Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงการ การทำข้าวหลาม

โครงการ การทำข้าวหลาม

Published by Laksika Taweesukwittaya, 2021-02-05 10:08:59

Description: โครงการ การทำข้าวหลาม

Search

Read the Text Version

การทาข้าวหลาม ผู้จดั ทา นางสาวพลอยชมพู จาเนียรศาล รหัสนักศึกษา 63302010100 นางสาวลกั ษกิ า ทวสี ุขวิทยา รหัสนักศึกษา 63302010107 นางสาววภิ ารักษ์ กลน่ิ บุญ รหัสนักศึกษา 63302010109 นางสาวสมชั ญา คาเปิ้ น รหัสนักศึกษา 63302010112 นางสาวแสงเดอื น เภาดี รหัสนักศึกษา 63302010118 เอกสารฉบับนเี้ ป็ นส่วนหนึง่ ของการศึกษาค้นคว้าประกอบการเรียนรายวชิ าชีวติ กบั สังคมไทย วทิ ยาลยั เทคนิคลพบุรี สังกดั สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2563



การทาข้าวหลาม ผู้จดั ทา นางสาวพลอยชมพู จาเนียรศาล รหัสนักศึกษา 63302010100 นางสาวลกั ษกิ า ทวสี ุขวิทยา รหัสนักศึกษา 63302010107 นางสาววภิ ารักษ์ กลน่ิ บุญ รหัสนักศึกษา 63302010109 นางสาวสมชั ญา คาเปิ้ น รหัสนักศึกษา 63302010112 นางสาวแสงเดอื น เภาดี รหัสนักศึกษา 63302010118 เอกสารฉบับนเี้ ป็ นส่วนหนึง่ ของการศึกษาค้นคว้าประกอบการเรียนรายวชิ าชีวติ กบั สังคมไทย วทิ ยาลยั เทคนิคลพบุรี สังกดั สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2563



ช่ือเร่ือง : การทา ขา้ วหลาม ผจู้ ดั ทา : นางสาวพลอยชมพู จาเนียรศาล รหสั นกั ศึกษา 63302010100 นางสาวลกั ษกิ า ทวสี ุขวทิ ยา รหสั นกั ศึกษา 63302010107 นางสาววภิ ารกั ษ์ กลิ่นบุญ รหสั นกั ศึกษา 63302010109 นางสาวสมชั ญา คาเป้ิ น รหสั นกั ศึกษา 63302010112 นางสาวแสงเดือน เภาดี รหสั นกั ศึกษา 63302010118 ที่ปรึกษา : อาจารยศ์ ิริโสภา วศิ ษิ ฎว์ ฒั นะ ปี การศกึ ษา : 2563 บทคดั ย่อ เรื่อง การทาขา้ วหลาม มีจุดมุ่งหมายเพอื่ เป็ นการรักษาภูมิปัญญาท่ีมีมาอยา่ งชา้ นาน ขา้ วหลามเป็ น ภูมิปัญญาในการทาอาหารและถนอมอาหารใหเ้ ขา้ กบั วสั ดุธรรมชาติคือ ตน้ ไผ่ซ่ึงเป็ นพืชท่ีปลูกและมีอยใู่ น ทกุ ภาคของประเทศไทย การทาขา้ วหลามแรกเริ่มเดิมที คือนาขา้ วสารหรือขา้ วเหนียวมาหุงในกระบอกไมไ้ ผ่ แต่ท่นี ิยมมกั ใชข้ า้ วเหนียวมาหุงเป็นขา้ วหลาม ซ่ึงในเขตเทศบาลตาบลโพตลาดแกว้ อ.ทา่ วงุ้ จ.ลพบรุ ี นบั เป็ น แหล่งผลิตขา้ วหลามรสชาติอร่อยและข้นึ ช่ือทสี่ ุดของ จ.ลพบรุ ี มายาวนาน จนไดร้ ับการคดั สรรให้เป็ นสินคา้ โอทอ็ ปของ ต.โพตลาดแกว้ มีแม่คา้ พอ่ คา้ ประกอบอาชีพทาขา้ วหลามขายนบั สิบๆ ราย ซ่ึงลว้ นแต่ไดร้ ับสูตร มาจากแหล่งเดียวกนั ในการทาขา้ วหลามของท่ีน่ีน้ันขา้ วหลามจะมีรสชาติที่ปรุงรสดว้ ยน้ากะทิ มีรสชาติ หวาน มนั เคม็ รสชาติของขา้ วหลามที่ ต.โพตลาดแกว้ น้นั จะมีรสชาติที่แตกต่างจากที่อื่นซ่ึงเป็ นจุดขายของ ทน่ี ี่.ขา้ วหลามนอกเหนือจากภูมิปัญญาในการทาอาหารและถนอมอาหารแลว้ ชาวไทยทุกภาคยงั นาขา้ วหลาม มาใชเ้ ป็นอาหารในประเพณีตา่ งๆ ไดอ้ ีกหลายดว้ ย ไดส้ ืบคน้ ขอ้ มูลทไ่ี ดม้ าจากอินเทอร์เน็ต วตั ถุประสงค์ 1. ไดร้ ูจ้ กั วธิ ี เเละมีความรู้พ้นื ฐานในการทาขา้ วหลาม 2. ไดอ้ นุรกั ษภ์ ูมิปัญญาของบรรพบรุ ุษเอาไวแ้ ละพฒั นาใหแ้ ปลกใหม่น่าสนใจมากยงิ่ ข้ึน 3. ไดข้ า้ วหลามไปจาหน่ายใหเ้ กิดรายได้ สามารถนาไปตอ่ ยอดทางธุรกิจได้ 4. เป็ นการถนอมอาหารใหอ้ าหารอยไู่ ดน้ านข้นึ 5. สามารถนาไปเผยแพร่เก่ียวกบั วิธีการทาขา้ วหลาม (ก)

กติ ตกิ รรมประกาศ ในการทาโครงงานการทาขา้ วหลามกลุ่มขา้ พเจา้ ขอขอบพระคุณ อาจารยศ์ ิริโสภา วศิ ิษฎ์วฒั นะ ที่ได้ ให้คอยให้คาปรึกษาให้ความสะดวกในการทาโครงงาน และขอ้ เสนอแนะเก่ียวกับ แนวทางในการทา โครงงานการทาขา้ วหลาม ขอบคุณเพ่ือนในกลุ่มทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือ ตลอดจนคาแนะนาท่ีเป็ น ประโยชน์ในการทา โครงงานการทาข้าวหลาม คณะผูจ้ ดั ทาโครงงานการทาขา้ วหลาม ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ การ สนบั สนุน เอ้ือเฟ้ือและใหค้ วามช่วยเหลือ จนกระทงั่ โครงงานการทาขา้ วหลามสาเร็จ ลุล่วงไดด้ ว้ ยดี นางสาวพลอยชมพู จาเนียรศาล นางสาวลกั ษิกา ทวสี ุขวทิ ยา นางสาววภิ ารกั ษ์ กล่ินบุญ นางสาวสมชั ญา คาเปิ้ น นางสาวแสงเดือน เภาดี (ข)

สารบญั เรื่อง หนา้ บทคดั ยอ่ ก กิตตกิ รรมประกาศ ข สารบญั ค สารบญั (ตอ่ ) ง บทท่ี 1 บทนา 1 1.1 ความเป็นมา 1 1.2 วตั ถุประสงค์ 1 1.3 ขอบเขต 2 1.4 ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ ับ 3 บทท่ี 2 ทฤษฎีทเี่ กี่ยวขอ้ ง 7 2.1 ทฤษฎีหรือแนวทางความคดิ ในการจดั ทาโครงการ 2.2 ประโยชน์ของมะพรา้ ว 11 บทท่ี 3 วธิ ีการดาเนินงาน 18 3.1 ข้นั ตอนการทา 19 บทท่ี 4 ผลการศึกษาคน้ ควา้ 19 4.1 ผลทไี่ ดร้ บั จากการศึกษาคน้ ควา้ บทท่ี 5 สรุป อภิปรายและขอ้ เสนอแนะ 5.1 สรุปผลทดลอง 5.2 ขอ้ เสนอแนะ (ค)

บทท่ี 1 บทนา 1. ความเป็ นมา คนสมยั ก่อนหุงขา้ วดว้ ยไมไ้ ผ่ ทาใหข้ า้ วมีรสชาติหอมจากเยอื่ จากไมไ้ ผ่ จึงเป็ นที่มาของการ ทาขา้ วหลามซ่ึงเป็ นอาหารหวาน เพมิ่ รสชาตดิ ว้ ยกะทิ น้าตาล ถวั่ ผสมให้เขา้ กนั แลว้ นาไปเผา ตดั ตกแต่งให้ เกิดความสวยงาม สมัยก่อนนิยมทาขา้ วหลามในช่วงฤดูหนาว ชาวบา้ นจะเตรียมหม่าขา้ ว คือการนาขา้ ว เหนียวไปแช่น้าในช่วงเยน็ พอรุ่งเชา้ ก็จะนาขา้ วเหนียวมาคลุกกบั กะทิ น้าตาล ถว่ั ผสมใหเ้ ขา้ กนั แลว้ กรอกใส่ กระบอกไมไ้ ผท่ ีเ่ ตรียมไว้ ยดั ดว้ ยกากมะพรา้ วกนั ไม่ใหข้ า้ วไหลออก จากน้นั นามาเผาไฟ จนขา้ วหลามสุก จะ นงั่ ลอ้ มวงเป็นการผงิ ไฟไปในตวั พอขา้ วหลามสุกกน็ ามาปอกกินไปดว้ ยผงิ ไฟไปดว้ ย 2. วตั ถุประสงค์ 1. ไดร้ ูจ้ กั วธิ ี เเละมีความรูพ้ น้ื ฐานในการทาขา้ วหลาม 2. ไดอ้ นุรักษภ์ ูมิปัญญาของบรรพบุรุษเอาไวแ้ ละพฒั นาใหแ้ ปลกใหม่น่าสนใจมากยง่ิ ข้นึ 3. ไดข้ า้ วหลามไปจาหน่ายใหเ้ กิดรายได้ สามารถนาไปต่อยอดทางธุรกิจได้ 4. เป็ นการถนอมอาหารใหอ้ าหารอยไู่ ดน้ านข้ึน 5. สามารถนาไปเผยแพร่เก่ียวกบั วธิ ีการทาขา้ วหลาม 3. ขอบเขต 3.1 สถานที่ เขตเทศบาลตาบลโพตลาดแกว้ อ.ท่าวงุ้ จ.ลพบรุ ี 3.2 ระยะเวลา 3.3 ตวั แปรหรือประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 3.1 ตวั แปรตน้ คือ ตวั แปรที่เกิดข้ึนก่อนหรือเป็นตวั แปรท่ีเป็ นเหตุ ทาใหเ้ กิดผลตามมา 3.2 ตวั แปรตาม คือ ตวั แปรที่เกิดข้ึนเนื่องจากตวั แปรตน้ หรือเป็นตวั แปรผล อนั เกิด จากเหตุ 3.3 ตวั แปรควบคุม คอื ตวั แปรทีเ่ ราตอ้ งจดั ใหเ้ หมือนกนั ท้งั หมดในชุดทดลอง 3.1 ประชากร คอื กลุ่มของส่ิงต่างๆท้งั หมดทผ่ี วู้ จิ ยั สนใจ ซ่ึงอาจเป็นกลุ่ม ของสิ่งของ 2 คน หรือเหตกุ ารณ์ต่างๆ กลุ่มตวั อยา่ ง 3.2 กลุ่มตวั อยา่ ง คอื เป็ นส่วนหน่ึงของประชากรทผ่ี วู้ จิ ยั สนใจ กลุ่มตวั อยา่ งท่ีดี

หมายถึง กลุ่มตวั อยา่ งทม่ี ีลกั ษณะตา่ งๆที่สาคญั ครบถว้ นเหมือนกบั กลุ่มประชากร เป็ นตวั แทนท่ีดีของกลุ่มประชากรได้ 4. ประโยชน์ทีไ่ ด้รับ 1. ไดร้ ูจ้ กั ภมู ิปัญญาในการทาขา้ วหลาม 2. ไดร้ ักษาภมู ปัญญาของไทยทมี่ าอยา่ งชา้ นาน 3. ไดศ้ ึกษาเรียนรูใ้ นการทาขา้ วหลาม 4. เป็ นการถนอมอาหารใหอ้ าหารอยไู่ ดน้ านข้ึน 5. สามารถนาไปเผยแพร่วธิ ีการทาขา้ วหลามได้

บทที่ 2 ทฤษฎีท่ีเกยี่ วข้อง ในการศกึ ษาเร่ือง การทาขา้ วหลาม ผจู้ ดั ทาไดร้ วบรวมแนวคิดทฤษฎีและหลกั การต่างๆจากเอกสารท่ี เก่ียวขอ้ งดงั ตอ่ ไปน้ี 2.1ทฤษฎหี รือแนวทางความคดิ ในการจัดทาโครงการ ขา้ วเหนียว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Oryza sativa var. glutinosa) เป็ นขา้ วท่ีมีลกั ษณะเด่นคือการติดกนั เหมือนกาวของเมล็ดขา้ วท่ีสุกแลว้ ปลูกมากทางภาคอีสานของประเทศไทยและ ประเทศลาว ขา้ วเหนียวดา ขา้ วเหนียวเป็นท่นี ิยมบริโภคอยา่ งกวา้ งขวางในประเทศ และเป็ นอาหารหลกั ของประชากรในภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ นอกจากการบริโภคโดยตรงแลว้ ยงั มีการนาขา้ วเหนียวมาเป็ นวตั ถุดิบใน การผลิตสุราพ้นื เมือง การผลิตแป้ งขา้ วเหนียวเพอื่ อุตสาหกรรมอาหารและขนมขบเค้ียว ขา้ วเหนียวมี 2 สี คือ สีขาวและสีดา (คนเหนือเรียกว่า\"ขา้ วก่า\") แต่ขา้ วเหนียวดาจะมีสารอาหาร ที่เป็ น ประโยชน์มากกวา่ ขา้ วเหนียวขาว สารอาหารท่ีว่า คือ “โอพีซี\"(OPC)มีสรรพคุณช่วยชะลอการแก่ก่อนวยั และความเส่ือม ถอยของร่างกาย โดยสารโอพีซีที่พบในขา้ วเหนียวดา เป็ นสารชนิดเดียวกบั สารสกัดท่ีได้ จากองนุ่ ดาองนุ่ แดง เปลือกสน •ขา้ วเหนียวเข้ยี วงู มีความสูงประมาณ 150 เซนติเมตร เมล็ดเล็กเรียวยาวมีหางเล็กนอ้ ย เม่ือนาไปสี จะไดข้ า้ วสารเมล็ดเลก็ แหลม เรียวยาว คลา้ ยเข้ยี วงู •พนั ธุส์ นั ป่ าตอง 1 ตา้ นทานโรคไหม้ และโรคขอบใบแหง้ ดี ใหผ้ ลผลิตสูง สามารถปลูกไดท้ ้งั ปี •พนั ธุส์ กลนคร เป็นขา้ วเหนียวไม่ไวต่อช่วงแสง ปรบั ตวั ไดห้ ลายสภาพ นาดอน นาชลประทาน และ สภาพไร่นา ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ •พนั ธุห์ างยี 71 ทนแลง้ ปลูกเป็นขา้ วไร่ได้ อายเุ บา ตา้ นทานโรคไหมแ้ ละโรคใบจุดสีน้าตาล ไม่ ตา้ นทานโรค ขอบใบแหง้ เพล้ียกระโดดสีน้าตาลและแมลงบวั่ •พนั ธุก์ ข 2 ตา้ นทานโรคใบจดุ สีน้าตาล ตา้ นทานเพล้ียจกั จน่ั สีเขยี วปานกลาง ไม่ตา้ นทานโรคขอบ ใบแหง้ โรคไหม้ เพล้ียกระโดดสีน้าตาลและแมลงบว่ั •พนั ธุก์ ข 4 ปลูกไดท้ ุกฤดูกาล ตา้ นทานโรคใบจดุ สีน้าตาล แมลงบว่ั เพล้ียกระโดดสีน้าตาล และ เพล้ียจกั จน่ั สีเขยี ว ไม่ตา้ นทานโรคไหมแ้ ละโรคขอบใบแหง้ •พนั ธุก์ ข 6 ทนแลง้ ตา้ นทานโรคใบจดุ สีน้าตาล ไม่ตา้ นทานโรคขอบใบแหง้ เพล้ียกระโดดสีน้าตาล และแมลงบวั่

4 •พนั ธุก์ ข 8 ทนแลง้ ตา้ นทานโรคใบจดุ สีน้าตาล ไม่ตา้ นทานโรคขอบใบแหง้ เพล้ียกระโดดสีน้าตาล และแมลงบว่ั สรรพคุณ •เป็นอาหารร่าเริง ทาใหส้ มองสงบ คลายเครียด กินแลว้ จะรูส้ ึกผอ่ นคลาย ทาใหอ้ ่ิมทอ้ งนาน[1] •เพมิ่ สมรรถภาพการทางานของกระเพาะอาหาร •ชะลอการแก่ก่อนวยั และความเส่ือม ถอยของร่างกา •ช่วยขบั ลมในร่างกาย[ตอ้ งการอา้ งอิง] •สร้างเมด็ เลือด ทาใหเ้ ม็ดเลือดสมบูรณ์[ตอ้ งการอา้ งอิง] •ป้ องกนั หลอดเลือดหวั ใจตบี [ตอ้ งการอา้ งอิง] •ป้ องกนั ปัญหาวนุ้ นยั นต์ าเสื่อม[ตอ้ งการอา้ งอิง] อา้ งอิง : http://www.naturezoneathome.com/article?id=18883&lang=th/ น้าตาล เป็ นชื่อเรียกทว่ั ไปของคาร์โบไฮเดรตชนิดละลายน้า โซ่ส้ัน และมีรสหวาน ส่วนใหญ่ใช้ ประกอบอาหาร น้าตาลเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ประกอบดว้ ยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน มีน้าตาล หลายชนิดเกิดมาจากท่ีมาหลายแหล่ง น้าตาลอยา่ งง่ายเรียกว่าโมโนแซ็กคาไรด์และหมายรวมถึงกลูโคส (หรือ เด็กซ์โตรส) ฟรุกโตส และกาแลกโตส น้าตาลโต๊ะหรือน้าตาลเม็ดที่ใช้เป็ นอาหารคือซูโครส เป็ น ไดแซ็กคาไรด์ชนิดหน่ึง (ในร่างกาย ซูโครสจะรวมตัวกับน้ าแล้วกลายเป็ นฟรุกโตสและกลูโคส) ไดแซ็กคาไรดช์ นิดอ่ืนยงั รวมถึงมอลโตส และแลกโตสดว้ ย โซ่ของน้าตาลที่ยาวกวา่ เรียกว่า โอลิโกแซ็กคา ไรด์ สสารอื่น ๆ ที่แตกต่างกันเชิงเคมีอาจมีรสหวาน แต่ไม่ได้จดั ว่าเป็ นน้าตาล บางชนิดถูกใชเ้ ป็ นสาร ทดแทนน้าตาลที่มีแคลอรีต่า เรียกวา่ เป็น วตั ถุใหค้ วามหวานทดแทนน้าตาล (artificial sweeteners) ภาพขยายของน้าตาลดิบ (ไม่ขดั และไม่ฟอกขาว) น้าตาลพบไดท้ วั่ ไปในเน้ือเยอื่ ของพืช แต่มีเพียงออ้ ย และชูการ์บีตเท่าน้ันท่ีพบน้าตาลในปริมาณ ความเขม้ ขน้ เพยี งพอท่ีจะสกดั ออกมาไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ออ้ ยหมายรวมถึงหญา้ ยกั ษห์ ลายสายพนั ธุใ์ น สกุล Saccharum ที่ปลูกกนั ในเขตร้อนอยา่ งเอเชียใต้ และเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ต้งั แต่สมยั โบราณ การ ขยายการผลิตเกิดข้นึ ในคริสศตวรรษที่ 18 พรอ้ มกบั การสร้างไร่น้าตาลในเวสตอ์ ินดีส และอเมริกา เป็ นคร้ัง แรกท่คี นทว่ั ไปไดใ้ ชน้ ้าตาลเป็ นส่ิงท่ีให้ความหวานแทนน้าผ้งึ ชูการ์บีต โตเป็ นพืชมีรากในท่ีที่มีอากาศเยน็ กวา่ และเป็นแหล่งที่มาส่วนใหญ่ของน้าตาลในศตวรรษท่ี 19 หลงั จากมีวธิ ีสกดั น้าตาลเกิดข้ึนหลายวธิ ี การ ผลิตและการคา้ น้าตาลเปลี่ยนแปลงไปตามวถิ ีชีวติ ของมนุษย์ มีอิทธิพลตอ่ การก่อต้งั อาณานิคม การมีอยขู่ อง

5 ทาส การเปลี่ยนผ่านไปสู่สัญญาแรงงาน การยา้ ยถิ่นฐาน สงครามระหว่างชาติท่ีครอบครองน้าตาลใน ศตวรรษที่ 19 การรวมชนชาติและโครงสรา้ งทางการเมืองของโลกใหม่ โลกผลิตน้าตาลประมาณ 168 ลา้ นตนั ในปี พ.ศ. 2554 โดยเฉลี่ยคนบริโภคน้าตาล 24 กิโลกรมั ต่อปี (33.1 กก. ในประเทศอุตสาหกรรม) เทยี บเทา่ กบั อาหารปริมาณมากกวา่ 260 แคลอรีต่อวนั ต้งั แต่ปลายคริสต์ศควรรษที่ 20 มีขอ้ สงสัยว่าอาหารที่มีน้าตาลสูง โดยเฉพาะน้าตาลขดั แลว้ ดีต่อสุขภาพ มนุษย์ น้าตาลมีส่วนทาใหเ้ กิดโรคอว้ น และเป็ นท่สี งสยั วา่ เป็ นสาเหตุของโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคสมองเสื่อม โรคจอประสาทตาเส่ือม และฟันผุ มีการศึกษาหลายคร้ังเพื่อยืนยนั แต่ด้วยผลลัพธ์ท่ี หลากหลาย โดยหลกั เป็ นเพราะการหาประชากรทไี่ ม่บริโภคน้าตาลใหเ้ ป็ นปัจจยั ควบคุมน้นั ทาไดย้ าก ชนิดของน้าตาล โมโนแซ็กคาไรดแ์ กไ้ ข ฟรุกโตส กาแลกโตส และกลูโคส ต่างก็เป็ นน้าตาลอยา่ งง่ายเรียกว่า โมโนแซ็กคาไรด์ มีสูตรเคมีทว่ั ไปคือ C6H12O6 มีหมู่ไฮดรอกซิล (−OH) และหมู่คาร์บอนิล (C=O) 5 หมู่ และเป็ นวงเม่ือละลายในน้า น้าตาล เหล่าน้ีคงอยใู่ นรูปไอโซเมอร์รูปแบบเด็กซ์โตร และ laevo-rotatory ที่ทาให้แสงหักเหไปทางขวา หรือ ทางซา้ ย[33] ฟรุกโตส หรือน้าตาลผลไมเ้ กิดข้ึนตามธรรมชาติในผลไม้ รากของผกั บางชนิด ออ้ ย และน้าผ้ึง และเป็ น น้าตาลที่หวานที่สุด ฟรุกโตสเป็ นส่วนประกอบของซูโครส หรือน้าตาลโต๊ะ มกั ใช้เป็ นไซรัปฟรุกโตสสูง (high-fructose syrup) ผลิตจากแป้ งขา้ วโพดท่ีถูกไฮโดรไลซ์และผา่ นกระบวนการท่ีทาใหเ้ กิดคอร์นไซรัป โดยเตมิ เอนไซมเ์ พอื่ เปลี่ยนกลูโคสส่วนหน่ึงใหเ้ ป็ นฟรุกโตส[34] โดยทวั่ ไป กาแลกโตสจะไม่เกิดข้นึ ในสภาวะอิสระ แต่จะเป็ นส่วนหน่ึงในกลูโคสจากน้าตาลแลกโตส หรือ น้าตาลจากนม ท่ีเป็นไดแซ็กคาไรด์ กาแลกโตสหวานนอ้ ยกวา่ กลูโคส เป็ นส่วนประกอบของแอนติเจนที่พบ บนผวิ ของเซลลเ์ มด็ เลือดแดงท่เี ป็นตวั กาหนดหมู่เลือด[35] กลูโคส น้าตาลเด็กซ์โตรสหรือน้าตาลองนุ่ เกิดข้นึ ตามธรรมชาติในผลไมแ้ ละน้าจากพชื และเป็ นผลิตภณั ฑ์ หลักจากการสังเคราะห์ด้วยแสง คาร์โบไฮเดรตส่วนใหญ่ท่ีร่างกายรับเขา้ ไปจะถูกเปล่ียนเป็ นกลูโคสใน ระหว่างการย่อย และเป็ นรูปแบบของน้าตาลที่ถูกลาเลียงตามร่างกายของสัตวผ์ ่านกระแสเลือด กลูโคส สามารถผลิตไดจ้ ากแป้ ง โดยเพม่ิ เอนไซม์ หรือในสภาวะที่มีกรด กลูโคสไซรัปเป็ นกลูโคสในรูปของเหลวท่ี ใชใ้ นกระบวนการผลิตอาหารต่าง ๆ กลูโคสสามารถผลิตจากแป้ งผา่ นกระบวนการไฮโดรไลซิสดว้ ยเอนไซม์ (enzymatic hydrolysis)[36] ไดแซ็กคาไรดแ์ กไ้ ข แล็กโทส มอลโทส และซูโครส ตา่ งก็เป็ นน้าตาลผสม หรือไดแซ็กคาไรด์ มีสูตรเคมีทวั่ ไปคือ C12H22O11 เกิดจากน้าตาลโมโนแซ็กคาไรดส์ องโมเลกลุ ผสมกนั โดยไม่รวมโมเลกลุ ของน้า[33]

6 แล็กโทส เกิดจากตามธรรมชาตใิ นนม โมเลกลุ ของแลก็ โทสสรา้ งจากน้าตาลกาแล็กโทสและน้าตาลกลูโคส อยา่ งละหน่ึงโมเลกุลรวมกนั แล็กโทสจะแตกตวั เป็ นส่วน ๆ เม่ือถูกบริโภค ดว้ ยเอนไซมแ์ ลกเตสในระหว่าง การยอ่ ย เดก็ จะมีเอนไซมน์ ้ี แต่ผใู้ หญ่บางคนจะไม่สร้างเอนไซมน์ ้ีอีก ทาใหพ้ วกเขาไม่สามารถยอ่ ยแล็กโทส ได[้ 37] มอลโทส เกิดข้นึ ระหวา่ งการแตกหน่อของธญั พชื บางชนิด ท่ีเห็นไดช้ ดั คือ ขา้ วบาร์ลีย์ ซ่ึงจะถูกเปล่ียนเป็ น มอลต์ และเป็นทมี่ าของช่ือน้าตาล โมเลกลุ ของมอลโทสเกิดจากน้าตาลกลโู คสสองโมเลกลุ รวมกนั มอลโทส มีรสหวานนอ้ ยกว่ากลูโคส ฟรุกโตส หรือซูโครส[33] มอลโทสเกิดข้ึนในร่างกายระหว่างการยอ่ ยแป้ งดว้ ย เอนไซมอ์ ะไมเลส และแตกตวั เองในระหวา่ งการยอ่ ยดว้ ยเอนไซมม์ อลเทส[38] ซูโครส พบในกา้ นของออ้ ยและรากของชูการ์บีต ซูโครสยงั เกิดข้ึนตามธรรมชาติคู่กบั ฟรุกโตสและกลูโคส ในพชื ชนิดอ่ืน ๆ ในผลไมบ้ างชนิดและรากบางชนิดเช่น แครอท น้าตาลสดั ส่วนต่าง ๆ ทีพ่ บในอาหารเหล่าน้ี กาหนดความหวานเมื่อกินเขา้ ไป[33] โมเลกุลของซูโครสเกิดจากโมเลกุลของกลูโคสรวมกบั โมเลกุลของฟ รุกโตส หลงั จากกินเขา้ ไป ซูโครสจะแตกเป็ นส่วน ๆ ระหวา่ งการยอ่ ย ดว้ ยเอนไซมซ์ ูเครส[39] มะพร้าว ช่ือวิทยาศาสตร์ Cocos nucifera L. จดั อยใู่ นวงศป์ าลม์ (ARECACEAE) ซ่ึงแต่เดิมใชช้ ่ือ วงศว์ า่ PALMAE หรือ PALMACEAE สมุนไพรมะพรา้ ว มีช่ือทอ้ งถ่ินอ่ืน ๆ ว่า ดุง (จนั ทบุรี), โพล (กาญจนบุรี), คอส่า (แม่ฮ่องสอน), เอ่ียจ้ี (จีน), หมากอุ๋น หมากอูน (ทว่ั ไป) เป็ นตน้ มะพร้าวเป็ นพชื ยนื ตน้ ที่จดั อยใู่ นตระกูลปาล์ม ใบมีลกั ษณะเป็ นใบประกอบเหมือนขนนก ผลประกอบไป ดว้ ยเปลือกนอก ใยมะพร้าว กะลามะพร้าว และช้นั สุดทา้ ยคือเน้ือมะพร้าว ซ่ึงภายในจะมีน้ามะพร้าว ถา้ ลูก มะพร้าวแก่มาก เน้ือมะพรา้ วจะดูดเอาน้ามะพรา้ วไปหมด สาหรับสถิติการผลิตมะพร้าว ประเทศอินโดนีเซียคืออันดบั 1 ของโลกที่ผลิตมะพร้าวได้มากท่ีสุด ส่วน ประเทศไทยจะอยทู่ ่อี นั ดบั 6 ของโลก และรายช่ือพนั ธุม์ ะพร้าวตา่ ง ๆ กไ็ ดแ้ ก่ มะพรา้ วน้าหอม มะพร้าวทะเล มะพรา้ วไฟ มะพร้าวซอ มะพร้าวกะทิ มะพรา้ วพวงร้อย มะพรา้ วมลายสู ีเหลืองตน้ เต้ีย มะพร้าวเป็ นผลไมท้ ี่นิยมกันอย่างมากในบา้ นเรา คุณสมบตั ิเด่น ๆ ของมะพร้าวก็คือ ส่วนต่าง ๆ สามารถ นามาใชท้ าเป็นประโยชนไ์ ดห้ มด ไม่วา่ จะทาเป็นอาหารคาวหวานเพอ่ื บารุงสุขภาพและรกั ษาอาการหรือโรค ต่าง ๆ รวมไปถึงการผลิตน้ามนั มะพร้าว กะทิ น้าตาล และยงั รวมไปถึงการทาสิ่งประดิษฐต์ ่าง ๆ ข้ึนมาใช้ สอย (มีประโยชน์ชนิดทีว่ า่ ตดิ เกาะแลว้ ไม่อดตาย ฮ่า ๆ) น้ามะพร้าว ถา้ จะให้ดีควรกินสด ๆ เปิ ดลูกแลว้ ควรดื่มเลย ไม่ควรท้ิงไวห้ รือเก็บไวใ้ นตูเ้ ยน็ นานเกินคร่ึง ชว่ั โมง หากดื่มทนั ทจี ะทาใหร้ ่างกายไดร้ ับประโยชนอ์ ยา่ งสูงสุด แตค่ วรระวงั เรื่องสารฟอกขาวไวด้ ว้ ย ซ้ือมา

7 จากสวนโดยตรงกจ็ ะดีและปลอดภยั มาก และสาหรบั ผทู้ ่ีเป็นโรคเบาหวานหรือเป็ นโรคไตควรหลีกเล่ียงการ ด่ืมน้ามะพรา้ ว มะพรา้ วกบั ความเช่ือ มีความเชื่อวา่ การปลูกตน้ มะพร้าวทางทิศตะวนั ออกของบา้ นจะอยเู่ ยน็ เป็ นสุข ไม่มีการ เจบ็ ไขไ้ ดป้ ่ วย และยงั เป็ นมิ่งขวญั สาหรับคนเกิดปี ชวดและปี เถาะอีกดว้ ย ส่วนในพธิ ีกรรมทางศาสนาจะจดั ใหม้ ีเคร่ืองสงั เวยเป็ นมะพรา้ วอ่อน เพราะเช่ือวา่ เป็นตวั แทนแห่งความอุดมสมบูรณ์ การดื่มน้ามะพร้าวก็เพอ่ื ความเป็นสิริมงคล นอกจากน้ียงั ใชน้ ้ามะพร้าวลา้ งหนา้ ศพอีกดว้ ย เพราะมีความเชื่อว่าน้ามะพร้าวเป็ นน้าที่ บริสุทธ์ิ ทาให้ผูต้ ายเกิดความผ่องใส สงบจิตใจลงได้ และเดินทางไปยงั ภพภูมิหน้าไดอ้ ยา่ งเป็ นสุข (อ้อ มะพรา้ วยงิ่ ตน้ สูงเทา่ ไหร่ น้ากย็ งิ่ สะอาดมากข้นึ เท่าน้นั ) (ที่มา : ตาราพรหมชาติฉบบั หลวง) 2,2 ประโยชน์ของมะพร้าว 1. ช่วยกาจดั ริ้วรอยของครกหินท่ีซ้ือมาใหม่ ดว้ ยการใชเ้ น้ือมะพรา้ วท่ใี ชค้ ้นั กะทิตดั เป็นช้ินเลก็ ๆ 4-5 ชิ้น ใส่ลงไปในครกแลว้ ตาเน้ือมะพร้าวจนละเอียด ใหน้ ้ามนั จากเน้ือมะพร้าวออกมาสมั ผสั กบั ผวิ ครกไปเร่ือย ๆ ประมาณสิบนาที แลว้ ทิง้ ไวอ้ ยา่ งน้นั ประมาณ 1 คืนเพ่อื ใหน้ ้ามะพร้าวซึมเขา้ ตามร้ิวรอยของเน้ือครก กน้ ครกกจ็ ะลื่นเป็นมนั ดูสดใสใชง้ านไดอ้ ยา่ งคล่องมือ (หนงั สือพมิ พก์ รุงเทพธุรกิจ) 2. มารดาที่เพง่ิ คลอดบุตรแต่ไม่มีน้านมเพยี งพอ ก็สามารถใหบ้ ุตรกินน้ามะพร้าวแทนน้านมแม่ได้ ชวั่ คราวได้ เพราะน้ามะพร้าวมีกรดลอริกท่ีมีอยมู่ ากในน้านมแม่น่ันเอง แถมยงั มีความบริสุทธ์ิไม่มีสารเคมี เจือปน จึงไม่เป็นอนั ตรายต่อเดก็ ทารก (น้ามะพรา้ ว) 3. ผทู้ ่เี ป็นสิวหรือมีประจาเดือนติดต่อกนั ไม่หยดุ ใหด้ ่ืมน้ามะพร้าว จะช่วยทาให้ร่างกายขบั ของเสีย ออกมาไดม้ ากยง่ิ ข้นึ (น้ามะพรา้ ว) 4. มะพร้าว ประโยชนใ์ ชท้ าเป็นน้าสม้ สายชูได้ (น้ามะพร้าว) กา้ น และ ใบมะพรา้ ว 5. ยอดอ่อนมะพร้าว หรือ \"หวั ใจมะพร้าว\" (Coconut’s heart) ซ่ึงมีราคาแพงมาก เพราะการเก็บยอด อ่อนจะทาใหต้ น้ มะพร้าวตายท้งั ตน้ (ตอ้ งโค่นกันเลยทีเดียว) โดยนาไปใชท้ าอาหารไดห้ ลายอยา่ ง เช่น ผดั แกงสม้ แกงควั่ รวมไปถึงยายอดอ่อนมะพรา้ ว หรือ \"สลดั เจา้ สวั \" (Millionaire's salad) 6. น้ามะพร้าวนาไปแปรรูปเป็ นวนุ้ มะพร้าวได้ ดว้ ยการเจือกรดอ่อนเล็กน้อยลงในน้ามะพร้าว (น้า มะพร้าว) 7. มะพร้าวอ่อน นอกจากรบั ประทานสดแลว้ ยงั นามาทาเป็นวนุ้ มะพรา้ ว มะพร้าวเผา ส่วนประกอบ ในอาหารคาวหวาน เป็นตน้

8. มะพร้าวแก่ นามาแปรรูปเป็ นผลิตภณั ฑต์ ่าง ๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็ นค้นั กะทิสด กะทิกล่อง 8 มะพร้าวอบน้าผ้งึ น้ามนั มะพร้าว รวมไปถึงน้ามนั ไบโอดีเซลดว้ ย เป็ นตน้ 9. เน้ือในของมะพรา้ วแก่ ใชท้ าเป็ นกะทิ ดว้ ยการขูดเน้ือเป็ นเศษ ๆ แลว้ บีบค้นั เอาน้ากะทิออก (เน้ือ มะพรา้ ว) 10. กากท่ีเหลือจากการค้นั น้ากะทิ สามารถนาไปใชท้ าเป็ นอาหารสตั วไ์ ดอ้ ีกดว้ ย (กากมะพร้าว) 11. กาบมะพร้าวหรือเปลือกมะพร้าว คุณสมบตั ิแขง็ แรง คงทน ยดื หยนุ่ มีสปริง นามาใชท้ าเชือก พรม กระสอบ แปรง อวน ไมก้ วาด และเสน้ ใบส้นั ใชอ้ ดั ไสข้ องทีน่ อน เบาะรถยนต์ เป็ นตน้ 12. ใยมะพร้าวนาไปใชย้ ดั ฟูกเพื่อทาเป็ นเสื่อได้ หรือจะนาไปใช้ในการเกษตรก็ได้เช่นกัน (ใย มะพรา้ ว) 13. จนั่ มะพร้าวหรือช่อดอกมะพร้าว อุดมไปดว้ ยฟรุกโตส ซ่ึงเป็ นแหล่งอาหารของผ้ึงและแมลง นานาชนิด จงึ ไดม้ ีการนาน้าหวานส่วนน้ีมาทาเป็นน้าตาลเพอื่ ใชป้ รุงอาหารคาวหวาน หรือทาเป็ นน้าตาลสด ไวเ้ ป็ นเคร่ืองด่ืมเพมิ่ พลงั กไ็ ด้ 14. จาวมะพรา้ วนามาใชท้ าเป็นอาหารได้ 15. จาวมะพรา้ วช่วยกระตนุ้ การเจริญเติบของพชื ทีป่ ลูกได้ เพราะมีฮอร์โมนออกซิน ซ่ึงเม่ือนาไปค้นั กจ็ ะไดน้ ้าไวส้ าหรับรดตน้ พชื ท่ีปลูก 16. ใบมะพรา้ วนิยมนามาใชส้ านเป็ นภาชนะใส่ของ ห่อขนม สานหมวกกนั แดดหรือเคร่ืองเล่นเด็ก กระจาด กระเชา้ ตะกร้า ทาของทร่ี ะลึกรูปสตั วต์ า่ ง ๆ เป็นตน้ กะลามะพรา้ วประดิษฐ์ 17. กา้ นใบมะพร้าวหรือทางมะพร้าว นามาใชท้ าเป็ นไมก้ วาดทางมะพร้าว เสวยี นหมอ้ หรือกน้ หมอ้ เครื่องประดบั ขา้ งฝา พดั ภาชนะปักดอกไม้ กระเป๋ า กระจาด เป็นตน้ 18. รกมะพรา้ วหรือเยอ่ื หุ้มคอมะพร้าว ลกั ษณะเป็ นแผน่ ใยหยาบ ๆ บาง ๆ มีความยดื หยนุ่ (แต่ขาด งา่ ย) นิยมนามาทาเป็นกระเป๋ า หมวก รองเทา้ แตะ ดอกไมป้ ระดิษฐ์ กล่องใส่ของ สิ่งประดิษฐ์ใชต้ กแต่งงาน ศิลปะตา่ ง ๆ เป็นตน้ 19. กะลามะพร้าวนิยมนาไปใชท้ าสิ่งประดิษฐต์ ่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็ น กระบวย กระดุม ซออู้ โคมไฟ เครื่องประดบั เครื่องดนตรี ที่วางแกว้ น้า ที่เข่ียบุหร่ี รวมไปถึงทาเป็ นถ่านหุงตม้ ถ่านกมั มนั ต์ น้าควนั และ ถ่านสาหรบั ป้ องกนั มอดแมลงก็ไดเ้ ช่นกนั และอีกสารพดั (ท่ีอาจารยส์ งั่ ใหท้ าส่งเพอ่ื แลกกบั คะแนน) 20. รากมะพรา้ วมีเส้นยาว เหนียวเป็ นพิเศษ ใชส้ านเป็ นตะกร้า ถาด ภาชนะต่าง ๆ และส่ิงประดิษฐ์ ทวั่ ๆไป 21 .ลาตน้ เมื่อถูกโค่นท้งิ แลว้ สามารถนามาใชท้ าเฟอร์นิเจอร์ โตะ๊ เกา้ อ้ี ทาร้ัว ฝาผนัง กระถางตน้ ไม้ ตกแตง่ สวน เป็นตน้

9 2.4 ไผ่ เป็ นไมพ้ ุ่มหลายชนิดและหลายสกุลใน วงศห์ ญา้ (วงศ์ Poaceae; เดิมคือวงศ์ Gramineae) วงศย์ อ่ ย Bambusoideae เป็ นไมไ้ ม่ผลดั ใบใน ข้นึ เป็ นกอ ลาตน้ เป็ นปลอ้ งๆ เช่น ไผจ่ ีน (Arundinaria suberecta Munro) ไผ่ป่ า (Bambusa arundinacea Willd.) ไผ่สีสุก (B. flexuosa Munro และ B. blumeana Schult.) ไผ่ไร่ (Gigantochloa albociliata Munro) ไผด่ า (Phyllostachys nigra Munro) ผลผลิตจากไผ่ที่สาคญั คือ หน่อไม้ ซ่ึงเป็ นอาหารสาคญั ของคนไทย นิยมทานกนั มากในเกือบทุกภาคของ ประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน นอกจากน้ีไมไ้ ผย่ งั มีคุณสมบตั ิพิเศษท้งั ดา้ นความแขง็ แรงและ ยดื รหยนุ่ ทีเ่ หนือกวา่ วสั ดุสงั เคราะห์หลายชนิด ดงั น้นั จงึ ยงั ไดร้ ับความนิยมในการทาเครื่องมือเครื่องใชห้ ลาย ประเภท ใชช้ ะลอน้าท่เี ขา้ ป่ าชายเลน นงั่ รา้ นก่อสรา้ งและบนั ได เป็ นตน้

บทท่ี 3 วธิ ีศึกษาค้นคว้า กล่าวถึงการดาเนินการโดยละเอียด 3.1ข้นั ตอนการทา 3.1 .1ลา้ งขา้ วเหนียว แลว้ นามาพกั ไวใ้ หส้ ะเด็ดน้า

11 3.2.2 ควั่ ถวั่ ดา พอเร่ิมพอง แลว้ นามาตม้ จากน้นั นามาแช่น้าใหส้ ะอาดและพกั ไว้

12 3.3.3นามะพร้าวมาขดู แลว้ ข้นั เอาหวั กะทิ

13 3.3.4 หลงั จากไดก้ ะทิ นามาปรุงดว้ ย น้าตาล เกลือ ตามความเหมาะสมของน้ากะทิ แลว้ คนใหน้ ้าตาลกบั เกลือ ละลายจนเขา้ กนั

14 3.3.5 นาขา้ วเหนียวกบั ถว่ั ท่ีพกั ไว้ มาเทผสมใหเ้ ขา้ กนั จากน้นั เอามากรอกใส่กระบอกไมไ้ ผใ่ หพ้ อดี แต่หา้ ม ลน้ เกินไป

15 3.3.6 หลงั กรอกขา้ วหลามเสร็จ นาน้ากะทิที่เราปรุงไวม้ ากรอกส่ใหท้ ่วมขา้ วหลาม แลว้ นาใบตองห่อกาก มะพร้าวมาปิ ดปากกระบอกใหแ้ น่น

16 3.3.7 ข้นั ตอนสุดทา้ ยนาขา้ วหลามทเี่ ราทาเสร็จมาเรียงต้งั เตาท่เี ราจะเผา อนั เป็นเสร็จวธิ ีทา

17

บทที่ 4 ผลการศึกษาคว้า 4.1 ผลท่ีได้รับจากการศึกษาค้นคว้า การจดั ทาโครงการเขา้ หลามเพ่ือศึกษาวธิ ีการทาขา้ วหลามเน้ือหาเก่ียวกบั วิธีการทาขา้ วหลามมี วตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ให้คนในปัจจุบนั ไดร้ ู้จกั วิธีเเละพ้นื ฐานในการทาขา้ วหลาม เพ่ืออนุรักษภ์ ูมิปัญญาของคน รุ่นหลงั เอาไวแ้ ละพฒั นาให้แปลกใหม่และน่าสนใจมากยงิ่ ข้ึน เพ่ือนาเขา้ หลามไปจาหน่ายให้เกิดรายได้ สามารถนาไปตอ่ ยอดธุรกิจไดน้ ควา้

บทที่ 5 สรุป อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการทดลอง การดาเนินงานจดั ทาโครงการ 1.ไดร้ ู้จกั วธิ ีและมีความรู้ ขา้ วหลาม 2. ได้ าภูมิปั วแ้ ละพฒั นาใหแ้ ปล หม่น่า 3. ไดข้ า้ วหลามไปจาหน่า หเ้ กิดรายได้ ถ ปตอ่ ยอดทางธุรกิจได้ 4. เป็ ถ ห หอ้ าหารอยู่ ดน้ านข้ึน 5. ถ ป ผ แ ร่เกี่ยวกบั วิธีการทาขา้ หล ชใ้ นการสืบคน้ สืบคน้ ขอ้ มลูมาจากอินเทอร์เ ผล บวา่ ข้ วหลามเป็ ปัญญา ไทยในการทาอาหารและถนอมอาหารให้ ขา้ กบั วสั ดุธรรมชาติ คอื ต้ ผ่ ขา้ หล ด่น และเป็ ล รณ์สามารถนามาสร้ ป็นรายไดแ้ ละ ชเ้ ป็ ห ป ะ ตา่ งๆ ได้ ดว้ ย 5.2 ข้ออเสนอแนะ 1. จดั กิจกรรมในการสอนทาข้ หล หก้ บั พน้ืทใี่ นชุมชน 2. เผยแพร่ รู้ให้แก่ชมุ ชมเพอ่ื สร้ ดใ้ ห้ ชุม

บรรณานุกรม แหล่งข้อมูล https://cheechongruay.smartsme.co.th/content/25205 https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/115980

ประวัติผู้จัดทา ช่ือเร่ือง การทาข้าวหลาม 1.นางสาวพลอยชมพู จาเนียรศาล ประวตั ิส่วนตวั เกิดวนั ที่ 27 พฤศจิกายน 2544 ทอ่ี ยู่ (ปัจจุบนั ) 27 ม.4 ต.ดอนทอง อ.หนองโดน จ.สระบรุ ี 18190 ประวตั กิ ารศึกษา ปี พ.ศ. 2557 จบช้นั ป.6 โรงเรียน หรเทพ (รุ่งเรืองประชาสามคั คี) ปี พ.ศ. 2560 จบช้นั ม.3 โรงเรียน หรเทพ (รุ่งเรืองประชาสามคั ค)ี ปี พ.ศ. 2563 จบ ปวช. 3 วทิ ยาลยั เทคนิคลพบรุ ี 2.นางสาวลกั ษกิ า ทวสี ุขวทิ ยา ประวตั สิ ่วนตวั เกิดวนั ที่ 20 มิถุนายน 2544 ที่อยู่ (ปัจจบุ นั ) 27/1 ม.1 ต.ถนนใหญ่ อ.เมือง จ.ลพบรุ ี 15000 ประวตั ิการศึกษา ปี พ.ศ. 2557 จบช้นั ป.6 โรงเรียนเทศบาล 3 ระบบสาธิตเทศบาลเมืองลพบุรี ปี พ.ศ. 2560 จบช้นั ม.3 โรงเรียนเทศบาล 3ระบบสาธิตเทศบาลเมืองลพบุรี ปี พ.ศ. 2563 จบ ปวช. 3 วทิ ยาลยั เทคนิคลพบรุ ี

3.น.ส. วภิ ารกั ษ์ กล่ินบุญ ประวัติส่ วนตัว 13 มี.ค. 2545 73 ม.11 ต.บา้ นเบกิ อ.ท่าวงุ้ จ.ลพบรุ ี 15150 ประวตั ิการศึกษา ปี พ.ศ. 2557 จบช้นั ป.6 โรงเรียนกองทพั บกอุปถมั ป์ ค่ายนารายณ์ศกึ ษา ปี พ.ศ. 2560 จบช้นั ม.3 โรงเรียนกองทพั บกอุปถมั ป์ ค่ายนารายณ์ศึกษา ปี พ.ศ. 2563 จบ ปวช. 3 วทิ ยาลยั เทคนิคลพบุรี 4.นางสาวสมชั ญา คาเป้ิ น ประวตั สิ ่วนตวั เกิดวนั ที่ 1 มีนาคม 2545 ที่อยู่ (ปัจจุบนั ) 31 ม.2 ต.ลาดทิพรส อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ 60260 ประวัติการศึกษา ปี พ.ศ.2557 จบช้นั ป.6 โรงเรียนอุตสาหะวทิ ยา ปี พ.ศ.2560 จบช้นั ม.3 โรงเรียนตาคลีประชาสรรค์ ปี พ.ศ.2563 จบปวช.3 วทิ ยาลยั เทคนิคลพบุรี 5.นางสาว แสงเดือน เภาดี ประวัติส่ วนตวั เกิดวนั ท่ี 16. ตลุ าคม 2544 ท่ีอย(ู่ ปัจจุบนั ) 21 หมู่ 5 ต.โคกกะเทียม อ.เมือง จ.ลพบุรี 15160 ประวัตกิ ารศึกษา ปี พ.ศ. 2557 จบช้นั ป.6 โรงเรียนวรนาถวทิ ยาลพบุรี ปี พ.ศ. 2560 จบช้นั ม.3 โรงเรียนโคกกะเทยี มวทิ ยาลยั ปี พ.ศ. 2563 จบช้นั . ป.ว.ช 3. วทิ ยาลยั เทคนิคลพบรุ ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook