งานวจิ ยั ปการศกึ ษา 2563
การใช้เกมคําศัพท์ภาษาองั กฤษเพือพฒั นาการเรียนรู้คาํ ศัพท์ภาษาองั กฤษ รายวชิ าหลกั เศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนระดับประกาศนยี บตั รวิชาชีพชันสูงปี ที สาขาวชิ าการจดั การ อจลา ดาํ รงฤทธิ สาขาวชิ าการท่องเทียว วิทยาลยั เทคโนโลยหี าดใหญ่อาํ นวยวทิ ย์ ปี การศึกษา 2563
2 ชือวจิ ัย การใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษเพือพฒั นาการเรียนรูค้ าํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษรายวิชาหลกั เศรษฐศาสตร์ ของนกั เรียนระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพชนั สูงปที สาขาวชิ าการ จดั การ ผ้วู จิ ยั นางสาวอจลา ดาํ รงฤทธิ ปี การศึกษา บทคดั ย่อ การวจิ ยั ในครังนีเป็นการวจิ ยั .เพอื เปรียบเทียบความสามารถในการจดจาํ คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ใน รายวิชาหลกั เศรษฐศาสตร์ ของนกั เรียนกอ่ นและหลงั ไดร้ ับการใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษเพือพฒั นาการ เรียนรู้คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษรายวชิ าหลกั เศรษฐศาสตร์ ของนกั เรียนระดบั ประกาศนียบตั รวชิ าชีพชนั สูงป ที สาขาวชิ าการจดั การ .เพอื เปรียบเทียบความสามารถในการจดจาํ คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ในรายวชิ าหลกั เศรษฐศาสตร์ของนกั เรียนหลงั ไดร้ ับการใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษกบั เกณฑร์ ้อยละ โดยใชว้ ธิ ีการ เลือกตวั อยา่ งแบบเจาะจง จาํ นวน หอ้ งเรียน รวม คน โดยใชห้ อ้ งเรียนเป็ นหน่วยของการสุ่ม ดว้ ยการจบั สลากมา หอ้ งเรียน จากหอ้ งเรียนทงั หมด ซึงนกั เรียนแต่ละหอ้ งมีผลการเรียนไม่ต่างกนั เนืองจากทางวทิ ยาลยั ไดจ้ ดั ห้องเรียนแบบคละความสามารถ เครืองมือทใี ชใ้ นวจิ ยั คือ แผนการจดั การ เรียนรู้เกมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ สถิติทีใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มลู คือ t – test for Dependent Samples และ t – test for One Sample ผลการวิจยั พบว่า คะแนนเฉลียทางการเรียน ของนักเรียนทีเรียนวิชาหลกั เศรษฐศาสตร์ ในการ พฒั นาการเรียนรู้คาํ ศพั ท์ภาษาองั กฤษ รายวิชาหลกั เศรษฐศาสตร์ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพชนั สูงปี ที สาขาวิชาการจดั การ ก่อนเรียนมีคะแนน 0.47 คะแนน ( x = 0.47 , S.D. = 0.615 ) และหลงั เรียนมีคะแนน . คะแนน ( x = 5.68 , S.D. = 0.727 ) เมือเปรียบเทียบคะแนนเฉลียก่อน และหลงั เรียน พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิทางการเรียนหลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถติ ิ ทีระดบั . ซึงเป็ นไป ตามสมมติฐานทีตงั ไว้ ความสามารถในการใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษเพือ พฒั นาการเรียนรู้คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ รายวิชาหลกั เศรษฐศาสตร์ มีผลสัมฤทธิทางการเรียนสูงกวา่ ก่อน เรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติทีระดับ . ความสามารถในการใช้เกมคาํ ศพั ท์ภาษาอังกฤษเพือ พฒั นาการเรียนรู้คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ รายวชิ าหลกั เศรษฐศาสตร์ โดยมคี ะแนนเฉลียเท่ากบั . สูง กว่าเกณฑร์ ้อยละ อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิตทิ ีระดบั . (3)
3 กติ ตกิ รรมประกาศ วิจยั ฉบบั นีสาํ เร็จสมบูรณ์ลุล่วงไดด้ ว้ ยความกรุณาจากผูอ้ าํ นวยการวิทยาลยั เทคโนโลยหี าดใหญ่ อาํ นวยวิทย์ ซึงเป็ นผูผ้ ลกั ดันให้ครูได้จัดทาํ วิจัยเพือพฒั นานักเรียนและยกระดบั การศึกษา เพือให้ ประเทศไทยเขา้ สู่ยุคไทยแลนด์ . และขอขอบคณุ อาจารยล์ ดาวลั ย์ จนั ทร์มณี ทีให้ความอนุเคราะห์ ในการใหค้ าํ แนะนาํ การจดั ทาํ วิจยั ตลอดจนการช่วยเหลือปรบั ปรุงแกไ้ ขขอ้ บกพร่องต่าง ๆ อยา่ งดมี าโดย ตลอด จึงขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี อจลา ดาํ รงฤทธิ (4)
สารบัญ 4 เรอื ง (3) หน้า (4) (5) บทคัดย่อ (7) กิตติกรรมประกาศ (8) สารบัญ สารบัญตาราง 1 สารบญั ภาพ 2 บทที บทนาํ 5 ปัญหาและความเป็นมาของปัญหา 7 วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 21 ความสาํ คญั ของการวจิ ยั กรอบแนวคดิ การวิจยั 40 นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ 41 บทที เอกสารและงานวจิ ยั ทเี กียวข้อง (5) หลกั สตู รประกาศนียบตั รวชิ าชพี ชนั สงู พทุ ธศกั ราช 2563 เอกสารเกียวกบั รายวชิ าหลกั เศรษฐศาสตร์ เอกสารเกียวกับการสอนโดยใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ เอกสารเกียวกบั การใชเ้ กมคาํ ศพั ทป์ ระกอบการสอน งานวิจยั ทีเกียวขอ้ ง บทที วธิ ีดาํ เนินการวจิ ัย ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง เครืองมอื ทีใชใ้ นการวจิ ยั การเก็บรวบรวมขอ้ มลู การวิเคราะหข์ อ้ มลู สถิติทีใชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู
สารบญั (ต่อ) 5 เรอื ง บทที ผลการวจิ ยั หน้า 44 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู บทที การสรุป การอภปิ ราย และข้อเสนอแนะ 53 สรุปผลการวิจยั อภิปรายผล ขอ้ เสนอแนะ บรรณานกุ รม ภาคผนวก เอกสารประเมินแผนการจดั การเรยี นรูแ้ ละแบบประเมินขอ้ สอบ แผนการจดั การเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี น ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ประวตั ิผูว้ ิจยั (6)
สารบัญตาราง 6 ตารางที 44 หน้า 1. คะแนน คา่ เฉลีย ส่วนเบียงเบนมาตรฐาน คะแนนความสามารถใน การใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษเพือพฒั นาการเรียนรู้คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ รายวชิ าหลกั เศรษฐศาสตร์ของนกั เรียนระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพชันสูง ปี ที สาขาวิชาการจดั การ 2. ผลการเปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ เพือพฒั นาการเรียนรู้คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ รายวิชาหลกั เศรษฐศาสตร์ ของนกั เรียนระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพชนั สูงปี ที สาขาวิชาการจดั การ 3. ผลการเปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ เพือพฒั นาการเรียนรู้คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ รายวชิ าหลกั เศรษฐศาสตร์ ของนกั เรียนระดบั ประกาศนียบตั รวชิ าชีพชนั สูงปี ที สาขาวชิ าการจดั การ กบั เกณฑ์ร้อยละ ((77))
7 ภาพประกอบ สารบญั ภาพ หน้า 1.1 กรอบแนวคิดการวิจยั
8 บทที บทนํา ปัญหาและความเป็ นมาของปัญหา วิชาเศรษฐศาสตร์เป็ นการนาํ เอาเนือหาส่วนใหญ่มาจากหลกั เศรษฐศาสตร์ใน ส่วนดว้ ยกัน คือ ทฤษฏีเศรษฐศาสตร์จุลภาค นาํ มาใชว้ ิเคราะห์ปัญหากิจกรรมทางเศรษฐกิจในหน่วยยอ่ ยต่าง ๆ ทาง เศรษฐกิจ ตงั แต่ พฤติกรรมผูบ้ ริโภค การผลิต ตน้ ทุนการผลิต โครงสร้างตลาด การกาํ หนดราคา การจดั สรรทรัพยากรและการแข่งขนั ระหว่างองคก์ รธุรกิจ ในขณะเดยี วกนั ก็นาํ เอาทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ มหภาค มาใชว้ ิเคราะห์เกียวกบั เศรษฐกิจในภาพรวมดว้ ย เช่น ผลกระทบจากตวั แปรเศรษฐกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอตั ราการขยายตวั ทางเศรษฐกิจ รายไดป้ ระชาชาติ อตั ราการว่างงาน ดชั นีราคา แนวโนม้ อตั ราดอกเบีย นโยบายและกฏหมายจากภาครัฐ รวมถึงปัจจยั จากภาวะเศรษฐกิจระหวา่ งประเทศต่าง ๆ เช่น การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ การเงินระหว่างประเทศ ทิศทางการคา้ การแข่งขนั ระหวา่ งประเทศ เป็นตน้ ซึงความเขา้ ใจในเนือหาเหล่านีจะช่วยใหก้ ารพยากรณ์ การกาํ หนดนโยบาย และการตดั สินใจ ทางธุรกิจ มีความถูกตอ้ ง และเหมาะสมมากขึน เศรษฐศาสตร์ธุรกิจเป็ นการศึกษาทีนาํ เอากรอบ ความคคิ ทงั หลกั การทางเศรษฐศาสตร์และหลกั การบริหารทางธุรกิจมาบูรณาการร่วมกนั เปรียบเสมือนนกั เศรษฐศาสตร์และนกั บริหารอยใู่ นตวั คน ๆ เดียว ผทู้ ีศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจจึงเป็ นผูท้ ีมีหลกั การ หลักคิดทีเป็ นตรรกะในตัวสูง พิจารณาสิงต่าง ๆ ด้วยความรอบคอบและรอบด้านเหมือนกับนัก เศรษฐศาสตร์ แต่ในขณะเดียวกนั ก็กลบั เป็ นผูท้ ีตดั สินใจอะไรฉับไว มีมุมมองทีเฉียบขาด และจบั ความรูส้ ึก ความตอ้ งการของผอู้ ืนไดร้ วดเร็วเหมือนดงั นกั การตลาดหรือนกั ธุรกิจนนั เอง (www.econ.tu.ac.th เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ คืออะไร ผูแ้ ต่ง พชรพงษ์ เทพสมาน ออนไลท์ สืบคน้ เมือ สิงหาคม พ.ศ. 2563) ข้อดีการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ การสนทนาภาษาองั กฤษ หรือภาษาต่างประเทศนันมี ความสาํ คญั เป็นอยา่ งมากในปัจจุบนั ดงั นนั การเรียนภาษาองั กฤษ หรือภาษาอืน ๆ นนั จึงเป็นทีนิยมอย่าง มากขึนเพราะถา้ หากคุณมีความสามารถในการใช้ภาษาถึงขนั สนทนาภาษาองั กฤษ หรือสนทนาเป็ น ภาษาต่างประเทศไดอ้ ย่างคล่องแคล่วแลว้ นันนอกจากจะช่วยเพิมโอกาสในการเรียนต่อ และโอกาสใน การทาํ งานทีมากกวา่ แลว้ จากการวจิ ยั พบวา่ ขอ้ ดีของการเรียนภาษาองั กฤษและภาษาอืน ๆ นนั มีมากมาย ไดแ้ ก่ ทาํ ให้ฉลาดขึน พฒั นาทกั ษะการทาํ งานหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กนั ลดโอกาสการเป็นโรคอลั ไซ เมอร์และสมองเสือม ช่วยเพิมความจํา เพิมความสามารถในการรับรู้และแยกแยะข้อมูล เพิม ความสามารถในการตดั สินใจ ใชห้ ลกั ภาษาไดเ้ ก่งขึน (www.top-atutor.com ออนไลท์ สืบคน้ เมือ สิงหาคม พ.ศ. ) วิชาเศรษฐศาสตร์จะมีคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษทีเป็ นคาํ ศพั ทเ์ ฉพาะ ผูว้ ิจยั พบวา่ นักเรียนขาดความ สนใจจดจาํ คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ขาดทกั ษะการแปลคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษทางธุรกิจ เนืองจากนกั เรียนส่วน
9 ใหญ่ไม่รู้ความหมายของคาํ ศัพท์ภาษาองั กฤษในเรืองทีเรียน ครูผูส้ อนตอ้ งเป็ นผูบ้ อกความหมายให้ ทังหมด ดังนันผูว้ ิจัยจึงสร้างเกมคาํ ศัพท์ภาษาอังกฤษ เพือพัฒนาความรู้ภาษาอังกฤษในวิชาหลัก เศรษฐศาสตร์ให้กบั นกั เรียน วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั 1. เพือเปรียบเทียบความสามารถในการจดจาํ คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ในรายวิชาหลเั ศรษฐศาสตร์ ของนกั เรียนก่อนและหลงั ไดร้ ับการใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ 2. เพือเปรียบเทียบความสามารถในการจดจาํ คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ในรายวชิ าหลเั ศรษฐศาสตร์ ของนกั เรียนหลงั ไดร้ ับการใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษกบั เกณฑร์ ้อยละ สมมตฐิ านการวจิ ัย 1. นกั เรียนทีไดร้ ับการสอนโดยใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษมีความสามารถในการจดจาํ คาํ ศพั ท์ ภาษาองั กฤษสูงกวา่ ก่อนไดร้ ับการสอน 2. นกั เรียนทีไดร้ ับการสอนโดยใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษมีความสามารถในการจดจาํ คาํ ศพั ท์ ภาษาองั กฤษสูงกวา่ เกณฑร์ ้อยละ ขึนไป ความสําคญั ของการวิจัย ผลการศึกษาวิจยั ในครังนี ช่วยให้ทราบผลของการใช้เกมคาํ ศพั ท์ภาษาอังกฤษ ทีมีต่อ ทกั ษะการจดจาํ คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ และจะเป็ นแนวทางสาํ หรับครูในการทาํ กิจกรรมเกมคาํ ศพั ทเ์ ขา้ มา ประกอบการสอน เพือพฒั นาทกั ษะดา้ นคาํ ศพั ทข์ องนักเรียนให้สามารถจาํ ความหมายของคาํ ศพั ทใ์ นวิชา หลกั เศรษฐศาสตร์ไดม้ ากขึน ขอบเขตของการวิจยั การวจิ ยั ครังนีไดก้ าํ หนดขอบเขตการวิจยั ไว้ ดงั นี . ขอบเขตด้านเนือหา เนือหาในการศึกษาครังนีเป็นการเปรียบเทียบความสามารถในการจดจาํ คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ในรายวชิ าหลกั เศรษฐศาสตร์ ไดแ้ ก่ คาํ ศพั ทท์ วั ไปทางเศรษฐศาสตร์ อุปสงค์ อปุ ทาน ดุลยภาพ ของตลาด ของนกั เรียนก่อนและหลงั ไดร้ ับการใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ
10 . ประชากรและกลุ่มตัวอย่างทีใช้ในการวิจัย ประชากรทีใชใ้ นการวจิ ยั คือ นกั เรียนระดบั ประกาศนียบตั รวชิ าชีพชนั สูงปี ที ประเภทวิชาบริหารธุรกจิ สาขาวิชาการจดั การ วทิ ยาลยั เทคโนโลยหี าดใหญ่อาํ นวยวทิ ย์ อาํ เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา ปี การศึกษา จาํ นวน คน กลมุ่ ตวั อยา่ งทีใชใ้ นการวจิ ยั คอื นกั เรียนระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพชนั สูงปี ที ประเภทวชิ าบริหารธุรกจิ สาขาวิชาการจดั การ วทิ ยาลยั เทคโนโลยหี าดใหญ่อาํ นวยวิทย์ อาํ เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา ปี การศึกษา อาํ เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา ปี การศึกษา จาํ นวน คน (นกั เรียนทีสอบไมผ่ า่ นในระดบั คะแนนร้อยละ ของคะแนนเตม็ ) . ตัวแปรทีใช้ในการวจิ ยั ตัวแปรต้น คือ การใชเ้ กมคาํ ศพั ท์ ในรายวชิ าหลกั เศรษฐศาสตร์ ตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการจดจาํ คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ในรายวชิ าหลกั เศรษฐศาสตร์ . ระยะเวลาทีใช้ในการวจิ ยั การศึกษาครังนีดาํ เนินการวิจยั ในภาคเรียนที ปี การศึกษา ซึงใชเ้ วลาในการทดลอง 6 คาบ คาบละ นาที โดยแบง่ เป็น ทดสอบก่อนเรียน คาบ ดาํ เนินการสอน โดยใชเ้ กมคาํ ศพั ท์ ภาษาองั กฤษ 4 คาบ และทดสอบหลงั เรียน คาบ กรอบแนวคดิ ในการวิจัย ตวั แปรตาม ตัวแปรต้น ความสามารถในการจดจาํ คาํ ศพั ท์ ภาษาองั กฤษ ในรายวิชาหลกั เศรษฐศาสตร์ การใชเ้ กมคาํ ศพั ท์ ในรายวิชา หลกั เศรษฐศาสตร์ นิยามศัพท์เฉพาะ เกมคาํ ศพั ท์ หมายถึง กิจกรรมประกอบการเรียนการสอนคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ เพือให้นกั เรียน มีส่วนร่วมในการทาํ กจิ กรรม การเรียนรู้ หมายถึง . เป้าหมาย ผสู้ อนควรมีการคาดหวงั หรือกาํ หนดใหผ้ เู้ รียนไดร้ ู้คาํ ศพั ทค์ าํ ใดและนาํ คาํ ศพั ทเ์ หล่านีไปใชอ้ ย่างไร . ปริมาณ ผสู้ อนไมค่ วรสอนคาํ ศพั ทม์ ากเกินไปหรือนอ้ ยเกินไป
11 ในบทเรียนหนึง ๆ และในการเลือกคาํ ศพั ท์ทีจะนํามาสอนควรคาํ นึงถึงจาํ นวนตวั อกั ษรในคาํ ศัพท์ที เหมาะสม เช่น ในระดบั ประถมศึกษาก็ควรสอนคาํ ศพั ทส์ ัน ๆ . คาํ ศพั ทท์ ีสอนควรมีความสมั พนั ธ์กบ ประสบการณ์ และความสนใจของผเู้ รียนและควรเป็นคาํ ศพั ทท์ ีผเู้ รียนมีโอกาสนาํ ไปใชใ้ นชีวิตประจาํ วนั เช่น นาํ ไปพูดสนทนา หรืออา่ นป้ายโฆษณา เป็นตน้ . คาํ ศพั ทท์ ีนาํ มาสอนควรมีความถีสูง กล่าวคือ ผเู้ รียนพบเห็นในชีวติ ประจาํ วนั หรือในหนงั สือเรียน บ่อย ๆ การทีผเู้ รียนไดพ้ บคาํ ศพั ทบ์ อ่ ย ๆ จะทาํ ให้ ผเู้ รียนจดจาํ คาํ ศพั ท์ได้ และสามารถนาํ ออกมาใช้ไดท้ กุ โอกาสตามทีตอ้ งการ . การเรียนรูค้ าํ ศพั ทต์ าม สถานการณ์ ผเู้ รียนจะตอ้ งเรียนรู้คาํ ศพั ท์ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง และเหมาะสมตามสถานการณ์ เช่น รูว้ า่ กาํ ลงั พูดกบั ใครและสถานการณ์นนั เป็ นอยา่ งไร เป็นตน้ หลกั เศรษฐศาสตร์ หมายถึง ศึกษาเกียวกบั ความรู้ทวั ไปทางเศรษฐศาสตร์ อปุ สงค์ อปุ ทาน ภาวะดุลยภาพของตลาด พฤติกรรมผบู้ ริโภค การผลิต ตลาดในระบบเศรษฐกิจ
บทที 2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเกยี วข้อง การวจิ ยั ครังนีเป็นการเปรียบเทียบความสามารถในการจดจาํ คาํ ศพั ท์ภาษาองั กฤษ ในรายวิชา หลกั เศรษฐศาสตร์ ของนกั เรียนระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพชนั สูงปี ที สาขาวิชาการจดั การ ซึงได้ ศึกษาเกียวกบั เอกสารงานวจิ ยั ทีเกียวขอ้ งต่าง ๆ ดงั นี 1. หลกั สูตรประกาศนียบตั รวชิ าชีพชนั สูง พทุ ธศกั ราช ประเภทวชิ าบริหารธุรกิจ สาขาวชิ าการจดั การ 2. เอกสารเกียวกบั รายวชิ าหลกั เศรษฐศาสตร์ 3. เอกสารการสอนโดยใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ 4. เอกสารทีเกียวขอ้ งกบั การใชเ้ กมคาํ ศพั ทป์ ระกอบการสอน 5. งานวิจยั ทีเกียวขอ้ ง 1. หลกั สูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชันสูง พุทธศักราช ประเภทวิชาบริหารธุรกจิ ในรายวิชา หลกั เศรษฐศาสตร์ หลกั สูตรประกาศนียบตั รวชิ าชีพชนั สูง พุทธศกั ราช ประเภทวชิ าบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการจดั การ จุดประสงคส์ าขาวิชา . เพือให้สามารถประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้และทกั ษะดา้ นการสือสาร ทกั ษะการคดิ และการแกป้ ัญหา ทกั ษะ ทางสงั คมและการดาํ รงชีวติ ในการพฒั นาตนเองและวิชาชีพการทอ่ งเทียว . เพือให้เขา้ ใจการบริหารและการจดั การตามหลกั วชิ าชีพ มีทกั ษะการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ งานอาชีพ สามารถพฒั นาวิชาชีพการท่องเทียวใหท้ นั ต่อการเปลียนแปลงของสังคม เศรษฐกิจและ เทคโนโลยี . เพือใหม้ ีความเขา้ ใจในหลกั การและกระบวนการทาํ งานในกลุม่ งานพืนฐานดา้ นการท่องเทียว . เพือใหส้ ามารถบรู ณาการความรู้ และทกั ษะจากศาสตร์ต่าง ๆ ทีเกียวขอ้ งมาประยุกตใ์ ชใ้ นวชิ าชีพ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม . เพือใหส้ ามารถปฏิบตั ิงานดา้ นการวางแผนจดั นาํ เทียว งานดา้ นมคั คเุ ทศก์ งานดา้ นการประสานงาน งานดา้ นการขายและการตลาด และงานธุรกิจอืน ๆ ทีเกียวขอ้ งกบั การท่องเทียวทงั ในสถานประกอบการ และอาชีพอิสระ ตลอดจนสามารถใชค้ วามรูแ้ ละทกั ษะเพือเป็นฐานสาํ หรบั การศึกษาต่อระดบั สูงไ
13 . เพือใหส้ ามารถปฏบิ ตั ิงานดา้ นการท่องเทียวในสถานประกอบการและประกอบอาชีพอิสระรวมทงั การใชค้ วามรู้และทกั ษะเป็ นพืนฐานในการศึกษาต่อในระดบั สูงขึนได้ . เพอื ใหม้ เี จตคติทีดีต่องานอาชีพ มีความคิดสร้างสรรค์ ซือสัตยส์ ุจริต มีระเบียบวนิ ยั เป็นผูม้ ีความ รับผดิ ชอบต่อตนเอง สังคม และสิงแวดลอ้ ม ตอ่ ตา้ นความรุนแรงและสารเสพติดให้โทษ วิชาหลกั เศรษฐศาสตร์ ( Principle of Economics ) รหัสวิชา – จุดประสงค์รายวิชา เพือให้ . เขา้ ใจเกียวกบั หลกั เศรษฐศาสตร์ อปุ สงค์ อุปทาน พฤติกรรมผบู้ ริโภค การผลิต ตลาดในระบบ เศรษฐกิจ รายไดป้ ระชาชาติ การเงินการธนาคาร นโยบายการเงิน นโยบายการคลงั การคา้ ระหวา่ ง ประเทศ และวฏั จกั รธุรกิจ . สามารถนาํ แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ เพือแกป้ ัญหาในชีวติ ประจาํ วนั ตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง . เหน็ คุณค่าและความสาํ คญั ของหลกั เศรษฐศาสตร์ สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรูเ้ กียวกบั หลกั เศรษฐศาสตร์ อุปสงค์ อปุ ทาน พฤติกรรมผบู้ ริโภค การผลิต ตลาดใน ระบบเศรษฐกิจ รายไดป้ ระชาชาติ การเงินการธนาคาร นโยบายการคลงั นโยบายการเงิน การคา้ ระหวา่ งประเทศ และวฏั จกั รเศรษฐกิจ 2. ประยกุ ตห์ ลกั เศรษฐศาสตร์ไปใชใ้ นชีวิตประจาํ วนั และงานอาชีพ 3. ปฏิบตั ิงานดว้ ยความมีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมและคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามหลกั ปรชั ญา ของเศรษฐกิจพอเพยี ง คําอธิบายรายวิชา ศึกษาเกียวกบั ความรู้ทวั ไปทางเศรษฐศาสตร์ อุปสงค์ อุปทาน ภาวะดุลยภาพของตลาด พฤติกรรมผบู้ ริโภค การผลิต ตลาดในระบบเศรษฐกิจ รายไดป้ ระชาชาติ การเงิน การธนาคาร นโยบายการเงิน นโยบายการคลงั การคา้ ระหวา่ งประเทศ วฏั จกั รเศรษฐกิจ การพฒั นาเศรษฐกิจตาม หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง (www.bsq2 vec.go.th ออนไลท์ สืบคน้ เมือวนั ที กรกฏาคม พ.ศ. )
14 2. เอกสารเกยี วกบั รายวิชาหลกั เศรษฐศาสตร์ อุปสงค์ อุปทาน และดลุ ยภาพตลาด ในระบบเศรษฐกิจแบบทนุ นิยมและแบบผสม กลไกราคาจะเป็นเครืองมือในการแกป้ ัญหาพืนฐาน ทางเศรษฐกิจ วา่ จะผลิตอะไร และผลิตอยา่ งไร ซึงสิงทีเป็นตวั กาํ หนดราคาสินคา้ และบริการในทาง เศรษฐกิจ คือ อปุ สงคข์ องผูบ้ ริโภค และอุปทานของผผู้ ลิตนนั เอง . อุปสงค์ (Demand) 2.1.1 ความหมายของอุปสงค์ อปุ สงค์ (Demand) หมายถึง ปริมาณสินคา้ และบริการชนิดใดชนิดหนึงทีมีผตู้ อ้ งการซือ ณ ระดบั ราคาต่างๆ ของสินคา้ ชนิดนนั ภายในระยะเวลาใดเวลาหนึง โดยสมมุติใหป้ ัจจยั อืนๆ ทีกาํ หนดอปุ สงค์ คงที ความตอ้ งการในทีนีตอ้ งมีอาํ นาจซือ(purchasing power หรือ ability to pay)ดว้ ย ถา้ บคุ คลใดบคุ คลหนึง มีแต่ความตอ้ งการในตวั สินคา้ โดยไม่มีเงินทีจะจ่ายซือ เราเรียกความตอ้ งการลกั ษณะนนั วา่ “ความต้องการ (want)” ไมใ่ ช่ “อปุ สงค์ (want)” ดงั นนั องคป์ ระกอบของอปุ สงค์ จะประกอบด้วย ความต้องการและอาํ นาจ ซือ . . กฎของอุปสงค์ (Law of Demand) กฎของอปุ สงค์ (Law of Demand) อธิบายถึงพฤติกรรมของผบู้ ริโภคในการตดั สินใจซือสินคา้ เมือราคาสินคา้ เปลียนแปลงไป กฎของอปุ สงคก์ ล่าววา่ \"ปริมาณสินคา้ ทีผบู้ ริโภคตอ้ งการซือในขณะใด ขณะหนึงจะมีความสัมพนั ธ์ในทางตรงกนั ขา้ มกบั ราคาสินคา้ ชนิดนนั \" โดยมขี อ้ สมมติใหป้ ัจจยั อืนๆคงที แสดงวา่ P Q ,P Q เมอื กาํ หนดใหส้ ิงอืนๆคงที ผลดงั กล่าวเราเรียกว่า ผลของราคา (price effect) เป็นผลสืบมาจากเนืองจากสาเหตุ ประการ คือ . เมือราคาสินคา้ ชนิดนนั ลดลง ผบู้ ริโภคจะรู้สึกวา่ สินคา้ ชนิดนันมีราคาถกู เมือเทียบกบั ราคาของ สินคา้ ชนิดอืนๆ จงึ ลดการบริโภคสินคา้ ชนิดอืนลง แลว้ หนั มาบริโภคสินคา้ ชนิดนนั เพมิ ขึนแทนการบริโภค สินคา้ ชนิดอืนทีลดลง ในตรงกนั ขา้ ม ถา้ ราคาสินคา้ ชนิดนนั สูงขึน ผบู้ ริโภคจะรู้สึกวา่ สินคา้ ชนิดนนั มีราคา แพงเมือเทียบกบั ราคาของสินคา้ ชนิดอืนๆ จึงลดการ
15 บริโภคสินคา้ ชนิดนนั ลง แลว้ หนั มาบริโภคสินคา้ ชนิดอืนๆเแทน เราเรียกผลของการเปลียนแปลงปริมาณ การบริโภคอนั เนืองมาจากการเปลียนแปลงในราคาเปรียบเทยี บ (Relative price) ของสินคา้ วา่ ผลของการใช้ แทนกนั (Substitution effect) 2. เมือราคาสินคา้ ชนิดนนั ลดลง ผบู้ ริโภคจะรู้สึกวา่ เหมือนกบั วา่ เขามีรายไดเ้ พิมขึน ทงั นีเพราะ รายไดจ้ าํ นวนเดิมจะมีอาํ นาจซือมากขึน ดงั นนั เขาจึงซือสินคา้ เพิมขนึ ในทางตรงกนั ขา้ ม ถา้ ราคาสินคา้ ชนิด นนั สูงขนึ ผบู้ ริโภคจะรู้สึกวา่ เหมอื นกบั วา่ เขามีรายไดน้ อ้ ยลง ดงั นนั เขาจึงซือสินคา้ ลดลง เราเรียกผลของการ เปลียนแปลงปริมาณการบริโภคอนั เนืองมาจากการเปลียนแปลงในอาํ นาจซือของเงินรายไดว้ า่ ผลของรายได้ (Income effect) สรุป ผลราคา = ผลของการใช้แทนกนั + ผลของรายได้ . . ตารางอุปสงค์และเส้นอุปสงค์ ตารางอปุ สงค์ บญั ชีหรือตารางปริมาณสินคา้ ในระดบั ตา่ งๆ ทผี บู้ ริโภคตอ้ งการและสามารถซือได้ ณ ระดบั ราคาตา่ งๆ ในช่วงเวลาหนึง โดยปัจจยั อนื ๆ คงที ตารางที . อปุ สงค์ของ นาย ก. ทีมตี ่อเนือหมูนใน สัปดาห์ ราคาเนือหมู/กโิ ลกรัม ปริมาณซือ/สัปดาห์ (บาท) (กโิ ลกรัม) 70 1 65 2 60 3 55 4 50 5 45 6 40 7
16 ลกั ษณะของเส้นอุปสงค์ เสน้ อุปสงค์ (Demand Curve) จะมีลกั ษณะเป็นเส้นตรงลาดลงจากซา้ ยมาขวา ความชนั (slope) ของเสน้ เป็นลบ เนืองจากราคาและปริมาณความตอ้ งการซือมีความสัมพนั ธ์ในทิศทางตรงกนั ขา้ ม รูปที . เส้นอปุ สงค์ของ นาย ก. ทีมตี ่อเนือหมูใน สัปดาห์ ราคา 70 A เสน้ อปุ สงค์ 60 B ปริมาณ 50 C 40 D 1 35 7 . . อุปสงค์ส่วนบคุ คล (Individual Demand) และอุปสงค์ตลาด (Market Demand) ในการพจิ ารณาอปุ สงค์ ถา้ พิจารณาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งราคาสินคา้ กบั ปริมาณสินคา้ ทีผบู้ ริโภคคน ใดคนหนึงตอ้ งการ เรียกอปุ สงคน์ นั วา่ “อปุ สงคส์ ่วนบุคคล (Individual Demand)” แต่ถา้ พิจารณาถึง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งราคาสินคา้ กบั ปริมาณสินคา้ ทีผบู้ ริโภคทงั หมดในสังคมหนึงๆ ตอ้ งการซือ เรียกอุปสงค์ นนั วา่ “อปุ สงคข์ องตลาด (Market Demand)” ราคาเนือหมู ปริมาณซือ ปริมาณซือรวม (บาท) นาย ก. นาย ข. ของทังหมด 70 1 0 (1+0) = 1 65 2 1 (2+1) = 3 60 3 2 (3+2) = 5 55 4 3 (4+3) = 7 50 5 4 (5+4) = 9 45 6 5 (6+5) = 11 40 7 6 (7+6) = 13 เมือพจิ ารณาความตอ้ งการซือส้มของนาย ก. และนาย ข. ณ ระดบั ราคาส้มกิโลกรัมละ 70 บาท นาย ก. ซือส้ม 1 กิโลกรัม ส่วนนาย ข. ซือส้ม 2 กิโลกรัม ดงั นนั อปุ สงคส์ ่วนบคุ คลของนาย ก. คือ 1 กิโลกรมั อปุ สงคส์ ่วนบุคคลของนาย ข. คือ 0 กิโลกรัม ส่วนอปุ สงคข์ องตลาดคอื 1 + 0 = 1 กิโลกรมั ในทาํ นองเดียวกนั
17 เมือเราทราบอปุ สงคข์ องนาย ก. และนาย ข. ณ ระดบั ราคาอืนๆ เราก็สามารถหาอปุ สงคข์ องตลาด ณ ระดบั ราคาตา่ งๆ กนั ได้ ดงั แสดงในชอ่ งสุดทา้ ยของตาราง เราอาจแสดงการหาอปุ สงคข์ องตลาดจากอุปสงคข์ องแตล่ ะบคุ คลโดยรูปไดด้ งั นี รูปที . อุปสงค์ของ นาย ก. นาย ข. และอุปสงค์ของตลาดเนือหมู ใน สัปดาห์ อุปสงค์ของนาย ก. อุปสงค์ของนาย ข. อุปสงค์ของตลาด ราคา ราคา ราคา 60 a 60 a/ 60 A 50 b 50 b/ 50 B 3ปริมาณ5 2 ปริ4มาณ 5 ปริมาณ 9 . . ปัจจัยทกี าํ หนดอุปสงค์ ปัจจยั ทีกาํ หนดอปุ สงคข์ องสินคา้ นอกจากราคาของสินคา้ แลว้ ยงั มีปัจจยั อืนๆ อีก ดงั นี รายได้ของผ้บู ริโภค ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งรายไดแ้ ละปริมาณการเสนอซือสินคา้ ขึนอยกู่ บั ชนิดของ สินคา้ ในกรณีสินคา้ ปกติ (Normal Goods) และสินคา้ ฟ่ ุมเฟื อย (Superior Goods) รายไดแ้ ละปริมาณการ เสนอซือสินคา้ ของผบู้ ริโภคจะมคี วามสมั พนั ธ์ในทิศทางเดียวกนั ส่วนในสินคา้ ดอ้ ยคณุ ภาพ (Inferior Goods) รายไดแ้ ละปริมาณการเสนอซือสินคา้ ของผบู้ ริโภคจะมีความสมั พนั ธ์ในทิศทางตรงกนั ขา้ ม ระดับราคาสินค้าชนดิ อืน ปริมาณการเสนอซือสินคา้ ถูกกาํ หนดโดยราคาสินคา้ ชนิดอืนดว้ ย เนืองจากสินคา้ ทีซือขายในตลาดมีความสัมพนั ธก์ นั กลา่ วคอื สินคา้ บางชนิดสามารถใชแ้ ทน กนั ได้ (Substitute goods) หรือสินคา้ บางชนิดตอ้ งใชร้ ่วมกนั (complementary goods) ดงั นนั การทีผบู้ ริโภค จะซือสินคา้ ชนิดใดชนิดหนึงปริมาณเท่าใดตอ้ งพิจารณาถึงราคาของสินคา้ ชนิดอืนทีสัมพนั ธ์กนั ดว้ ย
18 รสนิยมของผ้บู ริโภค รสนิยมของบคุ คลโดยทวั ไปจะแตกตา่ งกนั ไปตาม อายุ อาชีพ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ระดบั การศึกษา และบคุ ลิกส่วนตวั นอกจากนียงั เปลียนแปลงตามกาลเวลา ยคุ สมยั นอกจากนีความ นิยมในแตล่ ะสินคา้ ยงั เปลียนแปลงไดเ้ ร็วชา้ แตกต่างกนั ขึนอยกู่ บั สินคา้ ทีพิจารณา การคาดคะเนเหตกุ ารณ์ในอนาคต การคาดคะเนเหตกุ ารณ์ในอนาคตเป็นปัจจยั หนึงทีทาํ ใหอ้ ปุ สงค์ ของสินคา้ เปลียนแปลงไป ขึนอยูก่ บั การคาดคะเนของผบู้ ริโภคแต่ละคน ขนาดและโครงสร้างของประชากร โดยปกติถา้ จาํ นวนประชากรเพิมขึนอปุ สงคข์ องสินคา้ แทบทกุ ชนิดย่อมเพิมขึน แตท่ งั นีขึนอยูก่ บั ลกั ษณะโครงสรา้ งประชากรดว้ ย ลกั ษณะโครงสร้างประชากรมีผลให้อปุ สงคข์ องสินคา้ บางชนิดเพิมขึนและบางชนิดลดลง ปัจจยั อืนๆ การทีผบู้ ริโภคจะมีอปุ สงคต์ อ่ สินคา้ ยงั ขึนอยกู่ บั อีกหลายปัจจยั เช่น อปุ นิสัยในการใชจ้ า่ ย ลกั ษณะการจดั เก็บภาษีของรัฐ อตั ราดอกเบีย เป็นตน้ . . การเปลยี นแปลงของอุปสงค์ การเปลียนแปลงของอุปสงคส์ ามารถเปลียนแปลงได้ 2 แบบคือ การเปลยี นแปลงปริมาณของอปุ สงค์ (Change in quantity demand) เป็นการเปลียนแปลงอุปสงค์ เนืองจากราคาสินคา้ ชนิดนนั เปลียนแปลงไป ภายใตข้ อ้ สมมตุ ิปัจจยั อืนๆ ทีกาํ หนดอปุ สงคค์ งที การ เปลียนแปลงปริมาณของอปุ สงคจ์ ะทาํ ใหป้ ริมาณการเสนอซือเปลียนแปลงอย่บู นเสน้ อปุ สงคเ์ ส้นเดมิ ถา้ พจิ ารณาจากกราฟ การเปลียนแปลงของอปุ สงค์ ดงั กล่าวจะเป็นการเปลียนแปลงในลกั ษณะของการ เคลือนไหวอยภู่ ายในเสน้ อปุ สงค์ เสน้ เดิมจาก จุดหนึงไปยงั อีกจุด หนึง (ตามรูปจากจุด A ไปยงั จุดB) รูปที . การเปลียนแปลงของปริมานขอ-ง6อ-ปุ สงค์ในสินค้า y การเปลยี นแปลงระดบั อปุ สงค์ (Change in demand) เป็นการเปลียนแปลงอปุ สงคเ์ นืองจากปัจจยั อืนๆ ทีมอี ิทธิพลตอ่ อปุ สงค์ เช่น รายได้ ราคาสินคา้ ชนิดอืนทีเกียวขอ้ ง เปลียนแปลง ภายใตข้ อ้ สมมุติราคา สินคา้ ชนิดนนั คงที และส่งผลใหเ้ สน้ อุปสงคเ์ กิดการเคลือนยา้ ยไปจากเสน้ เดิม ถา้ ผลการเปลียนแปลงทาํ ให้ อปุ สงคเ์ พิมขึนเส้นจะเลือนระดบั ไปดา้ นขวามอื ของเสน้ เดมิ และถา้ มีผลใหอ้ ปุ สงคล์ ดลงเสน้ จะเลือนระดบั ไปทางซา้ ยมือของเสน้ เดิม ถา้ พิจารณาจากกราฟ การเปลียนแปลงอุปสงคด์ งั กลา่ วจะเป็นการเปลียนแปลงใน
19 ลกั ษณะของการเคลือนยา้ ยเส้นอปุ สงคไ์ ปทงั เสน้ จากเสน้ เดิมไปสู่เสน้ ใหม่ โดยถา้ เสน้ อปุ สงคเ์ คลือนยา้ ยไป ทางขวาของเสน้ เดิมแสดงวา่ อปุ สงคเ์ พิมขึน ถา้ เคลือนยา้ ยไปทางซา้ ยแสดงวา่ อปุ สงคล์ ดลง ดงั รูป รูปที . การเปลยี นแปลงในระดับอุปสงค์ในสินค้า a . อปุ ทาน (Supply) 2.2.1 ความหมายของอุปทาน อปุ ทาน (Supply) หมายถึง ปริมาณสินคา้ และบริการชนิดใดชนิดหนึงทีผผู้ ลิตเต็มใจนาํ ออกเสนอ ขายในตลาดภายในระยะเวลาหนึง ณ ระดบั ราคาตา่ งๆ กนั ของสินคา้ และบริการนนั โดยสมมติให้ปัจจยั อืนๆ ทีกาํ หนดอปุ ทานคงที จากความหมายของอุปทาน จะเหน็ ไดว้ ่าอุปทานประกอบดว้ ย 2 ส่วนสาํ คญั คือ 1. ความเตม็ ใจทีจะเสนอขายหรือใหบ้ ริการ (willingness) กล่าวคอื ณ ระดบั ราคาตา่ งๆ ทีตลาด กาํ หนดมาให้ ผผู้ ลิตหรือผปู้ ระกอบการมีความยนิ ดีหรือเตม็ ใจทีจะเสนอขายสินคา้ หรือ ใหบ้ ริการตามความตอ้ งการซือของผบู้ ริโภค 2. ความสามารถในการจดั หามาเสนอขายหรือให้บริการ (ability to sell) กล่าวคือ ผผู้ ลิต หรือ ผปู้ ระกอบการจะตอ้ งจดั หาใหม้ สี ินคา้ หรือบริการอยา่ งเพียงพอทีจะ ตอบสนองความตอ้ งการซือของผบู้ ริโภค ณ ระดบั ราคาของตลาดในขณะนนั ๆ (สามารถเสนอ ขายหรือใหบ้ ริการได)้ เมือกล่าวถึงคาํ วา่ อุปทาน จะเป็นการมองทางดา้ นของผผู้ ลิตซึงตรงขา้ ม กบั อุปสงคท์ ีเป็นการมองทางดา้ นของผบู้ ริโภค ในทางเศรษฐศาสตร์แลว้ ความสมั พนั ธ์ของราคา สินคา้ ทีมีต่ออปุ ทานของสินคา้ นนั จะเป็นไปตามกฎของอปุ ทาน (Law of Supply) . . กฎของอปุ ทาน (Law of Supply) กฎของอปุ ทาน (Law of Supply) จะอธิบายถึงพฤติกรรมของผผู้ ลิตในการแสวงหากาํ ไรสูงสุด กฎ ของอุปทานกล่าววา่ “ปริมาณสินคา้ ทีผผู้ ลิตเตม็ ใจจะนาํ ออกขายในระยะเวลาหนึงขนึ อยกู่ บั ราคาสินคา้ นนั ๆ ในทิศทางเดียวกนั ” กลา่ วคือ เมือราคาสินคา้ สูงขึนปริมาณอุปทานจะเพิมขึน เนืองจากผผู้ ลิตมีความ
20 ตอ้ งการทีจะเสนอขายมากขึน เพราะคาดการณ์ว่าจะไดก้ าํ ไรสูงขึน ในทางกลบั กนั เมือราคาสินคา้ ลดลง ปริมาณอปุ ทานจะนอ้ ยลง เนืองจากคาดการณ์วา่ กาํ ไรทีไดจ้ ะลดลง ลกั ษณะทวั ไปของเสน้ อปุ ทานจึงเป็น เสน้ ทีมีลกั ษณะทีลากเฉียงขนึ จากซ้ายไปขวา ภายใตข้ อ้ สมมติวา่ ปัจจยั ตวั อืนๆทีมีผลต่ออุปทานมีค่าคงที . . ตารางอปุ ทานและเส้นอปุ ทาน ในทาํ นองเดียวกนั กบั ตารางอุปสงค์ ตารางอุปทาน (supply schedule) เป็ นตารางตวั เลขทีแสดง ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งปริมาณอปุ ทานของสินคา้ หรือบริการอยา่ งใดอยา่ งหนึง ณ ระดบั ราคาตา่ งๆ ซึงแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ ตารางอปุ ทานส่วนบคุ คล (individual supply schedule) เป็นตารางตวั เลขแสดงปริมาณอปุ ทานใน สินคา้ หรือบริการของบคุ คลใดบคุ คลหนึง ณ ระดบั ราคาต่างๆและเช่นเดยี วกนั กบั กรณีของอุปสงค์ จากตาราง นีเราสามารถนาํ ตวั เลขแตล่ ะคู่ลาํ ดบั ของราคาและปริมาณอุปทานมา พลอตเป็นจุด และเมือเชือมโยงจุด เหลา่ นีเขา้ ดว้ ยกนั จะไดเ้ สน้ อุปทานส่วนบุคคลตามภาพ 6.7 ซึงเป็นเสน้ ทีมลี กั ษณะเฉียงขนึ จากซา้ ยไปขวา ตามกฎของอุปทาน
21 ลกั ษณะของเส้นอุปทาน (Supply Curve) เส้นอุปทาน (Supply Curve) มีลกั ษณะเป็นเสน้ ตรงลาดขึนจากซา้ ยไปขวา ความชนั (Slope) เป็ น บวก เนืองจากราคาและปริมาณการเสนอขายมีความสัมพนั ธใ์ นทศิ ทางเดยี วกนั รูปที . เส้นอุปทานส่วนบคุ คลของชวนสวนเงาะแห่งหนึง . . อุปทานส่วนบคุ คล (Individual Supply) และอปุ ทานตลาด (Market Supply) ในการพิจารณาอปุ ทาน ถา้ พจิ ารณาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งราคาสินคา้ กบั ปริมาณการเสนอขายสินคา้ ทีผผู้ ลิตรายใดรายหนึงตอ้ งการเสนอขาย เรียกอุปทานนนั วา่ “อุปทานส่วนบคุ คล (Individual Supply)” แตถ่ า้ พจิ ารณาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งราคาสินคา้ กบั ปริมาณการเสนอขายสินคา้ ทงั หมด ในระบบเศรษฐกิจหนึงๆ เรียกอุปทานนนั วา่ “อปุ ทานตลาด (Market Supply)”
22 รูปที . เส้นอุปทานรวมของตลาดเงาะ จากตารางและรูป 2.7 แสดงวา่ ถา้ ปัจจยั อืนคงทีเมือราคาของสินคา้ หรือบริการสูงขึน ทงั อุปทานส่วนบคุ คล และอปุ ทานรวมจะเพิมขึน และในทางกลบั กนั เมือราคาลดลงปริมาณอปุ ทาน ทงั สองประเภทจะลดลงดว้ ย และถา้ พจิ ารณาจากกราฟจะเห็นไดว้ า่ ลกั ษณะของทงั เสน้ อปุ ทานส่วนบคุ คล และอุปทานรวมจะเป็นเสน้ ที ลากเฉียงขึนจากซ้ายไปขวา ซึงเป็นไปตามกฎของอปุ ทานทีวา่ ราคาของสินคา้ หรือบริการชนิดใดชนิดหนึงจะ เป็นปฏิภาคโดยตรงกบั ปริมาณความตอ้ งการเสนอขายหรืออปุ ทานในสินคา้ ชนิดนนั โดยอยภู่ ายใตข้ อ้ สมมติ ว่าปัจจยั อืนๆคงที . . ปัจจัยทกี าํ หนดอปุ ทาน การทีผผู้ ลิตจะนาํ สินคา้ ออกมาเสนอขายมากนอ้ ยเพยี งใดนนั นอกจากราคาของสินคา้ ชนิดจะเป็ น ปัจจยั ทีกาํ หนดแลว้ ยงั มีอกี หลายปัจจยั ดงั นี
23 ต้นทุนการผลิต การตดั สินใจในปริมาณการผลิตผผู้ ลิตจะเปรียบเทียบระหวา่ งรายไดจ้ ากการขาย สินคา้ กบั ตน้ ทนุ ในการผลิต ตน้ ทุนการผลิตมีผลต่อปริมาณการผลิตสินคา้ โดยมีความสมั พนั ธใ์ นทิศทาง ตรงกนั ขา้ ม ราคาของสินค้าชนิดอืนทีเกยี วข้อง การเปลียนแปลงในราคาสินคา้ ชนิดใดชนิดหนึงใดอาจมีผล กระทบกระเทือนต่อปริมาณเสนอขายสินคา้ อกี ชนิดหนึงได้ ขึนอยกู่ บั ความสมั พนั ธ์ของสินคา้ เช่น สินคา้ ที เป็นวตั ถดุ ิบในการผลิตสินคา้ เปลียนแปลงจะส่งผลต่อการผลิตสินคา้ เปลียนแปลงไปดว้ ย สภาพดินฟ้าอากาศ สภาพดินฟ้าอากาศมีผลกระทบตอ่ ปริมาณการเสนอขายสินคา้ โดยเฉพาะสินคา้ เกษตร สภาพดินฟ้าอากาศทีเอืออาํ นวยจะส่งผลให้อปุ ทานสินคา้ เพิมขนึ เป็ นตน้ เทคโนโลยี ในปัจจุบนั ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยมี ีบทบาทตอ่ การผลิตมาก การนาํ เทคโนโลยีที ทนั สมยั มาใชใ้ นการผลิตจะช่วยเพิมประสิทธิภาพการผลิตและปริมาณผลผลิตดว้ ย นโยบายรัฐบาล ปริมาณเสนอขายสินคา้ อาจไดร้ ับผลกระทบจากการเปลียนแปลงนโยบายของรัฐ เช่น ถา้ จดั เกบ็ ภาษีการคา้ เพิมขึน ผผู้ ลิตอาจลดการผลิตลงเนืองจากตน้ ทนุ ในการผลิตสูงขึน เป็นตน้ . . การเปลยี นแปลงอปุ ทาน การเปลียนแปลงของอปุ ทานสามารถเปลียนแปลงได้ 2 แบบคือ การเปลยี นแปลงปริมาณของอุปทาน (Change in quantity supply) เป็ นการเปลียนแปลงอุปทาน เนืองจากราคาสินคา้ ชนิดนนั เปลียนแปลงไป ภายใตข้ อ้ สมมตุ ิปัจจยั อืนๆ ทีกาํ หนดอปุ ทานคงที การ เปลียนแปลงปริมาณของอุปทานจะทาํ ใหป้ ริมาณการเสนอขายเปลียนแปลงอยู่บนเส้นอปุ ทานเสน้ เดิม ถา้ พจิ ารณาจากกราฟการเปลียนแปลงของอุปทานดงั กล่าวจะเป็นการเปลียนแปลง ในลกั ษณะของการ เคลือนไหวอยภู่ ายในเส้นอปุ ทานเสน้ เดิม จากจุดหนึงไปยงั อีกจุดหนึง (ดงั รูป จากจุด A ไปยงั จุด B )
24 รูปที . การเปลียนแปลงปริมาณอุปทานในสินค้า y การเปลยี นแปลงระดบั อุปทาน (Change in supply) เป็นการเปลียนแปลงอปุ ทานเนืองจากปัจจยั อืนๆ ทีมีอทิ ธิพลตอ่ อปุ ทาน เช่น ตน้ ทนุ การผลิต เทคโนโลยกี ารผลิตเปลียนแปลง ภายใตข้ อ้ สมมุติราคาสินคา้ ชนิดนนั คงที และส่งผลใหเ้ ส้นอุปทานเกิดการเคลือนยา้ ยไปจากเสน้ เดิม ถา้ ผลการเปลียนแปลงทาํ ใหอ้ ปุ ทาน เพิมขึนเสน้ จะเลือนระดบั ไปดา้ นขวามอื ของเส้นเดิม และถา้ มีผลใหอ้ ปุ ทานลดลงเสน้ จะเลือนระดบั ไป ทางซา้ ยมือของเส้นเดิม ถา้ พิจารณาจากกราฟการเปลียนแปลงของอปุ ทานดงั กล่าวจะเป็ นการเปลียนแปลงใน ลกั ษณะของการเคลือนยา้ ยเส้นอปุ ทานไปทงั เส้นจากเสน้ เดิมไปสู่เส้นใหม่ โดยถา้ เส้นอปุ ทานเคลือนยา้ ยไป ทางขวาของเสน้ เดิมแสดงวา่ อปุ ทานเพิมขึน ถา้ เคลือนยา้ ยไปทางซา้ ยแสดงวา่ อปุ ทานลดลง (ตามรูป 2.8) รูปที . การเปลียนแปลงอปุ ทานในสินค้า a
25 . ดลุ ยภาพตลาด (Market Equilibrium) ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม กลไกราคา (Price Mechanism) เป็นสิงสาํ คญั ในการควบคมุ อุปสงค์ และอปุ ทานในตลาดใหเ้ กิดความสมดลุ ถา้ อปุ สงคแ์ ละอปุ ทานไม่เท่ากนั จะมีการปรับตวั จนกระทงั เกิดสมดุล หรืออุปสงคเ์ ทา่ กบั อปุ ทาน ดุลยภาพจะไม่เปลียนแปลงตราบเท่าทีปัจจยั ทีกาํ หนดอุปสงคแ์ ละอุปทานไม่ เปลียนแปลง ราคาสินคา้ ณ จุดทีอุปสงคเ์ ท่ากบั อุปทานเรียกว่า “ราคาดลุ ยภาพตลาด (Market Equilibrium Price)” ปริมาณสินคา้ ณ จดุ นนั เรียกวา่ “ปริมาณดุลยภาพตลาด (Market Equilibrium Quantity)” และเรียกจุด ดงั กล่าววา่ “ดุลยภาพตลาด (Market Equilibrium)” ดงั ภาพ รูปที . เส้นอุปสงค์และอุปทานของตลาดเงาะ จากตารางและรูปที . ราคาดุลยภาพเท่ากบั 14 บาท ปริมาณดุลยภาพเท่ากบั 70 หน่วย (ปริมาณอปุ สงคเ์ ทา่ กบั ปริมาณอปุ ทาน)
26 ระดบั ราคาทีอยเู่ หนือราคาดุลยภาพจะทาํ ใหเ้ กิดภาวะสินคา้ ลน้ ตลาด (excess supply or surplus) เนืองจากระดบั ราคาดงั กล่าวสูงกวา่ ทีควรจะเป็น ทาํ ให้ผูผ้ ลิตมีความตอ้ งการทีจะเสนอขายมาก แตผ่ บู้ ริโภคมี ความตอ้ งการซือนอ้ ย เกิดความไมส่ มดุล ณ ระดบั ราคาดงั กล่าว ถา้ ผผู้ ลิตมคี วามตอ้ งการทีจะขายก็จะตอ้ งลด ราคาลงมา เพือกระตุน้ หรือจูงใจผบู้ ริโภคใหต้ ดั สินใจซือ (มีความตอ้ งการซือ) มากขึน โดยสรุป ราคาจะมี แนวโนม้ ลดลงจากเดิมจนเขา้ สู่ราคาดุลยภาพ ในทางกลบั กนั ถา้ ราคาอยตู่ าํ กวา่ ราคาดุลยภาพจะทาํ ใหเ้ กิด ภาวะสินคา้ ขาดตลาด (excess demand or shortage) ซึงราคาดงั กล่าว ตาํ กวา่ ทีควรจะเป็น ทาํ ใหผ้ ผู้ ลติ มคี วาม ตอ้ งการทีจะเสนอขายนอ้ ย แต่ผบู้ ริโภคกลบั มีความตอ้ งการซือมาก เกิดความไมส่ มดุล เมือผบู้ ริโภคมีความ ตอ้ งการซือมาก (อุปสงคเ์ พมิ ) ส่งผลใหร้ าคาสินคา้ มีแนวโนม้ สูงขึน เพือจงู ใจให้ผผู้ ลิตเสนอขายสินคา้ มากขึน ในทีสุดราคาจะมีแนวโนม้ เขา้ สู่ราคาดุลยภาพ กล่าวโดยสรุป ระดบั ราคาทีอยู่สูงกวา่ หรือตาํ กวา่ ราคาดุลยภาพจะเป็นระดบั ราคาทีไม่มีเสถียรภาพ ราคาทีอยสู่ ูงกวา่ ราคาดุลยภาพจะมแี นวโนม้ ลดลงมา ส่วนราคาทีอยตู่ าํ กวา่ ราคาดุลยภาพ จะมแี นวโนม้ สูงขึน จนในทีสุดเขา้ สู่ดุลยภาพของตลาด ซึงเป็นระดบั ราคาทีค่อนขา้ งจะมีเสถียรภาพ เป็นระดบั ราคา ณ จุดทีอปุ สงคเ์ ทา่ กบั อุปทาน (เส้นอปุ สงคต์ ดั กบั เส้นอุปทาน) . บทบาทของรัฐบาลทีมีผลกระทบต่อดลุ ยภาพของตลาด จากการทีเราไดท้ าํ การศึกษาเรืองของอุปสงค์ อปุ ทาน และดุลยภาพของตลาดมาแลว้ ต่อไปเราจะ ศึกษาบทบาทของรัฐบาลทีเขา้ ไปแทรกแซงตลาดโดยใชน้ โยบายการควบคุมราคา ซึงมีผลกระทบต่อดุลยภาพ ของตลาด การควบคุมราคา (price control) คอื การทีรัฐบาลยนื มือเขา้ มาให้ความช่วยเหลือเพือทาํ ใหร้ าคาสินคา้ มีเสถียรภาพ ทงั นี เพราะสินคา้ บางชนิดราคาไมค่ ่อยมีเสถียรภาพ กลา่ วคอื เมือปริมาณการผลิตเปลียนแปลง ไปมกั จะทาํ ใหร้ าคาเปลียนแปลงไปดว้ ย ซึงอาจจะสูงหรือตาํ เกินไปจนทาํ ใหผ้ บู้ ริโภคหรือผผู้ ลิตไดร้ ับความ เดือดรอ้ น ดงั นนั รัฐบาลจึงเขา้ มาใหค้ วามชว่ ยเหลือทงั ทางดา้ นผูบ้ ริโภคและผผู้ ลิต มาตรการทีใชโ้ ดยทวั ๆไป แบง่ ออกเป็ น 2 กรณี คือ การกาํ หนดราคาขันสูง (maximum price control) การควบคุมราคาขนั สูงเป็นมาตรการทีรัฐบาลควบคุมราคาเพือให้ความช่วยเหลือผบู้ ริโภค ทไี ดร้ ับความเดอื ดร้อนจากการทีสินคา้ ทีจาํ เป็ นแก่การดาํ รงชีวิตมรี าคาสูงขึน การควบคุมราคาขนั สูงรัฐบาล จะกาํ หนดราคาขายสูงสุดของสินคา้ นนั ไว้ และหา้ มผูใ้ ดขายสินคา้ เกินกวา่ ราคาทีรฐั บาลกาํ หนด รูปที . การเกดิ อปุ สงค์ส่วนเกนิ เนืองจากการกาํ หนดราคาขันสูง
27 จากรูป . ณ ระดบั ราคา OP0 ซึงเป็นราคาดุลยภาพ รัฐบาลมคี วามเห็นวา่ เป็นราคา ทีสูงเกินไป ซึงทาํ ให้ ผบู้ ริโภคเดือดร้อน รัฐบาลจาํ เป็นตอ้ งกาํ หนดใหผ้ ขู้ ายขายสินคา้ นนั ในราคาเพยี ง OP1 ซึงเมือราคาลดลงเหลือ OP1 จะทาํ ใหผ้ ขู้ ายมคี วามตอ้ งการขายลดนอ้ ยลงคอื OQ1 แต่ทางดา้ นผซู้ ือตอ้ งการซือสินคา้ นนั เพมิ ขึนเป็น OQ2 ดงั นนั ทาํ ใหส้ ินคา้ ขาดตลาดหรือไม่เพยี งพอแก่การจาํ หน่าย อยเู่ ท่ากบั Q1Q2 เมือเกิดสินคา้ ขาดตลาด รฐั บาลจึงตอ้ งดาํ เนินมาตรการต่อมาคือการใชว้ ิธีการปันส่วน สินคา้ (rationing) การปันส่วนสินคา้ นีจะช่วย ใหผ้ บู้ ริโภคไดร้ ับสินคา้ ไปบริโภคอยา่ งทวั ถึงกนั หรือรัฐบาล อาจดาํ เนินมาตรการจดั หาสินคา้ มาจาํ หน่าย เพิมเตมิ โดยการสังซือสินคา้ จากตา่ งประเทศหรือทีอืนใดเพือชดเชยส่วนทีขาดนนั การกาํ หนดราคาขันตํา (minimum price control) การควบคุมราคาขนั ตาํ เป็นมาตรการทีรัฐบาลควบคมุ ราคาเพือใหค้ วามช่วยเหลือผผู้ ลิต ไม่ใหไ้ ดร้ ับความเดือดร้อนจากการทีราคาสินคา้ ทีผลิตไดต้ าํ เกินไปไมค่ ุม้ ทุนทีลงไป การควบคมุ ราคาขนั ตาํ ส่วนใหญจ่ ะควบคุมสินคา้ ทีเป็นสินคา้ เกษตรซึงรัฐบาลเห็นวา่ ราคาผลผลิตตาํ เกินไปทาํ ใหเ้ กษตรกรเดือดร้อน การควบคุมราคาขนั ตาํ นนั รัฐบาลจะกาํ หนดราคาซือขายสินคา้ ไมใ่ หต้ าํ กวา่ ทีรัฐบาลกาํ หนด รูปที . การ เกิดอุปทานส่วนเกินเนืองจากการกาํ หนดราคาขนั ตาํ
28 รูปที . การเกดิ อปุ ทานส่วนเกนิ เนืองจากการกําหนดราคาขันตํา จากรูปที . ณ ระดบั ราคา OP0 รัฐบาลมคี วามเห็นวา่ เป็ นราคาทีตาํ เกินไปทาํ ใหผ้ ผู้ ลิต เดือดร้อน รัฐบาลจะ ประกาศให้ผรู้ ับซือสินคา้ ตอ้ งรบั ซือสินคา้ ในราคา OP1 ซึงเมือราคาอยทู่ ี OP1 จะทาํ ใหค้ วามตอ้ งการซือสินคา้ ลดลงจาก OQ0 เป็น OQ1 และความตอ้ งการขายสูงขึนจาก OQ0 เป็น OQ2 ดงั นนั จึงทาํ ใหส้ ินคา้ ลน้ ตลาดหรือ จาํ หน่ายไม่หมดอยู่เทา่ กบั Q1Q2 เมือสินคา้ ลน้ ตลาด รัฐบาลจึงตอ้ งดาํ เนินมาตรการต่อมาคือตอ้ งใชว้ ิธีรับซือ สินคา้ (purchase policy) ส่วนทีขายไม่หมด โดยอาจจะระบายไปขายตา่ งประเทศ หรือซือเก็บไวแ้ ลว้ ค่อยนาํ ออกจาํ หน่ายเมือสินคา้ ขาดตลาดในเวลาตอ่ ไป (http://econ.tu.ac.th สืบคน้ เมือ กรกฎาคม ) . เอกสารการสอนโดยใช้เกมคาํ ศัพท์ภาษาองั กฤษ 3.1 ความหมายของคาํ ศัพท์ ความหมายของคาํ ศพั ทต์ ามพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน หมายถึง กลุ่มเสียง เสียง เสียงพูด หรือลาย ลกั ษณ์อกั ษรทีเขียนหรือพิมพข์ ึนเพือความคิดเป็นคาํ หรือคาํ ยากทีตอ้ ง แปล คาํ ศพั ท์ หมายถึง กลุ่มเสียงกลมุ่ หนึง ซึงมีความหมายให้รู้ว่าเป็ นคน สิงของ อาการ หรือ ลักษณะอาการอย่างใดอย่างหนึง คาํ ศัพท์ ภาษาองั กฤษ หมายถึง “คาํ ” ทงั ในภาษาพูด และภาษาเขียน ไดแ้ ก่ คาํ นาม คาํ กิริยา คาํ คุณศพั ท์ และคาํ กริยา วิเศษณ์ ซึงมคี วามหมายแน่นอนในตวั เอง สรุปไดว้ า่ คาํ ศพั ท์ หมายถึง กลุ่มเสียง เสียงพดู ทงั ในภาษาพดู และภาษาเขยี น ไดแ้ ก่ คาํ นาม คาํ กริยา คาํ คุณศพั ท์ และคาํ กริยาวเิ ศษณ์ ซึงมีความหมายในตวั เอง 3.2 ความสําคญั ของคาํ ศัพท์ ความรูใ้ นดา้ นคาํ ศพั ทถ์ อื วา่ เป็นส่วนทีสาํ คญั ในการเรียนภาษา ฟรีส กล่าวไวว้ า่ ความสาํ เร็จในการ เรียนภาษาต่างประเทศส่วนหนึงนนั ขนึ อยกู่ บั ความสามารถในการใชอ้ งคป์ ระกอบของภาษาซึงประกอบดว้ ย เสียง โครงสรา้ งไวยากรณ์ และคาํ ศพั ท์ องคป์ ระกอบทงั 3 อยา่ งนี จะช่วยใหผ้ เู้ รียนภาษาสามารถเขา้ ใจเรืองที ผอู้ ืนพูดและสามารถพดู ใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจได้ คือสามารถใชส้ ือสารความหมายได้ คาํ ศพั ทจ์ ึงถือวา่ เป็น นฐานของ การเรียนภาษาดงั ที สตีวิค กล่าววา่ ผเู้ รียนไดเ้ รียน
29 ภาษาต่างประเทศต่อเมือ 1. ไดเ้ รียนรู้ในระบบเสียง คือ สามารถพูดไดด้ ีและสามารถเขา้ ใจไดด้ ี 2. ไดเ้ รียนรู้และสามารถใช้ไวยากรณข์ องภาษานัน ๆ ได้ 3. ไดเ้ รียนรู้คาํ ศพั ทจ์ าํ นวนมากพอสมควรทีจะสามารถนาํ มาใช้ การสอนคาํ ศพั ทม์ คี วามสาํ คญั ยงิ กวา่ การสอนโครงสรา้ งทางไวยากรณ์ เพราะคาํ ศพั ทเ์ ป็นพืนฐานของ การเรียนภาษา หากผเู้ รียนมีความรูเ้ กียวกบั คาํ ศพั ทก์ ส็ ามารถจะนาํ คาํ ศพั ทม์ าสร้างเป็นหน่วยทีใหญข่ ึน เช่น วลี ประโยค ความเรียงแต่หากไมเ่ ขา้ ใจคาํ ศพั ทก์ ็ไมส่ ามารถเขา้ ใจหน่วยทางภาษาทีใหญก่ วา่ ไดเ้ ลยทีใหค้ วามเห็น วา่ คาํ ศพั ทเ์ ป็นหน่วยพนื ฐานทางภาษา ซึงผเู้ รียนจะตอ้ งเรียนรูเ้ ป็นอนั ดบั แรก เพราะคาํ ศพั ทเ์ ป็นองคป์ ระกอบ ทสี าํ คญั ในการเรียนรู้ และฝึกฝนทกั ษะการฟัง พดู อา่ น และเขยี นภาษา สรุปไดว้ า่ คาํ ศพั ทเ์ ป็นหน่วยพืนฐานทางภาษา ซึงผเู้ รียนจะตอ้ งเรียนรู้เป็นอนั ดบั แรก เพราะคาํ ศพั ทเ์ ป็นองคป์ ระกอบทีสําคญั ในการเรียน ทกั ษะ ฟัง พดู อ่าน และเขียนภาษา ดงั นนั การเรียนคาํ ศพั ทจ์ ึงมีความสาํ คญั ต่อการเรียนภาษามาก . องค์ประกอบของคาํ ศัพท์ทางภาษาองั กฤษ ในการศึกษาองคป์ ระกอบคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษนนั เป็นสิงทีทาํ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจคาํ ศพั ท์ คาํ หนึง ๆ วา่ ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง ไดก้ ลา่ วถึงองคป์ ระกอบของคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษดงั นี 1. รูปคาํ (Form) ไดแ้ ก่ ตวั อกั ษร (ตวั ใหญ่ หรือตวั เลก็ ) การไดย้ นิ การรู้จกั คาํ และจาํ จงั หวะของเสียง ในประโยค 2. ความหมาย (Meaning) ไดแ้ ก่ ความหมายของคาํ นัน ๆ ซึงหากจะกล่าวโดยละเอียดแลว้ คาํ ศพั ท์ หนึง ๆ จะมีความหมายแฝงอยถู่ งึ 4 นยั ดว้ ยกนั คือ 2.1 ความหมายตามพจนานุกรม (Lexical Meaning) ได้แก่ ความหมายตามพจนานุกรม สําหรับ ภาษาองั กฤษคาํ หนึง ๆ มีความหมายหลายอยา่ ง บางคาํ อาจใชใ้ นความหมายแตกตา่ งกนั ทาํ ใหบ้ างคนเขา้ ใจวา่ ความหมายทีแตกตา่ งออกไป หรือความหมายทีตนไมค่ ่อยรู้จกั นนั เป็น “สาํ นวน” ของภาษา เช่น He went to his home. (บา้ นเป็นทีอยอู่ าศยั ) The President lives in the White House. ( บา้ นประจาํ ตาํ แหน่งประธานาธิบดี)The House of Representative is meeting today. (สภา) 2.2 ความหมายทางไวยากรณ์ (Morphological Meaning) คาํ ศพั ท์ประเภทนีเมืออยู่ตามลาํ พงั โดด ๆ จะเดาความหมายไดย้ าก เช่น “s” เมือไปต่อทา้ ยคาํ นาม hats, pensจะแสดงความหมายเป็นพหูพจน์ หรือเมือ นาํ ไปต่อทา้ ยคาํ กริยา เช่น walks ในประโยค Shewalks home. ก็จะหมายความว่า การกระทาํ นันทาํ อยู่เป็ น ประจาํ เป็นตน้ 2.3 ความหมายจากการเรียงคาํ (Syntactic Meaning) ไดแ้ ก่ ความหมายทีเปลียนแปลงไปตามการ เรียงลาํ ดบั คาํ เช่น boathouse หมายถึง อ่เู รือ แตกต่างจาก houseboat หมายถึงเรือทีทาํ เป็นบา้ น
30 2.4 ความหมายตามเสียงขึนลง (Intonational Meaning) ไดแ้ ก่ ความหมายของคาํ ทีเปลียนไปตามเสียง ขึนลงทีผพู้ ูดเปล่งออกมา ไม่วา่ จะเป็ นเสียงทีมีพยางคเ์ ดียวหรือมากกวา่ เชน่ Fire กบั Fire คาํ แรกเป็นการบอก เล่าทีอาจทาํ ให้ผฟู้ ังตกใจมากหรือนอ้ ย แลว้ แตน่ าํ หนกั ของเสียงทีเปล่งออกส่วนคาํ หลงั เป็นคาํ ถาม เป็นเชิงไม่ แน่ใจจากผฟู้ ัง 3. ขอบเขตของการใช้คาํ (Distribution) จาํ แนกออกเป็น 3.1 ขอบเขตทางดา้ นไวยากรณ์ เชน่ ในภาษาองั กฤษการเรียงลาํ ดบั คาํ (Word Order) หรือตาํ แหน่งของคาํ ทีอยู่ ในประโยคทีแตกต่างกนั ทาํ ใหค้ าํ นนั มีความหมายแตกตา่ งกนั ออกไปดว้ ย ดงั ประโยคต่อไปนี The man is brave. (คาํ นาม) แปลวา่ คนผชู้ าย They man the ship (คาํ กริยา) แปลวา่ บงั คบั We need more man-power. (คาํ คณุ ศพั ท)์ แปลวา่ กาํ ลงั คน 3.2 ขอบเขตของภาษาพูดและภาษาเขียน คาํ บางคาํ ใชใ้ นภาษาพดู เทา่ นนั แต่คาํ บางคาํ ก็ใช้ภาษาเขยี น โดยเฉพาะ 3.3 ขอบเขตของภาษาในแตล่ ะทอ้ งถิน การใชค้ าํ ศพั ทบ์ างคาํ มีความหมายแตกตา่ งไปแต่ละทอ้ งถิน และแมแ้ ต่ภายในประเทศเดียวกนั ก็ยงั มีภาษาทอ้ งถินทีแตกต่างกนั ไป สรุปไดว้ า่ องคป์ ระกอบของคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษมี 3 ประการ คอื รูปคาํ ความหมายและขอบเขตของ การใชค้ าํ ในดา้ นของความหมาย นอกจากจะมีความหมายตามพจนานุกรมแลว้ ยงั มีความหมายทางไวยากรณ์ ความหมายของการเรียงคาํ และความหมายจากการออกเสียงขึนลงของ คาํ พดู ส่วนในดา้ นขอบเขตของการใชค้ าํ แบ่งออกเป็นขอบเขตของการเรียงลาํ ดบั คาํ ขอบเขตของภาษาพูด และภาษาเขยี น และขอบเขตของภาษาในแตล่ ะทอ้ งถิน 3.4 ประเภทของคาํ ศัพท์ภาษาอังกฤษ ประเภทของคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ แบ่งไดเ้ ป็นหลายประเภท เดล เอตกา้ และคณะไดแ้ บง่ คาํ ศพั ทอ์ อกเป็น 2 ประเภท คือ 1. คาํ ศพั ทท์ ีมีความหมายในตวั เอง (Content Words) คอื คาํ ศพั ทป์ ระเภททีเราอาจบอกความหมายได้ โดยไมข่ ึนอย่กู บั โครงสร้างของประโยค เป็นคาํ ทีมีความหมายตามพจนานุกรม เช่น cat , book เป็นตน้ 2. คาํ ศพั ท์ทีไม่มีความหมายแน่นอนในตัวเอง (Function Words) หรือทีเรียกว่าการยะ ได้แก่คาํ นาํ หนา้ (Article) คาํ บุพบท (Preposition) สรรพนาม (Pronoun) คาํ ประเภทนีมใี ชม้ ากกวา่ คาํ ประเภทอืน เป็น คาํ ทีไม่สามารถสอนและบอกความหมายได้ แต่ตอ้ งอาศยั การสังเกตจากการฝึ กการใชโ้ ครงสร้างต่าง ๆ ใน ประโยคนอกจากนี ไดแ้ บง่ ประเภทของคาํ ศพั ทอ์ อกเป็น 2 ประเภทคือ 1. Active Vocabulary คือ คาํ ศพั ทท์ ีนกั เรียนควรจะใชเ้ ป็นและใชไ้ ดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งคาํ ศพั ทเ์ หล่านีใช้ มากในการฟัง พดู อา่ นและเขยี น เช่นคาํ วา่ important, necessary,necessary, consist เป็นตน้ สาํ หรบั การเรียน คาํ ศพั ทป์ ระเภทนี ครูจะตอ้ งฝึกบอ่ ย ๆ ซาํ จนนกั เรียนสามารถนาํ ไปใชไ้ ดถ้ กู ตอ้ ง
31 2. Passive Vocabulary คือคาํ ศพั ทท์ ีควรจะสอนใหร้ ู้แตค่ วามหมายและการออกเสียเทา่ นนั ไม่จาํ เป็น จะตอ้ งฝึก คาํ ศพั ทป์ ระเภทนี เช่น คาํ ว่า elaborate, fascination,contrastive เป็นตน้ คาํ ศพั ทเ์ หล่านีเมือผเู้ รียน เรียนในระดบั สูงขึน ก็อาจจะกลายเป็นคาํ ศพั ทป์ ระเภท Active vocabulary ได้ กล่าวโดยสรุป คาํ ศพั ทใ์ นภาษาองั กฤษสามารถแบ่งประเภทไดจ้ ากความหมายของคาํ คอื คาํ ทีมคี วามหมายในตวั เอง และคาํ ทีไมม่ ีความหมายในตวั เอง นอกจากนียงั สามารถแบ่งตาม ประเภทการนาํ มาใช้ คอื คาํ ศพั ทท์ ีนกั เรียนควรจะใชเ้ ป็นและใชไ้ ดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง และคาํ ศพั ทท์ ีควรจะ สอนให้รู้แตค่ วามหมายและการอา่ นออกเสียงเท่านนั 3.5 หลกั การเลือกคาํ ศัพท์ภาษาองั กฤษเพือนํามาสอน การเลือกคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษนันควรเลือกคาํ ศพั ทท์ ีเกยี วขอ้ งกบั ประสบการณท์ ีใกลต้ วั เดก็ ทีสุดมา สอน หัวใจของการสอนคาํ ศพั ทอ์ ยู่ทีการฝึกจนผูเ้ รียนสามารถนาํ คาํ ศพั ทไ์ ปใชใ้ นสถานการณ์ตอ้ งการไดอ้ ยา่ ง คล่องแคลว่ โดยอตั โนมตั ิไดใ้ หค้ วามเห็นเกียวกบั หลกั ในการเลือกคาํ ศพั ท์ มาสอนนกั เรียนดงั นี 1. คาํ ศพั ทท์ ีปรากฏบอ่ ย (Frequency) หมายถึง คาํ ศพั ทท์ ีปรากฏบ่อยในหนงั สือเป็นคาํ ศพั ทท์ ีนกั เรียน ตอ้ งรู้จกั จึงจาํ เป็นตอ้ งนาํ มาสอนเพือใหน้ กั เรียนรู้และใชไ้ ดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง 2. อตั ราความถีของคาํ ศพั ทจ์ ากหนงั สือตา่ ง ๆ สูง (Range) หมายถึง จาํ นวนหนงั สือทีนาํ มาใช้ในการ นบั ความถี ยงิ ใชห้ นงั สือจาํ นวนมากเทา่ ไร บญั ชีความถียงิ มคี ุณค่ามากเทา่ นนั เพราะคาํ ทีหาไดจ้ ากหลายแหล่ง ย่อมมีความสาํ คญั มากกว่าคาํ ทีจะพบเฉพาะในหนงั สือเล่มใดเล่มหนึงอย่างเดียว แมว้ ่าความถีของคาํ ศพั ทท์ ี พบในหนงั สือเลม่ นนั ๆ จะมีมากก็ตาม 3. สถานการณห์ รือสภาวะในขณะนนั (Availability) คาํ ศพั ทท์ ีเลือกมาใชไ้ มไ่ ดข้ ึนอยูก่ บั ความถีเพียง อย่างเดียว ต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ดว้ ย เช่นคาํ ว่า blackboard ถา้ เกียวกบั ห้องเรียนครูตอ้ งใช้คาํ นี แมจ้ ะ เป็นคาํ ทีไม่ปรากฏบ่อยทีอืน 4. คาํ ทีครอบคลุมคาํ ไดห้ ลายอย่าง (Coverage) หมายถึง คาํ ทีสามารถครอบคลุมความหมายไดห้ ลาย อยา่ งหรือสามารถใชค้ าํ อืนแทนได้ 5. คาํ ทีเรียนรู้ไดง้ ่าย (Learn ability) หมายถึง คาํ ทีสามารถเรียนรูไ้ ดง้ ่าย เช่น คาํ ทีคลา้ ยกบั ภาษาเดิม มี ความหมายชดั เจน สัน จาํ ง่ายหลกั การดงั กล่าวสอดคลอ้ งเป็นส่วนใหญ่ เวน้ บางขอ้ ทีลาโดไดเ้ สนอเพิมเตมิ ไว้ ดงั นี 1. ควรเป็นคาํ ศพั ทท์ ีมคี วามสมั พนั ธก์ บั ประสบการณ์และความสนใจของผเู้ รียน 2. ควรมีปริมาณของตวั อกั ษรในคาํ ศพั ทเ์ หมาะสมกบั ระดบั อายุ และสติปัญญาของผูเ้ รียน เช่น ใน ระดบั ประถมศึกษาตอนตน้ กค็ วรนาํ คาํ ศพั ทส์ ัน ๆ มาสอน
32 3. ไม่ควรมีคาํ ศพั ทม์ ากเกินไป หรือนอ้ ยเกินไปในบทเรียนหนึง ๆ แต่ควรเหมาะสมกบั วุฒิภาวะทาง สติปัญญาของผเู้ รียน 4. ควรเป็นคาํ ศพั ทท์ ีนกั เรียนมีโอกาสนาํ ไปใชใ้ นชีวิตประจาํ วนั เช่น นาํ ไปพูดสนทนาหรือพบเห็น คาํ ศพั ทน์ นั ตามป้ายโฆษณา เป็นตน้ กล่าวโดยสรุป การเลือกคาํ ศพั ทเ์ พอื นาํ มาสอนผเู้ รียนนนั ควรเป็นคาํ ศพั ทท์ ีอยใู่ กลต้ วั และเป็นคาํ ศพั ท์ ทีปรากฏบ่อย นอกจากนี คาํ ศพั ทท์ ีจะนาํ มาสอนนนั ตอ้ งเหมาะสมกบั วยั และระดบั ความสามารถของผูเ้ รียน อีกทงั ยงั สามารถนาํ ไปใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั ได้ 3.6 วิธีการสอนคําศัพท์ภาษาองั กฤษ ในการสอนคาํ ศพั ท์นนั มีนักการศึกษาหลายท่าน ไดเ้ สนอขนั ตอนการสอนคาํ ศพั ทไ์ วห้ ลายแนวทางดว้ ยกนั ดงั นี ไดเ้ สนอแนะลาํ ดบั ขนั ในการสอนคาํ ศพั ท์ ดงั นี 1. พจิ ารณาความยากงา่ ยของคาํ ครูควรพจิ ารณาว่าคาํ นนั ๆ เป็นคาํ ศพั ทย์ าก หรือคาํ ศพั ทง์ ่าย หรือเป็น คาํ ศพั ทท์ ีมีปัญหา ทงั นี เพือจะไดแ้ บ่งแยกหาวธิ ีในการสอน และทาํ การฝึกใหเ้ หมาะกบั คาํ ศพั ทน์ นั 2. สอนความหมาย ให้นกั เรียนตีความหมายจากภาษาองั กฤษโดยตรง ควรหลีกเลียงการใชภ้ าษาไทย โดยอาจจะใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น แผนภูมิ รูปภาพ ของจริง หรือแสดงกริยาท่าทางประกอบ เพือให้นกั เรียน เขา้ ใจความหมายอยา่ งเดน่ ชดั ขึน 3. ฝึ กการออกเสียงคาํ ศพั ทใ์ หม่ ครูเขียนคาํ ศพั ทใ์ หม่ลงบนกระดาน อ่านใหน้ กั เรียนฟังก่อน และให้ นกั เรียนออกเสียงตาม หากนกั เรียนออกเสียงผิดก็ให้ออกเสียงใหถ้ ูกตอ้ งสาํ หรับกลวิธีในการสอนความหมาย คาํ เพือหลีกเลียงการใชภ้ าษาไทยในการสอนนนั มี วิธีการหลายแบบทีครูช่วยใหน้ กั เรียนเขา้ ใจความหมายของคาํ จากภาษาองั กฤษโดยตรงดงั ต่อไปนี 1. ใชค้ าํ ศพั ทท์ ีนกั เรียนหรือจากสิงแวดลอ้ มของนกั เรียนมาผกู ประโยคเพือเชือมโยงไปสู่ ความหมายของคาํ ศพั ทใ์ หม่ 2. ใชป้ ระโยคของคาํ ศพั ทเ์ ก่า เมือมีความหมายเหมือนกนั หรือตรงกนั ขา้ มกบั คาํ ศพั ทใ์ หม่ 3. สอนคาํ ศพั ท์ใหม่ โดยการใชค้ าํ จาํ กดั ความหมายงา่ ย ๆ 4. ใชภ้ าพหรือของจริงประกอบกบั การอธิบายความหมาย อปุ กรณ์ประเภทนีหามาไดง้ ่าย ๆ เช่น ของ ทีอยู่รอบห้อง เครืองแต่งกาย หรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรืออาจใช้ภาพลายเส้นการ์ตูน เขียนภาพบน กระดานดาํ ได้ อุปกรณ์เหล่านีจะชว่ ยให้การแสดงความหมายชดั เจนโดยไมต่ อ้ ง ใชค้ าํ แปลประกอบ 5. การแสดงท่าทาง ครูใชก้ ารแสดงท่าทางประกอบการแสดงความหมายของคาํ ได้
33 6. การใช้บริบทหรือสอนให้เดาความหมายจากประโยคสําหรับการฝึ กใช้คาํ ศพั ท์ ตอ้ งฝึ กในรูป ประโยคเสมอ และรูปประโยคทีนาํ มาฝึ กก็ตอ้ งเป็นประโยคทีถูกตอ้ งและใชไ้ ดใ้ นสถานการณ์จริง ประโยคที นาํ มาใชต้ อ้ งเป็ นประโยคทีนักเรียนรู้จกั แลว้ สอนคาํ ศพั ท์ใหม่ รูปประโยคใหม่ ครูควรหาวิธีเสริมคาํ ศพั ท์ โดยใชว้ ธิ ีการฝึกตา่ ง ๆ เช่น 1. หาคาํ ศพั ทท์ ีมคี วามหมายเหมือนกนั 2. หาคาํ ศพั ทท์ ีมีความหมายตรงกนั ขา้ ม 3. หาคาํ ศพั ทท์ ีมาจากราก (root) เดียวกนั 4. หาคาํ ศพั ทท์ ีมีความหมายอยใู่ นกลุ่มเดยี วกนั 5. ศึกษาชนิดของคาํ (Parts of speech) 6. ฝึ กการเติมวภิ ตั ติปัจจยั (Prefix and suffix) เขา้ ไปในคาํ ทีนกั เรียนทีรู้จกั แลว้ ไดก้ ล่าวถึงวิธีการ สอนคาํ ศพั ทด์ งั นี 1. นกั เรียนในระยะเริมเรียน ควรจะไดเ้ รียนการออกเสียงอยา่ งถกู ตอ้ งและสามารถเรียงคาํ เป็นประโยคในการพดู ไดอ้ ยา่ งมนั ใจและถกู ตอ้ ง คาํ ทีไม่มีความหมายในตนเอง (Function word) เช่น คาํ บุพบท to , for และอืน ๆ ควรใหฝ้ ึกในโครงสร้างประโยคอยา่ งคลอ่ งแคลว่ 2. ทบทวนคาํ ศพั ทเ์ ก่าเมือพบโครงสร้างประโยคใหม่ แต่สิงทีจาํ เป็นคือ สอนการออกเสียง ใหมใ่ นโครงสรา้ งของประโยคใหม่ 3. คาํ ศพั ทท์ ีนกั เรียนสนใจหรืออยใู่ นหัวขอ้ ทีจะเรียนไม่จาํ เป็นตอ้ งเรียนทีเดียวหมด 4. คาํ ศพั ทท์ ีเรียนควรจะเป็นคาํ ศพั ทท์ ีเดก็ ตอ้ งการ เพือใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั ของเด็ก 5. โดยทวั ไปในระยะเริมแรก ควรเรียนคาํ ศพั ทใ์ หม่ 3-5 คาํ และควรเพมิ ขึนในระดบั สูงตอ่ ไป 6. คาํ ศพั ทใ์ หม่ 3-5 หมายถงึ การฝึกในแบบฝึ กหดั หรือกิจกรรม และใชใ้ นการสร้างประโยค ใหมใ่ นโครงสร้างเดิมทีเรียนมา เช่นคาํ ว่า hospital ถา้ นกั เรียนรู้จกั ประโยค I went to thestore. กส็ ามารถสร้าง ประโยคใหม่ I went to the hospital. และนักเรียนควรจะไดใ้ ช้คาํ ใหม่ในทกั ษะอืน ๆ เช่น ฟัง พูด อ่าน เขียน หรือในกิจกรรมอืน ๆ 7. ในการเลือกคาํ ศพั ทท์ ีสาํ คญั ประการหนึง คือ เป็นคาํ ทีเจา้ ของภาษาใชพ้ ูดอย่างแทจ้ ริงและควรตงั คาํ ถามเสมอวา่ นกั เรียนจะใชพ้ ดู อยา่ งไร 8. สิงทีจาํ เป็นในการเลือกคาํ ศพั ท์ คอื ศพั ทใ์ หม่ใชส้ ิงทีอยใู่ กลต้ วั สามารถใชใ้ นชีวิตประจาํ วนั 9. ในระยะเริมแรก คาํ ทีสอนควรมีภาพประกอบ หรือการแสดงง่าย ๆ ซึงนกั เรียนจะใชค้ าํ เหลา่ นีใน การเรียนสิงทียากต่อไป จากทีกล่าวมาสรุปไดว้ า่ ในการสอนคาํ ศพั ทน์ นั ครูควรสอนการออกเสียงคาํ ศพั ท์ สอนเขยี น สอนให้นกั เรียนทราบความหมายของคาํ ศพั ทโ์ ดยใชอ้ ุปกรณต์ า่ ง ๆ เป็นสือเพอื สนองเรืองการสะกดคาํ และสอนใหน้ กั เรียนนาํ คาํ ศพั ทไ์ ปใชใ้ นรูปประโยคได้ ผวู้ ิจยั จึงมคี วามสนใจทีจะศึกษาและใชว้ ีการสอน คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษใหแ้ ก่นกั เรียนชนั ประถมศึกษาปี ที 4 เพือฝึ กทกั ษะดา้ นคาํ ศพั ทใ์ หผ้ เู้ รียนมี
34 ประสิทธิภาพมากยงิ ขึน เป็นแนวทางในการพิจารณาคดั เลอื กวิธีการสอนคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ตามขอ้ เสนอแนะทีกล่าวมาเบืองตน้ ให้เหมาะสมกบั นกั เรียนกลุม่ ตวั อยา่ งทีผวู้ จิ ยั ตอ้ งการศึกษานี (ดวงเดือน : หนา้ ที - ) . เอกสารทีเกยี วข้องกบั การใช้เกมคาํ ศัพท์ประกอบการสอน 4.1 ความหมายของเกม ความหมายของเกมไวว้ ่า เกม หมายถึงกิจกรรมทีสนุกสนานมกี ฎเกณฑ์ กติกา กิจกรรมทีทงั เล่น มีทงั เกมเงียบ (Passive Games) หรือเกมทีเล่นไม่ตอ้ งเคลือนทีและเกมทีใชค้ วามวอ่ งไว (Active Games) หรือเกมที ตอ้ งเคลือนไหวเกมเหล่านนั ขึนอยูก่ บั ความไว ความแข็งแรง การเล่นเกมมีทงั เลน่ คนเดียว สองคน หรือเล่น เป็นกลุ่มบางเกมก็กระตนุ้ การทาํ งานของร่างกายและสมอง บางเกมกฝ็ ึกทกั ษะบางส่วนของร่างกายและจิตใจ The World Book Encycopedia ได้กล่าวถึงความหมายของเกมไวว้ ่า เกม หมายถึงเครืองมืออย่างหนึงในการ เรียนรู้ทีเหมาะสมกบั เด็กในการส่งเสริมพฒั นาการเรียนรู้ให้เป็นไปตามธรรมชาติ เกมหลายชนิดทาํ ให้เด็ก ไดร้ ับแสงแดด และอากาศบริสุทธิเกมบางอย่างช่วยพฒั นาความคิด สาํ หรับผูใ้ หญ่ เกมเป็ นเครืองมือในการ ผ่อนคลายความเครียด ให้ความหมายของเกมประกอบการสอนไวว้ ่า เกม หมายถึง กิจกรรมการเล่นทีให้ ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ช่วยฝึ กทกั ษะให้นักเรียนเกิดความคิดรวบยอดในสิงทีเรียน อาจมีการแข่งขนั หรือไม่ก็ได้ แต่จะตอ้ งมีกติกาการเล่นกาํ หนดไว้ และ จะตอ้ งมีการประเมินผลความสาํ เร็จของผูเ้ ล่นด้วย ไดศ้ ึกษาเอกสารทีเกียวขอ้ งกับเกมจากนักวิจยั ทงั หลายจึงได้สรุปความหมายของเกมไวด้ งั นี เกม หรือ การเลน่ หมายถึง การเล่น หรือการแขง่ ขนั เพือการคน้ หาความสาํ เร็จ มจี ุดเริมตน้ และจุดสินสุดภายใตก้ ฎกติกา เพยี งเล็กนอ้ ยตามความมุ่งหมายในการเล่น ผเู้ ล่นใชเ้ ทคนิคในการเลน่ และผูเ้ ล่นไดฝ้ ึกทกั ษะ ต่าง ๆ จากการ เลน่ เกมโดยไม่รู้ตวั 4.2 ประเภทและลกั ษณะของเกมประกอบการสอน ออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. เกมเคลือนไหว (Active Games) หมายถึง เกมทีนักเรียนหรือผูเ้ ล่น ต้องเคลือนไหวไปรอบ ๆ ห้องเรียน และบางครังนกั เรียนตอ้ งออกเสียงดงั 2. เกมเงียบ (Passive Games) หมายถึง เกมทีผูเ้ ล่น หรือนักเรียนเล่นโดยไม่ตอ้ งเคลือนที เป็ นเกมที เล่นแลว้ ไม่ส่งเสียงดงั เกมทีใชป้ ระกอบการสอนมลี กั ษณะดงั นี 1. ไม่ตอ้ งเสียเวลาเตรียมตวั ล่วงหนา้ 2. เล่นไดง้ ่ายแต่เป็นการส่งเสริมความเฉลียวฉลาด 3. สันและสามารถนาํ ไปแทรกในบทเรียนได้ 4. ทาํ ใหน้ กั เรียนไดร้ ับความสนุกสนานแต่ครูก็ยงั ควบคุมชนั ได้ 5. ถา้ มีการเขียนตอบในตอนหลงั ก็ไม่ตอ้ งเสียเวลาตรวจแก้
35 4.3 การใช้เกมประกอบการสอน วธิ ีการนาํ เกมมาประกอบกิจกรรมการเรียน การสอนไวด้ งั นี 1. ใชเ้ กมนาํ เขา้ สู่บทเรียนโดยดาํ เนินการ 3 ขนั ตอน คอื 1.1 ให้เกมนําเขา้ สู่บทเรียนโดยใช้เกมทบทวนพืนฐานความรู้เดิม เช่น ใช้รูปภาพ จบั คู่คาํ ศพั ท์ หรือแบ่งกลุ่มสลบั กนั เติมอกั ษรทีหายไป 1.2 ดาํ เนินการสอน มีการนาํ รูปภาพ หรือของจริงมาสนทนากนั มีการนาํ เสนอคาํ ศพั ท์ และ อธิบายความหมายของคาํ ศพั ท์ จากนนั นาํ เสนอรูปประโยคเพือฝึกพดู และเขียนขนั สุดทา้ ยมีการสรุป โดยการทบทวนเช่น ครูนาํ ภาพติดบนกระดานดาํ ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ตวั แทนออกไปเขียนคาํ ศัพท์ให้ ถูกตอ้ งหรือเติมอกั ษรทีหายไป หรือเติมคาํ ศพั ทใ์ หส้ ัมพนั ธ์กบั ประโยค 1.3 ฝึกหดั ครูใหน้ กั เรียนแตง่ ประโยค หรือเติมคาํ ทีหายไปของประโยค 2. ใหเ้ กมเป็นกิจกรรมในการฝึกโดยดาํ เนินการ 3 ขนั ตอน ไดแ้ ก่ 2.1 เตรียมตวั ผเู้ รียน 2.1.1 แบง่ กลมุ่ นกั เรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ เพือเลน่ เกม 2.1.2 อธิบายจุดประสงคข์ องการเล่นเกม วิธีการเล่น พร้อมกติกาการเล่น และการใชค้ ะแนน 2.2 ดาํ เนินการสอน เช่น สอนคาํ ศพั ท์ 2.2.1 สอนความหมายของคาํ ศพั ทจ์ ากภาพ ครูชูภาพ และออกเสียงคาํ ศพั ทน์ กั เรียนดูภาพ และออกเสียงตาม 2.2.2 สอนการสะกดคาํ ศพั ทโ์ ดยใชเ้ กมตามสถานการณแ์ ตล่ ะบทเรียน 2.2.3 ใชเ้ กมการฝึกแบง่ นกั เรียนเป็นกลมุ่ ๆ เพือเล่นเกมอธิบายวธิ ีการล่นกติกาการมให้ คะแนน 4.4 ชนิดของเกมประกอบการสอนเกมภาษาองั กฤษมีหลายชนิด ครูควรเลือกเกมตา่ ง ๆ มาประกอบการเรียน การสอนตามความเหมาะสมให้สอดคลอ้ งกบั เนือหาบทเรียน ซึงมีผแู้ บ่งชนิดของเกมการสอนไวด้ งั นี ไดแ้ บง่ เกมทีใชใ้ นการสอนเป็น 7 ชนิด ดงั นี 1. Number games เป็นเกมเกียวกบั การฝึกนบั ตวั เลขและจาํ นวน 2. Spelling Games เป็นเกมทีเกียวกบั การสะกดคาํ สอนคาํ ศพั ทห์ รือเรียงภาษาองั กฤษ 3. Vocabulary Games เป็นเกมคาํ ศพั ท์องั กฤษและออกเสียง 4. Structure Practice Games เป็นเกมฝึ กสร้างประโยคและการพดู ทีถกู ตอ้ ง 5. Pronunciation Games เป็นเกมฝึ กการออกเสียงของคาํ ต่าง ๆ 6. Rhyming Games เป็นเกมฝึกการออกเสียงของคาํ ต่างๆ ลกั ษณะสัมผสั เสียง 7. Miscellaneous Games เป็นเกมการฝึกผสมผสานกนั หลายแบบครูเลือก ฝึกตามทีเหน็ วา่ เหมาะสมกบั วยั และระดบั นกั เรียน
36 แบ่งชนิดของเกมฝึกภาษาทีใชใ้ นการวดั ระดบั ประถมศึกษาเป็น 7 ชนิด ดงั นี 1. Alphabet Games เป็นเกมฝึกตวั อกั ษร 2. Pronunciation เป็นเกมการฝึ กการออกเสียง 3. Listening and Speaking Games เป็นเกมการฝึกการฟังและการพดู 4. Vocabulary Games เป็นเกมฝึ กคาํ ศพั ท 5. Spelling Games เป็นเกมฝึกการสะกดคาํ 6. Structure Practice Games เป็นเกมฝึ กไวยากรณ 7. Reading Game เป็นเกมฝึ กการอา่ น จากประเภทของเกมการสอนดังทีได้กล่าวมา ผูว้ ิจยั สนใจทีจะทาํ เกมคาํ ศัพท์ (Vocabulary Games) มา ประกอบการสอนโดยยึดหลกั ของ เพือสร้างความน่าสนใจและการจดจําในการเรียนรู้ และเกมทีเข้า หลกั เกณฑใ์ นการใชใ้ นการวจิ ยั ครังนีคอื 1. Bingo Game เกมบงิ โก 2. Whisper Game เกมกระซิบ 3. Spelling Game เกมแข่งขนั สะกดคาํ ทีครูกาํ หนดให้ 4. Deaf and Dumb Spelling Game เกมคนหูหนวก และคนใบส้ ะกดคาํ 5. Build a New Word Game เกมสร้างคาํ ศพั ทจ์ ากตวั อกั ษรทีกาํ หนดให้ 6. What is missing? Game เกมอะไรหาย 7. Matching Picture and Word Game เกมจบั คู่คาํ ศพั ทก์ บั ภาพ 8. Command Game เกมคาํ สงั โดยมีรายละเอยี ดดงั นี 1. Bingo Game (เกมบงิ โก) ความเป็ นมาของ Bingo Gameเริมจากนายโลวี (Lowe) เมือครังกลบั มาบา้ นทีนิวยอร์ก เขาไดค้ ิดเกมขึนมาเล่น กบั เพือนทีอพาร์ตเมน นนั คือ เกมบีนโน (Beano) โดยใชถ้ วั กระดาษแขง็ และยางลบ ในขณะทีเล่นทกุ คนมใี จ จดใจจ่อและตืนเตน้ จนในทีสุดผูเ้ ล่นคนหนึง มีถวั เรียงเป็ นแถวครบสมบูรณ์บนกระดาษแข็ง ดว้ ยความรีบ ร้อน และตืนเตน้ จากคาํ ทีเธอตอ้ งการจะร้องว่า “บีนโน” (Beano) เธอตะกุกตะกกั และร้องออกมาเป็ น “บิง โก” (Bingo) นบั แตน่ นั มา เกมบีนโน กถ็ ูกเรียกเป็นเกมบิงโก จุดประสงค์ 1. เพือทบทวนคาํ ศพั ทท์ ีเรียนไปแลว้ 2. เพือใหน้ กั เรียนสะกดคาํ ศพั ทไ์ ดถ้ ูกตอ้ ง 3. เพือใหน้ กั เรียนออกเสียงและรู้ความหมายคาํ ศพั ท์ 4. เพือฝึ กทกั ษะการฟัง อปุ กรณ์
37 1. บตั รคาํ ศพั ท์ 2. บตั รภาพ 3. ตารางสาํ หรับเล่นบิงโก วธิ กี ารเล่น 1. ครูแจกตารางคาํ ศพั ทส์ ําหรับการเล่นเกมใหน้ กั เรียนคนละ 1 แผน่ หรือ 1 คู่ ตอ่ 1 แผ่น 2. ครูทบทวนคาํ ศพั ทก์ ่อนเล่น โดยใหด้ ูบตั รคาํ ศพั ท์ หรือเป็นบตั รภาพ 3. นกั เรียนเขียนคาํ ศพั ทท์ ีเรียนมาแลว้ จากทีครูทบทวน 16 คาํ เติมลงในตารางบิงโกให้ครบ 16 ช่อง โดยครู กาํ หนดเวลาให้ 12 นาที ครูยาํ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่ นกั เรียนตอ้ งสะกดคาํ ศพั ทไ์ ดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง 4. ครูเรียกชือคาํ ศพั ทต์ ามตารางของครูเอง พอนกั เรียนไดย้ นิ คาํ ใดทีตรงกบั คาํ ศพั ทใ์ นตาราง ของตน กใ็ หข้ ดี x ทบั คาํ ศพั ทน์ นั นกั เรียนคนใดสามารถขดี x ทบั คาํ ศพั ทไ์ ดเ้ รียงกนั ตลอดแถว ไม่วา่ จะเป็นบนลงลา่ ง จากซา้ ยไปขวา หรือทแยงมุม นกั เรียนคนนนั จะร้อง “บิงโก” (Bingo) 18 5. จากนนั นาํ กระดาษมาใหค้ รู ครูจะตรวจสอบวา่ เป็นคาํ ทีครูเรยี กหรือไม่ และนกั เรียน สะกดถูกตอ้ งหรือไม่ ถา้ ทกุ อย่างถูกตอ้ ง ครูก็ประกาศวา่ นกั เรียนผนู้ นั เป็นผชู้ นะ ถา้ มี เวลาอาจเริมตน้ เล่นใหม่ได ตัวอย่างตารางบงิ โก (1) แนวตรงจากบนลงล่าง dress hat skirt cap hand socks shirt shorts trousers head t-shirt shoes necktie finger blouse belt (2) แนวตรงจากซา้ ยไปขวา hat dress socks shorts skirt blouse t-shirt shirt belt hand finger necktie need trousers shoes cap (3) ทะแยงมุมจากขวาไปซา้ ย socks necktie finger blouse shorts head skirt hat shoes shirt dress hand t-shirt belt trousers cap (4) ทะแยงมุมจากซ้ายไปขวา
38 blouse shorts trousers hat necktie t-shirt belt dress finger head skirt socks hand belt cap shirt ข้อดี ข้อเสีย 1. ไดฝ้ ึกทกั ษะการสะกดคาํ 2. ไดฝ้ ึกทกั ษะการฟัง และฝึกสมาธิ 3. ทาํ ใหจ้ ดจาํ คาํ ศพั ทไ์ ดด้ ี 4. สนุกสนานตืนเตน้ 5. ใชอ้ ุปกรณน์ ้อย และราคาไม่แพง 6. นกั เรียนทกุ คนมีส่วนร่วม 1. ใชเ้ วลาค่อนขา้ งมาก 2. หากผใู้ ดไมแ่ มน่ คาํ ศพั ทจ์ ะเสียเปรียบ 3. ถา้ ผใู้ ดไม่มีใจจดจ่ออยา่ งตลอดเวลา จะ พลาดคาํ ศพั ทจ์ ากการฟัง . เนน้ เฉพาะคาํ ศพั ทไ์ มไ่ ดเ้ น้นทกั ษะการนาํ ศพั ทม์ าใชใ้ นประโยค 5. นกั เรียนไมไ่ ดเ้ คลือนไหวร่างกาย อา้ งองิ จาก สําเนา ศรีประมง (2547 : 61-62) 2 Whisper Game (เกมกระซิบ) จดุ ประสงค์ 1. เพือทบทวนคาํ ศพั ทท์ ีเรียนมาแลว้ 2. เพือใหน้ กั เรียนสะกดคาํ ศพั ทแ์ ละออกเสียงไดถ้ กู ตอ้ ง 3. เพือใหน้ กั เรียนไดฝ้ ึกทกั ษะการฟัง อปุ กรณ์ 1. บตั รคาํ 2. กระดาษ 3. ปากกา วิธีการเล่น
39 1. แบง่ ผูเ้ ลน่ ออกเป็น 5 แถว ๆ ละ 7 คน ทีเหลือเป็นกรรมการ 2. ใหน้ กั เรียนนงั เป็นแถวตอน 5 แถว ห่างกนั พอสมควร 3. คนทีอยู่ขา้ งหลงั สุดของแต่ละแถวออกมาหาครู และครูยืนบตั รคาํ ศพั ท์ให้แต่ละคนดู ไม่ เหมือนกนั คือ 5 คน 5 คาํ เสร็จแลว้ เขา้ ไปประจาํ ที 4. ครูใหส้ ัญญาเริม คนทีไดด้ ูบตั รคาํ หรือผทู้ ีนงั หลงั สุดจะตอ้ งกระซิบเพือนทีนงั อยู่ขา้ งหน้าถดั ไปโดยสะกด คาํ ศพั ทต์ วั นนั พร้อมทงั ออกเสียงคาํ แลว้ กระซิบต่อไปยงั คนที 2 คนที 3 กระซิบไปเรือย ๆ จนครบ 7 คน โดย ไม่เห็นบตั รคาํ เช่น j – u – i – c – e : juiceคนที 7 อย่ขู า้ งหนา้ สุด ออกมาเขียนคาํ ศพั ทใ์ นกระดาษทีครูแจกให้ พร้อมกบั ความหมาย 5. ทีมใดเขยี นสะกดถูกตอ้ ง ออกเสียงและบอกความหมายถูกตอ้ งและเร็วทีสุด ทีมนนั ได้ 1 คะแนน 6. เริมแข่งขนั รอบต่อไป คนทีดูบตั รคาํ และเป็ นคนกระซิบแรกในรอบก่อนจะมานังหนา้ สุดและให้คนนัง หลงั สุดของแตล่ ะแถวออกมาหาครู เพือดูบตั รคาํ และกระซิบบอกเพือตอ่ ๆ กนั ไป ทาํ เช่นเดียวกบั ครังแรกจน ครบทกุ คน 7. ครูและนักเรียนช่วยกนั ตรวจคาํ ศพั ท์ และนับคะแนน ทีมใดถูกตอ้ งและไดค้ ะแนนมากทีสุดทีมนันเป็นผู้ ชนะ กตกิ าการเล่น นกั เรียนจะตอ้ งกระซิบนกั เรียนทีอยขู่ า้ งหนา้ เท่านนั เมือกระซิบผา่ นไปแลว้ ห้ามหันหลงั มา ถามกนั แถวที 1 แถวที 2 แถวที 3 แถวที 4 แถวที 5 start start start start start ข้อดี ข้อเสีย 1. นกั เรียนไดฝ้ ึกทกั ษะทงั หลายอยา่ ง ฟัง พูด เขียน 2. ไดท้ บทวนความหมายคาํ ศพั ท์ 3. ใชอ้ ุปกรณไ์ มม่ าก และไม่แพง 4. อุปกรณ์หาไดง้ า่ ย 5. นกั เรียนไดเ้ คลือนไหวร่างกาย 1. นกั เรียนมีส่วนร่วมไม่ครบทุกคน (ถา้ นกั เรียนมจี าํ นวน 40 คนขึนไป) 2. ใชเ้ นือทีมาก 3. ใชเ้ วลาค่อนขา้ งมาก 4. ไมไ่ ดฝ้ ึกนาํ คาํ ศพั ทม์ าใชใ้ นประโยค 5. นกั เรียนมีโอกาสผดิ กติกาการเล่นโดย
40 แอบหนั กลบั มาถามเพอื น อา้ งอิงจาก สาํ เนา ศรีประมง (2547 : 64-65) 3 Spelling Game (เกมแข่งขนั สะกดคาํ ทีครูกาํ หนดให้) จุดประสงค์ 1. เพือใหน้ กั เรียนออกเสียง รูค้ วามหมาย และสะกดคาํ ศพั ทไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง 2. เพือใหน้ กั เรียนนาํ คาํ ศพั ทม์ าใชใ้ นประโยคไดโ้ ดยการแต่งประโยค อปุ กรณ์ 1. บตั รอกั ษร 4 ชุด 2. ภาพสัตว์ วิธีการเล่น 1. ครูแบ่งนกั เรียนออกเป็น 4 ทีม คือ ทีม A , B , C และ D แลว้ แจกบตั รตวั อกั ษรใหท้ ีมละ 1 ชดุ 2. ครูโชวภ์ าพสตั ว์ พร้อมกบั ตงั คาํ ถาม What’s this? แลว้ ใหแ้ ตล่ ะทีมชว่ ยกนั หาบตั รอกั ษรมาต่อกนั เพือให้ได้ คาํ ศพั ทต์ ามภาพนนั 3. ทีมใดหาตวั อกั ษรของคาํ ศพั ทต์ ามรูปภาพนันครบ กใ็ ห้สมาชิกในกลุม่ ถือบตั รตวั อกั ษรออกมายนื 4. ทีมใดทีเรียงตวั อกั ษรไดถ้ ูกตอ้ ง และเร็วทีสุดเป็นผชู้ นะ 5. คาํ ศพั ทแ์ ต่ละคาํ ทีครูกาํ หนดให้ นกั เรียนจะออกมาถือบตั รเรียงกนั ดงั นีTeacher โชวภ์ าพ : และถามวา่ What’s this? Team A : c r o c o d i l e 6. ใหท้ ีมแพท้ ุกคนสะกดคาํ ศพั ท์ และอา่ นออกเสียงคาํ วา่ crocodile ทีผชู้ นะถืออยู่ 2 ครัง 7. ใหแ้ ต่ละทีมนาํ คาํ ศพั ทท์ ีเล่นวนั นี แตง่ ประโยค 1 ประโยค ซึงคาํ ศพั ทแ์ ตล่ ะกลมุ่ ไม่ซาํ กนั 8. แต่ละกลุ่มเขียนประโยคทีแต่งบนกระดาน พร้อมกบั อ่านออกเสียงพร้อม ๆ กนั ทีละกลุ่ม I see crocodiles at Crocodile Farm. 4. เกมคนหูหนวกและคนใบ้สะกดคํา (Deaf and Dumb Spelling) จุดประสงค์ 1. เพือใหน้ กั เรียนสะกดคาํ ศพั ทถ์ กู ตอ้ ง 2. เพือใหน้ กั เรียนออกเสียงและบอกความหมายได้ 3. เพือใหน้ กั เรียนแตง่ ประโยคได ◌้ อุปกรณ์ 1. บตั รคาํ 2. กระดาษ 3. ดินสอ
41 วธิ ีการเล่น 1. ครูแบง่ นกั เรียนออกเป็น 2 แถว แถวแรกคือทีม A แถวที 2 คือทีม B แตล่ ะทีมมีจาํ นวน 7 - 8 คน 2. ครูให้คาํ ศพั ทท์ ีอยใู่ นบตั รคาํ noodles กบั นกั เรียนทีม A คนที 1 นกั เรียนจะตอ้ งสะกดคาํ ศพั ทท์ ีเป็น พยญั ชนะ ส่วนอกั ษรทีเป็นสระใหเ้ วน้ ไว้ และใชส้ ญั ลกั ษณ์ต่อไปนีแทน “a” ใหย้ กแขนขวาขึน “e” ใหย้ กแขนซา้ ยขึน “i” ชีทีดวงตา “o” ชีทีปาก “u” ชีทีหู ตวั อยา่ งคาํ วา่ “noodles” ผูเ้ ลน่ จะออกเสียงและทาํ พฤตกิ รรมดงั นี “n” พูดออกเสียง “o” ชีทีปาก “o” ชีทีปาก “d” พดู ออกเสียง “l” พดู ออกเสียง “e” ยกแขนซา้ ย “s” พดู ออกเสียง 3. ผใู้ ดทาํ ผดิ หรือสะกดผดิ จะตอ้ งนงั ลง ต่อไปครูใหค้ าํ ศพั ทใ์ หม่กบั นกั เรียนทีม B คนที 1สะกดบา้ ง ทาํ เชน่ นี สลบั กนั ไปเรือย ๆ โดยนกั เรียนทีเหลือ เป็ นผสู้ งั เกต และคอยจบั ผดิ ทีมใดเหลือคนยืนมากทีสุด ทีมนนั เป็ นผู้ ชนะ 4. ครูแจกกระดาษให้นกั เรียน 2 ทีม ทีมละ 1 แผน่ และใหแ้ ตล่ ะกลุม่ นาํ คาํ ศพั ทท์ ีเรียนในวนั นีมาแต่งประโยค พรอ้ มกบั วาดภาพ และระบายสีประกอบ 4. เกมจับคู่คาํ ศัพท์กบั ภาพ (Matching Picture and Word Game) จดุ ประสงค์ 1. เพือใหน้ กั เรียนรู้ความหมายคาํ ศพั ท์ 2. เพือใหน้ กั เรียนออกเสียงคาํ ศพั ทไ์ ดh 3. นกั เรียนสามารถนาํ คาํ ศพั ทม์ าแตง่ ประโยคได้ อปุ กรณ์ 1. รูปภาพ
42 2. บตั รคาํ วิธีการเล่น 1. ครูแบง่ นกั เรียนออกเป็น 2 ฝ่าย 2. ครูนาํ ภาพและบตั รคาํ แจกใหน้ กั เรียน ฝ่ ายหนึงจะไดบ้ ตั รคาํ อีกฝ่ายหนึงจะไดร้ ูปภาพใหต้ า่ งคนตา่ งปิ ดของ ตนไว้ 3. ใหน้ กั เรียนทงั 2 ฝ่ าย จบั คูบ้ ตั รคาํ ใหต้ รงกบั รูปภาพ ภายในเวลาทีกาํ หนดให้ นกั เรียนสามารถเรียกชือเป็น ภาษาองั กฤษไดเ้ ทา่ นนั 4. เมือคใู่ ดพบกนั แลว้ ใหม้ ายนื ทีหนา้ ชนั เรียน พร้อมกบั ชูบตั รคาํ และรูปภาพของตน เมือหมดเวลาครูและ นกั เรียนช่วยกนั ตรวจสอบบตั รคาํ และรูปภาพวา่ ถกู ตอ้ งหรือไม่ 5. ใหน้ กั เรียนทุกคนอ่านออกเสียงคาํ ศพั ท์ และบอกความหมายจากบตั รคาํ บตั รภาพทีเพอื โชวห์ นา้ ชนั เรียน 6. ใหน้ กั เรียนทกุ คนนาํ คาํ ศพั ทท์ ีเรียนมาแตง่ ประโยคถาม-ตอบ ตามทีเรียน คนละ 1คาํ ศพั ท์ พร้อมกบั วาดรูป และระบายสีประกอบวิง - run อา่ น - read กิน – eat 3.5 ความสําคญั ของการใช้เกมคําศัพท์ประกอบการสอน ความสาํ คญั ของการใชเ้ กมประกอบการสอนดงั นี 1. ช่วยพฒั นาทกั ษะทางการเรียนของเด็ก ๆ 2. เป็นการทบทวนวชิ าทีเรียนไปแลว้ 3. เป็นการเพิมพูนทกั ษะทีดีแก่ผเู้ ล่นทีละนอ้ ยดว้ ยตวั ของเขาเอง 4. ช่วยเสริมการสอนของครูใหน้ ่าสนใจยิงขนึ และช่วยแกไ้ ขปัญหาเรียนการการสอนทีน่าเบือ นิตยา ฤทธิโยธี (2540 : 6) กล่าววา่ ความสาํ คญั ของการใชเ้ กมช่วยใหบ้ รรยากาศในการเรียนการสอนเป็นไป อยา่ งมีชีวติ ชีวาสร้างความเป็นกนั เองระหว่างครูและนกั เรียนไดม้ ากขึนเกมคาํ ศพั ทเ์ หล่านีเป็นกิจกรรมช่วย ส่งเสริมการเรียนรู้คาํ ศพั ท์ ใหน้ กั เรียนเกิดความเขา้ ใจและจดจาํ คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษใหด้ ียิงขนึ ในดา้ นของการ ใชเ้ กมคาํ ศพั ทไ์ ดม้ ีผใู้ หค้ วามสาํ คญั ไวด้ งั นี เกมสามารถนาํ มาประยกุ ตใ์ นการสอนคาํ ศพั ทเ์ พอื ใหเ้ กิดความ สนุกสนานในบทเรียน และยงั สร้างความคงทนในการเรียนรู้ คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษไดด้ ีอีกดว้ ย 3.6 หลกั การเลอื กเกมเพือใช้ในการสอนภาษา เกมภาษาทีจะนาํ มาใชส้ อนหรือใชใ้ นการจดั กิจกรรมกลุ่มจะตอ้ งคาํ นึงถึงองคป์ ระกอบทงั ในดา้ น ปริมาณ คณุ ภาพ และความเป็ นไปได้ ไดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะในการเลือกเกมภาษาใหเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รียน ดงั ต่อไปนี (ทิพวลั ย์ : หนา้ ที 5-15) 1. เวลา ควรจะใชเ้ กมในชว่ งทา้ ย ๆ ของชวั โมง และไม่ควรจะใชเ้ วลามากนกั ครูควรจะสังใหผ้ เู้ รียน เลิกเล่นเกมทนั ทีทีนกั เรียนใชภ้ าษาในตอนนนั ๆ ไดด้ ีแลว้ ไม่จาํ เป็นจะตอ้ งเล่นจนไดต้ วั ผูช้ นะ และใหเ้ ลิก เลน่ เมือผูเ้ ล่นเกิดความรู้สึกเบือ
43 2. จาํ นวนของผูเ้ รียนในชนั ครูควรจดั กิจกรรมใหผ้ เู้ รียนทุกคนมีส่วนร่วมในการเล่นเกมภาษา ถา้ นกั เรียนมีจาํ นวนมากควรจะใชก้ ิจกรรมกลุ่มแทนกิจกรรมเดียวและอาจจะผลดั กนั เป็นผเู้ ลน่ ผดู้ ู และ กรรมการก็ได้ 3. เนือหาในหอ้ งเรียนครูตอ้ งพิจารณาว่า ถา้ จะเล่นเกมภาษานนั ๆ จะตอ้ งใชเ้ นือทีเพียงไร ผูเ้ รียนจะ เคลือนทีดว้ ยความสะดวกหรือไม่ 4. เสียงในขณะทีเล่นผเู้ รียนส่งเสียงอกึ ทึก รบกวนชนั เรียนทีอยใู่ กลเ้ คียงหรือไม่ 5. ความสนใจของผเู้ รียน เกมภาษาจะนาํ มาใชน้ นั ผเู้ รียนจะสนใจหรือไม่ 6. อุปกรณ์หรือเครืองมือทีจะใชใ้ นการเล่นเกม ครูจะตอ้ งเตรีมการล่วงหนา้ เพือสังใหผ้ เู้ รียนทาํ อุปกรณ์ทีจะใชใ้ นเกมนนั ๆ หรือผเู้ รียนนาํ มาจากบา้ น 7. วฒั นธรรม เกมภาษานนั ๆ ขดั กบั วฒั นธรรมอนั ดีของไทยหรือไม่ ถา้ ไม่เหมาะสมครูไมค่ วรจะ นาํ มาใช้ สรุปไดว้ า่ การเลือกเกมภาษาหรือการสรา้ งเกมภาษาใหเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รียนนนั ตอ้ งคาํ นึงถึงเวลา สถานที จาํ นวนผเู้ ลน่ อุปกรณ์ ตลอดจนความสนใจของนกั เรียนต่อเกมภาษานนั ๆรวมทงั คาํ นึงว่าไมข่ ดั ตอ่ ขนบธรรมเนียมประเพณี วฒั นธรรมอีกดว้ ย ไดเ้ สนอแนะหลกั การในการพิจารณา ดงั นี 1. เกมตอ้ งช่วยส่งเสริมเนน้ จุดสาํ คญั ของภาษาทีผเู้ รียนขาดสิงนนั อยู่ 2. เกมนนั ชว่ ยฝึ กเนือหาต่าง ๆ ทคี รูไดส้ อนไปแลว้ หรือไม 3. เกมนนั ดาํ เนินไปรวดเร็วหรือไม่ 4. เกมนนั ให้โอกาสผเู้ รียนเป็นจาํ นวนมากไดม้ ีส่วนร่วมและไมใ่ ช่ใหโ้ อกาสเพียง 2-3 คนเล่น เทา่ นนั 5. เกมนนั ทาํ ให้ผเู้ รียนเกิดความตืนเตน้ หรือไม 4. งานวิจัยทีเกยี วข้อง วรรณพร ศลิ าขาว (2558 : 79) ไดศ้ ึกษาเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิและความคงทนในการ เรียนรู้คาํ ศพั ทว์ ชิ าภาษาองั กฤษระดบั ชนั ประถมศึกษาปี ที 6 จากการสอนโดยใชแ้ บบฝึ กหดั ทีมเี กม และไม่มีเกมประกอบ กลุ่มตวั อยา่ งเป็นนกั เรียนชนั ประถมศึกษาปี ที 6 จาํ นวน 60 คน โดยแบง่ เป็ น กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคมุ กลุ่มละ 30 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ นกั เรียนทีเรียนจากการสอนโดยใช้ แบบฝึ กหัดทีไม่มีเกมประกอบอยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติทีระดบั .01 และนกั เรียนทเี รียนจากการสอน โดยใชแ้ บบฝึกหัดทีไม่มีเกมประกอบอยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถติ ิทีระดบั 0.5 อนุภาค ดลโสภณ (2560 : บทคดั ยอ่ ) ไดเ้ ปรียบเทียบผลสัมฤทธิทางการเรียนวิชา ภาษาองั กฤษในดา้ นการฟัง การพูด การอา่ น การเขยี น ของนกั เรียนชนั ประถมศึกษาปี ที 5 ระหวา่ ง การสอนโดยใชเ้ กมและการสอนตามคู่มือครู ผลการวจิ ยั พบวา่ นกั เรียนทีไดร้ ับการสอนภาษาองั กฤษ
44 โดยใชเ้ กมมีผลสมั ฤทธิทางการเรียนในดา้ นการฟัง การพูด การอา่ น และการเขยี นแตกตา่ งกนั อยา่ งมี นยั สาํ คญั ทางสถิติระดบั ที .01 ในกล่มุ ทีสอนโดยเกมมีผลสมั ฤทธิทางการเรียนรู้สูงกว่าการสอนตาม คมู่ ือครู กล่าวโดยสรุปจากการศึกษางานวิจยั ดงั กลา่ ว จะเห็นไดว้ า่ การใชเ้ กมการสอนคาํ ศพั ทท์ าํ ให้ บทเรียนน่าสนใจ และช่วยใหน้ กั เรียนมีผลสมั ฤทธิทางการเรียนรู้สูงวา่ การสอนดว้ ยวธิ ีปกติ นอกจากนีเกมการสอนคาํ ศพั ทย์ งั ทาํ ใหน้ กั เรียนมีความสนุกสนาน เรียนรู้ไดด้ ว้ ยตนเองและยงั ส่งผลใหน้ กั เรียนเขา้ ใจและจดจาํ คาํ ศพั ทไ์ ดด้ ี
45 บทที 3 วิธีการดาํ เนนิ การวิจัย ในการศึกษาวิจยั เรืองการใช้เกมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษเพือพฒั นาการเรียนรู้คาํ ศพั ท์ภาษาองั กฤษ รายวิชาหลกั เศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนระดับประกาศนียบตั รวิชาชีพชันสูงปี ที สาขาวิชาการจดั การ ผวู้ จิ ยั ไดด้ าํ เนินการวิจยั ตามลาํ ดบั ขนั ตอน ดงั นี 1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ งทีใชใ้ นการวจิ ยั 2. เครืองมอื ทีใชใ้ นการวจิ ยั . การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 4. การวิเคราะห์ขอ้ มูล 5. สถิติทีใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล . ประชากรและกล่มุ ตวั อย่างทีใช้ในการวิจยั ประชากรทีใชใ้ นการวจิ ยั คือ นกั เรียนระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพชนั สูงปี ที ประเภท วิชาบริหารธุรกิจ สาขาวชิ าการจดั การ วทิ ยาลยั เทคโนโลยีหาดใหญ่อาํ นวยวทิ ย์ อาํ เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา ปี การศึกษา จาํ นวน คน กลุ่มตวั อยา่ งทีใชใ้ นการวจิ ยั คอื นกั เรียนระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพชนั สูงปี ที ประเภท วชิ าบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการจดั การ วทิ ยาลยั เทคโนโลยหี าดใหญอ่ าํ นวยวิทย์ อาํ เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา ปี การศึกษา อาํ เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา ปี การศึกษา จาํ นวน คน . เครืองมือทีใช้ในการวิจยั . เครืองมือทีใชใ้ นการพฒั นา - แผนการจดั การเรียนรู้ทีใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ . เครืองมือทีใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู - แบบทดสอบก่อนเรียน และหลงั เรียน วิธกี ารสร้างเครืองมือ
46 ผวู้ ิจยั ไดท้ าํ การสรา้ งและหาคุณภาพเครืองมือทีใชใ้ นการทาํ วจิ ยั โดยมีขนั ตอนดงั ตอ่ ไปนี . แผนการจดั การเรียนรู้ การสรา้ งแผนการจดั การเรียนรู้แผนการจดั การเรียนรู้แบบการใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ของนกั เรียน สาขาวิชาการจดั การ วชิ าหลกั เศรษฐศาสตร์ สาํ หรับนกั เรียนระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพชนั สูงปี ที มี วิธีการดงั นี . ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตร สมรรถนะการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้รายวิชาหลัก เศรษฐศาสตร์ . เลือกเนือหาวชิ าหลกั เศรษฐศาสตร์ กาํ หนดการเรียน ชวั โมง จาํ นวน แผนการจดั การเรียนรู้ . นาํ เสนอแผนการจดั การเรียนรู้ทีผวู้ ิจยั สรา้ งขึนแก่ผูเ้ ชียวชาญ ทา่ น โดยออกแบบถามมาตรส่วน ประมาณค่า ระดบั เพีอตรวจสอบความถูกตอ้ งและประเมินความเหมาะสมของแผนการจดั การเรียนรู้ โดยมเี กณฑก์ ารใหค้ ะแนนดงั นี หมายถึง ลกั ษณะของแผนการจดั การเรียนรู้ มีความเหมาะสมมากทีสุด หมายถึง ลกั ษณะของแผนการจดั การเรียนรู้ มีความเหมาะสมมาก หมายถึง ลกั ษณะของแผนการจดั การเรียนรู้ มีความเหมาะสมปานกลาง หมายถึง ลกั ษณะของแผนการจดั การเรียนรู้ มีความเหมาะสมนอ้ ย 1 หมายถึง ลกั ษณะของแผนการจดั การเรียนรู้ มีความเหมาะสมนอ้ ยทีสุด โดยให้เกณฑ์การแปลผลความเหมาะสม (บุญชม ศรีสะอาดด, 2545 : 99-168) หลงั จากผูเ้ ชียวชาญ ได้ ประเมินความเหมาะสมของแผนการจดั การเรียนรู้ ผวู้ จิ ยั ไดน้ าํ คะแนนมาหาคา่ เฉลียโดยกาํ หนดเกณฑใ์ นการ พิจารณา คือ ค่าเฉลียตอ้ งมีค่ามากกว่าหรือเท่ากบั . ขึนไป ซึงแผนการจดั การเรียนรู้ดงั กลา่ วโดยรวม มคี ่าเฉลีย . ถือวา่ แผนการจดั การเรียนรูม้ ีความเหมาะสม . แบบทดสอบ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิทางการเรียน วิชาหลักเศรษฐศาสตร์ ซึงมีข้อคาํ ถามสอดคล้องกับ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ โดยผวู้ จิ ยั ไดด้ าํ เนินการสร้างตามขนั ตอนดงั นี . ศึกษาหาวิธีการสร้างแบบทดสองเรือง คาํ ศพั ทข์ องวิชาหลกั เศรษฐศาสตร์ . ศึกษาเนือหา และจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ . สร้างแบบทดสอบแบบเติมคาํ จาํ นวน ขอ้ . นาํ เสนอแบบทดสอบเสนอแก่ผเู้ ชียวชาญ จาํ นวน ท่าน พจิ ารณาความถูกตอ้ ง เทียงตรง สอดคลอ้ งกบั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ เพือหาค่าดชั นีความสอดคลอ้ งแลว้ นาํ มาปรับปรุงแกไ้ ข . การเกบ็ รวบรวมข้อมูล แบบแผนการวิจยั
47 ผลการวิจัยครังนีเป็ นการวิจัยเชิง ทดลอง (Experimental Research) ซึงผูว้ ิจัยใช้แบบ แผนการทดลองแบบ One - Group Pretest – Posstest Design ( ลว้ น สายยศ. และองั คณา สายยศ. : 248-249) ดงั นี ตารางที แบบแผนการวิจัย กลุ่ม สอบก่อน ทดลอง สอบหลงั E T1 X T2 สัญลกั ษณ์ทีใชใ้ นการออกแบบแผนการทดลอง E แทน กลุ่มทดลอง X แทน การใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ T1 แทน การสอบกอ่ นทีจะกระทาํ การทดลอง (Pretest) T2 แทน การสอบหลงั ทีจะกระทาํ การทดลอง (Posttest) การดําเนนิ การทดลอง การวจิ ยั ในครังเป็นการวิจยั เชิงทดลอง โดยดาํ เนินการทดลองตามขนั ตอนดงั นี 1. ชีแจงใหน้ กั เรียนทีเป็นกลมุ่ ตวั อยา่ งทราบถึงการใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ 2. เกบ็ คะแนนก่อนการใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ซึงคะแนนทีไดใ้ หเ้ ป็นคะแนนทดสอบ ก่อนเรียน ในคาบเรียนที 3. ในคาบเรียนที – ผวู้ ิจยั ไดใ้ ชแ้ ผนการจดั การเรียนรู้แบบการใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ เพือแกไ้ ขปัญหาเรืองการจดจาํ คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ เก็บคะแนนหลงั การจดั การเรียนการสอนการใช้เกม คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ซึงคะแนนทีไดใ้ หเ้ ป็นคะแนนทดสอบหลงั เรียน ในคาบเรียนที
48 . การวเิ คราะห์ข้อมูล การวจิ ยั ในครังนีผวู้ ิจยั มีลาํ ดบั ขนั ตอนในการวิเคราะหข์ อ้ มลู ดงั ตอ่ ไปนิ 1. เปรียบเทียบความสามารถในการจดจาํ คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ในรายวิชาหลกั เศรษฐศาสตร์ของ นกั เรียนก่อนและหลงั ไดร้ ับการใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษโดยใช้ สถิติ t-test for Dependent Samples 2. เปรียบเทียบความสามารถในการจดจาํ คาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ในรายหลกั เศรษฐศาสตร์ของ นกั เรียนหลงั ไดร้ บั การใชเ้ กมคาํ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษกบั เกณฑร์ อ้ ยละ โดยใช้ สถิติ t-test for One Sample . สถิติทีใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล ในการวจิ ยั ครังนี ผวู้ ิจยั ไดว้ เิ คราะห์ขอ้ มูลต่างๆ โดยใชส้ ูตรทางสถิติต่อไปนี คา่ เฉลีย (Mean) (บุญชม ศรีสะอาด. ) ดงั สูตร X =ΣXi N X แทน ค่าเฉลีย ΣXi แทน ผลรวมคะแนนทงั หมดในกลุ่ม N แทน จาํ นวนคะแนนในกลุม่ ค่าเบียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) (บุญชม ศรีสะอาด. ) S .D. แทน ส่วนเบียงเบนมาตรฐาน Xi แทน คะแนนแต่ละตวั N แทน จาํ นวนคะแนนในกลมุ่ Σ แทน ผลรวม คา่ t-test for Dependent Samples (บุญชม ศรีสะอาด. )
49 X แทน ค่าเฉลียของคะแนน μ0 แทน คะแนนเกณฑท์ ีกาํ หนดขึน S.D. แทน ค่าความแปรปรวนของคะแนน n แทน จาํ นวนคน ค่า t-test for One Sample (ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ (2539) โดยใช้ โปรแกรม คอมพวิ เตอร์สาํ เร็จรูป
Search