บทที่ 3 การอานแบบผังโครงสรา ง สาระสาํ คญั ผังโครงสรางเปนแบบกอสรางทก่ี ําหนดลักษณะ ชนิดของโครงสรา ง และวสั ดทุ ใี่ ชท ําโครงสรา งทง้ั หลัง เพอื่ ถายนา้ํ หนกั ลงสดู ิน จากแบบบา นพักอาศัยสองชัน้ ตามตวั อยาง กําหนดใหพน้ื ช้ันลา งเปนพื้น ค.ส.ล. พ้ืนชน้ั บนเปน พน้ื ไม และพืน้ ค.ส.ล. บางสว น หลังคาปน หยาใชโครงหลังคาเปน ไมมงุ ดว ยกระเบอื้ งลอนคู ผงั โครงสรา งเปนแบบทส่ี ัมพันธกับผังพน้ื ผงั หลงั คา และรูปตดั โดยโครงสรางทแ่ี สดงในรปู ตดั ตามแนว ตัดในผงั พ้ืนจะแสดงโครงสรา งของอาคารในแนวด่งิ ต้ังแตหลังคาจนถงึ ฐานราก จงึ จําเปนตอ งศกึ ษาผังโครงสรา ง กอนเขยี นรปู ตดั วัตถปุ ระสงคท่ัวไป 1. เพื่อใหมีความรคู วามเขาใจชื่อยอของโครงสรา งใตดนิ ไดแ ก ตอมอ ฐานราก ท่รี องรบั นาํ้ หนกั อาคาร 2. เพื่อใหม ีความรคู วามเขา ใจผงั โครงสรางพื้นชัน้ ลา งและอักษรยอ ไดแก ตอมอ คาน พืน้ ค.ส.ล. 3. เพื่อใหมคี วามรูค วามเขา ใจผงั โครงสรางพนื้ ชน้ั สองและอกั ษรยอ ไดแ ก เสา คาน ค.ส.ล. พนื้ ค.ส.ล. บางสว น สวน ท่เี ปนพ้ืนไมวางบนตงทมี่ คี าน ค.ส.ล. รองรบั 4. เพือ่ ใหมคี วามรคู วามเขาใจผงั โครงสรา งหลังคา ไดแก เสา ค.ส.ล. บางตนตรงตาํ แหนง รมิ หอ งนาํ้ และบนั ได ที่ เหลือเปน เสาไมร ับโครงหลังคาไมต ามรายละเอยี ดในแบบ จดุ ประสงคเชงิ พฤตกิ รรม หลงั จากไดศกึ ษาในบทน้ีแลว นักศึกษาจะสามารถ 1. อธิบายโครงสรา งอาคารพักอาศัยหลังท่ไี ดฝ กเขยี นในบทที่ 2 ไปแลว 2. สามารถเขยี นเสน แสดงแนวตดั ก-ก และ ข-ข ตรงตําแหนง ทก่ี ําหนดในผังพน้ื ลงในผงั โครงสรา งได 3. สามารถหาขนาดโครงสรา งไดจากผังโครงสรางและตารางรายละเอียดโครงสรา งทผ่ี อู อกแบบกําหนด
บทนํา ผงั โครงสรา งเขยี นขน้ึ จากผงั พ้ืนแตล ะระดบั ตงั้ แตโครงสรา งใตด ินทรี่ องรับโครงสรางอาคารทั้งหลังโครงสราง พ้ืนแตละข้นั จนถงึ โครงสรา งหลังคา ท้งั น้ีผเู รียนควรมคี วามรพู ้นื ฐานเกย่ี วกบั วัสดุที่ใชท ําโครงสราง และความรูเ กยี่ วกับโครงสรา งบานพักอาศัยสอง ข้ันเสยี กอ น เพือ่ ทําความเขาใจกบั ผงั โครงสรา งทก่ี าํ หนดขึ้นจากผงั พืน้ ชน้ั ลา ง ผังพืน้ ชนั้ ท่สี อง และผังหลงั คา 3.1 วสั ดุกอ สรา งที่ใชประกอบโครงสรางอาคารพกั อาศยั วสั ดกุ อสรางหลักท่ีใชเ ปนสวนประกอบของโครงสรา ง ไดแก ไม เหลก็ และคอนกรีตเสริมเหล็ก ซงึ่ สถาปนกิ และวิศวกรจะเลือกใชต ามความเหมาะสมกับลกั ษณะงานและงบประมาณ 3.1.1 โครงสรา งไม นิยมใชก บั อาคารพกั อาศยั ขนาดเลก็ และขนาดกลาง โดยสถาปนกิ มกั เปน ผูกําหนดผังโครงสรา ง รายละเอยี ด ของรอยตอ และการเขา ไมเ อง เนอ่ื งจากไมมีขีดจาํ กดั ทร่ี บั น้าํ หนักไดปานกลาง และความกวา งของชว งเสาไมม ากนกั (ทวั่ ไปใชไ มเ กิน 4000 มลิ ลิเมตร) แตมนี า้ํ หนักเบา ยืดหยุน ไดด ี และกอสรางงา ยกวา วัสดชุ นดิ อ่นื ไมต อ งใชอปุ กรณและ เทคนิคยุง ยาก ชนดิ ของไมท ใ่ี ชท าํ โครงสรางเปนไมเ น้อื แขง็ ไดแก ไมเต็ง รัง ประดู แดง ฯลฯ สวนไมเ น้อื ออ นใชกับสวนของ อาคารทรี่ บั นํ้าหนักไมมากนัก เชน ฝา ฝา เพดาน หรอื ครา วฝาเพดาน เปนตน ไดแ ก ไมย าง ไมจ าํ ปา ไมส ัก ฯลฯ ไมใ หผิวสัมผสั ทีน่ ุม นวลและมนุษยม ีความคุนเคยมากกวา วสั ดุชนดิ อน่ื จึงนิยมใชแมว า จะมีคณุ สมบตั ไิ มทนไฟ และยังตอ งปอ งกนั แมลงจําพวกปลวก อีกท้งั ไมทนตอ สภาพดนิ ฟา อากาศท่รี นุ แรง เน่อื งจากปจ จุบนั ไมม รี าคาแพงและ หายากข้นึ บานจัดสรรตา ง ๆ จงึ นยิ มใชโครงสรางคอนกรีตเสรมิ เหลก็ และโครงสรางหลังคาเปน เหล็กแทนมากขนึ้ จะใช ไมเพ่อื การตกแตง ภายในและสวนที่ตอ งการทาํ งานงา ย เชน พน้ื ไม บนั ได วงกบประตูหนาตาง เทานนั้
3.1.2 โครงสรางเหล็กและคอนกรตี เสรมิ เหลก็ นิยมใชก ับอาคารพาณิชยและอาคารใหญ ๆ รวมทง้ั อาคารบานพักอาศยั วิศวกรจะเปน ผผู ูค าํ นวณโครงสรางและ กําหนดรายละเอยี ดตาง ๆ ประกอบแบบโครงสราง คุณสมบตั ิของเหลก็ มคี วามแขง็ แรงและรบั แรงดงึ ไดส งู มีความยดื หยนุ ดี ทํางานงาย แตม ีราคาแพง คณุ สมบัติของคอนกรตี เสริมเหลก็ (ค.ส.ล.) รบั นา้ํ หนกั ไดม าก เนอ่ื งจากรวมคณุ สมบัตทิ ่แี ตกตา งกนั ของคอนกรีด ซ่ึงรับแรงอดั ไดดี มารวมกับคณุ สมบตั ขิ องเหล็กในขอทร่ี ับแรงดึงไดดี มคี วามยดื หยุนดี ทาํ ใหไ ดโ ครงสรา งทีร่ บั แรงไดม าก หลอ เปน รูปรางไดตามตอ งการ ทนไฟและการสกึ กรอนไดด ี แตม ขี อเสียทน่ี ํ้าหนักมาก ทําใหเ พ่มิ นาํ้ หนกั แกตัวอาคารและ ตอ งทําแบบหลอ ทาํ ใหส ้ินเปลืองและตองใชเ ทคโนโลยีในการผลติ คอนกรตี ใหไ ดคุณสมบตั ทิ ่ดี ี ปจ จุบนั นิยมนาํ คอนกรตี สาํ เรจ็ รูปบางสวน เชน พ้นื สาํ เรจ็ รปู มาใชป ระกอบโครงสรา ง ทาํ ใหลดคาใชจ ายใน การทําแบบหลอ และประหยดั เวลาในการกอ สรา ง 3.2 โครงสรา งอาคารพักอาศัยตามลกั ษณะของแบบและการกอสราง ผูออกแบบจะออกแบบโครงสรางของอาคารเพอ่ื ใหรบั น้ําหนักตวั อาคารเองและรับน้ําหนักบรรทกุ อน่ื ๆ เชน คน ส่ิงของ แรงลม ฯลฯ ไดอ ยา งมนั่ คงแขง็ แรง โดยใหโครงสรา งทุกสว นของอาคารยดึ โยงกัน และถา ยเทนา้ํ หนกั จาก สานบนสดุ ตงั้ แตห ลังคาลงไปตามลําดับใหกับเสา และเสาถา ยเทน้ําหนกั ทั้งหมดของอาคารลงสพู ืน้ ดนิ โครงสรางของอาคารทว่ั ไปจงึ แบงออกไดเปนสองสวนใหญ ๆ คอื สว นโครงสรางที่อยเู หนอื ดนิ ไดแก โครงสราง ของอาคารท้ังหลงั และสวนโครงสรางใตด ิน ซงึ่ ทาํ หนาทรี่ บั น้ําหนักบรรทุกและน้าํ หนักจรของอาคารทั้งหลังจากโครงสราง สวนเหนอื ดินถายเทลงสดู นิ ดังรูปท่ี 3.1 รูปที่ 3.1 แสดงสว นโครงสรางเหนอื ดินและสว นโครงสรา งใตดนิ ของตัวอาคาร
3.3 สวนประกอบของโครงสรา งใตดิน โครงสรา งอาคารสว นทอ่ี ยูใตด นิ ประกอบดวย 3.3.1 ตอมอ ตอมอ คอื เสาทีต่ อ จากพนื้ ขน้ั ลา งลงไปในดนิ สูฐานราก ทาํ หนา ทรี่ ับนํา้ หนกั จากเสาบา นถา ยลงสูฐานราก 3.3.2 ฐานราก เปนโครงสรางของอาคารสวนทท่ี าํ หนาทถี่ า ยนํ้าหนักบรรทุกจากตอมอ หรือกาํ แพงลงสูท ่รี องรบั ซึ่งอาจเปน ดิน โดยตรงในกรณีทด่ี นิ แขง็ สามารถรบั แรงกดไดด ี หรืออาจตองใชเสาเขม็ ชวยในกรณีท่ีดินออนรับแรงกดไดนอย ขึ้นอยกู บั สภาพของดนิ ซงึ่ ขอ กาํ หนดของเทศบาลนครกรุงเทพฯ ไดก ําหนดไวด ังตารางที่ 3.1 ดงั น้ี ตารางที่ 3.1 แสดงการรับนาํ้ หนักของดนิ ชนดิ ตาง ๆ ลักษณะของดินหรอื พน้ื ท่ี ความตา นทานปลอดภยั (ตนั /ตารางเมตร) ดนิ ออ นหรือดนิ ทถี่ มไว 2 ดินปานกลาง หรือทรายรว น 10 20 ดนิ แนนหรือทรายหยาบ 40 กรวดหรือดนิ ดาน 80 หินปนู หรือหนิ ทราย ฐานรากอาจแบง กวา ง ๆ ตามลกั ษณะของท่รี องรบั ไดสองประเภทใหญ ๆ คือ 1. ฐานแผซ ึ่งไมม ีเสาเข็มรองรบั เปน การวางฐานรากบนดนิ แขง็ ซงึ่ เหมาะสําหรับบรเิ วณท่ีมขี ้ันดินแขง็ ตัง้ แตข างบนลงไป เชน บางจงั หวดั ในภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ซง่ึ เปนพืน้ ทใ่ี กลภูเขาหรอื เปน ดินลกู รัง หรือทรายแนน ดงั รปู ท่ี 3.2 2. ฐานรากชนิดมีเสาเข็มเปน ทีร่ องรับ ใชใ นกรณีที่ดินออน เชน บรเิ วณใจกลางกรุงเทพมหานคร มชี นั้ ดิน ออ นหนาประมาณ 14000 มิลลเิ มตร แลวจงึ คอย ๆ เรม่ิ แข็งจนถงึ ระดับประมาณ 23000 มลิ ลิเมตร จงึ จะแข็งมาก (อรณุ ชัยเสรี.2525.50) ควรใชเ สาเข็มเปนตวั ชวยดินรับน้าํ หนกั จากฐานราก โดยเลือกใชต ามลักษณะของการรบั นํ้าหนกั และสภาพดิน ดงั นี้
รปู ที่ 3.2 แสดงฐานรากแผซึ่งไมมีเสาเขม็ รองรับ 1) เสาเข็มสน้ั ใชเ มื่อนํา้ หนกั ของตัวอาคารไมมากนกั เชน บา นพกั อาศยั โดยท่ัวไป โดยการตอกเสาเขม็ เปทั้งไมและคอนกรตี เสรมิ เหลก็ ) ลงไปในดินใตฐ านรากเพ่อื เพิม่ ความสามารถในการรบั น้าํ หนักใหกบั ดินไดม ากข้นึ เนือ่ งจากจะเกดิ ความฝด ระหวา งพืน้ ผิวรอบเสาเข็มกบั ดิน ทําใหด ินบรเิ วณรอบ ๆ เกดิ การอัดตวั แนนรบั น้าํ หนักได มากขน้ึ ดงั รปู ที่ 3.3 จากรูปที่ 3.3 จะเห็นไดว า ระดับนาํ้ ใตดนิ ช้นั ดนิ ออ นจะอยลู ึกลงไปจากผิวดินประมาณ 1000-1500 มิลลเิ มตร จึงกําหนดใหฐ านรากอยลู ึกจากผิวดินลงไปประมาณ 1500 มลิ ลเิ มตร เพ่อื ใหเสาเขม็ (ทีเ่ ปนไม) อยตู ํ่ากวาระดบั นาํ้ ใตดนิ จะไดไ มผ แุ ละปอ งกันปลวกไมใ หท ําลายเสาเขม็ อกี ดว ย 2) เสาเขม็ ยาว ใชใ นกรณีทอ่ี าคารมีขนาดใหญรับนาํ้ หนักบรรทุกมากและลักษณะชั้นดินออน ดังรูปท่ี 3.3 เสาเขม็ ชนิดนี้จะชว ยรับนา้ํ หนกั ไดมาก เพราะนอกจากจะถายนาํ้ หนกั จากฐานรากลงไปยงั ข้นั ดนิ แขง็ ประมาณ 80% แลว ยงั ทาํ ใหดินโดยรอบบรเิ วณมีความสามารถในการรบั น้ําหนักสวนท่ีเหลอื อกี 20% ได เน่อื งจากการอดั ตวั ของ ดนิ รอบ ๆ เสาเข็ม วสั ดทุ ใ่ี ชเปน เสาเขม็ ยาวจะเปนเสาคอนกรตี อดั แรง มีราคาคอนขา งแพงทงั้ กรรมวธิ กี ารตอกและ ราคาเสาเขม็ เอง (สมสุข บญุ ญะบญั ชาและคณะ, ม.ป.ป.6) จากสวนของโครงสรางใตด นิ น้ี นํามาเขียนเปน แบบโครงสรางไดใ นลกั ษณะของผงั ฐานรากโดยเขยี นจาก ผังพนื้ ดังรปู ที่ 3.4
รปู ท่ี 3.3 แสดงฐานรากชนิดมเี สาเข็มเปนทร่ี องรบั รปู ท่ี 3.4 แสดงผังพื้นและผงั ฐานราก 3.4 สวนประกอบของโครงสรางอาคารสว นทอ่ี ยเู หนอื ดิน ถา ศึกษาโครงสรางตง้ั แตฐ านรากจนถงึ หลงั คาตามลาํ ดับ จะมีลักษณะการถา ยน้ําหนกั ตามประโยชนใชส อย ดงั น้ี 3.4.1 เสา วัสดทุ ่ใี ชทําเสาของอาคารพักอาศยั นิยมใชท ้งั เสาไมและเสาคอนกรตี เสริมเหลก็
รปู ที่ 3.5 แสดงเสาไมแ ละเสาคอนกรตี เสริมเหล็ก เสาทาํ หนาทีเ่ ปนแกนรับน้าํ หนกั ในแนวด่งิ จากโครงสรา งสวนอืน่ ๆ แลว ถา ยน้ําหนกั ของอาคารทง้ั หมดลงสูฐานราก เนือ่ งจากเสาเปนแกนรบั นํา้ หนกั ทส่ี ําคญั ดังน้ัน การพิจารณาวางตาํ แหนง เสาจึงตอ งคาํ นงึ ถึงประโยชนใชส อย (เชน ขนาดหอง) รว มกับความสามารถรับนาํ้ หนกั ของวสั ดุทใ่ี ขทาํ เสาดวย โครงสรางรบั นํา้ หนกั สวนอ่ืน ๆ ท่ถี ายน้าํ หนกั ลงสเู สาโดยตรง เชน คาน ตง อเส อกไก จันทัน ฯลฯ จะมขี นาด หนา ตัดใหญห รือเลก็ ข้นึ อยูกับความถ่ีหรอื หา งของชว งเสา กลาวคอื ถา วางตําแหนง เสา (ชวงเสา) ถ่มี ากก็จะทาํ ใหขนาด หนา ตัดของโครงสรา งที่รับพื้นและหลงั คาเลก็ ลงได แตจ ะมผี ลใหเ ปลอื งฐานรากและเสาเพม่ิ ขึ้น เมื่อตองการจัดหอง กวา ง ๆ ก็จะมีเสาเกะกะ แตถ ากําหนดใหชว งเสาหางกนั มาก กจ็ ะเกดิ ปญหาในทางกลบั กัน กลา วคือ ประหยดั จํานวน เสาและฐานราก แตข นาดของโครงสรา งตอ งใหญข้นึ ทั้งหมด บา นไมโ ดยทว่ั ไปใชช ว งเสาอยรู ะหวา ง 2000-4 000 มลิ ลเิ มตร ซ่ึงเปน ชว งเสาทส่ี ามารถจะใชไม โครงสรา งขนาดตาง ๆ ทมี่ ีขายอยทู ั่วไป ทงั้ นข้ี นาดหนา ตัดของเสาไมท ขี่ ายตามทองตลาดมขี นาด 4\" x 4\" 5\" x 5\"และ 6\" x 6\" สําหรับบา นทโี่ ครงสรางสว นใหญเ ปนคอนกรตี เสริมเหลก็ จะมคี วามสามารถรบั น้ําหนักไดมากกวา เสาไม มกั ใช ชวงเสาไมเ กิน 6000 มลิ ลเิ มตร เพราะเปน ชว งเสาทส่ี รา งไดโดยประหยดั และไมต องใชเ ทคนคิ พเิ ศษ
3.4.2 พน้ื เปนสวนของโครงสรางท่ีทําหนาทรี่ บั น้ําหนักเนอ่ื งจากการอยอู าศยั ไดแ ก น้ําหนกั ตัวของผูอยูอาศัยเอง เครอ่ื ง เรือน อุปกรณ สมั ภาระ ฯลฯ แลวถายนํ้าหนักทงั้ หมดลงไปใหเสา พืน้ เปนโครงสรา งสว นทีน่ าํ มาชีบ้ อกลักษณะของอาคาร เชน อาคารบา นพักอาศยั สองช้นั กห็ มายถึง บานมีพืน้ 2 ชน้ั เปน ตน โครงสรา งของพื้นท่ีใชกบั บานพักอาศัยโดยทั่ววไป แบงตามประเภทของวัสดไุ ด 2 ประเภทใหญ ๆ ไดแ กโ ครงสราง พน้ื ไมและโครงสรา งพืน้ คอนกรตี เสรมิ เหล็ก ซ่ึงจะกลาวโดยละเอยี ดในขอ 3.5 และ 3.6 3.4.3 หลงั คา เปน สวนทอี่ ยูบนสดุ ของอาคาร ทาํ หนาที่กนั แดด ลม ฝนใหกบั ตัวอาคาร โครงสรางหลังคาทําหนา ทรี่ ับนาํ้ หนกั ของวัสดุมุง ไดแก กระเบ้อื งชนดิ ตา ง ๆ และแรงลม ฝน และ นํ้าหนกั จรจากตวั ผขู ึน้ ไปกอสราง รวมทง้ั นํา้ หนกั ฝาเพดาน ในประเทศไทยมีภมู อิ ากาศรอนชนื้ มฝี นตกชุก ลักษณะของหลังคาสวนใหญทใ่ี ชจึงมคี วามลาดเอยี ง ซ่งึ จะลาดเอยี งมากหรอื นอ ยข้นึ อยกู ับขนาดและน้ําหนกั ของวสั ดมุ งุ แบบของหลังคาทน่ี ิยมใชในประเทศไทย แยกไดเปนประเภทใหญ ๆ ตามลกั ษณะ รปู รา ง และการใชง าน ดังน้ี 1. หลงั คาทรงจวั่ (Gable Roof) หลงั คาแบบนีเ้ ปน ทีน่ ิยมท้ังในประเทศรอนและหนาว ในประเทศรอ นก็กัน ฝนและสะทอนแสงแดดออกไปไดด ี ในประเทศหนาวถา มหี ิมะตกกส็ ามารถไหลลงไปไดด ี ไมส ะสมเพ่ิมน้ําหนักอยูบน หลงั คาอีกเชน กัน ปกติแลว อาคารสว นใหญใ นประเทศไทยจะใชหลังคาทรงจั่วนมี้ าก เพราะประหยดั สรางงาย และ กันแดด ฝนไดด ีถายน่ื ชายคาออกมามาก ๆ ความลาดชั้นของหลงั คาขนึ้ อยกู บั ความสวยงาม ชนิดของวัสดมุ งุ และ ประโยชนใชส อย
รปู ที่ 3.6 แสดงรูปรางลกั ษณะของหลังคาจัว่ และผังหลังคา 2. หลงั คาเพงิ แหงน (Lean-To Roof) เดมิ ในประเทศไทยใชมุงกบั อาคารเลก็ ๆ เชน เพิงตามทงุ นา และ อาคารชวั่ คราว เชน เพิงขายของ เปนตน เพราะโครงสรา งงา ย รือ้ แลว นาํ ไปใชประโยชนไ ดอกี ปจ จบุ นั สถาปนกิ นําโครงสรางหลงั คาแบบนมี้ าดดั แปลงใหม ีความลาดชนั มากขน้ึ โดยแบงซอยเพงิ ไมใ หก วา ง เกนิ ไป เพอ่ื ใหไ ดรูปแบบแปลกตาขนึ้ โดยหาวิธปี องกันไมใหน า้ํ ฝนรวั่ ตรงจุดเพงิ แหงน ตามตัวอยางในรปู ท่ี 3.7 หลังคาเพง่ิ แหงนธรรมดา นาํ มาประกอบกันเขาตามลักษณะการออกแบบ เลนระดับภายใน นาํ หลังคาเพงิ มาประกอบกันเปน ลกั ษณะปก ผเี สอื้ มขี อ เสยี ตรงทม่ี ีรางนํา้ อยกู ลาง มโี อกาสรว่ั ไดง าย รปู ที่ 3.7 แสดงหลงั คาเพิงแหงนและลกั ษณะการนาํ มาใชป ระกอบกัน
3. หลังคาแบน (Flat Roof) มลี ักษณะแบนราบเหมาะสาํ หรบั อาคารสูงหลาย ๆ ชัน้ ซ่งึ เทศบญั ญตั ิ กรุงเทพมหานคร เร่ือง ควบคมุ การกอสรางอาคาร พ.ศ.2522 กาํ หนดใหอาคารสงู ต้ังแต 7 ช้ันข้ึนไป ตอ งมลี านสําหรบั จอดเฮลคิ อปเตอร เพือ่ ประโยชนในดา นการปองกันอัคคีภัย หรอื อาคารทต่ี องการใชประโยชนจ ากชนั้ ดาดฟา เชน ทําเปน สวนจอดรถขนของสําหรบั ศูนยก ารคา หรือทําเปน รา นอาหารเปดใหช มววิ รมิ นํา้ หรือชายทะเล โดยชัน้ ลา งของอาคารใช ประโยชนไ ดด ว ย เปน ตน โครงสรา งของหลงั คาชนิดน้ีเปนคอนกรตี เสริมเหล็ก โดยมีวสั ดกุ ันซมึ ซงึ่ เปน ผลิตภณั ฑข องตางประเทศ ปูทับดา นบนอกี 2-3 ช้นั เพอ่ื แกปญหาเร่ืองการซึม รัว่ และลดความรอนไปไดบาง โดยตอ งทาํ ใหห ลังคามคี วามลาดเอียง อยา งนอย 1:200 โดยใหล าดเทเปน รูปหลังเตา เพ่ือไมใ หน ้าํ ขงั บนหลงั คาเมอื่ ฝนตก นอกจากน้ี สว นของอาคารขนาดเลก็ บางแหง เชน โรงจอดรถ อาจใชก ระเบือ้ งรางวางใหม คี วามลาด 1:100 ก็ทําใหด ูลกั ษณะเปนหลังคาแบนไดเ ชน กัน รูปท่ี 3.8 แสดงลกั ษณะการใชห ลงั คาแบนประกอบกบั อาคารบา นพกั อาศัย 4. หลงั คาทรงปนหยา (Hip Roof) มลี กั ษณะลาดลงท้งั 4 ดานของอาคาร ทําใหก ันแดดและฝน โดยรอบ โดยแตล ะระนาบของหลงั คาจะตดั เปนมุม 45 องศา เมือ่ มองในผัง ถาผังเปน รูปสี่เหลย่ี มจตั รุ สั กจ็ ะมี ลกั ษณะเดยี วกบั รูปพีระมิด
โครงสรางหลงั คายุงยากและสิน้ เปลืองกวาแบบอื่น ๆ และเปลืองกระเบอ้ื งมากกวาหลงั คาชนดิ อ่นื ๆ ดว ย รายละเอยี ดของแบบจะไดศ กึ ษาอยางละเอยี ดในหวั ขอ ท่ี 3.7.4 ผงั หลังคาของอาคารรปู สี่เหลยี่ มผนื ผา ผงั หลงั คาของอาคารรูปสี่เหล่ียมจตั รุ สั รูปท่ี 3.9 แสดงลักษณะของหลงั คาทรงปน หยารูปรางตาง ๆ ผงั หลงั คาทรงปนหยาของอาคารรูปตวั L รปู ท่ี 3.9 (ตอ )
นอกจากนี้ ยงั มีหลังคาทน่ี ําเอารูปทรงของหลงั คา 2 - 3 แบบมาผสมรวมกันอกี เชน หลงั คาทรงไทย ท่ีมีพาไลรอบ ตามรปู ท่ี 3.10 เปนตน รูปที่ 3.10 แสดงหลังคาทรงไทย โครงสรา งของหลงั คาทกุ แบบกเ็ ชน เดียวกับโครงสรา งพื้นคือ จะถายนํ้าหนกั ใหกับเสา ซง่ึ จะกลา วโดยละเอยี ด ในหวั ขอที่ 3.7 3.5 โครงสรางพน้ื ไม โครงสรางพ้นื ไมจ ะมนี ้าํ หนักเบา นยิ มใชทําพื้นช้ันที่สองของตวั บา น แตถ า เปนพืน้ ช้นั ลางก็ควรยกสูงจากระดบั ดนิ ประมาณ 900 มิลลเิ มตรขึ้นไป และถา กอผนงั อิฐลอ มรอบตอ งเวน ชอ งไวใหระบายอากาศใตพ นื้ ได เพอ่ื ปอ งกนั ความ อบั ช้นื จากพ้นื ดนิ และควรทานา้ํ มนั ปองกนั ปลวก ราทําลายเนื้อไม หรอื ใชไมอัดน้าํ ยา ไมท ใี่ ชท ําโครงสรางใชไมเ นอ้ื แข็งไดแก ไมเต็ง ไมร ัง เนือ่ งจากรบั นา้ํ หนกั ไดดี สวนประกอบของโครงสราง พน้ื ไมไดแ ก
3.5.1 พน้ื ไม นยิ มใชไ มมะคา ไมแ ดง เนื่องจากมีสีและลายสวยงาม แตมรี าคาแพงกวา ไมเ ตง็ และไมรงั ลกั ษณะเปนแผนแบน มคี วามหนา 1\" กวา ง 4\" และ 6\" ปขู วางไปบนตงไม ทําหนา ทร่ี ับน้ําหนักแผก ระจายและถายนา้ํ หนักใหตงชวยรับไปอีก ขั้นหน่ึง ท้งั นไ้ี มโ ครงสรา งทีใ่ ชต องผานการอบแหง (มีความช้ืนอยปู ระมาณ 12-15%) เพอื่ ปองกันการหดและบดิ ตวั ภายหลงั รอยตอ ของพื้นไมในอาคาร มักใชว ิธีเขารางลน้ิ ในตัว เพ่อื ใหร อยตออดั เขา ดวยกันแนนสนทิ ไมม ีรอ งทีฝ่ นุ จะ เกาะคางอยูวิธเี ขา รางลิน้ คอื การเซาะรอ งตามความหนาของพื้นดา นยาวตลอดเปนรางรอ งดานหนงึ่ และเปน ลน้ิ (เดือย) ดา นหน่งึ โดยเขา รางลิน้ มาจากโรงคา ไม (ดงั รูปที่ 3.11) ถาเปนการใชไมพื้นส้นั คือ มคี วามยาวประมาณแผน ละ 500 มลิ ลเิ มตร หรอื 1 000 เมตร กจ็ ะเขา รางล้นิ รอบตวั คอื เขา รางล้ินทั้งดานกวางและดา นยาวทัง้ 4 ดา นของแผนพ้ืน ทกุ แผน สลบั กนั ดังรูปที่ 3.12 รปู ที่ 3.11 แสดงแผนพนื้ เขา ลิ้นเซาะรองบนตง รปู ที่ 3.12 แสดงไมพ้ืนชนิดรางล้ินรอบตวั
การปพู ื้นจะใหหวั ไมพ ืน้ อยเู สมอแนวเสาดานนอกอาคาร โดยปเู รยี งจากดานใดดา นหนึง่ และอดั รอ งรางลน้ิ ให เขา กนั สนิทดว ยแมแรงอดั ไม แลวตอกตะปซู อ นไวกบั หลังล้นิ โดยตอกเอยี งยดึ ตดิ กับหลงั ตงกอ นปพู ืน้ แผน ตอ ไป จะทาํ ให ไมเห็นหัวตะปู ยกเวนแผนแรกและแผนสดุ ทา ยทต่ี อ งการความแข็งแรงใหตอกบนหลงั พื้น เทคนคิ การอดั ไมตองใชค วาม ชํานาญของชา งไมพ ิจารณาวา ถาเปน ไมอบแหง ใหอัดพอชน มฉิ ะนน้ั เม่อื ไมถูกความชื้นจะขยายตัวดนั โกงข้นึ มาตามรอย ชนของไม และในทางกลับกันถาอดั ไมส นทิ เมอื่ ถึงฤดแู ลง จะทําใหพน้ื ไมหดตวั เกิดรอ งที่รอยตอ ของพ้ืนไมขึน้ อีก การตอ ไมพ้ืนตามความยาว ถาซอ้ื ไมพื้นไดย าวตลอดหองไดกจ็ ะสวยงามดี แตไมจ ากโรงคา ไมม ักจะมคี วามสนั้ ยาวไมพ อดกี บั ความยาวของหอ ง ท่วั ไปไมพนื้ มกั ยาวต้งั แต 1 500 มิลลเิ มตร ถึง 3 000 มลิ ลเิ มตร จงึ ควรตอไมพ น้ื ส้ันและ ยาวสลับกนั ไมใ หรอยตอ ของหวั ไมพ้นื อยูใ นแนวเดยี วกนั จะทําใหล ดความแข็งแรงและมองดไู มสวยงาม สวนไมพ ้ืนส้ันชนดิ รางลิน้ รอบตัวนยิ มใชปูทบั บนพนื้ คอนกรีตเสริมเหล็ก เปนสว นตกแตง ผวิ พืน้ แตถา นาํ มาใช ปบู นโครงสรา งไมต อ งระมดั ระวังใหร อยตอของไมต ามความยาวอยูบนหลังตง เพ่อื ความแขง็ แรงของพื้น ถา เปนรอยตอของพ้ืนไมท่ปี ูนอกอาคาร เชน ระเบียง ซงึ่ ตอ งถูกแดดฝน พนื้ ไมทป่ี ูใชแผนพ้นื เรียบ โดยอาจปู ชนธรรมดาหรอื ปูเวนรองประมาณ 5 - 10 มิลลิเมตร เพื่อกนั การผกุ รอนเนอื่ งจากนาํ้ ฝน 3.5.2 ตง นิยมใชไมเต็ง ไมร งั เนื่องจากมีความแขง็ แรงและราคาไมส ูงนกั เม่ือเทยี บกบั ไมมะคา ไมแ ดง ลักษณะหนาตดั เปนสีเ่ หลย่ี มผนื ผา ขนาดท่ีใชข นึ้ อยูก ับความกวางของชว งคานและนา้ํ หนักท่ีรับ จากพื้น หนาตดั ตงทใี่ ชท่ัวไปมขี นาด 1/,\" x 6\" และ 2\" x 6\" เมือ่ ขนาดชว งยาว 2500 - 3000 มลิ ลิเมตร และขนาด 11/2\" x 8\" เม่อื ใชพาดชวงยาว 3000 - 4.000 มิลลิเมตร วางใหห นา ตดั ดานแคบตงั้ พาดบนหลงั คานเพือ่ ให แข็งแรงและรับนา้ํ หนักจากพนื้ ไดด ี โดยมรี ะยะหางกนั ประมาณ 400 - 500 มลิ ลเิ มตร ถา วางถิ่มากกวา น้จี ะทําให พ้ืนแนนและมคี วามแข็งแรงมากขนึ้ แตจะสิ้นเปลอื งเกนิ ความจําเปน ถา วางตงหางกวาน้ีจะทาํ ใหพ ้ืนไมแข็งแรงพอ โดยตงทาํ หนาท่ชี ว ยรบั นาํ้ หนักจากพ้ืนแลวแผกระจายลงไปใหกบั คาน ตงตวั ทอ่ี ยูริมเสาจะวางแนบเสา จากนั้นจึงแบงระยะหา งของตงในชวงเสาใหห างเทา ๆ กัน ดังรูปที่ 3.13 หวั ตงจะวางเสมอริมเสาดา นนอก โดยทาํ การตัดหัวตงที่ย่นื ออกนอกแนวริมเสาภายหลงั การวาง และมไี มป ดหวั ตงขนาด หนาตดั เทา กบั ตงหรือหนานอยกวา หนาตัดตง 1/,\" เพื่อยดึ หวั ตงใหอยใู นแนวเดยี วกัน เพื่อกันไมใ หห ัวตงกระเดิดและกัน หนา ตดั ตงผกุ รอ นจากฝนอกี ดว ย และมไี มปด ขางตงเพอื่ รับหวั พ้ืนและความสวยงาม
การออกแบบอาคารที่ดตี อ งศึกษาพิจารณาถงึ ขนาดหนา ตดั และความยาวของไมทมี่ ีจาํ หนา ยท่ัวไป เพอ่ื นาํ มา ใชอยางประหยัด ปกติความยาวของไมแปรรูปทมี่ ีจําหนายจะมขี นาดความยาวจาํ กดั เชน 2.50 เมตร 3.00 เมตร 3.50 เมตร ความยาวจะเพมิ่ ทลี ะ 0.50 เมตร จนถงึ 6.00 เมตร ถา ยาวเกนิ 6.00 เมตรไป ราคาตอ ลูกบาศกฟตุ จะแพง ข้นึ และถาสน้ั กวา 2.50 เมตรลงไป ราคาตอ ลกู บาศกฟุตจะถูกลง รูปที่ 3.13 แสดงการวางตงบนคานไม การจดั ระยะหา งของตง จากรปู ที่ 3.13 ชว งเสายาว 3300 มลิ ลเิ มตร (ระยะจากก่ึงกลางถึงกง่ึ กลางเสา) ถา ขนาดเสาเปน 6\" x 6\" (150 x 150 มิลลิเมตร) ความยาวของตงท่ีใชกต็ องใชเปน 3 450 มิลลเิ มตร นน่ั คือ ซอ้ื ตงไมขนาด 2\" x 6\" ยาว 3.50 เมตร นน่ั เอง แตต งชวงท่พี าดเลยคานออกมารบั พื้นย่นื นนั้ ระบุไววายาวชว งเดียวตลอดเพ่อื ความแข็งแรง จงึ ตอ ง ใชต งยาว 4 450 มิลลิเมตร คอื ตอ งซือ้ ตงขนาด 2\" x 6\" ยาว 4.50 เมตร และในรูปยงั ระบุวา ตงมรี ะยะหา ง 456 มลิ ลิเมตร กโ็ ดยพิจารณาจากชวงเสา 3 800 มลิ ลเิ มตร ถาคดิ คราว ๆ วาจะใชต งหาง 500 มลิ ลิเมตร ก็เอา 500 หาร 3 800 จะได ประมาณ 8 ชวง แตเน่อื งจากการวางตงตวั แรกและตวั สดุ ทายอยูชดิ รมิ ในของเสา ดงั น้นั ระยะหา งระหวางรมิ ดานใน ของเสาจงึ เปน 3 650 (เอาหนา ตดั ของเสา 150 ลบออกจาก 3 800 มิลลเิ มตร) แลว จงึ เอา 8 มาหาร 3 650 กจ็ ะได ระยะหา งของตงเปน 456 มลิ ลิเมตร นอกจากนี้ ในอาคารท่ัว ๆ ไปจะมหี ลายชว งเสา ดังน้นั จึงตอ งตอตง ซงึ่ ตองตอบนหลงั คาน โดยมวี ิธตี อดงั น้ี 1. ตอทาบ การตอตงวิธีนี้นิยมใชกนั มาก ถาไมต อ งการโชวแ นวตง เนื่องจากไมต อ งตัดปลายไมทง้ิ และม่นั คง แข็งแรงดี โดยตอ ตงใหท าบกัน มรี ะยะทาบไมตํ่ากวา 2 เทาของความลึกตง เชน กรณที ี่หนาตัดตงเปน 2\" x 6\" ระยะ ทาบตองไมนอ ยกวา 300 มลิ ลเิ มตร เปนตน ดงั รปู ท่ี 3.14
2. การตอ ชนมีไมป ระกบั 2 ขา ง ใชไมประกับ 2 ดา นของรอยตอชน ขนาดความหนาเทา หรอื นอยกวา ตง 1/2\" ยาวไมตา่ํ กวา 2 เทา ของความลกึ ตง ยึดแนนดว ยสลกั เกลียวขนาดเสน ผา นศูนยกลาง 1/2\" ยาว 5 1/2 \" (ถา ความ หนาของไมป ระกับเปน 11/2\") 3. การตอชนมีเหล็กประกบั 2 ขา ง ถา ไมต องการใหร อยตอ มีความหนาเทอะทะก็อาจใชแ ผน เหลก็ ประกบั หนา 5 มลิ ลเิ มตร ขนาดความกวา งและความยาวเทา ไมป ระกับในขอ 2. แทนก็ได ขนาดความยาว ของสลกั เกลยี วก็ลดลงเปน 3\" (ถา ความหนาของตงเปน 2\") ความแขง็ แรงมากกวาแบบในขอ 2. การตอ ทาบ การตอ ชนมีไมป ระกับ 2 ขาง การตอชนมีเหลก็ ประกบั 2 ขา ง การตอ แบบมขี อเกยี่ วในตวั รูปที่ 3.14 แสดงการตอตงบนหลังคานแบบตาง ๆ
4. การตอแบบมีขอเกี่ยวในตัว โดยการตดั ไมส ว นท่จี ะตอกนั เปน มมุ เฉยี งเอียงรับกัน มขี อเกย่ี วซงึ่ กนั และกันมใิ หเ ลอ่ื นหลดุ ไดงา ย ขนาดของขอเกี่ยวควรฝง ลงในเนอ้ื ไมอกี ทอน ประมาณ 2/3 ของความกวา งไม ความยาว ของรอยบากไมนอ ยกวา 2 เทาของความลกึ การตอ วิธีนี้ใหความแขง็ แรงไมเ ทา 3 แบบขางตน นอกจากนี้ ควรตอในชว งระหวางคคู าน เพอื่ ประหยดั และแข็งแรง โดยตัง้ สนั ตงใหต้งั ไดฉาก แลวใชตะปตู อก ยึดเฉยี งสว นทองตงใหต ดิ กบั คาน หรือจะทาํ พกุ ไมส ามเหลย่ี มตง้ั ฉาก ใหต อกตะปสู วนฐานกวางของพกุ เพ่ือยึดคาน แลว ยึดตงติดกบั พกุ การตอตงบนชวงระหวางคคู าน การยึดตงดว ยพกุ ไม รูปที่ 3.15 แสดงการยดึ ตงดวยพุกไมแ ละการตอตงในชวงระหวางคคู าน 3.5.3 คานไม นยิ มใชไ มเต็ง ไมรังเชน เดยี วกับตง ทาํ หนา ท่รี ับน้ําหนักจากตงถายลงใหเสา คาน เปน โครงสรางแกนสําคญั รอง จากเสา โดยยดึ ติดกบั เสา ขนาดหนา ตดั ของคานมคี วามสมั พนั ธโดยตรงกบั ชว งเสา ถา ชวงเสาหา งมาก คานตองมี ขนาดใหญขนึ้ เพ่ือรบั นํา้ หนกั ใหไ ดม ากขน้ึ กาํ ลังของคานขึน้ อยกู บั ความลกึ ของคาน ในกรณที ต่ี องการใหห อ งขยายกวา งข้ึน โดยมชี ว งเสาแคบ อาจทําไดโดยใชค านย่นื เลยออกไปจากเสา ขนาดของคานไมท วั่ ไปสําหรับชวงเสา 4 000 มลิ ลิเมตร จะเปน 2\" x 8\" และขนาด 2\" x 10\" สําหรบั ชว งเสา 4 500 มลิ ลเิ มตร และคานยน่ื มักย่นื ไมเกนิ 1 500 มิลลเิ มตร คานตวั ริมของอาคาร นยิ มใชคานตวั เดียว เรียกวา คานเดี่ยว คานตวั กลางหรือคานดา นในตัวอน่ื ๆ จะตอ งรับ นา้ํ หนกั เพ่มิ ขนึ้ เปน 2 เทา ของคานตัวรมิ เนื่องจากตองรับนา้ํ หนกั จากตงและพื้นบนหลังคานทัง้ ดานซา ยและดานขวา ดังรูปท่ี 3.16
จากรูปท่ี 3. 13 และรปู ที่ 3.16 แสดงการวางคานชวงยาว (3 800 มลิ ลเิ มตร) เม่ือเปรยี บเทยี บกับชว งตง (3 300 มลิ ลเิ มตร) ขนาดหนา ตัดของคานจะใหญกวา ตง เนอ่ื งจากรับนา้ํ หนกั จากตง และในรปู ดังกลาวใชขนาดหนา ตดั ตง 2\" x 6\" ขนาดหนาตัดคานเปน 2\" x 8\" คานคกู ลางใชค ูขนาด 2-11/2\" x 8\" รูปที่ 3.16 แสดงพ้นื ทก่ี ารรับนํ้าหนักของคานเดยี่ วและคานคู ในทางกลบั กัน ถา เราวางคานในชวงสัน้ (3 300 มลิ ลิเมตร) และวางตงในชวงยาวแทน ก็ควรใชค วามลึกของ ตงเพม่ิ ข้ึนเพอ่ื ใหร บั น้าํ หนกั ไดม ากขึน้ ทงั้ นี้ปริมาตรไมคงที่เชน ขนาดหนา ตัด 2\" x 6\" ยาว 1 000 มลิ ลิเมตร จะมีปรมิ าตร เทากับไม 1 /,\" x 8\" ยาว 1 000 มลิ ลเิ มตร แตคณุ สมบตั ใิ นการรับนาํ้ หนักของไมห นา ตดั ขนาด 11/2\" x 8\" จะดีกวา 2\" x 6\" โดยเราอาจแสดงไดด ังรูปท่ี 3.17 รปู ท่ี 3.17 แสดงการวางตงชว งยาวและพ้นื ที่รับนาํ้ หนกั ของคาน
พื้นท่ีทร่ี บั น้ําหนักของคานก็ยงั เทากบั คานชว งยาว แตค วามยาวของคานสนั ลง และนา้ํ หนักทก่ี ดลงท่ปี ลายขง แตล ะจดุ ก็เพิม่ มากขนึ้ ความสามารถในการรับน้าํ หนักของคานชวงสน้ั จะดีกวาคานชว งยาว ดงั น้ัน ยงั คงใชหนา ตัดของ คานเทาเดมิ สวนตงชวงจะยาวกวา เดิม คือ จาก 3 300 มลิ ลิเมตร มาเปน 3 800 มิลลเิ มตร ถา ใชต ง 2\" x 6\" โอกาสท่ี ตงจะแอนกลางมมี าก จงึ ควรเปลยี่ นมาใชห นา ตัด 11/2\" x 8\" ซงึ่ ใชปริมาตรไมเทากัน แตมคี วามแขง็ แรงมากกวา 1. การตดิ ตง้ั คานไมก ับเสาไม การติดตัง้ คานไมกับเสาไม ตดิ ตั้งไดต ามลกั ษณะการถา ยนา้ํ หนกั ดงั น้ี 1) บากหนา เสาลึกเทา กบั ครึ่งหนงึ่ ของความหนาคาน กวา งเทา ความลกึ ของคาน โดยใหร อยบากไดฉ ากและ ประณตี เพื่อจะไดย ดึ กับคานไดแ นบสนทิ วิธีน้ีเหมาะสมตอการถา ยนา้ํ หนกั จากคานไปสเู สาได โดยเสาทีบ่ ากจะเปน บา รับคาน ทําใหคานไมพลกิ ตวั ออกจากเสางาย แตถาบากเสาลึกมากจะทําใหเสาไมแข็งแรงพอ โดยเฉพาะเมอ่ื ตดิ ตงั้ คาคู ยึดคานกับเสาดว ยสลักเกลยี วทมี่ คี วามยาวมากกวา ความกวา งของคานและเสาทบี่ ากเขาดวยกนั รวมแลว 1/2\" หรือ 1\" โดยใหม ีแหวนรองหัวสลักเกลยี วดว ย ในกรณีทเ่ี สาไมต อกับเสาคอนกรตี เสรมิ เหล็ก มักนยิ มใหเ สาคอนกรีตเสรมิ เหล็กมีขนาดหนา ตดั ใหญก วา เสาไม เพอื่ เสาไมจะถายนาํ้ หนกั ลงสเู สาคอนกรีตเสริมเหลก็ ไดเตม็ หนา ตดั และรับนาํ้ หนักจากคานไดด ี ดังรูปท่ี 3.18 แบบ 1 รปู ท่ี 3.18 แสดงการติดต้ังคานไมโดยบากหนา เสาลึกคร่งึ หน่งึ ของความหนาคาน
2) ยึดคานเขากับเสาไมด ว ยสลกั เกลียวโดยไมต อ งบากเสา ในกรณที ข่ี นาดเสาคอนกรีตเสรมิ เหล็กท่ีรองรับ เสาไมใ หญพ อ หรือถาเปน เสาไมย าวตลอด ใชเม่ือเปน อาคารชว่ั คราวและอาคารขนาดเล็กทร่ี ับนา้ํ หนกั นอย แบบ 2 แบบ 3 รปู ท่ี 3.19 แสดงการติดตงั้ คานไมก บั เสาไมโ ดยไมบ ากเสา 3) ใชพุกรองรับคาน โดยบากพกุ ไมอมความลึกของคาน ยดื พุกไมเ ขา กบั หนาเสา วางคานบนพกุ น้ีเพื่อใหพ กุ ถายนํา้ หนกั จากคานไปที่เสาอกี ทอดหนง่ึ คานจะหยดุ ทเี่ สาเปน ชวง ๆ การตดิ ต้ังลักษณะนใี้ ชใ นกรณที ่ี - ไมสามารถจะบากเสาไดอกี - คานตวั ทล่ี ดระดบั จะซอนกบั คานตัวแรก (เม่ือระดบั พ้นื หองไมเ ทา กนั ) - ไมสามารถเปลย่ี นทศิ ทางของคานไปอีกแนวหนงึ่ ได เชน ชว งเสาที่เหลือหางมาก - พบในเรือนไทยโบราณมาก โดยใชตะปจู นี ยดึ พุกไมเ ขากับเสา สาํ หรบั การตอ คานใชหลักเกณฑเดยี วกบั การตอตง คือตอท่จี ดุ รองรบั สําหรับคานตอที่เสา โดยการตอ ชน แลวใชเหลก็ ประกับ และการตอ แบบมขี อเก่ียวในตวั
3.5.4 การติดตงั้ ตงไมก ับคานคอนกรีตเสริมเหล็ก อาคารพักอาศัยสองข้นั ที่มโี ครงสรา งเปนคอนกรตี เสรมิ เหล็ก ผนังกอ อฐิ โดยท่วั ไปจะมีคานคอนกรตี เสรมิ เหลก็ ทําหนา ท่รี ับน้าํ หนกั ผนงั กออิฐและพนื้ หรือในกรณที ่เี ปน ผนงั ไมแตมหี องนา้ํ อยชู นั้ ทสี่ อง กน็ ยิ มใชคาน คอนกรตี เสรมิ เหล็กเพื่อรบั พื้นไมขน้ั ทีส่ อง และพน้ื หองนาํ้ คอนกรีตเสรมิ เหล็ก ดังแสดงในรปู ที่ 3.20 ซึ่งสะดวกกวา การ ตดิ ตง้ั คานไมและใหความมัน่ คงแข็งแรงดกี วา คานไม รูปที่ 3.20 การวางตงไมบนคานคอนกรีตเสริมเหล็กแสดงดวยผังโครงสราง
การตดิ ตงั้ ตงไมกับคานคอนกรตี เสรมิ เหลก็ ทําไดหลายลักษณะ ดังนี้ 1. วางตงพาดไปบนคานคอนกรตี เสริมเหลก็ ในกรณที ่ีไมจ ํากดั ความสูงของพ้นื หอง โดยมพี กุ ยดึ ระหวา งตง ดว ยพุกไม หรือกอ อิฐแลว แตค วามประสงคข องผูอ อกแบบ 2. การวางตงไมบนคานหชู า ง การติดตง้ั วิธนี ้ตี องเตรยี มหลอ คานคอนกรตี เสริมเหล็กไวใ นลกั ษณะยน่ื เพ่ือรับ ทอ งตง เรยี กวา คานหูชาง ใชใ นกรณที ี่ตอ งการไมใ หร ะดบั อยสู ูงกวาระดับหลงั คานคอนกรตี เสรมิ เหล็ก รปู ที่ 3.21 แสดงการใชพ ุกไมแ ละการกอ อิฐยึดระหวางตง รปู ท่ี 3.22 แสดงการวางตงเสมอระดับหลังคานคอนกรีตเสรมิ เหลก็ 3. การวางตงบนพกุ ไมทยี่ ึดติดกับคาน เพอ่ื ใหท องตงนง่ั บนพกุ ไม ซงึ่ ทาํ หนา ท่ีถายน้าํ หนกั ตงลงบนคาน คอนกรตี เสริมเหลก็ อกี ทีหนึ่ง ดังรปู ท่ี 3.22 4. ในกรณีทีต่ องการลดระดบั พ้ืน อาจบากหัวตงใหอ มหลังคานหรอื พกุ กไ็ ด แตก ารบากตงจะทําใหต งลด ความแข็งแรงลง (ดูรปู ท่ี 3.23) โครงสรางคาน ตง พนื้ ไม นาํ มาเขยี นเปนแบบโครงสรา งไดใ นลักษณะของผังคาน ตง พ้นื โดยเขียนจากผงั พ้นื ชั้นทสี่ อง ดงั รปู ที่ 3.20
รูปท่ี 3.23 แสดงการลดระดบั ตงดว ยการบากหัวตง 3.6 โครงสรา งพืน้ คอนกรตี เสริมเหล็ก พ้นื คอนกรตี เสรมิ เหลก็ ทใ่ี ชกบั อาคารพักอาศยั ปจ จบุ ันแยกไดเ ปน พ้ืนคอนกรตี สําเร็จรูปและพ้นื คอนกรีต ชนิดหลอกับท่ี ซง่ึ แยกตามลกั ษณะโครงสรา งไดด ังนี้ 3.6.1 แผน พนื้ วางบนดิน (Slab on Ground) พ้นื ประเภทนมี้ ักใชกบั พ้นื อาคารชัน้ ลา ง ถนนภายใน หรอื ทางเทา โดยใหแ ผนพื้นคอนกรตี เสรมิ เหล็กน้ถี า ย น้ําหนกั โดยตรงไปทด่ี ินอดั แนนใตพ ืน้ ขอดีของแผนพื้นประเภทนี้คือ ชวยลดขนาดของคาน ไมใหต อ งรบั นํ้าหนักจากพนื้ แตถา บดอดั พื้นดินที่จะรองรับพื้นคอนกรตี เสรมิ เหล็กไมแนน พอ พนื้ ชนิดนจ้ี ะทรุดตัวตามลงไปดว ย จงึ ตอ งมคี านคอดนิ (Ground Beam) อยูล อมรอบพ้นื ที่ เพื่อทาํ หนา ทช่ี ว ยกันดนิ ทรายใตพ้นื ไมใ หไ หลออกดานนอก อันจะเปนสาเหตุให เกิดชองวา งใตพ ้ืน และพืน้ ขาดสว นท่จี ะรบั นาํ้ หนักทาํ ใหเกดิ แตกรา วได ทัง้ น้โี ดยหลอคานคอดินเสียกอ นทาํ การบดอดั ดินภายในใหแ นน แลว ถมทรายอดั แนน ข้นึ มาจนถึงระดบั ตา่ํ กวา คานคอดิน 100 มิลลเิ มตร (เทา ความหนาของพ้ืนทีจ่ ะเท) จากนน้ั จงึ วางเหล็กตะแกรงใหอยกู รอบในของคานคอดิน แลว จึงเทพ้ืนใหห นาเสมอระดบั หลังคาน (ดรู ูปท่ี 3.24) รูปท่ี 3.24 แสดงแผนพน้ื วางบนดนิ และคานคอดินโดยรอบ
ลักษณะการถายนํา้ หนกั ของแผน พ้นื ขนิดน้ี เปน การถา ยนาํ้ หนกั ไปยงั ดนิ โดยตรง จึงไมควรเทพ้นื ทบั ไปบนหลัง คาน เนอ่ื งจากถา พนื้ ทรดุ ตัวเน่ืองจากบดอดั ดนิ ไมแ นน พอจะทาํ ใหเ กิดการแตกราว ดงั รปู ที่ 3.25 รปู ที่ 3.25 แสดงการตัดขาดระหวางพ้ืนกับคานคอดนิ 3.6.2 แผน พ้ืนวางบนคาน (Slab on Beam) เปน พื้นคอนกรตี เสรมิ เหล็กทอ่ี ยูส งู จากระดบั พื้นดิน จึงตองใหแผน พื้นถายนาํ้ หนักลงใหค านคอนกรตี เสรมิ เหล็ก โดยหลอ พน้ื ตดิ เปน เน้อื เดียวกับคาน ซงึ่ จะทําใหต องเพม่ิ เหลก็ ทง้ั ในพ้นื และคาน เนอ่ื งจากพน้ื ตองรับนํ้าหนกั ตวั ของมันเอง นํา้ หนักจร แลวจงึ ถายนํ้าหนักใหค าน คานกต็ อ งรบั น้ําหนักตวั เอง นา้ํ หนกั ผนัง และนํ้าหนกั ท้ังหมดจากพ้ืน แลวจงึ ถายน้าํ หนักลงเสาตามลําดบั รปู ที่ 3.26 แสดงผังโครงสรางและรปู ตัดของแผน พื้นวางบนคาน 3.6.3 แผนพนื้ คอนกรตี สําเร็จรปู แผน พ้ืนคอนกรตี สาํ เรจ็ รปู เปน แผน คอนกรตี อดั แรงหลอสาํ เร็จมาจากโรงงานทําใหป ระหยดั เวลาและแบบหลอ ปจจุบันจึงนยิ มกันมากขึ้น และมผี ลิตออกมาจําหนา ยหลายรปู แบบ สาํ หรบั อาคารที่มีชว งพาดยาวสูงสดุ ถงึ 4.00 เมตร นิยมใชแ ผนพน้ื คอนกรตี อัดแรงแผน ตนั แบบทองเรยี บ (Plank) แบบลอนเหลยี่ ม แบบพ้ืนกลวง (Hollow Core) ดังรูปที่ 3.27 โดยบริษทั ผูผลติ จะกาํ หนดขนาดหนาตดั จํานวนเหลก็ อัดแรง รวมทงั้ ความยาวแผน พนื้ ตามตารางรับนํา้ หนกั
รปู ท่ี 3.27 แสดงแผนพ้ืนคอนกรีตสําเร็จรูปแบบพน้ื กลวง แผน พน้ื ตน แบบทอ งเรยี บและลอนเหลย่ี ม หลงั จากปแู ผนพนื้ สําเรจ็ รปู ใหเ รียงชดิ ติดกนั แลว จะเทคอนกรตี ทบั หนา (Concrete Topping) หนาประมา 40 - 50 มลิ ลเิ มตร พรอมเหลก็ เสริม 8 6 มิลลิเมตร หรอื เหลก็ ตะแกรง (Wire Mesh) ซ 4 มลิ ลิเมตร ระยะหาง 20 เซนติเมตร 3.7 โครงสรา งหลังคาบา นพักอาศัย หลังคาประกอบดว ยสวนทเี่ ปน วัสดุมุงและโครงสรางซ่งึ ทาํ หนาทีร่ ับนาํ้ หนกั คงท่ี ไดแ ก นาํ้ หนกั ของวัสดุมงตวั โครงสรา งหลังคา ฝา เพดาน และนา้ํ หนักจร ไดแ ก ลม ฝน และน้าํ หนักตัวผขู ึ้นไปประกอบขณะกอ สราง หรือเม่ือมกี าร ซอมแซม รวมท้ังการสน่ั สะเทือนและแรงลมอกี ดว ย 3.7.1 วัสดมุ ุง ทาํ หนา ทีก่ นั ลม แดด ฝน และควรปองกนั ไฟไดดวย มหี ลายชนดิ ซงึ่ มีคณุ สมบตั ิแตกตา งกัน ดังน้ี 1. กระเบ้อื งดินเผามงุ หลงั คา เปนกระเบอ้ื งแผนเล็ก ๆ เชน กระเบอื้ งวาว กระเบ้ืองหางมน กระเบอ้ื งดนิ ขอ รองรบั ดว ยระแนงขนาด 1\" x 1\" วางหางกนั ประมาณ 120 มลิ ลิเมตร เม่อื มงุ แลวซอ นทบั กนั เกือบเปน 2 ชัน้ นาํ้ หนักไม มากนกั ปจ จุบันไมนิยมใชกับบา นพกั อาศยั เนอ่ื งจากตองใหห ลงั คาลาดชนั มาก เปลอื งระแนงท่ีรับกระเบ้อื งและร่วั งาย มกั ใชก บั อาคารเกา ทต่ี อ งการอนรุ กั ษต ามแบบเดิม หรือใชกับอาคารทางศาสนา เชน โบสถ ซ่งึ ตองออกแบบกนั นํา้ ฝนใต หลังคาไวด ว ย ขอ ดีของกระเบอื้ งประเภทนี้คอื สวยงามตามลักษณะของทองถ่ิน 2. วัสดุมงุ ตามธรรมชาติ ไดแก แปน เกลด็ ไมส ัก ซึง่ ใชกับอาคารทางภาคเหนอื ลกั ษณะเปน ไมแ ผน บางขนาด ใกลเคยี งกับกระเบ้อื งดินขอ ใชกับระแนง 1\" x 1\" เชนกัน แตป จจุบันไมม ีการทาํ แลว เนอ่ื งจากมอี ายใุ ชง านจาํ กดั ร่ัวงาย ไมทนไฟ และราคาแพงมาก
นอกจากนี้ยังมวี ัสดทุ ไี่ ดจ ากใบไม คือ จาก ซึง่ นิยมใชก บั อาคารชวั่ คราว เชน หา งนา บา นในชนบทหา งไกล เมือ่ งจากหาไดง าย ราคาถูก นาํ หนักเบา ทําใหไ มเ ปลอื งโครงสรา ง ขาวบานคน เคย มงงา ย ใชก บั โครงสรา งไมไผไดดี แตไ มนยิ มใชในเมืองเน่ืองจากเปนเชอ้ื ไฟไดด ี รั่วงา ย ผเุ รว็ 3. สงั กะสี เปนวสั ดุทีม่ รี าคาถูก นาํ้ หนักเบา ลกั ษณะเปน แผน ใหญ ทําใหป ระหยดั โครงสรางหลงั คา มีขอเสยี ทเี่ ปน ตวั นาํ ความรอนสงู มาก ทาํ ใหกระจายความรอนมาสอู าคารไดดี เปนสนมิ งา ย เปนเหตใุ หเ กดิ รรู วั่ ทาํ ให มอี ายุใชงานจาํ กดั และเนือ่ งจากมนี าํ้ หนักเบามาก ถา ไมมฝี าเพดานจะทําใหเสยี หายไดม าก เมอ่ื เกดิ ลมพายแุ รง ๆ หลังคา จะปลิวไปไดงา ย ปจ จบุ ันกระเบือ้ งทน่ี ิยมใชก บั อาคารพักอาศยั ทว่ั ๆ ไปนน้ั บรษิ ัทผูผลติ หลายบรษิ ทั ไดผ ลติ อุปกรณป ระกอบ การมุงหลงั คา ทาํ ใหทาํ งานไดส ะดวกขึน้ ใชไ ดท้ังกบั โครงสรางไมแ ละเหลก็ พรอ มทั้งเผยแพรคําแนะนาํ การใช ทาํ ใหลด ปญ หาการร่วั ของหลังคาไปไดม าก วสั ดดุ งั กลาวไดแ ก 4. กระเบื้องลอน เปน ท่นี ิยมใชในปจ จุบนั ผลติ จากไฟเบอรซ เี มนต จึงมนี ้ําหนักคอนขางเบา เปน แผน ใหญ ทําใหล ดรอยตอ ของวัสดมุ งุ ลงและไมสิน้ เปลืองโครงสรา ง แบงออกเปนกระเบอื้ งลอนชนิดตาง ๆ เชน กระเบ้อื งลอนคู กระเบอ้ื งสามลอนรนุ พรีมาของตราชา ง สว นกระเบ้อื งไตรลอนตราหา หว ง มีขนาดกวา ง 50 ซม. ยาว 120, 130 และ 150 ชม. และอุปกรณประกอบการมงุ หลังคาของกระเบื้องลอนแตล ะชนดิ ดังรปู ที่ 3.28
กระเบอ้ื งลอนคู ขอ มลู เทคนคิ รายละเอียด ขนาด : กวาง x ยาว (ซม.) 50 x 120 50 x 150 หนา (มม.) 5.5 5.5 นํา้ หนัก (กก./แผน ) 6.7 8.4 จาํ นวนแผน /ตร.ม. 2.2 1.7 ความชนั หลงั คา\" (องศา) 15 - 40 15 - 40 ระยะแป (ซม.) 100 130 มาตรฐานผลติ ภณั ฑอุตสาหกรรม มอก. 1407 - 2540 *หลงั คาทีม่ คี วามชัน 15 องศา ใชไดเฉพาะครอบปรบั มุม และครอบองศาเทา นั้น รูปที่ 3.28 แสดงรายละเอียดของกระเบื้องลอนคแู ละกระเบือ้ งสามลอนรุน พรมี า กระเบื้องสามลอน ขอมลู เทคนคิ ขนาด รายละเอยี ด 55 x 65 กวาง x ยาว (ซม.) หนา (มม.) 5 นาํ้ หนกั (กก./แผน) 3.9 จํานวนแผน /ตร.ม. 3.9 ความชันหลงั คา (องศา) 20 - 45 ระยะแป (ซม.) 50 มาตรฐานผลติ ภณั ฑอุตสาหกรรม มอก. 1407 - 2540 รปู ท่ี 3.28 (ตอ)
ชุดครอบโคง ตราชาง ใชไดกบั ความชนั หลังคา 20 - 40 องศา ครอบสนั โคง ครอบโคง ตะเข ครอบโคงปดปลาย ครอบโคง 3 ทาง ใชป ดหนาจ่วั สําหรบั หลังคา ใชปดตลอดแนวสันตะเข ใชปดตลอดแนวสนั หลงั คา ใชปด บรเิ วณทส่ี นั หลังคา (2.2 แผน /สันหลังคา 1 ม.) (2.5 แผน/สันตะเข 1 ม.) ทรงจ่วั หรือปดที่ชาย บรรจบสนั ตะเขส ําหรับสนั ของสันตะเข หลังคาแบบปน หยา ครอบโคง 4 ทาง ครอบขาง ครอบขา งปดชาย ครอบชนผนงั ใชปด ทับสนั ตะเขท ั้ง 4 ขาง ท่มี าบรรจบกันสําหรบั ใชปดบรเิ วณปน ลมของ ใชต อ จากครอบขา งตวั ใชป ด ที่ปลายกระเบอื้ งสว น หลงั คาแบบปน หยา หลังคาทรงจ่ัว (2 แผน/ สดุ ทา ยบริเวณปน ลมของ ทีม่ าชนกบั ฝาผนัง ปน ลม 1 ม.) หลงั คาทรงจ่ัว (2.2 แผน/ผนงั 1 ม.) รูปที่ 3.29 ชุดครอบโคงและครอบปรับมุมของกระเบอ้ื งลอนคู
ชดุ ครอบมุม ตราชา ง ใชไ ดก บั ความชนั่ หลังคา 15 - 40 องศา ครอบสนั ปรับมุม ครอบปด จ่ัวปรับมมุ ครอบส่นั 15 และ 20 องศา ใชปด ทสี่ นั หลังคา สาํ หรบั หลงั คาที่มี ใชป ด หนา จ่ัว สําหรับหลังคาทรงจวั่ ใชป ด ท่สี ันหลงั คา สาํ หรบั หลังคาที่มี ความชันตัง้ แต 15 - 40 องศา ความชั่น 15 และ 20 องศา (มีเฉพาะสเี ทาซีเมนต) รปู ที่ 3.29 (ตอ) ทีม : คูม ือการติดตง้ั หลงั คาตราชา งรุนลอนคู พมิ พค ร้งั ท่ี 1 : ม.ี ค. 2557 รูปท่ี 3.30 การตดิ ตง้ั หลังคาลอนคดู ว ยแปไม
รูปท่ี 3.30 (ตอ) สาํ หรับการตดิ ต้งั หลงั คาลอนคู และสามลอน บนแปกลั วาไนซ หรือแปเหลก็ สามารถศึกษาเพม่ิ เตมิ ไดจาก คมู ือการตดิ ต้ังหลังคาตราชางรุนลอนคทู ีเ่ ปน ฉบบั ลาสุดไดที่ www.trachang.co.th 5. กระเบอ้ื งราง ทําจากซีเมนตใ ยหนิ (ปจจบุ ันเลิกผลติ ) มรี ปู รา งเปน รองรางลกึ เม่อื มุงแลว จงึ มลี ักษณะคลา ย หลังคาแผน พบั (Folded Plate) กระเบอ้ื งแตล ะแผน มีความหนา 8 มลิ ลเิ มตร กวา ง 980 มลิ ลเิ มตร ยาว 5000 มลิ ลเิ มตร เมอ่ื มุงชอนทบั ดา นขา งแลว จะเหลอื ความกวาง 900 มิลลเิ มตร ตอ 1 แผน กระเบื้องชนิดนม้ี คี วามหนาและ แข็งแรงพอทีจ่ ะวางพาดอยบู นคาน หรอื ส่งิ รองรบั ท่ีปลายทง้ั 2 ขา งได (จะแข็งแรงมากขน้ึ ถาจดุ รองรบั รน จากปลาย กระเบอ้ื งเขา มาดานละ 750 มิลลเิ มตร) โดยไมต อ งชว ยรองรับที่กลางแผน กระเบอื้ งทําใหประหยัดโครงสรางแปและจนั ทัน ไปได และสามารถตดิ ตงั้ ในทที่ ล่ี มแรงไดดี เน่อื งจากมีน้ําหนกั แผนละ 82 กโิ ลกรมั ลักษณะการมุง สามารถวางไดใ นแนวราบโดยมคี วามลาดเอยี งประมาณ 1:100 เพ่อื ใหนาํ้ ฝนไหลลงไดส ะดวก นยิ มใชม งุ หลังคาโรงรถ โดยการกาํ หนดขนาดเสาไมท ใ่ี ชร บั โครงหลงั คาตองไมเลก็ กวา 5\" x 5\" คานตอ งได ระดบั ไมโ กงงอ อปุ กรณย ดึ กระเบอื้ งราง ถาเปน คานไม ควรยึดดวยตะปเู กลียวสาํ หรับมุงกระเบอื้ งโดยยดึ ทลี่ อนกลางของแผน กระเบอื้ ง ถา เปนคานเหล็กควรยดึ ดวยสลกั เกลยี ว โดยเจาะรูกระเบอื้ งรางเพ่อื ใสส ลกั เกลยี วใหม รี ูโตกวา เสน ผา นศนู ยกลาง ของสลักเกลยี ว 1/16\" 6. กระเบอ้ื งคอนกรตี มุงหลงั คา เปนกระเบือ้ งที่ทาํ จากคอนกรตี จงึ มีความหนา ทาํ ใหกันความรอนไดด ี ขนาด ใหญกวากระเบือ้ งดนิ ขอ จัดเปนกระเบ้ืองขนาดกลาง มหี ลายบรษิ ัทผลติ เชน กระเบอื้ ง ว-ี คอน กระเบอ้ื งซแี พคโมเนยี กระเบื้องดอนญานา เปนตน
ปจ จุบนั ไดร บั ความนยิ มใชกบั อาคารพักอาศยั ทที่ รงหลังคาลาดชนั เพอ่ื ตอ งการโชวว สั ดุมงุ หลงั คา มหี ลายสี และกันความรอนไดดี ทั้ง ๆ ทีร่ าคาคอนขางสงู เปลืองโครงสราง ระแนง และโครงสรางหลังคาอ่นื ๆ เนื่องจากตอ งรบั น้ําหนักมาก และหลังคาตอ งลาดไมนอยกวา 17 องศา ตวั กระเบื้องซีแพคโมเนยี มีขนาดกวา ง 330 มิลลเิ มตร ยาว 420 มลิ ลิเมตร ตอนหวั กระเบ้อื งมีที่ยึดเกาะระแนง และเจาะรไู วส าํ หรบั ตอกตะปูยดึ ไมร ะแนง ปลายกระเบื้องทาํ เปน ขอบบัวกันน้ําไหลยอนเขา ดา นขา งมรี างลน้ิ สองแนว ควํ่าดานหนงึ่ หงายดา นหน่งึ เพื่อซอ นกนั ไดแนบสนิท เมอื่ ซอนทับดา นขา งแลว จะเหลือความกวาง 295 มลิ ลเิ มตร ดาน ยาวซอนทบั กันอยา งนอย 75 มิลลเิ มตร โดยบรษิ ัทผผู ลติ ไดผ ลติ กระเบอื้ งครอบมมุ ขนิดตา ง ๆ มีรายละเอียดดงั รูปที่ 3.31 ลกั ษณะกระเบื้อง รูปที่ 3.31 แสดงรายละเอียดของกระเบื้องซแี พคโมเนียและอปุ กรณประกอบการมงุ หลงั คา
ครอบและอปุ กรณป ระกอบ ครอบโคงซีแพคโมเนยี รปู ท่ี 3.31 (ตอ )
7. หลังคาเหลก็ รดี ลอน (Metal sheet) ผลติ จากแผนเหลก็ คุณภาพสูง ทเี่ คลอื บผิวดว ยโลหะผสมสังกะสี และอะลมู เิ นยี ม และเคลอื บอบสพี ิเศษ เพ่อื ใหท นตอสภาวะอากาศ มรี ูปลอนหลายแบบ และไมจํากดั ความยาว ทําใหลด การซอนทับของแผน และมีแบบครอบมาตรฐาน (Flashing Detail) การติดตง้ั ใชอ ุปกรณล อ็ กลอนทจ่ี ุดรองรับ (ตามรูป) และใชสกรเู กลยี วปลอยทมี่ ีแหวนยางยงิ แผน ท้ังนค้ี วรทํา ตามคําแนะนาํ ของบริษัทผูผ ลติ PP SK-RIB 38 Section performance Unit weight kg/m kg/m2 Sheet 3.09 4.22 thickness (mm) 3.87 5.16 0.4 4.58 6.10 0.5 6.02 8.03 0.6 0.8 ท่มี า : www.premier_products.co.th (Rev. 05-2013) รูปที่ 3.32 รายละเอยี ดของหลังคาเหล็กรดี ลอนขังโกแ ละแบบครอบ
PP W-600 PP W-650 BL รปู ท่ี 3.32 (ตอ )
รปู ที่ 3.32 (ตอ ) สวนท่ีเปน โครงสรางหลงั คาสําหรบั บา นพกั อาศยั โดยทวั่ ไปนยิ มใชโครงสรา งไมร ับกระเบอ้ื งแผน ใหญ นํ้าหนัก เบา เชน กระเบอ้ื งลอนชนิดตา ง ๆ สวนโครงสรา งหลังคาท่ีรับกระเบอื้ งขนาดกลางทีม่ นี ํา้ หนกั คอ นขา งมาก เชน กระเบือ้ งซีแพคโมเนีย นยิ มใชท ง้ั โครงสรางไมล วน ไมผ สมคอนกรตี เสรมิ เหล็ก เหล็กผสมคอนกรตี เสรมิ เหล็ก ทั้งนี้ข้นึ อยูกับองคประกอบหลายอยา งไดแ ก นํา้ หนกั ของวัสดมุ งุ โครงสรางหลกั ของอาคารวาเปน คอนกรตี เสริม เหลก็ หรือไม ความกวา งของชวงเสา และรูปลกั ษณะรวมของอาคารอีกดวย แบงโครงสรางตามชนิดหลงั คา ดงั น้ี 3.7.2 โครงสรางหลังคาเพิงแหงน เปน โครงสรา งท่งี า ยที่สดุ มกั นยิ มใชก ับอาคารสว นทีม่ ีความกวางชวงเสาเดียว เชน สว นทเี่ ปนโรงรถ หรือเรือน ครวั ดงั รูปที่ 3.33
รูปที่ 3.33 แสดงโครงสรางหลงั คาเพิงแหงน จากรปู ท่ี 3.33 เปนโครงสรางหลังคาไม ถาพจิ ารณาจากรูปตดั ตามขวาง ก-ก จะเห็นตัวไมบนสุดซ่งึ เรียกวา แป ทาํ หนา ทร่ี บั นํา้ หนักกระเบอ้ื งและถา ยนาํ้ หนักใหกบั โครงสรา งทรี่ องรับแปอยู คือ จันทนั ซง่ึ วางพาดอยบู นตัวไมท ยี่ ึด ตดิ กบั เสาท่เี รยี กวา อเส อกี ทหี นึ่ง ท้ังนีก้ ารถา ยนํา้ หนักของโครงสรา งหลังคากจ็ ะเปนไปตามลําดบั ตัง้ แต แปถา ยนํา้ หนกั ไปยงั จันทัน จนั ทนั ถา ยเทไปสอู เส และอเสถายนํา้ หนกั ใหก ับเสาในท่สี ุด (ดูจากพน้ื ทีข่ องหลังคาที่จนั ทนั แตล ะตัวรบั ประกอบกบั พ้ืนที่ของหลงั คาที่อเสแตละตัวรบั ) 1. แป (Perlin) นิยมใชแปขนาดหนาตดั 2\" x 3\" สําหรับรับกระเบ้อื งลอน เชน กระเบือ้ งลอนคู การวางแปตองวางใหหนาตัดของแปตัง้ ฉากกบั จันทนั ดังรูปท่ี 3.34 โดยใหหนาตดั ของแปดา นความลกึ 3\" วางตั้งเพอื่ ชว ยใหรับนํา้ หนกั ไดด ี ทาํ ใหจ ัดระยะหางจนั ทันไดกวา งขึ้น เชน ในรปู ระยะหางของจันทนั เปน 1 600 มลิ ลเิ มตร ใขพกุ ไมช วยในการยดึ แปตดิ กบั จนั ทนั ใหม ่นั คงข้ึน มิฉะน้ัน แปอาจพลกิ ไดงา ย เนอ่ื งจากหลังคาลาดเอยี ง (ในรูปท่ี 3.33 หลงั คา มีความเอียงลาด 15 องศา) ขนาดความยาวของแปพิจารณาจากความยาวของไมแ ปรรูปที่ขายตามทอ งตลาดและรอยตอของแปถาดูจาก รปู ที่ 3.33 ควรตอ แปบนหลงั จนั ทนั ตรงตําแหนงจนั ทนั ท่ีวางพาดเหนือเสาแถวที่ 2 ความยาวของแปคดิ ตามระยะยนื 600 มิลลเิ มตร + ชว งเสาแถว 1-2 อกี 3 200 มลิ ลเิ มตร เปนความยาวรวม 3 800 มิลลิเบตร ดังนน้ั จงึ ตอ งสง่ั ซือ้ แป ขนาดหนา ตัด 2\" x 3\" ยาว 4 000 มลิ ลเิ มตร เปน ตน
รูปที่ 3.34 แสดงลกั ษณะการยึดแปกับจนั ทนั การวางแปนอกจากตอ งใหตง้ั ไดฉากกบั หลังจนั ทันในแนวต้งั แลว ยังสามารถวางแปยดึ ตดิ กับจันทนั โดยวางใน แนวนอน ดงั รปู ที่ 3.34 ไดโดยไมต อ งใชพ กุ ยึด เน่ืองจากตัวแปเองสามารถยดึ ตดิ กับจันทันไดม ั่นคงแขง็ แรงดอี ยแู ลว ซง่ึ การวางแปลกั ษณะน้ที ําเม่อื ระยะหา งของจนั ทันไมเ กิน 1000 มลิ ลิเมตร ดังนั้น ขนาดหนาตดั ของแปลกั ษณะการวางแปและระยะหา งของจนั ทัน จึงตอ งนาํ มาพจิ ารณารวมกนั ไมเปน ขอ กําหนดตายตัว ระยะหา งของแปขน้ึ อยกู บั ขนาดความยาวของกระเบอื้ งและระยะซอ นทบั กันของกระเบ้ือง ดังรูปที่ 3.38 เปนกระเบ้อื งลอนคู ความยาว 1 200 มิลลเิ มตร มงุ ซอนทบั กนั 200 มิลลเิ มตร เพ่ือกันรั่ว ดังน้ัน ระยะหางของแปจึงเปน 1 000 มลิ ลิเมตร 2. จนั ทนั (Rafter) เปน สวนโครงสรางท่รี ับนา้ํ หนกั หลังคาจากแปมพี ืน้ ที่รับหลังคา ดงั รปู ที่ 3.33 ซึง่ ผอู อกแบบ จะพิจารณาขนาดหนา ตดั ของจนั ทนั จากพื้นที่รบั หลังคา และนาํ้ หนักของกระเบื้องแตล ะชนดิ ท่ีใช จันทนั จะวางพาด ระหวางอเสเพ่อื ถายนาํ้ หนักท่ีจนั ทนั รับใหอเส โดยท่ัวไปขนาดหนาตดั ที่ใชไดแก 11/2\" x 6\", 2\" x 6\", 11/2\" x 8\", 2\" x 8\" เปน ตน โดยยดึ กบั อเสดว ยตะปูตอกเฉียงหรอื เหลก็ ฉาก ความยาวของจันทนั ตอ งวัดตามแนวลาดเอยี งของหลงั คา คือ วัดจากรปู ตัดตามขวาง เน่อื งจากหลงั คายิ่งลาด เอยี งมากเทา ใด ความยาวของจันทันจะเพม่ิ มากข้นึ จากแนวราบเทานนั้ ดงั รูปที่ 3.35 ความยาวของจนั ทนั คอื ดาน AC ของสามเหลย่ี มมมุ ฉาก ABC ยาวเทากับ 5 800 มลิ ลิเมตร เมอื่ ระยะหา งของอเสรวมกับแนวย่ืนทางราบรวมเปน 5 600 มิลลเิ มตร และหลงั คาเอยี งลาด 15 องศา ระยะทางด่งิ สงู 1 500 มิลลิเมตร เมือ่ เขยี นรปู ดวยการเขา Scale และใชฉ าก ปรบั มุมชวยกไ็ มตอ งคํานวณ สามารถวดั ความยาวของจนั ทันจากรูป เพอื่ แบงชวงแปไดเ ลย
รปู ที่ 3.35 แสดงการคํานวณหาความยาวของจันทันจากระยะราบและดิ่ง นอกจากจันทนั จะรบั กระเบอ้ื งจากแปแลว ยงั รับนาํ้ หนักฝาเพดานรว มกับอเส หรอื ขื่อ (ถา ม)ี อีกดวย โดยจะ ยดึ โครงครา วฝา กบั จนั ทัน เพอื่ ปองกนั ฝา เพดานตกทองชา ง ดงั รูปที่ 3.36 รปู ที่ 3.36 แสดงการยดึ โครงฝา เพดานกบั จันทนั 3. เชิงชายและปน ลม (Eave) เชิงชายเปนไมส าํ หรับปด ปลายจันทนั ดา นชายคามปี ระโยชนใ นดา นกนั น้าํ ฝน ไมใ หโดนหวั จันทันซง่ึ จะทําใหโครงสรางผงุ าย และแลดสู วยงาม โดยเปนตวั ปรับแนวชายคายึดหัวจันทันใหเปน แนวตรง ท้ังยงั ปดชอ งวางระหวา งจันทันไมใ หน ก หนู แมลงเขา ไปในชอ งระหวางหลังคากับฝาเพดานไดดวย โดยใชไมขนาดความ หนา 1\" ความกวา งตามหนาตดั ของจันทนั รวมกบั ความลกึ ของแป เชน จนั ทันขนาด 2\" x 6\" แปขนาด 2\" x 3\" ก็ใช เชิงชายขนาด 1\" x 8\" โดยใหความลกึ ของเชิงชายเลยจนั ทันลงมา 1\" กันนา้ํ ฝนไหลยอยเชงิ ชายดวย ดงั รปู ที่ 3.37 รูปที่ 3.37 แสดงตาํ แหนง ของเชิงชายและไมป ด ลอนกระเบือ้ ง
เหนือเชิงชายข้นึ ไปใชไมห นา 3/4\" - 1\" เซาะตามรปู ลอนของกระเบอ้ื ง ดงั แสดงในรปู ที่ 3.37 เปนกระเบอ้ื ง ลอนคู มคี วามลกึ ของรอ งลอนเทา กบั 500 มลิ ลิเมตร จงึ ใชไ มขนาด 3/4\" x 4\" เพื่อปดลอนกระเบ้ืองไดส นิทและขอนทับ เชงิ ชายเพื่อยึดใหแ ขง็ แรง เรียกตามลักษณะการใชง านคือ ไมปด ลอนกระเบือ้ ง ไมเ ชิงชายเมอื่ นาํ มาปดทางดานขางของหลงั คาเพิง หรือทางดานหนาจ่วั ของหลงั คาทรงมะนลิ า จะเรียกชื่ออกี อยา งหนึ่งวา ปน ลม ซ่งึ ทําหนาที่ปด หัวแปและดานขางของจนั ทนั และไมป ดลอนกท็ ําหนา ที่ปดดา นขางของกระเบอ้ื ง เชน เดียวกนั ความยาวของไมเ ชงิ ชาย พยายามใชไ มยาวท่สี ดุ เทาทจ่ี ะหาได เน่ืองจากเม่ือมองดา นขางจะสวยงามกวา ไมท ม่ี ี รอยตอมาก ๆ 4. อเส (Beam) ทําหนาทย่ี ึดปลายเสาตอนบน เพื่อใหโครงสรา งแขง็ แรงขึ้นและถา ยนํ้าหนกั ของโครงหลงั คา ลงสูเสา ขนาดหนาตัดของอเสคํานวณตามความยาวของเสาและพืน้ ทหี่ ลังคาทรี่ บั น้าํ หนัก ชว งเสาไมทีใ่ ชโ ดยท่วั ไปไมค วรเกิน 4 000 มิลลิเมตร ดังนัน้ ขนาดหนา ตัดของอเสท่ใี ชก ็คอื 2\" x 8\", 2\" x 6\" เปน ตน การยึดอเสกับเสาไม ยดึ ดว ยสลักเกลียวลกั ษณะเดยี วกับการยดึ คานไมกับเสาไม (ในหวั ขอท่ี 3.5.3 รปู ท่ี 3.18 นนั่ เอง) 3.7.3 โครงสรางหลังคาจ่ัว (หรือเรยี กอกี ชือ่ หนึง่ วา ทรงมะนิลา) เปนลกั ษณะของโครงสรา งท่เี หมอื นเอาโครงหลงั คาเพงิ มาขนกนั โดยสวนท่ชี นกนั สงู ขึน้ เปน สนั หลังคา รูปตดั ขวาง ก-ก รปู ที่ 3.38 แสดงโครงสรางหลงั คาจั่วรับกระเบอ้ื งลอนคู
รปู ที่ 3.38 (ตอ ) จากรปู ที่ 3.38 โครงสรา งหลงั คาจว่ั รบั กระเบอื้ งลอนประกอบดว ย 1. แป ขนาด 2\" x 3\" ระยะหาง 1000 มลิ ลเิ มตร 2. จันทนั เอก (Rafter) ขนาด 2\" x 6\" ตําแหนง ของจนั ทนั เอก คอื จนั ทนั ท่วี างพาดบนอเสท่ีหวั เสา ซง่ึ มีตวั ไม เพมิ่ ขึน้ คอื ชอ่ื ดั้ง อกไก ประกอบกนั เปนโครงรปู สามเหลี่ยมเพื่อใหเ ปน ท่ีตั้งของอกไก (แสดงในรูปตดั ก-ก) 3. จันทนั พราง (Common Rafter) เปน จันทันทวี่ างพาดอยูบนอกไกและอเสในระหวางชว งเสา (ดูผงั โครง หลังคาประกอบ) ขนาด 1/,\" x 6\" ระยะหา ง 1 000 มิลลิเมตร 4. อกไก (Ridge) เปนโครงสรา งทว่ี างในแนวขนานกับอเส เพ่ือทําหนา ทรี่ บั ปลายจันทนั ดา นบนของจว่ั โดยอเสรบั ปลายจันทนั ชว งลา ง จะใชเดี่ยวหรือคขู ้ึนอยูก บั นํา้ หนกั ทีก่ ดลงบนอกไกจะมากหรอื นอ ย ขนาดไมท ใ่ี ช 2\" x6, 11/2\" x 8\", 2\" x 8\" 5. ต้งั (King Post) เปน ตวั โครงสรา งทท่ี าํ หนาท่รี องรบั อกไกในกรณที ีไ่ มมีเสาขนึ้ มาชวงกลางตรงสนั จวั่ ขนาด หนาตัดนิยมใช 2\" x 6\" ถา เปน ด้งั เดย่ี วจะวางอยบู นขื่อ ถาเปน ด้งั คูก จ็ ะประกับสองขางของขื่อ ยึดดว ยสลักเกลยี ว 6. ข่อื (Tie Beam) ทําหนา ที่รับดง้ั ยึดหัวเสาทางดา นจว่ั และถา ยนาํ้ หนักของโครงหลงั คาลงสเู สา เชน เดียว กับอเส ทงั้ น้ขี อื่ อาจจะวางพาดบนอเส หรอื จะอยรู ะดับเดยี วกับอเสกไ็ ด
รูปท่ี 3.39 แสดงโครงหลังคาจัว่ ชว งกวางข้นึ ในกรณที ่คี วามยาวของจันทนั ที่พาดระหวางอกไกแ ละอเสยาวมากขน้ึ เนอ่ื งจากมีชวงเสากวางขึ้นหรอื มหี ลายชว งเสา ดังรูปที่ 3.39 จะมตี ัวโครงสรา งไมเพมิ่ ขึน้ อกี คอื 7. ไมรบั ทอ งจันทัน ขนาดหนา ตดั เทา กบั อเส อาจเปนเดย่ี วหรือคู ขนึ้ อยกู ับพ้ืนทห่ี ลงั คาทร่ี ับนํ้าหนกั 8. ค้ํายนั (Bracing) ทาํ หนาทีช่ วยยดึ ไมร บั ทองจนั ทนั และถายนา้ํ หนกั บางสวนมาที่ขอ่ื 9. ตุกตาหรือดง้ั โท (Queen Post) ทาํ หนา ทเ่ี ปนดงั้ รองรบั ไมรับทอ งจนั ทนั แลวถา ยน้ําหนักมาทีข่ ื่ออีกทหี น่ึง 10. ช่อื คดั ทําหนาที่ชว ยรองรบั ไมร ับทอ งจันทัน โดยยดึ ตดิ กบั คา้ํ ยนั และจนั ทันเอก ขนาดหนาตดั ของคา้ํ ยนั ตกุ ตา และชอ่ื คดั มกั ใชไมข นาดเดียวกันคือ 11/2\" x 6- 2\" x 6\" จากรูปทรงของหลงั คา ดงั รูปที่ 3.33 ถึงรปู ท่ี 3.39 จะเหน็ ไดว า ความเอยี งลาดของหลังคาไมมากนกั เน่อื งจาก เปนกระเบอ้ื งลอนขนาดแผนใหญ มีรอยตอ ระหวา งแผน นอย และระยะหา งของแปเปน 1000 มลิ ลิเมตร ตามความยาว ของกระเบ้อื งที่หกั ระยะซอนทับกระเบอ้ื งออกเปน 200 มิลลเิ มตร ถา โครงหลงั คาชนิดเดียวกนั นเ้ี ปลยี่ นวัสดมุ งุ เปนกระเบอ้ื งซแี พคโมเนยี จะตอ งใชแ ปถี่ขึ้น และขนาดหนา ตัด เล็กลง เนือ่ งจากขนาดของกระเบอื้ งเลก็ ลง เราเรียกแปทร่ี ับกระเบอื้ งที่มีระยะถ่ีนว้ี า ระแนง และองศาความลาดของ หลังคาควรจะมากขน้ึ เนอื่ งจากรอยตอของวสั ดมุ ุงหลังคามีมากขน้ึ นํา้ ฝนจะไดไ หลลงอยางรวดเรว็ ทงั้ นคี้ วามลาดของ หลงั คาทม่ี ุงดว ยกระเบ้อื งซแี พคโมเนียไมค วรนอยกวา 17 องศา ดังรูปท่ี 3.40
รปู ท่ี 3.40 แสดงโครงสรางหลังคาจ่วั ที่ใชก ระเบื้องซแี พคโมเนยี เปน วสั ดมุ งุ
ทง้ั นีก้ ารกําหนดระยะหางของระแนง คิดจากขนาดของกระเบือ้ งซีแพคโมเนยี คือ กวา ง 330 ยาว 420 มิลลิเมตร โดยบรษิ ทั ผผู ลติ กาํ หนดใหมุงซอนทับกนั ดา นยาวไมนอยกวา 75 มิลลิเมตร ดังน้ัน ระยะหา งของระแนงจงึ ไมค วรนอย กวา 420-75 = 345 มลิ ลเิ มตร และบรษิ ทั ผผู ลติ แนะนาํ ใหใชระยะระหวา ง 320-340 มิลลิเมตร เพือ่ กันการรวั และ กระเบื้องดานขางจะมลี ิน้ รางคว่าํ ดานหน่งึ หงายดา นหนงึ่ ทกุ แผน เมอื่ มุงขอ นทบั กนั ดานขา งแลว กระเบื้องจะเหลอื กวาง 295 มลิ ลเิ มตร โดยมลี าํ ดบั ข้นั การแบงชวงระแนง ดงั รปู ท่ี 3.41 รปู ท่ี 3.41 แสดงการกาํ หนดระยะหา งของระแนงตัวบนสดุ เชงิ ชาย และระแนงตัวลางสุด กอ นการหาระยะชว งระแนงเฉลีย่ จากรูปท่ี 3.41 สามารถวัดความยาวของจนั ทนั ทีเ่ หลือเพ่อื หาระยะชว งระแนงเฉลีย่ ไดด ังนี้ วดั ความยาวของจนั ทันท้ังหมดได 3400 มิลลเิ มตร กาํ หนดระแนงตัวบนสดุ ใหห ัวระแนงท้ัง 2 ขา งหา งกนั ประมาณ 40 มิลลเิ มตร ระแนงตวั ลางสุดใหว ดั จากปลายนอกของเชงิ ชายถึงหลงั ระแนง ไดเ ทากับ 345 มิลลิเมตร โดยใหหนาตดั ระแนงตัง้ ฉากกบั จันทัน ดังนัน้ จันทนั ชวงทีเ่ หลอื ยาว = 3400-345 = 3055 มลิ ลิเมตร ระแนงชว งทเ่ี หลอื ใหเฉล่ยี ระยะหา งเทา ๆ กัน โดยหา งกันประมาณ 320-340 มิลลเิ มตร ลองเอา 320 หาร จะได = 3.055 - 320 = 9.5 ชวง ปดเปน 9 ชวง 3055 - 9 = 339 มลิ ลเิ มตร น้ันคอื แบง ชว งจันทันทเี่ หลือยาว 3055 มิลลิเมตร ออกไดเ ปน 9 ชวงระแนง ระยะหางชวงละ 339 มลิ ลเิ มตร (เปน ระยะที่อยูระหวา ง 320-340 มิลลเิ มตร) การตอระแนงใหตอ ที่จดุ กง่ี กลางจนั ทนั หัวระแนงทั้งคตู องอยชู ิดกัน ไมควรใหร อยตอ อยตู รงกนั ทกุ แถว การทป่ี ลายนอกของเชิงชายยกสูงจากระดบั หลังระแนง 1\" เพอ่ื กันชายกระเบ้ืองแถวสุดทา ยกระเดดิ โดยใช เชิงชายทาํ หนาท่เี ปน ระแนงตวั หนง่ึ ดวย ถา พจิ ารณาขอแตกตางของโครงสรา งหลงั คาจว่ั ในรปู ที่ 3.38 และรปู ท่ี 3,40 ซ่ึงมีชวงเสา ดานกวางและดา น ยาวเทากนั แตว ัสดมุ ุงเปน กระเบ้ืองลอนคูซง่ึ มขี นาด 500 x 1 200 มลิ ลเิ มตร น้ําหนัก 6 กโิ ลกรมั ตอ แผน (13.33 กโิ ลกรัม
ตอ 1 ตารางเมตร) กบั วสั ดมุ งุ เปนกระเบือ้ งซแี พคโมเนีย ซึง่ มีขนาด 330 x 420 มิลลเิ มตร นํ้าหนกั แผน ละ 4 .4 กโิ ลกรมั ใน 1 ตารางเมตร จะตอ งใชก ระเบอื้ ง 14 แผน (61.6 กโิ ลกรมั ตอ 1 ตารางเมตร) จะเปรยี บเทยี บไดดงั ตารางท่ี 3.2 ตารางที่ 3.2 แสดงขอแตกตา งของขนาดหนาตดั และลกั ษณะโครงสรา งไม เมอื่ มุงดวยกระเบื้องลอนคูและกระเบ้อื งซีแพค โมเนีย ลําดับ ลกั ษณะโครงสรา ง กระเบอื้ งลอนคู กระเบ้อื งซแี พคโมเนยี 1 ขนาดของแปกับระแนง 11/2\" x 11/2\" 2 ระยะหางของแป (ระแนง) 2\" x 3\" 339 มม. 3 ขนาดของจนั ทันเอก, จนั ทนั พราง 1 000 มม. 2\" x 6\",11/2\" x 6\" 4 ระยะหางของจนั ทัน 2\" x 6\",11/2\" x 6\" 600 มม. 5 จาํ นวนของจันทัน 1 000 มม. 6 ระยะยน่ื ของชายคา 16 ทอน 26 ทอ น 7 ระยะยน่ื หนา จว่ั 1 300 มม. 8 อกไก 1 000 มม. 750 มม. 9 ดั้ง 2\" x 6\" 600 มม. 10 ขื่อ 2\" x 6\" 11 อเส 2\" x 6\" 2-2\" x 8\" 2\" x 6\" 6\" x 6\" 2-2\" x 6\" 2\" x 8\" ทม่ี า : เปรียบเทยี บจากรปู ที่ 3.38 และรปู ที่ 3.40 จากตารางที่ 3.2 พอจะสรปุ ไดวา น้ําหนักและขนาดของวัสดุมุงมผี ลตอ โครงสรา งหลังคาอยา งมาก สาํ หรบั ขนาดของระแนงที่รบั กระเบื้องซีแพคโมเนีย กส็ ามารถใชห นา ตดั ขนาดอ่ืน เชน 11/2\" x 2\" หรอื 11/2\" x 3\" ได โดยการกาํ หนดขนาดหนา ตดั ของระแนงจะสัมพนั ธกบั ระยะหางของจนั ทนั และขนาดหนาตัดของจนั ทนั จะขึ้นอยูกบั ความยาว ความเอียงลาดของหลงั คา และระยะหา งของจนั ทนั ดงั ตารางที่ 3.3 และ 3.4
ตารางท่ี 3.3 ขนาดของจนั ทันและระแนงไมร บั กระเบื้องซแี พคโมเนีย โครงหลังคาไมเ นอื้ แข็ง ขนาดของจนั ทนั ความยาว ระยะหางของจนั ทนั (ซม.) ของจนั ทัน 17\" 60-90 45\" 17\" 90-120 45\" (ม.) 11/2\" x 6\" 11/2\" x 6\" 2\" x 6\" 30\" 3.00 11/2\" x 8\" 30\" 11/2\" x 8\" 11/2\" x 8\" 2\" x 6\" 2\" x 6\" 11/2\" x 6\" 11/2\" x 8\" 3.50 2\" x 6\" 11/2\" x 8\" 2\" x 6\" 2\" x 8\" 11/2\" x 8\" 2\" x 6\" 11/2\" x 8\" 2\" x 6\" 11/2\" x 8\" 2(11/2\" x 8\") 11/2\" x 8\" 4.00 11/2\" x 8\" 11/2\" x 8\" 11/2\" x 8\" 4.50 2\" x 8\" 2(11/2\" x 8\") 2\" x 8\" 2\" x 8\" ตารางท่ี 3.3 (ตอ) ความยาว ระยะหางของจันทนั (ซม.) ของจนั ทนั 17\" 60-90 45\" 17\" 90-120 (ม.) 2(11/2\" x 8\") 2(2\" x 8\") 30\" 45\" 5.00 2(2\" x 8\") 30\" 2\" x 8\" 5.50 2(11/2\" x 8\") 2(11/2\" x 8\") \" 2(2\" x 8\") 2(11/2\" x 8\") 6.00 2(2\" x 8\") 2(11/2\" x 8\") 2(2\" x 8\") \" 2(2\" x 8\") 2(2\" x 8\") 6.50 2(2\" x 8\") \" \" 2(2\" x 8\") \"\" \" \"\" * ควรใชโครงถกั (Truss) ขนาดของระแนง ขนาดของระแนง 60-80 ระยะหางของจนั ทัน (ซม.) 100-120 11/2\" x 11/2\" 80-100 11/2\" x 3\" โครงหลังคาไม ใชไ มร ะแนง 11/2\" x 2\" ทีม่ า : บรษิ ัท ปนู ซิเมนตไ ทย ม.ป.ป.
ตารางที่ 3.4 แสดงขนาดของจันทันและระแนงเหลก็ รับกระเบ้อื งซแี พคโมเนยี โครงหลังคาเหลก็ ขนาดของจันทนั ความยาว ระยะหา งของจันทัน (ซม.) ของจนั ทัน (ม.) 60-90 90-120 3.00 75x75x2.3 5.14 kg/m 100x50x2.3 5.14 kg/m 3.50 75x45x15x2.3 3.25 kg/m 75x45x15x2.3 3.25 kg/m 4.00 100x50x50x2.3 3.47 kg/m 100x50x50x2.3 3.47 kg/m 4.50 100x50x2.3 5.14 kg/m 125x75x2.3 6.95 kg/m 125x50x20x2.3 4.51 kg/m 125x50x20x2.3 4.51 kg/m 150x50x50x2.3 4.38 kg/m 150x50x50x2.3 4.38 kg/m 125x75x2.3 6.95 kg/m 125x75x2.3 6.95 kg/m 125x50x20x2.3 4.51 kg/m 125x50x20x2.3 4.51 kg/m 150x50x50x2.3 4.38 kg/m 150x50x50x2.3 4.38 kg/m 125x75x2.3 6.95 kg/m 125x75x3.2 9.52 kg/m 150x65x20x2.3 4.96 kg/m 150x65x20x2.3 6.50 kg/m 150x50x20x3.2 6.02 kg/m 150x50x20x3.2 6.02 kg/m ตารางท่ี 3.4 (ตอ) ความยาว ระยะหา งของจนั ทนั (ซม.) ของจนั ทนั (ม.) 60-90 90-120 5.00 125x75x2.3 9.52 kg/m 150x75x3.2 10.8 kg/m 5.50 6.00 150x65x20x2.3 6.50 kg/m 125x65x20x3.2 7.51 kg/m 150x50x50x3.2 6.02 kg/m 150x50x50x4.5 3.31 kg/m 150x75x3.2 10.8 kg/m 150x100x3.2 12.0 kg/m 150x75x20x3.2 8.01 kg/m 150x100x3.2 12.0 kg/m 150x100x4.5 16.6 kg/m
ขนาดของระแนง 60-80 ระยะหางของจนั ทัน (ซม.) 100-120 80-100 โครงหลังคาเหลก็ 1\"x1\"x0.063\" 1.178kg/m 3/4\"x3/4\"x0.063\" 0.86kg/m 40 x 40 x 3 1.77 kg/m ใชเ หลก็ 3/4\"x3/4\"x0.063\" 0.86kg/m 25 x 25 x 3 1.12 kg/m 50 x 25 x 2.3 1.40 kg/m 50 x 25 x 2.3 1.4.0 kg/m ใชเหลก็ 25 x 25 x 3 1.12 kg/m 35x35 * * ใชไดแตไมป ระหยดั ใชเ หลก็ 40 x 20 x 1.6 0.739 kg/m ใช Galvanized * Steel ที่มา : บรษิ ัท ปนู ซิเมนตไ ทย ม.ป.ป. 3.7.4 โครงหลังคาปนหยา เนื่องจากลกั ษณะของหลังคาทลี่ าดออกจากกนั ทงั้ 4 ดาน ทําใหเ กิดสันหลงั คาเพิม่ ขึ้นตามมุมของผังหลังคา จงึ ตอ งใชต วั โครงสรา งท่ีเรียกวา ตะเขสัน วางทาํ มมุ 45 องศากับอเสในแนวราบ และยกขนึ้ เทาองศาความลาดของหลงั คา โดยจดุ ท่ีตะเขส นั มาพบกันจะมีตงั้ หรอื เสา (ถามี) รองรบั ตวั อยา งของโครงหลังคาทรงปน หยาตามรูปที่ 3.42 เปน โครงสราง ของหลังคาปน หยารปู ตัว L ตรงมมุ ดา นในของตวั L ลกั ษณะของลาดหลังคามาชนกันเปน รองราง ตะเขท่อี ยูตําแหนงน้ี จึงเรียกวา ตะเขราง ทั้งหมดนแ้ี สดงในผังโครงสราง เมอ่ื ดทู ่ีรปู ตดั จะเห็นวา ความเอยี งลาดของหลงั คาเปน 30 องศา และระดบั ของหลังตะเขต องอยใู นระดบั เดียว กบั หลังจันทันทกุ ตัว เพอื่ ใหแ ปวางพาดไดโ ดยรอบ
รปู ที่ 3.42 แสดงผงั โครงสรางหลังคาและรูปตดั แนว ก-ก
จากรปู ท่ี 3.42 แสดงโครงสรา งหลงั คาปนหยาตามลาํ ดบั ดังน้ี อเสขนาด 2\" x 6\" ยดึ ตดิ กบั เสาโดยรอบ ติดต้งั ชอ ด้ัง ค้าํ ยนั ที่จนั ทนั เอก เพื่อรบั อกไก ตะเขลันขนาด 2\" x 6\" ปลายบนพาดอยทู ต่ี ้งั เหนอื อกไก ปลายลางพาดทเ่ี สาตรงมมุ อาคารทกุ มมุ ด้งั หรือ เสากลางจะอยสู งู กวา เสาตน รมิ 1 600 มิลลิเมตร (ลาดหลงั คา 30 องศา) ทกุ มมุ ตดิ ตงั้ จันทนั ขนาด 2\" x 6\" ระยะหา ง 750 มลิ ลเิ มตร ปลายดานบนพาดอยบู นอกไก เพ่ือใหหลงั จนั ทนั อยู ระดบั เดียวกบั หลงั ตะเขสนั ปลายลา งพาดบนอเส ตามรปู สว นจันทนั ระหวางชว งเสารมิ นัน้ ปลายบนยดึ กบั ตะเขสันให หลังตะเขส ันและหลงั จันทนั อยรู ะดบั เดยี วกัน จันทนั ชวงตะเขรางนั้น ปลายบนพาดบนอกไก ปลายลา งยดึ ตดิ ระดบั เสมอกับตะเขราง ยดึ ปลายจนั ทนั ดว ยเชงิ ชาย ขนาด 1\" x 10\" โดยรอบ ติดตั้งระแนงขนาด 11/2\" x 11/2\" วางพาดขวางบนจันทันและตะเข โดยเร่มิ จากระแนงตัวบนและตัวลา ง จากเชงิ ชาย ระยะ 345 มลิ ลเิ มตร จากนนั้ แบง ชวงระแนงตามลาํ ดบั (ดรู ูปที่ 3.41) โดยรอบทง้ั 6 ดาน ปลายของระแนงท้ัง 6 ดา นจะมาบรรจบกนั เปนกรอบบนหลงั ตะเขส นั และตะเขร างทุกแถว โดยระแนงแตล ะ แถวมรี ะยะหา ง 320 มิลลเิ มตร เพ่อื รองรับกระเบือ้ งซีแพคโมเนยี (แนวของระแนงไมไ ดแ สดงในผงั โครงหลงั คา) 3.8 สวนประกอบของแบบโครงสรา ง แบบโครงสรางประกอบดวย 1. ผังโครงสรา ง แสดงโครงสรา งรวมของแตละระดบั ทง้ั โครงสรางใตดินและเหนอื ดนิ ไดแ ก ก. ผังฐานราก ข. ผงั คาน-พ้นื ช้ันที่ 1, 2, 3 ฯลฯ ค. ผังโครงหลงั คา 2. แบบขยายรายละเอียดทางวิศวกรรม 3. ตารางรายละเอยี ดทางวิศวกรรม
3.9 การอา นแบบผังโครงสรา งอาคารบานพกั อาศัยสองช้ัน 3.9.1 ผังฐานราก คานคอดนิ ผังฐานรากจะแสดงตาํ แหนง ของฐานรากและเสาตอมอ ซ่งึ ถา ยนํา้ หนักจากเสารับอาคารลงสฐู านราก โดย ตําแหนงของเสาตอมอ และฐานรากกาํ หนดไดจ ากผังพน้ื ชนั้ ลา งของอาคาร ดังรปู ที่ 3.4 นอกจากนี้ ผงั ฐานรากอาจจะแสดงตาํ แหนงของคานคอดิน แผนพ้ืนวางบนดนิ และสวนทอ่ี ยใู ตด ิน ไดแ ก ตาํ แหนง บอเกรอะ-บอซมึ (ถาม)ี ดงั ตวั อยางรปู ท่ี 3.43 โดยมีชือ่ ตวั ยอ ของโครงสรา งอาคารเขยี นกาํ กบั ไวด ังนี้ ฐานราก แทนดว ย F ตอมอ แทนดว ย GC คานคอดิน แทนดว ย GB พนื้ วางบนดนิ แทนดวย GS ท้งั นี้ถาขนาดของโครงสราง เชน ฐานรากมีขนาดตางกันกใ็ สห มายเลขกาํ กับ เชน F1, F2 เปน ตน จากรูปท่ี 3.43 จะเห็นวา F1 มีขนาดใหญ เน่อื งจากรับน้ําหนกั จากเสาแถว B, C, D, F และ 2, 3, 4 ซงึ่ เม่ือดู จากผังพนื้ แลว ก็คอื ตัวบา น 2 ชั้น สวน F2 มีขนาดเลก็ ลงเพราะรับนาํ้ หนกั สวนโครงสรางชัน้ เดยี ว คอื บริเวณโรงรถและ สว นทเ่ี ปนครวั สําหรบั F3 รบั น้ําหนกั เฉพาะเฉลยี งหนา บา น ขนาดของโครงสรา ง สามารถอานขนาดความกวาง x ยาว ไดจ ากตารางแสดงรายละเอยี ดทางวิศวกรรมดงั น้ี ตารางท่ี 3.5 แสดงรายละเอียดฐานราก หมายเลข ขนาดเปนมลิ ลเิ มตร ความหนา ความหนาทราย ขนาด (มม.) เสาเขม็ เหลก็ เสรมิ ฐานราก กวา ง ยาว หนา คอนกรีตหยาบ อัดแนน ตอมอ คอนกรตี อดั แรง ฐานราก 1350 1350 250 100 200x200 5x180x180x6000 5-Ø 12 มม. F1 1000 1000 200 100 100 200x200 4x180x180x6000 7-Ø 9 มม. F2 800 800 200 100 100 150x150 2x180x180x6000 5-Ø 9 มม. F3 100
Search