Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมูบ้านในเขตตำบลหนองไผ๋ อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น

บทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมูบ้านในเขตตำบลหนองไผ๋ อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น

Description: งานวิจัย/วิทยานิพนธ์

Search

Read the Text Version

บทบาททางการเมอื งของคณะกรรมการหมูบ่ ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแกน่ เพ็ญพกั ตร์ พรมลี สารนพิ นธ์น้ีเป็นส่วนหนึ่งของการศกึ ษาตามหลักสตู รรฐั ศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชารัฐศาสตร์การปกครอง บัณฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลัย พฤศจิกายน 2560 (ลิขสิทธ์ิเป็นของมหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลยั )

บทบาททางการเมอื งของคณะกรรมการหม่บู า้ น ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชมุ แพ จังหวดั ขอนแกน่ เพ็ญพกั ตร์ พรมลี สารนพิ นธน์ ้ีเป็นสว่ นหนึ่งของการศกึ ษาตามหลักสตู รรัฐศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ ารฐั ศาสตร์การปกครอง บณั ฑิตวทิ ยาลัยมหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลัย พฤศจิกายน 2560 (ลขิ สทิ ธ์ิเป็นของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลยั )

POLITICAL ROLES OF VILLAGE COMMITTEE IN THE AREA OF NONG PHAI SUBDISTRICT, CHUM PHAE DISTRICT, KHON KAEN PROVINCE PENPAK PROMLEE A THEMATIC PAPER SUBMITTED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENTS FOR THE DEGREE OF MASTER OF POLITICAL SCIENCE DEPARTMENT OF GOVERNMENT GRADUATE SCHOOL MAHAMAKUT BUDDHIST UNIVERSITY NOVEMBER 2017 (COPYRIGHT MAHAMAKUT BUDDHIST UNIVERSITY)

5820850332040 : สาขา : รฐั ศาสตร์การปกครอง; ร.ม.(รัฐศาสตรมหาบณั ฑิต) คาสาคัญ : ความเข้าใจ / ระบอบประชาธิปไตย เพ็ญพักตร์ พรมลี : บทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น (POLITICAL ROLES OF VILLAGE COMMITTEE IN THE AREA OF NONG PHAI SUBDISTRICT, CHUM PHAE DISTRICT, KHON KAEN PROVINCE) คณะกรรมการ ควบคุมสารนิพนธ์ : รองศาสตราจารย์ ดร.ภาสกร ดอกจันทร์ อาจารย์ท่ีปรึกษา, ดร.ปดิษฐ์ คาดี อาจารยท์ ีป่ รึกษารว่ ม. 120 หนา้ . ปี พ.ศ. 2560. สารนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพ่ือศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาททางการเมือง ของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น 2) เพ่ือเปรียบเทียบ ความคดิ เห็นเกี่ยวกับบทบาททางการเมอื งของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุม แพ จังหวัดขอนแก่น และ 3) เพ่ือศึกษาข้อเสนอแนะความคิดเห็นเก่ียวกับบทบาททางการเมืองของ คณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การศึกษา คือ คณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น จานวน 149 คนโดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม (Questionnaire) มลี ักษณะเปน็ แบบตรวจเชค็ รายการ (Check List) การวเิ คราะห์ ข้อมูล โดยใช้ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน (Standard Deviation) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉล่ียประชากร (Independent t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบจาแนกทางเดียว (One-Way ANOVA) ถ้าความแตกต่างมีนัยสาคัญทางสถิติจะทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของ เชฟเฟ่ (Scheffés Method) ผลการวจิ ัยพบวา่ 1) ความคิดเห็นเก่ียวกับบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบล หนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวมทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณารายด้าน โดย เรยี งตามคา่ เฉลย่ี จากมากไปนอ้ ย ดา้ นท่ีมคี า่ เฉลย่ี มากทีส่ ดุ คอื ดา้ นการใช้สิทธิเลือกต้ัง รองลงมา ได้แก่ ด้านการชักชวนให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส่วนด้านที่มีค่าเฉล่ียน้อยที่สุด คือ ด้านการ ติดตามขา่ วสารทางการเมือง 2) การเปรียบเทยี บความคิดเห็นเก่ียวกับบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้านใน เขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น พบว่า คณะกรรมการหมู่บ้านท่ีมีเพศ อายุ และ รายได้ ตา่ งกนั มคี วามคิดเห็นเกย่ี วกับบทบาททางการเมือง ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น โดยรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนคณะกรรมการหมู่บ้านท่ีมีระดับการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็น

ข เก่ียวกับบทบาททางการเมือง ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น แตกต่างกันอย่างมี นยั สาคัญทางสถิติทรี่ ะดับ .05 3) ข้อเสนอแนะความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ใน เขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น มีรายละเอียดดังนี้ (1) ด้านการไปใช้สิทธิเลือกต้ัง พบว่าคณะกรรมการหมู่บ้านได้เสนอความคิดเห็นมากท่ีสุดคือ จัดให้มีหน่วยเลือกต้ังใกล้กับชุมชน เพ่ือให้การเดินทางสะดวกสบาย และรองลงมาคือ ให้ความร่วมมือในการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง (2) ด้าน การติดตามข่าวสารทางการเมือง พบว่าคณะกรรมการหมู่บ้านได้เสนอความคิดเห็นมากท่ีสุดคือ ประชาสัมพนั ธต์ ามสื่อต่าง ๆ ให้ประชาชนได้รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้ง รองลงมาคือให้ผู้ลงรับ การเลอื กต้งั ประชาสมั พนั ธ์ขอ้ มลู ของตวั เองใหป้ ระชาชนทราบ และให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องที่สุด (3) ดา้ นการชักชวนให้ประชาชนไปใช้สทิ ธเิ ลือกต้งั พบวา่ คณะกรรมการหมูบ่ ้าน ไดเ้ สนอความคิดเห็นมาก ท่สี ุดคอื ชกั ชวน ให้ประชาชนเลือกคนดี มีคณุ ธรรม รองลงมาคือไม่ซ้ือสิทธิขายเสียง ไม่รับสินจ้างใด ๆ รองลงมาคอื มวี ิทยากรมาใหค้ วามร้เู กยี่ วกับการเลอื กตง้ั และรณรงคใ์ หผ้ มู้ ีสิทธิไปเลอื กตงั้

ค 5820850332040 : MAJOR: GOVERNMENT; M.Pol.Sc. (MASTER OF POLITICALSCIENCE) KEYWORDS : NEEDS OF PEOPLE, LOCAL POLITICIAN PENPAK PROMLEE : POLITICAL ROLES OF VILLAGE COMMITTEE IN THE AREA OF NONGPHAI SUB-DISTRICT, CHUMPHAE DISTRICT, KHONKAEN PROVINCE. ADVISOR COMMITTEE : ASSOC.PROF. PHATSAKORN DOKCHAN, Ph.D. ADVISOR, PADIT KAMDEE, Ph.D. CO-ADVISOR. 120 PP., B.E. 2560 (2017) The objectives of the research were (1) to study comments on political roles of the village committee in the area of Nongphai sub-district, Chumphae district, Khonkaen province, (2) to compare comments on political roles of the village committee in the area of Nongphai sub-district, Chumphae district, Khonkaen province, and (3) to study the recommendations comments on political roles of the village committee in the area of Nong phai sub-district, Chumphae district, Khonkaen province. The research population was a total of village committee in Nongphai sub- district, Chumphae district, Khonkaen province, and the sampling size of 149 samples were selected and determined by Taro Yamane’s calculation formula. The research instruments used for data collection were the checklist questionnaires. The data were analyzed by the statistics comprised of frequency distribution, percentage, arithmetic mean, standard deviation. The mean differences of the population were analyzed by the independent T-test method and the one-way analysis of variance (ANOVA). In case the paired differences were found, the Scheffé’s method was utilized. The research findings were as follows: 1) Comments on political roles of the village committee in the area of Nongphai sub-district, Chumphae district, Khonkaen province, were found to be overall at a high level. When considered in each item in the descending order, “exercising the right to vote” was found to be at the highest level, followed by “visiting people to exercise the voting right,” and “following political news” was found to be at the lowest level. 2) The comparison of comments on political roles of the village committee in the area of Nongphai sub-district, Chumphae district, Khonkaen province, was

ง found that needs of the village committee with different gender, age, and income for political roles in the area of Nongphai sub-district, Chumphae district, Khonkaen province, were found not to be overall different. But needs of the village committee with different educational levels for on the political roles in the area of Nongphai sub-district, Chumphae district, Khonkaen province, were found to be different at a statistically significant level of .05. 3) The recommendations comments on political roles of the village committee in the area of Nongphai sub-district, Chumphae district, Khonkaen province, were as follows: (1) In terms of exercising the right to vote, the village committee’s opinions on “Provide polling stations close to the community to make the trip comfortable.” were found to be at the highest level, followed by “To cooperate in the election.” (2) In terms of following the political news, the village committee’s opinions on “Election news should be publicized in various kinds of media”, followed by “The candidate should publicize his/her profile,” and “Right information has to be publicized.” (3) In terms of inviting people to exercise the voting right, the village committee’s opinions on “visiting people to elect a good virtuous candidate,” followed by “no vote buying and no bribery,” “Election experts required to publicize the election,” and “Election campaign needed to invite people to vote.”

จ ประกาศคณุ ปู การ สารนิพนธ์ฉบบั น้สี าเร็จลงได้เพราะได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือและความกรุณาจากหลาย ฝ่าย ผู้วิจัยจึงขอขอบคุณสถาบัน องค์กร และบุคคลที่ได้ให้ความช่วยเหลือ ได้แก่ มหาวิทยาลัย มหามกฏุ ราชวิทยาลัย และคณาจารยท์ กุ ทา่ นที่ไดป้ ระสิทธิป์ ระสาทวิชาจนสามารถนาความรู้ มาเขียน สารนพิ นธ์นไี้ ด้ และกรุณาชแี้ นะแนวทางในการศกึ ษาคน้ ควา้ ขอขอบคุณ รองศาสตรจารย์ ดร.ภาสกร ดอกจันทร์ อาจารย์ที่ปรึกษาสารนิพนธ์ และ ดร.ปดษิ ฐ์ คาดี อาจารย์ทปี่ รกึ ษาสารนพิ นธร์ ว่ ม ที่ได้ให้คาแนะนา ตรวจสอบ แก้ไข จนสารนิพนธ์เล่ม น้ีเสร็จสมบูรณด์ ้วยดี ขอขอบคุณผู้เชี่ยวชาญท้ังห้าท่าน ประกอบด้วย พระนิทัศน์ ธีรปัญโญ,ดร., ผู้ช่วย ศาสตราจารย์ ดร.บุรินทร์ ภู่สกุล, ดร.ทองแพ ไชยต้นเทือก, ดร.วินิจ ผาเจริญ และ ดร.พูลสวัสด์ิ นาทองคา ทีก่ รณุ าตรวจสอบและช่วยแก้ไขเครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ครงั้ น้ี ขอขอบคุณคณะกรรมการสอบสารนิพนธ์ ซ่ึงประกอบด้วย รองศาสตราจารย์พิเศษ ดร. สกุ ิจ ชัยมุสิก ประธานกรรมการ, ดร.ทองแพ ไชยต้นเทือก, พระนิทัศน์ ธีรปัญโญ,ดร., รองศาสตรจารย์ ดร.ภาสกร ดอกจนั ทร์ และ ดร.ปดิษฐ์ คาดี ขอขอบคุณคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ทที่ ไ่ี ด้เสียสละเวลาตอบแบบสอบถามและใหข้ อ้ มลู ทีเ่ ปน็ ประโยชน์ตอ่ การวจิ ยั ในคร้ังน้ี ขอขอบคุณเพ่ือน ๆ ที่ให้ความช่วยเหลือด้วยการเติมเต็มสิ่งท่ีขาดแคลน และคอยให้ กาลงั ใจด้วยดีเสมอมา ท้ายที่สุดคณุ ประโยชนแ์ ห่งสารนิพนธ์ฉบับน้ี ผู้วิจัยขอน้อมบูชาแด่พระรัตนตรัย บูรพาจารย์ บิดา มารดา และทุกคนในครอบครัว ที่ให้ความรัก ความห่วงใย สนับสนุนการศึกษาและให้กาลังใจ ขอ ทุกทา่ นจงเปน็ ผ้มู ีส่วนในความสาเร็จที่เกดิ จากงานวิจัยในครง้ั นี้ เพ็ญพักตร์ พรมลี

สารบัญ หน้า ก บทคัดย่อภาษาไทย ค บทคัดย่อภาษาองั กฤษ จ ประกาศคุณูปการ ฉ สารบัญ ซ สารบญั ตาราง ฐ สารบญั แผนภูมิ บทท่ี 1 1 1 บทนา 3 1.1 ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา 3 1.2 วตั ถุประสงค์การวิจัย 4 1.3 สมมตฐิ านการวิจยั 4 1.4 ขอบเขตของงานวิจัย 4 1.5 ประโยชน์ท่คี าดว่าจะได้รบั 6 1.6 คานิยามศัพทเ์ ฉพาะท่ีใชใ้ นการวจิ ยั 6 8 2 เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้อง 13 2.1 แนวคดิ และทฤษฎีเกีย่ วกบั ความคิดเห็น 14 2.2 แนวคดิ และทฤษฎเี กย่ี วกบั บทบาท 22 2.3 แนวคดิ และทฤษฎีเกีย่ วกับการเมือง 23 2.4 แนวคดิ และทฤษฎเี กย่ี วกับการมสี ว่ นรว่ มทางการเมือง 32 2.5 แนวคดิ และทฤษฎีเก่ียวกับการเลอื กต้ัง 34 2.6 บทบาท อานาจหน้าท่ีของคณะกรรมการหมู่บา้ น 38 2.7 หลักธรรมทีเ่ กีย่ วข้องกบั คณะกรรมการหมู่บ้าน 42 2.8 สภาพพน้ื ที่ท่ีศกึ ษา 43 2.9 งานวจิ ัยทีเ่ ก่ียวข้อง 43 2.10 สรุปกรอบแนวคิดทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย 43 3 วธิ ดี าเนินการวิจัย 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 เทคนิควธิ กี ารสมุ่ ตวั อยา่ ง

สารบัญ (ตอ่ ) ช บทที่ หน้า 3.3 เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั 45 3.4 การสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือวิจัย 45 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมลู 47 3.6 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู 47 3.7 สถิติท่ีใช้ในการวจิ ัย 48 50 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู 50 4.1 สัญลกั ษณ์ท่ีใชใ้ นการเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 50 4.2 ขน้ั ตอนการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 52 4.3 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู 79 79 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 81 5.1 สรปุ ผลการวิจัย 86 5.2 อภปิ รายผล 89 5.3 ข้อเสนอแนะ 94 95 บรรณานุกรม 97 ภาคผนวก 103 106 ภาคผนวก ก รายนามผู้เช่ียวชาญตรวจสอบเครอ่ื งมอื 113 ภาคผนวก ข หนังสอื ขอความอนเุ คราะห์เป็นผ้เู ช่ยี วชาญตรวจสอบเคร่อื งมือ 117 ภาคผนวก ค หนงั สอื ขอความอนุเคราะห์เก็บรวบรวมข้อมลู 120 ภาคผนวก ง แบบสอบถาม ภาคผนวก จ ค่าดชั นีความสอดคล้องของข้อคาถาม (IOC) ภาคผนวก ฉ คา่ สมั ประสทิ ธแ์ิ อลฟา ประวตั ิผ้วู ิจัย

สารบญั ตาราง ตารางที่ หน้า 2.1 แสดงจานวนเนอ้ื ที่ 36 2.2 แสดงจานวนประชากรและครัวเรือน 37 3.1 แสดงจานวนประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง 44 4.1 แสดงจานวน และรอ้ ยละของผ้ตู อบแบบสอบถาม จาแนกตามเพศ 52 4.2 แสดงจานวน และร้อยละของผ้ตู อบแบบสอบถาม จาแนกตามอายุ 52 4.3 แสดงจานวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จาแนกตามระดับการศึกษา 53 4.4 แสดงจานวน และร้อยละของผตู้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามรายได้ 53 4.5 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมอื งของคณะกรรมการหมบู่ ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด 54 ขอนแกน่ โดยรวมและรายดา้ น 4.6 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท 55 ทางการเมอื งของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ด้านการใชส้ ิทธเิ ลอื กตง้ั 56 4.7 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมอื งของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด 57 ขอนแก่น ด้านการตดิ ตามขา่ วสารทางการเมอื ง 4.8 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท 59 ทางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด 59 ขอนแกน่ ดา้ นการชกั ชวนใหป้ ระชาชนไปใช้สทิ ธิเลือกตงั้ 4.9 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท 60 ทางการเมอื งของคณะกรรมการหมบู่ า้ น ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ โดยรวม จาแนกตามเพศ 4.10 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขต ตาบลหนองไผ่ อาเภอชมุ แพ จังหวดั ขอนแก่น โดยรวม ที่มเี พศตา่ งกนั 4.11 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ดา้ นการใชส้ ิทธเิ ลือกตง้ั จาแนกตามเพศ

ฌ สารบัญตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หน้า 4.12 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขต ตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการใช้สิทธิเลือกตั้ง ท่ีมีเพศ ตา่ งกนั 60 4.13 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมืองของคณะกรรมการหมบู่ ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ด้านการติดตามขา่ วสารทางการเมอื ง จาแนกตามเพศ 61 4.14 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขต ตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการติดตามข่าวสารทางการเมือง ท่ีมเี พศต่างกัน 61 4.15 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น ด้านการชกั ชวนให้ประชาชนไปใช้สทิ ธเิ ลอื กตงั้ จาแนกตามเพศ 62 4.16 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขต ตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการชักชวนให้ประชาชนไปใช้ สิทธเิ ลือกต้ัง ทม่ี เี พศต่างกัน 62 4.17 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บา้ น ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น โดยรวม จาแนกตามอายุ 63 4.18 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชมุ แพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม ทมี่ อี ายตุ ่างกัน 63 4.19 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ด้านการใชส้ ิทธิเลือกตัง้ จาแนกตามอายุ 64 4.20 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชมุ แพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการใช้สิทธิเลือกตั้ง ท่ีมีอายุ ตา่ งกนั 64 4.21 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมอื งของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ดา้ นการตดิ ตามขา่ วสารทางการเมอื ง จาแนกตามอายุ 65

ญ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางท่ี หน้า 4.22 แสดงผลการวเิ คราะหค์ วามแปรปรวนบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชมุ แพ จงั หวัดขอนแกน่ ดา้ นการติดตามข่าวสารทางการ เมอื ง ท่มี ีอายตุ า่ งกัน 65 4.23 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บา้ น ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ดา้ นการชกั ชวน ให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลอื กตั้ง จาแนกตามอายุ 66 4.24 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการชักชวนให้ประชาชนไป ใชส้ ทิ ธิเลอื กต้งั ทม่ี ีอายุต่างกนั 66 4.25 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมอื งของคณะกรรมการหมู่บา้ น ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น โดยรวม จาแนกตามระดบั การศกึ ษา 67 4.26 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม ที่มีระดับการศึกษา ต่างกนั 67 4.27 แสดงผลการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่บทบาททางการเมืองของคณะกรรม การหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม จาแนก ตามระดับการศกึ ษา ดว้ ยวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffe’) 68 4.28 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมอื งของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น ดา้ นการใชส้ ิทธเิ ลอื กต้ัง จาแนกตามระดับการศกึ ษา 69 4.29 แสดงผลการวเิ คราะหค์ วามแปรปรวนบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการใช้สิทธิเลือกต้ัง ท่ีมี ระดับการศกึ ษาตา่ งกนั 69 4.30 แสดงผลการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่บทบาททางการเมืองของคณะกรรม การหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการใช้สิทธิ เลอื กต้ัง จาแนกตามระดับการศึกษา ด้วยวธิ ีการของเชฟเฟ่ (Scheffe’) 70

ฎ สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หน้า 4.31 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมืองของคณะกรรมการหมบู่ า้ น ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น ด้านการตดิ ตามขา่ วสารทางการเมือง จาแนกตามระดับการศกึ ษา 71 4.32 แสดงผลการวเิ คราะหค์ วามแปรปรวนบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จงั หวัดขอนแกน่ ดา้ นการติดตามข่าวสารทางการ เมอื ง ท่มี รี ะดบั การศึกษาตา่ งกัน 71 4.33 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมอื งของคณะกรรมการหมบู่ ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น ด้านการชักชวนให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกต้ัง จาแนกตามระดับการ ศึกษา 72 4.34 แสดงผลการวิเคราะหค์ วามแปรปรวนบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการชักชวนให้ประชาชนไป ใชส้ ทิ ธเิ ลอื กตั้ง ท่ีมรี ะดบั การศกึ ษาตา่ งกัน 72 4.35 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมืองของคณะกรรมการหมบู่ า้ น ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น โดยรวม จาแนกตามรายได้ 73 4.36 แสดงผลการวเิ คราะห์ความแปรปรวนบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชมุ แพ จงั หวัดขอนแก่น โดยรวม ทีม่ รี ายได้ต่างกนั 73 4.37 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมอื งของคณะกรรมการหมบู่ า้ น ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น ดา้ นการใช้สทิ ธเิ ลือกต้ัง จาแนกตามรายได้ 74 4.38 แสดงผลการวเิ คราะหค์ วามแปรปรวนบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการใช้สิทธิเลือกตั้ง ท่ีมี รายได้ต่างกนั 74 4.39 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมืองของคณะกรรมการหมบู่ า้ น ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ด้านการตดิ ตามข่าวสารทางการเมือง จาแนกตามรายได้ 75

ฏ สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หน้า 4.40 แสดงผลการวเิ คราะห์ความแปรปรวนบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จงั หวัดขอนแกน่ ดา้ นการติดตามข่าวสารทางการ เมือง ท่ีมรี ายไดต้ า่ งกนั 75 4.41 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นบทบาท ทางการเมืองของคณะกรรมการหมูบ่ ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ด้านการชักชวนใหป้ ระชาชนไปใช้สทิ ธิเลือกต้งั จาแนกตามรายได้ 76 4.42 แสดงผลการวิเคราะหค์ วามแปรปรวนบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการชักชวนให้ประชาชนไป ใช้สิทธเิ ลือกต้งั ท่มี รี ายไดต้ า่ งกนั 76 4.43 แสดงค่าความถ่ีข้อเสนอแนะบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ใน เขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชมุ แพ จงั หวดั ขอนแกน่ ดา้ นการใช้สิทธเิ ลือกต้ัง 77 4.44 แสดงค่าความถ่ีข้อเสนอแนะบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ใน เขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการติดตามข่าวสารทางการ เมือง 77 4.45 แสดงค่าความถี่ข้อเสนอแนะบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ใน เขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการชักชวนให้ประชาชนไป ใช้สทิ ธเิ ลอื กต้งั 78

สารบัญแผนภมู ิ ฐ แผนภมู ทิ ่ี หน้า 2.1 แสดงอาณาเขตของตาบลหนองไผ่ 35 2.2 แสดงสรุปกรอบแนวคิดท่ใี ช้ในการวจิ ยั 42

บทที่ 1 บทนำ 1.1 ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญของปญั หำ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 78 บัญญัติไว้ว่ารัฐพึงส่งเสริม ให้ประชาชนและชุมชนมีความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ การจัดบริการ สาธารณะท้ังในระดับชาติและระดับท้องถิ่น การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ การต่อต้านการทุจริต และประพฤตมิ ชิ อบ รวมตลอดทง้ั การตัดสนิ ใจทางการเมือง และการอ่ืนใด บรรดา ท่ีอาจมีผลกระทบ ต่อประชาชนหรือชุมชน มาตรา 258 ให้ดาเนินการปฏิรูปประเทศอย่างน้อยในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผล ดังต่อไปน้ี ก. ด้านการเมือง (1) ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีส่วนร่วมในการดาเนินกิจกรรมทาง การเมอื งรวมตลอดทั้งการตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ รู้จักยอมรับในความเห็นทางการเมืองโดยสุจริต ท่ีแตกต่างกัน และให้ประชาชนใช้สิทธิเลือกต้ัง และออกเสียงประชามติโดยอิสระปราศจากการ ครอบงาไม่ว่าด้วยทางใด และตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 11) พ.ศ. 2511 มาตรา 28 ตรี เก่ียวกับโครงสร้าง และอานาจหน้าที่ของคณะกรรมการ หม่บู า้ น (กม.) ใหม้ ีโครงสร้างทีป่ ระกอบด้วยตัวแทนจากทุกภาคส่วนในหมู่บ้านและกาหนดให้มีหน้าท่ี ชัดเจน โดยมีเป้าหมายให้คณะกรรมการหมู่บ้านทาหน้าที่เป็นองค์กรรับผิดชอบบูรณาการขับเคล่ือน งาน โครงการ/กิจกรรมของทุกภาคส่วนในหมู่บ้าน ทั้งนี้ เพ่ือให้การบริหารจัดการหมู่บ้านมีเอกภาพ ลดความซ้าซ้อน ส่งผลให้ประหยัดท้ังเวลาและงบประมาณ อีกท้ังเพ่ือเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติ หน้าที่ของผู้ใหญ่บ้าน (สานักบริหารการปกครองท้องท่ี ส่วนพัฒนาและส่งเสริมการบริหารงานท้องที่ กรมการปกครอง, 2557, หน้า 1) คณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) เป็นส่วนสาคัญในการบริหารงานภาย ในหมู่บ้าน เพราะเป็นประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน จึงทราบปัญหาความต้องการของทุกคนเป็น อยา่ งดแี ละนามากาหนดเปน็ นโยบายในการพัฒนาหมู่บ้านของตน นอกจากน้ันคณะกรรมการหมู่บ้าน ยงั มีสว่ นสนับสนุนการขับเคลื่อนภารกิจต่าง ๆ ของรัฐบาลให้สาเร็จลุล่วงคณะกรรมการหมู่บ้านถือได้ ว่ามีบทบาทและความสาคัญในการร่วมสร้างสังคมท่ีมีคุณธรรม จริยธรรม ฟื้นฟูเสริมสร้างความ สมานฉันท์ให้บังเกิดข้ึน สามารถเป็นหลักและที่พ่ึงให้กับพี่น้องประชาชน (มติชนออนไลน์, 2558, ออนไลน์)

2 สาหรับตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น แบ่งเขตการปกครองเป็น 16 หมู่บ้าน โดยมีกานัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้ทาหน้าที่ บาบัดทุกข์ บารุงสุข แต่ด้วยภารกิจของกานัน ผู้ใหญ่บ้านมี มากมาย เพ่ือให้การปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพ กฎหมายจึงได้มีการกาหนดให้มีคณะกรรมการ หมู่บา้ น หรือ กม. เป็นผู้เสนอแนะและใหค้ าปรกึ ษากับผู้ใหญ่บ้านในการปฏิบัติหน้าท่ี แต่ปรากฏว่าผล การดาเนินงานของคณะกรรมการหมู่บ้าน ซ่ึงเป็นหน่วยปกครองท้องถ่ินท่ีเล็กท่ีสุด ยังมีประสิทธิภาพ แตก ต่างกันอยู่มาก ซ่ึงกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ศึกษาวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคที่ทา ให้คณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) หลายแห่งขาดประสิทธิภาพ ในการดาเนินงาน และได้สรุปสาระ สาคัญไว้ 3 ประการ คือ 1) ปญั หาเกี่ยวกับตัวบุคคลที่เป็นคณะกรรมการหมู่บ้าน เช่น ขาดความต้ังใจ จริง ขาดความกระตือรือร้นในการทางาน ไม่มีเวลาประชุมร่วมกัน และไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของ ตนเอง เป็นต้น 2) ปัญหาเก่ียวกับเจ้าหน้าท่ีท่ีเก่ียวข้อง ซ่ึงเจ้าหน้าที่จะมีส่วนสาคัญในการเสริมและ สนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการหมู่บ้าน เจ้าหน้าท่ียังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ในการจัดต้ัง คณะกรรมการหม่บู า้ น และขาดการประสานงานระหว่างกัน และ 3) ปัญหาเกี่ยวกับปัจจัยการบริหาร งาน ได้แก่ การขาดนโยบายและแนวทางการปฏิบัติท่ีชัดเจน ขาดงบประมาณ และวัสดุอุปกรณ์ สนับสนุนต่อการดาเนินงานของคณะกรรมการหมู่บ้าน และขาดการประชาสัมพันธ์เทคนิคและกลวิธี ในการทางาน (พยุงศักด์ิ พลลุน, 2555, หน้า 1) จากปญั หาดงั กล่าวทาให้มีการตราข้อบังคับกระทรวง มหาดไทย ว่าด้วยการดาเนินการงานของคณะกรรมการหมู่บ้าน พ.ศ. 2526 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2533 การแก้ไขพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องท่ี พ.ศ. 2457 โดยปรับปรุงโครงสร้าง บทบาท อานาจหน้าท่ีของคณะกรรมการหมู่บ้าน ตามมาตรา 28 ตรี แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครอง ท้องท่ี (ฉบับท่ี 11) พ.ศ. 2551 กรมการปกครองในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพรับผิดชอบการดาเนินงาน ของ กม. จึงได้เสนอใหม้ กี ารปรบั ปรุงโครงสรา้ ง บทบาทและอานาจหน้าที่ ของคณะกรรมการหมู่บ้าน ขนึ้ ใหม่ โดยยดึ หลักการให้ทกุ ภาคสว่ นภายในหมู่บ้านมสี ิทธิเข้าเปน็ กรรมการหมบู่ ้านอย่างหลากหลาย และกาหนดให้ กม. มหี นา้ ทชี่ ่วยเหลือ แนะนา และให้คาปรึกษาแก่ผู้ใหญ่บ้าน เก่ียวกับกิจการอันเป็น อานาจหน้าที่ผู้ใหญ่บ้าน และปฏิบัติหน้าท่ีอื่นตามกฎหมาย หรือระเบียบแบบแผนของทางราชการ หรอื ท่นี ายอาเภอมอบหมาย หรอื ทผ่ี ู้ใหญบ่ า้ นร้องขอ และให้คณะกรรมการหมู่บ้าน เป็นองค์กรหลักท่ี รับผิดชอบในการบูรณาการจัดทาแผนพัฒนาหมู่บ้าน และบริหารจัดการกิจกรรมที่ดาเนินงานใน หมู่บ้านร่วมกับองค์กรอื่นทุกภาคส่วน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในหมู่บ้านมากขึ้น เพื่อ สร้างความเข้มแข็งให้กับการพัฒนาหมู่บ้านอย่างย่ังยืนต่อไป และกระทรวงมหาดไทยได้ออกระเบียบ กระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเป็นกรรมการหมู่บ้าน การปฏิบัติหน้าท่ี และการประชุม ของคณะกรรมการหมู่บ้าน พ.ศ. 2551 ได้กาหนดให้คณะกรรมการหมู่บ้านแต่งต้ังคณะทางานต่าง ๆ เพ่ือช่วยเหลือปฏิบัติภารกิจของคณะกรรมการหมู่บ้านและผู้ใหญ่บ้าน โดยมีหน้าที่ที่สาคัญประการ หนงึ่ คอื การทางานด้านการปกครองและรักษาความสงบเรียบร้อย ซ่ึงมีหน้าท่ีเก่ียวกับการส่งเสริมให้

3 ราษฎรมีส่วนร่วมในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และการ ส่งเสริมอุดมการณ์และวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตย โดยยึดหลักกฎหมาย ความมีเหตุผล และสันติวิธี ปฏิบัติตามเสียงข้างมาก รับฟังเสียงข้างน้อย มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองและสังคม เสียสละ และรบั ผิดชอบตอ่ สว่ นรวม ดงั นัน้ ผูว้ ิจัยในฐานะเปน็ ข้าราชการสว่ นทอ้ งถ่ิน สังกัดเทศบาลตาบลหนองไผ่ได้ปฏิบัติงาน ร่วมกบั คณะกรรมการหมู่บ้าน และเทศบาลตาบลหนองไผไ่ ดใ้ ห้ความสาคัญ ต่อคณะกรรมการหมู่บ้าน ในการพัฒนาศักยภาพเพ่ือให้มีความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ และมีส่วนร่วมในการพัฒนา ท้องถ่ิน แต่การปฏิบัติหน้าท่ีของคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ในเขตตาบลหนองไผ่ ในการแสดง บทบาททางการเมืองยังไม่ประสบผลสาเร็จเท่าท่ีควร ผู้วิจัยจึงมีความสนใจท่ีจะทาการศึกษาบทบาท ทางการเมอื งของคณะกรรมการหมูบ่ ้าน ในเขตเทศบาลตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ทั้งนี้ ผลจากการวิจัยน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพของคณะกรรมการหมู่บ้าน ซ่ึงจะ ส่งผลไปสู่การพัฒนาหม่บู า้ นให้เกดิ ความเข้มแข็งและย่ังยืนตอ่ ไป 1.2 วัตถุประสงคก์ ำรวิจัย 1.2.1 เพ่ือศึกษาความคิดเห็นเก่ียวกับบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชมุ แพ จงั หวัดขอนแก่น 1.2.2 เพ่ือเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการ หม่บู ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชมุ แพ จงั หวดั ขอนแก่น 1.2.3 เพอื่ ศกึ ษาขอ้ เสนอแนะความคิดเหน็ เกี่ยวกบั บทบาททางการเมืองของคณะกรรมการ หมูบ่ ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชมุ แพ จงั หวดั ขอนแกน่ 1.3 สมมติฐำนกำรวิจยั 1.3.1 คณะกรรมการหมู่บ้านท่ีมีเพศต่างกันมีความคิดเห็นเก่ียวกับบทบาททางการเมือง ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชมุ แพ จงั หวดั ขอนแก่น แตกตา่ งกนั 1.3.2 คณะกรรมการหมู่บ้านท่มี อี ายตุ า่ งกนั มีความคดิ เห็นเกี่ยวกบั บทบาททางในเขตตาบล หนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น แตกตา่ งกนั 1.3.3 คณะกรรมการหมบู่ ้านทมี่ รี ะดับการศึกษาต่างกันมีความคิดเห็นเก่ียวกับบทบาททาง การเมือง ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแกน่ แตกตา่ งกัน 1.3.4 คณะกรรมการหมู่บ้านท่ีมีรายได้ต่างกันมีความคิดเห็นเก่ียวกับบทบาททางการเมือง ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแกน่ แตกต่างกนั

4 1.4 ขอบเขตของงำนวิจยั ในการวิจยั ครงั้ นีเ้ ปน็ การศึกษาความคดิ เห็นเกย่ี วกับบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการ หม่บู า้ น ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชมุ แพ จังหวดั ขอนแกน่ โดยกาหนดขอบเขตการศึกษาไว้ ดังน้ี 1.4.1 ขอบเขตด้ำนประชำกร ได้แก่ คณะกรรมการหมู่บ้านในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอ ชุมแพ จังหวดั ขอนแกน่ จานวน 237 คน 1.4.2 ขอบเขตด้ำนระยะเวลำ ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล ต้ังแต่เดือน 1 ธันวาคม 2559 ถงึ 31 พฤษภาคม 2560 1.4.3 ขอบเขตดำ้ นพ้นื ท่ี ไดแ้ ก่ ตาบลหนองไผ่ อาเภอชมุ แพ จังหวัดขอนแกน่ 1.4.4 ขอบเขตด้ำนเนื้อหำ ได้แก่ ความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของคณะ กรรมการหมู่บา้ น ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแกน่ จาแนกเปน็ 3 ด้าน ไดแ้ ก่ 1) การใช้สิทธิเลอื กต้งั 2) การติดตามข่าวสารทางการเมอื ง 3) การชักชวนใหป้ ระชาชนไปใช้สิทธิเลอื กตั้ง 1.5 ประโยชนท์ ่ีคำดวำ่ จะไดร้ บั 1.5.1 ทาให้ทราบความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้านใน เขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแก่น 1.5.2 ทาให้ทราบผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นเก่ียวกับบทบาททางการเมืองของคณะ กรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ท่ีมีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายไดต้ ่างกนั 1.5.3 ทาให้ทราบข้อเสนอแนะความคิดเห็นเก่ียวกับบทบาททางการเมืองของคณะกรรม การหมูบ่ า้ น ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชมุ แพ จังหวัดขอนแก่น 1.5.4 ทาให้สามารถนาผลการวิจัยไปใช้เป็นข้อมูลสารสนเทศ ในการส่งเสริมพัฒนา และ แนะแนวทางของคณะกรรมการหมู่บา้ น ด้านบทบาททางการเมือง ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแกน่ และเปน็ ประโยชนใ์ นการพัฒนาท้องถ่ินในตาบลหนองไผ่ 1.6 คำนิยำมศัพทเ์ ฉพำะท่ใี ช้ในกำรวจิ ัย คณะกรรมกำรหมบู่ ้ำน หมายถึง คณะกรรมการหมูบ่ า้ นในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแก่น ประกอบด้วย ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาท้องถ่ิน ผู้นาหรือผู้แทนกลุ่ม องค์กรในหมู่บ้าน และกรรมการผูท้ รงคุณวุฒิ

5 ควำมคิดเห็น หมายถึง การแสดงออกทางด้านความรู้สึก ความเช่ือ และการตัดสินใจต่อ สง่ิ หนึง่ ส่ิงใด โดยอาศยั ความรู้ การรับรู้ ประสบการณ์ และสภาพแวดลอ้ ม ทีม่ ตี อ่ การปฏิบัติหน้าท่ีของ คณะกรรมหมูบ่ ้าน กำรเมอื ง หมายถึง การกระทาที่เก่ียวข้องกบั สาธารณะเพอ่ื ทจ่ี ะร่วมกันแก้ปัญหาและส่งผล ใหค้ วามเป็นอยขู่ องประชาชนดีขึ้น บทบำททำงกำรเมือง หมายถึง การแสดงออกทางพฤติกรรม การมีส่วนร่วม การเข้าร่วม กิจกรรมทางการเมืองของคณะกรรมการหมู่บ้าน ดังน้ี 1) การใช้สิทธิเลือกต้ัง 2) การติดตามข่าวสาร ทางการเมอื ง 3) การชกั ชวนให้ประชาชนไปใชส้ ทิ ธเิ ลือกต้ัง กำรใช้สิทธิเลือกต้ัง หมายถึง การมีส่วนร่วมในการเลือกต้ังในรอบปีหรือวาระที่ผ่านมา เช่น การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, สมาชิกวุฒิสภา, นายกเทศมนตรีตาบล และสมาชิกสภา ท้องถนิ่ กำรติดตำมข่ำวสำรทำงกำรเมอื ง หมายถึง การสนใจรับรู้ข้อมูลข่าวสารทางการเมืองผ่าน ทางชอ่ งทางใดชอ่ งทางหน่ึง กำรชักชวนใหป้ ระชำชนไปใชส้ ิทธิเลือกตัง้ หมายถึง การแนะนาและชักชวนให้ประชาชน ออกไปใชส้ ิทธิเลือกต้งั ในรอบปีหรือวาระทผี่ า่ นมา เช่น การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, สมาชิก วุฒิสภา, นายกเทศมนตรตี าบล และสมาชิกสภาทอ้ งถิ่น ปัจจัยส่วนบุคคล หมายถึง คุณลักษณะของบุคคลท่ีแตกต่างกัน ได้แก่ เพศ อายุ ระดับ การศึกษา รายได้ เพศ หมายถึง เพศของคณะกรรมการหมู่บ้านผู้ตอบแบบสอบถาม แบ่งเป็น 2 เพศ คือ เพศชาย และเพศหญิง อำยุ หมายถึง อายุของคณะกรรมการหมู่บ้านผู้ตอบแบบสอบถาม ณ วันท่ีตอบแบบ สอบถาม แบ่งเป็น 4 ช่วงอายุ คือ อายุต่ากว่า 30 ปี, อายุ 31-40 ปี, อายุ 41-50 ปี, อายุ 51-60 ปี และอายุ 61 ปขี น้ึ ไป ระดับกำรศึกษำ หมายถึง ระดับการศึกษาสูงสุดของคณะกรรมการหมู่บ้านผู้ตอบแบบ สอบถาม แบ่งออกเป็น ระดับประถมศึกษา, ระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า, ระดับอนุปริญญาหรือ เทียบเทา่ , ระดับปริญญาตรี และสงู กว่าระดับปรญิ ญาตรี รำยได้ หมายถงึ ค่าตอบแทนท่ไี ด้รับจากการปฏบิ ตั งิ านในแตล่ ะเดือน แบ่งออกเป็น รายได้ ต่ากว่า 15,000 บาท, รายได้ 15,001-20,000 บาท, รายได้ 20,001-25,000 บาท และรายได้ 25,001 ข้นึ ไป

บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้อง การวิจยั เร่อื งบทบาททางการเมอื งของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในเขตตาบลหนองไผ่ อาเภอ ชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยได้ศึกษาตารา เอกสาร แนวคิด และผลงานวิจัยที่เก่ียวข้อง นาเสนอ เน้อื หาตามลาดบั ดังนี้ 2.1 แนวคิดและทฤษฎีเกยี่ วกบั ความคดิ เห็น 2.2 แนวคดิ และทฤษฎเี กย่ี วกบั บทบาท 2.3 แนวคิดและทฤษฎที ีเ่ กี่ยวกบั การเมอื ง 2.4 แนวคดิ และทฤษฎีทเ่ี กย่ี วกับการมีสว่ นรว่ มทางการเมือง 2.5 แนวคิดและทฤษฎเี กย่ี วกับการเลือกต้ัง 2.6 บทบาท อานาจหน้าที่ของคณะกรรมการหมบู่ ้าน 2.7 หลกั ธรรมทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั คณะกรรมการหมบู่ า้ น 2.8 สภาพพื้นทีท่ ่ศี กึ ษา 2.9 งานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วข้อง 2.10 สรปุ กรอบแนวคดิ ท่ีใชใ้ นการวิจยั 2.1 แนวคดิ และทฤษฎีเกย่ี วกับความคดิ เหน็ ความหมายของความคิดเห็น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546, หน้า 249) ให้ความหมายของ ความคิดเห็นว่า เป็นข้อพิจารณาว่าเป็นจริงจากการใช้ปัญญาความคิดประกอบถึงแม้จะไม่ได้อาศัย หลักฐานพสิ จู น์ยนื ยันไดเ้ สมอไปกต็ าม สิริพร บุญนันทน์ (2539, หน้า 7) ความคิดเห็น ได้กล่าวว่าเป็นการแสดงออกทางถ้อยคา (verbal expression) เก่ียวกับทัศนคติความเชื่อหรือค่านิยมแต่ความคิดเห็นไม่ใช่ส่ิงเดียวกับทัศนคติ เพราะในตวั ของมนั เองไมจ่ าเปน็ ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบทางอารมณ์หรือพฤติกรรม กู๊ด (Good, 1959, p. 376 อ้างใน ดาวลอย แก่นจันทร์, 2555, หน้า 6) ให้ความหมาย ของความคดิ เห็นไว้ ไดแ้ ก่ 1. ความหมายท่ัวไปหมายถึง ความเช่ือ ความเห็น ข้อพิจารณา ความรู้สึก หรือทัศนะท่ียัง ไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างแน่นอน และยังขาดน้าหนักทางเหตุผลหรือการวิเคราะห์ หรือกล่าวกว้าง ๆ ไดว้ ่า มคี วามเปน็ ไปไดม้ ากกวา่ ความรู้

7 2. ความเหมายเฉพาะหมายถึง การพิจารณาหรือข้อวินิจฉัยอย่างมีแบบแผนจาก แหล่ง ขอ้ มลู หรอื บุคคลทีเ่ ช่ือถอื ได้ ความคิดเห็นสาธารณะ หมายถึง การพิจารณาหรือข้อวินิจฉัยรวม ๆ ของกลุ่มคนในสังคม ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ หรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ สุโท เจริญสุข (2525, หน้า 6 อ้างใน ดาวลอย แก่นจันทร์, 2555, หน้า 6) ความคิดเห็น เป็นสภาพ ความรู้สึกทางด้านจิตใจที่เกิดจากประสบการณ์และการเรียนรู้ของบุคคล อันเป็นผลให้ บุคคลมี ความคิดต่อสง่ิ ใดสิง่ หน่งึ ในลักษณะท่ีชอบ ไมช่ อบ หรอื เฉย ๆ เสกสรร วัฒนพงษ์ (2542, หน้า 8 อ้างใน ดาวลอย แก่นจันทร์, 2555, หน้า 8) สรุปได้ว่า ความคิดเหน็ หมายถึง การแสดงออกถึง ความเช่ือ ทัศนะการวินิจฉัย การพิจารณาหรือการประเมินผล อยา่ งมีรูปแบบ โดยได้รับอิทธิพลมา จากทัศนคติและข้อเท็จจริง ความรู้ท่ีมีอยู่ของผู้แสดงความคิดเห็น ต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับ สถานการณ์และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ การแสดงความคิดเห็นอาจจะ แสดงออกโดยการพูด หรือ การเขยี นกไ็ ด้ ศรีสมบูรณ์ แย้มกมล (2538, หน้า 47 อ้างใน ธารินี แก้วจันทรา, 2556, หน้า 8) สรุป เก่ียวกับความคิดเห็นว่า เป็นการแสดงออกทางความรู้สึกหรือความเช่ือมั่นต่อส่ิงหน่ึงส่ิงใดหรือเหตุ การณใ์ ดเหตุการณห์ นึ่ง ซ่ึงอาจเกดิ จากการประเมินผล สิ่งน้ันหรือเหตกุ ารณ์นั้น โดยมีอารมณ์ ประสบ การณ์ และสภาพแวดล้อมในขณะนั้นเป็นพ้ืนฐานการแสดงออก ซ่ึงอาจจะถูกต้องหรือไม่ก็ได้ อาจจะ ได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธจากคนอ่ืนก็ได้ ความคิดเห็นน้ีอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา การ แสดงความคดิ เห็นอาจจะทาด้วยคาพดู หรอื การเขยี นก็ได้ ฟอสเตอร์ (Foster, 1952, p. 119 อา้ งใน ธารินี แก้วจนั ทรา, 2556, หน้า 11-12) ได้สรุป เกย่ี วกับความคดิ เหน็ ว่า เกดิ จากมลู เหตุ 2 ประการ คือ 1) ประสบการณ์ท่ีบุคคลมีต่อส่ิงของบุคคล หมู่คณะ เรื่องราวหรือสถานการณ์ต่าง ๆ โดย ความคิดเห็นจะเกิดขึ้นในตัวบุคคลจากการได้พบเห็นความคุ้นเคย ซ่ึงถือว่าเป็นประสบการณ์ตรงและ จากการได้ยนิ ไดฟ้ ังไดเ้ หน็ รปู ถ่าย หรืออ่านจากหนังสือโดยไม่ได้พบเห็นของจริงถือว่าเป็นประสบการณ์ ทางออ้ ม 2) ระบบค่านิยมและการตัดสินค่านิยมที่หากแต่ละกลุ่มมีค่านิยมและการตัดสินค่านิยมไม่ เหมือนกัน ความคิดเหน็ ในส่งิ ต่าง ๆ ก็จะแตกต่างกันไปดว้ ย จากแนวคิดและทฤษฎีเก่ียวกับความคิดเห็นข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า ความคิดเห็น คือ การแสดงออกทางความรู้สึก ความเชื่อ ทัศนะ ที่เกิดจากประสบการณ์ การเรียนรู้ ตามสถานภาพ สถานการณ์ ของแตล่ ะบคุ คล ซึง่ อาจจะคล้ายหรือแตกต่างกับบุคคลอน่ื ได้

8 2.2 แนวคดิ และทฤษฎเี กีย่ วกบั บทบาท ความหมายของบทบาท นกั วชิ าการได้ให้ความหมายและหลักการเกีย่ วกับบทบาทไวอ้ ย่างหลากหลาย ดังน้ี พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546, หน้า 602) ให้ความหมายว่า การทาท่าตามบท, การราตามบท, โดยปริยายหมายความว่า การทาตามหน้าที่ท่ีกาหนดไว้ เช่น บทบาทของพ่อแม่ บทบาทของครู ถนอมชัย เวียงสิมา (2550, อ้างใน สุดารัตน์ บุญปัน, 2553, หน้า 6) บทบาท หมายถึง พฤติกรรมที่กระทาตามความคาดหวังของคนส่วนใหญ่ท่ียึดถึงเป็นมาตรฐาน โดยท่ีการกระทาน้ัน ขึ้นอยู่กับปทสั ถาน (Norm) ของสงั คมด้วย บทบาทจงึ เปน็ แบบความประพฤติแห่งบคุ คล งามพศิ สตั ย์สงวน (2537, หนา้ 61-76 อ้างใน ชาลิสา แดงทน, 2554, หน้า 12) กล่าวว่า บทบาท คือ พฤติกรรมท่ีคาดหวงั โดยกลมุ่ คนหรอื สงั คมวา่ ผู้ท่ีอยู่ในสถานภาพต่าง ๆ จะปฏิบัติอย่างไร เพื่อทาหน้าที่ให้คู่สัมพันธ์มีการกระทาระหว่างกันทางสังคมได้ รวมท้ังสามารถคาดการณ์พฤติกรรมที่ จะเกดิ ขึน้ เช่น พอ่ แม่ตอ้ งเล้ียงดลู กู สง่ เสยี ใหเ้ ลา่ เรยี น อบรมส่ังสอนใหค้ วามรคู้ วามเอน็ ดู เป็นต้น ชุดา จิตพิทักษ์ (2528, หน้า 61 อ้างใน ชัยรัตน์ จิตรอักษร, 2555, หน้า 19) มีความเห็น วา่ โดยท่วั ไปบทบาท อาจพจิ ารณาได้ 2 ความหมาย คอื 1) พิจารณาในด้านโครงสร้างทางสังคม บทบาท หมายถึง ตาแหน่งทางสังคมท่ีมีชื่อเรียก ตา่ ง ๆ ซ่งึ แสดงลกั ษณะโดยคณุ สมบตั ิและกิจกรรมของบคุ คลท่ีครองตาแหน่งนั้น 2) พิจารณาในด้านการกระทาต่อกันหรือปฏิสัมพันธ์ทางสังคม บทบาทจึงหมายถึง ผล สืบเน่อื งทมี่ แี บบแผนของการกระทาเกิดการเรียนรู้ของบุคคลที่อยูใ่ นสถานภาพการปฏสิ มั พนั ธ์นัน้ พทั ยา สายหู (2546, หนา้ 68 อ้างใน ชาลสิ า แดงทน, 2554, หน้า 12) ให้อธิบายบทบาท หนา้ ทไ่ี ว้วา่ เป็นสง่ิ ทที่ าให้เกิดความเป็นบุคคลและเปรียบได้เสมือน “บท” ของตัวละครที่กาหนดให้ผู้ แสดง ในละครเร่ืองนั้น ๆ เป็นตัว (ละคร) อะไร มีบทบาทต้องแสดงอย่างไร ถ้าแสดงผิดบทบาทหรือ ไม่สมบทบาท ก็อาจถูกเปล่ียนตัว ไม่ให้แสดงไปเลยในความหมายเช่นนี้ “บทบาท” ก็คือการกระทา ตา่ ง ๆ ท่ี “บท” กาหนดไว้ให้ผู้แสดงตอ้ งทาตราบใดที่ยงั อยใู่ น “บท” น้นั เลวินสัน (Danial J. Levinson, 1971 หน้า 11 อ้างใน ชาลิสา แดงทน, 2554, หน้า 7-8) ใหค้ วามหมายตามทฤษฎีไว้ 3 ประการ ดงั นี้ 1) บทบาท หมายถึง ปทัสถาน (Norms) ความคาดหวัง (Expectations) ข้อห้าม (Taboos) ความรับผิดชอบ (Responsibility) และอ่ืน ๆ ท่ีมีลักษณะในทานองเดียวกันซ่ึงผูกพันอยู่ กับตาแหน่งทางสงั คมท่ีกาหนดใหบ้ ทบาทตามความหมายน้ีคานึงถงึ ตวั บคุ คลน้อยทสี่ ดุ แต่มุ่งไปถึงการ ชีบ้ ่งถึงหนา้ ทอ่ี นั พงึ กระทา

9 2) บทบาท หมายถึง ความคิดเห็นของบุคคลผู้ดารงตาแหน่งเองท่ีคิด และปฏิบัติเพื่อดารง ตาแหนง่ น้ัน 3) บทบาท หมายถึง การกระทาของบุคคลแต่ละคน ที่จะกระทาโดยให้สัมพันธ์กับ โครงสร้างของสังคม หรอื แนวทางอนั บคุ คลพงึ กระทาเม่ือดารงตาแหน่งนั้น ๆ นัน่ เอง ประเภทของบทบาท สงวนศรี วิรัชชยั (2527, หนา้ 27 อา้ งใน ชาลิสา แดงทน, 2554, หน้า 10-11) ได้อธิบาย ไว้ว่า “ถ้าพิจารณาลักษณะของบทบาทที่ปรากฏอยู่ในสังคมให้ลึกซ้ึงแล้วจะพบบทบาทอยู่หลาย ลักษณะ ซงึ่ สรุปได้ดงั นี้ 1) บทบาทตามท่ีกาหนด (Prescribed Role) หมายถึง บทบาทท่ีสังคมกลุ่มหรือองค์กร กาหนดไว้ว่าเป็นรูปแบบของพฤติกรรมประจาตาแหน่งต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ในสังคม กลุ่มหรือองค์กรน้ัน ๆ เชน่ ข้อกาหนดทว่ี ่าขา้ ราชการตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามคาส่ังของผู้บังคบั บญั ชาท่ีสงั่ การโดยชอบ เป็นตน้ 2) บทบาททีผ่ ูอ้ ่นื คาดหวงั (Expected Role) หมายถึง บทบาทหรือรูปแบบของพฤติกรรม ที่ผ้เู ก่ยี วขอ้ งคาดหวงั วา่ ผู้อยู่ในตาแหน่งจะถอื ปฏิบัติ บทบาทท่ผี รู้ บั ความคาดหวังนม้ี ักจะสอดคล้องกับ บทบาทท่ีกาหนด แตใ่ นบางครง้ั บทบาทที่ผู้เกี่ยวข้องคาดหวังอาจจะไม่ตรงกับบทบาทที่กาหนดไว้ก็ได้ เพราะคนบางคนอาจมีการคาดหวงั มากกวา่ หรอื น้อยกว่าข้อกาหนดที่ตนไดร้ บั ทราบ 3) บทบาทตามความคิดของผู้อยู่ในตาแหน่ง (Subjective Role) หมายถึง รูปแบบของ พฤติกรรมทบ่ี ุคคลผู้อยู่ในตาแหน่ง คิด และเชื่อว่าเป็นบทบาทของตาแหน่งที่ตนดารงอยู่ เช่น ผู้บังคับ บัญชาคิดว่าตนมีหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ไม่ต้องใส่ใจกับปัญหาส่วนตัว ของผใู้ ต้บงั คบั บัญชา ดงั นัน้ บทบาทของผูอ้ ยใู่ นตาแหน่งอาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับบทบาท ทกี่ าหนด และอาจจะตรงหรอื ไม่ตรงกับบทบาทท่ีถกู คาดหวงั ก็ได้ 4) บทบาทที่ปฏิบัติจริง (Enacted Role) หมายถึง พฤติกรรมท่ีผู้อยู่ในตาแหน่งได้ปฏิบัติ หรือแสดงออกมาให้เห็น ซึ่งมักจะเป็นพฤติกรรมท่ีสอดคล้องกับบทบาทตามความคิดของเจ้าตัวผู้อยู่ ในตาแหน่ง แต่ก็อาจมีกรณีท่ีบุคคลแสดงพฤติกรรมการคาดหวังต่อผู้อื่นท้ัง ๆ ท่ีบทบาทนั้นไม่ตรงกับ บทบาทตามความคิดของตนกไ็ ด้ 5) บทบาทที่ผู้อื่นรับรู้ (Perceived Role) หมายถึง รูปแบบพฤติกรรมที่ผู้อ่ืนได้รับทราบ เกย่ี วกับการปฏิบัติบทบาทของผู้อยู่ในตาแหน่ง ซึ่งโดยธรรมชาติการรับรู้น้ันคนเราจะมีการเลือกท่ีจะ รับรู้ และอาจมีการรับรู้ท่ีผิดพลาดไปจากความเป็นจริงได้ด้วยอิทธิพลจากประสบการณ์และสถาน การณ์หลาย ๆ อย่าง ดังน้ัน เมื่อผู้อยู่ในตาแหน่งปฏิบัติบทบาท โดยแสดงพฤติกรรมอย่างหนึ่งผู้ที่ได้ พบเห็นอาจรับร้พู ฤติกรรมหรือบทบาทน้ันในทางที่แตกต่างกันไปและอาจแตกต่างไปจากบทบาทตาม ความคดิ ของผ้อู ยู่ในตาแหน่งดว้ ย

10 จักรรัช ธีระกุล (2542, หน้า 45-46) กล่าวถึง ประเภทของบทบาทมีองค์ประกอบดัง ต่อไปน้ี 1) ขอ้ บัญญัตขิ องสงั คม (Prescribed Role) หรือบทบาทอุดมคติ บทบาทอุดมคติจะกาหนด สิทธิและหน้าที่ให้กับตาแหน่งทางสังคม เช่น จะบอกให้ทราบถึงความคาดหวังต่อผู้เป็นพ่อและแม่ว่า สังคมมไี วอ้ ยา่ งไร เข้าพนั ธะตอ่ ใครอยา่ งไร และจะเรียกรอ้ งจากใครไดแ้ ค่ไหนเพยี งไร 2) บทบาทที่บุคคลเข้าใจ (Perceived Role) ซ่ึงจะข้ึนอยู่กับความเช่ือท่ีบุคคลเข้าใจว่าจะ ตอ้ งทาในตาแหน่งเฉพาะของเขา รวมทั้งการตีความสถานการณ์ของบุคคลเองซึ่งไม่จาเป็นจะต้องตรง กับบทบาทอุดมคติ ในทานองเดียวกันบุคคลซึ่งเราจะต้องติดต่อด้วยนั้นก็อาจแตกต่างกันในด้านแนว ความคิด ดังน้ัน ในการพิจารณาบทบาทที่บุคคลกระทาต่อกันนั้นไม่พึงสรุปเอาว่าบรรทัดฐานต่าง ๆ ของสงั คมน้นั จะไดร้ บั การยอมรบั หรอื เขา้ ใจจากบุคคลตา่ ง ๆ ไปในแนวเดยี วกนั 3) บทบาททเ่ี ป็นจริง (Actual Role) เป็นบทบาททบ่ี คุ คลลงมอื กระทาจริง ๆ ซงึ่ สิ่งที่บุคคล ปฏิบัติจริงนั้นอาจเกินเลยไปกว่าความเชื่อทางสังคม ความคาดหมายของคนอ่ืนหรือความเข้าใจของ บุคคลเอง แตข่ น้ึ กบั เงือ่ นไขของบุคลกิ ภาพเฉพาะตัว และประสบการณข์ องเขาเองดว้ ย Broom และ Selznick (1973, หน้า 36 อ้างใน จารุพร เพ็งสกุล, 2545, หน้า 13) ได้ จาแนกบทบาทออกเปน็ 1) บทบาทตามอุดมคติ (Ideal Role) เป็นบทบาทในอุดมคติท่ีมีการกาหนดสิทธิหน้าที่ ระบุเปน็ ลายลักษณ์อกั ษรหรือมีตวั บทกฎหมาย ระเบียบ กาหนดใหก้ ระทากิจกรรมในตาแหน่งหน้าที่ 2) บทบาทท่ีเป็นจริง (Performed Role) เป็นบทบาทท่ีบุคคลได้กระทาจริงซึ่งจะขึ้นกับ การสงั เคราะหจ์ ากความเชื่อ ความหวัง การรับรู้ และประสบการณ์ของผู้ที่เข้ามาดารงตาแหน่ง ท้ังยัง ตอ้ งพจิ ารณาถึงความกดดนั ขดี จากัด และโอกาสในแต่ละสังคม ในระยะเวลานน้ั ๆ ดว้ ย 3) บทบาทที่ควรปฏิบัติ (Perceived Role) เป็นบทบาทท่ีผู้ดารงตาแหน่งเช่ือหรือหวังว่า ควรกระทาตามตาแหน่งที่ได้รับ แต่ยังไม่ได้กระทา ซ่ึงอาจจะไม่เหมือนกับบทบาทในอุดมคติ (ไม่มีอยู่ ในระเบียบ, กฎหมาย) และบทบาทท่ีกระทาจริง นอกจากน้ีบทบาทที่ควรกระทายังขึ้นกับความแตก ต่างขององค์กร ความคดิ นกึ ประสบการณ์ และการรับรูข้ องผดู้ ารงตาแหนง่ แต่ละคนดว้ ย ดเิ รก พละเลิศ (2537, หน้า 25 อ้างใน จารพุ ร เพ็งสกุล, 2545, หน้า 32) ได้แบ่งประเภท ของบทบาทตามภารกิจและความรับผิดชอบของผูบ้ รหิ าร ไว้เปน็ 2 ประเภท คือ 1) บทบาทท่ีจาเป็นต้องกระทาหรือบทบาทตามกฎหมาย เป็นบทบาทท่ีเขียนไว้เป็นลาย ลักษณอ์ กั ษร จะมีปรากฏอยตู่ ามระเบียบ ขอ้ บังคับ คาส่ังต่าง ๆ ท่ีกาหนดให้ผู้ดารงตาแหน่งนั้น ๆ จา เป็นจะตอ้ งกระทาหรืองดเว้นกระทา ถา้ ไมก่ ระทาหรืองดเวน้ การกระทาจะต้องมคี วามผิด 2) บทบาทอันควรกระทา หรือบทบาทอันควรจะเป็น เป็นบทบาทที่กาหนดไว้ตาม กฎหมาย แต่องค์กรหรอื สังคมมุ่งหวังให้ผู้ดารงตาแหน่งน้ัน ๆ ควรปฏิบัติหรือควรกระทาแม้ว่าจะมิได้ กาหนดไวเ้ ป็นกฎหมายก็ตาม

11 3) บทบาทที่ควรปฏิบัติ (Perceived Role) เป็นบทบาทท่ีผู้ดารงตาแหน่งเชื่อหรือหวังว่า ควรกระทาตามตาแหนง่ ทไ่ี ดร้ ับ แตย่ ังไมไ่ ดก้ ระทา ซึ่งอาจจะไม่เหมอื นกับบทบาทในอดุ มคติ องค์ประกอบของบทบาท พัชนี วรกวิน (2522, หน้า 36 อา้ งใน เศกสรรค์ สุขแสง, 2553, หน้า 15) กล่าวว่า บทบาท ทม่ี ผี ลตอ่ พฤตกิ รรมจะมีองคป์ ระกอบอยู่ 3 ลักษณะ คอื 1) ส่วนประกอบท่ีเป็นไปตามกฎหมาย และข้อบังคับที่ปรากฏอยู่อย่างชัดเจน (Pivotal Attributes) ได้แก่ ส่วนของบทบาทท่ีกฎหมายและข้อบังคับกาหนดให้กระทาหรือปฏิบัติถ้าบุคคลท่ี รวมบทบาทตามตาแหน่งไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับท่ีปรากฏอย่างชัดเจนก็ถือว่า บคุ คลน้นั ไม่ได้แสดงบทบาทในตาแหน่งนน้ั 2) ส่วนประกอบที่ส่งเสริมบทบาท (Peripheral Attributes) ได้แก่ บทบาทท่ีแม้จะขาด หายไป หรอื มไิ ดแ้ สดงบทบาทน้กี ็ไมท่ าให้บทบาทท่ีต้องการแสดงผดิ ไป 3) ส่วนประกอบท่ีมีผลสาคัญต่อบทบาท และจะขาดมิได้ (Required Attributes) ได้แก่ สว่ นของบทบาทที่สาคัญถา้ ขาดส่วนนแ้ี ลว้ จะทาให้บทบาทของตาแหนง่ ผิดไป แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับบทบาท โคเฮน (Bruce J. Cohen อ้างใน ชาลสิ า แดงทน 2554, หน้า 6-7) ได้ให้ทฤษฎีของบทบาท ว่า บทบาท (Role) หมายถึง พฤติกรรมท่ีถูกคาดหวังโดยผู้อ่ืน สาหรับผู้ท่ีดารงตาแหน่งน้ันจะ ต้อง ปฏิบัติ การท่ีสังคมได้กาหนดเฉพาะเจาะจงให้เราปฏิบัติหน้าท่ีตามบทบาทใดบทบาทหนึ่งนั้น เรียกว่า เป็นบทบาทที่ถูกกาหนด ถึงแม้ว่าบุคคลบางคนจะไม่ได้ประพฤติตามบทบาทท่ีคาดหวังโดยผู้อ่ืน เราก็ ยังคงยอมรับว่าบุคคลจะต้องปฏิบัติไปตามบทบาทที่สังคมกาหนดให้ ส่วนบทบาทที่ปฏิบัติจริง เป็น วิธีการที่บุคคลได้แสดงหรือปฏิบัติออกมาจริง ตามตาแหน่งของเขา ความไม่ตรงกันของบทบาทท่ีถูก กาหนด กับบทบาทท่ีปฏบิ ตั จิ รงิ นัน้ อาจมสี าเหตมุ าจาก 1) บุคคลขาดความเขา้ ใจในสว่ นของบทบาทท่ตี ้องการ (Lack of understanding) 2) ความไมเ่ หน็ ด้วย (Not to conform) หรือไมล่ งรอยกบั บทบาททถี่ ูกกาหนด 3) บุคคลไมม่ ีความสามารถ (Ability) ทจ่ี ะแสดงบทบาทน้ันได้อยา่ งมีประสทิ ธผิ ล นิตย์ ประจงแต่ง (2548, หน้า 23) ได้รวบรวมทฤษฎีบทบาทและได้อธิบายโดยสรุปในแต่ ละทฤษฎีไว้ ดังตอ่ ไปนี้ 1) ทฤษฎีของลินตัน (Linton) ลินตันให้แนวคิดเกี่ยวกับสภาพหรือฐานะ (Status) และ บทบาท (Role) ไว้ว่า สถานภาพเป็นนามธรรมหรือตาแหน่งซึ่งฐานะจะเป็นตัวกาหนดบทบาทของ ตาแหน่งนั้นว่ามีภารกิจและหน้าที่อย่างไร ดังน้ัน เม่ือมีตาแหน่งสิ่งท่ีตามมาคือบทบาทของตาแหน่ง ซงึ่ ทกุ ตาแหนง่ ต้องมีบทบาทกากับ 2) ทฤษฎีของเพียร์สัน (Pearson) เพียร์สันกล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในสังคม ทาให้มนุษย์ต้องเพิ่มบทบาทพิเศษของแต่ละบุคคลซึ่งคนในสังคม มีความจาเป็นท่ีต้องติดต่อสัมพันธ์

12 กนั ตอ้ งมคี วามสนใจกันเปน็ พิเศษและใหค้ วามเห็นว่าสภาพสังคมในโรงเรียนจะประกอบด้วย ครูใหญ่ ครู นักเรียน ซง่ึ ตอ้ งติดต่อสัมพันธก์ ันและมีความสนใจกันเป็นพเิ ศษ 3) ทฤษฎีของฮอร์แมนส์ (Homan) ฮอร์แมนส์กล่าวว่า ตาแหน่งเป็นสาระของพฤติกรรม สัมพันธ์บุคคลจะปฏิบัติอย่างไรก็ต่อเมื่อเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ตนเองและคิดเสมอว่าตาแหน่งเป็น เพียงปัจจัยท่ีกระตุ้นให้บุคคลเกิดการกระทาหรือแสดงพฤติกรรมเท่าน้ัน ดังน้ัน บุคคลจะเปลี่ยน บทบาทไปตามตาแหนง่ หน้าท่ที ไี่ ด้รบั มอบหมายจากสังคม ฑิตยา สุวรรณชฎ (2527 หน้า 43 อ้างใน เศกสรรค์ สุขแสง, 2553, หน้า 14) ได้สรุป ฐานะตาแหนง่ และบทบาทของบุคคลไว้ ดังน้ี 1) มฐี านะตาแหนง่ อยู่จรงิ ในทุกสังคม และมีอยู่ก่อนตัวตนจะเข้าไปครอง 2) มบี ทบาททคี่ วรจะเป็น (Ought-to-be-role) ประจาอยู่ในแตล่ ะตาแหนง่ 3) วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และประเพณีในสังคมนั้น ๆ เป็นส่วนสาคัญส่วนหนึ่งในการ กาหนดฐานะตาแหน่งและบทบาททคี่ วรจะเปน็ 4) การที่คนเราจะทราบถึงฐานะตาแหน่งและบทบาทนั้นได้มาจากสังคมกรณ์ (Sociali- zation) ในสังคมนั้น ๆ บทบาทท่ีควรจะเป็นนั้นไม่แน่นอนเสมอไปว่าจะเหมือนกับพฤติกรรมจริง ๆ ของคนท่ีอย่ใู นฐานะตาแหน่งนน้ั เพราะพฤตกิ รรมจริง ๆ นั้น เปน็ ผลของปฏิกิริยาของคนท่ีครองฐานะ ตาแหน่งท่ีมีต่อบทบาทท่ีควรจะเป็นกับบุคลิกภาพของตนเอง บุคลิกภาพของผู้ท่ีเข้ามาร่วมในพฤติ กรรมและเคร่ืองกระตุ้น (Stimulus) ท่ีมีอยู่ในเวลาและสถานที่ท่ีเกิดการติดต่อทางสังคมในสังคม มนุษย์ทุกคนกาลังแสดงบทบาทอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นการแสดงพฤติกรรมของบทบาทท่ีแตกต่างกัน ตามตาแหน่ง ท่ีแตกต่างกัน อัลพอร์ท (Allport, 1937 หน้า 186-188 อ้างใน พยุงศักด์ิ พลลุน, 2555, หน้า 10-11) ไดใ้ หแ้ นวคดิ เกี่ยวกับการแสดงบทบาทของบุคคลวา่ ข้ึนอยูก่ ับปัจจยั 4 ประการ คือ 1) ความคาดหวงั ในบทบาท (Role Expectation) เปน็ บทบาทตามความคาดหวังของผู้อ่ืน หรอื เป็นบทบาททีส่ ถาบนั องค์การ หรือกลุ่มสังคมคาดหวังให้บุคคลปฏิบัติตามสิทธิหน้าที่ท่ีบุคคลน้ัน ครองตาแหนง่ 2) การรบั รู้บทบาท (Role Conception) เป็นการรบั รูใ้ นบทบาทของตนว่าควรจะมองเห็น บทบาทของตนเองไดต้ ามการรบั รู้นั้น (pole Conception) ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความต้องการของ บุคคลนั้นเอง ทั้งน้ีการรับรู้ในบทบาทและความต้องการของบุคคลน้ันขึ้นอยู่กับลักษณะพื้นฐานส่วน บคุ คล ตลอดจนเป้าหมายในชวี ติ และคา่ นยิ มของบุคคลที่สวมบทบาทนนั้ 3) การยอมรับบทบาทของบุคคล (Role Acceptance) ซึ่งเกิดขึ้นได้เมื่อมีความสอดคล้อง กันของบทบาทตามความคาดหวังของสังคมและบทบาทท่ีตนเองรับรู้อยู่ การยอมรับบทบาทนี้เป็น เรื่องเก่ียวกับความเข้าใจในบทบาทและการส่ือสารระหว่างสังคมและบุคคลนั้น ท้ังน้ี เพราะว่าบุคคล ไมไ่ ดย้ ินดียอมรับบทบาทเสมอไป แม้ว่าจะได้รับการคดั เลือก หรือถูกแรงผลักจากสังคมให้รับตาแหน่ง

13 และบทบาทหน้าที่ปฏิบัติก็ตาม เพราะถ้าหากว่าบทบาทที่ได้รับน้ันทาให้ได้รับผลเสียหายหรือเสีย ผลประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าขัดแย้งกับความต้องการ หรือค่านิยมของบุคคลนั้น ผู้ครอง ตาแหนง่ นนั้ อยกู่ ็พยายามหลีกเลี่ยงบทบาทน้ัน ไมย่ อมรบั บทบาทน้ัน ๆ 4) การปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ของบุคคล (Role Performance) เป็นบทบาท ท่ี เจ้าของสถานภาพแสดงจริง (Actual Role) ซึ่งอาจจะเป็นการแสดงบทบาทตามที่สังคมคาดหวัง หรือ เปน็ การแสดงบทบาทตามการรบั รู้ และตามความคาดหวงั ของตนเอง การที่บุคคลจะปฏิบัติตามบทบาท หน้าท่ีได้ดีเพียงใดน้ัน ขึ้นอยู่กับระดับการยอมรับบทบาทนั้น ๆ ของบุคคลท่ีครองตาแหน่งอยู่ ซ่ึง เน่ืองมาจากความสอดคล้องกันของบทบาทตามความคาดหวงั ของสงั คมและการรับรู้บทบาทของตนเอง พวงเพชร สุรัตนกวกี ล (2542, หน้า 65-66) ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับบทบาทว่า บทบาทเป็น รปู ธรรม เหน็ ไดจ้ ากการกระทาทแี่ สดงออกมา บทบาทมี 3 ดา้ น คอื 1) บทบาทในอุดมคติ (Ideal Role) ได้แก่ บทบาทอันกาหนดไว้ตามความคาดหวังของ บุคคลทั่วไปในสังคมเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ เป็นแบบฉบับที่สมบูรณ์ ซึ่งผู้ที่มีสถานภาพ นน้ั ๆ ควรกระทา แต่อาจมใี ครท่ีทาหรือไม่มใี ครทาตามน้ันก็เปน็ ได้ 2) บทบาทท่ีบุคคลเข้าใจหรือรับรู้ (Perceived Role) เป็นบทบาทอันบุคคลคาดคิดด้วย ตนเองว่าควรเป็นอย่างไร ทั้งนี้จะข้ึนอยู่กับทศนคติ ค่านิยม บุคลิกภาพ และประสบการณ์ของแต่ละ บคุ คลดว้ ย 3) บทบาทที่แสดงออกจริง (Actual Role) เป็นการกระทาท่ีบุคคลปฏิบัติจริง ขึ้นอยู่กับ เหตุการณเ์ ฉพาะหนา้ ในขณะน้นั ด้วย ทาให้การแสดงบทบาทแตกตา่ งกนั ไป จากแนวคดิ และทฤษฎีบทบาทข้างตน้ ผู้วิจยั สรุปได้ว่า บทบาท คือ พฤติกรรมที่มนุษย์แสดง ออกมาตามสถานภาพ สถานการณ์ ของแต่ละบุคคล ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามความคิดความเช่ือ ประสบการณ์ และสภาพแวดล้อมของสังคมในขณะนนั้ 2.3 แนวคดิ และทฤษฎที ีเ่ ก่ยี วกบั การเมอื ง ความหมายของการเมือง สมบัติ ธารงธัญวงศ์ (2539, หน้า 3-5) ได้กล่าวว่า การเมือง (Politic) ขึ้นอยู่กับกระบวน การหล่อหลอมขัดเกลาทางสังคม (socialization process) ของแต่ละบุคคล บุคคลที่เติบโตภายใต้ สิ่งแวดล้อมของสังคมอานาจนิยม อาจเห็นว่าการเมืองเป็นเร่ืองของชนชั้นผู้ปกครองเป็นภาระหน้าที่ ของผปู้ กครองทต่ี อ้ งใชอ้ านาจ เพ่อื ปกครองประเทศ เพ่อื สรา้ งความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ เพื่อ ระดมทรัพยากรในการพัฒนาประเทศ และเป็นหน้าท่ีของประชาชนผู้อยู่ใต้การปกครองท่ีจะต้องเช่ือ ฟังและปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายที่ผู้ปกครองบัญญัติ ด้วยเหตุนี้การเมืองจึงหมายถึง การ จัดสรรอานาจเพ่ือประโยชน์สุขของประชาชน

14 ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2517, หน้า 61) กล่าวว่า การเมืองเป็นเร่ืองเก่ียวกับรูปของรัฐและ การจัดระเบียบความสัมพันธ์ภายในรัฐระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง โดยเมื่อสังคมมนุษย์ยังมี ความจาเป็นทีจ่ ะต้องมรี ัฐบาล คนเราจึงต้องแบ่งออกเป็นสองพวกใหญ่ ๆ คือ ผู้ที่ทาหน้าท่ีบังคับกับผู้ ถูกบงั คับเสมอ ณรงค์ สินสวัสด์ิ (2539, หน้า 3) กล่าวว่า การเมืองเป็นการต่อสู้ช่วงชิง การรักษาไว้และ การใช้อานาจทางการเมือง โดยที่อานาจทางการเมือง หมายถึง อานาจในการท่ีจะวางนโยบายในการ บริหารประเทศหรอื สังคม อานาจที่จะแต่งต้งั บุคคลเพอื่ ชว่ ยในการนานโยบายไปปฏิบัติ และ อานาจที่ จะใชข้ า้ ราชการ งบประมาณหรอื เครื่องมืออ่ืน ๆ ในการนานโยบายไปปฏบิ ตั ิ วัฒนธรรมทางการเมอื ง Thomson (1940 อ้างใน อสิตรา รัตตะมณี, หน้า 27-29) สรุปไว้ว่า 1) ต้องมีความต้อง การการปกครองระบอบประชาธิปไตย 2) ต้องเคารพกติกาการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย 3) สนใจการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองการปกครอง 4) ยอมรับในความเสมอภาคของบุคคล 5) การไม่ยอมรับว่าการใช้อานาจคือธรรม แต่ธรรมคืออานาจ 6) ต้องคานึงถึงสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น 7) การรู้จักวิพากษ์วิจารณอ์ ย่างมีเหตุผล 8) มองโลกในแง่ดี ไวว้ างใจผู้อ่นื และ 9) ตอ้ งมีความสานึกใน หน้าท่พี ลเมืองเมืองของตน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (2550, หน้า 18-20) ได้อธิบายสรุป ลักษณะทาง วัฒนธรรมทางการเมืองไทยว่ามี ลักษณะ 1) ความยึดมั่นในตัวบุคคลมากกว่าหลักการหรือเหตุผล 2) ความยกย่องผู้ที่มีความรู้หรือมีเกียรติสูง 3) ความเคารพและคล้อยตามผู้มีวัยวุฒิสูง 4) ความนิยม เรื่องเงินคือแก้วสารพัดนึก เงินซื้อได้ทุกอย่าง และเงินคือพระเจ้า 5) ความรักความอิสระ 6) ความ นยิ มในอานาจเป็นลักษณะอานาจนิยม 7) ความเชื่อในโชคลางของคลังและไสยศาสตร์ 8) ความนิยม การเล่นพรรคเล่นพวก 9) เฉ่ือยชาและความไม่กระตือรือร้นในทางการเมือง 10) นิยมระบบเจ้านาย กบั ลูกน้อง 11) มีการจัดลาดับฐานะในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 12) ยึดมั่นในประเพณีด้ังเดิม 13) ขาดความเชือ่ ม่ันในตนเอง มองโลกแงร่ ้าย ขาดความไวว้ างใจผู้อน่ื และ 14) รักสงบและประนีประนอม จากแนวคิดและทฤษฎีที่เก่ียวกับการเมืองข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า การเมือง คือ การใช้ อานาจในการปกครอง โดยมีความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง เพ่ือรักษาความสงบ เรยี บรอ้ ย ทงั้ สองฝ่ายจงึ ควรเคารพในกตกิ าในการปกครอง 2.4 แนวคิดและทฤษฎที เ่ี กยี่ วกับการมสี ว่ นร่วมทางการเมอื ง ความหมายของการมีสว่ นรว่ มทางการเมือง จรูญ สุภาพ (2527, หน้า 333 อ้างใน ชิตชนก สมประเสริฐ, หน้า 23) ให้ความหมายว่า การเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองนั้น ประชาชนมีส่วนร่วมในการกาหนดนโยบายในการตัดสินใจและ

15 กิจกรรมต่าง ๆ ของรัฐบาลในทางการเมือง หรือการเข้าไปมีส่วนร่วมของประชาชนในคณะรัฐบาล เช่น การเขา้ เป็นรัฐบาล การมีอิทธพิ ลตอ่ รัฐบาล การแสดงความคดิ เหน็ ในทางการเมือง ทิพาพร พิมพิสุทธ์ิ (2542, หน้า 133-134) ได้ให้ความหมายของการเข้าร่วมทางการเมือง ว่า หมายถึง การมีสว่ นร่วมในการกระทา (Activity) ของแต่ละบุคคลซ่ึงมีอิทธิพลต่อการตัดสินนโยบาย ของรัฐบาลเรียกว่า Autonomous Participation และการมีส่วนร่วมซ่ึงมีอิทธิพลต่อการตัดสิน นโยบายโดยทางออ้ มนอกเหนือจากแต่ละบุคคลโดยตรงแลว้ เรียกวา่ Mobilized participation ณรงค์ สนิ สวสั ดิ์ (2539, หนา้ 123) กล่าวถงึ ความหมายของการมีสว่ นร่วมทางการเมืองว่า หมายถึง บุคคลที่สนใจการเมือง มีความเข้าใจการเมือง เช่ือว่าตนเองมีประสิทธิภาพทางการเมือง มี ความศรัทธาในกระบวนการทางการเมอื ง และตัวนักการเมือง และคิดว่าการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการ เมอื งเป็นหนา้ ทีข่ องตน เป็นคนทม่ี คี วามสามารถในการเข้าสงั คม และเปน็ คนทีม่ ีหวังในชวี ิต ชูวงศ์ ฉายะบุตร (2539, หน้า 8) กล่าวว่า การมีส่วนร่วมทางการเมือง มีความหมายไปถึง การให้ความร่วมมอื ซ่ึงถือเปน็ การสนับสนนุ ต่อระบบการเมือง นน่ั คือการมีระเบียบวินัยเคารพกฎหมาย ร่วมกับเจ้าหน้าท่ีรัฐบาล การให้ความสนับสนุน เป็นทางหนึ่งที่จะลดปัญหา ในการปกครองและการ บริหาร การให้ความร่วมมือในการเสียภาษีเป็นอีกทางหน่ึง ซึ่งนับว่าเป็นการมีส่วนร่วมโดยอ้อม ซึ่งจะ ทาใหไ้ มเ่ กดิ ปัญหา จนกลายเป็นประเดน็ ทางการเมืองต่อไป ภูสิทธ์ ขันติกุล (2553, หน้า 12 อ้างใน สีซาริสมี วาแม, 2558, หน้า 7-8) ได้รวบรวม ความหมายของการมีส่วนรว่ มทางการเมืองไว้ในหลายลักษณะต่าง ๆ ใน 10 ประการ ไดแ้ ก่ 1) การเข้าร่วมทางการเมือง คือ การกระทาในรูปแบบการสนับสนุนหรือเป็นการกระทา เพ่อื เรียกร้องต่อรฐั บาล (Support and Demand) 2) การเข้าร่วมทางการเมือง คือ พยายามเพื่อก่อให้เกิดสัมฤทธิผลในการใช้อิทธิพล (Influence) ตอ่ การปฏิบตั ิงานของรฐั บาลหรือการเลอื กสรรผูน้ ารัฐบาล 3) การเข้าร่วมทางการเมือง คือ การกระทาที่ถูกต้องตามกฎหมายของพลเมือง (Legiti- mate) 4) การเข้ารว่ มทางการเมือง คือ การกระทาที่มตี วั แทนทางการเมือง (Representation) 5) การเข้าร่วมทางการเมือง คือ สภาพท่ีบุคคลไม่ต้องการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมทางการ เมือง (Alienation) เพราะเห็นว่า การเข้ามามีส่วนร่วมนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับตัวเองซึ่งแตก ตา่ งจากการเฉยเมยทางการเมือง (Apathy) เป็นการขาดความสนใจตอ่ การเมืองทัง้ สิ้น 6) ผู้ท่ีเข้าร่วมทางการเมือง หมายถึง ผู้กระตือรือร้น (Active) หรือผู้ที่มีความต่ืนตัวทาง การเมืองเป็นพิเศษ (Activists) เช่น ผู้ที่สมัครเข้ารับการเลือกตั้ง การเป็นสมาชิกพรรคการเมือง การ รว่ มประชุมทางการเมือง และการให้ความสนใจตอ่ ปญั หาสาธารณะ นอกจากน้ันยังรวมถึงการเข้าร่วม ทางการเมืองในระดับต้น ๆ ได้แก่ การไปใช้สิทธิ์เลือกต้ัง ซึ่งถือเป็นการกระทาท่ีมีแรงจูงใจน้อยมาก

16 หรือการไมไ่ ด้ไปใช้สทิ ธิเ์ ลือกตง้ั แต่มีการพดู คยุ กบั เพ่ือนบ้านในเร่ืองเกี่ยวกับการเมือง การแสดงความ คิดเห็น และการแสดงประชามติทางการเมือง รวมทั้งการให้ความสนใจติดตามข่าวสารทางการเมือง จากส่ือมวลชน 7) การเข้าร่วมทางการเมือง คือ การกระทาท่ีมีต่อเน่ืองอยู่ตลอดเวลาซ่ึงเป็นกิจกรรมที่มี ความเป็นสถาบัน และมีการจัดตั้ง นอกจากน้ัน ยังรวมไปถึงการกระทาท่ีเป็นคร้ังคราว ซึ่งเกิดข้ึนมา อยา่ งทันทที ันใด และบบี ค้ันความรนุ แรง เช่น การจลาจล การยกพวกตีกัน การรวมกลุ่มและการลอบ ฆ่านกั การเมอื ง 8) การเข้าร่วมทางการเมือง คือ การกระทาท่ีเป็นความพยายามในการท่ีจะเข้ามามีอิทธิพล เหนอื การปฏบิ ัติการของราชการ (Bureaucratic Actions) และนโยบายสาธารณะ (Public Policy) 9) การเข้าร่วมทางการเมือง คือ การกระทาท่ีมีผลต่อการเมืองในระดับชาติ (National Politics) และการเมืองในระดบั ทอ้ งถน่ิ 10) การเข้าร่วมทางการเมืองคือการกระทาทางการเมือง (Political Action) แต่ในขณะ เดียวกัน แต่ละสังคมมีการกระทาทางการเมืองแตกต่างกันออกไป ตามบริบทของสังคมน้ัน ๆ เช่นว่า ในสังคมหน่ึงถือว่าการมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นการกระทาที่เกิดจากความสมัครใจไม่ว่าจะประสบ ผลสาเร็จหรือไม่กต็ าม หรอื อาจเกดิ ขน้ึ เพียงบางครงั้ คราวหรือต่อเน่ือง ภิรดี ลี้ภากรณ์ (2554, หน้า 19 อ้างใน สีซาริสมี วาแม, 2558, หน้า 8) ได้ให้ความหมาย การมีส่วนรว่ มของชุมชนว่า สมาชกิ ของชุมชนต้องเขา้ มามีสว่ นเกย่ี วข้องใน 4 มติ ิ ไดแ้ ก่ 1) การมีส่วนรว่ มการตดั สินใจวา่ ควรทาอะไรและทาอยา่ งไร 2) การมสี ่วนรว่ มเสียสละในการพฒั นารวมทั้งลงมือปฏิบตั ิตามที่ไดต้ ัดสินใจ 3) การมสี ว่ นร่วมในการแบ่งปันผลประโยชน์ท่เี กดิ ขึน้ จากการดาเนนิ งาน 4) การมีส่วนรว่ มในการประเมินผลโครงการโดยสร้างโอกาสให้สมาชิกทุกคนของ ชุมชนได้ เข้ามามีส่วนร่วมช่วยเหลือและเข้ามามีอิทธิพลต่อกระบวนการดาเนินกิจกรรมในการพัฒนา รวมถึง ไดร้ บั ผลประโยชน์จากการพฒั นานนั้ อย่างเสมอภาค จรญั ญา บรรเทงิ (2548, อา้ งใน สซี าริสมี วาแม, 2558, หน้า 8-9) ให้ความหมายของการ มสี ว่ นรว่ มวา่ “เป็นการเกี่ยวขอ้ งในดา้ นจิตใจและอารมณ์ความรู้สึกของบุคคลในสถานการณ์กลุ่มที่จะ กระตนุ้ ใหเ้ กิดการสร้างสรรค์ที่จะกระทาในสิ่งท่ีบรรลุเป้าหมายของกลุ่ม และแบ่งความรับผิดชอบกัน ระหวา่ งสมาชกิ ในกลมุ่ ทาใหเ้ กดิ การมีส่วนร่วม” ปยิ ะฉตั ร พ่งึ เกียรตริ ัศมี (2547, หน้า 10 อ้างใน สีซาริสมี วาแม, 2558, หน้า 9) กล่าวว่า การมสี ว่ นร่วมทางการเมอื ง คือ กจิ กรรมตา่ ง ๆ โดยสมัครใจ ซ่งึ สมาชกิ ในสังคมมีส่วนรว่ มโดยตรงหรือ โดยอ้อมในการเลือกผู้ปกครองประเทศ การกาหนดนโยบายสาธารณะ การลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง การติดตามข่าวสาร การอภิปราย การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การเข้าร่วมประชุม การบริจาคเงิน

17 และการตดิ ตอ่ กบั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรลักษณะการกระตือรือร้นของการเข้ามามีส่วนร่วมทางการ เมืองอาจพิจารณาได้จากการสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการ การลงคะแนนเสียง ตามบัญชี การเขยี นและกล่าวสุนทรพจน์ การรณรงค์หาเสียง การแข่งขันกันเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ ไม่รวมถงึ กจิ กรรมท่ีไมส่ มัครใจ เช่น การเสยี ภาษี การเป็นทหาร และหน้าท่ี ด้านตลุ าการ Wiener (1971, หน้า 161-163 อ้างใน ชิตชนก สมประเสริฐ, 2558, หน้า 23) ได้รวบรวม ความหมายของการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยสรุปว่า หมายถึง การปฏิบัติโดยสมัครใจใด ๆ (any voluntary action) ท่ีบรรลุผลสาเร็จหรือไม่มีการจัดองค์การ อาจจะเกิดข้ึนเป็นครั้งคราว หรือ ต่อเน่ืองหรือไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ก็ตาม โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะใช้อิทธิพล ต่อการ ใช้นโยบายสาธารณะ การบริหารนโยบายสาธารณะ และการเลือกผู้นาทางการเมืองในระดับต่าง ๆ ทั้งในท้องถิน่ และระดบั ชาติ โคเฮนและอัฟฮอฟ (Cohen and Uphoff. 1981, หน้า 6 อ้างใน ภิรดี ล้ีภากรณ์, 2554, หนา้ 19) ไดใ้ หค้ วามหมายการมีส่วนร่วมของชุมชนว่า สมาชิกของชุมชนต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องใน 4 มติ ิ ได้แก่ 1) การมสี ว่ นรว่ มการตัดสินใจวา่ ควรทาอะไรและทาอย่างไร 2) การมสี ว่ นร่วมเสียสละในการพัฒนารวมทงั้ ลงมือปฏิบัติตามที่ได้ตดั สินใจ 3) การมีสว่ นร่วมในการแบ่งปันผลประโยชน์ทเี่ กดิ ขน้ึ จากการดาเนนิ งาน 4) การมีส่วนร่วมในการประเมินผลโครงการโดยสร้างโอกาสให้สมาชิกทุกคนของชุมชนได้ เข้ามามีส่วนร่วมช่วยเหลือและเข้ามามีอิทธิพลต่อกระบวนการดาเนินกิจกรรมในการพัฒนา รวมถึง ได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนานนั้ อย่างเสมอภาค McClosky (1968, หน้า 252 อ้างใน ชิตชนก สมประเสริฐ, 2558, หน้า 22-23) ให้ความ หมายของการมีส่วนร่วมทางการเมืองไว้ว่าคือ กิจกรรมต่าง ๆ ท่ีกระทาโดยการสมัครใจซึ่งสมาชิกใน สงั คมมสี ว่ นร่วมโดยทางตรง หรือทางออ้ มในการเลือกผทู้ าหน้าที่ปกครองประเทศการกาหนดนโยบาย สาธารณะการลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง การติดตามข่าวสาร การอภิปรายการแลกเปล่ียนความคิดเห็น การเขา้ ร่วมประชุม การบรจิ าคและการตดิ ต่อกบั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ลักษณะความกระตือรือร้น ของการเข้าไปมีส่วนรว่ มทางการเมือง อาจพิจารณาได้จากการสมคั รเข้าเปน็ สมาชกิ การเมืองอย่างเป็น ทางการ การลงคะแนนเสียงตามบัญชี การกล่าวสุนทรพจน์การเขียนบทความ การรณรงค์หาเสียง การแข่งขันเป็นเจ้าหน้าที่ พรรคหรือเจ้าหน้าท่ีรัฐท้ังน้ี ไม่รวมถึงกิจกรรมท่ีไม่สมัครใจ เช่น การเป็น ทหาร การเสียภาษี สจุ ิต บุญบงการ (2531, หนา้ 333 อา้ งใน ชยั พจน์ จาเริญนติ ิพงศ์, 2557, หน้า 30) กล่าว ว่า การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง กิจกรรมที่บุคคลมีจุดประสงค์เพื่อมีอิทธิพลในกระบวนการ ตดั สนิ ใจของรฐั บาล

18 Weiner (1971, หนา้ 154 อา้ งใน ชัยพจน์ จาเริญนิติพงศ์, 2557, หน้า 30) นักรัฐศาสตร์ ชาวอเมริกัน ได้รวบรวมความหมายของคาว่า “การมีส่วนร่วมทางการเมือง” ท่ีนักรัฐศาสตร์หลาย ท่านได้ใหไ้ วร้ วม ความหมายเดยี วกนั คือ 1) การกระทาท่สี นบั สนนุ หรือเรยี กร้องต่อคณะผู้ปกครอง 2) ความพยายามที่จะให้เกิดผลสาเร็จในการใช้อิทธิพลต่อการปฏิบัติการของรัฐบาลหรือ ในการเลือกผู้นาในคณะรฐั บาล 3) การกระทาท่ถี ูกตอ้ งตามกฎหมาย และไดร้ บั การยอมรับว่าชอบธรรม 4) การกระทาทมี่ ตี วั แทน 5) ความเบ่ือหน่ายที่จะเข้าไปเก่ียวข้องเพราะรู้สึกว่าการเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ทาให้เกิดผล อะไรขึน้ มา 6) ความกระตอื รือรน้ ท่จี ะเขา้ ไปเก่ียวขอ้ งหรือพวกกระตือรือร้นท่จี ะทา 7) การกระทาท่ี “ต่อเน่ืองอย่างคงเส้นคงวา” ซึ่งอาจจะเป็นการจัดการอย่างเป็นสถาบัน หรอื กระทาการในลักษณะทป่ี ระทุข้ึนมาทันทีทันใด เช่น การกอ่ จลาจล 8) การกระทาที่มุ่งต่อการเลือกผู้นาทางการเมือง มุ่งท่ีจะมีอิทธิพลต่อนโยบายสาธารณะ หรือเปน็ ความพยายามทีจ่ ะมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การกระทาตา่ ง ๆ ของหน่วยราชการ 9) การกระทาที่เปน็ กจิ กรรมอันมีผลกระทบต่อการเมืองระดบั ชาติเท่านัน้ 10) การกระทาทเี่ ปน็ “การกระทาทางการเมือง” จากความหมายทั้ง 10 ประการน้ี เวนเนอร์ได้นามาสรุปว่าการมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง การกระทาโดยความสมัครใจใด ๆ ซ่ึงไม่ว่าจะเป็นผลสาเร็จหรือไม่ มีการจัดการองค์การ หรือไม่ เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวหรือต่อเน่ือง และใช้วิธีที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ก็ตาม โดยมุ่งที่จะ ไปมีอทิ ธพิ ลตอ่ นโยบายสาธารณะ การบรหิ ารนโยบายสาธารณะ และการเลือกผู้นาทางการเมือง ของ รฐั บาลทั้งในระดับทอ้ งถน่ิ และระดบั ชาติ เกษม อุทยานิน (2516, หน้า 120-121) ได้กล่าวถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองทางตรง ของประชาชนในปัจจุบันไวด้ งั น้ี 1) การแสดงประชามติ (Referendum) มีการให้ประชาชนน้ัน มีส่วนร่วมในการพิจารณา และการตัดสินใจที่จะรับหรือไม่รับกฎหมาย ซึ่งจะออกผลบังคับให้แก่คนที่ผ่านการพิจารณาของสภา เป็นขั้นต้นมาแล้ว ประชามติน้ี อาจจะมีท้ังแบบบังคับใช้ ประชาชนต้องแสดงประชามติและไม่บังคับ ให้ตอ้ งแสดงประชามตกิ ไ็ ด้ ขึน้ อยู่ว่าความจาเปน็ มากน้อยเพียงใด 2) การริเร่ิมให้เสนอกฎมาย (Initiative) ซ่ึงเกิดขึ้นในสวิสเป็นเวลามานานแล้ว ได้แก่ การ ชุมนุมของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเหมือนกับวิธีแบบประชุมชาวเมืองในสหรัฐอเมริกา แต่เป็นการเสนอ กฎหมายรูปการจะเป็นการทาคาร้อง และลงมติในบัตรเลือกตั้ง จุดประสงค์ของการริเริ่มให้เสนอ กฎหมายนี้ เพือ่ ให้ประชาชนไดผ้ ่านกฎหมายบางอยา่ ง ไม่ตอ้ งฟงั ความคดิ เหน็ ของสภา

19 3) การเลือกออกใหม่ (Recall) เปน็ การเปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนมีอานาจในการปลดอานาจ หน้าที่ของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลได้ เมื่อเห็นว่าผู้น้ันไม่ดาเนินการตามความต้องการของประชาชน หรือปฏบิ ตั ติ นไมส่ มควร แตจ่ ะตอ้ งเปน็ ตาแหน่งที่มาจากการเลือกต้ัง 4) การร่วมแสดงความคิดเห็นและร่วมตัดสินใจ (Plebiscite) เป็นการเปิดโอกาสให้ ประชาชนแสดงความคิดเห็นและร่วมตัดสินใจในปัญหาท่ีสาคัญ เม่ือรัฐบาลไม่สามารถตัดสินปัญหา น้ัน ๆ ได้ Milbrath (1971, หน้า 12-16 อ้างใน ชิตชนก สมประเสริฐ, 2558, หน้า 23) ได้จาแนก รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของพลเมืองไว้ 6 รูปแบบ คือ การเลือกตั้ง การเป็นเจ้าหน้าที่ พรรค และเจ้าหน้าที่ที่รณรงค์หาเสียง การเป็นผู้มีบทบาทในชุมชน การติดต่อกับ ทางราชการ การ เปน็ ผปู้ ระท้วงและการเป็นผสู้ ่อื ขา่ ว Hantington and Nelson (1976, อ้างใน ชัยพจน์ จาเริญนิติพงศ์, 2557, หน้า 31) ได้ จาแนกรูปแบบของ การเขา้ ไปมสี ่วนร่วมทางการเมืองในลกั ษณะคล้ายคลงึ กนั ดงั น้ี 1) กิจกรรมทางการเลือกต้ัง หมายถึง กิจกรรมการไปใช้สิทธิเลือกต้ังและการเข้าร่วม รณรงคห์ าเสียงในการเลือกต้งั ดว้ ย 2) การล็อบบี้ หมายถึง การเข้าหาเจา้ หน้าทห่ี รอื ผู้นาทางการเมอื ง เพ่ือหาทางไปมี อิทธิพล ตอ่ การกาหนดนโยบายของรฐั บาล โดยการใชข้ ้อมลู ตา่ ง ๆ เพ่อื ผลประโยชนข์ องกลุม่ เป็น เกณฑ์ 3) กิจกรรมองค์กร เป็นกิจกรรมทางการเมืองของกลุ่มองค์กรใด ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายท่ีจะ เขา้ ไปมอี ทิ ธิพลต่อประเด็นที่เกยี่ วกบั ผลประโยชน์เฉพาะหรืออาจจะเป็นผลประโยชนร์ วมกไ็ ด้ 4) การติดต่อ หมายถึง การเข้าหาเจ้าหน้าท่ีของรัฐ หรือ ข้าราชการเป็นการส่วนตัว โดย ปกติมงุ่ หวงั ผลประโยชน์ส่วนตัวหรือครอบครวั 5) การใช้กาลังรนุ แรง คอื กจิ กรรมทีพ่ ยายามจะสรา้ งผลกระทบตอ่ การตดั สนิ ใจในนโยบาย ของรัฐบาล โดยการทาร้ายร่างกายหรือทรัพย์สิน กิจกรรมน้ีอาจดาเนินไปโดยมีจุดมุ่งหมาย ที่จะ เปลี่ยนแปลงผู้นาทางการเมือง เช่น การทารัฐประหาร หรืออาจมุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงระบบ การเมือง เช่น การปฏิวตั กิ ็ได้ ศิริกลุ กสวิ ิวัฒน์ (2546, หน้า 21-22 อ้างใน ชัยพจน์ จาเริญนิติพงศ์, 2557, หน้า 31) ได้ ระบุถึงวิธกี ารทปี่ ระชาชนสามารถเข้ามามี สว่ นรว่ มทางการเมืองได้ ดว้ ยวิธีการดังนี้ 1) การใช้สิทธิออกเสียงเลือกต้ัง (Voting) ถือเป็นกระบวนการทางการเมืองที่สาคัญใน ระบอบประชาธปิ ไตย 2) การออกเสียงประชามติ (Referendum) เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมใน การตัดสนิ ใจเรือ่ งสาคัญ ๆ 3) การควบคมุ ตรวจสอบ และวิพากษว์ ิจารณ์การทางานของรัฐบาล

20 4) การมีส่วนร่วมในการปกครองท้องถ่ิน เป็นการที่รัฐบาลกลางได้กระจายอานาจให้ ประชาชนตามหลกั การปกครองตนเองในแต่ละพน้ื ท่ี 5) การมีกจิ กรรมรว่ มกบั พรรคการเมอื ง 6) การรวมตัวกนั เป็นกล่มุ อาชพี กลุ่มบาเพ็ญประโยชน์ กลุ่มตามความสนใจเพื่อ ช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน และสร้างพลังในการต่อรองด้วยเหตุผลอย่างสันติกับกลุ่มอ่ืน ๆ เพื่อให้ไม่มีการเอา เปรียบซง่ึ กันและกัน 7) การเป็นผู้มีบทบาทในชุมชน (Community activists) ซึ่งหมายถึง การต้ังกลุ่มเพื่อ แก้ไขปญั หาสงั คม หรือการร่วมมือกับกลุ่มต่าง ๆ ทีม่ ีอยู่แล้วเพอื่ เขา้ ไปมีบทบาทในการปรับปรุง ความ เป็นอยูข่ องชมุ ชนและกจิ กรรมสาธารณะ Weiner (1971, หน้า 154 อ้างใน ชัยพจน์ จาเริญนิติพงศ์, 2557, หน้า 32) ได้กาหนด องค์ประกอบของการมีสว่ นรว่ มทางการเมืองด้วยวา่ จะต้องอยู่ในกรอบ ดงั นี้ 1) จะต้องมีกิจกรรม เช่น มีการพูดคุย และการดาเนินการใด ๆ แต่ทั้งน้ีไม่รวมถึงทัศนคติ หรอื ความรูส้ กึ 2) กจิ กรรมการรณรงคห์ าเสียง เปน็ กจิ กรรมเชน่ เดยี วกับการไปใช้สทิ ธเิ ลือกต้ังแต่เป็นไปใน รูปแบบของการเข้าไปมีส่วนร่วมในการรณรงค์หาเสยี ง กจิ กรรมเหลา่ นี้เป็นสว่ นที่ประชาชนอาจใช้เพิ่ม อิทธิพลทีเ่ ขาพึงมจี ากผลของการเลือกต้งั 3) กิจกรรมชุมชน เช่น กิจกรรมของกลุ่ม หรือองค์การที่ราษฎรร่วมกันดาเนินการเพื่อ แก้ไขปัญหาทางการเมืองและสังคม กรณีท่ีราษฎรจะร่วมมือ เพื่อใช้อิทธิพลต่อการดาเนินงานของ รัฐบาล กิจกรรมในรูปแบบนเี้ ป็นไปอยา่ งมีเป้าหมายทแ่ี น่นอน และมอี ทิ ธิพลมาก 4) การติดต่อเฉพาะเรื่อง เป็นรูปแบบสุดท้ายของการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองและจะ เกี่ยวข้องกับราษฎรรายบุคคลไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือข้าราชการ เพ่ือแก้ไขปัญหาใด ๆ เฉพาะตัว หรือของครอบครัว กิจกรรมในรูปแบบน้ีมีอิทธิพลต่อการกาหนดนโยบายของรัฐบาล น้อยมาก พงษ์สวัสด์ิ อักษรสวาสดิ์ (2550, น.26 อ้างใน สีซาริสมี วาแม, 2558, หน้า 10) ได้ จาแนกรปู แบบการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งไว้ 6 รูปแบบดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ 1) การเลือกตง้ั (Voting) เป็นการมสี ่วนร่วมทางการเมืองที่สามารถแยกกิจกรรมท่ีเกี่ยวกับ การรณรงค์หาเสียงและกิจกรรมที่เก่ียวข้องกับพรรคการเมืองการไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นเพียง การแสดงออกของประชาชนถึงความจงรักภักดีต่อระบอบการเมืองมากกว่าเป็นการกระทาตามความ ต้องการของตนเป็นการไปทาตามความสานึกในหน้าที่พลเมืองดีมากกว่าท่ีจะเชื่อว่าการลงคะแนน เสยี งเลอื กต้งั นัน้ จะมผี ลทางการเมืองทแี่ ตกต่างกันออกไป

21 2) การเป็นเจา้ หน้าที่พรรคการเมืองและผู้รณรงค์หาเสียงเลือกต้ัง (Party and Campaign Workers) หมายถงึ การเข้ามีส่วนร่วมในพรรคการเมืองทั้งในช่วงระหว่างการเลอื กตั้ง และการรณรงค์ หาเสียง การบริจาคเงินช่วยเหลือผู้สมัครรับเลือกตั้ง การชักชวนประชาชนไปลงทะเบียนเพ่ือสิทธิใน การลงคะแนน การเข้าร่วมและสนับสนุนพรรคการเมือง การพยายามชักชวนให้ประชาชนลงคะแนน เสยี งแก่พรรคหรือผู้สมัครที่ตนขอ การลงสมัครรับเลือกตั้งการมีส่วนร่วมทางการเมืองนี้เป็นแบบแผน ของความสัมพันธ์ระหว่างปจั เจกชนกับรฐั 3) การเป็นผู้มีบทบาทในชุมชน (Community Activities) เป็นการก่อตั้งกลุ่มเพื่อแก้ไข ปัญหาสังคมหรอื รว่ มมอื กับกลุ่มต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วเพื่อเข้าไปมีบทบาทเก่ียวกับกิจกรรมสาธารณะหรือ ติดต่อกับทางราชการในเร่ืองปัญหาสังคมผู้มีบทบาทในชุมชนจึงนับว่าเป็นผู้ที่มีความกระตือรื อร้นสูง ตลอดจนมีระดบั ความผกู พันทางจติ ใจกบั ชุมชน 4) การตดิ ต่อกับทางราชการ (Contracting Officials) เปน็ กจิ กรรมท่เี น้นเฉพาะของบุคคล ซึ่งจะมีผลโดยตรงตอ่ บคุ คลนน้ั เองเทา่ น้ัน เชน่ การติดตอ่ กบั ทางราชการในเรื่องการเสียภาษี โรงเรียน การทาถนน การติดตอ่ ขอรบั สวสั ดกิ าร เปน็ ตน้ 5) การเป็นผู้ประท้วง (Protestors) ขอบเขตของกิจกรรมในการมีส่วนร่วมทางการเมือง รูปแบบนี้คือการเข้าร่วมเดินขบวนตามถนนหรือก่อให้เกิดจลาจล (ถ้าจาเป็น) เพ่ือบังคับให้รัฐแก้ไข บางสิ่งบางอย่างซึง่ เก่ียวข้องกบั การเมืองใหถ้ ูกต้องการประท้วงทเ่ี ปดิ เผยตอ่ สาธารณชน 6) การเป็นผู้ส่ือข่าวสารทางการเมือง (Communicators) ได้แก่ การติดต่อข่าวสารทาง การเมืองอยู่เสมอ การส่งข่าวสารแสดงการสนับสนุนให้แก่ผู้นาทางการเมืองเมื่อเขากระทาในส่ิงที่ถูก ต้องหรือส่งคาคัดค้านเมื่อเขากระทาในสิ่งท่ีเลวร้าย การร่วมถกปัญหาทางการเมือง การให้ข้อมูล ความรู้เกี่ยวกับการเมืองแก่เพ่ือนในชุมชน การให้ความสนใจแก่ทางราชการ และการเขียนจดหมาย หรือบทความถึงบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ผู้เข้าร่วมลักษณะนี้มักจะเป็นคนท่ีมีการศึกษาสูงมีข้อมูล เก่ียวกบั การเมอื งมากและมคี วามสนใจทางการเมืองมากด้วย การเป็นผู้ส่ือสารทางการเมืองเหล่าน้ีจะ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมากกว่าเจ้าหน้าท่ีพรรคการเมือง หรือผู้รักชาติ แต่จะไม่แสดงออกด้วยการ ประทว้ ง จากแนวคิดและทฤษฎีการมีส่วนร่วมข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า การมีส่วนร่วม คือ การที่ สมาชิกในกลุ่ม หรือผู้แทนกลุ่มเขา้ มามสี ว่ นร่วมในการตัดสินใจเร่ืองใดเรื่องหน่ึง หรือการร่วมกิจกรรม ในด้านต่าง ๆ เช่น การลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง การมีส่วนร่วมกับกิจกรรมทางการเมืองท้องถ่ิน การ เป็นผู้มีบทบาทในชุมชนการติดต่อกับราชการ และการเป็นผู้สื่อสารทางการเมือง เป็นต้น โดยมีอยู่ 2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ 1) การมีส่วนร่วมทางการเมืองตามที่กฎหมายรับรองซ่ึงเป็นการกระทาที่ไม่ผิด กฎหมายและได้รับการตราไว้ในกฎหมายอย่างถูกต้อง 2) การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ผิดกฎหมาย เป็นการชุมนุมท่ีมีอุดมการณ์ล้มล้างสถาบันใดสถาบันหนึ่ง โดยการมีส่วนร่วมทางการเมืองมักจะ

22 เป็นไปตามกลุ่มผลประโยชน์และลักษณะของการแสดงออก เช่น แสดงออกทางการพูด การเขียน การวิพากษว์ ิจารณ์ เป็นตน้ 2.5 แนวคดิ และทฤษฎีเกย่ี วกับการเลอื กต้งั พรศักด์ิ ผ่องแผ้ว (2522, หน้า 1-11 อ้างใน ชัยพจน์ จาเริญนิติพงศ์, 2557, หน้า 24) ได้ ช้ีใหเ้ ห็นถงึ หลกั การกาหนดทพ่ี ิจารณาลงคะแนน เสียงเลือกต้ังของประชาชนดงั นี้ 1) สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมกับปัจจัยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง พบว่า ผู้ลง คะแนนเสยี งที่มคี วามรู้ความสนใจทางการเมืองน้อย จะตัดสินใจลงคะแนนเสียงโดยไม่อิงกับ ทัศนคติ ท่ีมตี อ่ ประเด็นโดยนโยบายทางการเมอื ง ปัจจัยด้านชักจูงการระดมและอามิสสินจ้าง จะมี อิทธิพลต่อ การตัดสนิ ใจเลือกลงคะแนนเสยี งของกลุม่ น้โี ดยธรรมชาตคิ วามต้องการพน้ื ฐานท่ีจาเป็นของประชาชน ทั่ว ๆ ไปมี 2 ประการใหญ่ ๆ 1.1 ความต้องการพน้ื ฐานทีจ่ าเปน็ ทีต่ อบสนองทางด้านกายภาพ เป็นความจาเป็นที่ขาด มิได้ท่ีตอบสนองทางร่างกาย ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “ปัจจัยสี่” คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ท่ีอยู่ อาศยั ยารกั ษาโรค ซง่ึ พอเพียงต่อการยงั ชีพตามอตั ภาพ 1.2 ความต้องการพ้ืนฐานที่จาเป็นทางด้านจิตภาพ เป็นความจาเป็นท่ีสนองตอบ ทาง ด้านจิตใจ อารมณ์และความรู้สึก เช่น ความรัก ความผูกพัน ความเชื่อถือ ความมั่นคงปลอดภัย ใน ชวี ติ และทรพั ยส์ นิ การมสี ว่ นรว่ มในกิจกรรมต่าง ๆ การมีเพ่อื นฝูง การยอมรับซึ่งกันและกัน เกียรติยศ ชอ่ื เสียง และคุณภาพชวี ิตที่ดี เป็นตน้ 2) ความรู้สึกทางการเมืองกับปัจจัยการลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง พบว่าผู้ลงคะแนนเสียง เลอื กต้ังเกือบครึง่ หนง่ึ ใชเ้ กณฑ์ในการเลือกโดยคานึงถึงตัวผู้สมัคร ส่วนท่ีเหลืออย่างละครึ่งคละกัน ไป ระหว่างผสู้ มัครกบั พรรคการเมือง ปัจจัยที่มีผลต่อแบบแผนปัจจัยการลงคะแนนเสียงที่เห็นได้ ชัดเจน ได้แก่ อาชีพ การศึกษา และรายได้ ส่วนท่ีอยู่อาศัย และเพศน้ัน มีอิทธิพลที่ชัดแจ้งในบางกรณี ผู้ท่ีมี ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมตา่ มกั จะตดั สนิ ใจเลอื กในวันเลือกตั้ง ผู้ท่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจ และสังคม สงู มักจะตัดสนิ ใจไว้กอ่ นวนั เลือกตง้ั และไมเ่ ปลยี่ นแปลงการตัดสนิ ใจน้นั โดยงา่ ย 3) สภาพแวดล้อมของช่วงเวลากับปัจจัยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งพบว่าผู้ลงคะแนน เสียงประมาณหนึ่งในสี่เลือกผู้สมัคร โดยคานึงถึงความนิยมพรรคการเมืองเป็นเกณฑ์สาคัญ ส่วนอีก สามในส่ีนนั้ เปน็ อทิ ธพิ ลรว่ มของคุณสมบัตเิ ฉพาะตัวในดา้ นต่าง ๆ ของผู้สมัคร เช่น การเป็นคนท้องถ่ิน ที่มีศักยภาพท่ีจะช่วยเหลือท้องถิ่นได้ มีความรู้ความสามารถ แจกข้าวของเงินทอง และหาเสียงท่ี ประทับใจ เป็นต้น ผู้นาท้องถิ่นมีอิทธิพลต่อการชี้นาผู้ลงคะแนนเสียงท่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจ และ สังคมตา่ จากมากไปนอ้ ย ได้แก่ ผูใ้ หญบ่ า้ น เพอ่ื นฝูง ญาติพ่ีน้อง และครู ตามลาดับ

23 สุวิทย์ รุ่งวิสัย (2526, หน้า 71 อ้างใน ชัยพจน์ จาเริญนิติพงศ์, 2557, หน้า 25) พบว่า ประชาชนส่วนหนึ่งได้ไปลงคะแนนเสียงเพ่ือเป็น การแสดงออกด้วยปัจจัยทางการเมืองในระบอบ ประชาธปิ ไตยอนั เป็นการเลือกตัวแทนเข้าไปทาหน้าท่ีออกกฎหมาย และควบคุมการบริหารบ้านเมือง แทนตน ส่วนอีกกลุ่มหน่ึงไม่ได้คานึงถึง ระเบียบปฏิบัติในระบอบประชาธิปไตย แต่ไปออกเสียงเป็น การแลกเปลี่ยนกับค่าจ้าง ผลประโยชน์ และการยอมรับนับถือจากผู้อ่ืนแต่พวกหลังน้ีไม่มีมากเท่ากับ กลมุ่ แรกทีต่ อ้ งการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว (2527, หน้า 134 อ้างใน ชัยพจน์ จาเริญนิติพงศ์, 2557, หน้า 25) พบวา่ คนไทยไปลงคะแนนเสยี งเลอื กตั้งดว้ ยความ สานกึ วา่ เปน็ คนไทยมากกวา่ เพอ่ื แสดงออกซึ่งความ ตอ้ งการเปลี่ยนรัฐบาล หรอื ควบคุมรัฐบาลหรือ เพอื่ ให้คนท่ีตนพอใจเข้าไปทางาน คนส่วนใหญ่ยังเห็น ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าท่ีบทบาท เพียงเพ่ือเป็นปากเสียงแทนตนเท่าน้ัน การลงคะแนน เลือกต้ังจึงไม่ใช่เร่ืองที่เกิดจากความรู้สึกว่า ตนเองมีอิทธิพล มีอานาจ หรือมีสิทธิภาพทางการเมืองท่ี จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัว รัฐบาลในนโยบายของรัฐบาล หรือเพ่ือให้ผู้ท่ีตนสนับสนุน ได้รับเลือกตั้งเข้าไปทางาน การไปลงคะแนนเสียงเลือกต้ังเป็นเพียงเรื่องของการปฏิบัติหน้าท่ีของ พลเมอื ง ดังนั้น จึงมีโอกาสท่ีจะถูก ชักจูงไปลงคะแนนเสียงได้มากเป็นลักษณะของการมีส่วนร่วมทาง การเมืองแบบถูกระดม ซึ่งเห็น ได้จากอัตราการไปลงคะแนนเสียงของประชาชนในชนบทหรือต่าง จงั หวดั ซง่ึ มสี ูงกวา่ กรุงเทพฯ จากแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการเลือกต้ังข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า การเลือกต้ังเป็นการ แสดงออกถงึ เจตจานงตามอานาจอธปิ ไตยของตนเอง โดยอยู่ภายใต้ปัจจัยหลายอย่างของแต่ละบุคคล ทีจ่ ะนามาใชใ้ นการพจิ ารณาตดั สนิ ใจคัดเลือกบุคคล หรือพรรคการเมือง เช่น การได้รับข้อมูลข่าวสาร สภาพเศรษฐกิจและสังคม เปน็ ต้น 2.6 บทบาท อานาจหน้าทีข่ องคณะกรรมการหม่บู ้าน 2.6.1 ประวัติความเปน็ มา 1) คณะกรรมการหมู่บ้านได้กาเนิดขึ้นตาม พระราชบัญญัติลักษณะการปกครอง ทอ้ งท่ี พ.ศ. 2457 แก้ไขเพ่มิ เติม (ฉบับท่ี 11) พ.ศ. 2511 มาตรา 28 ตรี โดยกาหนดให้หมู่บ้านหน่ึงมี คณะกรรมการหนึ่ง มีหน้าท่ีเสนอข้อแนะนาและให้คาปรึกษาต่อผู้ใหญ่บ้าน เกี่ยวกับภารกิจที่จะต้อง ปฏิบัติตามอานาจหน้าทข่ี องผใู้ หญบ่ า้ น 2) ต่อมาในปี พ.ศ. 2524 คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ และระเบียบบริหาร ราชการแผน่ ดนิ ได้พจิ ารณาเห็นวา่ การดาเนนิ งานของคณะกรรมการหมู่บ้านในสภาวการณ์ปัจจุบันนี้ (พ.ศ. 2524) ยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ และไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ เท่าที่ควร เนอื่ งจาก

24 2.1 การดาเนินงานของหมูบ่ ้านอยูใ่ นดุลยพินจิ ของผูใ้ หญ่บา้ นเพียงคนเดียว 2.2 กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ จดั ต้ังคณะกรรมการระดับหมู่บ้านขึ้นซ้าซ้อนกัน หลายรูปแบบ 2.3 รัฐบาลขาดนโยบายท่แี นน่ อนและตอ่ เนื่องในการสนับสนุนหม่บู ้าน คณะกรรมการปฏิรูปฯ จึงได้เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีให้ปรับปรุงแบบการ บริหาร งานของหมบู่ า้ นในด้านตา่ ง ๆ ดังน้ี 1. ส่งเสริมให้การดาเนินงานของหมู่บ้านอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบในรูปคณะกรรม การหมู่บา้ นเพ่อื ใหก้ ารวินจิ ฉัยเรอ่ื งต่าง ๆ เป็นไปอยา่ งรอบคอบรดั กุม 2. ปรับปรุงโครงสร้างของคณะกรรมการหมู่บ้าน ให้เป็นไปคณะกรรมการท่ีมี ประสิทธิภาพ คือ 2.1 ยึดรูปแบบคณะกรรมการหมู่บ้านตาม พระราชบัญญัติลักษณะการปกครอง ทอ้ งที่ พ.ศ. 2457 เปน็ หลกั 2.2 ปรับปรุงโครงสร้างให้สอดคล้องกับรูปแบบหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกัน ตนเอง หรอื อพป. 2.3 ยกเลิกคณะกรรมการระดับหมู่บ้านรูปแบบอื่น ๆ (ยกเว้นคณะกรรมการ หมู่บา้ นกลาง อพป.) ให้ใช้คณะกรรมการหมู่บ้านเพยี งคณะเดยี ว คณะรัฐมนตรีได้ประชุมเม่ือวันท่ี 29 ธันวาคม 2524 ลงมติในหลักการให้มีคณะ กรรมการหมู่บ้านตาม พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องท่ี พ.ศ. 2457 เป็นหลักตามความเห็น คณะกรรมการปฏิรปู ฯ และมอบหมายใหก้ ระทรวงมหาดไทยดาเนนิ การ 3) กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง ได้ดาเนินการปรับปรุงรูปแบบคณะ กรรมการหมู่บ้านที่มีมาแต่เดิมให้มีประสิทธิภาพ โดยร่วมกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องวางแนวทาง ดาเนินงานซ่ึงได้ตราข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการดาเนินงานของคณะกรรมการหมู่บ้าน พ.ศ. 2526 ข้นึ 4) คณะรัฐมนตรีได้ประชมุ ปรึกษาเม่อื วันที่ 4 ตลุ าคม พ.ศ. 2526 ลงมติวา่ 4.1 รับทราบผลการดาเนินงานปรับปรุงคณะกรรมการหมู่บ้านของกระทรวง มหาดไทย 4.2 ให้กระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันท่ี 29 ธันวาคม 2524 เรื่อง การปรับปรุงรูปแบบหมู่บ้านซ่ึงอนุมัติในหลักการให้มีคณะกรรมการหมู่บ้าน เพียงคณะเดยี วโดยเครง่ ครดั เวน้ แตห่ มู่บ้าน อพป. ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบหมู่บ้านอาสาพัฒนา และปอ้ งกันตนเอง พ.ศ. 2522 ใหค้ งเป็นไปตามกฎหมายวา่ ด้วยการน้ัน

25 3. อนุมัติในหลักการให้นายอาเภอมีอานาจแต่งตั้งข้าราชการและบุคคลอื่นใดทุก สังกัดให้เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการหมู่บ้านและที่ปรึกษาของฝ่ายกิจการต่าง ๆ ตามที่กาหนดไว้ ในขอ้ บังคบั กระทรวงมหาดไทยฯ ไดโ้ ดยขอใหค้ านึงถงึ ข้อเท็จจริงในทางปฏิบตั ดิ ว้ ยว่า 3.1 ผูท้ ่ีจะเขา้ รว่ มเป็นท่ีปรึกษาของคณะกรรมการหมู่บ้าน และท่ีปรึกษาของฝ่าย กิจการตา่ ง ๆ นอกเหนือจากผู้ทเี่ ก่ยี วข้องแล้ว จะต้องมคี วามเต็มใจ และอทุ ศเวลาเพ่ือการน้ี 3.2 สาหรับที่เป็นข้าราชการ ควรได้รับความเห็นชอบจากหัวหน้าส่วนราชการ น้ัน ๆ กอ่ นดว้ ย 4. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ไปพิจารณาด้วย ดงั น้ี 4.1 กรรมการหมู่บ้านผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการหมู่บ้านและกรรมการสภา ตาบลผูท้ รงคุณวุฒิในคณะทีป่ รกึ ษาคณะกรรมการหม่บู า้ น จะต้องไม่มคี ่าตอบแทนตลอดไป 4.2 ในกรณีที่บุคคลได้รวมตัวกัน จัดต้ังเป็นกลุ่มเพื่อดาเนินกิจการอย่างใดอย่าง หน่ึง โดยส่วนราชการไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยน้ัน ถ้ากลุ่มใดมีกิจการทานองเดียวกันกับฝ่ายกิจการใดใน คณะกรรมการหมู่บา้ นก็ควรจดั ใหอ้ ยูใ่ นกจิ การนน้ั ๆ ด้วย 4.3 ควรพิจารณาให้มีกรรมการหมู่บ้าน ทานองเดียวกันนี้สาหรับชุมชนแออัด ในกรงุ เทพมหานครด้วย 5) กระทรวงมหาดไทยได้ให้ทุกจังหวัด/อาเภอ ได้ปรับปรุงคณะกรรมการหมู่บ้านใน ปี 2526 ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 และข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่า ด้วยการดาเนินงานของคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) พ.ศ. 2526 โดยได้มีการเลือกตั้งกรรมการ หมบู่ ้านผู้ทรงคณุ วุฒิข้นึ ใหม่ พร้อมทั้งแต่งตง้ั ฝา่ ยกจิ การต่าง ๆ ของ กม. และท่ีปรึกษาของ กม. พร้อม กันทวั่ ประเทศ 6) กระทรวงมหาดไทยได้ออกข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการดาเนินงาน ของคณะกรรมการหมู่บ้าน (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2534 เพื่อเปดิ โอกาสใหบ้ คุ คลอนื่ นอกจากผู้ใหญ่บ้าน โดย เฉพาะอย่างย่ิงสตรี สามารถเป็นประธานฝ่ายกิจการอื่นได้ และจังหวัด/อาเภอ จัดต้ังฝ่ายกิจการสตรี เพ่ิมขึ้น ในคณะกรรมการหมู่บ้านอีก 1 ฝ่าย เพ่ือเป็นการส่งเสริมบทบาทของสตรีในการมีส่วนร่วม บริหารและพัฒนาหมบู่ ้าน 7) รัฐบาลได้แก้ไขพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องท่ี พ.ศ. 2457 เน่ืองด้วย ปัจจุบันได้มีการปรับปรุงการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปโดยรวดเร็ว คล่องตัว และมีประสิทธิ ภาพโดยปรับปรงุ โครงสรา้ ง บทบาท อานาจหนา้ ท่ขี องคณะกรรมการหม่บู า้ น ตามมาตรา 28 ตรี แห่ง พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2551 จึงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เลม่ 125 ตอนท่ี 27 ก เมอื่ วันท่ี 5 กุมภาพันธ์ 2551 มีผลใช้บังคบั เมอ่ื วนั ท่ี 6 เมษายน 2551

26 8) กระทรวงมหาดไทยได้ยกเลิกข้อบงั คับกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการดาเนินงาน ของคณะกรรมการหมู่บ้าน พ.ศ. 2526 ข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการดาเนินงานของคณะ กรรมการหมู่บ้าน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2534 และข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเลือกตั้งกรรม การหมู่บ้านผู้ทรงคุณวุฒิ พ.ศ. 2533 โดยได้ออกระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การ เปน็ กรรมการหมูบ่ ้าน การปฏบิ ตั หิ น้าทแี่ ละการประชมุ ของคณะกรรมการหมู่บ้าน พ.ศ. 2551 เพื่อให้ สอดคล้องกบั โครงสร้าง บทบาท อานาจหน้าที่ ของคณะกรรมการหมู่บ้าน ตามพระราชบัญญัติลักษณะ ปกครองทอ้ งท่ี (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2551 (กล่มุ งานบรหิ ารงานปกครอง ที่ทาการปกครองอาเภอท่าบ่อ) 2.6.2 รปู แบบของคณะกรรมการหมู่บา้ น 1) คณะกรรมการหมู่บ้าน หรือ กม. ถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครอง ท้องที่ พ.ศ. 2457 ซ่งึ แก้ไขปรับปรุง (ฉบบั ท่ี 11) พ.ศ. 2551 ประกอบดว้ ย กรรมการ 2 ประเภท คอื 1.1 กรรมการหมู่บ้านโดยตาแหน่ง ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สมาชิก สภาองคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่นทีม่ ภี มู ลิ าเนาในหมู่บ้าน ผูน้ าหรือผู้แทนกลมุ่ หรือองคก์ รในหมบู่ า้ น 1.2 กรรมการหมู่บ้านโดยการเลือก ได้แก่ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซ่ึงราษฎรผู้มี สิทธเิ ลือกผใู้ หญ่บ้านเปน็ ผู้เลือกกรรมการหมบู่ ้านผ้ทู รงคณุ วุฒิ โดยมีจานวน 2-10 คน โดยให้ท่ีประชุม เลอื กกรรมการหมบู่ า้ นผู้ทรงคณุ วุฒิเป็นผูก้ าหนด จานวนทพ่ี งึ มใี นหมู่บ้าน 2) ตามพระราชบญั ญัติลกั ษณะปกครองท้องที่ (ฉบบั ท่ี 11) พ.ศ. 2551 ได้กาหนดให้ ผูใ้ หญบ่ ้านเป็นประธาน และระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเป็นกรรมการหมู่บ้าน การปฏบิ ัติหน้าที่และการประชุมของคณะกรรมการหมู่บ้าน พ.ศ. 2551 กาหนดให้ กรรมการหมู่บ้าน เลือก รองประธานกรรมการหมู่บ้านจากกรรมการหมู่บ้านโดยตาแหน่งคนหน่ึง และจากกรรมการ หมู่บา้ นผู้ทรงคุณวุฒิอีกคนหน่ึง โดยให้คณะกรรมการหมู่บ้านเลือกรองประธานคนใดคนหนึ่งเป็นรอง ประธานคนท่ีหนึ่ง และประธานคณะกรรมการหมู่บ้านเลือกกรรมการหมู่บ้านคนหนึ่งเป็นเลขานุการ คณะกรรมการหมู่บ้าน และให้คณะกรรมการหมู่บ้านเลือกกรรมการหมู่บ้านคนหนึ่งเป็นเหรัญญิก สว่ นกรรมการหมู่บา้ นคนอืน่ ๆ กจ็ ะแบง่ หน้าที่รบั ผิดชอบงานของคณะทางานด้านต่าง ๆ ดังนั้น รปู แบบคณะกรรมการหมู่บ้านจะมีลักษณะ ดงั นี้ 1. ผู้ใหญ่บา้ น เปน็ ประธาน 2. ผู้ชว่ ยผู้ใหญ่บา้ น เป็นกรรมการ 3. สมาชกิ สภาองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ เป็นกรรมการ 4. ผู้นาหรอื ผแู้ ทนกลุม่ หรือองค์กรในหมู่บา้ น เป็นกรรมการ 5. กรรมการหม่บู า้ นผทู้ รงคุณวุฒิ 2-10 คน เปน็ กรรมการ ลาดับท่ี 1-4 เป็นโดยตาแหน่ง

27 ลาดับท่ี 5 เป็นโดยการเลือกของราษฎรในหมู่บ้าน (กรมการปกครองกลุ่มงานบริหารงาน ปกครอง ที่ทาการปกครองอาเภอท่าบ่อ) 2.6.3 การไดม้ าและการพ้นจากตาแหนง่ ของกรรมการหมบู่ ้าน 1) การได้มาของกรรมการหมู่บ้านของผู้นาหรือผู้แทนหรือองค์กรในหมู่บ้าน ผู้นา ของกลุ่มดงั ตอ่ ไปนี้ มีสิทธเิ ป็นกรรมการหมบู่ ้านโดยตาแหน่ง 1. กลุ่มบ้าน ตามประกาศของนายอาเภอ 2. กล่มุ อาชีพ หรือกลุ่มกิจกรรมที่มาจากการรวมตัวกันของสมาชิก ซึ่งต้ังข้ึนตาม กฎหมาย ระเบยี บ ขอ้ บงั คับ หรือคาส่งั ของทางราชการ ตามทกี่ ระทรวงมหาดไทยประกาศ 3. กลุ่มอาชีพ หรือกลุ่มกิจกรรมที่มาจากการรวมตัวกันของสมาชิก หรือต้ังขึ้น เพือ่ ดาเนนิ กจิ กรรมรว่ มกนั ระหวา่ งสมาชิกภายในกลุ่ม และต้องมีลักษณะดงั ตอ่ ไปน้ี (ก) เป็นกล่มุ ทมี่ ีสมาชกิ ไมน่ อ้ ยกวา่ 20 คน (ข) สมาชกิ ของกลมุ่ ไมน่ อ้ ยกวา่ ก่งึ หน่ึง มภี ูมลิ าเนาอยู่ในหมู่บ้าน (ค) เป็นกลุ่มท่ีมีการดาเนินกิจกรรมในหมู่บ้าน อย่างต่อเนื่องมาแล้วไม่น้อย กว่า 6 เดอื น (ง) เปน็ กลุ่มที่มีกฎระเบียบทกี่ าหนดไว้ชดั เจน และต้องเกิดจากสมาชิกร่วมกัน กาหนด ทง้ั น้ี นายอาเภออาจพจิ ารณายกเว้นลักษณะตาม (ก) ไดใ้ นกรณีทีเ่ ห็นสมควร 2) เงอ่ื นไขเวลาทต่ี ้องจัดใหม้ ีการเลือกกรรมการหมบู่ ้านผทู้ รงคุณวฒุ ิ 1. ถา้ ตาแหน่งกรรมการหมู่บ้านผู้ทรงคุณวุฒิครบวาระการดารงตาแหน่งหรือพ้น จากตาแหน่งพรอ้ มกนั ใหน้ ายอาเภอดาเนนิ การจัดให้มกี ารประชมุ เลอื กกรรมการหมู่บ้านผู้ทรงคุณวุฒิ ข้ึนใหม่ภายใน 30 วัน นับแต่วันท่ีกรรมการหมู่บ้านผู้ทรงคุณวุฒิครบวาระการดารงตาแหน่งหรือพ้น จากตาแหนง่ พรอ้ มกนั 2. ถ้ากรรมการหมู่บ้านผู้ทรงคุณวุฒิว่างลง จนเป็นเหตุให้กรรมการหมู่บ้านที่ เหลืออยมู่ จี านวนน้อยกวา่ 2 คน และกรรมการหมู่บ้านผู้ทรงคุณวุฒิที่เหลือมีวาระการดารงตาแหน่งไม่ น้อยกว่า 180 วัน ให้นายอาเภอจัดให้มีการเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิข้ึนแทนตาแหน่งท่ีว่างภายใน 30 วัน เลอื กแทนตาแหน่งที่ว่างโดยให้มีวาระเท่ากัน (กรมการปกครอง กลุ่มงานบริหารงานปกครอง ท่ี ทาการปกครองอาเภอท่าบ่อ) 2.6.4 การพ้นจากตาแหนง่ 1) กรรมการหมู่บ้าน โดยตาแหน่ง ได้แก่ 1.1 ผ้ใู หญ่บา้ น ผ้ชู ว่ ยผูใ้ หญ่บ้าน สมาชกิ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ ท่ีมีภูมิลาเนา เมอ่ื พน้ จากการดารงตาแหนง่

28 1.2 ผู้นาหรอื ผู้แทนกลุ่มในหมูบ่ า้ นส้ินสุดลงเม่อื มกี ารเลอื กผ้นู าหรือผ้แู ทนข้นึ ใหม่ นอกจากการพ้นจากตาแหน่งตามวรรคหน่ึงแล้ว การเป็นกรรมการหมู่บ้านโดย ตาแหนง่ ของผู้นากล่มุ ในหมู่บ้านตอ้ งสน้ิ สดุ ลง ดว้ ยเหตใุ ดเหตหุ น่ึง ดังต่อไปน้ี 1. ขาดคุณสมบัตขิ องผู้มสี ทิ ธิเลือกผู้ใหญ่บา้ น 2. ตาย 3. เม่ือนายอาเภอมีประกาศให้ส้ินสุดสภาพของการเป็นกลุ่ม หรือขาด คุณสมบัติของการเปน็ กลมุ่ ในกรณีที่กลุ่มถกู ยุบ เลกิ หรือไมม่ กี ารดาเนนิ กจิ กรรมตอ่ เน่ืองกันเป็นเวลาเกินหน่ึงปี ให้ถือว่าสิ้นสุดสภาพของการเป็นกลุ่ม หรือขาดคุณสมบัติของการเป็นกลุ่ม และให้กรรมการหมู่บ้าน รายงานให้นายอาเภอประกาศ (กรมการปกครอง กลุ่มงานบริหารงานปกครอง ท่ีทาการปกครอง อาเภอทา่ บอ่ ) 2.6.5 วธิ กี ารเลอื กตัง้ กรรมการหมู่บ้านผู้ทรงคุณวุฒิ 1) ให้ผู้ใหญ่บ้านเป็นประธาน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเป็นกรรมการทาหน้าท่ีดาเนินการ เลือกและให้นายอาเภอแต่งตั้ง ปลัดอาเภอประจาตาบล ข้าราชการในอาเภอ 1 คน และกานันหรือ ผู้ใหญ่บา้ นในอาเภอนัน้ 1 คน เปน็ ท่ปี รกึ ษาทาหน้าท่ีสกั ขีพยานดว้ ย 2) วิธีการเลือกกระทาโดยวิธีลับหรือเปิดเผยก็ได้ ท้ังน้ีให้ปฏิบัติตามระเบียบ กระทรวงมหาดไทยว่าดว้ ยหลกั เกณฑก์ ารเปน็ กรรมการหมู่บา้ น การปฏบิ ตั หิ น้าที่ และการประชุมของ คณะกรรมการหม่บู า้ น พ.ศ. 2551 3) ราษฎรท่ีมีสิทธิเข้าประชุมส่วนมากที่มาประชุมเลือกผู้ใดแล้วให้ถือว่า ผู้น้ันเป็น กรรมการหมูบ่ ้านผทู้ รงคณุ วุฒแิ ละใหน้ ายอาเภอออกหนังสือสาคัญไว้เป็นหลกั ฐาน 4) กรณีผู้รับเลือกมีคะแนนเสียงเท่ากันหลายคน และเป็นเหตุให้มีผู้ท่ีได้รับคะแนน เท่ากนั เกินกว่าจานวนที่ประชุมราษฎรกาหนด ให้ทาการจับสลาก (กรมการปกครอง กลุ่มงานบริหาร งานปกครอง ทีท่ าการปกครองอาเภอทา่ บ่อ) 2.6.6 คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นกรรมการหมู่บ้านผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีสิทธิ เลือกกรรมการหมู่บา้ นผู้ทรงคณุ วฒุ ิ 1) มีสัญชาติไทยและมีอายุไม่ต่ากว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคมของปีท่ีมี การเลือกตง้ั 2) ไมเ่ ป็นภกิ ษุ สามเณร นกั พรต หรือนกั บวช 3) ไม่เป็นคนวิกลจริต หรือจติ ฟัน่ เฟอื น ไมส่ มประกอบ 4) มภี มู ิลาเนาหรอื ถ่นิ ทีอ่ ยู่ประจา และมชี ือ่ ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการ ทะเบียนราษฎรในหมู่บ้านน้ัน ติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือนจนถึงวันเลือก (กรมการปกครอง กลุ่มงานบริหารงานปกครอง ทีท่ าการปกครองอาเภอท่าบ่อ)

29 2.6.7 โครงสรา้ งและอานาจหน้าท่ขี องคณะทางานของกรรมการหมู่บา้ น ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเป็นกรรมการหมู่บ้าน การปฏิบัติ หนา้ ทีแ่ ละการประชุมของคณะกรรมการหมูบ่ ้าน พ.ศ. 2551 กาหนดให้คณะกรรมการหมู่บ้านแต่งต้ัง คณะทางานต่าง ๆ เพ่อื ชว่ ยเหลอื ปฏิบัตภิ ารกจิ ของคณะกรรมการหม่บู ้านและผูใ้ หญบ่ ้าน ดงั นี้ 1) คณะทางานด้านอานวยการ ประกอบด้วย ประธานกรรมการหมู่บ้าน รอง ประธานกรรมการหมู่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หัวหน้า คณะทางานด้านต่าง ๆ เลขานุการ และเหรัญญิก โดยให้ประธานกรรมการหมู่บ้านและเลขานุการ เป็นหัวหน้าและเลขานุการคณะทางาน มีหน้าที่ เกยี่ วกับ 1. งานธรุ การ การจัดเกบ็ เอกสารต่าง ๆ ของหมบู่ ้าน 2. การจดั ประชุม 3. การรับจ่ายและเกบ็ รักษาเงินและทรัพย์สินของหมู่บ้าน 4. การประชาสมั พันธข์ ่าวสารสรา้ งความเขา้ ใจกับประชาชน 5. การประสานงานและติดตามการทางานของคณะทางานด้านต่าง ๆ 6. การจัดทารายงานผลการดาเนนิ การของคณะกรรมการในรอบปี 7. งานอน่ื ใดตามที่ประธานกรรมการหมู่บ้าน หรือคณะกรรมการมอบหมาย 2) คณะทางานด้านการปกครองและรักษาความสงบเรียบร้อย ประกอบด้วย กรรมการหมู่บ้านซ่ึงเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวหน้าคณะทางาน และกรรมการหมู่บ้านที่คณะกรรม การเลือก มหี นา้ ทเี่ ก่ยี วกับ 1. การส่งเสรมิ ให้ราษฎรมีสว่ นรว่ มในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระ มหากษตั รยิ เ์ ปน็ ประมุข 2. การสง่ เสริมอุดมการณแ์ ละวิถีชีวิตแบบประชาธปิ ไตย ดงั น้ี - ยึดหลกั กฎหมาย ความมเี หตผุ ล และสันติวธิ ี - ปฏบิ ัติตามเสยี งข้างมาก รับฟงั เสยี งขา้ งนอ้ ย - มีส่วนร่วมในกจิ กรรมทางการเมอื งและสังคม - เสียสละและรับผดิ ชอบตอ่ สว่ นรวม 3. การส่งเสริมดูแลให้ราษฎรปฏิบัติตามกฎหมาย และกฎระเบียบ ข้อบังคับของ หมู่บ้าน 4. การสร้างความเป็นธรรมและประนปี ระนอมข้อพิพาท 5. การตรวจตรารกั ษาความสงบเรยี บรอ้ ย การปอ้ งกัน และปราบปรามยาเสพติด ภายในหมู่บ้าน 6. การค้มุ ครองดูแลรักษาทรัพยส์ ินอนั เปน็ สาธารณประโยชน์ของหมูบ่ า้ น

30 7. การป้องกันบรรเทาสาธารณภยั และภยนั ตรายของหมบู่ ้าน 8. งานอื่นใดตามท่ปี ระธานกรรมการหมบู่ า้ น หรือคณะกรรมการมอบหมาย 3) คณะทางานด้านแผนพัฒนาหมู่บ้าน ประกอบด้วยกรรมการหมู่บ้านที่คณะ กรรมการเลอื ก มหี นา้ ท่ีเก่ียวกบั 1. การบูรณาการจัดทาแผนพัฒนาหมู่บ้าน 2. ประสานการจัดทาโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาหมู่บ้านกับคณะทางานด้าน ตา่ ง ๆ เพ่ือดาเนินการหรอื เสนอของบประมาณจากหนว่ ยงานอนื่ ๆ 3. การรวบรวมและจัดทาขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ของหมบู่ า้ น 4. การตดิ ตามผลการดาเนนิ งานตามแผนพัฒนาหมู่บา้ น 5. งานอ่ืนใดตามที่ประธานกรรมการหมบู่ า้ น หรือคณะกรรมการมอบหมาย 4) คณะทางานด้านส่งเสริมเศรษฐกิจ ประกอบด้วยกรรมการหมู่บ้านที่คณะกรรม การเลอื ก มหี นา้ ที่เกย่ี วกบั 1. การสง่ เสริมการดาเนนิ การตามแนวปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงในหมบู่ ้าน 2. การพัฒนาและส่งเสริมการประกอบอาชีพ การผลิต และการตลาดเพ่ือเสริม สร้างรายได้ใหก้ ับราษฎรในหม่บู ้าน 3. งานอน่ื ใดตามทีป่ ระธานกรรมการหมูบ่ ้าน หรือคณะกรรมการมอบหมาย 5) คณะทางานด้านสังคม สิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข ประกอบด้วย กรรมการ หมู่บา้ นท่คี ณะกรรมการเลอื ก มหี นา้ ทีเ่ กย่ี วกบั 1. การพฒั นาสตรี เด็ก เยาวชน ผสู้ งู อายแุ ละผพู้ ิการ การจดั สวัสดกิ ารในหม่บู ้าน 2. การสงเคราะหผ์ ู้ยากจนที่ไม่สามารถชว่ ยตนเองได้ 3. การสง่ เสริมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม 4. การสาธารณสขุ 5. งานอน่ื ใดตามทีป่ ระธานกรรมการหมู่บ้าน หรือคณะกรรมการมอบหมาย 6) คณะทางานด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ประกอบด้วย กรรมการ หมูบ่ ้านที่คณะกรรมการเลอื ก มีหน้าที่เกย่ี วกบั 1. การส่งเสริมการศึกษา ศาสนา การบารุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญา และวฒั นธรรมของหมูบ่ ้าน 2. งานอน่ื ใดตามที่ประธานกรรมการหมบู่ า้ น หรอื คณะกรรมการมอบหมาย 7) คณะทางานด้านอื่น ๆ ที่คณะกรรมการหมู่บ้านเสนอ และนายอาเภอเห็นชอบ (กรมการปกครอง กลุ่มงานบริหารงานปกครอง ท่ที าการปกครองอาเภอทา่ บอ่ )

31 อานาจหนา้ ท่ีของคณะกรรมการหมูบ่ า้ น เชน่ ด้านการพัฒนาการเกษตร ด้านเยาวชน ด้าน การพัฒนาการเมือง และการอานวยความเป็นธรรม เป็นต้น (กรมการปกครอง สานักบริหารการ ปกครองทอ้ งที่ ส่วนพฒั นาและสง่ เสรมิ การบรหิ ารงานท้องท่ี, 2557, หน้า 18) 2.6.8 อานาจหน้าท่ขี องคณะกรรมการหมบู่ า้ น 1) ภารกจิ ตามอานาจหน้าท่ีในพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ (ฉบับ ท่ี 11) พ.ศ. 2551 1. มาตรา 28 ตรี วรรคสอง คณะกรรมการหมู่บ้านมีหน้าท่ีช่วยเหลือ แนะนา และ ให้คาปรกึ ษาแก่ผูใ้ หญบ่ ้านเก่ียวกบั กจิ การอนั เป็นอานาจหน้าทีข่ องผูใ้ หญ่บ้าน และปฏิบัติหน้าท่ีอื่นตาม กฎหมายหรือระเบยี บแบบแผนของทางราชการหรือท่ีนายอาเภอมอบหมาย หรอื ทีผ่ ใู้ หญ่บา้ นร้องขอ 2. มาตรา 28 ตรี วรรคสาม ให้คณะกรรมการหมู่บ้านเป็นองค์กรหลักท่ีรับผิดชอบ ในการบูรณาการจัดทาแผนพัฒนาหมู่บ้าน และบริหารจัดการกิจกรรมท่ีดาเนินงานในหมู่บ้านร่วมกับ องค์กรอื่นทุกภาคสว่ น 2) ภารกจิ ตามอานาจหน้าท่ี ตามกฎหมายอ่นื ๆ อานาจหนา้ ทใ่ี นการประนปี ระนอมขอ้ พิพาทในระดับหมบู่ ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน มอี านาจหนา้ ที่ในการประนีประนอมข้อพิพาทในระดับหมู่บ้าน โดยมีข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย ว่า ด้วยการปฏิบตั งิ านประนีประนอมขอ้ พิพาทของคณะกรรมการหมู่บ้าน พ.ศ. 2530 ซ่ึงลักษณะของข้อ พพิ าททีจ่ ะทาการประนปี ระนอมข้อพิพาทนนั้ ๆ เป็นข้อพพิ าทเกี่ยวกบั 1. คดีแพง่ ทุกประเภท 2. คดอี าญาประเภทความผดิ ท่ยี อมความกันได้ 3. คกู่ รณีทั้งสองฝา่ ยตกลงใหค้ ณะกรรมการหมบู่ า้ นประนีประนอมข้อพิพาท 4. ข้อพิพาทดังกล่าวท่ีเกิดขึ้นในหมู่บ้านหรือคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งภูมิลาเนาอยู่ ในหม่บู า้ น 3) ภารกิจงานตามนโยบายของรัฐ คณะกรรมการหมู่บ้าน ทาหน้าที่ช่วยเหลือ แนะนา และให้คาปรึกษาแก่ผู้ใหญ่บ้านในการดาเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่ดาเนินงานในหมู่บ้าน เช่น โครงการ SML กองทุนหมู่บ้าน การแก้ไขปัญหายาเสพติด ฯลฯ ซ่ึงผู้ใหญ่บ้านอาจมอบหมายคณะ ทางานในแต่ละด้านเพื่อเป็นการกระจายอานาจในการทางาน เพ่ืออานวยความสะดวกและสนองความ ตอ้ งการของประชาชน 4) ภารกิจงานประจากระทรวง ทบวง กรม คณะกรรมการหมู่บ้าน มีหน้าท่ีในการ ปฏบิ ัติงานของทกุ กระทรวง ทบวง กรม โดยส่ังการผา่ น จงั หวดั และอาเภอ 5) ภารกิจเฉพาะตามลักษณะพื้นท่ี คณะกรรมการหมู่บ้านเป็นองค์กรหรือผู้แทน ของประชาชนในการสะท้อนปัญหาความต้องการของประชาชน ซึ่งมีความแตกต่างตามลักษณะ

32 โครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี และสภาพปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ตามภูมิประเทศ และภูมิสังคม เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ (กรมการปกครอง กลุ่มงาน บรหิ ารงานปกครอง ท่ที าการปกครองอาเภอทา่ บอ่ ) ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเป็นกรรมการหมู่บ้าน การปฏิบัติ หน้าที่และการประชุมของคณะกรรมการหมู่บ้าน พ.ศ. 2551 กาหนดให้คณะกรรมการหมู่บ้านมี บทบาทและหน้าที่ในการส่งเสริมให้ราษฎรมีส่วนร่วมในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระ มหากษัตริย์เป็นประมุข และการส่งเสริมอุดมการณ์และวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นบทบาทที่ สาคญั ประการหนึ่งของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตย 2.7 หลกั ธรรมทเี่ กีย่ วขอ้ งกับคณะกรรมการหมู่บา้ น 2.7.1 พรหมวิหาร 4 พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเป็นหลักธรรม สาหรับทุกคน เป็นหลักธรรมประจาใจท่ีจะช่วยให้เราดารงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธ์ิ หลัก ธรรมน้ี ได้แก่ 1) เมตตา คอื ความรักใคร่ ความปรารถนาให้ผู้อ่ืนได้รับสุข ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคน ปรารถนา ความสุขเกดิ ขึน้ ได้ทง้ั กายและใจ เช่น ความสุขเกิดการมีทรัพย์ ความสุขเกิดจากการใช้จ่าย ทรัพย์เพือ่ การบริโภคความสขุ เกดิ จากการไม่เป็นหนี้ และความสุขเกิดจากการทางานที่ปราศจากโทษ เปน็ ต้น 2) กรุณา คือ ความปรารถนาให้ผู้อ่ืนพ้นทุกข์ ความทุกข์ คือ สิ่งท่ีเข้ามาเบียดเบียน ให้เกิดความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ และเกิดข้ึนจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน พระพุทธองค์ ทรง สรปุ ไว้ว่าความทกุ ข์มี 2 กล่มุ ใหญ่ ๆ ดงั น้ี 1. ทกุ ขโ์ ดยสภาวะ หรือเกดิ จากเปลีย่ นแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย เช่น การ เกดิ การเจ็บไข้ ความแก่ และความตาย สิ่งมชี ีวติ ทงั้ หลายท่ีเกิดมาในโลกจะต้องประสบกับการเปลี่ยน แปลงทางรา่ งกายอยา่ งหลีกเล่ยี งไมไ่ ด้ ซึ่งรวมเรียกวา่ กายกิ ทกุ ข์ 2. ทุกข์จรหรอื ทกุ ขท์ างใจ อันเปน็ ความทกุ ขท์ ีเ่ กิดจากสาเหตทุ ่ีอยู่นอกตัวเรา เช่น เมื่อปรารถนาแลว้ ไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ การประสบกับส่ิงอันไม่เป็นท่ีรักก็เป็นทุกข์ การพลัดพรากจาก สง่ิ อนั เป็นท่รี กั ก็เปน็ ทกุ ข์ รวมเรยี กว่า เจตสกิ ทุกข์ 3) มุทิตา คือ ความยินดีเม่ือผู้อื่นได้ดี คาว่า “ดี” ในที่นี้ หมายถึง การมีความสุข หรือมีความเจริญก้าวหนา้ ความยินดีเมอื่ ผอู้ ืน่ ได้ดีจึงหมายถึง ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ความ เจริญก้าวหน้าย่ิง ๆ ขึ้น ไม่มีจิตใจริษยา ความริษยา คือ ความไม่สบายใจ ความโกรธ ความฟุ้งซ่าน

33 ซง่ึ มักเกิดข้ึนเมื่อเห็นผู้อ่ืนได้ดีกว่าตน เช่น เห็นเพื่อนแต่งตัวเรียบร้อยแล้วครูชมเชย ก็เกิดความริษยา จึงแกล้งเอาเศษชอล์ก โคลน หรือหมึกไปป้ายตามเสื้อกางเกงของเพื่อนนักเรียนคนนั้นให้สกปรก เลอะเทอะ เราต้องหม่ันฝึกหัดตนให้เป็นคนท่ีมีมุทิตา เพราะจะสร้างไมตรีและผูกมิตร กับผู้อื่นได้ง่าย และลึกซึง้ 4) อุเบกขา คอื การรู้จกั วางเฉย หมายถึง การวางใจเปน็ กลางเพราะพิจารณาเห็นว่า ใครทาดีย่อมได้ดี ใครทาช่ัวย่อมได้ช่ัว ตามกฎแห่งกรรม คือ ใครทาสิ่งใดไว้สิ่งน้ันย่อมตอบสนองคืน บุคคลผู้กระทา เม่ือเราเห็นใครได้รับผลกรรมในทางท่ีเป็นโทษเราก็ไม่ควรดีใจหรือคิดซ้าเติมเขา ใน เรื่องทเี่ กดิ ขึ้น เราควรมีความปรารถนาดี คือพยายามช่วยเหลือผู้อ่ืนให้พ้นจากความทุกข์ในลักษณะท่ี ถูกต้องตามทานองคลองธรรม (dhammatharn.com, 2557, ออนไลน)์ 2.7.2 สงั คหวตั ถุ 4 สังคหวัตถุ 4 หมายถึง หลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหน่ียวน้าใจของผู้อ่ืน ผูกไมตรี เอ้ือเฟื้อ เกือ้ กูล หรอื เป็นหลักการสงเคราะหซ์ ึ่งกนั และกนั มีอยู่ 4 ประการ ไดแ้ ก่ 1) ทาน คอื การให้ การเสียสละ หรือการเอ้ือเฟ้ือแบ่งปันของ ๆ ตนเพ่ือประโยชน์แก่ บุคคลอ่นื ไม่ตระหน่ีถเ่ี หนยี ว ไม่เปน็ คนเหน็ แก่ไดฝ้ า่ ยเดยี ว คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้ไม่เป็นคนละโมบ ไม่ เหน็ แกต่ ัว เราควรคานึงอย่เู สมอวา่ ทรัพยส์ ่ิงของทเ่ี ราหามาได้ มิใชส่ ิ่งจีรังย่ังยืน เม่ือเราสิ้นชีวิตไปแล้วก็ ไมส่ ามารถจะนาตดิ ตวั เอาไปได้ 2) ปยิ วาจา คือ การพูดจาด้วยถ้อยคาท่ีไพเราะอ่อนหวาน พูดด้วยความจริงใจ ไม่พูด หยาบคายก้าวร้าว พดู ในสิง่ ที่เป็นประโยชน์เหมาะสาหรับกาลเทศะ พระพุทธเจ้าทรงให้ความสาคัญกับ การพูดเป็นอย่างย่ิง เพราะการพูดเป็นบันไดขั้นแรกที่จะสร้างมนุษย์สัมพันธ์อันดีให้เกิดข้ึน วิธีการที่จะ พดู ใหเ้ ป็นปยิ วาจาน้นั จะต้องพดู โดยยึดถือหลกั เกณฑ์ ดังตอ่ ไปนี้ 1. เว้นจากการพูดเท็จ 2. เว้นจากการพดู ส่อเสียด 3. เวน้ จากการพดู คาหยาบ 4. เวน้ จากการพูดเพอ้ เจอ้ 3) อัตถจริยา คือ การสงเคราะหท์ ุกชนดิ หรือการประพฤติในสิ่งท่เี ป็นประโยชนแ์ ก่ผอู้ น่ื 4) สมานัตตตา คือ การเป็นผู้มีความสม่าเสมอ หรือมีความประพฤติเสมอต้นเสมอ ปลาย คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้เราเป็นคนมีจิตใจหนักแน่นไม่โลเล รวมท้ังยังเป็นการสร้างความนิยม และไวว้ างใจใหแ้ กผ่ ู้อน่ื อีกด้วย (dhammatharn.com, 2556, ออนไลน)์ 2.7.3 อิทธิบาท 4 อทิ ธบิ าท แปลว่า บาทฐานแห่งความสาเร็จ หมายถึง ส่ิงซ่ึงมีคุณธรรม เคร่ืองให้ลุถึงความ สาเร็จตามที่ตนประสงค์ ผู้หวังความสาเร็จในส่ิงใด ต้องทาตนให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาท ซ่งึ จาแนกไวเ้ ปน็ 4 คือ

34 1) ฉันทะ คือความพอใจ ในฐานะเป็นส่ิงที่ ตนถือว่า ดีที่สุด ท่ีมนุษย์เราควรจะได้ ขอ้ นี้ เปน็ กาลงั ใจ อนั แรก ทีท่ าให้เกิด คณุ ธรรม ขอ้ ตอ่ ไป ทกุ ข้อ 2) วิริยะ คือความพากเพียร หมายถึง การการะทาที่ติดต่อ ไม่ขาดตอน เป็นระยะยาว จนประสบ ความสาเรจ็ คาน้ี มคี วามหมายของ ความกลา้ หาญ เจอื อยู่ด้วย สว่ นหนึง่ 3) จิตตะ หมายถงึ ความไมท่ อดทงิ้ สิง่ น้ัน ไปจากความรู้สึก ของตัว ทาส่ิงซ่ึงเป็น วัตถุ ประสงค์ น้ันให้เด่นชัด อยใู่ นใจเสมอ คาน้ี รวมความหมาย ของคาว่า สมาธิ อยู่ดว้ ยอย่างเตม็ ที่ 4) วิมังสา หมายถงึ ความสอดสอ่ งใน เหตุและผล แห่งความสาเร็จ เกี่ยวกับเร่ืองนั้น ๆ ใหล้ ึกซ้ึงยิง่ ๆ ขน้ึ ไปตลอดเวลา คานี้ รวมความหมาย ของคาว่า ปัญญา ไว้อย่างเต็มท่ี (learntripitaka. com, ออนไลน์) จากหลักธรรมที่กล่าวมาสามารถนามาใช้เป็นเคร่ืองยึดเหน่ียวจิตใจ และนาไปปรับใช้ใน การปฏิบัติตน และปฏิบัติงาน เพื่อให้ประสบความสาเร็จในหน้าที่การงาน สามารถใช้ในการบริหาร งานไดท้ ุกระดับ ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการ และผู้บริหารระดับต้น ระดับกลาง หรือระดับสูง ให้ได้ผลดี มี ประสทิ ธภิ าพสงู และนามาซึ่งความเจรญิ รุง่ เรอื ง และสนั ตสิ ขุ อย่างมน่ั คง 2.8 สภาพพ้นื ท่ที ี่ศึกษา ประวัติความเป็นมา แตเ่ ดมิ บรเิ วณบา้ นหนองไผป่ จั จบุ นั เป็นปา่ รกและที่นา ผู้คนสมัยน้ันอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชุม แพ ตาบลชุมแพ ได้มาหักร้างถางพง เพ่ือทาไร่ทานา บริเวณ บ้านหนองไผ่ซึ่งเป็นท่ีราบติดเชิงเขา ดินมคี วามอุดมสมบูรณ์ และมีน้าเพียงพอตอ่ การเกษตร ต่อมา เม่ือปี พ.ศ. 2453 ได้เกิดไฟไหม้คร้ังใหญ่ข้ึนที่บ้านชุมแพ ทาให้เกิดความเสียหาย เป็นอย่างมาก ชาวบ้านบางส่วนจึงพากันอพยพ มาอยู่ตามท่ีนาของตนเอง ซึ่งกลุ่มคนที่อพยพมาอยู่ กอ่ นคนอื่น คือกลุ่มของนายขุนสังข์ ชัยบุตร ต่อมาชาวบ้านเห็นว่าบริเวณน้ี มีความอุดมสมบูรณ์จึงได้ อพยพตามกันมาอีกหลายกลุ่มจนมีจานวนมากพอท่ีจะตั้งเป็นหมู่บ้านได้ บริเวณใกล้ ๆ ท่ีนาของ ชาวบา้ นมีหนองนา้ แหง่ หนงึ่ มีกอไผ่ขึ้นอยู่ 2 กอ ซึ่งชาวบ้านใชเ้ ป็นน้า อปุ โภค บริโภคไดต้ ลอดปี ในปี 2454 ชาวบ้านเห็นว่า จานวนครัวเรือนที่อพยพมาน้ันมากพอสมควร ที่จะตั้งเป็น หมู่บ้านได้แล้ว และเพ่ือสะดวกใน การปกครอง จึงได้ขอตั้งเป็นหมู่บ้านหนองไผ่ขึ้น (ซ่ึงเป็นนามตาม หนองน้าท่ีได้ใช้อุปโภคบริโภคเพราะถือว่ามีคุณให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ชาวบ้าน) และมีผู้ใหญ่บ้าน ปกครองมาตง้ั แต่บดั น้นั มา ในปี พ.ศ. 2490 จานวนหมู่บ้านในบรเิ วณใกลเ้ คยี งและจานวนประชากรเพิ่มขึ้น ทาให้การ ดูแลประชาชนไม่ท่ัวถึง และเพื่อ ความสะดวกในการปกครอง จึงได้แยกออกจากตาบลชุมแพ มาเป็น ตาบลหนองไผ่ โดยมี นายคุณ ธรรมกุล เป็นกานันตาบลหนองไผ่คนแรก (เทศบาลตาบลหนองไผ่, ออนไลน์)