Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายวิชาเลือกเกษตรระบบนิเวศ

รายวิชาเลือกเกษตรระบบนิเวศ

Published by สุภาวิตา ทองน้อย, 2019-08-23 05:03:41

Description: รายวิชาเลือกเกษตรระบบนิเวศ

Search

Read the Text Version

บทที่ 1 เรอ่ื งท่ี 2 คณุ สมบัตทิ างกายภาพ น้า น้าเปน็ ของเหลวทอี่ ุณหภมู ปิ กติ น้าบริสุทธ์ิ ใส ไมํมีกลิ่น ไมมํ รี ส และมี คณุ สมบัติตํอไปนี้ เรอ่ื งที่ 1 องคป์ ระกอบของน้า 1. จดุ เยอื กแขง็ ของนา้ มคี ําเทาํ กับ 0 องศา เปน็ เวลานานสองพันปมี าแลว๎ ทีน่ ักวทิ ยาศาสตรค์ ดิ วํา นา้ เปน็ ธาตุ เซลเซยี ส ดังน้นั ถา๎ น้าที่อณุ หภูมิปกตมิ นั ก็ ชนดิ หนง่ึ ตามทนี่ กั ปราชญช์ าวกรกี ชอ่ื อรสิ โตเตลิ ได๎กลาํ วไวต๎ ้ังแตคํ ริสตศ์ ตวรรษ ยังคงเปน็ ของเหลวตอํ ไปเรอ่ื ย ๆ จนกวํา ท่ี 4 แตํแลว๎ ในปี พ.ศ. 2324 คือเมอื่ ประมาณ 200 ปีมานี้เอง นกั เคมีชาวอังกฤษ อุณหภูมิจะถึง 0 องศาเซลเซียส จงึ จะ ชอ่ื เฮนร่ี คาเวนดชิ ก็ไดท๎ ้าการทดลองเก่ยี วกับไฮโดรเจน เขาระเบิดสารผสมของ กลายเปน็ นา้ แข็ง จดุ เยอื กแข็งนเ้ี ป็นอณุ หภูมิ ไฮโดรเจนกบั อากาศโดยใช๎ประกายไฟฟ้า ปฏิกริ ิยาทีเ่ กิดขนึ้ ไมทํ า้ ให๎นา้ หนกั เดียวกันกบั จุดหลอมละลาย เปลี่ยนแปลง แตทํ า้ ให๎เขาไดพ๎ บวาํ มีสารส่ิงหนึ่งเกดิ ขึ้น นน่ั คือ น้าบรสิ ทุ ธิ์ นเ่ี ป็น ขอ๎ เสนอแนะท่ที ้าให๎คดิ วาํ นา้ เป็นสารประกอบของไฮโดรเจน ตอํ มาอีกไมกํ ป่ี ีก็มี 2. จดุ เดือด คอื อณุ หภูมิทส่ี ารกลายเปน็ นักวทิ ยาศาสตร์ชาวฝรัง่ เศส ช่อื แอนโทนี ลาวอยซเิ ยร์ ไดแ๎ สดงใหเ๎ ห็นวํา นา้ เป็น ไอหมดทัง้ กอ๎ น จดุ เดือดของน้ามคี าํ เทาํ กับ สารประกอบอยํางงาํ ยของไฮโดรเจนกับออกซิเจน เรื่องน้ีมีการพิสูจนไ์ ด๎โดยการ 100 องศาเซลเซยี ส ทา้ อเิ ล็กโทรลซิ ิส ซึง่ ท้าใหน๎ ้าแตกตวั ออกเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน 3. การระเหย น้าอาจระเหยเป็นไอได๎ทุก 1 อุณหภูมิ ดังนั้น ถา๎ นา้ น้าใสํจานต้นื ๆ ต้ังทิง้ ไว๎ เวลาไมํนานนา้ ในจานกจ็ ะแห๎ง หายไปหมด เป็นเพราะน้าระเหยเป็นไอ ลอยขน้ึ ไปในอากาศ 2

เร่อื งท่ี 3 แหลง่ น้าตา่ งๆ 2.1 น้าฝน ชีวิตทุกชวี ติ บนโลกตอ๎ งการนา้ เพอื่ ชีวิตอยูไํ ด๎ แตเํ น่ืองจากน้าเปน็ ตวั ทา้ ถามวําน้าฝนมาจากไหน ทกุ คนกค็ งจะตอบได๎วาํ นา้ ฝนนั้นมาจากเมฆ แตํ ละลายที่ดี นา้ ในธรรมชาติจงึ มักเปน็ น้าทไ่ี มํเป็นบริสทุ ธิ์ แตํเป็นน้าท่ีมีสารอ่ืนๆ ท้าไมเมฆบางชนิดท้าใหเ๎ กดิ ฝน บางชนดิ ไมํท้าให๎เกิดฝน เมฆทกุ ชนดิ ประกอบขน้ึ ละลายปนมาด๎วยเสมอ แหลํงน้าในธรรมชาตบิ นพื้นผิวโลกที่ส้าคัญและควรรจ๎ู ัก ดว๎ ยหยดน้าเลก็ ๆ ทเี่ รียกวาํ ละอองน้าจ้านวนลา๎ นเมด็ ละอองน้าเลก็ ๆ เหลาํ นไ้ี มํ มี 4 แหลงํ น้าด๎วยกนั ไดแ๎ กํ น้าฝน นา้ ใตด๎ ิน นา้ แมํน้าลา้ คลอง และทะเล เคยอยูํน่งิ ๆ แตจํ ะเคลือ่ นทไ่ี ปทุกทิศทุกทาง ผลที่เกดิ ขึน้ กค็ ือมันจะชนกันเองและ กระแทกเข๎าไปในอนภุ าคของของแข็งท่เี ล็กมากซง่ึ ลอยอยูํในอากาศ การชนกันและ รวมตัวกันน้ีเองท้าให๎เม็ดฝนโตขน้ึ และหนกั ข้นึ เร่ือย ๆ จนลอยอยูํภายในกอ๎ นเมฆ อกี ตอํ ไปไมํได๎ ก็จะตกลงสํูพื้นดินกลายเปน็ ฝน แหลงํ น้าตํางๆ น้าฝน 34

2.2 นา้ ใต้ดิน 2.3 น้าทะเล เมื่อฝนตก น้าฝนท่ีตกถึงพื้นดินจะหายไปได๎ 3 ทางคือ (1) รากพืชดูดน้า น้าทะเล คอื น้าเคม็ ในทะเลและมหาสมุทร ซึ่งปกคลมุ พน้ื ผวิ ของโลกอยูํถงึ ขึ้นไปตามลา้ ต๎น แล๎วระเหยเปน็ ไอนา้ ทีใ่ บเข๎าสูํบรรยากาศ (2) น้าไหลไปตามผิวดิน สามในสี่สํวน ในบรรดาแหลํงน้าธรรมชาตทิ ั้งปวง น้าทะเลมีอยํเู ป็นปรมิ าณมาก ลงสูํรอํ งน้า ล้าธาร และแมํน้าลา้ คลอง (3) นา้ ไหลซึมลงในดินกลายเป็นน้าใต๎ดินน้า ท่สี ุด นา้ ทะเลมีรสเคม็ เพราะมีเกลือและแรธํ าตหุ ลายชนิดละลายปนอยํู เกลอื ท่มี ี ใตด๎ นิ เปน็ นา้ ทค่ี อํ ย ๆ ซึมลงไปในดนิ อยํางช๎า ๆ ผํานชํองโหวํในดินหรือรอยแตกใน มากท่สี ดุ คอื เกลอื แกง หรอื โซเดยี มคลอไรด์ ซงึ่ มีรสเคม็ การท้านาเกลอื ใชว๎ ิธสี ูบน้า ดนิ และรูพรนุ ในดิน น้าเชํนน้บี างทีก็ลงไปลึกจากผิวดินได๎หลายร๎อยเมตร น้าใต๎ดิน ทะเลเขา๎ มาขังไวใ๎ นนา แล๎วใช๎ความร๎อนจากดวงอาทติ ยเ์ ผาน้าใหร๎ ะเหยแหง๎ ไปจน จะลงไปขงั อยตํู ามแนวหิน ในท่ีบางแหํงมีน้าใต๎ดินซ่ึงเป็นน้าบริสุทธ์ิขังอยํูในช้ันหิน หมด ในทีส่ ดุ กจ็ ะไดเ๎ กลอื นา้ ทะเลมีสีฟ้า (สฟี ้าทะเล) เหมอื นกบั สีท๎องฟา้ ซงึ่ เป็นผล จนเปน็ อาํ งเก็บน้าธรรมชาติขนาดใหญํก็มี ด๎านบนของบริเวณที่อิ่มตัวของน้าเชํนนี้ เนื่องมาจากการกระจายแสงของโมเลกลุ ของน้าทะเล เรียกวํา \"ช้ันน้าใต๎ดิน\" น้าใต๎ดินมักจะซึมต้่าลงไปแปรรูปเป็นน้าพุ น้าใต๎ดินอาจท้า ใหช๎ ั้น หินใต๎ดนิ พังทลายไดเ๎ ชนํ เดยี วกบั น้าทีอ่ ยบํู นผวิ ดินท่ใี ดที่กอ๎ นหนิ เป็นหินปูน เกลอื ทล่ี ะลายอย่ใู นทะเลและมหาสมทุ รมาจากไหน น้าซึ่งมักจะมีคาร์บอนไดออกไซด์ปนอยํูด๎วยจะคํอย ๆ ละลายเนื้อหิน และจะซึม ในตอนเรมิ่ แรกเชอื่ วาํ เกลอื ทล่ี ะลายอยูํในทะเลและมหาสมุทรน้นั มาพรอ๎ ม ผํานรอยแตกของหินท้าให๎รอยแตกนั้นขยายกว๎างยิ่งข้ึน จนในที่สุดก็กลายเป็นถ้า กบั น้าทไ่ี หลลงมาจากทวปี กลาํ วคือ น้าฝนจะชะล๎างเกลือทมี่ ีอยูใํ นดนิ และหนิ ขนาดใหญํ กํอนท่จี ะไหลลงทะเลและมหาสมุทร การยืนยันแนวความคิดนท้ี ้าโดยการวดั ปรมิ าณเกลือที่แมนํ า้ และล้าธารกอํ นลงสทํู ะเล หรอื ดจู ากปรมิ าณเกลือที่หายไปจาก หนิ บนเปลอื กโลกเพราะกระบวนการกัดกรํอนผพุ ัง ผลการศกึ ษาพบวํา เกลอื หลาย ชนดิ มีปรมิ าณสอดคล๎องกบั ส่ิงท่มี อี ยํใู นเปลอื กบนทวปี เชํน เกลือของโซเดยี ม แคลเซยี ม แมกนีเซยี มและโพแทสเซยี ม น้าใตด๎ ิน นา้ ทะเล 56

2.4 แมน่ ้า ลา้ คลอง เรือ่ งที่ 4 ความส้าคญั ของน้า ทกุ ๆ ปี มนี ้าหลายล๎านตนั ตกลงสํูพ้ืนดนิ เป็นฝน หยดนา้ นับล๎าน ๆ หยด จากตน้ น้าสูท่ ะเล ท่ีกระทบพืน้ ผิว ทา้ ให๎ดินแตกแยกพังทลายเปน็ รปู ราํ งตาํ งๆ นานา นอกจากน้นั เราเรยี กจดุ เรม่ิ ต๎นของแมํน้าวาํ ต๎นน้า การเดินทางของแมํน้าในแมนํ า้ แรงโน๎มถวํ งของโลกยงั ทา้ ใหน๎ ้าไหลบําตามผวิ ดนิ ลงไปสํลู ้าธาร จากล้าธารน้าจะ ไหลไปสลูํ ้าคลอง แมนํ ้า และในทสี่ ุดน้าเหลํานน้ั ก็ ไหลลงสูทํ ะเล ล้าคลองเป็นไปตามลา้ ดับข้ันตอนตํอไปน้ี แมํน้า ลา้ คลอง 1. ต้นน้า ตน๎ น้าอยบูํ นภเู ขา หรอื เนนิ เขาสูง มีความลาดชันคํอนข๎างมาก ต๎นน้า เป็นแหลํงผลิตน้าให๎แกํล้าธาร น้าฝนที่ตกลงสํูบริเวณต๎นน้าไหลลงสูํ 7 ล้าธาร ได๎ 2 วิธี คือไหลไปตามผิวดิน และไหลซึมออกมาจากดิน บริเวณต๎นน้าใดมีป่าไม๎ปกคลุม ป่าก็จะชํวยป้องกันไมํให๎น้าฝน กัดเซาะพาผิวดินพังทลายไป และชํวยรักษาความสมบูรณ์และความ ชํุมช้นื ไวไ๎ มํให๎เสื่อมสูญ สํวนเศษไม๎ใบไม๎ที่ทับถมผุพังอยูํบนพ้ืนผิวดิน ท่ีพ้ืนป่าก็จะชํวยดูดซับน้าฝนไว๎ ท้าให๎น้าสามารถไหลซึมลงไปสะสม อยูํในดินได๎มาก น้าจึงไหลระบายจากดินลงสํูล้าธาร ล้าห๎วยได๎อยําง สม่า้ เสมอตลอดเวลา 2. ล้าธาร ลา้ ธาร คือ ทางน้าเลก็ ท่ไี หลลงจากเขา กระแสน้าในลา้ ธารไหลแรง กัดเซาะดินขา๎ งตลงิ่ ให๎พังทลายไหลลงมาตามกระแสนา้ ล้าธารหลาย สายไหลรวมกนั กลายเปน็ แมํน้า 3. ลา้ ห๎วย ล้าห๎วย คือ แอํงน้าลึกกว๎าง มีทางน้าไหลมาจากภูเขา ขังอยํูตลอดปี หรือแห๎งบ๎างเป็นคร้ังคราว น้าบางสํวนจากต๎นน้าไหลลงไปอยํูใน ลา้ ห๎วย และจากลา้ ธาร ลา้ หว๎ ย น้าจะไหลลงสํูแมํน้า 8

ตารางแสดงตา้ แหนง่ ต้นนา้ ปากแมน่ ้า และความยาวของแมน่ ้าบางสาย ในประเทศไทย. ชอ่ื แม่นา้ ต้าแหนง่ ต้นน้า ปากแมน่ า้ ความยาว แมํนา้ จนั ทบุรี ยอดเขาสอยดาวเหนอื อาํ วไทย 100 แมํน้าเพชรบรุ ี กับยอดเขาชอํ งแคบ อําวไทย กโิ ลเมตร จงั หวดั จนั ทบุรี 230 ยอดเขาในทวิ เขาตะนาวศรี กโิ ลเมตร สูงประมาณ 1,000 เมตร แมนํ ้าแมกํ ลอง ยอดเขาจังหวดั ตาก อําวไทย 520 สูง 178 เมตร กโิ ลเมตร แมนํ ้าตรัง ยอดเขาในทวิ เขา ทะเลอันดามัน 175 นครศรธี รรมราช กโิ ลเมตร แหลํงตน๎ นา้ สูทํ ะเล แมํน้าปงิ ยอดเขาถว๎ ย รวมกับแมนํ ้านาํ น 600 5. ล้าคลอง ล้าคลอง คือ ทางน้า หรือล้านา้ ท่ีเกิดขนึ้ เอง หรือขุดข้นึ เพื่อ จงั หวัดเชียงใหมํ เปน็ แมํนา้ เจ๎าพระยา กโิ ลเมตร ใชเ๎ ป็นทางเชอ่ื มกบั แมนํ ้าหรือทะเล แมํน้านําน ยอดเขาในเทอื กเขาหลวง รวมกบั แมนํ ้าปงิ เปน็ 600 6. ปากแมน่ ้า ปากแมนํ ้า คือ จดุ ทีอ่ ยูํต้่าสุดของแมนํ า้ ปากแมํน้าเป็นที่ซึ่ง พระบาง จงั หวดั นาํ น แมนํ ้าเจา๎ พระยา กโิ ลเมตร นา้ ในแมนํ ้าไหลสํูทะเล แมํน้าเจ๎าพระยา เกดิ จากแมนํ า้ ปงิ และ อําวไทย 360 7. ทะเล ทะเล คอื ห๎วงน้าเค็มที่เว้ิงวา๎ งกวา๎ งใหญํ ทะเลเปน็ แมนํ า้ นํานรวมกัน กโิ ลเมตร ปลายทางของน้าแมํนา้ และล้าคลอง แมนํ ้าโขง เทือกเขาสงู ในประเทศจีน ประเทศเวยี ดนาม 4,590 9 สูง 5,400 เมตร ทะเลจีนใต๎ กิโลเมตร ข้อมลู จากอกั ขรานุกรมภูมศิ าสตรไ์ ทย ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน 10

ต้นน้า ประโยชน์ของนา้ แมน่ ้า ลา้ คลอง ต๎นน้ามคี วามสา้ คญั มากในระบบแมนํ ้า เพราะเปน็ แหลํงผลิตนา้ ปอ้ นใหแ๎ กํ ใชใ๎ นการเกษตร เชํน ท้านา ทา้ ไรํ ทา้ สวน เล้ยี งสัตว์ เป็นแหลงํ อาศัยของสัตวน์ ้าจืดมากมายหลายชนิด ท้ังปลา กง๎ุ และ ล้าธาร น้าทตี่ น๎ น้าผลิตให๎แกํล้าธารน้ันแท๎จริงคือ น้าฝนทต่ี กลงสบํู ริเวณต๎นน้า หอย นั้นเอง บริเวณต๎นน้าอยบูํ นภเู ขาหรอื เนนิ เขาสงู มปี ่าไม๎ปกคลุม ถา๎ ป่าไม๎นน้ั เปน็ ปา่ อดุ มสมบูรณ์ มีตน๎ ไมน๎ อ๎ ยใหญขํ ้นึ อยหํู นาแนํนจนแสงแดดสอํ งไมํถงึ พ้นื และดนิ ท่ี แมํนา้ ลา้ คลอง พื้นปา่ มีเศษไม๎ กง่ิ ไม๎ ใบไม๎ และอินทรียสารอ่ืน ๆทีผ่ พุ งั ทับถมอยเํู ป็นจ้านวนมาก พ้ืนดนิ เชํนนนั้ ก็ทา้ ตวั เปน็ เสมือนฟองน้า ดูดซมึ ซับเอาน้าเก็บไว๎ แล๎วคอํ ย ๆ ปลอํ ย ใช๎ทา้ น้าประปา โดยสูบน้าจากแมํนา้ เข๎าสํคู ลองประปา แลว๎ ผําน ให๎นา้ ไหลซมึ ออกจากดินลงสํูรํองนา้ ลา้ ธารไดอ๎ ยาํ งสม่้าเสมอตลอดเวลา ท้าให๎ กรรมวิธกี ารทา้ น้าประปาโดยการกรอง ท้าให๎ตกตะกอนด๎วยสารสม๎ ลา้ ธารคงมีนา้ อยํไู ดต๎ ลอดท้ังปี กรองใหใ๎ สดว๎ ยทรายและกรวดผํานคลอรีนเพ่อื ฆาํ เชื้อโรค สงํ ไปตามทํอ เขา๎ ไปใช๎ในบ๎านเรอื น ในทางตรงกันข๎ามถ๎าปา่ ไม๎ บรเิ วณตน๎ น้าเป็นปา่ เส่ือมโทรมเป็น ประปา ป่าถกู ท้าลายถูกลกั ลอบตดั ไมจ๎ นไมมํ ี เหลือ ไมไํ ด๎รบั การทะนบุ ้ารุง สร๎าง 12 เสรมิ ป่าขน้ึ มาใหมํ พน้ื ดนิ ท่พี ้ืนป่า พงั ทลายเพราะแรงลมและน้า ไร๎ส่ิง ปกคลมุ ต๎นน้าบรเิ วณนั้นก็จะไมํ สามารถผลิตน้าหลอํ เลี้ยงล้าธารได๎ ลา้ ธารจะขาดนา้ และเหอื ดแห๎ง ทา้ ให๎น้าในแมนํ ้าพลอยลดน๎อยและ เหือดแห๎งไปดว๎ ย แหลํงต๎นน้า 11

ใช๎ในชีวิตประจา้ วนั เพื่อการอปุ โภค บรโิ ภค เปน็ ที่อยูอํ าศยั ของสัตวน์ ้าทีอ่ าศยั อยูํในแมํน้า ล้าคลอง . น้าในการอปุ โภค บริโภค ใชส๎ ้าหรับเลํนกีฬาทางนา้ เชนํ แขงํ เรอื สกนี ้า ลํองแกงํ ลอํ งแพ ตกปลา และอืน่ ๆ . ปลาน้าจืด กฬี าทางน้า 13 14

ปลานา้ จืด เรอื่ งท่ี 5 วัฎจกั รของน้า น้าที่มอี ยทูํ ุกแหงํ บนพนื้ ผิวของโลก เม่ือได๎รับความร๎อนจากดวงอาทิตย์จะ ระเหยเป็นไอ ลอยข้ึนไปในอากาศ เม่ืออากาศนี้ลอยสูงข้ึนและเย็นลง ไอน้าก็จะ กลั่นตัวเป็นละอองน้าเล็ก ๆ กลายเป็นเมฆที่เราเห็นลอยอยูํในท๎องฟ้า ละอองน้า เล็ก ๆ เหลําน้ีมารวมตัวกันมากข้ึนก็จะกลายเป็นเม็ดฝนตกลงมายังพ้ืนดิน การหมุนเวียน เปล่ียนไปจาก น้าเป็นไอน้าแล๎วเปล่ียน กลับเป็นหยดน้า ตก กลับสูํ พ้ืนดนิ เชํนนเี้ รียกวํา \"วฎั จกั รของน้า \" ทกุ ๆ วนั นา้ ในทะเล ทะเลสาบ และมหาสมทุ รซง่ึ ปกคลมุ พ้ืนผิวของโลกอยูํ มากกวํา 70 % จะระเหยเป็นไอลอยขึ้นไปในอากาศอยํูตลอดเวลาอยํางตํอเนื่อง ท้าให๎เกดิ เมฆและวกกลบั ลงมาเปน็ ฝนยังพนื้ ดินไหลซมึ ลงไปในดินเป็นน้าใต๎ดินและ ไหลบาํ ไปบนพื้นดินเป็นล้าธารและแมํน้าไหลลงสูํทะเลและมหาสมุทรอีก วนเวียน อ ยํู เ ชํ น น้ี ต ล อ ด เ ว ล า โดยปกติน้าในบรรยากาศ มีอยูํประมาณ 0.01% ของน้าทั้งหมดบนโลกและ ประมาณ 97% อยํู ในน้า ทะเลและมหาสมุทร 15 16

เร่ืองท่ี 6 น้าเสยี สารมลพษิ ในนา้ ทา้ ใหน้ ้าเสียได้อย่างไร น้าเปน็ ตวั ท้าละลายท่ีดี และยงั เป็นตัวกลางใหอ๎ นภุ าคของของแข็ง ขยะ น้าทไ่ี มํเสียจะมอี อกซเิ จนละลายอยูใํ นน้าไมํนอ๎ ยกวาํ 6.0 มิลลิกรมั แขวนลอยกระจายได๎ทว่ั อกี ดว๎ ย น้าจึงเปน็ แหลํงรับสารตาํ ง ๆ เอาไว๎ไดม๎ าก แหลงํ น้าธรรมชาติทกุ แหงํ ตอ๎ งรับเอาสง่ิ ตําง ๆ เข๎าไปอยูํในน้าทงั้ โดยบงั เอิญ ตอํ ลิตร สัตว์น้าเชนํ ปลา ก๎ุง หอย ใชอ๎ อกซเิ จนท่ีละลายอยูํในน้าน้ีหายใจทา้ ใหค๎ ง และโดยจงใจ สารท่ีละลายแขวนลอยและลอยอยํูในน้า เราเรยี กสารนั้นวาํ สารปนเป้อื นในน้า สารปนเปอื้ นในนา้ ที่ท้าให๎เกิดมลพิษทางน้ามมี ากมาย มชี วี ิตอยูํได๎ ครั้นเม่อื มคี นท้ิงขยะลงในแมนํ ้าล้าคลอง ขยะซ่งึ เป็นสารอินทรียจ์ ะ หลายอยําง แบงํ ออกได๎ เปน็ 2 ประเภท ดังนี้ เนําเปื่อยเกดิ ออกซเิ ดชั่น หมายความวาํ ตอ๎ งดึงเอาออกซิเจนซ่งึ ละลายอยูใํ นนา้ 1. ประเภทที่ตอ้ งการออกซเิ จน ได้แก่ • ขยะและมลู สัตว์ ซึง่ เป็นสารอินทรีย์ ท้าใหเ๎ กิดแบคทเี รยี และไวรสั มาใช๎ ทา้ ใหป๎ ริมาณออกซิเจนในน้าลด • ปยุ๋ และของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม เปน็ สารอนิ ทรีย์ เชํนเดยี วกัน ท้าใหเ๎ กิดสารไนเตรทและสารฟอสเฟต นอ๎ ยลง ถา๎ ออกซเิ จนลดลงมาก บรรดา • สารซักฟอก สารฆําแมลง สารฆําวชั พชื จัดเป็นพวกสารอนิ ทรีย์ เชนํ เดียวกัน สัตว์น้า เชํน ปลา กจ็ ะแสดงอาการขาด 2. ประเภทอน่ื ๆ • กรด ดาํ ง เกลอื ซ่ึงไดจ๎ ากนา้ ท้ิงจากเหมืองแรํ และน้าท้ิงจาก ออกซเิ จน โดยโผลํขน้ึ มาหายใจท่ผี วิ นา้ โรงงานอุตสาหกรรม สารเหลําน้เี ปน็ สารอนินทรีย์ • สารกมั มันตรงั สีจากเหมืองแรํ และสถานที่ซึ่งใช๎สาร บอํ ย ๆ ในขณะเดียวกนั น้ากเ็ กิดสภาวะ กัมมนั ตภาพรังสี • ความร๎อนจากโรงงานทีป่ ลํอยนา้ ร๎อนออกมา เชนํ โรงไฟฟ้า ขาดออกซิเจน เกดิ สภาวะแวดลอ๎ มที่ บางแหํง เหมาะส้าหรับบัคเตรีท่มี อี ยูํในน้าใหย๎ ํอย สลายสารอนิ ทรีย์ตอํ ไป ท้าให๎น้ากลายเป็น ทิ้งขยะลงแมนํ ้า สดี า้ มกี ลน่ิ เหม็น กลายเปน็ นา้ เสีย สารซกั ฟอก ทเ่ี ราใช๎ซักท้าความสะอาดเส้ือผา๎ มฟี อสเฟตเปน็ สํวนประกอบอยดํู ว๎ ยมาก เม่ือไหลปนมากบั นา้ ทงิ้ จากบ๎านเรอื นลงไป ตามทอํ ระบายน้าแล๎วไหลลงสูํ แมํน้าลา้ คลอง ท้าให๎เกิดปัญหาน้าเนําเสีย น้าเสียจากโรงงาน 17 18

มูลสตั ว์ สารฆ่าแมลงและสารฆา่ วัชพืช สวํ นมากเปน็ สารเคมีท่ีเป็นพษิ ในการเล้ียงสัตว์ เชํน เล้ียงหมู ต๎อง ท้าความสะอาด ล๎างคอกเป็น เมอ่ื ถกู ชะลงไปในน้า กจ็ ะเป็นพษิ แกํพชื ป ร ะ จ้ า มู ล สั ต ว์ เ ชํ น มู ล ห มู เ ป็ น และสตั วท์ ี่อยใํู นน้า และถ๎าเราน้านา้ น้นั ไป สารอินทรีย์ท่ีไหลลงแมํน้าล้าคลอง ท้า ใช๎กจ็ ะได๎รบั อนั ตรายจากสารพิษนั้นด๎วย ใหน๎ า้ ขาดออกซิเจน และกลาย เป็นน้า เนาํ การเล้ยี งสัตว์ สารเคมีในแหลงํ น้า นา้ เสยี จากโรงงานอตุ สาหกรรม ปุ๋ย ปยุ๋ ที่ใชใ๎ นการเกษตรมสี องประเภทคือปุ๋ย ได๎แกํ น้าท้ิงจากระบบการผลิต ระบบการหลํอเย็น โรงงานอตุ สาหกรรม อินทรีย์และปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ เชํน ปุ๋ยคอก และจากอาคารที่อยูํอาศัย ตลอดจนโรงอาหาร ไดม๎ าจากมลู สตั ว์ตาํ งเป็นพวกสารอินทรีย์สํวน สารท่ีปะปนมามีหลายชนิดท้ังสารอินทรีย์และสาร ปุ๋ยเคมี เชํน ปุ๋ยไนโตรเจน ปุ๋ยฟอสเฟต เป็น อนินทรีย์ สารพวกกรด ดําง โลหะหนัก สารเคมี ส า ร เ ค มี ก า ร ใ สํ ปุ๋ ย ล ง ใ น ดิ น ท่ี ท้ า ก า ร ตํางๆสารกัมมันตภาพรังสี และสารพิษ เป็นพวก เพาะปลูก เกษตรกรมักใสํในปริมาณเกิน สารอนินทรีย์ สารตํางๆ เหลําน้ีเมื่อลงไปอยูํ ใน กวําพืชจะดูดซึมข้ึนไปใช๎ได๎หมด เม่ือฝนตก แมํน้าล้าคลอง จะท้าให๎เพ่ิมปริมาณสารเหลํานั้นใน นา้ ฝนจะชะเอาป๋ยุ ที่เหลอื อยํใู นดนิ ลงสูํแมํน้า น้าหรือเกิดการเป็นพิษกับสิ่งมีชีวิต ในน้า ท้าให๎ ล้าคลอง ปุ๋ยเคมี เชํน ปุ๋ยไนโตรเจน ปุ๋ย ป๋ยุ เคมีในการเกษตร สัตว์น้า เชํน ปลาตายเป็นจ้านวนมากกํอให๎เกิด ฟ อ ส เ ฟ ต เ ม่ื อ ล ง ไ ป อ ยูํ ใ น น้ า จ ะ เ พิ่ ม ส า ร อ า ห า ร ที่ พื ช ต๎ อ ง ก า ร ความเสยี หายดงั เชํนท่ี ปรากฏเป็นขาํ วบอํ ยครั้ง ท้าใหส๎ าหรํายเจรญิ เติบโตได๎ดเี ป็นจ้านวนมาก เมอื่ สาหรํายเหลํานี้ตายลงก็จะท้าให๎ น้าเนาํ มกี ล่นิ เหมน็ เกดิ ฝา้ ขาวลอยอยํบู นผิวน้ากลายเป็นน้าเสีย 19 20

ตารางแสดงแหล่งท่มี า สารปนเป้ือนในน้า ชนิด และความเสยี หาย. การเลย้ี งสัตว์ มูลสัตว์ สารอินทรยี ์ นา้ ขาดออกซิเจน แบคทเี รีย นา้ เนาํ แหลง่ ทีม่ า สารปนเปอ้ื นในนา้ ชนดิ ของสาร ความเสียหาย จลุ ินทรยี ์ บ๎านเรือน ขยะ สารอนิ ทรีย์ น้าขาดออกซิเจน น้าเนาํ น้าทง้ิ สารอนิ ทรีย์ น้าขาดออกซเิ จน เหมืองแรํ น้าทง้ิ สารกัมมันตรังสี นา้ เปน็ พษิ พชื แบคทเี รีย นา้ เนํา (สารอนินทรีย)์ และสตั วน์ ้าตาย จลุ ินทรีย์ น้ามีเช้อื โรค โรงงานอตุ สาหกรรม การเพาะปลกู สารพษิ น้าเปน็ พิษ พืช การเพาะปลูก น้าทิ้ง สารอินทรยี ์ นา้ ขาดออกซเิ จน (สารอนินทรีย์) และสตั วน์ ้าตาย สารอนนิ ทรีย์ น้าเนาํ สารกัมมันตรังสี นา้ เป็นพษิ เถ๎าถําน ตะกอน สารพิษ ไมํมีน้าสะอาดใช๎ สารพิษ นา้ เป็นพิษสัตว์ ทราย น้าตาย ความรอ๎ น น้าร๎อน สัตวน์ ้า ตาย ป๋ยุ สารอินทรยี ์ สาหราํ ยโตเรว็ ยาฆาํ แมลง (อาหารพชื ) นา้ ขาดออกซิเจน ยาก้าจัดศตั รพู ืช สารอินทรยี ์ น้ามีสารพษิ สตั วน์ ้าตาย สารอินทรีย์ น้ามีสารพษิ สัตว์ น้าตาย 21 22

เรื่องที่ 7 แนวทางการอนรุ ักษ์นา้ และแหล่งนา้ ในชมุ ชน • ปอ้ งกันน้าในแม่นา้ เน่าเสยี โรงงานรมิ แมนํ า้ เชํน โรงงานน้าตาล มัก ปลํอยของเสยี ลงแมนํ า้ ท้าให๎น้าเสีย ชาวบ๎านใชน๎ ้าไมํได๎ สตั ว์น้าตายส้นิ แตลํ ะ คือ การรกั ษาน้าจืดตามธรรมชาตไิ วไ๎ ด๎อยาํ งดี เพื่อใหค๎ งมนี า้ ใช๎ตลอดเวลา ชุมชนต๎องชวํ ยกนั ดูแลและรีบด้าเนินการใหโ๎ รงงานแก๎ไข ไมปํ ลํอยของเสียลงแมนํ า้ หลกั ของการอนรุ กั ษ์น้า ได๎แกํ การเก็บกกั น้าไว๎ ไมปํ ลํอยใหแ๎ หง๎ หาย หรือ เนําเสีย • ใช้น้าบาดาลอยา่ งถูกต้อง การใช๎น้าบาดาลมากเกินไป ท้าให๎ น้า การอนุรกั ษท์ ้าได้โดย บาดาลหมดไปและอาจท้าให๎แผํนดนิ ทรดุ ต่า้ ลง เกดิ น้าทํวม จ้าเปน็ ต๎องหาทาง • สร้างเขื่อน เข่อื นชวํ ยกักเกบ็ น้าในแมนํ ้าไว๎ไมํให๎ไหลลงทะเลหมดไป จดั การใหก๎ ารใชน๎ า้ บาดาลเปน็ ไปอยํางเหมาะสม เข่ือนขนาดเล็กเปน็ ประโยชน์มากในการเพาะปลูก นอกจากนน้ั เขอื่ นยงั ชํวยปอ้ งกนั น้าทล่ี ๎นจากตน๎ น้าและไหลมาสํเู บื้องลาํ งอยํางรวดเรว็ และฉบั พลนั อันอาจทา้ ให๎เกิด • ไม่ปลอ่ ยให้นา้ รั่วไหล การปลํอยใหน๎ ้ารว่ั ไหลโดยเปลาํ ประโยชน์ เชนํ อทุ กภัย หรือทา้ ให๎น้าทํวมมากเป็นอนั ตรายแกํสวนและไรํนาได๎ เปดิ กอ๏ กนา้ ทิง้ ไว๎ ทํอประปาช้ารดุ เปน็ การไมอํ นรุ กั ษน์ ้า • สร้างอา่ งเกบ็ นา้ ในทีล่ ํมุ ถ๎าสร๎างเขือ่ นไมํได๎ก็สรา๎ งเปน็ อาํ งเกบ็ น้าไว๎ นอกจากใช๎ด่มื และใช๎ชะล๎างแล๎ว อาํ งเก็บน้าขนาดใหญยํ ังเปน็ ประโยชน์ในการเกษตร และเปน็ ท่ีอยขํู องสตั วน์ ้า ซ่ึงเปน็ อาหารไดอ๎ ยํางดอี กี ด๎วย • รักษาต้นนา้ ล้าธารไว้ เพือ่ ใหค๎ งมนี ้าในแมนํ ้าตลอดปี อาํ งเกบ็ น้า เข่ือนกกั เกบ็ น้า 23 24

ส่ิงท่ีควรทา้ ในการอนรุ กั ษน์ า้ บทท่ี 2 • อนุรักษ์ตน๎ นา้ ลา้ ธารไว๎ เพอื่ ใหม๎ ีน้าในแมนํ ้าล้าคลองตลอดปี สถานการณ์น้าเสียในจงั หวดั สมทุ รปราการ • เก็บกักน้าไวใ๎ ช๎ โดยการสรา๎ งอํางเกบ็ น้า ขุดสระนา้ ขุดลอกหนองและบงึ ธรรมชาตใิ ห๎ลกึ เพ่อื เก็บกกั น้าได๎มากขึน้ สรา๎ งฝายปิดก้นั ทางนา้ เร่ืองท่ี 1 สถานการ ณ์น้าเ สียในจังหวัดสมุทรปราการ • ไมทํ ิ้งขยะลงในแมนํ ้าล้าคลอง • ไมใํ ชย๎ าเบ่ือปลา ไมดํ ดู ทรายจนตล่งิ พัง การพลกิ โฉมหนา๎ เปลีย่ นทิศทางการพัฒนาจงั หวัดสมุทรปราการ จากชุมชน • ไมปํ ลํอยใหน๎ ้ามนั ปุ๋ย ยาฆําแมลง ยาฆําศตั รูพืชลงในแหลงํ น้า เกษตรกรรมท่ตี ้ังอยํบู รเิ วณปากอําวไทยใหก๎ ลายเป็นพื้นท่ีอุตสาหกรรม เพ่ือรองรับ • ไมนํ า้ สัตวเ์ ลย้ี งลงในแหลํงน้า การขยายตัวของเมืองใหญํอยํางกรุงเทพมหานครต้ังแตํเม่ือ 30 ปีกํอน น้าพาให๎ • ไมทํ ง้ิ ขยะลงในทะเล จังหวัดสมุทรปราการ เปิดประตูต๎อนรับมลพิษจากอุตสาหกรรมหลากหลาย • ไมปํ ลํอยน้ารอ๎ นลงในแหลงํ นา้ ประเภทอยํางตํอเน่ืองยาวนานจนถึงปัจจุบันจังหวัดสมุทรปราการยังได๎ชื่อวําเป็น • ไมซํ ้อื ส่งิ ของทที่ ้าจากปะการงั เปลอื กหอยทะเล กระดองเตาํ ทะเล ที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมแหํงแรกของประเทศไทยในปี 2520 นั่นคือนิคม • ไมํทิ้งสมอเรือลงในแนวปะการงั อตุ สาหกรรมบางปู และอีก 12 ปีตํอมาก็มีนิคมอุตสาหกรรมบางพลีเพิ่มขึ้น ท้าให๎ • เติมออกซิเจนลงในนา้ เพอื่ บรรเทาความเนาํ เสยี ในปี 2555 ท้ังจังหวัดสมุทรปราการเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมราว 6,576 • ระมดั ระวังไมใํ หเ๎ กิดไฟป่า แหํง แบํงเป็น 21 ประเภทแนํนอนท่ีสุดวํา การเป็นท้าเล ท่ีตั้งของโรงงาน อตุ สาหกรรมจ้านวนมากมาย มีผ๎ูคนหลั่งไหลเข๎ามาอยํูอาศัยกันมากข้ึนตามไปด๎วย กท็ า้ ใหพ๎ นื้ ทแ่ี หงํ นีต้ ๎องเผชิญกับมลพษิ รอบด๎าน ไมํวําจะเป็นน้าเสีย อากาศเป็นพิษ เสียงดัง ฝุ่นเยอะ และขยะล๎นทะลัก รวมทั้งลักลอบทิ้งขยะพิษ ที่ย่ิงนานวันก็เริ่ม สร๎างปัญหาคุกคามชีวิตความเป็นอยูํของผู๎คนในพื้นท่ีแหํงน้ีมากข้ึนเร่ือยๆ เสียงย้าเตือนถึงวิกฤตมลพิษทุกด๎านในพื้นที่สมุทรปราการดังข้ึนอยํางตํอเน่ือง แม๎จะผาํ นเวลามาเนิ่นนาน อีกท้ังยงั มสี ารพัดมาตรการท้ังป้องกัน ควบคุม และเฝ้า ระวังมลพษิ แตผํ ค๎ู นทอ่ี าศัยอยูใํ นพ้ืนท่ีเชอื่ มตอํ กับกรงุ เทพมหานครแหํงนี้ยังคงเสย่ี ง ปลกู ป่ารกั ษาต๎นน้าลา้ ธาร 25 26

กับปัญหาด๎านสุขภาพการแถลงขําวสรุปสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย กรณี : สมทุ รปราการ...มลพิษยคุ บกุ เบิก ประจ้าปี 2555 ของอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ได๎จัดอันดับให๎สมุทรปราการ สถานที่ : พน้ื ที่ 1,004 ตารางกโิ ลเมตร ครอบคลุมท้ัง 6 อ้าเภอของ ติดอันดับ 1 ของจังหวัดท่ีมีคุณภาพน้าเสื่อมโทรม ติด 1 ใน 10 จังหวัดที่มีขยะ จ.สมทุ รปราการ มูลฝอยสะสมในสถานที่ก้าจัดขยะมูลฝอย (2,120,000 ตัน) และติด 1 ใน 14 ความเสยี หาย : มลพษิ ทางน้าคอื ปญั หาใหญขํ องจงั หวดั สมุทรปราการ มีสาเหตุ จังหวัดที่มีพ้ืนที่เสี่ยงตํอการลักลอบท้ิงกากอุตสาหกรรมที่กรมควบคุมมลพิษให๎ ส้าคญั คือทัง้ โรงงานอุตสาหกรรมและชุมชนเมอื งปลํอยนา้ ทิ้งสูแํ หลํงธรรมชาติ ความสา้ คญั ขณะเดียวกนั ขาํ วการลกั ลอบปลํอยน้าเสียของนิคมอุตสาหกรรมบางปู รวมทัง้ สารเคมีเป็นพษิ ตาํ งๆ ท้าใหแ๎ หลงํ นา้ เสีย แมจ๎ ะประกาศใหเ๎ ปน็ เขตควบคุม จ.สมุทรปราการ ก็ติดอันดับ 2 ของ 10 ขําวเดํนส่ิงแวดล๎อมประจ้าปี 2555 มลพิษต้ังแตํปี 2537 แตํคณุ ภาพนา้ ของจังหวัดสมทุ รปราการกย็ ังไมํสามารถ ราว 3 แสนล๎านบาทตํอปี คือตัวเลขผลตอบแทนทางเศรษฐกิจจาก น้าไปใชใ๎ นการอุปโภค บริโภคได๎ ภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดสมุทรปราการ ช่วงเวลา : ปี 2536-ปัจจุบนั เหตุการณ์ : ชาวบ๎านสมทุ รปราการเผชญิ หนา๎ กับมลพิษทกุ ด๎านมาเป็นระยะเวลา การปลํอยน้าเสียลงสูํทะเล ในจังหวดั สมทุ รปราการ หลายปี จนกระทงั่ เริ่มคุกคามตอํ ชวี ิตและสุขภาพอยาํ งชัดเจนมากยงิ่ ขนึ้ ถงึ ขั้น คณะรฐั มนตรมี ีมติเมอื่ 10 สงิ หาคม 2536 เรงํ รดั ให๎มกี ารประกาศเขตควบคมุ มลพิษในพน้ื ท่ีจงั หวัดสมทุ รปราการโดยเร็ว โดยประกาศดงั กลาํ วมผี ลบงั คับใช๎ใน วนั ท่ี 15 มีนาคม 2537 แมพ๎ ้นื ทีจ่ ังหวัดสมทุ รปราการจะถูกประกาศใหเ๎ ปน็ เขต ควบคมุ มลพษิ เพ่ือนา้ ไปสูกํ ารควบคมุ และขจัดมลพษิ แตํขอ๎ เทจ็ จรงิ ทเ่ี กิดข้ึนกค็ ือ 4 ปีถดั มา ดร.ทองโรจน์ อํอนจันทร์ ประธานสถาบนั สิ่งแวดล๎อมไทย ออกมาระบวุ าํ การพฒั นาจงั หวัดสมทุ รปราการจากพ้ืนทเี่ กษตรกรรมมาเปน็ อุตสาหกรรม กอํ ใหเ๎ กิดปัญหาสง่ิ แวดลอ๎ มรุนแรงทกุ ด๎าน ไมวํ าํ จะเปน็ คณุ ภาพน้าต่า้ กวาํ มาตรฐาน น้าท้ิงสํวนใหญํมาจากแหลงํ อุตสาหกรรมเกดิ มลพิษทางอากาศอยํางตอํ เนือ่ ง จาก การเผาไหม๎เชื้อเพลิงของโรงงานอุตสาหกรรม ขยะล๎นทะลกั เพราะไมํมีระบบกา้ จดั ขยะท่ีมีประสทิ ธภิ าพเพียงพอ และสารอนั ตรายจากขยะกย็ ังแพรกํ ระจายสํูแหลํงน้า และดนิ หนา้ ซ้ายงั เกิดปญั หาจรจรตดิ ขดั และฝุ่นละอองสูงเกินคาํ มาตรฐาน 27 28

ทุกบริเวณ วิกฤตส่ิงแวดล๎อมในพนื้ ท่ีจังหวัดสมุทรปราการเปน็ อยาํ งไร เหน็ ไดช๎ ัด ประถมศกึ ษาจงั หวดั สมุทรปราการท้าหนงั สอื ช้แี จงผ๎บู งั คบั บัญชาวาํ ไมํมคี รูและ จากเหตุการณ์ซ้าซากที่เกิดข้ึน อาทิ กันยายน 2541 ถังเก็บสารเคมขี องโรงงาน นกั เรยี นคนใดปว่ ยเพราะได๎รบั กล่นิ ควนั จากโรงงาน โดยกล่นิ ท่เี กดิ ข้นึ อยูํในวสิ ัย ศรเี ทพไทยพลาสเครม จ้ากดั ต.บางหวั เสือ อ.พระประแดง ร่ัวและเกิดควัน ทย่ี อมรบั ได๎ ถอื เป็นเรอื่ งปกตขิ องโรงเรียนท่ีอยใํู นเมืองอุตสาหกรรม ไมํกว่ี นั ถัดมา แพรํกระจายไปถึง 12 ตารางกโิ ลเมตร นาน 1 ชั่วโมง ท้าให๎เด็กนกั เรียนและ ก็เกดิ เหตุเพลิงไหมภ๎ ายในโรงงานผลิตเคร่ืองประดับของบริษทั แมลกิ อท จวิ เวลรี่ ชาวบ๎านที่อยใูํ กล๎เคยี งไดร๎ ับผลกระทบตอ๎ งเขา๎ รักษาตัว 21 ราย โรงเรยี น 2 แหงํ ถกู ประเทศไทย จ้ากัด ซ่ึงต้งั อยูภํ ายในนิคมฯ บางปู ท้าให๎สารเคมีหลายชนดิ สั่งปดิ ชวั่ คราว พฤศจกิ ายน 2542 โรงงานในนคิ มฯ บางปปู ลํอยน้าเสียลงทะเล แพรํกระจาย ซึง่ ลว๎ นเปน็ สารเคมีทเี่ ป็นอนั ตรายชนดิ เฉยี บพลนั ตํอระบบทางเดนิ ทา้ ใหน๎ ้าทะเลมคี ุณภาพต่้า และตลอดทง้ั ปี 2543 จงั หวัดสมุทรปราการก็เผชิญกับ หายใจและสมอง แตกํ ารตรวจสอบของวศิ วกรนคิ มฯ บางปู พบวําโรงงานสามารถ ปญั หามลพิษอตุ สาหกรรมอยาํ งหนกั หนวํ งเริม่ จากเกิดปรากฏการณ์น้าทะเลชายฝัง่ เปิดดา้ เนินการตอํ ได๎ และกนั ยายนกเ็ กดิ กลิน่ เหม็นจากโรงงาน เอส.บี.พี.การเกษตร เปล่ียนสใี นเดือนมกราคม เดอื นกรกฎาคมเกดิ เหตสุ ารเคมีในกลุมํ อะไครโลโนไตรส์ และโรงฟอกหนงั รบกวนสถานพักฟน้ื ผ๎ปู ว่ ยสงู อายคุ วามซา้ ซากของปัญหาดังกลาํ ว อะไดรลกิ เอซิด เมทิลอะไดรเลท และเอทลิ อะไดรเลท รั่วไหลจากโรงงานผลติ ท้าให๎จังหวดั สมทุ รปราการจัดท้าแผนที่ระบุจดุ อันตรายของโรงงานอตุ สาหกรรมใน สารเคมีส้าหรบั อตุ สาหกรรมฟอกหนงั ของ บริษัทอเี กิล เคมคี อล อินดสั ตรี้ จา้ กดั พ้ืนที่ โดยมสี ถานประกอบการทขี่ ออนญุ าตอยาํ งถกู ตอ๎ งตามกฎหมายประมาณ ทา้ ให๎นกั เรยี น ร.ร.วดั แพรกษา จ้านวน 127 คนล๎มป่วย ท้งั นสี้ าเหตุเกิดจาก 5,000 โรงงาน ในจา้ นวนนมี้ โี รงงานท่ีเส่ียงตํอการเกดิ อบุ ตั เิ หตดุ ๎านเคมี จ้าแนกเป็น เคร่อื งดกั จบั ไอของสารอะซิเตดเสีย แตโํ รงงานไมํยอมหยดุ การผลิต และเดอื น โรงงานทใี่ ชส๎ ารเคมอี ันตราย 256 แหํง สถานที่เก็บน้ามันเช้ือเพลิง 20 แหํง สถานที่ สิงหาคมปีเดียวกันก็เกิดเหตถุ ึง 3 ครงั้ เรมิ่ จากคนงานบริษทั อินซแู พ็ค ประมาณ เกบ็ บรรจุแกส๏ 12 แหงํ โรงงานทมี่ ีสารกมั มนั ตภาพรงั สี 17 แหํง โดยทัง้ หมดตง้ั 50 คนลม๎ ปว่ ยเน่อื งจากสูดดมสารเมแคปแตนท์ท่ีร่ัวไหลจากถังบรรจุสารเคมีของ กระจายอยใูํ นทกุ อ้าเภอของจังหวดั สมุทรปราการ แตดํ เู หมือนวํา มาตรการตาํ งๆ บรษิ ัททวคี ๎า ซ่งึ กรมควบคมุ มลพิษไดต๎ รวจสอบพบวาํ สารเคมที ี่รวั่ ไหลเปน็ สารท่ใี ช๎ ทถ่ี กู ประกาศใช๎เพ่อื รบั มอื กับวิกฤตมลพิษในพื้นที่จงั หวัดสมุทรปราการจะท้าอะไร ในอตุ สาหกรรมก๏าซและอตุ สาหกรรมยาฆําแมลง โดยปริมาณสารตกคา๎ งท่ีตรวจพบ ไมไํ ด๎มากนัก เพราะยงั คงเกิดเหตกุ ารณ์โรงงานปลอํ ยมลพษิ จนเกิดผลกระทบกับ มีอนั ตรายในระดบั ทสี่ ามารถทา้ ลายระบบสมองได๎ ตามมาด๎วยเหตกุ ารณค์ รูและ ชาวบา๎ นทอ่ี ยูํใกลเ๎ คยี งอยํางตอํ เนอ่ื ง นกั เรยี น ร.ร.ชมนิมติ ร รอ๎ งเรียนตํอทางจังหวดั วาํ เดอื ดร๎อนซ้าซากจากกลิน่ เหมน็ และเขมาํ ด้าจากโรงงานอตุ สาหกรรมท่ตี ้งั อยูโํ ดยรอบ 3 แหํง แตเํ จ๎าหนา๎ ที่ อุตสาหกรรมจงั หวัดเขา๎ ตรวจสอบและรายงานตอํ ผว๎ู ําราชการจังหวดั วํา การจัดการ สงิ่ แวดล๎อมของโรงงานทั้ง 3 แหํงไดม๎ าตรฐาน ยิง่ ไปกวาํ นน้ั ผ๎อู า้ นวยการ 29 30

ดว๎ ยเหตุนี้ ขาํ วคราวของจังหวัดสมุทรปราการ จึงยังคงครองแชมป์อันดับ บทที่ 3 1 ของจังหวัดทม่ี ีคณุ ภาพน้าเสื่อมโทรม และยังติด 1 ใน 10 จังหวัดที่มีขยะ มูลฝอยสะสมในสถานที่ก้าจัดขยะมลู ฝอย (2,120,000 ตัน) แถมยังติด 1 ใน เคมีกับการเกษตร 14 จังหวัดท่ีมีพ้ืนที่เสี่ยงตํอการลักลอบท้ิงกากอุตสาหกรรมที่กรมควบคุม มลพิษใหค๎ วามสา้ คญั ขณะเดียวกนั เร่อื งท่ี 1 การใช้สารเคมใี นการเกษตรปจั จปุ ัน ขยะมูลฝอยท้าให๎เกิดน้าเสีย ผ๎ูบริโภคสํวนใหญํเลือกซ้ืออาหารออร์แกนิค (อาหารท่ีผลิตจากระบบ เกษตรอินทรีย์) ก็เพราะความเป็นหํวงในเรื่องพิษภัยจากสารเคมีการเกษตร ทต่ี กค๎างปนเปื้อนในผลผลิตอาหารท่ีผลิตจากระบบเกษตรท่ัวไป แม๎วําหนํวยงาน ราชการจะได๎พยายามควบคุมการผลิตอาหารให๎มีความปลอดภัย โดยการออก มาตรการตํางๆ แตํเนื่องจากการควบคุมตรวจตราที่ยังมีชํองโหวํ ท้าให๎ผลิตภัณฑ์ อาหารที่วางขายอยูํทั่วไปยังมีปัญหาการปนเป้ือนสารเคมีการเกษตรอยูํมาก ทั้งปุ๋ยเคมี สารเคมีก้าจัดศัตรูพืช สารเรํงการเจริญเติบโต หรือแม๎แตํสารกันบูด และสารแตงํ สี รส และกล่นิ สารเคมที ี่ใช๎ในอาหารเหลํานี้มพี ิษภยั อยาํ งไรบ๎าง ชนดิ ของสารเคมกี า้ จัดศตั รพู ืช สารเคมีก้าจัดศัตรูพืชในทางการเกษตร ท่ีมีการจ้าหนํายทางการค๎า มีกวํา 1,000 ชนิด ซ่ึงแบํงออกเป็นกลุํมใหญํๆ ตามชนิดของสิ่งมีชีวิตท่ีใช๎ในการควบคุม และก้าจัด คอื สารเคมีก้าจดั แมลง สารปอ้ งกันกา้ จัดวัชพชื สารป้องกันก้าจัดเชื้อรา สารกา้ จัดหนูและสัตว์แทะ สารเคมกี ้าจดั หอยและปู เปน็ ตน๎ 31 32

1. สารเคมีก้าจดั แมลง สารเคมกี า้ จดั แมลงเป็นสารเคมกี ารเกษตรท่ีมีจ้านวนชนดิ (carbofura), โพรพอ็ กเซอร์ (propoxur), เบนไดโอคารบ์ (bendiocarb) สารเคมี มากที่สุด สารเคมกี ้าจัดแมลงแบํงออกเปน็ กลํุมใหญๆํ ตามชนดิ ของสารเคมีได๎ ในกลมํุ คาร์บาเมตจะมคี วามเป็นพิษตอํ สตั วเ์ ลย้ี งลูกด๎วยนมน๎อยกวาํ พวกออรก์ าโน 4 ประเภท คือ ฟอสเฟต 1.1 กลํุมออร์กาโนคลอไรน์ ซ่ึงเป็นกลํุมของสารเคมีที่มีคลอรีนเป็นองค์ประกอบ 1.4 กลํุมสารสังเคราะห์ไพรีทอย เป็นสารเคมีกลุํมท่ีสังเคราะห์ขึ้นโดยมี สารเคมกี า้ จัดแมลงในกลํุมนี้ท่ีนิยมใช๎กันมาก คือ ดีดีที (DDT), ดีลดริน (dieldrin), ความสมั พนั ธ์ตามโครงสรา๎ งของไพรที ริน ซ่ึงเป็นสารธรรมชาติท่ีสกัดได๎จากพืชไพรี ออลดริน (aldrin), ท็อกซาฟีน (toxaphene), คลอเดน (chlordane), ลินเดน ทรัม สารเคมีในกลุํมนม้ี คี วามเปน็ พษิ ตอํ แมลงสงู แตมํ ีความเป็นพษิ ตํอสัตว์เลือดอํุน (lindane), เอนดริน (endrin), เฮปตาครอ (heptachlor) เป็นต๎น สารเคมีในกลุํม ต่้า อยํางไรก็ตาม สารเคมีกลํุมนี้มีราคาแพงจึงไมํคํอยเป็นท่ีนิยมใช๎ สารเคมีก้าจัด น้ีสํวนใหญํเป็นสารเคมีที่มีพิษไมํเลือก (คือเป็นพิษตํอแมลงทุกชนิด) และคํอนข๎าง แมลงในกลํุมน้ี ได๎แกํ เดลตาเมธริน (deltamethrin), เพอร์เมธริน (permethrin), จะสลายตัวช๎า ท้าให๎พบตกค๎างในหํวงโซํอาหารและสิ่งแวดล๎อมได๎นาน บางชนิด เรสเมธรนิ (resmethrin), และไบโอเรสเมธรนิ (bioresmethrin) เป็นต๎น อาจตกคา๎ งไดน๎ านหลายสิบปี ปัจจุบัน ประเทศสํวนใหญํท่ัวโลกจะไมํอนุญาตให๎ใช๎ สารเคมีในกลุํมนี้ หรือไมํก็มีการควบคุมการใช๎ ไมํอนุญาตให๎ใช๎อยํางเสรี เพราะ 2. สารปอ้ งกันกา้ จดั วชั พืช ผลกระทบด๎านสขุ ภาพและส่ิงแวดลอ๎ ม สารเคมกี า้ จดั วชั พืชแบงํ ออกได๎เปน็ 2 กลํุมใหญํ คอื พวกทีม่ พี ษิ ทา้ ลายไมํ 1.2 กลุํมออร์กาโนฟอสเฟต ซ่ึงเป็นกลุํมที่มีฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบ เลือก กบั พวกที่มพี ษิ เฉพาะกลํุมวชั พชื คอื ท้าลายเฉพาะวัชพชื ใบกวา๎ ง หรือวชั พชื โดยสารเคมีในกลํุมนี้ท่ีรู๎จักกันคือ มาลาไธออน (malathion), พาร&#12 June, ใบแคบ สารกา้ จัดวชั พชื ทมี่ พี ษิ ทา้ ลายไมเํ ลอื ก คอื พาราควอท (paraquat) สํวนที่ 2009#3604;อาซินอน (diazinon), เฟนนิโตรไธออน (fenitrothion), พิริมิฟอส มีพษิ ท้าลายเฉพาะ คอื พวก แอทราซิน (atrazine), 2,4-D, 2,4,5-T เป็นต๎น เมธิล (pirimiphos methyl), และไดคลอวอส (dichlorvos หรือ DDVP) เป็นต๎น สารเคมีในกลํุมนี้จะมีพิษรุนแรงมากกวํากลํุมอื่น โดยเป็นพิษทั้งกับแมลงและสัตว์ 3. สารก้าจดั เช้อื รา อื่นๆ ทุกชนิด แตํสารในกลมุํ นจี้ ะยอํ ยสลายไดเ๎ ร็วกวาํ กลุมํ แรก มีอยูํหลายกลํมุ มาก บางชนดิ มีพิษนอ๎ ย แตํบางชนิดมีพษิ มาก กลุํมส้าคัญ 1.3 กลํุมคารบ์ าเมต ซง่ึ มีคารบ์ าริลเป็นองคป์ ระกอบส้าคญั โดยสารเคมีกา้ จดั แมลง ของสารก้าจดั เชอื้ ราในการเกษตร (สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรค 2546)ได๎แกํ ท่รี ู๎จกั และใช๎กนั มาก คอื คารบ์ าริว (carbaryl ทมี่ ชี ่ือการค๎า Savin), คาร์โบฟุแรน  กลมํุ Dimethey dithiocarbamates (Ziram, Ferbam, Thiram) มฤี ทธิ์ 33 ยบั ยั้งเอนไซม์ Acetaldehyde dehydrogenase เกิด antabuse effect ใน คนทีด่ ่ืมสุรารวํ มดว๎ ย 34

 กลมุํ Ethylenebisdithiocarbamates (Maneb, Mancozeb, Zineb) กลํมุ เรอื่ งที่ 2 สารเคมีตอ่ ชีวิตและส่ิงแวดล้อม นี้จะถูก metabolize เป็น Ethylene thiourea ซึง่ เปน็ สารกอํ มะเร็งในสตั ว์ หลายคนมักจะเช่ือวํา การใช๎สารเคมีการเกษตรชํวยเพ่ิมผลผลิตทาง  กลํมุ Methyl mercury ดดู ซมึ ไดด๎ ีทางผิวหนังและมีพิษตํอระบบประสาท การเกษตรได๎ แตํที่จริงหาเป็นเชํนนั้นไมํ อีกท้ังการใช๎สารเคมียังมีผลกระทบตํอ  กลุํม Hexachlorobenzene ยบั ยั้งเอนไซม์ Uroporphyrinogen ระบบนเิ วศการเกษตรได๎อกี ด๎วย decarboxylase มีพษิ ตอํ ตับ ผิวหนัง ข๎อกระดูกอกั เสบ 1. แมลงพัฒนาภูมิต้านทานสารเคมี ผลที่เกิดขึ้นอยํางหน่ึงกับแมลงศัตรูพืช  กลุํม Pentachlorophenol สัมผัสมากๆ ทา้ ใหไ๎ ข๎สูง เหง่ือออกมาก หวั ใจเต๎น เม่ือมกี ารใช๎สารเคมีก้าจัดแมลงอยํางตอํ เนื่อง ก็คือ การพัฒนาภูมิต๎านทานสารเคมี ซ่ึงเป็นคุณสมบัติทางวิวัฒนาการของแมลงในการเอาด้ารงเผําพันธ์ุของตัวเอง เรว็ เพราะการพัฒนาความสามารถในการทนตํอสารเคมีท่ีมีพิษได๎ และถํายทอด ภูมิต๎านทานดังกลําวสํูลูกหลาน จะท้าให๎เผําพันธ์ุของแมลงสามารถอยูํรอดได๎ 4. สารกา้ จดั หนแู ละสตั วแ์ ทะ (Rodenticides) จากการศึกษาของนักวิจัยพบวํา เพียง 50 ปีท่ีเริ่มมีการใช๎สารเคมีน้ัน มีแมลง สารก้าจัดหนูและสตั วแ์ ทะที่นยิ มใชก๎ นั สวํ นใหญเํ ป็นสารกลมํุ ที่มีฤทธิ์ต๎านการ มากกวํา 400 ชนิดที่ได๎พฒั นาภมู ติ า๎ นทานยาฆําแมลงชนิดตํางๆ ซ่ึงท้าให๎ต๎องใช๎ยา ฆําแมลงที่เข๎มข๎นมากข้ึน หรือเปลี่ยนไปใช๎ยาฆําแมลงชนิดใหมํ เชํน ในกรณีของ แขง็ ตัวของเลอื ด ตวั อยาํ ง เชนํ Warfarin หยุดยั้งการสร๎างวติ ามินเค ท้าใหเ๎ ลอื ด หนอนเจาะสมอฝ้าย ในชํวงเริ่มต๎นในปี พ.ศ. 2503 ท่ีมีการใช๎สารดีดีทีเพื่อฆํา ออกตามผิวหนัง และสํวนตํางๆ ของรํางกาย เมด็ เลอื ดขาวต้่า ลมพิษ ผมรํวง หนอน จะใช๎สารดีดีทีเพียง 0.03 มิลิกรัม/น้าหนักตัวของหนอนหน่ึงกรัม แตํเพียง 5 ปีหลังจากนั้น ต๎องเพ่ิมปริมาณเป็น 1,000 มิลิกรัมจึงจะท้าให๎หนอนตายได๎ (Raven, Berg, Johnson 1993, 500) ผลท่ีเกิดขึ้นตามมาก็คือ เกษตรกรต๎องใช๎ สารเคมีก้าจัดแมลงในปริมาณท่ีมากขึ้น ห รือไมํก็เปล่ียนไปใช๎สารเคมีชนิดใหมํๆ เพ่อื ควบคมุ ก้าจัดแมลง แตํผลกค็ ือ แมลงศัตรูพชื ก็จะเรงํ การวิวฒั นาการให๎สามารถ ต๎านทานสารเคมกี ารเกษตรไดเ๎ รว็ ขน้ึ ดว๎ ย 35 36

2. การทา้ ลายสมดลุ ของระบบนิเวศ ไมเํ พยี งแตแํ มลงศตั รูพืชท่ีตายลง เมื่อมีการใช๎ 3. การสะสมของสารเคมีในห่วงโซ่อาหาร สารเคมีก้าจัดศัตรูพืชน้ันไมํได๎คงอยํู สารเคมีการเกษตร แตํส่ิงมีชีวิตตํางๆ ในระบบนิเวศการเกษตร โดยเฉพาะแมลง เฉพาะในบริเวณพ้ืนที่การเกษตร แตํมักจะแพรํกระจายออกไปในสิ่งแวดล๎อม ที่เป็นประโยชน์ ทที่ า้ หน๎าที่ในการควบคุมศัตรูพืช หรือแมลงผสมเกษตรก็จะได๎รับ เพราะนา้ ที่ไหลผาํ นแปลงเกษตร ทมี่ กี ารฉดี พนํ สารเคมกี ้าจัดศัตรูพืช จะไหลลงไปสํู ผลกระทบจากสารเคมีการเกษตรด๎วยเชํนกัน จากการศึกษาวิจัย พบวํา แหลํงน้าธรรมชาติ ท้าให๎เกิดการปนเป้ือนของสารเคมีในระบบนิเวศอยําง ศัตรูธรรมชาติ ที่กินแมลงศัตรูพืชเป็นอาหาร เชํน แมงมุม ด๎วงดิน เตําทอง กว๎างขวาง ส่ิงมีชีวิตในแหลํงน้าอาจได๎รับผลกระทบโดยตรงจากสารเคมีเหลํานี้ ดว๎ งเพชฌฆาต จะมีประชากรลดลงอยํางมากหลังจากท่มี ีการใช๎สารเคมีก้าจัดแมลง โดยเฉพาะอยาํ งย่งิ ผลตอํ ระบบภูมติ ๎านทานของปลา ทา้ ให๎ปลาเปน็ โรคตํางๆ ได๎งําย ฉีดพํน เนอื่ งจากศัตรธู รรมชาตเิ หลํานไ้ี ด๎รบั ผลกระทบโดยตรงจากสารเคมี และโดย ขนึ้ นอกจากนี้ สารเคมีเหลํานี้ โดยเฉพาะในกลุํมออรก์ าโนคลอไรน์ ซึ่งยอํ ยสลายช๎า อ๎อมจากการที่มีแมลงศัตรูพืชลดลง จนท้าให๎มีอาหารไมํเพียงพอ แตํหลังจากน้ัน อาจจะไปสะสมอยูํในรํางกายของส่ิงมีชีวิตตํางๆ และถํายทอดไปยังสิ่งมีชีวิตที่อยูํ ไมํนาน แมลงศัตรูพืชจะขยายประชากรเพิ่มขึ้นอยํางรวดเร็ว ในขณะที่ศัตรู ด๎านบนของหํวงโซํอาหาร เกิดการสะสมของสารพิษในปริมาณท่ีเข๎มข๎นขึ้น ธรรมชาติจะต๎องใช๎ระยะเวลานานกวํา จึงจะเพิ่มจ้านวนประชากรได๎ สมดุลของ (biological magnification) ดังตัวอยํางในรูป ซึ่งเป็นการสะสมของ DDT ในหํวง ระบบนิเวศจึงเสียไป ท้าให๎เกิดการระบาดของแมลงศัตรูพืชข้ึนอีก ดังน้ัน โซํอาหาร ทีเ่ ร่มิ จากการปนเป้ือนของ DDT ในน้าในอัตราเพียง 0.000003 สํวนใน จึงกลายเป็นวํา การใช๎สารเคมีก้าจัดศัตรูพืชไมํได๎ชํวยป้องกันการระบาด ลา๎ นสวํ น แตใํ นสิ่งมีชวี ิตขนาดเล็กที่อาศัยอยํูในน้า เชํน พวกไรแดง หนอนแดง จะ ของแมลงศัตรูพืชได๎จริง ซึ่งตรงกับผลงานวิจัยในสหรัฐอเมริกา ที่ในชํวงระหวําง พบวาํ มีการสะสมของ DDT ในสัตว์เหลําน้ีเพ่ิมขึ้นเป็น 0.04 สํวนในล๎านสํวน และ ปี พ.ศ. 2488 - 2532 มีการใช๎สารเคมีก้าจัดแมลงเพิ่มข้ึนกวํา 33 เทําตัว แตํอัตรา ในปลาที่กนิ ส่ิงมีชีวิตขนาดเล็กเป็นอาหาร จะมีการสะสมของ DDT ในตัวปลามาก การสูญเสียผลผลิตจากการระบาดของแมลงยังคงอยํูในระดับ 13% เทําเดิม ถงึ 2 สํวนในล๎านสํวน และเมอื่ ถงึ นกที่กินปลาเปน็ อาหาร จะมี DDT สะสมในตัวได๎ ไมํเปลีย่ นแปลง (Raven, Berg, Johnson 1993, 501) นอกจากนี้ แมลงที่ในอดีต มากถงึ 25 สํวนในลา๎ นสวํ นทีเดยี วแม๎วาํ นกจะมกี ารสะสม DDT ในตวั คํอนข๎างมาก อาจไมไํ ด๎เปน็ ศัตรูพชื เนื่องจากมีศตั รธู รรมชาติควบควบคุมประชากรให๎อยูํในระดับ แตํการสะสมนี้อาจไมํได๎ท้าให๎นกตายลงทันท่ี แตํก็มีผลกระทบด๎านอื่นๆ ได๎ เชํน ต่้า แตํเมื่อมีการสารเคมีก้าจัดศัตรูพืช ท้าให๎ศัตรูธรรมชาติลดลงจนเกือบหมด DDT ที่อยูํในตัวนกจะท้าให๎เปลือกไขํบางลง สํงผลให๎ไขํแตกขณะที่ก้าลังฟักอยูํ แมลงในกลุํมนี้ก็จะสามารถขยายจ้านวนประชากรได๎อยํางมากมาย จนกลายเป็น สงํ ผลใหป๎ ระชากรของนกลดลงได๎อยํางรวดเร็ว ซงึ่ ปัญหาน้ี ไมไํ ด๎เกิดเฉพาะกับนกท่ี แมลงศัตรูพืชขึ้น เชํน กรณีไรแดงยุโรป ซึ่งไมํเคยพบระบาดในสวนแอบเปิ้ลใน กินปลา แตรํ วมถึงนกท่ีกนิ แมลง และนกท่ีกินผลไม๎ดว๎ ยเชนํ กนั สหรัฐอเมริกา เร่ิมมีการระบาดอยํางมากหลังจากที่ได๎เร่ิมมีการใช๎สารเคมีก้าจัด แมลง (Raven, Berg, Johnson 1993, 502) 37 38

เรอ่ื งท่ี 3 การเลือกซอ้ื และเลอื กใชส้ ารเคมแี ละผลติ ภณั ฑ์ ขอ๎ ปฏบิ ตั ิในการเกบ็ รกั ษา การปฏบิ ัตแิ ละเลอื กใช้สารเคมีกา้ จัดศตั รูพชื ทางการเกษตรด้วยความปลอดภยั การเกบ็ รักษาสารเคมี ไมํวําจะมีปริมาณมากหรือน๎อย ต๎องค้านึงถึงความ ปลอดภยั ดังนี้ สารเคมกี า้ จดั ศัตรูพชื 1. เก็บในที่ม่ันคง แข็งแรงและมีล็อคกุญแจให๎เรียบร๎อย และเก็บให๎หําง สารเคมีกา้ จัดศัตรูพืช หมายถงึ วัตถมุ ีพิษท่ีพัฒนาขึน้ มาเพ่ือใช๎ประโยชน์ใน จากเด็กหรอื สัตว์เลี้ยงไมํสามารถสมั ผัสได๎ การควบคุมแมลง โรคพืชและวัชพืช ซ่ึงเป็นอันตรายตํอมนุษย์และสัตว์ด๎วย จึงจา้ เปน็ ทจ่ี ะต๎องใช๎อยํางระมัดระวังอยํางมากในการใช๎และการเก็บรักษาชนิดของ 2. สถานที่เก็บสารเคมีควรอยํูหํางจากย๎ุงฉาง และไมํควรเก็บใกล๎กับ สารเคมกี ้าจัดศตั รูพชื ซ่งึ แบงํ เป็นกลมํุ ๆ แหลงํ กา้ เนิดความร๎อน เชนํ เตาไฟ ตะเกยี ง ข๎อค้านงึ ในการซอ้ื สารเคมี 3. โกดงั เกบ็ สารเคมคี วรแยกเปน็ เอกเทศจากอาการอ่ืนๆ 1. ซ้ือในจ้านวนที่เพียงพอตํอการใช๎ในฤดูกาลหน่ึง ไมํควรซื้อมากเกินไป แลว๎ เก็บสวํ นทเี่ หลือไวห๎ ลังจากหมดฤดกู าลเพาะปลูกน้ันๆแล๎ว 2. ในกรณีท่ีต๎องใช๎สารเคมีในปริมาณมากให๎พิจารณาเลือกซื้อชนิดท่ีแบํง บรรจุ ไมํควรซ้อื ชนดิ ที่แบงํ บรรจุ ไมคํ วรซื้อชนิดทบี่ รรจุขนาดใหญํ ท้ังน้ีเพื่อสะดวก และปลอดภัยในการใช๎ 3. ตรวจดูวําภาชนะบรรจุวําช้ารุดรั่วหรือไมํ ฉลากจะต๎องไมํเสียหายและ อาํ นได๎งํายและอาํ นไดง๎ าํ ย เพ่ือป้องกนั การเกิดปญั หาในภายในภายหลัง 39 การเก็บรกั ษา และอุปกรณ์ในการใชส๎ ารเคมี 40

เรอ่ื งที่ 4 ผลของการใชส้ ารเคมี เร่ืองท่ี 5 เคมีกับเศรษฐกจิ พอเพยี ง ตกค้างในผลผลิต ลดใช้สารเคมี แนํนอนวํา สารเคมกี ้าจัดศัตรูพืชที่ใช๎ในการจัดการกับศัตรูพืชน้ัน สํวนหน่ึง ท้าไมต๎องลดการใช๎สารเคมี เป็นที่ยอมรับกันวําสารเคมีทางการเกษตร จะตกค๎างอยูํในผลผลิตการเกษตร ซง่ึ ไมํสามารถลา๎ งออกไดด๎ ๎วยน้า หรือท้าลายด๎วย หากใช๎อยํางถูกต๎องก็มีคุณอนันต์ ในทางกลับกันหากใช๎ไมํถูกก็มีโทษมหันต์และ ความร๎อนจากการหุงต๎ม ดังนั้น อาหารท่ีเราบริโภคกันอยูํทุกวันนี้มีสารเคมีก้าจัด ประเดน็ นี้ที่กํอให๎เกิดปัญหาระบบนิเวศเกษตรของไทยนานัปการ ทั้งโครงสร๎างของ ศตั รปู นเป้ือนอยํคู ํอนขา๎ งมาก โดยเฉพาะผลผลิตการเกษตรในประเทศก้าลังพัฒนา ดินท่ีเปล่ียนไป คุณภาพของน้า ศัตรูทางธรรมชาติ และผลผลิตทางการเกษตรเอง ซึ่งเกษตรกรมักจะไมํมีความร๎ูเก่ียวกับการใช๎สารเคมีการเกษตรอยํางถูกต๎อง อีกทั้งกระแสแหํงการบริโภคสินค๎าเกษตรและอาหารปลอดภัยแกํผู๎บริโภคเข๎ามามี และหนํวยงานราชการที่เกี่ยวข๎องก็ไมํสามารถก้ากับและควบคุมการใช๎สารเคมี บทบาทมากย่ิงข้ึน จากปัญหาดังกลําวรัฐบาลจึงได๎ก้าหนดนโยบายส้าหรับภาค ของเกษตรกรได๎ จึงท้าให๎เกิดการใช๎สารเคมีก้าจัดศัตรูพืชอยํางไมํถูกต๎อง เกษตรกรประการหนึ่ง คือ การใช๎เทคโนโลยที างการเกษตรท่เี หมาะสม และลดการ สํงผลกระทบท้ังตํอตัวเกษตรกรเอง ส่ิงแวดล๎อม และผ๎ูบริโภค ท่ีได๎รับผลพวง พึง่ พาการใช๎สารเคมีทางการเกษตรร๎อยละ 50 จากปริมาณท่ีใช๎อยํูในปัจจุบัน โดย จากการบริโภคอาหารท่ีมีสารเคมีตกค๎าง เป็นที่รู๎กันในหมํูผู๎ที่ท้างานใน การใช๎สารธรรมชาติทางการเกษตรทดแทนสารเคมี ให๎ใช๎สารธรรมชาติทาง ด๎านสาธารณะสุขวํา สารเคมีก้าจัดศัตรูพืชถูกประดิษฐ์ข้ึน เพ่ือใช๎ท้าอันตรายตํอ การเกษตรทดแทนสารเคมี ด๎วยการปรับเปล่ียนระบบการเกษตรท่ีพึ่งพาปุ๋ยเคมี สิง่ มชี ีวิต จึงอาจมอี ันตรายตอํ มนษุ ยไ์ ด๎เชนํ กนั ซงึ่ ผลกระทบตํอสุขภาพของสารเคมี และสารเคมีจากตาํ งประเทศ เป็นระบบการเกษตรทีพ่ ง่ึ พาปัจจยั ดังกลําวด๎วยการใช๎ กา้ จัดศัตรพู ืชทต่ี กค๎างอยใูํ นอาหาร เทคโนโลยีท่ีเหมาะสมกับท๎องถ่ินและสภาพพ้ืนท่ีตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยหํู ัว โดยน้าแนวคิดพ้ืนฐานของเกษตรอนิ ทรีย์คอื การ ท้าการเกษตรแบบองคร์ วม ซ่ึงแตกตาํ งอยํางมากจากระบบเกษตรแผนใหมํท่ีมุํงเน๎น การใช๎ปัจจัยการผลิต ตํางๆ เพื่อเพ่ิมผลผลิตเฉพาะพืชที่ปลูก ซ่ึงเป็นแนวคิดแบบ แยกสํวน เพราะให๎ความสนใจเฉพาะแตํผลผลิตของพืชหลักท่ีปลูก โดยไมํได๎ ค้านึงถึงผลกระทบตํอทรัพยากรการเกษตรหรือนิเวศการเกษตร ส้าหรับเกษตร ฉดี พนํ สารเคมกี า้ จัดศตั รพู ืชในนาข้าว 41 42

อินทรีย์ซ่ึงเป็นการเกษตรแบบองค์รวมจะให๎ความส้าคัญกับการ อนุรักษ์ บทที่ 4 ทรพั ยากรธรรมชาติและระบบนิเวศการเกษตร โดยเฉพาะอยํางยิ่งการฟื้นฟูความ หลักการเกษตรอินทรยี ์ อุดมสมบูรณ์ของดิน, การรักษาแหลํงน้าให๎สะอาด และการฟ้ืนฟูความหลากหลาย ทางชีวภาพของฟาร์ม ท้ังน้ีเพราะแนวทางเกษตรอินทรีย์อาศัยกลไกและ เกษตรอนิ ทรยี ์ คือ ระบบการเกษตรทีผ่ ลติ อาหารและเส๎นใย ด๎วยความยั่งยืน กระบวนการของระบบนิเวศในการท้า การผลติ ทั้งทางสิ่งแวดล๎อม สังคม และเศรษฐกิจ โดยเน๎นหลักท่ีการปรับปรุงบ้ารุงดิน การเคารพตํอศักยภาพทางธรรมชาติของพืช สัตว์ และนิเวศการเกษตรเกษตร การปกั ด้าตน๎ กล๎า ในนาขา๎ ว อินทรีย์ลดการใช๎ปัจจัยการผลิตจากภายนอก และหลีกเล่ียงการใช๎สารเคมี สังเคราะห์ เชํน ปุ๋ยเคมี สารเคมีก้าจัดศัตรูพืช และ เวชภัณฑ์ส้าหรับสัตว์ แตํใน ตอซงั ขา๎ ว หลงั การเก็บเก่ยี ว 43 ขณะเดียวกันเกษตรอินทรีย์พยายามประยุกต์กลไก และวัฎจักรธรรมชาติในการ เพ่ิมผลผลติ และพัฒนาความต๎านทานตํอโรคของพชื และสัตว์เล้ียง หลักการเกษตร อินทรีย์นี้ เป็นหลักการสากล ที่สอดคล๎องกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ−สังคม ภูมอิ ากาศ และวัฒนธรรมของทอ๎ งถิ่นดว๎ ย ความหมายและความสาคญั ของเกษตรอนิ ทรีย์ การท้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยมีมานานต้ังแตํสมัยดึกด้าบรรพ์ แตํไมํ เป็นทแ่ี พรหํ ลายมากนัก ตอํ มาได๎มกี ารพฒั นาด๎านการเกษตรมาเป็นล้าดับ เร่ิมแรก ต้ังแตํปี พ.ศ. 2532 ได๎มีการเกษตรและองค์กรพัฒนาเอกชนได๎พัฒนาเครือขําย เกษตรกรรมทางเลอื ก เพอื่ สงํ เสริมใหเ๎ กิดการพฒั นาอยํางยัง่ ยืนไดแ๎ กํ การท้าเกษตร เชิงเดี่ยวหรือเกษตรเคมีท้าให๎เกษตรกรพ่ึงปัจจัยจากภายนอก ได๎แกํ ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืชและสัตว์ สํงผลให๎เกษตรกรมีหนี้สินและสุขภาพเส่ือมโทรม เกิด ปัญหาสารเคมีตกค๎างในส่ิงแวดล๎อมและสินค๎าเกษตร สํงผลกระทบตํอผ๎ูบริโภค จึงเกิดเครือขํายการท้าเกษตรผสมผสาน เกษตรกรรมยั่งยืน เกษตรธรรมชาติ เกษตรทฤษฎใี หมํ และเกษตรอินทรยี ์ขึ้น 44

ระบบเกษตรอนิ ทรียก์ อ่ ใหเ้ กดิ การพัฒนาท่ีสมดุล 3 ด้าน คอื หลักพนื้ ฐานของการท้าเกษตรอินทรีย์ 1. ความยัง่ ยืนทางเศรษฐกิจ ชํวยลดคาํ ใช๎จํายในการพ่ึงพาปัจจัยภายนอก 2. ความยั่งยืนทางสงั คม คนในชุมชนมีงานทา้ มกี ารรวมกลํุมแลกเปล่ยี น 1. ห๎ามใช๎สารเคมีสงั เคราะห์ทางการเกษตรทกุ ชนิดไมวํ าํ จะเป็นปยุ๋ เคมี ยาฆาํ หญ๎า ยาปอ้ งกันกา้ จดั ศัตรพู ืชและฮอร์โมน เรยี นรู๎ ใชภ๎ ูมปิ ญั ญาทอ๎ งถนิ่ มสี วํ นรวํ มในการพฒั นาเปน็ ฐาน 2. เนน๎ การปรบั ปรงุ บ้ารุงดนิ ดว๎ ยอนิ ทรยี วตั ถุ เชํนปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมกั ปยุ๋ พืชสด 3. ความยงั่ ยนื ของสิง่ แวดล๎อม มีมาตรฐานทช่ี ัดเจนเกิดความหลากหลาย ตลอดจนการปลกู พชื หมนุ เวยี นเพ่อื ใหพ๎ ชื แขง็ แรงมคี วามต๎านทานตอํ โรคแมลง 3. รักษาความสมดุลของธาตุอาหารภายในฟารม์ โดยใช๎ทรัพยากรในทอ๎ งถ่นิ ทางชวี ภาพปรบั ปรุงความอดุ มสมบรู ณข์ องดินไมเํ ปน็ มลภาวะตอํ ส่งิ แวดลอ๎ ม มาหมุนเวียนใหเ๎ กดิ ประโยชนส์ ูงสุด 4. ปอ้ งกันมิใหม๎ กี ารปนเปอื้ นของสารเคมจี ากภายนอกฟารม์ ทง้ั จากดิน นา้ แปลงผักเกษตรอินทรีย์ และอากาศ โดยจัดสรา๎ งแนวกนั ชนดว๎ ยการขุดคูหรอื ปลูกพชื ยืนตน๎ และพืชลม๎ ลกุ สรปุ เกษตรอินทรีย์ คือระบบการผลติ ที่ค้านงึ ถึงสภาพแวดล๎อม รกั ษาสมดลุ 5. ใชพ๎ ันธพ์ุ ชื หรือสตั วท์ ่ีมีความต๎านทานและมหี ลากหลาย ห๎ามใชพ๎ ันธุพ์ ืชหรอื สัตว์ ของธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีระบบจัดการนเิ วศวทิ ยาที่ ทไ่ี ด๎จากการตัดตํอสารพันธุกรรม คลา๎ ยคลงึ กับธรรมชาติ หลกี เลี่ยงการใช๎สารสงั เคราะห์ไมวํ ําจะเป็นปุ๋ยเคมี สารเคมี 6. การกา้ จดั วชั พืชใช๎เตรยี มดินทีด่ ี และแรงงานคนหรอื เคร่ืองมอื กลแทนการใช๎ ก้าจัดศัตรูพชื และฮอรโ์ มนตํางๆ ตลอดจนไมใํ ชพ๎ ชื สตั วท์ ีเ่ กิดจากการตัดตอํ ทาง สารเคมีกา้ จดั วัชพืช พนั ธกุ รรม 7. การป้องกันกา้ จัดวชั พืชใช๎สมนุ ไพรก้าจัดศัตรพู ชื แทนการใช๎ยาเคมกี า้ จัดศัตรูพชื 8. ใชฮ๎ อร์โมนทไ่ี ด๎จากธรรมชาติ เชนํ จากน้าสกดั ชวี ภาพแทนการใช๎ฮอรโ์ มน 45 สงั เคราะห์ 9. รกั ษาความหลากหลายทางชีวภาพ โดยการกั ษาไว๎ซง่ึ พนั ธุ์พืชหรือสตั ว์ ส่ิงท่มี ี ชวี ติ ทกุ ชนิดทมี่ อี ยูํในทอ๎ งถิน่ ตลอดจนปลกู หรือเพาะเลีย้ งข้ึนมาใหมํ 10. การปฏบิ ัติหลกั การเก็บเกีย่ วและการแปรรปู ใหใ๎ ชว๎ ิธธี รรมชาติ และประหยัด พลงั งาน 11. ให๎ความเคารพสิทธมิ นุษย์และสัตว์ 12. ตอ๎ งเก็บบันทึกข๎อมูลไว๎อยาํ งน๎อย 3 ปี เพือ่ รอการตรวจสอบ 46

วิธกี ารท้าเกษตรอินทรยี ์ เร่ืองท่ี 1 หลักการผลิตพืชเกษตรอินทรีย์และการปรบั ปรุงดนิ ให้มี ความสมบูรณ์ 1. ไมใํ ชส๎ ารเคมใี ดๆ ทงั้ สนิ้ เชนํ ปุย๋ วิทยาศาสตร์ และยาปราบศัตรพู ชื 2. มีการไถพรวนระยะเร่ิมแรก และลดการไถพรวนเม่อื ปลกู ไปนานๆ เพ่ือรกั ษา 1. ไมเํ ผาตอซงั สภาพโครงสร๎างของดนิ 2. ใช๎ป๋ยุ คอก, ปุ๋ยหมัก 3. มกี ารเปลย่ี นโครงสร๎างของดินตามธรรมชาติ คือมีการคมุ ดนิ ด๎วยใบไม๎แห๎ง 3. ใช๎ปยุ๋ พืชสด หญ๎าแห๎ง ฟางแหง๎ วสั ดอุ ื่นๆทห่ี าได๎ในทอ๎ งถนิ่ เพอื่ รกั ษาความชน้ื ของดิน 4. ใช๎ปุ๋ยชีวภาพ 4. มกี ารใชป๎ ยุ๋ หมกั ปุ๋ยคอก และปยุ๋ พชื สด เพ่อื บ้ารุงรกั ษาแรํธาตทุ จี่ ้าเปน็ แกพํ ชื 5. ใชว๎ ธิ ีผสมผสาน ระบบการปลูกพชื ผสมผสานหลายชนิด และเกือ้ กูลกัน ในดนิ 5. มกี ารเตมิ จุลินทรีย์ทมี่ ีประโยชน์ การคลุ มดนิ 6. มีการเอาเทคโนโลยีทที่ ันสมยั มาชวํ ย เชนํ เทคนคิ การปลูก การดแู ลเอาใจใสํ การขยายพันธ์ุ การเกบ็ รักษาเมลด็ พนั ธุ์ การใหน๎ า้ ตลอดจนการเกบ็ เกีย่ ว 7. มกี ารปลกู อยาํ งตอํ เนือ่ ง ไมปํ ลอํ ยท่ีดินให๎วํางเปลํา แหง๎ แลง๎ ทา้ ใหโ๎ ครงสรา๎ ง ของดนิ เสยี จุลนิ ทรียจ์ ะตายอยํางนอ๎ ยให๎ปลูกพชื คลมุ ดินไว๎ชนิดใดก็ได๎ 8. มีการป้องกนั ศัตรพู ชื โดยใช๎สารสกัดธรรมชาติ เชนํ สะเดา ขํา ตะไคร๎ ยาสบู โลํติน๊ และพชื สมุนไพรอื่นๆทม่ี ีอยูํในทอ๎ งถิ่นจะเหน็ ได๎วําการทา้ เกษตรแบบอนิ ทรีย์ นน้ั ไมใํ ช๎เร่อื งเกินความสามารถของเกษตรกรไทย และการท้าเกษตรอนิ ทรีย์นน้ั จะไดผ๎ ลผลติ น๎อยในระยะแรกเทําน้ัน เมอ่ื ดนิ เรม่ิ ฟน้ื มคี วามอดุ มสมบูรณต์ าม ธรรมชาติแลว๎ ผลผลิตจะสงู ขึน้ 47 48

การปรับปรุงคุณภาพดินสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ แปลงผกั ในมง๎ุ ปจั จบุ ันกระแสการดูแลรักษาสุขภาพของประชากรโลกเร่ิมมีมากขึ้น ท้าให๎ การปรับปรุงบา้ รงุ ดินใหม้ ีความสมบรู ณ์ท้าไดห้ ลายวิธี ดังน้ี ผู๎บริโภคหันมาใสํใจในการเลือกซื้ออาหารท่ีปลอดภัยและปราศจากสารเคมีตํางๆ 1. ใช้ปุย๋ คอก คือ การใช๎มูลสัตว์ตํางๆซ่ึงมูลสัตว์มักจะสูญเสียธาตุอาหารไปได๎งําย ที่ตกค๎างอยํูในผลิตผลการเกษตรซ่ึงสารเคมีตกค๎างล๎วนแล๎วแตํเป็นอันตราย จึงควรใช๎เศษซากพืชเชํน ฟาง แกลบฯ รองพื้นคอกสัตว์ เพ่ือดูดซับธาตุอาหาร ตํอรํางกาย ด๎วยเหตุน้ีการเกษตรของประเทศหลายประเทศได๎ปรับเปล่ียนมาสูํ จากมูลสตั ว์ไวด๎ ๎วย การคดิ หาวิธีการท้าเกษตรกรรมที่ไมํใช๎สารเคมีสังเคราะห์ เรียกวํา เกษตรอินทรีย์ 2. ใช้ป๋ยุ หมกั คอื การน้าเอาเศษซากพชื ทเี่ หลอื จากการเพาะปลกู เชํน ฟางขา๎ ว ซัง (Organic Agriculture) เพื่อชํวยลดต๎นทุนการผลิตและได๎ผลผลิตที่เป็นท่ีต๎องการ ข๎าวโพด ต๎นถ่ัวตํางๆผักตบชวา และของเหลือจากโรงงานอุตสาหกรรมตลอดจน ของตลาดโดยการพยายามประยกุ ต์ใช๎ธรรมชาตใิ หเ๎ กดิ ประโยชนส์ งู สุด ลดการใช๎ ขยะมลู ฝอย มาหมกั จนเนาํ เปอ่ื ยแล๎วนา้ ไปใชใ๎ นไรนํ าหรือสวน 3. ใช้ปุ๋ยพืชสด คือ การไถกลบสํวนตํางๆของพืชท่ียังสดอยูํลงในดิน เพื่อให๎ ปัจจัยการผลิตภายนอกและหลีกเล่ยี งการใช๎สารเคมสี งั เคราะห์ ซึง่ วิธกี ารทา้ เกษตร เนําเปื่อยเป็นปุ๋ย สํวนใหญํจะใช๎พืชตระกูลถั่ว เพราะให๎ธาตุไนโตรเจนสูง แนวนีจ้ ะไมํเป็นอนั ตรายตอํ ทั้งผผู๎ ลติ และผบู๎ รโิ ภค และยํอยสลายงําย โดยเฉพาะในระยะออกดอก อาจปลูกแล๎วไถกลบในชํวงท่ี ออกดอกหรือปลูกแล๎วตัดสํวนเหนือดินไปไถกลบ พืชท่ีนิยมใช๎เป็นปุ๋ยพืชสด ฝกั บัวรดน้าประยกุ ต์ 49 50

ได๎แกํ โสนอัฟริกัน โสนอินเดียปอเทือง ถั่วเขียว ถ่ัวพร๎า ถั่วพุํม ถ่ัวมะแฮะ ที่ใช๎ในแตํละชนิดก็ลดลง จะชํวยลดคําใช๎จํายลงได๎มากและควรมีการปฏิบัติบ้ารุง กระถนิ ยักษ์ และแหนแดง เป็นตน๎ ดินอยํางตํอเน่ืองทุกปี เพ่ือรักษาระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินให๎สูงอยํูเสมอ 4. ปลูกพืชคลุมดิน นิยมใช๎พืชตระกูลถั่วที่มีคุณสมบัติคลุมดินได๎หนาแนํน เพ่อื ประโยชนต์ ํอการผลิตพืชผลทางการเกษตรในระยะยาวตอํ ไป เพื่อกันวัชพืช ลดการชะล๎างเก็บความชื้นไว๎ในดินได๎ดี และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ ใหแ๎ กํดิน ได๎แกํ ถัว่ ลาย ถวั่ คดุ ซู ถั่วคาโลโปโกเนยี ม เปน็ ตน๎ ปรบั ปรงุ ดิน 5. ใชว้ ัสดคุ ลมุ ดิน นยิ มใช๎เศษพืชเปน็ วัสดคุ ลมุ ดนิ เพ่ือรกั ษาความชื้นในดิน ป้องกัน การอัดแนํน ของดินเน่ืองจากเม็ดฝน ป้องกันวัชพืชข้ึน และเม่ือเศษพืชเหลํานี้ สลายตัว ก็จะกลายเปน็ ป๋ยุ เพ่มิ ความอุดมสมบูรณ์ให๎แกํดนิ 6. ใชเ้ ศษเหลือของพชื หรอื สัตว์ หลังเกบ็ เก่ยี วผลผลิตแลว๎ สํวนของต๎นพืช เศษพืช ท่ีเหลือ เชํน ต๎นและเปลือกถั่วลิสง แกลบ ตอซัง หรือวัสดุอื่นๆ ถ๎าไมํมี การใช๎ประโยชน์ควรไถกลบกลับคืนลงไปในดิน สํวนเศษเหลือของสัตว์ เชํน เลือด และเศษซากสัตวจ์ ากโรงงานฆาํ สัตว์ กส็ ามารถใชเ๎ ปน็ ปยุ๋ เพ่ือเพม่ิ อนิ ทรยี วตั ถไุ ด๎ 7. ปลกู พืชหมุนเวียน โดยปลูกพืชหลายชนิดหมุนเวียนในพ้ืนท่ีเดียวกัน ควรมีพืช ตระกูลถว่ั ซง่ึ มี คุณสมบัติบ้ารุงดินรํวมอยํูด๎วยเพื่อให๎การใช๎ธาตุอาหารจากดินเป็นไปอยํางมี ประสิทธิภาพลดการระบาด ของศัตรพู ชื ตลอดจนชํวยใหช๎ ้ันดินมีเวลาพักตัวในกรณี พืชทีป่ ลูกมีระบบรากลกึ แตกตํางกัน การปรบั ปรงุ บ้ารงุ ดิน ควรใช๎หลาย ๆ วิธีดังกลําวข๎างต๎นรํวมกัน เพราะการใช๎ปุ๋ยอินทรีย์ตําง ๆ หากใช๎เพียงชนิดเดียวท้าให๎ต๎องใช๎ปริมาณที่มาก จึงควรพิจารณาปริมาณการใช๎ ตามกา้ ลังความสามารถท่ีมี แตํถ๎าใช๎การปรับปรุงบ้ารุงดินหลายวิธีรํวมกันปริมาณ 51 52

เรื่องท่ี 2 การปลูกพืชหลายชนิด เรื่องที่ 3 การอนุรกั ษ์แมลงท่ีมีประโยชน์ เป็นการจัดสภาพแวดล๎อมในไรํ-นา ซึ่งจะชํวยลดการระบาดของโรค เราสามารถแบํงแมลงที่เป็นประโยชน์ออกได๎เป็น 5 กลุํม คือ แมลงที่ และแมลงศัตรูพืชได๎ เนื่องจากการปลูกพืชหลายชนิดจะท้าให๎มีความหลากหลาย ให๎ผลผลิต แมลงที่ใช๎เป็นอาหาร แมลงผสมเกสร แมลงท่ีชํวยสร๎างเสริมความ ทางชีวภาพ มีแหลํงอาหารท่ีหลากหลายของแมลงจึงมีแมลงหลายชนิดมาอาศัย อุดมสมบรู ณข์ องดิน แมลงตวั ห้าและแมลงตัวเบียน แมว๎ าํ แมลงจะมีการสืบพันธ์ุที่มี อยูํรํวมกัน ในจ้านวนแมลงเหลํานี้จะมีทั้งแมลงที่เป็นศัตรูพืชและแมลงที่เป็น ประสิทธภิ าพสงู มาก สามารถแพรํพันธุ์เพ่ิมปริมาณไดอ๎ ยํางรวดเรว็ แตแํ มลงกม็ ีศัตรู ประโยชน์ท่ีจะชํวยควบคุมแมลงศัตรูพืชให๎คล๎ายคลึงกับธรรมชาติในป่าที่อุดม ธรรมชาติมากมายที่คอยควบคุมประชากรของแมลงให๎อยูํในสมดุล ซ่ึงศัตรู สมบรู ณ์นนั่ เองมีหลายวิธไี ด๎แกํปลกู ดาวเรอื งเพอ่ื ไลํไส๎เดือนในดินปลูกผักหลายชนิด ธรรมชาติของแมลง ได๎แกํ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เชํน สภาพแวดล๎อมตํางๆ ท่ี เปลยี่ นไปซ่งึ เป็นอันตรายตํอแมลง นอกจากนย้ี งั มีสง่ิ มีชวี ิตชนดิ อ่ืนทเ่ี ป็นศัตรู ของ • การปลูกพืชหมุนเวียน เป็นการไมํปลูกพืชชนิดเดียวกันหรือตระกูล แมลงทส่ี ้าคญั ก็คอื แมลงด๎วยกันเอง และมแี มลงหลายชนิดท่กี นิ หรอื อาศัยอยํูภายใน เดยี วกัน ติดตอํ กนั บนพนื้ ท่ีเดิม การปลูกพืชหมุนเวียนจะชํวยหลีกเล่ียงการระบาด หรือภายนอกตัวของแมลงชนดิ อื่นแมลงเหลาํ น้เี ราเรียกวํา “แมลงตัวห้า และแมลง ข อ ง โ ร ค แ ล ะ แ ม ล ง แ ล ะ เ ป็ น ป ร ะ โ ย ช น์ ใ น ก า ร ป รั บ ป รุ ง ดิ น ตัวเบียน” และหากจะพูดถึงแมลงท่ีเป็นประโยชน์ ซึ่งคอยควบคุมปริมาณแมลง อ่ืนๆ ให๎อยํูในสภาพสมดุลโดยไมํท้าความสูญเสียทางเศรษฐกิจน้ัน ก็คือ “มวน” • การปลูกพืชแซม การเลือกพืชมาปลูกรํวมกัน หรือแซมกันน้ันพืชท่ีเลือก มวนจิงโจ๎เล็กมวนสํวนใหญํเป็นแมลงกินพืช แตํมีจ้านวนไมํน๎อยท่ีเป็นแมลงกิน มาน้ันต๎องเกือ้ กูลกัน เชนํ ชํวยป้องกันแมลงศัตรูพืช ชํวยเพ่ิมธาตุอาหารให๎อีกชนิด แมลง ไดแ๎ กํมวนท่อี าศัย อยบํู นพ้นื ผวิ น้า เชนํ มวนจิงโจ๎น้าและมวนจิงโจ๎เล็ก มวนที่ หน่ึง ชํวยคลุมดนิ ชวํ ยเพม่ิ รายไดก๎ ํอนเก็บเกี่ยวพืชหลกั เปน็ ต๎น อาศัยอยูํในน้า เชํน มวนคางคก มวนแมงดา และมวน บนบกอีกหลายชนิด เชํน มวนดอกไม๎ มวนตาโต มวนหญ๎า มวนก่ิงไม๎ และมวนเพชฌฆาต ท่ีเป็นตัวห้าทั้ง ระยะท่ีเป็นตัวอํอนและระยะท่ีเป็นตัวเต็มวัยโดยการดูดกินแมลงอื่นๆ เป็นอาหาร เหย่ือที่ถกู ดดู กินก็มที ้งั ระยะไขํ หนอน ดักแก๎ และระยะทีเ่ ปน็ ตัวเต็มวัย แปลงปลกู ผักหลายชนิด แมลงตวั ห้าและแมลงตวั เบยี น 53 54

บทท่ี 5 เรือ่ งที่ 2 องค์ประกอบความสัมพนั ธ์ในระบบนเิ วศทางน้า ระบบนิเวศ ระบบนเิ วศทางน้า (Aquatic Ecosystems) เป็นระบบนิเวศในแหลํงน้า เรื่องท่ี 1 ความหมายระบบนิเวศ กลุ่มสงิ่ มชี ีวิต ประชากร ทอี่ ย่อู าศยั ตาํ ง ๆ ของโลก ซ่ึงโครงสร๎างหลัก คือ น้านน่ั เอง แบํงออกได๎ดงั น้ี การด้ารงชีวิตของส่ิงมีชีวิตจะมีความเก่ียวข๎องกับส่ิงแวดล๎อมทั้งทางตรง 1 ระบบนิเวศน้าจดื (Fresh water Ecosystem) เปน็ ระบบทนี่ ้าเปน็ และทางอ๎อมอาจเป็นความสัมพันธ์ทางบวกหรือทางลบ จะเห็นได๎วําไมํมีส่ิงมีชีวิต น้าจดื อาจแบํงยอํ ยเป็น ชนิดใดสามารถด้ารงชีวิตอยูํได๎โดยล้าพังโดยไมํต๎องพึ่งพาส่ิงแวดล๎อม ดังน้ันถ๎า สง่ิ แวดล๎อมเกดิ การเปลีย่ นแปลงยอํ มสํงผลกระทบตอํ สง่ิ มีชวี ติ ทีอ่ าศัยในสิง่ แวดล๎อม 1) ระบบนิเวศน้านิง่ เชํน หนอง บึง ทะเลสาบนา้ จืด เปน็ ต๎น น้ันด๎วย เชํน การด้ารงชีวิตของพืช สัตว์ และสิ่งมีชีวิตชั้นต้่าอ่ืนๆ จะต๎องมีการ 2) ระบบนเิ วศน้าไหล เชํน ลา้ ธาร ห๎วย แมนํ ้า เป็นตน๎ พึง่ พาอาศัยกันและมีความเกี่ยวข๎องสัมพันธ์กับสิ่งแวดล๎อมที่ไมํมีชีวิต เชํน แรํธาตุ 2 ระบบนิเวศน้ากร่อย (Estuarine Ecosystem) เปน็ ระบบนิเวศท่ี แสงแดด มีการใช๎พลังงานและแลกเปลี่ยนสารอาหารซึ่งกันและกันเป็นวัฏจักรที่ เกิดขึน้ ตรงรอยตํอระหวํางน้าจืดกับน้าเคม็ มักเป็นบรเิ วณท่ีเปน็ ปากแมํน้าตําง ด้าเนินไปเป็นระบบภายใต๎ความสมดุลของธรรมชาติ ดังนั้นหากระบบมี ๆ จะมีตะกอนมากจงึ มปี า่ ไม๎กลุํมปา่ ชายเลนขึน้ จงึ เรยี กวาํ ระบบนเิ วศปา่ ชาย การเปล่ียนแปลงเกิดข้ึนและสํงผลกระทบเกี่ยวเนื่องไปท้ังระบบ และท้าให๎เกิด เลน แตํบางพ้ืนที่อาจเปน็ แอํงน้าขนาดใหญํ เชนํ ทะเลสงขลาตอนกลางกจ็ ะมี ปัญหากับการด้ารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ระบบดังกลําวเรียกวํา “ระบบนิเวศ” ลักษณะเป็นทะเลสาบน้ากรํอยมพี ืชน้าสลบั กบั ป่าโกงกาง ซึ่งหมายถึง ความสมั พนั ธร์ ะหวํางสง่ิ มชี ีวิตทั้งหมดกับสิง่ แวดล๎อมท่ดี ้ารงอยูํ 3 ระบบนเิ วศน้าเคม็ (Marine Ecosystem) เป็นระบบนเิ วศทม่ี ีน้าเปน็ นา้ เคม็ โดยปกตจิ ะมีความเค็มประมาณพันละ 35 มที ั้งทเี่ ปน็ ทะเลปดิ และทะเล แมลงตวั ห้าและแมลงตวั เบยี น 55 เปิด เนอื่ งจากเปน็ หว๎ งน้าขนาดใหญํ จึงนยิ มแบงํ ออกเปน็ ระบบนิเวศยอํ ยตาม ระบบนเิ วศ ความลึกของน้าอีกดว๎ ย คอื 1) ระบบนเิ วศชายฝงั่ (Coastal Ecosystem) เปน็ บริเวณที่ตกอยูํ ภายใตอ๎ ิทธิพลของน้าข้นึ นา้ ลง สิ่งมชี วี ิตตอ๎ งปรบั ตวั ใหเ๎ ข๎ากับสภาพการ เปลย่ี นแปลงของระดับนา้ ดังกลําว มรี ะบบยํอย 2 ประเภท คือ ระบบนเิ วศโขด หนิ ชายฝง่ั และ ระบบนเิ วศชายหาด 2) ระบบนเิ วศน้าต้นื เป็นระบบนิเวศท่ีนับจากระบบนเิ วศชายฝงั่ ลงไปจนถึงน้าลึก 200 เมตร 56

3) ระบบนิเวศทะเลลกึ เปน็ ระบบนิเวศทนี่ ับตํอเน่ืองจากความ เร่ืองท่ี 3 การวางแผน การเขียนโครงการและวธิ ีการส้ารวจระบบนเิ วศ ลึก 200 เมตรลงไปถงึ ทอ๎ งทะเล สํวนนมี้ ักเปน็ บรเิ วณทแี่ สงแดดสํองลงไปไมํ ในท้องถิน่ ถงึ ดังนั้นจงึ ขาดแคลนผู๎ผลติ ของระบบ สตั วน์ า้ ตําง ๆ จงึ มจี ้านวนนอ๎ ยและใช๎ชวี ิต โดยรอซากสง่ิ ชวี ิตอืน่ ทีต่ ายจากด๎านบนแล๎ว 1. การจัดล้าดับความส้าคัญของปัญหา เป็นขั้นตอนแรกของการจัดการ ท่ีมีประสิทธิภาพ คือ ต๎องตัดสินใจเลือกท้างานด๎วยเงิน และคนที่มีอยํูวํา 4 ระบบนิเวศในนาข้าว เป็นแนวความคิดใหมํเพ่ือสร๎างความสมดุลทาง จะท้าอะไรกํอน ในทางปฏิบัติเราควรจะให๎ความส้าคัญ กับข้ันตอนน้ี ธรรมชาติกลับคืนสูํนาข๎าว โดยการทาให๎เกิดความหลากหลายของศัตรูธรรมชาติ ใหม๎ าก โดยตอ๎ งพจิ ารณาอยํางเป็นศาสตร์ และมีหลักเกณฑ์ ข้ันตอนนี้อาจ และส่ิงมีชีวิตอื่นของหํวงโซํอาหารในระบบนิเวศนาข๎าว โดยเฉพาะพวกตัวห๎า ตัว กลําวไดว๎ าํ เปรียบเสมือนกบั หวั ใจของการบริหารโครงการ เบียน พวกแมลงผสมเกสร ด๎วยการให๎มีพืชอ่ืนรํวมกับพืชข๎าวบนคันนาหรือตาม พ้ืนท่ีวํางรอบแปลงนาเพ่ือเปน็ แหลงํ ท่ีอยํูอาศัยของพวกแมลงมีประโยชน์ในนาข๎าว 2. การวางแผน และจดั ท้าโครงการแกป้ ญั หา เปน็ ขนั้ ตอนทมี่ กี ารใช๎ข๎อมูลท่ี โดยเฉพาะพืชท่ีมีดอกสีเหลืองหรือขาวสาหรับให๎แมลงชํวยผสมเกสรได๎อาศัยน๎า เกี่ยวข๎อง และจ้าเป็น ต๎องระดมประสบการณ์ ความคิด วิธีการ จากผล หวานเป็นอาหาร เพ่ือลดความเสียหายจากการทาลายของแมลงศัตรูข๎าวและลด การศึกษาวิจัย เพราะส้าคัญที่สุดในการบริหารโครงการ เป็นขั้นตอนที่ การใช๎สารฆําแมลงในนาข๎าวเป็นการเพ่ิมภูมิค๎ุมกันให๎กับระบบนิเวศนาข๎าวอยําง ผู๎บริหารโครงการ และทีมงานจะต๎องรํวมกันใช๎ประสบการณ์ และ ย่ังยืน การจัดการระบบนเิ วศน้ีจะประสบความสาเร็จในการลดความรุนแรงของการ ความสามารถทมี่ ีของแตํละคน เขียนแผนแก๎ปัญหา ให๎ตรงกับสถานการณ์ ระบาดของแมลงศัตรูข๎าวได๎อยํางยั่งยืนต๎องอาศัยความรํวมมือรํวมใจของคนใน และพ้ืนที่ของปัญหาให๎มากที่สุด โครงการจะมีประสิทธิภาพมากน๎อย ชุมชน ในการคดิ หาพืชท่สี ามารถเพิ่มรายได๎ โดยไมํมีผลกระทบตํอผลผลิตข๎าวและ เพียงใดน้ัน ข้ึนอยูํที่ข้ันตอนนี้ ซ่ึงกลําวได๎วํา ขั้นตอนน้ีเปรียบเสมือนสํวน รวมกันทาทั้งชุมชน โดยตัวช้ีวัดเสถียรภาพของระบบนิเวศวัดได๎จากความ ของสมอง ทีต่ ๎องกลัน่ กรอง และทบทวน วิเคราะห์ จนไดเ๎ ปน็ แผนโครงการ หลากหลายจานวนชนดิ และปริมาณของแมลงมปี ระโยชน์ท่ีเพิม่ ขึน้ ทดี่ ที ีส่ ุด ระบบนิเวศในนาข๎าว 3. การชี้แจงโครงการเพื่อขออนุมัติ และการด้าเนินการตามแผน ลักษณะ ของแบบโครงการท่ีดี นอกจากจะต๎องมีวิธีการแก๎ไขได๎ผล และตรง 57 สถานการณ์แลว๎ การเขียนโครงการให๎เข๎าใจงําย เห็นประโยชน์ท่ีสามารถ น้าไปปฏิบัติได๎งําย และมีผลตอบแทนคุ๎มคํามาก และสามารถชี้แจงให๎ ผ๎ูบริหาร และผ๎ูจัดสรรงบประมาณ อนุมัติให๎ด้าเนินการ และให๎เงิน สนับสนนุ เข๎าใจในหลักการ ข๎อดี หรือประโยชน์ที่จะได๎รับจากการลงทุน 58

ข้ันตอนน้ีเปรียบเสมือนมือที่คลํองแคลํว สามารถไขวํคว๎างานมาท้าได๎ 2.2 ประเมินความหลากหลายของแมลงมีประโยชน์ในนาขา๎ ว และพชื รวํ มรอบๆ โดยงาํ ย แปลงนา โดยใช๎ 4. การประเมินผล เพอ่ื การพัฒนาโครงการ เป้าหมายสูงสุดของการบริหาร โครงการคือ การท้าให๎โครงการน้ันๆ ก๎าวหน๎าไปจนถึงระดับท่ีผ๎ูปฏิบัติ  สวิงโฉบแมลง สามารถท้าเองได๎ตามปกติ และขั้นสุกท๎าย ประชาชนรับไปปฏิบัติ ซ่ึงถือ  เรื่องดดู แมลง ได๎วํา เป็นการวางรากฐาน การริเร่ิมโครงการใหมํไปทีละขั้นตอน ซ่ึงใช๎ 3. การขยายผลการศึกษาไปสํูเกษตร เวลาแตกตํางกัน ตามความยํุงยาก และซับซ๎อนของปัญหา และถ๎าหากมี การปฏิบัติตามข้ันตอน อยํางถูกต๎อง และตํอเน่ือง จึงไปถึงสายทางขั้น เร่ืองที่ 4 แนวทางการอนุรักษ์และเฝ้าระวงั ระบบนเิ วศในทอ้ งถน่ิ สุดท๎ายได๎ เปรยี บเสมือนสองเทําทีม่ ํงุ ม่นั ก๎าวเดิน เพ่ือให๎ถึงเป้าหมายแม๎วํา อยูํไกลกต็ าม การอนุรักษ์ส่ิงแวดล๎อม (Environmental Conservation) การอนุรักษ์ สง่ิ แวดล๎อม หมายถึง การเกบ็ รักษา สงวน ซอํ มแซม ปรับปรุง และใช๎สนองความ แนวทางการศึกษา เป็นอยํูของมนุษย์อยํางถาวรตํอไปประโยชน์ตามความต๎องการอยํางมีเหตุผล 1. การส้ารวจความทัศนคตแิ ละการยอมรับของเกษตรกร ตํอสิ่งแวดล๎อม เพื่อเอ้ืออ้านวยให๎เกิดคุณภาพสูงสุดในการมีแนวความคิด ท่จี ะอนรุ กั ษ์ส่ิงแวดล๎อมใหเ๎ กิดผลอยํู 6 ประการคอื  สนทนากลมุํ (focus group)  สมั ภาษณ์เกษตรกรในพื้นท่แี ละนอกพ้ืนท่แี ปลงวจิ ัยและแปลงสาธติ 1) ต๎องมีความรู๎ในการท่ีจะรักษาทรัพยากรธรรมชาติท่ีจะให๎ผลแกํมนุษย์ท้ังท่ี 2. การจัดท้าแปลงวจิ ัยและแปลงสาธิต เป็นประโยชน์และโทษ และค้านึงถึงเรื่องความสูญเปลําในการจะน้าทรัพยากร 2.1 ติดตามการเคลื่อนยา๎ ยของประชากรแมลงศัตรูข๎าวในนาและการทา้ ลาย ธรรมชาติไปใช๎ โดยใช๎  กับดักแสงไฟ ติดไวท๎ บ่ี ๎านเกษตรท่อี ยํูใกล๎นาขา๎ วเพ่อื ทราบชํวงเวลาการเข๎า 2) รักษาทรัพยากรธรรมชาติท่ีจ้าเป็นและหายากด๎วยความระมัดระวัง ตระหนักเสมอ วําการใช๎ทรัพยากรมากเกินไปจะเป็นการไมํปลอดภัยตํอ นาของแลงศตั รขู า๎ ว สภาพแวดล๎อมฉะน้ันตอ๎ งท้าให๎อยํูในสภาพเพม่ิ พูนท้งั ด๎านกายภาพและเศรษฐกจิ  ติดตง้ั กบั ดกั ถงั เหลือง เพอื่ ประเมนิ ประชากรเพลยี้ กระโดดสีน้าตาลในนา  สวงิ โฉบแมลง 3) รักษาทรัพยากรท่ีทดแทนได๎ให๎มีสภาพเพิ่มพูนเทํากับอัตราที่ต๎องการใช๎เป็น  สํุมนบั ดว๎ ยตาเปลาํ อยาํ ง นอ๎ ย 59 60

4) ประมาณอัตราการเปล่ียนแปลงของประชากรได๎ พิจารณาความต๎องการ 2. การบูรณะฟื้นฟู คือ การท้าให๎ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อมกลับคืนมา ใชท๎ รพั ยากรธรรมชาตเิ ป็นส้าคญั ใช๎ประโยชน์ได๎เหมือนเดิม เชํน ดินที่น้ามาใช๎เพื่อการเพราะปลูกพืชชนิดเดียวกัน ติดตํอกันเป็นเวลานานจะท้าให๎คุณภาพของดินเส่ือมลง การบูรณะฟ้ืนฟูจะท้าได๎ 5) ปรับปรุงวิธีการใหมํ ๆ ในการผลิตและใช๎ทรัพยากรอยํางมีประสิทธิภาพ โดยการใสปํ ๋ยุ ปลกู พชื คลุมดนิ หรอื พกั หน๎าดินไวส๎ ักชวํ งระยะหนง่ึ เปน็ ตน๎ และพยายามค๎นคว๎าส่ิงใหมํ ๆ ทดแทนการใช๎ทรัพยากรจากแหลํงธรรมชาติ ให๎เพยี งพอตอํ ความต๎องการใช๎ของประชากร การปลูกพชื คลุมดินเปน็ การอนรุ กั ษ์ธรรมชาติด๎วยการบูรณะ 6) ให๎การศกึ ษาแกํประชาชนเพื่อเข๎าใจถึงความส้าคัญในการรักษาสมดุลธรรมชาติ 3. การน้ากลับมาใชใ้ หมํ หรือท่เี รยี กวาํ รีไซเคลิ นอกจากการถนอมรักษาและการ ซึ่งมีผลตํอการท้าให๎ส่ิงแวดล๎อมอยูํในสภาพท่ีดี โดยปรับความร๎ูที่จะเผยแพรํ บูรณะฟ้ืนฟูส่ิงแวดล๎อมและทรัพยากรธรรมชาติแล๎ว การน้าทรัพยากรธรรมชาติ ให๎เหมาะแกํวัย คุณวุฒิ บุคคลสถานท่ีหรือท๎องถิ่น ท้ังในและนอกระบบโรงเรียน และส่ิงแวดล๎อมที่ใช๎ไปแล๎วกลับมาใช๎ใหมํถือเป็นการอนุรักษ์อีกวิธีหน่ึง ซึ่งการ เพ่ือให๎ประชาชนเข๎าใจในหลักการอนุรักษ์ส่ิงแวดล๎อม อันจะเป็นหนทางน้าไปสูํ อนุรักษ์ชนิดนี้จะท้าได๎ดีกับทรัพยากรน้าและแรํธาตุบางชนิด เชํน การน้าเศษ อนาคตทีค่ าดหวังวํามนษุ ย์จะได๎อาศยั ในสง่ิ แวดลอ๎ มที่ดไี ด๎ กระดาษ พลาสติก อลูมิเนียม สังกะสี ตะก่ัว ทองแดง และเหล็กท่ีท้ิงแล๎วกลับมา หลอมหรือเปล่ียนสภาพ ให๎นา้ กลบั มาใช๎ได๎อกี เป็นต๎น หลกั การและวธิ กี ารอนุรกั ษ์ส่ิงแวดลอ้ มและทรพั ยากรธรรมชาติ 4. การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน สิ่งแวดล๎อมและทรัพยากรธรรมชาติ บางชนิดจะไมํสามารถน้ามาใช๎ประโยชน์ได๎มาก เชํน น้าที่ไหลลงมาตามล้าน้า การอนุรักษ์ส่ิงแวดล๎อมและทรัพยากรธรรมชาติ คือ การใช๎สิ่งแวดล๎อม ถา๎ หากสรา๎ งเขอ่ื นขวางกน้ั ลา้ น้าเพอื่ ยกระดบั ของน้าให๎เขื่อนสูงข้ึน แล๎วน้าพลังงาน และทรัพยากรธรรมชาติอยํางชาญฉลาดและใช๎ให๎เกิดประโยชน์ หลักการ นา้ น้ันมาใชผ๎ ลิตกระแสไฟฟา้ ซง่ึ เป็นการเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในการใชง๎ านอกี วิธหี นงึ่ และวธิ ีการอนุรกั ษส์ ิง่ แวดลอ๎ มและทรพั ยากรธรรมชาติ มีดังน้ี 1. การถนอมรักษา คือ การอนุรักษ์สิ่งแวดล๎อมและทรัพยากรธรรมชาติ ให๎คงสภาพท้ังปรมิ าณและคุณภาพเอาไว๎ โดยใช๎ทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีอยํูให๎เกิด ประโยชนส์ งู สุด เชํน กรณีแรํเหล็กแทนที่จะน้ามาใช๎โดยตรงก็น้าไปผสมกับแรํธาตุ อื่น ๆ เพื่อใช๎เป็นเหล็กกล๎า ซ่ึงนอกจากจะลด ปริมาณการใช๎เน้ือเหล็กให๎น๎อยลง แลว๎ ยงั ชํวยยืดอายกุ ารใชง๎ านใหย๎ าวนานออกไปอกี ดว๎ ย เป็นตน๎ 61 62

5. การน้าสิ่งอ่ืนมาใช้ทดแทน การน้าส่ิงอื่นมาใช๎ทดแทนทรัพยากรธรรมชาติ เชํน ยางเทียม ไหมเทียม เป็นต๎น ความสามารถดังกลําวจึงชํวยลดปริมาณ และส่ิงแวดล๎อมบางชนิดอาจท้าได๎ เชํน การน้าก๏าซธรรมชาติ มาใช๎ทดแทนน้ามัน การใชท๎ รัพยากรธรรมชาติบางชนิดใหน๎ อ๎ ย เช้ือเพลิงในรถยนต์ การใช๎พลังงานแสงอาทิตย์ทดแทนพลังงานไฟฟ้า ซึ่งท้าให๎ ประหยัดคาํ น้ามนั เช้ือเพลงิ ในการผลติ กระแสไฟฟ้า เป็นตน๎ แนวทางอนุรักษส์ ่งิ แวดล้อม การใช๎พลังงานแสงอาทติ ย์ทดแทนพลงั งานแสงอาทติ ย์ การอนุรักษส์ ่ิงแวดลอ๎ มจะไดผ๎ ลยั่งยืนขอ๎ มลู น้ัน ตลอดจนต๎องใช๎มาตรการทาง กฎหมายควบคุมแนวทางในการอนุรกั ษอ์ ยาํ งย่งั ยนื มี 3 แนวทาง ดงั นี้ 6. การส้ารวจแหล่งทรัพยากร เพ่ิมเติม เป็นการค๎นหาส่ิงแวดล๎อมและ ทรพั ยากรธรรมชาติมาใชใ๎ หเ๎ กิดประโยชน์ทางด๎านเศรษฐกิจและสังคม เชํน การใช๎ 1. การใหก๎ ารศกึ ษาคอื การสอนใหเ๎ ข๎าใจถึงหลกั การ วิธกี ารอนรุ ักษ์ มจี ริยธรรมเกดิ เครอื่ งตรวจสอบรังสีในการส้ารวจแรํยูเรเนียม การใช๎ระบบคลื่นแผํนดินไหวเทียม สา้ นักและรํวมในการอนุรกั ษ์ เพ่ือส้ารวจหาน้ามันและก๏าซธรรมชาติ เป็นตน๎ 2. การใช๎เทคโนโลยใี นการนา้ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อมมาใชใ๎ ห๎เกดิ 7. การประดิษฐ์ของเทียมขึ้นใช๎ ความเจริญก๎าวหน๎าด๎านวิทยาศาสตร์และ ประโยชน์ เทคโนโลยี ทา้ ให๎มนษุ ยส์ ามารถผลติ ของเทยี มขน้ึ ใช๎แทนการใช๎ทรัพยากรธรรมชาติ 3. การใช๎กฎหมายควบคมุ เปน็ วิธกี ารสดุ ทา๎ ยในการด้าเนินการ 63 64

การอนุรกั ษ์บรรยากาศ มหาสมุทรและระบบนิเวศบก การอนรุ กั ษร์ ะบบนเิ วศบก ทเ่ี ป็นแหลํงปัญหามีความส้าคัญยงิ่ เน่ืองจากเป็นแหลํงท่ี อยูํอาศัยของมนุษย์ ท่ีมีทรัพยากรธรรมชาติมากมายท่ีสามารถตอบสนองตํอการ ด้ารงชีวิตของมนุษย์ได๎ การจัดการควบคุมการอนุรักษ์หรือการใช๎ทรัพยากร ธรรมชาติ ของระบบบนบกจึงควรต๎องประยุกต์วิธีการอนุรักษ์เข๎ามาชํวยจัดการ โดยเฉพาะการแบํงเขตพื้นที่ผิวโลก เพื่อที่จะได๎ทราบวําพื้นท่ีผิวโลกสํวนใดที่ควร สงวนเก็บกักเอาไว๎ พ้ืนที่สํวนใดที่มีศักยภาพในการฟื้นฟู พ้ืนท่ีสํวนใดที่เห็นควร จะต๎องมกี ารฟ้ืนฟู รกั ษา/ซอํ มแซมใหม๎ ศี ักยภาพดขี ้ึน การใช๎ทรัพยากรเพื่อสนองความต๎องการของมนุษย์ ไมํวําจะเป็นทรัพยากร 66 ปา่ ไม๎ การเกษตร การประมง แรธํ าตุ หนิ ฯลฯ จะมีของเสียเกิดข้ึน ของเสียอาจจะ อยํูในรปู ของของแข็ง (ขยะมลู ฝอย กากสารพิษอันตราย) ของเหลว (น้าเสีย น้ามัน และไขมนั ) กา๏ ซ (ฝุ่นละออง กา๏ ซพิษ หมอกควัน ละอองสารพิษ) มลพิษทางฟิสิกส์ (เสียง แสง ความรอ๎ น ความสน่ั สะเทือน) ของเสียและมลพิษเหลํานี้ยํอมหมุนเวียน อยํทู งั้ บนบก มหาสมุทร และบรรยากาศ เฉกเชํนเดยี วกบั วฏั จักรของน้า ของเสียและมลพษิ ส่งิ แวดลอ๎ มท่ีเปน็ ฝนุ่ ละออง แก๏สพษิ หมอกควัน ละอองสารพษิ และ CFCs จะลอยปนเป้อื นในบรรยากาศ สํวนมากแล๎วจะเป็นกา๏ ซเรือนกระจก (greenhouse gases) ของเสียทเ่ี ป็นขยะมลู ฝอย กากสารพษิ และน้าเสีย จะไหลลงสํลู ้าน้า สุดท๎ายลงสูํ ทะเลและมหาสมทุ ร อาจจะท้าให๎สงิ่ มีชีวิตในน้าบางชนดิ สูญพันธไ์ุ ปจากแหลํงน้าได๎ 65

แบบทดสอบ ค. การขยายคคู ลองและแหลํงนา้ ง. การบ้าบดั นา้ เสยี กอํ นระบายน้าลงสํแู หลํงนา้ 1.ขอ๎ ใด คอื วฏั จกั รของน้า ก.การที่ไอนา้ กลายเป็นนา้ 5. ข๎อใดเปน็ วธิ กี ารแกป๎ ญั หาเก่ยี วกับน้าท่ีถกู ต๎อง ข.การท่ีนา้ กลายเป็นไอนา้ ก. น้าทวํ ม – ใชน๎ ้าอยํางประหยดั ค.การทน่ี ้าแขง็ กลายเป็นน้าและน้ากลายเป็นไอน้า ข. มลภาวะของน้า – หาแหลงํ น้าดเี พ่มิ เติม ง.ไมมํ ขี ๎อใดถกู ค. การขาดแคลนนา้ – นา้ น้าเสียมาใชป๎ ระโยชน์ ง. ถกู ทกุ ขอ๎ 2. ขอ๎ ใดเปน็ แหลงํ นา้ ที่มีน้ามากที่สดุ ก.น้าทะเล 6. การเกดิ นา้ เสียในแมนํ ้า ลา้ คลอง มาจากสาเหตุใดมากท่ีสดุ ข.น้าใตด๎ ิน ก. การท้งิ ขยะและสงิ่ ปฏิกูลลงในแมนํ า้ ค.น้าในบรรยากาศ ข. สารเคมีท่ตี กคา๎ งจากการเกษตรกรรม ง.น้าในทะเลสาบและแมํน้า ค. การปลํอยน้าเสียของโรงงานอุตสาหกรรม ง. การปลอํ ยน้าท้ิงจากรา๎ นอาหารและโรงแรม 3. แหลํงน้าใดไมใํ ชํแหลงํ น้าธรรมชาติ ก. แมนํ า้ 7. น้าเสียจากโรงงานอตุ สาหกรรมมกั มีส่งิ ใด ข. ทะเลสาบ ก. สตี าํ ง ๆ ค. น้าใตด๎ ิน ข. สารอินทรีย์ ง. บอํ นา้ บาดาล ค. ไขมนั ชนดิ ตําง ๆ ง. โลหะหนกั เชนํ ตะกั่ว ปรอท ปนเปอื้ นอยํู 4. ข๎อใดจัดเป็นวธิ ีการแก๎ไขปัญหามลภาวะของน้าท่ีดีท่ีสุด ก. การขดุ บํอไว๎เก็บน้าท้งิ ข. การแสวงหาแหลงํ นา้ ใช๎ใหมํ 67 68

8. แหลํงน้าใดไมใํ ชํเปน็ แหลํงน้าธรรมชาติ ค.ลกั ษณะภูมิประเทศ ก.แมํน้า ง.การขุดบอํ บาดาลจา้ นวนนอ๎ ย ข.ทะเลสาบ ค.บํอน้าบาดาล 12. หนิ ชนดิ ใดที่สามารถเกบ็ กกั นา้ ไว๎ได๎ดี ง.น้าใต๎ดนิ ก.หินปนู ข.หินทราย 9. ข๎อใดไมจํ ัดวําเป็นประโยชนข์ องนา้ ค.หินดนิ ดาน ก.ใชใ๎ นการเพาะปลกู พืช ง.หินบะซอลท์ ข.ใชใ๎ นการเดนิ เรอื ขนสํงสินค๎า ค.ใช๎ในการท้าใหพ๎ ื้นดนิ สกึ กรํอนพังทลายกลายเป็นทรัพยากรนันทนาการ 13. ภาคใดของประเทศไทยท่มี ีน้าใต๎ดนิ มากกวาํ ภาคอนื่ ง.ใชใ๎ นการบริโภคใช๎สอยของมนษุ ยใ์ นดา๎ นตํางๆ ก.ภาคกลาง ข.ภาคใต๎ 10. ความอดุ มสมบูรณ์ของนา้ บนผวิ ดนิ ข้นึ อยํกู บั ปัจจยั ตํอไปนี้ ยกเวน๎ ขอ๎ ใด ค.ภาคตะวนั ออก ก.ปรมิ าณน้าฝนที่ไดร๎ ับ ง.ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ข.การคายน้าของพชื ค.ความสามารถในการเกบ็ กกั น้า 14. ขอ๎ ใดไมํใชํเปน็ ปัญหาสา้ คญั ทเ่ี กดิ ข้ึนกบั ทรัพยากรน้า ง.ปริมาณน้าท่ไี ด๎รบั เพ่มิ จากที่อื่น ก.คุณภาพของน้าที่เปลย่ี นแปลง ข.การขาดแคลนน้า 11. ปจั จัยข๎อใดมผี ลตํอความอุดมสมบรู ณ์ของน้าใตด๎ นิ ค.ประชากรที่ใช๎น้าจ้านวนมากขนึ้ ก.ปริมาณฝนที่ตกลงมา ง.การเกดิ อุทกภัย ข.ปรมิ าณน้าที่ซึมลงใต๎ดนิ a 69 70

15. มลภาวะทางน้าเกดิ จากสาเหตตุ าํ งๆกลํุมใดเป็นกลมํุ ทสี่ า้ คญั ที่สุดในการชวํ ยกนั ค. การปลูกพชื หมุนเวียน แก๎ไข ง. การใช๎ปุย๋ อินทรียป์ ุ๋ยชีวภาพ ก.เจ๎าของโรงงานอุตสาหกรรม 19. ข๎อใดไมํควรน้ามาเปน็ วสั ดุในการทา้ ปุย๋ หมัก ข.ข๎าราชการ ก. พลาสติก ค.รัฐบาล ข. ฟางแหง๎ ง.ประชาชน ค. เศษหญา๎ ง. มลู สตั ว์ 16. ขอ๎ ใดไมํจดั เป็นการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรน้า ก.เลอื กใช๎น้าที่สะอาดเทํานัน้ 20. ขอ๎ ใดเกิดจากการใช๎ป๋ยุ เคมีเป็นเวลานานๆ ข.ใช๎น้าอยํางประหยัด ก. ดินรํวนซุยระบายนา้ ได๎ดี ค.รกั ษาตน๎ น้าล้าธารไว๎ ข. อากาศถาํ ยเทในดนิ ไดด๎ ี ง.พฒั นาแหลงํ น้าตํางๆ ค. ดนิ มีสดี ้าคล้า ง. ดินอัดแนํนเปน็ แผํน 17. เกษตรธรรมชาติ หมายถงึ อะไร ก. การเกษตรทไี่ มํใช๎ปยุ๋ คอก 21. ขอ๎ ใดคือผลกระทบทเ่ี กดิ จากการใช๎สารเคมีทางการเกษตร ข. การเกษตรทต่ี อ๎ งใช๎คาํ ใช๎จํายสูง ก. แมลงพฒั นาภมู ิตา๎ นทานสารเคมี ค. การเกษตรท่ีไมํใช๎สารเคมีทกุ ชนิด ข. การสะสมของสารเคมีในหํวงโซอํ าหาร ง. การเกษตรท่ีเปน็ การท้าลายทรพั ยากร ค. ตกค๎างในผลผลติ ทางการเกษตร ง. ถูกทกุ ข๎อ 18. ข๎อใดไมใํ ชํการบ้ารุงดินดว๎ ยวธิ ีธรรมชาติ ก. การคลมุ ดิน ข. ใชร๎ ถไถพรวน 71 72

22. แนวทางเศรษฐกจิ พอเพียงสงํ เสรมิ ให๎ประชาชน ด้าเนินชีวิตในลกั ษณะใด ข. อาบน้าช้าระรํางกายให๎สะอาด ก. ด้าเนินชีวติ แบบยืดหยุํน ค. ล๎างเครอื่ งมอื เคร่อื งใชใ๎ ห๎สะอาด ข. ดา้ เนินชวี ิตอยาํ งเครํงครดั ง. แตงํ กายปกปดิ รํางกายให๎มดิ ชิด ค. ด้าเนินชีวติ ทางสายกลางยดึ ความพอดี ง. ด้าเนนิ ชีวิตเพ่ือสร๎างความสะดวกสบายตนเอง 26. เหตผุ ลทีม่ นุษยเ์ รามีความจา้ เปน็ ตอ๎ งมีการน้าสารเคมีมาใช๎ประโยชนค์ อื ข๎อใด ก. ประหยัดคําใชจ๎ ําย 23. หลกั การใดไมใํ ชํเศรษฐกิจพอเพียง ข. สะดวกสบาย ก. การพ่งึ ตนเองเป็นสา้ คัญ ค. สะอาดปลอดภัย ข. การสร๎างนสิ ยั นิยมไทย ง. ไดผ๎ ลรวดเรว็ ค. การบริการดินและนา้ อยํางเหมาะสม ง. การลงทนุ ขนาดใหญํเพอื่ การผลิตสินค๎า 27.การลา๎ งผักด๎วยวิธใี ดชํวยลดสารตกค๎างได๎ดมี ากท่สี ุด ก. แชํน้าโซดา 24. การแก๎ปญั หาวิกฤตขิ องไทยตามแนวเศรษฐกิจพอเพยี งสงํ เสริมให๎ประชาชนหัน ข. แชํนา้ ยาลา๎ งผกั มาประกอบอาชีพใด ค. แชนํ ้าส๎มสายชู 0.5 % ง. ปลํอยให๎น้าไหลผําน ก. รับจ๎าง ข. การท้าการเกษตร 28. หากมีการกลนื สารพษิ ประเภทยาฆาํ แมลงเข๎าสูํราํ งกาย ข้ันตอนแรกควรทา้ ค. การทา้ ธรุ กิจสํวนตวั อยํางไร ง. ลูกจา๎ งบริษัทเอกชน ก. ดมื่ นมสดหรือกนิ ไขดํ บิ 25. การใช๎ยากา้ จดั ศัตรพู ชื ควรปฏิบัติตามขอ๎ ใดเป็นอนั ดบั แรก ข. ด่ืมนา้ เปลาํ ก. ศึกษาวธิ ีการใชใ๎ หเ๎ ขา๎ ใจ ค. ล๎างท๎อง ง. ดืม่ นา้ อดั ลม 73 74

29. การเกบ็ สารเคมีและสารกา้ จดั ศัตรพู ืชควรปฏิบัติตามขอ๎ ใด ค. แมว ก. เก็บรวมกับของใช๎อ่ืน ง. เสอื ข. เก็บให๎เดก็ สามารถนา้ มาใช๎ได๎ ค. แยกเก็บตํางหากไมปํ นกบั สง่ิ อ่ืน 33.ข๎อใด ไมเํ กยี่ วข๎องกับความหนาแนํนของประชากร ง. เก็บไว๎ใตภ๎ าชนะท่ีเย็น เชํน ตมํุ น้า ก. การเกดิ ข. การอพยพเข๎า 30. สารเคมีทมี่ ีผลตํอการเพิม่ มลพษิ มากท่ีสุด คือสารเคมีในขอ๎ ใด ค. การปว่ ย ก. พลาสตกิ ง. การตาย ข. กรดน้าส๎ม ค. ยาปราบศตั รพู ชื 34.ขอ๎ ใด เปน็ ปญั หาทเ่ี กดิ จากการเพิม่ จ้านวนประชากร ง. น้ายาลา๎ งจาน ก. การขาดแคลนพนื้ ท่ีอยํอู าศัย ข. พื้นทท่ี างการเกษตรลดลง 31.ข๎อใด เปน็ ระบบนเิ วศตามธรรมชาติ ค. ความตอ๎ งการปจั จัยสี่เพ่มิ ขนึ้ ก. ชมุ ชนเมือง ง. ถูกทกุ ข๎อ ข. แหลํงเกษตรกรรม ค. ป่าไม๎ 35.ข๎อใด เป็นความสัมพันธ์ระหวํางสิง่ มีชีวิต ภาวะไดป๎ ระโยชนร์ วํ มกัน ง. ต๎ปู ลา ก. นกเอี้ยง กับ ควาย ข. โพรโทซวั ใน ลา้ ไส๎ปลวก 32.ข๎อใด เปน็ ผ๎บู รโิ ภคพืช ค. กลว๎ ยไม๎ กบั ตน๎ สัก ก. นกเปด็ น้า ง. สุนขั กับ เห็บ ข. กระตําย 76 75

36.เราเรยี ก หํวงโซํอาหารท่มี คี วามสัมพนั ธเ์ กี่ยวข๎องกนั อยาํ งสลบั ซบั ซอ๎ นวาํ อะไร ค. นา้ มันปิโตรเลยี ม ก. ผบ๎ู ริโภคล้าดบั ทีส่ อง ง. ป่าไม๎ ข. พีระมิดพลงั งาน ค. สายใยอาหาร 40.ขอ๎ ใด เปน็ ทรพั ยากรธรรมชาติที่ใช๎แลว๎ หมดไป ง. คลอโรฟลิ ล์ ก. ดิน ข. น้ามนั ปิโตรเลียม 37.การหายใจของพชื และสัตว์ เพื่อให๎ได๎พลงั งานออกมาใช๎ จะปลอํ ยก๏าซอะไร ค. อากาศ ออกมา ง. สตั ว์ป่า ก. H2O ข. CO2 ค. NO3 ง. H2CO3 38.ข๎อใด เป็นทรัพยากรธรรมชาติท่ใี ชไ๎ มํหมด ก. ปา่ ไม๎ ข. แรธํ าตุ ค. แสง ง. ถาํ นหนิ 39.ข๎อใด เป็นทรัพยากรธรรมชาติท่ีสามารถสร๎างทดแทนข้นึ ใหมไํ ด๎ ก. แสง ข. อากาศ 77 78

เฉลยแบบทดสอบ การเกษตรกับระบบนเิ วศ พว03040 1. ค 11. ค 21. ง 31. ค 2. ก 12. ค 22. ค 32. ข 3. ง 13. ค 23. ง 33. ง 4. ง 14. ค 24. ข 34. ง 5. ค 15. ง 25. ก 35. ก 6. ค 16 ก 26. ง 36. ข 7. ง 17. ค 27. ค 37. ข 8. ค 18. ข 28. ก 38. ค 9. ค 19. ก 29. ค 39. ง 10. ข 20. ง 30. ค 40. ข 79

แบบเรยี นฉบับพกพาสา้ หรบั ผูเ้ รยี น กศน. วชิ าการเกษตรกับระบบนเิ วศ พว03040 ส้านกั งาน กศน.จังหวัดสมทุ รปราการ

ปกใน

คา้ นา้

สารบญั เรอ่ื งท่ี 2 การปลกู พชื หลายชนดิ 53 เรื่องที่ 3 การอนรุ ักษแ์ มลงท่ีมีประโยชน์ 54 บทที่ 1 น้า 1 บทท่ี 5ระบบนเิ วศ 55 เรอ่ื งที่ 1 องค์ประกอบของน้า 1 เร่อื งท่ี 1 ความหมายระบบนิเวศ ส่ิงมีชีวิต ประชากร ทอ่ี ยอู่ าศยั 55 เรอ่ื งท่ี 2 คุณสมบัตทิ างกายภาพ 2 เรื่องที่ 3 แหลง่ น้าตา่ งๆ 3 เร่อื งที่ 2 องคป์ ระกอบความสมั พันธใ์ นระบบนเิ วศทางนา้ 56 เรอ่ื งที่ 4 ความส้าคญั ของน้า 8 เรื่องท่ี 5 วฏั จกั รของนา้ 16 เร่ืองที่ 3 การวางแผน เขียนโครงการ ส้ารวจระบบนเิ วศในท้องถน่ิ 58 เร่อื งที่ 6 น้าเสยี 17 เรอ่ื งท่ี 7 แนวทางการอนรุ กั ษ์น้าและแหล่งนา้ ในชมุ ชน 23 เรอื่ งที่ 4 แนวทางการอนรุ ักษ์และเฝา้ ระวงั ระบบนเิ วศในทอ้ งถ่ิน 60 แบบทดสอบ 68 บทท่ี 2 สถานการณ์น้าเสยี ในจังหวดั สมุทรปราการ 26 บรรณานุกรม เรอ่ื งที่ 1 สถานการณ์น้าเสยี ในจงั หวดั สมทุ รปราการ 26 คณะผจู้ ัดท้า บทที่ 3เคมีกบั การเกษตร 31 เรื่องท่ี 1 การใชส้ ารเคมีในการเกษตรปจั จปุ ัน 31 เรื่องท่ี 2 สารเคมีต่อชีวิตและสิง่ แวดล้อม 36 เรอ่ื งท่ี 3 การเลือกซอ้ื และเลอื กใช้สารเคมแี ละผลติ ภัณฑ์ 39 เร่ืองท่ี 4 ผลของการใชส้ ารเคมี 41 เรื่องท่ี 5 เคมีกับเศรษฐกิจพอเพยี ง 42 บทที่ 4หลักการเกษตรอินทรีย์ 44 เรอื่ งที่ 1 หลกั การผลิตพืชเกษตรอินทรยี แ์ ละการปรบั ปรุงดิน 48

บรรณานกุ รม คณะผ้จู ัดทา้ (วชิ าเลอื ก) กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2546). น้า. วันที่ค๎นขอ๎ มลู 14 พฤษภาคม 2558, จาก ที่ปรกึ ษา กระทรวงศึกษาธิการ เวปไซด:์ http://210.246. 188.51/goverment/ www.water.com/index.html 1. นางธัชชนก พละศักด์ิ ผ๎อู ้านวยการส้านกั งาน กศน.จ.สมุทรปราการ กรนี เนท. (2557). พษิ ภยั สารเคมเี กษตร. วันทค่ี ๎นข๎อมูล 14 พฤษภาคม 2558, 2. ดร.กญั จน์โชติ สหพฒั นสมบัติ รองผอู๎ า้ นวยการส้านักงาน กศน.จ. จาก สหกรณก์ รีนเนท จา้ กดั (Green Net Cooperative) เวปไซด์: http://www.greennet.or.th/article/263 สมทุ รปราการ ทรูปลูกปัญญาดอทคอม. (2552). ระบบนเิ วศ. วันท่คี ๎นข๎อมูล 14 พฤษภาคม 3. นายวชิ ยั สีชาลี ผู๎อ้านวยการ กศน.อ้าเภอบางเสาธง 2558, จาก ทรปู ลูกปัญญาดอทคอม เวปไซด์: http://www.trueplookpanya. com/new/cms_detail/knowledge/411-00/ 4. ดร.รํงุ อรุณ ไสยโสภณ กลํมุ พฒั นาการศึกษานอกโรงเรียน มูลนิธิบรู ณะนเิ วศ. (2555). มลพิษยุคบุกเบกิ . วันทีค่ ๎นขอ๎ มลู 14 พฤษภาคม 2558, 5. นางรัตนา แกนํ สารี ศึกษานิเทศก์ช้านาญการพิเศษ จาก มลู นิธบิ รู ณะนเิ วศ เวปไซด์: http://thaiecoalert.org/th/documents#/ th/documents/20 คณะทา้ งาน Al Shareef Ibnu Abdullatif.(2554).นา้ คือชวี ิต.วนั ท่ีคน๎ ขอ๎ มลู 14 พฤษภาคม 1. นางสาวอุไรวรรณ วัชระค๎ุมครอง ครูชา้ นาญการพิเศษ 2558, จาก Islammore เวปไซด์ www.islammore.com 2. นางสาววราภรณ์ กลนิ่ เกดิ ครู 3. นาวสาวลินดา ปานไผํ ครู กศน.ต้าบล 4. นางสาวสุดาทพิ ย์ พรมสิงห์ ครูศนู ย์การเรียนชุมชน 5. นางสาวฐิตาภรณ์ ทีจักร ครศู ูนยก์ ารเรียนชมุ ชน คณะบรรณาธิการ 1. นางสาวอุไรวรรณ วัชระคุ๎มครอง ครูชา้ นาญการพเิ ศษ 2. นางสาววราภรณ์ กลนิ่ เกิด ครู 3. นาวสาวลินดา ปานไผํ ครู กศน.ตา้ บล ผอู้ อกแบบปก 1. นายธานี สงวนดี ครูอาสาสมคั ร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook