ครูผู้สอน คุณครู อรทยั แสงมณจี รัส วทิ ยาลัยเกษตร และเทคโนโลยเี ชยี งใหม่
การประมงทวั่ ไป 2501-2005 วิชาการประมงทวั่ ไป 1-2-2 จุดประสงคร์ ายวิชา เพ่ือให้ 1.เขา้ ใจหลกั การเบ้ืองตน้ ในการทาการประมง การผลิตสตั วน์ ้าและสถานการณก์ าร ประมงในประเทศไทยและประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2.สามารถปฏิบตั ิงานเบ้ืองตน้ เก่ียวกบั การประมงและการผลิตสตั วน์ ้าโดยคานึงถึงการ อนุรกั ษท์ รพั ยากรประมง 3.มีเจตคติท่ีดีตอ่ อาชีพการประมงและการผลิตสตั วน์ ้า และมีกิจนิสยั ในการทางานดว้ ย ความรอบคอบ ปลอดภยั ขยนั อดทนและมีความรบั ผิดชอบตอ่ ส่ิงแวดลอ้ ม คาอธิบายรายวิชา ศึกษาและปฏิบตั ิเก่ียวกบั ความสาคญั และหลกั การทาประมง สถานการณก์ ารประมงใน ประเทศและประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน แหลง่ ทาการประมง สตั วน์ ้าท่ีสาคญั ทางเศรษฐกิจ วิธีการเพาะพนั ธุแ์ ละเล้ียงสตั วน์ ้าแบบตา่ งๆ การใชป้ ระโยชนจ์ ากสตั วน์ ้า และการอนุรกั ษ์ ทรพั ยากรประมง
บทที่ 1 ความหมายและความสาคญั ของการประมง จุดประสงคก์ ารสอน 1. อธิบายความหมายของการประมงได้ 2. อธิบายพฒั นาการการประมงของประเทศไทยได้ 3. บอกความสาคญั ทางเศรษฐกิจของการประมงได้ 4. บอกอุตสาหกรรมท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การประมงได้ เน้ือหาการสอน การประมงของประเทศไทย การประมงเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจท่ีสาคญั อยา่ งหน่ึงของประเทศมาชา้ นาน เพราะนอกจากเป็นอาชีพท่ี มน่ั คงอาชีพหน่ึงแลว้ ยงั เป็นแหลง่ อาหารโปรตีนท่ีมีคุณภาพดีและราคาถูกอีกดว้ ย ประเทศไทยจดั เป็นประเทศท่ี มีศกั ยภาพในการทาการประมงคอ่ นขา้ งดี เพราะมีทงั้ ชายฝ่งั ทะเลท่ีอุดมสมบูรณด์ ว้ ยสตั วน์ ้านานาชนิด และใน พ้ืนแผน่ ดินก็มีแหลง่ น้าจืดตามธรรมชาติ เชน่ แมน่ ้า ลาคลอง ทะเลสาบ และแหลง่ น้าทว่ มในฤดูฝนกระจาย อยูท่ ว่ั ประเทศ ทาใหม้ ีความสามารถทาการประมงไดท้ ง้ั ประมงทะเลและประมงน้าจืด ประกอบกบั ความสามารถ ของชาวประมงไทยและการไดร้ ับการพฒั นาทางดา้ นเคร่ืองมือประมง ทาใหป้ ระเทศไทยเป็นประเทศหน่ึงท่ี สามารถจบั ปลาไดม้ ากเป็นอนั ดบั ตน้ ๆ ของโลก และเป็นประเทศท่ีจบั ปลาไดม้ ากท่สี ุดในภูมิภาคเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้(ประภาส , 2549) ความหมายของการประมง การประมง (Fishery) หมายถึง การทากิจกรรมท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การจบั สตั วน์ ้า การเพาะเล้ียงสตั วน์ ้า การแปรรูปสตั วน์ ้า ตลอดจนการซ้ือขายสตั วน์ ้า โดยรวมทง้ั สตั วน์ ้าจืดและสตั วน์ ้าเค็ม ทง้ั น้ีไดแ้ บง่ ออกเป็น 3 ลกั ษณะตามแหลง่ ท่ีอยูข่ องสตั วน์ ้า ดงั น้ี (ธีรพนั ธ์ , 2530) 1. การประมงน้าจืด (Inland fishery) หมายถึง การทาอาชพี เก่ียวกบั การประมง ทง้ั ในดา้ นการจบั และการเพาะเล้ียงสตั วน์ ้าจืด เป็นการประมงแบบยงั ชีพ สว่ นใหญม่ ุง่ การจบั ปลาเพ่ือการบริโภคในครัวเรือน โดยจบั ตามแมน่ ้า ลาคลอง หนอง บึง ฯลฯ แตถ่ า้ ไดป้ ลาปริมาณมากเกินกวา่ จะบริโภคหมดในทอ้ งถ่ินจึงมี การนาไปจาหน่ายยงั ทอ้ งถ่ินอ่ืน หรือนาไปแปรรูปเป็นผลิตภณั ฑอ์ ยา่ งอ่ืน เชน่ ปลารา้ ปลาเจา่ ปลาเค็ม ปลารมควนั กะปิ น้าปลา ฯลฯ 2. การประมงชายฝ่งั (Inshore fishery) หมายถึงการทาประมงในแหลง่ น้ากร่อยตามบริเวณพ้ืนท่ี ชายฝ่งั ทะเลหรือปากแมน่ ้าโดยใชเ้ รือ หรื อเคร่ืองมือประมงขนาดเล็ก รวมถึงการใชป้ ระโยชน์จากพ้ืนท่ี ชายฝ่งั เพ่ือการเพาะเล้ียงสตั วน์ ้า การทานากงุ้ การเล้ียงปลาทะเล การเล้ียงหอย การเล้ียงปู การทาฟาร์ม
สาหร่ายทะเล ฯลฯ ซ่ึงปจั จุบนั สตั วน์ ้าชายฝ่งั ทะเลทารายไดใ้ หก้ บั ประเทศมาก โดยจาหน่ายทง้ั ในรูปของสด และแปรรูป 3. การประมงทะเล (Sea fishery) หมายถึง การทาประมงในบริเวณเขตไหลท่ วีปท่ีหา่ งฝ่งั ออกไปทง้ั ท่ี เป็นเขตในน่านน้าและนอกน่านน้าของไทย โดยมีการใชเ้ รือและเคร่ืองมือประมงขนาดใหญ่ มีอุปกรณท์ ่ี ทนั สมยั เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพในการจบั สตั วน์ ้า และจะใชเ้ วลาในการทาประมงหลายวนั ในบางครั้งเรือประเภท น้ีนอกจากจะจบั สตั วน์ า้ แลว้ ยงั มีการแปรรูปแบบครบวงจรเพ่ือเตรียมสง่ สูต่ ลาด หรือสง่ ตา่ งประเทศ ประวตั ิการประมงของประเทศไทย จากหลกั ทางประวตั ิศาสตรข์ องการตง้ั ถ่ินฐานของชนชาติไทยทุกยุค ทุกสมยั ตงั้ แตส่ มยั กรุงสุโขทยั กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ตา่ งก็สรา้ งบา้ นเรือนบริเวณท่ีราบใกลแ้ มน่ ้าดว้ ยกนั ทงั้ น้ัน ซ่ึงนอกจากจะเพ่ือการนาน้ามาใชบ้ ริโภคในครัวเรือน ยงั นาน้ามาใชใ้ นการเกษตรและเป็นแหลง่ จบั ปลาเพ่ือ การบริโภคอีกดว้ ย ในสมยั นั้นประชากรรูจ้ กั เพียงการจบั ปลาเทา่ นัน้ ซ่ึงปริมาณปลาก็มีเพียงพอแกก่ าร บริโภค ตอ่ มาในรัชกาลสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยูห่ วั รชั กาลท่ี 6 ม.ร.ว.สุวพรรณ สนิทวงค์ (หรือเป็นผู้ ท่ีรูจ้ กั กนั โดยทว่ั ไปวา่ ดร. ใหญ่ แหง่ บริษทั ขุดคลองและคูนาแหง่ สยาม ซ่ึงเป็นบริษทั ท่ีไดร้ บั สมั ปทานขุดคลอง รังสิตท่ีเช่ือมตอ่ ระหวา่ งแมน่ ้านครนายกและแมน่ ้าเจา้ พระยา) ไดส้ งั เกตเห็นวา่ ปริมาณสตั วน์ ้าจืดในสมยั นั้น มีปริมาณนอ้ ยลงและขนาดเล็กลง จึงวิตกวา่ หากปลอ่ ยปละละเลยอีกตอ่ ไป โดยขาดการเอาใจใสด่ ูแลและ ทานุบารุงรกั ษาไว้ ตอ่ ไปภายหนา้ ชาวนาซ่ึงเป็นกระดูกสนั หลงั ของชาติ อาจตอ้ งขาดแคลนปลาเพ่ือการ บริโภคแน่นอน จึงไดป้ รึกษากบั เจา้ พระยาพลเทพ ฯ (เฉลิม โกมารกุล ณ นคร) เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิ การในสมยั นั้นและไดน้ าความกราบบงั คมทูล ฯ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ซ่ึงทรงเห็นชอบดว้ ย และไดม้ ีพระบรมราชโองการจดั แบง่ หนา้ ท่ีในการบงั คบั บญั ชาการเล้ียงสตั วน์ ้าใหม่ เม่ือปี พ.ศ.2426 ทรง โปรดเกลา้ ฯ ใหก้ ระทรวงเกษตราธิการ มีหนา้ ท่เี พาะเล้ียงดูแลรกั ษาสตั วน์ ้า แนะนา กาหนดฤดูงดจบั สตั วน์ ้า กาหนดขนาดตาอวนและขนาดเคร่ืองมือจบั สตั วน์ ้า หา้ มใชเ้ คร่ืองจบั สตั วน์ า้ บางอยา่ ง หา้ มการวางยาเบ่ือ เมา การใชว้ ตั ถุระเบิด และการวิดน้าในบอ่ ธรรมชาติจนแหง้ ฯลฯ เพ่ือเป็นการป้องกนั พืชพนั ธุส์ ตั วน์ ้าไมใ่ ห้ ถูกทาลาย และมอบใหก้ ระทรวงพระคลงั มหาสมบตั ิ มีหนา้ ท่ีในการปกครองท่ีจบั สตั วน์ า้ การเก็บเงินอากร ในท่ีจบั และการจบั สตั วน์ ้า รวมทงั้ การเก็บเงินอากรคา่ น้า เพ่ือใหบ้ รรลุตามพระบรมราชโองการ ให้ กระทรวงทง้ั สองไดม้ ีการปรึกษาหารือและการประสานงานกนั ในเร่ืองการประมงอยา่ งใกลช้ ิด เน่ืองจากในขณะนั้นประเทศไทย ยงั ขาดผูท้ ่ีมีความรอบรูใ้ นเร่ืองพนั ธุส์ ตั วน์ ้าและ การบริหารการ ประมง รัฐบาลในสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ไดจ้ า้ ง ดร.ฮิว แมคคอรม์ ิค สมิท (Dr. Hugh M.Smith) ชาวอเมริกนั มาเป็นท่ีปรึกษาแผนกสตั วน์ ้าของรัฐบาล โดยใหม้ าสารวจพนั ธุส์ ตั วน์ ้าและการประมงในน่านน้า จืดและน่านน้าเค็มทว่ั ราชอาณาจกั ร กระทรวงเกษตราธิการไดท้ ูลเกลา้ ฯ ถวายรายงานน้ีตอ่ พระบาทสมเด็จ พระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ วั เพ่ือไดท้ ราบไตฝ้ ่าละอองธุลีพระบาท และไดน้ าเสนอตอ่ สภาเผยแพร่พาณิชยเ์ พ่ือ พิจารณา และมีมติเห็นควรใหต้ ง้ั “ กรมรักษาสตั วน์ ้า ” ข้ึนเป็นกรมหน่ึงในกระทรวงเกษตราธิการซ่ึงตอ่ มาได้ มีพระบรมราชโองการตง้ั “ กรมรกั ษาสตั วน์ ้า ” ข้ึนในวนั ท่ี 21 กนั ยายน 2469 เพ่ือทาหนา้ ท่ีเพาะเล้ียงสตั ว์
น้า บารุงรกั ษาสตั วน์ ้า และโปรดเกลา้ ให้ ดร. ฮิว แมคคอรม์ ิค สมิท เป็นเจา้ กรมรกั ษาสตั วน์ ้าคนแรก เม่ือ 27 กนั ยายน 2469 กรมรกั ษาสตั วน์ ้าในครง้ั น้นั คือ กรมประมงในปัจจุบนั (กรมประมง , 2544) จากรายงานของ ดร. สมิท รัฐบาลไดส้ ่งั ใหป้ รับปรุงบึงบอระเพ็ด โดยไดส้ รา้ งประตูระบายน้าข้ึน ท่ีบึงบอระเพ็ด ใน พ.ศ.2470 แลว้ เร่ิมกกั เก็บน้าตงั้ แตน่ ้ันเป็นตน้ มา พรอ้ มทงั้ ไดส้ รา้ งประตูประมงข้ึน คือ ศูนยว์ ิจยั และพฒั นาการประมงน้าจืดจงั หวดั นครสวรรคใ์ นปจั จุบนั ซ่ึงเป็นสถานีประมงแหง่ แรกของประเทศ และใน พ.ศ.2484 กรมประมงไดป้ รับปรุงกวา้ นพะเยาโดยสรา้ งประตูระบายน้าข้ึนท่ีลาน้าแมอ่ ิง ทาใหเ้ กิด แหลง่ น้าขนาดใหญ่ เพ่ือใหเ้ ป็นท่ีบารุงรกั ษาพนั ธุป์ ลาในภาคเหนือจึงไดส้ รา้ งสถานีประมงข้ึนซ่ึงปจั จุบนั นน้ั คือ ศูนยว์ ิจยั และพฒั นาประมงน้าจืดจงั หวดั พะเยา ในระยะเวลาเดียวกนั น้ีกรมประมงไดส้ รา้ งประตูระบายน้า ข้ึนอีกแหง่ ท่ีลาน้าคา เพ่ือกกั เก็บน้าไวใ้ นหนองหาร จงั หวดั สกลนคร เพ่ือใหเ้ ป็นแหลง่ รักษาพืชพนั ธุป์ ลาในภา คะวนั ออกเฉียงเหนือ แตก่ ารกอ่ สรา้ งลา่ ชา้ ไปเน่ืองจากสงครามมหาเอเชียบูรพา กวา่ จะเสร็จก็กินเวลากวา่ สิบปี สรา้ งเสร็จในปี พ. ศ. 2496 และในปี พ.ศ.2485 ก็ไดส้ รา้ งสถานีประมงข้ึน คือศูนยว์ ิจยั และพฒั นา ประมงน้าจืดจงั หวดั สกลนคร ในปัจจุบนั น่ันเอง ขณะท่ีกระทรวงเกษตราธิการ กาลงั เร่ิมงานบารุงและรกั ษาพนั ธุส์ ตั วอ์ ยูน่ นั้ ก็มีความตอ้ งการผู้ ท่ีมีความรูเ้ ช่ียวชาญเก่ียวกบั ปลาโดยเฉพาะมาชว่ ยงานบารุงรกั ษาพนั ธุส์ ตั วน์ า้ แตร่ ฐั บาลในขณะนัน้ (พ.ศ.2468)ไดง้ ดการใหท้ ุนสาหรับสง่ นักเรียนไทยไปศึกษาตา่ งประเทศซ่ึงเป็นผลเน่ืองจากภาวะเศรษฐกิจ ตกต่าเน่ืองจากสงครามโลกคร้งั ท่ีหน่ึง ความทราบถึงสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์ อดุยเดชวิกรม พระบรมราช นก ไดแ้ สดงพระประสงคจ์ ะประทานทรัพยส์ ว่ นพระองค์ เป็นทุนอุดหนุนใหก้ ระทรวงเกษตราธิการ จดั สง่ นกั เรียนไปศึกษาวิชาเพาะพนั ธุป์ ลาในตา่ งประเทศ จานวน 2 ทุน เวลา 6 ปี กระทรวงเกษตราธิการไดส้ อบ คดั เลือกบุคคลไปศึกษาวิชาเพาะพนั ธุป์ ลาในตา่ งประเทศ ผลปรากฏวา่ หลวงจุลชีพพิชชาธร (จุลน์ วจั นคุปต)์ และนายบุญ (บุญชว่ ย) อินทรมั พรรย์ เป็นผูส้ อบคดั เลือกได้ จึงเป็นนักทุนมหิดลรุ่นแรก ท่ีไดเ้ ดินทางไปศึกษา วิชาการเพาะพนั ธุป์ ลา ณ ประเทศสหรฐั อเมริกา เม่ือ พ.ศ. 2496 และยงั มีเงินทุนเหลืออยู่ กระทรวงเกษ ตราธิการจึงเปิดสอบคดั เลือกอกี คร้งั หน่ึงปรากฏวา่ นายโชติ สุวตั ถิ เป็นผูส้ อบคดั เลือกไดแ้ ละไดไ้ ปศึกษา วิชาเพาะพนั ธุป์ ลาเพ่ิมอีกคนหน่ึง ใน พ.ศ.2472 (กรมประมง , 2544) นักเรียนทุนมหิดลทงั้ สามทา่ นน้ี เม่ือสาเร็จการศึกษาแลว้ ไดก้ ลบั มารับราชการในกรมรักษาสตั วน์ ้า ไดท้ าประโยชน์ใหแ้ กป่ ระเทศชาติอยา่ งมากมายเก่ียวกบั การอนุรักษ์ทรัพยากรประมง การสรา้ งนักวิชาการ ประมง และการพฒั นาอาชีพการประมง หลวงจุลชีพพิชชาธร ไดร้ บั การแตง่ ตง้ั ใหเ้ ป็นเจา้ กรมรกั ษาสตั ว์ น้าตอ่ จาก ดร. สมิท เม่ือปี พ.ศ.2473 และตอ่ มา นายบุญ อินทรัมพรรย์ ไดด้ ารงตาแหน่งในปี พ.ศ. 2487 สว่ นนายโชติ สุวตั ถิ ไดโ้ อนไปรบั ราชการในมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ และไดแ้ ตง่ ตงั้ ใหด้ ารง ตาแหน่งคณบดีคณะประมง จนเกษียณอายุราชการ (กรมประมง , 2544) ความสาคญั ทางเศรษฐกิจของการประมง ประเทศไทยมีสภาพทางภูมิศาสตรท์ ่ีเอ้ืออานวยตอ่ ความสมบูรณข์ องทรพั ยากรประมงเพราะมีท่ีตงั้ บน คาบสมุทรอินโดจีน ตอนลา่ งของประเทศเป็นชายฝ่งั ทะเลทง้ั สองดา้ น ดา้ นตะวนั ออกติดกบั อา่ วไทยมีความ ยาวของฝ่งั ทะเล 1,870 กิโลเมตร สว่ นดา้ นตะวนั ตกติดกบั ทะเลอนั ดามนั มีความยาวของชายฝ่งั ทะเล 800
กิโลเมตร สภาพพ้ืนทอ้ งทะเลมีไหลท่ วีปท่ีกวา้ งเหมาะแกก่ ารทาประมงเป็นอยา่ งย่ิง คิดเป็นเน้ือท่ีประมาณ 252,000 ตารางกิโลเมตร สว่ นพ้ืนท่ีภายในประเทศก็อุดมดว้ ยแหลง่ น้าจืด เชน่ แมน่ ้าจานวน 66 สาย หนอง บึงกวา่ 10,220 แหง่ และยงั มีอา่ งเก็บน้าประเภทตา่ ง ๆ ประมาณ 685 แหง่ รวมเน้ือท่ีของแหลง่ น้าจืด ประมาณ 5,661.8 ตารางกิโลเมตร แหลง่ น้าเหลา่ น้ีจะอุดมไปดว้ ยสตั วน์ ้านานาชนิดโดยเฉพาะปลา จากการ สารวจคน้ ควา้ ของกรมประมงรายงานวา่ ประเทศไทยมีพนั ธุป์ ลาน้าจืดประมาณ 560 ชนิด และพนั ธุป์ ลา ทะเลประมาณ 2,000 ชนิด นอกจากนนั้ ยงั มีสตั วน์ ้าประเภทอ่ืนเชน่ กงุ้ ปู หอย หมึก ปลิงทะเล สาหร่าย ตะพาบน้า เตา่ ฯลฯ ดงั นน้ั การประมงของประเทศไทยนบั วา่ มีบทบาทตอ่ ระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอยา่ ง ย่ิง เน่ืองจากผลผลิตของสตั วน์ ้าเป็นอาหารหลกั ของคนไทยมาชา้ นาน รวมทง้ั กิจการการประมงก็เป็ น อุตสาหกรรมขนาดใหญข่ องประเทศ ท่ีนบั วา่ จะพฒั นาใหก้ า้ วหนา้ ไปเร่ือย ๆ ฉะนน้ั ความสาคญั ของการประมง ไทย จึงแบง่ ไดเ้ ป็น 1. เป็นแหลง่ เงินตราตา่ งประเทศท่ีสาคญั ประเทศไทยไดร้ บั เงินรายไดจ้ ากการสง่ สินคา้ สตั วน์ ้า ออกไปจาหน่ายยงั ตา่ งประเทศปีหน่ึง ๆ เป็น จานวนมาก เน่ืองจากผลิตภณั ฑส์ ตั วน์ ้ามีมูลคา่ สง่ ออกสูงเป็นอนั ดบั หน่ึง เม่ือเทียบกบั มูลคา่ สินคา้ สง่ ออก ภาคเกษตร นบั ตง้ั แตป่ ี พ.ศ.2529 เป็นตน้ มา โดยมีมูลคา่ การสง่ ออกเพ่ิมสูงข้ึนอยา่ งรวดเร็ว เชน่ ในปี พ.ศ. 2528 มีมูลคา่ 16,768.8 ลา้ นบาท ปี พ.ศ. 2533 มีมูลคา่ 57,800.3 ลา้ นบาท ในปี พ.ศ.2544 ซ่ึง เป็นชว่ งวิกฤติทางเศรษฐกิจมีมูลคา่ 442,491 ลา้ นบาท (กองควบคุมอาหาร , 2545) 2. เป็นแหลง่ แรงงานท่ีสาคญั เน่ืองจากการประมงเป็นกิจกรรมท่ียงั ตอ้ งอาศยั แรงงานคน ดงั น้นั จึงกอ่ ใหเ้ กิดการจา้ งงานขนาดใหญ่ ข้ึนในประเทศ ทงั้ ในแงก่ ารผลิตโดยตรงและการสรา้ งเสริมมูลคา่ เพ่ิม ทงั้ น้ีเน่ืองจากวา่ การประมงกอ่ ใหเ้ กิด การอุตสาหกรรมท่ีตอ่ เน่ือง อนั ไดแ้ ก่ อุตสาหกรรมหอ้ งเย็นและการแปรรูปสตั วน์ ้า อุตสาหกรรมอาหารทะเล บรรจุกระป๋ อง อุตสาหกรรมและธุรกิจท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การประมง เชน่ การตอ่ เรือ ซอ่ มเรือ โรงน้าแข็ง โรงงานผลิตและจาหน่ายอุปกรณก์ ารประมง ธุรกิจแพปลา สะพานปลา ทา่ เทียบเรือประมง กิจการน้ามนั เช้ือเพลิง สถาบนั การเงิน โดยท่ีอุตสาหกรรมเหลา่ น้ีกอ่ ใหเ้ กิดการจา้ งแรงงานประมาณ 88,000 - 100,000 คน 3. เป็นแหลง่ ผลิตอาหารจาพวกโปรตีนท่ีสาคญั ทรัพยากรประมงเป็นแหลง่ อาหารจาพวกโปรตีนราคาถูกใหแ้ กป่ ระชากร เพราะเม่ือคิดเปรียบราคา ของอาหารประเภทเน้ือสตั วด์ ว้ ยกนั แลว้ จะเห็นวา่ ราคาเฉล่ียของสตั วน์ ้า 1 กิโลกรมั จะมีราคาถูกกวา่ เน้ือววั หมู ไก่ ในปริมาณท่ีเทา่ กนั ในทอ้ งตลาด ดว้ ยเหตุน้ีจึงทาใหอ้ าหารจาพวกสตั วน์ ้า กลายเป็นอาหารท่คี นไทย บริโภคมากท่ีสุด ในบรรดาเน้ือสตั วท์ ง้ั หลาย รองจากขา้ วและผกั โดยสรุปจานวนน้าหนักท่ีบริโภคตอ่ คนของ อาหารประเภทตา่ ง ๆ ใน 1 ปี มีดงั น้ี
ชนิดอาหาร ปริมาณ (กก./คน/ปี) ขา้ ว 144.51 ผกั 37.20 เน้ ื อปลา 14.72 ไข่ 6.56 ผลไม้ 5.66 เน้ ื อหมู 3.44 เน้ ื อไก่ 3.02 เน้ ื อววั 2.62 อ่ ื นๆ 1.53 ตารางท่ี 1 แสดงปริมาณการบริโภคอาหารท่ีสาคญั ของคนไทยตอ่ คนในรอบปี ภาพท่ี 1 แสดงอาหารท่ีไดม้ าจากสตั วน์ ้า อุตสาหกรรมท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การประมง จากการดาเนินการทางดา้ นการประมงมีผลทาใหเ้ กิดอุตสาหกรรมท่ีเก่ียวขอ้ งอีกหลายประเภท ซ่ึงทา ใหม้ ีการจา้ งแรงงาน การเพ่ิมอาชีพ และมีเงินหมุนเวียนเกิดข้ึนอีกจานวนมาก จากสถิติของกรมประมง พ.ศ. 2543 มีอุตสาหกรรมตา่ ง ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งพอสรุปไดด้ งั น้ี (กรมประมง , 2544) 1. อุตสาหกรรมหอ้ งเย็น มีโรงงานหอ้ งเย็นจานวน 142 โรง ดาเนินการผลิตสตั วน์ ้าแชแ่ ข็ง จาพวก กุง้ สด หมึกสด ปลาสด และอ่ืน ๆ เพ่ือการสง่ ออก ซ่ึงในปี พ.ศ. 2543 มีปริมานสตั วน์ ้าสดท่ีเขา้ หอ้ งเย็น จานวน 960,996 ตนั แยกเป็น กุง้ 311,378 ตนั ปู 5,855 ตนั หมึก 151,803 ตนั ปลา 462,902 ตนั หอย 28,120 ตนั และกงั้ 938 ตนั 2. อุตสาหกรรมการผลิตน้าแข็ง มีโรงงานน้าแข็งผลิตน้าแข็งเพ่ือการประมงจานวน 201 โรง
ผลิตน้าแข็งในรูปแบบเป็นกอ้ นจานวน 4,2412,357 ซอง และในรูปแบบเกล็ดจานวน 511,200 ตนั 3. อุตสาหกรรมแปรรปู สตั วน์ ้า ไดม้ ีการขยายตวั ของโรงงานแปรรูปสตั วน์ ้าประเภทตา่ ง ๆ อยา่ ง รวดเร็ว เน่ืองจากความตอ้ งการสตั วน์ ้าแปรรูปของตลาดตา่ งประเทศมีปริมาณสูงข้ึน ไดแ้ ก่ 3.1 โรงงานสตั วน์ ้าบรรจุกระป๋ อง 45 โรง ใชป้ ริมาณสตั วน์ ้าสดในการผลิตจานวน 1,012,024 ตนั 3.2 โรงงานน้าปลา 86 โรง ใชป้ ริมาณสตั วน์ ้าสดในการผลิตจานวน 104,174 ตนั 3.3 โรงงานน้าบูดู 123 โรง ใชป้ ริมาณสตั วน์ ้าสดในการผลิตจานวน 773 ตนั 3.4 โรงงานน่ึงปลา 86 โรง ใชป้ ริมาณสตั วน์ ้าสดในการผลิตจานวน 9,993 ตนั 3.5 โรงงานยา่ งและรมควนั 17 โรง ใชป้ ริมาณสตั วน์ ้าสดในการผลิตจานวน 2,135 ตนั 3.6 โรงงานปลาเค็ม 665 โรง ใชป้ ริมาณสตั วน์ ้าสดในการผลิตจานวน 45,333 ตนั 3.7 โรงงานกุง้ แหง้ 124 โรง ใชป้ ริมาณสตั วน์ ้าสดในการผลิตจานวน 16,690 ตนั 3.8 โรงงานหมึกแหง้ 381 โรง ใชป้ ริมาณสตั วน์ ้าสดในการผลิตจานวน 17,801 ตนั 3.9 โรงงานหอยแหง้ 160 โรง ใชป้ ริมาณสตั วน์ ้าสดในการผลิตจานวน 30,628 ตนั 3.10 โรงงานลูกช้ินปลา 82 โรง ใชป้ ริมาณสตั วน์ ้าสดในการผลิตจานวน 9,008 ตนั 3.11 โรงงานขา้ วเกรียบกุง้ 148 โรง ใชป้ ริมาณสตั วน์ ้าสดในการผลิตจานวน 6,054 ตนั 4. อุตสาหกรรมแปรรปู อาหารสตั ว์์ มีโรงงานปลาป่น 96 โรง ใชป้ ริมาณสตั วน์ ้าสด (ปลาเป็ด และเศษปลาท่ีเหลือจากโรงงานปลากระป๋ อง) ในการผลิตจานวน 1,147,091 ตนั ปริมาณปลาป่นท่ีผลิตได้ 299,073 ตนั คิดเป็นมูลคา่ 5299.57 ลา้ นบาท 5. อุตสาหกรรมการต่อเรือ ดาเนินกิจการเก่ียวกบั การตอ่ เรื อและการซอ่ มเรือ มีอูต่ อ่ เรือไมน่ อ้ ย กวา่ 150 อู่ และโรงตอ่ คานเรือ ประมาณ 100 โรง 6. อุตสาหกรรมการผลิตอวน ดาเนินกิจการเก่ียวกบั การผลิตเน้ืออวน และขา่ ยขนาดชอ่ งตา ตา่ ง ๆ มีโรงงานผลิตอวนไมน่ อ้ ยกวา่ 100 โรง นอกจากอุตสาหกรรมดงั ท่ีกลา่ วมาแลว้ ยงั มีอุตสาหกรรมเก่ียวเน่ืองหรือมีความสมั พนั ธก์ บั การ ประมงคอ่ นขา้ งมาก คือ โรงงานผลิตอุปกรณท์ าการประมง แพปลา สะพานปลา น้ามนั เช้ือเพลิง และ สถาบนั การเงิน เป็นตน้
บทสรปุ ลาดบั หวั ขอ้ ในบทเรียน 1. การประมงของประเทศไทย 2. ความหมายของการประมง 3. ประวตั ิการประมงของประเทศไทย 4. ความสาคญั ทางเศรษฐกิจของการประมง 4.1 เป็นแหลง่ เงินตราตา่ งประเทศท่สี าคญั 4.2 เป็นแหลง่ แรงงานท่ีสาคญั 4.3 เป็นแหลง่ ผลิตอาหารจาพวกโปรตีนท่ีสาคญั 5. อุตสาหกรรมท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การประมง 5.1 อุตสาหกรรมหอ้ งเย็น 5.2 อุตสาหกรรมการผลิตน้าแข็ง 5.3 อุตสาหกรรมแปรรูปสตั วน์ ้า 5.4 อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารสตั ว์ 5.5 อุตสาหกรรมการตอ่ เรือ 5.6 อุตสาหกรรมการผลิตอวน การประมงเป็นการดาเนินกิจกรรมท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การจบั สตั วน์ ้า การเพาะเล้ียงสตั วน์ ้า และการแปร รูปสตั วน์ ้า เพ่ือใหไ้ ดม้ าซ่ึงผลผลิตอนั จะเป็นรายไดใ้ หก้ บั ผูด้ าเนินการ และเป็นรายไดใ้ หแ้ กป่ ระเทศในภาพรวม ซ่ึงผลผลิตก็จะไดม้ าจากการ ประมงน้าจืด ประมงชายฝ่งั และการประมงทะเล อาหารประเภทสตั วน์ ้าถือได้ วา่ เป็นประเภทของอาหารท่สี าคญั ท่ีสุดของคนไทยเรามาแตด่ ง้ั เดิม ดงั คากลา่ วของพอ่ ขุนรามคาแหงมหาราช ในหลกั ศิลาจารึกท่ีวา่ “ ในน้ามีปลาในนามีขา้ ว ” แสดงวา่ ประเทศไทยเรามีความอุดมสมบูรณ์ ในดา้ นการ ประมงมาชา้ นานแลว้ ถา้ เรามีการจดั การแหลง่ ทาการประมงท่ีดีแลว้ ก็จะมีความสามารถในการใหผ้ ลผลิต (Carrying capacity) ของแหลง่ ทาการประมงนนั้ ๆ เพ่ิมสูงข้ึน สว่ นในแหลง่ ทาการประมงท่ีขาดการบารุงรักษา ท่ีดี ก็จะทาใหค้ วามสามารถในการใหผ้ ลผลิตต่าลงไป
แบบฝึ กประสบการณ์ 1. การประมง (Fishery) หมายถึง .............................................................................................................................................................................. 2. การท่ปี ริมาณสตั วน์ ้าในแหลง่ น้าธรรมชาติมีปริมาณลดลงมีสาเหตุมาจาก 2.1.......................................................................................................................................... 2.2.......................................................................................................................................... 3. สถานีประมงแหง่ แรกของไทย คือ……................................................................................................. 4. การประมงมีความสาคญั คือ 4.1.......................................................................................................................................... 4.2.......................................................................................................................................... 4.3………………………………………………………………….……………………………… 5. ผลผลิตทางการประมงของไทย สว่ นใหญจ่ ะมาจากแหลง่ ทาการประมงประเภท ........................................................................................................................................................................... 6. อธิบดีกรมประมงคนแรกของไทย คือ..................................................................................................... 7. นกั เรียนทุนมหิดลรุ่นแรกท่ีเดินทางไปศึกษาวิชาเพาะพนั ธุป์ ลา ณ ประเทศสหรฐั อเมริกาคือ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................ 8. วนั สถาปนากรมประมง ตรงกบั วนั ท่ี………………………………………………………………………… 9. การประมงทาใหเ้ กิดงานอาชีพท่ีเก่ียวขอ้ งตามมา เชน่ 9.1.......................................................................................................................................... 9.2.......................................................................................................................................... 9.3..........................................................................................................................................
บทที่ 2 ทรพั ยากรประมง จุดประสงคก์ ารสอน 1. บอกความหมายและความสาคญั ของทรพั ยากรประมงได้ 2. อธิบายถึงสถานการณท์ รัพยากรประมงของประเทศไทยได้ 3. บอกถึงประเภทของทรัพยากรประมงท่ีมีความสาคญั ทางเศรษฐกิจได้ เน้ือหาการสอน ความหมายของสตั วน์ ้า ตามคานิยามของสตั วน์ ้า ในมาตรา 4(1) จาก พ.ร.บ.การประมง พ.ศ.2490 ท่ีระบุวา่ “สตั วน์ ้า หมายความวา่ สตั วท์ ่ีอาศยั อยูใ่ นน้า หรือวงจรสว่ นหน่ึงอยูใ่ นน้าหรืออาศยั อยูใ่ นบริเวณท่ีมีน้าทว่ มถึง เชน่ ปลา กุง้ แมงดาทะเล หอย เตา่ กระ ตะพาบน้า จระเข้ รวมทง้ั ไขข่ องสตั วน์ ้านน้ั สตั วจ์ าพวกเล้ียงลูกดว้ ยน้านม ปลิงทะเล ฟองน้า หินปะการัง กลั ปังหา และสาหร่ายทะเล ทงั้ น้ีรวมทงั้ ซากหรือสว่ นหน่ึงสว่ นใดของสตั วน์ ้า เหลา่ นั้น และหมายความรวมถึงพนั ธุไ์ มน้ ้าท่ีไดม้ ีพระราชกฤษฎีการะบุช่ือ” (ฝ่ายนิติกร , 2547) ดงั นัน้ สามารถสรุปความหมายของสตั วน์ ้าไดว้ า่ 1. เป็นสตั วท์ ่ีอาศยั อยูใ่ นน้า 2. เป็นสตั วท์ ่ีมีวงจรชีวิตสว่ นหน่ึงอยูใ่ นน้า 3. เป็นสตั วท์ ่ีอาศยั อยูใ่ นบริเวณท่ีน้าทว่ มถึง เชน่ ปลา กุง้ ปู แมงดาทะเล หอย เตา่ กระ ตะพาบน้า จระเข้รวมทง้ั ไขข่ องสตั วน์ ้านน้ั 4. เป็นสตั วน์ ้าจาพวกเล้ียงลูกดว้ ยนม ปลิงทะเล ฟองน้า หินปะการัง กลั ปังหา และสาหร่ายทะเล 5. เป็นซากหรือสว่ นหน่ึงสว่ นใดของสตั วน์ ้าเหลา่ นัน้ 6. และยงั หมายความรวมถึงพนั ธุไ์ มน้ ้าตามท่ีไดม้ ีพระราชกฤษฎีการะบุช่ือไว้ ความหมายของทรพั ยากรประมง ทรัพยากรประมง (Fishery Resource) หมายถึง สตั วน์ ้าทกุ ชนิดท่ีมนุษยส์ ามารถนามาใชป้ ระโยชน์เพ่ือการ ดาเนินชีวิตซ่ึงไดแ้ ก่ ปลา ปู กุง้ หอย และสตั วเ์ ล้ือยคลานท่ีเป็นสตั วส์ ะเท้ินนา้ สะเท้ินบก เชน่ จระเข้ เตา่ กบ ฯลฯ สตั วเ์ หลา่ น้ี นอกเหนือจากจะเป็นแหลง่ อาหารเสริมโปรตีนแลว้ ยงั นามาใชป้ ระโยชน์ดา้ นอ่ืนอีกดว้ ย บางสว่ นของตวั สตั วน์ า้ ใชท้ ายา ใชท้ าเคร่ืองประดบั หนังใชท้ าเคร่ืองหนงั หรือเป็นวสั ดุตกแตง่ บา้ น ฯลฯ (สุขุม , 2535) นอกจากน้ีหากพิจารณาตามหลกั การอนุรกั ษ์ทรพั ยากร ทรัพยากรประมงจดั เป็นทรพั ยากรท่สี ามารถสรา้ งข้ึน ไดใ้ หมเ่ พ่ือทดแทนสว่ นท่ีถูกใชไ้ ปแลว้ ได้(Renewable Resource) และถือวา่ ทรัพยากรประมงเป็นทรัพยากรร่วม
(Common Property Resource) ซ่ึงทุกคนมีสิทธิท่ีจะใชไ้ ด้ ไมม่ ีผูใ้ ดผูห้ น่ึงเป็นเจา้ ของโดยถือวา่ ประชาชนทงั้ ประเทศตา่ งเป็นเจา้ ของร่วมกนั ความสาคญั ของทรพั ยากรประมง 1. เป็นอาหาร โดยเฉพาะชาวเอเชียแลว้ กลา่ วไดว้ า่ ปลาและสตั วน์ ้ามีฐานะคูก่ นั มกั กลา่ วกนั อยู่ เสมอวา่ “ ขา้ วในนา ปลาในนา้ ” และปลาใหโ้ ปรตีน ไอโอดีน และสารอาหารอ่ืน ๆ ท่ีร่างกายตอ้ งการอยูเ่ ป็น อนั มาก และเน้ือปลาและสตั วน์ ้าชนิดตา่ ง ๆ สว่ นใหญจ่ ะยอ่ ยงา่ ย กินไดม้ าก ไมเ่ บ่ือเร็ว ทงั้ ราคาก็ถูกดว้ ย นอกจากจะเป็นอาหารของมนุษยแ์ ลว้ ยงั สามารถใชท้ าเป็นอาหารของสตั วไ์ ดอ้ ีกดว้ ย 2. เป็นสินคา้ เน่ืองจากมนุษยท์ ุกชาติทุกภาษาตา่ งก็กินปลาสด ปลาเค็ม ปลาแหง้ น้าปลา หรือ ผลิตภณั ฑส์ ตั วน์ ้าอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง จะเห็นวา่ ตามตลาดตา่ ง ๆ จะมีปลาและสตั วน์ ้าชนิดตา่ ง ๆ ขายอยูเ่ ป็น ประจา ทอ้ งถ่ินไหนท่ีมีปลาและสตั วน์ ้ามากเกินบริโภคก็สง่ เป็นสินคา้ ออก ฉะนัน้ สตั วน์ ้าจึงเป็นสินคา้ ท่ีสาคญั อีกอยา่ งหน่ึงของประเทศไทยท่สี ามารถสรา้ งรายไดใ้ หแ้ กผ่ ูป้ ระกอบการ และนาเงินตา่ งประเทศเขา้ สูป่ ระเทศ เป็ นจานวนมาก 3. เกิดอุตสาหกรรมประมง เม่ือสตั วน์ ้ากลายเป็นสินคา้ ท่ีมีผูบ้ ริโภคกนั มาก จึงทาใหป้ ระชาชนมีการ จบั และเพาะเล้ียงสตั วน์ ้ากนั มากข้ึน เม่ือจบั ไดม้ าก ๆ ก็หาวิธีเก็บรกั ษาไวก้ ินในวนั ขา้ งหนา้ ดว้ ย การทาเป็น อุตสาหกรรมหอ้ งเย็น ปลาเค็ม ปลาตากแหง้ ปลากระป๋ อง โรงงานน้าปลา ปลาป่น เป็นตน้ คร้ังแรกก็เป็น อุตสาหกรรมในครวั เรือน ตอ่ มาก็ขยายเป็นอุตสาหกรรมใหญโ่ ต และอุตสาหกรรมขา้ งเคียงก็เกิดตามมา 4. ใหผ้ ลพลอยไดอ้ ่ืน ๆ เชน่ ใหน้ ้ามนั เพ่ือใชป้ รุงอาหาร เป็นเช้ือเพลิง ทาสบู่ และทาสีทาส่ิงกอ่ สรา้ ง ใหน้ ้ามนั ตบั ปลาใชใ้ นการแพทย์ ครีบปลาใชท้ าหูฉลาม เศษปลาใชท้ าป๋ ุย และป่นเล้ียงสตั ว์ หนงั ปลาใชท้ า เคร่ืองหนงั เกล็ดใชป้ ระดิษฐเ์ ป็นเคร่ืองประดบั กระเพาะลมใชเ้ ป็นยาบารุงโลหิต เป็นตน้ 5. ชว่ ยกาจดั แมลง แมลงหลายชนิดชอบวางไขแ่ ละมีลูกออ่ นเจริญเติบโตในน้า แมลงเหลา่ น้ีเป็นภยั ตอ่ คนและสตั ว์ ดงั น้นั เม่ือมีปลาและสตั วน์ ้าบางชนิดชอบกินไขแ่ ละลูกออ่ นของแมลงเหลา่ น้ัน จึงเป็น ประโยชนต์ อ่ มนุษยแ์ ละสตั วเ์ ป็นอยา่ งมาก เชน่ ปลากระด่ี ปลาแรด ปลาสลิด ปลาหางนกยูง ปลาสอดสี ปลา มิดไนท์ เป็นตน้ 6. ประโยชน์ในการศึกษา ปลาและสตั วน์ ้าเป็นสตั วช์ นิดหน่ึงท่ีนิยมใชใ้ นการทดลองคน้ ควา้ เปรียบเทียบอา้ งอิง ในฐานะเป็นสว่ นประกอบของชวี ภาพ อนั เป็นศาสตรพ์ ้ืนฐานแขนงหน่ึง การศึกษาท่ีตอ้ ง พาดพิงถึงสตั วพ์ วกปลาและสตั วน์ ้าเป็นอยา่ งมาก เชน่ สมุทรศาสตร์ และชีววิทยาประยุกต์ เป็นตน้ ดงั น้ัน การศึกษาเร่ืองปลาและสตั วน์ ้า ทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจอนั ดีในชีววิทยาของสตั วน์ ้า ท่ีเป็นสว่ นประกอบอนั สาคญั ย่ิงของมวลสตั วโ์ ลกและธรรมชาติ 7. เป็นธรรมชาติประดบั โลกใหส้ วยงาม เม่ือเรานาปลาและสตั วน์ ้ามาเล้ียงประดบั บา้ น จะเป็น เคร่ืองประดบั ท่ีมีชีวิตจิตใจและน่ารกั น่าเอ็นดู กอ่ ใหเ้ กิดความเพลิดเพลิน เจริญตา เจริญใจแกผ่ ูเ้ ป็นเจา้ ของย่ิง นัก การเล้ียงสตั วน์ ้าจึงนบั เป็นงานอดิเรก ซ่ึงชว่ ยผอ่ นคลายความเคร่งเครียดจากงานประจาวนั ทง้ั ยงั ชว่ ย
ปลูกฝงั ความเมตตาปราณี เพ่ิมพูนคุณธรรมทางจิตใจ สง่ เสริมใหเ้ กิดความคิดสรา้ งสรรคแ์ กอ่ นุชนเป็นการ แสดงออกซ่ ึงชุมชนท่ ีรักธรรมชาติเป็ นตน้ สถานการณท์ รพั ยากรประมงของประเทศไทย จากอดีตทรัพยากรประมงตามแหลง่ น้าธรรมชาติของประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณม์ าก ทง้ั ใน แหลง่ น้าจืด แหลง่ ชายฝ่งั และแหลง่ น้าเค็ม ซ่ึงอุดมสมบูรณไ์ ปดว้ ยสตั วน์ ้านานาชนิดท่ปี ระชาชนสามารถ นามาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ จึงไมค่ อ่ ยไดม้ ีการเพาะเล้ียงสตั วน์ า้ กนั มากนัก ในปัจจุบนั เน่ืองจากปญั หาการเพ่ิมข้ึน ของจานวนประชากรทาใหม้ ีความตอ้ งการอาหารดา้ นสตั วน์ า้ เพ่ิมข้ึน สตั วน์ ้าจึงถูกจบั ข้ึนมาใชม้ ากข้ึนทุก วิถีทาง การพฒั นาเทคโนโลยีการจบั ปลาไดพ้ ฒั นาข้ึนสูจ่ ุดสูงสุดพรอ้ มกบั ปริมาณเรือท่ีเพ่ิมข้ึนจนสามารถจบั ปลาใหไ้ ดเ้ กินศกั ยภาพการผลิตของทะเล (Overfishing) และจากการพฒั นาดา้ นการเกษตรและอุตสาหกรรม ท่ีสง่ ผลใหเ้ กิดปญั หาสารพิษ มลภาวะทางน้าซ่ึงเป็นการทาลายแหลง่ ท่ีอยูอ่ าศยั ของสตั วน์ ้า จานวนและ ผลผลิตของสตั วน์ ้าชนิดตา่ ง ๆ ในแหลง่ น้าตามธรรมชาติจึงมีลดนอ้ ยลงไปมาก สตั วน์ ้าท่ีจบั ไดม้ ีปริมาณ นอ้ ยลงและมีขนาดตวั เล็ก สตั วน์ ้าบางชนิดสูญพนั ธุไ์ ปจากแหลง่ น้า ในปี พ.ศ.2504 ชาวประมงสามารถจบั สตั วน์ ้าในอา่ วไทยไดช้ ว่ั โมงละ 298 กิโลกรัมและลดลงเหลือ ชว่ั โมงละ 3 กิโลกรัมในปี พ.ศ.2542 ปริมาณปลา 3 กิโลกรัมท่ีจบั ไดเ้ ป็นปลาขนาดเล็กและลูกปลาเศรษฐกิจ รอ้ ยละ 40 และพบขอ้ เท็จจริงวา่ ในระยะ 5 ปีหลงั น้ีความขดั แยง้ ดา้ นการประมงเกิดข้ึนจากปญั หาการไล่ จบั ปลาขนาดเล็ก เชน่ ปลากะตกั และปลาเป็ด ส่ิงเหลา่ น้ีสะทอ้ นความลม้ เหลวของระบบการจดั การประมง ของไทย และเราตอ้ งการการเปล่ียนแปลงครั้งใหญก่ อ่ นท่ีเราจะไมเ่ หลืออะไรเลยไมว่ า่ จะเป็นสตั วน์ ้า การ ทอ่ งเท่ียว หรือรายไดจ้ ากอุตสาหกรรมประมง (ภาคภูมิ , 2547) ปจั จุบนั รฐั บาลไดใ้ หค้ วามสาคญั ในการอนุรกั ษท์ รัพยากรประมงในรูปแบบตา่ ง ๆ มีการสง่ เสริมให้ ประชาชนทาการเพาะเล้ียงสตั วน์ ้ากนั เพ่ิมมากข้ึนทงั้ สตั วน์ ้าจืดและสตั วน์ ้าชายฝ่งั จึงมีผลผลิตจากการ เพาะเล้ียงสตั วน์ ้าชนิดตา่ ง ๆ ออกสูต่ ลาดมากย่ิงข้ึนเพ่ือทดแทนกบั จานวนของสตั วน์ ้าในแหลง่ ธรรมชาติท่ีลด นอ้ ยลงไป และเพ่ือใหเ้ พียงพอกบั ความตอ้ งการของโรงงานอตุ สาหกรรมประมงตา่ ง ๆ ประเภทของทรพั ยากรประมงที่มีความสาคญั ทางเศรษฐกิจ จากวิถีชีวิตของคนไทยสว่ นมากซ่ึงดาเนินชีวิตกนั อยูใ่ นภาคเกษตรกรรม มีการพ่ึงพาแหลง่ ทรพั ยากรธรรมชาติทงั้ พ้ืนดิน ป่าไม้ และแหลง่ น้า โดยเฉพาะแหลง่ น้าซ่ึงนอกจากจะเอ้ือตอ่ ระบบการผลิต ดา้ นการเกษตร ยงั เป็นแหลง่ อาหารสาคญั ในการดาเนินชีวิต ทรพั ยากรสตั วน์ ้าจานวนมากไดห้ ลอ่ เล้ียง ชีวิตของผูค้ นในสงั คม และผูค้ นไดอ้ ยูร่ ่วมกบั ทรัพยากรสตั วน์ ้าอยา่ งเก้ือกูลพ่ึงพาระหวา่ งกนั สตั วน์ ้าเป็น แหลง่ อาหารและสรา้ งรายไดใ้ นการเล้ียงชีพ คนชว่ ยดูแลรกั ษาแหลง่ น้าพรอ้ มทงั้ อนุรกั ษส์ ายพนั ธุส์ ตั วน์ ้า ตามธรรมชาติซ่ึงมีทรพั ยากรประมงชนิดตา่ ง ๆ ท่ีมีความสาคญั ทางเศรษฐกิจดงั น้ี
1. ประเภทของกงุ้ ท่ีนิยมทาการประมง ประเทศไทยเป็นแหลง่ ผลิตกุง้ แหลง่ ใหญป่ ระเทศหน่ึงของโลก และการสง่ ออกกุง้ ไปจาหน่ายยงั ตลาด ตา่ งประเทศไดส้ รา้ งรายไดใ้ หแ้ กค่ นไทยปีละหลายหม่ืนลา้ นบาท (กรมประมง, 2536) ซ่ึงในปัจจุบนั น้ีมีการ เล้ียงกุง้ หลายชนิด โดยเราสามารถแบง่ ประเภทของกงุ้ ตามแหลง่ ท่ีอยูอ่ าศยั ได้ 2 ประเภท คือ 1.1 กงุ้ ทะเล จากการสารวจพบวา่ ในทะเลจะมีจานวนชนิด และจานวนตวั ของกุง้ มากกวา่ ในแหลง่ น้าจืด ซ่ึง สามารถใหผ้ ลผลิตไดเ้ ป็นจานวนมาก โดยมีชนิดของกุง้ ทะเลท่ีสาคญั คือ (กรมประมง , 2536) 1.1.1 กงุ้ กลุ าดา (Penaeus monodon) เป็นกุง้ ท่ีมีขนาดใหญ่ ลกั ษณะสาคญั ของกุง้ ชนิดน้ี คือ มีเปลือกหวั เกล้ียง ไมม่ ีขน ท่ีสนั กรีบนมีฟนั กรีอยู่ 7 –8 อนั สว่ นท่ีสนั กรีลา่ งมีฟนั กรีอยู่ 3 อนั ร่องขา้ งกรีทงั้ 2 ดา้ น มีลกั ษณะแคบและยาวไมถ่ ึงฟนั อนั สุดทา้ ย ท่ีขาเดินคูท่ ่ี 5 ไมม่ ีระยางคอ์ นั นอก กุง้ กุลาดามีลาตวั สี น้าตาลเขม้ และมีแถบสีเขม้ และแถบสีจางพาดขอบตลอดลาตวั ปกติกุง้ กุลาดาชอบอาศยั อยูใ่ นบริเวณน้าลึก หา่ งจากฝ่งั และชอบพ้ืนทะเลท่ีเป็นดินทราย เป็นกุง้ ท่ีสามารถทนอยูใ่ นน้าท่ีอุณหภูมิสูง และความเค็มสูงไดด้ ี กุง้ กุลาดาพบมากในแถบชายฝ่งั ของประเทศไทย ออสเตรเลีย และประเทศอินเดีย เป็นตน้ 1.1.2 กงุ้ กลุ าลาย (Penaeus semisuleatus) เป็นกุง้ ท่ีมีขนาดใหญอ่ ีกชนิดหน่ึง ลกั ษณะทว่ั ๆ ไป คลา้ ยกุง้ กุลาดา แตต่ รงขาเดิน คูท่ ่ี 5 จะมีระยางคอ์ นั นอกเห็นไดช้ ดั เจน ซ่ึงกุง้ กุลาดาจะไมม่ ี และสีของลาตวั กุง้ กุลาลายจะออ่ นกวา่ กุง้ กุลาดา แหลง่ ท่ีมีการเพาะเล้ียงกุง้ กุลาลายมากคือ ฮอ่ งกง และออสเตรเลีย 1.1.3 กงุ้ แชบว๊ ยขาว (Penaeus merquiensis) บางแหง่ เรียก กุง้ ขาว หรือกุง้ หางแดง เป็นกุง้ ขนาดกลางลกั ษณะสาคญั ของกุง้ ชนิดน้ี คือ มีกรียาว (กรีจะยาวประมาณ 0.8 เทา่ ของความยาวเปลือกหวั ) กรีจะยาวเลยระยางคอ์ นั นอกของหนวดคูท่ ่ี 1 ออกไป สนั กรีสูง ปลายกรีแคบ สนั กรีจะเป็นสามเหล่ียม และ เป็นสีน้าเงิน ท่ีสนั กรีบนจะมีฟนั กรีอยู่ 8 – 10 อนั โดยฟนั กรี 3 อนั หลงั จะอยูบ่ นสว่ นของเปลือกหวั สว่ นท่ี สนั กรีลา่ งมีฟนั กรีอยู่ 2 – 3 อนั สว่ นขา้ งกรีและสว่ นบนกรีตน้ สาหรบั กุง้ แชบว๊ ยขาวเพศผู้ จะมีระยางคค์ ูท่ ่ี 3 ทาหนา้ ท่ีชว่ ยในการกินอาหาร โดยจะมีปลอ้ งท่ีสองยาวเป็นสองเทา่ ของปลอ้ งแรก ลาตวั กุง้ แชบว๊ ยขาวจะเป็น สีขาวครีม มีถ่ินอาศยั ในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ และอินเดีย ชอบอาศยั ในบริเวณชายฝ่ัง และบริเวณน้า กร่อย พบมากในนากุง้ 1.1.4 กงุ้ แชบว๊ ย (Penaeus indicus) เป็นกุง้ ขนาดกลาง ในระยะท่ีเป็นกุง้ วยั รุ่น จะมีลกั ษณะ คลา้ ยกุง้ แชบว๊ ยขาวมาก ลกั ษณะสาคญั ของกุง้ แชบว๊ ยคือ มีสนั กรีสูง และเป็นสนั ยาวเกือบจรดขอบหลงั ของ เปลือกหวั ท่ีสนั กรีบนจะมีฟนั กรีอยู่ 7 – 8 อนั สว่ นสนั กรีลา่ งมีฟนั กรี 4 – 5 อนั ร่องขา้ งกรีและร่องบนกรี ลึกมองเห็นชดั และยาวเกือบถึงก่ึงกลางของเปลือกหวั ในกุง้ เพศผู้ ระยางคป์ ากคูท่ ่ี 3 มีปลอ้ งท่ีหน่ึงยาวเทา่ ๆ หรือเกือบเทา่ ปลอ้ งท่ี 2 ปลายหางแหลม ดา้ นบนเป็นร่องและดา้ นขา้ งไมม่ ีหนาม ซ่ึงจะต่างจากกุง้ แชบว๊ ย ขาว กุง้ แชบว๊ ยมีถ่ินอาศยั ในแถบตะวนั ตกของมหาสมุทรแปซิฟิค และทางตะวนั ออกของมหาสมุทรอินเดีย ชอบพ้ ื นทะเลท่ ีเป็ นดินเหนี ยว 1.1.5 กงุ้ ตะกาด (Metapenaeus monoceros) เป็นกุง้ ขนาดเล็ก เปลือกตวั แข็งมีสีเขม้ มีสนั กรี ยาวจรดขอบหลงั ของเปลือกหวั ท่ีสนั กรีบนมีฟนั อยู่ 7 – 8 อนั สว่ นท่ีสนั กรีลา่ งไมม่ ีฟนั กรี ขาเดินคูท่ ่ี 2 และ
3 มีหนามตรงโคนขา สว่ นขาเดินคูท่ ่ี 1 มีหนามบนปลอ้ งท่ี 5 บริเวณโคนขาเดินคูท่ ่ี 5 ไมม่ ีระยางคอ์ นั นอก และท่ีขอบหางไมม่ ีหนาม กุง้ ตะกาดมีถ่ินอาศยั ในแถบอินโดแปซิฟิค ตง้ั แตช่ ายฝ่ังของออสเตรเลียไปจนถึง ญ่ีปุ่น และชอ่ งแคบมะละกา เป็นกุง้ ท่ีวางไขต่ ลอดทงั้ ปี พบชุกชุมตลอดทงั้ ปีในบริเวณชายฝ่งั และในบริเวณน้า กร่อย 1.1.6 กุง้ ล่ี (Metapenaeus brevicornis) เป็นกุง้ ขนาดเล็ก ลาตวั เกล้ียงไมม่ ีขน บางครั้งเรียกวา่ กุง้ หัวมนั หางไมม่ ีหนามชนิดท่ีเคล่ือนไหวได้ กรีเชิดข้ึนตอนปลายและไมม่ ีฟันกรี เป็ นกุง้ ท่ีวางไขท่ ง้ั ปี มี ถ่ินอาศยั ในอินเดีย มาเลเซีย และไทย ชอบอาศยั ในบริเวณน้ากร่อย ป่าโกงกาง มกั พบรวมอยูก่ บั กุง้ แชบว๊ ย ขาว และกุง้ ตะกาดในนากุง้ 1.2 กุง้ น้าจืด สาหรับกุง้ น้าจืดท่ีนิยมเพาะเล้ียงกนั มากท่ีสุด คือ กุง้ กา้ มกราม (Macrobrachium rosenbergii) ซ่ึงเป็นกุง้ น้าจืดขนาดใหญ่ เชน่ เคยพบวา่ ยาวกวา่ 30 เซนติเมตร น้าหนักประมาณ 380 – 400 กรัม ก็มี กุง้ กา้ มกรามในแตล่ ะทอ้ งท่ีจะมีช่ือเรียกแตกตา่ งกนั ออกไป เชน่ กุง้ ใหญ่ แมก่ ุง้ กุง้ นาง กุง้ หลวง เป็นตน้ กุง้ กา้ มกรามมีลกั ษณะสาคญั ประจาชนิดดงั น้ี คือ เปลือกหวั มีหนามแหลม 2 อนั มีร่องอยู่ ดา้ นขา้ ง กรีแบน ยาวเรียว โคนกรีหูหนานูน ตรงกลางแอน่ ลง สว่ นปลายงอนข้ึน มีหนามลกั ษณะเป็นฟนั เล่ือยบนสนั กรีดา้ นบน 8 – 13 ซ่ี และบนสนั กรีดา้ นลา่ ง 13 ซ่ี ปลายหางแหลมมีหนาม 4 คู่ ปลายหางยาว จรดดา้ นขา้ งของแพนหาง ขาเดินคูท่ ่ี 1 และ 2 มีลกั ษณะเป็นกา้ ม คูท่ ่ีสองมีขนาดใหญก่ วา่ คูท่ ่ี 1 กุง้ ท่ีโตเต็ม วยั ขาเดินคูท่ ่ี 2 ของเพศผูจ้ ะมีขนาดใหญก่ วา่ ของเพศเมียมาก ชว่ งใตท้ อ้ งของกุง้ เพศผูแ้ คบกวา่ ของเพศเมีย ในฤดูวางไข่ ขาวา่ ยน้า 3 คูแ่ รก จะมีขนละเอียดเกิดข้ึนมากมายสาหรับเป็ นท่ียึดเกาะของไข่ ขณะฟกั ชอ่ ง ปลอ่ ยน้าเช้ือของเพศผูอ้ ยูบ่ ริเวณโคนขาเดินคูท่ ่ี 5 เพศเมียมีชอ่ งปลอ่ ยไข่ บริเวณโคนขาเดินคูท่ ่ี 3 กุง้ ชนิดน้ีมีการแพร่กระจายอยา่ งกวา้ งขวาง พบทง้ั บริเวณแหลง่ น้ากร่อย และแหลง่ น้าจืด กุง้ กา้ มกรามวยั รุ่นจะเดินทางไปหากินในแหลง่ น้าจืดตามแมน่ ้าลาคลองทว่ั ๆ ไป เม่ือถึงฤดูผสมพนั ธุ์ พอ่ แมพ่ นั ธุ์ กุง้ จะเดินทางมายงั แหลง่ น้ากร่อย ซ่ึงเป็นบริเวณปากแม่น้า หรื อทะเลสาบ เม่ือผสมพนั ธุว์ างไขแ่ ละเล้ียงตวั ออ่ นจนเป็นกุง้ วยั รุ่น แลว้ เดินทางเขา้ ไปบริเวณน้าจืด เพ่ือเล้ียงตวั จนเป็นกุง้ ใหญต่ อ่ ไป (กรมประมง, 2542) ภาพท่ี 2 แสดงลกั ษณะรูปร่างของกุง้
2. ประเภทของหอยท่ีนิยมทาการประมง การเล้ียงหอยทะเลเป็นท่ีสนใจของประชาชนทว่ั ไป เน่ื องจากหอยทะเลหลายชนิดเป็นอาหารท่ีนิยมบริโภค ประกอบกบั เกษตรกรท่ีทาการเพาะเล้ียงก็สามารถจาหน่ายไดร้ าคาดี มีผลตอบแทนสูงเม่ือเปรียบเทียบกบั การ ประกอบอาชีพเกษตรกรรมอ่ืน ๆ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงหอยทะเลก็เป็นสตั วน์ ้าท่ีมีคุณคา่ ทางเศรษฐกิจ สามารถ สง่ ไปจาหน่ายตา่ งประเทศในราคาสูง และในธรรมชาติมีผลผลิตไมเ่ พียงพอกบั ความตอ้ งการของตลาดทง้ั ใน และตา่ งประเทศ หอยท่ีนิยมเพาะเล้ียงกนั โดยทว่ั ไป มีดงั น้ี (กรมประมง, 2543) 2.1 หอยแมลงภู่ (Mytilus smaragdinus , Perna viridis) เป็นสตั วท์ ะเลท่ีมีคุณคา่ ทางเศรษฐกิจ ชนิดหน่ึง ประชาชนนิยมบริโภคกนั อยา่ งแพร่หลาย ทง้ั ประกอบเป็นอาหารรับประทานสด และการถนอมใน รูปแบบตา่ ง ๆ กนั อาทิ ตากแหง้ ทาเค็ม และหมกั ดอง เป็นตน้ นับเป็นอาหารทะเลท่ีมีรสชาติอร่อยและมี คุณคา่ ทางโภชนาการสูงอีกชนิดหน่ึง ซ่ึงผูบ้ ริโภคทง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศนับวนั จะเพ่ิมปริมาณความ ตอ้ งการมากย่ิงข้ึน อีกทงั้ หอยชนิดน้ีสามารถทารายไดเ้ ขา้ ประเทศในแตล่ ะปีเป็นจานวนมาก หอยแมลงภูท่ ่ีซ้ือ ขายกนั อยูใ่ นตลาดทว่ั ไป ในปัจจุบนั น้ีสว่ นใหญเ่ ป็นผลผลิตท่ีไดจ้ ากแหลง่ เล้ียงในทอ้ งท่ีจงั หวดั ชายฝ่งั ทะเล ทง้ั ในบริเวณชายฝ่ังของอา่ วไทยตอนนอก ชายฝ่ังภาคตะวนั ออก และภาคใต้ แมว้ า่ การเล้ียงหอยแมลงภูใ่ น ประเทศไทยจะไดข้ ยายขอบเขตออกไปในพ้ืนท่ีท่ีเหมาะสมมากข้ึน แตผ่ ลผลิตท่ีไดก้ ็ยงั ไมเ่ พียงพอกบั ความ ตอ้ งการของตลาด หอยแมลงภูเ่ ป็นสตั วน์ ้าท่ีเล้ียงงา่ ย เจริญเติบโตเร็วไมจ่ าเป็นตอ้ งใหอ้ าหารหรือใชป้ ๋ ุยอยา่ งการเล้ียงปลาในบอ่ เพราะวา่ หอยแมลงภูจ่ ะกรองกินพวกแพลงคต์ อนพืชและสตั วข์ นาดเล็ก รวมทง้ั อินทรียว์ ตั ถุท่ีแขวนลอยในทะเล เป็นอาหาร ซ่ึงส่ิงมีชีวิตดงั กลา่ วเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ และลอ่ งลอยอยูใ่ นน้าทะเล การเล้ียงหอยแมลงภู่จึง เป็นธุรกิจท่ีใชต้ น้ ทุนต่า และสามารถใชแ้ รงงานของสมาชิกในครอบครัว เพ่ือการน้ีไดโ้ ดยไมจ่ าเป็นตอ้ งเสีย คา่ แรงงานมากนัก สาหรับธุรกิจขนาดเล็ก ส่วนการเล้ียงหอยแมลงภูเ่ ป็ นธุรกิจขนาดใหญก่ ็มีลูท่ างท่ีจะ ดาเนินการใหป้ ระสบผลสาเร็จดว้ ยดีไดเ้ ชน่ เดียวกนั ภาพท่ี 3 แสดงลกั ษณะรูปร่างของหอยแมลงภู่ 2.2 หอยนางรม (Crassostrea spp.) เป็นหอยสองฝาท่ีมีคุณคา่ ทางโภชนาการสูง จึงมี ผูบ้ ริโภคหอยนางรมกนั มาก โดยเฉพาะหอยนางรมพนั ธุใ์ หญ่ หรื อหอยตะโกรม เน่ื องจากการตลาดหอย
นางรมน้ัน มีแนวโนม้ ขยายตวั ไดอ้ ีกมาก เพราะผลผลิตในปัจจุบนั ยงั ไมเ่ พียงพอตอ่ การบริโภคภายในประเทศ ทาใหห้ อยนางรมมีราคาสูงมาก เม่ือเทียบกบั หอยชนิดอ่ืน ๆ หอยนางรมท่ีนามาบริโภคเกือบทง้ั หมดเป็นหอยท่ี ไดจ้ ากการเพาะเล้ียงโดยอาศยั ธรรมชาติ หอยจะกรองกินพืชน้าขนาดเล็กท่ีแขวนลอยในแหลง่ น้าเค็มเป็น อาหารหลกั ในประเทศไทยมีพนั ธุห์ อยนางรมตามธรรมชาติอยูห่ ลายชนิด แตช่ นิดท่ีนิยมเพาะเล้ียงเพ่ือนามาบริโภคเป็น อาหารน้ัน พอจาแนกไดเ้ ป็น 2 พวก คือ หอยนางรมพนั ธุเ์ ล็ก ซ่ึงมีช่ือเรียกตามพ้ืนบา้ นวา่ หอยปากจีบ หอย เจาะหรือหอยอีรม เป็นตน้ สว่ นหอยนางรมอีกพวกหน่ึงคือ หอยนางรมพนั ธุ์ใหญ่ ไดแ้ ก่ หอยตะโกรมกราม ขาว และหอยตะโกรมกรามดา น่ันเอง การเล้ียงหอยนางรมไดม้ ีการเล้ียงมานานกวา่ 50 ปี สว่ นมากเป็นการเล้ียงแบบดง้ั เดิม พบวา่ แถบชายฝ่งั ทะเล ของประเทศไทยทางภาคตะวนั ออก ไดแ้ ก่ ชลบุรี ระยอง จนั ทบุรี และตราด มีการเล้ียงหอยนางรมขนาดเล็ก กนั มาก สาหรับฝ่งั อา่ วไทย ไดแ้ ก่ จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานี และ นราธิวาส จะมีการเล้ียงทงั้ หอยนางรมพนั ธุเ์ ล็ก และพนั ธุใ์ หญ่ แตท่ ่ีพบทางภาคใต้ฝ่ังทะเลอนั ดามนั จะมีการ เล้ียงหอยตะโกรมกรามดา และหอยตะโกรมกรามขาวกนั มาก ในเขตพ้ืนท่ีโดยเฉพาะจงั หวดั ระนอง และพงั งา 2.3 หอยแครง (Anadara granosa) เป็นอาหารทะเลท่ีนิยมบริโภคกนั อยา่ งแพร่หลาย สามารถ ประกอบอาหารไดห้ ลายประเภท อีกทงั้ เป็นสตั วน์ ้าท่ีมีคุณคา่ สูงทงั้ ทางเศรษฐกิจและโภชนาการ อาชีพการ เล้ียงหอยแครงในประเทศไทย ไดม้ ีมาเป็นเวลานานไมน่ อ้ ยกวา่ 100 ปี โดยการรวบรวมพนั ธุห์ อยจากแหลง่ ลูก หอยในธรรมชาติ เพ่ือหวา่ นลงเล้ียงในบริเวณท่ีเหมาะสม มีการกน้ั คอกแสดงอาณาเขตท่ีเล้ียงไว้ สาหรับใน ประเทศไทยพบวา่ มีการเล้ียงครั้งแรกท่ี ต.บางตะพูน อ.บา้ นแหลม จ.เพชรบุรี ในเน้ือท่ี 5 – 10 ไร่ ใชเ้ วลา เล้ียง 1 – 2 ปี จึงเก็บเก่ียวไปขายได้ และตอ่ มาขยายการเล้ียงไปในพ้ืนท่ีใกลเ้ คียง และจงั หวดั ตา่ ง ๆ การ เล้ียงหอยแครงเป็นการดาเนินธุรกิจแบบงา่ ย ๆ ไมจ่ าเป็นตอ้ งดูแลและใหอ้ าหาร จึงสามารถหากาไรได้ 5 – 10 เทา่ ของเงินลงทุน ทาใหป้ ัจจุบนั มีการขยายพ้ืนท่ีเล้ียงไปยงั ชายฝ่งั ท่ีมีสภาพเหมาะสมทงั้ ฝ่งั อนั ดามนั และ อา่ วไทยหลายจงั หวดั 2.4 หอยเป๋ าฮ้ือ (Haliotis asinina) เรียกอีกช่ือหน่ึงวา่ หอยโขง่ ทะเล หรือหอยรอ้ ยรู จดั วา่ เป็น หอยทะเลฝาเดียวท่ีมีความสาคญั ทางเศรษฐกิจชนิดใหมท่ ่ีกาลงั ไดร้ ับความสนใจจากเกษตรกรจานวนมาก หอยชนิ ดน้ีมีรสชาติดี ราคารับซ้ือของภตั ตาคารและโรงแรม สูงถึงกิโลกรัมละ 1,000 – 1,300 บาท เน่ืองจากหอยชนิดน้ีเป็นท่ีนิยมบริโภคของชาวตา่ งชาติ เชน่ จีน ญ่ีปุ่น ฮอ่ งกง ไตห้ วนั แมแ้ ตช่ าวยุโรปและ อเมริกาเองก็มีการบริโภคกนั แพร่หลายมากข้ึน ผลผลิตหอยเป๋ าฮ้ือในประเทศไทยเราโดยเฉพาะท่ีไดจ้ าก ธรรมชาติมีปริมาณลดนอ้ ยลงเป็นลาดบั เน่ืองจากมีการลงแรงจบั มากข้ึน แตป่ ริมาณก็ยงั ไมเ่ พียงพอตอ่ การ บริโภคภายในประเทศ ตอ้ งมีการส่งั นาเขา้ หอยเป๋ าฮ้ือเป็นจานวนมาก ฉะนั้น หากมีผูเ้ ล้ียงหอยชนิดน้ีมากข้ึน นอกจากจะเป็นอาชีพท่ีม่นั คง การลงทุนไมม่ ากนัก ตลาดมีความตอ้ งการสูง ยงั สามารถกอ่ ใหเ้ กิดรายไดจ้ าก การสง่ ออกอีกจานวนมากในอนาคต ตามธรรมชาติหอยเป๋ าฮ้ืออาศยั อยูใ่ นทะเลท่ีมีสภาพน้าเป็นน้าเค็ม ไมพ่ บในบริเวณน้ากร่อย มีนิสยั ชอบกินพืช เป็นอาหาร จะมีวิธีการขูดแทะพ้ืนผิวกอ้ นหิน หรือซากปะการังบริเวณท่ีหอยเดินผา่ น มกั พบมากบริเวณท่ีมี
สาหร่ายมาก ๆ บริเวณท่ีน้าไมต่ ้ืน หรือลึกมากนักและมีแสงสวา่ งสอ่ งถึง มกั ชอบออกหากินในเวลากลางคืน สว่ นกลางวนั จะหลบซอ่ นอยูต่ ามซอกหิน หอยเป๋ าฮ้ือมกั จะมีสีสนั เขา้ กบั ธรรมชาติเป็นแหลง่ ท่ีอยูอ่ าศยั รวมทงั้ ชนิ ดอาหารท่ ีกิน การเล้ียงหอยเป๋ าฮ้ือใหป้ ระสบความสาเร็จน้ัน ข้ึนอยูก่ บั การคดั เลือกสถานท่ี พนั ธุ์หอยท่ีดีและอาหารท่ี เหมาะสมยงั ตอ้ งมีการจดั การโดยเฉพาะเร่ืองน้า และบอ่ เล้ียงใหด้ ีอีกดว้ ย 2.5 หอยหวาน (Babylonia spp.) หรือท่ีบางทอ้ งถ่ินเรียกวา่ หอยตุก๊ แก ท่ีพบมากในประเทศไทย มี 2 ชนิด คือ บาบิโลเนีย อารีโอลาตา้ (Babylonia areolata) และบาบีโลเนีย สไปราตา้ (Babylonia spirata) ชนิดแรกเป็นชนิดท่ีมีผูน้ ิยมบริโภคมากกวา่ หอยหวานเป็นสตั วน์ ้าท่ีมีราคาคอ่ นขา้ งแพง ตาม ทอ้ งตลาดทว่ั ไปราคากิโลกรัมละประมาณ 120 – 200 บาท สาหรับซูเปอร์มาร์เก็ตอาจจะมีราคาถึงกิโลกรัม ละ 350 บาท ทง้ั น้ีข้ึนอยูก่ บั ชนิดและขนาดของหอย ขนาดหอยหวานท่ีนิยมบริโภคจะมีขนาด 3.5 – 5.0 ซ. ม. หอยหวานเป็ นท่ีตอ้ งการของตลาดทงั้ ภายในและตา่ งประเทศเป็นอนั มาก ในประเทศไทยหอยหวานท่ี บริโภคเป็นหอยท่ีจบั มาจากแหลง่ น้าธรรมชาติเกือบทง้ั หมด โดยพบวา่ มีแพร่กระจายอยูห่ ลายจงั หวดั ทง้ั ฝ่งั อา่ ว ไทย และชายฝ่งั ทะเลอนั ดามนั จงั หวดั ท่ีพบวา่ มีจบั กนั มาก คือ ระยอง จนั ทบุรี เพชรบุรี ระนอง ปัตตานี และ นครศรีธรรมราช เป็นตน้ แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม ปริมาณท่ีจบั ไดก้ ็ไมเ่ พียงพอกบั ความตอ้ งการของผูบ้ ริโภคทงั้ ใน และตา่ งประเทศ ปัจจุบนั พบวา่ ปริมาณหอยหวานท่ีจบั ไดจ้ ากแหลง่ น้าธรรมชาติ ลดนอ้ ยถอยลงมาก และ อาจจะสูญพนั ธุไ์ ปในอนาคต กรมประมงจึงไดพ้ ยายามศึกษาคน้ ควา้ วิจยั เพ่ือใหส้ ามารถเพาะแพร่ขยายพนั ธุ์ หอยชนิดน้ี ปลอ่ ยลงสูแ่ หลง่ น้าธรรมชาติเป็นการชว่ ยเพ่ิมผลผลิตจากธรรมชาติใหม้ ากข้ึน ตงั้ แตป่ ี 2531 เป็นตน้ มา กรมประมงโดยศูนยพ์ ฒั นาประมงทะเลอา่ วไทยฝ่งั ตะวนั ออกไดท้ าการทดลองเพาะขยายพนั ธุห์ อย หวานชนิดบาบิโลเนีย อาริโอลาตา้ จนเป็นผลสาเร็จ ลูกพนั ธุท์ ่ีไดก้ ็นาปลอ่ ยลงสู่พ้ื นน้าทะเลจงั หวดั ระยอง อีกสว่ นหน่ึงก็นาไปทดลองเล้ียงใหม้ ีขนาดตลาดตอ่ ไป ปัจจุบนั สถานีเพาะเล้ียงสตั วน์ ้าชายฝ่งั จงั หวดั ชลบุรี สถาบนั วิจยั ทรพั ยากรทางนา้ ท่ีเกาะสีชงั จงั หวดั ชลบุรี และท่ีศูนยพ์ ฒั นาประมงทะเล ต.บา้ นเพ จ.ระยอง รวมทง้ั ภาคเอกชนบางรายไดพ้ ยายามเพาะขยายพนั ธุห์ อย ชนิดน้ีใหม้ ีมากข้ึน เพ่ือใหม้ ีปริมาณลูกหอยมากเพียงพอ และลดตน้ ทุนการผลิตลูกหอยหวานเป็นการสง่ เสริม ใหเ้ กษตรกรและผูส้ นใจเล้ียงหอยชนิดน้ีเป็นการคา้ ตอ่ ไป 3. ประเภทของกบที่นิยมทาการประมง กบเป็นสตั วส์ ะเท้ินน้าสะเท้ินบก ท่ีมีวิวฒั นาการมาจากสตั วน์ า้ พวกปลา สามารถหายใจได้ 2 ทาง ไดแ้ ก่ ทาง ปอด และทางผิวหนังของลาตวั สามารถดารงชีวิตอยูไ่ ดท้ ง้ั บนบกและในน้า และสามารถปรบั สีผิวในกลมกลืน กบั สภาพแวดลอ้ มไดด้ ี กอ่ ใหเ้ กิดรายไดแ้ กค่ รอบครวั และเพ่ิมพูนรายไดใ้ หแ้ กป่ ระเทศชาติ โดยสง่ ไปขายตลาด ตา่ งประเทศ เชน่ สิงคโปร์ ฮอ่ งกง ญ่ีปุ่น เยอรมนั และสหรัฐอเมริกา เป็นตน้ ทงั้ น้ีกบท่ีนิยมทาการเพาะเล้ียง กนั ในประเทศไทย มีอยู่ 4 ชนิด คือ (ศุภชยั , 2537) 3.1 กบนา (Rana tigerina) จดั เป็ นกบขนาดกลาง มีความยาวลาตวั (วดั จากริมปากถึงกน้ ) ประมาณ 90 มิลลิเมตร ถึง 180 มิลลิเมตร น้าหนักประมาณ 100 กรัม ถึง 350 กรัม หัวส้นั เป็ นรูปทรง
สามเหล่ียม มีสว่ นยาวเกือบเทา่ สว่ นกวา้ ง ขาหลงั ใหญ่ ยาวเป็นเทา่ คร่ึงของความยาวลาตวั และเป็นสองเทา่ ของขาหนา้ ขาหลงั มีน้าหนักคิดเป็น 5 เทา่ ของขาหนา้ ลูกตากลมคอ่ นขา้ งโต และมีขนาดใหญก่ วา่ วงหู (Tympanum) เล็กนอ้ ย 3.2 กบจาน (Rana rugolosa) เป็นกบท่ีมีขนาดใหญต่ วั โตเต็มท่ียาวประมาณ 5 น้ิว มีน้าหนกั ตวั ประมาณ 4 ตวั /กก. ผิวสีน้าตาลปนเขียว แตส่ ีสนั และรูปร่างของกบจานน้ีอาจจะแตกตา่ งกนั ไปบา้ ง ทงั้ น้ี ข้ึนอยูก่ บั แหลง่ ท่ีกบอาศยั อยู่ ลกั ษณะท่วั ๆ ไปของกบจานคือ จะมีขาหนา้ ท่ีสน้ั อยูร่ ะหวา่ งไหลก่ บั ตา ปุ่ม กระดูก ฝ่าเทา้ ลา่ งจะไมแ่ หลมคม มีสีคลา้ และมีลายพาดสีจาง ๆ ตรงบริเวณริมฝีปาก ท่ีใตค้ างอาจมีจุดหรือ ลายร้ิวตรงสว่ นคอหอย ดา้ นหลงั ของกบจานมีสีเขียวอมน้าตาล มีจุดสีดาเป็นจานวนมาก 3.3 กบทูต หรือกบดง (Rana blythil) ทางภาคเหนือเรียกวา่ กบภูเขา หรือเขียดแลว ชาวมง้ เรียก กบชนิดน้ีวา่ กางยู่ ซ่ึงแปลวา่ กบววั (กาง แปลวา่ กบ, ยู่ แปลวา่ ววั ) เป็นกบท่ีมีขนาดใหญท่ ่ีสุดเทา่ ท่ีพบใน ประเทศไทย พบมากในจงั หวดั แม่ฮอ่ งสอน ตาก เชียงราย นอกจากน้ียงั พบอาศยั อยูต่ ามป่าทว่ั ไปท่ีมีลกั ษณะ เป็นป่าดงดิบ มีภูเขาลาธาร ตวั ใหญส่ ุดมีน้าหนักถึง 3 กิโลกรัม รูปร่างคลา้ ยกบั ปาดมากกวา่ กบ จึงเรียกวา่ เขียดแลว คาวา่ แลวเป็นภาษาทอ้ งถ่ินของจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน หมายถึง ดาบยาว ซ่ึงเปรียบไดก้ บั ขาหลงั ของ กบท่ียาว และมีเน้ือมาก อีกทง้ั ยงั กระโดไดไ้ กลถึง 4 เมตร สว่ นหวั ของกบทูตจะมีลกั ษณะคอ่ นขา้ งแหลมท่ีมี สว่ นยาวมากวา่ สว่ นกวา้ ง ตาโตหนงั ตาเป็นตุม่ ท่ีสว่ นหวั ระหวา่ งตากบั จมูกมีเสน้ ลายดาหา่ ง ๆ ท่ีนยั น์ตามีแถบ ดาลากผา่ นไปถึงหลงั แผน่ หู และท่ีขอบนัยน์ตามีลายดา เชน่ เดียวกบั ริมฝีปากบนและริมฝีปากลา่ ง ปากจะ กวา้ งและภายในปากดา้ นหนา้ ชนั้ ลา่ งมีเข้ยี วอยู่ 1 คู่ แตเ่ ข้ยี วของตวั ผูม้ ีลกั ษณะยาวกวา่ ของตวั เมียอยา่ งเห็นได้ ชดั ขาหลงั ยาวกวา่ มาก แตท่ ่ีหวา่ งน้ิวหนา้ จะไมม่ ีแผน่ หนังดงั กลา่ ว ดา้ นทอ้ งเป็นสีขาวอมเหลือง ผิวหนังมี ลกั ษณะคอ่ นขา้ งเรียบ แตท่ ่ีสว่ นหลงั จะเป็นตุม่ อยูบ่ า้ ง และเป็นสีเดียวกนั กบั ผิวหนงั คือมีสีน้าตาลอมแดง กบทูตหรือเขียดแลว น้ีจะอาศยั อยูต่ ามบริเวณป่าท่ีมีความชุม่ ช้ืนและมีอากาศเย็น ชอบอยูต่ ามบริเวณลาธาร แตก่ บชนิดน้ีจะไมข่ ุดรูอยูเ่ หมือนกบั กบทว่ั ๆ ไป จะพบมากในชว่ งฤดูหนาว เพราะเป็นฤดูท่ีกบจบั คูเ่ พ่ือผสม พนั ธุก์ นั ตามริมธาร แตพ่ อหมดส้ินฤดูการผสมพนั ธุ์ กบก็จะพากนั หลบหนีเขา้ ไปอาศยั อยูใ่ นเขตพมา่ เพราะป่า ในเมืองไทยพอพน้ ฤดูหนาวก็จะมีแตค่ วามแหง้ แลง้ และในขณะเดียวกนั ก็เกิดไฟป่าข้ึนทุกปี สว่ นทางภาคใตจ้ ะ พบกบชนิดเดียวกนั น้ีบริเวณเขตติดตอ่ กนั ของป่าทางทิศเหนือ ผา่ นเร่ือยมาทางทิศตะวนั ตกมาถึงใต้ 3.4 กบบูลฟร็อก (Rana catesbeiana) เป็นกบท่ีมีขนาดใหญท่ ่ีสุด มีถ่ินกาเนิดในทวีปอเมริกา เหนื อ แถบดา้ นตะวนั ออกเร่ื อยไปจนถึงตอนกลางของประเทศสหรัฐอเมริกา ตอ่ มาไดม้ ีการนาไปเล้ียง แพร่กระจายทางดา้ นตะวนั ตกของประเทศสหรฐั อเมริกาดว้ ย กบชนิดน้ีจะแตกตา่ งไปจากกบนา โดยท่ีเพศผูจ้ ะ ไมม่ ีถุงลม (Vocal sac) แตม่ ีกลอ่ งเสียงสามารถสง่ เสียงรอ้ งดงั ไปไดเ้ ป็นระยะไกล คลา้ ยเสียงววั ดงั น้ันกบ ชนิดน้ีจึงมีช่ือสามญั วา่ Bull Frog หรือท่ีแปลวา่ กบกระทิง ลกั ษณะทว่ั ไป มีขนาดลาตวั ตงั้ แต่ 3.5 ถึง 8 น้ิว หรือ 9 ถึง 20.3 เซนติเมตร ลาตวั มีสีเขียวถึงสีน้าตาลเขม้ มีจุดสีน้าตาลทว่ั ตวั สว่ นหนา้ มีสีเขียว ตวั ผูใ้ ตค้ างมีสีเหลืองหรือลายสีน้าตาลขาว ท่ีขามีลายพาดขวาง กบ เพศผูแ้ ละเพศเมียท่ีโตเต็มท่ี ผสมพนั ธุ์ไดเ้ ม่ือมีอายุประมาณ 1 ปี จะมีน้าหนักตงั้ แต่ 300 ถึง 450 กรัม ถ่ินท่ี
อยูอ่ าศยั ในธรรมชาติชอบอาศยั อยูใ่ นแหลง่ น้า ทะเลสาบ บึง หนอง อา่ งเก็บน้า หรือบอ่ ท่ีมีน้าไหลชา้ เป็น สตั วท์ ่ีหากินกลางคืน (Nocturnal) ภาพท่ี 4 แสดงลกั ษณะรูปร่างของกบ 4. ประเภทของตะพาบน้าที่นิยมทาการประมง ตะพาบน้าเป็นสตั วน์ ้าจืดชนิดหน่ึง อยูใ่ นประเภทสตั ว์สะเท้ินน้าสะเท้ินบก อาศยั อยูต่ ามแมน่ ้า หว้ ยหนอง คลองบึง มีอาศยั อยูท่ ่วั ไปในแหลง่ น้าตา่ ง ๆ ของประเทศไทย แตป่ ัจจุบนั ตะพาบน้าเป็ นสัตวท์ ่ีหาไดย้ าก เพราะวา่ ประชากรของประเทศมากข้ึน ตะพาบน้าก็ถูกจบั มาเป็นอาหารมากข้ึน และธรรมชาติถูกทาลายมีผล ใหต้ ะพาบน้าลดจานวนลงอยา่ งรวดเร็ว จึงตอ้ งมีการเพาะเล้ียงตะพาบน้ากนั ข้ึน ซ่ึงพนั ธุข์ องตะพาบน้าท่ีนิยม เพาะเล้ียงกนั โดยทว่ั ไป มีอยู่ 6 ชนิด คือ (กรมประมง, 2543) 4.1 ตะพาบหรือปลาฝา (Trionyx cartilageneus ) มีขนาดใหญป่ ระมาณ 2 ฟตุ กระดองออกสี เขียว บางทีมีจุดสีเหลือง ปกติมีจุดสีดา 2 – 3 จุด จุดดาน้ีมีรูปร่างไมแ่ น่นอน แตม่ ีขอบสีเหลือง หวั มีจุด เหลืองปะทว่ั ไป ตวั ผูด้ า้ นทอ้ งมีสีขาว สว่ นตวั เมียจะมีสีเทา ชนิดน้ีพบทว่ั ทุกภาคของประเทศไทย ทางตอนใต้ ของพมา่ ลาว กมั พูชา เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย 4.2 ตะพาบขา้ วตอก (Trionyx nakornsrithammaraajensis ) มีขนาดเล็ก กระดองมี รูปร่างกลม มีผิวเรียบ กระดองหวั เทา้ มีสีเขยี วเขม้ แตม่ ีจุดสีเหลืองกระจายอยูท่ ว่ั ไป สว่ นทอ้ งมีสีขาวออกไป ทางสีครีม พบในแถบภาคใตข้ องประเทศไทย 4.3 ตะพาบม่านลาย ( Chitra indica ) มีขนาดใหญม่ าก มีกระดองยาวถึง 6 ฟตุ มีหวั เล็กและลาคอยาว จมูกคอ่ นขา้ งสน้ั เล็กมาก จะมีแถบสีเหลืองปนน้าตาล บนส่วนหวั และกระดองอยา่ ง ชดั เจน แถบจะพาดผา่ นสว่ นหวั อยา่ งตอ่ เน่ืองมาบนกระดอง สว่ นทอ้ งจะมีสีขาวหรือขาวอมชมพู พบในแมน่ ้า แควนอ้ ยและแควใหญ่ ในจงั หวดั กาญจนบุรี 4.4 ตะพาบแกม้ แดง (Dogania subpiana) เป็นพนั ธุท์ ่ีเล็กท่ีสุด กระดองยาว 9 – 10 น้ิว กระดองเป็นสีเทามีจุดดาเล็ก ๆ ประปราย สว่ นหวั เป็นสีเทา มีเสน้ สีดาจากจมูกผา่ นตาไปท่ีขมบั มีแถบสี ดาสามแถบบนหวั บริเวณแกม้ ถึงคอสีแดงเร่ื อ ๆ สีแดงน้ีจะเลือนหายไปเม่ือโตเต็มวยั พวกท่ีพบในภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ จะมีสีคลา้ กวา่ ท่ีพบในภาคใต้
4.5 ตะพาบหวั กบ (Pelochelys bibroni) เป็นตะพาบท่ีมีขนาดใหญอ่ ีกชนิดหน่ึง รอง มาจากตะพาบมา่ นลาย ขณะท่ีตวั ยงั เล็ก อายุนอ้ ยจะมีสีเขียวจุดเหลืองประท่วั กระดอง พออายุมากข้ึน กระดองจะเปล่ียนเป็นสีมะกอกเขม้ หวั และคอมีสีมะกอกปนเทา เทา้ เป็นสีเทา เล็บเป็นสีขาว พบในจงั หวดั ตาก พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพฯ กาญจนบุรี และนครศรีธรรมราช 4.6 ตะพาบพนั ธุไ์ ตห้ วนั (Trionyx sinensis) เป็นตะพาบพ้ืนเมืองของจีนท่ีนามาเล้ียง ในเมืองไทย กระดองเป็นรูปซ่ีเล็กนอ้ ย ผิวกระดองเรียบ มีกระดองสว่ นท่ีน่ิม หรือเชิงคอ่ นขา้ งมาก มีหวั ใหญ่ คอยาวมาก ปากแหลม ฟนั คมและแข็งแรง เม่ือยงั เล็กมีกระดองเป็นสีเขียวเขม้ ดา้ นทอ้ งจะมีสีสม้ และสีดา สลบั 5-6 ตาแหน่ง เม่ือโตเต็มวยั กระดองจะเป็ นสีเขียวอมเหลือง บริเวณเชิงจะมีสีเหลืองเห็นไดช้ ดั เจน ตรง กลางกระดองมีรอยขีดขวางลาตวั 6 – 9 ขีด สว่ นทอ้ งออ่ นนุ่มมีสีขาวอมชมพู หรื อสีเหลืองออ่ น ๆ มีนิสยั ดุ รา้ ย สาเหตุท่ีมีการนิยมเพาะเล้ียงตะพาบน้าพนั ธุไ์ ตห้ วนั เพราะมีไขด่ กและวางไขไ่ ดป้ ีละประมาณ 7 – 9 เดือน และสามารถเล้ียงเป็นตะพาบเน้ือใชร้ ะยะเวลาเล้ียง 8 – 12 เดือน และไดร้ าคาดี ภาพท่ี 5 แสดงลกั ษณะรูปร่างของตะพาบน้า 5. ประเภทของปทู ่ีนิยมทาการประมง สาหรับประเทศไทยพบวา่ ประเภทของปูท่ีนิยมเพาะเล้ียงและไดร้ ับการพฒั นากระบวนการในการเพาะเล้ียง อยา่ งตอ่ เน่ืองนับจากอดีตตราบปัจจุบนั ไดแ้ ก่ ปูทะเล ทงั้ น้ีปูทะเลมีช่ือวิทยาศาสตร์วา่ Scylla serrata และมี ช่ือสามญั ท่ีแตกตา่ งกนั ไปตามแตล่ ะทอ้ งถ่ิน เชน่ ปูทะเล ปูดา ปูขาว ปูทองหลาง ปูทองโหลง ปูทองแดง เป็น ตน้ ถึงแมว้ า่ จะมีลกั ษณะภายนอกและพฤติกรรมบางอยา่ งท่ีสงั เกตพบวา่ แตกตา่ งกนั เชน่ ปูขาวและปูดานน้ั มีความแตกตา่ งกนั ท่ีเห็นไดช้ ดั คือ สีลาตวั โดยปูดาจะมีสีคอ่ นขา้ งคลา้ มีนิสยั ดุรา้ ยกวา่ ปูขาว ซ่ึงมีสีเขยี วข้มี า้ จาง ๆ และดุรา้ ยนอ้ ยกวา่ ซ่ึงลกั ษณะท่ีแตกตา่ งกนั นั้น อาจจะเน่ื องมาจากสภาพแวดลอ้ มของแหลง่ ท่ีอยู่ อาศยั แตกตา่ งกนั ปูทะเลพบกระจายอยูท่ ว่ั ไปในแหลง่ น้ากร่อย ป่าชายเลน และปากแมน่ ้าท่ีน้าทะเลทว่ มถึง โดยขุดรูอยูต่ ามใตร้ ากไมห้ รื อเนินดินบริเวณชายฝ่ังทะเล ทั้งฝ่ังอา่ วไทยและอนั ดามนั โดยเฉพาะมีชุกชุมใน บริเวณท่ีเป็นหาดโคลน หรือเลนท่ีมีป่าแสม และโกงกางตง้ั แตอ่ า่ วไทยฝ่งั ตะวนั ออก อนั ไดแ้ ก่ จงั หวดั จนั ทบุรี
ระยอง ชลบุรี ตราด บริเวณอา่ วไทยตอนใน ไดแ้ ก่ จงั หวดั สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และอา่ วไทยฝ่ังตะวนั ตกมีชุกชุมท่ีจงั หวดั ชุมพร ประจวบคีรีขนั ธ์ สงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรงั สว่ นท่ีฝ่งั อนั ดามนั มีชุกชุมท่ีจงั หวดั ระนอง กระบ่ี พงั งา และสตูล (กรมประมง, 2543) ภาพท่ี 6 แสดงลกั ษณะรูปร่างของปู 6. ประเภทของจระเขท้ ่ีนิยมทาการประมง จระเขเ้ ป็นสตั วเ์ ล้ือยคลานโบราณท่ีสืบเช้ือสายจากบรรพบุรุษเม่ือหลายรอ้ ยลา้ นปีมาแลว้ โดย มีการเปล่ียนแปลงโครงร่างนอ้ ยมาก ลกั ษณะพิเศษของจระเขค้ ือ จะมีการลอยตวั อยา่ งเช่ืองชา้ คลา้ ยขอนไม้ โดยจะโผลเ่ ฉพาะบริเวณจมูกข้ึนมาเหนือผิวน้า หากแตเ่ วลาจบั เหย่ือจะมีความปราดเปรียว วอ่ งไว เม่ือคาบ เหย่ือไดจ้ ะดาด่ิงหายไปในน้าทนั ที แมว้ า่ จระเขเ้ ป็นสตั วท์ ่ีดุรา้ ยแตก่ ็เป็นสตั วท์ ่ีมนุษยต์ อ้ งการมาก เน่ืองจาก หนงั จระเขเ้ป็นสินคา้ ท่ีมีราคาแพง และเน้ือจระเขย้ งั เป็นอาหารท่ีนิยมในหลายประเทศ เพราะความเช่ือวา่ เป็น ยาสมุนไพร บารุงกาลงั และรักษาโรคบางอยา่ งได้ จึงทาใหจ้ ระเขเ้ ป็นสตั วอ์ ีกชนิดท่ีมีคนสนใจเพาะเล้ียง (รณ ฤทธ์ิ ,2532) สาหรบั จระเขท้ ่ีนิยมเพาะเล้ียงในประเทศไทยมีสองสายพนั ธุค์ ือ 6.1. จระเขน้ ้าจืด หรือ จระเขไ้ ทย (Crocodylus siamensis) จระเขน้ ้าจืดมีปากทูก่ วา้ งและสนั้ กวา่ จระเขน้ ้าเค็ม ลาตวั มีสีน้าตาลอมดาและเหลือง ทอ้ งและปากมี สีครีมอมเหลือง เม่ือโตเต็มท่ีมีความยาวประมาณ 3.50 เมตร อาหารของจระเขไ้ ดแ้ ก่ ปลาและสตั วน์ ้า เล็ก ๆ จระเขน้ ้าจืดอาจจะทารา้ ยคนบา้ งเม่ือจาเป็นแตไ่ มด่ ุรา้ ยเทา่ จระเขน้ ้าเค็ม 6.2. จระเขน้ ้าเค็ม หรือ ไอเ้ ค่ียม (Crocodylus porosus) จระเขช้ นิดน้ีมีแหลง่ อาศยั ชุกชมทางภาคใต้ บริเวณป่าละเมาะ ป่าโกงกาง และตามชายน้าใกล้ ปากน้าบริเวณน้ากร่อย ตงั้ แตช่ ุมพรลงไปจนถึงสุราษฎร์ธานี เม่ือโตเต็มท่ีมีความยาวประมาณ 5.5 เมตร ทงั้ น้ีเคยพบวา่ มีขนาดยาวท่ีสุดถึง 7 – 9 เมตร จระเขน้ ้าเค็มจะออกลา่ เหย่ือบริเวณปากแมน่ ้าและในทะเล ลกั ษณะธรรมชาติของจระเข้ เป็นสตั วท์ ่ีมีหวั ใจ 4 หอ้ ง มีคากลา่ ววา่ จระเขไ้ มม่ ีล้ิน ในความเป็น จริงแลว้ จระเขม้ ีล้ินท่ีหนาและติดอยูก่ บั ขากรรไกรลา่ ง สามารถขยบั ใหส้ ูงต่าได้ อยา่ งรวดเร็วเพ่ือป้องกนั
ไมใ่ หน้ ้าไหลเขา้ สูล่ าคอขณะอา้ ปาก จระเขจ้ ะชอบนอนผ่ึงแดด อา้ ปากกวา้ งคลา้ ยหุน่ ปั้น เพ่ือระเหยความ รอ้ นออกทางเย่ือบุปาก จระเขจ้ ะมีจา่ ฝูงซ่ึงเป็นจระเขต้ วั ผูข้ นาดใหญแ่ ละแข็งแรงท่ีสุด และจะมีอายุตงั้ แต่ 4 –5 ปีข้ึนไป ทง้ั น้ีเช่ือวา่ จระเขท้ ่ีมีอายุมาก ๆ จะมีสมั ผสั พิเศษไวตอ่ การเปล่ียนแปลงทางสภาพดินฟ้าอากาศ เชน่ เม่ือจะเกิดแผน่ ดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ฝนจะตก หรือจะมีเหตุรา้ ยทางธรรมชาติตา่ ง ๆ มนั จะสง่ เสียงรอ้ ง รบั กนั ตอ่ ไปเป็นการเตือนกนั เอง ปกติจระเขจ้ ะผสมพนั ธุใ์ นชว่ งเดือนมกราคมถึงกุมภาพนั ธุ์ ตวั ผูจ้ ะครางและสง่ เสียงร้องไดย้ ินไปไกล เพ่ือเป็นสญั ญาณเรียกตวั เมีย และจบั คูค่ ลอเคลียกนั หลายวนั เม่ือผสมพนั ธุเ์ สร็จตวั เมียจะแยกยา้ ยไปหาทาเล สาหรบั วางไข่ ซ่ึงมกั อยูใ่ นชว่ งเดือนมีนาคมถึงเมษายน โดยกอ่ นวางไข่ 2 –3 วนั ตวั เมียจะใชห้ างกวาดเอาใบไม้ มาสรา้ งเป็นรงั ในบริเวณท่ีน้าไมท่ ว่ มและคิดวา่ ปลอดภยั จากน้นั แมจ่ ระเขจ้ ะข้ึนไปนอนทบั กองใบไมเ้ พ่ือให้ ความรอ้ นและขุดดินลึกประมาณ 10 น้ิว กวา้ ง 12 น้ิว แลว้ คอ่ ยหยอดไขล่ งในหลุม ปริมาณไข่ 20 – 60 ฟอง ตอ่ หลุม จากน้นั กลบใหแ้ น่น และวา่ ยน้าวนเวียนอยูใ่ กล้ ๆ เพ่ือคอยดูแลไข่ บางครัง้ จะใชห้ างฟาดน้าไปยงั กอง ไขใ่ หเ้ ปียกชุม่ และทาใหใ้ บไมผ้ ุเพ่ือใหเ้ กิดความรอ้ น แมจ่ ระเขจ้ ะเฝ้าไขป่ ระมาณ 50 – 60 วนั โดยไมย่ อม ออกไปหาอาหารไกล ๆ เม่ือไขฟ่ กั ตวั แลว้ ตวั แรกท่ีออกจากไขจ่ ะสง่ เสียงรอ้ ง ตวั อ่ืน ๆ จะรอ้ งตาม แมจ่ ระเข้ จะคลานข้ึนมาดูหากพบวา่ ลูกตวั ใดออกจากไขไ่ มไ่ ดแ้ มจ่ ระเขจ้ ะชว่ ยขบเปลือกไขใ่ หแ้ ตกเพ่ือชว่ ยใหล้ ูก ออกมา และเม่ือลูกจระเขห้ ิว แมจ่ ระเขจ้ ะคาบลูกทีละตวั ไปยงั แอง่ น้าท่ขี ุดไวเ้ พ่ือใหก้ ินลูกกบลูกเขียด เม่ืออายุ ครบ 2 เดือน แมจ่ ระเขจ้ ะปลอ่ ยใหล้ ูก ๆ กินอาหารเอง และลูก ๆ ยงั คงวา่ ยน้าติดตามแมจ่ นอายุ 1 ปี จึงจะ แยกยา้ ยออกไปหากินเอง จระเขเ้ ม่ืออายุ 2 –3 ปี ข้ึนไป ก็สามารถนามาชาแหละเพ่ือเอามาใชป้ ระโยชน์ โดยวิธีการทาใหส้ ลบ กอ่ น จากนั้นจึงใหห้ ว่ งคลอ้ งคอจนแน่น และนาไปชาแหละ สาหรับจระเขท้ ่ีจะเป็นพอ่ แมพ่ นั ธุ์ตอ้ งมีอายุตง้ั แต่ 10 – 12 ปีข้ึนไป (สุภาพร , 2538) ภาพท่ี 7 แสดงลกั ษณะรูปร่างของจระเข้
7. ประเภทของปลาท่ีนิยมทาการประมง ชนิดของปลาสามารถจาแนกไดห้ ลายลกั ษณะ ในท่ีน้ีจะจาแนกตามลกั ษณะของแหลง่ น้า และ ลกั ษณะของแหลง่ อาศยั ไดด้ งั น้ี 7.1. จาแนกตามแหลง่ น้าท่ีอยูอ่ าศยั แบง่ ได้ 4 พวก คือ 7.1.1 ปลาน้าจืด (Freshwater fish) เชน่ ปลาตะเพียน ปลาชอ่ น ปลาไน ปลานิล ปลา สลิด ปลาสวาย ปลาบู่ ปลาดุก ปลาบึก ปลาย่ีสก ปลาจีน เป็นตน้ 7.1.2 ปลาทะเล (Marine fish) เชน่ ปลานกแกว้ ปลาสลิดหิน ปลาทู ปลาฉลาม ปลากะพง ปลาลงั ปลาอินทรี ปลาทรายแดง ปลาล้ินหมา ปลากดทะเล เป็นตน้ 7.1.3 ปลาน้ากร่อย (Brackishwater fish) เชน่ ปลากุเรา ปลากระบอก ปลากะพง นวลจนั ทรท์ ะเล ปลาหมอเทศ เป็นตน้ 7.1.4 ปลาสองน้า (Migratory fish) คือ ปลาท่ีอาศยั อยูไ่ ดท้ งั้ 2 น้า ซ่ึงสามารถจาแนกได้ เป็น 2 กลุม่ ยอ่ ย คือ 1. Catadromous fish เป็นปลาสองน้าท่ีวางไขใ่ นทะเลแตอ่ พยพไปเจริญเติบโตใน น้าจืด เชน่ ปลาตูหนา (Angrilla) จดั เป็นปลาน้าจืด 2. Anadromous fish เป็นปลาสองนา้ ท่ีวางไขใ่ นน้าจืดแตอ่ พยพไปเจริญเติบโตใน ทะเล เชน่ ปลาแซลมอ่ น (Salmon) ปลาปากกลม (Lamprey) ปลาตะลุมพุก 7.2 จาแนกตามลกั ษณะของแหลง่ อาศยั สามารถแบง่ ไดเ้ ป็น 7 กลุม่ คือ 7.2.1 ปลาท่ีอาศยั ตามทอ้ งน้า (Demersal fish) เป็นปลาท่ีอาศยั ตามหนา้ ดินของแหลง่ น้า ตา่ ง ๆ เชน่ ปลาบู่ ปลาดุก ปลาซง่ ปลาล้ินหมา ปลาเห็ดโคน ปลากระเบน เป็นตน้ 7.2.2 ปลาท่ีอาศยั อยูใ่ นสว่ นท่ีเป็นผิวน้า (Pelagic fish) เชน่ ปลาตะเพียน ปลาสลิด ปลา ซิว ปลานิล ปลาสรอ้ ย ปลาเสือพน่ น้า ปลาอินทรี ปลาทู เป็นตน้ 7.2.3 ปลาท่ีอาศยั อยูท่ ่ีบริเวณผิวน้าในทะเลลึก (Oceanic fish) เชน่ ปลานกกระจอก ปลา โอ ปลากระโทงแทง เป็นตน้ 7.2.4 ปลาท่ีอาศยั อยูใ่ นบริเวณชายฝ่งั (Inshore fish) เชน่ ปลาชอ่ นทะเล ปลาเกา๋ ปลา กระทุงเหว ปลาใบโพธ์ิ ปลากะตกั เป็นตน้ 7.2.5 ปลาท่ีอาศยั อยูใ่ นทะเลลึก (Deep-sea fish) เชน่ ปลาอีโตม้ อญ ปลาทูน่า เป็นตน้ 7.2.6 ปลาท่ีอาศยั อยูใ่ นเขตน้าข้ึนน้าลง (Intertidal fish) เชน่ ปลาตีน ปลากะรัง ปลากระบอก เป็นตน้ 7.2.7 ปลาท่ีอาศยั อยูใ่ นบริเวณปะการงั (Coral-reef fish) เชน่ ปลากะรัง ปลากะพง ปลา สลิดหิน ปลานกแกว้ ปลาการต์ ูน เป็นตน้
ภาพท่ี 8 แสดงลกั ษณะรูปร่างของปลาน้าจืด 8. หมึก หมึกเป็นสตั วไ์ มม่ ีกระดูกสนั หลงั จดั อยูใ่ นไฟลมั มอลลสั กา้ (Mollusca) Subphylum Conchifera Class Cephalopoda (หอยงวงชา้ งและหมึกทะเล อาศยั อยูใ่ นทะเลทง้ั หมด จดั เป็นพวกท่เี จริญท่ีสุดในกลุม่ จาพวกหอย) ลาตวั กลม ยาว หรือเป็นถุง แบง่ ออกเป็นสว่ นหวั และลาตวั ไมม่ ีเปลือกหุม้ ภายนอก ตาอยูบ่ ริเวณ สว่ นหวั มีระยางคร์ อบปาก 4-5 คู่ เรียกวา่ หนวด (Tantacle) และแขน (Arm) บนหนวดแตล่ ะเสน้ มีปุ่มดูด (Sucker) เรียงเป็นแถว หนวดมีหนา้ ท่ีในการจบั เหย่ือป้อนเขา้ ปากและชว่ ยในการผสมพนั ธุ์ ภายในปากมี เข้ยี ว 2 อนั คือ เข้ียวบนและเข้ียวลา่ ง ดา้ นลา่ งของตวั บริเวณคอมีทอ่ พน่ น้า (Siphon) ชว่ ยในการเคล่ือน ตวั อยา่ งรวดเร็ว สว่ นลาตวั มีแผน่ ครีบติดอยูด่ า้ นขา้ ง ตามตวั มีจุดสี (Chromatophore) กระจายอยูท่ ว่ั ไป จุดสีน้ี สามารถขยายใหใ้ หญห่ รือหดเล็กได้ โดยการควบคุมของระบบประสาท หมึกจะสามารถเปล่ียนสีของลาตวั ไดต้ ามสภาพส่ิงแวดลอ้ มหรือในฤดูผสมพนั ธุ์ ภายในลาตวั ของหมึกจะมีโครงสรา้ งของแข็ง เรียกวา่ กระดอง หมึก หมึกแตล่ ะชนิดจะมีลกั ษณะของกระดองหมึกตา่ งกนั หมึกกลว้ ยเป็นแผน่ ใสคลา้ ยพลาสติก เป็น สารประกอบพวกไคติน ของหมึกกระดองเป็นแผน่ แข็งสีขาวขุน่ เป็นสารประกอบพวกหินปูนเรียกวา่ ล้ินทะเล หมึกหายใจโดยใชอ้ วยั วะสว่ นเหงือกท่อี ยูภ่ ายในลาตวั โดยเหงือก จะทาหนา้ ท่ีแลกเปล่ียนแกส๊ ท่ี ละลายอยูใ่ นน้า มีเหงือก 1 คู่ ภายในลาตวั มีทอ่ ทางเดินอาหาร ระบบขบั ถา่ ย ระบบสืบพนั ธุ์ สว่ นปลายสุดของ ทอ่ ทางเดินอาหารมีถุงบรรจุน้าสีดาติดอยู่ เรียกวา่ ถุงหมึก (Ink sac) ซ่ึงจะพน่ ออกมาเม่ือถูกรบกวนหรือ ตอ้ งการหลบหลีกศตั รู หมึกกินสตั วข์ นาดเล็ก เชน่ กุง้ ปู เคย ปลาขนาดเล็ก หรือจบั หมึกพวกเดียวกนั เป็น อาหาร ชนิดของหมึกท่ีพบในนา่ นน้าไทยมีประมาณ 6 วงศ์ 11 สกุล 20 ชนิด
ภาพท่ี 9 แสดงลกั ษณะรูปร่างของหมึก 9. เต่า เตา่ เป็นสตั วเ์ ล้ือยคลานโบราณท่ีมีชีวิตอยูใ่ นโลกน้ีมา 175 ลา้ นปีมาแลว้ คาท่ีใชเ้ รียกเตา่ (Turtle) มี ความหมายกวา้ งใชท้ ว่ั ไปกบั เตา่ ทะเล เตา่ บก เตา่ คอยาว แตค่ าวา่ ตอร์ตอยส์ (Tortoise) ใชเ้ รียกเตา่ บก และ เตา่ น้าจืดเทา่ นน้ั เตา่ มีกระดองหุม้ หอ่ ตวั อยูภ่ ายนอก ซ่ึงเตา่ สว่ นใหญส่ ามารถหดหวั และขาเขา้ ไปในกระดองได้ แตเ่ ตา่ ทะเลทาไมไ่ ดเ้ พราะสว่ นของเทา้ และขาไดเ้ ปล่ียนรูปไปคลา้ ยใบพายทาหนา้ ท่ีในการวา่ ยน้า กระดองเตา่ ทา หนา้ ท่ีเป็นเกราะกาบงั ตวั ใหป้ ลอดภยั จากศตั รูและส่ิงรอบ อายุของเตา่ สามารถตรวจนบั ไดจ้ ากวงปีบนแผน่ เกล็ด ขาแขนของเตา่ โดยทว่ั ไปจะแบน และมีน้ิว 5 น้ิว ทงั้ ขาคูห่ นา้ คูห่ ลงั แตล่ ะน้ิวจะมีเล็บทุกน้ิวยกเวน้ เทา้ คู่ หลงั น้ิวดา้ นในจะไมม่ ีเล็บหน่ึงน้ิว ขาคูห่ นา้ ของเตา่ ทะเลจะคลา้ ยใบพายหางของเตา่ ใชใ้ นการแยกเพศได้ ตวั ผู้ จะยาวกวา่ ตวั เมีย สาหรบั ตาของเตา่ สามารถมองเห็นไดด้ ี นัยนต์ ามีหนงั ตาและมีผนงั เย่ือใส ๆ หุม้ ตา เวลาเตา่ หลบั ตา จะใชห้ นังตาลา่ งปิดตา ตรงกนั ขา้ มกบั มนุษยท์ ่ีใชห้ นงั ตาบน จมูกในการดมกล่ินไมด่ ีนัก ใชจ้ มูกสูดดมเฉพาะ กล่ินของอาหาร เตา่ บางชนิดกินเฉพาะพืช บางชนิดกินพืชและสตั วท์ ง้ั ท่ีมีชวี ิตและตายแลว้ หูของเตา่ ไมม่ ีชอ่ ง ทะลุออกเป็นรูใหเ้ ห็น เตา่ สามารถรับฟงั เสียงส่นั สะเทือนบนพ้ืนดินไดเ้ ป็นอยา่ งดี แตเ่ สียงท่ีเกิดในอากาศเตา่ ไม่ สามารถไดย้ ิน เตา่ ไมม่ ีฟนั แตบ่ ริเวณกระดูกขากรรไกรจะมีแผน่ กระดูกแข็ง ทาหนา้ ท่ีคลา้ ยฟนั ในปากมีล้ิน สน้ั ๆ ติดอยูก่ บั พ้ืนปาก และเตา่ หายใจดว้ ยปอด การผสมพนั ธุว์ างไข่ ตวั ผูจ้ ะปลอ่ ยน้าเช้ือเขา้ ไปในชอ่ งเพศตวั เมียเพ่ือใหน้ ้าเช้ือเขา้ ผสมไขซ่ ่ึงอยูใ่ นรัง ไขต่ อ่ ไป ตวั เมียจะใชเ้ ทา้ คูห่ ลงั ขุดหลุมสาหรบั วางไข่ เปลือกของไขม่ ีสีขาว จานวนของไขข่ ้ึนกบั ชนิดเตา่ บาง ชนิดมีไขฟ่ องเดียว บางชนิดวางไขน่ ับรอ้ ยฟองเม่ือวางไขเ่ สร็จตวั เมียจะกลบหลุมไขข่ องมนั ปลอ่ ยใหไ้ ขฟ่ กั ออกมาเป็นตวั เองตามธรรมชาติ ไขเ่ ตา่ ท่ีเราเรียกวา่ ไขจ่ ะระเม็ด หมายถึง ไขข่ องเตา่ ตะนุและเตา่ กระ
ภาพท่ี 10 แสดงลกั ษณะรูปร่างของเตา่ 10. พรรณไมน้ ้า พรรณไมน้ ้า หรือพืชน้า (Aquatic Plants, Water Plants, Hydrophytes) หมายถึง พืชท่ีข้ึนอยูใ่ น น้าโดยอาจจะจมอยูใ่ ตน้ ้าทง้ั หมด หรือโผลบ่ างสว่ นข้ึนมาอยูเ่ หนือน้า ลอยอยูท่ ่ีผิวน้าหรือเป็นพืชท่ีข้ึนอยู่ ตาม ริมน้า ชายตล่ิง นอกจากน้ียงั รวมถึงพืชท่ีเจริญเติบโตอยูใ่ นบริเวณท่ีลุม่ น้าขงั แฉะอีกดว้ ย ประเภทของพรรณไมน้ ้า สามารถจาแนกไดเ้ ป็นประเภทตา่ งๆ ไดด้ งั น้ี 1. จาแนกตามขนาด ไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ 1.1 Microphytes คือ พืชท่ีมีขนาดเล็กมากจนไมส่ ามารถมองเห็นไดด้ ว้ ยตาเปลา่ ตอ้ งดู ดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์ 1.2 Macrophytes คือ พืชท่ีมีขนาดใหญแ่ ละสามารถมองเห็นไดด้ ว้ ยตาเปลา่ แบง่ เป็นกลุม่ ใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ กลุม่ สาหร่าย กลุม่ มอส กลุม่ เฟิร์น และกลุม่ พืชมีเมล็ด สาหรับพืชในกลุม่ น้ีสามารถ แบง่ เป็นกลุม่ ยอ่ ยตามลกั ษณะแหลง่ น้าได้ 2 ประเภท คือ 1.2.1 Limnophytes เป็นพืชท่ีข้ึนอยูใ่ นบริเวณแหลง่ น้าจืด 1.2.2 Halophytes เป็นพืชท่ีข้ึนอยูใ่ นบริเวณแหลง่ น้ากร่อยหรือน้าเค็ม 2. จาแนกตามลกั ษณะการเจริญเติบโตในแหลง่ น้า หรือแหลง่ ท่ีอยู่ มี 4 ประเภท คือ 2.1 พืชลอยน้า (Floating plants) เป็นพรรณไมน้ ้าท่ีเจริญลอยอยูใ่ นระดบั ผิวน้า มีรากหอ้ ย อยูใ่ ตร้ ะดบั น้า สว่ นของลาตน้ ใบและดอก เจริญอยูเ่ หนือนา้ ถา้ อยูใ่ นน้าต้ืน ๆ รากอาจจะหยง่ั ยึดพ้ืนดินใตน้ ้า ก็ได้ พืชประเภทน้ีสว่ นใหญม่ กั จะมีสว่ นหน่ึงสว่ นใดเปล่ียนไปเป็นทุน่ เพ่ือพยุงลาตน้ ใหล้ อยน้าได้ เชน่ ผกั ตบชวามีสว่ นของกา้ นใบพองตวั เป็นทุน่ ผกั บุง้ มีสว่ นลาตน้ ภายในกลวง ชว่ ยใหล้ าตน้ เล้ือยทอดตวั ไปบนผิว น้าไดด้ ี 2.2 พืชใตน้ ้า (Submerged plants) เป็นพรรณไมน้ ้าท่ีมีสว่ นของราก ลาตน้ และใบอยูใ่ ต้ น้าทงั้ หมด อาจมีรากยึดติดกบั พ้ืนดินใตน้ ้าหรือไมก่ ็ได้ บางชนิดเม่ือเจริญเต็มท่กี ็จะสง่ ดอกข้ึนมาเจริญท่ีผิวน้า
หรือเหนือนา้ เชน่ สาหร่ายหางกระรอก สาหร่ายพุงชะโด และสนั ตะวาชนิดตา่ ง ๆ 2.3 พืชโผลเ่ หนือน้า (Emerged plants) เป็นพวกท่ีเจริญเติบโตอยูใ่ ตน้ ้าบางสว่ น และโผล่ เหนือน้าบางสว่ น โดยมีรากหรือทงั้ รากและลาตน้ เจริญอยูใ่ นพ้ืนดินใตน้ ้า แลว้ สง่ สว่ นของใบและดอกข้ึนมา เจริญเหนือน้า เชน่ บวั ตา่ ง ๆ กกบางชนิด 2.4 พืชชายน้า (Marginal plants) เป็นพืชท่ีมกั จะข้ึนตามชายน้า ริมตล่ิง หรือหนองนา้ ท่ี ทว่ มขงั ต้ืน ๆ โดยทว่ั ไปจะมีรากและลาตน้ เจริญอยูใ่ นพ้ืนดิน และสง่ ลาตน้ บางสว่ น ใบ และดอกข้ึนมาเหนือน้า เชน่ ผกั เป็ดน้า หญา้ ตา่ ง ๆ พืชน้าประเภทน้ีมีลกั ษณะใกลเ้ คียงกบั พืชโผลเ่ หนือน้าจนบางคร้ังไมส่ ามารถแยก ไดช้ ดั เจน เชน่ ผกั ตบไทย โสน ประโยชนข์ องพรรณไมน้ ้า 1. ใชเ้ ป็นอาหารของมนุษย์ เชน่ ขา้ ว กระจบั บวั หลวง บวั สาย โสน ผกั บุง้ 2. ใชป้ ระดิษฐเ์ ป็นเคร่ืองจกั สานและของใชใ้ นชีวิตประจาวนั เชน่ กก ผกั ตบชวา นามาทาเส่ือ กระเป๋ า ตน้ จาก นาใบมาใชม้ ุงหลงั คา 3. ใชป้ ระโยชนด์ า้ นการเกษตร เชน่ แหนเป็ด ผกั ตบชวา สาหร่ายชนิดตา่ ง ๆ ใชเ้ ป็นอาหารสตั ว์ แหนแดง ใชเ้ ล้ียงปลาและเป็นป๋ ุยพืชสดในนาขา้ ว 4. ใชป้ ระโยชน์ดา้ นการประมง ไดแ้ ก่ เป็นแหลง่ ท่ีอยูอ่ าศยั ของสตั วน์ ้า เป็นแหลง่ อาหารของสตั วน์ ้า ตา่ ง ๆ 5. ใชป้ ลูกเป็นไมด้ อกไมป้ ระดบั เชน่ บวั สาย พุทธรกั ษา ใชใ้ นการจดั ตูพ้ รรณไมน้ ้า ไดแ้ ก่ สาหร่าย หางกระรอก สนั ตะวาหางไก่ 6. ใชใ้ นการบาบดั น้าเสียจากชุมชน ฟาร์มเล้ียงสตั ว์ และโรงงานอุตสาหกรรม เชน่ ผกั ตบชวา บวั สาหร่ายชนิดตา่ งๆ ภาพท่ี 11 แสดงการใชพ้ รรณไมน้ ้าจดั สวนตูป้ ลา 11.สาหร่ายทะเล (Seaweeds) สาหร่ายทะเล (Seaweeds) จดั วา่ เป็นทรัพยากรประมงท่ีมีความสาคญั ชนิดหน่ึง ซ่ึงเป็นพืชชน้ั ต่า ไม่ มีระบบทอ่ ลาเลียงอาหารจากรากสูล่ าตน้ และใบแบบพืชชนั้ สูงเชน่ หญา้ ทะเล แตจ่ ะใชว้ ิธีดูดซบั น้าและแร่ธาตุ จากน้าทะเลสูเ่ ซลลต์ า่ ง ๆ โดยตรง พืชกลุม่ น้ีไมม่ ีดอกและผล แตแ่ พร่กระจายพนั ธุด์ ว้ ยการสรา้ งสปอร์และ
แบง่ ตวั สาหร่ายทะเลมีลกั ษณะมากมายหลายแบบ ตง้ั แตแ่ บบท่ีเป็นแพลงคต์ อนลอยไปมาในน้า ซ่ึงมีขนาดเล็ก มากมองไมเ่ ห็นดว้ ยตาเปลา่ บางชนิดเป็นเซลลเ์ ด่ียว บางชนิดจบั ตวั กนั เป็นกลุม่ เซลล์ หรือเป็นสายจนถึงชนิด ท่ีเป็นตน้ ดูคลา้ ยพืชชนั้ สูง สาหร่ายทะเล แบง่ ออกเป็นกลุม่ ใหญ่ ๆ ตามโครงสรา้ งและสีของสารสงั เคราะหแ์ สง ไดเ้ ป็น 4 กลุม่ คือ (กรมประมง , 2549) 1. สาหร่ายสีเขียวแกมนา้ เงิน (blue-green algae) 2. สาหร่ายสีเขียว (green algae) 3. สาหร่ายสีน้าตาล (brown algae) 4. สาหร่ายสีแดง (red algae) โดยทว่ั ไป เราสามารถจาแนกกลุม่ สาหร่ายไดจ้ ากสีท่ีเห็น แต่ในประเทศไทยซ่ึงอยใู่ นเขตร้อนซ่ึง มีแสงจดั บางครง้ั สาหร่ายจะมีสีเปล่ียนไปจากท่ีควรจะเป็น ประโยชนข์ องสาหร่าย 1. เป็นอาหารพ้ืนฐานของสตั วท์ ะเล ทงั้ ท่ีกินสาหร่ายโดยตรง หรือท่ีกินสตั วอ์ ่ืนท่ีกินสาหร่ายอีกตอ่ หน่ ึ ง 2. เป็นประโยชน์ตอ่ คน คือเป็นอาหารโดยตรง ใชท้ าวุน้ เป็นสว่ นประกอบในเคร่ืองสาอางหรือ เวชภณั ฑย์ าหลายชนิด 3. ชว่ ยสรา้ งใหเ้ กิดแนวปะการงั เพราะสาหร่ายทะเลบางชนิดมีหินปูนเป็นองคป์ ระกอบ เม่ือสาหร่าย ตายไปก็เป็นแหลง่ ใหป้ ะการงั วยั ออ่ นมาเกาะอาศยั และเติบโตได้ 4. ใชเ้ ป็นตวั บง่ ช้ีถึงคุณภาพของแหลง่ น้าใชบ้ าบดั น้าเสีย และใชห้ าผลผลิตขน้ั ตน้ ของแหลง่ น้า 5. เป็นพืชผกั ท่ีใหพ้ ลงั งานต่า ยอ่ ยงา่ ย แตม่ ีคุณคา่ อาหารสูง หลายคนคงเคยไดย้ ินช่ือ สาหรา่ ยหางกระรอก สาหร่ายขา้ วเหนียว สาหร่ายญ่ีปุ่น พืชเหลา่ น้ีไมใ่ ช่ สาหร่าย แตเ่ ป็นพืชดอกท่ีนิยมเล้ียงเพ่ือความสวยงามในตูป้ ลาเทา่ น้ัน ภาพท่ี 12 แสดงลกั ษณะของสาหร่ายทะเล
สารอาหารในสาหร่ายทะเล สารอาหารท่ีมีในสาหร่ายทะเล ก็คือ โปรตีนซ่ึงมีมากกวา่ ในเน้ือสตั ว์ มีแคลเซียมมากกวา่ นมถึง 14 เทา่ ธาตุเหล็กมีมากกวา่ เน้ือสตั ว์ 3-8 เทา่ มีไอโอดีนมากกวา่ ในอาหารทะเล และยงั มีวิตามินเอ วิตามินซี ไท อามีน ไรโบฟลาวิน วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และไนอาซีนมากกวา่ ในผกั ผลไม้ นอกจากจะมีสารอาหาร ดงั กลา่ วแลว้ ยงั เป็นอาหารท่ียอ่ ยงา่ ยและไขมนั ต่า จึงเหมาะสาหรับผูท้ ่ีตอ้ งการจะลดน้าหนกั ในสาหร่ายทะเลมีสรรพคุณชว่ ยรกั ษาโรคกระดูกผุ ชาระลา้ งหลอดเลือด ทาใหห้ ลอดเลือดมีความ ยืดหยุน่ ชว่ ยลดคอเลสเตอรอล ลดความดนั โลหิต รกั ษาโรคทอ้ งผูก สมานแผลในกระเพาะอาหาร กระตุน้ ภูมิคุม้ กนั โรค บรรเทาไขขอ้ อกั เสบ เป็นยาระงบั ประสาท ชว่ ยกาจดั แบคทีเรียบางชนิดท่ีกอ่ สารมะเร็ง บทสรุป ลาดบั หวั ข้อในบทเรียน 1. ความหมายของสตั วน์ ้า 2. ความหมายของทรัพยากรประมง 3. ความสาคญั ของทรพั ยากรประมง 3.1 เป็นอาหาร 3.2 เป็นสินคา้ 3.3 เกิดอุตสาหกรรมประมง 3.4 ช่วยกาจดั แมลง 3.5 ประโยชนใ์ นการศึกษา 3.6 เป็นธรรมชาติประดบั โลกให้สวยงาม 3.7 ใหผ้ ลพลอยไดอ้ ื่น ๆ 4. สถานการณท์ รพั ยากรประมงไทย 5. ประเภทของทรพั ยากรประมงท่ีมีความสาคญั ทางเศรษฐกิจ 5.1 กุง้ 5.2 หอย 5.3 กบ 5.4 ตะพาบน้า 5.5 ปู 5.6 จระเข้ 5.7 ปลา 5.8 หมึก 5.9 เตา่ 5.10 พรรณไมน้ ้า
5.11 สาหร่ายทะเล ประเทศไทยเป็นประเทศหน่ึงท่มี ีทรพั ยากรประมงอุดมสมบูรณม์ าชา้ นาน ทง้ั ในแหลง่ น้าจืด แหลง่ ชายฝ่งั และแหลง่ น้าเค็ม การประมงถือเป็นอาชีพหลกั ท่ีมีความสาคญั ตอ่ ประเทศเป็นอยา่ งมาก เพราะวา่ สตั ว์ น้าเป็นอาหารสาคญั ท่ีประชากรไทยบริโภคเป็นประจา และมีความหมายสาคญั รองลงมาจากขา้ ว เน่ืองจาก สตั วน์ ้าเป็นอาหารโปรตีนท่ีมีราคาต่ากวา่ อาหารโปรตีนประเภทอ่ืน ๆ จึงเหมาะกบั ประชากรสว่ นใหญข่ อง ประเทศท่ีมีรายไดน้ อ้ ย ในปจั จุบนั ประชากรของประเทศเพ่ิมข้ึนอยา่ งรวดเร็ว ทาใหม้ ีการจบั ปลาและสตั วน์ ้า ชนิดตา่ ง ๆ ข้ึนมาบริโภคกนั มากข้ึน นอกจากจบั มาบริโภคแลว้ ยงั มีการแปรรูปเพ่ือสง่ ออกไปจาหน่ายยงั ตลาด ในตา่ งประเทศดว้ ย ดงั นั้นทรพั ยากรประมงชนิดตา่ ง ๆ ของไทยจึงลดจานวนลงอยา่ งรวดเร็ว จาเป็นอยา่ งย่ิงท่ี ประชาชนทุกคนจะไดม้ ีการอนุรกั ษ์ทรัพยากรประมงกนั อยา่ งจริงจงั เพ่ือใหม้ ีทรพั ยากรประมงคงอยูค่ ูก่ บั ประเทศไทยตอ่ ไป แบบฝึ กประสบการณ์ 1. ทรพั ยากรประมง หมายถึง …………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………….………………………………………......................................................…… 2. ความสาคญั ของทรพั ยากรประมงมีดงั น้ี คือ 2.1.................................................................................................................................................................... 2.2……………………………………………………….…………………………………..…………......... 2.3………………............................................................................................................................................ 3. ประเภทของทรัพยากรประมงท่มี ีความสาคญั ทางเศรษฐกิจมีดงั น้ี คือ 3.1........................................................................................................................................................ 3.2......................................................................................................................................................... 3.3......................................................................................................................................................... 3.4………………………………………………………..…………………………………………………... 4. จงอธิบายถึงสถานการณท์ รัพยากรประมงของประเทศไทย ............................................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................................ 5. สาเหตุท่ีทาใหท้ รพั ยากรประมงประเภทตา่ ง ๆ ลดนอ้ ยลงไป ไดแ้ ก่ 5.1........................................................................................................................................................ 5.2........................................................................................................................................................ 5.3........................................................................................................................................................
บทท่ี 3 การประมงนา้ จดื จุดประสงค์การสอน 1. บอกถึงแหลง่ ทำกำรประมงนำ้ จืดของประเทศไทยได้ 2. อธิบำยถึงชนิดของสตั ว์นำ้ จืดที่มีควำมสำคญั ทำงเศรษฐกิจได้ 3. บอกถึงชนิดของเครื่องมือทำกำรประมงนำ้ จืดได้ 4. อธิบำยถงึ ปัญหำและอปุ สรรคของกำรประมงนำ้ จืดได้ เนือ้ หาการสอน แหล่งทาการประมงนา้ จืด แหลง่ ทำกำรประมงนำ้ จืด สำมำรถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ (ธีรพนั ธ์ , 2530) 1. แหล่งนา้ ธรรมชาติ สำมำรถแบง่ ออกได้เป็น 3 ประเภท คือ 1.1 แม่นา้ และลาธาร (River and Stream) จดั เป็นแหลง่ นำ้ ที่มีกำรไหลหรือระบบ นำ้ เปิดมีกำเนิดในบริเวณท่ีภูมิประเทศเป็นภเู ขำ นำ้ จะไหลสทู่ ี่รำบตำ่ จนถึงปำกแมน่ ำ้ ในประเทศไทย มีแมน่ ำ้ สำยสำคญั ๆ กระจำยอยทู่ วั่ ประเทศจำนวน 66 สำย คดิ เป็นพืน้ ท่ีผิวนำ้ ประมำณ 907,084 ไร่ ในจำนวนนีม้ ีแมน่ ำ้ สำยหลกั 4 สำย คอื 1.1.1 แมน่ ำ้ เจ้ำพระยำ มีเนือ้ ท่ีรับนำ้ ประมำณ 110,371 ตำรำงกิโลเมตร คดิ เป็นปริมำณนำ้ ทงั้ ปี 22,800 ล้ำนลกู บำศก์เมตร ต้นนำ้ ลำธำรอยบู่ ริเวณภำคเหนือ ประกอบด้วย แมน่ ำ้ 4 สำยคอื ปิง วงั ยม นำ่ น แมน่ ำ้ เจ้ำพระยำจดั เป็นแมน่ ำ้ ท่ีมีควำมอดุ มสมบรู ณ์มำกท่ีสดุ ของ ประเทศ มีชำวประมงทำกำรประมงกนั อยำ่ งหนำแนน่ จำกกำรสำรวจกำรทำกำรประมงในแมน่ ำ้ เจ้ำพระยำตงั้ แตท่ ้ำยเข่ือนเจ้ำพระยำถึงอำเภอเมืองจงั หวดั นนทบรุ ี ระยะทำง 210 กิโลเมตร พบวำ่ มีกำร นำสตั ว์นำ้ มำใช้ประโยชน์ 66 ชนิด มีเคร่ืองมือประมง 19 ชนิด 1.1.2 แมน่ ำ้ ทำ่ จีน มีเนือ้ ที่รับนำ้ ประมำณ 7,502 ตำรำงกิโลเมตร คดิ เป็นปริมำณนำ้ ทงั้ ปีประมำณ 4,766 ล้ำนลกู บำศก์เมตร ต้นแมน่ ำ้ แยกจำกแมน่ ำ้ เจ้ำพระยำท่ีจงั หวดั ชยั นำท จำกกำรสำรวจกำรทำกำรประมงในแมน่ ำ้ ทำ่ จีน ตงั้ แตอ่ ำเภอเดมิ บำงนำงบวช จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี ถงึ ปำกแมน่ ำ้ จงั หวดั สมทุ รสำคร ระยะทำง 270 กิโลเมตร พบวำ่ มีกำรนำสตั ว์นำ้ มำใช้ ประโยชน์ 80 ชนิด มีเคร่ืองมือประมงประมำณ 28 ชนิด 1.1.3 แมน่ ำ้ แมก่ ลอง มีเนือ้ ที่รับนำ้ ประมำณ 27,220 ตำรำงกิโลเมตร
คดิ เป็นปริมำณนำ้ ทงั้ ปี 12,860 ล้ำนลกู บำศก์เมตร ต้นแมน่ ำ้ อยบู่ ริเวณจงั หวดั ตำก จำกกำรสำรวจ กำรทำกำรประมงในแมน่ ำ้ แมก่ ลองตอนลำ่ งตงั้ แตจ่ งั หวดั รำชบรุ ี ถงึ ปำกแมน่ ำ้ จงั หวดั สมทุ รสำคร พบวำ่ มีกำรนำสตั ว์นำ้ มำใช้ประโยชน์ 102 ชนิด มีเครื่องมือประมง 18 ชนิด 1.1.4 แมน่ ำ้ บำงประกง มีเนือ้ ที่รับนำ้ ประมำณ 19,320 ตำรำง กิโลเมตร ต้นแมน่ ำ้ เกิดจำกแมน่ ำ้ 2 สำยคือ แมน่ ำ้ ปรำจีนบรุ ี และแมน่ ำ้ นครนำยกไหลมำรวมกนั จำกกำรสำรวจกำรทำกำรประมงในแมน่ ำ้ บำงประกง ตงั้ แตจ่ งั หวดั ปรำจีนบรุ ี ถึงปำกแมน่ ำ้ จงั หวดั ฉะเชงิ เทรำ พบวำ่ มีกำรนำสตั ว์นำ้ มำใช้ประโยชน์ 10 ชนิด มีเครื่องมือประมงประมำณ 20 ชนดิ 1.2 แหล่งนา้ ท่วมหรือท่ลี ุ่มนา้ ขัง (Wet Land) คือบริเวณท่ีรำบลมุ่ สองฝ่ังแมน่ ำ้ รวมตลอดถงึ หนอง บงึ คลอง คู ที่อยใู่ นบริเวณท่ีจะถกู นำ้ ทว่ มในฤดฝู นและจะแห้งในฤดแู ล้ง โดยปกติ บริเวณที่ถกู นำ้ ทว่ มมกั จะครอบคลมุ บริเวณทงั้ สองฝ่ังของลำนำ้ มีลกั ษณะแตกตำ่ งกนั ไปตำมสภำพ ของภมู ิประเทศของลำนำ้ โดยเฉพำะบริเวณตอนลำ่ งของลำนำ้ ซงึ่ มกั จะเป็นที่รำบลมุ่ นำ้ ทว่ มอยู่นำน เป็นบริเวณกว้ำง กำรทำกำรประมงในแหลง่ นำ้ ทว่ มจะเริ่มประมำณปลำยฤดฝู นถงึ ต้นฤดหู นำวปัจจบุ นั แหลง่ นำ้ ทว่ มท่ีพบคอื บริเวณจงั หวดั นครสวรรค์ จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยำและจงั หวดั สพุ รรณบรุ ี ใน ปัจจบุ นั แหลง่ นำ้ ทว่ มมีบทบำททำงนิเวศวทิ ยำสิ่งแวดล้อม คือ เป็นที่กรองตำมธรรมชำติ 1.3 ทะเลสาบ (Lake) หมำยถึง แหลง่ นำ้ ขนำดใหญ่ที่ถกู ล้อมรอบโดยแผน่ ดนิ ไมม่ ี ทำงนำ้ เข้ำออก จดั เป็นแหล่งนำ้ นิ่งหรือระบบปิด ในประเทศไทยมีทะเลสำบ หนอง บงึ ธรรมชำติ รวม 10,223 แหง่ คิดเป็นพืน้ ที่ผิวนำ้ ประมำณ 800,000 ไร่ ในจำนวนนีแ้ หลง่ ท่ีมีควำมสำคญั ได้แก่ บงึ บอระเพด็ หนองหำร กว๊ำนพะเยำ บงึ สีไฟ ทะเลสำบสงขลำ ฯลฯ 2. แหล่งนา้ ท่มี นุษย์สร้างขึน้ สำมำรถแบง่ ออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 2.1 เข่ือนและอ่างเกบ็ นา้ จดั เป็นแหลง่ นำ้ เอนกประสงค์ ใช้ประโยชน์ทงั้ ในด้ำนกำร ชลประทำน กำรผลติ กระแสไฟฟ้ำ กำรปอ้ งกนั อทุ กภยั ฯลฯ ซง่ึ ไมว่ ำ่ จะมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือประโยชน์ใด ก็ตำม ผลพลอยได้ที่สำคญั คอื เป็นแหลง่ ทำกำรประมง กอ่ ให้เกิดแหลง่ อำหำรโปรตีนรำคำถกู ในรูป ของเนือ้ ปลำสำหรับประชำกรในท้องถ่ินได้ใช้บริโภค และเหลือจำหน่ำยเป็นรำยได้แก่ครัวเรือน ปัจจบุ นั อำ่ งเก็บนำ้ ขนำดเล็กมีพืน้ ท่ีต่ำกวำ่ 5,000 ไร่ จำนวน 34 แหง่ คดิ เป็นพืน้ ท่ีผิวนำ้ 1,628,359 ไร่ จำก กำรสำรวจผลผลิตสตั ว์นำ้ ตอ่ ไร่ของอำ่ งเก็บนำ้ โดยเฉลี่ยได้ผลผลติ จำนวน 20.01 กิโลกรัม (ธีรพนั ธ์ , 2530)
ภำพท่ี 13 แสดงเขื่อนเก็บนำ้ ท่ีมนษุ ย์สร้ำงขนึ ้ 2.2 สถานท่เี พาะเลีย้ งสัตว์นา้ จดั เป็นแหลง่ นำ้ ท่ีถกู สร้ำงขนึ ้ เพ่ือเพมิ่ ปริมำณ ผลผลิตสตั ว์นำ้ ให้มำกขนึ ้ และเป็นอำชีพที่สำคญั ที่สดุ ในปัจจบุ นั ซงึ่ กำรเพำะเลีย้ งสตั ว์นำ้ จืดได้ เจริญก้ำวหน้ำมีอตั รำกำรขยำยตวั เพิม่ ขนึ ้ โดยในปี พ.ศ.2550 ประเทศไทยมีพืน้ ท่ีในกำรเลีย้ งสตั ว์นำ้ จืดเฉพำะรำยที่ให้ผลผลติ จำนวน 932,678 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 83.14 ของจำนวนพืน้ ที่เพำะเลีย้ งสตั ว์ นำ้ จืดทว่ั ประเทศ ลดลงจำกปี 2549 ร้อยละ 1.26 เป็นเนือ้ ที่ใช้เลีย้ งในบอ่ 832,796 ไร่ เนือ้ ที่เลีย้ ง ในนำ 86,019 ไร่ เป็นเนือ้ ท่ีเลีย้ งในร่องสวน 13,434 ไร่ และเป็นเนือ้ ที่เลีย้ งในกระชงั 429 ไร่ (กลมุ่ วิจยั และวิเครำะห์สถิตกิ ำรประมง , 2552) ภำพท่ี 14 แสดงกำรทำกำรประมงในท่ีเพำะเลีย้ งสตั ว์นำ้
ผลผลติ ของฟาร์มเลีย้ งสัตว์นา้ จืด ผลผลิตของฟำร์มเลีย้ งสตั ว์นำ้ จืดทวั่ ประเทศปี 2550 จำนวนรวมทงั้ สนิ ้ 525,095 ตนั คดิ เป็นมลู คำ่ 21,122.0 ล้ำนบำท ดงั แสดงในตำรำงท่ี 2 ลดลงจำกปี 2549 ร้อยละ 0.44 เป็นผลผลิตท่ี ได้จำกกำรเลีย้ งในบ่อ 453,666 ตนั คิดเป็น ร้ อยละ 86.40 ของผลผลิตทัง้ หมดมูลค่ำประมำณ 18,389.6 ล้ำนบำท ซึง่ เป็นร้อยละ 87.06 ของมลู คำ่ รวม เป็นผลผลิตท่ีได้จำกกำรเลีย้ งในนำคิดเป็น ร้ อยละ 5.10 (26,796 ตนั ) มีมูลค่ำประมำณ 1,038.0 ล้ำนบำท คิดเป็นร้ อยละ 4.92 ของมูลค่ำ ทงั้ หมด เป็นผลผลิตที่ได้จำกกำรเลีย้ งในร่องสวนร้อยละ 2.20 (11,571 ตนั ) มีมลู คำ่ ประมำณ 280.6 ล้ำนบำท คิดเป็นร้อยละ 1.33 ของมลู คำ่ ทงั้ หมด และเป็นผลผลิตที่ได้จำกกำรเลีย้ งในกระชงั ร้ อยละ 6.30 (33,062 ตนั ) มีมลู คำ่ ประมำณ 1,413.8 ล้ำนบำท คดิ เป็นร้อยละ 6.69 ของมลู คำ่ ทงั้ หมด ดงั แสดงในตำรำงที่ 3 (กลมุ่ วิจยั และวเิ ครำะห์สถิตกิ ำรประมง , 2552) (ปริมำณ : ตนั ) ประเภทกำรเลีย้ ง 2544 2545 2546 2547 2548 2549 2550 รวม 279,696 294,501 361,125 523,709 539,474 527,414 525,095 ในบอ่ 251,995 266,461 319,150 455,981 478,121 465,307 453,666 ในนำ 20,371 20,602 31,582 34,967 31,703 29,226 26,796 ในร่องสวน 4,406 4,113 4,296 5,659 4,911 4,762 11,571 ในกระชงั 2,924 3,325 6,097 27,102 24,739 28,119 33,062 ตำรำงท่ี 2 แสดงปริมำณผลผลิตของฟำร์มเลีย้ งสตั ว์นำ้ จืดแยกตำมประเภทกำรเลีย้ ง ปี 2544- 2550 ท่ีมำ : กลมุ่ วิจยั และวิเครำะห์สถิตกิ ำรประมง , 2552 (มลู คำ่ :1,000 บำท) ประเภท 2544 2545 2546 2547 2548 2549 2550 กำรเลีย้ ง รวม 9,279,786 10,987,760 13,185,443 19,312,891 20,162,491 20,188,339 21,121,985 ในบอ่ 8,346,929 9,899,436 11,690,457 16,799,953 17,695,488 17,687,421 18,389,638 ในนำ 711,515 823,125 1,139,310 1,329,305 1,208,469 1,098,898 1,037,996 ในร่องสวน 96,238 119,478 115,056 185,998 153,197 150,069 280,580 ในกระชงั 125,104 145,721 240,620 997,635 1,105,337 1,251,951 1,413,771 ตำรำงที่ 3 แสดงมลู คำ่ ผลผลิตของฟำร์มเลีย้ งสตั ว์นำ้ จืดแยกตำมประเภทกำรเลีย้ ง ปี 2544- 2550 ที่มำ : กลมุ่ วจิ ยั และวเิ ครำะห์สถิตกิ ำรประมง , 2552
จงั หวดั ที่มีผลผลิตจำกกำรเลีย้ งสตั ว์นำ้ จืดมำกที่สดุ ในปี พ.ศ.2550 คอื จงั หวดั นครปฐม ผลิตได้ 40,872 ตนั คดิ เป็นร้อยละ 7.78 ของปริมำณกำรผลิตทงั้ ประเทศ รองลงมำ คือจงั หวดั สมทุ รปรำกำร ผลิตได้ 38,505 ตนั หรือร้อยละ 7.33 ของปริมำณกำรผลิตทงั้ หมด อนั ดบั สำม คือจงั หวดั นครสวรรค์ ผลิตได้ 26,122 ตนั หรือร้อยละ 4.97 ของปริมำณกำรผลิตทงั้ ประเทศ (กลมุ่ วิจยั และวิเครำะห์สถิติกำร ประมง , 2552) สว่ นจงั หวดั ที่มีเนือ้ ที่ในกำรเลีย้ งสตั ว์นำ้ จืดท่ีให้ผลผลิตมำกท่ีสดุ ในปี พ.ศ.2550 คอื จงั หวดั สมทุ รปรำกำรมีเนือ้ ท่ีใช้เลีย้ งสตั ว์นำ้ ที่ให้ผลผลติ จำนวน 106,953 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 11.47 ของเนือ้ ที่ ท่ีให้ผลผลติ ทงั้ ประเทศ รองลงมำคือจงั หวดั นครปฐม มีเนือ้ ที่ใช้เลีย้ งสตั ว์นำ้ ที่ให้ผลผลิตจำนวน 76,240 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 8.17 ของเนือ้ ที่ที่ให้ผลผลิตทงั้ ประเทศ จงั หวดั มีเนือ้ ท่ีใช้เลีย้ งสตั ว์นำ้ ท่ีให้ผล ผลิตมำกเป็นอนั ดบั สำม คือจงั หวดั ฉะเชิงเทรำ มีเนือ้ ที่ใช้เลีย้ งสตั ว์นำ้ ที่ให้ผลผลิตจำนวน 40,471 ไร่ คดิ เป็นร้อยละ 4.34 ของเนือ้ ท่ีท่ีให้ผลผลิตทงั้ ประเทศ (กลมุ่ วิจยั และวเิ ครำะห์สถิตกิ ำรประมง , 2552 ชนิดของสัตว์นา้ จืดท่ผี ลิตได้ สตั ว์นำ้ จืดท่ีผลิตได้ในปี 2550 ปริมำณ 525,095 ตนั มลู คำ่ รวม 21,122.0 ล้ำนบำท เม่ือ จำแนกเป็นชนิดของปลำที่เลีย้ ง พบวำ่ ปลำนลิ เป็นสตั ว์นำ้ จืดที่ผลิตได้มำกที่สดุ มีจำนวนรวมทงั้ สนิ ้ ถึง 213,812 ตนั หรือร้อยละ 40.72 ของปริมำณกำรผลิตทงั้ หมด คดิ เป็นมลู คำ่ 6,903.9 ล้ำนบำท รองลงมำ คือ ปลำดกุ 136,575 ตนั หรือร้อยละ 26.01 ของปริมำณกำรผลิตทงั้ หมด มลู คำ่ 4,710.3 ล้ำนบำท อนั ดบั สำม คือปลำตะเพียนผลิตได้ 56,288 ตนั หรือร้อยละ 10.72 ของปริมำณกำรผลิต ทงั้ หมด มีมลู คำ่ ประมำณ 1,655.4 ล้ำนบำท ส่วนสตั ว์นำ้ อื่นๆ ท่ีมีควำมสำคญั รองตำมลำดบั ไปนนั้ ได้ แสดงไว้ในตำรำงท่ี 4 ดงั นี ้ ชนิดสัตว์นา้ ปริมาณ มูลค่า Type of species Quantity Value ปลำนิล 213,812 6,903,872 ปลำดกุ 136,575 4,710,270 ปลำตะเพียน 56,288 1,655,398 ปลำสลดิ 33,978 1,518,872 ก้งุ ก้ำมกรำม 32,148 3,988,856 ปลำสวำย 21,009 444,763 ปลำชอ่ น 8,102 560,200 ปลำอื่นๆ 5,708 252,642
ปลำแรด 4,851 257,020 ปลำไน 4,136 136,470 หมายเหตุ ปริมำณ : ตนั , มลู คำ่ : 1,000 บำท ตำรำงที่ 4 แสดงปริมำณและมลู คำ่ สตั ว์นำ้ จืดที่สำคญั ทำงเศรษฐกิจ ปี 2550 ท่ีมำ : กลมุ่ วิจยั และวิเครำะห์สถิตกิ ำรประมง , 2552 ปัจจบุ นั แหลง่ กำรประมงนำ้ จืดที่สำคญั ได้เปล่ียนจำกบริเวณแหลง่ นำ้ ทว่ ม และแมน่ ำ้ ลำคลองไปเป็น อำ่ งเก็บนำ้ เขื่อน หนอง บงึ ขนำดใหญ่ และกำรเพำะเลีย้ งปลำนำ้ จืด กิจกำรเพำะเลีย้ งปลำนำ้ จืด กำลงั ขยำยตวั มำกขนึ ้ เป็นลำดบั จะเหน็ ได้จำกจำนวนฟำร์มเลีย้ งปลำนำ้ จืดมีปริมำณเพ่มิ มำกขนึ ้ ทกุ ปี และผลผลติ ของฟำร์มเลีย้ งปลำนำ้ จืดเพมิ่ ขนึ ้ เป็นลำดบั (ศกั ดชิ์ ยั , 2536) อยำ่ งไรก็ตำมกำรประมงนำ้ จืดในประเทศไทยมีลกั ษณะเป็นกำรประมงพืน้ บ้ำนเพื่อกำร บริโภคหรือกำรยงั ชีพเป็นหลกั สว่ นกำรพฒั นำกำรประมงนำ้ จืดเป็นอตุ สำหกรรมยงั น้อยกว่ำทำงด้ำน กำรประมงชำยฝั่งและกำรประมงทะเล ปัจจบุ นั รัฐบำลมีหนว่ ยงำนที่ดแู ลสนบั สนนุ สง่ เสริมกำรประมง นำ้ จืด คือ กรมประมง โดยกองประมงนำ้ จืดเป็นผ้รู ับผดิ ชอบตงั้ สถำนีประมงนำ้ จืดตำมจงั หวดั ตำ่ ง ๆ รวม 53 จงั หวดั (สำนกั งำนเศรษฐกิจกำรเกษตร , 2543) จงั หวดั เชียงใหม่ เป็นจงั หวดั ที่เป็นศนู ย์กลำงทำงเศรษฐกิจของภำคเหนือ มีพืน้ ที่กว้ำงขวำงพืน้ ที่บำง แหง่ เป็นท่ีสงู บำงแหง่ เป็นพืน้ ที่รำบซงึ่ เหมำะสมในกำรทำกำรประมงประเภทตำ่ งๆ มลู คำ่ และผลผลิต ทำงกำรประมงสว่ นใหญ่จะได้มำจำกกำรเลีย้ งสตั ว์นำ้ ในบอ่ ดงั จะนำเสนอข้อมลู ท่ีเกี่ยวข้องไว้ในตำรำง ที่ 5 และ ตำรำงท่ี 6 ดงั นี ้ ในบอ่ ในนำ ในร่องสวน เนอื ้ ที่ (area) : ไร่ (rai) (Pond culture) (Paddy-fieldculture) (Ditch culture) ในกระชงั ฟำร์ม หนว่ ย เนอื ้ ที่ ฟำร์ม หนว่ ย เนอื ้ ท่ี ฟำร์ม หนว่ ย เนอื ้ ที่ (Cage culture) (Farm (Units (Area) (Farm (Unit (Are (Farm (Unit (Are ฟำร์ม หนว่ ย เนอื ้ ที่ s) ) s) s) a) s) s) a) (Farm (Unit (Are 9,496 15,28 6,672.5 3 5 4.10 54 119 26.9 s) s) a) 91 2 270 2,219 16.9 7 ตำรำงท่ี 5 แสดงจำนวนรำย จำนวนหนว่ ยท่ีเลีย้ งและเนือ้ ท่ีของฟำร์มเลีย้ งสตั ว์นำ้ จืดของ จงั หวดั เชียงใหม่ จำแนกตำมประเภทกำรเลีย้ ง ปี 2550
ท่ีมำ : กลมุ่ วจิ ยั และวิเครำะห์สถิตกิ ำรประมง , 2552 ปริมำณ (Quantity) : ตนั (Ton) , มลู คำ่ (Value) : 1,000 บำท (Baht) ในบอ่ ในนำ ในร่องสวน ในกระชงั (Pond culture) ปริมำณ มลู คำ่ (Paddy-field culture) (Ditch culture) (Cage culture) 8,219.30 302,903.53 ปริมำณ มลู คำ่ ปริมำณ มลู คำ่ ปริมำณ มลู คำ่ 2.00 79.66 31.59 1,279.09 1,239.65 61,088.33 ตำรำงท่ี 6 แสดงผลผลิตของฟำร์มเลีย้ งสตั ว์นำ้ จืดของจงั หวดั เชียงใหม่ จำแนกตำมประเภท กำรเลีย้ ง ปี 2550 ท่ีมำ : กลมุ่ วิจยั และวเิ ครำะห์สถิตกิ ำรประมง , 2552 สัตว์นา้ จืดท่สี าคัญทางเศรษฐกจิ สตั ว์นำ้ จืดท่ีสำคญั ของไทยมีจำนวน 560 ชนิด แตท่ ่ีมีควำมสำคญั ทำงเศรษฐกิจและนำมำ เลีย้ งอยำ่ งแพร่หลำยทวั่ ไปมีจำนวน 11 ชนิด คือ (กรมประมง , 2549) 1. ปลำนลิ (Tilapia nilotica) เป็นปลำท่ีนิยมเลีย้ งกนั มำกที่สดุ มีลกั ษณะคล้ำยปลำหมอเทศ แพร่พนั ธ์ุได้เร็ว อตั รำกำรเจริญเตบิ โตสงู สดุ รสชำตดิ ี นิยมเลีย้ งในบอ่ ระดบั นำ้ ลกึ ประมำณ 1 เมตร อำหำรท่ีใช้เลีย้ งได้แก่ รำ ปลำยข้ำว กำกถว่ั แหน ฯลฯ ปริมำณกำรผลิตปลำนลิ เพ่ิมขนึ ้ ทกุ ปี ภำค กลำงนบั เป็นแหลง่ เลีย้ งปลำนลิ ท่ีสำคญั ที่สดุ รองลงมำคือ ภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ 2. ปลำไน (Cyprinus carpio) เป็ นปลำท่ีจัดอยู่ในจำพวก ปลำตะเพียน อดทนต่อ สภำพแวดล้อมท่ีเปลี่ยนแปลงได้ดี เจริญเติบโตในนำ้ ที่มีสภำพเป็นดำ่ งอ่อนๆ เป็นปลำกินพืช ตะไคร่ นำ้ ไรนำ้ แหน กำกถว่ั รำ ปลำยข้ำวต้ม ฯลฯ ภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือนบั เป็นแหลง่ เลีย้ งปลำไน ท่ีสำคญั รองลงมำคือภำคเหนือ 3. ปลำตะเพียนขำว (Puntius gonionotus) เป็นปลำที่ขยำยพนั ธ์ุได้อย่ำงรวดเร็ว มีควำม เป็นอยคู่ ล้ำยกบั ปลำนิล เป็นปลำที่มีผ้นู ิยมบริโภคมำกชนิดหนงึ่ ภำคกลำงเป็นแหลง่ ท่ีมีกำรเลีย้ งปลำ ตะเพียนขำวมำกที่สดุ รองลงมำคือภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ 4. ปลำสลดิ (Trichogaster pectoralis) เป็นปลำท่ีมีรูปร่ำงคล้ำยปลำกระด่ี แตม่ ีขนำดโตกวำ่ ชอบอำศยั ในแหลง่ นำ้ น่งิ จงึ เจริญได้ดใี นบอ่ และในนำ จดั เป็นปลำกินพืชพวกแหน ตะไคร่นำ้ ผกั บ้งุ รำ ปลำยข้ำวต้ม ฯลฯ ภำคกลำงเป็นแหลง่ เลีย้ งที่สำคญั สว่ นภำคอื่น ๆ มีกำรเลีย้ งบ้ำงเล็กน้อย กำร บริโภคนิยมบริโภคในรูปปลำสลดิ แห้งเป็นส่วนใหญ่ 5. ปลำจีน เป็นปลำท่ีมีแหลง่ กำเนิดมำจำกประเทศจีน ท่ีนิยมเลีย้ งมี 3 ชนิด คือ ปลำ กินหญ้ำ (เฉำฮือ้ ) (Ctenopharyngodon idellus) , ปลำเกล็ดเงิน (ลน่ิ ฮือ้ ) (Hypophthalmichthys
molitrix) และปลำหวั โต (ซง่ ฮือ้ ) (Aristichtys nobilis) ปลำดงั กลำ่ วจดั เป็นพวกเดยี วกนั กบั ปลำ ตะเพียน แตม่ ีลกั ษณะแตกตำ่ งกนั ดงั นี ้ ปลำเฉำ ลำตวั กลมยำว สีคอ่ นข้ำงเขียว หำกินผิวนำ้ ปลำล่ิน ตวั แบน เกลด็ ละเอียดสีเงิน หำกินบริเวณกลำงนำ้ สว่ นปลำซง่ มีลกั ษณะคล้ำยปลำล่นิ แตม่ ีหวั โตกวำ่ หำกินพืน้ ก้นบอ่ อำหำรของปลำจีนคือ พืชผกั หญ้ำ ไรนำ้ ปลำยข้ำวต้ม ฯลฯ โดยเฉพำะปลำเฉำ ต้องกำรผกั หญ้ำมำกกวำ่ ปลำชนิดอื่น มลู ของปลำเฉำเป็นป๋ ยุ และเป็นอำหำรของปลำล่ินและปลำซง่ จงึ สำมำรถนำมำเลีย้ งรวมกนั ได้ ภำคกลำงเป็นแหลง่ เลีย้ งท่ีสำคญั สว่ นภำคอ่ืนมีกำรเลีย้ งบ้ำงไมม่ ำก 6. ปลำดกุ เป็นปลำนำ้ จืดท่ีนิยมมำกของคนไทย เนือ้ มีรสชำตดิ ี ควำมต้องกำรของตลำด มีสงู มีรำคำดี ปัจจบุ นั พนั ธ์ุปลำดกุ ท่ีเลีย้ งในประเทศไทยมีหลำยพนั ธ์ุคือ ปลำดกุ ด้ำน (Clarias batrachus) , ปลำดกุ อยุ (Clarias macrocephalus) และปลำดกุ เทศ (Clarias gariepinus) ท่ีนิยม นำมำเลีย้ งในบอ่ ดิน เป็นปลำที่กินเนือ้ เป็นอำหำร อำหำรที่สำคญั ได้แก่ แมลง เศษเนือ้ ปลำป่น ฯลฯ แหลง่ เลีย้ งท่ีสำคญั คือ ภำคกลำง รองลงมำคือ ภำคใต้ 7. ปลำชอ่ น (Channa striatus , Ophicephalus striatus) เป็นปลำนำ้ จืดที่นิยมมำกของคน ไทยอีกชนิดหนง่ึ ปัจจบุ นั จบั ได้จำกแหลง่ ธรรมชำตนิ ้อยลง จงึ มีผ้นู ำปลำชอ่ นมำเลีย้ งในบอ่ ทดแทน เป็นปลำกินเนือ้ เชน่ เดยี วกบั ปลำดกุ แหลง่ เลีย้ งที่สำคญั คือ ภำคกลำง สว่ นภำคอ่ืนมีกำรเลีย้ งบ้ำง เลก็ น้อย 8. ปลำสวำย (Pangasius pangasius , Pangasius sutchi) เป็นปลำนำ้ จืดขนำดใหญ่ ไม่ มีเกล็ด มีควำมอดทนตอ่ สภำพแวดล้อมได้ดี กินอำหำรง่ำย ชอบทงั้ อำหำรประเภทเนือ้ สตั ว์และพืช รวมทงั้ มลู สตั ว์บำงชนิดคอื สกุ รและไก่ จงึ มีกำรนำมำเลีย้ งแบบผสมผสำนกนั แหลง่ เลีย้ งที่สำคญั คือ ภำคกลำง รองลงมำคือ ภำคเหนือตอนลำ่ ง 9. ปลำบู่ (Oxyleotris marmoratus) เป็นปลำที่ไมค่ อ่ ยนิยมบริโภคในหมคู่ นไทยมำกนกั แตต่ ลำดตำ่ งประเทศต้องกำรมำก รำคำดี นิยมนำมำเลีย้ งในกระชงั ในแมน่ ำ้ ท่ีมีควำมขนุ่ กระแสนำ้ คอ่ นข้ำงแรง ปลำบจู่ ะเจริญได้ดี จดั เป็นปลำกินเนือ้ เชน่ ปลำสด ปลำเป็ด ฯลฯ แหลง่ เลีย้ งท่ีสำคญั คอื ภำคกลำงและภำคเหนือตอนล่ำง 10. ปลำย่ีสกหรือปลำโรฮู่ (Probarbus jullieni) เป็นปลำท่ีมีกำเนิดจำกประเทศอนิ เดีย ปัจจบุ นั นิยมนำมำเลีย้ งในบอ่ กินพืชเป็นอำหำรรวมทงั้ แพลงก์ตอนพืชชนิดตำ่ งๆ แหลง่ เลีย้ งที่สำคญั คือภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ รองลงมำคือภำคกลำง 11. ก้งุ ก้ำมกรำม (Macrobrachium rosenbergii) เป็นก้งุ นำ้ จืดที่มีขนำดใหญ่ที่สดุ อำศยั ในแหลง่ นำ้ จืดที่มีทำงติดตอ่ กบั แมน่ ำ้ หรือทะเล เพรำะตอนวำงไขแ่ ละระยะตวั ออ่ นต้องอำศยั อยใู่ นนำ้ กร่อย ปัจจบุ นั นิยมนำมำเลีย้ งในบอ่ เลีย้ งทดแทนผลผลิตในธรรมชำติ เนือ้ รสชำตดิ ี รำคำคอ่ นข้ำงสงู อำหำรที่นำมำเลีย้ งสว่ นใหญ่เป็นอำหำรเม็ดสำเร็จรูป แหลง่ เลีย้ งที่สำคญั คือ ภำคกลำง รองลงมำคือ ภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ
เคร่ืองมือประมงนา้ จืด เครื่องมือจบั สตั ว์นำ้ ในแหลง่ นำ้ จืดมีมำกมำยหลำยชนดิ ซง่ึ อำจเปล่ียนแปลงไปตำมสภำพ ของแหลง่ นำ้ เชน่ แหลง่ นำ้ ไหล แหลง่ นำ้ นิง่ แหลง่ นำ้ ท่วม ตลอดจนแหลง่ นำ้ ขนำดใหญ่ แตล่ กั ษณะ ของเครื่องมือประมงนำ้ จืดมกั จะเป็นเครื่องมือขนำดเล็ก ทำด้วยวสั ดใุ นท้องถิ่น ปัจจบุ นั มีกำรพฒั นำ ปรับปรุงเครื่องมือให้มีประสทิ ธิภำพสงู ขนึ ้ บ้ำง เชน่ กำรนำวสั ดสุ งั เครำะห์มำทดแทน ได้แก่ วสั ดุ จำพวกไนลอ่ น โพลีเอทธิลีน หรือพลำสติก มำประกอบเป็นเครื่องมือที่มีควำมแขง็ แรงทนทำน หรือมี ขนำดใหญ่ขนึ ้ อยำ่ งไรก็ตำม สำมำรถจดั แบง่ ประเภทของเครื่องมือประมงในแหลง่ นำ้ จืดได้เป็น 2 ประเภท คือ (ธีรพนั ธ์ , 2530) 1. เคร่ืองมือประจำที่ (Stationary Gear) หมำยถึง เคร่ืองมือท่ีขณะทำกำรประมงจะ ตดิ ตงั้ ประจำที่ ซุม่ รอ ดกั กำง กนั้ รอสตั ว์นำ้ เข้ำมำ ตวั อยำ่ งเคร่ืองมือ เชน่ ลอบ ไซ เบด็ ตก เบด็ รำว ต้มุ อีจู้ ลนั ยอ โปง จิบ ล่ี ข่ำย โพงพำง รัว้ ไซมำน ฯลฯ 2. เคร่ืองมือเคลื่อนที่ (Moving Gear) หมำยถงึ เครื่องมือท่ีขณะทำกำรประมงจะเคลื่อนท่ี ต้อนไลส่ ตั ว์นำ้ ให้เข้ำเคร่ืองมือ ได้แก่ สวิง แห อวนทบั ตล่ิง อวนลอย ช้อน ฯลฯ ภำพท่ี 15 แสดงเครื่องมือจบั สตั ว์นำ้ พืน้ บ้ำน ท่ีมำ : ปัญหาและอุปสรรคของการประมงนา้ จืด ในกำรทำกำรประมงนำ้ จืดในปัจจบุ นั มีปัญหำและอปุ สรรคอยู่ 2 ประกำร คอื (ธีรพนั ธ์ , 2530 ) 1. ปัญหำแหลง่ ประมงนำ้ จืดเสื่อมโทรมและมีจำนวนน้อยลงหรือถกู บกุ รุก ปัญหำนีเ้ป็นผล
มำจำกกำรเปลี่ยนแปลงส่งิ แวดล้อมของแหลง่ นำ้ เนื่องจำกมีประชำกรเพม่ิ ขนึ ้ โดยกำรสร้ำงบ้ำนเรือน ชมุ ชน กำรสร้ำงถนนและกำรสร้ำงเขื่อนตำ่ ง ๆ ทำให้สภำพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงเกิดภำวะเป็นพษิ ซงึ่ มีสำเหตมุ ำจำก 1.1 เกิดจำกสิ่งปฏิกลู หรือของเสียจำกแหลง่ ชมุ ชน โรงงำนอตุ สำหกรรมบำง ประเภทท่ีตงั้ อยใู่ กล้แหลง่ นำ้ ปล่อยของเสียลงแหลง่ นำ้ ซงึ่ มีสำรพษิ ท่ีเป็นอนั ตรำยตอ่ สขุ ภำพของสตั ว์ นำ้ และทำให้แหลง่ นำ้ เนำ่ เสีย ปริมำณก๊ำซออกซเิ จนน้อยลง เกิดภำวะกำรขำดออกซเิ จน มีผลทำให้ สตั ว์นำ้ ตำยเป็นจำนวนมำก เชน่ วกิ ฤตกิ ำรณ์ท่ีเกิดขนึ ้ ในแมน่ ำ้ แมก่ ลอง ลำนำ้ พอง ชี มูล เป็นต้น 1.2 เกิดจำกกำรใช้ยำฆำ่ แมลงและยำปรำบศตั รูพืชในกำรทำกำรเกษตร เมื่อฝน ตกนำ้ ทว่ มสำรพิษดงั กลำ่ วจะถกู ชะล้ำงไหลลงสแู่ หลง่ นำ้ ทำอนั ตรำยโดยตรงตอ่ สตั ว์นำ้ 1.3 เกิดจำกกำรเปลี่ยนแปลงสิง่ แวดล้อมทำงกำยภำพ เชน่ กำรสร้ำงเขื่อน กำร สร้ำงถนน ซงึ่ ทำให้เกิดกำรเปล่ียนแปลงทำงธรรมชำติ โดยปิดกนั้ กำรอพยพของสตั ว์นำ้ ในกำรหำ อำหำรและกำรขยำยพนั ธ์ุ ทำให้เกิดผลเสียหำยตอ่ กำรเจริญเตบิ โต จำนวนประชำกรของสตั ว์นำ้ ลดลง 1.4 กำรเปล่ียนแปลงของสภำพป่ ำ ต้นนำ้ ลำธำร โดยกำรลกั ลอบตดั ไม้ทำลำยป่ ำ ทำให้แหลง่ นำ้ เกิดผลกระทบคอื ปริมำณนำ้ ไมส่ ม่ำเสมอ แห้งแล้งหรือเกิดนำ้ ทว่ มอยำ่ งรุนแรง นอกจำกนีย้ งั มีตะกอนดนิ มำก ทำให้เกิดกำรตนื ้ เขนิ ของแหลง่ นำ้ 2. ปัญหำทรัพยำกรสตั ว์นำ้ จืดถกู ใช้มำกเกินไป มีสำเหตดุ งั นี ้ 2.1 ประชำกรเพมิ่ ขนึ ้ ควำมต้องกำรอำหำรก็มีมำกขนึ ้ สตั ว์นำ้ จืดเป็นทรัพยำกรท่ี สำมำรถเก็บเก่ียวมำใช้ประโยชน์ได้งำ่ ย ไมต่ ้องลงทนุ มำกจงึ ถกู นำมำใช้ประโยชน์กนั มำก 2.2 มีกำรละเมดิ กฎหมำยกำรประมง เชน่ กำรใช้ยำเบ่ือเมำ กระแสไฟฟำ้ วตั ถุ ระเบดิ จบั ปลำในแหลง่ นำ้ รวมถงึ กำรละเมดิ ลกั ลอบจบั ปลำในฤดวู ำงไข่ ซง่ึ ผลกระทบในปัจจบุ นั คือ สตั ว์นำ้ จืดที่จบั ได้ในธรรมชำตมิ ีปริมำณลดลงอยำ่ งรวดเร็ว
บทสรุป ลำดบั หวั ข้อในบทเรียน 1. แหลง่ ทำกำรประมงนำ้ จืด 1.1 แหลง่ นำ้ ธรรมชำติ 1.1.1 แมน่ ำ้ และลำธำร (River and Stream) 1.1.2 แหลง่ นำ้ ทว่ มหรือท่ีล่มุ นำ้ ขงั (Wet Land) 1.1.3 ทะเลสำบ (Lake) 1.2 แหลง่ นำ้ ที่มนษุ ย์สร้ำงขึน้ 1.2.1 เข่ือนและอำ่ งเก็บนำ้ (Dam and Reservoir) 1.2.2 สถำนที่เพำะเลีย้ งสตั ว์นำ้ (Aquaculture) 2. ผลผลิตของฟำร์มเลีย้ งสตั ว์นำ้ จืด 3. ชนิดของสตั ว์นำ้ จืดที่ผลิตได้ 4. สตั ว์นำ้ จืดท่ีสำคญั ทำงเศรษฐกิจ 5. เคร่ืองมือประมงนำ้ จืด 5.1 เคร่ืองมือประจำท่ี (Stationary Gear) 5.2 เคร่ืองมือเคลื่อนท่ี (Moving Gear) 6. ปัญหำและอปุ สรรคของกำรประมงนำ้ จืด 6.1 ปัญหำแหลง่ ประมงนำ้ จืดเสื่อมโทรมและมีจำนวนน้อยลงหรือถกู บกุ รุก 6.2 ปัญหำทรัพยำกรสตั ว์นำ้ จืดถกู ใช้มำกเกินไป ผลผลติ ของกำรประมงนำ้ จืด แตด่ งั้ เดมิ นนั้ สำมำรถจบั หำกนั ได้งำ่ ย ๆ ในแหลง่ นำ้ ตำม ธรรมชำติ เน่ืองจำกมีแหล่งนำ้ ตำมธรรมชำติมำก และสภำวะแวดล้อมต่ำงๆมีควำมเหมำะสม ใน ปัจจบุ นั ผลผลิตสตั ว์นำ้ ตำมธรรมชำตเิ ริ่มลดน้อยลงเน่ืองจำกมีกำรจบั ปลำขนึ ้ มำมำกขนึ ้ เกินกำลงั ผลิต ทดแทน (Overfishing) จำกผลของกำรพฒั นำบ้ำนเมือง จำกมลภำวะของส่ิงแวดล้อมต่ำง ๆ ท่ีเป็น พษิ ซงึ่ มีผลตอ่ กำรลดจำนวนลงของสตั ว์นำ้ จงึ ต้องมีกำรเพ่ิมผลผลิตของสตั ว์นำ้ ด้วยวิธีกำรเพำะเลีย้ ง เพื่อให้ได้ปริมำณที่เพียงพอกับควำมต้องกำรของประชำกรท่ีเพ่ิมสูงขึน้ เรื่อย ๆ และยังเป็นกำรช่วย รักษำพนั ธ์ุสตั ว์นำ้ ไว้มิให้สญู พนั ธ์ุอีกด้วย
แบบฝึ กประสบการณ์ 1. จงั หวดั ที่มีผลผลิตจำกกำรเลีย้ งสตั ว์นำ้ จืดมำกท่ีสดุ 3 จงั หวดั แรก คอื 1.1………..………………………………..…………….…………………………………………… 1.2……………………………………………………………………………………………….…… 1.3…………………………………..……………………………………………………………..… 2. แมน่ ำ้ ที่จดั วำ่ มีควำมอดุ มสมบรู ณ์มำก และมีกำรทำกำรประมงกนั อยำ่ งหนำแนน่ คอื …………………………………………………………………………………………………………. 3. เขื่อนและอำ่ งเก็บนำ้ มีประโยชน์ตอ่ กำรประมง คอื ……………………………………..……………………………………….………………………..… 4. เครื่องมือประจำที่ หมำยถงึ ……..………………………………………………….……ตวั อยำ่ ง เชน่ ………………………………………………………………………………………..…………… 5. ชนิดของสตั ว์นำ้ จืดท่ีมีควำมสำคญั ทำงเศรษฐกิจ เชน่ 5.1…………………………………………………………………….……………… 5.2……………………………………………………………………………..…….. 5.3…………………………………………………………………………………… 5.4…………………………………………………………………………………… 6. ของเสียจำกแหลง่ ชมุ ชนมีผลเสียตอ่ สขุ ภำพของสตั ว์นำ้ คือ ……….…………………………………………….…………………………………………………… 7. ปัญหำและอปุ สรรคในกำรทำกำรประมงนำ้ จืด ได้แก่ 7.1………….……………………………………………………………………….. 7.2……………………………………………………………..………………….… 7.3……………………………………………………………………………………
บทท่ี 4 การประมงชายฝัง่ จุดประสงคก์ ารสอน 1. บอกถึงสภาพพ้ืนท่ีและแหลง่ ประมงชายฝ่งั ได้ 2. บอกถึงชนิดของสตั วน์ ้าชายฝ่งั ท่ีมีความสาคญั ทางเศรษฐกิจได้ 3. บอกถึงปญั หาของการประมงชายฝ่งั ได้ เน้ือหาการสอน ความหมายของชายฝั่งทะเล ชายฝ่ังทะเล (Coast , Shore) คือ แถบแผน่ ดินนับจากแนวชายฝ่ังทะเลข้ึนไปบนบกจนถึงบริเวณท่ีมี ลกั ษณะภูมิประเทศเปล่ียนแปลงอยา่ งเดน่ ชดั มีความกวา้ งกาหนดไมไ่ ดแ้ น่นอนสาหรบั ประเทศไทย กรมพฒั นา ท่ีดินไดก้ าหนดความกวา้ งของพ้ืนท่ีชายฝ่ังทะเลเพ่ือเป็นขอบเขตในการวางแผนการพฒั นาท่ีดินชายทะเลไว้ เทา่ กบั 8 กิโลเมตร โดยมีพ้ืนท่ีชายฝ่งั ทะเลจากการสารวจ รวมทงั้ ส้ิน 20,686.28 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุม พ้ืนท่ี 23 จังหวัด คือ ตราด จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา กรุ งเทพ สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขนั ธ์ ชุมพร ระนอง สุราษฎรธ์ านี นครศรีธรรมราช พงั งา ภูเก็ต กระบ่ี ตรัง สตูล สงขลา ปัตตานีและนราธิวาส ลกั ษณะภูมิประเทศของชายฝ่งั ทะเลแตล่ ะแหง่ นั้น จะแตกตา่ งกนั ออกไป ตามลกั ษณะทางธรณีวิทยาของหินเปลือกโลกท่ีประกอบเป็นชายฝ่ังและอิทธิพลจากการกระทาของคล่ืนลม และกระแสน้าในบริเวณน้นั (วิชาญ , 2539) ลกั ษณะชายฝั่งทะเลของไทย ชายฝ่งั ทะเลของไทยจดั อยูใ่ นบริเวณอินโดแปซิฟิก มีความยาวทง้ั ส้ิน 2,614 กิโลเมตร โดยแยกเป็น 2 ดา้ น ดงั น้ี (สุรินทร์ , 2547) 1. ชายฝ่งั ดา้ นอา่ วไทย ซ่ึงมีความยาว 1,660 กิโลเมตร ซ่ึงติดตอ่ กบั ทะเลจีนใต้ ลกั ษณะชายฝ่งั ทะเลของอา่ วไทยแบง่ ออกเป็น 2 ดา้ น คือ อา่ วไทยดา้ นตะวนั ออก มีอาณาเขตตงั้ แตจ่ งั หวดั ตราด จนั ทบุรี ระยอง ชลบุรี ถึงสมุทรปราการ ชายฝ่งั ทะเลดา้ นน้ีมีลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใตพ้ ดั เขา้ ฝ่งั ในชว่ งเดือนมีนาคม ถึงเดือนสิงหาคม และอา่ วไทยฝ่งั ตะวนั ตก มีอาณาเขตตงั้ แตจ่ งั หวดั สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขนั ธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปตั ตานีและนราธิวาส ซ่ึงมีลมมรสุม ตะวนั ออกเฉียงเหนือพดั เขา้ ฝ่งั ในชว่ งเดือนพฤศจิกายนถึง เดือนกุมภาพนั ธ์ 2. ชายฝ่งั ดา้ นทะเลอนั ดามนั ซ่ึงมีความยาว 954 กิโลเมตร ซ่ึงเป็นทะเลเปิดติดตอ่ กบั มหาสมุทร อินเดีย มีอาณาเขตตง้ั แตจ่ งั หวดั ระนอง พงั งา ภูเก็ต กระบ่ี ตรงั และสตูล น้ามีคา่ ความเค็มสูงกวา่ ดา้ น อา่ วไทย
สภาพพ้ืนที่ชายฝั่งทะเล สภาพพ้ืนท่ีชายฝ่งั ทะเลของไทยแบง่ ออกไดเ้ ป็น 6 ลกั ษณะคือ (สนิท , 2534) 1. บริเวณพ้ืนดินดอนหรือป่าดอนชายเลน มีลกั ษณะเป็นพ้ืนดินชายน้า อยูเ่ หนือบริเวณชายเลน ข้ึนมา จดั เป็นขอบชายฝ่งั ทะเลอยา่ งแทจ้ ริง สภาพดินเป็นดินเลนแข็งหรือดินเหนียวปนทราย ปกติน้าทะเล ทว่ มไมถ่ ึงนอกจากในฤดูฝนหรือฤดูน้าหลาก การใชพ้ ้ืนท่ีน้ีจะใชท้ านาเกลือ นากุง้ และบอ่ เล้ียงปลา 2. บริเวณป่าไมช้ ายเลน มีลกั ษณะเป็นพ้ืนดินเลนอยูใ่ นระดบั ต่าลงไป มีขอบเขตอยูร่ ะหวา่ งแนวระดบั น้าข้ึนสูงสุดและระดบั น้าต่าสุด จึงเป็นบริเวณท่ีมีน้าทะเลทว่ มเป็นประจา ปรากฏมีพืชพรรณไมท้ ่ีมีลกั ษณะ เฉพาะตวั ข้ึนปกคลุมอยู่ เรียกวา่ ป่าชายเลนประกอบดว้ ยพนั ธุไ์ มท้ ่ีมีลกั ษณะตา่ ง ๆ หลายชนิด ไดแ้ ก่ ตน้ โกงกาง ตน้ แสม ตน้ ปะสกั ตน้ จาก ฯลฯ พ้ืนท่ีป่าชายเลนมกั พบตามบริเวณอา่ ว ปากแมน่ ้า และลาคลอง ขนาดใหญ่ สภาพดินเป็นโคลนออ่ นและโคลนปนทราย จดั เป็นแหลง่ ท่ีมีความอุดมสมบูรณด์ ว้ ยอาหาร ธรรมชาติของสตั วน์ ้า เป็นแหลง่ ผสมพนั ธุว์ างไขเ่ ล้ียงตวั ออ่ นของสตั วน์ ้าชายฝ่งั ทะเลหลายชนิด เชน่ กงุ้ กุลาดา ปะการัง ปลากะพงขาว ฯลฯ นอกจากน้ียงั มีความสาคญั ในแงน่ ิเวศวิทยามากท่สี ุดเขตหน่ึง แตใ่ น ปจั จุบนั ป่าชายเลนประสบปัญหาการบุกรุกทาลายเพ่ือใชป้ ระกอบธุรกิจหลายชนิด จึงเส่ือมโทรมลดพ้ืนท่ีลง อยา่ งมาก จากการสารวจพ้ืนท่ีป่าชายเลนของประเทศไทย ปี พ.ศ.2529 จากภาพถา่ ยดาวเทียมและการสารวจ การใชป้ ระโยชนพ์ ้ืนท่ีภาคพ้ืนดิน ปรากฏวา่ มีพ้ืนท่ีป่าชายเลนประมาณ 1,227,674 ไร่ แตจ่ ากการสารวจขอ้ มูล ดว้ ยภาพถา่ ยดาวเทียมครง้ั ลา่ สุดเม่ือปี พ.ศ. 2539 ปรากฏวา่ มีพ้ืนท่ีป่าชายเลนเหลือเพียงประมาณ 1,047,390 ไร่เทา่ นน้ั การกระจายและปริมาณของพ้ืนท่ีป่าชายเลนในจงั หวดั ตา่ ง ๆ ของประเทศไทย สว่ นใหญจ่ ะมีมากทาง ภาคใตป้ ระมาณ 934,220 ไร่ หรือ 89.2 เปอร์เซ็นต์ โดยจะพบทงั้ ทางดา้ นฝ่งั ตะวนั ออกติดกบั อา่ วไทย และฝ่งั ตะวนั ตกดา้ นทะเลอนั ดามนั สว่ นทางภาคตะวนั ออกมีประมาณ 79,112 ไร่ หรือ 7.5 เปอร์เซ็นต์ และภาคกลาง หรือบริเวณอา่ วไทยตอนบนมีป่าชายเลนนอ้ ยมาก ประมาณ 34,056 ไร่ หรือ 3.3 เปอรเ์ ซ็นต์ ของป่าชายเลน ทง้ั หมดของประเทศเทา่ นั้น จงั หวดั พงั งาเป็นจงั หวดั ท่ีมีป่าชายเลนประมาณ 180,000 ไร่ มากท่ีสุดในประเทศ ไทยในปจั จุบนั ป่าชายเลนผืนใหญอ่ ยูท่ ่ีอา่ วพงั งา เป็นท่อี ยู่ แหลง่ อาหาร ท่อี อกลูกออกหลาน ของสตั วน์ า้ นานา ชนิด ป่าชายเลนในอา่ วพงั งา ยงั เป็นสถานท่ีทอ่ งเท่ียวเชิงอนุรกั ษ์ สาคญั ท่สี ุดแหง่ หน่ึง สาเหตุหลกั ของการทาลายป่าชายเลนเกิดจากการพฒั นาดา้ นการเพาะเล้ียงกงุ้ อยา่ งไมถ่ ูกวิธี ใน ปจั จุบนั มีพ้ืนท่ีป่าชายเลนไมถ่ ึงหน่ึงลา้ นไร่ แมจ้ ะมีการปลูกป่าเพ่ิมเติม แตพ่ นั ธุไ์ มท้ ่ีปลูกเกือบทงั้ หมดเป็นไม้ โกงกาง ไมส่ ามารถสรา้ งระบบนิเวศท่ีสลบั ซบั ซอ้ น ดงั เชน่ ท่ธี รรมชาติสรา้ งมา
ภาพท่ี 16 แสดงลกั ษณะของป่าชายเลน 3. บริเวณเขตน้าต้ืนชายฝ่งั มีลกั ษณะเป็นแหลง่ น้าต้ืน มีขอบเขตตงั้ แตแ่ นวระดบั น้าลงต่าสุด มี ความลึกของน้า 1 – 2 เมตร ออกไปจนถึงระดบั น้าลึกประมาณ 10 – 20 เมตร พ้ืนน้าสว่ นน้ีอยูใ่ นบริเวณ ทะเลใกลฝ้ ่ัง มีพ้ืนท่ีครอบคลุมอาณาบริเวณท่ีหา่ งออกไปจากฝ่ังมีระยะทางไมเ่ กิน 3,000 เมตร จากแนว ระดบั น้าข้ึนสูงสุดหรือเสน้ ขอบฝ่งั ซ่ึงในบริเวณน้ีมีสตั วน์ ้าสาคญั ทางเศรษฐกิจหลายชนิดอาศยั อยู่ รวมทง้ั มี การใชป้ ระโยชน์จากเล้ียงสัตวน์ ้าชายฝ่งั ทะเลหลายประเภท เชน่ การเล้ียงในกระชงั ท่ีลอ้ มขงั การทาฟารม์ ทะเล ฯลฯ 4. บริเวณชายฝ่ังปากแมน่ ้า ลาคลองและทะเลสาป มีลกั ษณะท่ีเป็นแหลง่ น้าต้ืนตามสองฝ่งั อนั เป็น บริเวณน้าทะเลข้ึนลงเป็นประจา น้าทะเลมีความเค็มแปรปรวน ถือเป็นแหลง่ น้ากร่อยอยา่ งแทจ้ ริง ชายฝ่งั บางแหลง่ มีลกั ษณะสภาพเป็นป่าชายเลนและท่ีวา่ งเปลา่ สามารถใชป้ ระโยชน์จากการเพาะเล้ียงสัตวน์ ้า ชายฝ่งั ไดห้ ลายชนิด 5. บริเวณชายฝ่งั ท่ีเป็นหาดทราย ในบริเวณท่ีมกั มีปรากฏพบตามพ้ืนท่ีหา่ งไกลจากบริเวณปากแมน่ ้า ลาคลอง มีอาณาเขตขยายออกไปเป็นระยะทางตามชายฝ่ัง สภาพพ้ืนท่ีลาดลงสู่ทะเล เรียกวา่ ชายหาด ประกอบดว้ ย ทรายหยาบ และทรายละเอียด ลกั ษณะดงั กลา่ วเหมาะสมกบั การทอ่ งเท่ียว พกั ผอ่ นหยอ่ นใจ มากกวา่ การทาประมงชายฝ่งั 6. บริเวณชายฝ่ังท่ีเป็นโขดหิน เป็นบริเวณท่ีเกิดจากการแตกแยกสึกกร่อนและการพงั ทลายของ ภูเขาโขดหินขนาดใหญท่ ่ีตง้ั อยูต่ ามชายฝ่งั ทะเล จึงพบกอ้ นหินขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ กระจายอยูท่ ว่ั ไป ทาให้ สภาพพ้ืนท่ีมีคล่ืนกระทบอยา่ งรุนแรง ไมส่ ามารถทาประมงชายฝ่งั ได้ ยกเวน้ บางพ้ืนท่ีท่ีเป็นอา่ ว กระแสน้า สงบก็สามารถทาประมงชายฝ่ังได้ หรื ออาจมีการเล้ียงสตั วน์ ้าบางชนิดได้ เชน่ การเล้ียงหอยนางรมแบบ แขวนลอยบนแพ และการเล้ียงปลาในกระชงั
แหล่งประมงชายฝัง่ แหลง่ ประมงชายฝ่งั ของประเทศไทยสามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 แหลง่ คือ (ไพโรจน์ , 2534) 1. แหลง่ ธรรมชาติ เป็นแหลง่ พ้ืนท่ีชายฝ่งั ทะเล ซ่ึงมีสตั วน์ ้าชายฝ่งั หลายชนิดอาศยั อยู่ ชาวประมง จะเก็บเก่ียวผลผลิต โดยการใชเ้ คร่ืองมือประมงจบั สตั วน์ ้าท่ีมีขนาดเล็ก ซ่ึงชนิดและปริมาณของสตั วน์ ้าท่ีจบั ได้ จะเปล่ียนแปลงไปตามสภาพพ้ืนท่ี เน่ื องจากสัตวน์ ้าชายฝ่ังทะเลท่ีตา่ ง ๆ จะเลือกอาศยั อยูใ่ นบริเวณท่ี เหมาะสมเจาะจงกบั อุปนิสยั ของมนั การทาประมงชายฝ่งั อาจใชเ้ รือประกอบการทาประมง เรือท่ีใชม้ ีขนาด ความยาวไมเ่ กิน 14 เมตร ระวางขบั น้าของเรื อไมเ่ กิน 10 ตนั กรอส * (Ton Gross) ทาประมงทงั้ แบบใน ครัวเรือน แบบยงั ชีพ และแบบธุรกิจ ผลผลิตของสตั วน์ ้าท่ีจบั ปัจจุบนั ยงั ทรงตวั อยู่ แตใ่ นอนาคตก็มีแนวโนม้ ลดลง * ระวางบรรทุกของเรื อ (ตนั กรอส , Ton Gross) หมายถึง ความจุคิดเป็นตนั ของเน้ื อท่ ีวา่ งภายในลา เรื อทงั้ หมด และหอ้ งตา่ ง ๆ ท่ ีอยบู่ นดาดฟ้า ยกเวน้ หอ้ งเคร่ ื องจกั ร หอ้ งนา้ หอ้ งสว้ ม หอ้ งครัว และหอ้ งบนั ได จาแนกขนาดเป็ น 5. 20-29 ตนั กรอส 1. นอ้ ยกวา่ 5 ตนั กรอส 6. 30-49 ตนั กรอส 2. 5-9 ตนั กรอส 7. 50-99 ตนั กรอส 3. 10-14 ตนั กรอส 8. ตงั้ แต่ 100 ตนั กรอส ข้ึนไป 4. 15-19 ตนั กรอส 2. แหลง่ เพาะเล้ียง เป็ นแหลง่ ท่ีมนุษยส์ รา้ งข้ึนเพ่ือเพ่ิมผลผลิต ทดแทนในแหลง่ ธรรมชาติ เพ่ือ ตอบสนองความตอ้ งการดา้ นอาหาร ทง้ั ภายในและตา่ งประเทศเพ่ิมข้ึน โดยมีการเพาะเล้ียงสตั วน์ ้าชายฝ่งั ท่ีมี ความสาคญั ทางเศรษฐกิจหลายชนิด ตามบริเวณพ้ืนท่ีชายฝ่ังทะเล ปากแมน่ ้า ทะเลสาบ รวมถึงการใช้ ประโยชนพ์ ้ืนท่ีชายทะเล น้าทะเลทว่ มถึง ซ่ึงหมายถึงท่ีดอน ชายเลน และป่าชายเลนท่ีเส่ือมสภาพ โดยการ สรา้ งสถานท่ีเล้ียงซ่ึงแตกตา่ งกนั ตามชนิดและอุปนิสยั ของสตั วน์ ้า คือ 2.1 บอ่ เล้ียง ใชเ้ ล้ียงสตั วน์ ้าชายฝ่งั พวกกุง้ ทะเล และปลาทะเลหลายชนิด 2.2 กระชงั ใชเ้ ล้ียงสตั วน์ ้าชายฝ่งั พวกกุง้ ทะเล ปลาทะเล และหอยบางชนิด 2.3 ท่ีลอ้ มขงั ใชเ้ ล้ียงสตั วน์ ้าชายฝ่งั พวกกุง้ ทะเล และหอยบางชนิด 2.4 เสาหลกั ใชเ้ ล้ียงสตั วน์ ้าชายฝ่งั พวกหอยชนิดตา่ ง ๆ เชน่ หอยนางรม หอยแมลงภู่ ฯลฯ การเพาะเล้ียงสตั วน์ ้าชายฝ่งั ทะเลของประเทศไทย ปัจจุบนั นบั วา่ มีความสาคญั ตอ่ เศรษฐกิจของ ประเทศอยา่ งมาก โดยเฉพาะสตั วช์ ายฝ่งั จาพวก กุง้ ทะเล ไดแ้ ก่ กุง้ กุลาดา กุง้ แชบว๊ ย ฯลฯ มีผูป้ ระกอบ กิจการเป็นธุรกิจอุตสาหกรรม มีมูลคา่ การจาหน่ายสูงมาก จากสถิติผลผลิตการเพาะเล้ียงสตั วน์ ้าชายฝ่งั ปี พ.ศ. 2531 ไดผ้ ลผลิตรวม 108,900 ตนั เป็ นผลผลิตกุง้ ทะเลถึง 56,100 ตนั และในปี พ.ศ. 2535 ได้ ผลผลิตกุง้ ทะเลเพ่ิมสูงข้ึนประมาณ 100,000 ตนั และมีแนวโนม้ ไดผ้ ลผลิตสูงข้ึนทุก ๆ ปี และจากรายงาน ของกลุม่ วิจยั และวิเคราะหส์ ถิติการประมงวา่ ผลผลิตจากการเพาะเล้ียงสตั วน์ ้าชายฝ่ังของประเทศไทยในปี
พ.ศ.2543 มีจานวน 467,072 ตนั มีมูลคา่ 92,602.5 ลา้ นบาท ซ่ึงแยกออกเป็นผลผลิตจากการเล้ียงกุง้ ทะเล 66.4 % จากการเล้ียงหอย 31.7 % และจากการเล้ียงปลา 1.9 % (กรมประมง , 2546) ภาพท่ี 17 แสดงการทาฟารม์ เล้ียงสตั วน์ ้าชายฝ่งั ชนิดของสตั วน์ ้าชายฝั่งท่ีมีความสาคญั ทางเศรษฐกิจ สตั วน์ ้าชายฝ่ังท่ีมีคุณคา่ ทางเศรษฐกิจ ท่ีจบั ไดจ้ ากแหลง่ ธรรมชาติและจากแหลง่ เพาะเล้ียงมีดงั น้ี (กรมประมง , 2548 ) ลาดบั ช่ือไทย ช่ือสามญั 1 กุง้ แชบว๊ ย Banana prawn 2 กุง้ กุลาดา Giant tiger prawn 3 กงุ้ ตะกาด Jingo prawn 4 กงุ้ กลุ าลาย Green tiger prawn 5 กุง้ ขาว India white prawn 6 ปลากะพงขาว Sea bass 7 ปลากะรัง Grouper 8 ปลากะพงแดง Red snapper 9 ปลานวลจนั ทร์ทะเล Milk fish 10 ปลากระบอก Mullet 11 หอยแครง Blood clam 12 หอยแมลงภู่ Green mussel 13 หอยนางรม Oyster
14 หอยตะโกรม Oyster 15 หอยกะพง Hores mussel 16 ปูมา้ Blue crab 17 ปูทะเล Mud crab 18 ไรน้าเคม็ Brine shrimp ตารางท่ี 7 แสดงชนิดของสตั วน์ ้าชายฝ่งั ท่ีมีความสาคญั ทางเศรษฐกิจ เครื่องมือประมงชายฝัง่ เคร่ื องมือจบั สตั วน์ ้าชายฝ่ังมีหลายชนิด บางชนิดคลา้ ยกบั เคร่ื องมือประมงน้าจืด แตบ่ างชนิดมี ความแตกตา่ งซบั ซอ้ นและมีขนาดใหญก่ วา่ อาจมีการใชป้ ระกอบกบั เรือยนตข์ นาดเล็ก ความยาวไมเ่ กิน 14 เมตรก็ได้ ทงั้ น้ี เคร่ืองมือประมงชายฝ่งั แบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ (ไพโรจน์ , 2530) 1. เคร่ื องมือประจาท่ี (Stationary Gear) ไดแ้ ก่ โป๊ ะ โพงพาง รั้ว ไซมาน จะมุ โม๊ะระ จ่นั ปู ลอบปลา บาม ลอบปู (เซงเลง) เผือกรัง อวนติดตา เบ็ดราว ฯลฯ 2. เคร่ื องมือเคล่ือนท่ี (Moving Gear) ไดแ้ ก่ อวนลากคู่ อวนลากคานถา่ ง อวนลากแผน่ ตะเฆ่ อวนลอ้ มบางชนิด อวนรุน อวนทบั ตล่ิง ระวะ (ซิป) แห ฯลฯ ปัญหาและอุปสรรคของการประมงชายฝั่ง ปัญหาและอุปสรรคของการประมงชายฝ่งั รวมถึงการเพาะเล้ียงชายฝ่งั มีดงั น้ี (ไพโรจน์ , 2530) 1. ปัญหาทรัพยากรสตั วน์ ้าชายฝ่ังในแหลง่ ธรรมชาติมีกาลงั ผลิตลดลง เน่ื องจากถูกนามาใชม้ าก เกินไป สตั วน์ ้าเกิดทดแทนไมเ่ พียงพอ นอกจากน้ียงั จบั สตั วน์ ้ามีขนาดเล็กเกินไปมาใชป้ ระโยชน์และใชไ้ ม่ คุม้ คา่ เชน่ นามาทาปลาเป็ด รวมทงั้ ปัจจุบนั เคร่ืองมือประมงมีจานวนมาก ประสิทธิภาพการจบั สตั วน์ ้าได้ สูง หากไมม่ ีมาตรการท่ีเหมาะสมควบคุมในอนาคตการผลิตจะลดลงเร่ือย ๆ 2. ปัญหาสภาพแวดลอ้ มเป็นพิษ มีสาเหตุหลายประการ คือ 2.1 เกิดภาวะน้าเสีย เกิดจากการปลอ่ ยส่ิงปฏิกูลและของเหลือใชจ้ ากชุมชน โรงงาน อุตสาหกรรม ลงแหลง่ น้าบริเวณชายฝ่ังทะเลหรื อปากแมน่ ้า มีผลใหส้ ตั วน์ ้าลดลง โดยเฉพาะไข่ ตวั ออ่ น ไดร้ ับความเสียหายมาก นอกจากน้ีพิษของสารบางประเภทอาจมีการสะสมไวใ้ นตวั สตั วน์ ้า โดยเฉพาะสตั ว์ น้าท่ีเคล่ือนไหวนอ้ ย หรือไมม่ ีการเคล่ือนไหวเลย เชน่ หอยบางชนิด พิษดงั กลา่ วอาจถา่ ยทอดมายงั มนุษย์ เม่ ื อนามาบริ โภค 2.2 เกิดการเปล่ียนสภาพป่าไมช้ ายเลน โดยการแปรเปล่ียนเพ่ือทาประโยชนอ์ ยา่ งอ่ืน ไดแ้ ก่ การทานาเกลือ บอ่ เล้ียงสตั วน์ ้า การตง้ั โรงงานอุตสาหกรรม มีผลกระทบตอ่ นิเวศนว์ ิทยาของสตั วน์ ้า ชายฝ่งั ท่ีสาคญั หลายชนิด เพราะป่าชายเลนเป็นแหลง่ ผสมพนั ธุว์ างไข่ เล้ียงตวั ออ่ น รวมทงั้ เป็นแหลง่ ท่ีอุดม ไปดว้ ยแร่ธาตุ สารอาหารตามธรรมชาติและแพลงคต์ อนหลายชนิด
2.3 เกิดการเปล่ียนแปลงสภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ โดยมีการสรา้ งฝาย เข่ือน ปิด กน้ั แมน่ ้า ลาคลอง หลายสายท่ีไหลลงสูท่ ะเล แตเ่ ดิมแมน่ ้า ลาคลอง ทุกสายจะนาอาหาร แร่ธาตุท่ีจาเป็นตอ่ การเจริญเติบโตของสตั วน์ ้าทุกวยั รวมทง้ั แพลงคต์ อนดว้ ย เม่ือถูกปิดกนั้ ความสมบูรณจ์ ึงลดลง 3. ตน้ ทุนการผลิตสตั วน์ ้าสูงข้ึน ปัจจยั ในการผลิตสตั วน์ ้าชายฝ่ังทง้ั จากแหลง่ ธรรมชาติและจาก แหลง่ เพาะเล้ียงมีหลายประการ เชน่ พ้ืนท่ี แรงงาน คา่ น้ามนั เช้ือเพลิง เคร่ืองมือ เคร่ืองใชต้ า่ ง ๆ มีราคา สูงข้ึน ทาใหป้ ลาและสตั วน์ ้ามีราคาสูงข้ึนตามไปดว้ ย มีผลกระทบกระเทือนตอ่ ผูบ้ ริโภค บทสรุป ลาดบั หวั ขอ้ ในบทเรียน 1. ความหมายของชายฝ่งั ทะเล 2. ลกั ษณะชายฝ่งั ทะเลของไทย 2.1 ชายฝ่งั ดา้ นอา่ วไทย 2.2 ชายฝ่งั ดา้ นทะเลอนั ดามนั 3. สภาพพ้ืนท่ีชายฝ่งั ทะเล 4. แหลง่ ประมงชายฝ่งั 4.1 แหลง่ ธรรมชาติ 4.2 แหลง่ เพาะเล้ียง 5. ชนิดของสตั วน์ ้าชายฝ่งั ท่ีมีความสาคญั ทางเศรษฐกิจ 6. เคร่ืองมือประมงชายฝ่งั 6.1 เคร่ืองมือประจาท่ี (Stationary Gear) 6.2 เคร่ืองมือเคล่ือนท่ี (Moving Gear) 7. ปัญหาและอุปสรรคของการประมงชายฝ่งั 7.1 ปัญหาทรพั ยากรสตั วน์ ้าชายฝ่งั ในแหลง่ ธรรมชาติมีกาลงั ผลิตลดลง 7.2 ปัญหาสภาพแวดลอ้ มเป็นพิษ 7.3 ตน้ ทุนการผลิตสตั วน์ ้าสูงข้ึน การเพ่ิมผลผลิตของสตั วน์ ้าบริเวณชายฝ่งั โดยการเพาะเล้ียง ปัจจุบนั นิยมทากนั มาก โดยเฉพาะใน จงั หวดั ท่ีมีอาณาเขตติดกบั ทะเล มีบริเวณน้ากร่อย ซ่ึงสามารถทาการเล้ียงปู ปลา กุง้ และหอยไดผ้ ลดี ซ่ึง เป็นการทดแทนปริมาณของสตั วน์ ้าชายฝ่งั ท่ีมีอยูต่ ามธรรมชาติซ่ึงลดลงจากการทาการประมงมากเกินไปและ มลภาวะส่ิงแวดลอ้ ม โดยการเพาะเล้ียงน้ีตอ้ งอาศยั ความรู้ความชานาญท่ีมากพอ จึงจะไดผ้ ลดีและจะตอ้ งไม่ เป็นการบุกรุกเขา้ ไปทาลายป่าไมช้ ายเลน ซ่ึงเป็นท่ีอยูอ่ าศยั ของสตั วน์ ้าตา่ ง ๆ เพ่ือทาการประมง สว่ นปญั หา ของการประมงชายฝ่งั ท่ีสาคญั ก็คือ สตั วน์ ้าในธรรมชาติลดลง ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มเป็นพิษ ตน้ ทุนในการผลิต สตั วน์ ้าสูงข้ึน ซ่ึงทาใหร้ าคาสตั วน์ ้าสูงข้ึนตาม
Search