยโรคหัวใจขาดเลอื ดทไ่ี ดร้ ับการสวนหัวใจเพ่อื การรักษาเกดิ hematoma นอ้ ยกวา่ กอ่ นการใชแ้ นวทางการดูแลผูป้ ่ วยอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ (p<0.001) แต่พบวา่ ความคลาด เคลอ่ื นทางยาและอบุ ตั กิ ารณไ์ มพ่ งึ ประสงคก์ อ่ นและหลงั การใชแ้ นวทางการดแู ลผปู ้ ่ วยไมแ่ ตกตา่ งกนั ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ ดังนัน้ ผูบ้ รหิ ารการพยาบาลควรใชร้ ูปแบบการพัฒนาน้ีในการปฏบิ ัตกิ าร พยาบาลผูป้ ่ วยโรคหัวใจขาดเลือดท่ีไดร้ ับการสวนหัวใจเพอ่ื การรักษาใหค้ รอบคลุมทัง้ โรงพยาบาล เพอ่ื ใหผ้ ปู ้ ่ วยปลอดภยั มากยงิ่ ขนึ้ คาสาคญั : การพัฒนา, แนวทางการดแู ลผปู ้ ่ วย, โรคหวั ใจขาดเลอื ด, การสวนหวั ใจเพอ่ื การรักษา การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
การพฒั นาวธิ ปี ฏบิ ตั งิ านควบคมุ และดแู ลระบบบาบดั นา้ เสยี โรงพยาบาลพุทธชนิ ราช พษิ ณุโลก บญุ รกั ษ์ นวลศรี โรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราช พษิ ณุโลก บทคดั ยอ่ ความสาคญั : จากการวเิ คราะหผ์ ลการดาเนนิ การยอ้ นหลัง 3 ปี พบว่า คณุ ภาพน้าทง้ิ ของระบบบาบัด น้ าเสียของโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานดา้ นแบคทีเรีย สาเหตุ อาจเนื่องมาจากลักษณะการปฏบิ ัตงิ านมวี ธิ ีการทแี่ ตกต่างกัน เน่ืองจากไม่มแี นวปฏบิ ัตงิ านที่ชัดเจน จงึ สนใจทจ่ี ะพัฒนาวธิ ปี ฏบิ ัตงิ านใหเ้ ป็ นลายลักษณ์อักษร เพอ่ื ใหบ้ คุ ลากรของงานบาบัดน้าเสยี ทุกคน มแี นวปฏบิ ตั ิ และการปฏบิ ตั งิ านทสี่ อดคลอ้ งไปในทศิ ทางเดยี วกนั วตั ถุประสงค:์ เพอื่ พัฒนาและศกึ ษาประสทิ ธผิ ลของวธิ ปี ฏบิ ตั งิ านควบคุมและดูแลระบบบาบัดน้าเสยี ของโรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราช พษิ ณุโลก รูปแบบศกึ ษา สถานที่ และผปู้ ่ วย: รปู แบบการวจิ ัยเป็ นการศกึ ษาแบบปฏบิ ัตกิ าร ศกึ ษาเฉพาะระบบ บาบัดน้าเสยี ของโรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราช พษิ ณุโลก ประชากรทศ่ี กึ ษา คอื เจา้ หนา้ ทงี่ านบาบัดน้าเสยี จานวน 3 คน คดั เลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งโดยวธิ เี ฉพาะเจาะจง การวดั ผล และวธิ กี าร: วธิ ดี าเนนิ การศกึ ษาประกอบดว้ ยการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ระบบบาบัดน้าเสยี ศกึ ษา ขอ้ มลู การจดั ทาวธิ ปี ฏบิ ตั งิ าน เขยี นวธิ ปี ฏบิ ตั งิ าน นาวธิ ปี ฏบิ ัตงิ านใหผ้ ปู ้ ฏบิ ตั งิ านไดศ้ กึ ษา ทบทวน และ ปรับปรงุ แกไ้ ข สรปุ จัดทารายงานวธิ ปี ฏบิ ตั งิ าน และเผยแพร่ เครอ่ื งมอื ทใี่ ชป้ ระกอบดว้ ยแบบการเขยี นวธิ ี ปฏบิ ตั งิ าน และแบบประเมนิ คณุ ภาพวธิ ปี ฏบิ ตั งิ าน ระยะเวลาทท่ี าการศกึ ษาเดอื นมกราคม-ธนั วาคม 2563 วเิ คราะห์ และนาเสนอขอ้ มูลโดยใชส้ ถติ เิ ชงิ พรรณนา วธิ ีวัดผล: ตัวชวี้ ัดท่ี 1 วธิ ปี ฏบิ ัตงิ านมคี วาม ครอบคลุมกระบวนการทางานที่สาคัญไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 80 ตัวชว้ี ัดที่ 2 ผลการประเมนิ คุณภาพ วธิ ปี ฏบิ ตั งิ านขนั้ ต่าอยใู่ นระดบั =ดี หรอื มคี า่ เฉลย่ี ไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 70 และตัวชว้ี ัดสดุ ทา้ ย ผลการตรวจ คณุ ภาพน้าทงิ้ ทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารผา่ นเกณฑม์ าตรฐานไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 75 ผล: ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู พบวา่ มกี ระบวนการดาเนนิ งานทตี่ อ้ งควบคมุ ดแู ล และบรหิ ารจัดการทัง้ สน้ิ 20 กระบวนงาน การจัดทาวธิ ีปฏบิ ัตงิ านมี 9 ขัน้ ตอน ผลการเขยี นและพัฒนาวธิ ีปฏิบัติงาน พบว่า สามารถทาไดท้ งั้ หมด 20 กระบวนการ คดิ เป็ นรอ้ ยละ 100 ซงึ่ ผ่านเกณฑม์ าตรฐาน (เกณฑม์ าตรฐานวธิ ี ปฏบิ ัตงิ านมคี วามครอบคลุมกระบวนการทางานทสี่ าคัญไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 80) ผลการประเมนิ คุณภาพ วธิ ีปฏบิ ัตงิ าน พบว่า ขอ้ มูลท่ัวไปเป็ นเพศชายทัง้ หมด อายุ 28-54 ปี เฉลี่ย 38.66 ปี (SD=13.61) มวี ุฒกิ ารศกึ ษาต่ากว่าปรญิ ญาตรที ัง้ หมด ระยะเวลาการปฏบิ ัตงิ าน 1-5 ปี จานวน 2 คน และมากกว่า 15 ปี จานวน 1 คน ซงึ่ แสดงใหเ้ ห็นวา่ ในภาพรวม ผูป้ ฏบิ ัตงิ านในระบบบาบดั น้าเสยี มปี ระสบการณ์นอ้ ย ในการปฏบิ ัตงิ าน อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการควบคุมและดูแลระบบบาบัดน้าเสยี ได ้ ถา้ ไม่มกี าร ควบคุมกากับอย่างใกลช้ ดิ ผลการประเมนิ คุณภาพวธิ ปี ฏบิ ัตงิ าน พบว่าอยใู่ นระดับดมี าก คะแนนเฉลย่ี คดิ เป็ นรอ้ ยละ 83.33 ซง่ึ ผา่ นเกณฑม์ าตรฐาน (เกณฑม์ าตรฐานผลการประเมนิ ขนั้ ต่าอยใู่ นระดับ=ดี หรอื มคี ่าเฉลยี่ ไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 70) ผลการตรวจคุณภาพน้าทง้ิ ทางหอ้ งปฏบิ ัตกิ ารผ่านเกณฑม์ าตรฐาน คดิ เป็ นรอ้ ยละ 100 (ส่งตรวจ 4 ครัง้ ผ่านทัง้ 4 ครัง้ ) (เกณฑ์มาตรฐานผลการตรวจคุณภาพน้าทง้ิ ทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารผา่ นเกณฑม์ าตรฐานไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 75) ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ วธิ ปี ฏบิ ตั งิ านทพ่ี ัฒนาขนึ้ มาน้ี สามารถนาไปใชป้ ฏบิ ัตงิ านไดจ้ รงิ ผูป้ ฏบิ ัติ หนา้ งานประเมนิ คณุ ภาพจัดอยใู่ นเกณฑร์ ะดับดมี าก สง่ ผลใหค้ ณุ ภาพน้าผา่ นเกณฑม์ าตรฐาน จงึ เห็นควร เผยแพร่ใหก้ ับผูค้ วบคุมและดูแลระบบบาบัดน้าเสียของโรงพยาบาลอ่ืนๆ ที่มีลักษณะการทางาน คลา้ ยคลงึ กนั เพอ่ื แลกเปลยี่ นเรยี นรแู ้ ละนามาพัฒนาวธิ กี ารปฏบิ ัตงิ านใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล สงู สดุ ตอ่ ไป คาสาคญั : วธิ ปี ฏบิ ตั งิ าน ระบบบาบดั น้าเสยี การควบคมุ และดแู ลระบบบาบดั น้าเสยี การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ผลการรกั ษาผปู้ ่ วยปวดหลงั สว่ นลา่ งจากภาวะหมอนรองกระดกู ทบั เสน้ ประสาท ระหวา่ งวธิ ดี งึ หลงั รว่ มกบั ประคบรอ้ นและการบรหิ ารหลงั ดว้ ยเทคนคิ แมคเคนซก่ี บั วธิ ดี งึ หลงั รว่ มกบั ประคบรอ้ น นันทวนั ป่ินมาศ กลมุ่ งานเวชกรรมฟื้นฟู โรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราช พษิ ณุโลก จงั หวดั พษิ ณุโลก บทคดั ยอ่ ความสาคญั : อาการปวดหลงั พบบอ่ ย วตั ถุประสงค:์ เพ่ือเปรียบเทียบผลการรักษาผูป้ ่ วยปวดหลังส่วนล่างจากภาวะหมอนรองกระดูก ทับเสน้ ประสาทระหวา่ งวธิ ดี งึ หลงั รว่ มกบั ประคบรอ้ นและการบรหิ ารหลังดว้ ยเทคนคิ แมคเคนซ่ี (กลมุ่ ที่ 1) กบั วธิ ดี งึ หลงั รว่ มกบั ประคบรอ้ น (กลมุ่ ท่ี 2) รปู แบบศกึ ษา สถานท่ี และผปู้ ่ วย: ศกึ ษาในผปู ้ ่ วยปวดหลังสว่ นลา่ งฯ ทมี่ ารักษาทง่ี านกายภาพบาบัด โรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราช พษิ ณุโลกระหวา่ งเดอื นมนี าคมถงึ เดอื นตลุ าคม พ.ศ.2563 การวดั ผล และวธิ กี าร: โดยแบง่ ผปู ้ ่ วยเป็ น 2 กลมุ่ ดว้ ยการจบั สลาก กลมุ่ ละ 30 คน เปรยี บเทยี บขอ้ มลู ระหวา่ งผปู ้ ่ วยทัง้ สองกลุ่มดว้ ยการทดสอบ chi-square, chi-square for linear trend, Mann Whitney U และ Wilcoxon signed rank กาหนดระดับนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่ี 0.05 ผล: พบว่าเพศ อายุ อาชพี ระดับการศกึ ษา อาการแสดง คะแนนความปวด และคะแนนภาวะทุพพล ภาพก่อนรักษาของผูป้ ่ วยทัง้ สองกลุ่มไม่แตกต่างกัน คะแนนความปวดและคะแนนภาวะทุพพลภาพ หลังการรักษาของแต่ละกลุ่มต่ากว่าก่อนการรักษาอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ คะแนนความปวดและ คะแนนภาวะทุพพลภาพหลังการรักษาในกลุ่มที่ 1 ต่ากว่ากลุ่มที่ 2 อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ คะแนน ความปวดและคะแนนภาวะทุพพลภาพท่ีลดลงหลังการรักษาของทัง้ สองกลุ่มก็แตกต่างกันอย่างมี นัยสาคัญทางสถติ ิ แตค่ ะแนนความปวดและคะแนนภาวะทุพพลภาพทลี่ ดลงหลังการรักษาของกลุ่มที่ 1 ลดลงมากกวา่ กลมุ่ ท่ี 2 ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ สรุปไดว้ ่าวธิ ดี งึ หลังร่วมกับประคบรอ้ นและการบรหิ ารหลังดว้ ยเทคนิค แมคเคนซลี่ ดอาการปวดหลังสว่ นลา่ งฯ ไดด้ กี วา่ วธิ ดี งึ หลังรว่ มกบั ประคบรอ้ น คาสาคญั : อาการปวดหลังสว่ นลา่ ง, ภาวะหมอนรองกระดกู ทบั เสน้ ประสาท, การบรหิ ารหลังดว้ ยเทคนคิ แมคเคนซ,ี่ การรักษาทางกายภาพบาบดั การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
การพฒั นานวตั กรรม Snow Box อญั ชลี สงิ หน์ อ้ ย*, ไพรวัลย์ รตั นบญั ชร** , ปัทมา สที อง***, วชริ ศกั ดิ์ ภรู สิ วสั ด*ิ์ ** *หอผปู ้ ่ วยพเิ ศษกนั ตะบตุ ร **งานการพยาบาลผปู ้ ่ วยหนักศัลยกรรม ***ธนาคารเลอื ด บทคดั ยอ่ ความสาคญั : การเก็บรักษาโลหติ จะตอ้ งมกี ระบวนการควบคมุ อณุ หภมู ติ ามมาตรฐาน และขอ้ กาหนดในเรอ่ื ง ของ Blood cold chian เพอ่ื ใหโ้ ลหติ มคี ุณภาพตัง้ แต่ตน้ จนถงึ ผูร้ ับ จาเป็ นตอ้ งมกี ารบรหิ ารจัดการ เกย่ี วกับครุภัณฑท์ ใ่ี ชน้ อกเหนือจากคณุ ลักษณะทด่ี ตี ามมาตรฐานสากล ยังมสี ว่ นอน่ื ๆ ทม่ี คี วามสาคัญ ตอ้ งคานึงถึงในการคัดเลือกและจัดหาเคร่ืองมือต่างๆ สาหรับงานเก็บรักษาและขนส่งโลหิตคือ การตรวจสอบคณุ สมบตั ขิ องการออกแบบ ตามความตอ้ งการใชง้ าน การตดิ ตงั้ การทางานของเครอ่ื ง และ ความถกู ตอ้ งแมน่ ยาของผลลพั ธก์ ารทางานและตอ้ งมกี ารบารุงรักษาตดิ ตามการใชเ้ ครอ่ื งมอื ใหม้ สี ภาพดี ตลอดอายใุ ชง้ าน จากนโยบายการบรหิ ารความเสยี่ งในโรงพยาบาลพุทธชนิ ราชพษิ ณุโลก พบวา่ การบรหิ ารเลอื ด ปลอดภยั เป็ นหนงึ่ ในการบรหิ ารความเสย่ี ง ทม่ี แี นวทางการปฏบิ ตั กิ ารบรหิ ารเลอื ดทเี่ ป็ นรปู แบบเดยี วกัน หลายขนั้ ตอน ซง่ึ การรับสง่ เลอื ดเป็ นหนง่ึ ในการบรหิ ารเลอื ด จากอุบตั กิ ารณ์รายงานความเสยี่ งพบวา่ มี การคนื เลอื ดทไี่ มเ่ ป็ นตามแนวปฏบิ ตั ิ เชน่ การสง่ เลอื ดคนื เกนิ 30 นาที เลอื ดเกดิ เสอื่ มสภาพ ไมส่ ามารถ นามาใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ กี ทมี บรหิ ารเลอื ดปลอดภยั จงึ สารวจสถติ กิ ารคนื เลอื ดและเลอื ดเสอ่ื มสภาพ พบวา่ ระหว่างปี 2561 ถงึ 2563 คนื เลอื ด 250, 78 และ 136 ถงุ เลอื ดเสอ่ื มสภาพ 104, 53 และ 126 ถงุ ตามลาดับ ทมี บรหิ ารเลือดปลอดภัย ไดล้ งนเิ ทศท่ีหนา้ งาน พบปัญหาอุปกรณ์ขนส่งเลอื ดใชม้ าเป็ น เวลานานมกี ารเสอื่ มสภาพของอปุ กรณ์ทใ่ี ช ้ มสี ภาพไมพ่ รอ้ มใชง้ าน ชารดุ สญู หายจงึ นากระตกิ รูปแบบ อ่ืนมาใชท้ ดแทนประกอบกับการปฏิบัติของเจา้ หนา้ ที่ในการขนส่งเลือดที่ไม่ไดท้ าตามมาตรฐาน ที่กาหนด เนื่องจากบุคลากรบางรายเป็ นเจา้ หนา้ ทใี่ หม่ไดร้ ับการสอนแบบบอกต่อกันมา ในบางราย ขาดความตระหนักรเู ้ ท่าไมถ่ งึ การณ์ จงึ ไมไ่ ดท้ าตามแนวปฏบิ ตั ทิ ใ่ี หไ้ วไ้ ดถ้ กู ตอ้ งครบถว้ น สง่ ผลกระทบ ต่อการรับส่งเลือดของผูป้ ่ วย เสี่ยงต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากกระบวนการรับส่งเลือด ทไี่ มถ่ ูกตอ้ งอกี ทาใหเ้ ลอื ดเสอ่ื มคุณภาพจากอณุ หภูมทิ ไ่ี ม่เหมาะสมคอื นอ้ ยกว่า 2 องศาหรอื มากกว่า 10 องศา จากสาเหตดุ งั กลา่ วขา้ งตน้ ผวู ้ จิ ัยจงึ ไดพ้ ัฒนานวตั กรรม Snow Box เพอื่ เกบ็ รักษาอณุ หภมู ขิ อง เลอื ดใหอ้ ยรู่ ะหวา่ ง 2-10 องศา ใหม้ รี ะยะเวลาเก็บรกั ษาอณุ หภมู ไิ ดน้ านขนึ้ โดยประดษิ ฐก์ ระตกิ ในการ รักษาอณุ หภมู ขิ ณะรับสง่ เลอื ด รวมถงึ สรา้ งพนื้ ฐานของบคุ ลากรในการใชก้ ระตกิ Snow Box เพอ่ื ไมใ่ ห ้ เกดิ การสญู เสยี ของของเลอื ด และเพอ่ื ใหเ้ ป็ นแนวทางเดยี วกนั ใชท้ งั้ โรงพยาบาล คาสาคญั : การพัฒนา,นวตั กรรม, Snow Box การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
Efficacy and safety of XEN45 implant in Thai eyes with primary open angle glaucoma; one year result Tosaporn Yodmuang MD. Department of Ophthalmology, Phayao Hospital, Thailand ABSTRACT Important: Glaucoma is one of the leading causes of irreversible blindness worldwide. The mainstay of glaucoma treatment is IOP (intraocular pressure) reduction with IOP lowering drugs, laser treatments and surgery. Trabeculectomy have a long track record of IOP reduction, yet carry significant long-term risks of hypotony and infection. Minimally invasive glaucoma surgery (MIGS) has attracted substantial interest within the glaucoma community in recent years. There has been particular interest in developing microstents, which can lower IOP in a similar manner to traditional glaucoma drainage surgeries, but with a better safety profile and shorter surgical time. XEN45 gel implantmade of a soft, permanent, collagen-derived gelatin, is 6 mm long and with an internal lumen of 45 μm. It is injected ab internally, through the trabecular meshwork via a scleral tunnel into the subconjunctival space. It simulates traditional drainage surgery, but has the potential benefits of being minimally invasive and safer to perform. The XEN gel stent has been widely available since 2016 in Europe and its approval by Thai FDA in 2017. Previous studies reported 22.7 - 54.1 % IOP reduction and 37.9 - 94.6 % glaucoma medications reduction. Although several studies have been carried out to assess the efficacy of XEN45 implant, there is no data reported in Thai patients. Purpose: To report the efficacy and safety of the XEN45 implant in Thai patients with primary open angle glaucoma (POAG). Method: Retrospective study of POAG patients who underwent XEN45 implant glaucoma surgery by a single, experienced glaucoma specialist in Phayao Hospital, Thailand in June 2019 or later and completed 12 months of follow up. Primary outcome measures were intraocular pressure (IOP) reduction and number of glaucoma medications at 12 months postoperatively. Secondary outcome measures were surgical complications and success rate of surgery at 1 year. Complete success was defined as a postoperative IOP drop of ≥ 20 % from preoperative baseline at 12 months without any glaucoma medications. Qualified success was define as a postoperative IOP reduction of ≥ 20 % at 12 months with glaucoma medications. Failure was define as < 20 % reduction of IOP from baseline at 1 year, visual loss of light perception, or need for additional glaucoma surgery. Needling with 5-fluorouracil (5-FU) injection of the XEN conjunctival bleb was not considered to constitute a surgical failure. Data were statistically described in term of mean± standard deviation (SD) and percentages when appropriate. Comparisons of numerical variable were done using Wilcoxon sign-rank test, Friedman’s two way analysis test, and Kaplan-Meier survival analysis. A p values less than 0.05 was considered statistically significant. Results: Thirteen eyes of 10 patients were included in the study. The mean IOP dropped from 23.2±4.5 mmHg preoperatively to 13.7 ± 2.9 mmHg at 12 months, a 40.9 % IOP reduction (p< 0.0001). Mean number of glaucoma medications reduced from 2.5±0.9 preoperatively to 1.1±1.1 at 12 months (p< 0.0001). Success rate was 76.9 % at 12- month follow up, 46.1 % (6 eyes) achieved complete success and 30.8 % (4 eyes) achieved qualified success. Seven eyes (53.8%) required bleb needling with 5-FU injection. Seven eyes (53.8 %) required glaucoma medications. Three eyes (23.1%) exhibited numeric hypotony which resolved without intervention by 1 week. There was no serious complications and required glaucoma surgery at 12-month follow up. Conclusion: The XEN45 implant proved to be an effective treatment with a good safety profile at 1-year follow up period in Thai patients with POAG. Patients considering this procedure should be warranted that by 1 year postoperatively there is a significant chance of requiring postoperative bleb needling and glaucoma medications. Key Words: Xen45 implant, glaucoma surgery, efficacy, safety การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
แนวทางการดแู ลผปู้ ่ วยปากแหง้ ระหวา่ งเขา้ รบั การรกั ษาทางทนั ตกรรมจดั ฟนั :กรณีศกึ ษา นริ มล ลลี าอดศิ ร ทนั ตแพทยท์ รงคณุ วฒุ ิ กลมุ่ งานทันตกรรม โรงพยาบาลรอ้ ยเอด็ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : ในปัจจบุ นั การรักษาทางทันตกรรมจัดฟันพบไดใ้ นวัยผใู ้ หญม่ ากขน้ึ ซง่ึ จะใชเ้ วลาในการ รักษานานกว่าในวัยเด็ก รวมทัง้ อาจพบโรคทางระบบหรอื ภาวะทไ่ี มพ่ งึ ประสงคร์ ว่ มดว้ ยภาวะปากแหง้ เป็ นภาวะท่พี บไดใ้ นวัยผูใ้ หญ่ที่มโี รคประจาตัวบางโรคหรอื ตอ้ งรับประทานยาบางชนิดซงึ่ ทาใหเ้ กดิ ความไม่สบายในปาก แผลในปากและฟันผุซง่ึ จะมผี ลกระทบต่อการรักษาจัดฟันได ้ จงึ ควรมแี นวทาง ในการดแู ลและใหค้ าแนะนาสาหรบั ผปู ้ ่ วยกลมุ่ นเี้ พอ่ื ไมต่ อ้ งหยดุ การรกั ษา วตั ถุประสงค:์ เพอื่ ศกึ ษาแนวทางในการดูแลและใหค้ าแนะนาสาหรับผูป้ ่ วยปากแหง้ ทอ่ี ยูร่ ะหว่าง เขา้ รบั การรกั ษาจดั ฟัน รูปแบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: การศกึ ษาในครัง้ น้ีเป็ นการศกึ ษาเพอื่ หาแนวทางการดูแลผูป้ ่ วย ปากแหง้ ระหว่างเขา้ รับการรักษาทางทันตกรรมจัดฟันซง่ึ เป็ นกรณีศึกษาจากผูป้ ่ วยเป็ นเพศหญิง อายุ 47 ปี การเก็บรวบรวมขอ้ มลู จากการประเมนิ อาการ การสมั ภาษณ์และประเมนิ ผลสมั ฤทธใ์ิ นการดูแล รกั ษา ผล: กรณีศกึ ษา 1 ราย เป็ นผปู ้ ่ วยเพศหญงิ อายุ 47 ปี เขา้ รบั การรักษาทางทนั ตกรรมจดั ฟันเนอ่ื งจากฟัน ห่างดว้ ยเครอื่ งมอื จัดฟันชนดิ ตดิ แน่นโดยไมต่ อ้ งถอนฟันเป็ นเวลา 2 ปี ร่วมกับการใชเ้ ครอื่ งมอื คงสภาพ ฟั นชนิดถอดไดต้ ามมาอีก 2 ปี พบภาวะปากแหง้ ในช่วงใส่เครื่องมือคงสภาพฟั น โดยพบว่า มีโรคประจาตัวร่วมดว้ ยแนวทางในการดูแลและใหค้ าแนะนาผูป้ ่ วยที่มีภาวะปากแหง้ ประกอบดว้ ย 1) ทาใหป้ ากชมุ ชน่ื โดยจบิ น้าระหวา่ งวันบอ่ ยๆ รว่ มกบั ใชน้ ้าลายเทยี มหรอื วุน้ ชมุ่ ปาก 2) งดอาหารรสจัด หรอื รอ้ น 3) แปรงฟันโดยใชแ้ ปรงขนนุ่มเป็ นพเิ ศษ และยาสฟี ันทมี่ ฟี ลูโอไรดแ์ ต่ไมม่ รี สเผ็ดซา่ รว่ มกับ น้ายาบว้ นปากทมี่ ฟี ลโู อไรดแ์ ตไ่ มม่ แี อลกอฮอล์ เป็ นประจา 4) พบทันตแพทยท์ ุก 6-8 สปั ดาหเ์ พอ่ื ตรวจ ชอ่ งปากรว่ มกบั เคลอื บฟลโู อไรดป์ ้ องกนั ฟันผุ 5) ใหค้ าแนะนาและเสรมิ กาลังใจอยเู่ สมอ ในผปู ้ ่ วยรายน้ี ใหค้ าแนะนาโดยเพม่ิ ระยะเวลาใหน้ ้าชมุ อยใู่ นปากนานขน้ึ โดยใชน้ ้าแขง็ รว่ มดว้ ยพบวา่ ผปู ้ ่ วยมคี วามพอใจ แนวทางน้มี ากรูส้ กึ ชมุ่ ในปากมากขน้ึ ทาใหร้ สู ้ กึ สดชน่ื ขน้ึ ตลอดจนมภี าวะสุขภาพชอ่ งปากดมี คี วามสุข สบายในการดารงชวี ติ ไดป้ กตโิ ดยสามารถดูแลตนเองไดท้ ี่บา้ นร่วมกับเขา้ รับการตรวจเช็คสุขภาพ ชอ่ งปากตามนัดอยา่ งสมา่ เสมอ ขอ้ ยตุ ิ และการนาไปใช:้ ผปู ้ ่ วยทม่ี ภี าวะปากแหง้ ในระหว่างเขา้ รับการรักษาจัดฟันสามารถรักษา ตอ่ จนเสร็จสมบรู ณ์ไดโ้ ดยใชแ้ นวทาง 5 ขอ้ ขา้ งตน้ ร่วมกับการเพม่ิ ระยะเวลาใหน้ ้าชมุ่ อยใู่ นปากดว้ ย น้ าแข็ง พบว่าผูป้ ่ วยไม่มีความผิดปกติของฟั น เหงือกและเน้ือเย่ืออ่อนที่รุนแรงสามารถใชช้ ีวิต ไดต้ ามปกตจิ งึ ควรใชเ้ ป็ นแนวทางในการดูแลและใหค้ าแนะนาผูป้ ่ วยทมี่ อี าการดังกลา่ วในระหวา่ งจัดฟัน ไดต้ อ่ ไป คาสาคญั : การรักษาจดั ฟัน, ภาวะปากแหง้ , ผใู ้ หญ,่ น้าลายเทยี ม, วนุ ้ ชมุ่ ปาก, น้าแขง็ การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
แนวทางการบรหิ ารจดั การอตั รากาลงั ทนั ตแพทยใ์ นงานทนั ตกรรม: กรณีศกึ ษา โรงพยาบาลรอ้ ยเอ็ด นริ มล ลลี าอดศิ ร ทนั ตแพทยท์ รงคณุ วฒุ ิ กลมุ่ งานทันตกรรม โรงพยาบาลรอ้ ยเอด็ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : การจัดตารางปฏบิ ตั กิ ารงานทันตกรรมในโรงพยาบาลรอ้ ยเอด็ กอ่ นปี พ.ศ.2559 ใชเ้ กณฑ์ การจัดสรรเวลาอย่างเท่าเทียมกันในทันตแพทยท์ ่ัวไปและทันตแพทยเ์ ฉพาะทางโดย ปฏบิ ัตกิ ารณ์ ออกตรวจทันตกรรมทั่วไป (OPD) รอ้ ยละ 50 ปฏบิ ัตกิ ารงานทันตกรรมเฉพาะทางรอ้ ยละ 50 ทาใหพ้ บ ปัญหาระยะเวลารอคอยการรักษาในงานทันตกรรมเฉพาะทางนานกว่า 6 เดอื น ถงึ แมจ้ ะเพม่ิ ทันตแพทย์ มากขน้ึ กย็ งั ไมม่ คี วามชดั เจนในการแกไ้ ขปัญหานไี้ ดอ้ ยา่ งเป็ นระบบรวมทัง้ ผลกระทบจากการไม่สามารถ ออกตรวจทนั ตกรรมท่วั ไปทเ่ี กดิ จากการลาหรอื งานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายในทันตแพทยท์ ม่ี คี วามสามารถใน งานอนื่ ๆ ของโรงพยาบาล ซง่ึ ทาใหเ้ กดิ ความไมพ่ งึ พอใจตอ่ การทางานร่วมกันได ้ การศกึ ษาครัง้ นี้จัดทา ขนึ้ เพอ่ื เป็ นขอ้ มลู ในการบรหิ ารจัดงานทันตกรรมเพอื่ ใชแ้ กไ้ ขปัญหารว่ มกนั ใหต้ รงประเด็นปัญหาอยา่ งมี เหตผุ ลและเป็ นระบบ วตั ถปุ ระสงค:์ เพอ่ื พฒั นาแนวทางการบรหิ ารจัดการอตั รากาลงั ทันตแพทยใ์ นงานทันตกรรมทเ่ี หมาะสม ใหท้ นั ตแพทยป์ ฏบิ ตั งิ านตรงตามศักยภาพและตรงกบั ความตอ้ งการของประชาชน รูปแบบศกึ ษา สถานที่ และผูป้ ่ วย: รูปแบบการวจิ ัยครัง้ น้ีเป็ นการวจิ ัยและพัฒนามขี ัน้ ตอนการ ดาเนนิ งาน 4 ระยะคอื 1) การศกึ ษาสภาพปัจจบุ ัน 2) การพัฒนารปู แบบการแกไ้ ขปัญหา 3) การศกึ ษา ผลการทดลองใชร้ ูปแบบการแกไ้ ขปัญหา 4) การศกึ ษาผลจากการใชแ้ นวทางในการแกไ้ ขปัญหา กลมุ่ ตวั อยา่ งทศ่ี กึ ษาเป็ นทันตแพทยใ์ นหน่วยงานทงั้ หมด 20 คน โดยเลอื กแบบเจาะจงและมกี ารสารวจ ความพงึ พอใจของทันตแพทยต์ ่อแนวทางในการบรหิ ารจัดการอัตรากาลังทันตแพทย์แนวทางใหม่ เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู สภาพปัญหาปัจจบุ นั แนวทางการดาเนนิ งานเพอ่ื แกไ้ ขปัญหาในการจดั อตั รากาลังในงาน ทันตกรรมที่เหมาะสมในบรบิ ทของโรงพยาบาลศูนยร์ อ้ ยเอ็ด ดาเนนิ การวจิ ัยตัง้ แต่ปี พ.ศ.2559 ถงึ พ.ศ. 2563 ใชส้ ถติ เิ ชงิ พรรณนาในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผลการศกึ ษา: แนวทางการบรหิ ารจัดการอัตรากาลังทันตแพทยใ์ นงานทันตกรรมทเ่ี หมาะสมเพอื่ ให ้ ทันตแพทยก์ ลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาลบาลรอ้ ยเอ็ด ปฏบิ ัตงิ านตรงตามศักยภาพและตรงกับความ ตอ้ งการของประชาชน ประกอบดว้ ย 1) คน้ หาขอ้ มูลสภาพปั ญหาปั จจุบัน 2) จัดทาแนวทางการ ดาเนนิ งาน 3) กาหนดตารางเวลาการปฏบิ ัตงิ านโดยกาหนดตารางการทางานของทันตแพทยด์ ังน้ี ทันตแพทยท์ ั่วไปปี ที่ 1 ออกตรวจทันตกรรมท่ัวไป (OPD) รอ้ ยละ 80 ทันตกรรมเฉพาะทาง (เวรนัด) รอ้ ยละ 20 ทันตแพทย์ท่ัวไปปี ท่ี 2 ออกตรวจทันตกรรมทั่วไป รอ้ ยละ 60 ทันตกรรมเฉพาะทาง รอ้ ยละ 40 ทนั ตแพทยเ์ ฉพาะทาง ออกตรวจทันตกรรมทั่วไปรอ้ ยละ 20 ทันตกรรมเฉพาะทางรอ้ ยละ 80 4) กากบั ตดิ ตามและประเมนิ ผลการทางาน ขอ้ ยุติ และการนาไปใช้: แนวทางการบริหารจัดการอัตรากาลังทันตแพทย์ในงานทันตกรรม ทเี่ หมาะสมของโรงพยาบาลรอ้ ยเอด็ โดยคน้ หาขอ้ มลู สภาพปัญหาปัจจบุ นั จดั ทาแนวทางการดาเนนิ งาน กาหนดตารางเวลาการปฏิบัติงานสาหรับใชเ้ ป็ นแนวทางในการใหบ้ ริการ การกากับติดตามและ ประเมนิ ผลการทางานเพื่อใหท้ ันตแพทย์ปฏบิ ัตงิ านตรงตามศักยภาพและตรงกับความตอ้ งการของ ประชาชนโดยการจัดสรรเวลาในการทางานใหเ้ หมาะสมทาใหเ้ พ่ิมปรมิ าณงานเฉพาะทางมากขน้ึ ระยะเวลารอคอยลดลงตามมาดว้ ยการเขา้ ถงึ บรกิ ารทเ่ี พม่ิ ขนึ้ โดยไม่ตอ้ งเพม่ิ จานวนทันตแพทยน์ าไปสู่ ความพึงพอใจในระดับดีมากในการทางานของทันตแพทย์เป็ นส่วนใหญ่ในกลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลศนู ยร์ อ้ ยเอ็ด คาสาคญั : ทันตแพทย,์ อัตรากาลัง, การบรหิ ารจัดการอัตรากาลังทันตแพทยใ์ นงานทันตกรรม, การจดั สรรเวลา
ความชกุ อบุ ตั กิ ารณ์ และการพยากรณ์แนวโนม้ การเกดิ โรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ื รงั ของบคุ ลากร โรงพยาบาลทว่ั ไปแหง่ หนงึ่ จงั หวดั ยะลา Prevalence, Incidence and Trend Forecasting of non-communicable disease in a general hospital, Yala Province อามนี ะห์ เจะปอ*, สริ มิ า มงคลสมั ฤทธ*์ิ *, นนทธ์ ยิ า หอมขา*** Ameenah Chepho*, Sirima Mongkolsomlit**, Nontiya Homkham*** *นักศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาโท คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ **รองศาสตราจารยป์ ระจาคณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ***อาจารยป์ ระจาคณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ บทคดั ยอ่ ความสาคญั : บคุ ลากรทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ เป็ นตน้ แบบในการดูแลสขุ ภาพของตนเองและ การป้ องกันการเกดิ โรคไม่ตดิ ต่อเร้อื รังแก่ประชาชน การเฝ้ าระวังและพยากรณ์โอกาสของการเกดิ โรค ไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ื รงั ของบคุ ลากรจงึ เป็ นเรอ่ื งทสี่ าคญั วตั ถปุ ระสงค:์ เพอื่ ศกึ ษาความชกุ และอบุ ตั กิ ารณข์ องโรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอื้ รังของบคุ ลากรในโรงพยาบาลทั่วไป แหง่ หนง่ึ จังหวัดยะลา ตงั้ แตป่ ี พ.ศ.2553 – 2562 และพยากรณก์ ารเกดิ โรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ื รังในบคุ คลากร รูปแบบศกึ ษา สถานท่ี และผูป้ ่ วย: เป็ นรูปแบบการศกึ ษายอ้ นหลัง (Retrospective Cohort Study) ทาการศกึ ษาในบคุ ลากรทป่ี ฏบิ ตั งิ านในโรงพยาบาลท่ัวไปแหง่ หนงึ่ จังหวัดยะลา โดยใชข้ อ้ มลู จากผลการ ตรวจสุขภาพประจาปี และทะเบยี นผูป้ ่ วยโรคไม่ตดิ ต่อเรื้อรังของบุคลากร ระหว่างปี พ.ศ. 2553 – 2562 วเิ คราะหข์ อ้ มลู การพยากรณ์ดว้ ยสถติ ิ Time series analysis ดว้ ยวธิ ี ARIMA ผล: จานวนตัวอยา่ งทัง้ หมด 624 ราย อายเุ ฉลย่ี 33.91±9.92 ปี อายเุ ฉลยี่ ทเี่ รม่ิ ป่ วยเป็ นโรคเรอ้ื รัง 44.72±7.58 ปี ระยะเวลาการทางานในโรงพยาบาลแหง่ นป้ี ระมาณ 4.24±2.68 ปี พบความชกุ โรคไมต่ ดิ ต่อ เรอื้ รังมแี นวโนม้ เพม่ิ ขน้ึ จากรอ้ ยละ 3.64 ในปี 2553 เป็ นรอ้ ยละ 22.48 ในปี 2562 สว่ นอตั ราอบุ ัตกิ ารณ์ พบวา่ ในปี 2554 มอี ตั ราอบุ ตั กิ ารณ์สงู ทสี่ ดุ รอ้ ยละ 5.06 ตามดว้ ยปี 2556 และ 2553 พบรอ้ ยละ 3.75 และ 3.64 ตามลาดับ การพยากรณ์แนวโนม้ การเกดิ โรคเรอ้ื รังของบุคลากร ระหว่างปี 2563 – 2567 มแี นวโนม้ เพม่ิ ขน้ึ จานวน 117, 129, 142, 155 และ 168 ราย ตามลาดบั ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ ความชกุ ของโรคไมต่ ดิ ต่อเรอื้ รังในบคุ ลากรของโรงพยาบาลท่ัวไปแห่งหนง่ึ จังหวัดยะลามแี นวโนม้ สูงขน้ึ บุคลากรของโรงพยาบาลควรใหค้ วามสาคัญกับการปรับเปล่ียนพฤตกิ รรม เสยี่ งของตนเอง และผบู ้ รหิ ารโรงพยาบาลสง่ เสรมิ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพใหแ้ กบ่ คุ ลากรของโรงพยาบาล คาสาคญั : โรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอื้ รัง บคุ ลากรทางการแพทย์ การพยากรณ์ การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ที่ 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
ผลการวดั ระดบั ความรู้ ความตระหนกั และการปฏบิ ตั ขิ องกลมุ่ เสยี่ งความดนั โลหติ สงู ในโปรแกรม การบรโิ ภคอาหารแดชเพอื่ สขุ ภาพ ตามแบบชวี ติ วถิ ใี หม่ บา้ นดอนงาม อาเภอดอยหลวง จงั หวดั เชยี งราย ปณชิ า สงู สนทิ *, ศศกิ านต์ ประทมุ ชยั *, บราลดี า คงจร*, จฑุ ามาศ สทิ ธขิ นั แกว้ ***, ชญั ญานุช วงศฟ์ *ู * * นักศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี สาขาสาธารณสขุ ศาสตร์ สานักวชิ าวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ มหาวทิ ยาลัยแมฟ่ ้าหลวง ** อาจารยม์ หาวทิ ยาลยั แมฟ่ ้าหลวง สานักวชิ าวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ สาขาสาธารณสขุ ศาสตร์ *** อาจารยพ์ เ่ี ลย้ี งผคู ้ มุ ฝึกปฏบิ ตั งิ าน โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตาบลบา้ นแมบ่ ง บทคดั ยอ่ ความสาคญั : โรคความดันโลหติ สงู ถอื เป็ น “ฆาตกรเงยี บ” เนอ่ื งจากไมม่ อี าการแสดง อกี ทัง้ โรคความดัน โลหติ สูงเป็ นโรคเรอื้ รังทเี่ ป็ นปัญหาสาธารณสุขของทุกประเทศทั่วโลกรวมทัง้ ประเทศไทยและมแี นวโนม้ เพมิ่ ขน้ึ อย่างต่อเนื่อง ในปี 2563 ประเทศไทยมผี ูป้ ่ วยดว้ ยโรคความดันโลหติ สูง 6,310,308 ราย และ มกี ลุ่มเสยี่ งทัง้ หมด 1,922,609 ราย ซง่ึ จากการทบทวนวรรณกรรม พบว่า โปรแกรมการใหค้ วามรูแ้ ละ การสง่ เสรมิ พฤตกิ รรมดา้ นโภชนาการสามารถทาใหร้ ะดบั ความดันโลหติ ของลดลง วตั ถุประสงค:์ เพอ่ื เปรยี บเทยี บคะแนนเฉลย่ี ความรู ้ ความตระหนัก และการปฏบิ ัติ ก่อนและหลังไดร้ ับ โปรแกรมเรอ่ื งการบรโิ ภคตามแนวทางแดช รปู แบบศกึ ษา สถานที่ และผปู้ ่ วย: การวจิ ัยแบบกง่ึ ทดลอง โดยใชแ้ บบแผนการวจิ ยั กลมุ่ เดยี ววัดกอ่ นและ หลังการทดลอง ในประชากรกลมุ่ เสยี่ งความดันโลหติ สงู บา้ นดอนงาม จานวน 38 คน การวดั ผล และวธิ กี าร: เลอื กกล่มุ ตัวอยา่ งแบบเจาะจง เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการเก็บขอ้ มลู เป็ นแบบสอบถาม ออนไลน์ 2 ชดุ คอื แบบสอบถามกอ่ นและหลังเขา้ รับโปรแกรม ประกอบดว้ ย 3 ส่วน ไดแ้ ก่ ขอ้ มลู ท่ัวไป การประเมนิ ความรแู ้ ละความตระหนัก และการประเมนิ การปฏบิ ัติ สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล คอื สถติ ิ เชงิ พรรณนา (จานวน รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ สว่ นเบย่ี งเบนมาตราฐาน) และสถติ เิ ชงิ อนุมาน วเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บ ความแตกตา่ งคะแนนเฉลย่ี กอ่ นและหลงั เขา้ รบั โปรแกรม 1 กลมุ่ ตวั อยา่ ง (Paired t-test) ผล: พบวา่ คะแนนเฉลย่ี ความรู ้ ความตระหนัก และการปฏบิ ัตขิ องกลุ่มเสย่ี งความดันโลหติ สงู หลังเขา้ รับ โปรแกรมมคี ะแนนสงู กว่ากอ่ นเขา้ รับโปรแกรม อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ี่ .001 (t = -6.57, -10.65, - 6.55) ขอ้ ยุติ และการนาไปใช:้ โปรแกรมบรโิ ภคอาหารแดชเพอ่ื สุขภาพมปี ระสทิ ธภิ าพในการเพม่ิ ความรู ้ สรา้ งความตระหนัก และสง่ เสรมิ การปฏบิ ัติ ในแกก่ ลุ่มเสย่ี งความดันโลหติ สงู ขอ้ เสนอแนะ โปรแกรมบรโิ ภค อาหารแดชเพอ่ื สขุ ภาพ ควรมงุ่ เนน้ ไปทก่ี ารปฏบิ ัตจิ รงิ และมกี ารวัดคา่ ระดับความดันโลหติ กอ่ นและกลังเขา้ รับโปรแกรม เพอ่ื ยนื ยนั ประสทิ ธผิ ลของโปรแกรม คาสาคญั : กลุ่มเสย่ี งความดันโลหติ สงู , ความดันโลหติ สงู , การบรโิ ภคอาหารตามแนวทางแดช (DASH), Knowledge Attitude and Practice (KAP), New Normal การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เครอื ขา่ ยวจิ ัยโรงพยาบาล ครงั้ ท่ี 13 (HoRNetS 2021) ประจาปี 2564
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106