1
รายงาน เรอ่ื ง แผนการจัดการเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ า ฟสิ กิ ส์ 1 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 จดั ทาโดย นางสาวอภิญญา เทพโพธา รหัสนกั ศึกษา 6281114006 เลขท่ี 22 หมเู่ รียน D4 สาขาวชิ าฟิสิกส์(ค.บ. 4ป)ี คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บ้านสมเดจ็ เจ้าพระยา เสนอ อาจารย์ ดร.พัชรีภรณ์ บางเขียว รายงานฉบบั นเี้ ปน็ ส่วนหนึง่ ของการศึกษารายวิชา “การจัดการเรยี นรแู้ ละการจดั การช้ันเรยี น” ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564
ก คานา การจดั ทาแผนการจัดการเรียนรนู้ ับเปน็ วิธีหน่ึงทีทาให้ครผู สู้ อนได้มีการเตรียมการสอนล่วงหน้าก่อนท่ี จะทาการสอนจริงโดยมีการเตรียมเนื้อหาเตรียมกิจกรรม เตรียมสื่อการเรียนการสอนรวมทั้งวิธีการวัดผล ประเมินผลซึ่งการเตรียมการสอนจะช่วยให้ครูผู้สอนมีความพร้อมที่จะสอนให้ผู้ เรียนบรรลุตาจุดมุ่งหมายของ หลักสูตร การจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ฉบับนี้ ผู้จัดทาได้ศึกษาค้นคว้าหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560) เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์หลักสูตร จัดทากาหนดการสอน โครงสร้างรายวิชา และหารูปแบบการทาแผนการจัดการเรียนรู้โดยเน้นให้ผู้เรียนได้ เรียนผา่ นกระบวนการคิดดว้ ยตนเอง โดยคานงึ ถงึ สภาพแวดลอ้ มของผ้เู รียน โรงเรยี นและชุมชนเปน็ หลัก แผนการจัดการเรียนรู้ฉบับนี้ เป็นแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี วิชาฟิสิกส์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 หน่วยการเรียนรู้ที่1-หน่วยการเรียนรู้ที่5 เพื่อพัฒนาความเข้าใจ เก่ยี วกบั วชิ าฟิสิกสจ์ ัดทาไวเ้ พื่อสะดวกตอ่ การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแผนการจัดการเรียนรู้ฉบับนี้จะช่วยให้การเรียนการสอนกลุ่มสาระการ เรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี วิชาฟิสกิ ส์ ดาเนนิ ไปด้วยดี และทาใหผ้ เู้ รียนมีความรู้ความสามารถ มีทักษะ กระบวนการและมีคณุ ลักษณะอนั พึงประสงคต์ รงตามจดุ มุ่งหมายของหลักสตู รต่อไป นางสาวอภญิ ญา เทพโพธา ผู้จัดทา
สารบัญ ข เรื่อง หนา้ 1 แผนการจดั การเรียนรู้ 6 คาอธิบายรายวิชา 7 ตารางโครงสรา้ งรายวิชา 8 แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 1 39 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 2 69 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 99 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 5 131
1 รหสั วชิ า ว31201 แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชา ฟิสิกส์ 1 กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 1 จานวน 1.5 หน่วยกติ จานวน 60 ชั่วโมง ผู้สอน นางสาวอภิญญา เทพโพธา 1.มาตราฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด/ผลการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้ 7.1 : เข้าใจธรรมชาติทางฟสิ ิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนท่ีแนว ตรง แรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของวัตถุ งานและกฎ การอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลื่อนที่แนวโค้ง รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ 2.ผลการเรยี นรู้ ว.7.1 ม.4/1 สืบค้น และอธิบายการค้นหาความรู้ทางฟิสิกส์ประวัติความเป็นมา รวมทั้งพัฒนาการ ของหลักการและแนวคิดทางฟสิ ิกส์ท่ีมีผลตอ่ การแสวงหาความรใู้ หมแ่ ละการพัฒนาเทคโนโลยี ว.7.1 ม.4/2 วัด และรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ได้ถูกต้องเหมาะสม โดยนาความ คลาดเคลื่อนในการวัดมาพจิ ารณาในการนาเสนอผล รวมทัง้ แสดงผลการทดลองในรปู ของกราฟ วิเคราะห์และ แปลความหมายจากกราฟเส้นตรง ว.7.1 ม.4/3 ทดลอง และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตาแหน่ง การกระจัด ความเร็ว และความเร่ง ของการเคลื่อนทข่ี องวัตถุในแนวตรงท่ีมีความเร่งคงตวั จากกราฟและสมการ รวมทงั้ ทดลองหาค่าความเร่งโน้ม ถว่ งของโลก และคานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่ีเกย่ี วข้อง ว.7.1 ม.4/4 ทดลอง และอธิบายการหาแรงลัพธข์ องแรงสองแรงท่ีทามุมต่อกัน ว.7.1 ม.4/5 เขยี นแผนภาพของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุอสิ ระทดลอง และอธิบายกฎการเคลื่อนที่ของนิว ตันและการใช้กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันกับสภาพการเคลื่อนที่ของวัตถุรวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ๆที่ เกยี่ วข้อง ว.7.1 ม.4/6 อธิบายกฎความโน้มถ่วงสากลและผลของสนามโน้มถ่วงที่ทาให้วัตถุมีน้าหนัก รวมท้ัง คานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง
2 ว.7.1 ม.4/7 วิเคราะห์ อธิบาย และคานวณแรงเสียดทานระหว่างผวิ สัมผัสของวัตถุคูห่ นึง่ ๆ ในกรณี ที่วัตถหุ ยดุ นิง่ และวัตถเุ คลื่อนท่ี รวมทง้ั ทดลองหาสัมประสทิ ธ์ิความเสยี ดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุคู่หน่ึงๆ และนาความรู้เรอ่ื งแรงเสียดทานไปใชใ้ นชีวติ ประจาวัน 3.จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 3.1 หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 เร่อื งธรรมชาตแิ ละพฒั นาการทางฟิสกิ ส์ 1) อธบิ ายวิธกี ารสืบคน้ คน้ หาความรู้ทางฟสิ ิกส์ประวัติความเปน็ มารวมท้ัง พัฒนาการของหลกั การและแนวคดิ ทางฟิสิกส์ทมี่ ีผลต่อการแสวงหาความรู้ใหม่ และการ พฒั นาเทคโนโลยี (K) 2) นักเรียนสามารถอธิบายปริมาณกายภาพ ระบบหน่วยระหว่างชาติได้ นักเรียน สามารถอธิบายความหมายและบอกเลขนยั สาคัญของจานวนหรือปรมิ าณการวัดได้ (K) 3) บอกความสำคัญของการทดลองและรายผลการทดลอง (K) 4) อธิบายและยกตัวอย่างประวัติความเป็นมารวมทั้งพัฒนาการของหลักการและ แนวคิดทางฟิสิกส์ (P) 5) นักเรยี นสามารถระบุหน่วยฐานและตัวอย่างหน่วยอนุพนั ธ์ของระบบเอสไอ นกั เรยี นสามารถใชค้ านาหน้าหนว่ ยให้ใหญข่ นึ้ หรือเลก็ ลง (P) 6) บันทึกผลการวัดโดยใช้ค่าทางสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและค่าความคลาดเคลื่อนของ คา่ เฉลยี่ (P) 7) นกั เรยี นเหน็ คณุ ประโยชน์ของการเรียนวชิ าฟิสิกส์ ตระหนักในคณุ ค่าของ ความรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยที ี่ใชใ้ นชวี ิตประจาวัน และมีวินัยในการเขา้ เรยี น (A) 3.2 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 เรือ่ งองคป์ ระกอบการเคล่ือนท่ี 1) สามารถอธบิ ายความสัมพันธร์ ะหวา่ งตาแหนง่ การกระจัด ความเร็ว และ ความเร่งของการเคลือ่ นที่ของวตั ถุในแนวจากกราฟและสมการได้ (K) 2) สามารถอธิบายและคานวนปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่แนวตรงของวัตถุ จากกราฟตาแหน่งกบั เวลาได้ (P) 3) สามารถยอมรับผลการทางานและมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย (A)
3 3.3 หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 เรอ่ื งกราฟและการเคล่อื นท่ี 1) สามารถอธิบายการหาแรงลัพธ์ของแรงสองแรงท่ที ามุมต่อกัน (K) 2) สามารถทดลองการหาแรงลพั ธข์ องแรงสองแรงทีท่ ามมุ ต่อกันได้ (P) 3) นักเรียนสามารถทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์ ยอมรับความคิดเห็นของ สมาชิกในกล่มุ ได้ (A) 3.4 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 เรอื่ งแรงและการเคลื่อนท่ี 1) สามารถอธิบายกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันและการใช้กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน กับสภาพการเคลือ่ นท่ตี ่างๆได้ (K) 2) สามารถประยกุ ต์ใช้กฎการเคลื่อนที่ของนวิ ตนั ในการแก้ปัญหาและคานวน ปรมิ าณตา่ งๆได้ (P) 3) นักเรียนสามารถยอมรับผลการทางานและมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับ มอบหมาย (A) 3.5 หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 5 เรือ่ งประยกุ ตแ์ รงและการเคลอื่ นท่ี 1) สามารถอธิบายกฎความโน้มถ่วงสากลและผลของสนามโน้มถ่วงที่ทาให้วัตถุมี นา้ หนัก รวมทงั้ คานวณปริมาณตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วข้องได้ (K) 2) สามารถวเิ คราะห์ และอธบิ ายแรงเสียดทานระหวา่ งผวิ สมั ผสั ของวัตถุคู่หน่ึง ๆ ใน กรณที ว่ี ัตถหุ ยดุ นงิ่ และวตั ถเุ คลอ่ื นที่ได้ (K) 3) สามารถวิเคราะหแ์ ละอธิบายผลของสนามโน้มถว่ งของโลกทมี่ ีตอ่ น้าหนกั ของวัตถุ และคานวนปรมิ าณตา่ งๆท่ีเก่ยี วขอ้ งได้ (P) 4) สามารถทดลอง และคานวณหาสัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของ วตั ถคุ ู่หนึ่ง และสามารถนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้ (P) 5) นักเรียนสามารถทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์ ยอมรับความคิดเห็นของ สมาชกิ ในกลุ่มได้ (A)
4 4.สาระสาคญั ฟิสิกส์เป็นวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพสาขาหนึ่งที่เน้นการศึกษาเชิงปริมาณ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์เชิง ปฏบิ ัติ ทฤษฎี หรอื กฎ หรือหลกั การฟสิ กิ ส์ไดม้ าจากการทดลองและการสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ ฟิสิกส์เป็นวิชาที่ศึกษาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ในการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพมีปริมาณใด สมั พันธ์ กัน และการทดลองจึงเป็นการค้นหาคาตอบและความจริงมาวิเคราะห์ อธิบาย ความสาคัญของการ บันทึกข้อมูลจึงนับว่าจาเป็น โดยตัวเลขที่ได้จากการวัดจึงมีความสาคัญในวิชาฟิสิกส์ ตัวเลขเหล่านี้จึงมี นัยสาคัญ เรียกว่า เลขนยั สาคัญ แต่ความถกู ต้องแมน่ ยานัน้ จะไม่ 100 % เนอื่ งจากเครอ่ื งมอื และตวั ผู้วดั เอง ปริมาณที่อธิบายปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ หรือการเปลี่ยนแปลงของปริมาณที่สังเกตอาจจะความยาว มวล เวลา ความเร่งและความดัน เป็นต้น ปริมาณเหล่านี้จะถูกแยกเป็นปริมาณฐานและปริมาณอนุพันธ์ การ กาหนดหน่วยต่างๆ จึงต้องกาหนดให้เข้าใจตรงกันโดยใช้ระบบหน่วยระหว่างชาติ (SI Unit) ตัวพหุคูณที่ใช้ เขียนแทนหนว่ ยฐานหรือหนว่ ยอนุพทั ธ์ทีม่ ีคา่ มากหรอื น้อยเกินไป เรียกวา่ คาอปุ สรรค ความเร็ววตั ถุปริมาณทีเ่ กีย่ วกับการเคลอื่ นทข่ี องวตั ถุ ไดแ้ ก่ ตาแหนง่ การกระจดั ความเร็วและความเร่ง โดยความเร็วและความเรง่ มีท้ังค่าเฉล่ียและค่าขณะหนึ่งซงึ่ คิดในชว่ งเวลาส้ันมาก ๆ เขา้ ใกลศ้ ูนย์ การอธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุสามารถเขียนอยู่ในรูปกราฟตาแหน่งกับเวลาความเร็วกับเวลาหรือ ความเร่งกับเวลาโดยความชันของเส้นกราฟาแหน่งกับเวลาเป็นความเร็วความชันของเส้นกราฟความเร็วกับ เวลาเป็นความเร่งและพื้นที่ใต้เส้นกราฟความเร็วกับเวลาเป็นการกระจัดในกรณีที่ผู้สังเกตความเร็วความเร็ว ของวัตถุสังเกตได้เป็นความเร็วที่เทียบกับผู้สังเกตส่วนการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวตรงกรณีที่มีความเร่งคงท่ี สามารถอธบิ ายได้โดยใช้สมการจลนศาสตร์ 4 สมการการตกแบบเสรเี ป็นตวั อย่างหน่ึงของการเคล่ือนท่ีในหนึ่ง มิตทิ ม่ี คี วามเรง่ เท่ากบั ความเร่งโนม้ ถว่ งของโลก แรงเป็นปริมาณเวกเตอรจ์ ึงมีทั้งขนาดและทิศทางกรณีท่ีมีแรงหลาย ๆ แรงกระทาต่อวัตถุสามารถหา แรงลัพธ์ที่กระทาต่อวัตถุโดยใช้วิธีเขียนเวกเตอร์ของแรงแบบหางต่อหัววิธีสร้างรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานของแรง และวิธคี านวณความเฉ่ือย แรงที่เกิดขึ้นท่ีผิวสัมผสั ระหวา่ งวัตถสุ องกอ้ นในทศิ ทางตรงข้ามกับทิศทางการเคลื่อนทีห่ รอื แนวโนม้ ที่ จะเคลื่อนที่ของวัตถุเรียกว่าแรงเสียดทานซึ่งแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสคู่หนึ่ง ๆ จะขึ้นอยู่กับสัมประสิทธ์ิ ความเสยี ดทานและแรงปฏิกริ ยิ าตั้งฉากระหว่างผิวสัมผัสคนู่ ้ัน ๆ ขณะวตั ถยุ ังคงอยนู่ ่งิ แรงเสยี ดทาน
5 5. สาระการเรยี นรู้ 5.1 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 เรื่องธรรมชาติและพฒั นาการทางฟสิ ิกส์ 1) ธรรมชาตทิ างฟิสกิ ส์ 2) การวัดและรายงานผลการวดั ปริมาณทางฟสิ ิกส์ 3) การทดลองทางฟิสกิ ส์ 5.2 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 เรือ่ งองคป์ ระกอบการเคลอื่ นท่ี 1) ตาแหนง่ 2) การกระจดั และระยะทาง 3) อตั ราเรว็ และความเร็ว 4) อตั ราเร่งและความเรง่ 5.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรอื่ งกราฟการเคลือ่ นที่ 1) กราฟของการเคลือ่ นท่ีแนวตรง 2) สมการสาหรบั การเคล่ือนท่แี นวตรง 3) การตกแบบเสรี 5.4 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 4 เรอื่ งแรงและการเคล่อื นที่ 1) แรง 2) การหาแรงลัพธ์ 3) มวล แรง และกฎการเคลอื่ นท่ี 5.5 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 5 เรอ่ื งประยุกต์แรงและการเคลอื่ นท่ี 1) แรงเสียดทาน 2) แรงดึงดดู ระหวา่ งมวล 3) การประยุกต์ใชก้ ฎการเคลื่อนท่สี าหรบั การเคล่อื นท่ี
6 รหสั วิชา ว31201 คาอธบิ ายรายวิชา รายวิชา ฟิสิกส์ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 1 จานวน 1.5 หนว่ ยกิต จานวน 60 ชั่วโมง ผู้สอน นางสาวอภิญญา เทพโพธา ศึกษาธรรมชาติของวิชาฟิสิกส์ ปริมาณกายภาพและหน่วย การวัด ความคลาดเคลื่อนในการวัดและ การทดลองในวิชาฟิสิกส์ การบอกตาแหน่งของวัตถุ ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ เคลือ่ นทแ่ี นวตรงดว้ ยความเร่งคงตัว แรงและผลของแรงทมี่ ีต่อสภาพการเคลื่อนท่ขี องวตั ถุ กฎการเคล่ือนท่ีของ นิวตัน กฎแรงดึงดดู ระหวา่ งมวล และแรงเสียดทาน การเคลอื่ นท่ีแบบโพรเจกไทล์การเคล่ือนทแ่ี บบวงกลมและ การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบค้นข้อมูล การสารวจ ตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความรู้ ความเขา้ ใจ ความคิด มคี วามสามารถในการส่ือสารสิ่งท่ีเรียนรู้ การตัดสินใจ การ นาความร้ไู ปใช้ในชวี ติ ประจาวนั มจี ติ วิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรมและค่านยิ มทีเ่ หมาะสม มาตรฐานและผลการเรียนรู้ 1) หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟสิ ิกส์: ว. 7.1 ม.4/1 , ว. 7.1 ม.4/2 2) หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 2 การเคล่ือนทแ่ี นวตรง : ว. 7.1 ม.4/3 , ว. 7.1 ม.4/4 3) หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 การเคลื่อนที่แนวตรง : ว. 7.1 ม.4/5 , ว. 7.1 ม.4/6 , ว. 7.1 ม.4/7 รวมทั้งหมด : 7 ผลการเรียนรู้ 21 ตวั ชว้ี ัด
7 รหัสวิชา ว31201 ตารางโครงสร้างรายวชิ า รายวชิ า ฟสิ ิกส์ 1 กลุม่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 ภาคเรยี นที่ 1 จานวน 1.5 หน่วยกิต จานวน 60 ช่ัวโมง ผู้สอน นางสาวอภิญญา เทพโพธา หน่วยที่ ช่ือหน่วยการเรียนรู้ เวลา (ช่ัวโมง) 1 ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์ 1.1 ธรรมชาตทิ างฟสิ กิ ส์ 9 1.2 การวัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟสิ กิ ส์ 3 1.3 การทดลองทางฟิสกิ ส์ 3 3 2 องคป์ ระกอบการเคลอ่ื นท่ี 11 2.1 ตาแหน่ง การกระจดั และระยะทาง 3 2.2 อตั ราเรว็ และความเร็ว 6 2.3 ความเรง่ 2 13 3 กราฟและการเคลือ่ นที่ 5 3.1 กราฟและการเคล่ือนทเี่ คลอ่ื นทีแ่ นวตรง 4 3.2 สมการสาหรับการเคลือ่ นท่แี นวตรง 4 3.3 การตกแบบเสรี 15 2 4 แรงและการเคลือ่ นที่ 4 4.1 แรง 9 4.2 การหาแรงลัพธ์ 12 4.3 มวล แรง และการเคลอื่ นท่ี 5 3 5 ประยกุ ตแ์ รงและการเคลือ่ นที่ 4 5.1 แรงเสียดทาน 5.2 แรงดึงดูดระหวา่ งมวล 5.3 การประยุกต์ใช้กฎการเคลอื่ นท่ีสาหรบั การเคล่ือนท่ี
8 แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 1 รหสั วิชา ว31201 สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา ฟิสกิ สเ์ พ่ิมเตมิ 1 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 เร่อื ง ธรรมชาติและพฒั นาการทางฟิสกิ ส์ เวลา 9 ช่ัวโมง ผู้สอน นางสาวอภญิ ญา เทพโพธา 1. มาตรฐานการเรยี นรู/้ ผลการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ 7.1 : เข้าใจธรรมชาติทางฟสิ ิกส์ ปรมิ าณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนว ตรง แรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของวัตถุ งานและ กฎการอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลื่อนที่แนวโค้ง รวมทั้งนาความรู้ ไปใช้ประโยชน์ ผลการเรยี นรู้ ว.7.1 ม.4/1 สืบค้น และอธิบายการค้นหาความรู้ทางฟิสิกส์ประวัติความเป็นมา รวมทั้งพัฒนาการ ของหลักการและแนวคดิ ทางฟิสกิ สท์ ่ีมผี ลตอ่ การแสวงหาความรู้ใหมแ่ ละการพัฒนาเทคโนโลยี ว.7.1 ม.4/2 วัด และรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ได้ถูกต้องเหมาะสม โดยนาความ คลาดเคลื่อนในการวัดมาพิจารณาในการนาเสนอผล รวมทั้งแสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะห์ และแปลความหมายจากกราฟเสน้ ตรง 2. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1) อธบิ ายวธิ กี ารสบื ค้น คน้ หาความรู้ทางฟิสกิ ส์ประวัตคิ วามเป็นมารวมท้ัง พฒั นาการของหลกั การและแนวคดิ ทางฟสิ กิ ส์ที่มผี ลต่อการแสวงหาความรใู้ หม่ และการ พฒั นาเทคโนโลยี (K) 2) นกั เรยี นสามารถอธบิ ายปรมิ าณกายภาพ ระบบหน่วยระหว่างชาติได้ นักเรยี น สามารถอธบิ ายความหมายและบอกเลขนัยสาคัญของจานวนหรอื ปริมาณการวัดได้ (K) 3) บอกความสาคญั ของการทดลองและรายผลการทดลอง (K) 4) อธบิ ายและยกตวั อยา่ งประวัติความเปน็ มารวมทัง้ พฒั นาการของหลกั การและ แนวคดิ ทางฟิสกิ ส์ (P)
9 5) นักเรยี นสามารถระบุหนว่ ยฐานและตวั อย่างหนว่ ยอนพุ ันธ์ของระบบเอสไอ นกั เรียนสามารถใชค้ านาหนา้ หนว่ ยให้ใหญข่ ้นึ หรอื เล็กลง (P) 6) บันทกึ ผลการวัดโดยใช้คา่ ทางสถติ ิ ไดแ้ ก่ คา่ เฉลีย่ และค่าความคลาดเคลื่อนของ ค่าเฉลี่ย (P) 7) นกั เรยี นเห็นคณุ ประโยชนข์ องการเรยี นวิชาฟิสิกส์ ตระหนักในคณุ คา่ ของ ความรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยที ่ใี ช้ในชวี ติ ประจาวัน และมีวินยั ในการเขา้ เรยี น (A) 3. สาระสาคัญ ฟิสิกส์เป็นวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพสาขาหนึ่งที่เน้นการศึกษาเชิงปริมาณ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์เชิง ปฏบิ ัติ ทฤษฎี หรือกฎ หรือหลกั การฟิสิกส์ไดม้ าจากการทดลองและการสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ แล้ว พยายามหา รูปแบบและหลักการที่เก่ียวข้องกับปรากฏการณ์นั้น ๆ จนเป็นที่ยอมรับและใช้กันอย่าง กวา้ งขวาง เพอื่ นาไปสู่ การสร้างสิ่งใหม่ ๆ มาช่วยในการแก้ปัญหา การสร้างเครื่องอานวยความสะดวก ที่เรียกว่า เทคโนโลยี ปริมาณที่อธิบายปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ หรือการเปลี่ยนแปลงของปริมาณที่สังเกตอาจจะความยาว มวล เวลา ความเร่งและความดัน เป็นต้น ปริมาณเหล่านี้จะถูกแยกเป็นปริมาณฐานและปริมาณอนุพันธ์ การ กาหนดหน่วยต่างๆ จึงต้องกาหนดให้เข้าใจตรงกันโดยใช้ระบบหน่วยระหว่างชาติ (SI Unit) ตัวพหุคูณที่ใช้ เขยี นแทนหนว่ ยฐานหรือหนว่ ยอนุพทั ธ์ท่ีมีค่ามากหรือน้อยเกนิ ไป เรยี กว่า คาอปุ สรรค 4. สาระการเรยี นรู้ 1) ธรรมชาตทิ างฟสิ กิ ส์ 2) การวดั และรายงานผลการวดั ปรมิ าณทางฟสิ ิกส์ 3) การทดลองทางฟสิ กิ ส์ 5.คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ ซอ่ื สัตยส์ ุจรติ มวี นิ ยั ใฝเ่ รียนรู้ อยอู่ ย่างพอเพียง มุ่งมนั่ ในการทางาน รักความเปน็ ไทย มีจิตสาธารณะ
10 6. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี น (เฉพาะท่ีเกดิ ในหนว่ ยการเรยี นรูน้ )้ี ความสามารถในการสอ่ื สาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแกป้ ัญหา ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 7. ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 (3R 8C + 2L) (จดุ เนน้ สู่การพฒั นาคณุ ภาพผ้เู รยี น) ทักษะการอา่ น (Reading) ทักษะการ เขยี น (Writing) ทกั ษะการ คดิ คานวณ (Arithmetic) ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical thinking and problem solving) ทกั ษะดา้ นการสร้างสรรคแ์ ละนวตั กรรม (Creativity and innovation) ทักษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะผู้นา (Collaboration , teamworkand leadership) ทกั ษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural understanding) ทักษะด้าน การสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ (Communication information andmedia literacy) ทกั ษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สาร (Computing) ทักษะอาชีพและทกั ษะการเรยี นรู้ (Career and learning self-reliance, change) ทักษะการเปลย่ี นแปลง (Change) ทกั ษะการเรยี นรู้ (Learning Skills) ภาวะผู้นา (Leadership)
11 8. ภาระงาน/ชนิ้ งาน 1) ใบงานที่ 1.1 เรื่องธรรมชาตขิ องฟิสกิ ส์ 2) ใบงานท่ี 1.2 เรื่องการวดั และรายงานผลการวดั ปรมิ าณทางฟิสิกส์ 3) แบบฝกึ ทักษะที่ 1.1 เร่ืองการวัดและรายงานผลการวดั ปรมิ าณทางฟิสกิ ส์ 4) ใบงานท่ี 3.1 เร่ืองการทดลองทางฟิสกิ ส์ 5) แบบฝึกทักษะที่ 1.2 เรื่องการทดลองทางฟิสิกส์ 9. กจิ กรรมการเรียนรู้ >> หน่วยย่อยที่1 เรื่องธรรมชาตทิ างฟิสกิ ส์ ใชร้ ูปแบบการเรยี นรูแ้ บบแฮรบ์ าร์ต ขัน้ ตอนท่ี 1 ข้นั เตรียม 1.1 ทักทายและเชค็ ชอ่ื นักเรียนและใหผ้ ู้เรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรยี นเพ่ือเปน็ การทบทวน ความรเู้ ดิมทเี่ คยเรียนมา 1.2 ครูเปดิ วิดที ัศนเ์ กีย่ วกับการเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ฝนตก ฟ้ารอ้ ง ฟา้ ผ่า แผน่ ดนิ ไหว และภูเขาไฟระเบดิ 1.3 ครูอธบิ ายให้นกั เรยี นทราบวา่ “ในอดีตมนษุ ยพ์ ยายามอธิบายปรากฏการณธ์ รรมชาติ ดังกล่าว ว่าเกิดจากการกระทาของเทพเจ้าหรือภูตผีปีศาจ ตามความเชื่อของมนุษย์สมัยใน นั้นยุคถัดมามนุษย์เริ่มมีการสังเกตและการบนั ทกึ ผลข้อมูลทีเ่ กดิ ข้ึน เพื่อหาข้อมูลมาอธิบาย ปรากฏการณธ์ รรมชาติดงั กล่าวของมนุษย์ และมีการพัฒนาความรู้ของมนุษยน์ ้ันเกิดขึ้นจาก การสังเกต การบนั ทกึ ข้อมูลและวเิ คราะห์ขอ้ มลู จนมาถงึ ยคุ ปจั จบุ นั ขัน้ ตอนที่ 2 ข้นั สอน 2.1 ครูดาเนินการสอนเกี่ยวกับธรรมชาติของฟิสิกส์ มีความเป็นมาอย่างไร กล่างถึงความหมาย ของฟสิ กิ ส์ ความหมายของเทคโนโลยี การคน้ ควา้ ความรูท้ างฟิสิกส์ ขนั้ ตอนท่ี 3 ขนั้ สมั พนั ธห์ รอื ข้ันทบทวนและเปรียบเทยี บ 3.1 ทบทวนเรื่องที่ได้สอนไปและให้ผู้เรียนเปรียบเทียบกันระหว่างความเชื่อของมนุษย์ในสมัย อดตี และพฒั นาการของหลักการและแนวคิดทางฟิสกิ ส์
12 ขั้นตอนท่ี 4 ข้นั ต้ังกฎหรือขอ้ สรุป 4.1 ถาม-ตอบ ผู้เรียนเพื่อเป็นการทาให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้มากยิ่งขึ้นและให้ผู้เรียนได้จด บนั ทึกไว้ในสมุดเรียนของผเู้ รียน 4.2 ครูถามคาถาม ฟสิ ิกสค์ อื อะไร และวิทยาศาสตรแ์ บง่ ออกเป็นก่สี าขา อะไรบ้าง แนวคำตอบ ฟิสิกส์คือวชิ ำวทิ ยำศำสตร์กำยภำพสำขำหน่ึงท่ีเนน้ ศกึ ษำเกยี่ วกับ ปรำกฏกำรณธ์ รรมชำติ เช่น ศกึ ษำเกีย่ วกับ กำรเคลอ่ื นท่ี มวล แรง พลงั งำน โมเมนตัม ควำมร้อน คลื่น แสง เสียง ไฟฟ้ำ และแม่เหล็ก เป็นต้น โดยที่วิชำฟิสิกส์เป็นวิทยำศำสตร์ที่ เนน้ กำรศกึ ษำเชิงปริมำณ วิทยำศำสตรแ์ บง่ ออกเปน็ 2 สำขำ 1.วิทยำศำสตรก์ ำยภำย 2.วทิ ยำศำสตร์ชวี ภำพ 4.3 ครใู ห้นักเรียนทาใบงานที่ 1 เรอ่ื ง ธรรมชาติของฟสิ กิ ส์ ข้นั ตอนท่ี 5 ขนั้ การนาไปใช้ 5.1 ครูอธิบายว่าฟิสิกส์เปน็ สิ่งที่สามารถพบเจอได้ตลอดเวลาในชีวิตประจาวัน การนาฟิสิกส์ไป ประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ได้อย่างไร พรอ้ มยกตวั อย่างให้ผเู้ รยี นเขา้ ใจไดม้ ากย่งิ ขึ้น >> หนว่ ยย่อยที่2 เร่ืองการวัดและรายงานผลการวดั ปริมาณทางฟิสิกส์ ใช้รูปแบบการเรยี นร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขนั้ ตอนที่ 1 ขัน้ นาเข้าสบู่ ทเรยี น (Engagement Phase) 1.1 ทักทายและเชค็ ชอื่ นกั เรียนรว่ มกนั สนทนาเก่ียวกับการวดั และปริมาณทางฟสิ ิกส์ 1.2 ครูถามนักเรียนว่า ปริมาณทางฟิสิกส์แบ่งออกเป็นปริมาณได้บ้าง นักเรียนร่วมกันตอบ คาถาม 1.3 ครถู ามคาถาม “การบอกปริมาณในทางฟิสิกสจ์ าเป็นตอ้ งมกี ารบอกหน่วยกากบั ไวด้ ้วย หรอื ไมอ่ ย่างไร” เพือ่ เปน็ การกระตนุ้ ใหน้ กั เรียนร่วมกนั คิด (แนวตอบ : ฟิสิกส์เป็นวิชำที่เน้นศึกษำในเชิงปริมำณทำงกำยภำพ เช่น มวล แรง ควำมยำว เวลำ อุณหภูมิ เป็นต้น และข้อมูลที่ได้จะเป็นตัวเลข ดังนั้นเพื่อให้สื่อสำรในสิ่งที่ต้องกำรศึกษำให้ ผู้อ่นื เขำ้ ใจง่ำยตอ่ กำรนำไปใช้ประโยชน์ จึงจำเปน็ ตอ้ งมีหน่วยกำกับในกำรวัดปรมิ ำณน้นั ๆ ดว้ ย) 1.4 นกั เรียนร่วมชว่ ยกันตอบคาถาม ครอู าจจะเลอื กคาตอบทไี่ ม่ชดั เจน มาอภปิ รายร่วมกนั 1.5 ครอู าจอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับปริมาณท่เี กย่ี วข้องกับวิชาฟิสิกส์ อีก 2 ปริมาณ คือ เวกเตอร์ และเสกลาร์ ซง่ึ ปรมิ าณสเกลาร์ คือ ปริมาณท่กี าหนดแต่เพียงขนาด ก็มคี วามหมายสเกลาร์ เช่น ระยะทาง เวลา พื้นที่ ส่วนปริมาณเวกเตอร์ คือ ปริมาณที่ต้องกาหนดทั้งขนาดและ ทิศทาง จึงจะมคี วามหมาย เชน่ แรง การกระจัด เปน็ ต้น
13 ขนั้ ตอนท่ี 2 ขัน้ สารวจและคน้ พบ (Exploration Phase) 2.1 ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลจากหนังสือเรียนฟิสิกส์เพิ่มเติม ม.4 เล่ม 1 เกี่ยวกับการวัดและ รายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์และจากใบความรู้ที่ 2 การวัดและรายงานผลการวัด ปริมาณทางฟสิ ิกส์ ข้นั ตอนที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรปุ ( Explanation Phase) 3.1 ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวัด ปริมาณและหน่วยทางฟิสิกส์ เพื่อเป็นการสรุปใจความ สาคัญให้นักเรยี นไดจ้ ดบันทกึ ข้อมลู 3.2 ครูให้นกั เรียนทาใบงานที่ 2 และแบบฝึกทกั ษะที่ 1 เรอื่ ง การวดั และรายงานผลการวดั ปริมาณทางฟสิ กิ ส์ ขน้ั ตอนที่ 4 ข้ันขยายความรู้ (Expansion Phase) 4.1 ครูส่งเสริมให้นักเรียนได้เข้าใจในเรื่องคาอุปสรรคและการเปลี่ยนหน่วยมากขึ้น 4.2 ครูตรวจสอบการแทนค่า การเปล่ยี นหนว่ ย การคานวณ วา่ ตรงกบั โจทย์กาหนดใหห้ รือไม่ และคาตอบถูกหรือไม่ ถา้ ตรงกนั สรุปได้วา่ คาตอบนั้นถูกต้อง ขั้นตอนท่ี 5 ข้ันประเมนิ (Evaluation) 5.1 สงั เกตพฤติกรรมการเรียนรู้และการร่วมกิจกรรมของนกั เรียน 5.2 ประเมินจากการทาใบงานที่ 2 และแบบฝึกทักษะที่ 1 เรื่อง การวัดและรายงานผลการวัด ปรมิ าณทางฟิสกิ ส์ >> หนว่ ยย่อยท3่ี เร่ืองการทดลองทางฟิสกิ ส์ ใชร้ ูปแบบการเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขน้ั ตอนที่ 1 ขน้ั นำเขา้ สบู่ ทเรียน (Engagement Phase) 1.1 ทกั ทายและเช็คชอ่ื ร่วมกนั สนทนาเกย่ี วกับ “การทดลอง มคี วามสําคัญอยา่ งไร 1.2 นักเรียนและครรู ว่ มกันอภิปรายเก่ียวกับ “การบนั ทึกข้อมลู ทไ่ี ด้จากการทดลองโดยเฉพาะ จากเคร่ืองมือแบบสเกลจะเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ 1.3 แจ้งให้นกั เรียนทราบว่าจะได้ศึกษาเกีย่ วกบั การทดลองทางฟิสิกส์ ขั้นตอนท่ี 2 ขนั้ สำรวจและคน้ พบ (Exploration Phase) 2.1 ครูให้นกั เรียนสบื ค้นข้อมูลจากหนังสือเรยี นฟิสิกส์เพิม่ เติม ม.4 เล่ม 1 เก่ียวกบั การทดลอง ทางฟสิ ิกส์ ขน้ั ตอนท่ี 3 ข้ันอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ ( Explanation Phase) 3.1 นกั เรียนนาํ ข้อมลู จากข้ันการสบื ค้นขอ้ มลู มาอภปิ รายรว่ มกับครู 3.2 ครอู ธิบายเพิ่มเติมเกย่ี วกับการทดลอง รายงานผลทางฟสิ ิกส์และสมการเส้นตรงมี ความสำคญั อย่างไร
14 3.3 ครใู หน้ ักเรียนทำใบงานที่ 3 และแบบฝึกทกั ษะที่ 2 เรื่อง การทดลองทางฟสิ กิ ส์ ขน้ั ตอนที่ 4 ข้นั ขยายความรู้ (Expansion Phase) 4.1 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปราย เกี่ยวกับ การรายงานความคลาดเคลื่อน การเขียนกราฟ และการหาความความชัน จากใบงานที่ 3 และแบบฝกึ ทกั ษะที่ 2 เรื่อง การทดลองทาง ฟสิ ิกส์ ข้ันตอนท่ี 5 ขั้นประเมิน (Evaluation) 5.1 สังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้และการรว่ มกจิ กรรมของนักเรยี น 5.2 ประเมินจากการทำใบงานท่ี 3 และแบบฝกึ ทกั ษะท่ี 2 เรื่อง การทดลองทางฟสิ กิ ส์ 10. สอ่ื การเรยี นรู้ 1) หนงั สอื เรียนรายวิชาเพม่ิ เตมิ ฟิสิกส์ เลม่ 1 2) ใบความรทู้ ่ี 1.1 เร่ืองธรรมชาตขิ องฟิสกิ ส์ 3) PowerPoint เรอ่ื งธรรมชาตขิ องฟิสิกส์ 4) ใบความรู้ท่ี 1.2 เร่อื งการวดั และการบันทกึ ผลการวัดปริมาณทางฟสิ ิกส์ 5) PowerPoint เรือ่ งการวัดและรายงานผลการวัดปรมิ าณทางฟิสิกส์ 6) ใบงานที่ 1.3 เรื่องการทดลองทางฟสิ ิกส์ 7) PowerPoint เรือ่ งการทดลองทางฟิสิกส์ 11. แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องสมุด 2) หอ้ งเรียน
15 12. การวดั ผลและประเมนิ ผล สงิ่ ท่ีต้องการวดั /ประเมนิ ผล วิธีการวัด เครอื่ งมือ เกณฑ์การประเมิน 1.ด้านความรู้(Knowledge) 1.1 อธบิ ายวิธกี ารสืบค้น ค้นหา วดั จากการตอบ - ใบงานที่ 1.1 เร่อื ง - ตอบคาถามถูกตอ้ งรอ้ ย ธรรมชาติของฟิสิกส์ ละ 70 ข้นึ ไป ความรูท้ างฟสิ ิกส์ประวตั ิความ คาถามใบงานที่ 1.1 เปน็ มารวมทั้งพัฒนาการของ เรอ่ื งธรรมชาติของ หลักการและแนวคดิ ทางฟิสิกสท์ ม่ี ี ฟิสิกส์ ผลตอ่ การแสวงหาความรู้ใหม่และ การพัฒนาเทคโนโลยี 1.2 นักเรียนสามารถอธิบาย วัดจากการตอบ - ใบงานที่ 1.2 เรื่อง - ตอบคาถามถูกตอ้ งรอ้ ย การวัดและรายงาน ละ 70 ขึ้นไป ปรมิ าณกายภาพ ระบบหน่วย คาถามใบงานที่ 1.2 ผลการวัดปริมาณ ทางฟิสิกส์ ระหวา่ งชาติได้ นกั เรียนสามารถ เรื่องการวัดและ - ใบงานท่ี 1.3 เรือ่ ง - ตอบคาถามถูกต้องร้อย อธิบายความหมายและบอกลข รายงานผลการวัด การทดลองทาง ละ 70 ขึ้นไป ฟิสกิ ส์ นัยสาคัญของจานวนหรือปริมาณ ปริมาณทางฟสิ ิกส์ การวัดได้ 1.3 บอกความสาคัญของการ วดั จากการตอบ ทดลองและรายงานผลการทดลอง คาถามใบงานท่ี 1.3 เรอ่ื งการทดลองทาง ฟสิ ิกส์ 2.ด้านทักษะ/กระบวนการ (Process) 2.1 อธิบายและยกตัวอยา่ งประวัติ วัดจากการตอบ - ใบงานที่ 1.1 เรื่อง - ตอบคาถามถูกต้องรอ้ ย ความเปน็ มารวมทั้งพฒั นาการของ คาถามใบงานท่ี 1.1 ธรรมชาตขิ องฟิสิกส์ ละ 70 ข้นึ ไป หลกั การและแนวคดิ ทางฟิสกิ ส์ เร่ืองธรรมชาตขิ อง ฟิสกิ ส์ 2.2 นักเรยี นสามารถระบหุ น่วย วัดจากการตอบ - แบบฝกึ ทักษะที่ - ตอบคาถามถูกต้องร้อย ฐานและตวั อยา่ งหน่วยอนุพนั ธข์ อง คาถามแบบฝึกทักษะ 1.1 เรอื่ งการวัดและ ละ 70 ขึ้นไป ระบบเอสไอ นักเรยี นสามารถใชค้ า ที่ 1.1 เร่อื งการวัด รายงานผลการวัด นาหนา้ หนว่ ยให้ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง และรายงานผลการ ปรมิ าณทางฟิสิกส์ วัดปรมิ าณทางฟสิ ิกส์
16 2.3 บันทกึ ผลการวัดโดยใชค้ ่าทาง วดั จากการตอบ - แบบฝกึ ทกั ษะที่ - ตอบคาถามถูกตอ้ งรอ้ ย 1.2 เร่อื งการทดลอง ละ 70 ขึ้นไป สถติ ิไดแ้ ก่ ค่าเฉล่ยี และคา่ ความ คาถามแบบฝกึ ทักษะ ทางฟสิ ิกส์ - ได้คะแนนระดับ ดี ขึ้นไป คลาดเคลื่อนของคา่ เฉลยี่ ท่ี 1.2 เร่ืองการ - แบบประเมิน คุณลักษณะอันพงึ ทดลองทางฟสิ ิกส์ ประสงค์ 3.ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (Attitude) 3.1 นักเรียนเหน็ คณุ ประโยชน์ของ การสงั เกตพฤติกรรม การเรียนวชิ าฟิสิกส์ ตระหนักใน การเหน็ คณุ คา่ คณุ ค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และ คณุ ประโยชน์ของ เทคโนโลยที ่ใี ชใ้ นชีวติ ประจาวนั การเรยี นวิชาฟิสิกส์ และมีวินัยในการเขา้ เรียน เกณฑ์การให้คะแนน ระดับคะแนน 80-100% ให้ ดีมาก ระดับคะแนน 70-79% ให้ ดี ระดบั คะแนน 60-69% ให้ ปานกลาง ระดบั คะแนน 50-59 % ให้ พอใช้ ระดบั คะแนน 0 - 49% ให้ ปรับปรงุ
17 สมรรถะสาคญั ของผ้เู รยี น วิธกี ารวัด เครอ่ื งมอื วดั เกณฑ์การประเมิน 1.ความสามารถในการ สังเกต สอื่ สาร พฤตกิ รรม แบบสงั เกตพฤติกรรม ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 60 2.ความสามารถในการคดิ ประเมนิ จาก ขึ้นไป ใบงาน ใบงานที่ 1.1 เรื่อง ธรรมชาติของ ผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ 60 ฟิสิกส์ ข้นึ ไป ใบงานท่ี 1.2 เรือ่ งการวัดและและ รายงานผลการวัดปริมาณทาง ฟิสกิ ส์ ใบงานท่ี 1.3 เรอื่ งการทดลองทาง ฟิสิกส์ แบบฝึกทักษะที่ 1.1 การวัดและ และรายงานผลการวัดปริมาณ ทางฟิสกิ ส์ แบบฝึกทักษะที่ 1.2 เรื่องการ ทดลองทางฟสิ กิ ส์ 3.ความสามารถในการใช้ สังเกต แบบประเมินพฤติกรรมการเรียน ได้คะแนนระดบั ดี ขนึ้ ไป ทักษะชวี ิต พฤติกรรม และการมีส่วนรว่ มในชัน้ เรยี น เกณฑก์ ารให้คะแนน ระดบั คะแนน 80-100% ให้ ดมี าก ระดับคะแนน 70-79% ให้ ดี ระดบั คะแนน 60-69% ให้ ปานกลาง ระดบั คะแนน 50-59 % ให้ พอใช้ ระดับคะแนน 0 - 49% ให้ ปรบั ปรุง
18 แบบประเมนิ พฤติกรรมการเรียนและการมสี ว่ นร่วมในชัน้ เรยี น คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมและการมสี ว่ นร่วมในชั้นเรียนของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลา เรียน และขีด ลงในช่องท่ตี รงกับระดบั คะแนน ลาดบั พฤตกิ รรมทส่ี ังเกต คณุ ภาพการปฏบิ ตั ิการ ที่ 43 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 ยอมรับฟังความคดิ เห็นของผูอ้ ่นื 3 รบั ผดิ ชอบในงานที่ไดร้ ับมอบหมาย 4 ความมนี า้ ใจ 5 การตรงตอ่ เวลา ลงชื่อ ................................................... ผปู้ ระเมิน ................../................/............... เกณฑ์การใหค้ ะแนน ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมอยา่ งสม่าเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้งั ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางคร้ัง ให้ 2 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมนอ้ ยครั้งหรอื ไมเ่ คยปฏบิ ัติเลย ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ 0-7 คะแนน ระดบั คุณภาพ 1 หมายถึง ปรับปรุง 8-10 คะแนน ระดับคุณภาพ 2 หมายถงึ พอใช้ 11-13 คะแนน ระดบั คุณภาพ 3 หมายถงึ ดี 14-15 คะแนน ระดับคุณภาพ 4 หมายถึง ดมี าก
19 แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ สิง่ ทต่ี ้องการวดั / คาอธบิ ายคุณภาพ ประเมนิ ผล ดมี าก (4) ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรุง (1) 1. เข้าเรียนตรงต่อเวลา เขา้ เรียนตรงต่อเวลา ไม่เข้าเรียนตรงต่อ 2. ความสนใจเรียน เข้าเรยี นตรงต่อ เข้าเรยี นตรงต่อเวลา บ้างบางครัง้ เวลาเลย มีความกระตือรอื ร้น มคี วามกระตือรือร้น 3. มีระเบียบวินัย เวลาสม่าเสมอดีมาก สม่าเสมอ ในการเรยี นดี ในการเรยี นดี 4. ความรบั ผดิ ชอบ และสมา่ เสมอ แตไ่ มส่ ม่าเสมอ มคี วามกระตือรอื ร้น มีความกระตือรือรน้ ทางานเปน็ ระเบียบ ทางานไม่เปน็ ระเบียบ แต่ไม่ถูกต้องบ้าง และไม่ถูกตอ้ งบ้าง ในการเรียนดมี าก ในการเรียนดีมาก ทางานท่ีไดร้ บั ทางานท่ีไดร้ ับ มอบหมายดี มอบหมายพอใช้ แต่ไม่สม่าเสมอ มคี วามถูกต้อง มีความถูกตอ้ งบ้าง เปน็ บางคร้ัง ทางานเป็นระเบยี บ ทางานเป็นระเบียบ และถูกต้องหมด และถูกตอ้ งบา้ ง ทางานที่ได้รับ ทางานท่ีไดร้ ับ มอบหมายดี มอบหมายดี มคี วามถูกตอ้ ง มคี วามถูกต้อง ตรงเวลา เกณฑ์การตัดสนิ คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ 13 - 16 ดมี าก 9 - 12 ดี 5-8 พอใช้ 0-4 ปรับปรงุ
20 กิจกรรมเสนอแนะ ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... บนั ทึกผลหลงั สอน สรุปผลการเรียนการสอน นกั เรียนท้งั หมดจานวน ........ คน จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ข้อท่ี จานวนนกั เรยี นท่ผี า่ น จานวนนกั เรยี นทไี่ มผ่ ่าน 1 จานวนคน รอ้ ยละ จานวนคน รอ้ ยละ 2 3 ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแกไ้ ข ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ข้อเสนอแนะ ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงชอื่ .......................................................... () ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ..................................... ลงช่อื .......................................................... หวั หน้ากลุม่ สาระการเรยี นรู้ () ลงช่อื .......................................................... รองผู้อานวยการกลุ่มบริหารวชิ าการ ()
21 ความเห็นของหัวหนา้ สถานศกึ ษา ได้ทาการตรวจแผนการเรียนรู้ของ......................................... แล้วมคี วามคดิ เหน็ ดังน้ี 1. เป็นแผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ดมี าก ดี พอใช้ ควรปรับปรงุ 2. การจดั กจิ กรรมไดน้ าเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเปน็ สาคญั มาใชใ้ นการสอนได้อยา่ งเหมาะสม ยังไมเ่ นน้ ผูเ้ รียนเปน็ สาคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. ขอ้ เสนอแนะอนื่ ๆ ............................................................................................................................. ........................... ....................................................................................................... ................................................. ............................................................................................................................. ........................... ลงช่ือ...................................................... () ผอู้ านวยการโรงเรียน.............................................
22 ใบความร้ทู ี่ 1.1 เรอื่ ง ธรรมชาติของฟิสกิ ส์ วิชาวิทยาศาสตร์ คือ วิชาที่เน้นศึกษาเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ปรากฏการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ แบ่งออกได้เป็น 2 สาขาหลกั คอื 1. วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ (biological science) คอื การศกึ ษาเฉพาะส่วนทีเ่ ก่ยี วกบั ส่ิงมชี วี ิต เชน่ พืช และสัตว์ 2. วิทยาศาสตร์กายภาพ (physical science) คือ การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ฟิสิกส์ เคมี ธรณีวิทยา และดาราศาสตร์ เป็นตน้ 1.1 การคน้ ควา้ หาความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ มีวธิ ีการ 2 ทาง 1. ไดม้ าจากการสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติและจากการทดลองในห้องปฏบิ ัตกิ าร โดยใชเ้ ครื่องมือ ต่างๆ กันเท่าที่นักวิทยาศาสตร์สามารถจะทาได้แล้วรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์แปลความหมาย และสรุปผล ข้อสรุปที่ได้นี้อาจนาไปสู่ทฤษฎถี ้าทฤษฎีน้ีสามารถอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติทีเ่ กี่ยวข้องได้ทุกคร้ัง ทฤษฎี ดงั กล่าวจะพัฒนาไปเปน็ กฎ 2. ได้จากการจินตนาการโดยการสร้างแบบจาลอง (Model) ทางความคิด โดยใช้หลักการทาง วิทยาศาสตร์เพื่อนาไปสู่การสรุปเป็นทฤษฎีและมีการทดลองเพื่อตรวจสอบทฤษฎีนั้นๆ ทฤษฎีหรือกฎต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ที่ได้มาจากท่ีได้กล่าวไวข้ ้างต้น จะต้องอาศัยข้อมูลที่ละเอียดและแม่นยา ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับ ขดี จากัดของการสงั เกต และประสิทธภิ าพของเคร่อื งมือวัด จงึ ทาใหว้ ชิ าวิทยาศาสตรม์ ีขอบเขต 1.2 วิชาฟิสกิ ส์ วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพสาขาหนึ่งที่เน้นศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ เชน่ ศึกษาเกี่ยวกับ การเคลอ่ื นท่ี มวล แรง พลังงาน โมเมนตัม ความร้อน คลื่น แสง เสียง ไฟฟา้ และแมเ่ หลก็ เป็น ต้น โดยท่วี ิชาฟสิ กิ ส์เป็นวทิ ยาศาสตรท์ ี่เนน้ การศึกษาเชิงปริมาณ ขอ้ มลู ที่ได้จากการศกึ ษาทางด้านฟสิ ิกส์ถกู แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื 1. ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) เป็นข้อมูลที่ได้จากการสังเกตตามขอบเขตการรับรู้ เช่น รส, รปู , กลิ่น และสี เป็นต้น ซึง่ ขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพเป็นข้อมลู ท่วี ดั ไมไ่ ด้ 2. ขอ้ มูลเชงิ กายภาพ (Quantitative Data) เปน็ ขอ้ มูลที่ได้จากการวดั ปริมาณต่างๆ ของระบบที่เรา กาลงั ศึกษาโดยใช้เครือ่ งมอื วดั และวธิ ีวัดท่ีถกู ตอ้ ง ทาให้ไดข้ อ้ มูลออกมาเป็นเชิงตวั เลข เช่น ระยะทาง เวลามวล และอณุ หภมู ิ เป็นตน้ การนาฟสิ ิกส์ไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจาวนั เราใชค้ วามร้ทู างฟิสกิ สป์ ระดษิ ฐ์อุปกรณ์และเครอื่ งใช้ ต่างๆ เพ่ืออานวยความสะดวกในชวี ิตประจาวนั เช่น เครอื่ งผ่อนแรงแบบตา่ งๆ เคร่ืองใช้ไฟฟา้ เครื่องจกั รกล ท่ี อยอู่ าศยั เป็นต้น
23 1.3 เทคโนโลยี เทคโนโลยีเป็นการพัฒนาวิธีการในการสรา้ ง หรอื การผลติ ส่ิงต่างๆ เพือ่ อานวยความสะดวกแก่มนุษย์ โดยตรง
24 ใบงานท่ี 1.1 เรื่อง ธรรมชาตขิ องฟิสกิ ส์ คาชี้แจง : ให้เติมข้อความหรือความหมายของคาต่อไปน้ีใหส้ มบูรณ์ 1.ฟสิ ิกส์ หมายถงึ ............................................................................................................................. ................................................. .......................................................................................................................................... .................................... ............................................................................................... ...................................................................... ......... 2.วิทยาศาสตร์แบง่ ไดก้ ี่สาขา อะไรบ้าง ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3.เทคโนโลยี คือ ............................................................................................................. ..................... .............................................................................................................................................................................. ....................................................................................................................................................................... ....... .............................................................................................................................................................................. 4.เราสามารถนาความรูท้ างฟิสกิ สไ์ ปประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิตประจาวันอย่างไรบ้าง ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ....................................................................... ............................................................................................... ........
25 เฉลยใบงานที่ 1.1 เร่ือง ธรรมชาติของฟิสกิ ส์ คาชแี้ จง : ใหเ้ ติมข้อความหรอื ความหมายของคาตอ่ ไปนี้ใหส้ มบรู ณ์ 1.ฟิสกิ ส์ หมายถึง วิชาฟสิ ิกส์เปน็ วิชาวทิ ยาศาสตร์กายภาพสาขาหน่ึงท่ีเน้นศึกษาเกี่ยวกบั ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เชน่ ศกึ ษา เกีย่ วกบั การเคลอื่ นที่ มวล แรง พลังงาน โมเมนตัม ความร้อน คล่นื แสง เสียง ไฟฟา้ และแมเ่ หล็ก เปน็ ตน้ โดยทวี่ ิชาฟิสกิ สเ์ ปน็ วทิ ยาศาสตรท์ ี่เนน้ การศึกษาเชงิ ปริมาณ 2.วทิ ยาศาสตร์แบ่งได้กี่สาขา อะไรบา้ ง วิชาวทิ ยาศาสตร์ แบ่งออกได้เปน็ 2 สาขาหลกั คอื 1. วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (biological science) คือ การศึกษาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต เช่น พชื และสตั ว์ 2. วทิ ยาศาสตร์กายภาพ (physical science) คือ การศึกษาเก่ยี วกับสง่ิ ไมม่ ชี วี ติ เช่น ฟิสิกส์ เคมี ธรณีวทิ ยา และดาราศาสตร์ เป็นต้น 3.เทคโนโลยหี มายถึง เทคโนโลยีเป็นการพัฒนาวิธีการในการสร้าง หรือการผลิตสิ่งต่างๆ เพื่ออานวยความสะดวกแก่มนุษย์ โดยตรง 4.เราสามารถนาความรู้ทางฟิสกิ สไ์ ปประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวนั อย่างไรบ้าง เราใช้ความรู้ทางฟิสิกส์ประดิษฐ์อุปกรณแ์ ละเครอ่ื งใชต้ า่ งๆ เพ่ืออานวยความสะดวกในชีวิตประจาวนั เช่น เครื่องผ่อนแรงแบบต่างๆ เครือ่ งใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล ทีอ่ ยู่อาศัย เปน็ ต้น
26 ใบความร้ทู ี่ 1.2 เรอ่ื ง การวัดและการบนั ทึกผลการวัดปรมิ าณทางฟสิ ิกส์ 1. เครอื่ งมือวัดทางวิทยาศาสตร์ ความรู้ต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ทางฟิสิกส์ที่มีการค้นพบข้อมูลใหม่ ๆ ต้อง อาศัยเครื่องมือวัด และผู้ที่จะใช้ก็ต้องทําความรูจ้ ักทําความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เคร่ืองมือวัดต่าง ๆ ให้ถ้องแท้ เพื่อจะได้สามารถตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือวัดให้เหมาะสมกับงานที่ทําเพื่อความปลอดภัยในการทํางาน ประหยัดเวลา เช่น การวัดอุณหภูมิในเตาเผา ซึ่งมีอุณหภูมิสูงมากเป็นพันองศาเซลเซียส เทอร์โมมิเตอร์แบบ หลอดแกว้ ภายในบรรจขุ องเหลวใชว้ ัดอุณหภูมไิ มไ่ ด้ ต้องวัดด้วย ไพโรมเิ ตอร์ (Pyrometer) เครอ่ื งมอื วดั ต่าง ๆ ทางวทิ ยาศาสตรม์ ีการพฒั นาออกมาเร่ือย ๆ ควรตดิ ตามสอบถามจากบริษัทผู้ผลิต หรือบริษัทจําหน่ายเครื่องมือวัดทางวิทยาศาสตร์ เพื่อจะได้ทราบข้อมูลข่าวสาร ประโยชน์และวิธีการใช้ เครื่องมือวัดเหลา่ นั้น เพื่อชว่ ยใหป้ ระหยัดเวลาในการคน้ หาความรใู้ หม่ การแสดงผลจากการวัด ปัจจุบันนี้เครื่องมือวัดมีภาคแสดงของเครอ่ื งมือวดั 2 แบบ คือ 1. เคร่อื งมือวัดทแ่ี สดงผลแบบขดี สเกล เป็นรูปแบบแสดงของเคร่ืองมือวดั ท่ใี ช้กันมานาน และยังใช้ ต่อเนอ่ื งกันมาจนถงึ ปัจจบุ นั เชน่ สเกลไม้บรรทัด สเกลโวลตม์ เิ ตอร์ สเกลบนกระบอกตวง เป็นตน้ 2. เครื่องมือวัดที่แสดงผลแบบตัวเลข การแสดงผลแบบนี้เริ่มมีความนิยม นํามาใช้แทนการแสดงผล แบบสเกลมากขึ้นในปัจจบุ นั เนอ่ื งจากสะดวกและรวดเรว็ กว่าการอา่ นภาคแสดงผลแบบขดี สเกล ลองสังเกตได้ จากสิ่งของเครื่องใช้ท่ใี ชอ้ ยใู่ นชวี ิตประจาํ วนั เช่น นาฬิกาข้อมือแบบตัวเลข เป็นตน้ การอา่ นผลจากเครอ่ื งมือวดั 1. การอา่ นผลจากเคร่ืองมือวัดทแี่ สดงผลแบบขดี สเกล การอา่ นผลจากเครือ่ งมือวดั ที่แสดงผลแบบขดี สเกลจะประกอบด้วย ข้อมลู 2 สว่ น คอื 1.1 ส่วนท่ีอา่ นได้โดยตรงจากเครอ่ื งมอื วดั 1.2 สว่ นท่ตี อ้ งประมาณคา่ ดว้ ยสายตา 2. การอ่านค่าจากเครื่องมือวัดแบบแสดงผลด้วยตัวเลข การอ่านค่าจากเครื่องมือวัดแบบ แสดงด้วยตัวเลขนั้นจะเป็นการอ่านโดยตรงตามตัวเลขที่แสดงบนจอภาพสําหรับค่าความไม่แน่อน หรือค่า ความคลาดเคลือ่ นของผลการวดั ให้ดจู ากคูม่ อื ประกอบการใชง้ านของเคร่ืองมือนั้นๆ 2.ปรมิ าณทางฟสิ ิกส์ (Physical Quantity) และหนว่ ย (Unit) องค์การระหว่างชาติเพื่อการมาตรฐาน (ISO หรือ International Organization for Standardization) ได้กำหนดระบบหน่วยมาตรฐาน คือ ระบบเอสไอ (SI Unit) ใหท้ กุ ประเทศใช้กันทว่ั โลก แบ่งเปน็ 3 ส่วน คือ
27 2.1 หน่วยฐาน (Base Unit) คือ ปริมาณขั้นต้นที่จำเป็นต่อการอธิบายปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ มี 7 ปริมาณ ดังตาราง หน่วยฐาน สญั ลกั ษณ์ ใชก้ บั ปรมิ าณ เมตร (Meter) * m เกี่ยวกับความยาวเช่น ระยะทาง (s) ,การกระจัด (���⃑���) , ความสูง (h) , ความยาว (l) , รัศมี (r) กิโลกรมั (Kilogram) * Kg มวล (m) วนิ าที (Second) * S เวลา (t) , คาบ (T) แอมแปร์ (Ampere) A กระแสไฟฟา้ (I) เคลวิน (Kelvin) K อณุ หภมู ิ (T) โมล (Mole) Mol บง่ บอกจำนวนอนุภาคของสาร (n) แคลเดลา (Candela) Cd ความเข้มของการส่องสวา่ ง (I) 2.2 หนว่ ยอนุพัทธ์ (Derived Unit) คอื ปริมาณทเ่ี กิดขึ้นจากการนำหน่วยฐานมารวมกนั แสดงตวั อยา่ งดงั ตาราง ปรมิ าณอนุพัทธ์ หนว่ ย สัญลกั ษณ์ เทียบเป็นหนว่ ยฐาน ความเร็ว (Velocity) เมตรต่อวินาที m/s และอนุพัทธ์อน่ื 1 m / s = 1m 1s ความเร่ง เมตรต่อวินาที2 m/s2 1 m / s2 = 1 m (Acceleration) s ×1s 1 แรง (Force) นิวตัน N 1 N = 1 kg. m /s2 งาน พลังงาน (Work) จูล J 1 J = 1 N.m กำลงั (Power) วตั ต์ W 1 W = 1 J /s โมเมนตัม กิโลกรมั ∙ เมตร/วินาที kg ∙ m/s - ความดัน (Pressure) พาสคาล Pa ความถ่ี (Frequency) เฮิรตซ์ Hz 1 Pa = 1 N / m2 1 Hz = 1 s – 1
28 3. คำอปุ สรรค (Prefixes) คำอุปสรรค คือ คำที่ใช้แทนตัวพหุคูณที่อยู่หน้าหน่วยฐานหรือหน่วยอนุพันธ์ที่มีค่ามากเกินไปหรือ น้อยเกินไป เมื่อค่าในหน่วยฐานหรือหน่วยอนุพัทธ์น้อยหรือมากเกินไปเราอาจเขียนค่านั้นอยู่ในรูปตัวเลขคูณ ดว้ ยตัวพหคุ ูณ (ตวั พหคุ ูณ คือ เลขสบิ ยกกำลังบวกหรอื ลบ) ได้ เชน่ ระยะทาง 0.002 เมตร เขียนเป็น2 × 10-3 ตัวพหคุ ณู 10-3 เขียนแทนดว้ ยคำอปุ สรรค มลิ ลิ (m) ดังน้ัน ระยะทาง 0.002 เมตร อาจเขียนได้ว่า 2 มิลลิเมตร คำอุปสรรคท่ีใชแ้ ทนตัวพหุคณู และสญั ลกั ษณ์แสดงได้ ดังตาราง คำอปุ สรรค สัญลักษณ์ ตัวพหุคูณ คำอปุ สรรค สัญลกั ษณ์ ตัวพหคุ ณู เทอรา T 1012 พิโค P 10-12 จิกะ G 109 นาโน n 10-9 เมกะ M 106 ไมโคร 10-6 กโิ ล k 103 มิลลิ ������ 10-3 เฮกโต H 102 เซนติ m 10-2 เดคา da 10 เดซิ c 10-1 d 3.1 การบนั ทกึ ข้อมลู ท่ีมีคา่ มากหรอื น้อย ในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บ่อยครั้งที่ต้องเกี่ยวข้องกับเลขจำนวนที่มีค่าน้อยๆ หรือมีค่ามากๆ การเขยี นเลขจำนวนดังกลา่ วตามวธิ ปี กตมิ ักไม่คอ่ ยสะดวก ตัวอยา่ งเชน่ ความยาวของคลน่ื แสงสแี ดง = 0.000 000 76 เมตร อตั ราเรว็ ของแสงในสญุ ญากาศ = 300 000 000 เมตร/วินาที ความถ่ขี องแสงสีแดง = 390 000 000 000 000 เฮิรตซ์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเขียนเลขหลายๆ ตัว จึงนิยมเขียนเลขจำนวนนั้นให้กะทัดรัด โดยอาศัยเลขยกกำลังของฐาน 10 เชน่ 10 = 10 10.1 = 10-1 100 = 100 0.01 = 10-2 1000 = 103 0.001 = 10-3 10000 = 104 0.0001 = 10-4 เปน็ ตน้ *ข้อควรจำ* 102 = 102 × 10−2 = 102−2 = 100 = 1 102
29 ตวั อย่างท่ี 1 จงเขียนเลขจำนวนต่อไปน้ีใหอ้ ยู่ในรปู เลขยกกำลงั 1) 0.063 ; 0.063 = 6.3 × 10-2 2) 2575 ; 2575 = 2.575 × 103 3) 0.06031 ; 0.06031 = 6.031 × 10-2 ข้อสังเกต คำตอบในข้อ 1 เลขชี้กำลังของ 10 ตรงกับจำนวนตำแหนง่ ทศนิยมทีต่ ้องเลื่อนไปจากตำแหนง่ เดมิ ถา้ จุดทศนิยมเลอ่ื นไปทางขวา เลขช้กี ำลังเป็นลบ ถ้าจุดทศนยิ มเลือ่ นไปทางซ้าย เลขชกี้ ำลังเปน็ บวก การเปลี่ยนจำนวนที่อยู่ในรูปเลขยกกำลังมาเป็นการเขียนแบบปกติ ใช้เลขชี้กำลังของ 10 เป็นตัวบอก ตำแหน่งของทศนิยม ถ้าเลขชี้กำลังเป็นบวก ให้เลื่อนจุดทศนิยมไปทางขวา ถ้าเลขชี้กำลังเป็นลบ ให้เลื่อนจุด ทศนยิ มไปทางซ้าย ศกึ ษาจากตัวอย่างที่ 2 ตัวอยา่ งท่ี 2 จงเปล่ยี นเลขจำนวนต่อไปนี้ ให้อยู่ในรูปปกติ 1) 7.42 × 105 ; 7.42 × 105 = 742 000 2) 4.53 × 10-4 ; 4.53 × 10-4 = 0.000 453 3) 2.613 × 108 ; 2.613 × 108 = 216 000 000 3.2 การเปลยี่ นหนว่ ย สูตรลดั = อปุ สรรคตอนแรก อุปสรรคท่จี ะเปล่ียน ตัวอยา่ งที่ 3 เส้นผมมีเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 0.0005 เมตร มคี ่ากมี่ ลิ ลิเมตร วิเคราะหโ์ จทย์ เปล่ียนหนว่ ยจาก เมตร (m) → เป็นมิลลเิ มตร (mm) เสน้ ผมเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 0.0005 m = 5 ×10-4 จากสูตร หน่วยทเ่ี ปลย่ี นได้ = 5×10-4 10-3 = 5 ×10-4× 103 = 5 ×10-1 = 0.5 mm ดงั น้ัน เสน้ ผมมีเสน้ ผ่านศนู ย์กลาง 0.5 มลิ ลิเมตร ตวั อยา่ งท่ี 4 ระยะทาง 5,600,000,000 เมตร มีคา่ กีเ่ มกะเมตร วเิ คราะหโ์ จทย์ เปล่ียนหนว่ ยจาก เมตร (m) → เปน็ เมกะเมตร (Mm) ระยะทาง 5,600,000,000 เมตร = 5.6× 109
30 จากสตู ร หน่วยทเี่ ปลี่ยนได้ = 5.6×109 10-6 = 5. 6 ×109× 10-6 = 5. 6 × 103 = 5,600 Mm ดงั น้ัน ระยะทางมีคา่ 5,600 เมกะเมตร ตัวอยา่ งท่ี 5 จงเปลย่ี นพ้ืนท่ี 1 ตารางเซนตเิ มตร ใหเ้ ปน็ ตารางเมตร วเิ คราะหโ์ จทย์ เปลย่ี นพนื้ ท่ี 1 cm2 ให้เปน็ m2 ซ่ึงเป็นหน่วยกำลงั สอง มีหลักการ คล้ายกับการเปลยี่ นหนว่ ยกำลังหน่ึง โดยหน่วยทุกตัวตอ้ งยกกำลงั สอง จาก 1 cm2 = 1 (cm)2 = 1 c2m2 = 1 ×(10-2)2 × m2 = 1 × 10-4 m2 ดังน้นั 1 ตารางเมตร มีค่าเป็น 10-4 เมตร
31 ใบงานท่ี 1.2 เรอ่ื ง การวดั และการบันทกึ ผลการวัดปริมาณทางฟสิ ิกส์ คำช้แี จง : ใหเ้ ติมข้อความหรอื ความหมายของคำต่อไปน้ใี หส้ มบรู ณ์ 1. ปัจจบุ ันเครอ่ื งมือวัดทางวิทยาศาสตร์ มีภาคแสดงของเคร่ืองมือวดั ...................แบบ ไดแ้ ก่ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.หนว่ ยฐาน คอื .............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................................. 3.หน่วยอนพุ ัทธ์ คือ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 4.คำอุปสรรคทแ่ี ทนตวั พหคุ ูณ มีท้ังหมด................ค่า ได้แก่ ตัวพหคุ ณู คำอปุ สรรค ตัวพหุคูณ คำอปุ สรรค
32 เฉลยใบงานท่ี 1.2 เรอื่ ง การวดั และการบนั ทึกผลการวัดปริมาณทางฟสิ กิ ส์ 1. ปจั จบุ ันเครอื่ งมือวัดทางวิทยาศาสตร์ มีภาคแสดงของเคร่ืองมือวัด..........2.........แบบ ไดแ้ ก่ 1. เคร่อื งมอื วดั ทแี่ สดงผลแบบขีดสเกล เปน็ รูปแบบแสดงของเคร่ืองมอื วัดท่ีใชก้ นั มานาน และยงั ใชต้ ่อเนื่องกนั มาจนถึงปัจจบุ ัน เช่น สเกลไม้บรรทัด สเกลโวลต์มิเตอร์ สเกลบนกระบอกตวง เปน็ ตน้ 2. เครื่องมือวัดที่แสดงผลแบบตัวเลข การแสดงผลแบบนี้เริ่มมีความนิยม นํามาใช้แทนการแสดงผล แบบสเกลมากขนึ้ ในปจั จุบนั เนือ่ งจากสะดวกและรวดเรว็ กวา่ การอา่ นภาคแสดงผลแบบขดี สเกล ลองสังเกตไดจ้ ากส่ิงของเคร่ืองใช้ท่ีใช้อยู่ในชีวิตประจาํ วัน เช่น นาฬิกาข้อมือแบบตวั เลข เป็นต้น 2.หน่วยฐาน คอื หนว่ ยฐาน (Base Unit) คอื ปริมาณขน้ั ตน้ ที่จำเป็นต่อการอธิบายปรากฏการณท์ างฟิสกิ ส์ มี 7 ปรมิ าณ 3.หนว่ ยอนพุ ัทธ์ คือ หนว่ ยอนพุ ทั ธ์ (Derived Unit) คือ ปริมาณที่เกิดข้ึนจากการนำหนว่ ยฐานมารวมกนั 4.คำอปุ สรรคท่ีแทนตวั พหุคูณ มีทง้ั หมด 12 คา่ ได้แก่ ตัวพหุคูณ คำอปุ สรรค ตวั พหุคูณ คำอปุ สรรค 1012 เทอระ 10-12 พิโก 109 จกิ ะ 10-9 นาโน 106 เมกะ 10-6 ไมโคร 103 กิโล 10-3 มิลลิ 102 เฮกโต 10-2 เซนติ 101 เดคะ 10-1 เดซิ
33 แบบฝึกทักษะท่ี 1.1 เร่อื ง การวดั และการบนั ทกึ ผลการวัดปริมาณทางฟสิ ิกส์ คำช้ีแจง : จงแสดงวธิ ที ำอย่างละเอียด 1.วัตถมุ วล 500 กรมั มีค่าก่ีกิโลกรมั , ก่ีไมโครกรัม, ก่ีมลิ ลิกรมั จงหาคำตอบ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.พ้นื ที่ 1 ตารางเมตร มีค่ากต่ี ารางเซนติเมตร ............................................................................................... ............................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................ .............................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................... ........................................... 3.จงทำจำนวนตอ่ ไปนีใ้ หอ้ ยู่ในรูปเลขชก้ี ำลงั 1000 = ................................... . 360000 = ................................... . 0.004 = ................................... . 0.0953 = ...................................
34 เฉลยแบบฝกึ ทักษะท่ี 1.1 เรื่อง การวัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟสิ ิกส์ คำช้แี จง : จงแสดงวิธีทำอยา่ งละเอยี ด 1.วตั ถุมวล 500 กรมั มีคา่ ก่ีกิโลกรัม, กไี่ มโครกรัม, ก่ีมิลลกิ รัม จงหาคำตอบ วธิ ีทำ วตั ถุมวล 500 กรมั มคี า่ ก่ีกโิ ลกรมั วธิ ีทำ วัตถุมวล 500 กรมั = 500 = 500 × 10−3 ������������ 103 วัตถมุ วล 500 กรมั มีคา่ กไ่ี มโครกรัม วธิ ีทำ วัตถมุ วล 500 กรมั = 500 = 500 × 106 ������������ 10-6 วัตถมุ วล 500 กรมั มีค่ากมี่ ิลลิกรัม วิธีทำ วัตถมุ วล 500 กรมั = 500 = 500 × 103 ������������ 10-3 2.พน้ื ที่ 1 ตารางเมตร มคี า่ กีต่ ารางเซนติเมตร วิธีทำ พื้นท่ี 1 ตารางเมตร = (1 × 10−2)2 = 1 × 10−4 ������������2 3.จงทำจำนวนตอ่ ไปนี้ใหอ้ ยู่ในรปู เลขชี้กำลัง 1000 = 1 x 103 . 360000 = 3.6 x 105 . 0.004 = 4 x 10-3 . 0.0953 = 953 x 10-4.
35 ใบงานท่ี 1.3 เรอ่ื ง การทดลองทางฟิสกิ ส์ คำชีแ้ จง : ใหเ้ ติมข้อความหรอื ความหมายของคำตอ่ ไปน้ใี ห้สมบูรณ์ 1. การศกึ ษาข้อมลู ทางฟสิ กิ ส์ถูกแบ่งออกเป็น................. ประเภท คือ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ...................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. 2. สมการเส้นตรงมีความสำคัญอย่างไรตอ่ การศึกษาทางฟสิ กิ ส์อยา่ งไร ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................................. ............................. ...................................................................................................... ........................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 3. การทดลองและรายงานผลการทดลองทางฟสิ กิ สม์ ีความสำคญั อย่างไร ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................................................................. ............................................
36 เฉลยใบงานที่ 1.3 เรือ่ ง การทดลองทางฟิสิกส์ คำชแ้ี จง : ให้เติมข้อความหรือความหมายของคำต่อไปนี้ให้สมบูรณ์ 1. การศึกษาข้อมูลทางฟสิ กิ ส์ถกู แบ่งออกเป็น......2........... ประเภท คอื การศึกษาทางด้านฟสิ ิกสถ์ ูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ขอ้ มูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) เป็นข้อมูลทไ่ี ด้จากการสังเกตตามขอบเขตการรบั รู้ เชน่ รส , รูปกลิ่น และสี เปน็ ต้น ซ่ึงข้อมลู เชิงคุณภาพเปน็ ข้อมลู ท่ีวัดไม่ได้ 2. ข้อมูลเชงิ กายภาพ (Quantitative Data) เปน็ ข้อมูลที่ไดจ้ ากการวัดปรมิ าณต่างๆ ของระบบที่เรา กำลงั ศกึ ษาโดยใช้เคร่ืองมือวัดและวธิ ีวดั ทีถ่ ูกต้อง ทำใหไ้ ด้ข้อมูลออกมาเป็นเชิงตัวเลข เช่น ระยะทาง, เวลา, มวล และอุณหภมู ิ เปน็ ต้น 2. สมการเสน้ ตรงมีความสำคัญอย่างไรต่อการศึกษาทางฟิสิกสอ์ ยา่ งไร สมการเสน้ ตรงสามารถหาคา่ คงตัวไดจ้ ากความชนั และระยะตัดแกนตงั้ ซ่งึ สามารถนำไปแปล ความหมายในทางฟิสกิ สต์ ามความสัมพนั ธ์ทเี่ ก่ียวข้องได้ เช่น เมอื่ เขยี นกราฟแสดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง ความเร็ว v และเวลา t ได้เป็นกราฟเสน้ ตรงโดยความชันของกราฟเมื่อแปลความหมายในทางฟสิ ิกส์คือ ความเร่ง a แสดงวา่ วัตถดุ ังกลา่ วเคลอื่ นท่ีด้วยความเรง่ คงตวั และจดุ ตดั แกนตั้งคือความเรว็ ต้น u 3. การทดลองและรายงานผลการทดลองทางฟสิ ิกส์มีความสำคญั อย่างไร การทดลองเปน็ กระบวนการหนงึ่ ทที่ ำเพอ่ื ตอบคำถามหรือเพ่ือหาความจริงบางอยา่ งจำเป็นตอ้ งคิดหา วธิ ีการทดลองทีเ่ หมาะสมทำการทดลองเพือ่ ใหไ้ ด้ข้อมลู ตา่ ง ๆ วเิ คราะหข์ ้อมลู เพื่อสรุปเป็นคำตอบสว่ นการ รายงานผลการทดลองทางฟสิ ิกสเ์ ป็นการแสดงรายละเอียดของการทดลองและสรปุ ผลการทดลองดงั น้นั การ เขียนรายงานการทดลองจงึ เป็นหลกั ฐานทแี่ สดงว่าการทดลองมีความน่าเชอ่ื ถอื เพยี งใด
37 แบบฝึกทกั ษะที่ 1.2 เร่ือง การทดลองทางฟิสิกส์ คำชี้แจง : จงแสดงวิธีทำอยา่ งละเอยี ด 1. ในการวดั เวลาของการตกแบบเสรขี องวัตถจุ ากทส่ี ูง 30 เมตร จำนวน 6 ครงั้ ได้ผลการวดั ดังนี้ คร้งั ที่ 1 2 3 4 5 6 3.0 เวลา (s) 3.2 3.1 2.9 3.1 2.8 ก. จงหาคา่ เฉลี่ยและความคลาดเคลือ่ นของค่าเฉลย่ี ของข้อมูลชดุ นี้ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................. ................................ ................................................................................................... ........................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................... ................................... 2. กราฟระหวา่ งความเร็วกบั เวลาของการเคลือ่ นทว่ี ตั ถุ เป็นดงั รูป จงหาว่า ความเรง่ จากวตั ถุ ซ่ึงหาได้จาก ความชันของกราฟมคี ่าเทา่ ใด ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................
38 เฉลยแบบฝึกทกั ษะท่ี 1.2 เรือ่ ง การทดลองทางฟสิ กิ ส์ คำชี้แจง : จงแสดงวธิ ีทำอย่างละเอียด 1. ในการวดั เวลาของการตกแบบเสรขี องวตั ถุจากที่สูง 30 เมตร จำนวน 6 คร้ัง ได้ผลการวัดดงั นี้ ครัง้ ที่ 1 2 3 4 5 6 3.0 เวลา (s) 3.2 3.1 2.9 3.1 2.8 ก. จงหาค่าเฉลย่ี และความคลาดเคล่ือนของค่าเฉลี่ยของข้อมูลชุดน้ี วธิ ีทำ คา่ เฉลี่ย ������̅ = 3.2+3.1+2.9+3.1+2.8+3.0 6 ������̅ = 3.03 ������̅ = 3.0 s ถือเป็นคา่ เฉลี่ยของเวลาจากการวดั 6 ครง้ั ค่าความคลาดเคล่ือนของคา่ เฉลยี่ ∆������ = ������������������������−������������������������ 2 = 3.2−2.9 2 = 0.15 ∆������ = 0.15 ถือว่าเป็นค่าความคลาดเคลอ่ื นของเวลาจากการวดั ทงั้ 6 ครง้ั 2.กราฟระหวา่ งความเร็วกับเวลาของการเคล่ือนท่วี ตั ถุ เป็นดังรปู จงหาวา่ ความเร่งจากวัตถุ ซง่ึ หาได้จาก ความชนั ของกราฟมคี า่ เท่าใด จะได้ ความชนั = ∆������ ∆������ = 6������/������−3������/������ 8������−2������ = ������ ������/������ ∆���̅��� = ������������/������ − ������������/������ ������ = 0.5 ������/������������ ∆������̅ = ������������ − ������������ ดงั น้นั วตั ถุมีความเรง่ ตอบ วัตถุมคี วามเรง่ 0.5 เมตรต่อวินาทีกำลังสอง
39 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 2 รหัสวิชา ว31201 สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ า ฟิสิกส์เพ่ิมเตมิ 1 ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 เรอ่ื ง องคป์ ระกอบการเคล่ือนท่ีแนวตรง เวลา 11 ช่ัวโมง ผูส้ อน นางสาวอภิญญา เทพโพธา 1. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ผลการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ 7.1 : เข้าใจธรรมชาติทางฟสิ ิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคล่ือนที่แนว ตรง แรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของวัตถุ งานและ กฎการอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลื่อนที่แนวโค้ง รวมทั้งนาความรู้ ไปใชป้ ระโยชน์ ผลการเรยี นรู้ ว.7.1 ม.4/3 ทดลอง และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตาแหน่ง การกระจัด ความเร็ว และความเร่ง ของการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวตรงท่ีมีความเร่งคงตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาค่าความเรง่ โน้มถว่ งของโลก และคานวณปริมาณตา่ ง ๆ ทเี่ กีย่ วขอ้ ง 2.จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1) สามารถอธิบายความสมั พันธ์ระหว่างตาแหน่ง การกระจดั ความเรว็ และ ความเรง่ ของการเคลอื่ นทข่ี องวตั ถุในแนวจากกราฟและสมการได้ (K) 2) สามารถอธิบายและคานวณปริมาณที่เก่ียวข้องกับการเคล่ือนที่แนวตรงของวัตถุจากกราฟ ตาแหนง่ กบั เวลาได้ (P) 3) สามารถยอมรับผลการทางานและมคี วามรับผิดชอบตอ่ หน้าท่ีท่ีไดร้ ับมอบหมาย (A) 3.สาระสาคัญ ความเร็ววตั ถปุ ริมาณทีเ่ กยี่ วกับการเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถุ ได้แก่ ตาแหนง่ การกระจดั ความเร็วและความเร่ง โดยความเร็วและความเร่งมที ัง้ ค่าเฉล่ียและค่าขณะหนึ่งซง่ึ คดิ ในชว่ งเวลาสัน้ มาก ๆ เข้าใกลศ้ ูนย์
40 4.สาระการเรียนรู้ 1) ตาแหนง่ 2) การกระจัดและระยะทาง 3) อตั ราเรว็ และความเร็ว 4) อตั ราเรง่ และความเรง่ 5.คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ซ่อื สัตย์สจุ รติ มวี นิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ อยู่อย่างพอเพยี ง ม่งุ ม่ันในการทางาน รักความเป็นไทย มจี ิตสาธารณะ 6. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี น (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรยี นรู้นี)้ ความสามารถในการสอ่ื สาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 7. ทกั ษะของผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 (3R 8C + 2L) (จุดเน้นส่กู ารพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รยี น) ทักษะการอา่ น (Reading) ทกั ษะการ เขียน (Writing) ทักษะการ คดิ คานวณ (Arithmetic) ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical thinking and problem solving) ทกั ษะดา้ นการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and innovation)
41 ทักษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะผู้นา (Collaboration , teamworkand leadership) ทกั ษะดา้ นความเข้าใจต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทศั น์ (Cross-cultural understanding) ทักษะด้าน การสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ (Communication information andmedia literacy) ทกั ษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร (Computing) ทกั ษะอาชีพและทักษะการเรยี นรู้ (Career and learning self-reliance, change) ทักษะการเปลี่ยนแปลง (Change) ทักษะการเรยี นรู้ (Learning Skills) ภาวะผู้นา (Leadership) 8. ภาระงาน/ช้ินงาน 1) ใบงานท่ี 2.1 เร่อื งตาแหน่ง การกระจดั และระยะทาง 2) ใบงานท่ี 2.2 เร่อื งอตั รราเรว็ และความเร็ว 3) ใบงานท่ี 2.3 เร่ืองความเรง่ 9. กิจกรรมการเรียนรู้ >> หนว่ ยย่อยท่1ี เร่อื งตาแหน่ง การกระจัดและระยะทาง ใช้รปู แบบการเรียนร้แู บบสบื เสาะหาความรู้ (5E) ขัน้ ตอนท่ี 1 ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน (Engagement Phase) 1.1 ครูนาภาพการเคลื่อนที่ของวัตถุต่าง ๆ ที่ได้เตรียมไว้ จานวน 10-12 ภาพ ให้นักเรียนจาแนก วา่ ภาพใดบา้ งเป็นการเคล่ือนที่แนวตรง ซงึ่ ประกอบด้วยภาพตัวอยา่ ง ดังตอ่ ไปนี้ • ภาพชิงช้าสวรรค์ • ภาพผลไม้ตกสู่พื้นดนิ • ภาพรถว่งิ ตามถนนเส้นตรง • ภาพรถเลี้ยวโค้ง
42 • ภาพคนวิ่งแขง่ 100 เมตร • ภาพลูกตุ้มนาฬกิ า • ภาพการแกวง่ ชงิ ช้า • ภาพรถไต่ถงั • ภาพคนยิงธนู • ภาพดาวเทยี มโคจรรอบโลก • ภาพการเคล่ือนที่ของลูกบาสเกตบอล • ภาพนักกีฬาว่ายน้าในลขู่ องสระวา่ ยน้า 1.2 ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงวิธีการพิจารณาว่าภาพใดบ้าง ที่เป็นภาพการเคลื่อนที่แนว ตรง เพื่อนาไปสู่ความเข้าใจลักษณะของการเคลือ่ นที่แนวตรงวา่ “การเคลื่อนที่แนวตรง เป็น การเคลื่อนที่ทีม่ ีระยะทางและการกระจดั อยูใ่ นแนวเส้นตรงเดียวกนั ” 1.3 นักเรียนชว่ ยกันอภิปรายและแสดงความคดิ เหน็ คาตอบจากภาพตวั อยา่ ง 1.4 ครูถามนักเรียนว่า ภาพแต่ละภาพมีลักษณะการเคลื่อนที่เหมือนกันหรือแตกต่างกัน หรือไม่ อย่างไร นกั เรยี นสงั เกตลักษณะการเคลอ่ื นท่ขี องวตั ถุนั้นอยา่ งไร (ทงิ้ ช่วงให้นกั เรยี นคดิ ) จากน้ันครอู ธิบายลักษณะการเคลอ่ื นที่ทีละภาพ 1.5 ครูถามคาถาม BIG QUESTION จากหนงั สอื เรยี น รายวิชาเพ่ิมเตมิ ฟสิ กิ ส์ ม.4 เล่ม 1 หน้า 30 ว่า ในชีวิตประจาวันมีกิจกรรมใดบ้าง ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ และให้ยกตัวอย่าง (เปิด โอกาสให้นกั เรียนไดแ้ สดงความคิดเห็นโดยไมเ่ น้นถูกผดิ ) (แนวตอบ : ในชีวิตประจาวัน เราพบเห็นการเคลื่อนที่ของสิ่งต่างๆ เช่น นกบิน รถยนต์แล่น บนถนน ลกู ฟตุ บอลเคลอ่ื นท่ใี นอากาศ ใบพัดลมหมนุ เด็กแกวง่ ชงิ ชา้ ผลไมห้ ลน่ จากต้น เป็นตน้ ) 1.6 นกั เรยี นช่วยกันอภปิ รายและแสดงความคดิ เห็นคาตอบจากคาถาม เพอ่ื เชอื่ มโยงไปสู่การ เรียนในเรอ่ื ง ตาแหนง่ ระยะทาง และการกระจัด ขัน้ ตอนท่ี 2 ขั้นสารวจและค้นพบ (Exploration Phase) 2.1 ครูถามคาถาม Prior knowledge จากหนังสอื เรียน หน้า 31 ว่า เราจะทราบได้อย่างไรว่าวัตถุ เกดิ การเคลื่อนท่ี (แนวตอบ : วัตถุมกี ารเปลี่ยนตาแหนง่ จากจดุ หนึ่งไปอกี จดุ หนงึ่ )
43 2.2 ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า การเคลื่อนที่ของวัตถุเป็นผลมาจากการที่มีแรงไปกระทาต่อวัตถุ ทาให้ วตั ถเุ ปลยี่ นแปลงสภาพโดยเปลี่ยนตาแหน่งจากจดุ ที่ 1 ไปยงั จุดที่ 2 โดยการเปล่ียนตาแหน่ง ของวัตถุจะทาใหเ้ กิดปริมาณทเ่ี ก่ยี วข้องกับการเคล่ือนท่ี 2.3 ครูแจง้ ให้นกั เรียนทราบว่า จะไดศ้ กึ ษาเรอ่ื ง ตาแหนง่ ระยะทาง และการกระจดั 2.4 ครูเข้าสู่บทเรียน เริ่มจากให้นักเรียนเข้าใจจุดอ้างอิงหรือตาแหน่งอ้างอิง โดยการตั้งประเด็น คาถาม เชน่ • นักเรียนจะบอกตาแหน่งของบ้านนักเรียนให้เพื่อนเข้าใจได้อย่างไร (ขึ้นอยู่กับคาตอบของ นกั เรียน เชน่ ชือ่ ถนน ชอ่ื ซอย เปน็ ตน้ ) • นกั เรยี นเดนิ ทางจากบ้านถึงโรงเรยี นเปน็ ได้อย่างไร (ข้นึ อย่กู ับคาตอบของนักเรียน เช่น เดิน ออกจากบ้านมาโรงเรียนโดยที่เดนิ ตรงไปทางทิศเหนือ 180 เมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายมุ่งหนา้ ไปทางทิศตะวนั ตก 240 เมตร แล้วเดินตอ่ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืออีก 200 เมตร จึง จะถงึ โรงเรียน) • นักเรียนมีวิธีอย่างไร สาหรับการเดินทางมาโรงเรียนที่ใช้เวลาน้อยที่สุด (ขึ้นอยู่กับคาตอบ ของนักเรยี น) 2.5 ครูและนักเรียนชว่ ยกันอภปิ รายถึงระยะทางในการเดิน ความเร็วในการเดิน และระยะทางใน การเดนิ นอ้ ยทีส่ ุดเพ่อื ให้นกั เรยี นเขา้ ใจมากขึน้ 2.6 ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า การศึกษาการเคลื่อนที่ของวตั ถุเป็นการศึกษาการเปล่ียนแปลงตาแหน่ง ของวัตถุ (position) การที่จะบอกการเปลี่ยนตาแหน่งต้องมีการระบุตาแหน่งเพื่อให้สื่อ ความหมายได้ตรงกนั และเป็นระบบเดียวกนั โดยกาหนดจุดอ้างอิงหรอื ตาแหน่งอ้างอิง (reference point) ซ่งึ เปน็ จุดที่บอกพิกัดท่แี น่นอน และเปน็ ตวั เปรยี บเทยี บในการบอก ตาแหนง่ ของวัตถทุ อ่ี ย่ภู ายในกรอบอ้างอิง (reference frame) 2.7 ครูให้นักเรียนแต่ละคนวิเคราะห์และอธิบายเกี่ยวกับจุดอ้างอิงและตาแหน่งของรถชนิดต่าง ๆ เทียบกับทีต่ ง้ั ของปา้ ยรถประจาทาง จากภาพในหนังสอื เรยี นหนา้ 31 2.8 ครูให้นักเรียนร่วมกันสรุปความสัมพันธ์ระหว่างจุดอ้างอิงกับตาแหน่งของรถในภาพ โดย กาหนดจุดอ้างอิงและอธิบายทศิ ทางของวตั ถุเทียบกบั จดุ อ้างอิง จากนั้นครูสรุปเรื่องจุดอ้างอิง กบั ตาแหนง่ ของวัตถุ เพอื่ ให้นักเรยี นมีความเขา้ ใจในเนอื้ หามากย่งิ ขนึ้ 2.9 ครูเข้าสู่เนื้อหาเรื่อง ระยะทางและการกระจัด โดยครูช่วยเชื่อมโยงความรู้ใหม่จากเนื้อหา ความรู้เดมิ ทเ่ี รยี นรู้มาแลว้ ด้วยการใหน้ กั เรยี นแตล่ ะคนบอกตาแหน่งของเพอ่ื น และระยะห่าง ระหวา่ งตัวนักเรยี นกับเพอื่ น เพอื่ ให้เข้าใจความแตกตา่ งระหวา่ งระยะทางกบั การกระจดั 2.10 ครูกล่าวต่อว่า การเคลื่อนที่ของวัตถุเป็นการเปลี่ยนตาแหน่งของวัตถุ ซึ่งจะพิจารณาได้จาก ระยะทางและการกระจัด แล้วครูอาจถามด้วยคาถาม เพื่อให้นักเรียนตอบจากความรู้และ ประสบการณ์ของนักเรียน ดังน้ี
44 • ระยะทางกบั การกระจัดมคี วามหมายและแตกตา่ งกันอยา่ งไร • ระยะทางและการกระจดั มคี วามสัมพันธก์ นั หรอื ไม่ อยา่ งไร • ระยะทางจะมีค่าเทา่ กบั การกระจดั ในกรณใี ด 2.11 ครูทิ้งช่วงให้นักเรียนแต่ละได้คิด จากนั้นอาจสุ่มนักเรียนให้ออกมาตอบคาถามที่ครูได้ถามไว้ หน้าชน้ั เรยี น 2.12 หลงั จากนัน้ ครอู ธิบายสรปุ จากคาถามเกี่ยวกบั ระยะทางกบั การกระจัดวา่ ระยะทาง (distance) คือ ระยะทั้งหมดที่วัดได้ตามแนวการเคลื่อนที่ ระยะทางจะระบุแต่ขนาดเพียง อยา่ งเดียว จึงจัดวา่ เปน็ ปรมิ าณสเกลาร์ หนว่ ยเปน็ เมตร (m) สว่ นการกระจัด (displacement) คือ ระยะที่วัดได้ในแนวเส้นตรงจากตาแหน่งเริ่มต้นไปยังตาแหน่งสุดท้าย ซึ่งเป็นปริมาณเวกเตอร์ที่ต้องระบุทั้งขนาดและทิศทาง มีหน่วยเป็นเมตร (m) ครูอธิบายชี้ให้ นกั เรียนเหน็ วา่ ระยะทางข้นึ อยู่กบั เส้นทางการเคลอื่ นที่จรงิ สว่ นการกระจดั จะขน้ึ อยกู่ บั ตาแหน่งเร่ิมต้นและตาแหน่งสุดท้ายของการเคล่อื นที่ และระยะทางจะมขี นาดเทา่ กับการ กระจัด ในกรณที ่ีวตั ถเุ คลื่อนท่ีเป็นเส้นตรงและไม่เปลีย่ นแปลงทศิ ทาง 2.13 ครูแบง่ นกั เรียนออกเป็นกลมุ่ กลมุ่ ละ 4–5 คน กาหนดใหแ้ ต่ละกลมุ่ สบื คน้ ในหัวข้อ การ คานวณหาระยะทางและการกระจัด โดยให้นักเรียนแต่ละร่วมกันวางแผนการสืบค้นทั้งจาก หนังสอื เรยี น (หนา้ 33-34) เอกสารอา้ งองิ และแหลง่ ขอ้ มูลตา่ ง ๆ ตามขน้ั ตอนทาง วิทยาศาสตร์ โดยใช้ทักษะหรือกระบวนการสังเกต จากนั้นนาข้อมูลที่ได้มาอภิปรายร่วมกัน หนา้ ชั้นเรียน ข้ันตอนท่ี 3 ขนั้ อธิบายและลงข้อสรุป ( Explanation Phase) 3.1 ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาตัวอย่างที่ 2.1-2.2 จากหนังสือเรียนหน้า 33-34 โดยให้ ร่วมกันศึกษาความแตกต่างระหว่างระยะทางและการกระจัด วิธีการหาระยะทางและการ กระจัด โดยครูใช้คาถามนาเพ่ือหาข้อสรุป ดังนี้ • จากโจทย์ตัวอย่างที่ 2.1 การเคลื่อนที่ของวตั ถุแต่ละครั้งระยะทางและการกระจัดที่เกิดขึน้ มีลักษณะอย่างไร (แนวตอบ : ระยะทำงและกำรกระจัดในกำรเคลื่อนที่มี 2 ลักษณะ คือ ระยะทำงมำกกว่ำ กำรกระจัด และระยะเทำ่ กบั และกำรกระจัด แตจ่ ำกตัวอย่ำงระยะทำงมำกกวำ่ กำรกระจัด) • จากโจทย์ตัวอย่างที่ 2.2 เด็กชายเอเดินเป็นแนววงกลมครบ 1 รอบ จะได้ระยะทาง 88 เมตร และทาไมการกระจัดถึงมีคา่ เปน็ ศนู ย์ (แนวตอบ : กำรกระจัดมีค่ำเป็นศูนย์ เนื่องจำกเมื่อสิ้นสุดกำรเคลื่อนที่แล้วจะไม่มีกำร เปลี่ยนแปลง) 3.2 นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ออกมานาเสนอวธิ กี ารแก้ปัญหาโจทย์ตวั อยา่ งให้เพือ่ น ๆ ทราบหน้า ห้องเรียน
45 3.3 นักเรยี นแต่ละกลมุ่ สรุปผลการสืบเสาะหาความรู้เกี่ยวกบั ประเด็นคาถามต่าง ๆ ท่คี รูกาหนดไว้ (อาจนาเสนอในรูปของเอกสาร) แลว้ นามาอภปิ รายและแลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ กบั กลุ่มอนื่ 3.4 นกั เรียนรว่ มกันเขียนแผนผังมโนทัศน์ (Concept Mapping) เกีย่ วกบั ระยะทางและการกระจัด เพื่อเป็นการสรุปความคิดความเข้าใจทไ่ี ดใ้ นช้นั เรยี น แลว้ ส่งเป็นการบา้ นในคาบเรียนตอ่ ไป ขัน้ ตอนท่ี 4 ขัน้ ขยายความรู้ (Expansion Phase) 4.1 ครูนานกั เรยี นอภปิ รายและสรุปเกย่ี วกบั เรื่อง ระยะทางและการกระจดั ดังน้ี • ความหมายของระยะทางและการกระจดั • การคานวณหาระยะทางและการกระจดั • การกระจัดจะมีค่าเท่ากบั ระยะทางในกรณีใด 4.2 ครูเปิดโอกาสให้นกั เรียนสอบถามเนื้อหาเร่ือง ตาแหน่ง ระยะทาง และการกระจัด ว่ามีส่วน ไหนท่ยี งั ไมเ่ ข้าใจและใหค้ วามรู้เพ่ิมเติมในสว่ นน้ัน โดยที่ครูอาจจะใช้ PowerPoint เร่อื ง ตาแหน่ง ระยะทางและการกระจัด ช่วยในการอธิบาย 4.3 ครูใหน้ ักเรยี นทาใบงานที่ 2.1 เร่อื ง ตาแหนง่ ระยะทางและการกระจัด ขน้ั ตอนท่ี 5 ขนั้ ประเมนิ (Evaluation) 5.1 ครูประเมนิ ผล โดยการสังเกตการตอบคาถาม การรว่ มกันทาผลงาน และจากการนาเสนอ ผลงาน 5.2 ครวู ดั และประเมนิ การปฏบิ ตั กิ าร จากการทาใบงานท่ี 2.1 เร่ือง ระยะทางและการกระจัด 5.3 ครูวัดและประเมินผลจากแผนผังมโนทศั น์ทีน่ กั เรียนไดส้ ร้างข้ึนจากข้ันอธบิ ายความรขู้ อง นักเรยี นเปน็ รายบุคคล >> หนว่ ยย่อยท2่ี เร่อื งอตั ราเร็วและความเร็ว ใช้รูปแบบการเรียนร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขน้ั ตอนที่ 1 ขนั้ นาเข้าสบู่ ทเรยี น (Engagement Phase) 1.1 ครแู ละร่วมกันทบทวนความรเู้ ดิมเกี่ยวกบั เรอื่ ง ระยะทางและการกระจดั เพื่อเป็นความรู้ พ้ืนฐานนาไปสู่เน้อื หา เรื่อง อัตราเร็วและความเรว็ 1.2 ครูถามคาถามกระตุน้ ใหน้ ักเรียนแสดงความคิดเหน็ วา่ • ในการเคล่อื นท่ี นอกจากจะมรี ะยะทางและการกระจดั แลว้ ยังมีปรมิ าณใดอีก
46 • การบอกวา่ วัตถุใดเคลื่อนทเี่ ร็วหรือชา้ จะพจิ ารณาจากระยะทางหรือการกระจดั เทียบกบั สิ่งใด 1.3 นักเรียนรว่ มกนั อภปิ รายหาคาตอบเก่ียวกบั คาถามตามความคิดเห็นของแตล่ ะคน หลงั จาก นักเรยี นรว่ มกนั อภปิ รายแลว้ ครอู ธบิ ายเพิ่มเติมเพ่ือให้นกั เรียนเขา้ ใจมากขน้ึ ว่า การเคลอ่ื นที่ จากจุดหนง่ึ ไปยังจดุ หน่งึ นั้น นอกจากจะมีระยะทางและการกระจดั แล้ว ยังมีเวลาทใ่ี ช้ เคลือ่ นที่ด้วย และการบอกว่าวัตถุใดเคลือ่ นที่เร็วหรือชา้ จะพจิ ารณาจากระยะทางหรอื การ กระจัดเทยี บกับเวลาทีใ่ ช้ในการเคลอ่ื นที่ ซ่ึงเกย่ี วกับปริมาณการเคล่ือนท่ีของวตั ถุ คอื อัตราเรว็ และความเร็ว 1.4 ครูแจ้งใหน้ กั เรยี นทราบว่า จะได้ศกึ ษาเร่ือง อตั ราเรว็ และความเร็ว ขั้นตอนที่ 2 ขนั้ สารวจและค้นพบ (Exploration Phase) 2.1 ครใู หน้ กั เรยี นสืบค้นข้อมูลเกีย่ วกบั อัตราเร็วและความเร็ว จากหนงั สอื เรียนรายวิชาเพม่ิ เติม ฟสิ ิกส์ เล่ม 1 หนา้ 35-36 โดยถามคาถามให้นักเรยี นร่วมกันแสดงความคิดเห็น ดงั นี้ • นักเรยี นคดิ ว่า ความเร็วต่างจากอตั ราเรว็ หรอื ไม่ อย่างไร (แนวตอบ ตา่ งกัน โดยอัตราเรว็ เป็นระยะทางที่เปล่ียนแปลงใน 1 หนว่ ยเวลา เป็นปรมิ าณส เกลาร์ ส่วนความเร็วเปน็ การกระจดั ที่เปลีย่ นแปลงในหน่ึงหน่วยเวลา เป็นปรมิ าณเวกเกอร์) • นกั เรียนพจิ ารณา สมการของอตั ราเร็วและความเรว็ นักเรียนจะสามารถหาปริมาณอน่ื ได้ หรอื ไม่ เช่น การกระจัด ระยะทาง หรือเวลา (แนวตอบ สามารถหาปริมาณอืน่ ได้ โดยการปรับรปู สมการ ดังสมการความสมั พันธใ์ น หนังสอื เรยี นหน้า 38) 2.2 ครูให้ผู้แทนนกั เรียนออกมานาอธบิ ายความแตกต่างระหวา่ งอัตราเร็วกบั ความเรว็ จากนนั้ ครู อธิบายเพ่มิ เติมถึงความแตกต่างของท้งั สองปริมาณ พร้อมบอกเหตุผล 2.3 ครูถามคาถาม H.O.T.S จากหนงั สอื เรียนหนา้ 36 เพื่อเปน็ การตรวจสอบความเข้าใจของ นกั เรยี นว่า “ถ้าพูดว่า โดยปกตโิ ปเตข้ บั รถเร็วประมาณ 70 กโิ ลเมตรต่อชัว่ โมง และวันนโี้ ปเต้ ขบั รถมาทางานเรว็ ถึง 100 กโิ ลเมตรต่อช่ัวโมง” นักเรียนคดิ ว่ามคี วามแตกต่างกนั หรือไม่ อยา่ งไร (แนวตอบ : มคี วามแตกต่างกัน เน่อื งจากขอ้ ความแรกกล่าวถงึ อัตราเร็วโดยเฉลี่ยในการ เดินทางของโปเต้ ขณะอีกข้อความหนึง่ คอื ความเรว็ ซึง่ เป็นปรมิ าณเวกเตอร์ โดยมีการระบุ ทศิ ทางมายังที่ทางานไว้ดว้ ย ทาให้ปริมาณท้ังสองมีความแตกตา่ งกัน)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165