Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เทคนิคการสอนงาน

หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เทคนิคการสอนงาน

Published by abhichat.a, 2019-07-24 04:18:15

Description: หลักสูตรครูฝึกในสถานประกอบการ

Search

Read the Text Version

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 ใบเน้อื หาท่ี 2.1 จติ วทิ ยาวัยรุ่นและจิตวทิ ยาในการทางาน 1. ความหมายและความสาคญั ของหลกั จิตวิทยา ชวี ติ มนษุ ย์ดำเนินไปด้วยสญั ชำตญำณ และวจิ ำรณญำณในตนเอง กำรอยรู่ ่วมกันของมนุษย์ เป็น สังคมน้ันจำเปน็ ตอ้ งจดั กำรควำมคิดและพฤตกิ รรมของตนใหเ้ หมำะสมกบั กำรปฏิสัมพนั ธ์กับผ้อู ืน่ ตำม สถำนภำพ และบทบำทอันเป็นผลจำกกำรกลอ่ มเกลำทำงสังคม กำรจัดกำรพฤตกิ รรมได้ดีจำเป็นต้องใช้หลัก จิตวิทยำ เพือ่ เขำ้ ใจตนเองและผู้อื่น 1.1 ความหมายของจติ วทิ ยา จิตวิทยำ (Psychology) มำจำกรำกศพั ท์ Psyche หมำยถงึ จิตวิญญำณ กบั คำว่ำ Logos หมำยถึง ศำสตร์ วทิ ยำกำร ดังน้ันจิตวทิ ยำจึงหมำยถึง วชิ ำทว่ี ำ่ ดว้ ยจติ เป็นวทิ ยำศำสตร์แขนงหนึง่ วำ่ ดว้ ยปรำกฏกำรณ์ พฤติกรรมและกระบวนกำรของจิตมนษุ ย์ 1.2 ความสาคญั ของหลกั จิตวิทยา จิตวิทยำเป็นศำสตรท์ ศี่ กึ ษำพฤติกรรมของมนุษย์ เพ่อื เข้ำใจสำเหตุพฤติกรรมของบุคคล เพรำะ บุคคล แตล่ ะคน ยอ่ มมีบุคลิกภำพ ทัศนคตติ ่ำงกนั กำรเขำ้ ใจบุคคล กำรเข้ำใจตนเองจึงมีควำมสำคัญต่อกำรอยู่ รว่ มกนั อย่ำงสนั ตสิ ุข กำรศกึ ษำหลักจิตวทิ ยำนนั้ สรปุ ควำมสำคัญ ได้ 5 ประกำร ดังน้ี 1) ผศู้ กึ ษำสำมำรถเขำ้ ใจตนเอง ยอมรับตนเอง จัดกำรตนเองเหมำะสมกับสถำนกำรณ์ 2) เกดิ กำรเข้ำใจผู้อื่น ชว่ ยในกำรปรบั ตวั ของบุคคลในสถำนกำรณ์ที่ประสบ 3) เปน็ พ้ืนฐำนกำรคดิ ในกำรบัญญัติกฎหมำย และสร้ำงกฎเกณฑ์ทำงสงั คม 4) หลกั จิตวิทยำ เมื่อมกี ำรนำมำปรบั ใช้ จะช่วยลดปัญหำพฤตกิ รรม และปญั หำสงั คมได้ 5) ควำมรู้ทำงจิตวิทยำ มีผลตอ่ คุณภำพชีวิตของบคุ คล ทำให้มคี วำมรใู้ นกำรพัฒนำ ด้ำน รำ่ งกำย อำรมณ์ สังคม และสติปญั ญำ ทำใหก้ ำรดำเนินชวี ิตถูกตอ้ งและเป็นประโยชน์ ทง้ั นี้หลักจิตวิทยำ มหี ลำยสำขำ มุ่งเน้นศึกษำพฤติกรรมตำมเป้ำหมำยและวตั ถุประสงค์ของ แต่ ละสำขำ เช่น จติ วิทยำสังคม จติ วิทยำองค์กำร จิตวทิ ยำอตุ สำหกรรม จติ วิทยำวยั รนุ่ เป็นตน้ กรณกี ำรศกึ ษำ เพอ่ื กำกบั ดูแล นกั ศกึ ษำอำชวี ศกึ ษำซงึ่ อยใู่ นชว่ งวยั รุ่นใหม้ ีพฤติกรรมกำรฝกึ งำน ได้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ ครฝู ึกใน สถำนประกอบกำรจึงจะต้องมคี วำมร้เู ร่ืองจติ วิทยำวัยรุ่น 2. คณุ ลักษณะของวยั ร่นุ กบั การรบั รูพ้ ฤติกรรมในการทางาน วัยรุน่ เป็นวัยช่วงต่อระหวำ่ งวยั เด็กและวัยผใู้ หญ่ เป็นช่วงระยะแห่งกำรเปลยี่ นแปลง ท้ังรำ่ งกำย อำรมณ์ จติ ใจ และสังคม จึงมีผลต่อพฤตกิ รรมกำรรับรใู้ นกำรทำงำน พัฒนำกำรทำงสงั คมจิตวิทยำในวัยรุ่น แบง่ เปน็ 3 ชว่ งวัย คอื วัยร่นุ ตอนต้น อำยุ 10-13 ปี วยั รนุ่ ตอนกลำง 14-17 ปี และวัยรนุ่ ตอนปลำย 17-21 ปี มคี ุณลกั ษณะทว่ั ไปดังน้ี

2.1 คณุ ลกั ษณะของวัยรุ่น นกั จิตวิทยำไดว้ เิ ครำะห์พัฒนำกำรทำงจติ วิทยำของวัยรุน่ ท้ัง 3 ชว่ งวยั ไวด้ งั น้ี 1) วยั รุ่นตอนต้น อายุ 10 – 13 ปี ลกั ษณะท่วั ไป (1) ด้ำนรำ่ งกำย เจรญิ เตบิ โต เพม่ิ ขนำด ควำมสงู นำ้ หนัก สรรี ะเข้ำสู่วัยเจรญิ พันธ์ุ (2) ดำ้ นอำรมณ์ สนใจเร่ืองเพศ ซึ่งผใู้ หญ่ควรใหค้ วำมรูท้ ่ีถูกตอ้ งทง้ั ทำงโลกและทำง ธรรม เพรำะชว่ งนอ้ี ำรมณอ์ ่อนไหวปรวนแปร (3) พัฒนำกำรทำงสังคม วัยรุ่นช่วงนจ้ี ะให้ควำมสนใจเข้ำร่วมกิจกรรมกบั พอ่ แม่น้อยลง เร่ิมต่อตำ้ นฝ่ำฝืนคำส่ัง ทัง้ ที่ลึกๆ ในใจยังต้องกำรควำมชว่ ยเหลือสนับสนุนจำกผู้ใหญ่ กลุม่ เพ่อื นจะมีบทบำท มำก และเปน็ เพศเดยี วกนั พอ่ แม่ควรเปิดโอกำสใหเ้ ดก็ มีควำมเปน็ ส่วนตัวและคอยสังเกตกำรณ์อยู่หำ่ งๆ เพรำะ วัยนีจ้ ะยดึ ตนเองเปน็ ศูนย์กลำง 2) วยั รุน่ ตอนกลาง อายุ 14 -17 ปี ลักษณะทวั่ ไป (1) ดา้ นร่างกาย อตั ราความเจริญเตบิ โตลดลง มีความเปน็ หนมุ่ เปน็ สาวเกอื บเทา่ ผูใ้ หญ่ มีความพร้อมดา้ นร่างกายเข้าส่รู ะยะเจรญิ พันธ์ุ (2) ด้านอารมณ์ สนใจตนเอง มีคา่ นิยมตามเพื่อนในกลุ่ม จะมีความขัดแยง้ กบั พ่อแม่ มากท่ีสุด เพราะตอ้ งการอสิ ระและเป็นตวั ของตนเอง (3) พัฒนาการทางสงั คม เริม่ เรียนรูส้ งั คมภายนอกหอ้ งเรยี น นอกครอบครวั มากขึน้ เริ่มมกี จิ กรรม และมีความสมั พนั ธ์กบั เพศตรงข้าม มกี ารฝา่ ฝืนกฎระเบียบ กติกาสังคม เนือ่ งจากทดลองเรียนรู้ ส่ิงใหมๆ่ เพอ่ื ทดสอบตนเอง ชว่ งวยั นไ้ี มช่ อบให้มีการบงั คับหรือสั่งการ แตช่ อบทากิจกรรมกลุ่มกับเพื่อน วยั นี้ เพอ่ื นมีอทิ ธิพลมากท่สี ุด ซงึ่ อาจชกั จงู ไปทางถกู หรือผิดก็ได้ ขน้ึ อยูก่ ับการประคบั ประคองของผใู้ หญ่ ควรสรา้ ง เสรมิ ให้วยั รุน่ เห็นคุณค่า และภาคภูมใิ จในตนเอง 3) วยั ร่นุ ตอนปลาย อายุ 18-21 ปี ลักษณะทว่ั ไป (1) ด้ำนรำ่ งกำย มคี วำมสมบรู ณเ์ ป็นผู้ใหญ่เต็มท่ี พรอ้ มในกำรเจริญพนั ธ์ุ ทั้งเพศหญิง และเพศชำย (2) ดำ้ นอำรมณ์ มีควำมร้สู กึ อสิ ระ เป็นตัวของตวั เอง จำกกำรตอ่ ตำ้ นผู้ใหญเ่ ปลยี่ นเปน็ เขำ้ ใจถงึ ควำมรกั ควำมปรำรถนำดีของผใู้ หญ่ (3) พัฒนำกำรทำงสังคม เรม่ิ เห็นคุณค่ำของพ่อแม่ ผู้มีพระคุณ สร้ำงควำม สมั พนั ธก์ บั พ่อแม่ ลักษณะผใู้ หญก่ ับผู้ใหญ่ แต่วัยรนุ่ บำงคนอำจมีควำมสับสนไม่ม่ันใจตนเอง ในกำรแยกตวั อสิ ระตำมวยั ทำให้เกิดปญั หำชีวติ ได้ นกั จติ วทิ ยำเรียกภำวะน้ีวำ่ “Crisis of 21” อำจเกดิ ภำวะซึมเศร้ำ แก้ปัญหำไมไ่ ด้ ฆำ่ ตัว ตำย ช่วงน้วี ัยรุ่นจะมคี วำมคิด ตัดสินใจอย่ำงมเี หตุผล มีวจิ ำรณญำณมำกขนึ้ เพือ่ นจะมีบทบำท นอ้ ยลง เนื่องจำกวยั รุ่นชว่ งปลำยจะมคี วำมรสู้ ึกนกึ คิด และ มีค่ำนยิ มทเ่ี ป็นตัวของตัวเอง มีเอกลักษณข์ อง ตน จะมีเพ่ือนสนทิ รู้ใจ เป็นตัวบคุ คล มำกกว่ำ กลมุ่ เพ่อื นสนใจ เพศตรงข้ำม มีควำมรับผิดชอบ มีกำร วำงแผน คำนงึ ถึงวฒั นธรรม บำงคนอำจวำงแผนชวี ติ สร้ำงครอบครวั ช่วงนีส้ ำมำรถปลูกฝงั คณุ ธรรมจริยธรรมได้ ดี

กรอบแนวคดิ คณุ ลักษณะ 3 ช่วงวยั ของวยั รุน่ มพี ฒั นำกำรต่ำงกนั เปน็ ช่วงเวลำที่วัยรุ่น จำเปน็ ตอ้ งมี กำรปรบั ตัว เรยี นรู้ ฝกึ ทกั ษะด้ำนต่ำงๆ เพ่อื เป็นพน้ื ฐำนชวี ิตในอนำคต เมือ่ เข้ำสวู่ ัยผู้ใหญ่ ท้งั นผ้ี ูป้ กครอง ครู และวัยรุ่นเองควรสนใจเอำใจใส่ เพ่ือให้ผ่ำนระยะเวลำทถี่ ือวำ่ เปน็ มรสุมของชีวิตได้อย่ำงปลอดภัย เพอ่ื กำรเป็น ผ้ใู หญ่ท่ดี ีและมคี ุณภำพต่อไปในอนำคต 2.2 วยั รนุ่ กับการรับรพู้ ฤติกรรมในการทางาน กำรฝึกอำชพี หลกั สูตรทวภิ ำคใี นสถำนประกอบกำร เปน็ กำรเตรยี มชีวติ วัยรุ่นเขำ้ สูโ่ ลกอำชพี ครฝู ึกจำเป็นตอ้ งปลูกฝังทัศนคติท่ีดีให้กับนกั เรยี นนกั ศึกษำ โดยครูฝึกตอ้ งศกึ ษำหลักกำรรบั รู้ เพือ่ ปรับ พฤติกรรมในกำรทำงำนของนักเรียนนกั ศึกษำในควำมรบั ผิดชอบ ดงั รำยละเอยี ดต่อไปนี้ 1) องคป์ ระกอบของพฤตกิ รรมทพี่ งึ ประสงค์ในกำรทำงำน ประกอบดว้ ยหลักปฏบิ ัติ 7 ประกำร ดังน้ี (1) ทำงำนเชงิ รกุ (2) มีเปำ้ หมำยและแผนงำนก่อนเริ่มลงมือทำ (3) จดั ประเภทและจัดลำดับกำรทำงำน (4) ใชว้ ิธีกำรทำงำนแบบ ชนะ - ชนะ (5) พยำยำมเขำ้ ใจผูอ้ ่นื ก่อนทจี่ ะให้ผู้อ่นื เข้ำใจตน (6) ทำงำนด้วยควำมสร้ำงสรรค์ เพิม่ พูนประสบกำรณ์ (7) พฒั นำสมรรถภำพในกำรสร้ำงผลงำน ครฝู ึกต้องสร้ำงทัศนคติท่ีดีต่อพฤตกิ รรมทพ่ี งึ ประสงคใ์ นกำรทำงำน 7 ประกำร ให้กับนักเรยี นนกั ศกึ ษำ ในกำรปกครองดูแลโดยตระหนกั ถงึ คุณลักษณะของวยั รนุ่ และสรำ้ งแรงจูงใจในกำรทำงำน โดยกำรใชท้ ักษะท่ี หลำกหลำย สรำ้ งเอกลักษณ์ในงำน ให้ควำมสำคัญและให้อสิ ระในกำรทำงำนทีม่ อบหมำย และต้องให้ข้อมลู สะท้อนกลับแกน่ กั เรยี นนกั ศกึ ษำในทนั ที เพื่อให้พวกเขำรูส้ กึ ว่ำเป็นส่วนหน่ึงของงำนและรสู้ กึ วำ่ งำนทีไ่ ดร้ บั มอบหมำยนั้นมีควำมสำคญั ซงึ่ ถือเปน็ กำรยอมรบั ในตัวตนของเขำซึ่งเป็นสง่ิ ท่วี ยั รุ่นทกุ คนตอ้ งกำร 2) กำรเพิ่มทกั ษะกำรทำงำนดว้ ยกำรเรยี นรโู้ ดยกำรใช้ปัญญำ ประกอบดว้ ยหลกั ปฏิบตั ิ 4 ประกำร ดังน้ี (1) ต้องเรยี นรู้จำกควำมรู้สึกของตน (2) เรยี นร้จู ำกกำรสังเกตงำนทท่ี ำ (3) เรยี นรู้จำกกำรคดิ ในกระบวนกำรทำงำน (4) เรยี นรู้จำกกำรทดลองทำดว้ ยตนเอง กำรเรียนรู้ชิ้นงำนของนักเรยี นนักศกึ ษำ ครูฝกึ ต้องลำดับขน้ั กำรฝกึ ตำมหลกั จิตวิทยำวัยรนุ่ ด้วยกำรสอ่ื ภำษำขอ้ มลู งำน ให้รบั รู้ด้วยเหตุผล ประกอบกำรใช้ทกั ษะทำงกำย และกำรมีเจตคติทด่ี ีในกำรสอนงำน เพรำะ กำรเรยี นรูจ้ ะเกดิ ขึน้ ไดอ้ ยกู่ ับควำมสำมำรถในกำรเรยี นรู้ ประสบกำรณใ์ นสภำพแวดล้อมทีไ่ ด้เรียนรู้ และ กระบวนกำรใชป้ ัญญำของแต่ละบคุ คล หำกใชว้ ธิ ีกำรน้ีย่อมฝึกทกั ษะงำนในวยั รนุ่ ใหไ้ ดร้ บั ผลสำเร็จเป็นอยำ่ งดี 3) กำรรับรู้ และกำรเรียนรู้ กำรเรียนรู้งำนตำมหลักกำรตอ้ งอำศยั กำรสรำ้ งแรงจูงใจให้กบั นักศึกษำ ครฝู กึ ตอ้ งปฏิบัติ ตำมขั้นตอน 3 ประกำร เพ่ือผลแห่งกำรเรยี นรู้ ไดแ้ ก่ (1) กำรประเมนิ สถำนกำรณ์กอ่ นกำรฝกึ อบรม ครฝู ึกตอ้ งศกึ ษำควำมต้องกำรและ คุณสมบัตขิ องนกั เรียนนักศกึ ษำรำยบุคคล

ของ ผู้ฝึกอบรม (2) กำรสรำ้ งวตั ถปุ ระสงค์กำรฝึกในแต่ละชิ้นงำนโดยคำนงึ ถงึ ควำมรู้สึก พฤติกรรม (3) กำรสร้ำงบรรยำกำศท่ดี ีในกำรฝกึ อบรม ด้วยรอยย้ิมและมิตรภำพ การรับรู้ และการเรยี นรู้ พิจารณา ขอ้ มลู ดังต่อไปน้ี ตารางที่ 1 กำรรับรู้และกำรเรียนรู้ ทักษะ ประสาทสัมผสั ลักษณะกิจกรรม กำรมองเห็น ตำ กำรอำ่ น สงั เกต ใชอ้ ุปกรณ์ โปรแกรมกำรเรยี น กำรไดย้ นิ หู กำรบรรยำย ฟงั อภิปรำย ทบทวน กำรไตรต่ รอง ปญั ญำ กำรคิด ทดสอบ สรำ้ งควำมสัมพันธ์ วิจัย กำรพูด หู กำรบอกเลำ่ คำถำม อภปิ รำย โตแ้ ย้ง กำรเขยี น สมั ผสั กำรจด จัดระเบยี บควำมคิด วำดภำพ กำรปฏบิ ตั ิ สมั ผัส กำรเลยี นแบบ ทำแบบฝึก มีสว่ นรว่ ม กำรบญั ญัติ กำรรบั รู้ กำรพสิ ูจน์ กำรจนิ ตนำกำร คน้ พบ ทดลอง ทดสอบ กำรมอบหมำยชิ้นงำนและฝึกทกั ษะดว้ ยประสำทสมั ผสั ย่อมกอ่ ใหเ้ กิดกำรรบั รใู้ นงำนและสำมำรถ ปฏิบัติงำนทีม่ อบหมำยไดส้ ำเรจ็ ลุลว่ ง โดยครูฝึกต้องคำนึงถงึ ควำมแตกตำ่ งระหว่ำงบคุ คล ในกำรทำงำนวัด จำกควำมฉลำดดำ้ นภำษำ เหตผุ ล กำรคำนวณ มิตสิ มั พนั ธ์ ดนตรี กำยภำพ กำรมองเหน็ ตนเอง และ กำรมสี ัมพันธ์อันดกี บั ผู้อนื่ จนกลำยเป็นลกั ษณะเฉพำะหรอื บุคลิกภำพของนักเรยี น นกั ศกึ ษำผ้นู ั้น กลำ่ วได้ว่ำ ครูฝึกตอ้ งรจู้ ักตนเองและบคุ ลกิ ภำพของนักเรยี นนกั ศึกษำรำยบคุ คล ถือเปน็ ปจั จยั เบ้อื งตน้ ในกำรเรียนรูช้ ้ินงำนอย่ำงมปี ระสิทธิภำพ ทง้ั นี้พฒั นำกำรในแตล่ ะช่วงอำยขุ องวัยรุน่ แต่ละคนจะแตกตำ่ งกนั ไป ตำมปจั จยั เกื้อกลู ไดแ้ ก่ ลกั ษณะทำงพันธุกรรม กำรเลย้ี งดู ภำวะโภชนำกำร ปัญหำสุขภำพรำ่ งกำยและสงั คม แวดลอ้ ม เป็นส่งิ ท่คี รูฝกึ ควรนำข้อมลู มำใช้ในกำรทำควำมเข้ำใจผ้เู รียนเป็นรำยบุคคล เพ่อื ผลแห่งกำรสอนงำน ไดอ้ ย่ำงมีประสทิ ธิภำพ มคี วำมสขุ และบรรลุเป้ำหมำยของงำน 3. พัฒนาการทางสังคมจิตวทิ ยาของวัยรุ่น ครูฝึกเมือ่ มคี วำมรู้เกี่ยวกบั คุณลักษณะโดยท่วั ไปของวัยรุน่ ทม่ี อี ิทธพิ ลต่อกำรสอนงำนและกำรรบั รงู้ ำน แลว้ จำเป็นต้องประมวลควำมรู้ ให้เข้ำใจพฒั นำกำรทำงสังคมจติ วิทยำของวัยรนุ่ เพือ่ จะไดม้ ีปฏิสัมพนั ธอ์ นั ดีต่อ กนั ตลอดไป สรุปพัฒนำกำรดังกล่ำวมีดงั นี้ 1) พัฒนำกำรทำงสังคมแตล่ ะช่วงวยั ของวยั รุ่นตอนต้น ตอนกลำง และตอนปลำยจะแตกต่ำง กนั ใน ระยะตน้ เป็นพฒั นำกำรทำงดำ้ นสรีระ และสัญชำตญำณ วยั รนุ่ ตอนกลำงจะเรมิ่ มคี วำมคิดเปน็ อิสระใน ตนเอง ต้องกำรออกจำกกรอบ มีปัญหำทใ่ี หเ้ พือ่ นเปน็ กลมุ่ ชว่ ยรบั ฟัง และมกี ำรร่วมมอื ในกลุ่มสงู กว่ำปัจเจก บุคคล ส่วนวยั รนุ่ ตอนปลำยจะมีวิจำรณญำณสูงข้ึนกว่ำสญั ชำตญำณ เริ่มใช้เหตุผลท่ีถกู ต้องในกำรพจิ ำรณำสิ่ง ท่ปี ระสบดว้ ยปัญญำและมคี วำมรบั ผดิ ชอบ ใชอ้ ำรมณ์น้อยลง มีควำมเป็นผู้ใหญ่เกือบสมบูรณ์ 2) พฒั นำกำรทำงดำ้ นกำรรบั ร้สู งิ่ ต่ำงๆ เพ่ือควำมเจรญิ ก้ำวหนำ้ ในชวี ติ และงำนอำชพี โดย วยั รุน่ ชว่ งต้น มีเปำ้ หมำยชวี ติ ไม่แนน่ อน คลอ้ ยตำมกล่มุ เพอื่ นเป็นส่วนใหญ่ วยั ร่นุ ชว่ งกลำง เริม่ มองโลกอำชีพ

ของตน แตย่ ังต้องกำรคำแนะนำจำกผ้ใู หญ่ สว่ นวัยรนุ่ ช่วงปลำย สำมำรถกำหนด วิถีชีวติ ในอนำคตของตนได้ จำกประสบกำรณก์ ำรเรยี นรู้ และฝึกอบรม กล่ำวไดว้ ่ำควำมรเู้ รื่องจิตวทิ ยำวยั รุน่ ของครูฝกึ ในสถำนประกอบกำรจะเปน็ พน้ื ฐำนควำมเข้ำใจวัยรนุ่ ซ่งึ เปน็ ชว่ งวัยที่อำจก่อปัญหำช่องวำ่ งระหว่ำงวยั ระหว่ำงวัยรุ่นกับผู้ใหญ่ กำรตระหนกั รใู้ นควำมสำคญั ของ จติ วทิ ยำวยั รุ่น จึงถอื วำ่ เป็นปจั จัยพนื้ ฐำนในกำรสอนงำนและทำงำนร่วมกนั อยำ่ งมีควำมสขุ 4 จิตวิทยาในการทางาน จติ วทิ ยำในกำรทำงำนเปน็ กำรศึกษำและนำหลักจิตวิทยำมำประยกุ ตใ์ ช้ในกำรทำงำนของบุคคลโดย มุ่งเนน้ ศึกษำพฤตกิ รรมของพนักงำน เจตคติ คำ่ นิยม กำรสรำ้ งแรงจูงใจ เพอื่ ให้พนกั งำนมคี วำมสขุ และควำมพงึ พอใจในกำรทำงำน ซ่งึ จะมีผลต่อกำรปฏิบัติงำนอยำ่ งมปี ระสิทธภิ ำพ ซ่ึงองค์กำรคอื สถำนท่ที ีป่ ระกอบข้นึ ด้วย บุคคลหลำยคนหรือศูนยร์ วมกล่มุ บคุ คลหรือกิจกรรมทีป่ ระกอบกนั ขน้ึ เป็นหน่วยงำนเดียวกนั เพอื่ ดำเนนิ กิจกำร ตำมวัตถปุ ระสงคท์ ก่ี ำหนดไว้ ดงั นน้ั ครูฝึกในสถำนประกอบกำรจงึ จำเปน็ ตอ้ งศกึ ษำจติ วิทยำในกำรทำงำนตำม หวั ข้อดังตอ่ ไปน้ี 4.1 ธรรมชำตขิ องคนและองค์กำร 4.2 บทบำทหนำ้ ที่ควำมรบั ผิดชอบของบคุ คลในองคก์ ำร 4.3 กำรพฒั นำควำมฉลำดทำงอำรมณ์ (E.Q) เพ่อื กำรรว่ มงำนในองค์กำร 4.4 กำรพัฒนำตนเองและทีมงำนใหม้ ีประสทิ ธภิ ำพ 4.5 กำรสร้ำงแรงจูงใจเพื่อตนเองและองค์กำร 4.1 ธรรมชาติของคนและองคก์ าร มนุษย์เป็นสัตวส์ ังคม เมอื่ เข้ำสูอ่ งคก์ ำรจะถกู จัดเข้ำกลมุ่ โดยกำรกำหนดอย่ำงเปน็ ทำงกำรจำก องค์กำรเป็นกล่มุ งำน เชน่ หนว่ ยงำนธรุ กำร หน่วยงำนผลิต หน่วยงำนบญั ชี หน่วยงำนฝกึ อบรม โดยบุคคลแต่ ละคนจะมคี วำมสนใจ ควำมสำมำรถในกำรทำงำนไดไ้ มเ่ ท่ำกนั มีควำมพงึ พอใจในกำรทำงำนแตกตำ่ งกัน ดังนน้ั กำรทำงำนร่วมกนั ในองค์กรจงึ ต้องมีควำมเข้ำใจควำมแตกต่ำงระหว่ำงบคุ คล เพอ่ื กำรทำงำนท่ีมีประสทิ ธภิ ำพ ซึง่ ควำมแตกต่ำงระหว่ำงบคุ คลมดี ังน้ี 1) ควำมแตกตำ่ งทำงร่ำงกำย เปน็ ควำมแตกต่ำงด้ำนกำยภำพ ซงึ่ มีผลตอ่ ควำมสำมำรถใน กำรทำงำน เชน่ ควำมแขง็ แรง ควำมอดทนตอ่ ควำมยำกลำบำก รปู ร่ำงหนำ้ ตำ ทเ่ี หมำะสมกบั งำน ควำมมเี สน่ห์ กำรสร้ำงควำมประทับใจให้ผรู้ ว่ มงำนหรือผ้มู ำตดิ ต่องำน 2) ควำมแตกต่ำงทำงสังคม ได้แก่ ควำมแตกต่ำงของเชอ้ื ชำติ ภำษำ ศำสนำ ประเพณี วัฒนธรรม ภำวะของเศรษฐกิจและกำรอบรมเล้ยี งดู 3) ควำมแตกต่ำงด้ำนอำรมณ์ อำรมณเ์ กิดจำกกำรเรียนรูแ้ ละมีควำมซบั ซ้อน อำรมณม์ ี หนำ้ ทไ่ี ปกระตนุ้ ใหเ้ กิดพฤติกรรม บคุ คลท่มี อี ำรมณ์ดี จะมีกำรรับร้สู ภำพแวดลอ้ มต่ำง ๆ ในดำ้ นดี อำรมณ์มีสว่ น สำคัญในกำรทำงำนรว่ มกันในองคก์ ำร

4) ควำมแตกตำ่ งดำ้ นสติปญั ญำ ธรรมชำติของมนุษยม์ คี วำมสำมำรถทำงสตปิ ญั ญำท่ี แตกตำ่ งกัน เปน็ ควำมสำมำรถในกำรเรยี นรู้ ควำมคดิ กำรวำงแผน และกำรแก้ปัญหำ ต่ำง ๆ 5) ธรรมชำติขององค์กำร องคก์ ำรมีองคป์ ระกอบหลัก 4 ประกำร ดงั นี้ (1) วัตถปุ ระสงค์หรือจุดมุ่งหมำยในกำรก่อตงั้ ขนึ้ มำเพ่อื เป็นแนวทำงในกำรปฏบิ ัติ กิจกรรม (2) โครงสรำ้ ง องค์กำรต้องมกี ำรจดั แบ่งหน่วยงำนภำยในโดยมีกำรกำหนดอำนำจ หน้ำทีก่ ำรแบ่งงำนกันทำควำมชำนำญเฉพำะอยำ่ งและกำรบงั คบั บัญชำตำมลำดับข้นั (3) กระบวนกำรปฏบิ ตั ิงำน หมำยถงึ แบบอย่ำงหรอื วิธปี ฏิบตั กิ ิจกรรมหรอื งำนท่ี กำหนดข้ึนไว้อย่ำงมแี บบแผน เพือ่ ให้ทุกคนในองค์กำรใช้เปน็ หลักในกำรปฏิบัติงำน (4) บุคคล องค์กำรต้องประกอบด้วยกล่มุ บคุ คลท่ีเป็นสมำชกิ โดยกำหนดหน้ำทตี่ ำม ภำรกจิ ทไี่ ด้รบั มอบหมำย และกระบวนกำรปฏิบัตงิ ำนท่ีกำหนดไวใ้ ห้สำเร็จตำมวัตถปุ ระสงค์ 4.2 บทบาทหนา้ ทคี่ วามรบั ผิดชอบของบคุ คลในองคก์ าร บุคคลในองค์กำรมหี นำ้ ที่ควำมรับผดิ ชอบทำงำนให้กบั องคก์ ำร ดงั นี้ 1) หน้ำที่รับผดิ ชอบในงำนหลกั เชน่ งำนด้ำนผลติ งำนด้ำนกำรบรกิ ำร 2) หนำ้ ที่รับผดิ ชอบในกำรประยกุ ต์ใช้ควำมรู้ควำมสำมำรถ เชน่ งำนดำ้ น กำร ประสำนงำน กำรแก้ปัญหำในกำรทำงำน กำรเจรจำตอ่ รอง 3) หน้ำทค่ี วำมรบั ผดิ ชอบดำ้ นกำรพฒั นำงำน เช่น หำวถิ ที ำงในกำรทำงำนใหม้ ี ประสทิ ธภิ ำพ ไมย่ อมให้เกดิ ควำมบกพร่องในหน้ำท่ีหรอื เกดิ กำรละเลยหน้ำที่ และไมเ่ พิกเฉยต่อสงั คมส่วนรวม 4.3 การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (E.Q) เพอื่ การร่วมงานในองค์การ ควำมฉลำดทำงอำรมณ์ หมำยถงึ ควำมสำมำรถทำงอำรมณ์ที่จะชว่ ยใหก้ ำรดำเนนิ ชีวติ และ กำรทำงำนเปน็ ไปอยำ่ งสรำ้ งสรรค์และมคี วำมสุข บคุ คลในองคก์ ำรต้องมกี ำรพัฒนำควำมฉลำดทำงอำรมณ์เพื่อ กำรรว่ มงำนในองคก์ ำรดังน้ี 1) ควำมดี หมำยถงึ ควำมสำมำรถในกำรควบคมุ อำรมณแ์ ละควำมตอ้ งกำรของตนเอง มี กำรแสดงออกทำงอำรมณท์ ีเ่ หมำะสม 2) ควำมเกง่ หมำยถงึ ควำมสำมำรถในกำรรู้จักและเข้ำใจตนเอง สร้ำงขวญั และกำลงั ใจให้ ตนเองได้ มีควำมมงุ่ ม่นั ในกำรไปสู่เป้ำหมำยในชวี ิต มวี ิธีกำรแกป้ ัญหำทเ่ี หมำะสม 3) ควำมสขุ หมำยถงึ มกี ำรจงู ใจในตนเอง เหน็ คุณค่ำและเชอ่ื ม่ันในตนเอง มคี วำม พงึ พอใจในชีวติ และกำรทำงำนตลอดจนกำรมองโลกในแง่ดี 4.4 การพฒั นาตนเองและทมี งานใหม้ ปี ระสิทธภิ าพ กำรพฒั นำตนเองและทมี งำนให้มีประสิทธภิ ำพ มีแนวทำงต่อไปน้ี 1) กำรสำรวจงำน คือ กำรหำขอ้ มูลวำ่ งำนทีต่ ้องทำมีลกั ษณะอยำ่ งไร มอี งคป์ ระกอบอะไรบ้ำง มีควำมสัมพนั ธเ์ กี่ยวข้องกบั หน่วยงำนใด

2) สร้ำงทศั นคติท่ีดีต่อกำรทำงำน เชน่ สร้ำงแรงจงู ใจให้กบั ตนเอง มคี วำมมงุ่ มน่ั ในกำรฝ่ำ ฟนั อปุ สรรคและควำมยำกของงำน 3) สร้ำงองคค์ วำมร้ใู นกำรทำงำน หมำยถึง ศึกษำวชิ ำกำร หลกั กำรและแนวคดิ รวมถงึ ข้นั ตอนและวิธกี ำรปฏิบัตงิ ำน เพรำะกำรทำงำนอยำ่ งมีประสิทธภิ ำพนั้นต้องใชค้ วำมรู้เปน็ พ้ืนฐำนในกำรทำงำน และกำรพัฒนำงำน 4) ต้องกลำ้ เผชญิ ปัญหำ กำรกล้ำเผชิญปญั หำทำใหผ้ ู้ปฏิบตั งิ ำนมีสติ มีกำลงั ใจ ที่ จะแกป้ ัญหำท่เี กิดขึน้ จำกกำรทำงำนใหห้ มดไป อีกทัง้ ยงั สำมำรถใชป้ ญั หำใหเ้ ป็นโอกำสของ กำร ปรับปรงุ ตนเอง หนว่ ยงำนหรอื วิธกี ำรทำงำน 5) ต้องมกี ำรฝกึ ฝน ทำซำ้ ทบทวน จนกว่ำจะเกดิ ทักษะในกำรทำงำน ซึง่ มีผลทำให้กำร ปฏบิ ตั งิ ำนรวดเรว็ และมปี ระสิทธภิ ำพ 6) มีจินตนำกำรและมคี วำมคิดรเิ รม่ิ ทำใหผ้ ู้ปฏิบตั ิงำนเกดิ ควำมคำดหวงั หรอื มองเหน็ ภำพผลงำนในอนำคต ซงึ่ มสี ว่ นร่วมสร้ำงควำมมน่ั ใจ ซงึ่ ส่งผลไปถงึ ประสิทธิภำพของ กำร ทำงำนและกำรบรรลุเปำ้ หมำยขององคก์ ร 7) กำรพฒั นำกำรทำงำนเปน็ ทีม มีกำรสรำ้ งทีมงำนทมี่ ปี ระสทิ ธภิ ำพ สมำชิก ทุก คนมีควำมผูกพันทจี่ ะทำงำนรว่ มกัน มีกำรประสำนงำนกนั เป็นอย่ำงดี มีกระบวนกำรแกป้ ัญหำและกำรตัดสนิ ใจ เป็นทีมโดยรบั ผดิ ชอบตอ่ ผลท่ีเกิดขนึ้ รว่ มกัน 4.5 การสร้างแรงจูงใจเพอ่ื ตนเองและองคก์ าร แรงจงู ใจ หมำยถึง แรงผลกั ดนั ภำยในบคุ คลอนั เกดิ จำกกลไกภำยในรำ่ งกำยท่ีได้รบั กำร กระตนุ้ จนกลำยเป็นเหตจุ งู ใจใหบ้ ุคคลแสดงพฤติกรรมออกมำโดยมุ่งไปสู่เป้ำหมำย แรงจูงใจมีอิทธพิ ลต่อ คุณภำพและปรมิ ำณของงำน กำรสรำ้ งแรงจงู ใจในกำรปฏิบตั ิงำนตอ้ งสอดคล้องกบั หลกั กำรดงั น้ี 1) มกี ำรกำหนดเปำ้ หมำยชัดเจน มีเกณฑ์กำรเสริมแรงทม่ี ีเกณฑ์จดั อยำ่ งยุตธิ รรม เชน่ เปน็ ตำแหนง่ หน้ำท่ี เงิน หรอื กำรได้รบั กำรยกยอ่ งในสังคม 2) ผลตอบแทนหรอื รำงวลั ต้องสอดคล้องกับควำมสำเร็จในกำรปฏิบัตงิ ำนเทำ่ นน้ั คือบรรลุ เปำ้ หมำยใหผ้ ลตอบแทนมำก 3) ผลตอบแทนคอื รำงวัลท่ีให้ต้องเป็นส่ิงทม่ี ีควำมสำคัญตอ่ พนกั งำน หัวหน้ำงำนต้องรจู้ กั พนกั งำนแต่ละคนเป็นอยำ่ งดี 4) พนกั งำนมีควำมเช่อื ถอื ในข้อตกลงทีก่ ำหนดกนั และทุกฝำ่ ยรกั ษำสญั ญำท่ีให้ไวต้ อ่ กนั จติ วทิ ยำในกำรทำงำนจะมีอิทธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมในกำรทำงำนและผลงำนของบุคคลอันส่งผล ต่อประสทิ ธิภำพในกำรทำงำน และส่งผลให้บคุ คลในองค์กำรมีควำมสุขในกำรทำงำน

หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 2 ใบเน้อื หาที่ 2.2 ความปลอดภยั และอาชีวอนามยั ในการทางาน คำว่ำ “อำชีวอนำมยั ” ตรงกบั ภำษำองั กฤษว่ำ “Occupational Health” โดยมีรำกฐำนมำจำกคำสอง คำผสมผสำนกนั คือ อาชีวะ (Occupational) หรืออาชพี หมำยถึงบคุ คลทป่ี ระกอบอำชพี กำรงำน กับ อนามัย (Health) หรอื สขุ ภำพอนำมยั ตำมควำมหมำยที่องคก์ ำรอนำมยั โลก (WHO) ให้คำจำกดั ควำมไว้ หมำยถงึ สภำวะทีส่ มบูรณ์ท้ังร่ำงกำย (Physical Health) ทำงจติ ใจ (Mental Health) และสำมำรถดำรงชพี อยูใ่ นสังคมได้ด้วยดี (Social well – being) สำหรับคำว่ำ“ควำมปลอดภยั ” (Safety) หมำยถงึ สภำพที่ ปรำศจำกภัยคกุ คำม (Hazard) ไม่มอี ันตรำย (Danger) และควำมเสีย่ งใดๆ (Risk) ลักษณะงานความปลอดภัยและอาชวี อนามัยในการทางาน คณะกรรมกำรร่วมระหวำ่ งองค์กำรแรงงำนระหวำ่ งประเทศ (International Labour Organization; ILO) และองคก์ ำรอนำมัยโลก (World Health Organization; WHO) ไดก้ ำหนดจุดมุง่ หมำยหรือวัตถุประสงค์ ของงำนควำมปลอดภยั และอำชีวอนำมัยไวด้ ังน้ี คือ 1. กำรส่งเสริมและดำรงไว้ (Promotion and Maintenance) ซ่ึงควำมสมบูรณท์ ่ีสุดของสุขภำพ ร่ำงกำย จิตใจ และควำมเปน็ อยู่ที่ดขี องผู้ประกอบอำชพี ในทุกอำชีพ 2. กำรปอ้ งกัน (Prevention) ไม่ใหผ้ ูป้ ระกอบอำชีพมีสุขภำพอนำมยั เส่อื มโทรมหรอื ผดิ ปกติ อนั มี สำเหตมุ ำจำกสภำพหรอื สภำวะในกำรทำงำนต่ำงๆ 3. กำรป้องกนั ค้มุ ครอง (Protection) ผู้ประกอบอำชพี ไม่ให้ทำงำนท่เี สีย่ งอนั ตรำย ซงึ่ จะทำใหเ้ กิด อันตรำยต่อสขุ ภำพข้ึนได้ 4. กำรจดั งำน (Placing) ใหผ้ ปู้ ระกอบอำชีพไดท้ ำงำนในสภำพแวดล้อมท่เี หมำะสมกับควำมสำมำรถ ของร่ำงกำยและจิตใจของเขำ 5. กำรปรบั (Adaptation) งำนใหเ้ หมำะสมกับคน และกำรปรับคนใหเ้ หมำะสมกับสภำพกำรทำงำน ขอบเขตของงานความปลอดภัยและอาชีวอนามยั ในการทางาน กำรดำเนนิ งำนควำมปลอดภัยและอำชีวอนำมยั จะมีขอบเขตทเี่ ก่ยี วขอ้ งเฉพำะปัญหำสุขภำพอนำมยั (Health problems) ของคนทเ่ี กดิ จำกกำรทำงำน ดงั นี้ 1. คนในขณะทำงำน (Workers) ผู้ทป่ี ฏบิ ัติงำนอำชีพต่ำงๆ จะได้รับกำรดูแลสขุ ภำพอนำมัย กำรคน้ หำ โรคและอนั ตรำยท่เี กิดขนึ้ ที่เปน็ ผลมำจำกกำรทำงำน กำรส่งเสรมิ สขุ ภำพอนำมยั กำรปอ้ งกนั โรค อันตรำยและอุบัตเิ หตุทีอ่ ำจเกิดจำกกำรทำงำน 2. สภำพสง่ิ แวดลอ้ มของกำรทำงำน (Working Environment) เป็นกำรศกึ ษำสภำพแวดลอ้ มของงำน แต่ละประเภทว่ำมสี ิ่งใดท่ที ำใหเ้ กดิ อนั ตรำยและมผี ลกระทบต่อสุขภำพอย่ำงไร กำรศึกษำสภำพแวดลอ้ มในกำรทำงำนโดยใชห้ ลักกำรทำงอำชีวสุขศำสตร์ (Occupational Hygiene) มี 3 หลกั กำร คือ 1. กำรสบื คน้ (Identify) โดยศึกษำสภำพแทจ้ รงิ ของงำน เพือ่ ค้นหำปัญหำวำ่ ในงำนนน้ั ๆ มสี ่ิงใดบ้ำง ทเี่ ป็นอันตรำยตอ่ สุขภำพของคนงำน เชน่ อันตรำยจำกส่ิงแวดล้อมทำงดำ้ นกำยภำพ อันตรำยจำกสำรเคมี อันตรำยทำงดำ้ นชวี ภำพ และปญั หำทำงด้ำนกำยภำพ

2. กำรประเมินอันตรำย (Evaluation) เมื่อทรำบปญั หำจะตอ้ งมกี ำรประเมินระดบั อันตรำยท่ีอำจ เกดิ ขึน้ ว่ำมผี ลตอ่ สขุ ภำพคนงำนหรอื ไมแ่ ละมำกนอ้ ยเพียงใด ซ่ึงสำมำรถกระทำไดโ้ ดยกำรตรวจสอบ กำร ตรวจวดั หรือกำรวิเครำะหป์ ญั หำ โดยนำคำ่ ทไ่ี ด้มำเปรยี บเทียบกบั คำ่ มำตรฐำนที่มีกำรกำหนดไว้ 3. กำรควบคุม (Control) เป็นงำนที่ตอ่ เนื่องจำกสองข้ันตอนข้ำงตน้ เมื่อทรำบวำ่ งำนนน้ั มี สิง่ ใดที่เป็น อันตรำยหรือมีผลตอ่ สุขภำพ และควำมรุนแรงของอันตรำยแลว้ จะนำมำสกู่ ำรดำเนินกำรควบคมุ และปอ้ งกัน อนั ตรำย โดยกำรใชม้ ำตรกำร วิธีกำรท่เี หมำะสมและมีประสทิ ธภิ ำพในกำรควบคมุ อนั ตรำยดังกลำ่ ว องค์กรภายในสถานประกอบการ ภำยในโรงงำนแตล่ ะแหง่ จะมีองค์กรทรี่ ับผิดชอบงำนควำมปลอดภัยและอำชวี อนำมัยที่สำคญั 2 องคก์ ร ดังนี้ 1. คณะกรรมกำรควำมปลอดภัย อำชีวอนำมัยและสภำพแวดลอ้ มในกำรทำงำน เป็นคณะกรรมกำรที่ กฎหมำยแรงงำนกำหนดใหม้ ีกำรแตง่ ต้งั ข้นึ ในสถำนประกอบกำรที่ระบุไว้และมลี กู จำ้ งตงั้ แต่ 50 คนข้ึนไป คณะกรรมกำรชุดนจ้ี ะประกอบดว้ ยตัวแทนลูกจำ้ ง มำทำงำนในรูปแบบ ทวิภำคีเพ่ือสร้ำงควำมปลอดภยั ในกำร ทำงำน โดยมีองค์ประกอบและสดั สว่ น ดังน้ี ตารางที่ 2 ขนำดสถำนประกอบกำรทอ่ี ย่ใู นขำ่ ยบงั คบั ใหม้ ีเจำ้ หนำ้ ท่ีควำมปลอดภัยในกำรทำงำนในระดับต่ำง ๆ จำนวนลกู จ้ำง เจ้ำหน้ำท่ีควำมปลอดภัยในกำรทำงำน ระดับบริหำร ระดับวิชำชีพ (คน) ระดับพน้ื ฐำน ระดบั หวั หนำ้ งำน ✔ ✔ 1 - 49 ✔ ✔✔ 50 ข้นึ ไป ✔ 2. งำนอำชีวอนำมยั และควำมปลอดภยั ในกำรทำงำน ในโรงงำนขนำดใหญ่ จะมี “ฝ่ำยอำชวี อนำมัย และควำมปลอดภยั ” รับผดิ ชอบงำนดำ้ นน้ี โดยตรง สว่ นใหญน่ ิยมเรียกเปน็ “ฝำ่ ยควำมปลอดภยั และส่งิ แวดลอ้ ม” โรงงำนขนำดกลำง สว่ นใหญจ่ ะ มอบหมำยให้ ฝำ่ ยทรพั ยำกรมนษุ ย์หรอื ฝ่ำยบคุ คลเป็นผู้ดูแลงำน

ความเปน็ มาของกฎหมายดา้ นความปลอดภยั และอาชีวอนามยั ในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2507 เกดิ ปัญหำด้ำนควำมปลอดภัยที่มีส่วนสำคญั ใหเ้ กิดกำรผลักดันกฎหมำยด้ำน อำชีวอ นำมยั คอื ลกู จ้ำงของโรงงำนผลติ ถ่ำนไฟฉำยแหง่ หน่งึ ไดม้ ำรอ้ งเรยี นต่อกองแรงงำน ซึง่ ในขณะน้ันอยใู่ นสงั กัด กรมประชำสงเครำะห์ เกยี่ วกับอำกำรอ่อนเพลยี หนำ้ มืด ปวดหลงั มอื เท้ำชำจำกกำรตรวจสอบโรงงำนพบวำ่ โรงงำนแหง่ น้ีมีคนงำน 500 คน ลกู จ้ำงที่เจ็บปว่ ยทม่ี ำร้องเรียนน้ันทำงำนในแผนกหอ้ งแร่ ได้รับแมงกำนีสเขำ้ สู่ ร่ำงกำยเนอื่ งจำกไมม่ ีมำตรกำรและเครื่องป้องกันฝนุ่ ละออง ลกู จ้ำงต้องสมั ผัสแมงกำนสี อยู่เปน็ ประจำ จึงเกิด อำกำรปว่ ยดงั กลำ่ ว หลังจำกมีกำรศึกษำเพ่ิมเตมิ และพบปญั หำโรคจำกกำรทำงำนทเี่ กิดจำกกำรใชส้ ำรเคมี ต่ำงๆ อีกในปี พ.ศ. 2510 จงึ มีกำรออกพระรำชบญั ญตั วิ ตั ถุมีพิษ เปน็ ฉบับแรก และออกฉบับที่ 2 ตำมมำใน พ.ศ. 2516 ในสว่ นของกระทรวงมหำดไทย ไดอ้ ำศยั อำนำจตำมประกำศของคณะปฏวิ ัติ ฉบับที่ 103 ลงวนั ที่ 16 มีนำคม พ.ศ. 2515 ออกประกำศกระทรวงมหำดไทย เพอื่ กำหนดสวัสดกิ ำรเกี่ยวกบั สุขภำพอนำมยั และ ควำมปลอดภยั สำหรบั ลูกจำ้ ง โดยมหี ลักกำรและสำระสำคญั กำ้ วหน้ำเทียบเท่ำมำตรฐำนสำกล มีด้วยกนั หลำย ฉบบั ทยอยออกมำตั้งแต่ ปพี .ศ. 2519 – 2534 ซ่งึ ในปัจจุบันยังคงบังคบั ใช้อยทู่ ั้งสนิ้ 5 ฉบับ กล่ำวคอื ตั้งแต่ แผนพฒั นำเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชำตฉิ บับที่ 2 เปน็ ต้นมำ รฐั บำลไดพ้ ยำยำมออกกฎหมำยดำ้ นควำม ปลอดภยั และอำชีวอนำมยั มำโดยตลอด จนถึงขณะนี้ หำกพจิ ำรณำรำยช่ือกฎหมำยที่เกี่ยวข้อง จะพบว่ำมี กฎหมำยท่บี งั คับใช้อยู่มำกมำยหลำยฉบบั รวมท้ังกฎหมำยลกู เชน่ กฎกระทรวงและประกำศกระทรวงที่ ประกำศใชเ้ พิม่ เตมิ และกฎหมำยเหล่ำนี้อยู่ภำยใต้กำรดแู ลของหนว่ ยงำนภำครัฐและหน่วยงำนรำชกำรส่วน ท้องถิน่ ปัญหางานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามยั ในการทางาน 1. ปัญหำด้ำนจิตใจ 2. ปญั หำด้ำนสงั คม 3. ปญั หำด้ำนสขุ ภำพร่ำงกำย 4. ปญั หำควำมยำกจน 5. ปญั หำกำรวำ่ งงำน และสภำพควำมเป็นอยู่ อันตรายจากสภาพแวดลอ้ มในการทางาน อันตรำยจำกสภำพแวดลอ้ มในกำรทำงำน แบ่งได้ 4 ดำ้ น ดังนี้ 1. อนั ตรำยจำกสภำพแวดลอ้ มทำงเคมี (Chemical Environmental Hazards) เกิดจำกกำรนำ สำรเคมมี ำใช้ในกำรทำงำน หรอื มีสำรเคมีทเ่ี ป็นอันตรำยเกดิ ข้นึ จำกกระบวนกำรผลติ รวมทั้งวัตถุพลอยไดจ้ ำก กำรผลิต 2. อนั ตรำยจำกสภำพแวดล้อมทำงกำยภำพ (Physical Environmental Hazards) สิ่งแวดล้อมทำง กำยภำพท่กี อ่ ใหเ้ กิดอนั ตรำยตอ่ ผ้ปู ระกอบอำชพี น้ัน จะอยใู่ นลกั ษณะของกำรได้รับหรอื สมั ผัสกับ สภำพแวดลอ้ มในลกั ษณะท่ีไมพ่ อดีหรือผิดจำกปกติธรรมดำ 3. อนั ตรำยจำกสภำพแวดลอ้ มทำงชีวภำพ (Biological Environmental Hazards) เกิดจำกกำร ทำงำนทต่ี อ้ งเสี่ยงตอ่ กำรสมั ผัสและได้รบั อันตรำยจำกสำรทำงด้ำนชวี ภำพ (Biohazardous Agents) แล้ว สำรชวี ภำพนัน้ ทำใหเ้ กิดควำมผิดปกตขิ องรำ่ งกำย หรอื มีอำกำรเจบ็ ป่วยเกิดขนึ้ 4. อนั ตรำยจำกสภำพแวดล้อมทำงด้ำนกำยศำสตร์ (Ergonomics) เปน็ อันตรำยทเ่ี กดิ จำกกำรใช้ ท่ำทำงทำงำนทไ่ี มเ่ หมำะสม วธิ ีกำรปฏบิ ตั ิงำนท่ีไมถ่ กู ต้อง กำรปฏิบัติงำนทซ่ี ำ้ ซำก และควำม ไมส่ ัมพนั ธ์กนั ระหวำ่ งคนกบั งำนที่ทำ

การวิเคราะห์อันตรายและความเสยี่ ง กำรวิเครำะหอ์ ันตรำย หมำยถงึ กำรแจกแจงอันตรำยตำ่ งๆ ทีม่ ีอย่แู ละท่ีแอบแฝง หรือสภำพกำรณ์ ต่ำงๆ ทเี่ ปน็ สำเหตุหรืออำจทำให้เกิดอันตรำย กอ่ ให้เกิดอบุ ัติเหตุ ควำมเสีย่ ง หมำยถึง กระบวนกำรวเิ ครำะห์ถงึ ปจั จัยท่เี ปน็ สำเหตุทำใหเ้ กดิ อนั ตรำย หรอื ผลของ อันตรำยทีอ่ ำจเกดิ ขนึ้ กบั โอกำสในกำรเกิดอนั ตรำยนัน้ การสอบสวนอบุ ัติเหตุ กำรสอบสวนอุบตั เิ หตุ หมำยถงึ กำรนำผลของกำรสอบสวนหำสำเหตุท่ที ำให้เกดิ อุบัตเิ หตุ มำ ดำเนนิ กำรเปน็ มำตรกำรปรับปรงุ แก้ไข สำหรับโรงงำนท่มี ลี ักษณะกิจกำรใกล้เคียงกนั กำหนดมำตรกำรป้องกนั เพิม่ เติมทอ่ี ำจกอ่ ใหเ้ กดิ อบุ ัตเิ หตุเช่นเดียวกนั อีก ปรับปรงุ พฒั นำทำงเทคโนโลยแี ละวิศวกรรมที่ทำให้ปลอดภัย มำกขึ้น การฝกึ อบรมให้มวี ิธกี ารปฏบิ ตั ิงานท่ีดี 1. สร้ำงมำตรฐำนกำรปฏบิ ตั ิงำนสำหรับกำรประกอบกจิ กำรบำงประเภททมี่ ีอตั รำกำรบำดเจ็บสงู 2. สรำ้ งจิตสำนึกและควำมตระหนักใหค้ ำนงึ ถึงควำมปลอดภยั ในกำรทำงำน 3. กระตุน้ เตือนให้มีกำรปรบั ปรงุ กำรทำงำนทม่ี ีควำมปลอดภัยยิ่งขึน้ การบงั คับใช้กฎหมาย 1. มีกำรตรวจสอบโรงงำนเปน็ ประจำ เก่ียวกบั เรอ่ื งท่ตี อ้ งปฏบิ ัติตำมกฎหมำย เช่น สภำพ อำคำร รำวก้ัน 2. ดำเนนิ กำรใหม้ กี ำรตรวจทดสอบตำมที่กฎหมำยกำหนด เช่น ระบบไฟฟ้ำ หมอ้ น้ำ ภำชนะรบั แรงดัน 3. มีบุคลำกรที่มีควำมร้เู ฉพำะด้ำนตำมที่กฎหมำยกำหนด เช่น ผคู้ วบคมุ หม้อน้ำ ผคู้ วบคมุ สำร กัมมนั ตรงั สีและนักวิทยำศำสตร์ อุบตั เิ หตุจากการทางาน (Occupational Accident) อุบัติเหตุจำกกำรทำงำน หมำยถงึ อบุ ัตเิ หตทุ ี่เกิดข้ึนในภำวะกำรจ้ำงงำน ก่อใหเ้ กดิ ควำมสญู เสียต่อชีวติ คน เคร่ืองจักร สิ่งของ ในเวลำทันทีทันใด ช่วงเวลำถัดไปในสถำนทท่ี ำงำน หรือนอกสถำนท่ีทำงำน สาเหตุการเกดิ อุบัตเิ หตุ H.W. Heinrich กลำ่ ววำ่ สำเหตขุ องกำรเกดิ อบุ ตั ิเหตุ มี 3 ประกำร คือ 1. สำเหตุจำกคน (Human Causes) มีจำนวนถึง 88 % 2. สำเหตจุ ำกควำมผดิ พลำดของเครอ่ื งจกั ร (Mechanical Failure) มีจำนวนถงึ 10 % 3. สำเหตุท่เี กดิ จำกดวงชะตำ (Act of God) มีเพียง 2 %

สรปุ สาเหตกุ ารเกิดอุบัตเิ หตุ ทสี่ ำคัญมี 2 ประกำร คอื 1. กำรกระทำที่ไมป่ ลอดภยั (Unsafe Act) เปน็ สำเหตใุ หญ่ คดิ จำนวนเป็น 85 % ของกำรเกิดอบุ ัติเหตุ ทั้งหมด 2. สภำพกำรณท์ ไ่ี มป่ ลอดภัย (Unsafe Condition) เป็นสำเหตรุ อง คดิ จำนวนเป็น 15% ของกำรเกิด อบุ ัติเหตุท้งั หมด การกระทาที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Act) หมำยถึง กำรกระทำหรือกำรปฏิบตั ิงำนของคนทมี่ ผี ลทำใหเ้ กดิ ควำม ไม่ปลอดภัยกับตนเองและผ้อู ่ืน เชน่ 1. กำรทำงำนไมถ่ กู วิธี หรือไม่ถกู ขัน้ ตอน เช่น ยกของดว้ ยท่ำทำงทผี่ ิด 2. ควำมประมำท พลัง้ เผลอ เหมอ่ ลอย 3. ถอดเครื่องกำบงั เคร่ืองจกั ร 4. ใชเ้ ครอ่ื งมอื ไม่เหมำะสมกับงำน 5. กำรไมป่ ฏิบตั ิตำมกฎระเบยี บ 6. กำรมีทัศนคตทิ ่ไี ม่ถกู ต้อง เช่น อบุ ัตภิ ัยเปน็ เรื่องของเครำะหก์ รรมแกไ้ ขปอ้ งกนั ไมไ่ ด้ 7. กำรทำงำนโดยทรี่ ำ่ งกำยและจิตใจไมพ่ ร้อมหรือผิดปกติ เช่น ไม่สบำย มึนเมำ มปี ัญหำครอบครวั ทะเลำะวิวำท เป็นตน้ 8. กำรใช้เคร่อื งมือหรอื อปุ กรณ์ตำ่ งๆ ไม่เหมำะสมกับงำน เชน่ กำรใช้ขวดแก้วตอกตะปูแทนกำรใช้ ค้อน สภาพงานทไี่ มป่ ลอดภัย (Unsafe Condition) 1. สภำพงำนท่ีไมป่ ลอดภยั หมำยถึง สภำพของโรงงำนอตุ สำหกรรม เครื่องจักร กระบวนกำรผลิต เคร่ืองยนต์ อุปกรณ์ในกำรผลติ ไม่มคี วำมปลอดภัยเพียงพอ 2. กำรออกแบบโรงงำน แผนผงั โรงงำน 3. ระบบควำมปลอดภยั ไม่มีประสทิ ธิภำพ ไมม่ ีอปุ กรณด์ ำ้ นควำมปลอดภยั ส่วนทเี่ ป็นอนั ตรำย (สว่ นท่ี เคลือ่ นไหว) ของเครื่องจกั รไมม่ เี ครือ่ งกำบังหรืออปุ กรณป์ ้องกันอันตรำย 4. เครือ่ งจักรกล เคร่อื งมอื หรอื อุปกรณ์ชำรุดบกพร่อง ขำดกำรซ่อมแซมหรือบำรงุ รักษำอย่ำง เหมำะสม 5. สภำพแวดลอ้ มในกำรทำงำนไมเ่ หมำะสม เชน่ แสงสว่ำงไม่เพียงพอ เสียงดังเกินควร ควำมรอ้ นสูง ฝุ่นละออง ไอระเหยของสำรเคมีทีเ่ ป็นพษิ เป็นตน้ การสูญเสียเน่อื งจากการเกดิ อบุ ตั ิเหตุ 1. กำรสญู เสยี โดยทำงตรง เป็นกำรสญู เสียที่คิดเปน็ เงินท่ตี อ้ งจำ่ ยโดยตรง 2. กำรสญู เสยี โดยทำงออ้ ม เป็นกำรสญู เสยี ท่ีแฝงอยู่ ไม่ปรำกฏเดน่ ชัด การปอ้ งกนั และควบคมุ อบุ ตั เิ หตุจากการทางาน 1. กำรจัดกำรด้ำนบรหิ ำร (Management) 2. กำรจัดกำรด้ำนสถำนทีท่ ำงำน (Workplace) 3. กำรจดั กำรดำ้ นพนกั งำนหรือลกู จ้ำง (Employee) การคานวณสถติ อิ ุบัตเิ หตุ อัตรำควำมถใี่ นกำรเกดิ อุบัตเิ หตุ (IFR) = (จำนวนคนที่บำดเจ็บ x จำนวนชัว่ โมงกำรทำงำน เปรียบเทยี บ)/จำนวนช่ัวโมงกำรทำงำนท้งั หมด

อตั รำควำมรนุ แรงในกำรเกดิ อบุ ตั ิเหตุ (ISR) = (จำนวนวนั ที่บำดเจ็บ x จำนวนช่วั โมงกำรทำงำน เปรยี บเทยี บ)/จำนวนชั่วโมงกำรทำงำนทั้งหมด จำนวนชั่วโมงกำรทำงำนท้ังหมด = จำนวนคนงำน x จำนวนชัว่ โมงกำรทำงำน x 1 ปี (52 สปั ดำห์) ANSI = 1,000,000 ชั่วโมงกำรทำงำน OSHA = 200,000 ชว่ั โมงกำรทำงำน HSE = 100,000 ชว่ั โมงกำรทำงำน หลกั การทวั่ ไปในการควบคุมและปอ้ งกันอันตราย หลกั กำรทั่วไปในกำรควบคุมอันตรำยจำกกำรทำงำน มี 3 วธิ หี ลกั คือ 1. ควบคมุ ท่ีต้นตอหรือแหลง่ กำเนดิ (Source) 2. ควบคมุ ที่ทำงผำ่ น (Path) 3. ควบคมุ ที่ตัวบคุ คล (Reciever) หลักการควบคมุ ปอ้ งกันอนั ตรายจากการประกอบอาชพี ด้านบคุ คล โดยวธิ ีการจัดการ และโดยวธิ ีการด้าน การแพทย์ โดยวธิ ีการจดั การ อันตรำยจำกกำรประกอบอำชีพดำ้ นบคุ คล 1. จัดให้มีกำรปฐมนเิ ทศ 2. ให้ควำมรดู้ ำ้ นสุขศกึ ษำและสวัสดิศึกษำ 3. สับเปลีย่ นหมุนเวยี นคนงำน 4. คดั เลือกคนใหเ้ หมำะสมกบั งำน 5. จดั หำอปุ กรณ์ปอ้ งกนั อันตรำยส่วนบคุ คล โดยวธิ ีการดา้ นการแพทย์ อันตรำยจำกกำรประกอบอำชพี ด้ำนบุคคล โดยจัดใหม้ กี ำรตรวจสุขภำพเป็น ประจำ 1. ก่อนเขำ้ ทำงำน 2. ประจำทุกปี 3. พิเศษเฉพำะกลมุ่ 4. กลุ่มทเี่ สีย่ งต่ออนั ตรำยมำก (ตรวจบ่อยกวำ่ กลมุ่ อน่ื ) 5. ตรวจรกั ษำเมอื่ เจบ็ ป่วย (ฟ้ืนฟสู มรรถภำพกำรทำงำน) กฎหมายทีเ่ ก่ยี วข้องและการประเมินการสญู เสียสมรรถภาพจากการทางาน กฎหมายที่เก่ียวข้อง 1. พรบ. แรงงำน พ.ศ. 2499 2. ประกำศกระทรวงมหำดไทย พ.ศ. 2515 3. พรบ. คมุ้ ครองแรงงำน พ.ศ. 2541 หลักเกณฑก์ ารวนิ ิจฉัย และการประเมนิ การสญู เสียสมรรถภาพของผู้ป่วยหรอื บาดเจ็บด้วยโรคจากการ ทางาน ใหน้ ำยจ้ำงจดั ใหม้ ีกำรตรวจร่ำงกำยลกู จ้ำงตำมหลกั เกณฑแ์ ละวิธที ี่กำหนดในกฎกระทรวง อย่ำงนอ้ ย ปลี ะ 1 ครงั้ โดยแพทย์แผนปจั จุบันช้ันหน่ึงซ่งึ นำยจำ้ งเป็นผูอ้ อกค่ำใช้จำ่ ย ให้มีกำรเกบ็ รกั ษำผลกำรตรวจไว้ อยำ่ งนอ้ ย 2 ปี งำนเกีย่ วกับสำรเคมอี ันตรำย ต้องรำยงำนผลกำรตรวจภำยใน 30 วันนับแตว่ นั ทท่ี รำบผล

1. มีหลักฐำนทำงกำรแพทยแ์ สดงกำรเจ็บป่วย ประกอบด้วย เวชระเบียน ผลและรำยงำนกำรชนั สตู ร ต่ำง ๆ ท่เี กย่ี วกับโรค ใบรับรองแพทย์ ควำมเห็นของแพทยผ์ เู้ ช่ยี วชำญ กำรวินจิ ฉัยดว้ ยกำรรกั ษำทำงกำรแพทย์ พสิ ูจนส์ ำเหตขุ องโรค อำกำรป่วยบำงระยะสมั พนั ธ์กับกำรสมั ผสั สิง่ แวดลอ้ มทีม่ ปี ัจจัยคุกคำมในพน้ื ท่ีสงสยั อำกำรป่วยบำงระยะเปลย่ี นแปลงไปในทำงทดี่ ขี น้ึ เมอ่ื เว้นจำกส่งิ แวดลอ้ มที่เป็นปัจจยั คกุ คำม มีผูป้ ่วยในกล่มุ ผู้ สัมผสั ลักษณะเดียวกันมำกกวำ่ 1 รำย หรอื มรี ำยงำนกำรสอบสวนทำงระบำดวทิ ยำสนับสนนุ สอดคล้องกับ กำรศึกษำ/รำยงำนในคนและสตั ว์ กอ่ นหนำ้ น้ี 2. หลกั เกณฑ์กำรวินจิ ฉยั โรค ใหอ้ ้ำงอิงเอกสำรทำงกำรของ WHO, ILO และ เกณฑ์สำกลขององคก์ ร ต่ำงประเทศท่เี ป็นทย่ี อมรับและเอกสำรตอ้ งเปน็ ฉบบั ปัจจุบัน กำรประเมนิ กำรสูญเสียสมรรถภำพใหใ้ ช้ “คมู่ อื กำหนดแนวทำงกำรประเมนิ กำรสญู เสยี สมรรถภำพ ทำงกำยและจิต”ของคณะกรรมกำรท่ีปรึกษำพนกั งำนเงินทดแทน กรมแรงงำน พ.ศ. 2525 หรือจนกว่ำจะมี ฉบับใหม่ หรือเกณฑ์จำกต่ำงประเทศ การวนิ จิ ฉยั โรคจากการประกอบอาชีพ หลกั ฐานประกอบการวินิจฉยั โรคจากการทางาน 1. หลักฐำนประวตั ขิ องผปู้ ่วย 2. หลักฐำนผลกำรตรวจสขุ ภำพจำกแพทย์ 3. ปจั จยั เส่ียง 4. ข้อมลู ทำงระบำดวทิ ยำ หำข้อมลู ท่ีสนบั สนนุ วำ่ มคี วำมสมั พันธ์ระหว่ำงกำรเกิดโรคกบั กำรได้รบั สำร จำกกำรทำงำน เชน่ วิเครำะห์อัตรำควำมถี่ของกำรเจ็บป่วย และอัตรำกำรตำยของกลมุ่ คนงำนทเี่ กีย่ วขอ้ ง ศกึ ษำ รำยงำนกำรเกดิ โรคในสถำนประกอบกำรประเภทเดียวกันท้งั ในประเทศและต่ำงประเทศ 5. กำรหำปัจจยั เสยี่ งร่วมหรอื ปจั จัยซอ่ นเร้นทีท่ ำให้เกิดโรค มีปัจจยั ร่วมหรือสำเหตุอืน่ ท่ไี ม่เก่ยี วข้องกับ กำรทำงำน แต่เปน็ สว่ นส่งเสริมท่ที ำใหเ้ กิดโรคได้ การป้องกนั โรคจากการทางาน 1. กำรสำรวจปัจจยั ท่ีอำจก่อให้เกิดโรคจำกกำรทำงำน 2. กำรตรวจสขุ ภำพคนงำน เมอ่ื แรกรับเข้ำทำงำน 3. กำรจัดอุปกรณค์ มุ้ ครองควำมปลอดภยั สว่ นบุคคลให้สวมใส่ขณะทำงำน 4. กำรฝกึ อบรมดำ้ นกำรดแู ลสุขภำพอนำมยั ตนเองของคนงำน 5. กำรใหภ้ ูมิคุ้มกนั โรคจำกกำรทำงำน และกำรจดั สวสั ดิกำรเพ่อื สุขภำพคนงำน กจิ กรรมในระยะก่อนปรากฏอาการของโรค 1. กำรเฝ้ำระวังโรคจำกกำรทำงำน 2. กำรตรวจสุขภำพคนงำนเปน็ ระยะอย่ำงต่อเนอ่ื ง 3. กำรเฝำ้ ระวังสิง่ แวดล้อมในกำรทำงำน 4. กำรสบั เปลย่ี นงำนใหค้ นงำน กิจกรรมท่ตี อ้ งปฏบิ ตั เิ มอ่ื มีอาการของโรคปรากฏ 1. กำรรักษำผปู้ ่วย 2. กำรคน้ หำสำเหตุของกำรเจ็บปว่ ย 3. กำรค้นหำสำเหตขุ องโรคจำกกำรทำงำน 4. กำรเก็บสถติ ิกำรเจ็บป่วย

กิจกรรมภายหลงั จากการบาบัดอาการโรค 1. กำรฟน้ื ฟสู มรรถภำพทำงกำยและจติ ใจ 2. กำรตรวจสุขภำพก่อนรบั กลบั เข้ำทำงำนและกำรจัดหำงำนที่เหมำะสมใหท้ ำ หลกั การปอ้ งกนั และควบคุมโรคจากการประกอบอาชพี สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท 1. กำรจัดบริกำรทำงกำรแพทยท์ เี่ กี่ยวข้องกับกำรค้นหำอนั ตรำยและกำรประเมินควำมเส่ยี งด้ำน สขุ ภำพของคนทำงำน 2. กิจกรรมที่ควบคุมปัจจยั สภำพกำรทำงำนและส่ิงแวดลอ้ มในกำรทำงำน ความหมาย ขอบเขต และความสาคญั ของการจัดบรกิ ารอาชีวอนามยั กำรบรกิ ำรอำชวี อนำมัย หมำยถึง กำรดำเนนิ กำรโดยหน่วยงำนทเ่ี กย่ี วขอ้ งเพือ่ ดูแลสขุ ภำพอนำมยั และควำมปลอดภยั ของผู้ปฏิบัติงำน ใหส้ ำมำรถปฏิบัติงำนได้อยำ่ งปลอดโรค ปลอดภัยมีสภำวะท่สี มบรู ณ์ทั้ง ทำงรำ่ งกำยและจิตใจ และสำมำรถปฏบิ ัติงำนไดอ้ ยำ่ งมปี ระสิทธิภำพและประสทิ ธิผล กำรบริกำรทจี่ ดั ขนึ้ ในสถำนประกอบกำรโดยมีจุดมุง่ หมำยท่จี ะสง่ เสริมและดำรงไวซ้ งึ่ สขุ ภำพอนำมัยท่ี ดขี องผปู้ ระกอบอำชพี รวมท้ังกำรควบคมุ โรคตลอดจนอนั ตรำย อนั เกดิ จำกอุปกรณ์และเครื่องจักรในกำร ปฏิบัติงำน ขอบเขตกำรบรกิ ำรอำชวี อนำมัยของ WHO และ ILO ประกอบด้วย 1. กำรส่งเสริมสุขภำพ และดำรงไวซ้ ่ึงควำมมสี ุขภำพดี 2. กำรป้องกันโรคอนั เน่ืองจำกกำรทำงำน 3. กำรปกป้องค้มุ ครองคนทำงำนหรือลูกจำ้ งไม่ใหท้ ำงำนทเี่ สี่ยงอันตรำย 4. จัดคนงำนให้ทำงำนในสิง่ แวดล้อมท่ีเหมำะสมกบั ควำมสำมำรถของรำ่ งกำย และจิตใจ 5. ปรบั งำนให้เหมำะสมกับคน และปรบั คนใหเ้ หมำะสมกบั สภำพกำรทำงำน องคป์ ระกอบของการจัดบริการอาชีวอนามัยในสถานประกอบการ 1. กฎหมำยเก่ียวกบั ควำมปลอดภยั และสุขภำพในกำรทำงำน 2. นโยบำยของสถำนประกอบกำร 3. ประเภทและขนำดของกจิ กำร 4. ข้อตกลงเกย่ี วกบั สภำพกำรจ้ำง แนวทางในการจัดบริการอาชีวอนามัย กำรจดั บรกิ ำรอำชวี อนำมยั ภำครัฐบำล ส่วนกลำง กำรออกกฎหมำย มำตรฐำนสิ่งแวดล้อมและควำม ปลอดภยั ในกำรทำงำน กำรตรวจตรำให้เป็นไปตำมกฎหมำย สนบั สนุนงบประมำณกำรศึกษำวจิ ยั และกำร ฝกึ อบรม ระดับภำคหรอื เขต สบื ค้นปัญหำ OHSE และบริกำรทำงหอ้ งปฏบิ ตั ิกำร รูปแบบองคก์ รในการจดั บรกิ ารความปลอดภัยและอาชวี อนามัย 1. รปู แบบอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ (Big Industry Model) เป็นรปู แบบของสถำนประกอบกำร ขนำดใหญ่จดั บริกำรเองใหบ้ รกิ ำรในสถำนประกอบกำร 2. รูปแบบใหบ้ รกิ ารแบบกลุม่ (Group Services Model) เปน็ รูปแบบกำรรวมตัวกันของสถำน ประกอบกำรขนำดกลำงและเล็ก

3. รปู แบบใหบ้ รกิ ารแบบสถานบริการเอกชน (Private Health Center Model) เอกชนจดั ขน้ึ และเสนอขำยบริกำรแก่สถำนประกอบกำร 4. รปู แบบให้บริการเวชกรรมชุมชน (Community Health Center Model) ให้บรกิ ำรโดย หน่วยงำนรฐั บำล เช่น เดียวกนั กบั งำนอนำมัยแม่และเดก็ งำนอนำมัยโรงเรียน 5. รปู แบบใหบ้ ริการอาชีวอนามยั ระดบั ชาติ (National Health Service Model) เหมือนกบั Big Industry Model แต่บุคลำกรและกำรบริหำรโดยภำครัฐ 6. รปู แบบใหบ้ รกิ ารจากการประกันสงั คม (Social Security Institution Model) เหมือนกับ Group Service Model แตจ่ ดั บรกิ ำรโดยสำนักงำนประกนั สังคม เปน็ ผูด้ ำเนินกำรและใหเ้ งนิ สนบั สนุน เช่น ประเทศตรุ กี และประเทศอิสรำเอล บทบาทและคณุ สมบตั ขิ องผู้ให้บรกิ ารความปลอดภัยและอาชีวอนามยั 1. เจำ้ หน้ำท่ีควำมปลอดภัยในกำรทำงำน 2. นักสขุ ศำสตรอ์ ุตสำหกรรม 3. แพทยอ์ ำชวี อนำมัย 4. พยำบำลอำชีวอนำมัย 5. วิศวกรควำมปลอดภัย 6. นกั พษิ วทิ ยำ 7. คณะกรรมกำรควำมปลอดภัยและอำชวี อนำมยั 8. สภำพแวดล้อมในกำรทำงำน การจัดการดา้ นสขุ ภาพอนามยั และสภาพแวดล้อมในการทางานทปี่ ลอดภยั 1. บริกำรดำ้ นสุขศำสตรอ์ ุตสำหกรรมในสถำนประกอบกำร 2. กำรปรบั ปรุงงำนใหเ้ หมำะสมกับผู้ปฏบิ ตั ิงำน การจัดบริการด้านความปลอดภัยในการทางาน 1. ควำมปลอดภัยของเครื่องจกั ร 2. กำรจดั หำอุปกรณ์ป้องกันอนั ตรำยสว่ นบคุ คล 3. กำรจัดให้มีกำรฝึกอบรมและสง่ เสริมควำมปลอดภยั 4. กำรทบทวนกำรบรหิ ำรงำนควำมปลอดภัย 5. ออกกฎระเบียบ ขอ้ บงั คบั ต่ำง ๆ 6. เกบ็ รวบรวมสถติ เิ กย่ี วกับกำรบำดเจ็บและเจบ็ ป่วย ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรอื่ ง กาหนดสวัสดิการเกี่ยวกบั สขุ ภาพอนามัยสาหรับลูกจ้าง การจดั สวัสดิการดา้ นการรักษาพยาบาล มีลูกจ้ำงทำงำนตง้ั แต่ 10 คนขน้ึ ไป ถ้ำมลี กู จ้ำงทำงำนในขณะเดียวกัน 200 คนข้ึนไป มลี กู จำ้ งทำงำนในขณะเดยี วกนั 1,000 คนข้ึนไป จานวนพยาบาลในสถานประกอบการ กรณลี ูกจำ้ ง 200 คน - 999 คน ตอ้ งจัดใหม้ พี ยำบำลประจำ 1 คน ตลอดเวลำทำงำนปกตไิ มน่ อ้ ยกว่ำ วันละ 8 ชม. หำกมลี กู จำ้ งเพม่ิ ให้มพี ยำบำลเพมิ่ 1 คน : ลกู จ้ำงที่เพม่ิ ข้ึนทกุ ๆ 1,000 คน กรณีลูกจำ้ ง 1,000 คนขึ้นไป ตอ้ งจดั ใหม้ ีพยำบำลประจำอย่ำงนอ้ ย 2 คน เวลำทำงำนปกติของแต่ละคน ไมน่ อ้ ยกว่ำวันละ 8 ชม.

จานวนแพทยใ์ นสถานประกอบการ กรณีลูกจำ้ ง 200 - 499 คน ต้องจัดใหม้ แี พทย์ประจำไมน่ อ้ ยกว่ำ 8 ชม./เดอื น กรณลี กู จ้ำง 500 – 999 คน ตอ้ งจัดให้มีแพทยป์ ระจำไม่นอ้ ยกว่ำ 4 ชม./สัปดำห์ กรณีลูกจ้ำง 1,000 คนขน้ึ ไป ต้องจัดให้มีแพทย์ ประจำ ไม่น้อยกว่ำ 6 ชม./สัปดำห์

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 ใบเนือ้ หาท่ี 2.3 ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง จรรยาบรรณวชิ าชพี สมั มาชีพ คุณธรรม จริยธรรม และ คณุ ลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ของนักศกึ ษาอาชีวศกึ ษา ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระบรมราโชวาท สู่พน้ื ฐานแหง่ ความพอพยี ง “ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชนส์ ขุ แหง่ มหาชนชาวสยาม” พระปฐมบรมราชโองการ ในพระราชพธิ ีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ภูมพิ ล อดุลยเดชฯ ณ พระทีน่ ง่ั ไพศาลทักษิณ เมอ่ื วนั ที่ 5 พฤษภาคม 2493 และพระบรมราโชวาทและ พระราชดารัสท่ไี ด้พระราชทานไวใ้ นวโรกาสตา่ ง ๆ ได้ สะท้อนพระปณธิ านทีแ่ นว่ แนใ่ นการมุ่งมนั่ ใหป้ ระชาชนคนไทยมคี วามสขุ โดยทวั่ ถงึ กัน โดยเสด็จพระราชดาเนนิ ไปยังทุกภาคของประเทศ ทรงศกึ ษาสภาพภูมปิ ระเทศ ตลอดท้ังรับรูป้ ัญหาท่ีแทจ้ ริงที่เกิดขึ้นกับราษฎร ใน บรบิ ท และภมู สิ ังคมทแ่ี ตกต่างกนั เพอ่ื นาไปสู่ แนวทางแกไ้ ขที่เหมาะสม เศรษฐกิจพอเพยี งเป็นหน่งึ ในแนวพระราชดารขิ องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั ทไี่ ด้พระราชทานเปน็ ปรัชญา ในการดารงชีวิตทีย่ ดึ หลักความพอเหมาะพอดีมีเหตุผลและไม่ประมาท ซึง่ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั ถอื ปฏบิ ตั ิด้วยพระองค์ ทาอย่างตอ่ เนอ่ื งยาวนาน ดารงชวี ิตเปน็ แบบอย่างไดอ้ ย่างสมบูรณ์ อีกท้งั ไดพ้ ระราชทาน พระราชดารใิ หแ้ ก่คนไทย นาไปปฏิบตั ิตง้ั แต่ ปี พ.ศ. 2517 ดังพระบรมราโชวาทในพิธพี ระราชทาน ปริญญาบัตร มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ เมือ่ วันพฤหัสบดที ี่ 19 กรกฎาคม 2517 ความตอนหนงึ่ ว่า “ การ พฒั นาประเทศนัน้ จาเป็นตอ้ งทาตามลาดับข้นั เร่ิมตน้ ดว้ ยการสร้างพน้ื ฐาน คือ ความมกี นิ มีใชข้ องประชาชน กอ่ น ด้วยวธิ กี ารท่ีประหยัดระมดั ระวงั แตถ่ ูกต้องตามหลักวชิ า เมือ่ พื้นฐานเกดิ ขนึ้ มัน่ คงพอควรแล้ว จงึ คอ่ ย สรา้ งเสริมความเจริญข้ันท่ีสูงขึน้ ตามลาดับตอ่ ไป ด้วยความรอบคอบ ระมดั ระวังและประหยัดนน้ั ก็เพอื่ ป้องกัน ความผิดพลาดลม้ เหลวและเพื่อใหบ้ รรลุผลสาเร็จไดแ้ น่นอนบรบิ รู ณ์” การช่วยเหลือสนบั สนุนประชาชนใหส้ ามารถทางานประกอบอาชีพได้นัน้ อีกนัยหนงึ่ คือ การพฒั นาประเทศ เพื่อสรา้ งความม่นั คงทางเศรษฐกจิ ใหแ้ ก่ประชาชน พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัวได้ทรงพระราชทานคาแนะนา ว่า ต้องให้ประชาชน “มีความพอกิน พอใชก้ อ่ นอืน่ เป็นพนื้ ฐาน” โดยทรงแนะนาให้ดาเนินการอยา่ งคอ่ ยเป็น ค่อยไปตามลาดบั ด้วยความรอบคอบ ระมดั ระวงั และประหยดั เพอ่ื ป้องกนั ความผดิ พลาดลม้ เหลว เม่อื ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างพอกิน พอใช้ มอี าชีพสามารถพงึ่ ตนเองได้ ย่อมสามารถสร้างตนเองให้ เจรญิ กา้ วหน้าในระดับทสี่ ูงขน้ึ ต่อไปได้ กจ็ ะมีความสขุ เมือ่ ประชาชนมพี ืน้ ฐานมัน่ คง พฒั นาฐานะทางเศรษฐกจิ สูงขนึ้ ได้ ประเทศก็จะสงบและมคี วามเจรญิ กา้ วหนา้ ต่อจากนัน้ ในวนั เฉลมิ พระชนมพรรษาฯ วันท่ี 4 ธนั วาคม 2517 ทรงมพี ระราชดารสั รบั สั่งเพิม่ เตมิ ถึงทศิ ทางของ ประเทศในภาพรวมอยา่ งชัดเจน ดังนี้ “ขอให้ทกุ คนมคี วามปรารถนาทีจ่ ะให้เมอื งไทยพออยพู่ อกนิ มีความสงบและทางาน ตงั้ จิตอธิษฐานตัง้ ปณิธาน ในทางนท้ี ี่จะใหเ้ มอื งไทยอยูแ่ บบพออยู่พอกิน ไมใ่ ชว่ า่ จะรุ่งเรอื งอย่างยอด แต่วา่ มีความพออยพู่ อกิน มีความ สงบ เปรียบเทยี บกับประเทศอนื่ ๆ ถา้ เรารักษาความพออยพู่ อกินนไี้ ด้ เรากจ็ ะยอดยิง่ ยวดได้” การเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจและสงั คมโลกยุคโลกาภวิ ัตน์ และการแข่งขันในระบบทุนนยิ ม ส่งผลใหป้ ระเทศ ไทยหลีกเลยี่ งไมไ่ ด้ทจ่ี ะตอ้ งเผชญิ กบั การหลง่ั ไหลเข้ามาของกระแสโลกาภิวัตน์ ทาให้เกิดการแขง่ ขนั กันใน ระบบทุนนยิ ม มีการแสวงหากาไรในทุกรปู แบบ สง่ ผลกระทบต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สงั คม และ ส่งิ แวดลอ้ ม ปญั หาตา่ ง ๆ ไดถ้ กู สะสมมาอยา่ งต่อเนอื่ ง ตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา จนเกดิ วิกฤตทาง

เศรษฐกจิ ในปี พ.ศ. 2540 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ทรงใชป้ รัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง เพือ่ เปน็ แนว ทางการแกไ้ ขปัญหาภายใต้กระแสโลกาภิวัตนแ์ ละความเปลยี่ นแปลงตา่ งๆ ท่ีเกดิ ขน้ึ อยา่ งต่อเนือ่ ง ช่วยให้ สามารถดารงชวี ติ อย่ไู ด้อยา่ งมั่นคงและยั่งยนื ทรงเหน็ ความสาคญั ของ”ความพออยู่พอกนิ ซงึ่ มีผลตอ่ ราษฎร และประเทศชาตทิ ่ีสาคัญ คือ เป็นแบบอยา่ งทดี่ ีให้คนไทยดาเนนิ ชีวติ บนทางสายกลาง มคี วามขยันหมัน่ เพียรใน การประกอบ สัมมาอาชพี รจู้ กั ใช้ทรพั ยากรทีม่ อี ยู่ให้เกิดประโยชนส์ ูงสุด รู้จักประมาณตน และดารงชีวติ อย่าง ร้จู กั “คิด อยู่ ใช้ กิน อย่างพอเพียง” ต้ังแตว่ กิ ฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 เปน็ ตน้ มา สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยยงั ขาดความรูเ้ ท่าทนั ตอ่ การ เปลยี่ นแปลง พระเจา้ อยหู่ ัวเคยทรงชีแ้ นะแนวทางการดารงอยู่ และปฏบิ ัตติ นในทางทคี่ วรจะเปน็ โดยมองโลก ในเชิงระบบท่ีมีการเปลีย่ นแปลงอยู่ตลอดเวลา ดงั พระราชดารสั เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาฯ เม่อื วันท่ี 4 ธนั วาคม 2517 ความตอนหนึง่ ว่า “การท่ีจะทาโครงการอะไร จะต้องทาด้วยความรอบคอบและอย่าตาโตเกินไป แต่ขอ้ สาคัญท่อี ยากจะพดู ถงึ คือ ถา้ เราทาโครงการท่เี หมาะสม ขนาดที่เหมาะสมอาจจะดไู ม่หรูหรา แต่จะไม่ล้มหรือถา้ มีอนั เปน็ ไปก็ไมเ่ สียมาก มาเร็วๆ น้ี โครงการต่าง ๆ โรงงานเกิดขน้ึ มามาก จนกระท่ังคนนกึ ว่าประเทศนี้จะเปน็ เสือตวั เล็ก ๆ แล้วก็เป็น เสอื ตวั โตขึน้ เราไปเห่อว่าจะเป็นเสอื การจะเปน็ เสอื น้นั ไมส่ าคัญสาคญั อยทู่ เ่ี รามีเศรษฐกิจแบบพอมพี อกนิ แบบพอมีพอกินน้ัน หมายความว่า อมุ้ ชตู ัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง” พระบรมราโชวาท หมายถงึ คาสั่งสอนของพระมหากษัตรยิ ์ และพระราชดารัส หมายถงึ คาพดู ของ พระมหากษัตริย์ สาหรับพระบรมราโชวาทนั้นพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวมพี ระราชประสงคเ์ พื่อ พระราชทานคาสั่งสอนโดยแท้จรงิ เช่น ในการเสด็จพระราชดาเนนิ ในพิธพี ระราชทานปรญิ ญาบตั รแกน่ ิสติ นักศกึ ษา กจ็ ะพระราชทานคาส่ังสอนหรอื พระบรมราโชวาท และพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระ เจา้ อยู่หวั นัน้ จะมีความเกี่ยวข้องและสอดคลอ้ งกบั ผรู้ ับพระราชทานปริญญาทีป่ ระกอบไปด้วยเนอื้ หาทงั้ แก่น แท้ อดุ มการณ์ และคณุ ธรรมจริยธรรม โดยเฉพาะไดท้ รงหว่ งใยการพฒั นาประเทศที่มองขา้ มรากฐานความ มั่นคงของแผน่ ดนิ ซ่งึ เป็นปัจจัยภายในทีส่ าคญั มากทีส่ ดุ การเตรียมความพรอ้ มของประชาชนในทุกระดบั เพ่อื รองรับการเปลยี่ นแปลงของยุค โลกาภิวตั น์ จงึ เป็นสิง่ ท่ที กุ ภาคสว่ นต้องศกึ ษาและดาเนินการไปตามลาดับ ข้นั ตอน พระบรมราโชวาทและพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั ได้ทรงพระราชทานคาแนะนา วา่ ตอ้ งให้ประโยชน์ มคี วามพอกินพอใชก้ ่อนอ่ืนเป็นพน้ื ฐาน การพฒั นาประเทศต้องดาเนนิ การ อย่างคอ่ ยเป็น คอ่ ยไปตามลาดับด้วยความรอบคอบ ระมดั ระวังและประหยดั ให้ศึกษาบรบิ ทและ ภูมสิ งั คมของตนเองเป็น หลกั สรา้ งงาน สร้างอาชพี ตอ้ งเกิดจากความต้องการและการมสี ว่ นรว่ มของทกุ คน เมอ่ื ประชาชนพัฒนาอาชพี ทสี่ ามารถพง่ึ ตนเองได้ย่อมสามารถสร้างตนเองใหเ้ จรญิ ก้าวหนา้ ในระดบั ทส่ี ูงขนึ้ ตอ่ ไปเพราะฐานะความเป็นอยู่ ของประชาชนนัน้ คอื รากฐานทีส่ าคญั ของความสงบและความเจรญิ มนั่ คง การพัฒนาทุกอยา่ งตอ้ งสัมพนั ธ์กบั สภาวะของประเทศและของประชาชน ถ้าปฏิบตั ิให้สอดคล้องกนั แล้ว ก็จะเกดิ ความสมดุล ม่ันคง และย่ังยนื ตลอดไป ในปี พ.ศ. 2544 สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ โดยคณะอนุกรรมการ ขับเคล่อื นเศรษฐกจิ พอเพียง รว่ มกับสานักงานทรัพยส์ ินส่วนพระมหากษตั รยิ ์ ไดส้ รปุ ว่า ปรชั ญาของ เศรษฐกจิ พอเพยี ง จาแนกได้ 5 ส่วน ดังน้ี 1. กรอบแนวคดิ ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง เป็นปรชั ญาท่ีชี้แนะแนวการดารงอยู่และการปฏิบัติ ตน (Economic Life guiding Principle) โดยมพี นื้ ฐานมาจากวิถีชีวิตดัง้ เดิมของสังคมไทย สามารถนามา ประยกุ ตใ์ ช้ไดต้ ลอดเวลา เป็นการมองโลกเชงิ ระบบท่ีมีลักษณะพลวตั (Dynamic) มุง่ เน้นการรอดพน้ จากภยั และวกิ ฤต เพือ่ ความม่ันคงและความยง่ั ยืนของการพัฒนา (Sustainability)

2. คุณลกั ษณะ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางปฏิบตั ิที่ควรจะเปน็ (Normative Prescription) สามารถนามาประยุกต์ใชก้ บั การปฏบิ ัติตนไดใ้ นทกุ ระดับ (Scalable) โดยมีแนวคดิ ทางสายกลาง (Middle Path) เป็นหัวใจสาคญั ของกรอบแนวคดิ ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง ทางสายกลางในท่ีนีห้ มายถึง วิธกี าร (Means) หรอื การกระทาทีพ่ อประมาณ บนพน้ื ฐานของความมีเหตผุ ลและสร้างภมู ิคมุ้ กนั ท่ีจะนาไปส่กู าร พัฒนาแบบเศรษฐกิจพอเพยี ง 3. คานยิ าม “ความพอเพยี ง” (Sufficiency) ประกอบด้วย คณุ ลกั ษณะ 3 ประการ ไดแ้ ก่ 3.1 ความพอประมาณ (Moderation) หมายถงึ ความพอดที ไี่ มม่ ากเกนิ ไป และไม่นอ้ ยเกินไป ในมิติต่าง ๆ ของการกระทา หรอื ความพอใจในส่งิ ทส่ี มควรในปรมิ าณที่เหมาะสม ไม่นอ้ ยเกินไปจนกอ่ ให้เกดิ ความขัดสนและไม่มากเกินไปจนฟุม่ เฟือย จนเกินกาลังของตนเอง 3.2 ความมีเหตผุ ล (Reasonableness) หมายถงึ การตัดสนิ ใจเกยี่ วกบั ระดบั ความพอใจในมติ ิต่าง ๆ จะต้องเป็นไปอยา่ งมเี หตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปจั จยั และขอ้ มูลทีเ่ ก่ยี วข้อง ตลอดจนผลท่ีคาดว่า จะเกดิ ข้นึ จากการกระทานั้น ๆ อย่างรอบคอบและถูกต้องบนพนื้ ฐานของความรคู้ คู่ ุณธรรม 3.3 การมภี ูมคิ มุ้ กันในตวั ทด่ี ี ( Self-Immunity) หมายถึง การเตรยี มตัวใหพ้ รอ้ มรับผลกระทบที่คาดว่า จะเกดิ ขึ้นจากการเปล่ียนแปลงด้านตา่ ง ๆ การกระทาทสี่ ามารถเรยี กว่าพอเพยี ง (Systematic and Dynamic Optimum) มใิ ช่การคานงึ ถึงเหตกุ ารณ์และผลในปจั จุบันเทา่ นน้ั แต่จาเปน็ ต้องคานึงถงึ ความเป็นไปไดข้ อง สถานการณ์ต่าง ๆ ท่คี าดว่าจะเกดิ ขน้ึ ในอนาคตด้วย 4. เง่ือนไข การตัดสินใจและการดาเนนิ กิจกรรมต่าง ๆ ใหอ้ ยใู่ นระดับความพอเพียงนั้น ต้อง ประกอบด้วยส่งิ ตอ่ ไปนี้ เงื่อนไขที่ 1 ความรู้ (Set of Knowledge) ประกอบดว้ ย ความรอบรูเ้ กี่ยวกบั วชิ าการต่าง ๆ อยา่ งรอบดา้ น ความรอบคอบที่จะนาความรเู้ หล่าน้ันมาพิจารณาให้เช่อื มโยงสัมพนั ธก์ ัน (เพอ่ื การวางแผน) และความ ระมัดระวงั ในการนาไปประยุกตใ์ ช้ใหเ้ กิดผลในการปฏิบัตทิ ุกข้ันตอน เงื่อนไขที่ 2 คุณธรรม (Ethical Qualification) ประกอบด้วย คณุ ธรรมทจี่ ะตอ้ งเสรมิ สร้างให้จิตใจมคี วาม ตระหนักในคณุ ธรรมและความซอื่ สตั ย์และมีคุณธรรมในการดาเนนิ ชีวิต โดยเนน้ ความอดทน ความเพยี ร สตปิ ัญญาและความรอบคอบ 5. แนวทางปฏบิ ัตแิ ละผลทคี่ าดวา่ จะไดร้ บั การนาปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาประยุกตใ์ ช้ จะทา ให้เกดิ ท้งั วถิ กี ารพฒั นา (Development Path) และผลการพัฒนา (Development Goal)ท่สี มดลุ (Balance) และพรอ้ มรับตอ่ การเปลี่ยนแปลงในทกุ ด้านทง้ั ดา้ นเศรษฐกิจ สังคม ส่ิงแวดลอ้ ม ความรู้ และเทคโนโลยี นาไปสู่ ความยัง่ ยนื ของการพัฒนาหรอื ความดารงอยู่อยา่ งตอ่ เนือ่ ง (Sustainability) สรุปไดว้ า่ จะทาใหเ้ กิดภมู ิคุ้มกัน ใน 4 มิติ คอื ด้านวตั ถดุ ้านสงั คม ด้านสงิ่ แวดล้อม และด้านวฒั นธรรม

หลักคดิ เศรษฐกิจพอเพยี งตามแนวพระราชดาริ ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ทางสายกลาง พอประมาณ มีเหตผุ ล มีภูมิคุม้ กนั ในตวั ท่ีดี เง่ือนไขความรู้ เงอ่ื นไขคุณธรรม (รอบคอบ รอบรู้ ระมดั ระวงั ) (ซื่อสตั ยส์ ุจริต ขยนั อดทน สตปิ ัญญา ฯลฯ) วัตถุ / สงั คม / ส่ิงแวดล้อม / วฒั นธรรม สมดุล / มนั่ คง / ยงั่ ยนื แผนภมู ิท่ี 1 สรุปปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง จรรยาบรรณวิชาชพี สัมมาชพี คุณธรรม จรยิ ธรรมและคณุ ลกั ษณะท่ีพงึ ประสงคข์ องนักศึกษาอาชวี ศึกษา จรรยาบรรณวชิ าชีพ สมั มาชีพ คุณธรรม จรยิ ธรรมและคณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ของนักศกึ ษา อาชวี ศึกษา เปน็ หลกั ปฏิบตั ิที่ครูฝกึ จาเปน็ ต้องสอดแทรกแกน่ กั เรียนนักศึกษาในขณะ สอนงาน เพื่อให้เป็นผู้ ประกอบวิชาชพี ที่ดี 1. จรรยาบรรณวิชาชีพ ความหมายของจรรยาบรรณวิชาชพี จรรยาบรรณวิชาชพี หมายถงึ ประมวลความประพฤตทิ ี่ผู้ประกอบวชิ าชีพแตล่ ะวิชาชพี ซง่ึ กาหนด ข้ึนเพ่อื รักษา สง่ เสรมิ เกียรติคุณ ชอ่ื เสียง และฐานะของสมาชิกในวงการวิชาชีพนน้ั ซ่งึ อาจเขียนเปน็ ลายลักษณ์ อักษรหรอื ไม่กไ็ ด้ องคป์ ระกอบของวชิ าชพี ลกั ษณะของความเปน็ “วชิ าชพี ” ซึ่งแตเ่ ดมิ คนให้ความยกยอ่ งในวชิ าชีพ เพราะมงุ่ ช่วยเหลอื เพ่ือมนุษย์ มากกว่ามงุ่ หารายได้เพอื่ เลีย้ งชีพ ครน้ั ตอ่ มาโลกและวิทยาการตา่ ง ๆ เจริญมากยง่ิ ข้ึนเกดิ มีวชิ าชพี ใหมท่ ส่ี อนให้ คนประพฤตแิ ละปฏบิ ตั ิมากขน้ึ เพือ่ ให้บรกิ ารช่วยเหลอื เพอื่ นมนุษยใ์ ห้พน้ จากความทกุ ข์ทเี่ พิ่มมากขน้ึ ตาม ความซบั ซ้อนของสงั คมทีเ่ จริญขึน้ คนจงึ เปลยี่ นทัศนคตยิ กย่องวิชาชพี เพราะเป็นอาชีพท่ีตอ้ งใช้ความสามารถ ขัน้ สงู แตก่ ารมหี ลักวชิ าความรู้สูงอย่างเดยี วก็ยงั ไมเ่ พียงพอทจ่ี ะทาให้อาชพี หนึ่งๆ กลายเปน็ วิชาชพี ข้ึนมาได้ เพราะผปู้ ระกอบวชิ าชพี จะตอ้ งใชค้ วามรู้ความสามารถในวิชาชพี ของตนอย่างมีความรบั ผิดชอบ คือ มี จรรยาบรรณในวชิ าชพี ของตนด้วย มฉิ ะนน้ั จะถอื วา่ มีความบกพรอ่ งในวชิ าชีพ เช่น วิศวกรที่ควบคมุ การ กอ่ สรา้ งตกึ ยอมให้ผูร้ บั เหมากอ่ สรา้ งตึกใชเ้ หล็กขนาดเลก็ กวา่ มาตรฐานทกี่ าหนดไว้ ปลอ่ ยให้มกี ารสร้างตกึ

อยา่ งผิดขั้นตอนทางวชิ าการ จนเป็นเหตุใหต้ กึ น้นั ไม่แขง็ แรงเทา่ ทคี่ วร อาจจะชารดุ แตกร้าว และพงั ทลายลงมา ไดใ้ นทสี่ ดุ ไม่วา่ เพราะวิศวกรจะไดร้ ับอามิสสนิ จา้ งจากผู้รบั เหมากอ่ สร้าง หรือรับงานมากจนเกินไปไม่มีเวลาใน การควบคุมงานอย่างถีถ่ ว้ นและทั่วถงึ หรือไม่ละเอียดรอบคอบกต็ ามลว้ นเป็นความบกพร่องในแงจ่ รรยาบรรณ วชิ าชีพของวศิ วกรทั้งส้ิน องค์ประกอบของวิชาชพี โดยท่วั ไปมีองคป์ ระกอบทีส่ าคญั อยู่ 5 ประการ คือ 1. ความรทู้ างวชิ าการชน้ั สงู ปัจจุบนั ความร้ทู างวชิ าชีพเฉพาะทางช้ันสงู ท่ีเรียนกนั ในระดับ มหาวิทยาลยั และสามารถเรียนจนถึงขนั้ ปรญิ ญาเอกได้ 2. จรรยาบรรณวิชาชพี หมายถงึ อดุ มคติและหลกั ปฏบิ ัตแิ หง่ วิชาชีพ ซง่ึ ถอื วา่ ความ 3. รบั ผิดชอบในวิชาชีพมีความสาคัญมากกว่าและต้องมากอ่ นประโยชน์สว่ นตน 4. การฝึกอบรมและคัดเลือกเขา้ สวู่ ชิ าชพี คือ กระบวนการฝกึ หดั อบรมและการเรียนรู้ทางวชิ าชีพ ตลอดจนมกี ารคัดเลือกและยอมรบั เข้าส่วู ิชาชพี 5. สมาคมวิชาชีพ แตล่ ะวิชาชีพจะมสี มาคมวิชาชีพของตน เพ่ือส่งเสริมความรบั ผิดชอบของวชิ าชีพ ต่อสงั คม และเพ่อื ควบคมุ มาตรฐานวชิ าชีพ ซึ่งกระทาโดยการควบคุมมาตรฐานในการยอมรับเข้าสู่วชิ าชพี และ มาตรฐานในการปฏิบตั ิวชิ าชีพ องค์ประกอบ 2 ขอ้ แรก เป็นองคป์ ระกอบหลกั ซ่ึงจะใช้ในการวดั มาตรฐานและการปฏิบตั วิ ชิ าชีพตอ่ ไป ลกั ษณะความแตกต่างระหว่างจรรยาบรรณวิชาชพี และกฎหมายควบคมุ วชิ าชพี 1. จรรยาบรรณวชิ าชีพเกดิ จากความต้องการของกลมุ่ ผูท้ อ่ี ยใู่ นวงวิชาชพี นน้ั ๆ ร่วมกันสร้าง จรรยาบรรณ สาหรับวิชาชพี ของตนมาควบคุมกันเอง มิใชข่ อ้ บงั คับภายนอกเหมอื นกฎหมาย 2. จรรยาบรรณวิชาชพี เกดิ จากความสมคั รใจของผู้อย่ใู นวิชาชีพนน้ั แตก่ ฎหมายทุกคนต้องปฏบิ ัติ ตาม 3. จรรยาบรรณวิชาชพี เป็นอุดมคตทิ ี่สงู กว่าขอ้ บงั คบั ของกฎหมาย กฎหมายเป็นข้อบงั คับขัน้ ต่าที่ทกุ คนตอ้ งปฏิบตั ติ าม 4. จรรยาบรรณวิชาชีพต่างจากศีลธรรม และจรยิ ธรรม ศลี ธรรมเปน็ ขอ้ บงั คับควบคมุ ความประพฤติ ของคนทีม่ รี ากฐานมาจากศาสนา ใช้ควบคมุ ความประพฤตแิ ก่สมาชกิ ทนี่ บั ถือศาสนานนั้ ๆ สว่ นใหญม่ พี ืน้ ฐาน มาจากประเพณี และวัฒนธรรมของคนในแตล่ ะสงั คม จรรยาบรรณวิชาชีพ ใช้สาหรบั ควบคุมความประพฤติ และแนวทางปฏิบตั ิสาหรบั กลมุ่ คนในวิชาชพี หนงึ่ ๆ เทา่ นน้ั ประโยชน์ของจรรยาบรรณวิชาชีพ 1. ต่อผ้ปู ระกอบวิชาชีพ การมีจรรยาบรรณวิชาชีพมปี ระโยชนต์ ่อผปู้ ระกอบวิชาชพี คือ สร้างความ ภาคภมู ิใจในตนเอง และวชิ าชีพ และใช้เป็นเหตุผลสาหรับให้ไมต่ ้องทาตามคาส่ังท่ไี มถ่ กู ตอ้ งของนายจ้าง หรือ ผู้บังคบั บญั ชา 2. ต่อผูร้ ับบรกิ ารวิชาชีพ หวั ใจสาคญั ของวิชาชีพ คอื ความไว้วางใจของผู้รับบริการจากวิชาชพี ที่ผู้ ประกอบวชิ าชีพจะรกั ษาผลประโยชนข์ องผู้รบั บริการเหนอื ส่ิงอ่ืนใด สิ่งท่ีผู้มารบั บริการแล้วมอบความไวว้ างใจ ให้ ผู้ประกอบวิชาชพี ดูแลผลประโยชนข์ องผู้รบั บรกิ าร ผู้รับบรกิ ารกลา้ เปดิ เผยความลบั ของตนท่จี าเป็นในการ รับบริการจากผ้ปู ระกอบวชิ าชีพ เชน่ คนไข้ไว้วางใจในการให้ข้อมูลเกย่ี วกบั การเจ็บปว่ ยกับแพทย์ ในฐานะผู้ ประกอบวิชาชพี ตอ้ งมคี วามรู้ ความสามารถตามมาตรฐานวชิ าชีพ และมจี รรยาบรรณวชิ าชีพที่จะรักษา ผลประโยชน์ของคนไขเ้ หนือส่ิงอ่ืนใด และเหนอื ผลประโยชนข์ องตนเอง 3. ตอ่ สงั คม การมจี รรยาบรรณวิชาชพี เปน็ ประโยชนต์ อ่ สังคมสว่ นรวม ซ่ึงสังคมไวว้ างใจในสถาบัน วชิ าชพี ให้ทาหนา้ ท่ีของตนเองอย่างถกู ตอ้ ง และไวใ้ จได้ เมือ่ อาชพี ใดสามารถยกฐานะตนเองข้ึนเปน็ วชิ าชีพ โดย สามารถควบคมุ กันเอง ใหป้ ฏิบตั ิตามอุดมคติ และจรรยาบรรณแหง่ วิชาชีพแลว้ วชิ าชีพนั้นก็จะเป็นสถาบนั ที่

เปน็ ประโยชน์ และเปน็ ทพ่ี ่ึงแก่สังคมได้ เชน่ สถาบันแพทย์ สถาบนั ทนายความ สถาบันหนงั สือพมิ พ์ สถาบัน สถาปนกิ สถาบันวศิ วกร สถาบนั ครู เปน็ ต้น รัฐบาลเปล่ียนบทบาทจากการเป็นผูค้ วบคุมมาเปน็ การกากับ ดูแล เพราะสถาบันวชิ าชีพจะควบคมุ กนั เอง โดยไมต่ ้องออกกฎหมาย 2 . สมั มาชพี สมั มาชีพ หมายถึง อาชพี สจุ รติ อาชีพทช่ี อบธรรม เช่นการทาไร่ ทานา การค้าขายสุจรติ เปน็ ตน้ การปฏิบตั วิ ิชาชีพจาเป็นตอ้ งมคี วามรขู้ ้ันสงู ซ่งึ จะตอ้ งเรยี นรแู้ ละฝึกหดั เปน็ เวลานาน เพ่ือใหม้ คี วามรู้ ความสามารถทจี่ ะปฏบิ ัติวิชาชีพได้ เช่น ผูป้ ระกอบวชิ าชพี แพทย์ ผปู้ ระกอบวชิ าชพี ครู ผู้ ประกอบอาชพี ทนายความ ผู้ประกอบวชิ าชีพวิศวกร ฯลฯ 3. คุณธรรมและจรยิ ธรรม คุณธรรม หมายถงึ สภาพคุณงามความดี คุณสมบัติทด่ี ี หรือคณุ สมบตั ิที่เปน็ รปู ธรรมของบคุ คลอนั เกดิ จากการส่ังสอนของบดิ ามารดา ครู อาจารย์ หรือเกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณีทถี่ า่ ยทอดกนั มา จรยิ ธรรม หมายถงึ ความประพฤติ การกระทาและความคิดทถ่ี ูกตอ้ งเหมาะสม การทาหน้าทขี่ องตน อยา่ งสมบูรณ์ เวน้ ในส่ิงท่ีควรเวน้ กระทาในสิง่ ทีค่ วรกระทาดว้ ยความฉลาดและรอบคอบรูเ้ หตุผลถกู ตอ้ งตาม กาลเทศะและบคุ คล คุณธรรม จริยะ สภาพคุณงามความดี ความประพฤติ กิริยาที่ควรประพฤติ จริ ยธรรม ธรรมที่เป็ นขอ้ ประพฤติปฏิบตั ิ ศีลธรรม กฎหมายศีลธรรม แผนภูมิท่ี 2 แสดงความหมายและลกั ษณะของจรยิ ธรรม 4. คณุ ลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ คุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยมและคณุ ลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ของผสู้ าเร็จการศึกษา ตามระดบั คณุ วฒุ ิอาชวี ศึกษาแต่ละระดับ มดี งั นี้ ตารางท่ี 3 คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลกั ษณะ พฤตกิ รรมบง่ ช้ี ท่ีพงึ ประสงค์ 1. รบั ผิดชอบ หมายถงึ การยอมรับผลการกระทาของตนเองท้งั ในสงิ่ ท่ีดี และไม่ดี 1.1 ปฏิบตั งิ านตามทีม่ อบหมายสาเร็จตามที่ และสามารถควบคมุ ตนเองได้ มีความมงุ่ มน่ั และเพียร กาหนด พยายาม ในการเรียนและการปฏบิ ัติงานใหบ้ รรลุ 1.2 ปฏิบัตงิ านโดยคานงึ ถงึ ความปลอดภัย วตั ถปุ ระสงคท์ นั กาหนดเวลา มกี ารวางแผนการปฏบิ ัตงิ าน ต่อตนเองและผอู้ ื่น การใช้เวลาอย่างมรี ะบบและเหมาะสม ตลอดทงั้ การ 1.3 ยอมรบั ผลการกระทาของตนเอง

ปฏบิ ตั อิ ย่างครบถ้วน โดยคานงึ ถึงความปลอดภัยต่อ ตนเอง ผูอ้ นื่ และสงั คม 2. ขยัน หมายถงึ ความต้ังใจเพยี รพยายามทาหน้าทก่ี ารงานอยา่ งต่อเน่ือง 2.1 ศึกษาค้นควา้ แสวงหาความรใู้ หมๆ่ สมา่ เสมอ อดทน ไม่ทอ้ ถอยเมอื่ พบอปุ สรรค ดว้ ยตนเอง ความขยันต้องปฏิบัติควบคู่กับการใช้สติปญั ญาแก้ปัญหา และหรือ 2.2 แสวงหาประสบการณเ์ พื่อพฒั นาการ พฒั นาสิ่งใหม่ๆ จนเกิดผลสาเรจ็ ตามความม่งุ หมาย ปฏบิ ตั งิ านอาชพี 2.3 ตง้ั ใจทาหน้าท่ีการงานอยา่ งต่อเน่อื งจน เกดิ ผลสาเร็จ 2.4 คิดริเร่มิ สร้างสรรคส์ ่ิงใหม่ๆ ที่เป็น ประโยชน์ตอ่ ตนเองและสังคม 2.5 มคี วามคดิ หลากหลายในการแก้ปญั หา 3. ประหยดั หมายถึง การรู้จักเก็บออมถนอมใช้ทรัพย์สนิ สงิ่ ของแต่พอควร 3.1 ใช้วัสดถุ กู ตอ้ ง พอเพียงและเหมาะสมกบั พอประมาณ ให้เกิดประโยชน์ คุ้มค่า ไม่ฟมุ่ เฟือย ฟุ้งเฟอ้ งาน 3.2 ปดิ น้า ปดิ ไฟทกุ ครง้ั เม่อื เลกิ ใช้ 3.3 เกบ็ ออม ถนอมใช้ทรัพย์สนิ สิง่ ของให้ เกิดประโยชนค์ มุ้ ค่า 3.4 ดาเนนิ ชีวติ เรยี บง่ายตามสถานภาพของ ตน 4. ซอื่ สตั ย์สุจริต หมายถงึ ความประพฤติท่ีตรงและจรงิ ใจ ทง้ั ตอ่ หนา้ ทีแ่ ละวชิ าชพี 4.1 ประพฤติตรง ทง้ั ตอ่ หน้าที่และตอ่ ไม่คดิ คดทรยศ ไม่คดโกง ไมห่ ลอกลวง ไม่เอนเอียง ไมม่ ี วิชาชพี เล่หเ์ หลีย่ ม ปลอดจากความร้สู กึ ลาเอยี งหรอื อคติ 4.2 ไม่โกหก 4.3 ไม่ลกั ขโมย 4.4 ไมท่ จุ รติ ในการสอบ 4.5 ไมน่ าผลงานของผู้อนื่ มาแอบอา้ งเป็น ของตนเองทั้งดา้ นวชิ าการและวิชาชพี 4.6 ปฏบิ ัตหิ นา้ ที่และรักษาประโยชนข์ อง องคก์ ร 4.7 ไม่เพิกเฉยต่อส่งิ ที่ได้รับร้แู ละการกระทา ที่ไม่ถกู ตอ้ ง 5. จติ อาสา หมายถงึ การมีจติ ใจเป็นผู้ให้ มนี ้าใจ เหน็ อกเห็นใจใน 5.1 ชว่ ยเหลือผู้อืน่ ดว้ ยกาลังแรงกายและ เพอ่ื นมนุษย์ เอื้ออาทรชว่ ยเหลือดว้ ยกาลงั แรงกาย สติปญั ญา สตปิ ัญญา และเสยี สละเพอ่ื สว่ นรวม 5.2 อุทศิ ตนเพอ่ื ประโยชน์ต่อสงั คมและ ส่วนรวม

5.3 แบง่ ปนั เสยี สละความสุขสว่ นตน เพื่อทา ประโยชน์แกผ่ ้อู ื่น 5.4 อาสาช่วยเหลืองานครูอาจารย์ 6. สามัคคี หมายถึง ความพรอ้ มเพรยี งกนั ความกลมเกลยี วกนั 6.1 ร่วมมือในการทางานดว้ ยความกลม ความปรองดองกัน รว่ มใจกนั ปฏบิ ตั ิงานให้บรรลุผลตามท่ี เกลยี วและปรองดอง ตอ้ งการ เกดิ การงานอย่างสรา้ งสรรคป์ ราศจากการ 6.2 รบั ฟังความคดิ เห็นของผู้อืน่ ทะเลาะววิ าท ไม่เอารัดเอาเปรยี บกัน เปน็ การยอมรบั 6.3 ปฏิบตั ิตนตามบทบาทผ้นู าและผูต้ ามทีด่ ี ความมเี หตุผล ยอมรับความแตกต่างหลากหลายทาง 6.4 ยอมรบั ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความคิด ความหลากหลายในเรื่องเช้อื ชาติ ความคดิ ความเชอ่ื ท่หี ลากหลาย พรอ้ มทีจ่ ะ ปรบั ตวั เพอื่ อยู่ร่วมกนั อย่างสันติ 6.5 ไมท่ ะเลาะววิ าท 7. มวี ินัย หมายถงึ การยึดม่ันในระเบยี บแบบแผน ขอ้ บังคับและขอ้ 7.1 ปฏบิ ัติตามกฎ ระเบยี บ ขอ้ บังคับของ ปฏบิ ตั ซิ ่งึ มีทัง้ วินยั ในตนเองและวนิ ัยตอ่ สถานศกึ ษา สถานศกึ ษาและสังคม สถาบัน องคก์ ร สงั คมและประเทศ 7.2 ปฏบิ ตั ติ ามกตกิ าและมารยาทของสงั คม 7.3 ประพฤติตนตามหลกั ศีลธรรมอนั ดีงาม 7.4 ประพฤตติ นตรงต่อเวลา 8. สะอาด หมายถงึ การปราศจากความมัวหมองทง้ั กาย ใจ และ 8.1 คิดดี พูดดี ทาดี สภาพแวดลอ้ ม ความผ่องใสเป็นท่เี จรญิ ตา ทาให้เกิดความ 8.2 รกั ษาสขุ ภาพร่างกายตามหลัก สบายใจแกผ่ ู้พบเห็น สุขอนามยั 8.3 รักษาท่อี ย่อู าศยั สง่ิ แวดลอ้ มตาม สุขลักษณะที่ดี 9. สภุ าพ หมายถงึ ความเรียบร้อย ออ่ นโยน ละมุนละมอ่ ม มีกรยิ ามารยาทที่ 9.1 ประพฤตติ นสุภาพ เรียบรอ้ ย อ่อนน้อม ดงี าม มีสัมมาคารวะ และสรา้ งความสัมพันธ์ทางสังคม ถอ่ มตนตามสถานภาพและกาลเทศะ ระหวา่ งบคุ คล 9.2 ประพฤติตนเหมาะสมตามมารยาทของ วัฒนธรรมไทย 9.3 ไม่ประพฤติก้าวร้าวรนุ แรง วางอานาจ ขม่ ผูอ้ นื่ ทั้งโดยวาจาและทา่ ทาง 9.4 ควบคมุ กริ ิยามารยาทในสถานการณท์ ่ไี ม่ พึงประสงค์ 9.5 แสดงสมั มาคารวะตอ่ ครู อาจารยอ์ ย่าง สมา่ เสมอ ท้ังตอ่ หน้าและลบั หลัง 9.6 แสดงความมีมนุษยสมั พันธ์ 10. ละเว้นอบายมขุ 10.1 ไม่เสพสิง่ เสพติดและของมนึ เมา

หมายถึง การประพฤติปฏิบัติตนเพ่ือหลกี เลยี่ งหนทางแหง่ ความ 10.2 ไมเ่ ล่นการพนัน เสื่อม 10.3 หลีกเลีย่ งการเข้าไปอย่ใู นแหลง่ มั่วสมุ

หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 2 ใบเนื้อหาที่ 2.4 การเสรมิ สรา้ งวินัยนักศึกษา ความมีวนิ ยั เป็นส่ิงสาคญั ในการดาเนนิ ชีวติ และการทางาน โดยท่ัวไปจะควบคูไ่ ปกับความมีระเบียบ เพียงแตว่ ่าระเบยี บจะเป็นขอ้ บังคบั ใหป้ ฏิบัติ แต่วินัยเป็นแนวทางปฏิบตั ิท่ยี ดึ ม่นั โดยไม่คิดวา่ เปน็ การบังคับ เป็น หน้าทีท่ ตี่ ้องปฏิบตั ิ เหน็ คุณค่าทเ่ี กิดข้นึ จากการปฏบิ ตั ิน้ัน การกากบั ดแู ลนกั ศกึ ษาในสถานประกอบการ ครูฝึก จาเป็นต้องทราบรายละเอยี ดเกี่ยวกับการสรา้ งวินยั ในการทางานเพ่ือประโยชนใ์ นการสอนงานไดอ้ ย่างมี ประสิทธภิ าพ ความหมายของวนิ ยั วินัย หมายถงึ การยึดมนั่ ในระเบยี บแบบแผน ขอ้ บงั คบั และข้อปฏบิ ัตซิ ึง่ มที ง้ั วินัยในตนเองและวินัยตอ่ สถานศกึ ษา สถาบนั องค์กร สังคม และประเทศ ความสาคัญของวนิ ัย 1. วนิ ยั มพี ้ืนฐานมาจากวัยเดก็ เกดิ การเรยี นรู้ เลยี นแบบและฝึกฝนจากบุคคลและสิ่งแวดล้อม ปฏิบัติ ต่อเน่ืองจนเกดิ การซมึ ซับคณุ ธรรมข้นึ ภายในตนเอง 2. วนิ ัยเกดิ จากการดแู ล กากับในวัยเดก็ ผู้ปกครอง ตอ้ งทาตนเปน็ แบบอย่างทีด่ ี บอกกล่าวเหตผุ ลโดย ไม่ร้สู ึกวา่ ถูกบงั คับ ให้เด็กมีส่วนรว่ มในการกาหนดข้อตกลง กฎเกณฑ์หรือระเบียบ และชว่ ยดแู ลในข้อตกลงนัน้ ๆ อนั นาไปสู่ความภาคภูมใิ จและเห็นคุณค่าของตนเอง 3. ใชว้ ินัยภายนอกเข้าร่วมกับวนิ ัยภายใน อาจใช้คาสง่ั กฎ หรอื กฎหมายต่าง ๆ เพื่อใหป้ ฏบิ ัตติ าม ขอ้ ตกลง โดยการโนม้ น้าวให้เข้าใจเหตผุ ลกอ่ นใช้กฎระเบยี บพร้อมกบั ความเปน็ กัลยาณมิตร ประโยชนข์ องวนิ ัย 1. วินยั นาไปดี ทาให้ผูร้ ักษาวินยั ดีข้ึน ช่วยยกฐานะของผ้มู วี นิ ัยใหส้ ูงขึ้น ตวั อย่างเชน่ เดก็ กลางถนน เข้าโรงเรียนมีวินัย กลายเป็นนกั เรียน เด็กชาวบา้ น บวชแลว้ ถือศีล 10 กลายเปน็ สามเณร 2. วนิ ัยนาไปแจง้ ทาให้เปิดเผยธาตแุ ทข้ องคนว่าน่าไว้วางใจเพียงใดเปน็ คนมวี นิ ยั หรือไมอ่ ย่างไร 3. วินัยนาไปตา่ ง ทาใหส้ ามารถดูคนเหน็ ความแตกต่างดว้ ยวินัย ตัวอยา่ งเชน่ คนทพ่ี กอาวธุ ในท่ชี ุมชน ถ้ามีวินยั เรยี กวา่ “ตารวจ” เปน็ ผู้พิทักษ์สันตริ าษฎร์ ถ้าไม่มีวินัย เรียกวา่ “นกั เลงอันธพาล” คนทเ่ี ทย่ี วภกิ ขาจารพึ่งคนอ่ืนเล้ยี งชวี ิต ถ้ามีวินัยรกั ษาศลี 227 ขอ้ เรยี กวา่ “พระภกิ ษ”ุ เป็นนาบุญ ของผ้ใู ห้ทาน ถ้าไมม่ ีวนิ ัยเรยี กว่า “ขอทาน” แนวทางการสร้างวนิ ัย 1. การทาให้เกดิ พฤตกิ รรมเคยชนิ ได้เหน็ ไดป้ ฏิบตั ิในส่งิ ทดี่ ี กระทาอยา่ งตอ่ เนื่องจะเปน็ พ้นื ฐานของ วนิ ยั ตอ่ ไป 2. การใช้วฒั นธรรมในสงั คมผสมผสานกบั วัฒนธรรมในองคก์ ร เป็นแนวทางการปฏิบตั อิ ย่างตอ่ เน่อื ง อันนาไปสู่พฤตกิ รรมเคยชิน เชน่ การไหว้ การเคารพผอู้ าวโุ สในองคก์ ร การปฏบิ ัติตามระเบียบขององคก์ ร โดย มุง่ ให้พนกั งานไดเ้ หน็ แบบอย่างทด่ี แี ละถือปฏบิ ัตอิ ย่างต่อเนือ่ ง

3. สร้างความเข้าใจ ในวินัย กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ข้อบงั คับ ฯลฯ ท่ตี อ้ งกระทาเพ่อื ใหเ้ กิดความพงึ พอใจ การยอมรบั และนาไปส่กู ารปฏบิ ตั ิด้วยความเต็มใจ การใชก้ ฎเกณฑบ์ งั คับจะกอ่ ให้เกิดวนิ ัยได้ช่วั ขณะหน่งึ เท่าน้ันเม่ือไม่มีการควบคมุ วินัยก็จะหายไป 4. เสริมแรงหนนุ ด้านอดุ มการณ์ การต้ังจติ ม่ัน ความมงุ่ มน่ั ท่ีจะปฏบิ ตั ติ ามวนิ ยั ให้บรรลตุ ามเป้าหมาย อนั นาไปสู่ความภาคภูมิใจในผลการปฏิบตั ิ ขัน้ ตอนการพฒั นาวินยั ข้ันที่ 1 การใหค้ วามรู้ ความเข้าใจการปฏิบัติ การวเิ คราะห์ สังเคราะห์ การประเมนิ ค่าเก่ียวกับความมี วินยั ขั้นที่ 2 การสร้างให้เหน็ คุณคา่ การยอมรบั และพร้อมท่จี ะปฏิบัติงานเก่ียวกบั ความมีวนิ ยั ขัน้ ท่ี 3 การวางแผนปฏิบัตติ น การควบคุมตนเอง การปฏิบตั ิตามแผนความมีวินยั และการสรา้ งระบบ ความมวี ินัยของตนเอง หนว่ ยงาน และสงั คม หลกั สาคญั ของวนิ ัย ระเบียบกฎเกณฑท์ ่ีกำหนดทีม่ ำจำกภำยนอกเพอ่ื กำรควบคุมจะคงอยภู่ ำยนอก จติ วญิ ญำณของพนกั งำน แตร่ ะเบียบกฎเกณฑท์ ี่เกิดจำกควำมเคำรพ ใหเ้ กียรติร่วมมือซ่ึง กนั และกนั จะหยงั่ รำกฝังลึกภำยในจติ ใจของพนกั งำนตลอดไป

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 ใบเนื้อหาท่ี 2.5 มนษุ ยสมั พนั ธ์ในการทางานและการบริการ การทางานในหนว่ ยงานประกอบด้วยบคุ คลท่ีทาหน้าทแ่ี ตกตา่ งกันไป ซึง่ ตา่ งก็มีขอบเขตรับผิดชอบเพื่อทา หน้าทีต่ ามโครงสร้างขององคก์ ร เพอื่ ใหบ้ รรลวุ ัตถุประสงคข์ ององคก์ ร การทาบทบาทหน้าท่ขี องบุคลากรในดา้ น ต่าง ๆ ยอ่ มตอ้ งมกี ารประสานสัมพันธก์ นั เพอ่ื ใหก้ ารปฏิบัติงานมปี ระสทิ ธิภาพสูงสุด 1. มนุษยสมั พนั ธใ์ นการทางาน ครฝู กึ ในสถานประกอบการเป็นผู้ทท่ี าหน้าท่สี อนและฝกึ อบรมผเู้ รยี นอาชวี ศึกษาทวภิ าคี จึงมี ความจาเป็นอย่างย่งิ ทีจ่ ะตอ้ งเรยี นรู้ถงึ กระบวนการมนษุ ยสมั พนั ธ์ในการทางานเพ่อื นาความรู้ด้านการสร้าง มนุษยสมั พนั ธ์ในการทางานไปกากับ ดแู ล นกั เรียน นกั ศึกษาอาชวี ศึกษาทวภิ าคี หลักมนุษยสัมพันธใ์ นการ ทางานทคี่ รฝู กึ ในสถานประกอบการควรศกึ ษาเรยี นร้มู ดี ังน้ี คือ 1. การสร้างมนุษยสมั พนั ธก์ บั ผู้ใต้บังคับบัญชา 2. การสร้างมนษุ ยสมั พันธ์กบั ผู้บงั คับบัญชา 3. การสรา้ งมนุษยสมั พันธก์ บั เพือ่ นรว่ มงาน 1.1 การสรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธก์ บั ผูใ้ ตบ้ ังคับบัญชา ในการบรหิ ารงานใหป้ ระสบความสาเรจ็ ไดด้ ี ต้อง อาศยั ร่วมมือจากผู้ใต้บงั คบั บัญชา จึงจะทาให้นโยบายและเป้าหมายของกจิ กรรมต่าง ๆ ดาเนินไปได้อยา่ ง ประสทิ ธิภาพ การสรา้ งมนษุ ยสัมพนั ธก์ ับผู้ใตบ้ ังคับบัญชา ทาไดด้ งั น้ี 1) ประพฤตติ นเปน็ แบบอยา่ งที่ดี การดาเนนิ ชีวติ การทางานด้วยความขยนั หมนั่ เพยี ร มี ความรบั ผิดชอบ สามารถควบคุมอารมณ์ หนักแนน่ มีเหตุผล ค้นควา้ หาความรู้ ทันต่อการเปล่ยี นแปลงในดา้ น ต่าง ๆ เชน่ ด้านเทคโนโลยี อุตสาหกรรมการผลิตและการบริการ เป็นตน้ 2) ให้เกยี รติผู้ใตบ้ ังคับบัญชา โดยเชื่อมั่นในคุณค่า ความสามารถของผ้ใู ต้บงั คับบัญชาและควร ยกยอ่ งชมเชย ใหร้ างวัล หรอื พิจารณาความดีความชอบ ในกรณีผู้ใตบ้ งั คบั บญั ชาทางานไดด้ ีเด่นหรือสร้าง ช่ือเสียงใหแ้ ก่หนว่ ยงาน ในกรณที ี่ผู้ใต้บังคับบัญชาทางานผดิ พลาดบกพรอ่ งไมค่ วรตาหนิใหเ้ กดิ ความอับอาย ควรให้โอกาสในการแก้ตวั การว่ากลา่ วควรทาเป็นการส่วนตัวไมค่ วรกระทาตอ่ หน้าผอู้ นื่ 3) ให้การสนับสนนุ ความก้าวหนา้ ของผใู้ ตบ้ งั คบั บัญชา เช่น การส่งเสรมิ เขา้ รบั การอบรม ศกึ ษาดูงานภายในประเทศและต่างประเทศ การส่งเสรมิ ให้ศึกษาต่อเพื่อที่จะได้นาความรู้มาพัฒนาองค์การ และยังเปน็ การสร้างขวัญและกาลงั ใจในการทางาน 4) มกี ารวางแผนการทางานร่วมกับผูใ้ ตบ้ งั คับบญั ชา เปดิ โอกาสให้มีสว่ นรว่ มและรบั ผิดชอบ ต่อการทางาน เพ่ือใหผ้ ู้ใตบ้ ังคับบัญชาเหน็ คุณค่าและความสาคญั ของตนเองที่มตี ่อความสาเรจ็ ขององคก์ าร 5) แจ้งนโยบายและวัตถปุ ระสงค์ขององคก์ าร ให้ผู้ใต้บงั คับบญั ชาทราบโดยท่ัวถงึ และการ สั่งงานตอ้ งชดั เจน มีขอ้ แนะนาเพ่ือใหป้ ฏิบัติงานได้ถูกต้องเกิดประสทิ ธภิ าพในการทางาน 6) ปฏิบตั ติ ่อผู้ใตบ้ ังคับบญั ชาอย่างเทา่ เทยี มกนั ไม่ลาเอียงใหค้ วามยตุ ธิ รรมและความ เสมอภาคในการพจิ ารณาความดคี วามชอบและการเล่ือนตาแหนง่ ให้สงู ข้นึ โดยคานึงถึงผลของการทางาน ความ ขยนั หมน่ั เพยี รเปน็ สาคัญ 7) รูจ้ กั เลือกใชค้ นให้เหมาะสมกบั งาน คานึงถงึ ความถนดั และความสามารถเพอ่ื ให้การทางาน ประสบความสาเรจ็

8) สนใจดแู ลทกุ ขส์ ขุ ของผู้ใต้บังคบั บญั ชา ด้วยการพูดคุยซักถามถึงความเปน็ ไปในครอบครัว เรอ่ื งสว่ นตวั และการทางาน ให้ความอนเุ คราะห์ชว่ ยเหลอื ตามโอกาสอนั ควร เชน่ ให้คาปรึกษาแนะนา แก้ปัญหาในการทางาน การไปเย่ียมเมอ่ื เจบ็ ปว่ ย เป็นต้น 9) ส่งเสริมเรอ่ื งสวสั ดิการและผลประโยชนต์ ่าง ๆ ของผู้ใต้บังคบั บัญชาตลอดจนดูแล สภาพแวดล้อมใหเ้ หมาะสมกับการทางาน เช่น ภายในหอ้ งทางานต้องคานึงถงึ แสงสวา่ งทเี่ หมาะสม อากาศ ถา่ ยเทได้ดี อุณหภูมิเหมาะสมกับการทางาน ดแู ลเรอ่ื งประโยชนแ์ ละสวสั ดกิ ารตา่ ง ๆ เพ่อื ให้ผู้ใต้บังคบั บัญชา เกิดขวัญและกาลังใจในการทางาน และเกิดความรสู้ กึ ท่ดี ีตอ่ ผู้บังคบั บญั ชา 10) สรา้ งโอกาสในการทาความเขา้ ใจกบั ผู้ใต้บังคบั บัญชา การประชมุ ชี้แจงเพือ่ สรา้ งความ เข้าใจอันดีต่อกนั การเขา้ รว่ มกิจกรรมตา่ ง ๆ กบั ผู้ใตบ้ ังคับบญั ชา เช่น งานเลย้ี งฉลองปีใหม่ การรณรงค์รักษา ความสะอาดของหนว่ ยงาน การศกึ ษาดูงานนอกสถานท่ี ซึง่ ในการเข้ารว่ มกจิ กรรมผู้บังคบั บญั ชาตอ้ งสร้าง ความคุ้นเคย ความรักใคร่ ไว้วางใจ ให้เกดิ แก่ผู้ใต้บงั คบั บัญชา 1.2 การสร้างมนุษยสัมพันธก์ ับผู้บงั คบั บัญชา การทางานรว่ มกบั ผ้บู งั คบั บัญชาซึ่งเปน็ ผทู้ ม่ี ี ความสาคญั ต่อความกา้ วหน้าของผู้ใตบ้ ังคบั บญั ชา การทางานใหป้ ระสบความสาเรจ็ นอกจากมีความสามารถ ความร้คู วามเชี่ยวชาญในการปฏบิ ัตงิ านแล้ว ผปู้ ฏิบัติงานตอ้ งสร้างความไว้ใจ ความเชือ่ ถือให้เกดิ กบั ผบู้ งั คบั บญั ชา จงึ จะได้รบั สนบั สนุนการสง่ เสรมิ ในดา้ นการงาน การเล่ือนขนั้ เลื่อนตาแหน่ง และเกดิ ความม่นั คง ในการงาน แนวทางการสรา้ งมนษุ ยสัมพันธก์ บั ผู้บงั คบั บัญชา ทาได้ดังนี้ 1) ศกึ ษาลกั ษณะนสิ ัยของผู้บังคบั บัญชา ผใู้ ต้บังคบั บญั ชาควรเรียนร้ลู กั ษณะนิสยั ตา่ ง ๆ ของผู้ เปน็ หวั หน้า ซง่ึ แตล่ ะคนจะมีความแตกต่างในแนวทางการปฏิบตั ิงาน เชน่ บางคนเป็นคนละเอยี ดถี่ถว้ น ผู้บังคบั บัญชาบางคนเปน็ คนใจร้อน เมอ่ื ส่งั งานแลว้ ลกู นอ้ งควรปฏบิ ตั ติ ามคาส่ังทนั ที การเรียนรูล้ ักษณะนิสัย ของผบู้ งั คบั บัญชาทาให้สามารถปฏบิ ัติงานรว่ มกบั ผู้บงั คบั บัญชาไดเ้ ป็นอย่างดี และทาให้ผใู้ ต้บงั คบั บัญชามีการ ปรับปรุงและพฒั นาตนเอง 2) ปฏบิ ตั ิงานด้วยความตั้งใจ มีความขยันหม่นั เพียรในการทางาน รับผิดชอบตอ่ งานทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย ทาใหป้ ระสบผลสาเรจ็ และมีประสทิ ธิภาพ จนเกิดความเชอื่ ถือและไวว้ างใจตอ่ ผู้บังคบั บญั ชา และถา้ ผู้บงั คบั บญั ชามงี านให้ช่วยเหลือก็ควรสนับสนนุ และชว่ ยงานของผู้บงั คบั บญั ชาอย่างเต็มความสามารถ 3) เคารพนบั ถือผู้บังคับบญั ชาดว้ ยความจริงใจ ควรให้เกยี รตแิ ละยกยอ่ งผ้บู งั คับบัญชาทงั้ ต่อ หน้าและลบั หลงั ไมน่ ินทาหรอื วา่ รา้ ยผูบ้ ังคบั บัญชา ตามหลักขนบธรรมเนยี มของคนไทยท่ีให้ความเคารพตอ่ ผู้ อาวุโสหรอื เปน็ ผ้บู งั คบั บัญชา ถึงแมว้ า่ ผู้บังคับบัญชาทกุ คน ยอ่ มต้องมขี ้อดแี ละขอ้ เสียก็ตาม หลกี เลย่ี งการ กลา่ วถึงขอ้ เสียของผู้บังคับบัญชาต่อเพอ่ื นร่วมงานและบุคคลอน่ื ถา้ คดิ ว่าควรปรับปรงุ กต็ ้องใช้วิธีการท่ี เหมาะสม การยกย่องใหเ้ กียรติผูบ้ ังคับบญั ชายอ่ มทาใหเ้ กิดสมั พันธภาพท่ีดรี ะหว่างผู้บังคับบัญชากับ ผใู้ ตบ้ ังคับบญั ชา 4) ขอคาปรึกษาและแนะนาของผู้บงั คับบญั ชา ในการทางานเมือ่ เกดิ ปัญหาเรอื่ งงานและเรอื่ ง ส่วนตวั ทไี่ มส่ ามารถแกไ้ ขเองได้ กค็ วรขอคาแนะนาจากผู้บังคบั บัญชาให้ความชว่ ยเหลอื ทาให้สามารถ แกป้ ญั หาได้ อกี ท้ังเปน็ การสรา้ งความภาคภมู ใิ จให้เกดิ แกผ่ ู้บังคับบัญชาเพราะบุคคลโดยทวั่ ไป จะเกดิ ความ พอใจเมอื่ มคี นมาขอคาปรึกษาแนะนาเพราะแสดงวา่ ผใู้ ตบ้ ังคับบัญชาให้ความไวว้ างใจและเห็นคุณค่าของตน 5) ปฏิบัตติ ามคาสงั่ และรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผู้บงั คบั บัญชา การทีผ่ บู้ งั คับบัญชาชีแ้ จง นโยบายเพื่อผอู้ ธบิ ายวิธกี ารดาเนินงาน ตลอดจนคาสง่ั ในการปฏบิ ตั งิ านหรือแสดงความคดิ เหน็ ใด ๆ กต็ าม ควร รบั ฟงั ดว้ ยความสงบและปฏิบัติตามคาสั่ง ไม่ควรโต้เถียง คัดค้านหรอื แสดงความขัดแยง้ ตอ่ ตา้ น ซ่งึ จะไม่เปน็ ผลดีตอ่ การทางาน ถา้ สงสัยหรือมีความคิดเหน็ แตกตา่ งกนั ควรซกั ถามแสดงความคิดเหน็ ดว้ ยความสภุ าพ

6) พฒั นาเทคนคิ และวิธีการทางานใหม้ ปี ระสิทธภิ าพมากยิ่งขึ้น เสนอแนวความคิดสร้างสรรค์ ในการทางาน หรอื วิธีการทางานแบบใหม่ๆ ทท่ี าให้ประหยดั เวลาในการทางาน ลดการซา้ ซอ้ นสิน้ เปลืองการใช้ ทรัพยากร ทาให้องคก์ ารเกิดการพฒั นาและทาให้ไดร้ ับการยอมรบั จากผูบ้ ังคับบัญชา 7) แสวงหาความรแู้ ละประสบการณเ์ พอ่ื นามาใชใ้ นการทางาน ควรศึกษาเรียนรู้ความร้แู ละ วทิ ยาการใหมอ่ ย่เู สมอ ตลอดจนเพมิ่ พนู ประสบการณใ์ นการทางานเพอื่ ใหเ้ กดิ ความเช่ียวชาญในการปฏิบัติงาน ให้เกิดผลดี ซ่ึงจะทาให้องค์การประสบความสาเร็จตามเป้าหมายและมีความเจรญิ ก้าวหน้า 8) ควรหาโอกาสมีส่วนรว่ มในการทางานและไมย่ อ่ ท้อต่อความยากลาบาก ควรหาโอกาสเข้า รว่ มเป็นส่วนหน่ึงของการทางาน แม้บางครัง้ จะเป็นงานท่นี อกเหนือหน้าท่ี แต่ถา้ เห็นว่าการอาสาเข้าช่วยเหลือ งานอ่นื โดยไมเ่ กิดความเสียหายต่องานในหนา้ ทแ่ี ลว้ เป็นสิง่ ท่คี วรทา ซ่งึ ทาใหไ้ ดร้ ับการยอมรบั จาก ผ้บู งั คบั บัญชาและเพ่อื นร่วมงาน และในการทางานแมง้ านจะมคี วามยากลาบาก กค็ วรหาทางแก้ไขหรือขอ คาแนะนา ความช่วยเหลือจากผรู้ ่วมงานหรือผบู้ งั คบั บญั ชาไม่ควรบ่นถึงความยากลาบากในการทางาน ควร ภมู ิใจที่ผู้บงั คับบัญชาใหค้ วามไวว้ างใจเพราะเชื่อในความสามารถ ของเรา 9) เข้าร่วมกิจกรรมอื่น ๆท่นี อกเหนอื จากการทางาน เม่ือหนว่ ยงานจัดกิจกรรมเพ่อื สาธารณประโยชน์ เชน่ การร่วมมอื กับชมุ ชนดูแลรักษาสง่ิ แวดล้อม การเลีย้ งอาหารเดก็ กาพร้า หรอื กิจกรรม สังสรรคร์ น่ื เรงิ ไดแ้ ก่ งานเล้ียงปีใหม่ การมีส่วนรว่ มในกิจกรรมอยา่ งสม่าเสมอ ยอ่ มทาให้เปน็ ทีร่ ู้จักของ ผู้บังคับบัญชา ทาให้เหน็ ถึงความสามารถเป็นทย่ี อมรับของผใู้ หญ่ และการเขา้ ร่วมกจิ กรรมยอ่ มเป็นการสร้าง สัมพนั ธภาพทีด่ กี ับบุคคลต่าง ๆ รวมทงั้ ผูบ้ งั คบั บัญชา 10) ประเมนิ ตนเองและพฒั นา ควรมีการประเมินตนเองอยู่เสมอ ในดา้ นบคุ ลกิ ภาพ ดา้ น ปฏิบัตงิ านและดา้ นสัมพนั ธภาพกับผู้อน่ื วา่ ตนมขี ้อบกพรอ่ งทคี่ วรปรบั ปรุงและพัฒนาในด้านใดบ้าง เพื่อทีจ่ ะ นามาแกไ้ ขปรับปรุงในการสรา้ งความพอใจกับผู้บังคับบัญชา

1.3 การสรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์กบั เพอื่ นร่วมงาน การทางานให้มปี ระสิทธภิ าพเกดิ ความสาเร็จดว้ ยดยี ่อมเกิดจากสัมพนั ธภาพกับบคุ คลและกลุม่ ต่าง ๆ นอกเหนือจากผบู้ ังคับบัญชา ผใู้ ต้บังคับบัญชาแล้วยงั มเี พ่ือนรว่ มงานหรือบุคคลทที่ างานในระดับเดียวกนั การ สรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธใ์ ห้เกดิ ขึ้นย่อมทาให้มีการช่วยเหลอื เก้ือกูล ร่วมมือรว่ มใจกันปฏบิ ัตงิ าน เกดิ ความสามัคคใี น หมคู่ ณะบรรยากาศของการทางานมีความสขุ และเกิดความม่ันคงในจิตใจ การสร้างมนุษยสัมพนั ธ์กบั ผูร้ ่วมงาน มีรายละเอยี ดดังนี้ (บญุ มั่น,2539:146) 1) แสดงความเปน็ มิตร ดว้ ยการย้มิ แยม้ ทักทาย พูดคุยสนทนาด้วยอารมณแ์ จ่มใสแสดงความ เป็นมติ รอยา่ งบริสทุ ธใ์ิ จ ซ่งึ ทาให้เกดิ ความรู้สึกท่ีดีตอ่ เพ่อื นรว่ มงาน 2) มคี วามปรารถนาดีและจริงใจตอ่ เพอื่ นรว่ มงาน บรรยากาศของการทางานท่เี ป็นมติ ร สามารถรบั รคู้ วามปรารถนาดีและความจริงใจจากคาพูด กิริยาทา่ ทางและการกระทาตา่ ง ๆทาใหเ้ กดิ ความ ไวว้ างใจ มีความสุจริตใจ เกิดความรกั ใคร่นบั ถอื นาไปสู่มนษุ ยสมั พนั ธ์ทดี่ ีกับเพอ่ื นรว่ มงาน 3) ยกย่องให้เกียรติเพื่อนรว่ มงาน สร้างความรสู้ ึกใหเ้ ห็นวา่ เพอื่ นร่วมงานเป็นบคุ คลท่ีมี ความสาคัญตอ่ ความสาเร็จของงาน เปน็ ผซู้ ่งึ มคี ณุ ค่าและความหมาย เช่น เมอ่ื เพื่อนทางานได้ดี ก็กล่าวยกย่อง ชมเชย ให้กาลังใจให้การสนบั สนนุ ดว้ ยความจริงใจ 4) ใหค้ วามร่วมมือในการทางานกับเพื่อนรว่ มงานเสมอ การช่วยเหลือและให้ความร่วมมือใน การทางาน ท้ังงานท่ีเปน็ หนา้ ทต่ี ามโครงสรา้ งขององคก์ าร ถงึ แม้ว่าจะมกี ารแบ่งหนา้ ท่กี ารทางานกันแล้วกต็ าม แตถ่ ้าเพอ่ื นทางานล่าชา้ เกดิ ปัญหาและอุปสรรคในการทางานควรใหค้ วามชว่ ยเหลือดว้ ยความเตม็ ใจ ถ้าเปน็ งานทข่ี อความรว่ มมอื แม้ว่าเปน็ งานท่นี อกเหนอื จากหนา้ ท่ี ถ้าช่วยได้กค็ วรทาตนให้เกิดประโยชน์ต่อเพื่อน ร่วมงานจะยงิ่ ทาใหค้ วามเปน็ เพอ่ื นมคี วามผกู พนั และแน่นแฟ้นยงิ่ ข้นึ 5) หลกี เลี่ยงความขดั แยง้ บุคคลยอ่ มมีความคิด เหตุผล และการกระทาที่แตกต่างกัน ซึง่ บางคร้ังความแตกต่างกนั ในดา้ นความคิด ความเช่อื และวธิ ีการทางานนาไปสู่ความขดั แย้ง ซึ่งไมเ่ ปน็ ผลดีตอ่ การทางานและเกดิ ผลกระทบต่อความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งกนั 6) แสดงความสภุ าพตอ่ เพ่อื นรว่ มงานเสมอ ถึงแมว้ ่าจะมีความสมั พันธก์ บั เพ่ือนร่วมงานมากแค่ ไหนกต็ าม ตอ้ งระมัดระวงั กิรยิ า วาจา การกระทา ทที่ าใหเ้ พ่อื นเกดิ ความกระทบกระเทอื นใจ เชน่ การหยอกล้อ ทเ่ี กินขอบเขต ซงึ่ ทาให้เพ่อื นเกดิ ความเสยี หายและอับอาย หลีกเลี่ยงการนนิ ทาให้รา้ ย หรือพูดจาโอ้อวดยกตน ขม่ ท่าน ควรคานงึ ถงึ การถนอมนา้ ใจ และมคี วามเกรงใจ ถ้าเราไม่ชอบสงิ่ ใดไม่ควรประพฤติปฏบิ ัติสง่ิ น้ันตอ่ เพ่อื น การแสดงความสุภาพต่อเพอื่ นรว่ มงานทาให้ความสัมพันธ์ราบรน่ื และยงั่ ยนื 7) ให้การสนบั สนุนและส่งเสรมิ เมอ่ื มีโอกาสในการให้การสนบั สนุนเพื่อนรว่ มงานใหม้ ี ความก้าวหนา้ ในตาแหนง่ หนา้ ท่ี หรือสามารถส่งเสรมิ และสนบั สนนุ เพ่ือนให้ประสบความสาเร็จในการทางาน ก็ ควรทีจ่ ะทาอยา่ งเต็มสตกิ าลังด้วยความปรารถนาดี 8) ให้คาปรกึ ษา แนะนา และชว่ ยเหลอื เมอื่ เพอ่ื นร่วมงานเกิดปัญหาและอุปสรรคในการทางาน ชีวิตส่วนตัวหรือประสบปญั หาได้รบั ความเดือดรอ้ น เกิดความขาดแคลนอาจช่วยเหลือดว้ ยการแบ่งปันตาม ความจาเปน็ เม่อื เกิดปญั หาด้านจิตใจก็ควรให้ความชว่ ยเหลือ สนับสนุนให้เกิดกาลงั ใจ แต่ถา้ ไม่สามารถ ช่วยเหลือได้ กค็ วรหาผู้ท่มี ีความชานาญ ผทู้ ่มี คี วามสามารถใหช้ ่วยเหลอื ต่อไป 9) เขา้ ร่วมกิจกรรมทางสงั คม เพือ่ เป็นการสรา้ งความเปน็ มติ รใหผ้ กู พนั และแน่นแฟ้นควรเข้า ไปมสี ่วนรว่ มในกิจกรรมทางสงั คม เชน่ การพบปะสงั สรรคก์ ันตามโอกาสอนั สมควร ไมค่ วรเกบ็ ตัว การเขา้ ร่วม กิจกรรมทาให้เกิดความสนิทสนมกนั มากขึ้น

10) ปฏิบัตติ นต่อเพ่ือนด้วยความเหมาะสม ในความเป็นเพอ่ื นร่วมงานควรมกี ารแสดงน้าใจ และมคี วามเป็นมิตรด้วยความเป็นกนั เองอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แมว้ า่ บทบาทหน้าท่อี าจจะเปล่ียนแปลงไป เพราะเพ่อื นรว่ มงานบางคนอาจได้รบั การเลอ่ื นตาแหนง่ เปน็ หวั หน้างานหรือผบู้ ังคับบัญชา ซ่งึ ไมค่ วรให้ความ แตกตา่ งทางหนา้ ทก่ี ารงานเปน็ อุปสรรคขัดขวางความเปน็ เพื่อนรว่ มงานทดี่ ีต่อกัน ควรมีการปฏบิ ตั ติ อ่ เพือ่ น ด้วยความเหมาะสมตามกาลเทศะ เพอ่ื นทม่ี ีหนา้ ท่ีการงานตา่ กว่า ไม่ควรแสดงความสนทิ สนมคุ้นเคยตอ่ เพือ่ นที่ มีหน้าที่การงานสูงกวา่ ซ่งึ การกระทาดงั กล่าวเป็นการให้เกยี รติเพอื่ น การแสดงความสนทิ สนมคุ้นเคยควรให้ เพือ่ นทมี่ ตี าแหน่งสูงกว่าแสดงความเปน็ กันเองกบั เพอ่ื นทอ่ี ยู่ในตาแหน่งตา่ กวา่ การปฏิบตั ิตนต่อเพ่ือนด้วย ความเหมาะสมทาให้ความสมั พนั ธ์ฉันทเ์ พือ่ นมคี วามยืนนาน การมีมนุษยสัมพันธใ์ นการทางาน ทาใหง้ านขององค์กรดาเนนิ ไปดว้ ยความราบร่ืน มี ประสทิ ธิภาพ และบรรลุวัตถุประสงคข์ ององค์กร ซึ่งในแตล่ ะฝ่ายต่างมคี วามรับผิดชอบในบทบาทหน้าท่ี ที่ แตกต่างกันออกไปตามโครงสรา้ งขององค์กร มนษุ ยสมั พนั ธใ์ นการทางานเปรียบเสมอื นเครือ่ งมือเชื่อมโยงการ ปฏิบัตงิ านใหเ้ กดิ ความคล่องตวั มคี วามเขา้ ใจกัน และเกิดความรว่ มมอื ร่วมใจในการทางานของทุกฝา่ ยใน องคก์ ร การเรยี นรแู้ ละฝกึ ปฏิบตั ิเกยี่ วกับการสร้างมนษุ ยสัมพันธใ์ นการทางาน จะทาใหค้ รฝู กึ ในสถาน ประกอบการไดน้ าความรู้ ความเข้าใจไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน และฝกึ อบรมผ้เู รยี นอาชวี ศกึ ษาทวิ ภาคอี ย่างมปี ระสิทธภิ าพตอ่ ไป 2. การบริการ การบริการ (Service) ในความหมายท่ัวไปคือการใหค้ วามชว่ ยเหลือ หรอื การดาเนนิ การเพื่อประโยชน์ ของผ้อู ืน่ แต่ในเชงิ ธุรกิจ การบรกิ ารหมายถงึ “การทผ่ี ใู้ ห้บรกิ ารหรือผขู้ ายให้การช่วยเหลือหรอื ดาเนนิ การเพอื่ ประโยชนค์ วามสุขกาย ความสุขใจ หรอื ความสะดวกสบายแกผ่ ซู้ ื้อ” นกั ศึกษาอาชีวศึกษาทวภิ าคเี ป็นผทู้ ่ีศกึ ษาวิชาชพี อยใู่ นสถานประกอบการและศึกษาวิชาความรู้ใน สถาบนั การศกึ ษาด้วย โดยผูเ้ รยี นจะไดร้ บั ประสบการณต์ รงจากสถานประกอบการ ดา้ นวชิ าชีพ ครูฝึกมี หนา้ ทใี่ นการจดั ประสบการณ์ตรงใหก้ บั ผู้เรียนเกย่ี วกับการใหบ้ รกิ าร การบริการหมายถึง การสรา้ งความพงึ พอใจให้ลูกค้าโดยการให้ความสะดวกสบาย ความรวดเรว็ ความ ถกู ต้องแม่นยา การแก้ไขปญั หาของลูกค้าอย่างถูกต้องในขณะท่ีลกู ค้ามาใช้บรกิ ารหรอื ภายหลังจากทลี่ ูกคา้ มา รับบรกิ ารแล้ว หรอื อาจใหค้ วามหมายของการบรกิ ารเป็นร้อยกรองได้ดงั น้ี บริการเป็นงานของการให้ มอบน้าใจใหไ้ มตรีดหี นักหนา เอ้อื อาทรผอ่ นรอ้ นรุ่มนมุ่ วาจา มที ีท่าเปน็ มติ รชวนติดใจ รูร้ อยย้มิ พมิ พใ์ จใหส้ ดชื่น รกู้ ลา้ กลนื อดกลัน้ ไม่หว่ันไหว นีค่ ืองานบรกิ ารประทับใจ Service Mind เรามไี วใ้ หท้ กุ คน

2.1 หลกั การการให้บริการ 1) ตระหนักถึงคณุ คา่ ของลูกค้า ผูใ้ หบ้ รกิ ารตอ้ งคานึงอยูต่ ลอดเวลาวา่ ลกู ค้าคือบุคคลทีส่ าคัญทสี่ ุด ลกู ค้าเป็นผมู้ ีอานาจซอื้ และมคี วามต้องการรบั บริการ หากลกู ค้าได้รับประสบการณท์ ่ีดี ก็ยอ่ มนามาซึ่งรายได้สูอ่ งคก์ รและตวั ผู้ ให้บรกิ ารเอง อีกทั้งลูกคา้ ยงั มอี านาจของการประชาสัมพนั ธผ์ า่ นทางการบอกปากตอ่ ปากอีกดว้ ย 2) สร้างความประทับใจแรก ความประทับใจแรกเปน็ ความประทบั ใจทอี่ ยู่ยาวนาน (First impression is lasting impression) การสร้างความประทับใจไม่ตอ้ งใช้เวลามาก แตต่ ้องมีความพรอ้ มทง้ั ดา้ นผใู้ หบ้ ริการและด้าน สถานที่ให้บริการ ความประทบั ใจแรกทด่ี ีจะช่วยใหค้ วามผดิ พลาดใดๆท่เี กิดตามมาดมู คี วามรุนแรงน้อยลง แต่ ในทางตรงขา้ ม หากความประทบั ใจแรกไมด่ แี ลว้ ไม่วา่ การบริการต่อๆมาจะดเี พยี งใดก็ยากท่จี ะเปลี่ยน ความรูส้ ึกของลกู ค้าได้ ดังนนั้ ผู้ใหบ้ รกิ ารจงึ ควรสร้างความประทับใจแรกใหเ้ ปน็ ความประทบั ใจท่ีดี 3) เตมิ เต็มความต้องการของลกู ค้า การเตมิ เต็มความตอ้ งการของลกู ค้า เพราะความตอ้ งการของลูกคา้ คอื งานของผใู้ ห้บริการ และเป็นวัตถุประสงคห์ ลกั ของธุรกิจท่ีผใู้ หบ้ ริการทางานนน่ั เอง 4) ทาให้ลูกคา้ ออกแรงนอ้ ยทีส่ ุด การบริการ คอื การให้ทั้ง \"ความสะดวก\" และ \"ความสบาย\"กบั ลกู ค้า ลกู คา้ จะร้สู ึกสบายก็ ต่อเมอ่ื เขาไม่ต้องออกแรงทาส่ิงใดๆหนา้ ท่ีการออกแรงเปน็ ของผใู้ ห้บรกิ าร และหลักการขอ้ น้พี งึ ใชใ้ นทกุ ๆ ช่วงเวลาแห่งความประทับใจ ตัวอย่างเชน่ ลูกค้าในรา้ นอาหาร เมื่อรับประทานอาหารก็ต้องด่มื น้า หากลกู ค้า ด่ืมนา้ จนหมดแกว้ แล้ว ยงั ไม่มบี ริกรมาเตมิ นา้ ให้ ลูกค้าต้องเรียกบริกรมาเตมิ น้าให้ทุกคร้งั ทน่ี า้ หมดแก้ว เช่นน้ี ถอื เป็นการให้ลูกคา้ ออกแรงมาก การทาให้ลูกค้าออกแรงนอ้ ย กค็ ือ บริกรควรใช้ความสงั เกต และคอยเติมนา้ ใน แกว้ อยูต่ ลอดเวลา อยา่ ให้ น้าพร่องเมือ่ เหน็ ลกู ค้ายกมือกค็ วรรีบเข้าไปหาลูกค้าทนั ที อย่าให้ลกู ค้าต้องเปน็ ฝา่ ย เดนิ มาตามผู้ให้บริการ 5) ชว่ ยการตัดสนิ ใจของลกู คา้ ชว่ ยการตดั สินใจของลกู ค้า แตไ่ มค่ รอบงาการตัดสินใจระหวา่ งทล่ี ูกค้ารับบรกิ าร บอ่ ยครง้ั ลกู คา้ ไม่สามารถตัดสินใจในเรอื่ งใดเร่อื งหนึง่ ได้ เขาอาจสอบถามหรอื ขอความเหน็ จากผู้ให้บริการ ในกรณีนีส้ ่ิง ทีผ่ ูใ้ ห้บรกิ ารควรทาคือ ใหข้ อ้ มูลกบั ลูกค้าใหม้ ากท่ีสุด แตป่ ล่อยให้ลกู คา้ ตัดสินใจเอง ตวั อย่างเชน่ ในร้านอาหาร ลูกค้าอาจถามบริกรว่า เขาควรสงั่ อาหารจานใด บรกิ รกค็ วรช้แี จงวา่ ทรี่ า้ นน้มี อี าหารชอื่ อะไรบา้ ง แต่ละจานมี รสชาตอิ ยา่ งไร แลว้ ให้ลูกค้าตัดสินใจเลอื กอาหารทช่ี อบ แตห่ ากจะให้ดยี ง่ิ ไปกวา่ น้นั เม่ือลกู คา้ ถามมา ผู้ ให้บริการควรถามลกู คา้ กลับเสียกอ่ นว่า เขาชอบอาหารชนดิ ใดหรอื ประเภทใด จากน้นั เลอื กแนะนาอาหารที่ เข้ากับความชอบของลกู ค้า ก็จะเปน็ การสร้างบรกิ ารที่เปน็ ส่วนตวั มากขึน้

6) มองจากมมุ มองของลกู ค้า การบรกิ าร จงอยา่ มองจากมุมมองของผูใ้ หบ้ ริการเด็ดขาด เพราะทง้ั สองฝา่ ยย่อมมีความ ตอ้ งการและมีสิ่งแวดลอ้ มที่ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมารบั บรกิ ารนวดท่สี ปา ลูกค้ามักตอ้ งสวมเส้ือผ้านอ้ ยชิ้น อยใู่ นหอ้ งที่มเี คร่อื งปรับอากาศ พนักงานนวดออกแรงนวดและขัดถูรา่ งกายใหล้ ูกค้ามาเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ยอ่ ม ร้อนและเหง่อื ออก ในขณะน้ันผู้ใหบ้ ริการต้องไม่คดิ ว่า ควรลดอุณหภูมเิ คร่ืองปรบั อากาศลงเพ่อื ให้เย็น แต่ตอ้ ง มองในมมุ มองของลกู คา้ ว่า ลกู คา้ ไมม่ ผี ้าห่มร่างกายมาเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ย่อมร้สู กึ หนาวมใิ ช่รสู้ ึกร้อน 7) รบกวนเวลาลูกค้าให้นอ้ ยที่สุด เม่ือลกู คา้ จ่ายเงินใหก้ บั การบรกิ ารแล้ว ยอ่ มตอ้ งการใช้เวลาทง้ั หมดทมี่ ีอยู่เพื่อ “ถกู บริการ” ผใู้ หบ้ ริการจึงไมค่ วรใหล้ ูกค้าใชเ้ วลาเพื่อทาสิง่ อ่ืนโดยไมจ่ าเปน็ ยกตวั อยา่ งเชน่ เมื่อลูกค้าของโรงแรมมา ลงทะเบยี นเขา้ พักทแ่ี ผนกต้อนรับ ลกู คา้ ขอใหพ้ นกั งานต้อนรบั สารองทีน่ ง่ั สาหรับรบั ประทานอาหารค่าพรอ้ มดู ราไทยในคา่ คนื นใี้ ห้ พนกั งานต้อนรบั กไ็ มค่ วรพูดวา่ “สารองท่นี ่งั พร้อมดรู าไทย ทา่ นสามารถโทรไปท่ี หอ้ งอาหารไดเ้ ลยคะ่ โดยใช้หมายเลข 105” การพดู เชน่ น้ี หมายความวา่ ตอ้ งให้ลูกคา้ เป็นผโู้ ทรสารองห้องพกั เอง เช่นนเ้ี ป็นการรบกวนเวลาของลกู คา้ สิ่งท่ถี ูกต้องคอื พนักงานควรตอบรับ และแจ้งลกู คา้ วา่ จะดาเนนิ การให้ ทันที 8) สรา้ งความทรงจาท่จี ะทาใหล้ กู ค้าอยากกลับมา ความทรงจาทจี่ ะทาใหล้ กู คา้ อยากกลับมาน้ตี อ้ งมี “ส่ิงพเิ ศษ (Something Extra)” อาจอยู่ ในรูปสงิ่ ของ หรอื การบริการพเิ ศษที่ไม่เหมอื นกบั คแู่ ข่งก็ได้ เปน็ สงิ่ ชว่ ยสร้างความประทบั ใจให้ลกู ค้า เชน่ การ บนิ ไทยตดิ ดอกกล้วยไมใ้ หล้ ูกค้า สปาหลายแห่งเมื่อลกู ค้าซื้อบรกิ ารนวดเท้า หลงั นวดเทา้ เสร็จจะบริการนวดบา่ และคอให้ครูห่ นึ่งโดยไมค่ ดิ คา่ ใช้จ่าย ส่ิงเหลา่ นีล้ ้วนทาให้ลูกค้านกึ ถึงองค์การนน้ั ๆ ก่อนเสมอ เพราะมีสิง่ พิเศษ ให้ 9) ลกู คา้ จะจาประสบการณ์ทีไ่ ม่ดีไดเ้ สมอ ลูกค้าจะจาประสบการณท์ ่ีไม่ดไี ดเ้ สมอ และจะจาไดน้ านกว่าประสบการณท์ ด่ี ี พร้อมกับ บอกต่อกับจานวนคนที่มากกว่าประสบการณ์ทด่ี ี ดังนั้นจงึ เปน็ ความเสีย่ งท่จี ะทาให้ลูกค้ากลบั ไปดว้ ย ความไม่ ประทับใจ 10) มองลูกค้าเป็นเจา้ หน้ี ให้มองลูกคา้ เปน็ เจ้าหนท้ี ตี่ อ้ งตอบแทนด้วยการบรกิ ารท่ดี ี ผใู้ ห้บรกิ ารต้องระลกึ ว่า ลกู คา้ คือบุคคลท่ีผู้ให้บรกิ ารไปยืมส่งิ ใดสิง่ หน่ึงมาจากเขา และมหี นา้ ทต่ี ้องใช้คนื แต่เจา้ หนี้รายนี้ ขอรบั หนี้คืนในรูป ของการบรกิ ารที่ดเี ท่าน้ัน เมอ่ื ครฝู ึกในสถานประกอบการมีความรู้ความเขา้ ใจและตระหนักถงึ ความสาคัญของหลักการให้บรกิ าร อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพตลอดจนได้ฝกึ ปฏิบตั ิกจิ กรรมเพ่ือใหเ้ กดิ ทกั ษะในการปฏบิ ัตงิ านบรกิ ารแล้ว จะไดน้ าไป ถา่ ยทอด ฝกึ อบรม กากับ ดูแล นักเรียน นักศึกษาอาชวี ศกึ ษาทวภิ าคตี ่อไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook