Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วันอาสาฬหบูชา

วันอาสาฬหบูชา

Published by watsunp, 2018-06-08 00:12:28

Description: พระครูปราโมชสิทธานุยุต

Search

Read the Text Version

ศาสนพธิ ี 1. ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู - พธิ ศี ราทธ์ / พธิ บี ูชาเทวดา 2. ศาสนาพุทธ - พธิ กี รรม/พธิ บี รรพชา/พธิ ปี วารณาเขา้ พรรษา 3. ศาสนาครสิ ต์ - ศลี ลา้ งบาป/ ศลี กาลงั / ศลี มหาสนทิ 4. ศาสนาอสิ ลาม - พธิ ฮี จั ญ์ / ละหมาด

หลกั ธรรมกบั การนาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั 1. เว้นจากการทาช่ัวและมุ่งทาความดี 2. มคี วามรักและเมตตา 3. การเสียสละหรือการสังคมสงเคราะห์ 4. ความอุตสาหะและพฒั นาตนเอง 5. ความยุตธิ รรม

วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา • วนั มำฆบชู ำ ตรงกบั วนั ข้ึน ๑๕ ค่ำ กลำงเดือน ๓ หรือ ประมำณรำว เดือนกมุ ภำพนั ธ์ แต่หำกเป็นปี อธิกมำส (ปี ที่มีเดือน ๘ สองหน) วนั มำฆบชู ำจะเลื่อนไปเป็น วนั ข้ึน ๑๕ ค่ำกลำงเดือน ๔ หรือประมำณ เดือนมีนำคม

วนั มำฆบูชำ• วนั มำฆบชู ำ ยอ่ มำจำกคำวำ่ \"มำฆปุรณมีบชู ำ\" แปลวำ่ กำร บูชำพระในวนั เพญ็ เดือน ๓ ถือเป็น \"วนั จำตุรงค สนั นิบำต\" แปลวำ่ กำรประชุมอนั ประกอบดว้ ยองค์ ๔ ซ่ึง เป็นเหตุกำรณ์อศั จรรยเ์ กิดข้ึนพร้อมกนั ในสมยั พทุ ธกำล

• ๑. พระสงฆจ์ ำนวน ๑,๒๕๐ รูป ซ่ึงจำริกไปเผยแผ่ พระพทุ ธศำสนำในสถำนที่ต่ำงๆ เดินทำงมำเฝ้ ำ พระพทุ ธเจำ้ ณ เวฬุวนั มหำวิหำร กรุงรำชคฤห์ แควน้ มคธ ๒. พระสงฆจ์ ำนวน ๑,๒๕๐ รูปเหล่ำน้ี ลว้ นเป็นพระ อรหนั ต์ และไดร้ ับกำรบวชจำกพระพทุ ธเจำ้ โดยตรง ดว้ ยวิธีเอหิภิกขอุ ุปสมั ปทำ

• ๓. พระสงฆจ์ ำนวน ๑,๒๕๐ รูป ต่ำงมำ ประชุมพร้อมเพรียงกนั โดยมิไดม้ ีกำรนดั หมำย ๔. วนั ที่มำประชุม ตรงกบั วนั เพญ็ เดือน มำฆะ (วนั เพญ็ กลำงเดือน ๓) เป็นวนั ท่ี พระพทุ ธเจำ้ ไดท้ รงแสดงธรรมเทศนำอนั เป็นหวั ใจของพระพทุ ธศำสนำคือ โอวำท ปำฏิโมกข์ โอวำทปำฏิโมกข์ คือ ขอ้ ธรรม ยอ่ อนั เป็นหลกั หรือหวั ใจสำคญั ของ พระพทุ ธศำสนำ ๓ ประกำรไดแ้ ก่

วนั วสิ าขบูชา• วนั วิสำขบชู ำ หมำยถึง กำรบูชำในวนั เพญ็ เดือน วสิ ำขะหรือเดือน ๖ เน่ืองในโอกำสคลำ้ ยวนั ท่ี พระพทุ ธเจำ้ ประสูติ - ตรัสรู้ – และเสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพำน

ความสาคญั• พระพทุ ธเจำ้ ประสูติ ตรัสรู้ และเสดจ็ ดบั ขนั ธปริ-นิพพำน เวยี นมำบรรจบในวนั และเดือนเดียวกนั คือ วนั เพญ็ เดือน วสิ ำขะ จึงถือวำ่ เป็นวนั ที่สำคญั ของพระพทุ ธเจำ้ หลกั ธรรม อนั เกี่ยวเนื่องจำกกำรประสูติ ตรัสรู้และเสดจ็ ดบั ขนั ธปริ นิพพำน คือ ควำมกตญั ญู อริยสจั ๔ และควำมไม่ประมำท ประวตั ิควำมเป็นมำ

• วนั วิสำขบชู ำเป็นวนั สำคญั ที่สุดของ พระพทุ ธศำสนำ เน่ืองจำกมี เหตุกำรณ์สำคญั เกี่ยวกบั พระ สมั มำสมั พทุ ธเจำ้ ๓ อยำ่ ง เกิดข้ึนใน วนั เดียวกนั คือ ประสูติ ตรัสรู้ธรรม และปรินิพพำน วนั วสิ ำขบูชำตรงกบั วนั เพญ็ ข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน ๖

วนั อำสำฬหบชู ำ• หมำยถึง กำรบชู ำในวนั เพญ็ เดือนอำสำฬหะ หรือ เดือน ๘ เน่ืองในโอกำสคลำ้ ยวนั ท่ี พระพทุ ธเจำ้ ทรงประกำศพระศำสนำเป็น คร้ังแรก โดยแสดงปฐมเทศนำ คือ ธรรมจกั รกปั ปวตั นสูตร เป็นผลใหเ้ กิดมี พระสำวกรูปแรกข้ึนในพระพทุ ธศำสนำ จน ถือไดว้ ำ่ เป็นวนั แรกท่ีมี พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ ครบเป็นองคพ์ ระรัตนตรัย

ตรงกบั วนั เพญ็ เดือน 8 ก่อนปุริมพรรษำ (ปุริมพรรษำเร่ิม ต้งั แต่วนั แรม 1 ค่ำ เดือน 8 ในปี ที่ไม่มีอธิกมำสเป็นตน้ ไป ถึงวนั ข้ึน 15 ค่ำ เดือน 11) 1 วนั เป็นวนั คลำ้ ยวนั ท่ีพระพทุ ธเจำ้ ทรง แสดงปฐมเทศนำ คือ

• เทศน์กณั ฑแ์ รก ช่ือวำ่ ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร โปรดพระปัญจ วคั คีย์ ที่ป่ ำอิสิปตนมฤคทำยวนั แขวงเมือง พำรำณสี ในปี แรกท่ี ทรงตรัสรู้ และเพรำะผลของ พระธรรมเทศนำกณั ฑน์ ้ีเป็นเหตุ ใหท้ ่ำน พระโกณฑญั ญะใน จำนวนพระปัญจวคั คียท์ ้งั 5 ได้ ธรรมจกั ษุ (โสดำปัตติมรรค หรือ โสดำปัตติมรรคญำณ คือ ญำณที่ทำใหส้ ำเร็จเป็น โสดำบนั )

เมอ่ื วนั อาสาฬหบูชาเวยี นมาถงึ• พทุ ธศำสนิกชนไม่วำ่ จะเป็นบรรพชิต (พระสงฆ์ สำมเณร) หรือ ฆรำวำส (ผคู้ รองเรือน) ทวั่ ไป จะร่วมกนั ประกอบ พิธีเป็นกำรพเิ ศษทำกำรสกั กำรบูชำเพื่อนอ้ มรำลึกถึง พระ ปัญญำคุณ พระวิสุทธิคุณ และ พระมหำกรุณำคุณ ของ พระพทุ ธเจำ้ ผเู้ ป็นดวงประทีปโลก

• เม่ือวนั อำสำฬหบชู ำซ่ึงตรงในวนั เดียวกนั ไดเ้ วยี นมำ บรรจบอีกคร้ังหน่ึงในรอบปี คือ เวยี นมำบรรจบในวนั เพญ็ อำสำฬหบูชำเดือน 8 ของไทยเรำ ชำวพทุ ธทวั่ โลก จึงประกอบพิธีสกั กำรบชู ำ กำรประกอบพธิ ีในวนั อำสำฬหบชู ำ ดงั กล่ำว• หลงั จำกวนั อำสำฬหบชู ำ รุ่งข้ึนจึงเป็นวนัวนั เข้าพรรษา

เขำ้ พรรษำความหมาย กำรเขำ้ พรรษำ เป็นพทุ ธ บญั ญตั ิ ซ่ึงพระภิกษุทุกรูปจะตอ้ งปฏิบตั ิ ตำม หมำยถึง กำรอธิษฐำนอยปู่ ระจำที่ ไม่เท่ียวจำริกไปยงั สถำนที่ต่ำงๆ เวน้ แต่มี กิจจำเป็นจริง ๆ ช่วงจำพรรษำจะอยู่ ในช่วงฤดูฝนคือแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึง ข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี

• วนั เขำ้ พรรษำ หมำยถึง วนั ที่พระภิกษุใน พระพทุ ธศำสนำอธิษฐำนอยปู่ ระจำในวดั หรือเสนำสนะที่คุม้ แดดคุม้ ฝนไดแ้ ห่งหน่ึง ไม่ไปคำ้ งแรมในที่อ่ืน ตลอด ๓ เดือนใน ฤดูฝน

เขำ้ พรรษำ• เมื่อคร้ังที่สมเดจ็ พระสมั มำสมั พทุ ธเจำ้ ทรงประทบั อยู่ ณ วดั เวฬุวนั เมือง รำชคฤห์ แควน้ มคธ มีเหตุกำรณ์เกิดข้ึน คือ พวกชำวบำ้ นกลุ่มหน่ึงพำกนั กล่ำว ตำหนิพระสงฆใ์ นพระพทุ ธศำสนำวำ่ ช่ำง ไม่รู้จกั กำลเวลำเสียเลยพำกนั จำริกไป เร่ือยๆ ไม่หยดุ ย้งั แมใ้ นระหวำ่ งฤดูฝน บำงคร้ังกไ็ ปเหยยี บขำ้ วกลำ้ ของชำวนำเสียหำย

วนั เข้าพรรษา• วนั เขำ้ พรรษำ กำหนดเป็น 2 ระยะ คือ ปุริมพรรษำ และ ปัจฉิมพรรษำ 1. ปุริมพรรษา คือ วนั เขำ้ พรรษำตน้ ตรงกบั วนั แรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี หรือรำวเดือนกรกฎำคม และออก พรรษำในวนั ข้ึน 15 ค่ำ เดือน 11 รำวเดือนตุลำคม

• 2. ปัจฉิมพรรษา คือ วนั เขำ้ พรรษำหลงั สำหรับปี อธิกมำส คือ มีเดือน 8 สองหน ตรงกบั วนั แรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลงั หรือรำวเดือนกรกฎำคม และจะออกพรรษำในวนั ข้ึน 15 ค่ำ เดือน 11 รำวเดือนตุลำคม ควำมหมำยของวนั เขำ้ พรรษำ คือ เป็นวนั ท่ีพระภิกษสุ งฆอ์ ธิษฐำนวำ่ จะพกั ประจำอยู่ ณ ท่ีแห่งใดแห่งหน่ึง ตลอดระยะเวลำฤดูฝนมี กำหนด 3 เดือนตำมพระวนิ ยั บญั ญตั ิ โดยไม่ไปคำ้ งแรม ในที่อื่น เรียกกนั โดยทวั่ ไปวำ่ \"จำพรรษำ\"

วนั ออกพรรษำ• หมำยถึง วนั ที่พน้ จำกขอ้ กำหนดทำง พระวนิ ยั ท่ีตอ้ งอยปู่ ระจำท่ีหรือในวดั แห่งเดียวตลอด ๓ เดือน ในฤดูฝน กล่ำวคือ เมื่อพระภิกษุไดอ้ ธิษฐำนอยู่ จำพรรษำในวนั แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ (หรือเดือน ๙ ในกรณีเขำ้ พรรษำหลงั )

• แลว้ อยปู่ ระจำท่ีหรือวดั น้นั เร่ือยไป จนสิ้นสุดในวนั ข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ (หรือเดือน ๑๒ ในกรณี เขำ้ พรรษำหลงั ) หลงั จำกน้ีกส็ ำมำรถจำริกไปคำ้ ง แรมที่อื่นได้

ประเพณที เี่ กย่ี วข้องกบั วนั ออกพรรษาที่นิยมปฏบิ ตั ิ คอื• ๑. ประเพณีตกั บำตรเทโว (วนั แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ หลงั จำก ออกพรรษำแลว้ ๑ วนั ) ๒. พธิ ีทอดกฐิน (ต้งั แต่วนั แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวนั ข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ กำหนด ๑ เดือนนบั ต้งั แต่วนั ออกพรรษำ) ๓. พิธีทอดผำ้ ป่ ำ (ไม่จำกดั กำล) ๔. ประเพณีเทศนม์ หำชำติ (นิยมทำกนั ในวนั ข้ึน ๘ ค่ำ หรือ วนั แรม ๘ ค่ำ กลำงเดือน ๑๒ ในบำงทอ้ งถิ่นอำจนิยมทำกนั ในเดือน ๕ ต่อเดือน ๖ หรือในเดือน ๑๐)

วนั ทำบุญตกั บำตรเทโว • วนั ทำบุญตกั บำตรเทโวใน เทศกำลวนั ออกพรรษำตำมควำม เช่ือของพทุ ธศำสนิกชนวำ่ เป็น วนั ท่ีพระพทุ ธเจำ้ เสดจ็ ลงมำจำก สวรรคช์ ้นั ดำวดึงส์ หลงั จำก เทศนำอภิธรรมปิ ฎกโปรดพทุ ธ มำรดำ

• วนั ตกั บำตรเทโว หมำยถึง วนั ทำบุญตกั บำตรใน เทศกำลวนั ออกพรรษำตำมควำมเช่ือของ พทุ ธศำสนิกชนวำ่ เป็นวนั ท่ีพระพทุ ธเจำ้ เสดจ็ ลงมำ จำกสวรรคช์ ้นั ดำวดึงส์ หลงั จำกเทศนำอภิธรรมปิ ฎก โปรดพทุ ธมำรดำ

• \"เทโว\" ยอ่ มำจำกคำวำ่ \"เทโวโรหนะ\" ซ่ึงแปลวำ่ กำรหยงั่ ลงจำกเทวโลก หมำยถึง กำรเสดจ็ ลงจำกเทวโลกของ พระพทุ ธเจำ้• กำรตกั บำตรเทโวน้ี บำงวดั ทำในวนั ออกพรรษำ คือวนั ข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ บำงวดั กท็ ำในวนั รุ่งข้ึน คือวนั แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ท้งั น้ีแลว้ แต่ควำมตกลงร่วมใจท้งั ทำงวดั และ ทำงบำ้ น

• เป็นกำรตกั บำตร เมื่อพระพทุ ธองคเ์ สดจ็ กลบั ลงบน โลกมนุษย์ หลงั จำกแสดงธรรมโปรดพทุ ธมำรดำบน สวรรคช์ ้นั ดำวดึงส์ ซ่ึงเป็นท่ีมำของ \"ขำ้ วตม้ ลกู โยน\" เพรำะกำรตกั บำตรเทโวมกั มีคนแน่นมำกจนเขำ้ ไป ใส่บำตรไม่ถึง ตอ้ งโยน

กำรทอดกฐิน....• กฐิน แปลวำ่ กรอบไมส้ ำหรับขึงผำ้ เยบ็ เป็น จีวร หรือ สดึง กำรทอดกฐินคือ นำผำ้ ไปวำ่ ง ต่อหนำ้ พระสงฆ์ 5 รูป• กำรทอดจะทอดวดั ใดกไ็ ด้ ต้งั แต่ แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึง กลำงเดือน 12 นอกเวลำน้ีเรียกวำ่ “ผำ้ ป่ ำ “

....กำรทอดผำ้ ป่ ำ......ผ้าป่ า คอื ผ้าท่ีไม่มเี จ้าของหวงแหนทงิ้ ไว้ตามป่ าตามถนนหนทาง เป็ นผ้าห่อศพ ในสมยั พทุ ธการพระสงฆ์จะเกบ็ ผ้าเหล่าน้ันมาซักล้าง เพอื่ นุ่งห่มเป็ นสบง จีวร

บทท่ี 2ความสาคญั ของพระพทุ ธศาสนา

ความสาคญั ของพระพทุ ธศาสนา ในประเทศไทย1. พระพทุ ธศาสนาเป็ นศาสนาประจาชาตไิ ทย2. พระพทุ ธศาสนาเป็ นรากฐานของสังคมไทย3. ประเทศไทยเป็ นประเทศทมี่ จี านวนผู้นับถอื พระพทุ ธศาสนามากทสี่ ุดในโลก4. พระมหากษตั ริย์ทรงเป็ น พทุ ธมาม กะ

พระพทุ ธศาสนามอี ทิ ธิพลและความสาคญั ต่อวถิ ีชีวติ ของคนไทยคอื 1. ด้านอุปนิสัย หลกั ธรรมคาสอนในพระพทุ ธศาสนาทาให้คนไทยมอี ปุ นิสัย เช่น ความกตญั ญูกตเวที ให้อภยั ซึ่งกนั และกนั มคี วามเมตตากรุณา 2. ด้านสังคม วดั เป็ นศูนย์รวมของการดาเนินชีวติ ของสังคมไทย เป็ นศูนย์รวมความสามคั คี

3. ด้านการศึกษา ในสมัยโบราณ ชาวบ้านมักจะพาลูกหลานไปฝากไว้กบั พระสงฆ์ทว่ี ดั เพอื่ ให้เรียนหนังสือและได้รับการอบรมสั่งสอนเกย่ี วกบั หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา 4. ด้านประเพณแี ละวฒั นธรรม ประเพณแี ละวฒั นธรรมของไทยส่วนใหญ่มีรากฐานมาจากพระพทุ ธศาสนา เช่น การทอดกฐิน การอุปสมบท และบางประเพณกี น็ าพระพทุ ธศาสนาเข้าไปผสมผสาน เช่น งานแต่งงาน งานสงกรานต์

หลกั ของพระพทุ ธศาสนาหลกั การของพระพทุ ธศาสนาในการพฒั นาศรัทธา ศรัทธา แปลว่า ความเชื่อ ใช้คู่กบั ปสาทะ แปลว่า ความเลอ่ื มใสประกอบด้วย1. ความเช่ือในกฎธรรมชาติ2. ความเช่ืออย่างมเี หตุผล3. ความเชื่อในตวั มนุษย์

หลกั การของพระพทุ ธศาสนาในการพฒั นาปัญญา ปัญญา หมายถงึ ความรู้ความเข้าใจอนั ถ่อง แท้ในเหตุผล หรือความรู้ทวั่ ถงึ ในความจริง ในทางพระพทุ ธศาสนา หลกั ธรรมท่ที รงแสดง คอื กาลามสูตร แสดงถงึ การไม่เช่ือง่ายๆ 10 ข้อ

1. อย่าเช่ือ เพยี งเพราะได้ฟังตามกนั มา2. อย่าเชื่อ เพยี งเพราะได้ยดึ ถือสืบๆ กนั มา3. อย่าเชื่อ เพยี งเพราะคาเล่าลอื4. อย่าเช่ือ เพยี งเพราะอ้างตาราหรือคมั ภรี ์5. อย่าเช่ือ เพยี งเพราะตรรกะ6. อย่าเช่ือ เพยี งเพราะอนุมานเอา7. อย่าเชื่อ เพยี งเพราะคดิ ไตร่ตรองตามเหตุการณ์8. อย่าเชื่อ เพยี งเพราะเข้ากนั ได้กบั ทฤษฎขี องตน9. อย่าเช่ือ เพยี งเพราะผู้พดู มลี กั ษณะน่าเชื่อถอื10.อย่าเช่ือ เพยี งเพราะเห็นว่าผู้พดู เป็ นครูบาอาจารย์ของเรา

ปัญญาเกดิ ได้ 3 ทาง คอื1. สุตมยปัญญา คอื ปัญญาที่เกดิ จากการเล่าเรียน2. จินตามยปัญญา คอื ปัญญาท่เี กดิ จากการพจิ ารณาหา เหตุผล3. ภาวนามยปัญญา คอื ปัญญาทเ่ี กดิ จากการลงมอื ปฎบิ ตั ิ

ลกั ษณะประชาธิปไตยในพระพทุ ธศาสนา1. พระพทุ ธศาสนายอมรับศักยภาพของมนุษย์2. พระพทุ ธเจ้าทรงมอบความเป็ นใหญ่ให้แก่ พระสงฆ์3. เมอื่ มเี หตุการณ์สาคญั เกยี่ วกบั ประโยชน์ส่วนรวม หรือกระทบถงึ ความเส่ือมความเจริญของพระ ศาสนา สงฆ์จะต้องใส่ใจขวนขวายดาเนินการ4. พระพทุ ธศาสนายดึ หลกั สร้างความสามคั คี

พทุ ธประวตั ิ โดยอาจารย์ขวญั ตา จั่นอด๊ิ



พระพทุ ธเจา้ มพี ระนามเดมิ วา่\"สทิ ธตั ถะ\" เป็ พระราชโอรสของพระเจา้ สทุ โธทนะ กษตั รยิ ผ์ คู้ รองกรงุ กบลิ พสั ดุ์ แควน้ สกั กะ ซงึ่ปจั จบุ นั ตง้ั อยทู่ างภาคใตข้ องประเทศเนปาล พระราชมารดาทรงพระนามวา่ \"พระนางสริ มิ หามายา\"ซงึ่ เป็ นพระราชธดิ าของกษตั รยิ ์ราชสกลุ โกลยิ วงศแ์ หง่ กรงุ เทวทหะแควน้ โกลยิ ะ

พราหมณ์ท้ัง 8 ทานายว่า



หลงั ประสูตไิ ด้ 7 วนั พระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์ทรงอยู่ในความดูแลของพระนางปชาบดโี คตมี ซึ่งเป็ นพระเจ้าน้าศึกษาเล่าเรียนจนจบระดบั สูงของการศึกษาทางโลกในสมยั น้ัน คอืศิลปศาสตร์ถงึ 18 ศาสตร์ ในสานักครูวศิ วามติ ร

พระบดิ าไม่ประสงค์จะให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็ นศาสดาเอก จึงพยายามทาให้พบแต่ความสุขทางโลก เช่นสร้างประสาท 3 ฤดูให้อายุ 16 ปี ได้ให้เจ้าชายสิทธัตถะอภเิ ษกกบั นางพมิ พาหรือยโสธราผู้เป็ นพระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็ นพระญาตฝิ ่ ายพระมารดาเมอ่ื มพี ระชนมายุ 29 ปี พระนางพมิ พากใ็ ห้ประสูติ ราหุล (บ่วง)

ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจบ็ คนตาย และสมณะตามลาดบัเห็นสภาพชีวติ เป็ นของไม่เท่ยี ง เป็ นอนิจจังทรงเห็นความสุขทางโลกเป็ นเพยี งมายา ความสุขในกามคุณเป็ นความสุขจอมปลอม

หาวถิ ที างทจี่ ะพ้นจากความทุกข์ของชีวติ หนทางหลุดพ้นจากวฏั สงสาร จะต้องสละเพศผู้ครองเรือนเป็ นสมณะ



ทรงมุ่งไปทแ่ี ม่นา้ คยา แคว้นมคธ เพอ่ื ค้นคว้าทดลองในสานักอาฬารดาบส กาลามโคตร และอทุ กดาบส รามบุตร เมอื่ เรียนจบท้งั สองสานัก(บรรลุฌาณช้ันทแ่ี ปด) แต่กท็ รงเห็นว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ตามทมี่ ุ่งหวงั ไว้



พระองค์จึงค้นพบว่า ทางสายกลางเป็ นหนทางทจ่ี ะ นาไปสู่พระโพธิญาณได้ ฉันอาหาร บารุงร่างกาย เหมอื นเดมิ ปัญจวคั คยี ์ (โกญฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทยิ า มหานามะ อสั สชิ) หนีไป-ไม่ปรนนิบัตพิ ระพทุ ธเจ้าอกี คดิ ว่าพระองค์ทรงละความเพยี ร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook