Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การปลูกทุเรียน

การปลูกทุเรียน

Published by สุภาวิตา ทองน้อย, 2019-09-18 05:08:19

Description: การปลูกทุเรียน

Search

Read the Text Version

เอกสารวชิ าการ เรื่อง เทคโนโลยกี ารผลติ ทุเรียนให้มคี ุณภาพ จดั ทาโดย หน่วยถ่ายทอดเทคโนโลยี ศูนยว์ จิ ยั พชื สวนจนั ทบุรี (สงวนลิขสิทธ์ิ) โดย ศูนยว์ ิจัยพืชสวนจันทบรุ ี สถาบันวิจัยพชื สวน กรมวิชาการเกษตร

สารบญั การเตรียมสภาพตน้ เพอ่ื การชกั นาใหอ้ อกดอก หน้า ปัจจยั ท่ีช่วยทาใหท้ ุเรียนพร้อมเพื่อการออกดอกและติดผล 1 ปัจจยั และการจดั การเพ่อื เพ่ิมปริมาณและคุณภาพผลผลิตทุเรียน 18 30

การเตรียมสภาพต้นเพอ่ื การชักนาให้ออกดอก1 ความสาคญั ของการเตรียมสภาพต้น ในการผลิตทุเรียนนอกจากจะมุ่งผลิตเพอื่ เพ่มิ ปริมาณของผลผลิตแลว้ ผผู้ ลิตยงั ตอ้ ง คานึงถึงการผลิตใหไ้ ดผ้ ลผลิตท่ีมีคุณคา่ ทางการตลาดดว้ ย ซ่ึงในการเพ่มิ ปริมาณและปรับปรุง คุณภาพผลผลิตน้นั เกษตรกรจาเป็นตอ้ งมีความรู้และความเขา้ ใจปัจจยั ต่างๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งต้งั แตก่ าร เตรียมความพร้อมของตน้ เพื่อการออกดอก การติดผล ตลอดจนการเพิม่ ปริมาณและปรับปรุงคุณภาพ ผลผลิตเพี่อเป็ นแนวทางในการจดั การผลิตทุเรียนใหม้ ีคุณภาพ และเพ่ือใหก้ ารลงทุนทาสวนทุเรียน น้นั ไดผ้ ลตอบแทนที่คุม้ คา่ ในข้นั ตอนของการเตรียมความพร้อมตน้ นอกจากจะมีความสาคญั ต่อเนื่องถึงการเพ่ิม ปริมาณผลผลิตที่มีคุณค่าทางการตลาดแลว้ ความพร้อมตน้ ซ่ึงในที่น้ีหมายถึง การท่ีตน้ มีใบเขียวเขม้ เป็นมนั ทรงพุม่ สวยงาม ความหนาแน่นของใบดี ใบ ก่ิง ลาตน้ ปราศจากโรคและแมลงเขา้ ทาลาย ตน้ มีการสะสมอาหารเพยี งพอ ใบอยใู่ นสภาพแก่ท้งั ตน้ ยงั มีความสาคญั เก่ียวกบั การพฒั นาการของพชื ดงั น้ี :- - การให้ผลผลติ อย่างสม่าเสมอและต่อเนื่อง โดยปกติหลงั การเก็บเก่ียวผลผลิตจากตน้ ทุเรียนมกั แสดงอาการใบเหลือง ใบหลุดร่วง หรือกิ่งแหง้ ตาย ซ่ึงถา้ รุนแรงมากอาจทาใหต้ น้ ตายได้ เน่ืองจากตน้ ทุเรียนมีการสูญเสียพลงั งาน ในรูปของสารคาร์โบไฮเดรตที่ไดจ้ ากการสงั เคราะห์แสง และจากกระบวนการเมทาโบลิซึมไปในการเจริญเติบโตและการพฒั นาการของผล ประกอบกบั ใน กระบวนการออกดอก การพฒั นาการของดอก และการติดผล จาเป็นตอ้ งใชพ้ ลงั งานเช่นกนั ดงั น้นั จึง มีความจาเป็นที่ตอ้ งเตรียมสภาพตน้ ใหม้ ีการสะสมอาหารอยา่ งเพียงพอสาหรับการออกดอก และการ พฒั นาการของดอก เพ่อื ใหไ้ ดผ้ ลผลิตอยา่ งสม่าเสมอและต่อเนื่อง - การให้ผลผลติ ในช่วงเวลาที่เหมาะสมของปี นอกจากปริมาณและคุณภาพของผลผลิต ที่จะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนจากการทาสวนทุเรียนวา่ คุม้ คา่ กบั การลงทุนหรือไม่แลว้ น้นั เวลาท่ี ผลผลิตจะออกสู่ตลาดกเ็ ป็ นส่ิงสาคญั เช่นกนั หากวา่ ไม่มีการเตรียมสภาพตน้ ใหพ้ ร้อมในช่วงเวลาท่ี สภาพแวดลอ้ มเหมาะสมกบั การออกดอก จะทาใหก้ ารออกดอกชา้ ไป การติดผลการพฒั นาการของ ผลและการเกบ็ เกี่ยวผลผลิตก็จะชา้ ตามไปดว้ ย การท่ีผลผลิตออกสู่ตลาดชา้ กวา่ ปกติ (ไม่ใช่ทุเรียนล่า) จะมีผลทาใหผ้ ลตอบแทนที่เกษตรกรไดร้ ับต่ากวา่ ท่ีควรจะเป็น - ช่วงเวลาการให้ผลผลติ ทคี่ ุ้มค่าทางเศรษฐกจิ (Economic life yield period) การ เตรียมสภาพตน้ ใหม้ ีพลงั งานสะสมเพยี งพอสาหรับการออกดอก การติดผล การพฒั นาการของผล ตลอดจนการปรับปรุงคุณภาพของผลผลิต และเหลือพอสาหรับการเจริญเติบโตของตน้ หลงั การเก็บ 1 สุขวฒั น์ จนั ทรปรรณิก ผตู้ รวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อมั พกิ า ปุนนจิต อคั รราชฑดู ท่ีปรึกษา กระทรวงพาณิชย์ เสริมสุข สลกั เพช็ ร์ ผอู้ านวยการศนู ยว์ จิ ยั พชื สวนจนั ทบุรี กรมวชิ าการเกษตร

2 เกี่ยวผลผลิตไปแลว้ เพ่ือป้ องกนั มิใหส้ ภาพตน้ ทรุดโทรมเกินไปเป็นสิ่งจาเป็นมาก เพราะหากวา่ ตน้ ทรุดโทรมเกินไปนอกจากจะเป็นการยากที่จะทาใหต้ น้ ฟ้ื นฟกู ลบั สู่สภาพเดิมแลว้ อาจทาใหต้ น้ ตายได้ ทาใหช้ ่วงเวลาในการใหผ้ ลผลิตที่คุม้ ค่าทางเศรษฐกิจส้นั ลง ปัจจัยทค่ี วรพจิ ารณาสาหรับการเตรียมสภาพต้นให้พร้อมเพอื่ การออกดอก ไม่วา่ จะเป็นการจดั การเพือ่ ใหต้ น้ ทุเรียนพร้อมเพอ่ื การออกดอก หรือการเพม่ิ การติดผล หรือแมแ้ ต่การเพ่มิ ปริมาณและปรับปรุงคุณภาพผลผลิตทุเรียน ปัจจยั หลกั ที่ควรพิจารณาไดแ้ ก่ - พชื - สภาพแวดลอ้ ม - ความสมั พนั ธ์และปฏิกิริยาร่วมระหวา่ งพชื และสภาพแวดลอ้ ม พชื : ทเุ รียน กระบวนการที่จะเป็นจุดเริ่มตน้ ของการพฒั นาไปเป็นยอดออ่ น ในระยะแรกจะเก่ียวขอ้ ง กบั การแบง่ เซลลเ์ พอื่ เพ่มิ จานวนเซลลเ์ ป็นส่วนใหญ่ จากน้นั จึงเป็ นการยดื และขยายขนาดของเซลล์ รวมท้งั การพฒั นาการเพอื่ เปล่ียนบทบาทและหนา้ ท่ีของเซลลเ์ ป็นกลุ่มเซลล์ หรือเน้ือเยอ่ื ที่จะพฒั นา ตอ่ ไปเป็ นยอดออ่ น ในขณะเดียวกนั กลุ่มเซลลท์ ี่จะเป็นจุดกาเนิดของตาใบและเจริญต่อไปเป็นใบ ก็ จะพฒั นาข้ึนอยา่ งเป็นระบบและมีตาแหน่งที่แน่นอนบนยอดอ่อน ในระหวา่ งท่ีกระบวนการแบ่งเซลลก์ าลงั เกิดข้ึน ฮอร์โมนพืชออกซินและไซโตไคนินจะมี บทบาทมากในการกระตุน้ ใหก้ ระบวนการดงั กล่าวเกิดข้ึนอยา่ งสม่าเสมอและต่อเน่ือง และจะมี บทบาทต่อเนื่องถึงการส่งเสริมการขยายขนาดของเซลล์ ในขณะที่ฮอร์โมนจิบเบอเรลลินที่พืชสร้าง ข้ึนมีผลในการกระตุน้ การยดื ตวั ของเซลล์ และผลลพั ธ์ที่ไดค้ ือยอดออ่ นของพชื มีการเจริญเติบโตยดื ยาวข้ึน จึงมีผเู้ ชื่อวา่ ฮอร์โมนจิบเบอเรลลินมีส่วนสมั พนั ธ์กบั การเจริญเติบโตทางก่ิงกา้ นสาขาไปสู่ การเจริญพนั ธุ์ หรือในทางกลบั กนั ได้ คือ ถา้ ปริมาณของจิบเบอเรลลินสูง พชื จะมีการเจริญเติบโตทาง กิ่งกา้ นสาขา แตเ่ มื่อปริมาณลดลงจนถึงระดบั ที่เหมาะสมของแตล่ ะพืชแลว้ จะกระตุน้ ใหต้ าดอกมีการ พฒั นา แต่นน่ั เป็นเพียงความเชื่อ มีขอ้ มูลท่ียนื ยนั ไดเ้ พยี งวา่ จิบเบอเรลลินมีบทบาทมากในการกระตุน้ การเจริญเติบโตของยอดอ่อนและทาใหข้ อ้ ปลอ้ งยดื ยาวข้ึน ในทางตรงกนั ขา้ มก็มีฮอร์โมนพืชอีกบาง ชนิดท่ีมีบทบาทการทางานในการกระตุน้ ใหย้ อดออ่ นและใบพืชแก่เร็วข้ึน และหลุดร่วงไปในท่ีสุด นอกจากฮอร์โมนพืช ในข้นั ตอนการแบง่ เซลล์ การขยายขนาดและการพฒั นาการของเซลล์ กจ็ ะมีการเคล่ือนยา้ ยสารประกอบคาร์โบไฮเดรตที่ไดจ้ ากการสงั เคราะห์แสง และกระบวนการเมทา โบลิซึมมายงั เซลล์ และเปล่ียนเป็นพลงั งานเพ่ือใชใ้ นการเจริญเติบโตและการพฒั นาการของเซลล์ ทา ใหก้ ลุ่มเซลลเ์ หล่าน้นั พฒั นาเป็นยอดอ่อนและตาใบท่ีสมบรู ณ์ ในขณะที่ยอดอ่อนและตาใบกาลงั มี

3 การพฒั นา พลงั งานหรือสารประกอบคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยภู่ ายในตน้ พืชจะลดลง เนื่องจากถูก ยอดอ่อนและตาใบดึงไปใช้ และพลงั งานจะค่อยๆ เพ่มิ ข้ึนเมื่อใบออ่ นเริ่มคลี่และขยายขนาดเป็นใบ เพสลาด ท่ีสามารถสงั เคราะห์สารประกอบคาร์โบไฮเดรตได้ ก. การพฒั นาการด้านกงิ่ ก้านสาขาของทุเรียน คาวา่ “การเจริญเติบโตดา้ นกิ่งกา้ นสาขา (Vegetative development)” เป็นคาที่ถูกนามาใช้ ในความหมายท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การเจริญเติบโตและการพฒั นาการของใบ ก่ิงกา้ นยอดอ่อน ตลอดจน ระบบรากของพืช โดยหลกั การแลว้ การเจริญเติบโตของไมผ้ ลหรือแมแ้ ต่ของทุเรียนจะเรียกวา่ เป็น การเจริญเติบโตแบบไมต่ อ่ เน่ือง เมื่อกลุ่มเซลลม์ ีการพฒั นาเป็นตาใบ ตาใบเป็นใบอ่อน ใบอ่อนเร่ิมคล่ี และขยายขนาดเป็นใบเพสลาด ใบเพสลาดพฒั นาการเป็นใบแก่ ในช่วงท่ีใบเพสลาดพฒั นาเป็ นใบแก่ น้นั การสังเคราะห์แสงที่ใบจะเกิดข้ึนอยตู่ ลอดเวลา ใบแก่จะหยดุ การเจริญเติบโตมีเพียงกิจกรรม ตา่ งๆ ท่ีจะยดื อายแุ ละความยนื ยาวของใบเท่าน้นั พลงั งานที่สะสมในใบจะสูงสุดเม่ือใบแก่ ปริมาณ พลงั งานสะสมจะเร่ิมเปล่ียนแปลงอีกคร้ังหน่ึงเมื่อใบแก่น้นั เร่ิมเส่ือมสภาพและหลุดร่วงไป ใบอ่อน เกิดข้ึนมาแทนที่และเป็ นเช่นน้ีเร่ื อยไป สารประกอบคาร์โบไฮเดรตที่พชื สงั เคราะห์ข้ึนจาก กระบวนการสังเคราะห์แสงนอกจากจะถูกนาไปใชใ้ นการเจริญเติบโตของใบแลว้ ในส่วนการ เจริญเติบโตของรากกจ็ าเป็ นตอ้ งใชพ้ ลงั งานเช่นกนั ในขณะที่ตน้ ทุเรียนกาลงั มีการแตกใบอ่อน รากก็ มีการเจริญเติบโตไปดว้ ย เพราะฉะน้นั พลงั งานส่วนหน่ึงกจ็ ะถูกนามาใชใ้ นการเจริญเติบโตของราก และรักษาประสิทธิภาพของการทาหนา้ ที่ของรากใหส้ มบูรณ์ ในช่วงระยะการเจริญเติบโตของตน้ ทุเรียน การกาเนิดของตาใบจะเกิดข้ึนตลอดเวลา แตจ่ ะ พบวา่ การเจริญเติบโตดา้ นกิ่งสาขาของทุเรียนจะดาเนินไปและหยดุ เป็นช่วงๆ ท้งั น้ีอาจเน่ืองมาจาก สารประกอบคาร์โบไฮเดรต หรือพลงั งานท่ีถูกสงั เคราะห์ข้ึนภายในตน้ มีไมเ่ พียงพอเพราะจะตอ้ งถูก นาไปใชส้ าหรับการเจริญเติบโตของใบอ่อน ขยายขนาดของกิ่งและลาตน้ การเจริญเติบโตของราก การรักษาประสิทธิภาพของเน้ือเยอื่ และอวยั วะต่างๆ ของตน้ กระบวนการเมทาโบลิซึม และเกบ็ ไว้ เป็นส่วนสะสม อีกประการหน่ึงก็เนื่องมาจากสภาพแวดลอ้ มไม่เหมาะสมตอ่ การเจริญเติบโตและการ พฒั นาการ การเจริญเติบโตดา้ นกิ่งกา้ นสาขา และการเจริญพนั ธุ์ของตน้ ทุเรียนเป็นกระบวนการที่ ต่อเน่ืองกนั ไป เม่ือสภาพแวดลอ้ มภายนอกเหมาะสมสาหรับการเจริญพนั ธุ์มาพบกบั กระบวนการทาง สรีรวทิ ยา และพลงั งานสะสมภายในตน้ ระดบั ที่พอเหมาะกบั การสร้างและพฒั นาการของตาดอก จะ ทาใหก้ ระบวนการการออกดอก การพฒั นาการของดอก และกระบวนการอื่นๆ ที่ตอ่ เนื่องถึงคุณภาพ และปริมาณของผลผลิตเกิดข้ึนไดโ้ ดยสมบรู ณ์ ในทางตรงกนั ขา้ มเม่ือสภาพแวดลอ้ มภายนอก เหมาะสม แตป่ ริมาณของพลงั งานสะสมภายในนอ้ ยกวา่ ระดบั ท่ีพอเหมาะ การสร้างและการ

4 พฒั นาการของตาดอกกจ็ ะไม่เกิดข้ึน ตน้ ทุเรียนจาเป็นตอ้ งใชเ้ วลาอีกระยะหน่ึงในการสงั เคราะห์และ สะสมพลงั งานใหเ้ พยี งพอสาหรับการสร้างตาดอกต่อไป ทาใหก้ ารออกดอกชา้ ไปอีกระยะหน่ึง หรือ แมว้ า่ ตน้ ทุเรียนจะสามารถออกดอกได้ การพฒั นาการของดอก และปริมาณดอก/ตน้ กไ็ ม่เพียงพอ สาหรับเป็นการคา้ จะมีผลตอ่ เนื่องทาให้เกิดการสร้างและการพฒั นาการของดอกรุ่นนอ้ งตามมา จากน้นั กจ็ ะมีปัญหาการแยง่ พลงั งานสะสม การติดผล การพฒั นาการของผล และคุณภาพผลผลิต ตามมาเป็ นลูกโซ่ ดงั น้นั จึงจาเป็ นอยา่ งยงิ่ ท่ีจะตอ้ งมีการเตรียมสภาพตน้ เพ่ือใหม้ ีความพร้อมและเป็นบนั ได ข้นั แรกสาหรับการออกดอก การพฒั นาการของดอก การติดผล การพฒั นาการของผลใหเ้ กิดข้ึนโดย สมบรู ณ์ เพ่อื เป็นการปรับปรุงคุณภาพผลผลิตและเพมิ่ ปริมาณผลผลิตท่ีมีคุณค่าทางการตลาด ข. การออกดอกของทเุ รียน แนวคิดที่ไดร้ ับการยอมรับอยา่ งกวา้ งขวางเพ่ือใชอ้ ธิบายการออกดอกของทุเรียน ไดแ้ ก่ 1. ความสมดุลของพลงั งาน (Energy balance) เป็นการพจิ ารณาการสะสม และการใช้ พลงั งานในรูปของสารประกอบคาร์โบไฮเดรต ควบคูก่ บั ปัจจยั สภาพแวดลอ้ ม สรุปก็คือ การสร้าง หรือเตรียมสภาพตน้ ใหม้ ีการสะสมพลงั งานในรูปของสารประกอบคาร์โบไฮเดรตเพยี งพอ ในเวลาท่ี สภาพแวดลอ้ มเหมาะสมสาหรับการสร้างและการพฒั นาการของตาดอก 2. ความสมดุลของฮอร์โมนพชื (Balance of hormone) ฮอร์โมนพชื แตล่ ะชนิดหรือ พร้อมๆ กนั หลายชนิดเป็นตวั กระตุน้ หรือส่ังการใหก้ ารเจริญเติบโตดา้ นกิ่งกา้ นสาขาเปล่ียน สถานภาพเป็นการเจริญพนั ธุ์ 3. ความสมดุลของฮอร์โมนพชื ความสมดุลของพลงั งาน สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสม หรือ สภาวะเครียดเน่ืองจากสภาพแวดลอ้ ม จะเป็นตวั กระตุน้ ใหเ้ กิดการสังเคราะห์ฮอร์โมนพชื และทาให้ สดั ส่วนของฮอร์โมนพืชภายในตน้ เปล่ียนแปลงไปจนถึงระดบั ท่ีเหมาะสม สาหรับการชกั นาใหเ้ กิด การสร้างตาดอก พลงั งานในรูปของสารประกอบคาร์โบไฮเดรตจะถูกนามาใชใ้ นการเปลี่ยนแปลง กระบวนการสรีรวทิ ยาและการพฒั นาการของตาดอกท่ีตอ่ เนื่องจนเป็ นผลตอ่ ไป สภาพแวดล้อม สภาพแวดลอ้ มจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของทุเรียน โดยผา่ นทางกระบวนการสังเคราะห์ แสง กระบวนการหายใจ กระบวนการเมทาโบลิซึม การเคลื่อนยา้ ยและการดูดดึงสารประกอบ คาร์โบไฮเดรตท่ีไดจ้ ากการสังเคราะห์แสง และจากกระบวนการเมทาโบลิซึมมาใชเ้ พื่อพฒั นาการของ ยอดและใบของทุเรียน ตลอดจนการสะสมสารประกอบดงั กล่าวเป็นส่วนสะสมในตน้ พืช หาก กระบวนการใดกระบวนการหน่ึงขา้ งตน้ บกพร่องไป เน่ืองจากสภาพแวดลอ้ มไม่เหมาะสมกจ็ ะทาให้

5 ตน้ ทุเรียนอยใู่ นสภาพไมพ่ ร้อมสาหรับการออกดอก โดยหลกั การแลว้ สภาพแวดลอ้ มท่ีมีบทบาทตอ่ การเจริญเติบโต และเกี่ยวขอ้ งกบั การเตรียมสภาพความพร้อมของตน้ ในการออกดอกเรียงตามลาดบั ความสาคญั ไดด้ งั ตอ่ ไปน้ี - ความเขม้ และความยาวนานแสงแดด - อุณหภูมิ - ความอุดมสมบรู ณ์ของดิน - ความช้ืนในดิน - โรคและแมลงศตั รูพืช ความสัมพนั ธ์ระหว่างพชื และสภาพแวดล้อมต่อการเจริญเติบโต การเจริญเติบโตดา้ นกิ่งกา้ นสาขาเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการสร้างสภาพความพร้อม ของตน้ เพ่ือการออกดอกของพชื ซ่ึงในกระบวนการดงั กล่าวจาเป็นตอ้ งใชพ้ ลงั งานในรูปของ สารประกอบคาร์โบไฮเดรตจากการสังเคราะห์แสง ซ่ึงจะเร่ิมตน้ จากการท่ีพืชนาพลงั งานจาก แสงอาทิตยม์ าใชใ้ นการสร้างน้าตาลโมเลกุลเด่ียว โดยมีคลอโรฟิ ลลช์ นิดตา่ งๆ เป็นตวั ดูดซบั พลงั งาน จากแสงอาทิตยไ์ ว้ แลว้ เปล่ียนเป็นพลงั งานทางเคมีในรูปของสารประกอบคาร์โบไฮเดรต เพื่อ นาไปใชใ้ นการเจริญเติบโต กระบวนการสะสมอาหาร และสร้างสภาพความพร้อมของตน้ เพอ่ื การ ออกดอกต่อไปสาหรับทุเรียน การสร้างความพร้อมของตน้ เพือ่ การออกดอกจะเริ่มจากการ เจริญเติบโตดา้ นก่ิงกา้ นสาขาเพอ่ื ผลิตใบชุดใหม่ สาหรับการเพม่ิ ประสิทธิภาพในการสงั เคราะห์แสง และเพ่ิมปริมาณการสะสมพลงั งาน เพราะในการเกบ็ เก่ียวผลผลิตออกไปจากตน้ ทุเรียน จะมีการ สูญเสียอาหารสะสมและแร่ธาตุตา่ งๆ ไปในปริมาณสูง ประกอบกบั ใบทุเรียนท่ีเหลืออยหู่ ลงั การเก็บ เก่ียวมกั จะเป็นใบแก่ใกลเ้ ส่ือมสภาพ มีประสิทธิภาพในการสงั เคราะห์แสงต่า อาหารสะสมและแร่ ธาตุที่สะสมอยใู่ นใบส่วนหน่ึงไดถ้ ูกเคล่ือนยา้ ยไปใชใ้ นการพฒั นาการของผล ดงั น้นั ตน้ ทุเรียนหลงั การเก็บเกี่ยวจะมีความตอ้ งการพลงั งานหรืออาหารสะสมในปริมาณสูง เพ่ือชดเชยส่วนท่ีสูญเสียไป และ/หรือเพือ่ ความยนื ยงของกระบวนการต่างๆ ในวฏั จกั รของการใหผ้ ลผลิต สภาพแวดลอ้ มจะมีบทบาทเก่ียวขอ้ งกบั การเจริญเติบโตและการเตรียมความพร้อมของตน้ ทุเรียนไดด้ งั น้ี 1. ความเข้มและความยาวนานของแสงแดด เมื่อตน้ ทุเรียนไดร้ ับปริมาณแสงแดดในระดบั ความเขม้ แสงท่ีเหมาะสม และในเวลาท่ี นานพอ จะทาใหก้ ารเจริญเติบโตดา้ นกิ่งกา้ นสาขาเกิดข้ึนไดเ้ ร็ว และดาเนินไปไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ความพร้อมตน้ สาหรับการออกดอกกเ็ ร็วข้ึนตามไปดว้ ย ในทางตรงกนั ขา้ มถา้ ทุเรียนไดร้ ับปริมาณ

6 แสงแดดท่ีมีความเขม้ แสงต่าในช่วงเวลาส้นั ๆ ในแตล่ ะวนั จะทาใหก้ ารเจริญเติบโตดา้ นก่ิงกา้ นสาขา เกิดข้ึนชา้ ดงั น้นั ตน้ ทุเรียนจะตอ้ งใชเ้ วลานานในการสร้างความพร้อมตน้ เพื่อการออกดอก 2. อณุ หภูมิ อุณหภมู ิต่ามีส่วนเกี่ยวขอ้ งกบั กระบวนการทางสรีรวทิ ยาต่างๆ เช่น การสังเคราะห์ แสง การหายใจ กระบวนการเมทาโบลิซึม การคายน้า และการดูดธาตุอาหารจากดินมาใช้ โดยทาให้ การทางานของเอนไซมต์ ่างๆ ชา้ ลง ซ่ึงทาใหอ้ ตั ราการเกิดกระบวนการทางสรีรวทิ ยาต่างๆ ขา้ งตน้ ชา้ ลงดว้ ย ตน้ ทุเรียนตอ้ งใชเ้ วลานานในการสร้างความพร้อมตน้ เพื่อการออกดอกและยงั มีผลตอ่ เนื่องทา ใหก้ ารพฒั นาการของตายอดชา้ ลงหรือหยดุ ชะงกั ในทางตรงกนั ขา้ มอุณหภูมิสูงจะทาใหอ้ ตั ราการ เกิดกระบวนการทางสรีรวทิ ยาเกิดข้ึนอยา่ งรวดเร็ว โดยเฉพาะอตั ราการหายใจ ตน้ ทุเรียนจึงตอ้ งใช้ พลงั งานในรูปของสารประกอบคาร์โบไฮเดรต มาใชใ้ นกระบวนการดงั กล่าว และเพอื่ การซ่อมแซม อวยั วะ/โครงการส่วนที่สึกหรอในปริมาณมาก ทาใหเ้ หลือสารประกอบคาร์โบไฮเดรตสาหรับ กระบวนการต่างๆ ในการสร้างการเจริญเติบโตดา้ นก่ิงกา้ นสาขานอ้ ยลง การสะสมอาหารเพื่อการ สร้างความพร้อมตน้ ก็ชา้ ลงดว้ ย อุณหภมู ิประมาณ 22-34oC จะเป็นอุณหภูมิท่ีเหมาะสมที่ทาให้ กระบวนการทางสรีรวทิ ยาเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งสมดุล และมีประสิทธิภาพ การสะสมพลงั งานในรูปของ สารประกอบคาร์โบไฮเดรตมีมาก ตน้ ทุเรียนมีการเจริญเติบโตดา้ นกิ่งกา้ นสาขาและสร้างความพร้อม สาหรับการออกดอกไดเ้ ร็วข้ึน 3. ความอุดมสมบูรณ์ของดนิ หมายถึง ดินที่สามารถปลดปล่อยธาตุอาหารท่ีเป็ นประโยชนต์ ่อการเจริญเติบโตของ พชื ออกมาไดม้ าก ซ่ึงธาตุอาหารตา่ งๆ เหล่าน้ีมีความสาคญั ในแง่ที่เป็ นองคป์ ระกอบภายในเซลล์ เอนไซมต์ ่างๆ ตลอดจนส่งเสริมกระบวนการเคล่ือนยา้ ยสารประกอบคาร์โบไฮเดรตท่ีไดจ้ ากการ สงั เคราะห์แสงท่ีจาเป็ นต่อการสร้างสภาพความพร้อมของตน้ ทุเรียนเพื่อการออกดอก ถา้ ตน้ ทุเรียน ไดร้ ับธาตุอาหารที่จาเป็นต่อการเจริญเติบโตไม่เพียงพอ หรือไม่เหมาะสมหรือการขาดสมดุลของธาตุ อาหาร จะมีผลทาใหร้ ูปร่างและสีของใบทุเรียนเปล่ียนไป ตน้ ทุเรียนไม่สามารถสงั เคราะห์เอนไซม์ บางชนิดได้ หรือเกิดอาการผิดปกติทางสรีรวทิ ยา มีผลใหต้ น้ ทุเรียนมีสภาพไมพ่ ร้อมเพื่อการออกดอก แต่ถา้ ตน้ ทุเรียนไดร้ ับธาตุอาหารที่จาเป็นเพยี งพอ และมีสัดส่วนของธาตุอาหารแตล่ ะชนิดเหมาะสม จะทาใหต้ น้ สมบรู ณ์ ใบมีสีเขียวเขม้ และมีปริมาณมาก ทนทานต่อการเขา้ ทาลายของโรคและแมลง และมีการสะสมอาหารเพยี งพอพร้อมสาหรับการออกดอก 4. ความชื้นในดิน หมายรวมท้งั ปริมาณน้าและปริมาณอากาศในดิน ซ่ึงต่างกม็ ีความสาคญั ตอ่ พืช เช่น “น้า” เป็นส่วนประกอบท่ีสาคญั ของเซลล์ โดยการทาใหเ้ ซลลพ์ ชื มีความเตง่ ถา้ หากเซลลป์ ราศจาก น้าหรือมีน้าไมเ่ พยี งพอแลว้ จะทาใหร้ ูปร่างของเซลลผ์ ดิ ไปจากเดิม นอกจากน้ีน้ายงั เป็นตวั ทาละลาย

7 ช่วยในการละลายของธาตุอาหารพชื ในดินใหอ้ ยใู่ นรูปของสารละลายท่ีพืชสามารถดูดไปใชไ้ ด้ น้า เป็นสารเร่ิมตน้ ในกระบวนการต่างๆ ภายในพชื และช่วยควบคุมอุณหภมู ิของตน้ พชื ดงั น้นั จึงถือได้ วา่ น้ามีความสาคญั ตอ่ การเจริญเติบโตของพชื เน่ืองจากเป็นปัจจยั สาคญั ในกระบวนการสรีรวทิ ยา และกระบวนการทางชีวเคมีในพชื ท้งั ในดา้ นการสร้างพลงั งานของพืช ซ่ึงไดแ้ ก่การสงั เคราะห์แสง และเป็นตวั พาธาตุอาหารเขา้ มาในตน้ พืช “อากาศ” ในดินจะเป็นสัดส่วนผกผนั กบั ปริมาณน้า รากมี ความจาเป็นตอ้ งใชอ้ ากาศในการหายใจ ถา้ ดินมีการถ่ายเทอากาศดีจะมีความสามารถในการรับ ออกซิเจนเขา้ สู่ดิน และปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซดอ์ อกสู่บรรยากาศในอตั ราที่ทาใหด้ ินมี ออกซิเจนเพยี งพอแก่การหายใจของพชื ตลอดจนจุลินทรียด์ ิน และคาร์บอนไดออกไซดก์ ไ็ มต่ กคา้ ง ในดินจนเป็นพษิ แก่พืชได้ ดงั น้นั ดินควรมีความช้ืนพอเหมาะสาหรับการปลดปล่อยน้าและออกซิเจน แก่รากทุเรียน เพอื่ สนบั สนุนใหเ้ กิดกระบวนการสงั เคราะห์แสงไดเ้ พียงพอ มีพลงั งานเพียงพอสาหรับ การเจริญเติบโตและการออกดอก 5. โรคและแมลง ในตลอดกระบวนการ การเจริญเติบโตดา้ นก่ิงกา้ นสาขา การเจริญพนั ธุ์และการเกบ็ เกี่ยวผลผลิต ตน้ ทุเรียนจะมีโรคและแมลงรบกวนมากมายหลายชนิด มีท้งั ประเภทก่อใหเ้ กิดความ เสียหายเพียงเล็กนอ้ ยจนถึงรุนแรงมากหรือตายได้ ลกั ษณะการเขา้ ทาลายของโรคและแมลงจะมี ต้งั แต่การเขา้ ทาลายท่ีใบ ก่ิง ลาตน้ หรือท่อน้าท่ออาหาร ซ่ึงมีผลทาใหป้ ระสิทธิภาพการสงั เคราะห์ และการเคลื่อนยา้ ยสารประกอบคาร์โบไฮเดรต ตลอดจนธาตุอาหารตา่ งๆ ภายในพืชลดลง การสร้าง ความพร้อมของตน้ เพื่อการออกดอกก็ลดลงดว้ ย การจัดการทชี่ ่วยให้ต้นทุเรียนพร้อมเพอ่ื การออกดอก การจดั การท่ีช่วยทาใหต้ น้ ทุเรียนพร้อมเพื่อการออกดอกจะสมั ฤทธ์ิผลได้ ตอ้ งมีความเขา้ ใจ ธรรมชาติของพชื ซ่ึงในที่น้ี คือ ทุเรียน สภาพแวดลอ้ ม และสหสัมพนั ธ์ของพืชและสภาพแวดลอ้ ม โดยมีขอ้ เตือนใจในการจดั การวา่ “เตรียมตน้ ทุเรียนใหพ้ ร้อมในขณะที่สภาพแวดลอ้ มเหมาะสมตอ่ การออกดอก” ความพร้อมของตน้ ทุเรียนเพือ่ การออกดอก คือ ตน้ มีการสะสมอาหาร (คาร์โบไฮเดรต) เพยี งพอ ใบอยใู่ นสภาพแก่ท้งั ตน้ ในขณะท่ีฝนแลง้ หรือทิง้ ช่วงประมาณ 10-14 วนั อุณหภูมิและ ความช้ืนอากาศค่อนขา้ งต่า โดยมีข้นั ตอนในการจดั การดงั น้ี คือ 1. การตัดแต่งกงิ่ สาหรับทุเรียนท่ีใหผ้ ลผลิตแลว้ การตดั แต่งก่ิงทุเรียนอาจแบง่ ไดเ้ ป็น 3 ระยะ คือ ระยะท่ี 1 การตัดแต่งหลงั การเกบ็ เกี่ยว เป็นการตดั กิ่งแหง้ ก่ิงแขนง กิ่งที่เป็นโรค กิ่งที่ ไมม่ ีประโยชน์และตดั ข้วั ผลท่ีติดคา้ งอยทู่ ิง้ ไป การตดั แต่งคร้ังท่ี 1 น้ี ก็เพ่ือทาใหต้ น้ ทุเรียนแตกก่ิงที่ สมบูรณ์ออกมาใหม่

8 ระยะที่ 2 การตัดแต่งช่วงปลายฝนก่อนการใส่ป๋ ุยคร้ังที่ 2 เป็นการตดั แตง่ ก่ิงตะขาบ กิ่งน้าคา้ ง ก่ิงกระโดง และก่ิงท่ีเป็นโรคออก เพ่ือใหก้ ารใชป้ ๋ ุยของทุเรียนเกิดประโยชน์อยา่ งเตม็ ที่ ระยะที่ 3 การตัดแต่งหลงั จากทุเรียนติดผลแล้วประมาณ 30-45 วนั เป็นการตดั แตง่ เฉพาะกิ่งที่เกิดข้ึนใหมท่ ี่ชาวสวนเรียกวา่ ใบขิง พร้อมๆ กบั การตดั แต่งผลอ่อน การตดั แต่งในคร้ังที่ หน่ึงและคร้ังที่สองเทา่ น้นั ที่มีผลในการสร้างความพร้อมตน้ เพ่ือการออกดอก โดยหลกั การแลว้ การตดั แตง่ ก่ิงจะเลือกตดั แตง่ เฉพาะส่วนที่ไมม่ ีประโยชน์ หรือมี ประโยชนน์ อ้ ยทิ้งไป เพ่ือรักษาโครงสร้างของตน้ ที่ดีไวแ้ ละทาใหพ้ ้ืนที่ใบท้งั หมดมีโอกาสไดร้ ับแสง อยา่ งทว่ั ถึง และเพิ่มประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสง การตดั แตง่ กิ่งช่วยทาใหก้ ารถ่ายเทอากาศ ภายในทรงพุม่ ดีข้ึน ช่วยลดปริมาณการแพร่ระบาดของโรคและแมลง และช่วยใหป้ ริมาณ คาร์บอนไดออกไซดเ์ คล่ือนผา่ นปากใบสู่เน้ือเย่อื ภายในไดส้ ะดวกข้ึน การตดั แต่งกิ่งที่ถูกตอ้ งจะเป็น การลดปริมาณฮอร์โมนออกซินที่บริเวณปลายยอดให้นอ้ ยลง ฮอร์โมนออกซินท่ีถูกสร้างท่ีปลายยอด จะมีผลในการยบั ย้งั การเจริญเติบโตของตาขา้ ง ดงั น้นั เมื่อทาใหป้ ริมาณออกซินที่ปลายยอดลดลง จะ ส่งผลใหต้ าขา้ งมีการเจริญเติบโตและพฒั นาเป็นก่ิงท่ีสมบูรณ์ ทดแทนก่ิงเดิมที่หมดสภาพและถูก ตดั ทิ้งไป หลงั การเก็บเกี่ยวผลผลิตแลว้ การรีบดาเนินการตดั แต่งก่ิงไดเ้ ร็วเท่าไรโอกาสที่สภาพตน้ จะ พร้อมเพ่ือการออกดอกก็เกิดข้ึนไดเ้ ร็วเท่าน้นั 2. การใส่ป๋ ยุ การใส่ป๋ ุยเพอ่ื เตรียมสภาพตน้ ทุเรียนใหพ้ ร้อมเพอื่ การออกดอก แบง่ ออกไดเ้ ป็ น 2 ระยะ คือ การใส่ป๋ ุยคร้ังแรก เป็นการใส่ป๋ ุยเพือ่ กระตุน้ ใหม้ ีการเจริญเติบโตดา้ นก่ิงกา้ นสาขาใน ระยะเวลาอนั รวดเร็ว การใส่ป๋ ุยในคร้ังน้ีจะใชป้ ๋ ุยไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P2O5) และ โปแตสเซียม (K2O) ในสัดส่วน 1:1:1 เช่น ป๋ ุยสูตร 13-13-13 หือ 15-15-15 หรือ 16-16-16 เป็นตน้ ใส่ใหต้ น้ ทุเรียน ทนั ทีหลงั การเก็บเกี่ยวผลผลิตในอตั รา 1-3 กิโลกรัม/ตน้ ตามขนาดและอายขุ องตน้ ซ่ึงคานวณได้ คร่าวๆ จากปริมาณธาตุอาหารที่ติดไปกบั ผลผลิต และธาตุอาหารที่ถูกชะลา้ งไปในแต่ละปี คือถา้ ทุเรียนใหผ้ ลผลิตในปี ก่อนมาก หรือดินถูกชะลา้ งมาก ก็จะตอ้ งมีการใส่ป๋ ุยเพอ่ื ชดเชยธาตุอาหารที่ สูญเสียไปมาก วธิ ีการใส่ป๋ ุยใชห้ วา่ นในบริเวณทรงพุม่ ห่างจากโคนตน้ อยา่ งนอ้ ย 50 ซม. อาจมีการใส่ ป๋ ุยอินทรียร์ ่วมดว้ ยในอตั ราตน้ ละ 10-20 กิโลกรัม ตามชนิดของป๋ ุยและขนาดตน้ ป๋ ุยอินทรียท์ ่ีใชอ้ าจ เป็นป๋ ุยคอก ป๋ ุยท่ีไดจ้ ากส่วนเหลือใชจ้ ากโรงงานอุตสาหกรรมหรือป๋ ุยท่ีเป็นสารสกดั จากวสั ดุ ธรรมชาติ ป๋ ุยคอก ไดแ้ ก่ มูลสตั วต์ ่างๆ เช่น มูลสุกร มลู โค หรือมลู คา้ งคาว ป๋ ุยท่ีไดจ้ ากส่วนเหลือใช้ จากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น กากละหุ่ง ส่วนเหลือจากโรงงานน้าตาล หรือโรงงานผลิตผงชูรส โรงงานผลิตสุรา เป็นตน้ แต่มีขอ้ ควรระวงั ในการใชป้ ๋ ุยอินทรีย์ คือผใู้ ชต้ อ้ งมน่ั ใจวา่ จะไม่มีสารพษิ เจือปนมากบั ป๋ ุย เช่น โซดาไฟปนมากบั ป๋ ุยมูลสุกร เป็นตน้ ป๋ ุยที่ไดจ้ ากการสกดั วสั ดุในธรรมชาติ

9 เช่น กรดฮิวมิค (Humic acid) และสารสกดั จากสาหร่ายทะเล เป็นตน้ ซ่ึงสารอินทรียก์ ลุ่มน้ีจะผา่ น ข้นั ตอนการผลิตท่ีทนั สมยั พชื สามารถใชป้ ระโยชน์จากธาตุอาหารพชื ในสารอินทรียเ์ หล่าน้ีไดอ้ ยา่ ง รวดเร็ว อตั ราการใชต้ ่าประมาณ 100-200 ซีซี/ตน้ กไ็ ดผ้ ลแต่มีขอ้ เสียคือมีราคาสูง การใส่ป๋ ุยครั้งทส่ี อง เพื่อทาใหต้ น้ ทุเรียนพกั ตวั เตรียมพร้อมเพอ่ื การออกดอก การใส่ ป๋ ุยคร้ังน้ีก็เพราะตอ้ งการลดบทบาทของธาตุไนโตรเจนใหน้ อ้ ยลง โดยทาใหส้ มดุลของธาตุอาหารเกิด การเปล่ียนแปลง ดงั น้นั จึงเลือกใส่ป๋ ุยที่มีธาตุฟอสฟอรัส (ตวั กลาง) สูง เพื่อลดบทบาทการทางาน ของธาตุไนโตรเจน (ตวั หนา้ ) เนื่องจากธาตุไนโตรเจนมีส่วนสาคญั ในการส่งเสริมใหเ้ กิดการ เจริญเติบโตดา้ นกิ่งกา้ นสาขา เมื่อธาตุไนโตรเจนถูกลดบทบาทลง จะทาใหต้ น้ ทุเรียนพกั ตวั หยดุ การ เจริญเติบโตดา้ นกิ่งกา้ นสาขา การใส่ป๋ ุยคร้ังที่สองจะเริ่มใส่ในช่วงปลายฤดูฝน ประมาณเดือน สิงหาคม-กนั ยายน ซ่ึงเป็นเวลาที่ดินยงั มีความช้ืนอยู่ โดยใชป้ ๋ ุยสูตร 12-24-12 หรือ 8-24-24 หรือ 9- 24-24 ในอตั รา 2-3 กิโลกรัม/ตน้ ใชว้ ธิ ีการหวา่ นเช่นเดียวกบั การใส่ป๋ ุยคร้ังแรก การใชป้ ๋ ุยทางใบท่ีมีธาตุปริมาณนอ้ ย (Trace element) หลายๆ ชนิดเป็นองคป์ ระกอบ ก็เป็นสิ่งจาเป็นโดยเฉพาะกบั ตน้ ทุเรียนท่ีปลูกในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่า เช่น ดินทราย ดินร่วน ปนทราย หรือดินลูกรัง เป็ นตน้ เพื่อป้ องกนั การขาดธาตุปริมาณนอ้ ย การขาดธาตุปริมาณนอ้ ยจะทา ใหร้ ูปร่างของใบผดิ ปกติไป เช่น ใบเล็ก บิดเบ้ียว มีสีเหลืองซีด เป็นตน้ เม่ือตน้ ทุเรียน แสดงอาการ ขาดธาตุปริมาณนอ้ ยแลว้ การแกไ้ ขดว้ ยการฉีดพน่ ธาตุน้นั ๆ ไมส่ ามารถแกป้ ัญหาไดใ้ นทนั ที จาเป็นตอ้ งทาการฉีดพน่ ซ้าประมาณ 3-4 คร้ัง ใบจึงจะฟ้ื นคืนสู่สภาพเดิม ดงั น้นั ถา้ เคยสงั เกตและ พบวา่ ใบทุเรียนแสดงอาการขาดธาตุปริมาณนอ้ ยมาก่อน ควรทาการฉีดพน่ ธาตุปริมาณนอ้ ยร่วมกบั การใชส้ ารเคมีป้ องกนั กาจดั โรคและแมลง เพ่ือป้ องกนั มิใหเ้ กิดอาการขาด และจะช่วยทาใหต้ น้ ทุเรียน มีสภาพตน้ สมบูรณ์และพร้อมเพื่อการออกดอก ประสิทธิภาพของป๋ ุยทางดินที่ใส่ใหก้ บั ตน้ พืช จะพจิ ารณาไดจ้ าก - ชนิดของสารเคมีที่นามาผลิตป๋ ุย เช่น ป๋ ุยไนโตรเจน ที่ผลิตจากแคลเซียมไนเตรต (Ca(NO3)2) หรือ แอมโมเนียมซลั เฟต ((NH4)2SO4) เป็ นตน้ - พืชต่างชนิดตอบสนองต่อป๋ ุยแต่ละชนิดตา่ งกนั เช่น ขา้ วตอบสนองต่อป๋ ุย ไนโตรเจน ในรูปของแอมโมเนียม (NH4) ไดด้ ีกวา่ รูปของไนเตรต (NO3) ในทางตรงกนั ขา้ มไมผ้ ลจะ ตอบสนองต่อป๋ ุยไนโตรเจนในรูปของไนเตรตไดด้ ีกวา่ ในรูปของแอมโมเนียม เป็ นตน้ - เคมีดิน ซ่ึงไดแ้ ก่ ความเป็นกรด-ด่างของดิน และการท่ีดินมีเกลือประเภทตา่ งๆ เป็นองคป์ ระกอบ ซ่ึงจะมีผลตอ่ ความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารพืชที่สาคญั ในดิน 3. การให้นา้ และการระบายนา้ การใหน้ ้าแก่พชื คือ การเพม่ิ ปริมาณความช้ืนในดินบริเวณเขตรากพืช ใหม้ ีระดบั ความช้ืนระหวา่ งความช้ืนชลประทาน (Field capacity) และจุดเห่ียวเฉาถาวร (Permanent Wilting

10 Point) กล่าวคือ ทาใหด้ ินมีความช้ืนอยใู่ นปริมาณท่ีพืชสามารถดูดไปใชไ้ ด้ และความช้ืนในปริมาณ ดงั กล่าว ก็ยงั มีระดบั ความเป็ นประโยชน์ไม่เท่ากนั คือ พืชสามารถดูดความช้ืนไปใชป้ ระโยชน์ไดง้ ่าย เมื่อดินมีความช้ืนใกลเ้ คียงกบั ความช้ืนชลประทาน และในอตั ราที่ทดั เทียมกบั อตั ราการคายน้าของ พืช จึงทาใหก้ ารเจริญเติบโตของพชื เป็ นไปอยา่ งปกติ แตใ่ นขณะที่ระดบั ความช้ืนของดินลดลงโดย ลาดบั จากความช้ืนชลประทานของดินน้นั พชื จะดูดความช้ืนท่ียงั เหลืออยใู่ นดินไดย้ ากข้ึนโดยลาดบั จนถึงจุดเหี่ยวเฉาถาวร ซ่ึงพืชไม่สามารถดูดความช้ืนจากดินไปใชไ้ ดเ้ ลย การใหน้ ้าแก่พชื จะเร่ิมทาเมื่อความช้ืนในดินลดลงใกลจ้ ุดเหี่ยวเฉาถาวร ซ่ึงจะลดลง มากนอ้ ยเพยี งใด ข้ึนอยกู่ บั ความสามารถในการทนแลง้ ของพชื อายพุ ชื หรือระยะการพฒั นาการของ พืช ความสามารถในการอุม้ น้าของดินและสภาพภมู ิอากาศ การเร่ิมใหน้ ้าแตล่ ะคร้ังจะกระทาตอ่ เมื่อ ความช้ืนในดินลดลงจนถึงจุดท่ีจะเริ่มมีผลกระทบตอ่ กระบวนการต่างๆ ภายในพืช ซ่ึงมีผลทาให้ อตั ราการเจริญเติบโตของตน้ ดอก ผล ปริมาณและคุณภาพลดลง ซ่ึงเรียกวา่ ความช้ืน ที่จุดวกิ ฤต ปริมาณน้าท่ีใหแ้ ต่ละคร้ังจะข้ึนอยกู่ บั สภาพในการอุม้ น้าของดิน ความลึกของระบบรากท่ีมี ประสิทธิภาพในการดูดน้า คือ เม่ือให้น้าไปแลว้ ปริมาณน้าที่ใหจ้ ะสามารถเพมิ่ ความช้ืนดินไดไ้ ม่เกิน ความช้ืนชลประทาน และความลึกของดินที่ความช้ืนระดบั น้นั ไม่เกินเขตของรากพืชที่มี ประสิทธิภาพในการดูดน้า ถา้ ปล่อยใหด้ ินมีความช้ืนมากจนเกินระดบั ความช้ืนชลประทานจะทาให้ ปริมาณออกซิเจนในดินค่อยๆ ลดลงจนไมม่ ีเลย เม่ือดินอ่ิมตวั ดว้ ยน้า (Saturated Soil) รากพืชและ จุลินทรียด์ ินจะขาดออกซิเจนในการหายใจหากดินอิ่มตวั ดว้ ยน้าต่อเนื่องกนั นานกวา่ 7 วนั ตน้ ทุเรียน จะเริ่มแสดงอาการใบเหลือง และหลุดร่วงไปในท่ีสุด เนื่องจากรากไมส่ ามารถดูดน้าและธาตุอาหาร ต่างๆ และลาเลียงข้ึนมายงั ตน้ พชื ได้ ประกอบกบั ในสภาพขาดออกซิเจนรากจะสงั เคราะห์ฮอร์โมน เอทธิลีนแลว้ เคลื่อนยา้ ยมาทาใหใ้ บ ดอก หรือผลหลุดร่วงไดเ้ พอ่ื ป้ องกนั มิใหเ้ กิดเหตุการณ์ดงั กล่าว การทาสวนทุเรียนจึงจาเป็นตอ้ งเตรียมจดั การระบายน้าออกจากแปลงปลูกดว้ ย ซ่ึงทาไดโ้ ดยการขดุ เป็นร่องระบายน้ารอบตน้ เช่ือมโยงกบั ร่องระบายน้าใหญ่ แลว้ ระบายน้าออกจากแปลงปลูกไป หรือ ทาการยกร่องเพื่อปลูกทุเรียน ในแปลงปลูกทุเรียนควรใหม้ ีช้นั ผวิ ดินลึกอยา่ งนอ้ ย 20 ซม. ที่ปลอด จากการท่วมขงั หรืออ่ิมตวั อยา่ งต่อเน่ืองเป็ นเวลานาน เพราะรากทุเรียนท่ีมีประสิทธิภาพในการดูดน้า และธาตุอาหาร จะกระจายตวั อยใู่ นดินช้นั บน ความลึกประมาณไม่เกิน 20 ซม. วธิ ีการใหน้ ้าทุกวธิ ีจะ ใชไ้ ดผ้ ลในการผลิตทุเรียนจะตา่ งกนั ก็เพยี งประสิทธิภาพของการใชน้ ้าเทา่ น้นั ซ่ึงการใหน้ ้าแบบฉีด ฝอย (Sprinkler) จะมีประสิทธิภาพของการใชน้ ้าค่อนขา้ งสูงกวา่ วธิ ีการอ่ืนๆ 4. การป้ องกนั กาจัดโรคและแมลง ในช่วงระยะเวลาเตรียมสภาพความพร้อมของตน้ ทุเรียนเพอ่ื การออกดอกจะตอ้ งระวงั มิใหโ้ รคและแมลงรบกวนทาความเสียหายใหแ้ ก่ตน้ และใบ โรคและแมลงท่ีสาคญั ไดแ้ ก่

11 4.1 โรครากเน่าและโคนเน่า เกิดจากเช้ือราไฟทอปธอรา (Phytophthora palmivora Butler) ซ่ึงเป็นเช้ือราช้นั ต่า พกั ตวั อยใู่ นดิน แพร่ระบาดโดยการปล่อยสปอร์กระจายไปตามน้าท่ีอยู่ ตามช่องวา่ งในดิน เขา้ ทาลายส่วนของรากหรือลาตน้ พชื ท่ีอยใู่ นดิน หรือใกลร้ ะดบั ดิน ทาใหเ้ กิด ลกั ษณะอาการเน่าของเน้ือเย่ือของราก และลาตน้ มียางไหล ส่วนของเช้ือราไฟทอปธอราน้ีอาจ แพร่กระจายออกไปได้ โดยติดไปกบั อนุภาคของดิน ซ่ึงอาจถูกลมพดั พาไปยงั แหล่งอื่นๆ และเขา้ ทาลายส่วนของตน้ ที่อยเู่ หนือดินได้ ลักษณะอาการ หากดูจากทรงพมุ่ ภายนอกจะสงั เกต พบวา่ ใบทุเรียนไม่เป็นมนั สดใส ใบจะ ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นสีเหลือง โดยมากมกั จะเห็นเป็ นจุดช้าๆ สีเหลืองสลบั เขียว และคอ่ ยๆ ร่วงหล่น อาการใบเหลืองร่วงน้ีอาจจะเกิดท้งั ตน้ หรือดา้ นใดดา้ นหน่ึงของทรงพมุ่ หรือก่ิงใดก่ิงหน่ึงข้ึนอยกู่ บั การเกิดโรคน้นั เกิดท่ีรากหรือบริเวณโคนตน้ หรือกิ่งใดกิ่งหน่ึง โดยเฉพาะเม่ือทุเรียนใบร่วงแลว้ โอกาสท่ีจะฟ้ื นจากโรคอาจจะทาไดค้ อ่ นขา้ งยาก และตอ้ งใชเ้ วลาและการรักษาท่ีถูกตอ้ ง ซ่ึงกเ็ ป็ น เพียงการรักษาใหม้ ีชีวติ รอดอยไู่ ด้ แตก่ อ็ ยใู่ นสภาพที่ทรุดโทรม เม่ืออาการแสดงออกที่ใบจะเป็นระยะที่ค่อนขา้ งรุนแรงแลว้ นอกจากน้ีอาจ สังเกตลกั ษณะอาการไดใ้ นส่วนอ่ืนๆ ของตน้ อีก เช่น บริเวณโคนตน้ หรือก่ิงกา้ นสาขา อาการเน่าท่ี ตน้ หรือกิ่งน้ีอาจจะมองเห็นได้ โดยเร่ิมแรกมกั จะพบวา่ สีของเปลือกทุเรียนบริเวณโคนหรือก่ิงมีสี ผดิ ปกติไปจากเปลือกทุเรียนปกติ โดยมากมกั จะมีสีเขม้ กวา่ คลา้ ยๆ กบั ผวิ เปลือกของลาตน้ ถูกน้าหรือ เป็นคราบน้าเป็นวงหรือเป็ นทางไหลลงดา้ นล่าง ในช่วงเชา้ ท่ีมีอากาศชุ่มช้ืนอาจจะเห็นหยดน้าปดู ออกมาจากบริเวณแผล เป็ นสีน้าตาลปนแดง ลกั ษณะอาการดงั กล่าวจะเห็นไดไ้ มช่ ดั เจนในช่วงฤดูฝน เนื่องจากลาตน้ มกั จะเปี ยกน้าอยตู่ ลอดเวลา ถึงแมว้ า่ เช้ือราจะเขา้ ทาลายตน้ พืชไดด้ ีในช่วงฤดูฝน เน่ืองจากมีสภาพอากาศท่ีเหมาะสม แตก่ ารมองเห็นลกั ษณะอาการจะคอ่ นขา้ งไมช่ ดั เจนเทา่ กบั ในช่วง ท่ีหมดฝนแลว้ เมื่อสภาพอากาศแหง้ ลงคราบน้าที่ไหลซึมออกมาจากแผลกจ็ ะเห็นไดช้ ดั ติดกบั สีผวิ เปลือกที่แหง้ แลว้ ดงั น้นั เกษตรกรจึงมกั พบอาการโคนเน่าของทุเรียนมากในช่วงปลายฤดูฝน ซ่ึงเป็น ระยะที่เช้ือเขา้ ทาลายตน้ พชื จนกระทง่ั ลุกลามทาใหเ้ กิดอาการเน่าภายในเป็นบริเวณกวา้ งขวางแลว้ แต่ เมื่อมองจากภายนอกอาจจะเห็นรอยแตกของแผลซ่ึงจะมีน้ายางไหลออกมา และเมื่อถากเปลือกออก บางๆ ดว้ ยมีดคมๆ หือส่ิวจะเห็นเปลือกของลาตน้ ดา้ นในที่ถูกทาลายมีสีน้าตาลแดงหรือน้าตาลเขม้ หากเน้ือเยอ่ื ถูกทาลายจนเน่ามากแลว้ ส่วนที่เช้ือเขา้ ทาลายขยายตวั ลุกลามออกไปใหม่ๆ จะพบสีของ เน้ือเปลือกเป็นสีน้าตาลอ่อนๆ ผดิ กบั สีของเน้ือเปลือกธรรมดาซ่ึงเม่ือถากออกใหม่ๆ จะพบสีของเน้ือ เปลือกเป็นสีน้าตาลอ่อนๆ ผดิ กบั สีของเน้ือเปลือกธรรมดาซ่ึงเมื่อถากออกมาใหม่ๆ จะมีสีค่อนขา้ ง ขาว ลกั ษณะของเน้ือเปลือกที่ถูกทาลายโดยเช้ือและที่ไม่ถูกทาลาย เม่ือไดร้ ับการถากเปลือกที่ดีจะ เห็นขอบเขตของแผลอยา่ งชดั เจน การขยายตวั ลุกลามของอาการเน่าในตน้ ทุเรียน อาจจะเป็ นไป

12 ทางดา้ นขวาง หรือดา้ นต้งั น้นั ข้ึนอยกู่ บั ความรุนแรงของโรค ระยะเวลาและชนิดของพนั ธุ์ทุเรียน หาก แผลเน่าขยายไปตามขวางลุกลามเกินคร่ึงของลาตน้ แลว้ มกั จะพบลกั ษณะอาการใบสลดเหลืองร่วง ดา้ นใดดา้ นหน่ึงของลาตน้ หรือท้งั ตน้ ซ่ึงลกั ษณะอาการจะรุนแรงมากข้ึนในช่วงที่ทุเรียนกาลงั ติดผล และมกั จะพบเสมอวา่ ตน้ ทุเรียนท่ีเป็นโรค มกั จะใหด้ อกมากผดิ ปกติ ซ่ึงจะติดผลไดโ้ ดยมีขนาดเล็ก และหากเป็นโรครุนแรงก็มกั จะเกิดอาการตายเป็นกิ่ง ทรุดโทรม และตายท้งั ตน้ ส่วนลกั ษณะอาการเน่าที่รากน้นั อาจจะพบไดท้ ี่บริเวณรากใหญ่ใกลๆ้ กบั โคน ตน้ ท่ีฝังอยใู่ นดินหรือรากใหญ่โคนตน้ ที่ลอยบนดิน การเขา้ ทาลายของเช้ืออาจจะเขา้ ทางบาดแผลที่ เกิดกบั ราก หรือการเกิดน้าขงั บริเวณโคนตน้ ในช่วงเวลาพอเหมาะที่เช้ือราสาเหตุโรคจะสามารถงอก เขา้ ทาลายส่วนของรากบริเวณโคนตน้ ไดง้ ่าย ลกั ษณะอาการเน่าของรากใหญจ่ ะคลา้ ยกบั อาการเน่าท่ี โคนตน้ ส่วนอาการเน่าบริเวณรากฝอยมกั จะพบเป็นกบั ทุเรียนท่ีปลูกแบบยกร่อง เช่น แถบสวน จงั หวดั นนทบุรี จะพบวา่ รากฝอยหรือรากเล็กท่ีมกั โผล่ออกมาบริเวณขา้ งทอ้ งร่องสวน มกั จะถูก ทาลายโดยเช้ือราพวกไฟทอปธอรา ทาใหเ้ กิดอาการเน่าเป็นสีดา บริเวณปลายรากและส่วนของราก เปลือกของรากจะมีลกั ษณะเป่ื อย เม่ือดึงออกเบาๆ จะขาดออกจากกนั ไดง้ ่าย การป้ องกนั กาจัด วธิ ีที่ดีที่สุด และประหยดั ที่สุด คือ การใชต้ น้ ตอที่ตา้ นทานต่อโรค แตก่ าร คดั เลือกหาพนั ธุ์ตา้ นทานน้นั เป็นเรื่องท่ีคอ่ นขา้ งยกและตอ้ งใชเ้ วลานาน นอกจากน้นั แลว้ ตน้ ตอท่ี ตา้ นทานจะตอ้ งมีคุณสมบตั ิที่จะเขา้ กนั ไดก้ บั ยอดพนั ธุ์ดี เพือ่ ใหก้ ารเจริญเติบโตเป็นไปอยา่ งปกติ และ ใหด้ อกออกผลตามท่ีตอ้ งการ การรักษาโรคโคนเน่าหรือแผลเน่าตามโคนตน้ และกิ่งของทุเรียนน้นั ทาไดโ้ ดย ใชว้ ธิ ีขดู ผวิ เปลือกเน่าออกใหห้ มดใหถ้ ึงเน้ือไม้ โดยการใชส้ ่ิวคมๆ สกดั เอาเน้ือที่เน่าออก แลว้ ทาแผล ดว้ ยปนู แดง หรือสารป้ องกนั กาจดั โรคพชื ท่ีมีธาตุทองแดงเป็นองคป์ ระกอบ ก็สามารถจะลดความ เสียหายไดเ้ ป็นอยา่ งดี หากการสกดั เอาส่วนที่มีเช้ือโรคอยนู่ ้นั ทาไดอ้ ยา่ งหมดจด และบริเวณท่ีเป็น โรคเป็นจุดเล็กๆ ไมก่ วา้ งใหญ่นกั แตถ่ า้ หากโรคขยายตวั ลุกลามออกไปมาก การสกดั เปลือกออก มากๆ น้นั นอกจากจะเป็ นการยากท่ีจะสกดั เอาส่วนท่ีเป็นโรคออกไดอ้ ยา่ งหมดจดแลว้ ยงั ทาใหต้ น้ ทรุดโทรมไดง้ ่าย เน่ืองจากท่ออาหารถูกตดั ขาดออกมากเกินไป เม่ือเกิดอาการโรคที่ลาตน้ และกิ่งจะ สังเกตพบใบเหลืองเป็ นบางก่ิง มีคราบน้าบริเวณเปลือกชดั เจน (สงั เกตเวลาเชา้ ตรู่) เม่ือใชม้ ีดขดู เปลือกบริเวณที่เป็ นคราบน้าจะพบเน้ือเยอื่ เปลือกเป็นสีน้าตาล พบอาการของโรคเล็กนอ้ ย ใหข้ ดู ผวิ เปลือกบริเวณที่เป็ นโรคออกใหห้ มด นาไปเผาทาลายแลว้ ทาแผลดว้ ยปูนแดง หรือสารเมตาแลกซิล 25%ดบั บลิวพี หรือ 35%เอสดี อตั รา 50-60 กรัมต่อน้า 1 ลิตร พบอาการรุนแรง ใชก้ รดฟอสฟอรัส 40% ผสมน้าในอตั รา 1:1 โดยปริมาตร ฉีดอดั เขา้ ลาตน้ หรือก่ิงในบริเวณตรงขา้ มกบั ส่วนที่เป็นโรค หรือส่วนที่เป็นเน้ือไมด้ ีใกลบ้ ริเวณที่เป็นโรค ในอตั รา 20 มิลลิลิตรต่อตน้

13 หากโรคทาลายท่ีรากใหญ่ จะสงั เกตพบใบซีด ไม่สดใส หรือใบเหลือง และใบ เริ่มหลุดร่วงจากปลายกิ่ง มกั เป็นอาการเร้ือรัง เกิดข้ึนซ้าซากทุกปี โรคเข้าทาลายที่ระบบรากฝอย จะ สังเกตพบอาการยอดแหง้ ใบหมอง ไม่สดใส โรคเข้าทาลายบริเวณคอดิน จะสังเกตพบอาการใบ หมอง ไม่สดใส ใบสลดคลา้ ยอาการขาดน้า ถา้ อาการรุนแรง ใบจะแหง้ ตายน่ึง และยนื ตน้ ตาย รักษา อาการโดยใชส้ ารเมตาแลกซิล 80%ดบั บลิวพี อตั รา 200 กรัมต่อน้า 20 ลิตร ราดใตท้ รงพมุ่ ใหท้ ว่ั พร้อมกบั กระตุน้ การเจริญเติบโตของรากดว้ ยป๋ ุยเกลด็ ทางใบสูตร 15-30-15 หรือ 20-20-20 ที่มีธาตุ ปริมาณนอ้ ย อตั รา 60 กรัมร่วมกบั กรดฮิวมิค อตั รา 100 มิลลิลิตร ในน้า 20 ลิตร ราดใหท้ ว่ั ใตท้ รงพมุ่ แลว้ ใชเ้ ศษซากพืชคลุมโคนตน้ ไว้ ใหน้ ้าสม่าเสมอ ปฏิบตั ิเช่นน้ีสัปดาห์ละคร้ัง รวม 2-3 คร้ังติดตอ่ กนั หากโรคเข้าทาลายใบ จะพบอาการใบช้า ดา ตายน่ึง คลา้ ยน้าร้อนลวก แสดง อาการเฉียบพลนั ภายใน 3 วนั ใบจะไหมแ้ หง้ อยบู่ นตน้ ไมห่ ลุดร่วง พ่นดว้ ยสารเมตาแลกซิล อตั รา 30-50 กรัม หรือสารอีฟอไซทอ์ ลูมินมั่ 80%ดบั บลิวพี อตั รา 30-50 กรัม หรือกรดฟอสฟอรัส อตั รา 50 มิลลิลิตรต่อน้า 20 ลิตร ใหท้ วั่ ท้งั ภายในและภายนอกทรงพุม่ 4.2 โรคใบติด เป็นโรคที่พบเห็นเสมอๆ ในแปลงปลูกทุเรียน โดยเฉพาะในแหล่ง ปลูกที่มีความช้ืนสูง และมกั พบกบั ทุเรียนที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง มีทรงพมุ่ หนาทึบ โรคน้ีเกิดจาก เช้ือราไรซอกโทเนีย (Rhizoctonia sp.) ซ่ึงเขา้ ทาลายไดด้ ีในช่วงใบอ่อน ทาใหใ้ บไหมค้ ลา้ ยน้าร้อน ลวกในช่วงใบออ่ น และใบไหมแ้ หง้ สีน้าตาลเทาในช่วงใบแก่ ใบท่ีเป็นโรคจะร่วงหล่นเหลือแตก่ ่ิง ทา ใหต้ น้ ทรุดโทรม ลักษณะอาการ เช้ือราจะเขา้ ทาลายไดด้ ีในฤดูฝน และมกั พบอาการบนใบอ่อนท่ีคลี่แลว้ ใบท่ีถูก ทาลายจะเป็นจุดฉ่าน้าสีน้าตาลออ่ นซ่ึงจะขยายใหญข่ ้ึน รูปร่างไม่แน่นอนคลา้ ยน้าร้อนลวก เม่ือใบ เร่ิมแก่แผลกจ็ ะเริ่มเปล่ียนเป็ นสีน้าตาล อาการไหมอ้ าจจะเกิดบริเวณขอบใบดา้ นปลายใบ กลางใบ หรือไหมท้ ้งั ใบ ที่อยใู่ กลเ้ คียงอาจจะถูกทาลายโดยเช้ือราจะสร้างเส้นใยเขา้ ไปทาลายและยดึ ใบใหอ้ ยู่ ติดกนั โดยจะสังเกตเห็นใยสีน้าตาลอ่อนยดึ อยเู่ ป็ นแผงระหวา่ งใบ ใบเป็นโรคหรือใบที่ไหมแ้ ลว้ ร่วง หล่น และคา้ งอยบู่ นใบอ่อนที่อยถู่ ดั ลงมา เช้ือราก็สามารถจะเขา้ ทาลายใบน้นั ได้ ทาใหเ้ กิดอาการไหม้ ลามเป็นหยอ่ มๆ และใบไมท้ ่ีร่วงหล่นลงบริเวณโคนตน้ ยงั เป็นแหล่งสะสมโรค และเป็นตวั แพร่ ระบาดของโรคไดด้ ีอีกดว้ ย การป้ องกนั กาจัด ตน้ ทุเรียนท่ีมีทรงพุม่ โปร่ง มีใบนอ้ ย มกั จะไม่คอ่ ยถูกทาลายดว้ ยโรคใบติด การ ตดั แตง่ กิ่งทุเรียน ถา้ ตดั แต่งมากเกินไปอาจจะลดความเสียหายจากโรคน้ี แต่ก็ทาใหต้ น้ ทรุดโทรม และ กิ่งกา้ นสาขาจะถูกแสงแดดเผามากเกินไป ดงั น้นั การตดั แต่งกิ่งทุเรียนจึงควรปฏิบตั ิใหเ้ หมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ ม ซ่ึงอาจจะพบกบั ปัญหาโรคใบติดบา้ ง แต่ก็สามารถท่ีจะแกไ้ ขไดไ้ ม่ยากนกั

14 ในกรณีท่ีพบใบหรือกลุ่มใบท่ีเป็นโรคเพยี งเล็กนอ้ ยใหต้ ดั ทิง้ แลว้ นาส่วนท่ีเป็น โรคไปเผาเสีย ถา้ อาการรุนแรงใหพ้ น่ ดว้ ยสารคาร์เบนดาซิม 60%ดบั บลิวพี อตั รา 10 กรัมต่อน้า 20 ลิตร และควรเกบ็ เศษใบไหมแ้ หง้ ที่ร่วงหล่นอยบู่ ริเวณโคนตน้ เผาทาลายเสีย เพือ่ ลดปริมาณแหล่ง สะสมเช้ือโรคในแปลง ท้งั ยงั จะช่วยใหก้ ารระบาดของโรคในปี ตอ่ ไปลดนอ้ ยลงดว้ ย 4.3 โรคจดุ สนิม เกิดจากสาหร่ายสีเขียว (Cephaleuros virescence) เขา้ ทาลายใบ และกิ่งของทุเรียน ซ่ึงมีความช้ืนสูงเหมาะสมในการเจริญเติบโตของสาหร่ายพวกน้ี ลักษณะอาการ อาการเร่ิมแรกที่พบเห็นบนใบทุเรียนจะเป็นจุดเลก็ ๆ นูนข้ึนจากผวิ ใบเลก็ นอ้ ย ขอบของจุดบนใบน้ีจะไมเ่ รียบ มีลกั ษณะเป็นแฉกๆ สีคอ่ นขา้ งเขียวปนเทา จุดเล็กๆ เหล่าน้ีจะขยาย ใหญข่ ้ึนในสภาพความช้ืนสูงและไดร้ ับแสงแดดเพียงพอ ซ่ึงเม่ือสาหร่ายแก่ข้ึนก็จะเปลี่ยนเป็นสี น้าตาลแดง ซ่ึงเป็นระยะท่ีสาหร่ายเขา้ สู่ระยะการขยายพนั ธุ์เพือ่ แพร่กระจายไปยงั ส่วนของตน้ พชื ได้ อีก สาหร่ายท่ีข้ึนบนใบน้ีจะไมท่ าความเสียหายใหก้ บั ทุเรียนมากนกั นอกจากจะบดบงั เน้ือท่ีใบที่จะ ใชใ้ นการสังเคราะห์แสงใหน้ อ้ ยลงกวา่ เดิม แต่ถา้ สาหร่ายพวกน้ีเขา้ ทาลายตามก่ิงของทุเรียนแลว้ กจ็ ะ ทาใหเ้ กิดอาการก่ิงแหง้ ทรุดโทรมทาความเสียหายกบั ทุเรียน โดยเฉพาะทุเรียนตน้ อ่อนอายุ 1-2 ปี ซ่ึง ยงั มีทรงพุม่ ไม่หนาทึบ ทาใหก้ ่ิงกา้ นสาขาไดร้ ับแสงแดด ประกอบกบั ในช่วงที่มีความช้ืนสูง สาหร่าย ชนิดน้ีสามารถข้ึนเจริญเติบโต โดยจะเห็นลกั ษณะคลา้ ยขนหรือกามะหยส่ี ีแดงหรือน้าตาลแดงข้ึน เป็นหยอ่ มๆ ตามบริเวณกิ่งกา้ นของทุเรียน ซ่ึงถา้ ถากเปลือกบริเวณท่ีสาหร่ายข้ึนจะเห็นวา่ เน้ือของ เปลือกจะเปล่ียนสีเป็นสีเหลืองปนส้ม ตอ่ มาบริเวณเปลือกทุเรียนจะแหง้ และแตกระแหง ซ่ึงทาใหก้ ่ิง แหง้ และทรุดโทรมไดใ้ นเวลาต่อมา การป้ องกนั กาจัด แปลงทุเรียนที่มีการพ่นสารป้ องกนั กาจดั โรคและแมลงอยา่ งสม่าเสมอมกั จะไม่ พบการระบาดของสาหร่ายพวกน้ี ซ่ึงสารเคมีป้ องกนั กาจดั โรคพชื ทว่ั ไป กส็ ามารถป้ องกนั กาจดั สาหร่ายไดด้ ี เช่น คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ (copper oxychloride) เป็นตน้ 4.4 โรคราสีชมพู จะทาความเสียหายในแหล่งปลูกท่ีมีความช้ืนสูง โดยเฉพาะ ในช่วงฤดูฝน และระบาดไดร้ ุนแรงในสวนท่ีไม่ไดร้ ับการดูแลรักษาที่ดี โรคน้ีเกิดจากเช้ือราคอร์ที เช่ียม (Corticium salmonicolor) สามารถเขา้ ทาลายกิ่งทุเรียน ทาใหเ้ กิดอาการกิ่งแหง้ ใบเหลืองร่วง และมกั ระบาดมากกบั ตน้ ทุเรียนท่ีมีทรงพมุ่ หนาทึบ ลักษณะอาการ เม่ือดูจากทรงพมุ่ ภายนอกจะเห็นอาการใบเหลืองร่วงเป็ นหยอ่ มๆ ซ่ึงอาการ ภายนอกจะคลา้ ยกบั อาการกิ่งแหง้ และใบร่วงท่ีเกิดจากโรคโคนเน่า แต่สาหรับอาการของโรครา

15 สีชมพู จะเห็นเส้นใยของเช้ือราข้ึนปกคลุมบริเวณโคนก่ิงท่ีมีใบแหง้ น้นั เช้ือราน้ีเมื่อเขา้ ทาลายเร่ิมแรก จะมีเส้นใยสีขาว ซ่ึงเมื่อเจริญลุกลามและอายมุ ากข้ึนกจ็ ะเปล่ียนเป็นสีชมพู ซ่ึงเป็นช่วงที่เช้ือราสร้าง ส่วนที่จะขยายพนั ธุ์เพอ่ื การแพร่ระบาดไปยงั ตน้ อ่ืนๆ ต่อไป ส่วนของกิ่งท่ีเช้ือราข้ึนปกคลุม เมื่อถาก ออกดูจะเห็นเน้ือเปลือกแหง้ เป็นสีน้าตาล การป้ องกนั กาจัด การป้ องกนั กาจดั จะง่ายและไดผ้ ลดี หากเกษตรกรชาวสวนหมน่ั ตรวจดูในแปลง ปลูกเสมอๆ เม่ือพบลกั ษณะอาการที่เช้ือราเริ่มเขา้ ทาลาย ควรรีบป้ องกนั กาจดั เสียแต่เนิ่นๆ ดว้ ยการ ถากบริเวณที่เช้ือราเขา้ ทาลายออกเผาทาลายเสีย แลว้ ทาแผลดว้ ยสารป้ องกนั กาจดั โรคพชื คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ หรือถา้ ก่ิงท้งั ก่ิงถูกทาลายกท็ าการตดั ทิง้ แลว้ ทารอยตดั ดว้ ยสารป้ องกนั กาจดั โรคพชื ดงั กล่าว ถา้ โรคระบาดรุนแรง พน่ ดว้ ยสารคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 85%ดบั บลิวพี อตั รา 50 กรัม หรือสารคาร์เบนดาซิม 60%ดบั บลิวพี อตั รา 10 กรัมต่อน้า 20 ลิตร ใหท้ วั่ โดยเนน้ พน่ บริเวณ ก่ิงในทรงพมุ่ การตดั แต่งก่ิงทุเรียนที่เหมาะสมในช่วงหลงั เกบ็ เกี่ยวทุกปี เป็นการทาใหต้ น้ ทุเรียนไดร้ ับแสงแดด และอากาศถ่ายเทไดด้ ี จะช่วยใหล้ ดการระบาดของโรคราสีชมพไู ดอ้ ีกวธิ ีหน่ึง 4.5 โรคใบไหม้ โรคใบไหมเ้ ป็ นโรคที่พบระบาดอยา่ งกวา้ งขวางในช่วงไม่ก่ีปี มาน้ี ส่วนใหญ่เป็ นกบั ทุเรียนพนั ธุ์ชะนีและหมอนทอง ลักษณะอาการ ลกั ษณะอาการจะมองดูคลา้ ยโรคใบติด กล่าวคือ ใบจะไหมเ้ ป็นสีน้าตาลมกั จะ เกิดตามบริเวณขอบใบหรือกลางใบ บริเวณเน้ือใบที่ไหมจ้ ะเป็นสีน้าตาลอ่อน โดยมีขอบสีน้าตาลเขม้ ลอ้ มรอบ เน้ือใบที่ถูกทาลายจะมองดูโปร่งใส ใบท่ีไหมจ้ ะยงั คงติดอยตู่ ามก่ิงที่เป็ นปกติ ซ่ึงตอ่ มาจะ ร่วงหล่นไป โรคน้ีพบไดท้ ้งั ฤดูฝนและฤดูแลง้ แต่จะมองเห็นอาการไดง้ ่ายและชดั เจนในช่วงฤดูแลง้ ซ่ึงทุเรียนกาลงั ออกดอก ติดผล จากการแยกเช้ือจากใบที่เป็นโรคจะพบเช้ือราพวก Colletotrichum spp. ร่วมอยดู่ ว้ ยเสมอๆ การป้ องกนั กาจัด เนื่องจากยงั ไม่ทราบสาเหตุท่ีแน่ชดั แตพ่ บวา่ เช้ือราพวก Colletotrichum spp. มี แนวโนม้ ที่จะเป็ นสาเหตุของโรคน้ีไดม้ ากกวา่ เช้ือราชนิดอ่ืน ดงั น้นั เม่ือพบอาการโรค พน่ ดว้ ยสาร เบนโนมิล อตั รา 10 กรัมต่อน้า 20 ลิตร หรือคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ อตั รา 50 กรัมต่อน้า 20 ลิตร

16 4.6 เพลี้ยไก่แจ้ (Tenaphalara malayensis Crawford) ลักษณะการเข้าทาลายและการแพร่ ระบาด แมลงชนิดน้ีสามารถทาความเสียหายใหก้ บั ทุเรียนไดท้ ้งั ตวั อ่อนและตวั แก่ โดย การดูดกินน้าเล้ียงจากใบอ่อนของทุเรียนทาใหใ้ บอ่อนหงิกงอหยดุ การเจริญเติบโต ถา้ อาการรุนแรง มากจะทาใหใ้ บอ่อนหลุดร่วงไปท้งั ตน้ ทาใหย้ อดทุเรียนแหง้ ตาย ตวั อ่อนจะทาความเสียหายใหก้ บั ตน้ ทุเรียนไดม้ ากกวา่ ตวั แก่และจะระบาดมากในช่วงที่ทุเรียนแตกใบอ่อน การป้ องกนั กาจัด ในระยะท่ีทุเรียนแตกใบอ่อน ควรพน่ ดว้ ยสารคาร์บาริล 85%ดบั บลิวพี อตั รา 10 กรัม หรือสารแลมป์ ดาไซฮาโลทริน 2.5%อีซี อตั รา 10 มิลลิลิตร หรือสารไซเปอร์เมทริน/โฟซาโลน 6.25%/22.5%เอสซี อตั รา 40 มิลลิลิตรต่อน้า 20 ลิตร ทุก 7-10 วนั เมื่อสารวจพบวา่ ยอดทุเรียนยงั ถูก ทาลายมากกวา่ 30%ของยอดท้งั ตน้ 4.7 มอดเจาะลาต้น (Xyleborus Fornicatus Eichhoff) ลกั ษณะการเข้าทาลายและการแพร่ระบาด มอดเจาะลาตน้ น้ี สามารถเจาะกินเขา้ ไปในลาตน้ และกิ่งทุเรียนไดท้ ้งั ตวั หนอน และตวั เตม็ วยั ทาใหเ้ กิดรูพรุนตามโคนตน้ และบริเวณปากรูจะพบข้ีหนอนลกั ษณะขยุ ละเอียดอยู่ ทว่ั ไป โดยปกติมกั พบการทาลายบริเวณโคนตน้ สูงจากพ้ืนดินไม่เกิน 2.5 เมตร มอดจะเจาะกินลาตน้ หรือกิ่งสักประมาณ 2-3 เซนติเมตร ซ่ึงถา้ เป็นทุเรียนตน้ เลก็ จะทาใหต้ น้ ตายได้ มอดชนิดน้ีจะระบาด ตลอดท้งั ปี ในบริเวณที่เป็นแหล่งปลูกทุเรียน การป้ องกนั กาจัด เม่ือพบมอดเจาะทาลายตน้ หรือกิ่ง ควรพน่ ดว้ ยสารคลอไพรีฟอส 40%อีซี อตั รา 20-40 มิลลิลิตรต่อน้า 20 ลิตร เฉพาะบริเวณท่ีพบการทาลายของมอด และควรเผาทาลายกิ่งแหง้ ของ ทุเรียนท่ีถูกมอดทาลาย 4.8 ไรแดง (Eutetranychus africanus Tucker) ลักษณะการเข้าทาลายและการแพร่ ระบาด ตวั อ่อนและตวั เตม็ วยั ของไรแดงจะดูดกินน้าเล้ียงจากใบ ผล และกิ่งออ่ นของตน้ ทุเรียน ทาใหบ้ ริเวณที่ถูกทาลายเป็นจุดสีจางกวา่ บริเวณโดยรอบ ต่อมาจุดน้ีจะค่อยๆ ลามขยาย ออกไปทวั่ จนมีสีเทา หรือสีตะกว่ั ในกรณีท่ีระบาดมากๆ ก็จะทาใหใ้ บและผลอ่อนร่วงหล่นได้ และ อาจทาใหผ้ ลอ่อนที่ถูกทาลายแคระแกร็น ไม่เจริญเติบโต มกั พบระบาดหลงั ฝนหยดุ หรือฝนทิ้งช่วง

17 การป้ องกนั กาจัด เม่ือพบอาการใบแก่ซีด ใบแหง้ และร่วง และพบมากกวา่ 25%ของใบแก่ท้งั ตน้ พน่ ดว้ ยสารโพรพาร์ไกต์ 30%ดบั บลิวพี อตั รา 30 กรัมต่อน้า 20 ลิตร หรือสารเฮกซีไทอะซอกซ์ 2% อีซี อตั รา 40 มิลลิลิตรต่อน้า 20 ลิตร

18 ปัจจัยทชี่ ่วยทาให้ทุเรียนพร้อมเพอ่ื การออกดอกและตดิ ผล1 ความสาคญั ของการออกดอกและติดผลในทเุ รียน ความสาเร็จในการทาสวนทุเรียน ข้ึนอยกู่ บั ความสามารถของชาวสวนในการควบคุม ผลผลิตและคุณภาพไดม้ ากนอ้ ยเพียงใด หรือสามารถในการ “สั่งได”้ วา่ จะใหผ้ ลผลิตออกสู่ตลาด เม่ือไร ปริมาณเทา่ ไร และมีคุณภาพดีอยา่ งไร เพราะผลตอบแทนจากการทาสวนไมว่ า่ จะเป็นราคา ของผลผลิตหรือรายไดข้ องชาวสวนทุเรียนข้ึนอยกู่ บั ปริมาณของผลผลิต เวลาท่ีผลผลิตออกสู่ตลาด และคุณภาพของผลผลิตเป็นหลกั การกาหนดราคาของผลผลิตทุเรียนนอกจากพจิ ารณาจากอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ซ่ึงเป็นหลกั การพ้ืนฐานทว่ั ๆ ไปแลว้ ยงั มีการนาเอาคุณภาพของ ผลผลิตมาประกอบการพิจารณาดว้ ย คือ มีการแบ่งผลผลิตทุเรียนออกเป็ นผลผลิตท่ีมีคุณค่าทาง การตลาด (Marketable Yield) และผลผลิตท่ีดอ้ ยคุณคา่ ทางการตลาด (Unmarketable Yield) ในส่วน ของผลผลิตท่ีมีคุณคา่ ทางการตลาดยงั แบง่ ออกตามเกรด หรือช้นั ความแตกตา่ งของคุณภาพ ซ่ึงการ กาหนดราคาของผลผลิตกแ็ ตกต่างกนั ตามช้นั หรือเกรดน้นั ๆ สาหรับผลผลิตที่ดอ้ ยคุณค่าทาง การตลาดประกอบดว้ ยผลผลิตท่ีเน่าเสีย เน่ืองจากโรคหรือแมลงเขา้ ทาลาย ผลผลิตที่มีขนาดเลก็ หรือ ใหญเ่ กินไป รูปทรงบิดเบ้ียว และมีอาการแกน เตา่ เผา หรือไส้ซึมมาก ซ่ึงจดั เป็นผลผลิตท่ีดอ้ ยคุณภาพ มีการเหมาขายกนั ในราคาถูก ไมน่ ิยมซ้ือขายกนั ดว้ ยวธิ ีปกติเพ่ือการบริโภคผลสด ทุเรียนเป็ นพืชที่มีการออกดอกติดผลตามฤดูกาล มีช่วงฤดูการผลิตส้นั เพยี ง 2-3 เดือนต่อปี การกระจายของผลผลิตไม่สม่าเสมอตลอดช่วงฤดูการผลิต ผลผลิตมากกวา่ 50% ออกสู่ตลาดพร้อม กนั ในช่วงเวลาเพยี ง 2 สปั ดาห์ ทาใหร้ าคาของผลผลิตทุเรียนแตกต่างกนั มากตลอดฤดูกาล เช่นในปี 2531/2532 ที่จงั หวดั จนั ทบุรี ราคาผลผลิตทุเรียนพนั ธุ์ชะนีช่วงปลายเดือนมีนาคมสูงถึง 85 บาทต่อ กิโลกรัม แตเ่ มื่อถึงช่วงกลางเดือนมิถุนายน ราคาลดลงเหลือเพยี ง 8-12 บาทต่อกิโลกรัม ซ่ึงราคาของ ผลผลิตทุเรียนมีการเปล่ียนแปลงเร็วมาก บางช่วงราคาลดลงถึง 5 บาทต่อกิโลกรัมตอ่ วนั ทาให้ ชาวสวนทุเรียนมีรายไดแ้ ตกตา่ งกนั มาก ดงั น้นั การทาสวนทุเรียนใหไ้ ดผ้ ลตอบแทนท่ีคุม้ ค่า จะตอ้ งมี วธิ ีการจดั การใหก้ ารออกดอก ติดผล และคุณภาพของทุเรียนเป็นไปตามความตอ้ งการของเรา (เจา้ ของสวน) ใหไ้ ดม้ ากท่ีสุด ซ่ึงการจดั การท่ีไดผ้ ลข้ึนอยกู่ บั พ้ืนฐานของความเขา้ ใจเรื่อง “ปัจจัยที่ ช่วยทาให้ทุเรียนพร้อมเพอื่ การออกดอกและตดิ ผล” วา่ มีมากนอ้ ยเพียงใด การออกดอกของทุเรียน แนวคิดสาหรับใชอ้ ธิบายการออกดอกของทุเรียนในปัจจุบนั ยงั ไม่ไดร้ ับพสิ ูจน์ยนื ยนั อยา่ งแน่ชดั ซ่ึงแนวคิดท่ีไดร้ ับการยอมรับอยา่ งกวา้ งขวางโดยมีขอ้ มลู การวจิ ยั รองรับน้นั มีอยู่ 2 แนวคิด คือ 1 สุขวฒั น์ จนั ทรปรรณิก ผตู้ รวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อมั พกิ า ปนุ นจิต อคั รราชฑดู ที่ปรึกษา กระทรวงพาณิชย์ เสริมสุข สลกั เพช็ ร์ ผอู้ านวยการศนู ยว์ ิจยั พชื สวนจนั ทบุรี กรมวชิ าการเกษตร

19 1. ความสมดุลของพลังงาน (Energy balance) คือ การพิจารณาการสะสมและการใช้ พลงั งานในรูปของคาร์โบไฮเดรตของทุเรียนตลอดฤดูการผลิต ควบคู่กบั ปัจจยั สภาพแวดลอ้ ม ซ่ึง แนวคิดน้ีเช่ือวา่ การออกดอกของทุเรียนข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั หลกั 2 ประการ คือ ความพร้อมของตน้ และ สภาพแวดลอ้ มเหมาะสม กล่าวคือ ตน้ ทุเรียนจะตอ้ งสะสมพลงั งานเพื่อสร้างความพร้อมของตน้ ในรูป ของปริมาณการสะสมคาร์โบไฮเดรตในตน้ และใบใหส้ ูงพอในขณะที่สภาพแวดลอ้ มเหมาะสมเพราะ สภาพความพร้อมของตน้ จะเปล่ียนแปลงเป็นวฏั จกั ร ตามปริมาณการใชแ้ ละสะสมของพลงั งาน เช่น หลงั จากเกบ็ เกี่ยวผลผลิตแลว้ ตน้ ทุเรียนจะสูญเสียพลงั งานในรูปของคาร์โบไฮเดรตมาก จึงตอ้ งมีการ สะสมพลงั งานข้ึนทดแทน โดยการสังเคราะห์แสงท่ีใบเพื่อให้ไดพ้ ลงั งานเพียงพอ เมื่อมีการสะสม พลงั งานไดร้ ะดบั หน่ึงแลว้ จะมีการแตกใบอ่อนเพื่อทดแทนใบเก่าท่ีเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพในการ สังเคราะห์แสง และการสะสมพลังงานในขณะที่พืชแตกใบอ่อนน้ัน ระดับของพลังงาน (คาร์โบไฮเดรต) ที่สะสมอยใู่ นใบหรือในตน้ จะลดลง เนื่องจากพลงั งานท่ีสะสมอยถู่ ูกดึงมาใชใ้ นการ พฒั นาการของใบออ่ น พลงั งานจะค่อยๆ เพิ่มข้ึนเมื่อใบอ่อนเริ่มคลี่และขยายขนาดจนเป็ นใบเพสลาด (ใบท่ีขยายเต็มท่ีแล้ว แต่ยงั ไม่แก่) เพราะใบสามารถสังเคราะห์แสงเองได้ ความสามารถในการ สังเคราะห์แสงจะเพ่ิมข้ึนตามขนาดของใบ ปริมาณพลงั งานท่ีสะสมอยใู่ นใบจะสูงสุดเม่ือใบแก่และ ผา่ นช่วงเวลาในการสังเคราะห์แสงมานานพอ เม่ือสภาพแวดลอ้ มเหมาะสมพลงั งานส่วนหน่ึงจะถูก นาไปใช้ในการสร้างและพฒั นาการของตาดอก พลงั งานส่วนเกินจะถูกใชใ้ นการเจริญเติบโตหรือ เคลื่อนยา้ ยไปสะสมในส่วนอื่นๆ ของพืช เช่น ใชใ้ นการแตกใบออ่ น การขยายขนาดของลาตน้ หรือกิ่ง และการเจริญเติบโตของราก เพ่ือเป็ นการรักษาประสิทธิภาพในการทาหน้าท่ีของใบ และรากให้ สมบรู ณ์ พลงั งานที่สะสมไวถ้ ูกดึงไปใชท้ าใหพ้ ลงั งานท่ีสะสมลดลง ดงั น้นั พืชจะตอ้ งใชเ้ วลาอีกระยะ หน่ึงในการสร้างและสะสมพลังงานให้เพียงพอท่ีจะใช้ในการสร้างตาดอกต่อไป จนกระทั่ง สภาพแวดลอ้ มเหมาะสม จึงเกิดการกระตุน้ หรือชกั นาให้เกิดตาดอกข้ึน และมีการพฒั นาการต่อไป ดงั น้นั แนวคิดน้ีจึงถือวา่ การสร้างความพร้อมของตน้ ในเวลาท่ีสภาพแวดลอ้ มเหมาะสมเป็ นหวั ใจใน การออกดอกของทุเรียน 2. ความสมดุลของฮอร์โมนพชื (Balance of hormone) แนวคิดน้ีเชื่อวา่ การเปลี่ยนแปลง ท้งั หลายของพืชเกิดจากการกระตุน้ หรือส่งั การจากฮอร์โมนพชื แตล่ ะชนิด หรือพร้อมๆ กนั หลาย ชนิด ในทุเรียนมีนกั วชิ าการหลายทา่ นเช่ือวา่ การเปล่ียนสถานภาพจากการเจริญเติบโตทาง กิ่งกา้ นสาขา (Vegetative growth) ไปสู่การเจริญพนั ธุ์ (Reproductive growth) น้นั มีส่วนสมั พนั ธ์กบั ปริมาณฮอร์โมนพชื ที่มีชื่อวา่ “จิบเบอเรลลิน” (Gibberellin) ถา้ ปริมาณของจิบเบอเรลลินสูงพชื จะ เจริญเติบโตทางกิ่งกา้ นสาขา เม่ือปริมาณลดลงถึงระดบั หน่ึงจะเกิดการสร้างและพฒั นาการของตา ดอกข้ึน โดยใชข้ อ้ มลู สนบั สนุนแนวคิดน้ี คือ การเจริญเติบโตทางดา้ นใบและก่ิงกา้ นสาขาของทุเรียน ในฤดูฝนน้นั เน่ืองมาจากฝนทาใหธ้ าตุไนโตรเจนในดินเปล่ียนเป็นรูปที่มีประโยชน์มากข้ึน พชื สามารถดูดไปใชไ้ ดม้ ากทาใหป้ ริมาณธาตุไนโตรเจนในพืชสูง เน่ืองมาจากธาตุไนโตรเจนมีส่วน

20 สาคญั ในการสร้างฮอร์โมนจิบเบอเรลลิน จึงมีผลทาให้จิบเบอเรลลินในทุเรียนระหวา่ งฤดูฝนสูงข้ึน ตามไปดว้ ย ทุเรียนจึงไม่มีการออกดอกในระหวา่ งฤดูฝน ซ่ึงจากแนวคิดน้ีการออกดอกของทุเรียน จะตอ้ งจดั การใหพ้ ืชใชธ้ าตุไนโตรเจนไดน้ อ้ ยลง โดยการใส่ป๋ ุยฟอสฟอรัส (ป๋ ุยตวั กลาง) ใหส้ ูงเพ่อื ไปกดการทางานของธาตุไนโตรเจน (ป๋ ุยตวั หนา้ ) ลง มีผลทาใหป้ ริมาณฮอร์โมนจิบเบอเรลลินล ดนอ้ ยลงดว้ ย หรือการปล่อยใหด้ ินแหง้ ก็เป็ นการทาใหฮ้ อร์โมนจิบเบอเรลลินลดนอ้ ยลงได้ เพราะพืช ดูดธาตุไนโตรเจนไปใชไ้ ดน้ อ้ ยลง หรือการใชส้ ารควบคุมการเจริญเติบโตพืชท่ีสามารถลดการ สังเคราะห์ฮอร์โมนจิบเบอเรลลินฉีดพน่ ในทุเรียน เป็นตน้ แนวคิดท้งั สองน้ียงั ไม่มีผใู้ ดกลา้ ระบุแน่ชดั วา่ แนวคิดไหนถูกตอ้ ง จะตอ้ งรอ ผลงานวจิ ยั เพ่ือนามาใชเ้ ป็นเครื่องมือในการพิสูจน์ตอ่ ไป แตใ่ นฐานผใู้ ชป้ ระโยชน์ ผเู้ ขียนคิดวา่ ชาวสวนน่าจะนาแนวคิดท้งั สองมาพิจารณา และเลือกปรับใชใ้ นส่วนท่ีไดผ้ ลจากท้งั สองแนวคิด ซ่ึง เมื่อพิจารณาแลว้ มีความเป็นไปไดว้ า่ แนวคิดท้งั สองน้ีมาจากพ้นื ฐานเดียวกนั แตม่ องคนละมุม หรือ คนละจุด ซ่ึงอาจจะรวมแนวคิดท้งั สองเขา้ ดว้ ยกนั ไดด้ งั น้ี คือสภาพแวดลอ้ ม และความพร้อมของตน้ เก่ียวขอ้ งกบั การสังเคราะห์ฮอร์โมนพชื โดยทาใหส้ ัดส่วนของฮอร์โมนพืชในตน้ เปลี่ยนแปลงไป จนถึงจุดท่ีเหมาะสมต่อการชกั นาใหเ้ กิดตาดอก และจะมีการพฒั นาการที่ตอ่ เน่ืองจนเป็นดอกและผล ตอ่ ไป เม่ือพชื มีพลงั งานสะสมเพยี งพอ การพฒั นาการของดอกทเุ รียน การเกิดและพฒั นาการของดอกทุเรียน เกิดข้ึนหลงั จากตน้ ทุเรียนมีการเจริญเติบโตของใบ และก่ิงกา้ นสาขา (Vegetative growth) ระยะหน่ึง และเมื่อไดร้ ับการชกั นาใหเ้ กิดตาดอก (Floral induction) จะโดยปัจจยั จากตน้ ทุเรียนเอง และ/หรือจากสภาพแวดลอ้ มอยา่ งเพยี งพอกจ็ ะเกิดการ เปลี่ยนแปลงกระบวนการสรีรวทิ ยา (Evocation) จนผา่ นจุดท่ีการพฒั นาการไม่ยอ้ นกลบั (Point of no return) จะมีการสร้างจุดกาเนิดของดอกอยใู่ ตเ้ ปลือกของก่ิง การพฒั นาการของดอกจะดาเนินตอ่ ไป จนดอกโผล่พน้ ผวิ เปลือกของก่ิงออกมา เราเรียกดอกระยะน้ีวา่ ระยะไข่ปลา จากขอ้ มลู เบ้ืองตน้ พบวา่ ดอกทุเรียนในระยะที่ยงั ไม่โผล่ข้ึนมาจากผวิ เปลือกของกิ่งจนถึงดอกในระยะไขป่ ลาน้ีจะมีการพกั ตวั หรือหยดุ การพฒั นาการ ถา้ สภาพแวดลอ้ มโดยเฉพาะความช้ืนดินหรือปริมาณฝนมากหรือนอ้ ย ต่อเนื่องนานเกินไป ดงั น้นั จะตอ้ งจดั การดินและน้าในระยะการพฒั นาการของดอกระยะน้ีให้ เหมาะสมเพื่อใหก้ ารพฒั นาการของดอกต่อไปจนถึงระยะดอกบาน หรือในกรณีที่การเปล่ียนแปลง ทางสรีรวทิ ยาก่อนถึงจุดการพฒั นาไมย่ อ้ นกลบั เกิดมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดลอ้ ม หรือปัจจยั อื่นในลกั ษณะท่ีไมส่ ่งเสริมการชกั นาใหเ้ กิดตาดอก เน้ือเยอ่ื หรือจุดกาเนิดของดอกที่กาลงั พฒั นาเป็น ตาดอกน้นั มีโอกาสน้นั มีโอกาสเปล่ียนเป็นตาใบไดต้ ามรายละเอียดในแผนภมู ิที่ 1

21 สภาพแวดล้อม สมดลุ ฮอร์โมนพืช เหมาะสม จุดพฒั นาไม่ยอ้ นกลบั การเจริญทาง ช่วงชกั นา จุดกาเนิดตาดอก ตาดอกผลิ ก่ิงกา้ นสาขา ใหเ้ กิดตาดอก ดอกบาน x การเปล่ียนแปลงกระบวนการ ช่วงการเพม่ิ ช่วงการพฒั นาการ อาหารสะสม ทางสรีรวทิ ยา ขนาดและจานวน ของตาดอก เซลลใ์ นตาดอก แผนภูมิท่ี 1 การเกิดและการพฒั นาการของดอกทุเรียน การติดผลของทุเรียน การติดผล หมายถึง “การเปล่ียนแปลงจากดอกไปเป็นผลออ่ น” ในทุเรียนการติดผลจะ เกิดข้ึนหลงั จากประสบความสาเร็จในการผสมเกสร โดยเกิดข้ึนหลงั จากละอองเกสร (Pollen grain) ตกไปอยบู่ นปลายเกสรตวั เมีย (Stigma) ซ่ึงเรียกขบวนการน้ีวา่ การถ่ายละอองเกสร (Pollination) ละอองเกสรน้นั จะงอกหลอดละอองเกสร (Pollen tube) ข้ึนไปตามท่อในกา้ นเกสรตวั เมียจนถึงไข่ (Ovule) แลว้ ปลดปล่อยสารประกอบเกี่ยวกบั พนั ธุกรรม (Generative nuclei) เขา้ ผสมกบั ไข่ ทาใหเ้ กิด การเปล่ียนแปลงทางสรีรวทิ ยาข้ึนภายในไข่แลว้ มีการแบ่งเซลลแ์ ละขยายขนาดข้ึน เรียกวา่ เกิดการ ปฏิสนธิ (Fertilization) ซ่ึงถือวา่ สิ้นสุดกระบวนการผสมเกสร และเป็นจุดหวั เล้ียวหวั ตอ่ ในการ เปล่ียนแปลงสภาพจากดอกเป็นผล เป็นจุดเริ่มตน้ การพฒั นาการของผลทุเรียน ดงั น้นั การติดผลควร จะเกิดข้ึนในช่วงเวลาดงั กล่าว ซ่ึงอาจกล่าวไดว้ า่ ทุเรียนจะติดผลหลงั จากการสิ้นสุดขบวนการถ่าย ละอองเกสรประมาณ 72 ชวั่ โมง (3 วนั ) โดยมีขอ้ มลู สนบั สนุนจากการศึกษาอยา่ งละเอียดในทุเรียน พนั ธุ์สาวชมของไพโรจน์ (2510) และสอดคลอ้ งกบั การสังเกตพบการเร่ิมพฒั นาการของรังไข่ (Ovary) ดว้ ยการเปล่ียนแปลงสีที่ผวิ เป็นสีเขียวสดใสข้ึน มีการขยายขนาดพร้อมกบั การค่อยๆ บิดตวั (ชาวสวนเรียกวา่ เกิดการ “พลิกลูก”) ทาใหป้ ลายกา้ นเกสรตวั เมียกางและช้ีข้ึนจากมุมต้งั ฉากกบั พ้นื จากน้นั การพฒั นาการยงั เกิดข้ึนอยา่ งต่อเนื่อง จนสามารถสงั เกตการเปลี่ยนแปลงจากรังไขเ่ ป็นผล ทุเรียนอ่อนไดช้ ดั เจนในเวลาประมาณ 2 สปั ดาห์ หลงั จากเกิดขบวนการถ่ายละอองเกสร ซ่ึงใน เอกสารฉบบั น้ีจะถือวา่ การติดผลทุเรียน เป็นช่วงเวลาหลงั จากการปฏิสนธิหรือในขณะท่ีสังเกตเห็น การพฒั นาการของรังไข่ (ซ่ึงต่อไปจะเป็ นผลอ่อน) โดยการพฒั นาการหลงั จากน้นั จะถือวา่ เป็นการ พฒั นาการของผล (Fruit development) ซ่ึงเป็นคนละข้นั ตอนกบั การติดผล

22 ข้อจากดั ของการตดิ ผล ขอ้ จากดั ของการติดผลทว่ั ๆ ไป สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 ประเภท คือ 1. ขอ้ จากดั จากกระบวนการผสมเกสร 2. ขอ้ จากดั จากธาตุอาหารพืช 3. ขอ้ จากดั ท่ีเกิดจากการร่วงของดอกหรือผลท่ีเพิ่งผา่ นช่วงการติดผลมาใหมๆ่ หรือ ปัญหาในระหวา่ งการพฒั นาการ ทุเรียนมีลกั ษณะเช่นเดียวกบั พืชชนิดอื่นๆ คือ การติดผลหรือผลผลิตในขณะเกบ็ เกี่ยว ข้ึนอยกู่ บั ขอ้ จากดั ท้งั 3 ประการขา้ งตน้ โดยความสาคญั ของขอ้ จากดั แต่ละชนิดข้ึนอยกู่ บั สภาพแวดลอ้ ม และพนั ธุ์ทุเรียนท่ีปลูกในแตล่ ะทอ้ งถ่ิน 1. ข้อจากดั จากกระบวนการผสมเกสร การไม่ไดร้ ับการผสมเกสรในทุเรียนเป็นเร่ืองท่ีไดร้ ับการกล่าวถึงมาก และมีหลายทา่ น ดาเนินงานวจิ ยั เพ่ือหาทางแกป้ ัญหาในเรื่องน้ี ซ่ึงพอสรุปถึงสาเหตุที่น่าจะเป็ นไปไดด้ งั น้ีคือ 1.1 ไม่ประสบความสาเร็จในการถ่ายละอองเกสร คือ ไม่มีละอองเกสรบนปลาย เกสรตวั เมียหรือมีนอ้ ยเน่ืองจากปัจจุบนั แมลงที่สาคญั ในการช่วยผสมเกสรมีนอ้ ย ซ่ึงเสริมสุข (2531, ติดต่อเป็ นการส่วนตวั ) ไดศ้ ึกษาเกี่ยวกบั สรีรวทิ ยาของดอกทุเรียน ณ ศูนยว์ จิ ยั พชื สวนจนั ทบุรี พบวา่ ปริมาณละอองเกสรบนปลายยอดเกสรตวั เมียตามระยะเวลาตา่ งๆ หลงั ดอกบานน้นั มีปริมาณท่ี แตกต่างกนั มาก คือ พบต้งั แต่ 0-1,200 ละอองเกสร ถา้ มีละอองเกสรบนปลายยอดเกสรตวั เมียมาก โอกาสท่ีไข่จะไดก้ ารผสมก็มากดว้ ย ทาใหท้ ุเรียนมีโอกาสติดผลไดม้ ากข้ึน ซ่ึงอาจเกิดจากอิทธิพล ของสารควบคุมการเจริญเติบโต ดงั รายงานจากต่างประเทศ พบวา่ ปริมาณของละอองเกสรช่วยการ ติดผล โดยที่ตวั ละอองเกสรเองเป็ นแหล่งผลิตฮอร์โมนพืช ที่เรียกวา่ ออกซิน (Auxin) ซ่ึงมีบทบาท ในการช่วยเพ่มิ การติดผลไดใ้ นพืชหลายชนิด เช่น กลว้ ยไม้ ยาสูบ มนั ฝรั่ง แตงกวา ฟักทอง และอื่นๆ ดงั น้นั ละอองเกสรทุเรียนอาจสามารถผลิตออกซินไดด้ ว้ ย 1.2 สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมต่อการงอกของหลอดละอองเกสร ในการงอกหลอด ละอองเกสร ตอ้ งการความเขม้ ขน้ ของสารประกอบของน้าตาล ในอตั ราประมาณ 20-35% (แตกต่าง กนั บา้ งเล็กนอ้ ยตามชนิดของพนั ธุ์) ถา้ สภาพแวดลอ้ มไมเ่ หมาะสม เช่น ฝนตก น้าคา้ งตกมาก หรือมี การใหน้ ้ามากขณะดอกทุเรียนบานพร้อมที่จะผสมเกสร อาจทาใหค้ วามเขม้ ขน้ ของสารเหนียวๆ ที่ เป็นสารประกอบของน้าตาลบนปลายเกสรตวั เมียลดลง ซ่ึงถา้ ลดลงมากจะทาใหล้ ะอองเกสรแตกและ ตายได้ หรือทาใหล้ ะอองเกสรน้นั มีเปอร์เซ็นตง์ อกต่า (นอ้ ยกวา่ 40%) อุณหภูมิต่าจะทาใหอ้ ตั ราการ เจริญเติบโตของหลอดละอองเกสรชา้ ลง ซ่ึงต่างมีผลทาใหก้ ารติดผลลดลง 1.3 การเข้ากนั ไม่ได้ของพันธ์ุเดยี วกนั (Self incompatibility) งานทดลองของ ทรงพล และหิรัญ (2533) พบวา่ ในทุเรียนบางพนั ธุ์เม่ือผสมเกสรตามธรรมชาติและผสมตวั เองโดยวธิ ี

23 ช่วยผสมจะมีปริมาณการติดผลนอ้ ย การช่วยผสมเกสรจากทุเรียนตา่ งพนั ธุ์สามารถช่วยเพ่มิ ปริมาณ ผลผลิตได้ ซ่ึงอาจเกิดข้ึนเพราะปริมาณความเขม้ ขน้ ของสารบนปลายเกสรตวั เมียเหมาะสมกบั การ งอกและเจริญเติบโตของละอองเกสรแต่ละพนั ธุ์ หรืออาจเกิดจากตวั ละอองเกสรขบั เอน็ ไซม์ (Enzyme) บางชนิดออกมา เม่ือตกบนปลายยอดเกสรตวั เมียซ่ึงจะเป็ นตวั ยบั ย้งั หรือชะลอการ เจริญเติบโตของหลอดละอองเกสรของพนั ธุ์เดียวกนั เกิดการสะสมคาร์โบไฮเดรตข้ึนที่ผนงั ของ หลอดละอองเกสรหรือภายในกา้ นเกสรตวั เมีย (Callose) แลว้ สร้างสารประกอบ เรียกวา่ ไฟโตอเลก็ ซีน (Phytoalexine) ไปยบั ย้งั การเจริญเติบโตของหลอดละอองเกสร จึงเกิดความลม้ เหลวในการผสม เกสรข้ึนแต่จากขอ้ มลู ของ ทรงพล และหิรัญ (2533) พบวา่ ถึงแมเ้ ปอร์เซ็นตก์ ารติดผลในทุเรียน บางพนั ธุ์ไมต่ ่างกนั (จานวนผลท่ีติดหลงั จากการถ่ายละอองเกสร 7 วนั ) ระหวา่ งการผสมตวั เองหรือ การผสมขา้ มพนั ธุ์ แตด่ อกท่ีทาการผสมขา้ มพนั ธุ์จะมีแต่ปริมาณผลที่ไดร้ ับการพฒั นา และคงอยจู่ นถึง เวลาเก็บเกี่ยวมากกวา่ ดอกที่ผสมตวั เองอยา่ งเด่นชดั 2. ข้อจากดั จากธาตุอาหารพชื ขอ้ จากดั ของธาตุอาหารพชื ต่อการติดผลไดร้ ับการกล่าวถึงมาต้งั แต่ปี พ.ศ. 2471 โดย Mason และ Maskell ซ่ึงสงั เกตพบในฝ้ าย ชาวสวนทุเรียนในภาคตะวนั ออกต่างมีประสบการณ์วา่ ถา้ ทุเรียนออกดอกหลายรุ่นโดยดอกรุ่นพมี่ ีนอ้ ยกวา่ ดอกรุ่นนอ้ ง โอกาสท่ีดอกรุ่นพ่จี ะติดผลแทบไมม่ ี ถา้ ตอ้ งการใหด้ อกรุ่นพ่ตี ิดผลจะตอ้ งมีการตดั ดอกรุ่นนอ้ งออก เป็นการลดการแข่งขนั การใชอ้ าหาร พืชของดอกตา่ งรุ่นกนั เน่ืองจากการแบง่ ปันธาตุอาหารพืช มีผลทาใหด้ อกรุ่นพมี่ ีอาหารไมเ่ พยี งพอใน การเจริญเติบโตของไข่ มีผลใหไ้ ขฝ่ ่ อ (Abortion) ก่อนการพฒั นาเป็นผลอ่อน ธาตุอาหารพชื บางชนิด เช่น แคลเซียม (Ca) โบรอน (B) โปแตสเซียม (K) และแมกนีเซียม (Mg) มีความจาเป็นต่อการงอก และเจริญเติบโตของหลอดละอองเกสรทุเรียนพนั ธุ์ชะนี และกระดุมทองตอ้ งการปริมาณธาตุอาหาร เพ่ือการงอก และเจริญเติบโตของหลอดละอองเกสรใกลเ้ คียงกนั คือ แคลเซียม ประมาณ 50-90 ppm (ส่วนในลา้ นส่วน) โบรอน ประมาณ 30-60 ppm โปแตสเซียม ประมาณ 15-30 ppm และ แมกนีเซียม ประมาณ 16-30 ppm ถา้ ปริมาณธาตุอาหารดงั กล่าวมากหรือนอ้ ยกวา่ น้ี จะทาใหก้ ารงอกและการ เจริญเติบโตของหลอดละอองเกสรลดลง จากการสารวจความสมบูรณ์ของทุเรียนท่ีปลูกในดินชุด ตา่ งๆ ของภาคตะวนั ออก พบวา่ ปริมาณธาตุอาหารท่ีพบในใบ มีปริมาณมากกวา่ ปริมาณธาตุอาหารที่ เหมาะสมต่อการงอกและเจริญเติบโตหลายเท่า (40-150 เท่า) ยกเวน้ ธาตุโบรอน (B) เพยี งธาตุเดียวท่ี พบวา่ ธาตุอาหารที่ใบนอ้ ยกวา่ ความตอ้ งการอยปู่ ระมาณ 2 เทา่ ดงั น้นั ธาตุอาหารพืชท่ีน่าเป็นปัญหา สาหรับการติดผลของทุเรียนน่าจะพิจารณาธาตุโบรอนเป็ นพเิ ศษ ธาตุแคลเซียมมีบทบาทร่วมกบั ธาตุ

24 โบรอนในการดูดซบั และเคล่ือนยา้ ยน้าตาลและแป้ งเป็นพลงั งานเพอ่ื ใชใ้ นการเจริญเติบโต ธาตุ แคลเซียมเป็นธาตุท่ีมีการเคล่ือนยา้ ยนอ้ ยภายในพืช ถึงแมว้ า่ ดินจะมีปริมาณธาตุแคลเซียมมาก แต่พืช อาจจะแสดงอาการขาดธาตุแคลเซียมได้ ธาตุแคลเซียมจะถูกดูดและเคลื่อนยา้ ยไปใชป้ ระโยชน์ยงั ส่วนต่างๆ ของพชื ไดต้ ามเส้นทางของทอ่ น้าในพืช และพชื จะใชป้ ระโยชน์จากธาตุแคลเซียมในดิน ไดด้ ี ในขณะท่ีความช้ืนของอากาศตอนกลางคืนต่า อากาศแหง้ และร้อนในตอนกลางวนั สาหรับธาตุ อาหารพืชอ่ืนๆ จะตอ้ งพจิ ารณาในลกั ษณะของความสมดุลของธาตุอาหารท่ีจะส่งเสริมใหก้ าร เจริญเติบโตไดด้ ี 3. ข้อจากดั เกดิ จากดอกและผลร่วงก่อนกาหนด ในขณะเกิดการติดผลจะเป็นการเปลี่ยนแปลงอยา่ งทนั ทีทนั ใด โดยรังไข่ (Ovary) เร่ิม เจริญเติบโตเปล่ียนสภาพเป็นผลอ่อนและดอกหยดุ การพฒั นาการรอการเห่ียวแหง้ และร่วงหล่น การ เปลี่ยนแปลงการเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็วในทนั ทีทนั ใด จะกระตุน้ ใหเ้ กิดการสงั เคราะห์โปรตีนและ สารอาร์-เอน็ -เอ (RNA) ข้ึน จึงทาใหส้ ดั ส่วนระหวา่ งโปรตีน และคาร์โบไฮเดรตในรังไข่ เปลี่ยนแปลงไปกระตุน้ ใหเ้ กิดการสังเคราะห์ฮอร์โมนพืชข้ึน ซ่ึงอาจเป็นออกซิน (Auxin) เอทธิลีน (Ethylene) หรือกรดแอบซิสซิก (Abscisic acid) ข้ึนอยกู่ บั สัดส่วนของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตที่ ตา่ งกนั ซ่ึงถา้ เป็นการสังเคราะห์ฮอร์โมนชนิดออกซิน จะทาใหผ้ ลเจริญเติบโตต่อไป ไม่ร่วงหลุด แต่ ถา้ เกิดการสังเคราะห์เอทธิลีน หรือ กรดแอบซิสซิก จะทาใหผ้ ลน้นั ร่วงไป อน่ึงทุเรียนออกดอกแต่ละฤดูมาก (ประมาณ 10,000 – 40,000 ดอกต่อตน้ ) การ เคลื่อนยา้ ยคาร์โบไฮเดรตจากใบหรือที่สะสมอยใู่ นส่วนอ่ืนๆ ของตน้ เพ่ือไปใชใ้ นการพฒั นาการผล ออ่ นไม่เพียงพอ เม่ือสดั ส่วนของโปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเปลี่ยนไป ทุเรียนจึงสังเคราะห์ฮอร์โมน เอทธิลีน หรือกรดแอบซิสซิก เพอื่ ปลดปล่อยผลออ่ นท่ีมากเกินไปใหก้ ลบั อยใู่ นสภาวะสมดุล จึงพบ ผลออ่ นทุเรียนร่วงมากกวา่ 90% หรือบางคร้ังร่วงจนหมดตน้ หลงั จากดอกบานประมาณ 2 สัปดาห์ การติดผลเป็ นเพียงข้นั ตอนหน่ึงในวงจรชีวติ ของทุเรียน ซ่ึงมีความสาคญั ในการ กาหนดปริมาณผลผลิตและความอยรู่ อดของชาวสวนทุเรียน แต่ความรู้เก่ียวกบั กระบวนการตา่ งๆ ทางสรีรวทิ ยาท่ีควบคุมการติดผลของทุเรียนยงั มีนอ้ ย ควรมีการพฒั นาวธิ ีการจดั การ เพือ่ แกป้ ัญหา การติดผลนอ้ ยของทุเรียนให้เหมาะสมยงิ่ ข้ึน การจัดการทชี่ ่วยทาให้ต้นทุเรียนพร้อมเพอ่ื การออกดอกและตดิ ผล ถา้ เขา้ ใจธรรมชาติและขอ้ จากดั ในการออกดอกและติดผล การพฒั นาวิธีการจดั การเพ่ือทา ให้ต้นทุเรียนพร้อมเพื่อการออกดอกและติดผลเป็ นเร่ืองทาได้ถูกต้องและสัมฤทธ์ิผลยิ่งข้ึนใน สถานการณ์ปัจจุบนั ซ่ึงสามารถสรุปวธิ ีการไดด้ งั น้ี

25 1. การจัดการที่ช่ วยให้ต้นทุเรียนพร้ อมเพื่อการออกดอก มีหัวใจในการจดั การว่า “เตรียมต้นทุเรียนให้พร้อมในขณะทส่ี ภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการออกดอก” ความพร้อมของตน้ ทุเรียนตอ่ การออกดอก คือ ตน้ มีการสะสมอาหาร (คาร์โบไฮเดรต) เพียงพอ ใบอยใู่ นสภาพแก่ท้งั ตน้ ในขณะท่ีฝนแลง้ หรือทิ้งช่วงประมาณ 10-14 วนั อุณหภูมิ และความช้ืนอากาศค่อนขา้ งต่า โดยมี วธิ ีการจดั การดงั น้ีคือ 1.1 จัดการเร่งให้ทุเรียนแตกใบอ่อนหลังการเกบ็ เก่ียว โดยการตดั แตง่ ก่ิงเป็ นโรค กิ่ง แหง้ ก่ิงแขนงดา้ นในทรงพุม่ และก่ิงเล็กๆ ท่ีอยปู่ ลายก่ิงในกรณีท่ีมีมากโดยเลือกตดั ก่ิงท่ีช้ีลงหรือช้ีข้ึน ออก เลือกกิ่งที่สมบูรณ์อยใู่ นแนวขนานกบั พ้นื ไว้ พร้อมกบั การใส่ป๋ ุยสูตรเสมอ 15-15-15 หรือ 16- 16-16 ในอตั ราเป็นกิโลกรัมต่อตน้ เท่ากบั 1 ใน 3 เท่าของเส้นผา่ ศูนยก์ ลางทรงพุม่ โดยคลุกป๋ ุยดว้ ย กรดฮิวมิค อตั ราป๋ ุยเคมี 1 กิโลกรัมต่อกรดฮิวมิค 30 มิลลิลิตร เพื่อเพ่มิ ประสิทธิภาพของป๋ ุยเคมี แลว้ หวา่ นใหท้ วั่ ใตท้ รงพุม่ และถา้ ตน้ ค่อนขา้ งโทรมหลงั การเกบ็ เกี่ยวอาจจะตอ้ งเสริมดว้ ยป๋ ุยทางใบ หรือ สูตรทางด่วน (คาร์โบไฮเดรตสาเร็จรูป) อาหารสาเร็จรูปที่มีคาร์โบไฮเดรต 20 มิลลิลิตร+กรดฮิวมิค 20 มิลลิลิตร+ป๋ ุยเกล็ด 15-30-15 หรือ 20-20-20 อตั รา 60 กรัม + สารจบั ใบ ผสมรวมกนั ในน้า 20 ลิตร ฉีดพน่ ที่ใบพอเปี ยก จานวน 1-2 คร้ัง จะช่วยใหม้ ีการแตกใบอ่อนไดเ้ ร็วในปริมาณมาก (หลายช้นั ใบ) และพร้อมๆ กนั ท้งั ตน้ 1.2 รักษาใบอ่อนท่แี ตกออกมาให้สมบูรณ์ โดยการพน่ สารเคมีป้ องกนั กาจดั โรคและ แมลง ซ่ึงชาวสวนไดป้ ฏิบตั ิเป็นประจาอยแู่ ลว้ จึงไมก่ ล่าวถึงรายละเอียดในเอกสารน้ี แต่ในแปลง ทุเรียนท่ีปลูกในดินทรายหรือดินร่วนปนทรายควรใหป้ ๋ ุยแมกนีเซียมทางดินหรือทางใบร่วมดว้ ยเพื่อ ป้ องกนั ใบอ่อน หรือใบเพสลาดเหลืองซีดเนื่องจากทุเรียนตอ้ งการธาตุแมกนีเซียมเป็นพิเศษในช่วงน้ี และมกั พบอาการขาดธาตุน้ีทว่ั ไปเมื่อมีการเร่งใหม้ ีการแตกใบออ่ นในปริมาณมากในระยะน้ี 1.3 ควบคมุ วัฏจักรของการแตกใบอ่อนให้เหมาะสม คือ ตอ้ งการใหใ้ บแก่ก่อนหรือ ในขณะที่ฝนเร่ิมแลง้ ช่วงปลายฤดูฝน อาจจดั การไดโ้ ดยใชป้ ๋ ุยฟอสฟอรัส (ป๋ ุยตวั กลาง) ใหม้ ากเพอ่ื ลด บทบาทของป๋ ุยไนโตรเจน (ป๋ ุยตวั หนา้ ) ปกตินิยมใชป้ ๋ ุยทางดินสูตร 8-24-24, 9-24-24 หรือป๋ ุย 12-24- 12 ใส่ช่วงตน้ เดือนกนั ยายน 1.4 จัดการให้ดินท่โี คนต้นมีโอกาสแห้งได้เร็วขึน้ โดยการกวาดเศษหญา้ และใบไม้ ออก ไม่ควรปล่อยใหว้ ชั พชื ใตต้ น้ ทุเรียน ในขณะที่ตน้ ทุเรียนพร้อมจะออกดอก เพราะจะทาใหอ้ อก ดอกชา้ ลงซ่ึงเป็นวธิ ีการท่ีชาวสวนนิยมปฏิบตั ิอยแู่ ลว้ ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เติม คือ ช่วยโยงร้ังกิ่งที่หอ้ ย ใกลๆ้ พ้นื ดินข้ึนใหส้ ูงกวา่ ระดบั พ้นื ไม่นอ้ ยกวา่ 1 เมตร เพ่อื ช่วยใหก้ ารถ่ายเทอากาศตรงโคนตน้ ดีข้ึน ดินมีโอกาสแหง้ เร็วข้ึน และยงั ช่วยลดอาการจากเช้ือราไฟทอปธอรา ซ่ึงเป็ นเป็นเช้ือราท่ีอยใู่ นดิน การ โยงกิ่งแบบน้ีปกติชาวสวนจะโยงเม่ือทุเรียนติดผลแลว้ ในที่น้ีเพียงเสนอใหโ้ ยงก่ิงเร็วข้ึนเฉพาะก่ิงท่ี เป็นปัญหา ขอ้ ควรระวงั อีกอยา่ งหน่ึง คือ ทุเรียนตอ้ งการสภาวะแลง้ หรือสภาวะเครียดเนื่องจากขาด น้า (Water stress) ก่อนการออกดอกพอประมาณ ซ่ึงวดั คา่ สภาวะน้าภายในใบ (Leaf water potential)

26 เพยี ง 8 บาร์ ซ่ึงเป็นค่าท่ีแสดงวา่ พชื ขาดน้าไมม่ ากเมื่อดูจากลกั ษณะของใบในสภาวะน้นั ใบแสดง อาการสลดเพียงเลก็ นอ้ ยไมถ่ ึงกบั ใบเหลืองหรือมีอาการใบตก แตถ่ า้ ปล่อยใหต้ น้ ทุเรียนขาดน้ามาก เกินไป ดอกทุเรียนท้งั ท่ียงั อยใู่ ตเ้ ปลือกและดอกในระยะไขป่ ลาจะหยดุ การเจริญเติบโตหรือฝ่ อได้ ดงั น้นั ในระยะน้ีควรหมนั่ สังเกตอาการของใบ ถา้ ทุเรียนแสดงอาการขาดน้ามากเกินไปควรใหน้ ้าช่วย แต่ตอ้ งระวงั ไมใ่ หม้ ากจนเกินไป โดยเฉพาะในขณะที่ยงั ไม่เห็นดอก เพราะดอกที่พฒั นาการยงั ไม่ผา่ นจุดพฒั นาการไมย่ อ้ นกลบั เม่ือใหน้ ้ามากเกินไปอาจเปล่ียนเป็นใบได้ วธิ ีการที่นิยมใช้ คือ ให้ น้าแตน่ อ้ ย แบบที่ชาวสวน เรียกวา่ ใหน้ ้าแบบโชยๆ แลว้ เวน้ ระยะสังเกตอาการของใบและดอกจน สังเกตเห็นดอก ในระยะไข่ปลามากเพยี งพอแลว้ กเ็ พมิ่ ปริมาณการให้น้าใหต้ น้ ทุเรียนกลบั สู่สภาวะ ปกติได้ 1.5 การจัดการน้าเพอ่ื ชักนาการออกดอก เม่ือตน้ ทุเรียนมีความสมบูรณ์ตน้ พร้อม สาหรับการออกผา่ นช่วงแลง้ และแสดงอาการใบตกเน่ืองจากขาดน้า (ตอ้ งสงั เกตก่อนเวลา 15:00 น.) ในขณะที่อณุ หภูมขิ องอากาศเป็ นประมาณ 18-25 องศาเซลเซียส ใหน้ ้าคร้ังแรก 10 มิลลิเมตร (1 มิลลิลิตร = น้า 1 ลิตร / พ้ืนที่ใตท้ รงพุม่ 1 ตารางเมตร) ทิง้ ไวจ้ นสงั เกตเห็นตาดอกระยะไข่ปลา (จุด เลก็ สีขาวครีมใตท้ อ้ งก่ิง) ชดั เจน จึงให้น้าคร้ังต่อไปในอตั ราปกติ (60% ของอตั ราการระเหยน้าจาก ถาดระเหยน้าชนิด A) ถา้ อุณหภูมอิ ากาศต่ากว่า 18 องศาเซลเซียส ใหน้ ้าประมาณ 20-25% ของอตั รา การระเหยน้าจากถาดระเหยน้าชนิด A วนั เวน้ วนั จนสังเกตเห็นตาดอกระยะไขป่ ลาชดั เจน จึงใหน้ ้า ตามปกติ ถา้ อุณหภูมิอากาศสูงกว่า 35 องศาเซลเซียส ใหน้ ้าคร้ังแรก 10 มิลลิเมตร ทิง้ ช่วง 7 วนั แลว้ ใหน้ ้าคร้ังตอ่ ไปในอตั รา 40-50% ของอตั ราการระเหยน้าจากถาดระเหยน้าชนิด A ทุกๆ 3 วนั จน สังเกตพบตาดอกระยะไข่ปลาชดั เจนแลว้ จึงใหน้ ้าตามปกติ 1.6 การจัดการป๋ ุยเพอื่ ส่งเสริมการพฒั นาการของตาดอก ถา้ สงั เกตพบวา่ ตน้ ทุเรียน ออกดอกนอ้ ยกวา่ 60% ของจานวนกิ่งที่ออกดอกไดท้ ้งั หมด และหรือความหนาแน่นของดอกนอ้ ย กวา่ 3 ช่อดอกต่อความยาวก่ิง 1 เมตร ควรพน่ ดว้ ยป๋ ุยโปแตสเซียมไนเตรท (13-0-46) อตั รา 100-200 กรัม ร่วมกบั สารสกดั จากสาหร่ายทะเล อตั รา 60 มิลลิลิตร ผสมในน้า 20 ลิตร พน่ ใหท้ ว่ั พอเปี ยก ภายนอกและภายในทรงพุม่ เมื่อเริ่มสงั เกตพบตาดอกระยะไข่ปลา หรือราดดว้ ยป๋ ุยอินทรียผ์ สมชนิด น้า (ป๋ ุยนูกอล® อตั รา 300 มิลลิลิตร + ป๋ ุยนิวตริแพลนท์® 100 มิลลิลิตร + ป๋ ุยเกล็ดสูตร 0-42-56 อตั รา 300 กรัม ผสมรวมกนั ในน้า 20 ลิตร) ใตท้ รงพุม่ ใหท้ วั่ ในกรณีท่ีมีช่วงแลง้ ไม่ยาวนานเพียงพอ สาหรับการชกั นาการออกดอก 2. การจัดการที่ทาให้ต้นทุเรียนพร้อมเพอ่ื การติดผล มีหวั ใจในการจดั การวา่ “จัดการให้ มดี อกรุ่นเดยี วบนต้นทส่ี มบูรณ์” การจดั การเพ่ือใหท้ ุเรียนออกดอกรุ่นเดียวสามารถทาไดถ้ า้ การ

27 เตรียมการก่อนออกดอกประสบความสาเร็จ ทุเรียนออกดอกไดม้ ากพอทุกๆ กิ่ง จะเป็ นการออกดอก รุ่นเดียว สาหรับตน้ ที่สมบรู ณ์การติดผลและการพฒั นาของผลดีมากกวา่ 4% ตน้ ไมส่ มบูรณ์จะนอ้ ย กวา่ 1% ซ่ึงบางคร้ังไม่มีการพฒั นาการของผล จนสามารถเกบ็ เก่ียวไดเ้ ลย ดงั น้นั การเตรียมการ เพือ่ ใหต้ น้ ทุเรียนพร้อมเพ่ือการติดผลจึงสาคญั โดยมีวธิ ีการดงั น้ี 2.1 ตัดแต่งดอกทเุ รียนให้เป็ นดอกรุ่นเดยี วกนั และลดความหนาแน่นของช่อดอก ในกรณีท่ีดอกรุ่นแรกมีปริมาณมากพอควรตดั ดอกรุ่นหลงั ทิง้ ใหห้ มด เพ่อื ป้ องกนั การแขง่ ขนั แยง่ ธาตุ อาหารหรือพลงั งาน (คาร์โบไฮเดรต) ระหวา่ งดอกแตล่ ะรุ่น และตดั แตง่ ใหม้ ีดอกเหลืออยู่ พอประมาณในตาแหน่งที่ตอ้ งการ แต่ถา้ มีดอกสองรุ่นเท่าๆ กนั ควรพิจารณาตดั แต่งใหด้ อกรุ่นท่ีเมื่อ ติดผลแลว้ จะไดร้ าคาสูงกวา่ ไวเ้ ป็นหลกั โดยจะเหลือดอกรุ่นเดียวกนั ในแตล่ ะก่ิง ถา้ จาเป็นตอ้ งไวด้ อก ต่างรุ่นกนั ในก่ิงที่อยชู่ ิดกนั จะตอ้ งตดั ดอกรุ่นที่ตอ้ งการนอ้ ยกวา่ ออก ใหเ้ หลืออยใู่ นกิ่งน้นั นอ้ ยกวา่ ก่ิง ท่ีมีดอกรุ่นที่ตอ้ งการมาก แลว้ ตดั แต่งดอกท้งั ตน้ ใหเ้ หลือพอประมาณ ขอ้ ควรระวงั สาหรับพนั ธุ์ชะนี ไมค่ วรตดั แตง่ ใหเ้ หลือดอกในแต่ละก่ิงนอ้ ยเกินไป ถา้ มีดอกหลายรุ่นควรเหลือช่อดอกขนาดใหญ่ท่ี อยใู่ กลๆ้ กนั ไวใ้ นบริเวณกลางกิ่ง เนื่องจากดอกและผลอ่อนของพนั ธุ์ชะนีโตชา้ เมื่อมีปริมาณดอก หรือผลอ่อนในแต่ละกิ่งมากจะช่วยใหแ้ รงดูดดึงอาหาร (Sink strength) สูงข้ึน มีอาหารมากพอ สาหรับการพฒั นาการจนพน้ ระยะวกิ ฤต (ระยะ 3 สัปดาห์หลงั ดอกบาน) แลว้ จึงตดั แต่งผลอ่อนให้ เหลือตามจานวนที่ตอ้ งการ ในกรณีท่ีมีดอกมากกวา่ 2 รุ่นในตน้ เดียวกนั การตดั แต่งดอกเพื่อป้ องกนั การแข่งขนั แยง่ อาหารระหวา่ งดอกแต่ละรุ่นมีความจาเป็นยงิ่ ข้ึน สาหรับพนั ธุ์ชะนี ถา้ ปริมาณดอกแต่ ละรุ่นต่างกนั มากสมควรตดั แตง่ ใหเ้ หลือดอกรุ่นท่ีมีปริมาณมากไวร้ ุ่นเดียวกนั หรือมีไม่เกินสองรุ่น ซ่ึงวธิ ีการตดั แตง่ เพื่อใหม้ ีดอกแต่ละรุ่นอยใู่ นกิ่งเดียวกนั จะไมไ่ ดผ้ ลในพนั ธุ์ชะนี ถา้ มีดอกหลายรุ่น และมีปริมาณตา่ งกนั ดอกรุ่นที่ปริมาณนอ้ ยจะมีการพฒั นาการของผลนอ้ ย หรือไมม่ ีการพฒั นาการ ของผลถึงแมจ้ ะช่วยผสมเกสรดว้ ยพนั ธุ์ท่ีเหมาะสม หรือใชส้ ารเคมีช่วยกต็ าม เม่ือตน้ ทุเรียนออกดอกแลว้ ประมาณ 5 สปั ดาห์ สังเกตพบวา่ มีจานวนช่อดอก ทุเรียนมากกวา่ 6 ช่อดอกต่อความยาวก่ิง 1 เมตร หรือพบวา่ มีดอกมากกวา่ 1 รุ่นดอกในก่ิงเดียวกนั ตอ้ งตดั แต่งช่อดอกใหเ้ หลือในปริมาณที่เหมาะสม โดยตดั แต่งช่อดอกบนก่ิงขนาดเล็ก (เส้นผา่ ศูนยก์ ลางกิ่งนอ้ ยกวา่ 2 เซนติเมตร) หรืออยใู่ นตาแหน่งปลายก่ิงทิ้ง ใหเ้ หลือเฉพาะดอกรุ่นเดียวกนั ใน กิ่งเดียวกนั ใหม้ ีจานวนช่อดอกประมาณ 3-6 ช่อดอกต่อความยาวก่ิง 1 เมตร แต่ละกลุ่มช่อดอกห่าง กนั ประมาณ 30 เซนติเมตร 2.2 การเตรียมให้ต้นสมบูรณ์ ทาไดโ้ ดยการใชป้ ๋ ุย ระหวา่ งการพฒั นาการของดอก ต้งั แต่ดอกระยะไขป่ ลาถึงดอกบาน เป็นเวลาประมาณ 60 วนั ทุเรียนใชอ้ าหารที่สร้าง และสะสมไว้ ในการพฒั นาการของดอกและซ่อมแซมส่วนท่ีสึกหรอของเน้ือเยอ่ื ดงั น้นั ตน้ ทุเรียนบางตน้ ที่มีการ สะสมอาหารก่อนออกดอกไม่มากพอ จะแสดงอาการขาดอาหารสะสม โดยมีใบกร้าน ไม่เขียวสดใส

28 เหมือนก่อนออกดอก อาการจะปรากฏรุนแรงข้ึนในขณะอากาศร้อน และการใหน้ ้าไม่เพียงพอ การใช้ ป๋ ุยทางใบสูตร 20-20-20 หรือ 15-30-15 ท่ีมีธาตุปริมาณนอ้ ยร่วมดว้ ย (อาหารเสริม) หรือป๋ ุยน้าที่ธาตุ อาหารเสริมมากพอ ผสมร่วมกบั สารป้ องกนั กาจดั ศตั รูพืชทุกคร้ังท่ีพน่ จะสามารถป้ องกนั การขาด อาหารสะสมได้ หรือถา้ ตน้ แสดงอาการขาดแลว้ อาจใชอ้ าหารสาเร็จรูปที่มีคาร์โบไฮเดรตเป็น องคป์ ระกอบหลกั (ทางด่วน) พน่ ประมาณ 1-2 สปั ดาห์ก่อนดอกบาน จะช่วยบรรเทาปัญหาตน้ ไมส่ มบูรณ์ไดร้ ะดบั หน่ึง ซ่ึงการป้ องกนั การสูญเสียความสมบรู ณ์ของตน้ ระหวา่ งการพฒั นาการของ ดอกจะใหผ้ ลดีต่อการติดผลมากกวา่ การแกป้ ัญหา ควรพน่ ป๋ ุยทางใบที่มีธาตุโบรอนและแคลเซียม จานวน 1 คร้ัง ท่ีดอกและใบพอเปี ยก เมื่อก่อนดอกบานประมาณ 2 สปั ดาห์ 2.3 การป้ องกนั กาจัดศัตรูพชื ศตั รูท่ีสาคญั ในระหวา่ งการพฒั นาการของดอกไดแ้ ก่ 2.3.1 เพลยี้ ไฟ เม่ือเพล้ียไฟเขา้ ทาลาย จะสงั เกตพบแผลสีเทาเงินเกือบดาบน ดอก ดอกแหง้ และร่วง การป้ องกนั กาจดั พน่ ดว้ ยสารแลมป์ ดาไซฮาโลทริน 2.5%อีซี อตั รา 10 มิลลิลิตร หรือสารคาร์โบซลั แฟน 20%อีซี อตั รา 50 มิลลิลิตร หรือสารฟิ โปรนิล 5%เอสอี อตั รา 10 มิลลิลิตรตอ่ น้า 20 ลิตร เฉพาะท่ีดอกพอเปี ยก 2.3.2 หนอนกนิ ดอก จะกดั กินกา้ นดอกหรือดอกทุเรียน เม่ือพบพน่ ดว้ ยสาร แลมป์ ดาไซฮาโลทริน 2.5%อีซี อตั รา 20 มิลลิลิตร หือสารคาร์โบซลั แฟน 20%อีซี อตั รา 50 มิลลิลิตร หรือสารไซเปอร์เมทริน / โฟซาโลน 6.25% / 22.5%อีซี 40 มิลลิลิตรต่อน้า 20 ลิตร 2.3.3 โรคราเชื้อไฟทอปธอรา ทาใหด้ อกเน่าเมื่อพบการระบาด พน่ ดว้ ยกรด ฟอสฟอรัส อตั รา 30-50 มิลลิลิตรต่อน้า 20 ลิตร หรือสารอีฟอไซทอ์ ลูมินม่ั 80%ดบั บลิวพี อตั รา 50 กรัมตอ่ น้า 20 ลิตร 2.3.4 โรคแอนแทรคโนส เม่ือพบอาการดอกแหง้ เน่ืองจากโรคแอนแทรคโนส พน่ ดว้ ยสารเบนโนมิล อตั รา 10 มิลลิลิตรตอ่ น้า 20 ลิตร หรือสารคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ อตั รา 50 กรัมต่อน้า 20 ลิตร 2.4 การให้น้า ดอกทุเรียนพฒั นาความยาวของกา้ นข้วั ดอกรวดเร็ว ระหวา่ งดอก ระยะตาปถู ึงระยะเหยยี ดตีนหนู หลงั จากน้นั การพฒั นาการดา้ นน้ีจะคอ่ ยๆ ลดลง เปล่ียนเป็นการขยาย ขนาดสร้างอวยั วะของเพศดอกอยา่ งรวดเร็วเมื่อดอกเขา้ สู่ระยะกระดุม การใหน้ ้าเพอ่ื ใหไ้ ดด้ อกทุเรียน กา้ นดอกยาวเรียว ขนาดดอกพอประมาณไม่ใหญ่ หรือเลก็ เกินไป ซ่ึงเป็นลกั ษณะดอกท่ีติดผลดีทาได้ โดยการจดั การน้าใหเ้ หมาะสมตามระยะเวลาของการพฒั นาการ การลดปริมาณการใหน้ ้าลงอยา่ งนอ้ ย 2 ใน 3 ของการใหน้ ้าปกติก่อนดอกบานจะช่วยใหป้ ริมาณการติดผลดีข้ึน เน่ืองจากมีผลกระทบต่อ ความเขม้ ขน้ ภายในเซลท่ีอยใู่ นละอองเกสรทาใหก้ ารติดผลดีข้ึน ดงั ตวั อยา่ งในพนั ธุ์กระดุมทอง ถา้ มี การลดปริมาณการใหน้ ้าลง ละอองเกสรจะงอกและเจริญเติบโตไดด้ ีในอาหารเล้ียงที่ความเขม้ ขน้

29 25% แตถ่ า้ มีการใหน้ ้าปกติความเขม้ ขน้ ท่ีเหมาะสมเปลี่ยนเป็น 35% ซ่ึงต่างจากความเขม้ ขน้ ของ น้าหวานของดอกตรงหมอ้ ตาลมากข้ึน ซ่ึงมีความเขม้ ขน้ 20% ความแตกต่างระหวา่ งความเหมาะสม ของความเขม้ ขน้ เพ่ือการงอกของละอองเกสรและน้าหวานในดอกทุเรียนยงิ่ สูงเทา่ ใด จะทาให้ เปอร์เซ็นตก์ ารงอกและการพฒั นาการของหลอดละอองเกสรจะลดลงมากข้ึน ทาใหป้ ระสิทธิภาพใน การผสมเกสรลดลง การติดผลและการพฒั นาการของผลลดลงดว้ ย วธิ ีการจดั การน้าเพอ่ื ส่งเสริมการติดผล ทาไดโ้ ดยเมื่อดอกอายปุ ระมาณ 7 สปั ดาห์หลงั จากออกดอก หรือประมาณ 1 สปั ดาห์ก่อนดอกบาน ลดปริมาณการให้น้าอยา่ งชา้ ๆ จน เหลือประมาณ 20-25% ของอตั ราการระเหยของน้าจากถาดระเหยน้าชนิด A โดยใหน้ ้าทุกวนั ในช่วง ดอกบานหากอุณหภูมิของอากาศสูงกวา่ 36 องศาเซลเซียส หรือลดปริมาณการใหน้ ้าลงจนทาใหด้ อก ทุเรียนบานในช่วงเวลาประมาณ 15:00 น. หากดอกบานเร็วเกินไป แสดงวา่ ใหน้ ้ามากเกินไป ตอ้ งลด ปริมาณการให้น้าลงอีก แต่หากวา่ ดอกบานชา้ กวา่ 15:00 น. แสดงวา่ ใหน้ ้านอ้ ยเกินไป ตอ้ งเพมิ่ ปริมาณการใหน้ ้าจนดอกบานในช่วงเวลาที่เหมาะสม

30 ปัจจยั และการจดั การเพอ่ื เพม่ิ ปริมาณและคุณภาพผลผลติ ทุเรียน1 ความสาคญั ของการเพมิ่ ปริมาณและคุณภาพผลผลติ ของทเุ รียน ผลตอบแทนจากการทาสวนทุเรียนจะคุม้ ค่ากบั การลงทุนหรือไม่น้นั นอกจากจะข้ึนอยกู่ บั ปริมาณและเวลาท่ีผลผลิตออกสู่ตลาดแลว้ ยงั ข้ึนกบั คุณภาพของผลผลิตดว้ ย ท้งั น้ีเพราะในการ กาหนดราคาของผลผลิตทุเรียนน้นั จะพิจารณาท้งั เวลา ปริมาณ และคุณภาพ ของผลผลิตประกอบ กนั โดยเฉพาะในดา้ นคุณภาพไดม้ ีการกาหนดมาตรฐานคุณภาพทุเรียน ซ่ึงเป็ นการกาหนดช้นั ความ แตกตา่ งของคุณภาพ โดยใชท้ รงผล น้าหนกั ผล สภาพความสมบูรณ์ของลกั ษณะภายนอกและภายใน เป็นเกณฑใ์ นการกาหนด (หิรัญ และคณะ, 2531) เพ่อื ใชใ้ นหลกั เกณฑใ์ นการซ้ือขายและกาหนด ราคาของผลผลิต เพือ่ ความเป็นธรรมของระบบตลาด โดยอาศยั หลกั เกณฑด์ งั กล่าว สามารถแบ่ง ประเภทของผลผลิตไดเ้ ป็ น 1. ผลผลิตที่มีคุณคา่ ทางการตลาด (Marketable yield) ไดแ้ ก่ ผลผลิตท่ีมีทรงผลและ น้าหนกั ผลตรงตามท่ีมาตรฐานกาหนด ปราศจากโรคและแมลงเขา้ ทาลาย เน้ือไม่มีอาการแกน ไส้ซึม เต่าเผา 2. ผลผลิตที่ดอ้ ยคุณค่าทางการตลาด (Unmarketable yield) ไดแ้ ก่ ผลผลิตท่ีมีรูปทรง บิดเบ้ียว ผลมีขนาดเลก็ หรือใหญเ่ กินไป ผลผลิตเน่าเสียเนื่องจากโรคและแมลงเขา้ ทาลาย มีการไส้ซึม และเต่าเผา ผลผลิตประเภทน้ีจะมีการเหมาขายในราคาท่ีถูกมาก ดงั น้นั ในการผลิตทุเรียนนอกจากจะมุง่ ประเดน็ วา่ ผลิตเพ่ือเพ่มิ ปริมาณผลผลิตแลว้ ผผู้ ลิต ยงั ตอ้ งคานึงดว้ ยวา่ ผลผลิตท่ีเพิม่ ข้ึนน้นั เป็ นผลผลิตท่ีมีคุณภาพดี มีคุณค่าทางการตลาด ซ่ึงในการ เพิ่มปริมาณและปรับปรุงคุณภาพผลผลิต เกษตรกรควรมีความเขา้ ใจพ้นื ฐานเกี่ยวกบั ปัจจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง กบั การเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิต เพอ่ื เป็นแนวทางในการจดั การใหท้ ุเรียนมีปริมาณและ คุณภาพตรงตามความตอ้ งการของตลาด และเพอ่ื ใหก้ ารลงทุนทาสวนทุเรียนน้นั ไดผ้ ลตอบแทนที่ คุม้ ค่า การช่วยผสมเกสรเพือ่ เพมิ่ การติดผล เริ่มช่วยผสมเกสรเมื่อดอกรุ่นแรกบานมากกวา่ หรือ เท่ากบั 25 % ของดอกรุ่นแรกท้งั หมด ช่วยผสมเกสรโดยใชล้ ะอองเกสรจากตน้ ตา่ งพนั ธุ์ หรือพนั ธุ์ เดียวกนั แต่ตา่ งตน้ หรือตน้ เดียวกนั แต่ตา่ งดอก และเลือกช่วยผสมเกสรจานวนประมาณ 200 กลุ่ม ดอก/ตน้ โดยเลือกเฉพาะกลุ่มดอกที่คาดวา่ จะไวผ้ ลได้ โดยใชแ้ ปรงขนอ่อนช่วยป้ ายละอองเกสร ตวั ผใู้ หต้ กบนปลายเกสรตวั เมีย ในช่วงเวลาประมาณ 18:30-21:30 น. ทุกคืน จนกวา่ จะครบตาม จานวนที่กาหนด 1 สุขวฒั น์ จนั ทรปรรณิก ผตู้ รวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อมั พกิ า ปนุ นจิต อคั รราชฑูดที่ปรึกษา กระทรวงพาณิชย์ เสริมสุข สลกั เพช็ ร์ ผอู้ านวยการศนู ยว์ ิจยั พชื สวนจนั ทบุรี กรมวิชาการเกษตร

31 ปัจจยั ทเี่ กย่ี วข้องในการควบคุมปริมาณและคุณภาพและผลผลติ ทุเรียน ปัจจยั หลกั ท่ีเก่ียวขอ้ งในการเพิ่มและปรับปรุงคุณภาพของผลผลิตสามารถจาแนกไดเ้ ป็น 3 ประการดงั น้ี คือ - พชื - สภาพแวดลอ้ ม - ความสมั พนั ธ์และปฏิกิริยาร่วมระหวา่ งพชื และสภาพแวดลอ้ ม พชื : ทุเรียน หลงั จากกระบวนการการออกดอก การพฒั นาการของดอก การถ่ายละอองเกสร การ ปฏิสนธิและการติดผล รวมท้งั การจดั การต่าง ๆ เพ่ือให้กระบวนการดงั กล่าวของทุเรียนประสบ ผลสาเร็จได้เสร็จสิ้นลงแลว้ กระบวนการต่อไปจะเป็ นจุดเริ่มตน้ ของการพฒั นาการของผลทุเรียน ซ่ึงในการพฒั นาการระยะแรกจะเกี่ยวข้องการการแบ่งเซลล์เพื่อเพ่ิมจานวนเซลล์เป็ นส่วนใหญ่ ต่อจากน้นั จึงเป็ นการขยายขนาดและการพฒั นาการของเซลล์ไปเป็ นเน้ือเยอื่ ประเภทต่าง ๆ ของผล ซ่ึงในข้นั ตอนต่าง ๆ เหล่าน้ีเซลล์จาเป็ นตอ้ งใช้พลังงาน ดังน้ันจึงมีการเคล่ือนยา้ ยสารประกอบ คาร์โบไฮเดรตที่ได้จากการสังเคราะห์แสง และจากกระบวนการเมทาโบลิซึมมายงั เซลล์เพ่ือ เปลี่ยนเป็นพลงั งาน ผลลพั ธ์ท่ีไดจ้ ากกระบวนการเพ่ิมจานวนการขยายขนาด และการพฒั นาการของ เซลล์จะปรากฏออกมาในรูปของการเจริญเติบโตของผล ท้งั ในดา้ นการเพิ่มน้าหนกั และการขยาย ขนาดผล ในทุเรียนพนั ธุ์ชะนี การพฒั นาการของผลสามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 4 ระยะ โดยใชก้ าร เปล่ียนแปลงน้าหนกั แหง้ ของผลเป็นหลกั เกณฑใ์ นการแบ่ง ดงั น้ี คือ (ภาพที่ 1) น้า7ห00นกั แหง้ (กรัม) น้าหนกั รวม 600 500 400 300 เปลือก 200 เนือ้ 100 เมลด็ เวลาหลงั ดอกบาน (สปั ดาห)์ 0 2 4 6 8 10 12 14 16 ภาพท่ี 1 การพฒั นาการของผลทุเรียนพนั ธุ์ชะนี (สงวน จนั ทร์จู และคณะ, 2529) F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลติ ทุเรียน-รวม

32 ระยะที่ 1 เป็ นช่วงเวลาต้งั แต่ 0-2 สัปดาห์ หลงั ดอกบาน ในระยะน้ีมกั พบวา่ มากกวา่ 90% ของจานวนผลอ่อนท้งั หมดในตน้ ของพนั ธุ์ชะนีจะหลุดร่วงไป ถา้ สภาพแวดลอ้ มและการจดั การ ไม่เหมาะสม ในขณะท่ีพนั ธุ์หมอนทองและกระดุมทอง จะมีการร่วงของผลอ่อนในระยะน้ีนอ้ ยกวา่ และเมื่อคานึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเจริ ญเติบโตของผลและการดูดดึงสารประกอบ คาร์โบไฮเดรตท่ีได้จากการสังเคราะห์แสงและจากกระบวนการเมทาโบลิซึม มาใช้เพ่ือการ เจริญเติบโต จะพบวา่ อตั ราการเพิ่มน้าหนกั แห้งของทุเรียนพนั ธุ์ชะนี เป็ น 0.12 กรัม/ผล/วนั แต่ใน พนั ธุ์หมอนทองและกระดุมทองจะเป็ น 0.21 และ 0.29 กรัม/ผล/วนั ตามลาดบั ซ่ึงมีผลทาใหพ้ นั ธุ์ ชะนีมีความสามารถในการดูดดึงสารประกอบคาร์โบไฮเดรต ท่ีได้จากการสังเคราะห์และจาก กระบวนการเมทาโบลิซึม มาใช้ในการเจริญเติบโตน้อยกวา่ พนั ธุ์หมอนทอง และพนั ธุ์หมอนทอง นอ้ ยกวา่ พนั ธุ์กระดุมทอง ดงั น้นั จึงพบว่า พนั ธุ์กระดุมทองมีเปอร์เซ็นตก์ ารร่วงของผลอ่อนในการ พฒั นาการของผลระยะที่หน่ึงนอ้ ยกวา่ พนั ธุ์หมอนทอง และพนั ธุ์หมอนทองนอ้ ยกวา่ พนั ธุ์ชะนี ระยะท่ี 2 เป็นช่วงเวลาต้งั แต่ 3-7 สัปดาห์หลงั ดอกบาน ในระยะน้ีแมอ้ ตั ราการเพิ่มของ น้าหนกั แหง้ จะเริ่มสูงข้ึน เช่น ในพนั ธุ์ชะนีจะเพม่ิ เป็ น 1.74 กรัม/ผล/วนั แตก่ ารหลุดร่วงของผลก็ ยงั อาจเกิดข้ึนได้ ถา้ สารประกอบคาร์โบไฮเดรตท่ีไดจ้ ากการสงั เคราะห์แสง และจากกระบวนการ เมทาโบลิซึมไม่เพยี งพอต่อความตอ้ งการของผลท่ีจะใชใ้ นการพฒั นาการ การหลุดร่วงของผลใน ระยะน้ีจะเรียกเป็น การสลดั ผลตามธรรมชาติ ซ่ึงโดยปกติแลว้ ถา้ ปล่อยใหท้ ุเรียนมีการสลดั ผลเอง ตามธรรมชาติ โดยไม่มีการตดั แต่งผลช่วย ตน้ ทุเรียนจะสลดั ผลทิ้งเป็นจานวนมากกวา่ จานวนที่ช่วย ตดั แตง่ จนทาใหจ้ านวนผลในตน้ ลดลงกวา่ จานวนท่ีควรจะเป็น แตถ่ า้ สารประกอบคาร์โบไฮเดรตท่ี ไดจ้ ากการสงั เคราะห์แสง และจากกระบวนการเมทาโบลิซึมในตน้ มีไมเ่ พยี งพอ แต่ยงั ไม่ถึงระดบั ที่ จะทาใหต้ น้ ทุเรียนสลดั ผลตามธรรมชาติ จะมีผลทาใหร้ ูปทรงของผลบิดเบ้ียวหรือมีอาการกน้ จีบ สี เปลือกไมส่ ดใส หรือมีอาการหนามแดง ในขณะเดียวกนั ผลท่ีมีความสามารถในการดูดดึง สารประกอบคาร์โบไฮเดรตที่ไดจ้ ากการสงั เคราะห์แสง และจากกระบวนการเมทาโบลิซึมเพ่ือมาใช้ ในการเจริญเติบโตต่า จะทาใหผ้ ลมีการพฒั นาการชา้ หรือผดิ ปกติไป ในทางตรงกนั ขา้ มถา้ ปริมาณ สารประกอบดงั กล่าวมีมาก แตจ่ านวนผลในตน้ มีนอ้ ย จะทาใหผ้ ลทุเรียนเจริญเติบโตมากกวา่ ปกติ มีขนาดผลโต หนามเต้ีย ฐานหนามกวา้ ง ปลายหนามแตกและเปลือกหนา นอกจากน้ียงั อาจทาให้ ตายอดเกิดการพฒั นาจนทาใหต้ น้ ทุเรียนแตกใบอ่อนได้ ระยะที่ 3 เป็นช่วงเวลาต้งั แต่ 8-12 สัปดาห์หลงั ดอกบาน ในระยะน้ีเป็นช่วงเวลาท่ีอตั รา การเพิ่มน้าหนกั แหง้ ของผลเป็นไปอยา่ งรวดเร็วในพนั ธุ์ชะนีจะสูงถึง 16.2 กรัม/ผล/วนั ผลทุเรียนจึง มีความสามารถในการดูดดึงสารประกอบคาร์โบไฮเดรตที่ไดจ้ ากการสงั เคราะห์แสง และจาก กระบวนการเมทาโบลิซึมมาใชใ้ นการเจริญเติบโตสูง จึงทาใหผ้ ลทุเรียนมีการขยายขนาดผลอยา่ ง รวดเร็วจนสังเกตไดช้ ดั เจน ถา้ สารประกอบดงั กล่าวมีไมเ่ พยี งพอกบั การพฒั นาการของผล ตน้ F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลิตทุเรียน-รวม

33 ทุเรียนจะแสดงอาการใบเหลืองซีด ถา้ รุนแรงมาก จะทาใหก้ ่ิงแหง้ ตายไปหลงั จากการเก็บเก่ียว ผลผลิตจากตน้ ไปแลว้ และผลผลิตท่ีไดจ้ ะเป็นทุเรียนขนาดเลก็ คุณภาพเน้ือไมด่ ีเทา่ ท่ีควร มีอาการ แกน เต่าเผา หรือไส้ซึม ระยะท่ี 4 เป็นช่วงเวลาต้งั แต่ 13-16 สปั ดาห์หลงั ดอกบาน ในระยะน้ีอตั ราการขยาย ขนาดของผลจะเริ่มลดลง แตเ่ น้ือยงั คงมีการพฒั นาอยา่ งรวดเร็ว และผลก็พร้อมจะเขา้ สู่ขบวนการสุก แก่ ทุเรียนจดั เป็นผลไมป้ ระเภท climateric fruit คือ ผลจะมีการเปลี่ยนสภาพจากผลดิบเป็นผลสุก ซ่ึงในช่วงที่ผลสุก เอทธิลีนในผลจะถูกสังเคราะห์มากข้ึนและอตั ราการหายใจก็สูงมากดว้ ย อตั รา การหายใจจะเร่ิมสูงข้ึนจาก 20 มล. กา๊ ซคาร์บอนไดออกกไซด/์ กก.-ชม. เมื่อผลเริ่มแก่เป็น 180 มล. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด/์ กก.-ชม. เมื่อผลสุก อตั ราการหายใจและปริมาณเอทธิลีนที่ถูก สงั เคราะห์ข้ึนจะมีความสัมพนั ธ์กนั อยา่ งใกลช้ ิด เมื่อปริมาณเอทธิลีนสูงจะกระตุน้ ใหผ้ ลมีการหายใจ เพิม่ ข้ึนซ่ึงจะเร่งใหก้ ารเปล่ียนแปลงตา่ ง ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั กระบวนการสุกเกิดข้ึนโดยสมบรู ณ์ เช่น แป้ งในเน้ือจะเปล่ียนเป็ นน้าตาลทาใหเ้ น้ือมีรสชาติหวานข้ึน มีกล่ินหอม เป็ นตน้ การพฒั นาการของผลทุเรียนจะประกอบไปดว้ ย การพฒั นาการของเปลือก เมลด็ และเน้ือ โดยมีรายละเอียดของการพฒั นาการแต่ละประเภทในพนั ธุ์ชะนี ดงั น้ี คือ 1. การพฒั นาการของเปลอื ก เปลือกทุเรียนจะเริ่มมีการพฒั นาเมื่อ 3 วนั หลงั ดอกบาน คือ หลงั จากการท่ีกระบวนการการปฏิสนธิเสร็จสิ้นลงแลว้ โดยที่สีเปลือกจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวมากข้ึน หนามจะคอ่ ย ๆ กางตวั ทามุมฉากกบั ผวิ เปลือก ซ่ึงจะสังเกตไดช้ ดั เมื่อประมาณ 7 วนั หลงั ดอกบาน ในระหวา่ ง 4 สปั ดาห์แรกหลงั จากดอกบานอตั ราการเพิ่มน้าหนกั แหง้ ของเปลือกจะเพมิ่ ข้ึนอยา่ ง ชา้ ๆ ประมาณ 0.05 กรัม/ผล/วนั หลงั จากน้นั ต้งั แตส่ ปั ดาห์ที่ 5 ถึงสัปดาห์ที่ 12 หลงั ดอกบานอตั รา การเพ่มิ น้าหนกั แหง้ จะเพมิ่ ข้ึนเป็น 5.14 กรัม/ผล/วนั และในสัปดาห์ที่ 13 หลงั ดอกบานอตั ราการ เพ่มิ น้าหนกั แหง้ จะเริ่มลดลง ในสัปดาห์ท่ี 14 ผวิ เปลือกโดยเฉพาะบริเวณร่องหนามจะเริ่ม เปลี่ยนเป็นสีน้าตาลปลายหนามเริ่มแหง้ และจะคอ่ ย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้าตาลไหมใ้ นสปั ดาห์ที่ 15 หรือ สปั ดาห์ที่ 16 หลงั ดอกบาน ซ่ึงเป็นลกั ษณะหน่ึงท่ีใชเ้ ป็นหลกั เกณฑใ์ นการตดั สินวา่ ทุเรียนแก่พร้อม ที่จะเกบ็ เก่ียวได้ สาหรับการพฒั นาการของเปลือกในทุเรียนพนั ธุ์อ่ืนก็มีความคลา้ ยคลึงกบั พนั ธุ์ชะนี แตกต่างกนั เพียงเวลาท่ีใชใ้ นการพฒั นาการ เช่น พนั ธุ์กระดุมทองใชเ้ วลา 12-13 สัปดาห์ หลงั ดอก บาน ในขณะท่ีพนั ธุ์หมอนทองใชเ้ วลา 18-19 สปั ดาห์หลงั ดอกบาน เป็นตน้ 2. การพฒั นาการของเมลด็ เมล็ดจะเร่ิมพฒั นาทนั ทีหลงั จากเกิดกระบวนการปฏิสนธิ แลว้ ในช่วง 4 สปั ดาห์แรกหลงั ดอกบานเมลด็ จะมีลกั ษณะเป็นวนุ้ ใสมีเปลือกหุม้ เมล็ดบาง ๆ สีขาว ขนุ่ หุม้ อยภู่ ายนอก เมล็ดจะเร่ิมมีการขยายขนาดจนเห็นไดช้ ดั ในช่วงสปั ดาห์ท่ี 5 ถึงสัปดาห์ที่ 8 หลงั ดอกบานแตเ่ น้ือเย่อื เมลด็ ยงั คงเป็นวนุ้ ใสอยใู่ นนขณะท่ีเปลือกหุม้ เมล็ดจะเริ่มหนาข้ึน เมลด็ จะ พฒั นารูปร่างและขนาดเตม็ ที่เม่ือเขา้ สู่สปั ดาห์ที่ 9 หลงั ดอกบาน แตป่ ระมาณ 10 % ของเน้ือเยอื่ F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลติ ทุเรียน-รวม

34 เมล็ดยงั คงเป็นวนุ้ ใส เมื่อเร่ิมเขา้ สัปดาห์ท่ี 10 หลงั ดอกบาน เน้ือเยอ่ื เมล็ดจะพฒั นาเป็ นเน้ือเยอื่ ท่ีแขง็ ข้ึนและมีสีขาว ในระยะท่ีเน้ือเย่อื เมลด็ พฒั นาจากเน้ือเยอื่ วนุ้ ใสเป็นเน้ือเยอ่ื แขง็ สีขาว เป็นระยะที่ เมลด็ มีความสามารถในการดูดดึงสารประกอบคาร์โบไฮเดรตท่ีไดจ้ ากการสังเคราะห์แสง และจาก กระบวนการเมทาโบลิซึมมาใชเ้ พ่ิมมากข้ึน สีผวิ ของเปลือกหุม้ เมลด็ จะเร่ิมเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสี น้าตาลในสัปดาห์ท่ี 11 และจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาลท้งั เมลด็ เม่ือเขา้ สัปดาห์ท่ี 12 เป็นสีน้าตาลเขม้ เม่ือเขา้ สัปดาห์ที่ 13 หลงั ดอกบาน 3. การพฒั นาการของเนือ้ ในสปั ดาห์ที่ 5 หลงั ดอกบานเน้ือจะเริ่มพฒั นาเป็นเน้ือเยอื่ บาง ใส โดยจะเริ่มพฒั นาจากส่วนท่ีเป็นรอยตอ่ ของ placenta บนเมลด็ ก่อน และจะพฒั นาจนหุม้ เมลด็ ไดท้ ้งั เมล็ดเม่ือผลทุเรียนเจริญเติบโตไปได้ 9 สัปดาห์หลงั ดอกบาน ในสปั ดาห์ท่ี 10 ถึงสัปดาห์ท่ี 12 เน้ือจะมีการพฒั นาเพ่ือเพิม่ ความหนาอยา่ งรวดเร็ว เน้ือจะเร่ิมมีสีขาวเม่ือเขา้ สปั ดาห์ที่ 10 เปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวล (ระยะเขา้ สี) ในสัปดาห์ที่ 11 เป็นสีเหลืองอ่อนในสปั ดาห์ท่ี 12 และเป็ นสี เหลืองเขม้ ในสัปดาห์ท่ี 13 พร้อม ๆ กบั การลดลงของอตั ราการเพิ่มความหนาเน้ือผลทุเรียน จะแก่ พร้อมท่ีจะเกบ็ เกี่ยวไดต้ ้งั แต่สปั ดาห์ท่ี 14 ถึงสัปดาห์ท่ี 15 หลงั ดอกบาน และสามารถจะสุกได้ ภายใน 3-7 วนั หลงั เกบ็ เก่ียว สภาพแวดล้อม สภาพแวดลอ้ มจะมีผลกระทบโดยตรงต่อการสังเคราะห์แสง กระบวนการเมทาโบลิซึม การเคล่ือนยา้ ย และการดูดดึงสารประกอบคาร์โบไฮเดรตที่ไดจ้ ากการสังเคราะห์แสง และจาก กระบวนการเมทาโบลิซึมมาใชเ้ พอ่ื การพฒั นาการของผลทุเรียน ตลอดจนการสะสมสารประกอบ ดงั กล่าวเป็นส่วนสะสมในตน้ พชื หากกระบวนการใดกระบวนการหน่ึงขา้ งตน้ บกพร่องไป เนื่องจาก สภาพแวดลอ้ มไมเ่ หมาะสมก็จะทาใหผ้ ลทุเรียนมีการพฒั นาการท่ีบกพร่องไปดว้ ย โดยหลกั การแลว้ สภาพแวดลอ้ มที่ม่ีบทบาทต่อปริมาณและคุณภาพของผลผลิตทุเรียน เรียงตามลาดบั ความสาคญั ไดแ้ ก่ - ความช้ืนในดิน - ความอุดมสมบรู ณ์ของดิน - อุณหภมู ิ - ลม - ความยาวนานของแสงแดด บทบาทของสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการเพม่ิ ปริมาณและคุณภาพของผลผลติ ทุเรียน 1. ความชื้นในดิน ในระยะ 2 สัปดาห์แรก หลงั ดอกบาน ถา้ ความช้ืนในดินมีมาก หรือนอ้ ยเกินไปจะมีผลทาใหผ้ ลออ่ นของทุเรียนหลุดร่วงเป็นจานวนมากหรืออาจจะหมดท้งั ตน้ ไดใ้ น กรณีของพนั ธุ์ชะนี ปริมาณความช้ืนในดินจะมากหรือนอ้ ยน้นั ข้ึนอยกู่ บั ปริมาณน้าในดิน ลกั ษณะ F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลิตทุเรียน-รวม

35 เน้ือดินและสภาพภูมิอากาศท่ีต่างกนั วธิ ีการปฏิบตั ิที่ง่ายและสะดวกในการที่จะทราบวา่ ปริมาณ ความช้ืนในดินมากหรือนอ้ ยเกินไปสาหรับการเจริญเติบโตของผลในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลงั ดอก บาน ทาไดโ้ ดยวธิ ีสังเกตลกั ษณะผล ถา้ กา้ นผลเห่ียว ไมเ่ ตง่ ตึง แสดงวา่ ปริมาณความช้ืนในดินนอ้ ย เกินไป และผลออ่ นอาจหลุดร่วงไปถา้ สภาวะขาดน้ารุนแรงยง่ิ ข้ึน แตถ่ า้ กา้ นผลมีลกั ษณะอวบอว้ น เตง่ ตึง เปราะหกั ง่าย แสดงวา่ ปริมาณความช้ืนในดินมากเกินไปและผลกอ็ าจหลุดร่วงไปไดเ้ ช่นกนั นอกจากน้ีถา้ ตน้ ทุเรียนเกิดสภาวะขาดน้าในระยะสปั ดาห์ที่ 8 ถึงสัปดาห์ท่ี 12 หลงั ดอก บาน ซ่ึงเป็นระยะที่ผลทุเรียนกาลงั มีการพฒั นาการอยา่ งรวดเร็ว จะทาใหผ้ ลทุเรียนมีขนาดเลก็ รูปทรงผิดปกติ ในทางตรงกนั ขา้ มถา้ ปริมาณความช้ืนในดินมากเกินไปก็จะทาใหต้ น้ ทุเรียนแตกใบ อ่อน ซ่ึงการแตกใบอ่อนของทุเรียนในระยะท่ีผลกาลงั มีการพฒั นาการ จะส่งผลกระทบตอ่ ปริมาณ และคุณภาพของผลผลิตไดด้ งั น้ี คือ ตารางท่ี 1 ผลกระทบของการแตกใบอ่อนต่อการพฒั นาการของผลทุเรียน สัปดาห์หลงั ดอกบานทต่ี ้นทุเรียน ผลกระทบต่อการพฒั นาการของผล แตกใบอ่อน ปริมาณ คุณภาพ สัปดาห์ท่ี 3 - สปั ดาห์ที่ 5 ผลออ่ นร่วง - สัปดาห์ท่ี 5 - สปั ดาห์ที่ 8 - รูปทรงบิดเบ้ียว สัปดาห์ท่ี 10 - สปั ดาห์ที่ 12 - เน้ือดอ้ ยคุณภาพ มีอาการแกน เต่าเผา เน้ือสามสี 2. ความอดุ มสมบูรณ์ของดนิ ในท่ีน้ีหมายถึง ดินท่ีสามารถปลอปล่อยธาตุอาหารท่ีเป็น ประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพชื ออกมาไดม้ าก ซ่ึงธาตุอาหารต่าง ๆเหล่าน้ีมีความสาคญั ในแง่ท่ี เป็นองคป์ ระกอบภายในเซลล์ เอนไซมต์ ่าง ๆ ท่ีจาเป็นต่อการพฒั นาการของผลทุเรียน โดยปกติแลว้ ผลทุเรียนมกั จะมีการคายน้านอ้ ย ดงั น้นั การเคลื่อนยา้ ยของธาตุอาหารจากดินไปยงั ผล ในระหวา่ งท่ี ผลกาลงั มีการพฒั นาการโดยผา่ นทางทอ่ น้า (xylem) จึงเกิดข้ึนไดน้ อ้ ย ธาตุอาหารส่วนใหญ่จึง เคลื่อนยา้ ยไปยงั ผลโดยผา่ นทางท่ออาหาร (phloem) แทนโดยการเคลื่อนไปในท่อลาเลียง (sieve tubes) พร้อมกบั การเคลื่อนยา้ ยสารประกอบที่ไดจ้ ากกระบวนการเมทาโบลิซึม แตค่ วามสามารถใน การเคล่ือนของธาตุอาหารภายในท่อลาเลียงจะแตกตา่ งกนั ตามตารางที่ 2 F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลติ ทุเรียน-รวม

36 ตารางท่ี 2 ความสามารถในการเคล่ือนยา้ ยของธาตุอาหารภายในทอ่ อาหาร เคลอื่ นย้ายได้ดี เคลอ่ื นย้ายได้พอประมาณ เคลอ่ื นย้ายไม่ได้ โปรแตสเซียม (K) เหลก็ (Fe) ลิเธียม (Li) รูบิเดียม (Rb) แมงกานีส (Mn) แคลเซียม (Ca) โซเดียม (Na) สงั กะสี (Zn) สตรอนเตียม (Sr) แมกนีเซียม (Mg) ทองแดง (Cu) แบเรียม (Ba) ฟอสฟอรัส (P) โมลิบดินมั (Mo) โบรอน (B) กามะถนั (S) คลอรีน (CI) ดงั น้นั เมื่อพิจารณาจากความสามารถในการเคลื่อนยา้ ยของธาตุอาหารภายในท่ออาหารจะ พบว่า ธาตุอาหารในกลุ่มท่ีไม่สามารถเคลื่อนยา้ ยได้ มีโอกาสท่ีจะมีปริมาณไม่เพียงพอต่อการ พฒั นาการของผลทุเรียนไดม้ ากกวา่ ธาตุอาหารในกลุ่มอ่ืน ธาตุแคลเซียมและโบรอนเป็ นตวั อยา่ งของ ธาตุในกลุ่มน้ีที่มีความสาคญั ต่อการพฒั นาการของดอกและผลทุเรียน วธิ ีการแกป้ ัญหาการขาดธาตุ อาหารในกลุ่มน้ีหรือแม้แต่ในกลุ่มอื่น ๆ อาจทาได้โดยการใส่ป๋ ุยทางดินท่ีมีธาตุเหล่าน้ีเป็ น องคป์ ระกอบ เพ่ือทาให้เกิดความแตกต่างของความเขม้ ขน้ ของธาตุอาหารระหวา่ งดินและรากและ ระหว่างรากและผลทุเรียนมากพอท่ีจะทาให้เกิดความต่างศกั ย์ของความดันออสโมติก (osmotic pressure) ทาใหเ้ กิดการเคลื่อนยา้ ยของธาตุอาหารท่ีมีความเขม้ ขน้ สูงไปยงั ที่มีความเขม้ ขน้ ต่า คือ จาก ดินไปยงั ราก และจากรากไปยงั ผลได้ ถ้าธาตุอาหารต่าง ๆ ท้งั สามกลุ่มมีอยู่ในดินในปริมาณ เพียงพอที่ตน้ ทุเรียนจะดูดดึงข้ึนมาใชใ้ นระหวา่ งที่ผลกาลงั มีการพฒั นาการได้ ก็จะทาใหไ้ ดท้ ุเรียนที่ มีคุณภาพเน้ือดี ไมม่ ีอาหารแกน เต่าเผา และไส้ซึม 3. อุณหภูมิ จะมีส่วนเก่ียวขอ้ งกบั อตั ราการเกิดกระบวนการต่าง ๆ ทางสรีรวทิ ยา เช่น การสังเคราะห์แสง การหายใจ และกระบวนการเมทาโบลิซึม เป็นตน้ ในขณะที่อุณหภูมิต่า (ต่ากวา่ 22 oC) กิจกรรมของเอนไซมต์ า่ ง ๆ อตั ราการเกิดสังเคราะห์แสง และกระบวนการเมทาโบลิซึมชา้ ลง ถ้าเกิดมีอุณหภูมิต่าในระยะ 2 สัปดาห์แรกหลังดอกบานจะทาให้ผลอ่อนโตช้ากว่าปกติ ความสามารถในการดูดดึงสารประกอบคาร์โบไฮเดรตที่ไดจ้ ากกระบวนการเมทาโบลิซึมมาใชเ้ พื่อ การเจริญเติบโตของผลนอ้ ย ถา้ รุนแรงมากอาจทาใหผ้ ลร่วง นอกจากจะทาใหผ้ ลโตชา้ แลว้ ยงั มีผลต่อ การสุกแก่ของผลทุเรียนดว้ ย ทาใหผ้ ลทุเรียนแก่ช้ากวา่ ปกติ ซ่ึงอาจทาให้เกิดความผิดพลาดในการ เกบ็ เกี่ยว ทาใหไ้ ดผ้ ลทุเรียนท่ีคุณภาพไมด่ ีเทา่ ท่ีควร ในทางตรงกนั ขา้ มอุณหภูมิสูง ( 35-46 oC) อตั รา การเกิดกระบวนการทางสรีรวทิ ยาจะถูกกระตุน้ ใหส้ ูงข้ึน ทุเรียนตอ้ งการใชพ้ ลงั งานมาก มีอตั ราการ หายใจสูง จาเป็นตอ้ งใชสารประกอบที่ไดจ้ ากการสังเคราะห์แสงมาใชใ้ นกระบวนการตา่ ง ๆ และใน F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลิตทุเรียน-รวม

37 การซ่อมแซมส่วนท่ีสึกหรอมากข้ึน ทาให้สารประกอบที่ได้จากการสังเคราะห์แสงที่จะมาเข้า กระบวนการเมทาโบลิซึมเพื่อใชใ้ นการพฒั นาการของผลทุเรียนลดลง ทาให้ผลทุเรียนโตชา้ ผลมี ขนาดเล็กและแก่เร็วข้ึน แต่จะพบอาการแกนและเต่าเผามากกวา่ ปกติดว้ ย 4. ความยาวนานแสงแดด (Duration of sunshine) ต้นทุเรียน จาเป็ นต้องใช้แสงแดดในการสังเคราะห์แสง สารประกอบคาร์ โบไฮเดรตที่ได้จากการ สังเคราะห์ แสงและจากกระบวนการเมทาโบลิซึ มมีความสาคัญมากต่ อการพัฒนา การของผล โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ท่ี 12 หลังดอกบานซ่ึงเป็ นช่วงของการพัฒนาการของเนือ้ ถ้า ช่ัวโมงความยาวนาน แสงแดดน้อย เช่น ในฤดูฝนวันที่มีเมฆครึ้ม ท้องฟ้ าไม่ปลอดโปร่ ง ติดต่อกันนานกว่า 5 วัน จะทาให้ต้นทุเรียนสังเคราะห์แสงได้น้อยลง ปริมาณ สารประกอบคาร์ โบไฮเดรตท่ีได้จากการสังเคราะห์ แสงและจากกระบวนการเมทา-โบลิซึมก็ น้อยลงด้วย จนอาจไม่เพียงพอต่อการพัฒนาการของเนื้อและผลทาให้คุณภาพเนือ้ ไม่ได้ มี อาการแกน เต่าเผาและไส้ซึมมาก 5. ลม สภาวะการเกิดลมแรงในภาคตะวนั ออกของประเทศไทย ท่ีมีผลกระทบ ต่อปริมาณและคณุ ภาพผลผลิตของทุเรียนแบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 จะมีกระแสลมพดั แรงเป็ นช่วง ๆ ช่วงละไมเ่ กิน 1 วนั ในระหวา่ งปลาย เดือนธนั วาคมถึงตน้ เดือนกุมภาพนั ธ์ สาเหตุเกิดจากมวลอากาศที่มีความกดสูงเคลื่อนตวั มาพบกบั มวลอากาศที่มีความกดต่า กระแสลมจะมีความรุนแรงมากถา้ ความแตกตา่ งระหวา่ ความกดมีมาก กระแสลมแรงในช่วงน้ีจะทาใหใ้ บทุเรียนร่วง หรือกิ่งฉีกหกั เสียหาย ทาใหค้ วามสบบูรณ์ของตน้ ลดลง ปริมาณดอกและผลทุเรียนนอ้ ยกวา่ ท่ีควรจะเป็น ระยะที่ 2 จะเป็นกระแสลมแรงพดั กรรโชก เป็ นช่วงส้ัน ๆ ประมาณ 15-30 นาที ในระหวา่ งกลางเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนพฤษภาคม สาเหตุเกิดจากความแตกต่างระหวา่ งความกด อากาศของมวลอากาศที่มีความกดต่าในบริเวณใกลเ้ คียง เมื่ออุณหภมู ิและความช้ืนสูงจะทาใหม้ วล อากาศท่ีลอยอยเู่ หนือผวิ ดินร้อนและลอยตวั สูงข้ึน มวลอากาศที่ลอยอยเู่ หนือผวิ น้าและหนกั กวา่ จึง เคลื่อนตวั เขา้ มาแทนท่ี กระแสลมจะทวคี วามรุนแรงมากข้ึน เมื่ออุณหภูมิและความช้ืนยงิ่ สูงข้ึน ความแรงของกระแสลมอาจทาใหผ้ ลทุเรียนร่วงหล่น หรือตน้ ทุเรียนลม้ ทาใหป้ ริมาณผลผลิตลดลง ในการควบคุมปริมาณและคุณภาพผลผลิตของทุเรียน นอกจากจะตอ้ งทาความเขา้ ใจ เกี่ยวกบั การพฒั นาการของทุเรียน สภาพแวดล้อม และความสัมพนั ธ์ระหว่างการพฒั นาการของ ทุเรียน และสภาพแวดลอ้ ม ซ่ึงจดั เป็นปัจจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การควบคุมปริมาณและผลผลิตของทุเรียน แลว้ ความเขา้ ใจเก่ียวกบั กระบวนการตา่ ง ๆ ทางสรีรวิทยาของทุเรียน เช่น กระบวนการสังเคราะห์ แสง กระบวนการเคล่ือนยา้ ย และกระบวนการการนาสารประกอบท่ีไดจ้ ากกระบวนการเมทาโบ- F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลิตทุเรียน-รวม

38 ลิซึมไปใช้ เป็ นตน้ ก็มีส่วนเกี่ยวขอ้ งในการควบคุมปริมาณและคุณภาพผลผลิตของทุเรียน เช่นกนั ดังน้ันหากมีความเข้าใจในปัจจัยที่ควบคุมปริ มาณและคุณภาพผลผลิตของทุเรียน ตลอดจน กระบวนการต่าง ๆ ทางสรีรวิทยาของทุเรียนแลว้ ก็สามารถหาวิธีในการจดั การปัจจยั การผลิตให้ เหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั ระยะการพฒั นาการของผล เพ่ือการเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิต ได้ และกระบวนการต่าง ๆ ทางสรีรวิทยาที่กล่าวถึงน้ัน หมายรวมถึง ความสัมพนั ธ์ระหว่าง SOURCE (ซอร์ส) และ SINK (ซิงค)์ ความสัมพนั ธ์ระหว่าง SOURCE และ SINK ในการผลติ ทุเรียน ในระหวา่ งที่ตน้ ทุเรียนกาลงั มีการเจริญเติบโตน้นั กระบวนการต่าง ๆ ภายในจะดาเนินไป ไดอ้ ยา่ งตอ่ เน่ืองกจ็ าเป็ นตอ้ งใชพ้ ลงั งาน ซ่ึงพลงั งานส่วนใหญไ่ ดม้ าจากกระบวนการสงั เคราะห์แสง โดยพืชจะนาพลงั งานจากแสงอาทิตยม์ าใชใ้ นการสร้างน้าตาลโมเลกลุ เดี่ยว (monosaccharide) ซ่ึง จดั เป็นสารคาร์โบไฮเดรต โดยมีคลอโรฟิ ลล์ชนิดต่าง ๆ เป็นตวั ดูดพลงั งานจากแสงอาทิตยไ์ วแ้ ลว้ เปล่ียนใหเ้ ป็นพลงั งานเคมี ดงั น้นั คาร์โบไฮเดรตเกือบท้งั หมดภายในพชื จึงถูกสังเคราะห์ข้ึนที่ใบ ส่วนหน่ึงของน้าตาลโมเลกลุ เด่ียว พืชจะนาไปใชท้ นั ทีในกระบวนการหายใจ เพ่ือปลดปล่อย พลงั งานมาใชใ้ นการดารงชีวติ อยขู่ องพืช อีกส่วนหน่ึงพืชจะเก็บไวเ้ ป็นส่วนสะสมในรูปของน้าตาล หลายโมเลกลุ (polysaccharides) เช่น แป้ งและอินูลิน เมื่อพชื ตอ้ งการใชก้ ็จะถูกลาเลียงไปตามทอ่ อาหารในรูปของน้าตาลโมเลกลุ คู่ เช่น น้าตาลซูโครส ไปยงั เน้ือเยอ่ื และอวยั วะตา่ ง ๆ แลว้ น้าตาล ซูโครสจะถูกเปล่ียนกลบั มาเป็นน้าตาลโมเลกุลเดี่ยว คือน้าตาลกลูโคสและน้าตาลฟรุคโตสอีกคร้ัง หน่ึง จากน้นั พืชจึงนาน้าตาลโมเลกลุ เดี่ยวท้งั สองชนิดน้นั ไปใชใ้ นกระบวนการเมทาโบลิซึมต่าง ๆ เพ่อื การเจริญเติบโตของเน้ือเยอื่ และซ่อมแซมเน้ือเยอื่ ส่วนที่สึกหรอ นอกจากน้ีน้าตาลโมเลกลุ เดี่ยว อีกส่วนหน่ึงจากกระบวนการสังเคราะห์แสงจะถูกเคล่ือนยา้ ยไปยงั ตาแหน่งที่ตอ้ งการสร้างเซลลูโลส และเฮมิเซลลูโลส โดยปฏิกิริยาทางชีวเคมีเพือ่ นาไปสร้างเป็นผนงั เซลลแ์ ละโครงสร้างของอวยั วะ ต่าง ๆ ของพชื เน้ือเยอ่ื และอวยั วะตา่ ง ๆ ของพืชท่ีทาหนา้ ที่สงั เคราะห์หรือเก็บสะสมสารประกอบ คาร์โบไฮเดรตท่ีสามารถถูกเคล่ือนยา้ ยไปใชใ้ นแหล่งที่ตอ้ งการใชไ้ ด้ จะถูกเรียกวา่ ซอร์ส ในขณะท่ี เน้ือเยอื่ และอวยั วะต่าง ๆ ที่ตอ้ งการใชส้ ารประกอบคาร์โบไฮเดรตที่ไดจ้ ากกระบวนการสังเคราะห์ แสงและกระบวนการเมทาโบลิซึม จะถูกเรียกวา่ ซิงค์ โดยหลกั การแลว้ ซอร์ส ส่วนใหญใ่ นพชื จะ เป็นใบท่ีมีสีเขียวและสามารถสงั เคราะห์แสงได้ ดงั น้นั ในการพิจารณาประสิทธิภาพของซอร์ส ควร คานึงถึง 1. ปริมาณพ้นื ท่ีของใบที่ไดร้ ับแสง 2. อายแุ ละความยนื ยาว (longevity) ของใบ 3. การจดั เรียงตวั ของใบ F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลิตทุเรียน-รวม

39 4. อตั ราและความสามารถของใบในการสงั เคราะห์แสง สาหรับประเภทของซิงค์ ก็สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น : 1. เน้ือเยอื่ เจริญบริเวณปลายยอดซ่ึงจะพฒั นาเป็นใบหรือดอก (meristematic sink) 2. ใบ ดอก และผล ที่กาลงั พฒั นา (expansion sink) 3. เน้ือเยอ่ื ท่ีทาหนา้ ท่ีสะสมอาหาร (storage sink) ซ่ึงประสิทธิภาพของซิงค์ เหล่าน้ีจะข้ึนอยกู่ บั : 1. ความสามารถในการดูดดึงสารประกอบคาร์โบไฮเดรตจากกระบวนการสังเคราะห์ แสงและกระบวนการเมทาโบลิซึมมาใช้ (sink strength) 2. ตาแหน่งของซิงค์ ซ่ึงจะเก่ียวขอ้ งกบั การเคลื่อนยา้ ยสารประกอบคาร์โบไฮเดรตจาก ซอร์ส โดยซิงคท์ ่ีอยไู่ กลและอยใู่ นระดบั ต่ากวา่ ซอร์ส จะมีประสิทธิภาพดีกวา่ ซิงคท์ ่ีอยไู่ กลและอยู่ ในระดบั ท่ีเหนือกวา่ ซอร์ส 3. ขอ้ จากดั ทางพนั ธุกรรมของซิงค์ เช่นขนาดผลที่โตเตม็ ท่ีของพนั ธุ์หมอนทองจะใหญ่ กวา่ ของพนั ธ ์์กระดุมทอง นอกจากน้ีในการพิจารณาความสามารถของซิงคใ์ นการดูดดึงสารประกอบคาร์โบไฮเดรต มาใช้ (sink strength) ควรคานึงถึง - ความสามารถในการใชส้ ารประกอบคาร์โบไฮเดรตเพื่อการพฒั นาการ และการ เจริญเติบโต (sink activity) - ขนาดและจานวนของซิงค์ (sink size) ในยามที่ SINK ท้งั สามประเภทคือ meristematic sink, expansion sink และ storage sink มีความตอ้ งการใชส้ ารประกอบคาร์โบไฮเดรต พร้อมกนั ก็จะเกิดการแข่งขนั ซ่ึงกนั และกนั หากวา่ การจดั สรรแบง่ ปันระหวา่ ง SINK ประเภทตา่ งๆ เพียงพอ การพฒั นาการและการเจริญเติบโตของซิงคจ์ ะยงั คงเป็นปกติ แตห่ ากวา่ เมื่อใดที่การแบ่งปัน ไมเ่ พยี งพอ ซ่ึงมีสาเหตุมาจาก : ความสามารถของซอร์ส (source capacity) ถูกจากดั โดยสภาพแวดลอ้ มที่ไม่เหมาะสม : ความตอ้ งการของซิงคม์ ากเกินกวา่ ท่ีซอร์สจะสนองไดจ้ ะมีผลทาใหก้ ารพฒั นาการ และการเจริญเติบโตของซิงคผ์ ดิ ปกติไป ตวั อยา่ งเช่น ในระยะท่ี 1 (0-2 สัปดาห์หลงั ดอกบาน) ของการพฒั นาการของผลทุเรียนพนั ธุ์ชะนีผลยงั มี ขนาดเลก็ อยแู่ ละมีเป็นจานวนมาก sink strength ต่า ทาให้ผลร่วงเป็นจานวนมาก ในระยะท่ี 2 (3-7 สัปดาห์หลงั ดอกบาน) ของการพฒั นาการ sink strength เริ่มสูงข้ึน แตถ่ า้ จานวนผลมีมากซอร์สไม่เพียงพอที่จะสนองได้ ทาใหเ้ กิดการสลดั ผลตามธรรมชาติ ในระยะที่ 3 (8-12 สัปดาห์หลงั ดอกบาน) ของการพฒั นาการ sink strength สูงมาก ถา้ ซอร์สไมเ่ พยี งพอท่ีจะสนองได้ จะทาใหผ้ ลทุเรียนมีขนาดเลก็ เน้ือมีอาการแกน เตา่ เผา หรือไส้ซึม F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลติ ทุเรียน-รวม

40 ในระยะที่ 4 (13-16 สัปดาห์หลงั ดอกบาน) ของการพฒั นาการ ถา้ SOURCE ไม่เพยี ง พอท่ีจะสนองไดจ้ ะทาใหท้ ุเรียนมีคุณภาพเน้ือไมด่ ี ถา้ ตน้ ทุเรียนแตกใบอ่อนในขณะท่ีผลทุเรียนกาลงั มีการพฒั นาการ จะเกิดการแข่งขนั ระหวา่ ง meristematic sink (ใบอ่อน) และ expansion sink (ผลอ่อน) ในการแยง่ สารประกอบ คาร์โบไฮเดรตมาใชเ้ พ่ือการเจริญเติบโต ในกรณีเช่นน้ี ใบอ่อนมกั มี sink strength มาก และตาแหน่ง ของซิงคก์ เ็ หมาะสมกวา่ ผลอ่อน ถา้ สารประกอบคาร์โบไฮเดรตไมเ่ พียงพอจะทาใหผ้ ลออ่ นหลุดร่วง หรือมีรูปทรงบิดเบ้ียว หรือคุณภาพภายในผดิ ปกติไป F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลิตทุเรียน-รวม

- 41 สรุป ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง SOURCE และ SINK ในการผลิตทุเรียน พลงั งานจากแสงอาทิตย์ กระบวนการ คาร์โบไฮเดรตท น้า คาร์บอนไดออกไซด์ สังเคราะห์แสง กระบวนการสัง แสง (Photosyn คลอโรฟิ ลล์ (Photosynthesis) การจดั เน้ือเยอ่ื เจริญบริเวณ ปลายยอด (Meristematic sink)

1- ที่ไดจ้ าก กระบวนการ สารประกอบคาร์โบไฮเดรต งเคราะห์ เมทาโบลิซึมต่างๆ ท่ีไดจ้ ากกระบวนการ nthates) (Metabolism) เมทาโบลิซึม (Assimilates) ดสรรแบ่งปัน (Partitioning) เน้ือเยอื่ ที่ทาหนา้ ที่ สะสมอาหาร ใบ ดอก และผล (Storage sink) ที่กาลงั พฒั นา (Expansion sink) F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลิตทุเรียน-รวม

- 42 - การจัดการเพอ่ื เพม่ิ ปริมาณและคุณภาพผลผลติ ของทุเรียน จากความเขา้ ใจ เก่ียวกบั การพฒั นาการของผล สภาพแวดลอ้ ม บทบาทของสภาพแวดลอ้ มตอ่ การพฒั นาการของผล และหลกั การความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง ซอร์ส (SOURCE) และซิงค์ (SINK) สามารถนามาใชเ้ ป็นแนวทางในการจดั การเพื่อเพ่ิมปริมาณและคุณภาพของผลผลิตทุเรียนได้ ดงั น้ี คือ 1. การจัดการเพอ่ื ให้มกี ารติดผลมากและกระจายในทว่ั ต้น โดยการตดั แตง่ ดอกทุเรียนให้ เป็นดอกรุ่นเดียวกนั ควบคุมปริมาณการใหน้ ้าเพื่อใหด้ อกทุเรียนมีการพฒั นาการอยา่ งปกติการช่วย ผสมเกสร และการดูแลรักษาใหต้ น้ มีความสมบรู ณ์อยเู่ สมอ 2. การจัดการเพอื่ ป้ องกนั ผลอ่อนร่วง เม่ือทุเรียนติดผลแลว้ และผลอ่อนมีอายุ 0-2 สปั ดาห์หลงั ดอกบาน ใหน้ ้าในอตั รา 20-25% ของอตั ราการระเหยน้าจากถาดระเหยน้าชนิด A โดย รักษาระดบั น้าใหส้ ม่าเสมอ แตห่ ากอุณหภมู ิอากาศต่ากวา่ 17 องศาเซลเซียส ตอ้ งใหน้ ้าในอตั รา 15- 20% ของอตั ราการระเหยน้าจากถาดระเหยน้าท่ีชนิด A ในช่วงเชา้ มือก่อนพระอาทิตยข์ ้ึนทุกวนั ร่วมกบั การพน่ ป๋ ุยทางใบที่มีธาตุรองและธาตุปริมาณนอ้ ยร่วมดว้ ย และตอ้ งเป็นป๋ ุยท่ีมีประสิทธิภาพ สูง เช่น ป๋ ุยในรูปดีเลท เป็นตน้ จนผลอายมุ ากกวา่ 3 สัปดาห์หลงั ดอกบาน หากมีฝนตกในช่วงน้ี ตอ้ ง รีบใหน้ ้าทนั ทีเมื่อฝนหยดุ ในอตั รา 15-20% ของอตั ราการระเหยน้าจากถาดระเหยท่ีชนิด A ร่วมกบั พน่ ป๋ ุยทางใบที่มีธาตุรองและธาตุปริมาณนอ้ ยชนิดท่ีมีประสิทธิภาพสูง กรณีที่มีน้าคา้ งมาก ควรพน่ ดว้ ยป๋ ุยทางใบที่มีประสิทธิภาพสูง เพอื่ ลดอาการผลร่วง และเม่ือผลอายปุ ระมาณ 2-5 สปั ดาห์ ค่อยๆ เพ่ิมปริมาณการใหน้ ้าจากอตั รา 20-25% เป็น 70% ของอตั ราการระเหยน้าจากถาดระเหยน้าชนิด A เมื่อผลอายคุ รบ 4 สัปดาห์หลงั ดอกบาน 3. การปฏบิ ตั ิเพอื่ ลด sink size ระหว่างผลทเุ รียน หรือระหวา่ งผลทุเรียนกบั ส่วนประกอบ อื่นของตน้ ในกรณีท่ีตน้ ทุเรียนมีผลอ่อนท่ีกาลงั พฒั นากรเป็นจานวนมาก (มากกวา่ 300 ผลต่อตน้ ) หรืออาจมีการแตกใบออ่ นในขณะท่ีผลกาลงั มีการพฒั นาการในขณะน้ี ซิงค์ (ผลอ่อนและใบอ่อน) จะ มีความตอ้ งการคาร์โบไฮเดรตที่ไดจ้ ากกระบวนการเมทาโบลิซึม มากเกินกวา่ ที่ซอร์ส จะสนองได้ ทุเรียนจึงสลดั ผลทิ้งตามธรรมชาติ เพือ่ เป็นการรักษาสมดุลของซอร์ส และซิงคว์ ธิ ีการเพ่อื ลด sink size ระหวา่ งผลทุเรียน อาจทาไดโ้ ดยการตดั แตง่ ผลใหเ้ หลือในปริมาณท่ีเพยี งพอท่ีซอร์สจะสนองได้ ซ่ึงทาไดด้ งั น้ี 3.1 ตัดแต่งครั้งแรกเมื่อผลทุเรียนมอี ายุ 3 ถงึ 4 สัปดาห์หลงั ดอกบาน โดยตดั แต่งผลที่มี รูปทรงบิดเบ้ียว ผลท่ีมีขนาดเลก็ และผลที่ไม่อยใู่ นตาแหน่งท่ีตอ้ งการออก ใหเ้ หลือผลทุเรียนไวบ้ น ตน้ ประมาณ 2-3 เท่าของจานวนผลท่ีตอ้ งการไวจ้ ริง ซ่ึงการคาดคะเนจานวนผลท่ีตน้ จะไวไ้ ดจ้ ริง พิจารณาจาก F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลติ ทุเรียน-รวม

- 43 - - ขนาดของทรงพมุ่ - ปริมาณและความสมบูรณ์ของใบ (ใบสมบรู ณ์ประมาณ 330 ใบ สามารถเล้ียง ผลได้ 1 ผล) - โครงสร้างของก่ิงภายในทรงพมุ่ - ประสบการณ์ของเกษตรกรชาวสวน เหตุผลในการไวผ้ ลบนตน้ ในจานวนท่ีมากกวา่ จานวนท่ีควรจะไวน้ ้นั กเ็ พ่ือเพมิ่ sink strength และใหม้ ี sink activity มากๆ เพอื่ ป้ องกนั การแตกใบอ่อน 3.2 ตัดแต่งคร้ังทส่ี อบเมอื่ ผลทุเรียนมีอายุ 5 ถงึ 6 สัปดาห์หลังดอกบาน โดยปกติเมื่อผล อายปุ ระมาณ 6 สัปดาห์หลงั ดอกบาน จะขยายตวั ดา้ นยาว สีผวิ เขียวสดใส ดงั น้นั การตดั แต่งผลคร้ังที่ 2 น้ี เลือกตดั แตง่ ผลท่ีมีการเจริญเติบโตชา้ ผลท่ีมีรูปทรงบิดเบ้ียว ผลท่ีมีอาการหนามแดง และผลที่มี โรคหรือแมลงเขา้ ทาลายทิ้ง วธิ ีการตดั แตง่ ผลในคร้ังที่สองแบง่ ก่ิงทุเรียนในทรงพมุ่ ออกเป็น 2 ส่วน เท่าๆ กนั ตามความสูงของตน้ และไวผ้ ลในส่วนบนของตน้ ประมาณ 60-70% ของจานวนผลท้งั หมด ในตน้ เหลือไวใ้ นส่วนล่างของตน้ ประมาณ 30-40% ของจานวนผลท้งั หมด ท้งั น้ีเพราะกิ่งในส่วนบน ของตน้ มีปริมาณพ้ืนท่ีของใบที่ไดร้ ับแสงมากกวา่ กิ่งใบส่วนล่าง ดงั น้นั จึงเป็นซอร์สท่ีมีประสิทธิภาพ ดีกวา่ แตใ่ นกรณีท่ีตน้ ทุเรียนมีขนาดเลก็ อายไุ ม่เกิน 8 ปี ความสูงตน้ ไมเ่ กิน 6 เมตร ความสามารถในการรับแสงของกิ่งบนและส่วนล่างของตน้ ไมแ่ ตกต่างกนั มากนกั ดงั น้นั สดั ส่วนของ การไวผ้ ลควรกระจายใหท้ ว่ั ทุกก่ิงท้งั ในกิ่งส่วนบนและส่วนล่างของตน้ เพราะถา้ ไวผ้ ลมากในก่ิง ส่วนบน อาจทาใหต้ น้ โค่นลม้ ไดเ้ มื่อมีกระแสลมพดั แรง เพราะระบบรากยงั ไมล่ ึกและแขง็ แรงพอ นอกจากน้ีในการตดั แตง่ ผลคร้ังที่สองน้ี จะตอ้ งพิจารณาจานวนและตาแหน่งในการ ไวผ้ ลดว้ ย ในกรณีที่ตน้ ทุเรียนติดผลไดด้ ีและกระจายทวั่ ทรงพมุ่ ควรตดั แต่งใหเ้ หลือเป็นผลเด่ียวๆ ห่างกนั ประมาณ 30-50 ซม. จะทาใหส้ ะดวกในการพน่ สารเคมีป้ องกนั กาจดั โรค-แมลงที่ผล แตถ่ า้ ตน้ ทุเรียนมีการติดผลนอ้ ยและกระจายตวั ไมด่ ี ควรตดั แต่งให้เหลือเป็ นกลุ่มๆ ละ 2-4 ผล แต่ละกลุ่มห่าง กนั ประมาณ 1-2 เมตร 3.3 ตัดแต่งครั้งทสี่ ามเมอื่ ผลทเุ รียนมอี ายุ 7 ถงึ 8 สัปดาห์หลังดอกบาน โดยปกติเม่ือผล อายุ 8 สปั ดาห์หลงั ดอกบาน ผลจะเริ่มขยายตวั ดา้ นกวา้ งอยา่ งรวดเร็ว สีผวิ เขียวสดใส หนามเขียว และ มีขนาดปกติ ดงั น้นั จึงตดั แต่งผลที่มีอาการกน้ จีบและผลที่มีขนาดเล็กออก ซ่ึงเป็ นอาการท่ีแสดงวา่ สารประกอบคาร์โบไฮเดรตไม่เพียงพอสาหรับการพฒั นาการของจานวนผลท้งั หมดในตน้ เป็ นการ จดั การเพื่อใหซ้ อร์สและซิงค์ มีความสมดุลกนั และการตดั แต่งผลคร้ังเดียวใหเ้ หลือจานวนผลเทา่ กบั จานวนที่คาดวา่ ตน้ จะไวไ้ ดจ้ ริง อาจทาใหม้ ีสารประกอบคาร์โบไฮเดรตมากเกินกวา่ ความตอ้ งการของ ผลที่ใชเ้ พื่อการพฒั นาการ จึงกระตุน้ ใหผ้ ลมีการเจริญเติบโตเร็วเกินไป เช่น หนามอว้ นใหญ่ F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลิตทุเรียน-รวม

- 44 - ปลายหนามแตก หรืออาจกระตุน้ ให้แตกใบอ่อนซ่ึงผลท่ีตามมาคือ เกิดการแยง่ สารประกอบ คาร์โบไฮเดรตระหวา่ งผลอ่อนและใบออ่ น ทาใหค้ ุณภาพของเน้ือทุเรียนผดิ ปกติไปได้ 3.4 การตัดแต่งผลทุเรียนพนั ธ์ุหมอนทอง คงตอ้ งตดั แตง่ ถึง 5 คร้ัง โดยคร้ังที่ 4 ตดั แต่ง เม่ือผลอายปุ ระมาณ 9 สปั ดาห์ การตดั แตง่ คร้ังน้ีมีผลต่อรูปทรง และลกั ษณะหนามผล ทาใหร้ ูปทรง สวยงาม การตดั แตง่ ผลคร้ังที่ 8 เมื่อผลอายุ 10-12 สัปดาห์หลงั ดอกบาน (เม่ือผลข้ึนพูเสร็จแลว้ ) โดย การตดั แตง่ ผลคร้ังท่ี 4 และ 5 เลือกตดั แตง่ ผลที่มีการพฒั นาการผดิ ปกติ ทรงผลบิดเบ้ียว ผลขนาดเลก็ และผลที่มีโรคแมลงทาลายทิง้ ไป 3.5 การควบคมุ ไม่ให้เกดิ การแตกใบอ่อน ในระหวา่ งการพฒั นาการของผล หากตน้ ทุเรียนมีใบแก่นอ้ ย ไมส่ ดใส ใบและก่ิงไดร้ ับความเสียหายเนื่องจากการทาลายของศตั รูทุเรียน มากกวา่ 30% ของพ้ืนท่ีใบท้งั ตน้ และจานวนกิ่งท้งั ตน้ ตามลาดบั ลาตน้ และระบบรากมีอาการหรือ ร่องรอยของโรครากเน่าโคนเน่ามากกวา่ 10% ของพ้ืนท่ีผดิ ลาตน้ และระบบราก (ความสมบูรณ์ตน้ นอ้ ยกวา่ หรือเทา่ กบั 60%) ตน้ ทุเรียนมกั มีการแตกใบอ่อนเมื่อผลอายปุ ระมาณ 7-8 สปั ดาห์หลงั ดอก บาน เพราะการพฒั นาการของผลระยะน้ี จาเป็นตอ้ งใชอ้ าหารสะสมในตน้ และอาหารที่ใบสงั เคราะห์ ข้ึนเป็นจานวนมาก ดงั น้นั อาจพน่ ดว้ ยสารมีพิควอทคลอไรด์ ความเขม้ ขน้ 37.5 พพี เี อม็ ใหท้ วั่ ตน้ เพอ่ื ชะลอการแตกใบอ่อน หลงั จากน้นั ตอ้ งมีการตรวจสภาพของยอดทุเรียนอยา่ งสม่าเสมอ เมื่อพบวา่ ยอดเริ่มมีการพฒั นาโดยเยอ่ื หุน้ ตา (bud scale) เริ่มมีการเจริญเติบโต ชาวสวนจะเรียกระยะการ เจริญเติบโตของตายอดน้ีวา่ ระยะหางปลา ซ่ึงเป็นสญั ญาณเตือนวา่ ตน้ ทุเรียนกาลงั จะแตกใบออ่ น เพ่ือ เป็นการยบั ย้งั การพฒั นาการของใบออ่ น อาจใชป้ ๋ ุยโปแตสเซียมไนเตรท (13-0-46) พน่ ในอตั รา 100- 200 กรัม/น้า 20 ลิตร เม่ือสังเกตพบวา่ ยอดทุเรียนกาลงั มีการเจริญเติบโตในระยะหางปลา หลงั จากพน่ แลว้ ถา้ ยอดทุเรียนยงั คงมีการพฒั นาการต่อ ควรพน่ ซ้าอีกคร้ังหน่ึงในอตั ราเทา่ เดิม และหลงั จากพน่ คร้ังแรกไปแลว้ 1-2 สปั ดาห์ หลงั จากปลิดใบออ่ น โดยใชป้ ๋ ุยโปแตสเซียมไนเตรทแลว้ ยงั พบวา่ มี การแตกใบอ่อนมากกวา่ 50% ตอ้ งพน่ อาหารเสริมทางใบ (คาร์โบไฮเดรตสาเร็จรูป อตั รา 20 มิลลิลิตร + ป๋ ุยเกลด็ ทางใบสูตร 20-20-20 ท่ีมีธาตุรองและธาตุปริมาณนอ้ ย อตั รา 60 กรัม + กรดฮิวมิค อตั รา 20 มิลลิลิตร ผสมในน้า 20 ลิตร) ร่วมกบั สารชะลอการเจริญเติบโตพืชชนิดมีพิควอทคลอไรด์ ความ เขม้ ขน้ 37.5 พพี เี อม็ เพื่อชะลอการเจริญเติบโตของใบอ่อนและใหใ้ บออ่ นมีอาหารใชอ้ ยา่ งพอเพยี งใน ระหวา่ งการพฒั นาการ 4. การจัดการเพอื่ ให้ซอร์สมีประสิทธิภาพสูง ใหม้ ีสารประกอบคาร์โบไฮเดรตท่ีจาก กระบวนการสังเคราะห์แสง และจากกระบวนการเมทาโบลิซึมมากเพียงพอต่อการพฒั นาการของผล ซ่ึงทาไดโ้ ดย F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลิตทุเรียน-รวม

- 45 - 4.1 ตัดแต่งกง่ิ และควบคุมทรงพุ่ม เพอื่ เพิม่ พ้ืนที่ของใบในการรับแสง โดยปกติแลว้ ทรง พุม่ ของทุเรียนมกั เป็นทรงฉตั ร ดา้ นซา้ ยและขวาของทรงพุม่ ทามุม 60 องศา กบั ปลายยอด ซ่ึงทรงพุม่ ลกั ษณะน้ีเป็นทรงพุม่ ท่ีมีประสิทธิภาพสูงในการรับแสง ดงั น้นั ในการตดั แต่งก่ิงและควบคุมทรงพมุ่ ของทุเรียน จึงควรพยายามรักษารูปทรงของพุม่ ใหเ้ ป็นทรงฉตั รเพ่ือใหซ้ อร์สมีประสิทธิภาพสูงในการ สังเคราะห์สารประกอบคาร์โบไฮเดรต 4.2 การรักษาใบให้มีอายยุ นื ยาว มีวธิ ีการปฏิบตั ิดงั น้ี 4.2.1 ดแู ล ป้ องกนั และกาจัดโรคและแมลงท่ีทาลายต้นและใบ ตารางที่ 3 ชนิดของโรค-แมลง ท่ีทาลายใบ และสารเคมีท่ีใชใ้ นการป้ องกนั กาจดั ชนิดโรคและแมลง ลกั ษณะการทาลาย สารเคมที ใ่ี ช้ ในการป้ องกนั กาจัด 1. โรคโคนเน่าและ เกิดจากเช้ือราไฟทอปธอร่า 1.1 อีฟอไซทอ์ ลูมินมั รากเน่า (Phytopthora palmivora Butler) 1.2 กรดฟอสฟอรัส เขา้ ทาลายระบบราก ทาให้รากและโคน 2. โรคราแป้ ง เน่าเป็นสีน้าตาล มีน้าเยมิ้ เกิดจากเช้ือราออยเดียม (Oidium sp.) ทา 2.1 เบนโมนิล ใหผ้ วิ เปลือกมีสีขาว ผวิ หยาบกร้าน เร่ิม 2.2 คาร์เบนดาซิม ทาลายต้งั แต่เป็นผลออ่ น 3. โรคยอดเน่าใบเน่า 3.1อีฟอไซทอ์ ลูมินมั 3.2 เมตาแลกซิล 4. โรคใบติด เกิดจากเช้ือราไรซ็อกโคเนีย (Rhizoctonia 4.1 ไซเน็บ solani Kuehn) ทาใหใ้ บเกิดแผลคลา้ ยถูก 4.2 คอปเปอร์ออกซีคลอไรค์ น้าร้อนลวกสีซีดจาก ขอบแผลสีเขียวเขม้ 4.3 เบนโนมิล รูปร่างแผลไมแ่ น่นอน ลุกลามทาใหใ้ บ 4.4 คาร์เบนดาซิม ซีด และแหง้ ติดกนั ดว้ ยเส้นใยของเช้ือรา 5. ไรแดง ทาลายใบโดยใชป้ ากดูดน้าเล้ียง ทาใหใ้ บ 5.1 โพรพาไลต์ ซีด ร่วงหล่น ตอ่ มาทาใหผ้ ลหลุดร่วง 5.2 เอก็ ซ์ไพอะซอกซ์ 6. เพล้ียไฟ ทาลายใบอ่อนและดอก โดยใชป้ ากดูดน้า 6.1 แลมป์ ดาไซฮาโลทริน เล้ียง ทาใหใ้ บไหมเ้ ห่ียวและแหง้ 6.2 คาร์โบซลั แฟน 6.3 ฟิ โปรนิล 7. เพล้ียแป้ ง ดูดกินน้าเล้ียงจากก่ิง ใบ และผลและมกั มี 7.1 แลมป์ ดาไซฮาโลทริน ราดาเกิดข้ึนดว้ ยเสมอ 7.2 ไซเปอร์เมทริน / ไฟซาโลน F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลิตทุเรียน-รวม

- 46 - ชนิดโรคและแมลง ลกั ษณะการทาลาย สารเคมีทใี่ ช้ 8. เพล้ียหอย ในการป้ องกนั กาจัด ดูดกินน้าเล้ียงจากกิ่ง ใบ และผล ทาใหใ้ บ 8.1 มาลาไทออน+มิโตรเลียม เห่ียวแหง้ ร่วงหล่น ออยส์ 8.2 คลอร์ไพริฟอส 4.2.2 ป้ องกันการขาดธาตอุ าหารพืช ผลทุเรียนจาเป็นตอ้ งใชส้ ารประกอบ คาร์โบไฮเดรตท่ีไดจ้ ากกระบวนการสังเคราะห์แสง และกระบวนการเมทาโบลิซึมในการเจริญเติบโต ซ่ึงในสารประกอบน้ีนอกจากจะประกอบดว้ ยคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญแ่ ลว้ ยงั มีสารประกอบ อินทรียท์ ี่มีธาตุไนโตรเจนเป็ นองคป์ ระกอบ และแร่ธาตุที่เป็นธาตุอาหารพชื อีกดว้ ย ซ่ึงแร่ธาตุตา่ งๆ เหล่าน้ีจะเป็นตวั การสาคญั ในการเคลื่อนยา้ ยสารประกอบคาร์โบไฮเดรตจากใบหรือจากส่วนท่ีสะสม ไปยงั ผลที่กาลงั มีการพฒั นา ในกรณีน้ีถา้ ความตอ้ งการของซิงค์ (ผลออ่ น) มีมากเกินกวา่ ท่ีซอร์สจะ สนองได้ สารประกอบคาร์โบไฮเดรตส่วนท่ีเป็นโครงสร้างจะถูกเคลื่อนยา้ ยออกมาใช้ ใน ขณะเดียวกนั ธาตุอาหารกลุ่มท่ีมีการเคล่ือนยา้ ยไดด้ ีทางท่ออาหาร เช่น ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม และ กามะถนั จะถูกเคลื่อนยา้ ยออกจากใบมาพร้อมกนั ดว้ ย ทาใหใ้ บทุเรียนแสดงอาการขาดธาตุอาหาร ดงั น้นั เพ่ือป้ องกนั มิใหเ้ หตุการณ์ดงั กล่าวเกิดข้ึน จึงควรใส่ป๋ ุยทางดินสูตร 12-12-17-2 หรือ 4-16-24- 4 ในอตั รา 1-2 กก.ตอ่ ตน้ ควบคู่กบั การฉีดพน่ ป๋ ุยทางใบที่มีธาตุปริมาณนอ้ ยเป็นองคป์ ระกอบ และ สารเคมีป้ องกนั กาจดั โรค-แมลงในขณะท่ีผลทุเรียนกาลงั มีการพฒั นาการจะทาใหใ้ บทุเรียนมีสีเขียว สดใส มีประสิทธิภาพสูงในการสงั เคราะห์แสงและมีอายยุ นื ยาว 4.3 การพ่นสารอาหารสาเร็จรูปหรือกง่ึ สาเร็จรูป จากการวิเคราะห์ พบวา่ สารประกอบ คาร์โบไฮเดรตท่ีไดจ้ ากกระบวนการเมทาโบลิซึม ประกอบดว้ ยคาร์โบไฮเดรต 80-90% สารประกอบ อินทรียท์ ่ีมีไนโตรเจนเป็นองคป์ ระกอบ 5-10% และแร่ธาตุต่างๆ ประมาณ 2-5% ดงั น้นั ถา้ หาก สามารถฉีดพน่ สารเคมีที่มีองคป์ ระกอบคลา้ ยคลึงกบั สารประกอบคาร์โบไฮเดรตดงั กล่าว ใหก้ บั ตน้ พืช และพชื สามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ดเ้ ช่นเดียวกบั สารประกอบท่ีพืชสังเคราะห์ข้ึนกน็ ่าจะเป็ น ผลดีกบั ตน้ พืช สารอาหารสาเร็จรูปท่ีมีคาร์โบไฮเดรตเป็ นองคป์ ระกอบหลกั (ทางด่วน) ซ่ึงไดแ้ ก่ คาร์โบไฮเดรตสาเร็จรูป (น้าตาลชนิดตา่ งๆ ที่จาหน่ายเป็นเคมีเกษตร) อตั รา 20 มิลลิลิตร กรดฮิวมิค แอซิค อตั รา 20 มิลลิลิตร ป๋ ุยเกล็ดสูตร 15-30-15 หรือ 20-20-20 อตั รา 60 กรัม ผสมรวมกนั ในน้า 20 ลิตร ใหก้ บั ตน้ ทุเรียน ในระหวา่ งท่ีผลทุเรียนกาลงั มีการพฒั นาในสปั ดาห์ท่ี 5 สัปดาห์ท่ี 6 สปั ดาห์ที่ 7 และ สัปดาห์ที่ 8 ถึง สัปดาห์ท่ี 9 หลงั ดอกบาน รวม 5 คร้ัง พบวา่ ทุเรียนสามารถเพมิ่ อตั ราการเจริญเติบโต F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลิตทุเรียน-รวม

- 47 - ของผล จานวนผลต่อตน้ และจานวนผลท่ีมีคุณค่าทางการตลาดได้ ซ่ึงการพน่ สารอาหารสาเร็จรูปน้ี ถือวา่ เป็นวธิ ีหน่ึงในการจดั การเพื่อเพิม่ ประสิทธิภาพของซอร์ส 5. การดูแลรักษา ป้ องกนั กาจัดโรคแมลง ศัตรู และภัยธรรมชาติ ในระหว่างการพฒั นาการ ของผลทุเรียน 5.1 การป้ องกนั กาจัดการเข้าทาลายของโรค-แมลง ตารางที่ 4 ชนิดของโรค-แมลง ที่ทาลายผล และสารเคมีที่ใชใ้ นการป้ องกนั กาจดั ชนิดโรคและแมลง ลกั ษณะการทาลาย สารเคมที ใี่ ช้ ในการป้ องกันกาจัด 1. โรคผลเน่า มกั ระบาดในช่วงท่ีมีฝนตกชุก 1.1 อีฟอไซทอ์ ลูมินมั 1.2 กรดฟอสฟอรัส 1.3 ตดั และเผาทาลาย เม่ือพบ ผลเป็ นโรค หมายเหตุ : ตอ้ งหยดุ ใชส้ ารเคมี ก่อนเกบ็ เกี่ยวอยา่ งนอ้ ย 30 วนั 2. หนอนเจาะผล 2.1 คาร์โบซลั แฟน 2.2 แลมป์ ดาไซฮาโลทริน 2.3 เมล็ดสะเดาบด อตั รา 1 กิโลกรัม ตอ่ น้า 20 ลิตร 2.4 ไซเปอร์เมทริน/โฟซาโลน หมายเหตุ : ตอ้ งหยดุ ใชส้ ารเคมี ก่อนเก็บเกี่ยวอยา่ งนอ้ ย 15 วนั 3. มวนทุเรียนดูดน้า 3.1 แลมป์ ดาไซฮาโลทริน เล้ียง 4. หนอนกินข้วั ผล 4.1 แลมป์ ดาไซฮาโลทริน 4.2 คาร์โบซลั แฟน 4.3 ไซเปอร์เมทริน/โฟซาโลน หมายเหตุ : ตอ้ งหยดุ ใชส้ ารเคมี ก่อนเก็บเก่ียวอยา่ งนอ้ ย 15 วนั 5. หนอนเจาะเมล็ด เมื่อพบตวั เตม็ วยั ของหนอน เจาะเมลด็ 1 ตวั ต่อกบั ดกั แสงไฟ F:\\011406\\เทคโนทุเรียนปี 51\\เทคโนโลยกี ารผลิตทุเรียน-รวม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook