แรานยงวาโนนผลมกาอรวาจิชยั พี เรออื่ งสิ ระในอนาคต 3 ปข างหนา (พ.ศ. 2558 - 2560) กองวจิ ัยตลาดแรงงาน และกองสง เสริมการมงี านทำ ISBN 978-616-555-125-0 กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน กกจ. 11/2558 กวต.3 ธันวาคม 2557
รายงานผลการวิจยั เรอื่ ง แนวโนม้ อาชีพอสิ ระในอนาคต 3 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2558 - 2560) จดั พมิ พ์โดย กองวจิ ยั ตลาดแรงงาน และ กองสง่ เสรมิ การมงี านทำ� กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน ธันวาคม 2557 http://lmi.doe.go.th (สงวนลิขสทิ ธิ์ตามกฎหมาย) กองวิจัยตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 1
2 แนวโนม้ อาชีพอสิ ระในอนาคต 3 ปี ขา้ งหนา้ (พ.ศ. 2558 - 2560)
คำ�นำ� จากการส�ำ รวจของส�ำ นักงานสถิติแหง่ ชาติในปี พ.ศ. 2556 พบวา่ ผมู้ งี านท�ำ ในประเทศไทย มจี ำ�นวน ทง้ั สนิ้ 39.1 ลา้ นคน เปน็ แรงงานในระบบ 14 ลา้ นคน และเปน็ แรงงานนอกระบบ 25.1 ลา้ นคน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 64 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ร้อยละ 2 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แรงงานนอกระบบเหล่าน้ี ส่วนหนึ่งประกอบ อาชีพอสิ ระ เช่น การผลิตสินคา้ การค้าขาย หรือบรกิ ารต่าง ๆ เป็นตน้ เพอื่ หารายได้เล้ียงตนเองและครอบครวั การประกอบอาชีพอิสระกำ�ลังเป็นที่นิยมท้ังในกลุ่มที่จบการศึกษาใหม่และผู้ที่ว่างงาน เนื่องจากเป็นอาชีพ ท่ีพ่ึงตนเองได้ ไม่ต้องอยู่ในบังคับบัญชาของใคร และเป็นอาชีพท่ีมีโอกาสเติบโตเป็นกิจการขนาดย่อม (SME) ยงิ่ ไปกวา่ นน้ั หากประสบความส�ำ เรจ็ ในการพฒั นาธรุ กจิ กจ็ ะท�ำ ใหส้ ามารถขยายกจิ การเปน็ ธรุ กจิ ขนาดกลางหรอื ขนาดใหญ่ในอนาคตได้ โดยทกี่ รมการจดั หางาน มภี ารกจิ ในการแนะแนวอาชพี และสง่ เสรมิ การประกอบอาชพี อสิ ระแกป่ ระชาชน จำ�เป็นต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มหรือทิศทางของอาชีพอิสระ เพื่อใช้ในการดำ�เนินการตามภารกิจดังกล่าว ดงั น้ัน กรมการจัดหางานจึงได้ทำ�การศกึ ษาวจิ ัยเร่อื ง “แนวโน้มอาชพี อิสระในอนาคต 3 ปขี ้างหน้า (พ.ศ. 2558- 2560)” ขึ้น การวิจัยคร้งั นี้เป็นการวจิ ัยแนวโน้มอาชีพซ่ึงตอ้ งใช้วธิ ที างสถิติค่อนขา้ งซบั ซอ้ น เพอ่ื ให้ได้ผลการวจิ ยั ทม่ี ีความชดั เจนเพยี งพอทจี่ ะนำ�ไปใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ย่างแท้จริง อยา่ งไรกต็ าม หากมขี อ้ คดิ เหน็ หรอื ขอ้ แนะน�ำ ประการใด กรณุ าแจง้ ใหท้ ราบดว้ ย กรมการจดั หางานยนิ ดี น้อมรบั ค�ำ แนะนำ�เพอื่ นำ�ไปปรับปรุงวธิ กี ารศึกษาในคร้ังต่อไปใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพมากย่ิงขนึ้ (นายสเุ มธ มโหสถ) อธิบดีกรมการจดั หางาน กองวจิ ัยตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 3
กติ ติกรรมประกาศ การวจิ ยั เร่อื ง แนวโน้มอาชีพอสิ ระในอนาคต 3 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2558 – 2560) เกิดขึ้นจากความร่วมมือ ระหวา่ งกองสง่ เสรมิ การมงี านท�ำ และกองวจิ ยั ตลาดแรงงาน โดยการรเิ รม่ิ ของ คณุ สชุ าติ พรชยั วเิ ศษกลุ ผเู้ ชยี่ วชาญ เฉพาะดา้ นสง่ เสริมการมงี านทำ� รกั ษาราชการแทนผอู้ �ำ นวยการกองสง่ เสริมการมีงานท�ำ (ตำ�แหน่งในขณะนัน้ ) ทเ่ี สนอให้มีการวิจยั ในเรอ่ื งน้ขี ึ้น และเปน็ ผสู้ นับสนนุ คา่ ใช้จา่ ยในการวิจัย จ�ำ นวน 439,145 บาท ซ่งึ ชว่ ยแบ่งเบา ภาระทางด้านงบประมาณของกองวิจัยตลาดแรงงานไดพ้ อสมควร ผู้วิจัยจงึ ขอขอบคณุ คณุ สุชาติ พรชัยวเิ ศษกุล ไว้ ณ ทนี่ ี้ การวจิ ยั ครง้ั นป้ี ระสบผลส�ำ เรจ็ ดว้ ยดี เนอื่ งจากไดร้ บั ความรว่ มมอื จากทกุ ภาคสว่ น โดยเฉพาะผทู้ ใ่ี หข้ อ้ มลู ทงั้ ข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคณุ ภาพ ซึ่งเป็นประโยชนอ์ ยา่ งยิ่งต่อการด�ำ เนินการวิจยั ผูว้ ิจัยจึงขอขอบคณุ ผู้มีส่วนเก่ียวข้อง ประกอบด้วย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เจ้าหน้าท่ีสินเช่ือธนาคาร และผู้ทรงคุณวุฒิที่เข้าร่วม ประชุมกลมุ่ (Focus Group) ท้ัง 4 ภูมิภาค ดงั นี้ 1) ภาคเหนอื 1.1) อาจารย์ชดิ ชนก วงศเ์ ครือ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏล�ำ ปาง 1.2) คณุ ประวณี น์ ุช สันพะเยาว์ สำ�นักงานเกษตรจงั หวดั ล�ำ ปาง 1.3) คณุ พงศ์พฒั น์ ขัตพนั ธุ์ ส�ำ นกั งานปศุสตั วจ์ ังหวดั ลำ�ปาง 1.4) คณุ พงษ์ธร ใจมนต์ สำ�นักงานพฒั นาชมุ ชนจังหวัดล�ำ ปาง 1.5) คุณรติกร กิ่งก้�ำ สำ�นักงานพาณิชยจ์ งั หวัดล�ำ ปาง 1.6) คณุ อนวุ ตั ร ภูวเศรษฐ หอการคา้ จงั หวดั ลำ�ปาง 1.7) คุณปทั มา กฤษณรักษ์ สภาอตุ สาหกรรมจังหวดั ล�ำ ปาง 1.8) คณุ สุรพล ตนั สวุ รรณ สภาอตุ สาหกรรมทอ่ งเท่ียวจงั หวดั ลำ�ปาง 1.9) คณุ ปรชิ ญา วารนิ ทร์ ธนาคารออมสนิ เขตล�ำ ปาง 1 1.10) คณุ บุญทิน บุญทวี ตัวแทนผู้ประกอบอาชพี อสิ ระ 2) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2.1) ผศ.จินตนา สมสวัสดิ์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ 2.2) ดร.ศริ ประภา บ�ำ รุงกิจ มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ 2.3) คณุ สมกลุ วัฒกวณิชย์ สำ�นกั งานเกษตรจงั หวดั ขอนแก่น 2.4) คุณมานะ พาณชิ ถาวร สำ�นักงานปศสุ ตั วจ์ ังหวดั ขอนแกน่ 2.5) คุณวารุณี บรู ณะปยิ ะวงศ์ สำ�นักงานพัฒนาชุมชนจงั หวัดขอนแกน่ 2.6) คุณชัยยะเจตน์ จนั ทร์อักษร สำ�นักงานพาณิชยจ์ งั หวดั ขอนแกน่ 2.7) คณุ ปรีชา พันธน์ ิกลุ หอการค้าจงั หวดั ขอนแกน่ 2.8) คณุ วิฑูรย์ กมลนฤเมธ สภาอุตสาหกรรมจังหวดั ขอนแกน่ 2.9) คุณสวุ ิจกั ขณ์ วชั รพนั ธจ์ ติ สมาคมธรุ กิจทอ่ งเที่ยวจงั หวดั ขอนแกน่ 2.10) คุณจิดาภา มาลศี รี ธนาคารพฒั นาวสิ าหกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อมแหง่ ประเทศไทย (SME BANK) 2.11) คณุ เพลนิ พิศ โตครี ี ตวั แทนผ้ปู ระกอบอาชพี อิสระ 4 แนวโน้มอาชพี อิสระในอนาคต 3 ปี ขา้ งหนา้ (พ.ศ. 2558 - 2560)
3) กลมุ่ ภาคใต้ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา 3.1) อาจารย์อัตถพงศ์ เขยี วแกร 3.2) รศ.ดร.นริ นั ดร์ จุลทรัพย์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ วทิ ยาเขตสงขลา 3.3) คณุ รณยุทธ์ เรอื งศริ ิเดช ส�ำ นกั งานปศุสตั ว์จังหวัดสงขลา 3.4) คณุ ฉลอง รกั ษก์ ลุ ส�ำ นกั งานพัฒนาชุมชนจังหวัดสงขลา 3.5) คุณสิรนิ ชพี ชัยอสิ ระ หอการคา้ จงั หวัดสงขลา 3.6) คุณรตั นานชุ มณโี ชติ หอการค้าจังหวัดพทั ลุง 3.7) คุณกติ ธนา สบุ รรพวงษ์ สภาอตุ สาหกรรมทอ่ งเทีย่ วจงั หวัดสงขลา 3.8) คณุ รตั นา มาสวสั ด์ิ ธนาคารกรงุ ไทย สาขาสงขลา 3.9) คณุ รนิ ทรเ์ อก วิตต ธนาคารกรงุ ไทย สาขาสงขลา 3.10) คุณรัฐโรจน์ กิจนวชลสิทธิ์ ตัวแทนผูป้ ระกอบอาชีพอสิ ระ 4) ภาคกลาง 4.1) คณุ ธนิช นุ่มนอ้ ย รองอธิบดกี รมการจดั หางาน 4.2) คุณโกมนิ ทร์ ชาวนาใต ้ ผอู้ �ำ นวยการกองสง่ เสรมิ การมีงานท�ำ 4.3) คณุ สุชาติ พรชัยวิเศษกุล ผู้เช่ียวชาญเฉพาะดา้ นส่งเสรมิ การมีงานทำ� 4.4) ดร.ประกาย กิจธิคณุ ส�ำ นกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร 4.5) คณุ นวลขจร หงสน์ คร สำ�นกั งานเศรษฐกิจการเกษตร 4.6) คณุ วภิ าวนิ ชลาภกั ดี กรมพัฒนาธรุ กิจการค้า 4.7) คุณวนิดา ปราการสถิต ธนาคารออมสนิ 4.8) คณุ สุรางคร์ ตั น์ เอมกมล ธนาคารออมสนิ 4.9) คุณชญานษิ ฐ์ บุญนาค ธนาคารออมสิน 4.10) คณุ จันทมิ า หุวะนนั ท ์ ธนาคารออมสนิ 4.11) คุณสุพรชยั กาญจนพงษพ์ ร ตวั แทนผู้ประกอบอาชีพอสิ ระ นอกจากบุคคลต่าง ๆ ดังกล่าวแลว้ ยังมบี คุ คลทสี่ มควรได้รับความขอบคุณ คือ คณะเจ้าหนา้ ทีข่ อง ศูนย์ข่าวสารตลาดแรงงาน และคณะเจ้าหน้าท่ีของกองวิจัยตลาดแรงงาน ท่ีให้ความร่วมมือในการจัดเก็บและ บันทกึ ขอ้ มลู ซ่ึงมจี �ำ นวนมากจนส�ำ เร็จ จงึ ขอขอบคุณไว้ ณ โอกาสน้ี บญุ เลิศ ธีระตระกลู ผูอ้ ำ�นวยการกองวิจยั ตลาดแรงงาน กองวจิ ัยตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 5
Execsuutimveary บทสรุปผบู้ ริหาร การวิจัย เรือ่ ง แนวโน้มอาชพี อสิ ระในอนาคต 3 ปขี ้างหนา้ (พ.ศ. 2558-2560) มีวตั ถปุ ระสงค์เพอื่ ศึกษา แนวโนม้ อาชพี อสิ ระในอนาคต 3 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2558-2560) และเพ่อื เป็นขอ้ มลู ในการแนะแนวอาชีพ ตาม ภารกิจด้านการส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระของกองส่งเสริมการมีงานทำ� กรมการจัดหางาน เป็นการวิจัย เชงิ สำ�รวจ (Survey Research) แบบผสมวธิ ี (Mixed Method Research) ประกอบดว้ ยการเก็บรวบรวมขอ้ มูล เชงิ ปรมิ าณและขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ พรอ้ ม ๆ กนั โดยกลมุ่ ตวั อยา่ งส�ำ หรบั เกบ็ ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณ คอื ผปู้ ระกอบอาชพี อสิ ระ จ�ำ นวน 1,633 ราย และกลมุ่ ตวั อยา่ งส�ำ หรบั เกบ็ ขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ ประกอบดว้ ย เจา้ หนา้ ทส่ี นิ เชอื่ ธนาคาร จ�ำ นวน 400 ราย และผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ เ่ี กยี่ วขอ้ งทเี่ ขา้ รว่ มประชมุ กลมุ่ (Focus Group) จ�ำ นวน 42 ราย ประกอบดว้ ย รองอธิบดีกรมการจดั หางาน ผอู้ �ำ นวยการกองสง่ เสรมิ การมงี านท�ำ ผ้เู ชีย่ วชาญเฉพาะดา้ นสง่ เสริมการมีงานทำ� อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ เกษตรจังหวัด ปศุสัตว์จังหวัด พาณิชย์จังหวัด พัฒนาการจังหวัด หอการค้า จังหวัด ประธานสภาอตุ สาหกรรมจงั หวัด เจา้ หนา้ ทีส่ นิ เชอื่ ธนาคาร สมาคมธุรกจิ ทอ่ งเที่ยวจงั หวัด และตัวแทน ผปู้ ระกอบอาชพี อสิ ระ โดยเครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั คอื แบบสอบถาม และแบบสมั ภาษณ์ ด�ำ เนนิ การเกบ็ รวบรวม ข้อมูลจากกลุ่มตวั อย่างท่วั ประเทศ ท�ำ การวเิ คราะหข์ อ้ มูลด้วยสถิติ คา่ ความถี่ ค่าร้อยละ คา่ เฉล่ีย สว่ นเบย่ี งเบน มาตรฐาน และตัวแบบ GE Matrix ในการบรรยายผลการศกึ ษา ผลการศกึ ษา พบว่า ผู้ประกอบอาชพี อิสระส่วนใหญเ่ ป็นเพศหญิง มีอายรุ ะหว่าง 41-50 ปี เปน็ ผทู้ มี่ ี การศกึ ษาระดบั ประถมศกึ ษาและต�ำ่ กวา่ มากทสี่ ดุ รองลงมาคอื ปรญิ ญาตรี และมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ประกอบอาชพี การผลิตมากที่สุด รองลงมาคือการผลิตหรือจำ�หน่ายส่ิงทอ การเพาะปลูกและการเล้ียงสัตว์ ผู้ประกอบอาชีพ อิสระส่วนใหญ่ใช้เงินทุนส่วนตัวหรือของครอบครัว ในการลงทุนประกอบอาชีพอิสระ รองลงมาคือ กู้ยืมจาก กองทุนต่างๆ ของภาครัฐ และกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ เป็นกิจการที่ไม่มีลูกจ้างเป็นส่วนใหญ่ มีรายได้ยังไม่ หกั คา่ ใชจ้ า่ ยตอ่ เดอื น ไมเ่ กนิ 30,000 บาท มากทสี่ ดุ รองลงมาคอื 30,001- 60,000 บาท และมากกวา่ 120,001 บาท ตามลำ�ดบั กจิ การส่วนใหญ่มีก�ำ ไร และมคี วามเชอื่ ว่าในอนาคตก็ยงั คงมีก�ำ ไร และไมค่ ดิ จะเปลย่ี นอาชีพ 6 แนวโน้มอาชีพอสิ ระในอนาคต 3 ปี ข้างหน้า (พ.ศ. 2558 - 2560)
จากการวเิ คราะหแ์ นวโนม้ อาชพี อสิ ระในอนาคต 3 ปขี า้ งหนา้ (พ.ศ. 2558-2560) พบวา่ กลมุ่ อาชพี อสิ ระ ท่มี ีแนวโนม้ การเติบโตท่ีดี มีจำ�นวน 3 อาชพี คอื 1) อาชพี เกี่ยวกบั การคา้ ขายสินค้าเบ็ดเตล็ด เช่น การขายสนิ ค้า ทางอนิ เตอรเ์ นต็ เคร่ืองส�ำ อาง สินคา้ มือสอง ขายปยุ๋ ขายยากำ�จดั ศัตรูพชื เปน็ ต้น 2) อาชพี ท่เี กี่ยวขอ้ งกับการ บริการให้เช่ารถ รถยก และรถตู้ให้เช่า 3) อาชีพเก่ียวข้องกับการผลิตหรือจำ�หน่ายเคร่ืองประดับ สำ�หรับกลุ่ม อาชีพอิสระที่มแี นวโน้มการเตบิ โตในระดบั ปานกลางมจี �ำ นวน 28 อาชพี โดย 5 อาชพี แรกคอื 1) อาชพี บรกิ าร จัดตกแต่งสถานที่รับจัดงานอีเว้นท์ 2) บริการโฮมสเตย์ รีสอร์ท แมนชั่น ห้องเช่า 3) บริการซ่อมรถยนต์หรือ รถจกั รยานยนต์ 4) บรกิ ารซ่อมแอร์ ไดนาโม และอุปกรณ์ไฟฟ้า 5) การผลติ เครอ่ื งดืม่ เช่น น้ำ�องุน่ นำ�้ ตาลสด น้�ำ หมากเม่า นำ�้ เฉากว๊ ย เปน็ ต้น จากผลการวิจัยดังกล่าวมีข้อเสนอแนะในเชิงนโยบาย คือ ภาครัฐควรให้ความสนใจและมีมาตรการ สนบั สนนุ ผปู้ ระกอบอาชพี อสิ ระรายยอ่ ยใหเ้ ตบิ โตเปน็ เปน็ ธรุ กจิ SMEs เนอื่ งจากธรุ กจิ SMEs เปน็ แหลง่ จา้ งงาน ใหญ่ของประเทศ กล่าวคือ มีการจ้างงานร้อยละ 70 ของการจ้างงานรวม และมีสัดส่วนในระบบเศรษฐกิจ ร้อยละ 37 ของ GDP นอกจากนมี้ ีข้อแนะน�ำ สำ�หรับผ้ทู ี่จะนำ�ผลการวิจัยน้ไี ปใชป้ ระโยชน์ ซง่ึ ได้แก่ นักแนะแนวอาชีพ และผู้ท่ี สนใจประกอบอาชีพอิสระว่า งานวิจัยน้ีไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดเก่ียวกับปัจจัยต่าง ๆ ท่ีจำ�เป็นต้องใช้ในการ ประกอบอาชีพในแต่ละอาชพี เปน็ การวจิ ยั เพื่อคน้ หาว่าอาชพี อะไรท่ีมแี นวโนม้ ท่ีดีใน 3 ปขี ้างหน้า (พ.ศ. 2558- 2560) ฉะนั้น การจะประกอบอาชีพใดก็ตาม แม้จะเป็นอาชีพท่ีมีอนาคตท่ีดี ผู้ที่จะประกอบอาชีพน้ันก็ต้อง หาความรเู้ กย่ี วกบั อาชพี นน้ั จนเปน็ ทเ่ี ขา้ ใจอยา่ งถอ่ งแท้ และทสี่ �ำ คญั ตอ้ งพจิ ารณาทบทวนดว้ ยวา่ ตนเองมคี ณุ สมบตั ิ สอดคลอ้ งกบั อาชพี นนั้ หรอื ไม่ ทงั้ นเ้ี พอ่ื ปอ้ งกนั ความผดิ พลาดและความเสยี หายทอ่ี าจจะเกดิ ขนึ้ ไดเ้ พราะความไมร่ ู้ กองวจิ ัยตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน 7
สารบัญ หน้า (3) (4) คำ�น�ำ (6) กิตตกิ รรมประกาศ (8) บทสรปุ ผู้บรหิ าร (10) สารบญั (11) สารบัญตาราง 13 สารบัญภาพ 13 บทท่ ี 1 บทน�ำ 20 1.1 ท่มี าและความส�ำ คัญของการศกึ ษา 20 1.2 วัตถุประสงค์การวิจยั 21 1.3 ขอบเขตของการวจิ ยั 21 1.4 นยิ ามศพั ทท์ ่ีใชใ้ นการวิจยั 21 1.5 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั 22 1.6 ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ 22 บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวจิ ยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง 31 2.1 แนวคดิ และทฤษฎเี ก่ยี วกบั อาชีพ 35 2.2 แนวคดิ และทฤษฎเี กย่ี วกับตลาด 38 2.3 แนวคดิ เก่ยี วกับผลติ ภัณฑ์ 41 2.4 ทฤษฎเี ก่ยี วกับการศึกษาความเปน็ ไปไดข้ องโครงการลงทนุ 70 2.5 แนวคดิ ทฤษฎเี กีย่ วกบั การจดั การเชิงกลยทุ ธ์ 70 บทที ่ 3 วธิ ีดำ�เนินการวจิ ัย 71 3.1 ประชากรและตวั อย่าง 71 3.2 วิธกี ารสุ่มตวั อยา่ ง 74 3.3 เครอื่ งมือท่ใี ชใ้ นการวิจยั 74 3.4 การตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่อื งมอื 75 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมลู 3.6 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู 8 แนวโนม้ อาชีพอิสระในอนาคต 3 ปี ข้างหนา้ (พ.ศ. 2558 - 2560)
สารบัญ (ตอ่ ) หน้า บทท ่ี 4 ผลการศึกษา 77 สว่ นท่ี 1 การวิเคราะห์ลกั ษณะทัว่ ไปของการประกอบอาชีพอิสระ 77 สว่ นท่ี 1.1 ผลการวิเคราะห์ลักษณะทั่วไปของผู้ประกอบอาชีพอสิ ระ 77 ส่วนที่ 1.2 ผลการวิเคราะหล์ กั ษณะการประกอบอาชีพอสิ ระ 78 สว่ นท่ี 1.3 ผลการวิเคราะหผ์ ลประกอบกิจการของผ้ปู ระกอบอาชพี อสิ ระ 80 ส่วนท่ี 2 การวิเคราะหข์ อ้ มูลอาชพี อสิ ระจากเจา้ หนา้ ท่ีสินเช่อื ธนาคาร 83 สว่ นที่ 3 การวเิ คราะหข์ อ้ มูลอาชีพอสิ ระจากการประชมุ กลมุ่ (Focus Group) 83 สว่ นท่ี 4 การวเิ คราะห์แนวโนม้ อาชพี อิสระในอนาคต 86 บทท ี่ 5 สรปุ อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ 97 5.1 สรุปผลการวิจัย 97 5.2 อภิปรายผล 100 5.3 ขอ้ เสนอแนะ 102 บรรณานกุ รม บ-1 ภาคผนวก ผ-1 ภาคผนวก ก แบบสอบถามผ้ปู ระกอบอาชพี อิสระ ผ-2 ภาคผนวก ข แบบสอบถามเจา้ หนา้ ที่สนิ เชื่อธนาคาร ผ-5 กองวจิ ยั ตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน 9
สารบญั ตาราง หน้า 17 46 ตารางที่ 1.1 การจา้ งงานรวม จ�ำ แนกตามขนาดวสิ าหกจิ ปี 2555 – ปี 2556 50 ตารางท่ ี 2.1 สรปุ พลงั ผลักดันและเหตผุ ลท�ำ ใหเ้ กดิ การแข่งขัน 5 ประการ ตารางท ี่ 2.2 แหล่งทมี่ าของข้อมลู ส�ำ หรับการวเิ คราะหค์ แู่ ข่งขัน 54 (Sources of Information for Competitor Analysis) 71 ตารางท่ี 2.3 ตัวอยา่ งการสรุปผลการวิเคราะหป์ จั จัยภายนอกของบริษทั เมยแ์ ท็ก 74 (External Factor Analysis Summary (EFAS) : Maytag as Example) 78 ตารางที่ 3.1 ขนาดตวั อย่างผูป้ ระกอบอาชีพอิสระ 79 ตารางท ่ี 3.2 ผลการดำ�เนินการเก็บรวบรวมข้อมลู จำ�แนกรายภูมภิ าค 80 ตารางท่ี 4.1 สถานภาพทัว่ ไปของผปู้ ระกอบอาชีพอสิ ระ 80 ตารางที่ 4.2 การประกอบอาชีพอสิ ระในปัจจบุ นั 81 ตารางท ี่ 4.3 แหลง่ เงินทุนในการประกอบอาชีพอสิ ระ 81 ตารางท ่ี 4.4 จำ�นวนลูกจา้ ง 81 ตารางท ่ี 4.5 รายได้ท่ียงั ไมห่ กั ค่าใชจ้ ่ายเฉลย่ี ตอ่ เดอื น 82 ตารางที่ 4.6 กำ�ไรในปี พ.ศ. 2555 (กำ�ไรต่อปี) 82 ตารางที่ 4.7 ก�ำ ไรในปี พ.ศ. 2556 (กำ�ไรต่อป)ี 82 ตารางท ่ี 4.8 ผลประกอบการอาชีพอิสระในปี พ.ศ. 2556 87 ตารางที ่ 4.9 คาดการณ์ผลประกอบการอาชพี อสิ ระในอนาคต ตารางท ่ี 4.10 การเปลี่ยนแปลงอาชีพของผูป้ ระกอบอาชพี อิสระ ตารางที่ 4.11 ผลการวิเคราะหแ์ นวโนม้ อาชีพอิสระในอนาคตจากผูป้ ระกอบอาชีพอสิ ระ 10 แนวโนม้ อาชพี อสิ ระในอนาคต 3 ปี ข้างหน้า (พ.ศ. 2558 - 2560)
สารบัญภาพ หน้า ภาพท ่ี 2.1 แสดงพลงั ผลกั ดนั 5 ประการ และผลกระทบต่ออตุ สาหกรรม 41 ภาพที่ 2.2 ตวั แบบพลงั ผลกั ดนั 5 ประการ และพลงั ผลักดันจากผมู้ ีส่วนไดเ้ สีย 42 ทำ�ใหเ้ กิดการแขง่ ขนั และศกั ยภาพการทำ�กำ�ไรในอตุ สาหกรรม 50 ภาพที่ 2.3 การตรวจสอบสภาพแวดลอ้ มภายนอก (Scanning the External Environment) 52 ภาพที่ 2.4 แมททริกซ์ล�ำ ดับความสำ�คัญของปัญหาสภาพแวดลอ้ มทีจ่ ะเกิดขน้ึ 56 ภาพที่ 2.5 Growth–Share Matrix ของ BCG 60 ภาพท่ี 2.6 แสดง SWOT Analysis และ General Electric Business Screen 61 ภาพที่ 2.7 กลยุทธ์ไฟจราจรของจอี ี (GE Stoplight Strategy) 62 ภาพที่ 2.8 กลยทุ ธท์ างเลือกท่ีสัมพนั ธ์กนั (Alternative Relative Strategy) 64 ภาพที่ 2.9 The Industry Attraciveness–Business Strength Matrix 65 ภาพที่ 2.10 General Electric’s Business Screen 65 ภาพที่ 2.11 แมททริกซ์วงจรชีวติ ตลาด– ความแขง็ แกร่งทางการแข่งขัน 88 ภาพที่ 4.1 ผลการวิเคราะหโ์ ดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชพี การคา้ ขายสินคา้ เบด็ เตล็ด เชน่ การขายสินค้าทางอนิ เตอรเ์ นต็ เครื่องส�ำ อาง สนิ คา้ มอื สอง ขายปุ๋ย 89 ขายยากำ�จดั ศัตรพู ชื เปน็ ต้น 89 ภาพที่ 4.2 ผลการวเิ คราะหโ์ ดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชีพบริการใหเ้ ช่ารถ 89 รถยกและรถต้ใู ห้เช่า 89 ภาพที่ 4.3 ผลการวิเคราะหโ์ ดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชพี ผลติ หรือจำ�หน่ายเครือ่ งประดับ 90 ภาพท่ี 4.4 ผลการวิเคราะหโ์ ดยตวั แบบ GE Matrix ของอาชพี จัดตกแตง่ สถานท่ี รบั จดั งานอเี วนท ์ 90 ภาพที่ 4.5 ผลการวเิ คราะห์โดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชีพบรกิ ารโฮมสเตย์ รีสอร์ท 90 แมนช่ัน ห้องเชา่ 90 ภาพที่ 4.6 ผลการวเิ คราะห์โดยตวั แบบ GE Matrix ของอาชีพบรกิ ารซ่อมรถยนต ์ 91 หรอื รถจักรยานยนต์ 91 ภาพท่ี 4.7 ผลการวิเคราะหโ์ ดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชีพบริการซอ่ มแอร์ ไดนาโม และอุปกรณไ์ ฟฟา้ ภาพที่ 4.8 ผลการวเิ คราะห์โดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชพี การผลติ เคร่อื งดม่ื เชน่ น้�ำ องุ่น นำ้�ตาลสด นำ้�หมากเมา่ น�้ำ เฉาก๊วย เปน็ ต้น ภาพท่ี 4.9 ผลการวิเคราะหโ์ ดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชีพการผลิตหรือจ�ำ หนา่ ยประตเู หล็กดัด ลวดดัด ภาพท่ี 4.10 ผลการวเิ คราะหโ์ ดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชพี การขายปลกี ภาพที่ 4.11 ผลการวเิ คราะห์โดยตวั แบบ GE Matrix ของอาชีพการผลติ หรือจ�ำ หนา่ ย ผลิตภัณฑ์เครอื่ งหนงั กองวจิ ัยตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 11
สารบัญภาพ หนา้ 91 ภาพที่ 4.12 ผลการวเิ คราะหโ์ ดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชีพการประมง 91 และการเพาะเล้ยี งสัตว์น้ำ� 92 ภาพที่ 4.13 ผลการวเิ คราะห์โดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชีพบริการซ่อมคอมพวิ เตอร์ 92 และของใชส้ ว่ นบุคคล 92 ภาพท่ี 4.14 ผลการวิเคราะห์โดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชพี การผลิตหรือจ�ำ หนา่ ยผลติ ภณั ฑ ์ 92 จากไม้ 93 ภาพท่ี 4.15 ผลการวเิ คราะห์โดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชีพการผลิตหรือจำ�หน่ายเฟอร์นเิ จอร ์ 93 ภาพที่ 4.16 ผลการวเิ คราะหโ์ ดยตวั แบบ GE Matrix ของอาชพี การผลติ หรือจ�ำ หนา่ ยกระดาษ 93 และผลติ ภัณฑ์แปรรูปจากกระดาษ 93 ภาพท่ี 4.17 ผลการวเิ คราะห์โดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชพี การผลติ หรือจำ�หน่ายสิ่งทอ 94 ภาพท่ี 4.18 ผลการวเิ คราะห์โดยตวั แบบ GE Matrix ของอาชีพการผลติ หรอื จำ�หน่ายงานดา้ นศิลปะ 94 ภาพท่ี 4.19 ผลการวิเคราะหโ์ ดยตวั แบบ GE Matrix ของอาชีพการผลติ หรือจำ�หนา่ ย 94 ผลติ ภณั ฑจ์ ากกะลามะพร้าว 94 ภาพที่ 4.20 ผลการวเิ คราะห์โดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชพี การผลติ หรอื จำ�หน่าย 95 ผลิตภัณฑส์ มนุ ไพร 95 ภาพที่ 4.21 ผลการวเิ คราะหโ์ ดยตวั แบบ GE Matrix ของอาชีพการผลติ หรอื จ�ำ หน่าย 95 ดอกไม้ประดษิ ฐ์ 95 ภาพที่ 4.22 ผลการวิเคราะห์โดยตวั แบบ GE Matrix ของอาชีพการผลิตผลติ ภัณฑ์อาหาร 96 ภาพที่ 4.23 ผลการวเิ คราะหโ์ ดยตวั แบบ GE Matrix ของอาชีพการผลิตหรอื จ�ำ หนา่ ย 96 เสือ้ ผ้าเครอื่ งแตง่ กาย ภาพท่ี 4.24 ผลการวเิ คราะหโ์ ดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชพี บรกิ ารเสริมสวย ตัดผม นวดแผนโบราณและสปา ภาพท่ี 4.25 ผลการวเิ คราะห์โดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชพี การเพาะปลกู และการเล้ียงสตั ว์ ภาพท่ี 4.26 ผลการวิเคราะหโ์ ดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชพี การจำ�หนา่ ยของช�ำ รว่ ย ของทร่ี ะลึก ภาพท่ี 4.27 ผลการวเิ คราะหโ์ ดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชีพรา้ นขายน�ำ้ เช่น ขายกาแฟ โอเล้ียง และนำ�้ ป่ัน เปน็ ต้น ภาพที่ 4.28 ผลการวเิ คราะหโ์ ดยตวั แบบ GE Matrix ของอาชีพการจ�ำ หนา่ ยอาหาร ภาพที่ 4.29 ผลการวเิ คราะห์โดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชพี การผลติ หรือจำ�หน่าย ผลติ ภณั ฑจ์ ักสาน ภาพที่ 4.30 ผลการวเิ คราะห์โดยตวั แบบ GE Matrix ของอาชพี การผลิตหรอื จ�ำ หนา่ ยไม้กวาด ภาพที่ 4.31 ผลการวเิ คราะหโ์ ดยตัวแบบ GE Matrix ของอาชีพการผลติ หรือจ�ำ หน่ายอิฐ เซรามคิ หรือเครือ่ งป้นั ดนิ เผา 12 แนวโนม้ อาชีพอิสระในอนาคต 3 ปี ขา้ งหน้า (พ.ศ. 2558 - 2560)
บทท่ี 1 บทนำ� 1.1 ทมี่ าและความสำ�คัญของการศึกษา การมีงานทำ�เป็นตัวชี้วัดที่สำ�คัญด้านแรงงานที่แสดงให้เห็นว่าภาวะตลาดแรงงานเป็นอย่างไร หาก ประชากรของประเทศมีงานทำ�มากย่อมแสดงว่า ระบบเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะท่ีขยายตัว เน่ืองจาก ตลาดแรงงานเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ การที่แรงงานมีงานทำ�จะทำ�ให้วงจรเศรษฐกิจมีการขับเคลื่อน ไปได้ดว้ ยดี แรงงานเป็นทั้งปัจจัยการผลิตของระบบเศรษฐกจิ และเปน็ ทั้งผูบ้ รโิ ภค จะเหน็ ไดจ้ ากการท�ำ งานของ ระบบเศรษฐกจิ สว่ นรวม คอื ระบบเศรษฐกจิ จะประกอบดว้ ย ผบู้ รโิ ภคหรอื ครวั เรอื น กบั สว่ นของผผู้ ลติ หรอื หนว่ ย ธุรกิจ โดยมีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ 1) ตลาดปัจจัยการผลิต (Factor market) ครัวเรือนเป็นเจ้าของปัจจัย การผลติ คอื ทดี่ นิ แรงงาน ทนุ และผปู้ ระกอบการ โดยจะเสนอขายปจั จยั เหลา่ นใ้ี หแ้ กห่ นว่ ยธรุ กจิ เพอ่ื สรา้ งรายได้ ให้ตนเอง ส่วนหน่วยธุรกิจจะจ่ายค่าเช่า ค่าจ้าง จ่ายดอกเบ้ีย และกำ�ไร ให้แก่ครัวเรือน ซึ่งจะถือเป็นต้นทุน การผลติ ของหนว่ ยธุรกิจ แตจ่ ะเปน็ รายได้ของครวั เรือน 2) ตลาดสินค้า (Product market) หน่วยธุรกจิ จะรวบรวม ซื้อปัจจัยการผลิตเพ่ือผลิตสินค้าและบริการแล้วขายให้ครัวเรือน ในขณะที่ครัวเรือนจะซื้อสินค้าเพื่อการบริโภค ซึ่งจะก่อใหเ้ กดิ รายได้ของหน่วยธุรกิจ (สกุ ัญญา ตันธนวัฒน,์ 2553 : 8-9) เมื่อมองถงึ ภาครัฐ ระบบเศรษฐกจิ จะมีหนว่ ยงานของรฐั เขา้ มาเกยี่ วข้อง ซง่ึ รฐั บาลจะมีรายได้จากการเก็บภาษีจากหนว่ ยครัวเรือนและหนว่ ยธรุ กจิ หลังจากนั้นรัฐบาลจะนำ�รายได้ไปจัดทำ�เป็นรายจ่ายในรูปงบประมาณแผ่นดินในแต่ละปี ท้ังในลักษณะของ การซอื้ -ขายปจั จยั การผลติ และสนิ คา้ บรกิ าร จากหนว่ ยครวั เรอื นและหนว่ ยธรุ กจิ (สพุ ฒั น์ อยุ้ ไพบลู ยส์ วสั ด,์ิ 2553 : 17) นอกจากน้ันจะมีภาคการเงินท่ีมีบทบาทในการบริการออมเงินของบุคคล และบทบาทในการปล่อยเงินกู้ให้กับ ทุกภาคส่วนเพ่ือเป็นต้นทุนในการผลิต จะเห็นได้ว่าภาครัฐจะอยู่ในบทบาทท้ังในฐานะผู้บริโภค หน่วยผลิต ตลอดจนเปน็ ผทู้ กี่ ำ�หนดนโยบายต่าง ๆ เพือ่ ให้เศรษฐกจิ ของประเทศขบั เคลอ่ื นไปอยา่ งราบรน่ื กองวจิ ยั ตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 13
สำ�นักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2555) ได้กล่าวถึงการพัฒนาประเทศ ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2555 – 2559 ว่า การพัฒนาประเทศ ในระยะแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 เป็นการนำ�ภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ พร้อมทั้งเร่งสร้างภูมิคุ้มกันในประเทศ ให้เข้มแข็งข้ึน เพื่อเตรียมความพร้อมคน สังคม และระบบเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถปรับตัวรองรับ ผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงได้อย่างเหมาะสม โดยให้ความสำ�คัญกับการพัฒนาคนและสังคมไทย ให้มีคุณภาพ มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากร และได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นธรรม รวมท้ังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจด้วยฐานความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ บนพื้นฐาน การผลติ และการบรโิ ภคทเ่ี ปน็ มติ รตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม ขณะเดยี วกนั ยงั จ�ำ เปน็ ตอ้ งบรหิ ารจดั การแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 11 ใหบ้ งั เกดิ ผลในทางปฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยา่ งเปน็ รปู ธรรม ภายใตห้ ลกั การพฒั นาพน้ื ทภี่ ารกจิ และการมสี ว่ นรว่ มของทกุ ภาคสว่ น ในสังคมไทย ซ่ึงจะนำ�ไปสู่การพัฒนาเพ่ือประโยชน์สุขที่ยั่งยืนของสังคมไทยตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี ง ซง่ึ ยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การมงี านท�ำ การสรา้ งอาชพี และเพมิ่ รายไดข้ องประชาชน มดี งั นี้ 1) ยทุ ธศาสตร์การสร้างความเปน็ ธรรมในสงั คม การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมให้ทุกคนในสังคมไทยควบคู่กับการเสริมสร้างขีดความ สามารถในการจัดการความเส่ียงและสร้างโอกาสในชีวิตให้แก่ตนเอง มุ่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีฐานการ พัฒนาทีท่ วั่ ถงึ และยัง่ ยนื พฒั นาเศรษฐกิจฐานรากทีม่ คี วามหลากหลายและแข็งแกรง่ มากขนึ้ ส่งเสรมิ การจดั สรร ทรพั ยากรใหเ้ กดิ ความเปน็ ธรรม ปรบั โครงสรา้ งภาษที ง้ั ระบบใหส้ นบั สนนุ การกระจายรายไดแ้ ละเปน็ เครอื่ งมอื สรา้ ง ความเปน็ ธรรมในการจดั สรรทรพั ยากรและการถือครองทรัพยส์ นิ พฒั นาการใชป้ ระโยชนเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศ และการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ขา่ วสารในการพฒั นาอาชพี สง่ เสรมิ บทบาทของภาคธรุ กจิ เอกชนในการเสรมิ สรา้ งความมนั่ คง ทางเศรษฐกิจและสังคมแก่คนในสังคมไทย รวมท้งั ยกระดับคณุ ภาพระบบการคุ้มครองทางสังคม ใหค้ รอบคลุม ทกุ คนอยา่ งทว่ั ถงึ สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการและความจำ�เป็น การเสริมสร้างพลังให้ทุกภาคส่วนสามารถเพ่ิมทางเลือกการใช้ชีวิตในสังคมและมีส่วนร่วมในเชิง เศรษฐกจิ สงั คม และการเมอื งไดอ้ ยา่ งมคี ณุ คา่ และศกั ดศ์ิ รี ใหท้ กุ คนสามารถแสดงออกทางความคดิ อยา่ งสรา้ งสรรค์ 14 แนวโนม้ อาชีพอิสระในอนาคต 3 ปี ข้างหนา้ (พ.ศ. 2558 - 2560)
เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถของชุมชนในการจัดการปัญหาของชุมชนด้วยตนเอง สนับสนุนการรวมกลุ่ม อาชีพที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นท่ี ส่งเสริมให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นเป็นพลังร่วมในการพัฒนาสังคม พัฒนามาตรฐานระบบการคุ้มครองผู้บริโภค เพ่ิมช่องทางการเข้าถึง ข้อมลู และองค์ความรูเ้ กย่ี วกบั สทิ ธิของผบู้ ริโภค สง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นระดบั การบริหารและการตดั สินใจทัง้ ใน ระดบั ชาตแิ ละระดบั ท้องถ่นิ เพอ่ื สนบั สนนุ การขับเคล่ือนการพัฒนาประเทศ 2) ยุทธศาสตรก์ ารพัฒนาคนส่สู งั คมแหง่ การเรยี นรู้ตลอดชวี ิตอย่างย่งั ยืน การพัฒนาคุณภาพคนไทยให้มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง มุ่งพัฒนาคุณภาพ คนไทยทุกช่วงวัย สอดแทรกการพฒั นาคนดว้ ยกระบวนการเรยี นรทู้ เี่ สรมิ สรา้ งวฒั นธรรมการเกอ้ื กลู พฒั นาทกั ษะใหค้ นมกี ารเรยี นรู้ ตอ่ เน่อื งตลอดชวี ติ ต่อยอดสกู่ ารสร้างนวตั กรรมทีเ่ กิดจากการฝกึ ฝนเปน็ ความคดิ สรา้ งสรรค์ ปลูกฝังการพรอ้ ม รบั ฟงั ความคดิ เหน็ จากผู้อ่นื และจติ ใจท่ีมีคุณธรรม ซ่ือสัตย์ มีระเบียบวนิ ัย พฒั นาคนดว้ ยการเรยี นร้ใู นศาสตร์ วทิ ยาการ ใหส้ ามารถประกอบอาชพี ไดอ้ ยา่ งหลากหลาย สอดคลอ้ งกบั แนวโนม้ การจา้ งงานและเตรยี มความพรอ้ ม สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน สร้างจิตสำ�นึกให้คนไทยมีความรับผิดชอบต่อสังคม เคารพกฎหมาย หลักสิทธิ มนุษยชน สร้างค่านิยมการผลิตและบริโภคที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เรียนรู้การรองรับการเปลี่ยนแปลง ทเี่ กดิ จากสภาพภูมอิ ากาศและภัยพิบัติ 3) ยทุ ธศาสตรค์ วามเข้มแข็งภาคเกษตร ความม่ันคงของอาหารและพลงั งาน การสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรตลอดห่วงโซ่การผลิต สนับสนุนการผลิตและบริการของ ชุมชนในการสร้างมูลค่าเพ่ิมสินค้าเกษตร อาหาร และพลงั งาน สง่ เสรมิ สถาบนั การศึกษา ในพื้นที่ ให้รว่ มท�ำ การ ศกึ ษาวจิ ยั กบั ภาคเอกชน สนบั สนนุ เกษตรกรและผปู้ ระกอบการ น�ำ องคค์ วามรู้ นวตั กรรมและเทคโนโลยกี ารผลติ ทเ่ี ปน็ มติ รตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มบนฐานความคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรคม์ าใช้ ในการสรา้ งมลู คา่ เพมิ่ สนิ คา้ ผลติ ภณั ฑเ์ กษตรและ อาหาร ยกระดบั คุณภาพมาตรฐานสนิ ค้าเกษตรและอาหาร มาตรฐานระบบการผลิตสินคา้ เกษตร ใหเ้ ทยี บเท่า ระดับสากล ส่งเสริมระบบตลาดกลางสินค้าเกษตรและตลาดซ้ือขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ส่งเสริมภาคเอกชน และองค์กรชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการระบบสินค้าเกษตรและอาหาร ร่วมกับสถาบันเกษตรกร เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพระบบการบริหารจดั การโลจสิ ตกิ ส์ของภาคเกษตร การสร้างความมั่นคงในอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกร มุ่งพัฒนาระบบการสร้างหลักประกัน รายได้ของเกษตรกรให้มีความมั่นคงและครอบคลุมเกษตรกรท้ังหมด พัฒนาระบบประกันภัยพืชผลการเกษตร สง่ เสริมระบบการท�ำ การเกษตรแบบมพี นั ธสัญญาทีเ่ ป็นธรรมแก่ทุกฝา่ ย ยกระดับคุณภาพชวี ิตและความเปน็ อยู่ ของเกษตรกร สร้างแรงจูงใจใหเ้ ยาวชน เกษตรกรรนุ่ ใหม่ และแรงงานท่มี คี ุณภาพเขา้ สอู่ าชีพเกษตรกรรม พฒั นา สถาบนั เกษตรกรและวสิ าหกจิ ชมุ ชนใหเ้ ปน็ กลไกสนบั สนนุ การพง่ึ พาตนเองของเกษตรกร เสรมิ สรา้ งความเขม้ แขง็ ให้กับเกษตรกรรายย่อยท่ีได้รับผลกระทบจากการนำ�เข้าสินค้าเกษตรและอาหารที่มีต้นทุนตำ่� ที่เป็นผลมาจาก ขอ้ ตกลงการเปดิ การค้าเสรี 4) ยทุ ธศาสตร์การปรับโครงสรา้ งเศรษฐกจิ สู่การเติบโตอยา่ งมคี ุณภาพและยัง่ ยนื การปรบั โครงสรา้ งเศรษฐกจิ สกู่ ารพฒั นาทม่ี คี ณุ ภาพและยง่ั ยนื โดยสรา้ งความเขม้ แขง็ ใหก้ บั ผปู้ ระกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และผลักดันให้มีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจ ภายในประเทศใหเ้ ขม้ แขง็ และแขง่ ขนั ได้ ดว้ ยการปรบั โครงสรา้ งการคา้ และการลงทนุ ใหส้ อดคลอ้ งกบั การขยายตวั ทางเศรษฐกจิ ของเอเชยี แอฟรกิ า และเศรษฐกจิ ภายในประเทศ ปรบั โครงสรา้ งภาคบรกิ ารใหส้ ามารถสรา้ งมลู คา่ เพม่ิ กับสาขาบริการที่มีศักยภาพและเป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อมบนฐานความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม พัฒนา เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งครอบคลุมถึงการพัฒนาธุรกิจสร้างสรรค์ การพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ และการพัฒนา กองวิจัยตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน 15
อตุ สาหกรรมสรา้ งสรรค์ พฒั นาภาคเกษตร บนฐานการเพมิ่ ผลติ ภาพในการผลติ และยกระดบั การสรา้ งมลู คา่ เพม่ิ ดว้ ยเทคโนโลยแี ละกระบวนการที่เป็นมติ รกับสง่ิ แวดลอ้ ม และพัฒนาภาคอตุ สาหกรรม ท่ีมงุ่ การปรบั โครงสร้าง อุตสาหกรรม ให้มีคณุ ภาพและยง่ั ยนื ด้วยการใช้ความรู้ ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และความคดิ สรา้ งสรรค์ สู่อุตสาหกรรมฐานความรเู้ ชิงสร้างสรรคแ์ ละเป็นมิตรตอ่ ส่ิงแวดล้อม การพฒั นาขีดความสามารถในการแขง่ ขนั ทีม่ ปี ระสิทธิภาพ เท่าเทยี ม และเปน็ ธรรม มงุ่ พัฒนาตลาดเงิน และตลาดทุน รวมทั้งกำ�ลังแรงงาน ให้เอื้อต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ พัฒนาระบบการจัดการทรัพย์สิน ทางปัญญา พัฒนาโครงสร้างพ้ืนฐานและระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้เช่ือมโยงการขนส่งท้ังภายในประเทศ และระหวา่ งประเทศ เพอ่ื เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพและมาตรฐานสสู่ ากล สรา้ งความมนั่ คงดา้ นพลงั งาน ดว้ ยการสง่ เสรมิ การใชพ้ ลงั งานสะอาด พฒั นาพลงั งานทางเลอื ก และเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการใชพ้ ลงั งานในทกุ ระดบั ปฏริ ปู กฎหมาย และกฎระเบียบต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจให้เอ้ือต่อการเพ่ิมประสิทธิภาพการแข่งขัน และสอดคล้องกับกระแสการ เปล่ียนแปลงในสงั คมโลก จากผลส�ำ รวจของส�ำ นกั งานสถติ แิ หง่ ชาติ (สสช.) ในปี 2556 พบวา่ จ�ำ นวนผทู้ ม่ี งี านท�ำ ทง้ั หมด 39.1 ลา้ นคน เป็นแรงงานในระบบ 14 ล้านคน และเป็นแรงงานนอกระบบถึง 25.1 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 64 เพ่ิมข้ึน จากปที ีผ่ ่านมาถงึ รอ้ ยละ 2 และมีแนวโนม้ เพม่ิ ขน้ึ เรอื่ ย ๆ ซึง่ แรงงานนอกระบบสว่ นหน่ึงประกอบอาชีพอสิ ระ โดยการประกอบธุรกิจส่วนตัวในการผลิตสินค้าหรือบริการ ทำ�ให้มีงานทำ� มีรายได้เล้ียงตนเองและครอบครัว ซง่ึ ปจั จบุ นั ก�ำ ลงั ไดร้ บั ความนยิ มเปน็ อยา่ งมาก ทงั้ ในกลมุ่ ผทู้ จ่ี บการศกึ ษาและกลมุ่ ผวู้ า่ งงาน เนอ่ื งจากไมต่ อ้ งการ อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของใคร ต้องการเป็นนายของตัวเอง นอกจากน้ีผู้ท่ีมีงานทำ�อยู่แล้วในระบบ ก็หันมา ประกอบอาชพี อสิ ระเสริม เพือ่ เป็นการเพ่ิมรายไดใ้ หก้ บั ตนเองและครอบครวั ผลส�ำ รวจภาวะการท�ำ งานของประชากรของส�ำ นกั งานสถติ แิ หง่ ชาติ ตามสถานภาพการท�ำ งานของประชากร พบวา่ ในปี 2556 มีผทู้ ท่ี �ำ งานส่วนตัว จ�ำ นวน 12,551,740 คน คิดเปน็ สดั ส่วนร้อยละ 32.26 จากผ้มู ีงานทำ� ทงั้ หมด เปน็ ล�ำ ดบั ท่ี 2 รองจากการเปน็ ลกู จา้ งเอกชน ในขณะที่ มผี ทู้ ชี่ ว่ ยธรุ กจิ ในครวั เรอื น จ�ำ นวน 8,391,657 คน คดิ เปน็ สัดส่วนรอ้ ยละ 21.57 เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั ปี 2555 ปรากฏว่า ผ้ทู ่ที �ำ งานส่วนตัวเพิม่ ขึน้ มากที่สดุ คดิ เปน็ ร้อยละ 2.12 สถานภาพการทำ�งาน ปี 2555 ปี 2556 การเปล่ยี นแปลง(รอ้ ยละ) นายจา้ ง 1,022,713 1,024,515 0.18 ลกู จา้ งรฐั บาล 3,568,346 3,521,727 -1.31 ลกู จ้างเอกชน 13,446,997 13,352,203 -0.70 ทำ�งานส่วนตวั 12,291,407 12,551,740 2.12 ช่วยธุรกจิ ครวั เรอื น 8,541,017 8,391,657 -1.75 การรวมกลุม่ -5.25 68,652 65,048 ทม่ี า : สำ�นกั งานสถิตแิ หง่ ชาติ อาชีพอิสระ ถือเป็นอาชีพท่ีสำ�คัญของประเทศ เนื่องจากเป็นอาชีพท่ีไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากสามารถ กระจายไดถ้ ึงระดับตำ�บล เป็นแหล่งการจา้ งงานใหก้ ับประเทศได้ อาชีพอิสระหากมีการ จดทะเบยี น มเี งินลงทุน มลี กู จา้ งเปรยี บเสมอื นธรุ กจิ SMEs ซงึ่ ปจั จบุ นั ถอื เปน็ ธรุ กจิ ทส่ี �ำ คญั ของประเทศ สามารถจา้ งงานไดเ้ ปน็ จ�ำ นวนมาก ธุรกิจ SMEs เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของระบบเศรษฐกิจไทย เพราะ SMEs มีสัดส่วนเป็น 37% ของ 16 แนวโนม้ อาชีพอสิ ระในอนาคต 3 ปี ข้างหนา้ (พ.ศ. 2558 - 2560)
GDP ประเทศ หรือคิดเป็นมูลค่า 3.7 ล้านล้านบาท ในปี 2553 ประเทศไทยมีกิจการวิสาหกิจทั้งสิ้น 2.9 ล้านราย ในจำ�นวนนเี้ ป็นผปู้ ระกอบการ SMEs 2.89 ลา้ นราย โดยผปู้ ระกอบการ SMEs เปน็ ผูว้ ่าจ้างงาน 10.5 ลา้ นราย หรือประมาณ 70% ของ การจ้างงานรวม แม้ประเทศไทยจะมีธุรกิจขนาดใหญ่อยู่หลายแห่ง แต่ถ้าพิจารณา ในรายละเอยี ดแลว้ จะเหน็ วา่ SMEs เปน็ Supplier สง่ ของใหธ้ รุ กจิ ขนาดใหญแ่ ละอตุ สาหกรรมทส่ี �ำ คญั ของประเทศ เช่น อาหาร ท่องเทย่ี ว หรอื บริการ ก็จะมี SMEs เป็นสว่ นประกอบส�ำ คัญอย่ตู ลอดสายการผลิต (Supply Chain) ตงั้ แตต่ น้ น�ำ้ จนถงึ ปลายน�้ำ ดงั นน้ั ประเทศไทยจะมคี วามกา้ วหนา้ ทางเศรษฐกจิ พฒั นาจากประเทศทม่ี รี ายไดเ้ ฉลยี่ ระดบั กลาง เป็นประเทศท่มี รี ายไดเ้ ฉลยี่ ระดบั สูงได้ หรือไมก่ ข็ ้ึนอย่กู บั พัฒนาการของ SMEs เปน็ สำ�คัญ (ปรัชญา อศั วเดชกำ�จร 2555 : 1) จากรายงานสถานการณว์ สิ าหกจิ ขนาดกลางและขนาดยอ่ ม (SMEs) ของส�ำ นกั งาน สง่ เสรมิ วสิ าหกจิ ขนาด กลางและขนาดยอ่ ม พบวา่ ในปี 2556 GDP ของวสิ าหกจิ ขนาดกลางและขนาดยอ่ ม มมี ลู คา่ 4,454,939.6 ลา้ นบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 37.4 ของ GDP รวมท้ังประเทศ โดยมูลค่า GDP ของ SMEs ขยายตัวร้อยละ 3.8 ชะลอตวั ลงจากการขยายตวั รอ้ ยละ 6.6 ในปกี อ่ นหนา้ มกี ารจา้ งงาน ในกจิ การทกุ ขนาดรวมทง้ั สนิ้ 14,098,563 คน โดยเป็นการจ้างงานในวิสาหกิจขนาดใหญ่ (LE) 2,682,323 คน และเป็นการจ้างงานในวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดยอ่ ม (SMEs) จ�ำ นวน 11,414,702 คน หรอื คดิ เปน็ สดั สว่ นร้อยละ 80.96 ของการจ้างงานรวมท้งั หมด โดยทว่ี สิ าหกจิ ขนาดเลก็ (SE) จะมสี ดั สว่ นตอ่ การจา้ งงานรวมสงู ทส่ี ดุ ถงึ รอ้ ยละ 73.79 และยงั มสี ดั สว่ นตอ่ SMEs สูงท่สี ดุ ถึงรอ้ ยละ 91.14 โดยท่กี ารจา้ งงานของ SMEs มลี กั ษณะการกระจายตัวอย่ใู นกลุม่ ภาคบริการมากทสี่ ดุ จ�ำ นวน 5,099,237 คน คดิ เป็นสัดส่วนร้อยละ 81.18 ของการจ้างงานภาคบริการทง้ั ประเทศ ขยายตัวเพ่มิ ขึน้ รอ้ ยละ 4.72 เมอ่ื เทียบกับการจา้ งงานในภาคบรกิ ารของ SMEs ในปที ี่ผ่านมา ตารางท่ี 1.1 การจ้างงานรวม จำ�แนกตามขนาดวิสาหกจิ ปี 2555 – ปี 2556 ปี 2555 ปี 2556 ขนาดวสิ าหกิจ การจ้างงาน สดั สว่ นตอ่ สัดส่วนตอ่ การจ้างงาน สดั สว่ นต่อ สดั สว่ นต่อ วสิ าหกจิ ขนาดกลางและ (คน) วิสาหกจิ SMEs (คน) วสิ าหกจิ SMEs ขนาดย่อม (SMEs) • วิสาหกิจขนาดเล็ก (SE) รวม รวม - • วิสาหกจิ ขนาดกลาง (ME) วสิ าหกิจขนาดใหญ่ (LE) 11,047,854 80.96 - 11,414,702 80.96 ไม่สามารถระบขุ นาดได้ รวมท้ังสิน้ 10,063,358 73.75 91.09 10,403,838 73.79 91.14 984,497 7.21 8.91 1,010,864 7.17 8.86 19.03 2,596,358 0.01 - 2,682,323 19.03 - 1,538 100.00 - 1,538 0.01 - - 14,098,563 100.00 - 13,645,751 ทีม่ า : ส�ำ นักงานสง่ เสรมิ วิสาหกจิ ขนาดกลางและขนาดย่อม เมอ่ื พจิ ารณาการจา้ งงานของวสิ าหกจิ ขนาดกลางและขนาดยอ่ ม ทก่ี ระจายตวั ตามขนาดธรุ กจิ ในปี 2556 พบวา่ ในภาคการผลติ จะมกี ารจา้ งงานเพยี งรอ้ ยละ 23.65 ของการจา้ งงาน SMEs ทง้ั หมด ในขณะทภี่ าคบรกิ ารมี การจา้ งงานในสดั สว่ นสงู ทส่ี ดุ คอื รอ้ ยละ 44.67 ของการจา้ งงาน SMEs ทง้ั หมด สว่ นภาคการขายสง่ การขายปลกี การซอ่ มแซมยานยนต์ และจกั รยานยนต์ จะมกี ารจ้างงานร้อยละ 31.67 ของการจา้ งงาน SMEs ทัง้ หมด กองวิจัยตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 17
ส�ำ หรับจ�ำ นวนการจ้างงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดยอ่ ม จำ�แนกตาม กล่มุ จังหวดั และจังหวดั พบว่า มกี ารกระจายตวั ของการจา้ งงานอยู่ในกรงุ เทพมหานครมากทีส่ ดุ จ�ำ นวน 3,824,143 คน คิดเปน็ สดั ส่วน ร้อยละ 33.50 ของวิสาหกจิ ขนาดกลางและขนาดยอ่ ม รองลงมาคอื กลมุ่ จงั หวดั ภาคกลางตอนบน 1 (ประกอบ ดว้ ย จงั หวัดนนทบรุ ี จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา จงั หวดั ปทุมธานี และจงั หวดั สระบรุ )ี จ�ำ นวน 972,202 คน และ ภาคตะวนั ออก (ประกอบดว้ ย จงั หวดั ชลบรุ ี จงั หวดั ระยอง จงั หวดั จนั ทบรุ ี และจงั หวดั ตราด) จ�ำ นวน 815,479 คน และเมอ่ื พจิ ารณาการจา้ งงานตามกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ พบวา่ กจิ กรรมการผลติ อตุ สาหกรรม มจี �ำ นวนการจา้ งงาน สูงสุด จำ�นวน 3,744,031 คน โดยเปน็ การจ้างงานในวิสาหกจิ ขนาดกลางและขนาดยอ่ ม จ�ำ นวน 2,512,848 คน จำ�แนกเป็นวสิ าหกิจขนาดเล็ก (SE) จำ�นวน 2,098,442 คน วสิ าหกิจขนาดกลาง (ME) จำ�นวน 414,406 คน รองลงมาเปน็ กจิ กรรมการขายส่ง การขายปลีกฯ จำ�นวน 3,875,636 คน สว่ นกจิ กรรมทม่ี ีการจา้ งงานน้อยทีส่ ดุ คอื กจิ กรรมไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้�ำ และระบบปรบั อากาศ นอกจากนน้ั กระทรวงแรงงาน (โดยมหาวทิ ยาลยั รามค�ำ แหง) ไดศ้ กึ ษาวเิ คราะหค์ วามตอ้ งการของนกั ศกึ ษา มหาวิทยาลยั รามค�ำ แหงต่อการมีงานทำ� การประกอบอาชีพอิสระและ การพฒั นาฝมี อื แรงงาน (2546) พบว่า นักศึกษามีความต่ืนตัวต่อการประกอบอาชีพอิสระค่อนข้างมาก และต้องการท่ีจะให้มหาวิทยาลัยรามคำ�แหง กับสถาบนั พฒั นาฝีมือแรงงานภาค และศูนยพ์ ฒั นาฝมี อื แรงงานจงั หวดั จัดเตรียมองค์ความรูต้ า่ ง ๆ ทจ่ี ำ�เป็น ต่อการพัฒนาฝมี ือแรงงาน เพ่ือนำ�ไปสู่ การประกอบอาชพี อิสระ และสามารถสรา้ งงานทีเ่ หมาะสมแก่ตนเองได้ และจากการส�ำ รวจภาคสนาม ต้องการทจ่ี ะใหม้ หาวทิ ยาลัยรามค�ำ แหงกับสถาบันพฒั นาฝมี ือแรงงานภาค และ ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด จัดเตรียมองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่จำ�เป็นต่อการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อนำ�ไปสู่ การประกอบอาชีพอิสระ และสามารถสร้างงานท่เี หมาะสมแกต่ นเองได้ นอกจากน้ัน จากการส�ำ รวจภาคสนาม โดยการสัมภาษณ์นกั ศึกษา โดยแบ่งตามภมู ลิ �ำ เนาเดิม 5 ภาค คือ ภาคเหนอื ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ และภาคตะวันออก สามารถสรุปกลุ่มอาชีพท่ีนักศึกษา ต้องการประกอบอาชีพอิสระมากที่สุด โดยเรยี งลำ�ดับตั้งแตอ่ าชีพทม่ี ีความนิยมมากที่สดุ ลงมาได้ 10 อนั ดบั คือ 1) การบรกิ ารอาหารและเครอื่ งดม่ื 2) ผพู้ ัฒนาโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ 3) การเพาะพนั ธ์ไุ ม้ประดับตกแตง่ 4) การแปรรูปผลติ ภณั ฑ์ทางการเกษตร 5) การออกแบบบรรจภุ ณั ฑ์และมาตรฐานบรรจุภัณฑเ์ พ่อื การส่งออก 6) ธรุ กิจการผลติ กาแฟ 7) ผลิตภณั ฑ์จากไม้ยางพารา 8) การผลติ ชา เครอ่ื งดม่ื สมนุ ไพร เคร่อื งด่ืมแอลกอฮอล์ 9) การเพาะเห็ด 10) สิง่ ทอพ้ืนบา้ น การออกแบบผลิตภัณฑ์และลวดลายสงิ่ ทอ ในขณะทเี่ มอ่ื จ�ำ แนกตามภาค สามารถสรปุ กลมุ่ อาชพี ทน่ี กั ศกึ ษา ตอ้ งการประกอบอาชพี อสิ ระมากทส่ี ดุ โดยเรียงล�ำ ดับตัง้ แตอ่ าชีพทมี่ คี วามนยิ มมากที่สุดได้ 10 อนั ดับ แบง่ ตามภาคได้ ดงั น้ี ภาคเหนอื ได้แก่ 1) ผ้พู ัฒนาโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ 2) การบริการอาหารและเคร่ืองด่ืม 3) ธุรกจิ การผลิตกาแฟ 18 แนวโนม้ อาชพี อิสระในอนาคต 3 ปี ข้างหนา้ (พ.ศ. 2558 - 2560)
4) การออกแบบบรรจุภณั ฑ์และมาตรฐานบรรจภุ ณั ฑเ์ พอื่ การสง่ ออก 5) การแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร 6) การเพาะพันธุ์ไมป้ ระดับ ตกแต่ง 7) ผปู้ ระกอบอาหารไทย 8) การผลิตชา เคร่อื งดม่ื สมนุ ไพร เครอ่ื งดม่ื แอลกอฮอล์ 9) การเพาะเห็ด 10) ชา่ งซอ่ มคอมพวิ เตอร์ ภาคใต้ ไดแ้ ก่ 1) ผู้พฒั นาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 2) การเพาะพันธ์ไุ ม้ประดับ ตกแตง่ 3) การออกแบบบรรจุภัณฑแ์ ละมาตรฐานบรรจภุ ณั ฑเ์ พอ่ื การสง่ ออก 4) การบรกิ ารอาหารและเคร่ืองดม่ื 5) ธรุ กิจการผลิตกาแฟ 6) ผลิตภัณฑ์จากไม้ยางพารา 7) ชา่ งเครือ่ งประดบั (ประดับอัญมณ)ี 8) ผปู้ ระกอบอาหารไทย 9) การผลติ ชา เครอื่ งดื่มสมนุ ไพร เคร่ืองด่มื แอลกอฮอล์ 10) การแปรรูปผลติ ภัณฑ์ทางการเกษตร ภาคกลาง ได้แก่ 1) ผู้พัฒนาโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ 2) การออกแบบบรรจุภณั ฑแ์ ละมาตรฐานบรรจภุ ัณฑเ์ พื่อการสง่ ออก 3) การบรกิ ารอาหารและเครอ่ื งดม่ื 4) ธรุ กจิ การผลติ กาแฟ 5) ผปู้ ระกอบอาหารไทย 6) ชา่ งเครอื่ งประดับ (ประดบั อญั มณ)ี 7) การเพาะพนั ธุ์ไม้ประดบั ตกแตง่ 8) การผลติ ชา เครือ่ งด่มื สมุนไพร เครอื่ งดื่มแอลกอฮอล์ 9) ช่างซ่อมคอมพวิ เตอร์ 10) การแปรรูปผลิตภัณฑท์ างการเกษตร ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ได้แก่ 1) ผปู้ ระกอบอาหารไทย 2) การบริการอาหารและเคร่อื งดื่ม 3) การเพาะพันธุ์ไม้ประดับ ตกแต่ง 4) การออกแบบบรรจุภณั ฑแ์ ละมาตรฐานบรรจุภณั ฑเ์ พอ่ื การส่งออก 5) ผพู้ ัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 6) การแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร 7) ธุรกิจการผลิตกาแฟ กองวจิ ัยตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน 19
8) โคมไฟและการออกแบบ 9) สิง่ ทอพ้ืนบ้าน การออกแบบผลิตภณั ฑแ์ ละลวดลายสิ่งทอ 10) การผลติ ชา เครอ่ื งดื่มสมนุ ไพร เครื่องดม่ื แอลกอฮอล์ ภาคตะวนั ออก ได้แก่ 1) ผู้ประกอบอาหารไทย 2) การบรกิ ารอาหารและเครื่องดม่ื 3) การเพาะพันธุไ์ ม้ประดับ ตกแต่ง 4) การออกแบบบรรจุภณั ฑแ์ ละมาตรฐานบรรจภุ ัณฑเ์ พอ่ื การส่งออก 5) ผพู้ ฒั นาโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ 6) ธุรกิจการผลิตกาแฟ 7) การผลติ ชา เคร่อื งด่มื สมุนไพร เครอื่ งด่มื แอลกอฮอล์ 8) ชา่ งเครือ่ งประดบั (ประดับอญั มณ)ี 9) การแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร 10) โคมไฟและการออกแบบ จากที่กล่าวมาทั้งหมดน้ี จะเห็นได้ว่าการประกอบธุรกิจส่วนตัวถือเป็นอาชีพที่สำ�คัญของประชากร เนื่องจากมีสัดส่วนของการจ้างงานคอ่ นข้างสูง และสามารถกระจายไปตามภมู ิภาคตา่ ง ๆ ได้ถึงในระดบั ต�ำ บล หมู่บ้าน เป็นหน่วยท่ีสามารถผลิตสินค้าและบริการ เพ่ือจำ�หน่ายท้ังในประเทศและต่างประเทศ ทำ�ให้เกิดการ ไหลเวยี นของเงนิ ในระบบเศรษฐกจิ ประชาชนมรี ายไดเ้ พมิ่ ขน้ึ ชว่ ยขจดั ปญั หาความยากจนในชนบทได้ นอกจากนนั้ ยงั เป็นอาชพี ท่ีสนองต่อความต้องการภายในทอ้ งถนิ่ ได้เป็นอย่างดี ไดใ้ ชภ้ มู ปิ ัญญาในทอ้ งถน่ิ ของคนไทย ทมี่ ีทัง้ ศิลปะและความประณตี ในการสร้างสรรค์งานท�ำ ใหเ้ กิดมลู ค่าเพ่มิ ของผลติ ภัณฑ์ ซ่ึงเปน็ จุดเดน่ ของผลิตภัณฑ์ บางธรุ กจิ สามารถผลิตได้ด้วยตนเอง ใชว้ ตั ถุดบิ ภายในทอ้ งถิ่น ท�ำ ให้ต้นทนุ การผลิตไมส่ ูง นอกจากน้นั ยังเปน็ แหล่งงาน แหล่งอาชีพ สำ�หรับผู้ที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ สามารถประกอบธุรกิจของตนเองได้ตาม ความสามารถและความตอ้ งการ โดยทกี่ รมการจดั หางาน (โดยกองสง่ เสรมิ การมงี านท�ำ ) มภี ารกจิ ทางดา้ นการแนะแนวอาชพี และสง่ เสรมิ การประกอบอาชพี อสิ ระแกน่ กั เรยี น นกั ศกึ ษา และประชาชนผสู้ นใจโดยทวั่ ไป จ�ำ เปน็ ตอ้ งมขี อ้ มลู เกยี่ วกบั ทศิ ทาง หรือแนวโน้มของอาชีพอิสระ เพื่อใช้ในการแนะแนวอาชีพและส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระดังกล่าว จึงได้ มอบหมายให้กองวจิ ัยตลาดแรงงานท�ำ การศกึ ษาวจิ ยั แนวโน้มอาชีพอิสระในอนาคต 3 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2558 – 2560) ขนึ้ 1.2 วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั 1.2.1 เพ่ือศกึ ษาแนวโนม้ ของอาชีพอิสระในอนาคต 3 ปี ข้างหน้า (พ.ศ. 2558 – 2560) 1.2.2 เพอื่ เปน็ ขอ้ มลู ในการแนะแนวอาชพี แกป่ ระชาชน ตามภารกจิ ดา้ นการสง่ เสรมิ การประกอบ อาชพี อสิ ระของกองสง่ เสริมการมีงานทำ� กรมการจดั หางาน 1.3 ขอบเขตของการวจิ ยั ผูว้ ิจยั ก�ำ หนดขอบเขตในการวจิ ยั ดังนี้ 1.3.1 ขอบเขตด้านเนอื้ หา การวิจัยคร้ังนี้มุ่งศกึ ษาในประเดน็ สำ�คัญ ดังนี้ 1) ลกั ษณะทั่วไปของการประกอบอาชีพอสิ ระ 20 แนวโนม้ อาชพี อสิ ระในอนาคต 3 ปี ขา้ งหนา้ (พ.ศ. 2558 - 2560)
(1) ลกั ษณะทั่วไปของผปู้ ระกอบอาชีพอสิ ระ (2) ลกั ษณะการประกอบอาชีพอสิ ระ (3) ผลประกอบการของผูป้ ระกอบอาชพี อิสระ 2) ความคิดเหน็ เกี่ยวกับการประกอบอาชพี อสิ ระจากเจ้าหนา้ ทสี่ นิ เช่อื ธนาคาร (1) อาชีพท่ขี อสนิ เชื่อมากทส่ี ุด (2) อาชีพที่ธนาคารอนุมตั ิสินเชอื่ มากทีส่ ดุ (3) อาชพี ที่ชำ�ระเงินก้ตู รงเวลา (4) อาชีพทม่ี แี นวโน้มการเติบโตทดี่ ีในอนาคต 3) ความคิดเห็นเก่ียวกับการประกอบอาชีพอิสระจากผู้มีส่วนเก่ียวข้องโดยการประชุม กลุ่ม (Focus Group) ศึกษาเฉพาะประเดน็ อาชพี อิสระทีผ่ มู้ ีสว่ นเก่ียวขอ้ งเหน็ ว่าน่าจะมแี นวโน้มท่ดี ีในอนาคต 1.3.2 ขอบเขตดา้ นประชากร ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ได้รับการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ ชมุ ชนทว่ั ประเทศ จากส�ำ นกั บรหิ ารมาตรฐานผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน ส�ำ นกั งานบรหิ ารมาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม กระทรวงอตุ สาหกรรม 1.3.3 ขอบเขตดา้ นเวลา การวิจัยครั้งนี้ ด�ำ เนินการในระหว่างเดอื น มีนาคม ถึงเดือน พฤศจิกายน 2557 1.4 นิยามศพั ทท์ ีใ่ ชใ้ นการวิจยั อาชีพอิสระ หมายถึง การประกอบกจิ การหรอื ธุรกิจส่วนตัวในการผลติ สนิ คา้ หรือบริการ ท่ีถกู ต้อง ตามกฎหมาย มีอสิ ระในการก�ำ หนดรปู แบบและวธิ ีการดำ�เนินงานของตวั เองได้ ตามความเหมาะสม อาจมกี าร จา้ งลูกจ้างหรือไมก่ ไ็ ด้ และกรณมี ลี ูกจา้ ง ตอ้ งมีลกู จา้ งไมเ่ กนิ 14 คน และมเี งนิ ลงทุนเรม่ิ ตน้ ไมเ่ กิน 200,000 บาท 1.5 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั 1.6 ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะได้รบั 1.6.1) ทราบถงึ แนวโน้มของอาชีพอสิ ระในอนาคต 3 ปี ข้างหน้า (พ.ศ. 2558 – 2560) 1.6.2) กองสง่ เสรมิ การมงี านท�ำ และเจา้ หนา้ ทแี่ นะแนวอาชพี สามารถใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู ในการแนะแนว ให้กับผปู้ ระสงค์จะประกอบอาชีพอิสระ 1.6.3) ผทู้ ป่ี ระสงคจ์ ะประกอบอาชีพอิสระสามารถใชเ้ ป็นแนวทาง ในการตัดสนิ ใจลงทุน กองวิจัยตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน 21
บทท่ี 2 แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้อง การท�ำ งานของประชากร มอี ยหู่ ลากหลายรปู แบบ ทง้ั อาชพี ในระบบและอาชพี นอกระบบซง่ึ แตล่ ะรปู แบบ มคี วามส�ำ คญั ตอ่ การสรา้ งรายไดแ้ ละชวี ติ ความเปน็ อยขู่ องครอบครวั ตลอดจนเปน็ ปจั จยั สนบั สนนุ ใหม้ กี ารเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกิจ เน่ืองจากเมื่อมีงานทำ�แล้วจะมีการอุปโภคบริโภค ทำ�ให้มีการไหลเวียนของกระแสเงินใน ระบบเศรษฐกิจ ในการศกึ ษาครั้งน้เี ปน็ การศกึ ษาอาชพี และแนวโนม้ ของอาชพี อสิ ระ หรอื การประกอบธุรกิจของ บคุ คล โดยไดม้ ีการศกึ ษา แนวคิด ทฤษฎีและผลงานวจิ ยั ท่เี กี่ยวขอ้ ง ดังน้ี 2.1 แนวคดิ และทฤษฎีเก่ียวกบั อาชพี 2.1.1 ทฤษฎีพฒั นาการดา้ นอาชพี ทฤษฎีพัฒนาการดา้ นอาชีพของทีดแมนและโอฮารา (Tiedeman and O’ Hara’s Theory of Career Development) (อ้างในสถาบนั พัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั ภาคกลาง, 2555 : 43) โดยมรี ายละเอยี ดดังต่อไปนี้ David V. Tiedeman and Robert P.O. Hara ได้สร้างทฤษฎกี ารพัฒนาอาชีพขนึ้ โดยอาศัย ทฤษฎีการพัฒนาบุคลิกภาพของอิริคสัน (Erikson’s Theory of Personality Development) เป็นพ้ืนฐาน นอกจากนี้ทีดแมนและโอฮารายังได้แนวความคิดจากกินซ์เบอร์กและซูเปอร์ มาสร้างทฤษฎีจึงทำ�ให้ทฤษฎี ของเขาเป็นทฤษฎีพัฒนาการด้านอาชีพที่เน้นทั้งด้านการตัดสินใจเลือกอาชีพและการปรับตัวในอาชีพ ของบุคคล ทีดแมนและโอฮาราเห็นว่าพัฒนาการด้านอาชีพเป็นกระบวนการที่ต้องสร้างเอกลักษณ์ ดา้ นอาชพี เมอ่ื บคุ คลตอ้ งเผชญิ กบั งาน เขาไดอ้ ธบิ ายวา่ ประสบการณใ์ หม่ ๆ ท�ำ ใหบ้ คุ คลสรา้ งเอกลกั ษณด์ า้ นอาชพี ขน้ึ การสร้างเอกลักษณ์ด้านอาชีพดังกล่าวเป็นการสร้างเอกลักษณ์ในการทำ�งานของตนเองเพ่ือให้ตนเอง สามารถอยู่ในสังคมได้ การสร้างเอกลักษณ์ของตนเองเป็นปรากฏการณ์ทางด้านจิตวิทยาและสังคมวิทยา พัฒนาการด้านอาชีพท่ีเน้นการตัดสินใจเลือกอาชีพและการปรับตัวในอาชีพประกอบด้วยข้ันต่าง ๆ หลายข้ัน ซ่ึงบางคร้ังอาจจะเกิดข้ึนซ้ำ�แล้วซ้ำ�เล่าตลอดชีวิตของบุคคลเมื่อบุคคลต้องเปล่ียนงานใหม่อยู่เสมอ ทฤษฎีของ ทีดแมนและโอฮาราแบ่งออกเปน็ ระยะใหญ่ ๆ ได้ 2 ระยะคือ 1) ระยะเตรียมเลือกอาชีพ (Period of Anticipation or Preoccupation) ในระยะน้ี แบ่งออกเป็นขนั้ ตอนยอ่ ย ๆ ได้ 4 ขั้นคอื 22 แนวโนม้ อาชพี อิสระในอนาคต 3 ปี ขา้ งหนา้ (พ.ศ. 2558 - 2560)
1.1) ข้ันสำ�รวจ (Exploration Stage) ในข้ันนี้บุคคลจะทำ�การสำ�รวจข้อมูลต่าง ๆ และ ประเมนิ ตนเองในดา้ นความสนใจ ความสามารถ ความถนดั ประสบการณ์ ลกั ษณะสาขาวิชาและลกั ษณะอาชพี ตา่ ง ๆ ตลอดจนการประเมินความเปน็ ไปได้ในการประกอบอาชีพ 1.2) ข้ันการก่อตัวของความคิด (Crystallization Stage) ในขั้นน้ีบุคคลจะนำ�เอาข้อมูล ในข้ันสำ�รวจมาพิจารณาร่วมกับค่านิยมและเป้าหมายในชีวิตของตนเองประเภทของอาชีพและทางเลือกอื่น ๆ ความคิดจะเรม่ิ ชดั เจนข้ึน 1.3) ข้ันการทดลองเลอื กอาชพี (Choice Stage) ในข้นั นี้บคุ คลจะทดลองตดั สินใจเลอื ก อาชพี การตดั สนิ ใจเลอื กอาชพี ครงั้ นจ้ี ะเปน็ การตดั สนิ ใจชวั่ คราวหรอื ถาวรนนั้ ขน้ึ อยกู่ บั ขอ้ มลู ทบี่ คุ คลไดท้ ราบใน ขน้ั การส�ำ รวจและขั้นการก่อตัวความคดิ 1.4) ขั้นการพิจารณารายละเอียด (Clarification Stage) ในขั้นน้ีบุคคลจะหาข้อมูลเพิ่ม เติมเพื่อขจัดความสงสัยและเพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีมีรายละเอียดและชัดเจนเพียงพอ เพื่อการตัดสินใจเลือกอาชีพท่ี แน่นอน 2) ระยะการประกอบอาชพี และการปรบั ตวั (Period of Implementation and Adjustment) ในระยะน้ีบุคคลพร้อมและเริ่มประกอบอาชีพท่ีได้เลือกสรรมาแล้ว ระยะการประกอบอาชีพและการปรับตัว แบง่ ออกเปน็ ข้ันตอนย่อย ๆ ได้ 3 ข้ันคือ 2.1) ขน้ั เขา้ สกู่ ารศกึ ษาหรอื อาชพี (Induction Stage) ในขน้ั น้ีบุคคลจะเข้าศกึ ษาในสาขา วิชาชีพ เพ่ือเตรียมตัวประกอบอาชีพหรือเริ่มประกอบอาชีพที่ได้เลือกไว้แล้ว โดยท่ัวไปบุคคลจะยอมรับและ ปรบั ตวั เองเขา้ กับสภาพแวดล้อมใหม่ 2.2) ขั้นการปรับปรุง (Reformation Stage) ในขั้นนี้บุคคลจะได้รับการยอมรับในสภาพ แวดลอ้ มทางการศกึ ษาหรอื อาชพี ทไี่ ดเ้ ลอื กแลว้ บคุ คลจะพยายามประนปี ระนอมกนั ระหวา่ งเปา้ หมายของตนเอง กบั ของคนกลุม่ ใหญ่และในที่สดุ เขาก็จะคลอ้ ยตามกัน 2.3) ข้ันความมั่นคง (Integration Stage) ในข้ันนี้บุคคลมีความมั่นคงและมีความสำ�เร็จ ในการศกึ ษาหรอื การประกอบอาชพี และเหน็ วา่ อาชพี นนั้ เหมาะสมกบั ตนเองเมอื่ บคุ คลเกดิ ความรสู้ กึ ไมพ่ งึ พอใจ กับอาชีพท่ีเขาเลือก เขาอาจจะเร่ิมกระบวนการเลือกอาชีพใหม่อีกโดยใช้ข้อมูลจากกระบวนการเลือกครั้งแรก เป็นประโยชน์ในการตัดสนิ ใจเลือกอาชีพครั้งต่อไป 2.1.2 ทฤษฎกี ารเลอื กอาชพี ทฤษฎีหรือความเชื่อเกี่ยวกับการเลือกอาชีพมีผู้นำ�เสนอไว้หลายท่าน ดังน้ี ในเรื่องของการ เลือกอาชีพ ส�ำ เนาว์ ขจรศิลป์ (2529 : 39 - 40) ได้กลา่ วถงึ ทฤษฎขี องฮอลแลนด์ (Holland) ซง่ึ ฮอลแลนดไ์ ดส้ รา้ ง ทฤษฎกี ารเลอื กอาชีพโดยไดต้ ง้ั สมมตฐิ านไว้ ดงั นี้ (อ้างในเลศิ ลกั ษณ์ ชเู ลิศ, 2549 : 19) 1) การเลอื กอาชพี เปน็ การแสดงออกถงึ บคุ ลกิ ภาพของบคุ คลความสนใจในอาชพี แสดงใหเ้ หน็ ถึงบุคลิกภาพในการทำ�งาน การใช้เวลาว่าง และงานอดิเรกของบุคคล 2) การสำ�รวจความสนใจในอาชีพเปน็ การวัดบุคลิกภาพของบุคคล 3) ถ้าบุคคลเลือกประกอบอาชีพอย่างหนึ่งมาจากประวัติและบุคลิกภาพของเขาอาชีพ อย่างเดียวกนั กจ็ ะดึงดดู ความสนใจทางบุคลกิ ภาพหรอื ลักษณะท่ีตรงกันหรือคล้ายคลงึ กนั 4) บุคคลแต่ละคนมีความสนใจต่ออาชีพอยู่ 2-3 อาชีพซ่ึงจะมีความสำ�คัญต่อการ เลอื กอาชีพมาก กองวิจยั ตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 23
5) ความพงึ พอใจ ความมน่ั คง และความส�ำ เรจ็ ในการประกอบอาชพี ขนึ้ อยกู่ บั ความสอดคลอ้ ง ระหวา่ งบคุ ลกิ ภาพของบคุ คลกบั สภาพแวดลอ้ มของงาน จากสมมตฐิ านตามทฤษฎี การเลอื กอาชพี ของฮอลแลนด์ ทไ่ี ดก้ ล่าวมาน้ี พอจะสรปุ ได้วา่ บุคลกิ ภาพของแตล่ ะบุคคลนัน้ ได้มาจากการเรยี นรูจ้ ากสิง่ แวดล้อม เช่น บุคคลท่ี ใกล้ชิด ฐานะทางเศรษฐกจิ สังคม เปน็ ต้น ท�ำ ใหม้ ีโอกาสคน้ พบทักษะความสามารถ เจตคติ ค่านยิ มของตนจาก ประสบการณ์ทีไ่ ดร้ บั จากสิง่ แวดลอ้ ม และแตล่ ะบุคคลมักจะเลอื กอาชพี ให้เหมาะสมกบั บคุ ลิกภาพของตน กินซ์เบอร์ก (Ginzberg, 1966 : 47-57) ไดศ้ ึกษาพฒั นาการท่ีมีอิทธิพล ตอ่ การเลอื กอาชพี ของบคุ คลกับกลุ่มตวั อย่างในระดบั อายุตา่ ง ๆ กันและไดพ้ ัฒนาเปน็ ทฤษฎพี ัฒนาการทางอาชพี นน้ั เขาอธบิ าย ไวว้ า่ พฒั นาการทางอาชพี นนั้ เปน็ พฒั นาการตอ่ เนอ่ื งตามล�ำ ดบั อายุ ตงั้ แตว่ ยั เดก็ จนกระทง่ั วยั เสอ่ื ม การตดั สนิ ใจ เลือกอาชีพจึงไม่ใช่การตัดสินใจเพียงครั้งเดียวแต่จะเป็นกระบวนการตัดสินใจที่เป็นลำ�ดับต่อเน่ืองกันไปและ จะส้ินสุดลงดว้ ยการผสมผสานระหว่างความตอ้ งการ ความสนใจ ความสามารถกับความเปน็ จรงิ ในโลกของงาน กนิ ซ์เบอร์กได้กล่าวถงึ หลกั การของการพัฒนาการดา้ นอาชีพไว้ ดงั น้ี 1) กระบวนการเลือกอาชีพและพัฒนาการทางอาชีพเป็นกระบวนการที่ดำ�เนินไปตลอดช่วง ชีวติ มไิ ดจ้ �ำ กดั เพียงในช่วงวยั รุน่ หรอื วัยผู้ใหญ่ตอนตน้ เท่าน้ัน 2) กระบวนการเลือกอาชีพมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อาชีพของบุคคลจะไม่ข้ึนอยู่กับ การตดั สนิ ใจทางอาชพี ในระยะแรก ๆ การตดั สนิ ใจเกยี่ วกบั อาชพี ของบคุ คลจะมกี ารเปลย่ี นแปลงเพอ่ื ใหไ้ ดอ้ าชพี ท่ีตนสนใจและเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด บุคคลจะยอมเสียเวลาหรือค่าใช้จ่ายจำ�นวนมากเพื่อที่จะแสวงหา อาชีพทตี่ นสนใจ 3) การเลือกอาชีพเป็นการแสวงหาอาชีพท่ีเหมาะสมกับบุคคลมากท่ีสุดเท่าท่ีโอกาสที่เขา มอี ยู่จะอำ�นวยใหไ้ ด้ โดยการเลอื กอาชพี น้ันจะเปน็ การสนองตอบความต้องการ ความพึงพอใจของตนมากท่สี ุด ทฤษฎกี ารเลอื กอาชพี ของโร (Roe’s of career choice theory) แนวความคดิ ของโร (Roe & Seigelman, 1964 : 117-120) ในการเลือกอาชีพเป็นแบบสามมิติ จากการวิจัยบุคลิกภาพทางกายภาพ ทาง ชีวภาพ และทางสังคมภาพ ทำ�ใหโ้ รสรุปแนวความคิดของนกั วิจัยทง้ั 3 ด้านวา่ ขนาดของความสนใจต่อบคุ คล ตรงข้ามกับขนาดความสนใจต่อสิ่งของ ความสนใจเน้นหนักต่อบุคคลทำ�ให้แต่ละบุคคลเลือกส่ิงแวดล้อมอาชีพ ทเี่ ก่ยี วกับบคุ คล เช่น อาชพี ทางวฒั นธรรม ศิลปกรรม มหรสพ บริการและธรุ กิจ เป็นตน้ ส่วนคนที่มีความสนใจ เนน้ หนกั ไปทางวตั ถสุ ง่ิ ของกจ็ ะเลอื กอาชพี ทไี่ มเ่ นน้ เกย่ี วกบั บคุ คล เชน่ อาชพี นกั วทิ ยาศาสตร์ อาชพี งานกลางแจง้ อาชีพเทคโนโลยี เป็นตน้ ทฤษฎขี องโรมองว่าประสบการณข์ องวยั เด็กหลากหลายทำ�ใหบ้ คุ คลสนใจแตกตา่ งกนั เดก็ บางคนได้รบั ประสบการณ์อบอนุ่ จากบา้ นเป็นท่ยี อมรบั ของคนในบ้าน เดก็ ประเภทนีม้ คี วามสนใจบคุ คลเปน็ อยา่ งมาก สว่ นเด็กทมี่ ปี ระสบการณเ์ ยน็ ชาขาดความยอมรับในบ้านจะมีความสนใจวัตถสุ ิง่ ของเป็นสว่ นใหญ่ ทฤษฎีความต้องการทางอาชีพของฮอพพอค (Hoppock’s composite theory) แบ่งออกเป็น ส่วนย่อย ๆ ดงั น้ี 1) คนเราเลือกอาชีพเพื่อสนองความต้องการ เป็นความต้องการท้ังทางร่างกายและจิตใจ ความต้องการท่ีหลากหลายของมนุษย์เป็นตวั กำ�หนดใหเ้ ขาเลอื กอาชีพท่ีจะสนองความต้องการของเขาได้ 2) อาชีพท่ีเราเลอื กมักจะเปน็ อาชพี ที่สามารถตอบสนองความต้องการทีส่ งู สุดของเราได้ 3) ความตอ้ งการทเี่ กดิ ขน้ึ นชี้ ดั เจนแนน่ อนในบคุ คลบางคน แตส่ �ำ หรบั บางคนกอ็ าจคลมุ เครอื แต่ไมว่ ่าจะเปน็ กรณใี ดก็ตามมักจะมอี ทิ ธิพลตอ่ การเลอื กอาชีพของเราทัง้ สิน้ 4) พฒั นาการทางอาชพี เรมิ่ จากจดุ ทบี่ คุ คลตระหนกั วา่ มอี าชพี บางชนดิ ทท่ี �ำ ใหเ้ ขาไดร้ บั ความ พึงพอใจและสามารถตอบสนองความตอ้ งการของเขาได้ 24 แนวโน้มอาชีพอิสระในอนาคต 3 ปี ขา้ งหนา้ (พ.ศ. 2558 - 2560)
5) สิ่งที่จะเป็นเคร่ืองแสดงว่าเรามีพัฒนาทางการเลือกอาชีพขึ้นหรือไม่น้ันข้ึนอยู่กับว่าเรา เขา้ ใจการเลือกอาชีพของเราได้ดีเพียงใด สนองตอบความต้องการของตนเองเพียงไร 6) การเข้าใจตนเองทำ�ให้เราได้รู้ถึงส่ิงท่ีเราต้องการและรู้ว่าเรามีอะไรจะไปแลกเปลี่ยนกับ สิ่งท่ีตอ้ งการนน้ั 7) ความรู้เก่ียวกับอาชีพก็มีส่วนสำ�คัญในการตัดสินใจเลือกอาชีพ เราได้ประจักษ์แก่ตนเอง วา่ อาชพี น้ัน ๆ สนองตอบความต้องการของเราหรือไม่ เราจะได้อะไรจากการประกอบอาชีพนน้ั และเราจะตอ้ ง ใหอ้ ะไรจากอาชีพนน้ั ๆ บ้าง 8) ความพึงพอใจในอาชพี เกดิ จากการไดป้ ระกอบอาชีพที่ตรงกบั ความตอ้ งการของเรา 9) ความพงึ พอใจในการท�ำ งานมไิ ดห้ มายถงึ เฉพาะสง่ิ ทบ่ี คุ คลไดร้ บั ในปจั จบุ นั เทา่ นน้ั อาจเปน็ ส่ิงท่ีเขาคาดหวังว่างานจะมีอนาคตท่ีสดใส กล่าวง่ายๆ คืองานเป็นบันไดไปสู่ตำ�แหน่งหรืองานใหม่ในอนาคต ที่ดกี ว่ากเ็ ป็นได้ 10) คนเราเมอื่ เลอื กอาชพี แลว้ เปลย่ี นแปลงไดเ้ สมอถา้ เขารสู้ กึ วา่ การเปลย่ี นจะท�ำ ใหเ้ ขาไดร้ บั การตอบสนองทด่ี กี วา่ งานเกา่ จะเหน็ ไดว้ า่ ฮอพพอคมคี วามเชอ่ื วา่ บคุ คลจะเลอื กอาชพี ทสี่ นองความตอ้ งการของ ตนเองไดม้ ากทสี่ ดุ ทงั้ ในปจั จบุ นั และอนาคต การเลอื กอาชพี ของฮอพพอคเนน้ ถงึ ความส�ำ คญั ของการรจู้ กั ตนเอง อย่างแท้จรงิ ในเรอื่ งความสามารถ ความสนใจ ความถนดั ลกั ษณะนิสัย จุดเด่น จดุ ดอ้ ย เพ่ือนำ�ไปเทียบเคยี งกบั ขอ้ มลู ทางดา้ นอาชพี ซง่ึ จะชว่ ยใหบ้ คุ คลเลอื กอาชพี ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง และประสบความส�ำ เรจ็ จากทฤษฎพี ฒั นาการ ทางดา้ นอาชพี และทฤษฎกี ารเลอื กอาชพี จะเหน็ ไดว้ า่ ปจั จยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ ความสนใจในการเลอื กประกอบอาชพี อสิ ระ ของบคุ คลมีหลายปจั จัยไม่ว่าจะเป็นด้านมโนภาพแหง่ ตนซ่ึง ได้แก่ ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล ความสามารถ ความถนัด การศกึ ษา สติปญั ญา ความสัมพนั ธ์กบั เพ่อื น อารมณ์ ความพอใจ สำ�หรบั ดา้ นการตระหนักร้ใู นอาชีพ ได้แก่ สภาพแวดล้อมด้านการศกึ ษา เพศ สภาพรา่ งกาย อารมณ์ ความพอใจและวฒุ ภิ าวะ และส่วนด้านสภาพ แวดลอ้ มในสถานศึกษา ได้แก่ ประสบการณ์จากการศกึ ษา ทกั ษะจากการประกอบอาชพี ในสถานประกอบการ บุคลิกภาพความคิดสร้างสรรค์ ซ่ึงปัจจัยเหล่านี้จะเป็นองค์ประกอบที่ทำ�ให้บุคคลตัดสินใจเลือกประกอบอาชีพ อิสระและประสบความสำ�เร็จ 2.1.3 แนวคดิ และทฤษฎเี ก่ียวกับอาชพี อสิ ระ กรมอาชวี ศกึ ษา (อา้ งใน วมิ ล วรี ะพฒั น,์ 2552 : 6-9) กลา่ ววา่ อาชพี อสิ ระคลา้ ยกบั อตุ สาหกรรม ขนาดย่อม คือ อตุ สาหกรรมขนาดย่อมมคี วามหมายครอบคลมุ ถงึ การประกอบกิจการขนาดเล็กทที่ ำ�ดว้ ยตนเอง หรืออาชพี อสิ ระทีม่ ลี ักษณะเปน็ การผลติ ประกอบ บรรจุ ซ่อมบำ�รุง ทดสอบ ปรับปรุง แปรสภาพ หรือท�ำ ลาย สง่ิ ใด ๆ รวมทง้ั การบริหารประกอบกจิ การอนื่ ๆ ท่มี ักมีลกั ษณะคล้ายคลงึ กับสิ่งเหล่าน้ี กรมวชิ าการ (อา้ งใน วมิ ล วรี ะพฒั น์, 2552 : 6) ไดใ้ ห้ความหมาย อาชพี อิสระ หมายถงึ อาชพี ทีป่ ระกอบกนั เป็นธรุ กิจภายในครอบครัว ที่ตอ้ งใช้ความรหู้ รือทกั ษะทีต่ ้องผ่าน การฝึกฝนอบรมพอสมควร เช่น อาชพี ท�ำ ของท่ีระลึกด้วยวัสดทุ ี่มีในทอ้ งถนิ่ การปลูกผกั การเลีย้ งปลา และยงั หมายถึง ผู้ประกอบการขนาดย่อม ท่เี ป็นธรุ กจิ ในครอบครัว เสรมิ ศกั ดิ์ วศิ าลาภรณ์ (อา้ งใน วมิ ล วรี ะพฒั น,์ 2552 : 6) ไดใ้ หค้ วามหมายอาชพี อสิ ระ หมายถงึ เป็นอาชพี ทีส่ ามารถดำ�เนนิ การเองได้ โดยลงทนุ น้อย ใชค้ วามคดิ ใชก้ ำ�ลงั กายค่อนข้างมาก เน้นการพึ่งตนเอง คำ�วา่ อาชพี อิสระมีความหมายคลา้ ยกันกบั อาชพี ส่วนตวั ธุรกิจขนาดยอ่ ม การประกอบการขนาดยอ่ ม เปน็ ตน้ ส�ำ หรบั ในสภาวะเศรษฐกจิ ของประเทศทตี่ อ้ งขน้ึ อยกู่ บั เศรษฐกจิ ของโลก และการเปลยี่ นแปลง ตา่ ง ๆ ทางการเมือง ซงึ่ บางช่วงเวลากก็ ่อให้เกดิ ความตกตำ�่ ของเศรษฐกจิ และความผันผวนตา่ ง ๆ แตใ่ นสภาวะ กองวจิ ยั ตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 25
เชน่ นี้ พบวา่ อตุ สาหกรรมขนาดยอ่ มจะสามารถปรบั ตวั ไดด้ ดี งั ที่ สมชอบ ไวยเวช (2526) ไดก้ ลา่ วไว้ “อตุ สาหกรรม ขนาดยอ่ มเปน็ อตุ สาหกรรมทีท่ นตอ่ ภาวะเศรษฐกจิ ท่ีตกต่ำ�ไดเ้ ปน็ อย่างดีเพราะปรบั ตวั ได้ด”ี จากข้อมูลท่ีกล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าอาชีพอิสระ หมายถึง อาชีพท่ีมีขนาดของกิจการ ขนาดย่อม สามารถดำ�เนนิ การดว้ ยตนเอง โดยลงทุนนอ้ ย ใช้กำ�ลงั กายและความคิดคอ่ นขา้ งมาก เน้นการพงึ่ พา ตนเอง คำ�วา่ อาชพี อสิ ระมคี วามหมายคลา้ ยกบั อาชพี สว่ นตวั ธรุ กจิ ขนาดย่อม ซ่งึ อาศยั ความรู้ ความสามารถ ทกั ษะและเทคนคิ การจัดการให้เกิดรายได้ ซ่งึ เกิดจากการลงทุนมผี ลตอบแทนในรูปของก�ำ ไร มลี ักษณะเป็นการ ผลติ และการบรกิ าร ในการสง่ เสริมทางดา้ นอาชพี อิสระจะตอ้ งเนน้ ทางดา้ นความสามารถในการประกอบอาชีพ อสิ ระ ซึง่ การส่งเสรมิ การประกอบอาชีพอิสระให้กบั ประชาชนจงึ เปน็ ทางออกทด่ี ีในการแก้ปญั หาการว่างงาน นอกจากนนั้ ยงั ไดก้ ลา่ วถงึ ความส�ำ คญั ของอาชพี อสิ ระ คอื มคี วามส�ำ คญั ตอ่ การพฒั นาประเทศ และการจดั การศกึ ษาทเี่ ปน็ พนื้ ฐานในการพฒั นาประเทศ พรอ้ มทงั้ การพฒั นาความสามารถในการประกอบอาชพี อิสระของนักศกึ ษาช่างอตุ สาหกรรม โดยมรี ายละเอียด ดังนี้ 1) ความสำ�คัญของอาชีพอิสระ ในด้านท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนาประเทศ สรุปได้ว่า มคี วามส�ำ คญั ดังน้ี 1.1) เปน็ การสรา้ งงาน ก่อให้เกดิ การจ้างงานอันนำ�ไปสูก่ ารลดปัญหาการวา่ งงาน 1.2) เป็นการสร้างงานในชนบท ที่ทำ�ให้การย้ายถิ่นเพื่อหางานทำ�ของชาวชนบทลดลง และยงั ช่วยชกั นำ�ชาวชนบททีม่ าอยูใ่ นเมอื งให้กลบั สถู่ ิ่นฐานเดิม 1.3) เป็นการส่งเสรมิ ประชาธปิ ไตย โดยปลกู ฝังลักษณะนสิ ยั พง่ึ ตนเอง รจู้ ักการตดั สินใจ ท่ีจะปกครองตนเอง เปน็ ต้น 1.4) เปน็ การสง่ เสริมการใชท้ รัพยากรตา่ ง ๆ ของชาตใิ ห้มปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล โดยเฉพาะทรพั ยากรในท้องถิ่นนนั้ ๆ เช่น คน เงนิ ทุน วัตถดุ บิ เป็นต้น 1.5) เปน็ การลดบทบาทของเทคโนโลยรี ะดบั สงู ทมี่ รี าคาแพง ทป่ี ระเทศยากจนไมส่ ามารถ จดั หามาได้ 1.6) เป็นฐานรองรับธุรกิจและอุตสาหกรรมท่ีอาจเติบโตเป็นธุรกิจอุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ต่อไป 1.7) เปน็ การขยายความเจรญิ ความมน่ั คงและรายไดไ้ ปสปู่ ระชาชนในสว่ นภมู ภิ าคอนั จะ น�ำ มาส่คู วามมัน่ คงทางเศรษฐกิจและสงั คมของชาติตอ่ ไป 2) ความส�ำ คัญของอาชีพอิสระที่มีต่อการจดั การศกึ ษา มีดงั นี้ คอื 2.1) เป็นการส่งเสริมให้นักเรียนมีโอกาสสร้างงานและเป็นเจ้าของกิจการด้วยตนเอง ทง้ั ในขณะเรยี นและในอนาคต 2.2) เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนไดฝ้ กึ การท�ำ งานเปน็ ทมี รู้จักปรบั ตวั 2.3) เปน็ การสรา้ งทกั ษะและเจตคติท่ดี ใี นการทำ�งาน 2.4) เป็นการผอ่ นคลายความตงึ เครยี ดจากการเรียน 2.5) เปน็ การปลูกฝังคณุ ธรรมในเร่อื ง ขยนั ประหยดั อดทน ซ่ือสัตย์ 2.6) เป็นการเปดิ โอกาสให้นกั เรยี นมรี ายได้ เพอื่ ใช้ในการเรียน 2.7) เปน็ การสง่ เสริมให้นกั เรียนรู้จกั ใช้เวลาวา่ งให้เกดิ ประโยชนแ์ ก่ตนเอง 26 แนวโน้มอาชพี อสิ ระในอนาคต 3 ปี ข้างหน้า (พ.ศ. 2558 - 2560)
เฉลยี ว สุวรรณกติ ติ (อ้างใน วิมล วีระพฒั น์, 2552 : 6) กล่าวว่า อาชีพอิสระนนั้ มีความส�ำ คญั ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเพ่ือลดการว่างงาน และผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ประสบความสำ�เร็จ จะมีคุณสมบัติ เฉพาะตัว ดังน้ี 1) ต้องเปน็ คนทส่ี ามารถทนทำ�งานหนักไดเ้ กินกว่าบคุ คลปกติ 2) เป็นผทู้ ี่มีความกระตอื รอื รน้ อยเู่ สมอ 3) มีความเชือ่ มั่นในตนเองและมีความมงุ่ มั่นทีจ่ ะทำ�อะไรให้ได้ 4) ในการประกอบกิจการใด ๆ มักจะตงั้ เปา้ หมายสูงแตส่ ามารถปฏบิ ัตไิ ด้เสมอ 5) ไมเ่ บอื่ ง่าย ไม่ชอบทงิ้ อะไรกลางคันเม่ือพบอปุ สรรค 6) เหน็ คุณคา่ ของเงิน 7) มีพลังในการแกป้ ญั หาอย่างไม่เสือ่ มถอย 8) ไม่ใชค่ นเสยี่ งแบบหลบั ตาเสย่ี งและเปน็ นกั เกง็ อนาคตทีม่ ีความสามารถ 9) รู้จกั ใช้ความผิดแต่หนหลังเป็นบทเรยี น 10) รูจ้ กั ใชค้ ำ�วิพากษว์ ิจารณ์ของผ้อู นื่ ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ 11) มีความคิดริเริ่มและกล้ารบั ผดิ ชอบต่อการรเิ รมิ่ ต่าง ๆ เหลา่ น้ัน 12) รูจ้ ักใช้ทรพั ยากรทจี่ ำ�กดั ไดอ้ ยา่ งเป็นประโยชน์ 13) ในการทำ�งานชอบตง้ั เกณฑ์สูงเข้าไว้แตต่ อ้ งท�ำ ไดเ้ สมอ เสรมิ ศักด์ิ วศิ าลาภรณแ์ ละคณะ (อา้ งใน วมิ ล วรี ะพฒั น,์ 2552 : 6) ศกึ ษาเรอื่ งการประกอบ อาชีพอิสระของผู้สำ�เร็จอาชีวศึกษา พบว่า ผู้สำ�เร็จอาชีวศึกษา จะต้องมีความรู้ ความสามารถในการเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง (Self – Directed Learning) จงึ จะสง่ เสรมิ ใหป้ ระกอบอาชพี อสิ ระไดส้ �ำ เรจ็ ทงั้ นเี้ พราะเทคโนโลยกี า้ วไป เรว็ มาก สภาพเศรษฐกจิ เปลยี่ นไป คา่ นยิ มของบคุ คลกเ็ ปลย่ี นไป สง่ิ ทเี่ รยี นรจู้ ากการศกึ ษาในระบบจงึ ไมพ่ อเพยี ง ที่จะประกอบอาชีพอิสระให้มีความเจริญก้าวหน้า ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง ต้องสังเกต ต้องมีเทคนิค ในการหาขอ้ มูลและสร้างองคค์ วามรู้ใหม่ ๆ ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกยี่ วกับขนั้ ตอนในการเริม่ ประกอบอาชพี อสิ ระ เช่น การเลือกสถานที่ประกอบการ รูปแบบของธุรกิจและกฎหมายที่เก่ียวข้องกับการขายหรือบริการ เป็นต้น ความสามารถทเ่ี กดิ จากการศกึ ษาและประสบการณ์ การมคี ณุ สมบตั เิ หมาะสมกบั การประกอบอาชพี อสิ ระและการมี คณุ ลักษณะส่วนตวั ท่จี �ำ เปน็ ต่อการประกอบอาชีพอสิ ระ ยอ่ มสง่ ผลใหป้ ระสบความส�ำ เร็จในการประกอบอาชีพ อสิ ระ หากมสี ภาพแวดลอ้ มท่ีเกอื้ หนุนดว้ ย จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ อาชพี อสิ ระนน้ั มคี วามส�ำ คญั ตอ่ การพฒั นาประเทศเพราะเปน็ การ สรา้ งงาน ขยายโอกาสความเจริญ และรายไดส้ ู่ประชาชน 2.1.3.1 ความหมายและประเภทของอาชีพ 1) ความหมายของการประกอบอาชีพ ประสารทสุข นิยมราษฎร์และคณะได้ให้ความหมายไว้ว่า การประกอบอาชีพ (อ้างในกลั ป์พฤกษ์ พลศร, 2554 : 31-33) หมายถงึ งานหรอื ภาระหน้าทขี่ องมนุษย์ต้องทำ�สม่ำ�เสมอหรือประจำ� ดว้ ยความถนัด ความสนใจ ความรู้ ความสามารถ ประสบการณห์ รือการฝึกฝนจนเชี่ยวชาญโดยมผี ลตอบแทน ในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ ความพึงพอใจของบุคคลท่ีได้กระทำ�ความสำ�เร็จของตนเองและองค์การหรือกลุ่ม หรือในรูปของค่าตอบแทนท่ีเป็นเงินทองหรือส่ิงต่างตอบแทนหรือแลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกันหรือการได้รับ การยกยอ่ งมชี อ่ื เสียงและเครือข่ายเพื่อนฝูงในสังคม กองวจิ ัยตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 27
2) ประเภทของอาชีพ อาชีพสามารถแบ่งออกได้เป็นลักษณะใหญ่ ๆ ได้ 2 ลกั ษณะคือ 2.1) งานอาชพี ทท่ี �ำ ใหผ้ อู้ น่ื (Work for Others/Organization) งานอาชพี ทท่ี �ำ ให้ ผูอ้ ื่นหรือเป็นลูกจา้ ง/พนกั งาน ทำ�ให้องค์กรที่เปน็ รฐั บาลหรอื องค์กรธุรกจิ เอกชนหรือองคก์ รการกุศลสาธารณะ ต่าง ๆ เช่น องค์การช่วยเหลือผู้พิการ องค์การทหารผ่านศึก องค์กรนานาชาติ เช่น สโมสรโรตาร่ีไลออนท์ สมาคม ชมรม ฯลฯ ในการทำ�งานให้ผู้อื่นน้จี ะมีผลงานจะมผี ลตอบแทนทไี่ ด้รบั ขน้ึ อยู่กบั ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ ตำ�แหนง่ หนา้ ท่ที ่ีรบั ผิดชอบอยู่ ซ่ึงผลตอบแทนอาจจะปรากฏในรูปของค่าตอบแทน เงนิ เดือน คา่ จ้าง คา่ สมนาคุณ บตั รอภินันทนาการ โลข่ อบคุณ เกยี รตบิ ตั ร การท�ำ งานให้ผอู้ นื่ นจ้ี ะต้องผา่ นเข้าไปท�ำ ด้วย วิธกี ารตา่ ง ๆ เช่น การสมัครงาน มีการฝากให้ไปทำ�งาน การถูกเชญิ ใหไ้ ปท�ำ งานโดยภาระหน้าท่แี น่นอนชดั เจน เป็นการทำ�งานตามนโยบายขององค์กรแผนงานขององค์กรหรือทำ�ตามคำ�ส่ัง การทำ�งานให้องค์กรหรือทำ�ให้ ผู้อ่ืนนี้ บุคคลมีการเจริญเติบโตหรือความก้าวหน้าในสายงานอาชีพตามล�ำ ดับขึ้นอยู่กับระยะเวลาการทำ�งาน หรอื ความสามารถหรอื สทิ ธบิ างอย่าง 2.2) งานอาชีพอิสระ (Self–Employment) งานอาชีพอิสระนี้เป็นการทำ�งาน ทไี่ มต่ อ้ งมาสมคั รงานแตเ่ ปน็ การท�ำ งานทเ่ี กดิ จากการตดั สนิ ใจของผทู้ จ่ี ะกระท�ำ เพอ่ื ใหต้ นเองหรอื กระท�ำ ดว้ ยตนเอง เปน็ การจา้ งตนเองโดยอาศยั ปัจจัยความรคู้ วามสามารถ โอกาส จังหวะ การเรยี นรู้จากประสบการณ์ตรงในชวี ิต การฝึกฝนเพิ่มพนู พัฒนาตนเอง การลงทุนดว้ ยตนเอง อาจเปน็ ทนุ ทรพั ย์ของตนเองหรือครอบครวั หรือการกยู้ มื จากผอู้ นื่ หรอื สถาบนั การเงนิ ดว้ ยการค�ำ้ ประกนั ตนเองมกี ารบรหิ ารจดั การดว้ ยตนเองและอาจขยายกจิ การดว้ ยการ จา้ งงานผอู้ นื่ มาท�ำ งานบางอยา่ งเชน่ จา้ งลกู จา้ งเปน็ ลกู มอื กจิ การของงานอาชพี อสิ ระมขี นาดตงั้ แตเ่ ลก็ กลาง และ ขนาดใหญต่ ามความพงึ พอใจหรอื ทนุ ทรพั ยแ์ ละความสามารถของผดู้ �ำ เนนิ กจิ การนนั้ ๆ ในปจั จบุ นั การประกอบ อาชพี อสิ ระหรอื อาชพี สว่ นตวั ไดร้ บั ความสนใจยอมรบั มากขน้ึ จากประชาชนทวั่ ไปทเี่ คยท�ำ งานใหผ้ อู้ นื่ หรอื องคก์ ร อ่ืน ๆ มากอ่ น จึงได้หนั มาประกอบอาชีพอสิ ระเสรมิ รายได้จากการท�ำ งานทเี่ ป็นอาชพี หลักหรือกลมุ่ ประชาชน ที่ได้รบั ผลกระทบจากการถูกเลิกจ้าง การออกจากงาน ดว้ ยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม เช่น ออกจากงาน ตามโครงการ เกษยี ณกอ่ นอายรุ าชการ การลดก�ำ ลังคน การเลกิ กิจการ การใช้เทคโนโลยีเข้ามาทำ�งานแทนคน เป็นตน้ ตา่ งก็ หันมาประกอบอาชีพอสิ ระมากข้ึน รวมตลอดจนถึงนกั เรยี น นักศกึ ษาท่กี ำ�ลังจะจบการศึกษาหรอื จบการศกึ ษา แลว้ ไดม้ ุ่งมาใหค้ วามสนใจในการประกอบอาชพี อิสระแทนที่จะเขา้ ไปทำ�งานในแหล่งงานตา่ ง ๆ เหมอื นในอดีต 2.1.3.2 การประกอบอาชีพอิสระ 1) ประเภทของอาชพี อิสระ กรมสามญั (อา้ งใน ทวพี ร ปรชี า, 2554 : 37) ไดแ้ บง่ ประเภทการประกอบอาชพี เป็น 2 ประเภท คือ 1.1) อาชพี อิสระ โดยแบง่ เปน็ 1.1.1) อาชพี ผผู้ ลติ ไดแ้ ก่ อาชพี ทผ่ี ดู้ �ำ เนนิ กจิ การผลติ ชนิ้ งานเพอื่ จ�ำ หนา่ ย เช่น งานประดิษฐ์ผลติ ภณั ฑ์เครอื่ งใช้ เครอ่ื งปน้ั ดินเผา ผลติ ผลทางการเกษตร เป็นต้น 1.1.2) อาชพี บรกิ าร ไดแ้ ก่ อาชพี ทผ่ี ดู้ �ำ เนนิ การไดเ้ ออ้ื อ�ำ นวยความสะดวก หรือให้บริการแกผ่ ้บู รโิ ภค เช่น ชา่ งซอ่ มวิทยุ โทรทัศน์ แม่คา้ ชา่ งตดั ผม ช่างเสรมิ สวย เปน็ ตน้ 1.2) อาชพี รบั จา้ ง หมายถงึ อาชพี ใดกต็ ามทผ่ี ปู้ ระกอบอาชพี ไมไ่ ดเ้ ปน็ ผปู้ ระกอบ กิจการเอง แต่ทำ�งานภายใต้ระบบหรือข้อกำ�หนดของหน่วยงาน หรือนายจ้างที่ตนสังกัดอยู่ เช่น ข้าราชการ ลกู จ้างรัฐวิสาหกิจ พนักงานหา้ งร้าน บริษทั ฯลฯ เป็นต้น 28 แนวโน้มอาชีพอิสระในอนาคต 3 ปี ขา้ งหน้า (พ.ศ. 2558 - 2560)
เน่ืองจากการประกอบอาชีพอิสระ เป็นอาชีพที่ผู้ประกอบการต้องดำ�เนินกิจการ ดว้ ยตนเองเพราะเหตผุ ลและความจ�ำ เปน็ ทแ่ี ตกตา่ งกนั หลายประการตามระดบั ความสามารถแตล่ ะบคุ คล ดงั นนั้ ผ้ทู ่ปี ระกอบอาชพี อสิ ระจงึ ควรมคี ุณลักษณะทเ่ี หมาะสมและสอดคล้องกับอาชพี ทต่ี นตัดสนิ ใจเลือก ดนัย เทยี นพฒุ (อา้ งในทวีพร ปรีชา, 2554 : 37) กล่าวว่าคณุ ลกั ษณะของธรุ กิจ ขนาดย่อม หรือการประกอบอาชีพอิสระ มีดงั น้ี 1) การบริหารงานต้องเป็นอิสระไม่มีบริษัทอื่นมาควบคุม เจ้าของต้องเป็น ผู้บริหารเอง 2) บุคคลคนเดียวหรอื กลุ่มเลก็ ๆ เพยี งกล่มุ เดียวหาทุนและเปน็ ผ้บู รหิ ารเอง 3) การด�ำ เนนิ งานกด็ พี นกั งาน และเจา้ ของกด็ ี มกั อาศยั อยใู่ นชมุ ชนเดยี วกนั ตลาด หรือลกู ค้าอาจอยูน่ อกชุมชนนัน้ 4) ธรุ กจิ ตอ้ งเปน็ ธรุ กจิ ขนาดเลก็ เมอ่ื เทยี บกบั ธรุ กจิ ขนาดใหญท่ ส่ี ดุ ในประเภทเดยี วกนั การเป็นผูป้ ระกอบอาชีพอสิ ระ จำ�เป็นต้องมคี ุณสมบตั ติ ่าง ๆ เพ่อื จะไดเ้ ปน็ ผู้ประกอบการทีม่ ีคุณภาพ ไดแ้ ก่ 4.1) กลา้ เสย่ี ง (Taking risk) อาชีพอิสระเป็นการประกอบธุรกจิ ส่วนตัว จึงต้อง มีการลงทุน ในขณะท่ีถ้าเป็นลูกจ้างไม่ต้องลงทุนอะไร ซึ่งการลงทุนย่อมมีความเส่ียง เพราะไม่รู้ว่าผลลัพธ์ จะออกมาอยา่ งไร ดงั นนั้ กอ่ นทจี่ ะตกลงใจประกอบอาชพี ใด จงึ ตอ้ งพจิ ารณา วเิ คราะหแ์ ละไตรต่ รองอยา่ งดเี สยี กอ่ น 4.2) มีความคิดสร้างสรรค์ (Taking initiative) การประกอบอาชีพอิสระมิได้ ยึดติดกับรูปแบบใด ๆ เน่อื งจากผ้ปู ระกอบอาชีพอิสระตอ้ งเป็นนายของตนเอง ดงั น้นั ในการปรบั ปรุงสินค้าหรือ บริการสามารถทำ�ได้อย่างมีอสิ ระ เพ่อื ให้ไดม้ าซึง่ กำ�ไรในการด�ำ เนินธรุ กจิ 4.3) มคี วามเชอ่ื มน่ั ในตนเอง (Self – Confidence) ธรุ กจิ แตล่ ะประเภทตอ้ งการ การตดั สนิ ใจทแี่ ตกตา่ งกนั ผปู้ ระกอบอาชพี อสิ ระจงึ ตอ้ งเปน็ ผทู้ มี่ คี วามเชอ่ื มนั่ ในตนเอง ในภาวะการทตี่ ลาดมกี าร เปลย่ี นแปลงอยูต่ ลอดเวลา ธรุ กจิ บางประเภทสามารถสวนกระแสเศรษฐกจิ โดยรวมได้ ดังนั้น ผปู้ ระกอบอาชีพ อิสระจึงต้องมีความมั่นใจ เพื่อจะได้พาธุรกิจของตนให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ได้ ดังนั้น ถ้าไตร่ตรองดีแล้ว วา่ จะท�ำ อะไร เมื่อไร เวลาใด จงท�ำ ทนั ที 4.4) อดทน ไมท่ อ้ ถอย (Persistence and dealing with failure) การประกอบ อาชพี ทกุ อยา่ งยอ่ มมที งั้ ก�ำ ไรและขาดทนุ โดยเฉพาะเมอื่ เรม่ิ ประกอบการใหม่ ๆ จะตอ้ งประสบปญั หาและอปุ สรรค บา้ ง ซง่ึ ถอื วา่ เปน็ เรอื่ งธรรมดา ผปู้ ระกอบอาชพี จงึ ตอ้ งพรอ้ มทจ่ี ะรบั ขอ้ ผดิ พลาดและน�ำ มาแกไ้ ขดว้ ยความอดทน ไมท่ ้อแทท้ อ้ ถอย 4.5) มีวินัยในตนเอง (Having discipline) การประสบความสำ�เร็จในอาชีพ ซงึ่ เราเปน็ เจา้ ของกจิ การเอง จ�ำ เปน็ จะตอ้ งมวี นิ ยั มกี ฎระเบยี บ การท�ำ งานตอ้ งสม�่ำ เสมอ ถา้ ขาดวนิ ยั การประกอบ อาชพี กอ็ าจไมป่ ระสบผลส�ำ เรจ็ การเปน็ ผมู้ วี นิ ยั นบั เปน็ สง่ิ ส�ำ คญั ส�ำ หรบั ผปู้ ระกอบอาชพี ทกุ ประเภท เพราะวนิ ยั จะเปน็ สงิ่ ทค่ี อยก�ำ หนดใหผ้ ปู้ ระกอบการปฏบิ ตั งิ านตามแผนงานทไี่ ดว้ างไว้ ถา้ ผปู้ ระกอบการขาดวนิ ยั ธรุ กจิ ยอ่ ม จะต้องประสบกับการขาดทนุ และล้มเหลวไปในท่สี ุด 4.6) มที ศั นคตทิ ดี่ ตี อ่ อาชพี (Good attitude) ไมว่ า่ งานนน้ั จะเปน็ งานทมี่ เี กยี รติ หรือไม่ ผปู้ ระกอบอาชพี อิสระจะต้องรกั ในงานที่ทำ� และให้เกยี รติกับงานน้ัน ๆ เสมอ 4.7) มคี วามรอบรู้ (Seeking information) การประกอบอาชพี อสิ ระจะตอ้ งรบั รู้ ขา่ วสารอยเู่ สมอ เพอื่ ปรบั ตวั ใหท้ นั ตอ่ การเปลยี่ นแปลงของโลก ซง่ึ เปลย่ี นแปลงไปเรว็ มาก ประโยชนข์ องการรบั รู้ ข่าวสารจะท�ำ ให้สามารถปรบั ปรุงธรุ กิจของตนเองใหท้ นั สมยั อยู่ตลอดเวลา ผลที่ไดก้ ็คอื ก�ำ ไร กองวิจัยตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน 29
4.8) มีมนุษย์สมั พนั ธ์ (Good human relationship) การประกอบอาชีพอิสระ จะต้องเป็นผู้มีมนุษย์สัมพันธ์อันดีเพื่อผลประโยชน์ในธุรกิจของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า บุคคลรอบข้าง หรือ คแู่ ขง่ ขนั กต็ าม เพราะการมมี นษุ ย์สัมพนั ธ์อันดีจะท�ำ ใหม้ คี วามคล่องตัวในการด�ำ เนินงานเป็นอยา่ งยิ่ง 4.9) มีความซื่อสัตย์ (Honesty with customer) ผู้ประกอบอาชีพอิสระ จะตอ้ งมคี วามซอ่ื สตั ยแ์ ละจรงิ ใจตอ่ ลกู คา้ การบรกิ ารลกู คา้ ใหเ้ กดิ ความประทบั ใจในการขายสนิ คา้ หรอื บรกิ ารและ กลับมาใชบ้ ริการอีกเป็นหัวใจสงู สดุ เพอ่ื ผลประโยชนต์ ่อธุรกจิ และต่อตัวเองในท่สี ุด 4.10) มีความรู้พื้นฐานในการเร่ิมท�ำ ธุรกิจการท่ีจะทำ�อะไรสักอย่างหนึ่งเราควร ไดร้ จู้ กั สง่ิ ทจ่ี ะท�ำ อยา่ งนอ้ ยใหร้ วู้ า่ ท�ำ จากอะไร ซอ้ื วตั ถดุ บิ จากไหน ตลาดอยแู่ หลง่ ใด และ หากตอ้ งการทราบขอ้ มลู เพิ่มเตมิ จะหาไดจ้ ากทีไ่ หน 4.11) มกี ารพฒั นาตนเอง ใหม้ คี ณุ ลกั ษณะเหมาะสมกบั การประกอบอาชพี อสิ ระ เมอื่ มคี วามรพู้ น้ื ฐานในการประกอบอาชพี แลว้ กค็ วรไดม้ กี ารศกึ ษาอบรมเพอ่ื พฒั นารปู แบบของสนิ คา้ หรอื บรกิ าร อกี ทงั้ ยงั ตอ้ งพฒั นาตนเองให้มคี ณุ ลักษณะเหมาะสมกบั การประกอบอาชพี นัน้ ๆ เช่น หากเปน็ ช่างเสรมิ สวยก็ ตอ้ งพฒั นาตนเองใหด้ สู วยงาม เมอ่ื ลกู คา้ เห็นได้ดนู ่าเชื่อถอื หรือหากเลอื กที่จะขายอาหาร ผู้ขายกค็ วรแต่งตัวให้ ดสู ะอาด ไมส่ บู บุหรี่ขณะทำ�อาหาร เป็นตน้ สิ่งท่ีสำ�คัญที่เชื่อถือได้ว่าการประกอบอาชีพอิสระจะประสบผลสำ�เร็จควรมีความ สามารถดา้ นเทคนคิ ความคดิ รเิ รมิ่ บคุ ลกิ ภาพ ความเฉลยี วฉลาด ลกั ษณะเปน็ ผนู้ �ำ ความกลา้ หาญ ความรบั ผดิ ชอบ ความเชอ่ื มน่ั ในตนเอง ความสามารถในการตดิ ตอ่ สอื่ สาร การสรา้ งสรรค์ ความซอื่ สตั ยแ์ ละมคี วามมนั่ คงทางอารมณ์ 2.1.3.3 ปัจจยั หลักทส่ี �ำ คญั กอ่ นเร่ิมการประกอบอาชพี อิสระ 1) ปจั จัยแรก คือ ทนุ ทุน คือสิ่งที่จะเป็นปัจจัยพื้นฐานของการประกอบอาชีพ โดยจะต้องวางแผน แนวทางการดำ�เนินธุรกิจไว้ล่วงหน้าเพ่ือให้ทราบว่าจะต้องใช้เงินทุนประมาณเท่าไร แล้วพิจารณาว่ามีเงินทุน เพยี งพอหรอื ไม่ ถา้ ไมพ่ อจะหาแหลง่ เงนิ ทนุ จากทใี่ ด อาจไดจ้ ากการรวมหนุ้ ลงทนุ กนั ในหมญู่ าตพิ น่ี อ้ งและเพอื่ นฝงู หรอื การก้ยู ืมจากหนว่ ยราชการ หรือสถาบันการเงินตา่ ง ๆ อยา่ งไรก็ตาม ในระยะแรกไม่ควรลงทุนมากเกนิ ไป เน่อื งจากยงั ไมท่ ราบความตอ้ งการของตลาดที่แทจ้ รงิ 2) ปจั จัยทส่ี อง คอื ความรู้ ความรู้ หมายถึง ความรู้ ในงานอาชีพที่จะมาประกอบอาชีพหากไม่มีความรู้ เพยี งพอตอ้ งศกึ ษาและฝกึ ฝนขวนขวายหาความรู้ โดยการเรยี นจากสถาบนั ทใ่ี หค้ วามรดู้ า้ นอาชพี ซง่ึ มที ง้ั ของรฐั บาล และเอกชน หรอื สมคั รเรยี นกบั ชมรมตา่ ง ๆ หรอื ท�ำ งานเปน็ ลกู จา้ งคนอน่ื หรอื ทดลองปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเอง เพอ่ื ใหม้ คี วามรู้ เกิดทักษะ ความช�ำ นาญ และประสบการณใ์ นการประกอบอาชีพนัน้ ๆ 3) ปัจจยั ท่ีสาม คอื การจดั การ การจดั การ เป็นความสามารถในการบริหารงานของแต่ละบุคคลในการจัดการ เก่ียวกับอาชีพของตนเอง เป็นส่วนที่เก่ียวข้องกับการวางแผน การทำ�งานในเร่ืองคน เงิน เครื่องมือ เครื่องใช้ และกระบวนการทำ�งานต่าง ๆ 30 แนวโนม้ อาชพี อสิ ระในอนาคต 3 ปี ขา้ งหนา้ (พ.ศ. 2558 - 2560)
4) ปัจจัยทส่ี ่ี คอื การตลาด การตลาด เป็นปัจจัยท่ีสำ�คัญอีกปัจจัยหน่ึง เพราะหากสินค้าและบริการ ทีผ่ ลิตขน้ึ ไมเ่ ปน็ ที่ตดิ หู ติดตาของผ้บู ริโภค ก็ถอื ว่ากระบวนการทงั้ ระบบไม่ประสบผลสำ�เร็จ เน่อื งจากไม่สามารถ แปรสินคา้ และบริการเหลา่ นั้นใหเ้ ป็นตวั เงินได้ ดงั นนั้ การวางแผนการตลาด ซง่ึ ในปจั จุบนั มกี ารแขง่ ขนั สงู จงึ ควร ได้รบั การสนใจในการพัฒนาเทคนคิ ดา้ นต่าง ๆ ใหท้ นั สมัย เพื่อให้เป็นทีส่ นใจของกลุม่ เป้าหมาย 2.1.3.4 อุปสรรคในการประกอบอาชพี อิสระพอจ�ำ แนกได้ 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ 1) อุปสรรคภายใน ได้แก่ ตัวบุคคลเอง เช่น ขาดความรู้ท่ีจะประกอบอาชีพ เรยี กวา่ ท�ำ มาหากนิ ไมเ่ ปน็ ขาดการกระตอื รอื รน้ ทจี่ ะประกอบอาชพี ดว้ ยตวั เอง ซงึ่ คณุ สมบตั เิ ฉพาะของผปู้ ระกอบ อาชีพอสิ ระที่จะประสบความส�ำ เรจ็ จ�ำ เปน็ จะต้องมคี ุณลักษณะ ดังน้ี 1.1) ตอ้ งเปน็ คนท่ีสามารถทนทำ�งานหนักไดเ้ กนิ กวา่ บุคคลปกติ 1.2) เปน็ ผูท้ ี่มีความกระตือรอื ร้นอยูเ่ สมอ 1.3) มคี วามเช่ือมั่นในตัวเองและมคี วามมงุ่ มัน่ ทีจ่ ะทำ�อะไรให้ได้ 1.4) ในการประกอบกจิ การใด ๆ มักจะต้งั เป้าหมายสงู (แตส่ ามารถปฏิบตั ไิ ด)้ 1.5) ไม่เบือ่ งา่ ยไมช่ อบทิง้ อะไรกลางคันเม่ือพบอปุ สรรค 1.6) เห็นคุณคา่ ของเงิน 1.7) มพี ลงั ในการแก้ปญั หาอย่างไม่เส่ือมคลาย 1.8) ควรเส่ยี งอยา่ งมีเหตุผล 1.9) รจู้ ักใชค้ วามผดิ แตห่ นหลงั เปน็ บทเรียน 1.10) รูจ้ กั ใช้คำ�วิพากษ์วิจารณข์ องคนอ่ืนให้เปน็ ประโยชน์ 1.11) มคี วามคิดรเิ ร่มิ และกล้าทจ่ี ะรับผิดชอบตอ่ ความคิดรเิ รมิ่ น้ัน 1.12) รจู้ กั ใช้ทรพั ยากรทีม่ อี ยู่อยา่ งจำ�กดั ให้มปี ระโยชนใ์ ห้มากท่ีสดุ 1.13) ในการท�ำ งานตอ้ งต้ังเกณฑ์สูงสุดเข้าไวแ้ ละตอ้ งทำ�ให้ได้เสมอ 2) อุปสรรคภายนอก ได้แก่ องค์ประกอบที่จะช่วยส่งเสริมอำ�นวยความสะดวก พื้นฐานของผู้อยากประกอบอาชีพอิสระ ได้แก่ ปัจจัยพื้นฐานของการประกอบการ คือ เงินทุน การตลาด แหลง่ วัตถุดิบ และการแข่งขัน 2.2 แนวคิดและทฤษฎเี กี่ยวกบั ตลาด ทฤษฎีสว่ นประสมทางการตลาด (Marketing Mix หรอื 4Ps) ส่วนประสมทางการตลาด หมายถึง ตัวแปรทางการตลาดท่ีควบคุมได้ ซึ่งบริษัท ใช้ร่วมกันเพื่อ ตอบสนองความพึงพอใจแก่กลุ่มเป้าหมาย (Etzel, Michael J, Bruce J. Walker and William J. Stanton. Marketing. 13thed. Boston : Mcgraw–Hill,Inc., 2004) เคร่อื งมอื การตลาดมี 4 ประการ ประกอบดว้ ย ผลิตภณั ฑ์ ราคา การจัดจ�ำ หน่าย และการส่งเสรมิ การตลาด ซ่ึงเรยี กว่า 4P’s ดงั ภาพ (อา้ งในทัศนา หงสม์ า, 2555 : 34-38) กองวจิ ยั ตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน 31
ภาพประกอบ แสดงส่วนประสมทางการตลาด ทีม่ า : Kotler, Philip. Marketing Management. 11th ed. New Jersey : Prentice–Hall, Inc., 2003 ประกอบด้วยเครือ่ งมอื ต่อไปน้ี (Etzel, Michael J, Bruce J. Walker and William J. Stanton.Marketing. 13th ed. Boston :Mcgraw–Hill,Inc., 2004) 1. ผลติ ภัณฑ์ หมายถึง ส่ิงที่เสนอขายโดยธรุ กจิ เพื่อตอบสนองความจ�ำ เป็น หรอื ความต้องการของลูกคา้ ให้เกิดความพึงพอใจ ประกอบดว้ ย ส่งิ ทสี่ มั ผสั ได้ และสมั ผสั ไม่ได้ เชน่ บรรจภุ ัณฑ์ สี ราคา คณุ ภาพ ตราสินค้า บรกิ าร และชือ่ เสยี งของผูข้ าย (Etzel, Michael J, Bruce J. Walker and William J. Stanton.Marketing. 13th ed. Boston : Mcgraw–Hill,Inc., 2004 : G-10) ผลติ ภณั ฑ์ ทเ่ี สนอขายอาจจะมตี ัวตนหรือไม่มตี วั ตนกไ็ ด้ ผลิตภัณฑ์ จงึ ประกอบด้วย สนิ คา้ บริการ ความคดิ สถานที่ องค์กร หรือบุคคล ผลิตภณั ฑ์ต้องมอี รรถประโยชนแ์ ละมีคุณค่า ในสายตาของลูกค้าจึงจะมีผลทำ�ให้ผลิตภัณฑ์สามารถขายได้ การกำ�หนดกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ต้องพยายาม ค�ำ นงึ ถึงปัจจัยตอ่ ไปนี้ (1) ความแตกตา่ งของผลติ ภัณฑแ์ ละหรือความแตกต่างทางการแขง่ ขนั (2) องคป์ ระกอบ (คณุ สมบตั )ิ ของผลติ ภณั ฑ์ เชน่ ประโยชนพ์ น้ื ฐาน รปู ลกั ษณ์ คณุ ภาพ การบรรจภุ ณั ฑ์ ตราสนิ คา้ ฯลฯ (3) การก�ำ หนด ตำ�แหน่งผลิตภัณฑ์เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพ่ือแสดงตำ�แหน่งท่ีแตกต่างและมีคุณค่าในจิตใจ ของลูกค้าเป้าหมาย (4) การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพ่ือให้ผลิตภัณฑ์มีลักษณะใหม่และดีขึ้น ซึ่งจะต้องคำ�นึงถึง ความสามารถในการตอบสนองความตอ้ งการของลกู คา้ ไดด้ ียงิ่ ขนึ้ (5) กลยุทธ์เกยี่ วกับส่วนประสมผลติ ภณั ฑแ์ ละ สายผลิตภณั ฑ์ 2. ราคา หมายถึง จ�ำ นวนเงนิ หรือสิ่งอ่นื ๆ ที่มีความจำ�เป็นตอ้ งจ่ายเพอื่ ใหไ้ ด้ผลิตภัณฑ์ (Etzel, Michael J, Bruce J. Walker and William J. Stanton.Marketing. 13th ed. Boston :Mcgraw–Hill,Inc., 2004 : G-10) หมายถึง คุณค่าผลิตภัณฑ์ในรูปตัวเงิน ราคาเป็นหน่ึงในส่วนประสมทางการตลาด ราคาเป็นต้นทุนของลูกค้า ผบู้ รโิ ภคจะเปรยี บเทยี บระหวา่ งคณุ คา่ ของผลติ ภณั ฑก์ บั ราคาของผลติ ภณั ฑน์ น้ั ถา้ คณุ คา่ สงู กวา่ ราคา ผบู้ รโิ ภคกจ็ ะ ตัดสนิ ใจซอ้ื ดังนั้น ผู้กำ�หนดกลยทุ ธ์ดา้ นราคาต้องคำ�นึงถึง (1) คณุ ค่า ทร่ี บั รใู้ นสายตาของลกู ค้าซ่ึงตอ้ งพิจารณา การยอมรบั ของลกู คา้ ในคณุ คา่ ของผลติ ภณั ฑว์ า่ สงู กวา่ ราคาผลติ ภณั ฑน์ นั้ (2) ตน้ ทนุ สนิ คา้ และคา่ ใชจ้ า่ ยทเี่ กย่ี วขอ้ ง (3) การแข่งขัน (4) ปัจจยั อน่ื ๆ 3. การจัดจำ�หนา่ ย หมายถงึ โครงสร้างของช่องทาง ซ่งึ ประกอบด้วย สถาบันและกจิ กรรมใชเ้ พื่อเคลอื่ น ย้ายผลิตภัณฑ์และบริการจากองค์การไปยังตลาด สถาบันท่ีนำ�ผลิตภัณฑ์ ออกสู่ตลาดเป้าหมาย คือ สถาบัน การตลาด ส่วนกิจกรรมท่ชี ่วยในการกระจายตัวสนิ ค้า ประกอบดว้ ยการขนสง่ การคลังสินคา้ และการเก็บรักษา สนิ ค้าคงคลัง ดงั นั้น การจดั จำ�หน่าย จึงประกอบดว้ ย 2 ส่วน ดงั นี้ 32 แนวโนม้ อาชพี อสิ ระในอนาคต 3 ปี ข้างหน้า (พ.ศ. 2558 - 2560)
1) ชอ่ งทางการจัดจำ�หน่าย หมายถงึ กลุม่ ของบคุ คลหรือธรุ กิจทีม่ ีความเกย่ี วข้องกับการเคลอ่ื นย้าย กรรมสิทธ์ิในผลิตภัณฑ์ หรือเป็นการเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคหรือผู้ใช้ทางธุรกิจ (Etzel, Michael J, Bruce J. Walker and William J. Stanton. Marketing. 13th ed. Boston : Mcgraw–Hill,Inc., 2004 : G-4) หรือหมายถึง เส้นทางที่ผลิตภัณฑ์และหรือกรรมสิทธ์ิ ท่ีผลิตภัณฑ์ถูกเปลี่ยนมือไปยังตลาด ในระบบ ชอ่ งทางการจดั จ�ำ หนา่ ย ประกอบดว้ ย ผผู้ ลติ คนกลาง ผบู้ รโิ ภคหรอื ผใู้ ชท้ างอตุ สาหกรรม ซง่ึ อาจจะใชช้ อ่ งทางตรง จากผผู้ ลติ ไปยังผูบ้ รโิ ภคหรอื ผใู้ ชท้ างอตุ สาหกรรมและใชช้ ่องทางอ้อมจากผ้ผู ลิตผา่ นคนกลางไปยงั ผู้บรโิ ภคหรือ ผใู้ ชท้ างอตุ สาหกรรม 2) การกระจายตัวสินค้าหรือการสนับสนุนการกระจายตัวสินค้าสู่ตลาด หมายถึงงานท่ีเก่ียวข้องกับ การวางแผน การปฏิบัตกิ ารตามแผนและการควบคุมการเคล่ือนยา้ ยวัตถดุ ิบ ปจั จัยการผลติ และสินค้าสำ�เร็จรปู จากจดุ เรม่ิ ตน้ ไปยงั จดุ สดุ ทา้ ยในการบรโิ ภคเพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการของลกู คา้ โดยมงุ่ หวงั ก�ำ ไร (Kotler, Phillip and Gary Armstrong.Principles of Marketing. 10th ed. New Jersey : Prentice–Hall, Inc., 2004 : G-6) หรือ หมายถึง กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเคล่ือนย้ายตัวผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคหรือผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม การกระจายตวั สนิ คา้ ทส่ี �ำ คญั มี ดงั นี้ (1) การขนสง่ (2) การเกบ็ รกั ษาสนิ คา้ และการคลงั สนิ คา้ (3) การบรหิ ารสนิ คา้ คงคลัง 4. การส่งเสริมการตลาดเป็นเคร่ืองมือการสื่อสารเพ่ือสร้างความพึงพอใจต่อตราสินค้าบริการ ความคิด หรือบุคคล โดยใช้เพ่ือจูงใจให้เกิดความต้องการและเตือนความทรงจำ�ในผลิตภัณฑ์โดยคาดว่าจะมีอิทธิพล ตอ่ ความรสู้ ึก ความเชือ่ และพฤตกิ รรมการซื้อของผบู้ ริโภคและผขู้ าย (Etzel, Michael J, Bruce J. Walker and William J. Stanton. Marketing. 13th ed. Boston : Mcgraw–Hill,Inc., 2004 : G-10) หรือเปน็ การตดิ ตอ่ สอื่ สาร เกย่ี วกบั ขอ้ มลู ระหวา่ งผขู้ ายกบั ผซู้ อื้ เพอ่ื สรา้ งทศั นคตแิ ละพฤตกิ รรมการซอ้ื การตดิ ตอ่ สอื่ สารอาจใชพ้ นกั งานขาย ทำ�การขาย และการตดิ ต่อสื่อสารโดยไมใ่ ชค้ น เครอ่ื งมือในการตดิ ตอ่ ส่อื สารมีหลายประการ องค์การอาจเลือก ใช้หน่ึงหรือหลายเครื่องมือ ซึ่งต้องใช้หลักการเลือกใช้เครื่องมือการสื่อสารการตลาดแบบประสมประสานกัน โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมกับลูกค้าผลิตภัณฑ์และคู่แข่งขันโดยบรรลุจุดมุ่งหมายร่วมกันได้ เคร่ืองมือ การส่งเสรมิ การตลาดทส่ี �ำ คัญมี ดงั น้ี 1) การโฆษณา เป็นกิจกรรมในการเสนอข่าวสารเก่ียวกับองค์การและหรือผลิตภัณฑ์ บริการหรือ ความคิดท่ตี อ้ งมีการจ่ายเงนิ โดยผ้อู ปุ ถัมภ์รายการ กลยทุ ธใ์ นการโฆษณาจะเกี่ยวข้องกับ (1) กลยทุ ธ์การสรา้ งสรรค์งานโฆษณาและยทุ ธวิธีการโฆษณา (2) กลยทุ ธส์ ่ือ 2) การสง่ เสรมิ การขาย เปน็ สงิ่ จงู ใจทม่ี คี ณุ คา่ พเิ ศษทก่ี ระตนุ้ หนว่ ยงานขาย ผจู้ ดั จ�ำ หนา่ ยหรอื ผบู้ รโิ ภค คนสดุ ทา้ ยโดยมจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ใหเ้ กดิ การขายในทนั ทที นั ใด เปน็ เครอ่ื งมอื กระตนุ้ ความตอ้ งการซอ้ื ทใ่ี ชส้ นบั สนนุ การโฆษณาและการขายโดยใช้พนักงานขาย ซ่ึงสามารถกระตุ้นความสนใจการทดลองใช้หรือการซื้อโดยลูกค้า คนสดุ ทา้ ยหรอื บคุ คลอนื่ ในชอ่ งทางการจดั จ�ำ หนา่ ย การสง่ เสรมิ การขายมี 3 รปู แบบ คอื (1) การกระตนุ้ ผบู้ รโิ ภค เรยี กว่า การส่งเสรมิ การขายทมี่ ุ่งส่ผู ู้บรโิ ภค (2) การกระตุ้นคนกลาง เรยี กวา่ การส่งเสรมิ การขายทีม่ ่งุ สคู่ นกลาง (3) การกระตุ้นพนกั งานขายเรียกวา่ การสง่ เสริมการขายท่ีมุง่ สู่พนกั งานขาย 3) การประชาสัมพันธ์ เป็นความพยายามในการสื่อสารท่ีมีการวางแผน โดยองค์การหนึ่งเพ่ือสร้าง ทัศนคติท่ีดีต่อองค์การต่อผลิตภัณฑ์หรือต่อนโยบายให้เกิดกับกลุ่มใด กลุ่มหน่ึง มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมหรือ ป้องกนั ภาพพจน์หรอื ผลิตภณั ฑข์ องบริษัท กองวจิ ยั ตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน 33
4) การตลาดทางตรง เปน็ การโฆษณาเพอ่ื ให้เกิดการตอบสนองโดยตรงและการตลาดเชือ่ มตรงหรอื การโฆษณาเชื่อมตรง มคี วามหมายดงั นี้ (1) การตลาดทางตรงเปน็ การตดิ ต่อสอื่ สารกบั กลมุ่ เป้าหมายเพอื่ ให้เกิด การตอบสนองโดยตรงหรือหมายถึงวธิ กี ารต่าง ๆ ทนี่ ักการตลาดใชส้ ง่ เสริมผลติ ภณั ฑโ์ ดยตรงกับผู้ซอื้ และท�ำ ให้ เกดิ การตอบสนองในทนั ที ทง้ั นต้ี อ้ งอาศยั ฐานขอ้ มลู ลกู คา้ และการใชส้ อื่ ตา่ ง ๆ เพอ่ื สอ่ื สารโดยตรงกบั ลกู คา้ เชน่ ใช้ส่อื โฆษณา และแคตตาลอ็ ก (2) การโฆษณาเพื่อใหเ้ กดิ การตอบสนองโดยตรงเป็นข่าวสารการโฆษณาซง่ึ ถาม ผอู้ ่าน ผรู้ ับฟงั หรือผชู้ ม ให้เกดิ การตอบสนองกลับโดยตรงไปยงั ผู้สง่ ขา่ วสารซง่ึ อาจจะใช้จดหมายตรงหรอื สอ่ื อน่ื เชน่ นิตยสาร วิทยุ โทรทศั น์ หรอื ป้ายโฆษณา (3) การตลาดเช่ือมตรงหรอื การโฆษณาเชอื่ มตรงหรือการตลาด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นการโฆษณาผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ต เพื่อส่ือสารส่งเสริม และขายผลติ ภณั ฑห์ รอื บริการโดยมงุ่ หวังผลก�ำ ไรและการคา้ เคร่อื งมือที่ส�ำ คญั ในข้อนีป้ ระกอบดว้ ย (1) การขาย ทางโทรศัพท์ (2) การขายโดยใช้จดหมายตรง (3) การขายโดยใชแ้ คตตาลอ็ ก (4) การขายทางโทรทัศน์ วทิ ยุ หรอื หนงั สอื พมิ พ์ ซง่ึ จงู ใจใหล้ กู คา้ มกี จิ กรรมการตอบสนองการขาย โดยใชพ้ นกั งานขายเปน็ การสอ่ื สารระหวา่ งบคุ คล กบั บคุ คลเพ่ือพยายามจงู ใจผู้ซ้อื ท่เี ปน็ กลุ่มเป้าหมายให้ซื้อผลิตภณั ฑ์หรอื บริการหรอื มปี ฏกิ ิรยิ าตอ่ ความคิดหรอื เป็นการเสนอขายโดยหน่วยงานขายเพื่อให้เกิดการขายและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า งานในด้านน้ี จะเกยี่ วขอ้ งกับ (1) กลยุทธ์การขายโดยใช้พนกั งานขาย (2) การบรหิ ารหนว่ ยงานขาย สว่ นประสมทางการตลาด (Marketing Mix หรือ 4Ps) หมายถงึ ตัวแปรทางการตลาดท่คี วบคมุ ได้ ซึง่ ใช้ ร่วมกันเพอ่ื สนองความพึงพอใจแก่กลมุ่ เปา้ หมายประกอบด้วย (ศริ วิ รรณ เสรีรตั น์ และคณะ, 2541 : 33) 1. ผลติ ภัณฑ์ (Product) หมายถงึ สิ่งทีเ่ สนอขายโดยธุรกจิ เพอ่ื สนองความต้องการของลูกค้าใหพ้ งึ พอใจ ผลติ ภัณฑ์ท่เี สนอขายอาจมตี ัวตนหรอื ไม่มตี วั ตนกไ็ ด้ ผลติ ภณั ฑจ์ ึงประกอบด้วยสินค้า บรกิ าร ความคดิ สถานที่ องคก์ ร หรอื บคุ คล ผลติ ภณั ฑต์ อ้ งมอี รรถประโยชนม์ คี ณุ คา่ ในสายตาของลกู คา้ จงึ จะมผี ลท�ำ ใหผ้ ลติ ภณั ฑส์ ามารถ ขายได้ 2. ราคา (Price) หมายถงึ คณุ คา่ ผลติ ภณั ฑใ์ นรปู ตวั เงนิ ราคา เปน็ ตน้ ทนุ ของลกู คา้ ผบู้ รโิ ภคจะเปรยี บเทยี บ ระหว่างคุณคา่ (Value) ผลติ ภัณฑก์ ับราคา (Price) ผลติ ภัณฑ์น้ันถ้าคณุ คา่ สูงกวา่ ราคาเขากจ็ ะตดั สนิ ใจซ้ือ ดังนั้น ผกู้ �ำ หนดกลยทุ ธด์ า้ นราคาตอ้ งค�ำ นงึ ถงึ คณุ คา่ ทร่ี บั รู้ (Perceived value) ในสายตาของลกู คา้ ซง่ึ ตอ้ งพจิ ารณาวา่ การ ยอมรบั ของลกู ค้าในคณุ คา่ ของผลิตภัณฑว์ ่าสูงกวา่ ราคาผลิตภัณฑ์นั้น 3. การจัดจำ�หน่าย (Place) หมายถึง โครงสร้างของช่องทาง ซึ่งประกอบด้วย สถาบันและกิจกรรม ใชเ้ พอื่ เคลอื่ นยา้ ยผลติ ภณั ฑแ์ ละบรกิ ารจากองคก์ ารไปยงั ตลาด สถาบนั ทนี่ �ำ ผลติ ภณั ฑอ์ อกสตู่ ลาดเปา้ หมาย คอื สถาบันการตลาด ส่วนกิจกรรมท่ีชว่ ยในการกระจายสนิ ค้าประกอบดว้ ย การขนสง่ การคลงั สนิ คา้ และการเกบ็ สินค้าคงคลัง ดงั นน้ั การจดั จำ�หน่าย จงึ ประกอบดว้ ย 2 ส่วน ดงั น้ี 1) ชอ่ งทางการจดั จำ�หน่าย (Channel of distribution) หมายถงึ เส้นทางทีผ่ ลิตภัณฑแ์ ละกรรมสิทธิ์ ทผี่ ลติ ภณั ฑถ์ กู เปลย่ี นมอื ไปยงั ตลาดในระบบชอ่ งทางการจดั จ�ำ หนา่ ยจงึ ประกอบดว้ ยผผู้ ลติ คนกลาง และผบู้ รโิ ภค หรอื ใชใ้ นทางอตุ สาหกรรม 2) การสนบั สนุนการกระจายตัวสินค้าสู่ตลาด (Market logistics) หมายถงึ กิจกรรมทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั การเคล่ือนยา้ ยตวั ผลิตภณั ฑ์จากผู้ผลิตไปยังผ้บู ริโภคหรอื ใชใ้ นทางอตุ สาหกรรม 4. การส่งเสริมการตลาด (Promotion) เป็นการติดต่อส่ือสารเก่ียวกับข้อมูลระหว่างผู้ขายกับผู้ซ้ือ เพอื่ สรา้ งทศั นะคตแิ ละพฤตกิ รรมการซอื้ การตดิ ตอ่ สอ่ื สารอาจใชพ้ นกั งานขายท�ำ การขาย (Personal selling) และ การตดิ ตอ่ สื่อสารโดยไมใ่ ชค้ น (Non-personal selling) เครอื่ งมอื ในการติดต่อสื่อสารมหี ลายประการอาจเลอื กใช้ หนงึ่ หรอื หลายเครอ่ื งมอื ตอ้ งใชห้ ลกั การเลอื กใชเ้ ครอ่ื งมอื สอ่ื สารแบบประสมประสานกนั (Integrated Marketing 34 แนวโน้มอาชพี อสิ ระในอนาคต 3 ปี ข้างหนา้ (พ.ศ. 2558 - 2560)
Communication : IMC) โดยพจิ ารณาถงึ ความเหมาะสมกบั ลกู คา้ ผลติ ภณั ฑค์ แู่ ขง่ ขนั โดยบรรลจุ ดุ มงุ่ หมายรว่ มกนั เครอ่ื งมอื ท่สี ำ�คัญมี ดังนี้ 1) การโฆษณา (Advertising) เปน็ กจิ กรรมในการเสนอขา่ วสารเกยี่ วกบั องคก์ ารและผลติ ภณั ฑ์ บรกิ าร หรือความคดิ ท่ตี ้องมกี ารจา่ ยเงนิ โดยผู้อุปถมั ภ์รายการ 2) การขายโดยพนักงานขาย (Personal selling) เป็นกิจกรรมการแจ้งข่าวสารและการจูงใจตลาด โดยใช้บุคคล 3) การส่งเสริมการขาย (Sales promotion) หมายถึง กิจกรรมการส่งเสริม ที่นอกเหนือจากการ โฆษณา การขายโดยพนกั งานขาย การใหข้ า่ วและการประชาสมั พนั ธซ์ งึ่ สามารถกระตนุ้ ความสนใจ ทดลองใชห้ รอื การซื้อโดยลกู ค้าขนั้ สุดทา้ ย การส่งเสริมการขายแบ่งออกเป็น การกระตนุ้ ผูบ้ รโิ ภค เรียกวา่ การสง่ เสรมิ การขาย ที่มุ่งสูผ่ ้บู ริโภค (Consumer promotion) การกระตุ้นคนกลาง เรยี กว่า การสง่ เสริมการขายทีม่ งุ่ สู่คนกลาง (Trade promotion) การกระตนุ้ พนักงานขายเรยี กว่า การสง่ เสรมิ การขายที่มงุ่ สู่พนักงานขาย (Sales force promotion) 4) การให้ข่าวและการประชาสัมพันธ์ (Publicity and public relations) การใหข้ า่ วเปน็ การเสนอความ คิดเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการท่ีไม่ต้องมีการจ่ายเงิน ส่วนการประชาสัมพันธ์ หมายถึง ความพยายามท่ีมีการ วางแผนโดยองค์การหนึ่งเพ่ือสร้างทัศนะคติท่ีดี ต่อองค์การให้เกิดกับกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง การให้ข่าวเป็นส่วนหน่ึง ของการประชาสัมพนั ธ์ 5) การตลาดทางตรง (Direct marketing) เปน็ การตดิ ตอ่ สอื่ สารกบั กลมุ่ เปา้ หมายเพอื่ ใหเ้ กดิ การตอบ สนอง (Response) โดยตรง หรอื หมายถึง วิธกี ารต่าง ๆ ทนี่ กั การตลาดใชส้ ง่ เสริมผลติ ภณั ฑโ์ ดยตรงกับผู้ซ้ือและ ทำ�การตอบสนองในทันที ประกอบด้วย การขายทางโทรศัพท์ การขายโดยใช้ซองจดหมาย การขายโดยใช้ แคตตาลอ็ ก การขายทางโทรทศั น์ วทิ ยุ หรอื สง่ิ พมิ พ์ ซง่ึ จงู ใจใหล้ กู คา้ มกี จิ กรรมการตอบสนอง เชน่ ใชค้ ปู องแลกซอื้ 2.3 แนวคดิ เก่ียวกับผลติ ภณั ฑ์ ผลิตภณั ฑป์ ระกอบด้วย (อ้างถงึ ในกิตตโิ ชค แซ่วอ่ ง, 2553 : 16-20) 1. ผลิตภัณฑม์ ีตัวตน (Tangible Goods) 2. ผลิตภณั ฑ์ไมม่ ีตวั ตน (Intangible Goods) องค์ประกอบของผลติ ภณั ฑ์ (Product Component) องค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ หมายถึง การพิจารณาถึงคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ ที่สามารถจูงใจตลาดได้ โดยถือเกณฑ์คุณสมบัติ 4 ประการ องค์ประกอบของผลิตภัณฑ์น้ันเป็นแนวทางในการกำ�หนดนโยบายซ่ึงต้อง คำ�นงึ ถึงคณุ สมบัติ กล่าวคอื ความสามารถของผลิตภัณฑใ์ นการจงู ใจตลาด ลักษณะและคุณภาพของผลติ ภณั ฑ์ ส่วนประสมบริการและคุณภาพบริการ และขณะเดียวกันการต้ังราคานั้นถือเกณฑ์ท่ีลูกค้ารับรู้ ซึ่งการกำ�หนด ผลิตภณั ฑ์ตอ้ งค�ำ นงึ ถึงประเดน็ ตา่ ง ๆ ดงั น้ี 1. ความสามารถจงู ใจของสงิ่ ทน่ี �ำ เสนอตอ่ ตลาด (Attractiveness of Market Offering) ในประเดน็ นผ้ี ลติ ภณั ฑ์ จะตอ้ งสามารถสรา้ งความพงึ พอใจใหก้ ับลกู ค้าได้เหนอื คู่แขง่ ขนั 2. รปู ลักษณะ (Feature) และคณุ ภาพผลติ ภณั ฑ์ (Product Quality) ลกั ษณะผลิตภัณฑ์จะตอ้ งสนองตอบ ความจ�ำ เปน็ และความตอ้ งการของผบู้ รโิ ภคเปน็ อยา่ งดี ตลอดจนมคี ณุ ภาพผลติ ภณั ฑท์ สี่ ามารถตอบสนองความ ต้องการของลูกค้าไดด้ ีกว่าคู่แข่ง 3. สว่ นประสมบริการและคุณภาพบริการ (Service Mix and Quality) ปัจจยั ทีใ่ หก้ ารสนับสนนุ นอกจาก ค�ำ นงึ ถงึ รปู ลกั ษณข์ องผลติ ภณั ฑแ์ ลว้ นกั การตลาดจะตอ้ งค�ำ นงึ ถงึ วา่ จะตอ้ งจดั บรกิ ารเสรมิ อะไรใหก้ บั ลกู คา้ ได้บา้ ง กองวิจัยตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 35
4. ราคาเชอ่ื ถอื เกณฑค์ ณุ คา่ (Value–Based Price) ในการจดั ตงั้ ราคานจ้ี ะตอ้ งยดึ ถอื คณุ คา่ การรบั รผู้ ลติ ภณั ฑ์ (Perceived Value) เพราะเป็นสงิ่ จ�ำ เปน็ ท่นี กั การตลาดจะตอ้ งสรา้ งมลู คา่ เพ่ิม (Value Added) ใหก้ บั ผลติ ภัณฑ์ ลกั ษณะผลิตภัณฑ์ 5 ระดบั (Five Product Levels) เป็นคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ 5 ระดับ ในแต่ละระดับจะสร้างคุณค่าลูกค้าเรียกว่าเป็นลำ�ดับขั้นตอนของ คุณค่าสำ�หรับลกู ค้า (Customer Value Hierarchy) โดยมรี ายละเอยี ด ดังน้ี 1. ประโยชนห์ ลัก (Core Benefit) หมายถงึ ประโยชนพ์ ้นื ฐานของผลติ ภัณฑ์ทผี่ ูบ้ ริโภคจะได้รับจากการซอื้ สินคา้ โดยตรง 2. รปู ลกั ษณะของผลติ ภณั ฑ์ (Tangible Product) หรอื ผลติ ภณั ฑพ์ นื้ ฐาน (Basic Product) หมายถงึ ลกั ษณะ ทางกายภาพท่ีผู้บริโภคสัมผัสหรือรับรู้ได้ เป็นส่วนที่ทำ�ให้ผลิตภัณฑ์หลักทำ�หน้าท่ีได้สมบูรณ์ข้ึนหรือเชิญชวน ให้ใชม้ ากขนึ้ ประกอบด้วย 1) ระดับคุณภาพ 2) รปู ร่างลักษณะ 3) รปู แบบ 4) การบรรจุภัณฑ์ 5) ช่ือตราสนิ ค้า 6) ลกั ษณะทางกายภาพอืน่ ๆ เช่น รปู ลกั ษณ์ของโรงแรม 3. ผลิตภัณฑ์ท่ีคาดหวัง (Expected Product) หมายถึง กลุ่มของคุณสมบัติและเงื่อนไขที่ผู้ซื้อคาดหวัง วา่ จะไดร้ บั และใชเ้ ปน็ ขอ้ ตกลงจากการซอื้ สนิ คา้ การเสนอผลติ ภณั ฑท์ ค่ี าดหวงั จะค�ำ นงึ ถงึ ความพงึ พอใจของลกู คา้ เป็นหลัก (Customer’s Satisfaction) 4. ผลิตภัณฑ์ควบ (Augmented Product) หมายถึง ผลประโยชน์ที่ผู้ซ้ือได้รับเพ่ิมเติมนอกเหนือจาก ผลิตภณั ฑ์หลักและผลิตภัณฑท์ ่มี ีตัวตน ประกอบด้วย 1) การขนสง่ 2) การให้สนิ เชื่อ 3) การรบั ประกนั 4) การบริการหลงั การขาย 5) การตดิ ต้ัง 6) การให้บริการอ่ืน ๆ 5. ศักยภาพเก่ียวกับผลิตภัณฑ์ (Potential Product) หมายถึง คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ใหม่ท่ีมี การเปลยี่ นแปลงหรอื พฒั นาไปเพ่อื ความต้องการของลูกคา้ ในอนาคต กลยทุ ธก์ ารตลาดสำ�หรับผลติ ภัณฑ์ (สินคา้ ) บริโภค ผลติ ภณั ฑ์ (สนิ คา้ ) บรโิ ภค (Consumer Product (Goods)) เปน็ สนิ คา้ ทผี่ ซู้ อ้ื ตอ้ งการไปใชส้ อยสว่ นบคุ คล ซ่ึงถอื เปน็ การบริโภคขัน้ สุดทา้ ยไม่ใช่การซือ้ เพ่ือเอาไปผลติ ตอ่ หรอื ขายต่อ เราสามารถจ�ำ แนกสนิ ค้าบริโภคตาม อุปนสิ ัยการซือ้ หรอื พฤตกิ รรมการซือ้ ของผูบ้ รโิ ภคได้ โดยมรี ายละเอียด ดังน้ี 1. สินคา้ สะดวกซือ้ (Convenience Goods (Product)) เป็นสินค้าท่ผี ู้บรโิ ภคซ้ือบอ่ ยและซือ้ กะทันหนั โดยใช้ความพยายามในการเลือกซ้อื น้อย เช่น บหุ รี่ สบู่ หนงั สอื พมิ พ์ฯลฯ สินค้าสะดวกซอ้ื สามารถจดั ประเภท ได้เป็น 3 ชนิดคอื 36 แนวโน้มอาชพี อิสระในอนาคต 3 ปี ข้างหนา้ (พ.ศ. 2558 - 2560)
1) สนิ คา้ หลกั (Staple Goods) เปน็ สนิ คา้ ทใ่ี ชเ้ ปน็ ปกตใิ นชวี ติ ประจ�ำ วนั ราคาไมแ่ พงมกี ารใชบ้ อ่ ย เช่น น้�ำ มันพชื ผงซักฟอก สบู่ ยาสฟี ันฯลฯ 2) สินค้าท่ีซื้อฉับพลัน (Impulse Goods (Product)) เป็นสินค้าสะดวกซ้ือท่ีผู้ซ้ือไม่ได้วางแผน การซอ้ื ส�ำ หรบั การซอ้ื ในแตล่ ะครงั้ แตซ่ อ้ื เพราะไดร้ บั แรงกระตนุ้ ใหเ้ กดิ การซอ้ื ทนั ทที นั ใดเปน็ การซอ้ื แบบฉบั พลนั แบง่ ออกได้ 4 ประเภทคอื (1) การซื้อฉับพลันโดยไม่ได้ตั้งใจ (Pure Impulse Buying) เป็นการตัดสินใจซื้อสินค้าโดย ผู้บริโภคไม่ได้มีความคิดท่ีจะได้ซ้ือสินค้ามาก่อนที่จะเห็นสินค้า เป็นการตัดสินใจซ้ือจากแรงกระตุ้นจริง ๆ เช่น จากการสาธติ การจัดแสดงสินค้า (2) การซ้ือฉับพลันที่เกิดจากการระลึกได้ (Reminder Impulse Buying)การตัดสินใจซื้อ ท่ีผู้บริโภคนึกได้ในระหว่างเดินซื้อของเม่ือเห็นสินค้าและระลึกได้ว่าสินค้าที่บ้านหมดพอดีหรือพบสินค้าและ ระลึกถงึ การโฆษณาทพ่ี ูดถึงประโยชนข์ องสนิ ค้าจงึ อยากทดลองใช้ (3) การซือ้ ฉับพลันท่ีเกดิ จากการเสนอแนะ (Suggestion Impulse Buying) เปน็ การตัดสนิ ใจ ซอื้ สินคา้ เพราะการเห็นสนิ คา้ ชนดิ หนง่ึ แล้วทำ�ใหเ้ กดิ ความตอ้ งการซือ้ สินค้าอกี ชนดิ หนง่ึ (4) การซอ้ื ฉบั พลนั ทกี่ �ำ หนดเงอ่ื นไขไว้ (Planned Impulse Buying) เปน็ การตดั สนิ ใจซอ้ื สนิ คา้ โดยมีการวางแผนไวใ้ นใจ กลา่ วคอื จะตดั สนิ ซ้ือสินค้าก็ต่อเม่ือมขี องแถมหรอื ราคาถูกเปน็ พิเศษ 3) สนิ คา้ ทซ่ี อื้ ในยามฉกุ เฉนิ (Emergency Goods (Product)) เปน็ สนิ คา้ สะดวกซอ้ื ทไี่ มไ่ ดว้ างแผน การซอื้ ไวก้ อ่ นแตซ่ อ้ื เพราะมคี วามจ�ำ เปน็ ตอ้ งใชส้ นิ คา้ นน้ั อยา่ งฉบั พลนั ดงั นนั้ ผซู้ อ้ื จะตดั สนิ ใจซอื้ โดยไมค่ �ำ นงึ ราคา และคุณภาพของสินคา้ เพราะซ้อื เพื่อแก้ไขเหตุการณ์ เฉพาะหน้า เช่น ผา้ อนามยั ยาแกป้ วดศีรษะ เป็นต้น 2. สินค้าเลอื กซ้ือ (Shopping Goods (Product)) เป็นสนิ คา้ ท่ีผู้ซอ้ื มกั จะเปรยี บเทียบกอ่ นการตดั สินใจซ้อื ปัจจัยท่ีใช้ในการเปรียบเทียบ ไดแ้ ก่ ความเหมาะสม คณุ ภาพ ราคา และรปู แบบ เปน็ ตน้ 1) สินคา้ เลือกซื้อทีเ่ หมือนกนั (Homogeneous Shopping Goods (Product) ) หมายถึง สนิ คา้ เลือกซอ้ื ทีผ่ บู้ ริโภคเห็นวา่ มลี กั ษณะพ้ืนฐานท่วั ไปเหมอื นกัน ดังนน้ั การตดั สินใจซือ้ จะข้นึ อยู่กับราคาต�ำ่ สุดของ สินค้าเป็นหลกั เช่น ตู้เยน็ โทรทัศน์ รองเท้านักเรียน เป็นตน้ 2) สนิ คา้ เลอื กซอื้ ทต่ี า่ งกนั (Heterogeneous Shopping Goods (Product) ) หมายถงึ สนิ คา้ เลอื ก ซ้ือท่ีผู้ซ้ือเห็นว่ามีลักษณะต่างกันจึงต้องเปรียบเทียบด้านรูปแบบคุณภาพ ความเหมาะสมซ่ึงลักษณะดังกล่าว มีความสำ�คัญมากกวา่ ราคา เช่น เฟอร์นเิ จอร์ เสื้อผ้า เปน็ ตน้ 3. สินค้าเจาะจงซื้อ (Specialty Goods (Product)) เป็นสินค้าท่ีมีลักษณะเฉพาะตัวที่ลูกค้าต้องการและ เตม็ ใจทจ่ี ะใชค้ วามพยายามในการไดม้ าซงึ่ สนิ คา้ นนั้ อกี ทงั้ ลกู คา้ มคี วามซอ่ื สตั ยต์ อ่ ตราสนิ คา้ ดงั นนั้ การตดั สนิ ใจ ซื้อจึงข้ึนอยู่กับชื่อเสียง คุณภาพ และความภาคภูมิใจท่ีจะได้รับจากการใช้สินค้านั้นมากกว่าราคา เช่น เคร่อื งส�ำ อาง คลนิ กิ กล้องถ่ายรปู นคิ คอน น้ำ�หอมชาแนล เปน็ ตน้ 4. สินคา้ ไมแ่ สวงซ้อื (Unsought Goods (Product)) เป็นสนิ คา้ ทีผ่ ู้บรโิ ภคยังไมร่ จู้ กั หรือรูจ้ กั แตไ่ มค่ ดิ จะซอ้ื หรือไม่มคี วามจำ�เป็นต้องซื้อ หรอื เปน็ สินค้าเก่าท่ีผ้บู ริโภครู้จักแต่ไม่มีความจ�ำ เปน็ ต้องใชส้ ินค้านน้ั เช่น ประกัน ชวี ติ หรือเปน็ สนิ ค้าใหม่ เช่นเครอ่ื งปนั่ อาหาร เครื่องกรองควนั บหุ ร่ี กองวจิ ัยตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 37
2.4 ทฤษฎเี ก่ยี วกับการศกึ ษาความเปน็ ไปได้ของโครงการลงทุน การศกึ ษาความเปน็ ไปได้ของการลงทนุ จะประกอบด้วย การวิเคราะห์ 3 ด้าน (อ้างในเกสร สุขสมโสตร,์ 2552 : 42-48) คอื การวเิ คราะห์ดา้ นการตลาด การวเิ คราะหด์ า้ นการจัดการและการวิเคราะห์ดา้ นการเงนิ โดย ผลการวเิ คราะหด์ า้ นการตลาด ด้านเทคนคิ และด้านการจัดการ จะใช้เปน็ ขอ้ มลู ทีส่ ำ�คญั ในการจดั ทำ�งบการเงนิ ลว่ งหน้า แนวทางในการวเิ คราะหด์ ้านการตลาด ด้านการจัดการ และดา้ นการเงนิ สรปุ ไดด้ ังนี้ การศกึ ษาความเป็นไปได้ของโครงการ การวเิ คราะห์ การวิเคราะห์ การวเิ คราะห์ ดา้ นการตลาด ด้านการจัดการ ด้านการเงิน ประมาณการกำ�ไรสทุ ธิของโครงการ ผลตอบแทนตอ่ การลงทนุ ประเมินผลและตัดสนิ ใจ ภาพแสดง แนวความคดิ การศกึ ษาความเป็นไปได้ของโครงการ ท่มี า : ประสทิ ธิ์ ตงยง่ิ ศริ ิ, 2544 : 100 การศกึ ษาความเปน็ ไปได้ของโครงการน้นั จะประกอบดว้ ย การวเิ คราะห์ 3 ดา้ น ดังน้ี 1. การวิเคราะห์ทางด้านการตลาด เป็นการศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานคุณลักษณะ สภาวะตลาด ขนาด แนวโนม้ ของตลาด เพอื่ เปน็ ขอ้ มลู ในการวางกลยทุ ธแ์ ละแผนงานทางการตลาดตลอดจนพยากรณร์ ายรบั ตน้ ทนุ ดา้ น การตลาด และด้านชอ่ งทางการจดั จ�ำ หน่าย (ธาริณี เลิศพทุ ธรกั ษ,์ 2545 : 4) การวิเคราะห์ดา้ นการตลาดนจ้ี ะใช้ ทฤษฎีส่วนประสมทางการค้าปลีกมาประกอบในการวเิ คราะหเ์ พื่อก�ำ หนดกลยทุ ธ์สว่ นประสมทางการตลาดดว้ ย โดยทฤษฎีส่วนประสมทางการคา้ ปลกี มอี งคป์ ระกอบหา้ ประการหรอื 4P’s ไดแ้ ก่ ผลติ ภัณฑ์ (Product) ราคา (Price) ช่องทางการจัดจำ�หน่าย (Place) การส่งเสริมการขาย (Promotion) และลักษณะเฉพาะขององค์การ โดยส่วนประสมทางการค้าปลีกทั้งห้าประการนี้จะเป็นเครื่องมือท่ีต้องใช้ร่วมกันเพ่ือตอบสนองความต้องการ ของผูบ้ รโิ ภคและใหเ้ กดิ ความพึงพอใจสูงสุดรายละเอียดแต่ละประการมี ดังนี้ 1) ผลิตภัณฑ์ คือ สนิ ค้าทีข่ ายในรา้ นโดยคำ�นงึ ถึงตราสนิ คา้ ขนาด สี จ�ำ นวน เปน็ ต้น และยัง รวมถงึ การบริการต่างๆ เช่น การบรกิ ารจัดสง่ สนิ คา้ ถงึ บ้าน การแลกคืนสนิ คา้ การตกแตง่ ร้านค้าฯลฯ ผลติ ภณั ฑ์ ถอื ไดว้ า่ เปน็ องคป์ ระกอบทม่ี คี วามส�ำ คญั ทส่ี ดุ ในสว่ นประสมทางการคา้ ปลกี ดงั นน้ั ผลติ ภณั ฑท์ จ่ี ะจ�ำ หนา่ ยตอ้ งมี คุณสมบัติและคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด 2) ราคา คือ สง่ิ กำ�หนดมลู ค่าของผลติ ภัณฑ์ ระดบั ราคามีผลตอ่ ตลาดเปา้ หมาย ในหลายดา้ น เช่น ผู้บริโภคจะประเมินคุณภาพของสินค้าเปรียบเทียบกับราคาก่อนตัดสินใจซื้อ ดังนั้นผู้ค้าปลีกควรตั้งราคา ให้เหมาะสมกับคณุ ภาพและสภาวะการแขง่ ขนั จากคู่แขง่ ขัน วิธีการตัง้ ราคาสามารถกระท�ำ ไดห้ ลายลกั ษณะ เชน่ การตง้ั ราคาตามราคาตลาด การตั้งราคาแบบเลขคี่ การตง้ั ราคาส�ำ หรับการขายแบบใหเ้ ครดิต เป็นต้น 38 แนวโน้มอาชพี อิสระในอนาคต 3 ปี ขา้ งหน้า (พ.ศ. 2558 - 2560)
3) ชอ่ งทางการจดั จำ�หนา่ ย คือ การนำ�สินค้าไปสูต่ ลาดเปา้ หมาย สำ�หรบั ปัจจัยที่กจิ การค้าปลกี ตอ้ งคำ�นงึ เปน็ พิเศษ คอื ปจั จยั ด้านท�ำ เล ทต่ี ั้ง และการจดั วางผังกิจการ 4) การส่งเสริมการตลาด คือ การติดต่อสื่อสารข้อมูลระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์การส่งเสริมการขาย ประกอบด้วยส่ีกิจกรรมหลัก คือการโฆษณา (Advertising) การสง่ เสริมการขาย (Sales promotion) การขายโดยพนักงานขาย (Personal selling) และการประชาสมั พันธ์ (Public relation) โดยกจิ การตอ้ งเลอื กและก�ำ หนดรูปแบบการใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั กลยทุ ธ์การตลาดของกจิ การและ ลักษณะของตลาดเป้าหมาย 5) ลกั ษณะเฉพาะขององคก์ าร คอื เปน็ การสรา้ งการรบั รใู้ หเ้ กดิ ขน้ึ ในใจของลกู คา้ อนั เนอ่ื งมาจาก การประสมประสานของผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำ�หน่าย การส่งเสริมการขาย จนทำ�ให้เกิดเป็น เอกลกั ษณ์ขององค์การ ซ่งึ หากกล่าวถึงองคก์ ารแลว้ ลกู คา้ จะระลกึ ถงึ ลักษณะเฉพาะตัวขององค์การขน้ึ ได้ทนั ที 2. การวิเคราะห์ด้านการจัดการ (Management analysis) การวิเคราะห์ด้านการจัดการทำ�ให้ ทราบข้อมูลในการคาดคะเนค่าใช้จ่ายในการบริหารซึ่งผลการคาดคะเนจะเป็นข้อมูลในการจัดทำ�งบการเงิน ลว่ งหน้าเพอื่ ใช้ประโยชนใ์ นการประเมนิ ผลและตดั สนิ ใจลงทนุ ชนินทร์ ชณุ หพันธรกั ษ์ (2544 : 113) ไดเ้ สนอ การวเิ คราะห์ดา้ นการจัดการพิจารณาประเดน็ ตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) ก�ำ หนดรปู แบบการด�ำ เนนิ ธรุ กจิ ทเี่ หมาะสม โดยสว่ นใหญแ่ ลว้ รปู แบบของการด�ำ เนนิ งานธรุ กจิ ขนาดกลางและขนาดยอ่ มท่ผี ้ปู ระกอบการนิยมใช้มีสามรูปแบบคอื (1) ประกอบการโดยเจา้ ของคนเดียว (Single proprietorships) (2) ห้างห้นุ สว่ น (Partnerships) (3) บรษิ ทั จำ�กดั (Corporations) นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบางประการท่ีต้องนำ�มาพิจารณาประกอบการตัดสินใจเลือกรูปแบบ ดว้ ย คอื ปญั หาในการจดั ตง้ั ธรุ กจิ จ�ำ นวนเงนิ ทนุ ทต่ี อ้ งการในการด�ำ เนนิ ธรุ กจิ จ�ำ นวนก�ำ ไรทธี่ รุ กจิ จะน�ำ ไปจดั สรร ความสัมพันธ์ด้านอำ�นาจหน้าที่ในการด�ำ เนินธุรกิจ อายุการดำ�เนินธุรกิจและความต้องการให้ธุรกิจดำ�เนินงาน อย่างต่อเนอ่ื ง ขอบเขตความรับผดิ ชอบในหนส้ี ินของผูป้ ระกอบการ ขอ้ จำ�กดั ดา้ นกฎหมายตามรปู แบบของการ ด�ำ เนินธุรกิจ ภาษีทตี่ ้องเสยี 2) กำ�หนดรูปแบบองค์การที่เหมาะสม การพิจารณารูปแบบองค์การท่ีเหมาะสมสำ�หรับธุรกิจ แต่ละประเภทน้นั โดยปกติจะมขี ้นั ตอน ดังต่อไปน้ี (1) บรรยายสรุปงานด้านการจัดการของธุรกิจเพื่อดูว่าประกอบด้วยงานท้ังสิ้นก่ีงานและ มีงานอะไรบ้าง (2) จดั กลมุ่ งานทมี่ ลี กั ษณะการท�ำ งานเหมอื นกนั และ/หรอื ตอ้ งการทกั ษะของแรงงานเหมอื นกนั (3) กำ�หนดขนาดแรงงาน คุณสมบตั ขิ องแรงงานท่ีแตล่ ะกลมุ่ งานตอ้ งการ (4) พจิ ารณาความสมั พนั ธ์ของงานในแต่กลุม่ แล้วก�ำ หนดสายการบังคับบัญชาหรือสายการ ประสานงานซ่ึงจะทำ�ใหเ้ กดิ รปู แบบองคก์ ารที่เหมาะสมส�ำ หรับธุรกจิ 3) กำ�หนดแผนงานด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์กำ�หนดแผนงานด้านการบริหารทรัพยากร มนษุ ยจ์ ะประกอบด้วยข้ันตอน ดังตอ่ ไปนี้ (1) การคาดคะเนอัตราก�ำ ลังแรงงานท่ีต้องการทั้งในปัจจบุ ันและในอนาคต (2) การก�ำ หนดคุณสมบัตขิ องแรงงานทต่ี ้องการ (3) การรบั สมคั รและคดั เลอื ก กองวจิ ยั ตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 39
(4) การกำ�หนดอตั ราเงนิ เดือนและคา่ ตอบแทน (5) การมอบหมายหนา้ ท่คี วามรบั ผิดชอบ (6) การฝึกอบรมและพัฒนา (7) การประเมนิ ผล (8) แรงงานสัมพันธ์ 4) ความเส่ียงภัยทางธุรกิจการประกอบธุรกิจมีความเส่ียงภัยหลายประการ ซ่ึงผลกระทบ ตอ่ การด�ำ เนนิ ธรุ กจิ โดยความเสยี่ งทส่ี �ำ คญั และสง่ ผลกระทบอยา่ งรนุ แรง คอื ความเสย่ี งภยั ทางทรพั ยส์ นิ อนั ไดแ้ ก่ อาคารหรอื ทรพั ยส์ นิ ถกู ไฟไหม้ ทรพั ยส์ นิ ถกู โจรกรรม น�้ำ ทว่ ม ฯลฯ การจดั การความเสยี่ งเปน็ การวางแผนปอ้ งกนั ความเสียหายทอี่ าจเกดิ ข้นึ 5) ประมาณการคา่ ใชจ้ า่ ยกอ่ นการด�ำ เนนิ งาน คอื การประมาณการคา่ ใชจ้ า่ ยตา่ ง ๆ ทโี่ ครงการ จะตอ้ งจา่ ยลงทนุ ในชว่ งกอ่ นทกี่ จิ การจะเรมิ่ เปดิ ด�ำ เนนิ การ เชน่ คา่ จดทะเบยี นการคา้ คา่ ใชจ้ า่ ยในการตดิ ตอ่ งาน เงนิ เดอื นของพนักงาน และคา่ สาธารณปู โภคในช่วงกอ่ นเปดิ ดำ�เนินงาน 3. การวเิ คราะหด์ า้ นการเงนิ (Financial analysis) การวเิ คราะหด์ า้ นการเงนิ เนน้ หนกั การตระเตรยี ม งบการเงินล่วงหน้าเพ่ือนำ�มาประเมินโครงการในเชิงเศรษฐกิจและการกำ�หนดขนาดเงินลงทุนที่ต้องการ การจดั งบการเงนิ ลว่ งหนา้ จะน�ำ เอกสารขอ้ มลู การวเิ คราะหด์ า้ นตลาด ดา้ นเทคนคิ และดา้ นการจดั การมาประกอบ การคาดคะเนรายรบั และตน้ ทนุ เพอื่ การตดั สนิ ใจพรอ้ มทงั้ มกี ารวเิ คราะหค์ วามไวเพอ่ื ใหก้ ารประเมนิ โครงการเปน็ ไปอย่างถกู ตอ้ งรอบคอบและสรา้ งความเชอ่ื มน่ั ให้แก่นกั ลงทนุ การวเิ คราะห์ด้านการเงนิ ประกอบดว้ ย 1) การเตรียมงบการเงินที่แสดงต้นทุนรวมของโครงการเงินลงทุนเร่ิมแรกและกระแสเงินสด ที่สมั พันธก์ ับตารางการด�ำ เนนิ โครงการนน้ั 2) การจดั ท�ำ ตารางการด�ำ เนนิ งานเพอ่ื ชว่ ยในการวางแผนดา้ นการเงนิ การก�ำ หนดขอ้ สมมตฐิ าน ไวใ้ นเรอื่ งนโยบาย ระยะเวลาการจดั เกบ็ หนจ้ี ากการขายเชอ่ื ระดบั สนิ คา้ คงคลงั ระยะเวลาการช�ำ ระเงนิ ในการจดั ซอื้ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ องค์ประกอบทางด้านต้นทุนสินค้าค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายในการจัดการ และ ค่าใช้จา่ ยในดา้ นการเงนิ เช่น ดอกเบีย้ ต้นทุน การจัดหาเงนิ ทุน 3) การจดั หางบการเงนิ ลว่ งหนา้ ไดแ้ ก่ งบก�ำ ไรขาดทนุ ลว่ งหนา้ งบกระแส เงินสดล่วงหนา้ และงบดุลลว่ งหนา้ 4) การวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุนผลตอบแทนต่อส่วนของเจ้าของทุนปริมาณ การขาย ณ จดุ ค้มุ ทุน 5) การวิเคราะห์ความไวเพ่ือให้ทราบถึงรายการหรือปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อ ความสามารถในการทำ�กำ�ไร สรปุ การศกึ ษาความเปน็ ไปไดข้ องโครงการตอ้ งมกี ารวเิ คราะหด์ า้ นการตลาด เปน็ การศกึ ษาขอ้ มลู พน้ื ฐาน ลักษณะของตลาด ขนาด แนวโน้มของตลาด เพื่อเป็นข้อมูลในการวางกลยุทธ์และแผนการตลาด ตลอดจน พยากรณ์ รายรบั ต้นทนุ ด้านการดำ�เนนิ งาน และช่องทางการจัดจำ�หนา่ ย หลังจากน้ันตอ้ งมกี ารวเิ คราะหด์ า้ น การจดั การ เชน่ มกี ารก�ำ หนดรปู แบบทเ่ี หมาะสมวา่ จะด�ำ เนนิ ธรุ กจิ แบบใด เปน็ เจา้ ของคนเดยี ว หา้ งหนุ้ สว่ นจ�ำ กดั หรือบรษิ ัทจ�ำ กัด รวมกลุม่ เปน็ สหกรณ์ ซ่งึ จะขึน้ อยู่กบั ลักษณะของธุรกจิ ทีผ่ ปู้ ระกอบการดำ�เนินงานต้องมองถึง ปัญหาทางเงินลงทุน ก�ำ ไรที่จะไดร้ บั นอกจากนั้นต้องมองถงึ ความเส่ยี งที่จะไดร้ บั ในทกุ ดา้ น และผลกระทบของ การด�ำ เนนิ งาน มาคาดคะเนรายรบั รายจา่ ย ต้นทุนเพ่ือประเมนิ การตัดสินใจตอ่ ไป 40 แนวโน้มอาชีพอิสระในอนาคต 3 ปี ขา้ งหนา้ (พ.ศ. 2558 - 2560)
2.5 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกบั การจดั การเชิงกลยุทธ์ 2.5.1 แนวคิดการวิเคราะห์สภาพแวดลอ้ มทเ่ี กย่ี วกับงาน (analyzing the task environment) นอกจากการวเิ คราะหส์ ภาพแวดลอ้ มทางสงั คม หรอื สภาพแวดลอ้ มทว่ั ไป ดงั กลา่ วมาแลว้ ผจู้ ดั การ ยังจำ�เปน็ จะตอ้ งทำ�การวเิ คราะห์สภาพแวดล้อมทีเ่ ก่ียวกบั งานอีกด้วย (บางครั้งเรยี ก “สภาพแวดล้อมทางการ แข่งขัน” หรือ “สภาพแวดลอ้ มในอุตสาหกรรม”) จุดมงุ่ หมายสำ�คัญของการวเิ คราะห์สภาพแวดล้อมท่เี กี่ยว กบั งาน กเ็ พอื่ ทราบสภาพแวดลอ้ มทางดา้ นการแขง่ ขนั ในอตุ สาหกรรมทบ่ี รษิ ทั ด�ำ เนนิ การอยวู่ า่ มลี กั ษณะอยา่ งไร รวมท้งั ข้อมลู เกยี่ วกับค่แู ขง่ ขัน เพราะวา่ บริษัทจะไม่สามารถวางแผนกลยทุ ธไ์ ด้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ หากบรษิ ัท ไม่เข้าใจสภาวะการแขง่ ขันในอตุ สาหกรรมน้นั และท้ังไม่ทราบขอ้ มลู เกยี่ วกับคู่แขง่ ดังนั้นในตอนน้ีจึงขอแยกการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมที่เก่ียวกับงาน (Task environment) หรือ สภาพแวดลอ้ มทางการแข่งขนั (competitive environment) ออกเปน็ 2 สว่ น คือ (ก) การวเิ คราะหอ์ ตุ สาหกรรม (industry analysis) และ (ข) การวิเคราะห์คู่แขง่ ขัน (competitor analysis) (พบิ ูล ทปี ะปาล, 2551 : 35) ก. การวเิ คราะหอ์ ุตสาหกรรมของพอร์เตอร์ (Michael Poeter’s industry analysis) ไมเคิล อี. พอร์เตอร์ ศาสตราจารย์คณะบริหารธุรกจิ มหาวทิ ยาลยั ฮาร์วารด์ ผ้เู ขยี นหนังสอื เรือ่ ง “Competitive Strategy” ท่ีได้รับความนิยมมากที่สุด ได้สร้างตัวแบบเพ่ือนำ�มาใช้เป็นเครื่องวิเคราะห์สภาวะ การแขง่ ขนั ในอุตสาหกรรมตา่ ง ๆ ขึ้น เรียกว่า “ตวั แบบพลังผลักดัน 5 ประการ” หรือ “Five Forces Model” ตามตัวแบบนี้ช้ีให้เห็นว่า มีปัจจัย 5 ประการ ที่จะเป็นตัวกำ�หนดสภาวะการแข่งขัน อันจะมีผลต่อศักยภาพ การทำ�ก�ำ ไร (profitability potential) และการดงึ ดดู ใจในอตุ สาหกรรมนน้ั (industry attractiveness) (ดภู าพท่ี 2.1) ภาพที่ 2.1 แสดงพลังผลกั ดนั 5 ประการ และผลกระทบตอ่ อุตสาหกรรม ค�ำ ว่า “อตุ สาหกรรม” (industry) หมายถงึ กลมุ่ ของบรษิ ทั ซง่ึ ผลติ สนิ ค้าและบริการท่ีคล้าย ๆ กนั เพื่อจ�ำ หนา่ ย (Wheelen and Hunger, 2000 : 60 อ้างถึงใน พบิ ลู ทีปะปาล, 2551 : 35) เชน่ อุตสาหกรรม นำ้�อดั ลม อตุ สาหกรรมผงซักฟอก เป็นต้น สว่ นค�ำ วา่ “การดงึ ดดู ใจในอตุ สาหกรรม” (industry attractiveness) ซง่ึ จงู ใจใหเ้ ขา้ ไปลงทนุ นน้ั มีความหมายเก่ียวข้องกับ ศักยภาพการทำ�กำ�ไร อันเกิดจากการแข่งขัน ในอุตสาหกรรมนั้น อุตสาหกรรมใด ดึงดูดใจให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนสูง (highly attractive industry) หมายความว่า ความสามารถในการทำ�กำ�ไรมีตำ่� ทำ�ใหผ้ ูท้ จ่ี ะเข้าไปลงทุนในอตุ สาหกรรมน้ันเกดิ การทอ้ แท้ไม่อยากเข้าไปลงทุนในอตุ สาหกรรมนั้น (Pitts and Lei, 2000 : 35 อา้ งถึงใน พิบลู ทปี ะปาล, 2551 : 35) สว่ นปจั จยั ทีจ่ ะเปน็ ตัวก�ำ หนด “ศักยภาพการท�ำ ก�ำ ไร” (profitability potential) หรอื “การดึงดดู ใจ ของอุตสาหกรรม” (industry attractiveness) ขึ้นอยกู่ บั พลังผลักดนั 5 ประการ ดงั นค้ี อื (ดภู าพที่ 2.2) กองวิจยั ตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 41
1) ภยั คกุ คามจากค่แู ขง่ หนา้ ใหม่เขา้ สอู่ ตุ สาหกรรม (threat of new entrants into the industry) 2) ความรุนแรงของการแข่งขันระหวา่ งบริษทั ต่าง ๆ ทีอ่ ยู่ในอุตสาหกรรมเดยี วกนั (intensity of the rivalry among firms within the industry) 3) อำ�นาจตอ่ รองของผู้ซอื้ (bargaining power of buyers) 4) อำ�นาจต่อรองของผขู้ ายปัจจยั การผลติ (threat of substitute products) 5) ภยั คุกคามจากผลติ ภณั ฑท์ ดแทน (threat of substitute products) รปู ที่ 2.2 ตวั แบบพลังผลักดนั 5 ประการ และพลังผลักดันจากผ้มู สี ่วนไดเ้ สียทำ�ให้เกิดการแข่งขัน และศักยภาพ การท�ำ ก�ำ ไรในอตุ สาหกรรม 1) ภยั คกุ คามอนั เกิดจากคูแ่ ขง่ หน้าใหม่ (threat of new entrants) อุตสาหกรรมใดก็ตามที่คู่แข่งหน้าใหม่สามารถบุกรุกเข้ามาในอุตสาหกรรมนั้นโดยสะดวก ศักยภาพ การท�ำ ก�ำ ไรในอตุ สาหกรรมนนั้ จะลดลง เนอื่ งจากคแู่ ขง่ หนา้ ใหมจ่ ะเขา้ มาชว่ งชงิ สว่ นแบง่ ตลาดในอตุ สาหกรรมนนั้ ไป ท�ำ ใหส้ ว่ นแบง่ ตลาดของบรษิ ทั ธรุ กจิ ทมี่ อี ยเู่ ดมิ ลดนอ้ ยลง และความรนุ แรงในการแขง่ ขนั จะเพม่ิ ขนึ้ เพราะจ�ำ นวนคแู่ ขง่ ในอตุ สาหกรรมนนั้ เพม่ิ ขนึ้ โอกาสการท�ำ ก�ำ ไรจงึ ลดลง เนอ่ื งจากตอ้ งใชท้ รพั ยากรและความพยายามทางการตลาด เพ่อื แยง่ ชงิ ลูกคา้ มากขึน้ ดังน้ันบรษิ ทั ทีม่ อี ยเู่ ดิมในอุตสาหกรรมนัน้ (existing firms) ปกติจะพยายามหาทางปกปอ้ ง มใิ ห้คู่แขง่ รายใหม่ (new entrants) บุกรุกเขา้ มา ด้วยการสรา้ ง “ขวากหนามปอ้ งกันการบุกรุก” (barriers to entry) เพอื่ สร้าง ความท้อแท้ใหก้ ับคู่แข่งหน้าใหม่ ซึง่ มวี ิธกี ารกระท�ำ ไดห้ ลายวิธี ดงั นี้ ขวากหนามการเข้าสู่อุตสาหกรรม (barriers to entry) 1.1) การประหยดั เนอื่ งจากขนาด (economies of scale) ค�ำ วา่ “การประหยดั เนอื่ งจากขนาด” หมายถงึ การทำ�ให้ตน้ ทุนต่อหน่วย (per–unit cost) ลดลง เม่ือเพมิ่ ขนาดการผลติ มากขึน้ ผลผลิตทีอ่ อกมาจงึ มตี ้นทนุ ตำ�่ เป็นการสร้างความได้เปรียบหรือความเป็นต่อในการแข่งขัน บริษัทใหญ่ ๆ จึงนิยมใช้เป็นเครื่องมือ หรือ มาตรการอย่างหนึ่ง เพื่อขัดขวาง ยับยั้ง หรือป้องกัน มิให้คู่แข่งหน้าใหม่ในตลาด (potential competitors) เข้ามาในอุตสาหกรรมนัน้ ได้ เพราะต้องลงทนุ สูงและมคี วามเสี่ยงต่อความลม้ เหลวท่ีตอ้ งถอนตวั ออกไป รวมทั้ง 42 แนวโน้มอาชพี อสิ ระในอนาคต 3 ปี ขา้ งหนา้ (พ.ศ. 2558 - 2560)
ไมส่ ามารถยอมรบั ความเสยี เปรยี บดา้ นตน้ ทนุ (cost disadvantage) ไดต้ ง้ั แตร่ ะยะเรม่ิ ตน้ เพราะอาจจะถกู ตอบโต้ จากบริษทั ท่ีมีอยู่เดิมด้วยการตดั ราคา (price cuts) การเพมิ่ การโฆษณาและการสง่ เสริมการขาย และมาตรการ ขดั ขวางอน่ื ๆ จงึ ท�ำ ใหบ้ รษิ ทั ท่ีจะเขา้ มาใหม่เกิดความทอ้ แท้ เพราะมองไม่เหน็ กำ�ไรในระยะยาว คู่แขง่ หน้าใหม่ อาจจะตอ้ งเผชิญกบั มาตรการขัดขวาง ทีเ่ กี่ยวกับเร่อื งขนาด (scale related barriers) ไม่เพียงเฉพาะด้านการผลติ เทา่ น้นั แตย่ ังมวี ธิ ีดา้ น อ่ืน ๆ อกี เช่น ดา้ นการโฆษณา การจัดจ�ำ หนา่ ย การเงิน การบริการหลังการขาย การซอื้ วัตถดุ ิบ (เชน่ ซ้อื ปรมิ าณมากราคาจะถกู กว่ามาก) และการวิจัยและพัฒนา (R&D) ทเ่ี หนือกวา่ มากกวา่ เปน็ ตน้ (Thompson and Strickland, 1999 : 78 อา้ งถึงใน พบิ ูล ทีปะปาล, 2551 : 37) 1.2) ความตอ้ งการเงินลงทนุ (capital requirements) ความจำ�เป็นทจ่ี ะตอ้ งใช้เงินทุนสงู เพ่ือการแข่งขัน ในอุตสาหกรรมใด นับเป็นอุปสรรคสำ�คัญ โดยเฉพาะบริษัทท่ีขาดเงินทุนจะถูกจำ�กัดการเข้าไปในอุตสาหกรรม ใหมโ่ ดยสิ้นเชิง ความจำ�เปน็ ท่จี ะตอ้ งใช้เงนิ ลงทุนสูงทเ่ี หน็ ไดช้ ัดทส่ี ดุ เชน่ การสรา้ งโรงงานและเคร่ืองมอื ในการ ประกอบการผลิต เครื่องอำ�นวยความสะดวกในการจัดจำ�หน่าย เงินทุนหมุนเวียนเพ่ือใช้สำ�หรับสินค้าคงคลัง การสรา้ งความเชอื่ ถอื ใหก้ บั ลกู คา้ การลงทนุ ดา้ นโฆษณาและสง่ เสรมิ การขาย เพอื่ สรา้ งลกู คา้ ใหม่ และเงนิ ทนุ ส�ำ รอง ทต่ี อ้ งเสยี ไปในการเรมิ่ ตน้ ธรุ กจิ ใหม่ ฯลฯ ดงั นน้ั จงึ มบี รษิ ทั นอ้ ยมาก ทจ่ี ะมที รพั ยากรเพยี งพอทจี่ ะสกู้ บั การลงทนุ สงู ดังกลา่ ว จึงเปน็ ข้อจ�ำ กดั ท่สี �ำ คญั ของการเขา้ สูอ่ ตุ สาหกรรมใหม่ 1.3) การสรา้ งความแตกตา่ งในผลติ ภณั ฑ์ (product differentiation) การสรา้ งความแตกตา่ งในผลติ ภณั ฑ์ เปน็ การท�ำ ใหผ้ ลติ ภณั ฑม์ รี ปู รา่ งหรอื การรบั รทู้ มี่ คี วามแตกตา่ ง เพอ่ื สรา้ งความเปน็ พเิ ศษหรอื ความเปน็ เอกลกั ษณ์ ท่ีไมเ่ หมือนใครในสายตาของลกู ค้า การสรา้ งความแตกตา่ งในผลิตภัณฑ์ จงึ เป็นวิธีการอีกอย่างหนง่ึ ท่ีจะก�ำ จดั การเข้ามาของคู่แข่งหน้าใหม่ในอุตสาหกรรม และบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดิมจะใช้เป็นเคร่ืองมือเพื่อปิดก้ัน ลูกค้าที่มีความภักดีต่อบริษัทไม่ให้หันเปล่ียนไปหาผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งที่จะเข้ามาใหม่ การสร้างความแตกต่าง ในผลิตภัณฑ์จะทำ�หน้าท่ีเป็นขวากหนามขวางกั้นการบุกรุกเข้ามาของคู่แข่งหน้าใหม่เนื่องจากว่าคู่แข่งหน้าใหม่ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมากเพ่ือท่ีจะเอาชนะความชอบและความภักดีของลูกค้าท่ีมีต่อผลิตภัณฑ์ของธุรกิจเดิม ใหห้ ันมาสูผ่ ลติ ภณั ฑข์ องตน 1.4) คา่ ใชจ้ ่ายในการเปล่ียนไปใช้สนิ คา้ ใหม่ (switching costs) การท่ธี รุ กจิ รายใหมจ่ ะประสบผลสำ�เรจ็ ในอุตสาหกรรมได้น้ัน ธุรกิจรายใหม่จะต้องสามารถจูงใจลูกค้าที่มีอยู่เดิมให้หันมาซ้ือผลิตภัณฑ์ใหม่ของตนได้ การเปลยี่ นไปใชส้ นิ คา้ ใหมข่ องผซู้ อื้ ถา้ เปน็ สนิ คา้ บรโิ ภค ราคาถกู ๆ กไ็ มน่ า่ มปี ญั หาอะไร แตก่ ารเปลยี่ นไปใชส้ นิ คา้ หรือบริการใหม่ที่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม ราคาแพง เช่น การเปลี่ยนโปรแกรมซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์หรือ การซ้ือวัตถุดิบป้อนโรงงาน ในกรณีเช่นนี้ผู้ซื้อจำ�เป็นต้องเสียค่าใช้จ่าย เช่น ค่าใช้จ่ายในการทดสอบผลิตภัณฑ์ ของบรษิ ทั ใหม่ คา่ ใชจ้ า่ ยในการตอ่ รองท�ำ สญั ญาการซอ้ื ใหม่ คา่ ใชจ้ า่ ยในการอบรมพนกั งานในการใชอ้ ปุ กรณใ์ หม่ หรือค่าใช้จ่ายในด้านอ�ำ นวยความสะดวกในการใช้ผลติ ภณั ฑใ์ หม่ เปน็ ตน้ และเมื่อคา่ ใช้จ่ายในการเปลยี่ นไปใช้ สนิ ค้าใหมส่ ูง ประกอบกบั มขี ้อยุ่งยากที่จะเกิดตามมามากมาย ผูซ้ อ้ื จงึ มกั จะไมค่ อ่ ยนยิ มเปล่ียนไปใช้สนิ ค้าใหม่ 1.5) การเข้าถึงชอ่ งทางการจัดจำ�หน่าย (access to distribution) การไมม่ ชี อ่ งทางการจัดจ�ำ หนา่ ยของ ธรุ กจิ หนา้ ใหมข่ องตนเอง กเ็ ปน็ อปุ สรรคส�ำ คญั อยา่ งหนงึ่ ในการเขา้ สอู่ ตุ สาหกรรมใหม่ บอ่ ยครงั้ ทเี ดยี วทธ่ี รุ กจิ เดมิ (existing firms) จะนำ�มาใช้เปน็ เครอื่ งมือเพอ่ื ยับยง้ั หรือต่อต้านไม่ให้คแู่ ข่งหน้าใหม่ใชไ้ ดโ้ ดยสะดวก ตวั อย่างเช่น บริษัท Procter and Gamble จะใช้วิธีนำ�ผลิตภัณฑ์ของตนทุกสายผลิตภัณฑ์วางจำ�หน่ายในช้ันวางของในร้าน เต็มชั้นตลอดเวลา จนแทบจะไม่มีช่องว่างเหลือไว้สำ�หรับคู่แข่งรายอื่นเลย การที่คู่แข่งรายใหม่จะเจาะเข้ามาใช้ ชอ่ งทางการจดั จ�ำ หนา่ ยเหลา่ นไี้ ดก้ จ็ ะตอ้ งเสนอสง่ิ จงู ใจใหก้ บั ชอ่ งทางจ�ำ หนา่ ยเดมิ ทส่ี งู และแพงมากเทา่ นน้ั จงึ จะมี ทางเป็นไปได้ คู่แข่งหน้าใหม่มักจะเกิดความท้อแท้ใจจึงนับเป็นอุปสรรคสำ�คัญของการเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ กองวิจยั ตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 43
อย่างหน่งึ ตัวอย่างเช่น ผูป้ ระกอบการผลิตสหรฐั อเมรกิ าไดพ้ บกบั อปุ สรรคเรอื่ งการหาชอ่ งทางการจัดจ�ำ หนา่ ย เพื่อเขา้ สู่ตลาดประเทศญป่ี ุ่น และตลาดตะวันออกไกล (far east markets) มาแลว้ เป็นต้น 2) ความรุนแรงของการแข่งขันระหว่างบริษทั ในอุตสาหกรรมเดียวกนั (intensity of rivalry among existing firms) การแข่งขนั ระหวา่ งบริษทั ต่าง ๆ ทอี่ ย่ใู นอุตสาหกรรมเดียวกนั มีลักษณะเช่นเดียวกันกับ “จ๊อกกข้ี ม่ี ้า เพ่ือแย่งชิงต�ำ แหนง่ ” (jockeying for position) น่ันคอื นักขีม่ า้ แข่งจะทำ�ทกุ อยา่ งเพือ่ ใหม้ ้าท่ีตนขบั ขเ่ี ข้าสูห่ ลกั ชยั เหนือคู่แข่งให้ได้ บริษัทต่าง ๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ก็ใช้วิธีทำ�นองเดียวกัน คือต่างก็ใช้ยุทธวิธี ทางการตลาดมาห�้ำ หนั่ กนั เอง เพอ่ื แยง่ ชงิ ลกู คา้ ซงึ่ กนั และกนั เชน่ การลดราคา การแนะน�ำ ผลติ ภณั ฑใ์ หม่ และการทมุ่ โฆษณา เป็นต้น ดงั นนั้ อตุ สาหกรรมใดกต็ าม ทมี่ บี รษิ ทั ตา่ ง ๆ ด�ำ เนนิ ธรุ กจิ อยภู่ ายในอตุ สาหกรรมนนั้ อยแู่ ลว้ หลายราย และบริษัทเหล่าน้นั มคี วามแข็งแกรง่ และกา้ วร้าว ความเข้มขน้ ของการแข่งขนั ในตลาดนั้นกจ็ ะมสี งู อุตสาหกรรม น้ันจึงเป็นอุปสรรค ไม่จูงใจให้เข้าไปลงทุน เพราะศักยภาพการทำ�กำ�ไรต่ำ� ความรุนแรงของการแข่งขันเกิดจาก ปัจจยั หลายประการ ดังน้ี ตวั กำ�หนดความรุนแรงของการแขง่ ขนั (determinants of rivalry) 2.1) จ�ำ นวนของคแู่ ข่ง (number of competitors) อตุ สาหกรรมใดมีจ�ำ นวนคูแ่ ข่งมากแนวโน้มท่ีจะมี คแู่ ขง่ ประเภท “นอกแถว” ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑข์ องกลมุ่ (mavericks) อาจท�ำ ใหเ้ กดิ ความรนุ แรงของการแขง่ ขนั ในอตุ สาหกรรมนนั้ ไดเ้ หมอื นกนั ดงั นนั้ จ�ำ นวนคแู่ ขง่ มาก จงึ เปน็ ตวั ก�ำ หนดความรนุ แรงของการแขง่ ขนั ไดอ้ ยา่ งหนง่ึ อยา่ งไรก็ตาม แม้ว่าในอตุ สาหกรรมน้นั จะมคี ู่แขง่ น้อยราย แต่ถ้าหากคู่แขง่ น้ันมขี นาดและมกี ำ�ลงั ในการแข่งขัน ท่ใี กล้เคียงกัน กจ็ ะท�ำ ใหเ้ กิดการแข่งขันท่รี ุนแรงไดเ้ ช่นเดียวกัน คอื ตา่ งฝ่ายต่างคอยตดิ ตาม ความเคลอ่ื นไหว ของอีกฝ่ายหน่ึงอย่างใกล้ชิด เม่ือฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดมีความเคลื่อนไหวอย่างใดอีกฝ่ายหน่ึง ก็จะตอบโต้ด้วย ความรุนแรงพอ ๆ กัน (Wheelen and Huger, 2000 : 63 อ้างถงึ ใน พบิ ลู ทปี ะปาล, 2551 : 39) 2.2) ตน้ ทนุ คงทส่ี งู (high fixed costs) เมอื่ คู่แข่งตา่ งกด็ ำ�เนินธรุ กจิ ดว้ ยตน้ ทุนคงทดี่ ว้ ยกนั พวกเขา จะมีความรู้สึกมีแรงจูงใจที่สำ�คัญที่จะใช้สมรรถภาพของเขาให้เป็นประโยชน์มากท่ีสุด ดังน้ันเม่ือไรก็ตามที่พวก เขามสี มรรถภาพท่มี ากกวา่ ปกติ พวกเขาก็จะตัดราคาลง (cut prices) ซงึ่ จะมีผลทำ�ใหท้ กุ บรษิ ทั ในอตุ สาหกรรม กำ�ไรลดลง เนือ่ งจากการแข่งขันกันเอง ตวั อย่าง เช่น ในอุตสาหกรรมการบิน (airline industry) ซ่งึ ทกุ บรษิ ทั ตอ้ งลงทุนด้วยตน้ ทุนคงทสี่ งู เชน่ คา่ เครอ่ื งบนิ คา่ ทพ่ี กั ผโู้ ดยสารทสี่ นามบนิ เครอื่ งอ�ำ นวยความสะดวกดา้ นการบ�ำ รงุ รกั ษา สญั ญาเชา่ ระยะยาว รวมท้ังสินทรัพย์อื่น ๆ มากมาย เน่ืองจาก สายการบินต่าง ๆ จำ�เป็นต้องกำ�หนดเท่ียวบินตามตารางเวลา โดยไมค่ �ำ นงึ ถงึ วา่ แตล่ ะเทยี่ วบนิ มจี �ำ นวนผโู้ ดยสารกคี่ น ดงั นน้ั ในชว่ งฤดทู มี่ ผี โู้ ดยสารนอ้ ย เพอื่ ไมใ่ หเ้ กดิ ทนี่ ง่ั วา่ ง บนเคร่ืองบิน สายการบินต่าง ๆ จึงต่างลดราคาแข่งขันกัน จึงทำ�ให้ทุกบริษัทกำ�ไรลดลง ท้ังนี้เพราะจะต้อง เอาเงินไปผ่อนชำ�ระต้นทนุ คงทสี่ ูงน่นั เอง 2.3) การออกจากอุตสาหกรรมท่มี ีอุปสรรคสูง (Height of barriers) การแขง่ ขนั กันระหวา่ งคูแ่ ขง่ จะลดลง หากคแู่ ขง่ บางรายสามารถถอนตวั ออกจากอตุ สาหกรรมนนั้ ได้ แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามบรษิ ทั ทตี่ อ้ งการจะถอนตวั ออกไปนน้ั ไมส่ ามารถจะกระท�ำ ไดเ้ นอื่ งจาก มอี ปุ สรรคบางประการ เชน่ การมสี นิ ทรพั ยเ์ ฉพาะอยา่ งทไ่ี มส่ ามารถ 44 แนวโนม้ อาชพี อิสระในอนาคต 3 ปี ขา้ งหน้า (พ.ศ. 2558 - 2560)
เอาไปใช้กับธุรกิจอยา่ งอ่ืนได้ (specialized assets) หรอื เป็นเพราะความภักดีของผบู้ รหิ ารเอง (management ’s loyalty) ท่ีมีต่อธุรกิจบางอย่างโดยเฉพาะ จึงยอมทนอยู่แม้ว่าจะมีรายได้ต่ำ� หรือไม่คุ้มค่ากับการลงทุนก็ตาม ตวั อยา่ งเชน่ อตุ สาหกรรมเบยี ร์ จ�ำ นวนบรษิ ทั ทตี่ อ้ งถอนตวั ออกจากอตุ สาหกรรมมเี ปอรเ์ ซน็ ตน์ อ้ ยมาก เนอื่ งจาก อปุ กรณเ์ ครอ่ื งตม้ เบยี ร์ เปน็ สนิ ทรพั ยท์ ใี่ ชป้ ระโยชนเ์ ฉพาะอยา่ ง น�ำ ไปใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งอน่ื ไดน้ อ้ ยมาก นอกจาก การผลติ เบยี รเ์ ทา่ น้ัน เป็นตน้ 2.4) การสรา้ งความแตกตา่ งในผลติ ภณั ฑ์ (product differentiation) บรษิ ทั ตา่ ง ๆ บางครงั้ สามารถ ปอ้ งกนั ตนเองมใิ หเ้ กดิ สงครามราคา (price wars) กนั ได้ ดว้ ยการท�ำ ผลติ ภณั ฑใ์ หม้ ลี กั ษณะแตกตา่ งกนั กบั คแู่ ขง่ ขนั และผลไดท้ ต่ี ามมากค็ อื วา่ การท�ำ ก�ำ ไรอตุ สาหกรรมนน้ั กจ็ ะมแี นวโนม้ สงู ขนึ้ ดว้ ย เชน่ อตุ สาหกรรมซอฟตแ์ วรแ์ ละ อตุ สาหกรรมยา เปน็ ตน้ ในทางตรงกนั ขา้ ม ถา้ ในอตุ สาหกรรมนน้ั มีผลิตภณั ฑท์ ีไ่ มแ่ ตกตา่ งกันมาก เชน่ น้�ำ มัน แกส๊ ธรุ กจิ ขนสง่ ดว้ ยรถบรรทกุ และธรุ กจิ การเดนิ เรอื เปน็ ตน้ การแขง่ ขนั กจ็ ะมสี งู และการท�ำ ก�ำ ไรในอตุ สาหกรรม นั้นก็จะมีแนวโน้มลดลง 2.5) การเจรญิ เตบิ โตชา้ (slow growth) อตุ สาหกรรมใดมอี ตั ราการเจรญิ เตบิ โตชา้ แนวโนม้ การแขง่ ขนั ทรี่ นุ แรงจะมเี พมิ่ ขน้ึ อตุ สาหกรรมทอ่ี ตั ราการเจรญิ เตบิ โตชา้ เชน่ รถยนต์ การประกนั ภยั และเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ ทใ่ี ชต้ ามบา้ น เปน็ ตน้ เนอื่ งจากอตุ สาหกรรม มอี ตั ราการเจรญิ เตบิ โตชา้ คแู่ ขง่ จ�ำ เปน็ ตอ้ งใหค้ วามพยายามมากขน้ึ เพื่อการเจริญเติบโตของตนเอง หรือเพ่ือรักษาส่วนแบ่งตลาดของตนเอาไว้มิให้ลดลง ผลของการแข่งขันเพ่ือ แย่งชงิ ลกู ค้าซึ่งกนั และกันทรี่ นุ แรง การท�ำ ก�ำ ไรของทกุ บรษิ ทั กจ็ ะมแี นวโนม้ ลดลง 3) อำ�นาจตอ่ รองของผ้ซู อ้ื (bargaining power of buyers) ผู้ซ้ือผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมสามารถแสดงอำ�นาจต่อรองที่จะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมด้วยการ ใชพ้ ลงั กดราคาใหส้ นิ คา้ ราคาต�ำ่ ลง ลดปรมิ าณการซอ้ื หรอื เรยี กรอ้ งใหบ้ รษิ ทั ในอตุ สาหกรรมเพม่ิ คณุ ภาพผลติ ภณั ฑข์ น้ึ โดยให้คงราคาเท่าเดิม เรียกร้องบริการเพิ่มข้ึน หรือกำ�หนดเงื่อนไขการขายต่าง ๆ เป็นต้น เมื่อผู้ซ้ือมีอำ�นาจ ต่อรองสูงก็จะเป็นเหตุทำ�ให้คู่แข่งขันต่างหันมาเอาใจผู้ซื้ออันจะมีผลทำ�ให้การทำ�กำ�ไรของผู้ขายลดลง สำ�หรับ ปัจจัยต่าง ๆ ทีเ่ ป็นตัวกำ�หนดทำ�ใหผ้ ูซ้ ้อื หรอื กลมุ่ ผซู้ ือ้ มอี �ำ นาจตอ่ รองมากข้ึน ดังน้ี ตวั กำ�หนดอ�ำ นาจตอ่ รองของผ้ซู ื้อ (determinants of buyer power) 3.1) ผู้ซ้อื จะซอ้ื ในสัดส่วนทมี่ าก เมอื่ เทียบกบั ยอดขายรวมทง้ั หมดของผู้ขาย 3.2) ผซู้ อื้ สามารถเลอื กผขู้ ายไดม้ าก เพราะผลติ ภณั ฑเ์ ปน็ ผลติ ภณั ฑม์ าตรฐาน และไมแ่ ตกตา่ งกนั เชน่ ผู้ขบั รถยนต์สามารถเลือกซื้อนำ�้ มนั ได้จากหลายปมั๊ เปน็ ต้น 3.3) ต้นทนุ ในการเปล่ียนไปซอื้ จากผู้ขายรายอ่นื น้อยมาก 3.4) ผูซ้ อื้ มีข้อมูลอยา่ งดีเก่ียวกับผลติ ภัณฑ์ของผูข้ าย เช่น ราคาและต้นทุน ผ้ซู อื้ ยงิ่ มีขอ้ มลู มากเท่าไร กจ็ ะมกี ารต่อรองเพิ่มมากขน้ึ เทา่ นน้ั 3.5) ผู้ซื้อมีกำ�ไรตำ่� จึงถือความแตกต่างด้านราคาและบริการของผู้ขายเป็นส่ิงสำ�คัญ ตัวอย่างเช่น ร้านขายของช�ำ จะมีก�ำ ไรนอ้ ยมาก 4) อำ�นาจต่อรองของผขู้ ายปัจจยั การผลติ (bargaining power of suppliers) ผขู้ ายปจั จยั การผลิตสามารถท�ำ ให้อตุ สาหกรรมไดร้ บั ผลกระทบดว้ ยการข้ึนราคา ลดคุณภาพ หรือลด ปรมิ าณปัจจยั การผลติ อ่นื ๆ ทเ่ี ป็นองคป์ ระกอบส�ำ คญั ในการผลติ ได้ ทำ�ใหต้ น้ ทุนการผลติ ไม่แนน่ อน จงึ ท�ำ ให้ ไมส่ ามารถท�ำ ก�ำ ไรไดต้ ามเปา้ หมาย ดงั นน้ั เมอื่ ผขู้ ายปจั จยั การผลติ มอี �ำ นาจตอ่ รองสงู ประสทิ ธภิ าพการท�ำ ก�ำ ไร ในอตุ สาหกรรมกจ็ ะลดลง ปัจจยั สำ�คญั ที่ท�ำ ให้ผ้ขู ายหรือกล่มุ ผขู้ ายปจั จยั การผลติ มอี �ำ นาจตอ่ รองสงู มีดงั นี้ กองวจิ ยั ตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 45
ตัวก�ำ หนดอ�ำ นาจต่อรองของผู้ขายปัจจัยการผลติ (determinants of supplier power) 4.1) ผูข้ ายปัจจัยการผลติ มีน้อยราย จึงมอี ำ�นาจต่อรองสงู กว่า 4.2) ผลติ ภณั ฑข์ องผขู้ ายมลี กั ษณะทเี่ ปน็ เอกลกั ษณ์ หรอื อยา่ งนอ้ ยทส่ี ดุ เปน็ องคป์ ระกอบส�ำ คญั ท�ำ ให้ ผลิตภณั ฑ์ท่ีผลติ ออกมามลี ักษณะแตกตา่ งจากคแู่ ขง่ ขัน 4.3) ค่าใช้จ่ายของผซู้ ้อื หากเปล่ยี นไปซอื้ จากผขู้ ายรายอื่น (switching costs) สูง จงึ จ�ำ เป็นตอ้ งซื้อจาก ผู้ขายรายเดมิ 4.4) ไมม่ สี ินคา้ อื่นทดแทนได้ 4.5) อตุ สาหกรรมทซี่ อื้ ปจั จยั การผลติ นนั้ ซอ้ื ในสดั สว่ น หรอื ปรมิ าณนอ้ ย จงึ ไมม่ คี วามส�ำ คญั ตอ่ ผขู้ าย ปจั จยั การผลติ 5) ภัยคกุ คามจากผลิตภัณฑ์ทดแทน (threat of substitute products) ผลิตภัณฑ์ทดแทน หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ดูเหมือนจะแตกต่างกันหรือคนละชนิด แต่ก็สามารถสนอง ความต้องการของลูกค้าได้ เชน่ เดยี วกบั ผลิตภณั ฑอ์ กี อยา่ งหน่งึ อุตสาหกรรมใดทีม่ ผี ลิตภณั ฑอ์ ื่นสามารถนำ�มา ใช้ทดแทนในอุตสาหกรรมน้ันได้ ศักยภาพการทำ�กำ�ไรในอุตสาหกรรมนั้นก็จะลดลง เพราะผลิตภัณฑ์ทดแทน จะเปน็ ตวั จ�ำ กดั โอกาสในการก�ำ หนดราคา ตวั อยา่ งเชน่ ชาสามารถทดแทนไดด้ ว้ ย กาแฟ ถา้ หากราคากาแฟราคา สงู ขน้ึ มาก ผดู้ มื่ กาแฟกจ็ ะค่อย ๆ เปลยี่ นไปดมื่ ชาแทน ดงั น้ันราคาชาจึงเป็นตัวกำ�หนดเพดานราคาของกาแฟ การวิเคราะห์อุตสาหกรรมตามแนวคิดของพอร์เตอร์ท่ีกล่าวมาข้างต้นนี้ แม้ว่าพอร์เตอร์จะได้ระบุถึง พลังผลักดันเพียง 5 ประการ ท่ีทำ�ให้เกิดการแข่งขันในอุตสาหกรรม การวิเคราะห์อุตสาหกรรมดังกล่าว เปน็ เพยี งสว่ นหนงึ่ ของการวเิ คราะหส์ ภาพแวดลอ้ มทเ่ี กย่ี วกบั งาน (task environment) เทา่ นน้ั แตย่ งั มอี กี สว่ นหนงึ่ ท่เี กยี่ วขอ้ งกบั งานที่จะต้องทำ�การวเิ คราะหด์ ว้ ย คอื “กลมุ่ ผูม้ ีส่วนได้เสียกบั องคก์ าร” (stakeholders) ตารางท่ี 2.1 สรุปพลงั ผลกั ดันและเหตผุ ลท�ำ ใหเ้ กดิ การแขง่ ขนั 5 ประการ พลังผลักดนั ให้เกิดการแข่งขัน เหตุผลทำ�ให้ศกั ยภาพการทำ�กำ�ไรลดลง (COMPETITIVE FORCES) (REASONS FOR LOWER PROFIT POTENTIAL) • ภยั คุกคามจากคแู่ ขง่ หน้าใหม่ ➣ คแู่ ขง่ หนา้ ใหมจ่ ะเสนอราคาต�ำ่ กวา่ เพอ่ื แยง่ ชงิ สว่ น • ความรุนแรงของคู่แขง่ ภายในอุตสาหกรรม แบง่ ท�ำ ใหธ้ รุ กจิ เดมิ ตอ้ งเพม่ิ ตน้ ทนุ เพอื่ รกั ษาต�ำ แหนง่ • อำ�นาจต่อรองของผู้ซอื้ ทางการตลาด • อำ�นาจตอ่ รองของผู้ขายปัจจยั การผลิต ➣ คู่แข่งระหว่างบริษัทใช้ยุทธวิธีทางการตลาด เช่น • ภยั คุกคามจากผลติ ภัณฑท์ ดแทน ลดราคาลงหรือเพิม่ ตน้ ทุนในการดำ�เนินธุรกจิ มากข้ึน ➣ ผซู้ อื้ กดดนั ใหล้ ดราคาลง หรอื ตอ่ รองใหเ้ พม่ิ คณุ ภาพ ผลติ ภณั ฑ์และบรกิ าร โดยให้คงราคาเดิม ➣ ผู้ขายปัจจัยการผลิตขู่จะข้ึนราคา และ/หรือลด คณุ ภาพของสนิ คา้ และบรกิ ารลง ➣ ผลติ ภณั ฑท์ ดแทน จะเปน็ ตวั จ�ำ กดั การก�ำ หนดราคา ทีม่ า : ดัดแปลงจาก Michael E. Porter Competitive Strategy New York, 1980, pp.3–28. (Bart and Martin, 1998:224 อ้างถึงใน พบิ ลู ทปี ะปาล, 2551 : 42)) 46 แนวโนม้ อาชพี อสิ ระในอนาคต 3 ปี ขา้ งหน้า (พ.ศ. 2558 - 2560)
“กลุ่มผมู้ สี ่วนไดเ้ สยี กบั องค์การ”(stakeholders groups) คำ�ว่า “กลุ่มผมู้ ีส่วนได้เสยี กบั องค์การ” (stakeholders) หมายถึง กลมุ่ ท่ีมผี ลกระทบหรือถกู กระทบ จากการดำ�เนินกจิ กรรมต่าง ๆ ขององคก์ าร (Carroll, quoted in Lewis, Goodman, and Fandt, 2001 : 77 อ้างถึงใน พิบลู ทีปะปาล, 2551 : 43) ตามแนวคิดเดิมท่ไี ดร้ บั การยอมรบั กันมานานน้นั บริษทั จำ�เปน็ จะต้อง รบั ผดิ ชอบตอ่ ผถู้ อื หนุ้ (stockholders) เทา่ นนั้ แตต่ ามแนวคดิ ใหมบ่ รษิ ทั จะตอ้ งรบั ผดิ ชอบตอ่ ผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี ทงั้ หมด ของบรษิ ัทด้วย จากแนวคิดดงั กล่าว ขอบเขตความรับผิดชอบของบริษัทจึงขยายกว้างขึ้น กลมุ่ ผูม้ สี ว่ นไดเ้ สยี กบั องคก์ าร ได้แก่ กลุ่มตา่ ง ๆ ต่อไปนี้ เชน่ (1) ผถู้ ือหุ้น (stockholders) รวมทงั้ เจา้ ของกิจการ (owners) (2) ผูจ้ �ำ หนา่ ยวัตถุดบิ (suppliers) (3) ลกู จ้างหรอื พนักงานของบรษิ ทั และผ้จู ัดการ (employees and managers) (4) ค่แู ข่งขนั (competitors) (5) ลูกค้า (customers) (6) สมาคมการคา้ (trade associations) (7) ชุมชนต่าง ๆ (communities) (8) เจ้าหนี้ (creditors) (9) กล่มุ ผลประโยชน์ (special interest groups) (10) รฐั บาล (government) กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียกับองค์การเหล่าน้ี เป็นกลุ่มพลังผลักดันที่ทำ�ให้เกิดการแข่งขันในอุตสาหกรรม เช่นเดียวกัน จึงควรรวมกนั เป็นปัจจัยตวั ที่ 6 ของปจั จยั พลงั ผลักดนั 5 ประการของพอร์เตอร์ (ดภู าพที่ 2.2) และ ในการก�ำ หนดโอกาส (opportunities) และอปุ สรรค (threats) เพอ่ื การวางแผนกลยทุ ธก์ ็จะตอ้ งวเิ คราะห์ถงึ กลุม่ ผ้มู ีส่วนไดเ้ สยี เหล่านีด้ ้วย ข. การวเิ คราะหค์ ู่แข่งขัน (competitor analysis) การวางแผนกลยุทธ์เพื่อนำ�ความได้เปรียบมาสู่บริษัท ผู้วางแผนจำ�เป็นต้องทำ�การวิเคราะห์ เพ่ือหา ข้อมลู เก่ยี วกับคู่แข่งใหไ้ ด้มากท่ีสดุ นกั วางแผนกลยุทธจ์ ะต้องพยายามค้นหา สบื ทราบใหไ้ ดว้ า่ ขณะน้คี แู่ ขง่ ก�ำ ลงั ทำ�อะไรอยูแ่ ละกำ�ลังจะท�ำ อะไรต่อไปและการกระทำ�น้นั จะมีผลกระทบตอ่ บริษัทอยา่ งไร วลิ เลยี ม อ.ี โรธไชด์ (William E. Rothschild) นกั วางแผนกลยทุ ธบ์ รษิ ทั General Electric ไดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะ ว่า บริษัทท่ีจะประสบความสำ�เร็จนั้นจะต้องตอบคำ�ถามต่อไปน้ีให้ได้ (Higgins and Vincze, 1993 : 153 อ้างถึงใน พบิ ูล ทีปะปาล, 2551 : 44) 1) ขณะนี้ใครเป็นคู่แข่งของเรา และต่อไปในอนาคตคแู่ ขง่ ของเราจะเปน็ ใคร 2) กลยทุ ธ์ วัตถปุ ระสงค์ และเป้าหมาย หลกั ส�ำ คญั ของคู่แข่งคืออะไร 3) ตลาดโดยเฉพาะนนั้ มคี วามส�ำ คญั อยา่ งไรตอ่ คแู่ ขง่ และมอี ะไรเปน็ ปจั จยั ส�ำ คญั ทจี่ ะเปน็ หลกั ประกนั ว่า คแู่ ขง่ จะยังคงลงทุนในตลาดนั้นตอ่ ไป 4) ค่แู ขง่ มีจุดแขง็ ท่ีเปน็ จุดเด่นเปน็ เอกลักษณ์อะไรบ้าง 5) อะไรคอื จดุ อ่อนของค่แู ขง่ ทจ่ี ะถูกโจมตไี ดง้ า่ ย ๆ 6) กลยุทธ์ในอนาคตของค่แู ข่งขนั คดิ ว่านา่ จะมกี ารเปลยี่ นแปลงอะไรบ้าง 7) กลยุทธท์ ่ีคูแ่ ขง่ นำ�ไปใชท้ างการตลาด อุตสาหกรรมและบริษทั ของเขาเองคืออะไร กองวิจัยตลาดแรงงาน กรมการจดั หางาน กระทรวงแรงงาน 47
ขอ้ เสนอแนะของโรธไชดข์ า้ งต้นน้ี สามารถสรุปได้เป็น 2 ข้อ คอื คูแ่ ขง่ คอื ใคร (Who are they?) ค่แู ข่งมแี ผนการจะทำ�อะไร (What are they up to?) ดังนน้ั ในตอนน้ี จึงขอกลา่ วแยกออกเปน็ 2 ตอน เพือ่ ตอบค�ำ ถามทัง้ สองนี้ คอื การก�ำ หนดคู่แข่งขนั และการค้นหาขอ้ มลู เพื่อทราบว่ามแี ผนการจะท�ำ อะไร 1) วธิ ีกำ�หนดคู่แขง่ ขนั (how to identify competitor) นักบริหารธุรกิจสามารถกำ�หนดคู่แข่งทั้งในปัจจุบันและในอนาคต (current and potential competitors) ของบริษัทได้ จากการพิจารณาปัจจัยตัวแปรทส่ี ำ�คัญบางอยา่ ง ดังนี้คือ (Pearce and Robinson, 2000 : 96-97 อ้างถงึ ใน พิบูล ทีปะปาล, 2551 : 44) (1) พิจารณาจากค�ำ นยิ ามการก�ำ หนดขอบขา่ ยตลาด (scope of the market) ของบริษัทอ่ืน ๆ ว่า เหมอื นกันหรอื คลา้ ยกันกับของเราหรอื ไม่ ยิ่งนิยามของบริษัทอื่นๆ คลา้ ยกบั ของเรามากเทา่ ใด กย็ ง่ิ จะพจิ ารณา ไดว้ ่าจะเป็นค่แู ข่งของเรามากขึน้ เทา่ นั้น (2) พจิ ารณาจากประโยชน์ (benefits) ทล่ี กู คา้ ไดร้ บั จากผลติ ภณั ฑแ์ ละบรกิ ารทบ่ี รษิ ทั อนื่ ๆ เสนอ ให้กับลูกค้า ยิ่งประโยชน์ของผลิตภัณฑ์และบริการท่ีเสนอให้กับลูกค้าคล้ายกันมากเท่าใด โอกาสท่ีจะสามารถ ทดแทนกนั ไดร้ ะหวา่ งผลติ ภณั ฑก์ จ็ ะมมี ากขน้ึ เทา่ นน้ั หากระดบั ความสามารถในการทดแทนกนั ได้ (substitutability level) มสี งู ก็จะเปน็ แรงผลกั ดนั ให้บรษิ ทั ตา่ งแข่งขนั อย่างรนุ แรง เพอ่ื แยง่ ชงิ ลูกค้ากนั (3) พจิ ารณาจากความภกั ดขี องบรษิ ทั อน่ื ๆ ทม่ี ตี อ่ อตุ สาหกรรมนน้ั แมว้ า่ ขอ้ พจิ ารณานจี้ ะไมต่ รง ประเด็นในการกำ�หนดคู่แข่งนัก แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งสำ�คัญอย่างหนึ่งที่ผู้บริหารควรนำ�มาพิจารณา เพราะความ ภักดีของบริษัทแสดงถงึ ความตงั้ ใจและเปา้ หมายระยะยาวในการดำ�เนนิ ธรุ กจิ จากการตรวจสอบความภกั ดี หรอื ความมุ่งม่ันของบริษทั อื่น ๆ จำ�เป็นต้องอาศัยขอ้ มลู ทีเ่ ช่ือถือได้ ซึง่ ข้อมูลดงั กล่าวอาจแสดงให้เห็นถงึ แผนงาน การขยายกจิ การในขน้ั ต่อไป ซง่ึ จะบอกให้เราทราบถงึ การเป็นคูแ่ ข่งของเราในอนาคตได้ ข้อผิดพลาดทั่วไปในการก�ำ หนดคูแ่ ข่งขัน (common mistakes in identifying competitors) การกำ�หนดคู่แข่งขัน คอื เสาหลกั ไมล์ (milestone) ในการพฒั นากลยุทธข์ องบรษิ ัท การก�ำ หนด คู่แขง่ ขันเปน็ กระบวนการหนึง่ ซึ่งเป็นภาระหนกั สำ�หรับผูบ้ รหิ าร เพราะมีความไมแ่ น่นอนและมีความเสีย่ งมาก บางคร้งั ท�ำ ให้ตอ้ งเสียค่าใช้จา่ ยสงู ดว้ ย ตัวอยา่ งความผดิ พลาดที่พบเสมอมีดังนคี้ อื (1) การมุ่งเน้นคู่แข่งในปัจจุบันและคู่แข่งที่เป็นที่รู้จักกันอยู่แล้วมากจนเกินไป ในขณะท่ีให้ ความสนใจที่ผูจ้ ะเขา้ มาเปน็ ค่แู ขง่ ในอนาคต (potential entrants) น้อยมากหรอื ไมเ่ พียงพอ (2) การมุ่งเนน้ คู่แข่งรายใหญ่มากจนเกนิ ไป แต่กลับไมส่ นใจคู่แขง่ รายยอ่ ย ๆ (3) การมองข้ามคแู่ ข่งระหว่างชาติท่จี ะมขี นึ้ ในอนาคต (4) คดิ ว่าคแู่ ขง่ นั้นจะยงั คงด�ำ เนินการแบบเดิมเหมอื นกบั ในอดตี ทีผ่ ่านมา (5) อ่านสัญญาณผิดพลาด ทำ�ให้ไม่ทราบว่าคู่แข่งปรบั เปลีย่ น กลยุทธ์ และยทุ ธวิธีใหม่ (6) การมุ่งเน้นท่ีทรัพยากรด้านการเงิน (financial resources) ตำ�แหน่งทางการตลาด (market position) และกลยทุ ธ์ (strategies) ของคแู่ ขง่ มากจนเกนิ ไป แตม่ องขา้ มความส�ำ คญั ในเรอื่ งสนิ ทรพั ยท์ จ่ี บั ตอ้ งไมไ่ ด้ (intangible assets) เชน่ ทีมงานผ้บู รหิ ารระดับสูง (top management team) เป็นต้น (7) คิดวา่ ทกุ บริษัทในอตุ สาหกรรม ขนึ้ อย่กู บั ข้อจ�ำ กัดท่ีเหมอื นกนั และเปิดโอกาสให้เหมือนกนั (8) เช่ือว่าจุดมุ่งหมายของกลยุทธ์คือ ความฉลาดเหนือช้ันกว่า (outsmart) ของคู่แข่งมากกว่า ทจี่ ะทำ�ให้ความตอ้ งการและความคาดหวงั ของลูกคา้ ได้รับความพอใจ 48 แนวโนม้ อาชีพอสิ ระในอนาคต 3 ปี ข้างหนา้ (พ.ศ. 2558 - 2560)
2) การรวบรวมข้อมูลเก่ยี วกบั คแู่ ขง่ ขนั (gathering intelligence about competitors) ข้อมูลคู่แข่งขัน (competitor intelligence) เป็นปัจจัยสำ�คัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนกลยุทธ์ เพราะจะท�ำ ใหเ้ ราทราบวา่ ขณะนเ้ี ขาก�ำ ลงั ท�ำ อะไรอยู่ และเขามแี ผนการจะท�ำ อะไรในอนาคต การรวบรวมขอ้ มลู เก่ยี วกบั คแู่ ข่งอาจท�ำ ไดห้ ลายวธิ ี แต่วธิ ีทที่ ำ�ได้งา่ ยและไมต่ ้องเสียคา่ ใช้จา่ ยมาก คอื การคน้ หาจากแหล่งขอ้ มูลใน ส่งิ แวดล้อมท่ัวไป ดังแสดงในตารางที่ 2.2 วิธีหน่ึงของการรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับคู่แข่งที่นิยมกัน คือ ฝ่ายบริหารในองค์การ โดยเฉพาะ ผจู้ ดั การฝา่ ยตา่ ง ๆ ทงั้ ในสายงานหลกั และสายงานชว่ ย (line and staff) จดั ตงั้ หนว่ ยวเิ คราะหข์ อ้ มลู เกย่ี วกบั คแู่ ขง่ ขนึ้ ในองคก์ าร โดยบคุ ลากรทท่ี �ำ หนา้ ทรี่ วบรวมขอ้ มลู นี้ ไมจ่ �ำ เปน็ จะตอ้ งเปน็ ผมู้ คี วามรทู้ างดา้ นเทคนคิ โดยเฉพาะ ท�ำ หน้าทจ่ี ดั ทำ�เป็นรายงานสรุปเก่ยี วกับบทความทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง (relevant articles) (Dess and Miller, 1993 : 39 อ้างถึงใน พิบลู ทีปะปาล, 2551 : 46) ในบางบรษิ ทั ฝา่ ยบรหิ ารก�ำ หนดใหบ้ คุ คลตา่ ง ๆ ในบรษิ ทั จดั ท�ำ เปน็ รายงานการวเิ คราะหส์ ว่ นบคุ คล (individual reports) ตัวอย่างเชน่ บรษิ ทั Procter and Gramble (P&G) แตล่ ะคนจากทีมผูบ้ ริหารแตล่ ะแบรนด์ จะท�ำ งานรว่ มกบั บคุ คลส�ำ คญั จากแผนกขาย และแผนกวจิ ยั ตลาด เพอ่ื ท�ำ การวจิ ยั และเขยี นเปน็ รายงาน เรยี กวา่ “รายงานกิจกรรมการแข่งขัน” (competitive activity report) ข้ึนทุก ๆ ไตรมาส ทุกผลิตภัณฑ์ที่บริษัททำ�การ แขง่ ขนั อยู่ สว่ นแผนกจดั ซอ้ื กจ็ ะเขยี นรายงานท�ำ นองเดยี วกนั เกย่ี วกบั พฒั นาการใหม่ ๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในอตุ สาหกรรมทเี่ ปน็ ผู้จำ�หน่ายสินค้าให้กับ P&G รายงานต่าง ๆ เหล่าน้ีจะนำ�มาสรุป เพ่ือส่งตามลำ�ดับขั้นไปยังผู้บริหารระดับสูง เพ่ือใช้ในการตัดสินใจในการวางแผนกลยุทธ์ต่อไป นอกจากนน้ั ในบางบรษิ ทั ยงั ลงทนุ ดว้ ยจ�ำ นวนเงนิ สงู เพอ่ื จดั หาขอ้ มลู คแู่ ขง่ ขนั จากหนว่ ยงานตา่ ง ๆ เชน่ หน่วยสบื ข่าว (intelligence unit) ของนติ ยสาร “Economist” ซ่งึ รายงานเก่ียวกับอตุ สาหกรรม ทง้ั ภายใน ประเทศและนอกประเทศ ซง่ึ ธนาคารระหวา่ งประเทศ บอกรบั เปน็ สมาชกิ บางบรษิ ทั กใ็ ชบ้ รกิ ารของฝา่ ยทปี่ รกึ ษา (consultants) เพอ่ื จัดท�ำ รายงาน การวเิ คราะห์ และท�ำ นายผลกระทบทีจ่ ะเกิดขึ้นกับอตุ สาหกรรมและบรษิ ัท จากการวเิ คราะหส์ ภาพแวดลอ้ มภายนอกทง้ั หมด ทง้ั สภาพแวดลอ้ มทางสงั คมอนั เปน็ สภาพแวดลอ้ ม ท่อี ยวู่ งนอกมีขอบเขตกว้าง ไดแ้ ก่ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม วฒั นธรรม เทคโนโลยี การเมือง และ กฎหมาย รวมทั้งสภาพแวดลอ้ มทีอ่ ยู่วงในใกล้ตัว คอื สภาพแวดลอ้ มที่เกี่ยวกับงาน ขอ้ มูลที่ได้จากการวิเคราะห์ ทั้งหมด จะน�ำ มาเลือกสรรเปน็ ปจั จยั กลยทุ ธ์ 2 ตัว คือ โอกาส (opportunities) และ อุปสรรค (threats) ของ บรษิ ทั ดังแสดงในภาพที่ 2.3 กองวจิ ัยตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน 49
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118