Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การประเมินผลการฝึกอาชีพ

หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การประเมินผลการฝึกอาชีพ

Published by abhichat.a, 2019-07-24 00:29:45

Description: หลักสูตร ครูฝึกในสถานประกอบการ

Search

Read the Text Version

ใบเนือ้ หาท่ี 5.1 แนวคิดเก่ียวกับการประเมนิ ผล 1. องคป์ ระกอบของการจัดการศกึ ษา ประกอบดว้ ย หลักสูตร ซึ่งเป็นมวลประสบการณ์ที่จัดขึ้นเพ่ือพัฒนาผู้เรียน ให้บรรลุตามความมุ่งหวังและ เป็นส่งิ ทก่ี าหนดกจิ กรรมในการจัดการเรียน การสอนหรือการฝึกในสถานประกอบการ กระบวนการจัดการเรียนการสอน เป็นกลวิธีในการกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้และแสดง พฤตกิ รรมท่ีพึงประสงค์ โดยใช้ เทคนิควิธสี อน การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน และสื่อการสอน กระบวนการวัดผลและประเมินผล เป็นกลวิธีตรวจสอบสภาพผู้เรียนตามคุณลักษณะ หรือวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ รวมท้ังช่วยตรวจสอบประสิทธิภาพและประสิทธิผลของสภาพการ จัดการเรียนการสอน 2. ความหมายของการวัดผลและประเมินผล การวัดผล (measurement) และการประเมินผล (evaluation) เป็นสิ่งที่ตอ้ งดาเนินการคกู่ ันเสมอเน่ืองจาก การวัดผล เป็นกระบวนการกาหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์แทนปริมาณหรือคุณภาพของ คุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งท่ีต้องการวัด โดยสิ่งที่ต้องการวัดเป็นผลจากการฟังหรือการเรียนรู้ ของผ้เู รยี น การประเมินผล เป็นกระบวนการต่อเน่ืองจากการวัดผล คอื นาตวั เลขหรือสัญลกั ษณ์ที่ได้จาก การวัดผลมาตีค่า โดยเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กาหนดไว้ ตัวอย่างเช่น นักเรียนทาคะแนนได้ 80 % ขึ้นไป ไดเ้ กรด 4 ถ้าต่ากวา่ 50 % ไดเ้ กรด 0 เป็นต้น 3. วัตถุประสงค์ของการวัดผลและประเมินผล สามารถทาได้ตลอดเวลาในระหว่างที่ครูดาเนินการจัด การเรยี นการสอนหรอื การสอนงานเพราะครสู ามารถนาผลการประเมินไปใช้ในวัตถปุ ระสงคต์ า่ งๆ ไดแ้ ก่ 1) เพอ่ื การจัดตาแหนง่ วา่ นักเรียนคนไหนเกง่ ปานกลาง อ่อน 2) เพอ่ื การปรบั ปรุงกระบวนการจดั การเรียนการสอน วา่ มจี ุดไหนทตี่ ้องปรับปรงุ 3) เพื่อการตดั สินผลการเรียนว่าผู้เรยี นควรไดร้ ะดบั คะแนนหรอื เกรดใด

ซงึ่ ตามระเบยี บการวัดผลในหลักสตู รของคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ถ้าไดค้ ะแนน 80-100 คะแนน ได้เกรด 4 ถา้ ไดค้ ะแนน 75- 79 คะแนน ไดเ้ กรด 3.5 ถา้ ได้คะแนน 70-74 คะแนน ไดเ้ กรด 3 ถา้ ได้คะแนน 65 -69 คะแนน ได้เกรด 2.5 ถา้ ไดค้ ะแนน 60- 64 คะแนน ได้เกรด 2 ถา้ ได้คะแนน 55 - 59 คะแนน ไดเ้ กรด 1.5 ถ้าไดค้ ะแนน 50 - 54 คะแนน ได้เกรด 1 ถ้าไดค้ ะแนนตา่ กว่า 50 คะแนน ได้เกรด 0 การวดั ผลด้านตา่ งๆ ในการจัดการเรียนการสอนครูต้องวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนว่าผู้เรียนประสบ ความสาเร็จในการเรียนหรอื ไม่ ซ่งึ นกั การศกึ ษาช่อื Bloom ไดแ้ บง่ พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ออกเป็น 3 ด้าน คอื 1) ดา้ นพทุ ธิพสิ ยั (Cognitive Domain) 2) ดา้ นทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) 3) ดา้ นจติ พิสยั (Affective Domain) พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย เป็นพฤติกรรมทางสติปัญญาที่บ่งบอกความสามารถทางสมอง คือ ความคิดท่ีจาแนกแบ่งเป็นระดบั พฤติกรรมย่อย 6 ดา้ น คือ ดา้ นความรคู้ วามจา (knowledge) ความเข้าใจ (comprehension) การนาไปใช้ (application) การวิเคราะห์ (analysis) การสังเคราะห์ (synthesis) และการประเมินคา่ (evaluation) การวัดผลพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย ส่วนใหญ่ใช้แบบทดสอบที่มีหลายรูปแบบ ได้แก่ แบบกาถูก - ผิด แบบจับคู่ แบบเตมิ คา แบบเลอื กตอบ แบบตอบสัน้ ๆ แบบอตั นัยหรอื ความเรียง พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการปฏิบัติงาน ซ่ึงสามารถจาแนกระดับของการฝึกปฏบิ ัติ เป็น 5 ลักษณะ คอื การเลียนแบบ (imitation) การทาตาม แบบ (manipulation) การทาอยา่ งถูกต้อง (precision) การทาอย่างประสงค์ (articulation) และการ ทาอย่างเปน็ ธรรมชาติ (naturalization) การวัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย เป็นการวัดที่ให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมการปฏิบัติโดยใช้ ความสามารถทางสมองหรือทางกาย หรือทั้งสองอยา่ ง เพื่อใหผ้ ูส้ อนไดต้ ัดสินระดับความสามารถในการ ปฏบิ ตั ิของผเู้ รยี นวา่ มีความถูกตอ้ งในกระบวนการปฏบิ ัตหิ รือไม่ ซึง่ ธรรมชาติของการวดั ทักษะพสิ ยั คือ 1) เป็นการวดั โดยใชส้ ถานการณเ์ ปน็ โจทยเ์ พอ่ื ทดสอบการปฏบิ ตั ขิ องผู้เรียน

2) วธิ กี ารวดั ยอ่ มแตกตา่ งกนั ตามลักษณะงานท่ีทา 3) เปน็ การวดั กระบวนการในการปฏบิ ตั ิ (process) และผลผลิต (product) 4) ผู้สอนต้องสงั เกตพฤตกิ รรมของผู้เรยี นอย่างใกล้ชิด วิธีที่ใช้ในการวดั ทักษะพิสัย มีหลายวิธี ได้แก่ - การสงั เกต - การจัดอนั ดบั คุณภาพ - การใหผ้ ู้เรยี นรายงานตนเอง - การสมั ภาษณ์ ในเรื่องของการประเมินกระบวนการทางานและผลผลิต การสังเกตเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ครู สามารถประเมินผู้เรียนว่ามีทักษะในการเรียนนั้นๆ หรือไม่ ซ่ึงขั้นตอนการสร้างเคร่ืองมือในการ ประเมนิ ผลดา้ นทกั ษะ คอื 1) กาหนดจดุ ประสงค์การเรียนรู้ 2) กาหนดงานใหผ้ เู้ รยี นปฏิบตั ิ 3) วเิ คราะห์งานเพื่อกาหนดคณุ ลักษณะท่ใี ชใ้ นการวดั ทักษะ 4) กาหนดวิธกี ารวัดและเคร่ืองมือที่ใช้ในการวัด 5) กาหนดวธิ ีการประเมินผลและรายงานผล 6) สรา้ งเคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการวัด ตัวอย่าง การประเมนิ ทกั ษะการแกะสลักผลไม้ . ตวั บ่งช้ี(คณุ ลกั ษณะ) เกณฑก์ ารประเมนิ 1. เลือกใชเ้ ครื่องมือวัดได้ถูกต้อง ปฏบิ ตั ิได้ 5 ขอ้ = 5 คะแนน 2. ตัดแบ่งผลไม้ไดถ้ ูกวิธี ปฏบิ ตั ไิ ด้ 4 ข้อ = 4 คะแนน 3. ขน้ั ตอนการแกะสลักถกู ต้อง ปฏิบตั ิได้ 3 ข้อ = 3 คะแนน 4. ผลงานสวยงาม ปฏิบตั ไิ ด้ 2 ขอ้ = 2 คะแนน 5. จัดเกบ็ อปุ กรณแ์ ละผลงานถูกต้อง ปฏิบัติได้ 1 ข้อ = 1 คะแนน พฤติกรรมดา้ นจิตพิสัย เป็นคณุ ลักษณะด้านจิตใจ หรอื ความรสู้ ึก (feeling) ท่บี ่งบอกพฤติกรรม ความสนใจ เจตคติ คา่ นิยม และลักษณะนิสยั ของผเู้ รยี น สามารถจาแนกเปน็ พฤติกรรมได้ 6 ระดบั คอื

การรับรู้ (receiving) การตอบสนอง (responding) การสร้างคุณค่า (valuing) การจัดระดับคุณค่า (organinzation of values) และการสร้างลักษณะนิสัย (characterization by a value) ซ่ึง พฤติกรรมทางจิตพิสัยในการปฏิบัตินิยมวัดด้านความสาเร็จ เจตคติ ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม (moral and ethics) ตลอดจนคณุ ลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ วิธีการวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย อาจใช้วิธีการประเมินตนเอง เช่น การตอบแบบวัดเจตคติ การตอบแบบสารวจความสนใจในวิชาชีพ หรือให้ผู้อ่ืนประเมิน ได้แก่การสังเกตโดยครู และ/หรือ การสงั เกตโดยเพอ่ื น การสรา้ งเคร่ืองมอื วัดคุณภาพดา้ นจติ พสิ ยั มขี ้นั ตอนดงั นี้ 1) กาหนดคุณลกั ษณะท่ีตอ้ งการวดั 2) กาหนดตวั บ่งชข้ี องคณุ ลกั ษณะทตี่ ้องการวัด 3) กาหนดวิธีการวัดและสรา้ งเครื่องมือ 4) กาหนดเกณฑ์ในการแปลความหมายผลการวัด เคร่ืองมือในการวัดด้านจิตพิสัยที่เป็นแบบสังเกต (Observation form) เป็นเครื่องมือที่สามารถวัดได้ ตรงกับสภาพความเป็นจรงิ มากทีส่ ุด แบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 ลกั ษณะ คอื 1. แบบสงั เกตท่มี ีโครงสรา้ ง ประกอบด้วยรายการหรือข้อความที่มี 2 ลักษณะ คือ 1.1 Check list ม/ี ไมม่ ี, เกดิ /ไมเ่ กดิ , ทา/ไมท่ า, ใช/่ ไมใ่ ช่ 1.2 Rating Scale เป็นรายการทผี่ ู้สงั เกตระบวุ า่ สิง่ ทสี่ ังเกตได้ มีปรมิ าณมากนอ้ ยเพียงใด เช่น ทกุ ครั้ง บอ่ ยๆ บางคร้งั นานๆ ครั้ง ไม่เคยปฏบิ ัติ 2. แบบสังเกตที่ไม่มีโครงสร้าง เป็นแบบสังเกตท่ีมีแต่หัวข้อ ไม่มีรายละเอียด ข้อมูลท่ีได้ จะตรงหรือไมข่ ้ึนอยู่กบั ประสบการณแ์ ละความชานาญของผสู้ งั เกต ตัวอยา่ ง การประเมินคณุ ลักษณะความรบั ผดิ ชอบ ตวั บง่ ชี้ การตรวจสอบรายการ เกณฑ์การประเมิน 1. ทางานท่ีได้รบั มอบหมายเสรจ็ ทันเวลา ใช่ / ไม่ใช่ ทาครบทุกข้อ ได้ 4 คะแนน 2. ตดิ ตามแก้ไขและปรับปรุงข้อบกพร่อง ใช่ / ไมใ่ ช่ ทาได้ 3 ข้อ ได้ 3 คะแนน ในการทางาน 3. เตรียมอุปกรณ์ครบถว้ นและเก็บรักษา ใช่ / ไม่ใช่ ทาได้ 2 ข้อ ได้ 2 คะแนน อุปกรณ์หลงั เสร็จงานแล้ว 4. ยอมรับความผิด หากพบขอ้ ผดิ พลาด ใช่ / ไมใ่ ช่ ทาได้ 1 ขอ้ ได้ 1 คะแนน โดยไม่ป้ายความผิดให้ผู้อ่ืน ทาไมไ่ ด้เลย ได้ 0 คะแนน

ใบเนอ้ื หาท่ี 5.2 การวัดความรแู้ ละการประเมินผลเชิงประจกั ษ์ การวัดผลและประเมินผลเชิงประจักษ์ ในกระบวนการวัดความรู้และการประเมินผล เชิงประจักษ์ นัยว่ามีความสาคัญอย่างหน่ึงคือ การประเมินผลพฤติกรรมการเรียนรู้ ทั้งน้ีเพราะถ้า การประเมินผลไม่ครอบคลุมทั้งสามด้าน เครื่องมือไม่มีคุณภาพดีพอ ขาดความเชื่อมั่น การวัดผลที่ได้มา นั้นก็จะเช่ือถือไม่ได้ อย่างไรก็ตามการเรียนรู้ วิธีการวัดผลจึงเป็นสิ่งจาเป็นที่ทุกคนควรเรียนรู้ให้เข้าใจ ในรายละเอียดดังนี้ 1. การวัดผลกับการประเมนิ ผล 1.1 ความหมายของการวัดผล (measurement) การวัดผล หมายถึง กระบวนการซ่ึงให้ได้มาซึ่งตัวเลขหรือสัญลักษณ์ ที่มีความหมายแทน คุณลักษณะหรือคุณภาพส่ิงท่ีวัดโดยใช้เครื่องมือท่ีมีประสิทธิภาพ หารายละเอียดสิ่งท่ีวัดว่ามีจานวน หรือปริมาณเท่าใด เช่น การวัดระยะห่างจากกรุงเทพฯ ถึง จังหวัดนครนายก เป็นการแปลงระยะห่าง ของสถานท่ีออกมาเป็นตัวเลขระยะหา่ งกี่กิโลเมตร เปน็ ตน้ 1.2 ความหมายของการประเมินผล (evaluation) การประเมินผล หมายถึง กระบวนการท่ีกระทาต่อจากการวัดผลแล้ววินิจฉัยลงสรุปคุณค่าท่ี ได้ จากการวดั ผลอยา่ งมีกฎเกณฑแ์ ละมีคณุ ธรรม เพอ่ื พจิ ารณาตดั สินใจ ว่าสิง่ นั้นดีหรอื ไม่ดี ไดห้ รอื ตกเป็นต้น การประเมินผลพฤตกิ รรมการเรียนรู้ ประกอบดว้ ย 1. พุทธพิ ิสัย (Cognitive Domain) 2. จติ พสิ ัย (Affective Domain) 3. ทกั ษะพิสัย (Psychomotor Domain) พุทธิพสิ ัย (Cognitive Domain) เป็นพฤติกรรมท่ีเกีย่ วกับสติปัญญา ความรู้และความคิด หรือ พฤติกรรมทางด้านสมองของบุคคล ที่มีความสามารถในการคิดเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นความสามารถทางสตปิ ญั ญา แบง่ ออกได้ เปน็ 6 ระดับ ไดแ้ ก่ 1. ความรูค้ วามจา หมายถึง ความสามารถในการจาแนกเน้ือหาความรู้ เกบ็ รักษามวล ประสบการณ์ตา่ งๆ และระลกึ ได้เมื่อต้องการนามาใช้ 2. ความเข้าใจ หมายถึง การเข้าใจความหมายของเน้ือหาสาระ และสามารถแสดงออกมา ในรปู ของการแปลความหมาย ตีความ ขยายความ หรือการกระทาอน่ื ๆ 3. การนาไปใช้ หมายถึง การนาเนื้อหาสาระ หลักการ ความคิดรวบยอด และทฤษฎีต่างๆ ไปใช้ในรูปแบบใหม่

4. การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกเน้ือหาให้เป็นส่วนย่อยเพื่อค้นหา องค์ประกอบ โครงสร้าง หรือหาความสัมพันธ์ในส่วนย่อยนน้ั ๆ 5. การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการที่จะนาองค์ประกอบหรือส่วนย่อยๆ น้ันมา รวบรวมกันเพ่ือให้เปน็ ภาพทส่ี มบรู ณจ์ นเกดิ ความเข้าใจ ในสิง่ เหลา่ นั้นอยา่ งชัดเจน 6. การประเมินค่า หมายถึง ความสามารถในการพิจารณาคุณค่าของส่ิงต่างๆ โดยผู้กาหนด ตดั สินขนึ้ มาเอง จิตพิสัย (Affective Domain) เป็นจุดประสงค์ที่เก่ียวกับความรู้สึกทางจิตใจ อารมณ์ เจต คติ ค่านิยม และคุณธรรม จรยิ ธรรม จะเกิดข้ึนตามลาดับขน้ั ตอน ดังนี้ 1. การรบั รู้ คือ การรบั รขู้ องนักเรียน นกั ศกึ ษา โดยรับประสบการณจ์ ากสง่ิ แวดลอ้ ม 2. การตอบสนอง คือ การมปี ฏกิ ิริยา โตต้ อบกบั สิง่ แวดลอ้ มท่เี ข้ามาด้วยความเต็มใจ 3. การสร้างคุณค่า เป็นสิ่งที่เกิดภายหลังจากที่รับรู้ส่ิงแวดล้อมแล้ว และมีปฏิกิริยาโต้ตอบ สังเกตได้จากพฤติกรรมท่ียอมรับสงิ่ ใดส่ิงหน่งึ 4. การจดั ระบบคณุ ค่า เปน็ การรวบรวมพจิ ารณา ค่านยิ มใหเ้ ข้าเป็นคา่ นยิ ม หรอื สรา้ งมโน ทศั นข์ องค่านยิ ม 5. การสร้างลักษณะนิสัย เป็นเรื่องของความประพฤติ คุณสมบัติ และคุณลักษณะของแต่ละ บคุ คลทเี่ ปน็ ผลของความรสู้ ึก ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นจุดประสงค์ที่เกี่ยวกับทักษะในการเคล่ือนไหว ของอวัยวะตา่ งๆ ของรา่ งกายมีลาดับการพัฒนา ดังนี้ 1. การเลยี นแบบ เปน็ การทาตามอย่างหรอื ดูแบบจากของจรงิ 2. การทาตามแบบ หรือลงมือกระทาตามตวั อยา่ งท่ใี ห้ 3. ความถูกต้อง หรือการมีความถูกต้องแม่นยา เป็นการกระทาโดยอาศัยความรู้ท่ีเคยทามา กอ่ นแลว้ เพม่ิ เตมิ 4. การกระทาอย่างต่อเนื่อง เป็นการกระทาในเรื่องคล้ายๆ กันและแยกรูปแบบได้ถูกต้อง อย่างต่อเน่อื ง 5. การทาจนเคยชินและเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นการทาซ้าๆ ให้เกิดความชานาญ และ สาเรจ็ ในเวลาอนั รวดเรว็ การวดั ความรแู้ ละประเมินผลเชิงประจักษ์ในเรื่องของการประเมินทางด้านจิตพสิ ยั (Affective Domain) และการประเมินทางด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นส่ิงสาคัญมาก ดังนั้น ก่อนเข้าสู่การประเมินจะต้องเข้าใจความหมายของค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรมว่ามีความแตกต่าง กันอยา่ งไร

2. ค่านิยม คณุ ธรรม และจริยธรรม ค่านิยม หมายถึง ส่ิงท่ีบุคคลหรือสังคมยึดถือ เป็นเคร่ืองช่วยตัดสินใจและกาหนดการกระทา ของตนเอง คา่ นิยมอาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. ค่านิยมเฉพะตัว (Individual Value) หมายถึง ค่านิยมส่วนบุคคลเป็นการตัดสินใจเลือกในส่ิง หรือสถานการณ์ท่ีตนตอ้ งการหรือพอใจนัน้ ถอื วา่ เปน็ ค่านิยมของบคุ คลนั้น 2. คา่ นิยมสังคม (Social Value) หมายถึง ค่านยิ มของคนสว่ นใหญใ่ นสังคมยอมรบั ว่าเปน็ สิ่งดี งาม หรอื ควรแกก่ ารปฏบิ ตั ิ สิ่งหรือสถานการณ์น้นั ๆ กจ็ ะกลายเป็นค่านยิ มของสงั คม ชนิดของค่านยิ ม ประกอบดว้ ย 1. ค่านยิ มทางวัตถุ 2. คา่ นยิ มทางสงั คม 3. ค่านิยมทางความจรงิ 4. ค่านิยมทางจรยิ ธรรม 5. ค่านยิ มทางสนุ ทรียภาพ 6. ค่านยิ มทางศาสนา คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณความดี หรือหน้าที่อันพึงมีอยู่ในตัวซึ่งสามารถแยกออกเป็น 2 ความหมาย คอื 1. ความประพฤติดงี าม เพอื่ ประโยชนส์ ุขแก่ตนและสงั คมซึ่งมีพ้ืนฐานมาจากหลักศีลธรรมทาง ศาสนา ค่านิยมทางวัฒนธรรม ประเพณี หลกั กฎหมายและจรรยาบรรณวชิ าชพี 2. การรู้จักไตร่ตรองว่าอะไรควรทา ไม่ควรทา และอาจกล่าวได้ว่า คุณธรรม คือ จริยธรรม ทน่ี ามาปฏิบัตจิ นเป็นนสิ ยั เช่น การเป็นคนซ่อื สตั ย์ เสียสละ อดทน มีความรับผดิ ชอบ เป็นตน้ จริยธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติ ศีลธรรมอันดี เป็นสิ่งที่ควรประพฤติปฏิบัติ เปน็ ส่ิงที่ถูกตอ้ งทส่ี ังคมยอมรบั เพือ่ สังคมจะได้มคี วามสงบสุข จริยธรรมเป็นสิ่งสาคัญและจาเป็นสาหรับครูที่มีภาพลักษณ์ของปูชนียบุคคล หลักจริยธรรมท่ี ครคู วรยึดถือมี 8 ขอ้ คอื 1. การใฝ่ใจสจั ธรรม ถอื เป็นจริยธรรมพ้ืนฐานที่สาคญั ทส่ี ุดทเี่ น้นการใฝ่หาความจริง โดยยดึ มน่ั กับกระบวนการคดิ อยา่ งมเี หตุผลและศรัทธาอาจเทยี บได้กับแนววิทยาศาสตร์ คอื 1.1 เป็นวิธีแสวงหาขอ้ มูล 1.2 การกาหนดปญั หา 1.3 การสรา้ งทางเลอื กในการแกป้ ัญหา 1.4 การวเิ คราะหว์ ิธที ด่ี ีในการสรปุ 1.5 การยึดมน่ั ในกระบวนการวทิ ยาศาสตร์

2. การใชป้ ัญญาในการแก้ปญั หา เน้นการปลกู ฝงั ปัญญาให้เปน็ ผูม้ ีเหตุผล 3. เมตตา กรณุ า เป็นจริยธรรมพื้นฐานทส่ี าคัญ 4. สติ สัมปชัญญะ เป็นจริยธรรมที่สาคัญท่ีเน้นการควบคุมตนเองให้มีการรับรู้ทางประสาท สมั ผสั การตัดสนิ ใจ และการกระทาพฤตกิ รรมอยา่ งเหมาะสม 5. ความไม่ประมาท เน้นการพิจารณาสถานการณ์แวดล้อมพิจารณาผลท่ีจะตามมาของการ กระทา 6. ความซื่อสตั ย์สุจริต เปน็ ความซือ่ ตรงตอ่ หน้าท่ีต่อตนเองอันเป็นความถกู ต้องดีงาม 7. ความขยันหมั่นเพียร เป็นความพอใจ ความเพียร ความมใี จจดจ่อและการไตร่ตรองการควบคุม ตนเองอนั เปน็ ท่มี าของความมีระเบียบวินัย 8. หิริโอตัปปะ เป็นการควบคุม กาย วาจา และความคิดให้มีความเหมาะสมถูกต้องตาม ทานองครองธรรม การประเมินผลการพฒั นาจรยิ ธรรม การประเมินผลการพัฒนาจริยธรรม คือ การวัดระดับจริยธรรมทางจิตใจ หรือทางพฤติกรรม หรอื ทั้งสองอยา่ งพรอ้ มกนั อาจทาเป็นรายบคุ คล หรอื กลมุ่ การเรียนก็ได้ 2.1 การประเมินผลทางจริยธรรม ในการประเมินผลทางจรยิ ธรรมนั้นผูป้ ระเมินต้องคานึงถงึ ขอ้ การประเมนิ ดังตอ่ ไปนี้ 1. การประเมนิ อะไร 2. ประเมนิ อย่างไร 3. ประเมินใคร 4. ประเมนิ เม่ือไร 2.2 เทคนิค วิธวี ัด และประเมินจริยธรรมของผเู้ รียน การวดั และประเมนิ จรยิ ธรรมของผูเ้ รียนนัน้ ควรวัด 4 องคป์ ระกอบ คอื 1. ความรูท้ างจริยธรรม 2. เจตคติเชงิ จริยธรรม 3. การใช้เหตุผลเชงิ จรยิ ธรรม 4. พฤตกิ รรมทางจริยธรรม การประเมนิ อาจใชท้ ัง้ วิธกี ารประเมินผู้อ่นื และประเมินตนเองรว่ มกนั โดยตอ้ งพิจารณาเลือกใช้ เคร่อื งมอื ใหเ้ หมาะสมในแง่ความสะดวกในการใชแ้ ละประเมินประสิทธิภาพในการวัด การวัดความรู้ทางจริยธรรม เพื่อวัดเนื้อหาหรือความรู้ (Knowledge) ได้แก่ ความจาความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และประเมินค่าเกี่ยวกับเน้ือหาของจริยธรรม เครื่องมือที่ใช้

ในการวดั อาจใชแ้ บบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน แบบเลือกตอบ อธบิ าย เติมคา หรือจบั คู่ เป็น ตน้ การวัดเจตคติทางจริยธรรม เพื่อวัดระดับความรู้สึกทางจริยธรรมว่ามีมากน้อยเพียงใด เครอื่ งมอื ท่ใี ชว้ ดั อาจใช้แบบวดั เจตคติ แบบ Likert Osgood หรอื Thurstone การวดั การใช้เหตุผลเชิงจรยิ ธรรม เพอื่ วดั ระดบั การใช้เหตผุ ลทางจริยธรรมซง่ึ เป็นการวดั การใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรมของบุคคลต่อสถานการณ์ที่เป็นปัญหาทางจริยธรรม เครื่องมือที่ใช้วัดอาจใช้ แบบทดสอบเชิงสถานการณ์ การสัมภาษณ์โดยใช้สถานการณ์ หรือการให้ทางานแก้ปัญหาโดยใช้ สถานการณ์ เปน็ ตน้ การวัดพฤติกรรมทางจริยธรรม เพื่อวัดพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออกทางจริยธรรมที่สังเกตและ บันทึกได้ชัดเจนว่ามีระดับมากน้อยเพียงใด เครื่องมือที่ใช้วัดอาจใช้ แบบสังเกตพฤติกรรม หรือ สมั ภาษณ์ เป็นตน้ ตัวอย่าง แนวการวัดและประเมินจริยธรรมด้านความรับผิดชอบของผู้เรียนในระบบทวิภาคี ควรพิจารณาตามขนั้ ตอนการประเมนิ ดังนี้ 1. กรอบตัวบง่ ช้คี วามรบั ผดิ ชอบ ประกอบด้วย 1.1 ความขยนั หมนั่ เพียรและมุ่งม่นั ตงั้ ใจปฏบิ ัตดิ า้ นความพยายาม 1.2 การตรงต่อเวลา 1.3 การเอาใจใส่ต่อการงาน มีความละเอียดรอบคอบ และเคารพกฎระเบียบ 1.4 การยอมรับผลของการกระทา 2. องคป์ ระกอบของการประเมนิ จริยธรรมต้องกระทาใหค้ รบทัง้ 4 องคป์ ระกอบ 3. การสร้างเครื่องมือที่ใช้และแนวทางการพัฒนาเครื่องมือให้มีความสอดคล้องกับองค์ประกอบ ของจรยิ ธรรม 4. การนาไปใช้ และแปรผลการประเมนิ เพ่ือการพัฒนาครแู ละผเู้ รียน 3. วิธีการประเมนิ ตามสภาพจริง สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2542) ได้กล่าวถึงวิธีท่ีใช้ในการประเมิน ตามสภาพจริงไว้ ดงั นี้ 3.1. การสังเกต เป็นวิธีการที่ดีมากวิธีหน่ึงในการเก็บข้อมูลเชิงพฤติกรรมด้านการใช้ความคิด การปฏิบัติงาน และโดยเฉพาะด้านอารมณ์ ความรู้สึกและลักษณะนิสัย สามารถทาได้ทุกเวลาทุก สถานที่ท้ังในห้องเรียนและนอกห้องเรียน หรือในสถานการณ์อื่นนอกโรงเรียน ซ่ึงวิธีการสังเกตทาได้ โดยต้ังใจและไม่ต้ังใจ การสงั เกตโดยตัง้ ใจ หรือมโี ครงสรา้ ง หมายถึง ครกู าหนดพฤติกรรมทีต่ ้องสังเกต ช่วงเวลาและ วิธกี ารสังเกต ส่วนการสงั เกตแบบไม่ต้ังใจ หรือไม่มีโครงสร้าง หมายถึงไมม่ ีการกาหนดรายการสังเกตไว้

ล่วงหน้า ครูอาจมีกระดาษแผ่นเล็กๆ ติดตัวไว้ตลอดเวลาเพื่อบันทึก เม่ือพบพฤติกรรมการแสดงออกที่ มีความหมาย หรือสะดุดความสนใจของครู การบันทึกอาจทาได้โดยย่อก่อน แล้วขยายความสมบูรณ์ ภายหลัง ซ่ึงการสังเกตท่ีดีควรใช้ทั้งสองวิธี เพราะการสังเกตโดยตั้งใจ อาจทาให้ละเลยมองข้าม พฤติกรรมที่น่าสนใจไปเพราะไม่มีในรายการ ส่วนการสังเกตโดยไม่ตั้งใจอาจทาให้ครูขาดความชัดเจน ว่าพฤติกรรมใด ที่ควรแก่การสนใจและที่สาคัญการสังเกตนั้นควรสังเกตหลายๆ คร้ังเพื่อยืนยันข้อมูล ของสิ่งทีไ่ ดส้ ังเกต 3.2 การสมั ภาษณ์ เปน็ วธิ ีการเก็บข้อมูลเชิงพฤติกรรมดา้ นตา่ งๆ ไดด้ ี เช่น ความคดิ สตปิ ัญญา ความรู้สึก กระบวนการในการทางาน วิธีแก้ปัญหา อาจใช้ประกอบการสังเกตเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มั่นใจ มากยงิ่ ขึน้ และในการสัมภาษณน์ ัน้ ครตู อ้ งเตรียมตัว ดงั นี้ 3.2.1 ก่อนสัมภาษณค์ วรหาข้อมลู เก่ียวกับภูมหิ ลงั ของนักเรียนก่อนเพื่อทาให้การสัมภาษณ์ เจาะตรงประเดน็ และได้ขอ้ มูลครบถ้วน 3.2.2 เตรยี มข้อคาถามล่วงหนา้ และจัดลาดับคาถามเพื่อชว่ ยให้การตอบไม่กากวม 3.2.3 ขณะสัมภาษณ์ครูใช้วาจา ท่าทาง น้าเสียงที่อบอุ่นเป็นกันเอง ทาให้นักเรียนเกิด ความรูส้ กึ ปลอดภยั และมีแนวโนม้ ใหน้ กั เรยี นอยากพดู อยากเล่า 3.2.4 ใช้คาถามทนี่ กั เรยี นเข้าใจงา่ ย 3.2.5 อาจใช้วิธีสัมภาษณ์ทางอ้อม คือ สัมภาษณ์จากบุคคลที่ใกล้ชิดนักเรียน เช่น เพ่ือน สนิท ผู้ปกครอง เป็นตน้ 3.3. การตรวจงาน เป็นการวัดและประเมินผลท่ีเน้นการนาผลการประเมินไปใช้ทันที ใน 2 ลักษณะ คือ เพื่อการช่วยเหลือนักเรียนและเพื่อปรับปรุงการสอนของครู จึงเป็นการประเมินท่ีควร ดาเนินการตลอดเวลา เช่น การตรวจแบบฝึกหัด ผลงานภาคปฏิบัติ โครงการ/โครงงานต่างๆ เป็นต้น งานเหล่านี้ควรมีลักษณะท่ีครูสามารถประเมินพฤติกรรมระดับสูงของนักเรียนได้ เช่น แบบฝึกหัด ที่เน้นการเขยี นตอบ เรียบเรยี ง สรา้ งสรรค์ และงานท่ีเน้นความคิดขนั้ สูงในการวางแผนจัดการ ดาเนนิ การ และแก้ปัญหาสิ่งท่ีควรประเมินควบคู่ไปด้วยเสมอในการตรวจงาน (ท้ังงานเขียนตอบและปฏิบัติ) คือ ลักษณะนิสัยและคุณลักษณะท่ีดีในการทางาน และในการตรวจงานครูควรมีความยืดหยนุ่ การประเมนิ ดังน้ี 3.3.1 ครูไม่จาเป็นต้องนาช้ินงานทุกช้ินมาประเมิน อาจเลือกเฉพาะชิ้นงานท่ีนักเรียน ทาได้ดีและบอกความสามารถของนักเรียนตามลักษณะที่ครูต้องการประเมินได้ วิธีการนี้เน้น “จดุ แข็ง” ของนักเรียน เพอ่ื เป็นการเสริมแรงใหน้ กั เรยี นเกิดความพยายามทาผลงานท่ีดๆี ออกมา 3.3.2 จากข้อ 1 ช้ินงานของนักเรียนท่ีหยิบมานั้นไม่จาเป็นต้องเป็นเร่ืองเดียวกันขึ้นอยู่ กบั นักเรยี นแต่ละคนวา่ ทางานชน้ิ ใดไดด้ ี

3.3.3 ชิ้นงานที่นามาประเมินนักเรียนอาจทานอกเหนือจากท่ีครูกาหนดให้ก็ได้ แต่ต้อง มัน่ ใจว่าเปน็ สง่ิ ท่ีนักเรียนทาเองจรงิ ๆ 3.3.4 ผลการประเมิน ไม่ควรบอกเป็นคะแนนหรือระดับคุณภาพ ท่ีเป็นเฉพาะตัวเลข อย่างเดียว แต่ควรบอกความหมายของผลคะแนนนัน้ ดว้ ย 3.4 การรายงานตนเอง เป็นการให้นักเรียนเขียนบรรยายหรือตอบคาถามส้ันๆ หรือ ตอบ แบบสอบถามท่ีครูสร้างข้ึน เพ่ือสะท้อนถึงการเรียนรู้ของนักเรียนท้ังความรู้ ความเข้าใจ วิธีคิด วิธี ทางาน ความพอใจในผลงาน ความต้องการพัฒนาตนเองให้ดยี ิ่งขน้ึ 3.5 การใช้บันทึกจากผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นการรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นท่ีเก่ียวข้องกับตัว นกั เรียน ผลงานนกั เรยี น โดยเฉพาะความกา้ วหน้าในการเรยี นรขู้ องนกั เรยี นจากแหลง่ ตา่ งๆ 3.6 การใชข้ อ้ สอบแบบเนน้ การปฏบิ ตั ิจรงิ ในกรณีทค่ี รูตอ้ งการใช้แบบทดสอบ ซึ่งแบบทดสอบ ควรมีลกั ษณะดงั ต่อไปน้ี 3.6.1 ปัญหาต้องมีความหมายต่อผู้เรียน และมีความสาคัญเพียงพอท่ีจะแสดงถึงภูมิ ความรูข้ องนักเรียนในระดับชั้นน้นั 3.6.2 เป็นปญั หาท่เี ลียนแบบสภาพจรงิ ในชวี ติ ของนกั เรียน 3.6.3 แบบสอบถามต้องครอบคลุมทัง้ ความสามารถและเนื้อหาตามหลักสูตร 3.6.4 นกั เรียนต้องใชค้ วามรู้ความสามารถ ความคดิ หลายๆ ด้านมาผสมผสาน และแสดง วธิ คี ดิ ได้เป็นขนั้ ตอนที่ชดั เจน 3.6.5 ควรมีคาตอบถูกไดห้ ลายคาตอบ และมวี ธิ ีการหาคาตอบได้หลายวธิ ี 3.6.6 มีเกณฑ์การใหค้ ะแนนตามความสมบรู ณ์ของคาตอบอย่างชัดเจน 3.7 การประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงาน ซ่ึงเป็นส่ิงที่ใช้สะสมงานของนักเรยี นอย่างมีจุดประสงค์ ที่แสดงถึงความพยายาม ความก้าวหนา้ และผลสมั ฤทธิใ์ นเร่อื งนนั้ ๆ และนักเรยี นมีสว่ นรว่ มในการเลอื ก เนื้อหา เกณฑ์การเลือก เกณฑ์การตัดสิน ความสามารถหรือคุณสมบัติ หลักฐานการสะท้อนตนเองซ่ึง การประเมินแบบน้ีได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการประเมินที่ผูกติดกับการสอนและ มี นักเรยี นเปน็ ศูนย์กลางของการเรยี นการสอนทชี่ ดั เจน 4. ขั้นตอนการดาเนินการประเมินตามสภาพจริง การดาเนนิ การประเมินตามสภาพจรงิ มขี ้ันตอนดังต่อไปนี้ 4.1 กาหนดสิง่ ท่ตี อ้ งประเมนิ ตามมาตรฐานการเรยี นรู้ (Standard) เปน็ การกาหนดสิง่ ทีผ่ ู้เรียน ควรจะรู้ หรอื สามารถทาได้จากการพจิ ารณาจุดประสงค์รายวชิ า (objective learning) และสมรรถนะ รายวิชาเม่อื สิน้ สดุ การเรียนการสอน 4.2 กาหนดกิจกรรมที่สอดคล้องกับชีวิตจริง (authentic task) เพื่อให้ผู้เรียนได้บรรลุ มาตรฐาน เปน็ การกาหนดกิจกรรมที่สอดคลอ้ งกับชวี ติ จริงให้เกิดการเรยี นรเู้ พื่อใหผ้ ้เู รียนนาไปปฏิบัติ

4.3 กาหนดพฤติกรรมบ่งชี้ (indicator) หรือเกณฑ์การปฏิบัติ (performance criteria) เป็นการ กาหนดว่าผ้เู รยี นตอ้ งปฏบิ ตั ิหรอื กระทากิจกรรมทด่ี เี สมือนจริงอยา่ งไรบ้าง 4.4 กาหนดการให้ค่าคะแนน (rubric scoring) เป็นการกาหนดระดับการปฏิบัติของผู้เรียนว่า ดีมากน้อยเพยี งใด 4.5 กาหนดเกณฑ์ขนั้ ต่า (cut off score) เป็นการกาหนดวา่ ผเู้ รียนควรปฏิบัตไิ ดด้ ีในระดบั ใด 4.6 ปรับปรุงการเรียนการสอน (adjust instruction) เป็นการนาผลการประเมินผู้เรียนมา เปน็ แนวทางการปรับปรงุ การเรยี นการสอน กาหนดสงิ่ ทผ่ี ู้สอนควรทาเพ่ือปรบั ปรงุ การเรยี นการสอน 5. รายละเอยี ดการดาเนินการของแต่ละขน้ั ตอน มีดงั ต่อไปนี้ ขนั้ ที่ 1 กาหนดมาตรฐานการเรียนร้หู รือสมรรถนะ (Standard/competency) การกาหนดมาตรฐานการเรียนรู้หรือสมรรถนะ (Standard competency) เป็นการกาหนดข้อความ ท่ีบ่งบอกว่าผู้เรียนควรจะรู้อะไรมีสมรรถนะหรือสามารถทาส่ิงใดได้บ้าง ซ่ึงได้จากการวิเคราะห์ จุดประสงคร์ ายวิชาและคาอธบิ ายรายวชิ า วิธกี ารกาหนดมาตรฐานการเรยี นรู้ มดี งั นี้ 1. คิดใคร่ครวญ (reflect) ก่อนว่าต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรและสามารถทา อะไรได้บ้างเม่อื ผา่ นการเรียนรายวิชาหรอื จบการศึกษา 2. ทบทวน (review) ทบทวนมาตรฐานที่ผู้อื่นใช้มาก่อน และทดลองนามาเป็น แนวทางในการปรบั ปรุงมาตรฐานของตนเอง 3. เขียนมาตรฐาน (write) เขียนมาตรฐานของตนเองแล้วถามตนเองหรือเพื่อน ร่วมงานว่ามาตรฐานนี้เป็นไปได้หรือไม่ สามารถประเมินได้จริง ความรู้หรือทักษะตามมาตรฐานมี ความสาคัญตอ่ ผเู้ รียนในชีวิตและอนาคต การเขียนมาตรฐานการเรยี นรู้หรอื สมรรถนะ (Standard/competency) มหี ลักการเขยี น ดงั นี้ 1. สามารถวัดได้ สงั เกตได้ 2. เขียนด้วยคาที่แสดงถึงพฤติกรรมที่ผู้เรียนต้องแสดงออก (action) เช่นใช้คาว่า วเิ คราะห์ สาธิต ค้นหา แสดง 3. เขยี นดว้ ยภาษาท่ีอ่านเข้าใจงา่ ยส่อื สารได้ตรงตามจุดมุ่งหมาย ตวั อย่าง 1. สามารถใช้โปรแกรมสาหรับงานสานักงาน การใช้อินเทอร์เน็ตและไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เพอ่ื งานอาชพี 2. สามารถติดตง้ั อปุ กรณแ์ ละระบบปฏิบตั ิการของคอมพิวเตอร์ 3. สามารถจดั ทาเอกสารตารางทาการและนาเสนอผลงาน

4. สบื คน้ ข้อมลู โดยใชอ้ ินเทอรเ์ นต็ และรับ - สง่ จดหมายอเิ ล็กทรอนิกส์ ขั้นที่ 2 การเลือกกจิ กรรมเสมือนจริง (Authentic task) เป็นการออกแบบประสบการณ์เพื่อให้ ผู้เรยี นได้แสดงพฤติกรรมออกมา สถานการณ์ควรมคี วามเก่ียวข้องกบั ชีวติ จริงหรือเสมือนจริง โดยมี แนวทาง ดงั นี้ 1. เป็นสถานการณ์ที่เร้าใหผ้ ูเ้ รียนต้องทาหรือแสดงออก 2. เปน็ สถานการณท์ ี่เก่ยี วขอ้ งในชวี ิตจริง 3. กิจกรรมอาจเป็นการสรา้ งขึ้นใหม่ หรอื ประยุกตม์ าจากส่ิงเดมิ 4. ผเู้ รียนเปน็ ผูล้ งมือกระทา 5. กิจกรรมสอดคล้องกับส่ิงท่ีต้องวัดและประเมินการเรียนรู้และสามารถวัดได้ ประเมินได้ ข้ันที่ 3 กาหนดเกณฑ์การปฏิบัติ (performance criteria) เป็นคาอธิบายส่ิงท่ีผู้เรียนต้อง แสดงออก หรอื พฤติกรรมทบี่ ง่ ชท้ี แี่ สดงออกหรอื ทักษะการปฏิบัติอนั จะนาไปสู่มาตรฐานการเรยี นรู้ ท่ีกาหนด ไว้ซ่ึงมาจากการวิเคราะห์จุดมุ่งหมายการเรียนรู้ตามมาตรฐานอย่างชดั เจน ผู้ท่ีกาหนดเป็นผู้ที่มีความรู้ในงาน นั้นเป็นอย่างดี เกณฑ์ท่ีใช้ในการประเมินต้องเป็นเกณฑ์การประเมิน “แก่นแท้” (essentials) ของการ ปฏิบัติงาน เกณฑ์ท่ีเป็นแก่นแท้นี้เป็นเกณฑ์ที่เปิดเผยและรับรู้กันทั้งผู้เรียนและผู้เกี่ยวข้อง โดยการให้ ผู้เรียนรู้วงหน้าว่าตนเองต้องทาภารกิจอะไรและมีเกณฑ์อย่างไร จะทาให้ การเรียนรู้ของผู้เรียนและการ สอนของผู้สอนส่งเสริมซง่ึ กันและกนั ลกั ษณะการกาหนดเกณฑ์การปฏิบตั ทิ ี่ดมี ี ดงั นี้ 1. ขอ้ ความสอ่ื ความหมายชัดเจนวา่ ใหผ้ เู้ รยี นทาอะไร 2. สามารถสังเกตได้ 3. บ่งบอกพฤตกิ รรมท่ตี อ้ งทา 4. แต่ละขอ้ แยกเป็นอิสระจากกัน 5. มีรายการเท่าที่จาเป็นที่สะท้อนซ่ึงถึงความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนไม่จาเป็น ตอ้ งประเมินทุกๆ สง่ิ เพราะอาจเป็นไปได้ในการประเมินทางปฏิบตั ิจริง 6. สอดคลอ้ งกับกิจกรรม หากกิจกรรมมคี วามสาคญั น้อย ก็ไม่ควรมากรายการ

ตวั อย่าง มาตรฐานการเรียนรู้ : ผเู้ รียนสามารถเขียนใบสมคั รงานที่ดไี ด้ กจิ จรรม : ใหเ้ ขียนใบสมัครงาน กาหนดเกณฑก์ ารปฏิบัติ : - คน้ หาโฆษณาประกาศรบั สมัครงานจากหลายแหลง่ - คัดเลอื กโฆษณาประกาศการรับสมัครงานที่เหมาะสมกับคุณวฒุ ิของตนเอง - เขียนใบสมคั รงานและประวัติตนเองตามแบบฟอรม์ ท่ีกาหนด - ขอรอ้ งให้ผู้เก่ยี วขอ้ งเขียนจดหมายสนบั สนุนความสามารถของตนเอง - สง่ เอกสารท่ีเกย่ี วข้องไปถึงสถานทรี่ ับสมคั รงาน ขน้ั ที่ 4 เลอื กรปู แบบเครือ่ งมอื ทเ่ี หมาะสม และสรา้ งขอ้ รายการตรงตามพฤติกรรมทต่ี อ้ งการวดั ขั้นตอนน้ีผู้วัดต้องตัดสินใจว่าจะใช้เครื่องมือแบบใดในการวัดประเมินการเรียนรู้เช่น แบบสังเกตที่เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า หรือแบบตรวจสอบรายการ แบบทดสอบ ท้ังนี้ต้อง พิจารณาให้เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการวัด หากพฤติกรรมท่ีต้องการวัดมุ่งวัดลาดับข้ันตอนการทางาน ก็อาจใช้แบบตรวจสอบรายการ หากเน้นท่ีระดับคุณภาพของการทางานอาจใช้แบบมาตราส่วน ประมาณค่าซงึ่ รายละเอยี ดเครื่องมือแต่ละชนิดจะไดก้ ล่าวตอ่ ไป ข้ันท่ี 5 การกาหนดเกณฑ์การให้คะแนน ควรคานึงถงึ ส่ิงน้ี 1. การวัดผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยเคร่ืองมือและ วธิ ีการต่างๆ ซึ่งจะต้องให้ค่าคะแนน (score) อันเป็นข้อมูลที่ได้จากการวัด เป็นดัชนีแสดงถึงปริมาณ ความรู้ความสามารถของบุคคล เป็นข้อมูลบ่งบอกความสาเร็จของการเรียนการสอน และประเมินผล การเรยี นรู้และประเมินความก้าวหนา้ ด้วยการกาหนดเกณฑ์การใหค้ ะแนน (scoring rubrics) 2. การประเมินด้วยเกณฑ์การให้คะแนน เป็นเคร่ืองมือที่ใช้ในการประเมินคุณภาพ ผลงานหรือการปฏบิ ตั งิ าน โดยมีคาอธิบายคุณภาพของงานในแตล่ ะระดับ หรอื มตี ัวชว้ี ัดผลงานในแตล่ ะ ส่วนแตล่ ะระดบั ไว้อย่างชัดเจน 3. เครือ่ งมือในการใหค้ ะแนน ประกอบด้วยเกณฑ์ด้านต่างๆ ทีใ่ ช้พจิ ารณาช้นิ งานหรือ การปฏิบัติ รูบริคการให้คะแนน คือแนวทางการให้คะแนนอย่างละเอียดซึ่งพัฒนาขึ้นโดยผู้สอนหรือ ผู้ประเมิน เพ่ือเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ผลงานหรือกระบวนการท่ีเกิดจากความพยายามของ นักเรียน รูบริคเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (rating scales) ที่มีคาอธิบายรายละเอียดของการให้คะแนน แต่ละระดับ ใช้ประเมินการปฏิบัติ โดยปกติจะเรียกว่าแนวทางการให้คะแนน (scoring guides) ประกอบด้วยเกณฑ์การประเมินการปฏิบัติท่ีมีลักษณะเฉพาะ ใช้ในการประเมินการปฏิบัติงานของ นกั เรยี น หรอื ประเมินผลผลติ ซ่งึ เป็นผลจากการปฏบิ ตั งิ าน (Mertler, Craig A, 2006)

เกณฑ์การให้คะแนนเป็นส่ิงสะท้อนคุณภาพ ความสามารถในการทางาน เกณฑ์การให้คะแนน ที่มีความเป็นปรนัยมากท่ีสุดคือเกณฑ์การให้คะแนน (scoring rubrics) การสร้างคู่มือเพื่อยึดเป็น กฎเกณฑใ์ นการให้คะแนนเป็นส่งิ ทต่ี ้องกระทาเป็นอย่างย่ิง เพื่อใหก้ ารให้คะแนนมีความเป็นปรนัยมากทส่ี ุด 6. วธิ กี ารกาหนดเกณฑ์การใหค้ ะแนน มี 2 ประเภท คือ 1. คุณภาพทีก่ าหนดเป็นขอ้ ความทว่ั ไป ไม่ยึดติดกับเน้ือหา (general scoring rubrics) 2. คุณภาพทีก่ าหนดเป็นข้อความทเ่ี จาะจงยดึ ตดิ กับเน้อื หาท่ตี ้องการวดั (specific scoring rubrics) ลักษณะของเกณฑ์การใหค้ ะแนน มีดังนี้ 1. ประกอบด้วยมาตรวดั (scale) ที่แสดงระดบั คุณภาพ เพือ่ ใหค้ ะแนนผลงาน 2. มคี าอธบิ ายแต่ละระดบั การปฏิบตั เิ พอ่ื ชว่ ยใหก้ ารใหค้ ะแนนมีความเช่อื ม่ันไมล่ าเอียง 3. มาตรวัดอาจมีลักษณะเป็นการให้คะแนนแบบรวม (holistic scoring rubrics) หรือแบบแยกส่วน (analytic scoring rubrics) หรือใช้รว่ มกันทั้งสองแบบ มีรายละเอยี ดดังน้ี 3.1 การกาหนดเกณฑ์แบบองค์รวม (holistic rubrics) เป็นการกาหนดเกณฑ์ แบบรวมๆ กว้างๆ ไมแ่ ยกการใหค้ ะแนนตามแต่ละองค์ประกอบย่อย 3.2 การกาหนดเกณฑ์แบบแยกส่วน (analytic rubrics) เป็นการกาหนดเกณฑ์การให้ คะแนนตามแต่ละองคป์ ระกอบย่อย ตัวอย่าง:การใหค้ ะแนนแบบองคร์ วม เรื่องการประกอบอาหาร ระดับคะแนน เกณฑ์การให้คะแนน 4 (ดีเย่ียม) ปรงุ อาหารสาเร็จ สะอาดรสชาติอรอ่ ยและตกแตง่ สวยงามนา่ รบั ประทาน 3 (ดี) ปรงุ อาหารสาเร็จ สะอาดและรสชาตอิ รอ่ ยแต่ไม่มกี ารตกแต่งให้สวยงาม 2 (พอใช้) ปรุงอาหารสาเร็จและสะอาดแต่รสชาตไิ ม่อรอ่ ย 1 (ปรับปรงุ ) ปรุงอาหารไม่สาเรจ็ หรอื สาเรจ็ แตไ่ มส่ ะอาดและไมอ่ รอ่ ย

ตัวอยา่ ง : การใหค้ ะแนนแบบแยกส่วน เรื่องการประกอบอาหาร องคป์ ระกอบ เกณฑ์การให้คะแนน การประเมนิ 012 3 1. การเตรียม วัสดุอุปกรณ์ ไมผ่ ่าน ต้องปรับปรุง พอใช้ได้ ยอดเยี่ยม 2. การเตรยี ม ไมม่ ีการเตรยี มวสั ดุ เตรยี มวสั ดุ เตรียมวัสดุอุปกรณ์ เตรยี มวัสดุอปุ กรณ์ วัตถดุ ิบในการ ประกอบอาหาร อปุ กรณ์ อปุ กรณ์มาไม่ครบ มาครบแต่ไม่ได้ทา มาครบและมีการทา 3. การเตรยี ม ความสะอาด ความสะอาดก่อนใช้ การประกอบ อาหาร ไม่มีการเตรียม มกี ารเตรยี ม มกี ารเตรยี ม มีการเตรียมวัตถดุ บิ 4. คณุ ภาพของ อาหารที่ปรุง วัตถุดิบใน วัตถุดบิ ในการ วตั ถุดบิ ในการ ในการประกอบ การประกอบ ประกอบอาหาร ประกอบอาหาร อาหารครบและมี อาหาร แตไ่ ม่ครบ ครบแต่ไม่มี คณุ ภาพ คณุ ภาพ ไมม่ ีการลา้ ง ห่ันแลว้ จงึ นามา มกี ารล้างก่อนหนั่ มกี ารลา้ งก่อนหัน่ กอ่ นหน่ั ล้าง และไม่แยก แต่ไม่แยกประเภท และมีการแยก ประเภท ประเภท ปรุงอาหารไม่ ปรุงอาหารสาเร็จ ปรุงอาหารสาเรจ็ ปรงุ อาหารสาเรจ็ สาเรจ็ และสะอาด สะอาดและรสชาติ สะอาด รสชาติ อรอ่ ย อรอ่ ยและตกแตง่ สวยงาม

7. เคร่ืองมอื ในการวดั และประเมินตามสภาพจริง การวัดและประเมินตามสภาพจริง ที่สะท้อนความรู้ความสามารถตามสภาพจริงของผู้เรียน ซ่ึงครอบคลุมท้ังด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัยและทักษะพิสัย ควรใช้เคร่ืองมือในการวัดผลที่สอดคล้องตรง ตามสิ่งท่ตี อ้ งการวดั ซ่ึงเครอื่ งมอื แต่ละชนิดมคี วามเหมาะสมกับลักษณะของข้อมูลทต่ี ้องการวดั แตกต่าง กนั ไป ดังมรี ายละเอยี ดในตาราง ต่อไปน้ี เครอ่ื งมอื ลักษณะของขอ้ มูล แบบทดสอบ(test) วดั ความรคู้ วามสามารถของผเู้ รยี น ตามจุดประสงค์การเรยี นรู้ แบบสังเกต ใชส้ งั เกตเหตกุ ารณ์บรรยายพฤติกรรม หรือการปฏบิ ตั งิ านที่ผ้สู ังเกตได้ (observation) กาหนดไวโ้ ดยผู้ถูกสังเกตรตู้ ัวหรือไม่รตู้ วั ก็ได้ แบบบันทึกเหตุการณ์ บันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับการเรียนการสอน กิจกรรมในช้ันเรียน ปฏิกิริยา หรือระเบยี น ของผู้เรียน การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน กระบวนการกลุ่ม การจัดกลุ่ม พฤติการณ์ บรรยากาศสภาพทางกายภาพ เปน็ การบนั ทึกของครูถึงเหตุการณ์ตา่ งๆ ที่ (anecdotal record) เกิดข้ึนระหว่างการจัดการเรียนการสอน การบันทึกเหตุการณ์เป็น สิ่งจาเป็นสาหรับครูที่จะสะท้อนว่าการเรียน การสอนมีประสิทธิภาพมาก แบบสอบถาม นอ้ ยเพยี งใด (questionnaire) เปน็ ขอ้ คาถามที่เตรียมขนึ้ ไวใ้ ห้ผู้ตอบเขียนตอบ ใชเ้ ก็บข้อมลู เก่ียวกบั แบบสัมภาษณ์ ความร้สู กึ ความคดิ เหน็ ความตอ้ งการ (interview) ใช้เก็บข้อมูลด้วยการซักถามด้วยวาจา มีการเผชิญหน้า เป็นข้อมูลท่ี ตอ้ งการ แบบประเมนิ ดว้ ย ความลึกซ้งึ ลงลึกในรายละเอียด เกณฑ์ใหค้ ะแนน เป็นเคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการประเมินคุณภาพผลงาน การปฏิบตั งิ าน โดยมี (scoring rubrics) คาอธิบายคุณภาพของงานในแต่ละระดับ หรือมีตัวช้ีวัดผลงานในแต่ละ ส่วน แต่ละระดับไวอ้ ย่างชดั เจน 7.1 แบบทดสอบ แบบทดสอบ คือชดุ ของสงิ่ เร้าที่นาไปกระตุ้นใหบ้ ุคคลตอบสนองออกมา ชุดของสงิ่ เร้า นี้จึงอย่ใู นรูปของข้อคาถามท่ีอาจใหเ้ ขียนตอบ ใหแ้ สดงพฤติกรรม ให้พูดในส่ิงท่สี ามารถวัดได้ สังเกตได้ แบบทดสอบนิยมใช้วัดความรู้ทักษะและสมรรถภาพทางสมอง ท่ีเรียกว่าด้านพุทธิพิสัย (cognitive domain)

จุดประสงค์ของการเรียนรู้ด้านพุทธพิ สิ ัย จุดประสงค์การเรียนรู้ด้านพุทธพิสัยเป็นจุดประสงค์ทางการศึกษาท่ีเก่ียวกับการเรียนรู้ทางด้านปัญญา คือความรู้ความเข้าใจการใช้ความคิด พทุ ธพิ สิ ยั แบ่งเป็น 6 ระดบั ดงั นี้ 1. ความรู้หมายถงึ ความสามารถในการจาเนอ้ื หาความรแู้ ละระลึกได้เมื่อต้องการนามาใช้เช่น - นกั เรยี นสามารถบอกกระบวนการปฏบิ ัติงานเชือ่ มได้ - นกั เรยี นสามารถอธิบายหลักการด้านความปลอดภยั ในการทางานได้ 2. ความเข้าใจ หมายถึงการเรยี บเรียงความหมายของเนือ้ หาสาระโดยท่ีไมไ่ ด้จา สามารถแสดง พฤตกิ รรมความเข้าใจในรปู แบบของการแปลความหมาย ตคี วาม สรุปความ เชน่ - นักเรยี นสามารถเขยี นรปู เรขาคณิตจากโจทย์ที่กาหนดให้ได้ถูกต้อง - นกั เรยี นสามารถยกตวั อย่างการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมได้ 3. การนาไปใช้หมายถึงการนาเอาเนื้อหาสาระ หลักการความคิดรวบยอดและทฤษฎีต่างๆ ไปใช้ได้ในรูปแบบใหม่ เช่น นักเรียนสามารถออกแบบการเดินสายไฟฟ้าและต่อวงจรไฟฟ้าเบ้ืองต้น ตามหลกั การและกระบวนการได้ 4. การวิเคราะห์หมายถึงความสามารถในการแยกเนื้อหาให้เป็นส่วนย่อยเพื่อค้นหา องคป์ ระกอบ โครงสร้างความสมั พันธร์ ะหวา่ งสว่ นยอ่ ยนน้ั หรอื บอกความเปน็ เหตเุ ป็นผลได้ ซ่ึงนกั เรียน จะสามารถวเิ คราะห์ไดก้ ต็ ่อเมื่อนักเรยี นเข้าใจ เชน่ - นกั เรียนสามารถจาแนกชนดิ และคุณสมบัตพิ ้นื ฐานของเส้นใยได้ถกู ตอ้ ง 5. การสังเคราะห์หมายถึงความสามารถท่ีจะนาองค์ประกอบหรือส่วนย่อยๆ เข้ามารวมกัน เพ่อื ให้เปน็ ภาพท่ีสมบรณู แ์ ละเกดิ ความกระจา่ งในส่ิงนัน้ เชน่ - นกั เรยี นสามารถจัดระบบการทางานเพอ่ื ความปลอดภยั ได้อย่างถกู ต้องเหมาะสมกับ สถานการณ์ 6. การประเมินค่า หมายถึงความสามารถในการพิจารณาตัดสินคุณค่าความดีงามของส่งิ ต่างๆ โดยที่ผตู้ ัดสินกาหนดเกณฑ์ข้ึนมาเองหรอื องิ กับกฎเกณฑ์ท่สี งั คมกาหนดไว้ เช่น - นักเรยี นสามารถบอกไดว้ ่าการกระทาเชน่ ใดผิดจรรยาบรรณวชิ าชพี แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นท่ีนยิ มใช้มี 3 รปู แบบ คอื 1. แบบปากเปล่า (oral test) เป็นแบบทดสอบที่อาศัยการซักถามเป็นรายบุคคลใช้ได้ผลดีกับผู้เข้า สอบที่มีจานวนนอ้ ย 2. แบบเขยี นตอบ (paper – pencil test) แบง่ ได้ 2 แบบ คือ 2.1 แบบความเรียง (essay type) หรือข้อสอบอัตนัยแบบทดสอบชนิดนี้มีจุดประสงค์ เพื่อวัดความสามารถในการบรรยายอธิบายและแสดงเหตุผลตามความคิดเห็นของผู้ตอบสามารถวัด

พฤติกรรมด้านการสังเคราะห์ได้ดี แต่การให้คะแนนเกิดความลาเอียง (Bias) ได้มากหากไม่มีเกณฑ์การให้ คะแนนทช่ี ัดเจน 2.2 แบบจากัดคาตอบ (fixed response type) หรือข้อสอบปรนัยเป็นแบบทดสอบ ทมี่ คี าตอบท่ถี ูกตอ้ ง ภายใต้เง่อื นไขท่กี าหนดใหอ้ ย่างจากัด แบ่งออกเปน็ 4 ชนิดคือ 1) แบบถกู ผดิ (true-false) 2) แบบเตมิ คา (completion) 3) แบบจบั คู่ (matching) 4) แบบเลือกตอบ (multiple choice) 3. แบบทดสอบการปฏบิ ัติ (performance test) เปน็ การทดสอบท่ีให้ผู้เข้าสอบไดแ้ สดงพฤติกรรม หรือการกระทาเป็นการลงมือปฏิบตั จิ ริงๆ เช่น การใชเ้ คร่ืองมือช่าง การปฏบิ ัติการใชค้ อมพิวเตอร์เปน็ ตน้ หลกั การสรา้ งแบบทดสอบ 1. กาหนดวัตถุประสงค์การสอบ ซึ่งต้องใช้ชนิดของแบบทดสอบให้สอดคล้องกับพฤติกรรมท่ี ตอ้ งการวดั 2. วเิ คราะหห์ ลักสตู ร วเิ คราะหง์ าน หรือการวเิ คราะหค์ ุณลักษณะ (trait) กาหนดเป็นจดุ ประสงค์ การเรียนรทู้ ีม่ ุ่งวดั 3. สร้างผังข้อสอบ (test blueprint) หรือตารางจาแนกเนื้อหาและพฤติกรรมและจุดประสงค์ ทางการศึกษาทีเ่ กี่ยวกับการเรยี นรทู้ างด้านปญั ญา 6 ระดบั 4. เขียนข้อคาถามให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการเรียนรู้จาแนกตามระดับพฤติกรรม การเรยี นร้ดู า้ นพทุ ธิพสิ ยั 5. เขยี นขอ้ สอบและปรบั ปรงุ 7.2 แบบสังเกต การสังเกตเป็นเทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูล ท่ีต้องอาศัยประสาทสัมผัสหลาย อย่างใช้ได้ดีกับการศึกษาคุณลักษณะและพฤติกรรมของบุคคลอาจจะใช้วิธีการสังเกตโดยมีส่วนร่วม หรือไมม่ ีสว่ นรว่ มก็ได้ หลกั การเก็บขอ้ มลู โดยวิธสี ังเกต การสังเกตทดี่ ตี ้องมีการวางแผนสังเกตการณ์อยา่ งมจี ุดมุ่งหมายซึ่งมหี ลกั การทวั่ ไป ดังน้ี 1. กาหนดจุดมุ่งหมายในการสังเกตไวใ้ ห้แนน่ อน 2. ตอ้ งศกึ ษาเรื่องทีต่ อ้ งการสังเกตเพื่อให้มีพื้นความรูใ้ นเร่ืองนัน้ ๆ 3. วางแผนการสังเกตอย่างมีข้ันตอนและเป็นระบบ เช่น กาหนดไว้ว่าพฤติกรรมนั้นควรสังเกต ภายในเวลาก่ีนาที

4. ตอ้ งจดบันทกึ ให้ได้ข้อมลู เพ่ือทนี่ าไปแปลงเปน็ ข้อมูลเชิงปริมาณหรือนาไปวิเคราะห์ผลได้ 5. ผสู้ ังเกตตอ้ งกาจัดความรสู้ กึ และอคตอิ อกให้หมด 6. ผูส้ ังเกตตอ้ งไดร้ ับการฝกึ ฝนในเรือ่ งท่ีจะสงั เกตมาเป็นอยา่ งดี 7. ต้องใหค้ วามสาคัญ ความถูกต้องของเหตกุ ารณด์ ว้ ยความละเอียดถ่ีถว้ น 8. ควรใช้เครื่องมืออ่ืนๆ ประกอบในการสังเกตด้วย เช่น แบบตรวจสอบรายการเคร่ืองมือท่ี ช่วยบันทึกผลการสังเกต เครื่องมือที่ใช้ในบันทึกการสังเกตที่นิยมใช้ในช้ันเรียน คือแบบสังเกตที่มี โครงสร้างเปน็ แบบสังเกตทปี่ ระกอบด้วยรายการขอ้ คาถามแบง่ ออกเป็น 2 ลกั ษณะ 1. แบบตรวจสอบรายการ (checklist) ประกอบด้วยรายการที่ให้ผู้สังเกตเลือก เพียงสองทางเลือก คือ เกิด/ไมเ่ กิด ทา/ไม่ทา ใช/่ ไม่ใช่ 2. แบบมาตรประมาณคา่ (rating scale) จะประกอบดว้ ยรายการท่ีให้ผ้สู งั เกตระบุว่า สิ่งที่สังเกตได้มีปริมาณมากน้อยเพียงใด หรือบอกความถ่ีของการเกิดเช่น ทุกครั้ง บ่อยๆ บางคร้ัง นานๆ คร้งั หรือไม่ทาเลย ทาเล็กนอ้ ย ทาค่อนข้างมาก 1. แบบตรวจสอบรายการ แบบตรวจสอบรายการเป็นเคร่ืองมือที่ใช้ในการวัดพฤติกรรมท่ีต้องการ โดยเน้นที่ การบนั ทึกข้อมูลทีแ่ สดงถงึ พฤติกรรมการปฏิบัตขิ องผ้ถู ูกประเมนิ ว่าไดป้ ฏิบตั งิ านตามข้อรายการที่แสดง ไว้หรือไม่ มักใช้กับกิจกรรมของงานที่เก่ียวข้องกับการปฏิบัติท่ีเป็นลาดับข้ันตอน เช่น การให้ประกอบ อุปกรณ์จากช้ินส่วนวัสดุที่กาหนดให้ซ่ึงมีข้ันตอนของการประกอบที่มีลา ดับก่อนหลังเมื่อผู้ถูกทดสอบ ปฏิบัติงาน ผู้วัดจะสังเกตการปฏิบัติแล้วตรวจเช็คโดยทาเคร่ืองหมายขีดถูกในช่องท่ีต้องการ หลังจาก บันทึกข้อมูลเสร็จ ผู้ถูกทดสอบมักจะได้รับข้อมูลอันเป็นผลจากการสังเกตของผู้ประเมิน เพื่อทราบ ทกั ษะการปฏิบัติงานของตนเองอนั จะเป็นประโยชน์กบั การปรบั ปรุงแก้ไขต่อไป เป็นการใหข้ อ้ มูลปอ้ นกลับกับ ผู้ปฏิบัติ แบบตรวจสอบรายการเหมาะกับการวัดทักษะการปฏิบัติงาน ในส่วนท่ีเป็น กระบวนการซึ่งมีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ค่อนข้างแน่นอนตายตัว ข้อสังเกตการใช้แบบตรวจสอบ รายการมักไม่ใช่ในรูปการประเมินคุณภาพของการปฏิบัติ น่ันคือ ผู้ประเมินมีหน้าที่สังเกตดูว่า ผู้ปฏิบัติงานได้ทางานในขั้นตอนท่ีกาหนดหรือไม่ และทาได้หรือไม่ได้ แต่จะไม่ตัดสินว่าทาได้ดีหรือไม่ สวยหรือไม่สวยเพียงใดการตัดสินผลการวัดขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่วางไว้บางครั้งหากทักษะที่ให้ป ฏิบัติงานมี ความสาคัญ ทุกขน้ั ตอน ผปู้ ฏิบตั ทิ ไ่ี มผ่ ่านการประเมนิ ในข้ันตอนใดขน้ั ตอนหน่ึงอาจถือว่าไม่มีทักษะ ในการปฏิบัติงานนั้นทงั้ หมด

ตวั อย่าง: แบบตรวจสอบรายการการปฏิบตั งิ าน ชอื่ นักเรียน..................................... วันท.ี่ ............เดือน..............................พ.ศ.................. .............. การปฏบิ ัติกจิ กรรม……………………………………………………..………………………………..……………………….….. วิชา………………………………………………………………………………………………………………………………............. ทา ไม่ทา ข้อสังเกตเพ่ิมเติม  1. ตรวจสอบและปรบั แต่งเครือ่ งมือ …………………………………  2. เตรยี มวสั ดอุ ปุ กรณท์ ่ีใช้ในการทางาน ………………………………… 3. ศกึ ษาขนั้ ตอนและวธิ ีการปฏิบัตงิ าน …………………………………  4. ดาเนนิ การปฏบิ ตั งิ านจนสาเรจ็ ………………………………….  5. ทาความสะอาดเครอ่ื งมอื เมอ่ื เสร็จงาน ……………………………….… 6. นาเครื่องมือไปจดั เกบ็ ให้ถกู ตอ้ ง ………………………………….    7. ทาความสะอาดบริเวณท่ปี ฏบิ ตั ิงาน ………………………………… จะสังเกตเห็นว่าเน้ือหาท่ีปรากฏในเคร่ืองมือที่ใช้วัดการปฏิบัติงาน มักแสดงข้อรายการ เกี่ยวกับพฤติกรรมท่ีวัดโดยเฉพาะในแบบตรวจสอบรายการ ผู้ท่ีสร้างเคร่ืองมือต้องตัดสินใจในเรื่อง ต่อไปน้ี 1. ข้อรายการทุกข้อที่ปรากฏในแบบตรวจสอบรายการมีความสาคัญเท่ากันทุกข้อหรือไม่ ถ้าเท่ากันคะแนนที่ให้ย่อมเท่ากันทุกข้อ แต่ถ้าไม่เท่ากันต้องกาหนดว่าจะให้น้าหนักในรายการใด มากกวา่ หรือนอ้ ยกวา่ ตามตวั อย่างที่ใหม้ าทุกข้อมีคะแนนเทา่ กัน 2. ในการกาหนดน้าหนักความสาคัญให้กับแต่ละรายการนั้น ต้องพิจารณาดูว่ารายการใดที่มี ความจาเป็นหรือสาคัญต่อทักษะที่ปฏิบัติมากท่ีสุดตามตัวอย่าง หากผู้สร้างเครื่องมือเห็นว่า การปฏิบัติงานที่ดีนั้น การล้างมือก่อนลงมือทางานเป็นเคร่ืองที่มีความสาคัญมากท่ีสุดก็ควรกาหนด น้าหนักความสาคัญใหม้ ากกว่าขอ้ อน่ื อาจเปน็ 2 หรอื 3 เทา่ ของข้ออนื่ ๆ 3. จากคะแนนที่ให้กับพฤติกรรมท่ีวัดต้องกาหนดเกณฑ์ ที่แสดงถึงระดับของทักษะ ความสามารถ ที่ถือว่าอยู่ในขั้นที่ปฏิบัติได้หรือรอบรู้จากแบบตรวจสอบรายการดังกล่าว ซ่ึงมีอยู่ 4 ข้อ ผ้วู ดั อาจกาหนดเกณฑว์ ่าผทู้ ผ่ี า่ นการวัดต้องได้คะแนน 3 คะแนนขนึ้ ไปในกรณีที่ทุกข้อมีนา้ หนักเท่ากัน 2. แบบมาตรประมาณคา่ แบบมาตรประมาณค่าหรือมาตราสว่ นประมาณค่าเปน็ เครื่องมือท่สี ามารถนามาใช้วัด ทักษะการปฏิบัติได้ทั้งในการวัดกระบวนการและผลงาน โดยการแสดงรายการพฤติกรรมที่วัดและตัว บ่งช้ีคุณภาพของระดับการปฏิบัติ ซึ่งกาหนดเป็นโครงสร้างและมีช่วงของมาตรท่ีมีค่าเป็นตัวเลขหรือ ระดับของพฤติกรรม ให้ผู้ประเมินเลือกตามการตัดสินของตนเอง จะประกอบด้วยรายการที่ให้ผูส้ งั เกต

ระบุว่าสิ่งที่สังเกตได้มีปริมาณมากน้อยเพียงใด หรือบอกความถี่ของการเกิด เช่น ทุกครั้ง บ่อยๆ บางครงั้ นานๆ ครง้ั หรือไมท่ าเลย ทาเล็กน้อย ทาค่อนขา้ งมาก ขั้นตอนการสร้างมาตรประมาณค่าท่ีสาคัญ คือ การระบุจุดมุ่งหมายของการวัด เพื่อ หาตัวบ่งช้ีพฤติกรรมที่จะวัดให้ได้ หลังจากนั้นเลือกรูปแบบของมาตรที่จะใช้ แล้วกาหนดว่าจะแบง่ ชว่ ง ของมาตรวัดเป็นเท่าใด การเลือกมาตรวัดอาจใช้รูปแบบผสมคือใช้แบบแสดงด้วยตัวเลขกับแบบ กราฟฟิก ทง้ั นี้ขน้ึ อยู่กบั ความเหมาะสมและลกั ษณะของพฤติกรรมที่วัด มาตรวัดท่ีกาหนดจะมีช่วงคะแนน ซ่ึงอาจเป็น 3,5,7,9 ช่วงแต่ละแบบจะมีคะแนน เท่ากัน การตรวจให้คะแนนจะรวมคะแนนจากแต่ละข้อรายการเป็นคะแนนรวมทั้งหมด หากเห็นว่า พฤติกรรมใดมีความสาคัญกว่าข้อใดข้อหน่ึง ผู้ประเมินอาจให้น้าหนักคะแนนมากกว่าข้ออ่ืน ดังน้ัน ใน การรวมคะแนนน้าหนักของแต่ละข้อจะถูกนามาคิดคานวณด้วยการกาหนดน้าหนักคะแนน ที่แทน ความสาคัญของรายการพฤตกิ รรมจะทาโดยผ้ทู ่ีมคี วามชานาญในกจิ กรรมหรอื งานนนั้ ๆ มาตรประมาณค่าจะใช้ในกรณีที่ พฤติกรรมท่ีวัดสามารถเห็นได้ชัดเป็นรูปธรรมและ สามารถระบุระดับหรือขนาดของคุณภาพได้อย่างชดั เจนและเปิดเผย อย่างไรกต็ ามการวัดโดยใช้มาตรา สว่ นประมาณค่ายังหลกี หนีอคติจากผู้ประเมินได้ยากเพราะการกาหนดระดบั ของคุณภาพขึ้นอยู่กับการ ตดั สินของผู้ประเมินมาตราสว่ นประมาณค่า จงึ มกั ใชโ้ ดยกาหนดผปู้ ระเมินมากกว่าหนงึ่ คน เพ่อื ป้องกัน ความลาเอยี งในการประเมิน ตัวอยา่ ง : แบบประเมนิ การแกป้ ญั หา กลุ่มท่.ี .............................. รายช่อื นกั เรยี นในกล่มุ 1)..................................2)............................... วนั เดือน ปี………………………………………….…………………………………………………….………….. คาช้ีแจง : บนั ทึกการปฏิบตั ิงานของนักเรียนแตล่ ะคนในกลมุ่ ตามเกณฑ์ต่างๆ โดยเขยี นเป็นเลข ระดับคณุ ภาพ เมอ่ื : 4 ยอดเยยี่ ม 3 ดี 2 พอใช้ 1 ปรบั ปรงุ รายช่อื นกั เรยี น (กรอกเลขท่ีข้างบน) รายการ เลขท่ี เลขที่ เลขท่ี เลขที่ เลขที่ เลขที่ 1 23 4 5 6 1. นกั เรยี นวิเคราะหส์ าเหตขุ องปญั หา 2. นกั เรียนคน้ หาวิธีการแกป้ ัญหาได้ อย่างเหมาะสม 3. นักเรยี นวางแผนและลงมือแก้ปญั หา

4. นักเรียนมคี วามเพยี รพยายาม …/28 …/28 …/28 …/28 …/28 …/28 ในการทางานใหบ้ รรลุเป้าหมาย 5. นกั เรยี นสามารถอธิบายวิธกี าร แกป้ ญั หา 6. นกั เรียนแสดงผลการทางานได้ อย่างเหมาะสม 7. นกั เรียนสรา้ งปัญหาทค่ี ลา้ ยคลึงกับ โจทย์ปญั หาท่ที าไป รวมคะแนน (คะแนนสูงสดุ 28) 7.3 แบบบนั ทกึ เหตุการณห์ รือระเบียนพฤตกิ ารณ์ แบบบันทึกเหตุการณ์หรือระเบียนพฤติการณ์มักใช้บันทึกข้อมูลจากการสังเกต อย่างไม่เป็นทางการในห้องเรียน โดยเฉพาะหากเป็นช้ันเรียนเล็กๆ ครูผู้สอนจะสังเกตพัฒนาการของ นกั เรยี นแล้วจดบันทึก ส่วนในชัน้ เดก็ โตระดับมัธยมศึกษาหรืออุดมศึกษาเป็นเครื่องมือที่อาจนาไปใช้ใน การวัดความรู้สึกซาบซึ้งในศิลปวัฒนธรรม ความสนใจ พฤติกรรมท่ีบันทึกในระเบียนน้ันเป็นพฤติกรรม ที่ไม่ได้คาดคะเนล่วงหน้าว่าจะต้องเกิด ผู้บันทึกมีการวางแผนล่วงหน้าว่าจะทาการบันทึกพฤติกรรมที่ เกี่ยวข้องกับจุดมุ่งหมายท่ีต้องการศึกษา เช่น บันทึกการเรียนการสอน แต่จะไม่กาหนดพฤติกรรมที่ ตอ้ งการสงั เกต ผบู้ ันทึกมหี น้าทบ่ี นั ทกึ พฤติกรรมท่เี ห็นว่าจาเป็น และมีความสาคญั กับ การเรยี นการสอน การบันทึกพฤติกรรมน้ัน ผู้บันทึกต้องจดบันทึกตามสภาพข้อเท็จจริงท่ีเกิดขึ้น เป็นการเขียนรายงานตามพฤติกรรมที่เห็นจริง มากกว่าการประเมินผลตัดสินโดยใช้อารมณ์ หรือ ตีความตามความร้สู ึกส่วนตัว นอกจากน้ีต้องพยายามเขียนโดยใช้คาที่มีความเฉพาะเจาะจงมากกวา่ คา ท่ีมีความหมายกว้างท่ัวๆ ไป การเขียนผลโดยการตีความน้ัน ให้บันทึกแยกออกจากการบรรยาย เหตุการณแ์ ละเนอื่ งจากการบันทกึ พฤตกิ รรมเกิดขึน้ หลายคร้งั จึงมกี ารสรุปผลการสงั เกตอกี สว่ นหนึ่ง ตัวอยา่ ง: การบันทกึ พฤติกรรมของผู้เรยี น ชอื่ ผู้ถูกสงั เกต นายม.มา้ วิชา ………………………. วนั เวลาทบี่ นั ทึกข้อมลู 13/03/2557 เวลา 13.00-14.00 น. บันทึกผลการสงั เกต ตอนครูอธิบายเก่ียวกับวิธีการทางาน นายม.ม้า น่ังอยู่หลังห้องเรียน เมื่อครูทบทวนความ เขา้ ใจ เรยี กใหต้ อบก็ตอบไม่ได้ เมื่อใหเ้ ร่ิมทางานกลมุ่ นายม.ม้าเดนิ ไปเข้ากลุ่มกบั เพ่ือนทีน่ งั่ ด้วยกัน แต่ นัง่ อยู่ขา้ งหลงั เพ่ือนและมองดเู พ่ือนเฉยๆ ไม่ได้ลงมอื ทาสิ่งใด พอหมดชวั่ โมงกร็ ีบเดินออกจากห้องเรียน ทันทีท้ังๆ ทีเ่ พอื่ นในกลมุ่ ยังทางานกันอยู่

สรปุ ความคิดเห็น นายม.ม้าไม่สนใจการเรียน อยู่ในห้องเรียนรอเวลาให้หมดชั่วโมงและดูเหมือนจะเรียน ไม่เข้าใจดว้ ยรวมท้งั มพี ฤติกรรมไม่ให้ความรว่ มมือกบั การทางานกลุ่ม ตัวอย่าง : แบบจดบันทกึ พฤตกิ รรมท่สี ังเกตแบบรวมท้ังห้อง ครอู าจเลอื กบนั ทกึ พฤติกรรมที่โดดเดน่ หรือพฤติกรรมทีเ่ ปน็ ปัญหาของเหตุการณ์ท่ีเกดิ ในช้นั เรยี น การจดบันทกึ พฤติกรรมทีส่ ังเกต วนั /เดือน/ปี ชื่อนักเรยี น บันทึก 1 ก.พ. 2548 ชชั วาลย์ เขยี นแผน่ ภาพชีท้ าง ช้ันบน ชั้นลา่ ง ห้องน้า หลังบา้ น 1 ก.พ. 2548 ได้อยา่ งสรา้ งสรรค์ 2 ก.พ. 2548 ชวกร แสดงความคิดเห็น ชว่ ยงานกลุ่มใหค้ วามรว่ มมือ ในการทางานกลมุ่ เป็นอย่างดี ชลวทิ ย์ ชอบขีดเขียนข้อความภาษาอังกฤษลงบนกระดาษ ซกั ถามเพ่ือนๆ เมือ่ สงสยั คาศพั ท์บางตัว ตวั อยา่ ง : แบบจดบนั ทกึ พฤติกรรมทีส่ งั เกตรายบุคคล ชื่อ นายบี การจดั บันทึกเหตกุ ารณ์ยอ่ ยรายบคุ คล วนั /เดอื น/ปี 1 ก.พ. 2554 การจดบนั ทกึ ทะเลาะกบั เพ่ือนในกลุม่ เดินออกจากกลุ่มขณะทที่ างานยังไมเ่ สรจ็ ครไู ด้พูดคยุ และโนม้ น้าวใหก้ ลับไปทางานต่อให้เสร็จ และเสนอแนะ ขอ้ คิดเห็นใหก้ ล่มุ ไดใ้ ช้เปน็ แนวปฏิบตั ิเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง นายบจี ึงทางานต่อในกลุ่มจนหมดเวลาเรียน

ใบเน้ือหาที่ 5.3 การสร้างเคร่อื งมอื การวัดและประเมนิ ผล เครื่องมือการประเมินผล เป็นองค์ประกอบสาคัญในการประเมินผลนักเรียนนักศึกษาที่ฝึก อาชีพในสถานประกอบการ การสรา้ งเคร่ืองมอื การประเมินผลท่มี ีคณุ ภาพ จะสามารถวดั ความรู้ ทักษะ และจิตพิสยั ได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ 1. เครือ่ งมอื ในการวดั และประเมินตามสภาพจรงิ การวัดและประเมินตามสภาพจริง ท่ีสะท้อนความรู้ความสามารถตามสภาพจริงของ ผู้เรียนซึ่งครอบคลุมทั้งดา้ นพุทธิพิสัย จิตพิสัยและทักษะพิสัย ควรใช้เครื่องมือในการวดั ผลท่ีสอดคลอ้ ง ตรงตามส่ิงท่ีต้องการวัด ซึ่งเครื่องมือแต่ละชนิดมีความเหมาะสมกับลักษณะของข้อมูลท่ีต้องการวัด แตกต่างกันไป ดังมรี ายละเอียดในตาราง ตอ่ ไปนี้ เคร่อื งมือในการวดั และประเมนิ ตามสภาพจรงิ เคร่อื งมอื ลกั ษณะของขอ้ มลู แบบทดสอบ (test) วัดความรูค้ วามสามารถของผู้เรยี น ตามจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ แบบสังเกต ใช้สังเกตเหตุการณ์บรรยายพฤติกรรม หรือการปฏิบัติงานท่ีผู้สังเกต (observation) ได้กาหนดไว้โดยผู้ถูกสงั เกตรู้ตวั หรือไม่รู้ตวั กไ็ ด้ แบบบนั ทกึ เหตุการณ์ บันทกึ เหตุการณเ์ ก่ียวกบั การเรยี นการสอน กจิ กรรมในช้นั เรยี น ปฏกิ ริ ิยา หรอื ระเบยี นพฤติการณ์ ของผู้เรียน การมีส่วนร่วมในช้ันเรียน กระบวนการกลุ่ม การจัดกลุ่ม (anecdotal record) บรรยากาศสภาพทางกายภาพ เป็นการบันทึกของครูถึงเหตุการณ์ต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นระหว่างการจัดการเรียนการสอน การบันทึกเหตุการณ์เป็น ส่ิงจาเป็นสาหรับครู ที่จะสะท้อนว่าการเรียน การสอนมีประสิทธิภาพ มากนอ้ ยเพยี งใด แบบสอบถาม เปน็ ข้อคาถามท่ีเตรียมขึ้นไว้ให้ผู้ตอบเขียนตอบ ใชเ้ ก็บข้อมูลเก่ียวกับ (questionnaire) ความรสู้ ึกความคิดเห็น ความต้องการ แบบสมั ภาษณ์ ใช้เก็บข้อมูลด้วยการซักถามด้วยวาจา มีการเผชิญหน้า เป็นข้อมูล (interview) ทตี่ ้องการความลกึ ซึ้งลงลึกในรายละเอยี ด แบบประเมินด้วย เปน็ เคร่ืองมอื ทใี่ ช้ในการประเมนิ คณุ ภาพผลงาน การปฏิบัติงาน โดยมี เกณฑ์ให้คะแนน คาอธิบายคุณภาพของงานในแต่ละระดับ หรือมีตัวชี้วัดผลงานในแต่ละ (scoring rubrics) ส่วนแต่ละระดบั ไว้อยา่ งชดั เจน

1.1 แบบทดสอบ แบบทดสอบ คือชุดของส่ิงเร้าที่นาไปกระตุ้นให้บุคคลตอบสนองออกมา ชุดของสิ่งเร้าน้ีจึงอยู่ ในรูปของข้อคาถามท่ีอาจให้เขียนตอบ ให้แสดงพฤติกรรม ให้พูดในส่ิงท่ีสามารถวัดได้ สังเกตได้ แบบทดสอบนิยมใช้วัดความรู้ทักษะและสมรรถภาพทางสมอง ท่ีเรียกว่าด้านพุทธิพิสัย (cognitive domain) 1.1.1 รปู แบบของแบบทดสอบทน่ี ิยมใช้มี 3 รปู แบบ คือ 1) แบบปากเปล่า (oral test) เป็นแบบทดสอบท่ีอาศัยการซักถามเป็น รายบุคคล ใชไ้ ด้ผลดกี บั ผู้เขา้ สอบที่มจี านวนน้อย 2) แบบเขียนตอบ (paper – pencil test) แบง่ ได้ 2 แบบ คอื 2.1) แบบความเรียง (essay type) หรือข้อสอบอัตนัย แบบทดสอบชนิด น้ี มีจุดประสงค์เพ่ือวัดความสามารถในการบรรยาย อธิบายและแสดงเหตุผลตามความคิดเห็น ของผู้ตอบสามารถวัดพฤติกรรมด้านการสังเคราะห์ได้ดี แต่การให้คะแนนเกิดความลาเอียง (Bias) ได้ มากหากไม่มีเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนท่ีชดั เจน 2.2) แบบจากัดคาตอบ (fixed response type) หรือข้อสอบปรนัยเป็น แบบทดสอบท่มี คี าตอบทถี่ ูกต้อง ภายใตเ้ ง่อื นไขทกี่ าหนดใหอ้ ย่างจากดั แบ่งออกเป็น 4 ชนดิ คอื 2.2.1) แบบถูกผิด (true-false) 2.2.2) แบบเติมคา (completion) 2.2.3) แบบจับคู่ (matching) และ 2.2.4) แบบเลือกตอบ (multiple choice) 3) แบบทดสอบการปฏิบัติ (performance test) เป็นการทดสอบที่ให้ผู้เข้า สอบได้แสดงพฤติกรรมหรือการกระทาเป็นการลงมือปฏิบัติจริงๆเช่น การใช้เครื่องมือช่าง การ ปฏิบตั กิ ารใชค้ อมพวิ เตอร์เป็นต้น

ตวั อยา่ ง แบบทดสอบภาคปฏบิ ัติ งานช้ินท่ี 3 สาขาวิชา เครื่องกล สาขางาน ยานยนต์ ชอ่ื สถานศึกษา.......................................................... วันท่ี...........เดือน................. พ.ศ...................... ชื่อนกั ศกึ ษา.............................................................. รหัสประจาตวั .................... ระดบั ชน้ั ปวช..../... ชื่องาน งานเปลยี่ นผ้าเบรกแบบดรมั เบรก คาสง่ั ให้นักศึกษาปฏบิ ัติตามเงื่อนไขดังน้ี 1. เปลย่ี นผ้าเบรกแบบดรัมเบรก 1 ลอ้ 2. ใชเ้ คร่อื งมือ อปุ กรณ์ไดถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมกบั งาน 3. การปฏิบตั ิงานให้ยดึ แนวการปฏบิ ัติตามคู่มือการซ่อม 4. การตรวจสภาพแลว้ บันทึกลงในแบบฟอร์ม 5. ปฏบิ ัตงิ านเสรจ็ แลว้ ต้องแจ้งให้ผู้ควบคมุ เพ่ือตรวจสอบความเรยี บร้อย 6. เวลาท่ีใช้ในการทดสอบ 30 นาที 7. หากมีเหตขุ ดั ขอ้ งจนกระทั่งไมส่ ามารถปฏิบัตงิ านต่อไปได้ใหแ้ จ้งผ้คู วบคุมทราบ ตารางบันทกึ คา่ จากการตรวจสภาพ จดุ ตรวจสภาพ ค่าท่วี ัดได้ ผลการพจิ ารณา หมายเหตุ ใชไ้ ด้ ใช้ไม่ได้ ลกู ยางเบรก กระบอกสบู ผา้ เบรกชิน้ ที่ 1 ผา้ เบรกช้ินท่ี 2 ผลการตรวจสภาพ O ใช้ได้ เพราะ............................................................................................. O ใชไ้ ม่ได้ เพราะ........................................................................................ วิธีการแกไ้ ข....................…........................................................................

1.1.2 หลักการสรา้ งแบบทดสอบ 1) กาหนดวัตถุประสงค์การสอบ ซึ่งต้องใช้ชนิดของแบบทดสอบให้สอดคล้องกับ พฤติกรรมท่ตี ้องการวัด 2) วิเคราะห์หลกั สตู รวเิ คราะห์งาน หรือการวิเคราะหค์ ุณลกั ษณะ (trait) กาหนด เป็นจดุ ประสงค์การเรยี นร้ทู ่มี งุ่ วดั 3) สร้างผงั ข้อสอบ (test blueprint) หรือตารางจาแนกเนอ้ื หาและพฤติกรรม และจุดประสงค์ทางการศกึ ษาทเ่ี ก่ยี วกบั การเรยี นรทู้ างดา้ นปญั ญา 6 ระดับ 4) เขียนข้อคาถามให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการเรียนรู้จาแนกตามระดับ พฤติกรรมการเรียนรูด้ ้านพุทธิพสิ ัย 5) เขียนข้อสอบและปรับปรุง 1.2 แบบสงั เกต การสังเกตเป็นเทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูล ที่ต้องอาศัยประสาทสัมผัสหลายอย่างใช้ได้ดี กบั การศึกษาคุณลักษณะและพฤติกรรมของบุคคลอาจจะใช้วิธีการสงั เกตโดยมีสว่ นร่วมหรือไมม่ ีสว่ นร่วมก็ ได้ 1.2.1 หลักการเกบ็ ขอ้ มลู โดยวธิ สี งั เกต การสังเกตท่ีดีต้องมีการวางแผนสังเกตการณ์อย่างมีจุดมุ่งหมาย ซ่ึงมีหลักการทั่วไป ดังนี้ 1) กาหนดจดุ มงุ่ หมายในการสังเกตไวใ้ ห้แนน่ อน 2) ตอ้ งศึกษาเรือ่ งทต่ี ้องการสงั เกตเพื่อใหม้ ีพืน้ ความรู้ในเร่อื งนั้นๆ 3) วางแผนการสังเกตอย่างมีข้ันตอนและเป็นระบบ เช่น กาหนดไว้ว่า พฤตกิ รรมนนั้ ควรสงั เกตภายในเวลากี่นาที 4) ตอ้ งจดบันทึกให้ไดข้ ้อมลู เพื่อทีน่ าไปแปลงเปน็ ข้อมลู เชงิ ปริมาณหรอื นาไป วิเคราะห์ผลได้ 5) ผ้สู งั เกตตอ้ งกาจัดความรูส้ กึ และอคตอิ อกใหห้ มด 6) ผู้สงั เกตต้องได้รบั การฝึกฝนในเรอ่ื งทจี่ ะสังเกตมาเปน็ อย่างดี 7) ตอ้ งใหค้ วามสาคัญ ความถูกต้องของเหตกุ ารณด์ ว้ ยความละเอียดถี่ถ้วน 8) ควรใช้เคร่อื งมืออื่นๆ ประกอบในการสงั เกตด้วย เชน่ แบบตรวจสอบรายการ 1.2.2 เครื่องมอื ท่ชี ว่ ยบนั ทกึ ผลการสงั เกต เครื่องมือที่ใช้ในบนั ทึกการสังเกตท่นี ิยมใชใ้ นช้นั เรียน คือแบบสงั เกตทีม่ ีโครงสร้าง เป็นแบบสงั เกตท่ีประกอบดว้ ยรายการข้อคาถามแบ่งออกเป็น 2 ลกั ษณะ

1) แบบตรวจสอบรายการ (checklist) เปน็ เคร่อื งมือท่ใี ชใ้ นการวัดพฤตกิ รรมที่ ต้องการ ประกอบด้วยรายการที่ให้ผู้สังเกตเลอื กเพียงสองทางเลือกคือเกิด/ไม่เกิด ทา/ไม่ทา ใช่/ไม่ใช่ โดยเน้นท่ีการบันทึกข้อมูลท่ีแสดงถึงพฤติกรรมการปฏิบัติของผู้ถูกประเมินว่าได้ปฏิบัติงา นตามข้อ รายการที่แสดงไว้หรือไม่ มักใช้กับกิจกรรมของงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติที่เป็นลาดับข้ันตอน เช่น การให้ประกอบอุปกรณ์จากช้ินส่วนวัสดุท่ีกาหนดให้ซึ่งมีข้ันตอนของการประกอบที่มีลาดับก่อนห ลัง เม่ือ ผู้ถูกทดสอบปฏิบัติงาน ผู้วัดจะสังเกตการปฏิบัติแล้วตรวจเช็คโดยทาเคร่ืองหมายขีดถูกในช่องท่ี ต้องการ หลังจากบนั ทึกข้อมูลเสรจ็ ผู้ถูกทดสอบมักจะไดร้ ับข้อมลู อันเป็นผลจากการสังเกตของผู้ประเมิน เพื่อทราบทักษะการปฏบิ ัติของตนเองอนั จะเปน็ ประโยชน์กบั การปรับปรุงแก้ไขต่อไป เป็นการให้ข้อมูล ป้อนกลับกบั ผปู้ ฏิบัติ แบบตรวจสอบรายการเหมาะกับการวัดทักษะการปฏิบัติงาน ในส่วนที่เป็นกระบวนการซ่ึงมี ข้ันตอนการปฏิบัติงานท่ีค่อนข้างแน่นอนตายตัว ข้อสังเกตการใช้แบบตรวจสอบรายการมักไม่ใช่ในรูป การประเมินคุณภาพของการปฏิบัติ นั่นคือ ผู้ประเมินมีหน้าท่ีสังเกตดูว่าผู้ปฏิบัติได้ทางานในข้ันตอนที่ กาหนดหรือไม่ และทาได้หรือไม่ได้ แต่จะไม่ตัดสินว่าทาได้ดีหรือไม่ สวยหรือไม่สวยเพียงใดการตัดสิน ผลการวัดขึ้นอยู่กับเกณฑ์ท่ีวางไว้บางครง้ั หากทักษะท่ีให้ปฏิบตั ิงานมีความสาคัญทุกขั้นตอน ผู้ปฏิบัตทิ ี่ ไมผ่ ่านการประเมนิ ในข้นั ตอนใดขั้นตอนหน่ึงอาจถือว่าไม่มที ักษะในการปฏิบัตงิ านนน้ั ทง้ั หมด ตัวอยา่ ง: แบบตรวจสอบรายการการปฏิบตั งิ าน ชือ่ นกั เรยี น...................................................... วนั ท่.ี ............เดอื น..............................พ.ศ.................. การปฏิบตั ิกจิ กรรม………………………………………..…………………………………………………………….………… วิชา……………………………………………………………………………………………………………………………………… … ทา ไม่ทา รายการประเมนิ ขอ้ สังเกตเพิ่มเติม 1. ตรวจสอบและปรับแตง่ เคร่ืองมือ 2. เตรียมวัสดอุ ปุ กรณ์ทีใ่ ช้ในการทางาน 3. ศึกษาขนั้ ตอนและวธิ กี ารปฏบิ ัติงาน 4. ดาเนินการปฏบิ ตั ิงานจนสาเรจ็ 5. ทาความสะอาดเครอ่ื งมอื เมื่อเสร็จงาน 6. นาเครือ่ งมอื ไปจดั เก็บใหถ้ ูกต้อง 7. ทาความสะอาดบรเิ วณท่ปี ฏิบัตงิ าน

2) แบบมาตรประมาณค่า (rating scale) แบบมาตรประมาณค่าหรือมาตรา ส่วนประมาณค่าเป็นเคร่ืองมือท่ีสามารถนามาใช้วัดทักษะการปฏิบัติได้ทั้งในการวัดกระบวนการและ ผลงาน โดยการแสดงรายการพฤติกรรมท่ีวัดและตัวบ่งชี้คุณภาพของระดับการปฏิบัติ ซ่ึงกาหนดเป็น โครงสร้างและมีชว่ งของมาตรที่มีค่าเป็นตัวเลขหรือระดับของพฤติกรรม ใหผ้ ู้ประเมินเลือกตามการตัดสิน ของตนเอง จะประกอบด้วยรายการที่ให้ผู้สังเกตระบุว่าสิ่งท่ีสังเกตได้มีปริมาณมากน้อยเพียงใด หรือ บอกความถ่ีของการเกิด เช่น ทุกคร้ัง บ่อยๆ บางครั้ง นานๆ คร้ัง หรือไม่ทาเลย ทาเล็กน้อย ทา คอ่ นข้างมาก ข้ันตอนการสร้างมาตรประมาณค่าท่ีสาคัญคือการระบุจุดมุ่งหมายของการวัด เพ่ือหาตัวบ่งช้ี พฤติกรรมที่จะวัดให้ได้ หลังจากน้ันเลือกรูปแบบของมาตรที่จะใช้ แล้วกาหนดว่าจะแบ่งช่วงของมาตร วัดเป็นเท่าใด การเลือกมาตรวัดอาจใช้รูปแบบผสมคือใช้แบบแสดงด้วยตัวเลขกับแบบกราฟฟิก ทั้งน้ี ขึ้นอยูก่ ับความเหมาะสมและลักษณะของพฤติกรรมทวี่ ดั มาตรวัดท่ีกาหนดจะมีช่วงคะแนน ซึ่งอาจเป็น 3,5,7,9 ช่วงแต่ละแบบจะมีคะแนนเท่ากัน การตรวจให้คะแนนจะรวมคะแนนจากแต่ละข้อรายการเป็นคะแนนรวมทั้งหมด หากเห็นว่าพฤติกรรม ใดมีความสาคัญกว่าข้อใดข้อหนึ่งผู้ประเมินอาจให้น้าหนักคะแนนมากกว่าข้ออื่น ดังน้ัน ในการรวม คะแนนน้าหนักของแต่ละข้อจะถูกนามาคิดคานวณด้วยการกาหนดน้าหนักคะแนนท่ีแทนความสาคัญ ของรายการพฤติกรรมจะทาโดยผทู้ ่ีมีความชานาญในกิจกรรมหรืองานน้ัน ๆ มาตรประมาณค่าจะใช้ในกรณีท่ี พฤติกรรมท่ีวัดสามารถเห็นได้ชัดเป็นรูปธรรมและสามารถ ระบุระดับหรือขนาดของคุณภาพได้อย่างชัดเจนและเปิดเผย อย่างไรก็ตามการวัดโดยใช้มาตราส่วน ประมาณค่ายังหลีกหนีอคติจากผู้ประเมินได้ยาก เพราะการกาหนดระดับของคุณภาพข้ึนอยู่กับการ ตัดสินของ ผู้ประเมินมาตราส่วนประมาณค่าจึงมักใช้โดยกาหนดผู้ประเมินมากกว่าหนึ่งคน เพื่อ ป้องกนั ความลาเอียงในการประเมนิ

ตวั อยา่ งแบบมาตรประมาณคา่ (rating scale) แบบท่ี 1 แบบประเมนิ ผลการฝกึ อาชีพของนกั เรียน นักศึกษา ความร่วมมือระหวา่ ง……………………กบั บรษิ ทั ............................................................. ช่อื .....................................นามสกลุ ...................................... สถิตกิ ารฝึกงาน แผนกวิชา...................................ระดบั ................ชั้น............. ภาคเรยี นที.่ ........................../..................... ระยะเวลาทีป่ ระเมินตง้ั แตว่ ันท่ี...........เดือน............พ.ศ.......... ฝกึ ปฏิบัติงานระหว่าวนั ท.่ี .........เดอื น..................พ.ศ........... ถึงวันท.่ี .......เดือน................................พ.ศ. ......... ถึงวันท่ี.........เดือน......................พ.ศ.......... ( ) สาย....... ครัง้ ( ) ขาดงาน...........วนั ( ) ลาปว่ ย.......วนั ( ) ลากจิ .........วนั คาชแี้ จง โปรดทาเครื่องหมาย / ลงในชอ่ งที่เห็นวา่ ตรงกบั ความเปน็ จริงมากท่ีสดุ ลาดับ หวั ข้อที่ประเมิน คะแนนท่ีได้ ที่ ดมี าก ดี พอใช้ ปรบั ปรุง ไมผ่ ่าน (5) (4) (3) (2) (1) สว่ นท่ี 1 ประเมนิ ดา้ นความรู้ ( 20 คะแนน ) 1 ความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกับงานทีไ่ ด้รบั มอบหมาย 2 ความสามารถในการเรียนรู้และพฒั นาตนเอง 3 ความเอาใจใสต่ ่องานที่ได้รับมอบหมาย 4 มคี วามรู้ ความสามารถในสาขาวิชาชีพทีเ่ รียน รวม คะแนนรวม ส่วนที่ 2 ประเมนิ ดา้ นทักษะ/ผลงาน ( 30 คะแนน ) 5 ปริมาณงานที่ทาได้ และเสร็จตามเปา้ หมายทไี่ ด้กาหนดไว้ 6 ผลงานมคี ุณภาพ ทางานดว้ ยความรอบคอบและปลอดภยั 7 วิเคราะหแ์ ละการแกป้ ญั หาในการทางานได้ 8 ทักษะในการสอ่ื สาร 9 บารงุ รักษาเครอ่ื งมือเครือ่ งใช้และทรพั ย์สนิ ขององค์กร รวม คะแนนรวม สว่ นท่ี 3 ประเมินดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ( 20 คะแนน ) 10 การแตง่ กาย การปฏบิ ตั ิตามกฎระเบียบ และกริ ยิ ามารยาท 11 การตรงตอ่ เวลา ความซ่อื สตั ย์ 12 ความขยัน อดทน และความเสยี สละ 13 การรกั ษาส่ิงแวดลอ้ มและไมข่ ้องเกยี่ วกบั สิ่งเสพติด 14 ร่วมมอื กบั องคก์ รและยอมรับฟงั ความคิดเห็นผอู้ นื่ รวม คะแนนรวม ข้อเสนอแนะ .................................................................................................................................................................................... หมายเหตุ โปรดประทบั ตราของสถานประกอบการ ลงช่ือ..................................สถานประกอบการ (ผู้ประเมนิ ) (....................................)

ตัวอย่างแบบมาตรประมาณคา่ (rating scale) แบบที่ 2 แบบประเมินผลการปฏบิ ตั งิ าน ทักษะการปฏบิ ตั งิ าน (PROFESSIONAL SKILLS) คาชแ้ี จง : ทักษะด้านการปฏิบัติงานในอาชีพ (Professional Skills) หมายถึง ความสามารถในการปฏิบัติงาน ใน อาชีพ (Core Skills) ตามภาระงาน (Job Description) ในอาชีพนั้นๆ (Technical Skills) ได้อย่างครบถ้วนและมี ประสิทธิภาพ นักศึกษาจะต้องปฏิบัติงานตามภาระหน้าที่ของอาชีพ โดยจะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามภาระงานที่ ได้รับมอบหมาย ซ่ึงอยู่ภายใต้การควบคุมดุแลของครูฝึกและอาจารย์นเิ ทศ การประเมินผลจะประเมินว่านักศกึ ษามี ความสามารถในการปฏิบัตงิ านตามภาระหน้าทข่ี องอาชีพน้นั ได้ครบถ้วนสมบรู ณ์มากนอ้ ยเพยี งใด โปรดแสดงความเห็นของทา่ นลงในชอ่ งหมายเลข 5, 4, 3, 2, 1 ตามความเหน็ ของท่านในแตล่ ะหวั ขอ้ การ ประเมนิ 5 = มากทสี่ ดุ 4 = มาก 3 = ปานกลาง 2 = นอ้ ย 1 = นอ้ ยที่สุด หวั ข้อการประเมิน ระดบั ความสามารถ 1. ทกั ษะหลกั (Core Skills) 54321 1.1 มคี วามรู้ความสามารถเพียงพอตอ่ ภาระหนา้ ที่ทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย 1.2 มที กั ษะความชานาญในการปฏบิ ัติงานตามภาระหน้าท่ีท่ไี ด้รับมอบหมาย 1.3 ความรู้ความเข้าใจต่อลกั ษณะงานที่ไดร้ ับมอบหมาย 1.4 มีความสามารถในการตดั สนิ ใจทจ่ี ะปฏิบตั งิ านไดด้ ี ถกู ต้อง รวดเร็ว 1.5 มีการวิเคราะห์ข้อมลู และปญั หาต่างๆ อยา่ งรอบคอบ 1.6 สามารถใชภ้ าษาในการตดิ ตอ่ ส่อื สาร เพยี งพอตอ่ หน้าท่ที ี่ไดร้ บั มอบหมาย 1.7 ใชค้ อมพวิ เตอรห์ รอื เทคโนโลยใี หม่ๆ วิเคราะหข์ อ้ มลู รายงานผลได้ 1.8 มีความสามารถที่จะปฏิบตั งิ านท่ไี ดร้ ับมอบหมายใหส้ าเร็จลลุ ว่ ง 1.9 มีความคดิ วเิ คราะห์ ริเรม่ิ สรา้ งสรรค์ และเปน็ ประโยชนต์ อ่ ภาระหนา้ ที่ 1.10 มคี วามสามารถในการดาเนนิ การโครงงานไดต้ รงตามแผนและมีคุณภาพ หวั ข้อการประเมนิ ระดับความสามารถ 2. ทกั ษะอาชพี (Technical Skills) 54321 2.1 2.2 2.3 หมายเหตุ : นาขอ้ มลู ภาระหนา้ ที่ (Job Description) ของอาชีพที่นักศึกษาปฏิบตั ิ ท่ไี ด้จากแบบแจ้งรายละเอียดงาน มาวิเคราะห์เพ่อื กรอกลงในชอ่ งทักษะอาชพี (Technical Skills) ขอ้ คดิ เหน็ หรอื ข้อเสนอแนะเพม่ิ เตมิ ลงช่ือ ครฝู ึก/อาจารย์นเิ ทศ ) ( เดือน พ.ศ. วันท่ี

1.3 แบบบันทึกเหตกุ ารณห์ รือระเบียนพฤตกิ ารณ์ แบบบันทึกเหตุการณ์หรือระเบียนพฤติการณ์มักใช้บันทึกข้อมูลจากการสังเกต อย่างไม่เป็นทางการในห้องเรียน โดยเฉพาะหากเป็นชั้นเรียนเล็กๆ ครูผู้สอนจะสังเกตพัฒนาการของ นักเรยี นแลว้ จดบันทึก สว่ นในชน้ั เดก็ โตระดับมธั ยมศึกษาหรืออดุ มศึกษาเปน็ เคร่ืองมือท่ีอาจนาไปใช้ใน การวัดความรู้สึกซาบซ้ึงในศิลปวัฒนธรรม ความสนใจ พฤติกรรมที่บันทึกในระเบียนน้ันเป็นพฤติกรรม ที่ไม่ได้คาดคะเนล่วงหน้าว่าจะต้องเกิด ผู้บันทึกมีการวางแผนล่วงหน้าว่าจะทาการบันทึกพฤติกรรมท่ี เกี่ยวข้องกับจุดมุ่งหมายท่ีต้องการศึกษา เช่น บันทึกการเรียนการสอน แต่จะไม่กาหนดพฤติกรรมที่ ต้องการสังเกต ผู้บันทึกมีหน้าที่บันทึกพฤติกรรมท่ีเห็นว่าจาเป็น และมีความสาคัญกับ การเรียนการ สอน การบันทึกพฤติกรรมนั้น ผู้บันทึกต้องจดบันทึกตามสภาพข้อเท็จจริงท่ีเกิดขึ้น เป็น การเขียนรายงานตามพฤติกรรมที่เห็นจริง มากกว่าการประเมินผลตัดสินโดยใช้อารมณ์ หรือตีความ ตามความรู้สึกส่วนตัว นอกจากน้ีต้องพยายามเขียนโดยใช้คาท่ีมีความเฉพาะเจาะจงมากกว่าคาที่มี ความหมายกว้างทั่วๆ ไป การเขียนผลโดยการตีความน้ันใหบ้ ันทึกแยกออกจากการบรรยายเหตุการณ์ และเนอ่ื งจากการบันทกึ พฤตกิ รรมเกิดข้นึ หลายคร้งั จึงมกี ารสรุปผลการสงั เกตอีกส่วนหนง่ึ ตัวอยา่ ง: การบนั ทึกพฤติกรรมของผเู้ รยี น ชื่อผถู้ กู สังเกต นายม.ม้า วชิ า ………………………. วันเวลาที่บันทกึ ข้อมูล 13/03/2557 เวลา 13.00 - 14.00 น. บนั ทกึ ผลการสงั เกต ตอนครูอธิบายเก่ียวกับวิธีการทางาน นายม.ม้า นั่งอยู่หลังห้องเรียน เมื่อครูทบทวนความเข้าใจเรียก ให้ตอบก็ตอบไม่ได้ เมื่อให้เร่ิมทางานกลุ่ม นายม.ม้าเดินไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนที่นั่งด้วยกันแต่น่ังอยู่ข้าง หลังเพื่อนและมองดูเพอื่ นเฉยๆไม่ไดล้ งมือทาส่ิงใด พอหมดชั่วโมงกร็ บี เดินออกจากห้องเรียนทนั ทีท้ังๆ ท่เี พ่ือนในกลุม่ ยงั ทางานกันอยู่ สรปุ ความคิดเห็น นายม.ม้าไมส่ นใจการเรียน อยใู่ นห้องเรยี นรอเวลาให้หมดชวั่ โมงและดเู หมือนจะเรียนไม่เข้าใจ ดว้ ยรวมท้งั มพี ฤติกรรมไม่ให้ความรว่ มมอื กับการทางานกล่มุ

ตวั อยา่ ง : แบบจดบนั ทึกพฤติกรรมทีส่ ังเกตแบบรวมทั้งห้อง ครูอาจเลือกบนั ทึกพฤติกรรมที่โดดเด่นหรือพฤติกรรมทเ่ี ป็นปญั หาของเหตกุ ารณ์ทีเ่ กดิ ในชน้ั เรียน การจดบนั ทกึ พฤตกิ รรมที่สังเกต วัน/เดือน/ปี ช่ือนกั เรยี น บันทึก 1 ก.พ. 2548 ชชั วาลย์ เขยี นแผน่ ภาพชีท้ างชนั้ บน ช้ันลา่ ง หอ้ งนา้ หลงั บ้าน 1 ก.พ. 2548 ไดอ้ ยา่ งสรา้ งสรรค์ 2 ก.พ. 2548 ชวกร แสดงความคิดเห็น ช่วยงานกลุม่ ให้ความร่วมมือในการ ทางานกลมุ่ เป็นอยา่ งดี ชลวิทย์ ชอบขีดเขียนข้อความภาษาอังกฤษลงบนกระดาษ ซักถาม เพ่ือนๆ เม่อื สงสยั คาศัพท์บางตวั ตัวอยา่ ง : แบบจดบันทกึ พฤติกรรมท่ีสังเกตรายบคุ คล ชือ่ นายบี การจดั บันทึกเหตุการณย์ อ่ ยรายบุคคล วัน/เดือน/ปี 1 ก.พ. 2554 การจดบันทกึ ทะเลาะกบั เพือ่ นในกล่มุ เดินออกจากกลุ่มขณะทีท่ างานยังไมเ่ สร็จครไู ด้ พูดคยุ และโน้มน้าวใหก้ ลับไปทางานต่อใหเ้ สร็จและเสนอแนะข้อคดิ เห็นให้ กลมุ่ ได้ใช้เปน็ แนวปฏิบตั ิเพื่อแกป้ ญั หาความขดั แย้ง นายบีจงึ ทางานต่อใน กล่มุ จนหมดเวลาเรียน 1.4 แบบสอบถาม (questionnaire) แบบสอบถาม หมายถึง รูปแบบของคาถามเป็นชุด ท่ีได้ถูกรวบรวมไว้อย่างมีหลักเกณฑ์ และเป็นระบบ เพ่ือใช้วัดส่ิงท่ีต้องการจะวัดจากกลุ่มตัวอย่างหรือประชากรเป้าหมาย ให้ได้มาซึ่ง ข้อเท็จจริงทั้งในอดีต ปัจจุบันและการคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคต แบบสอบถามประกอบด้วย รายการคาถามที่สร้างอย่างประณีต เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นหรือข้อเท็จจริง โดยส่งให้ กลุ่มตัวอย่างตามความสมัครใจ การใช้แบบสอบถามเป็นเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้น การ สร้างคาถามเปน็ งานที่สาคญั สาหรับผู้วิจยั เพราะว่าผวู้ ิจัยอาจไมม่ โี อกาสได้พบปะกับผู้ตอบแบบสอบถามเพ่ือ อธิบายความหมายตา่ งๆ ของข้อคาถามท่ีตอ้ งการเกบ็ รวบรวม 1.5 แบบสมั ภาษณ์ (interview) การสัมภาษณ์ คือ การสอบถาม สนทนาหรือการเจรจาโต้ตอบกันอย่างมีจุดมุ่งหมายเพื่อ ค้นหาความรู้ ความจริงตามวัตถุประสงค์ที่เรากาหนดไว้ล่วงหน้า การสัมภาษณ์จะประกอบด้วยบุคคล

2 ฝ่าย คือ ผู้สัมภาษณ์ (Interviewer) และผู้ถูกสัมภาษณ์ หรือผู้ให้สัมภาษณ์ (Interviewee) การสัมภาษณ์ นอกจากจะทาให้ได้ความรู้ความจริงตามต้องการแล้ว การสัมภาษณ์ยังจะช่วยให้ทราบ ข้อเท็จจริง เก่ียวกับผู้ให้สัมภาษณ์ในด้านบุคลิกภาพอีกด้วย เช่น ท่วงที วาจา เจตคติ อุปนิสัย ปฏิภาณไหวพริบ เป็น ต้น ด้วยเหตนุ ก้ี ารสัมภาษณจ์ ึงเป็นเครอื่ งมือการวัดผลท่ีสาคัญอย่างหน่ึง 1.5.1 ประเภทของการสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์สามารถจาแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1) การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Standardized or Structured Interview) เป็นการสัมภาษณ์ท่ีผู้สัมภาษณ์จะใช้แบบสัมภาษณ์ท่ีสร้างข้ึนไว้แล้วเป็นแบบในการถามกับผู้ให้ สัมภาษณ์ กล่าวคือผู้สัมภาษณ์จะใช้คาถามแบบสัมภาษณ์กับผู้ให้สัมภาษณ์เหมือนกันหมดทุกคน การ สัมภาษณ์แบบน้ีมีลักษณะไม่ค่อยยืดหยุ่น คือต้องถามไปตามแบบสัมภาษณ์ แต่มีข้อดีคือ สามารถจัด หมวดหมู่ขอ้ มลู ได้ง่ายและสะดวกในการวเิ คราะห์ การสัมภาษณ์โดยวิธีน้ีอาจกระทาเป็นรายบุคคลหรือกลุ่ม ย่อยๆ กไ็ ด้ 2) การสมั ภาษณแ์ บบไม่มโี ครงสร้าง (Non-Structure Interview or Unstructured Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่ไม่ใชแ้ บบสัมภาษณ์ คือไม่จาเป็นต้องใชค้ าถามท่ีเหมือนกันหมดกบั ผู้ให้ สัมภาษณ์ทุกคน แต่ผสู้ ัมภาษณจ์ ะต้องใช้เทคนคิ และความสามารถเฉพาะตัว เพอื่ ใหไ้ ดม้ าซึ่งคาตอบจาก ผู้ให้สัมภาษณ์ตามจุดมุ่งหมายท่ีต้ังไว้ การสัมภาษณ์โดยวิธีนี้อาจใช้วิธีให้ผู้ตอบแสดงความรู้สึกหรือ ความคดิ เห็นออกมาโดยอสิ ระ ผู้สมั ภาษณม์ หี นา้ ที่รบั ฟงั และคอยดึงหรือควบคุมให้เข้าสปู่ ระเด็นท่ีต้องการ เทา่ นน้ั ผู้ทาหน้าทีส่ มั ภาษณ์โดยวธิ นี ้จี ะต้องมคี วามชานาญเปน็ พเิ ศษ ในทางปฏบิ ัติมักนิยมใชค้ วบคู่กนั ไปทั้ง 2 แบบ เพ่ือใหไ้ ด้ขอ้ มูลทสี่ มบรู ณท์ ่สี ดุ แต่ทง้ั น้ีก็ขน้ึ อยู่กับจุดม่งุ หมายของการสัมภาษณ์ 1.5.2 ลกั ษณะของแบบสมั ภาษณ์ แบบสมั ภาษณ์โดยทั่วๆ ไป มักจะประกอบดว้ ยส่วนที่ สาคญั 3 สว่ น คือ 1) ส่วนแรก เปน็ ส่วนท่ีใช้สาหรับบันทึกข้อมูลเก่ียวกบั การสัมภาษณ์ เช่น ช่อื โครงการ วนั - เดอื น - ปี ที่สัมภาษณ์ ลกั ษณะบางประการของกลุ่มที่จะสัมภาษณ์ เชน่ ระดับชนั้ หรือห้อง โรงเรียน ตาบล อาเภอ จังหวัด เป็นต้น สว่ นน้ผี ้สู ัมภาษณจ์ ะกรอกรายละเอียดลงล่วงหน้า 2) ส่วนที่สอง เป็นรายละเอียดส่วนตัวของผู้ให้สัมภาษณ์ในส่วนที่ยังไม่เก่ียวกับ เรอื่ งทจี่ ะสัมภาษณ์ เชน่ เพศ อายุ เชอ้ื ชาติ สญั ชาติ ศาสนา อาชีพ จานวนสมาชกิ ในครอบครวั ฯลฯ 3) ส่วนที่สาม เป็นรายละเอียดเก่ียวกับการสัมภาษณ์คือ เป็นข้อคาถาม คาตอบ ท่ตี รงกับจุดมงุ่ หมายของการสัมภาษณ์ 1.5.3 ชนิดของคาถามท่ีใช้ในการสัมภาษณ์ คาถามท่ีใช้ในการสัมภาษณ์อาจแบ่งออก ได้ 2 ชนิดดังน้ี 1) คาถามแบบมตี ัวเลือกกาหนดไว้แล้ว (Fixed Alternatives) คือ คาถามทีม่ คี าตอบ กาหนดไว้แล้วในแบบสัมภาษณ์ มีลักษณะและรูปแบบเช่นเดียวกับแบบสอบถาม ซึ่งอาจอยู่ในรูปตอบรับ หรือตอบปฏิเสธ เช่น มี - ไม่มี จริง - ไม่จริง ใช่ - ไม่ใช่ ถูก - ผิด หรือ อยู่ในรูปให้เลือกตอบจากที่กาหนด

ไว้ และมักนิยมใช้ตัวเลือกปลายเปิดต่อท้ายไว้ 1 ข้อ มีข้อความว่า “อ่ืนๆ (โปรดระบุ)” ทั้งนี้เพื่อ แกป้ ัญหาที่ผตู้ อบมีคาตอบไมต่ รงกับ ท่ีมีให้เลือก 2) คาถามแบบปลายเปิด (Open-ended) คือคาถามที่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบได้แสดง ความคิดเห็นโดยอิสระและเต็มที่ ฉะน้ันผู้สัมภาษณ์จะต้องทาหน้าท่ีจดบันทึกรายละเอียดของคาตอบ ของผูใ้ ห้สมั ภาษณ์ คาถามประเภทนม้ี ักใชเ้ พอ่ื ต้องการทราบรายละเอียดท่ีลึกซง้ึ 1.6 แบบประเมนิ ด้วยเกณฑ์ใหค้ ะแนน (scoring rubrics) แบบประเมินด้วยเกณฑ์ให้คะแนน คือเกณฑ์การให้คะแนนท่ีถูกพัฒนาโดยครูหรือ ผู้ ประเมินที่ใช้วิเคราะห์ผลงานหรือกระบวนการท่ีผู้เรียนได้พยายามสร้างขึ้น การประเมินผลงานของ นกั เรียนจะมี 2 ลกั ษณะคือ ผลงานทไ่ี ด้จากกระบวนการของนกั เรียน และกระบวนการท่นี ักเรียนใช้ เพ่ือให้เกิดผลงาน จะประเมินในลักษณะใดข้ึนอยู่กับจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ อาจจะประเมินลักษณะ ใดลักษณะหน่ึงหรือประเมินทั้งสองลักษณะก็ได้ ผู้ประเมินจะต้องตัดสินคุณภาพของผลงานหรือ กระบวนการปฏิบัติงานของผู้เรียนแต่ละคนท่ีมีระดับท่ีแตกต่างกันหลายระดับ ระดับท่ีแตกต่างกัน อาจจะเป็นระดับคุณภาพของชิ้นงานท่ีได้สร้างขึ้น หรือระดับของกระบวนการต่างๆ ที่ผู้เรียนแต่ละคน ได้ใช้เพื่อให้เกิดผลงาน เพ่ือให้การตัดสินใจสอดคล้องกับผู้เรียนแต่ละคน ผู้ประเมินจะต้องใช้เกณฑ์ใน การประเมินคุณภาพชิ้นงานของผู้เรียน เกณฑ์อาจจะอยู่ในเชิงคุณภาพหรือปริมาณ อาจจะมีลักษณะ เป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) หรือแบบตรวจสอบ (Checklist) โดยปกติจะใช้ Rubric ในการประเมินจุดประสงค์การเรียนรู้เดียวหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของงานปฏิบัติ แต่การปฏิบัติงานที่มี ซับซ้อน ผู้ประเมินจะต้องประเมินจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีหลากหลายและประเมินหลายๆ ส่วนของการ ปฏบิ ัติ นั่นคือผ้ปู ระเมนิ จะต้องมีเกณฑ์การให้คะแนนท่มี ากมายเพื่อให้เหมาะกบั จุดประสงค์ การเรยี นรู้ ทแี่ ตกตา่ งกัน หรอื เหมาะกบั แต่ละสว่ นของการปฏิบัติงาน การใหค้ ะแนนจะอยู่ในรูปของตัวเลข โดยปกติ จะเป็น 0-3 หรือ 1-4 ในแต่ละระดับของคะแนนจะขึ้นอยู่กับระดับของคุณภาพของงาน ดังนั้นตัวเลข 4 อาจจะหมายถึงระดับคุณภาพสูงสุด เลข 3 เป็นระดับคุณภาพรองลงมา คุณภาพของงานในแต่ละระดับ จะต้องใช้การอธิบาย (Rubric) ดังนั้นในแต่ละระดับคะแนนจะต้องอธิบายเป็นภาษาท่ีแสดงให้เห็นถึง คุณภาพของการปฏิบตั งิ านในระดับน้ัน 1.6.1 องค์ประกอบของเกณฑก์ ารให้คะแนน เกณฑ์การให้คะแนน (Scoring rubric) มีหลายองค์ประกอบ ในแต่ละ องคป์ ระกอบก็มีประโยชน์ มคี วามสาคัญ องคป์ ระกอบมีดงั นี้ 1) จะมอี ยา่ งนอ้ ย 1 คุณลกั ษณะหรอื 1 มติ ิทีเ่ ป็นพ้ืนฐานในการตดั สนิ ผ้เู รยี น 2) การนยิ ามและการยกตัวอย่างจะตอ้ งมคี วามชัดเจนในแต่ละคุณลักษณะหรือมิติ 3) มาตรการใหค้ ะแนนจะตอ้ งเปน็ อตั ราส่วนกนั ในแตล่ ะคณุ ลกั ษณะหรอื มิติ 4) จะตอ้ งมมี าตรฐานทีเ่ ด่นชัดในแตล่ ะระดับของการให้คะแนน ในแต่ละระดับการให้คะแนนจะต้องมีความชัดเจนในการนิยม และความกว้าง ของระดับคะแนนไม่ควรเกิน 6 ถึง 7 ระดับ ถ้ามีระดับของการให้คะแนนกว้างมากเกินไปจะมีความ

ลาบากในการตัดสินความแตกต่างในแต่ละระดับ เช่น ความกว้างคะแนนเป็น 100 ทาให้ยากท่ีจะ อธิบายว่าคะแนน 81 มีคุณภาพแตกต่างจาก 80 หรือ 82 อย่างไร และจะทาให้ความสอดคล้องของ การประเมินด้วยผู้ประเมินหลายคนลดลงไป การจะกาหนดความกว้างของการให้คะแนนเป็นเท่าไหร่ น้ัน จะต้องมีความเหมาะสมและมีความชัดเจนในการนิยามที่ครอบคลุมตั้งแต่ แย่ท่ีสุด (poor) จนถึงดี เลศิ ทีส่ ดุ (excellent) 1.6.2 ชนดิ ของเกณฑก์ ารให้คะแนน เกณฑ์การให้คะแนน Scoring Rubric มีอยู่ 3 ชนดิ คือ 1) Holistic Rubrics เป็นเกณฑ์การให้คะแนนผลงานหรือกระบวนการท่ีไม่ได้แยก ส่วนหรือแยกองคป์ ระกอบการให้คะแนน คอื จะประเมนิ ในภาพรวมของผลงานหรือกระบวนการนนั้ 2) Analytic Rubrics เป็นเกณฑ์การให้คะแนนที่แยกส่วนหรือองค์ประกอบ คุณลักษณะของผลงานหรือกระบวนการ แลว้ นาแต่ละสว่ นหรือองคป์ ระกอบของคุณลกั ษณะมารวมกัน เป็นคะแนนรวม 3) Annotated Holistic Rubrics ผู้ประเมินจะประเมินแบบ holistic rubrics ก่อน แล้วจึงประเมินแยกส่วนอีกคุณลักษณะที่เด่นๆ เพื่อใช้เป็นผลสะท้อนในบางคุณลักษณะของ ผเู้ รียน การให้คะแนนแบบ holistic rubrics ใช้ได้ง่ายและใช้เพียงไม่ก่ีคร้ังต่อผู้เรียน 1 คน จะเป็น การประเมินในภาพรวมของทุกคุณลักษณะในการปฏิบัติงาน ส่วนการให้คะแนนแบบ analytic rubrics จะใช้บ่อยคร้ังโดยจะประเมินแยกในแต่ละคุณลักษณะของงาน ซึ่งการประเมินแบบน้ีจะมี ประโยชน์เมื่อสนใจจะวินิจฉัยหรือช่วยเหลือผู้เรียนว่ามีความรู้ความเข้าใจในแต่ละส่วนหรือแต่ละคุณลักษณะ ของการปฏิบัติงานน้ันๆ หรือไม่ ซึ่งจะมีส่วนให้ครูได้ช่วยเสริมสร้างหรือพัฒนาการเรียนรู้ในแต่ละ คณุ ลักษณะของผเู้ รยี นใหด้ ียงิ่ ขนึ้ ส่วนแบบ annotated rubrics จะรวมข้อจากัดของ holistic และ analytic ไว้ด้วยกัน เร่ิม ด้วยการประเมินในภาพรวมของการปฏิบัติงานด้วย holistic แล้วผู้ประเมินเลือกประเมินอีกเพียงบาง คุณลกั ษณะของงานแบบ analytic ซงึ่ การประเมนิ เพียงบางคุณลักษณะนี้จะไม่มผี ลตอ่ การเปล่ยี นแปลง คะแนนที่ประเมินแบบ holistic ประโยชน์ก็คือจะมีความรวดเร็วในการประเมินและเป็นการให้ผู้ ประเมินได้เลือกประเมินเฉพาะบางคุณลักษณะท่ีโดดเด่นเพียงไม่ก่ีองค์ประกอบ เพ่ือเป็นผลสะท้อน (feedback) ให้แก่ผู้เรียน แต่ไม่มีประโยชน์ในการวินิจฉัยผู้เรียนว่าบกพร่องในคุณลักษณะใด เพราะ หลายๆ คณุ ลกั ษณะไมไ่ ดถ้ ูกประเมนิ

ตวั อยา่ งเครอื่ งมอื วดั และประเมินผล เครือ่ งมือประเมินผลครึง่ หลักสูตร (Interim) หลกั สตู รประกาศนยี บัตรวิชาชพี พทุ ธศักราช 2545 (ปรับปรุง พ.ศ. 2546) ประเภทวิชาอตุ สาหกรรม สาขาวชิ าเครอื่ งกล สาขางานยานยนต์ สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธิการ คณะกรรมการออกขอ้ สอบ 1. นาย......................... วทิ ยาลัย............... ประธานกรรมการ 2. นาย......................... วิทยาลัย............... กรรมการ 3. นาย......................... บรษิ ัท ................. กรรมการ 4. นาย......................... บรษิ ทั ................. กรรมการ 5. นาย......................... วทิ ยาลยั ............... กรรมการ 6. นาย ........................ วิทยาลัย............... กรรมการและเลขานุการ

คาชแ้ี จง การใชเ้ ครอ่ื งมอื ประเมนิ ผลคร่ึงหลกั สูตร (Interim) หลักสตู รประกาศนียบตั รวิชาชีพ พทุ ธศกั ราช 2545 (ปรับปรุง พ.ศ. 2546) ประเภทวชิ าอตุ สาหกรรม สาขาวชิ าเครอื่ งกล สาขางานยานยนต์ คณุ สมบตั ผิ ูเ้ ขา้ รับการประเมิน ผเู้ ขา้ รับการประเมินมาตรฐานวชิ าชีพจะต้องเปน็ นักเรียนระดับประกาศนียบตั รวชิ าชีพ (ปวช.) ที่ลงทะเบียนเรียนครบทุกรายวิชาตามโครงการหลักสูตรสถานศึกษา ประเภทวิชาอุตสาหกรรม สาขาวิชา เครอื่ งกล สาขางานยานยนต์ หรือตามระยะเวลาท่คี ณะกรรมการประเมินมาตรฐานวชิ าชีพเหน็ สมควรท่ี ผ่านการศกึ ษาหรือมปี ระสบการณใ์ นรายวชิ าทีเ่ กี่ยวขอ้ ง สิง่ ทต่ี อ้ งประเมิน 1. ภาคความรู้ 1.1 รู้จกั ชนิ้ สว่ น หนา้ ที่ และการทางานของเครอื่ งยนต์ 1.2 รู้จกั ชิ้นส่วน หนา้ ท่ี และการทางานของระบบเครือ่ งล่างและส่งกาลงั 1.3 รู้จักชนิ้ ส่วน หน้าที่ และการทางานของระบบไฟฟ้ารถยนตแ์ ละรถจกั รยานยนต์ 1.4 รู้วธิ กี ารบารงุ รกั ษารถยนต์และรถจักรยานยนต์ 2. ภาคปฏบิ ัติ 2.1 การถอดประกอบตรวจสอบชิ้นส่วนของเคร่อื งยนต์ 2.2 การถอดประกอบตรวจสอบช้นิ สว่ นของระบบเครอ่ื งล่างและสง่ กาลัง 2.3 การตรวจสอบชิน้ ส่วนระบบไฟฟ้ารถยนตแ์ ละจกั รยานยนต์ 2.4 การบารุงรักษารถยนต์และรถจักรยานยนต์ 3. พฤตกิ รรมและลกั ษณะนิสัย 3.1 ความรบั ผดิ ชอบและการตรงต่อเวลา 3.2 ความซอื่ สตั ย์ มรี ะเบยี บ มีวินยั 3.3 ความสนใจใฝร่ แู้ ละมคี วามคิดริเร่มิ สรา้ งสรรค์ 3.4 ความอดทดและขยนั หม่ันเพยี ร 3.5 ความสามารถทางานรว่ มกบั ผอู้ น่ื 3.6 รักษาสิ่งแวดลอ้ ม

ลกั ษณะของเครอ่ื งมอื ประเมิน เครอื่ งมือประเมนิ มาตรฐานวิชาชีพชดุ นี้ ประกอบด้วย 1. เครอ่ื งมือประเมินมาตรฐานวชิ าชีพภาคทฤษฎี (เวลา 1 ช่ัวโมง 30 นาท)ี แบบทดสอบเปน็ แบบปรนยั จานวน 100 ข้อ คะแนนเต็ม 100 คะแนน 2. เคร่อื งมือประเมนิ มาตรฐานวิชาชพี ภาคปฏิบัติ (เวลา 4 ชวั่ โมง) แบบทดสอบเปน็ แบบปฏิบตั ิ จานวน 5 ชุด ชดุ ละ 40 คะแนน รวม 200 คะแนน ชดุ ท่ี 1 งานตัง้ ลนิ้ เคร่ืองยนต์ 4 สูบ ชดุ ท่ี 2 งานเปล่ยี นสายพานไทม่งิ ชดุ ท่ี 3 งานเปล่ยี นผ้าเบรกแบบดรัมเบรก ชุดที่ 4 งานเปลยี่ นผ้าเบรกแบบดีสก์เบรก ชดุ ท่ี 5 งานถอดประกอบมอเตอรส์ ตาร์ท

แบบทดสอบภาคปฏิบตั ิ งานชิ้นที่ 3 สาขาวิชา เครื่องกล สาขางาน ยานยนต์ ชือ่ สถานศึกษา..................................................... วนั ท่ี............เดอื น...........................พ.ศ........... ช่ือนกั ศึกษา.......................................................... รหัสประจาตัว.................... ระดบั ช้ัน ปวช..../... ชอื่ งาน งานเปลย่ี นผา้ เบรกแบบดรมั เบรก คาสั่ง ใหน้ ักศึกษาปฏิบตั ติ ามเงอ่ื นไขดงั นี้ 1. เปลย่ี นผา้ เบรกแบบดรัมเบรก 1 ลอ้ 2. ใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ไดถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมกับงาน 3. การปฏบิ ัติงานให้ยดึ แนวการปฏิบัตติ ามคู่มือการซอ่ ม 4. การตรวจสภาพแลว้ บนั ทกึ ลงในแบบฟอรม์ 5. ปฏิบัติงานเสรจ็ แล้วตอ้ งแจ้งใหผ้ ู้ควบคุมเพื่อตรวจสอบความเรยี บร้อย 6. เวลาทใ่ี ชใ้ นการทดสอบ 30 นาที 7. หากมีเหตุขดั ขอ้ งจนกระทั่งไมส่ ามารถปฏิบตั งิ านต่อไปได้ให้แจ้งผคู้ วบคมุ ทราบ ตารางบนั ทกึ ค่าจากการตรวจสภาพ จุดตรวจสภาพ คา่ ท่วี ดั ได้ ผลการพิจารณา หมายเหตุ ใช้ได้ ใชไ้ มไ่ ด้ ลกู ยางเบรก กระบอกสูบ ผ้าเบรกช้ินท่ี 1 ผ้าเบรกชน้ิ ท่ี 2 ผลการตรวจสภาพ O ใชไ้ ด้ เพราะ............................................................................................. O ใช้ไมไ่ ด้ เพราะ........................................................................................ วิธีการแกไ้ ข....................…........................................................................

ตวั อย่าง การทดสอบ ผลการประเมนิ แบบประเมนิ ผล ดี ผา่ น ไมผ่ า่ น การทดสอบมาตรฐานฝีมอื สิน้ สุดหลกั สูตร (Final) ข้อเขยี น สาหรบั นักศกึ ษาอาชีวศกึ ษาระบบทวภิ าคี สัมภาษณ์ สาขาธุรกจิ ค้าปลกี ภาคปฏบิ ัติ ชอื่ – นามสกุล……………………………………………………………….….. สรุปผล แผนก…………………….สาขาวิชา………………………………ระดบั ….…. การสอบ สถานประกอบการ……………………………….วนั ที่……………………….. ลาดับที่ หัวข้อการประเมินการสอบสมั ภาษณ์ การประเมนิ ผล หมายเหตุ ผ่าน ไมผ่ า่ น 1 การแต่งกายและมีบุคลกิ ลักษณะสภุ าพเรียบรอ้ ย 2 เชอ่ื ฟังและปฏบิ ตั ติ ามคาแนะนาของผูบ้ ังคับบญั ชา 3 มคี วามกระตือรอื รน้ ในขณะปฏบิ ัตหิ นา้ ทแี่ ละปฏิบัติหน้าท่ี ด้วย ความตงั้ ใจ 4 มีมนุษยสมั พนั ธท์ ่ีดแี ละใช้คาพูดทสี่ ภุ าพกับลกู ค้า 5 รบั ฟังความคดิ เห็นผอู้ ่นื และชว่ ยเหลอื เพอ่ื นรว่ มงาน ลาดบั ท่ี หัวข้อการประเมินทกั ษะการปฏบิ ัตงิ าน การประเมินผล หมายเหตุ ทาได้ ทาไม่ได้ 1 มีความรเู้ ก่ยี วกับการบรกิ ารลกู ค้าได้ตรงตามนโยบาย 2 ให้บริการลูกค้าไดอ้ ยา่ งสภุ าพ รวดเรว็ และถูกต้อง 3 มีความเข้าใจและใช้เอกสารของแผนกไดอ้ ย่างถูกต้อง 4 มีทักษะการสอื่ สาร ชดั เจน เข้าใจงา่ ย 5 มีความสามารถในการตอบข้อซักถามของลกู คา้ 6 มีทศั นคตทิ ี่ดีต่องานบริการ 7 ดูแลรกั ษาอปุ กรณ์และเคร่ืองมอื เครอ่ื งใช้ 8 มคี วามเข้าใจในเร่อื งสุขอนามัย 9 มคี วามเขา้ ใจกับการดแู ลและระวังรักษาทรพั ย์สนิ ของลกู คา้ 10 มคี วามรแู้ ละสามารถแกไ้ ขปญั หาท่ีพบในแตล่ ะวนั ไดเ้ ป็นอยา่ งดี 11 มคี วามคิดรเิ ร่มิ และสร้างสรรค์ 12 มีความตั้งใจท่ีจะรบั ร้แู ละประสบการณต์ ่าง ๆ จากครูฝึกและบุคคลอ่ืน 13 มีการใหค้ าแนะนา และตอบขอ้ ซกั ถามของลกู ค้าดว้ ยกริยาทสี่ ภุ าพ 14 มีสว่ นร่วมในระหว่างการสาธติ วิธปี ฏบิ ัตงิ าน 15 มีความต้ังใจที่จะฝึกความชานาญเพอื่ ใหไ้ ดม้ าตรฐานท่ถี กู ต้อง ลงช่ือผู้ประเมิน............................................................ลงชือ่ ผู้ประเมนิ ..................................................................... (............................................................) (.....................................................................) ลงชอ่ื ผู้ประเมนิ ............................................................ลงชอ่ื ผู้ประเมิน..................................................................... (............................................................) (.....................................................................)

วทิ ยาลัย…………………………………………… แบบประเมนิ ผลมาตรฐานฝีมอื สิน้ สุดหลกั สตู ร (Final) วนั ท…่ี ……..…เดือน….………….พ.ศ…………….. ลาดบั ท่ี ชอื่ – นามสกลุ ผลการพจิ ารณา หมายเหตุ ดี ผา่ น ไม่ผา่ น คณะกรรมการประเมินผลมาตรฐานฝีมอื สน้ิ สดุ หลกั สตู ร (FINAL) ลงชื่อ………………………………………………. ลงชอื่ ……………………………………………….. () () ลงชอ่ื ………………………………………………. ลงชื่อ……………………………………………….. () () ลงช่ือ………………………………………………. ลงชอื่ ……………………………………………….. () ()

ใบเนือ้ หาที่ 5.4 การจดั ทาบันทึกการฝึกอาชพี และการจดั ทาสรปุ ผลการฝึกอาชีพ 1. กรอบแนวคิด ในการจัดการศึกษาระบบทวิภาคีครูฝึกในสถานประกอบการนับว่ามีบทบาทสาคัญในการ พัฒนาศักยภาพของนักศึกษาทวิภาคีให้มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม ในวิชาชีพและการทางาน โดยสร้างความเข้าใจกับครูฝึกในสถานประกอบการในการจัดทาบันทึกการฝึกอบรมและจัดทาสรุปผล การฝกึ อาชีพในการจดั การเรียนรใู้ นฐานะท่เี ป็นครูในสถานประกอบการ สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาตระหนักถึงความสาคัญในการจัดทาบันทึกการฝึก อาชีพ และจดั ทาสรุปผลการฝกึ อาชพี เป็นขอ้ มลู หลกั ฐานทางเอกสารในการประเมินผลพทุ ธพิ สิ ยั ทักษะ พิสัย จิตพิสยั ในสถานประกอบการและหลงั การฝึกอบรม 2. จดุ ประสงค์ ( ชดุ การฝึกอบรม ) 2.1 ครฝู กึ ในสถานประกอบการรวู้ ธิ ีการจดบันทึกจากผลการประเมินตามสภาพจริง 2.2 สมุดบนั ทึกใช้ในการประเมินผล 2.3 นาขอ้ มูลจากสมดุ บันทึกมาปรับปรงุ เพื่อแก้ไขเพื่อการพฒั นาทั้งรายบุคคล และ รายกล่มุ 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 การจดั บันทกึ การฝึกอบรม 3.2 สรุปผลการฝกึ อบรม 4. แนวทางการจัดกจิ กรรม กจิ กรรมท่ี 1 กิจกรรมกลุ่ม (สะท้อนปญั หา) (10 นาที) 1) วธิ กี ารจดบันทกึ - รายละเอียดของงาน - ปญั หาและอุปสรรค - แนวทางการแกไ้ ข - ประโยชน์ (การเรียนรู้และสร้างทกั ษะ) กจิ กรรมท่ี 2 การสรา้ งและเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับภารกิจ (30 นาที) 1) เงอ่ื นไขการให้คะแนน (100 คะแนน)

2) เง่อื นไขการผ่านการฝึกอบรม - คะแนน - เวลา 3) เง่อื นไขการไม่ผ่านการฝึกอบรม - คะแนน - เวลา - ปญั หา (สมรรถนะในการฝกึ อาชีพไม่ได้มาตรฐานตามเงื่อนไข ) - ซอ่ มเสริมเพ่ือให้มีการฝกึ อบรม กิจกรรมท่ี 3 นาเสนอการจดั ทาบนั ทกึ และสรุปผลการฝึกอบรม (กลุ่มละ 10 คน) (20 นาที) - การรวบรมขอ้ มลู จากสมดุ บนั ทกึ สู่ขัน้ ตอนการสรุปผล - วิธกี ารซอ่ มเสรมิ นกั ศึกษาฝึกอาชพี กรณีไม่ผา่ น 5. สอ่ื - Power Point ในเรื่องของการจดั ทาบนั ทึกการฝกึ อาชพี - Power Point การจัดทาสรปุ ผลการฝกึ อาชีพ - ภาพประกอบการปฏบิ ตั ิงาน - เพลงบรรเลงประกอบการปฏิบตั งิ าน - Flip Chart 6. การวัดประเมินผล - การเขียนรายงานสรุปผล - แบบประเมินผลการปฏิบัตงิ าน

สมุดบันทกึ การฝกึ อาชีพ และ คูม่ อื การฝึกอาชพี ชอื่ – สกลุ .........................................................รหัส.......................................................... ระดับชั้น/กลุ่ม...................................................สาขา......................................................... สถานศกึ ษา......................................................................................................................... สถานประกอบการ.............................................................................................................. ทตี่ งั้ .................................................................................................................................... โทรศัพท์............................................โทรสาร.....................................................................

ประวัตนิ ักเรียน นกั ศึกษาฝึกอาชีพ 1. ชอื่ - สกลุ ...........................................ชั้น................กลมุ่ ..........รหสั ประจาตวั .................................. วัน เดอื น ปี เกดิ .................................อายุ............ปี สูง...................เซนตเิ มตร น้าหนกั ..............กก. สัญชาติ.................เชอ้ื ชาติ...............ศาสนา...............โรคประจาตวั ..................ยาท่แี พ้.................... กล่มุ เลือด............โทรศพั ท์................................................................................................................ 2. ภมู ิลาเนาเดิม..................................................................................................................................... .................................................................................... ................................................................. 3. ทอี่ ยปู่ ัจจุบัน...................................................................................................................................... เพอ่ื นที่สนิทช่ือ.....................................ท่อี ย่.ู ..................................................................................... .................................................................................................... ...................................................... 4. ชอื่ บิดา............................................อายุ................ปี อาชพี .............................................................. ชือ่ มารดา.........................................อาย.ุ ...............ปี อาชพี ............................................................. ทอ่ี ยู่บดิ า - มารดา............................................................................................................................. .............................................................................................................................. ....................... 5. ชือ่ ผปู้ กครอง ในขณะศึกษาอยู่ ชอ่ื - สกลุ ....................................................................................... เกีย่ วขอ้ งเป็น...............ที่อยู่.............................................................................................................. .........................................................................................โทรศพั ท์.................................................... 6. คะแนนเฉลยี่ สะสมถึงภาคเรียนสุดท้าย.............................................................................................. 7. ความสามารถพเิ ศษ 1...................................................................................... 2...................................................................................... 3...................................................................................... 8. บคุ คลท่ีสามารถใหข้ ้อมูลเกี่ยวกับนักเรยี น นกั ศกึ ษาได้ ชอ่ื - สกุล..................................................... อาชพี ........................................ท่ีอยู่/ทท่ี างาน.................................................................................. ............................................................................................................................. ............................. โทรศัพท์..................................................................................................................... ....................... 9. ครูทปี่ รึกษาช่ือ................................................................................................................................... ครูนิเทศก์ช่ือ..................................................................................................................... ..................



คณุ สมบตั ขิ องนกั เรยี น นกั ศึกษาที่จะออกฝกึ อาชพี ในสถานประกอบการ นักเรียน นักศึกษาทั้งระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ปวช. และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นสูง (ปวส.) ท่จี ะไดร้ ับพจิ ารณาให้ออกฝกึ อาชีพในสถานประกอบการจะต้องมีคุณสมบัติ ดงั น้ี 1. ผ่านการลงทะเบยี น 2. มกี ารทาประกนั อุบตั ิเหตุ 3. มผี ลการเรยี นเฉลี่ยไมต่ า่ กวา่ 2.00 4. ผลการเรยี นผ่านในรายวิชาชีพพ้นื ฐาน และวิชาชพี สาขางาน 5. มผี ลการเรียนผา่ นในรายวชิ ากิจกรรม 6. มคี วามประพฤติเรียบร้อย ทัง้ ในดา้ นความรับผิดชอบ คุณธรรม จรยิ ธรรม การตรงต่อเวลา ........................................................ (......................................................) ........................................................ ....................................................... ........................................................ ……….……………………….…………….. (......................................................) (………………………………..……………) ........................................................ ....................................................... ……………………………………………….. .......................................................


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook