Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เทคนิกการเพาะเลี้ยงเเพลงก์ตอน

เทคนิกการเพาะเลี้ยงเเพลงก์ตอน

Description: เทคนิกการเพาะเลี้ยงเเพลงก์ตอน

Search

Read the Text Version

1 เทคนิคการเพาะเลยี้ งแพลงก์ตอน Plankton culture technique หลกั สูตรประกาศนียบัตรวชิ าชีพชัน้ สูง พทุ ธศกั ราช 2557 ประเภทวิชาประมง สาขาวิชาเพาะเลีย้ งสตั ว์นา้ แผนกวิชาประมง วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยีเชียงใหม่ สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 2562

2 เทคนิคการเพาะเลีย้ งแพลงก์ตอน Plankton culture technique (3601-2110) จุดประสงค์รายวชิ า 1. เพือ่ ให้เข้าใจเกี่ยวกบั แพลงก์ตอน หลกั การและเทคนิควิธีการเพาะเลยี ้ งแพลงก์ตอน และ การนาไปใช้ประโยชน์ 2. สามารถวางแผน เตรียมการและเพาะเลีย้ งแพลงก์ตอนตามหลกั การ และกระบวนการ โดยคานงึ ถงึ การอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม 3. มเี จตคติท่ีดีต่องานอาชีพเพาะเลีย้ งแพลงก์ตอน และมกี จิ นสิ ยั ในการทางานด้วยความ รับผดิ ชอบ รอบคอบ ขยนั อดทน มีความคิดสร้างสรรค์และสามารถทางานร่วมกบั ผ้อู ื่น สมรรถนะรายวชิ า 1. แสดงความรู้เก่ียวกบั แพลงก์ตอน หลกั การและเทคนิควธิ ีการเพาะเลีย้ งแพลงก์ตอน และ การนาไปใช้ประโยชน์ 2. วางแผนเพาะเลีย้ งแพลงก์ตอนตามหลกั การ 3. เตรียมสถานทเี่ ครื่องมืออปุ กรณ์และแพลงก์ตอนตามหลกั และกระบวนการ 4. แยกและเลยี ้ งเชือ้ บริสทุ ธิ์ของแพลงก์ตอนตามหลกั การและกระบวนการ 5. เลีย้ งแพลงก์ตอนตามหลกั การและกระบวนการ 6. จดั การผลผลิตตามหลกั การและกระบวนการ 7. ใช้ประโยชน์แพลงก์ตอนตามหลกั และกระบวนการ คาอธิบายรายวิชา ศกึ ษาและปฏิบตั เิ กี่ยวกบั ลกั ษณะทว่ั ไปของแพลงก์ตอน การจาแนกชนดิ ของแพลงก์ตอน การคดั เลอื กชนิดแพลงก์ตอน การเตรียมอปุ กรณ์การเพาะเลีย้ งแพลงก์ตอนเพ่ือการเพาะเลีย้ งสตั ว์ นา้ การจดั การระหว่างการเลีย้ ง การรวบรวมผลผลิตเพื่อนาไปจาหน่ายและการใช้ประโยชน์

3 คานา เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเทคนิคการเพาะเลีย้ งแพลงก์ตอน Plankton culture technique รหสั วชิ า (3601-2110) เลม่ นีใ้ ช้ประกอบการสอนนกั ศกึ ษาระดบั ประกาศนยี บตั รวิชาชีพ ชนั้ สงู (ปวส.) พทุ ธศกั ราช 2557 ประเภทวชิ าประมง สาขาวิชาเพาะเลีย้ งสตั ว์นา้ ซง่ึ ได้เรียบเรียง เนอื ้ หาตามหลกั สตู รของสานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา โดยเนือ้ หาจะประกอบไปด้วยการ เลีย้ งแพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสตั ว์ และแบบฝึกประสบการณ์ ทงั้ นีค้ าดหวังว่า ข้อมูลเร่ืองราวต่าง ๆท่ีนาเสนอในเอกสารเล่มนีจ้ ะเป็นผลช่วยให้นกั เรียน เกดิ ความรู้ ความเข้าใจ ในเนอื ้ หาสว่ นต่าง ๆ นาสกู่ ารพฒั นาศกั ยภาพในการเรียนรู้ทงั้ จากการศกึ ษา ด้วยตนเองและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กบั กลมุ่ เพ่ือน โดยผา่ นกระบวนการทางการเรียนการสอนในชนั้ เรียน นอกจากนีค้ ณุ คา่ ทางวิชาการของเอกสารคงมิจากดั เพียงกล่มุ ผ้เู รียนในชนั้ เรียนเท่านนั้ คงเอือ้ ให้เกดิ ความรู้แกบ่ คุ คลทวั่ ไปทสี่ นใจศกึ ษา อรทยั แสงมณีจรัส ตลุ าคม 2562

4 สารบญั หน้า บทที่ 1 ความรู้เก่ียวกบั แพลงก์ตอน 1 บทที่ 2 การเพาะเลยี ้ งแพลงก์ตอนเพอ่ื เป็นอาหารสตั ว์นา้ วยั อ่อน 4 บทที่ 3 การเพาะเลยี ้ งแพลงก์ตอนพืช 6 บทที่ 4 การเพาะเลีย้ งแพลงก์ตอนสตั ว์ 17 บทท่ี 5 สตู รอาหารสาหรับเลยี ้ งแพลงก์ตอนนา้ จืดหรือสาหร่ายนา้ จืดในห้องปฏิบตั กิ าร 46 บทท่ี 6 ห้องปฏบิ ตั กิ ารเพาะเลีย้ งแพลงก์ตอน 62 บรรณานุกรม 64

สารบญั ภาพ 5 หน้า ภาพที่ 1 แสดงตวั อย่างของแพลงก์ตอนพืช 1 ภาพท่ี 2 แสดงรูปร่างของไรนา้ นางฟา้ 4 ภาพท่ี 3 แสดงการเพาะเลีย้ งคลอเรลลา 6 ภาพที่ 4 แสดงสเกลีโตนมี า 7 ภาพท่ี 5 แสดงรูปร่างของคโี ตเซอรอส 8 ภาพที่ 6 แสดงการเพาะเลีย้ งสาหร่ายสไปรูลินา 11 ภาพท่ี 7 แสดงรูปร่างของแหนแดง (Azolla pinnata) 14 ภาพที่ 8 แสดงการเพาะเลีย้ งไรแดงในบ่อปนู 17 ภาพท่ี 9 แสดงวงจรชวี ิตของหนอนแดง 25 ภาพท่ี 10 แสดงการรวบรวม การบรรจถุ งุ การแชแ่ ขง็ และการนาหนอนแดงไปเลยี ้ งปลา 27 ภาพท่ี 11 แสดงการเพาะเลีย้ งอาร์ทเี มยี 28 ภาพท่ี 12 แสดงลกั ษณะภายนอกของ Artemia 29 ภาพท่ี 13 แสดงวงจรชีวติ ของ Artemia 30 ภาพที่ 14 แสดงวิธีการแยกตวั ออ่ นอาร์ทีเมยี ออกจากเปลือกไข่ 32 ภาพที่ 15 แสดงบ่อเลีย้ งอาร์ทีเมยี และบ่อหมกั อาหาร 34 ภาพที่ 16 แสดงบ่อเลีย้ งอาร์ทีเมีย 36 ภาพที่ 17 แสดงนา้ เยน็ ทีเ่ ตรียมไว้สาหรับใสใ่ นถงุ ลาเลยี ง และอาร์ทเี มียในถงุ ลาเลยี ง ทอ่ี ดั ออกซเิ จนแล้ว 36 ภาพท่ี 18 แสดงรูปร่างของโรตเิ ฟอร์ 37 ภาพท่ี 19 แสดงการเพาเลีย้ งไรนา้ นางฟ้า 40 ภาพที่ 20 แสดงลกู นา้ ของยงุ 43 ภาพที่ 21 แสดงการเพาะเลีย้ งแพลงก์ตอนพชื ในห้องปฏิบตั ิการ 61 ภาพท่ี 22 แสดงชนั้ สาหรับวางขวดแพลงก์ตอน 63

1 บทท่ี 1 ความรเู้ กย่ี วกบั แพลงกต์ อน ภาพที่ 1 แสดงตวั อย่างของแพลงก์ตอนพชื แพลงก์ตอน (plankton) หมายถงึ สงิ่ มชี วี ติ ท่ีล่องลอยอย่ใู นนา้ สดุ แต่คล่ืนและกระแสนา้ จะพา ไป แพลงค์ตอนจึงต่างจากสิ่งมชี ีวติ อ่ืน ๆ ตรงความประพฤติเช่นนีข้ องมนั แพลงก์ตอนสว่ นมากมี ขนาดเล็กตงั้ แต่ดดู ้วยกล้องจลุ ทรรศน์อิเลกตรอน จนถงึ ระดบั ทม่ี องด้วยตาเปลา่ เชน่ แมงกระพรุน หลายชนิดยาวตงั้ 5 - 6 เมตร แพลงค์ตอนประกอบด้วยสิ่งมชี ีวติ หลายกลมุ่ แต่ทกุ กลมุ่ จะมีลกั ษณะท่เี หมือนกนั ประการ หนึ่งคือ ไมม่ รี ะยางค์หรือสว่ นท่ีชว่ ยในการเคล่ือนทเ่ี ช่นครีบของปลา แม้ว่าแพลงก์ตอนบางกลมุ่ จะ เคล่อื นที่ได้แต่ก็เป็นไปอย่างช้าและยงั ต้องอาศยั คล่ืนลมหรือกระแสนา้ ช่วยในการเคล่ือนท่ี ตา่ งจาก พวก nekton ซง่ึ เป็นสงิ่ มีชวี ติ ที่อาศยั อย่พู นื ้ ท้องนา้ เชน่ ก้งุ ปู หอย ดาวทะเล เป็นต้น การแบ่งกลุ่มของแพลงก์ตอน แบ่งโดยยึดหลกั โภชนาการ โดยแบง่ ออกได้เป็น 2 กลมุ่ ดงั นี ้ 1. แพลงก์ตอนพืช (Phytoplankton) แพลงก์ตอนพืช จดั เป็นสิ่งมีชีวิตท่ีมีความสาคญั ย่ิงต่อระบบนิเวศ เนื่องจากส่ิงมีชีวิตกลมุ่ นี ้ มีความสามารถในการสงั เคราะห์แสงและสร้างอาหารเองได้ ดังนนั้ แพลงก์ตอนพืชจึงจดั เป็นผู้ผลิต ปฐมภูมิ (Primary producers) ของห่วงโซ่ (Food chain) และสายใยอาหาร (Food web) เรา สามารถพบแพลงก์ตอนพืชได้ทงั้ ในระบบนิเวศนา้ จืด ระบบนิเวศนา้ เค็ม ตลอดจนในระบบนิเวศนา้ กร่อย โดยแพลงก์ตอนพืชส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งมีชีวิตพวกสาหร่ายไม่ว่าจะเป็นสาหร่ายท่ีเป็นโปรคาริ โอตหรือสาหร่ายท่ีเป็นยคู าริโอต โดยพบว่าในทะเล (Sea) และทะเลสาป (Lake) จะพบแพลงก์ตอน พืชในกลุ่มไดอะตอม (Diatoms) และกลุ่มไดโนแฟลกเจลเลท (Dinoflagellates) เป็นกลุ่มหลัก (Dominant group) ส่วนในแหล่งนา้ จืด (Freshwater) จะพบสาหร่ายสีเขียว (Green algae) โดยเฉพาะพวกเดสมิด (Desmids) เป็นกลุ่มหลกั (Boney, 1975) นอกจากนีเ้ ราสามารถแบ่งกลุ่ม แพลงก์ตอนพชื ออกเป็นกลมุ่ ใหญ่ ๆ ตามขนาดเซลลข์ องแพลงก์ตอนได้

2 2. แพลงก์ตอนสัตว์ (Zooplankton) แพลงก์ตอนสตั ว์จดั เป็นส่ิงมีชีวติ ท่ีมีความสาคญั ย่ิง ต่อระบบนิเวศ เน่ืองจากแพลงก์ตอนสัตว์จะเป็นตัวช่วยในกระบวนการหมุนเวียนพลังงานและ ถ่ายทอดสารอาหารต่างๆ จากแพลงก์ตอนพืชไปส่สู ิ่งมีชีวิตในระดับที่สงู ขึน้ ต่อไปของห่วงโซ่ (Food chain) และสายใยอาหาร (Food web) แพลงก์ตอนสัตว์ต่างจากแพลงก์ตอนพืชคือ แพลงก์ตอน สัตว์ไม่มีความสามารถในการสงั เคราะห์แสงและสร้างอาหารได้เช่นเดียวกับแพลงก์ตอนพืช เรา สามารถพบแพลงก์ตอนสตั ว์ได้ทงั้ ในระบบนเิ วศนา้ จดื ระบบนเิ วศนา้ เคม็ ตลอดจนในระบบนเิ วศนา้ กร่อยเช่นเดียวกบั แพลงก์ตอนพืช โดยแพลงก์ตอนสตั ว์ส่วนใหญ่จะเป็นส่ิงมีชีวิตท่ีมีขนาดเล็กจนถึง ขนาดใหญ่ เช่น โปรโตซัว สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก ตลอดจนตัวอ่อนของสัตว์ต่างๆที่ ลอ่ งลอยไปตามกระแสนา้ ประโยชน์ของแพลงก์ตอน 1. เป็นองค์ประกอบเบอื ้ งต้นของห่วงโซ่อาหารในแหลง่ นา้ ธรรมชาติ หรือท่ีเรียกวา่ ผ้ผู ลิต ซง่ึ มีความหมายรวมไปถึงทงั้ แพลงค์ตอนพืช และแพลงก์ตอนพืช ซึง่ ห่วงโซ่อาหารนนั้ จะสนั้ หรือยาวก็ ขนึ ้ อยกู่ บั แหลง่ นา้ นนั้ 2. เป็นตวั ชถี ้ ึงระดบั ความสมบรู ณ์ของแหลง่ นา้ โดยการวดั ผลผลติ เบอื ้ งต้น (primary productivity) และการวดั การเจริญเตบิ โตจาเพาะ 3. เป็นตัวชีก้ ระแสนา้ ในมหาสมุทร ในกรณีนีน้ ิยมใช้แพลงก์ตอนพืชที่มีขนาดใหญ่หรือ แพลงก์ตอนสตั ว์ที่จาแนกชนิดหรือกล่มุ ได้ง่าย เช่น หนอนธนูบางชนิด ได้แก่ Sagitta elegans เป็น ตวั ชีก้ ระแสนา้ นอกชายฝั่ง และในชายฝ่ัง 4. ชนิดของแพลงก์ตอนใช้เป็นตัวชีว้ ัดความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งนา้ ธรรมชาติ ในทะเล บริเวณท่ีมีธาตุอาหารสมบูรณ์ เช่น บริเวณใกล้ฝั่งที่มีนา้ ผุด (upwelling) ของประเทศเปรู มักจะพบ ไดอะตอมสกุล Thalassiosira , Chaetoceros แต่ถ้าบริเวณท่ีห่างจากฝั่งของประเทศเปรู ท่ีมีธาตุ อาหารและมสี ตั ว์นา้ น้อยจะพบไดอะตอมสกลุ Rhizosollenia , Planktoniella เป็นต้น 5. ชนิดและปริมาณของแพลงก์ตอนใช้ตรวจสอบมลภาวะของแหลง่ นา้ ได้ จะใช้ได้ดีกบั ภาวะ ท่ีเกิดจากสารอินทรีย์ (orginic pollution) แพลงก์ตอนพืชหลายชนิดท่ีใช้เป็นดชั นีชีว้ ดั เช่น Euglena viridis, Nizschai palea, Oscilltoria limosa, Scenedesmus quadricauda, Oscillatoria tenuis ทงั้ หมดนีเ้ป็นห้าชนิดแรกที่ใช้ในการตรวจสอบมลภาวะท่ีเกิดจากสารอินทรีย์ในนา้ นอกจากนนั้ ยงั ใช้ คา่ ดชั นีความหลากหลาย (diversity index) ซงึ่ คานวณโดยใช้ข้อมลู จานวนชนดิ ของแพลงค์ตอนและ ปริมาณของแพลงก์ตอนแต่ละชนดิ ประเมนิ สภาวะมลพิษในแหลง่ นา้ ที่ต้องการศกึ ษา 6. ใช้ในอตุ สาหกรรม โดยอาจใช้ในรูปทมี่ ีชีวิตโดยใช้ทงั้ เซลล์หรือโดยการสกดั ผลผลิตท่ี เซลล์ผลติ ขนึ ้ มาหรืออาจจะใช้ในรูปของ fossil 6.1 ใช้ในรูปของแพลงก์ตอนท่มี ีชวี ิต นามาใช้ประโยชน์โดย - เป็นอาหารสตั ว์ ในการเพาะเลีย้ งสตั ว์นา้ วยั ออ่ น เชน่ เป็นอาหารสาหรับลกู ก้งุ

3 - เป็นอาหารมนษุ ย์ สาหร่ายบางชนดิ เช่น Spirogyra ซงึ่ เป็นอาหารหลกั ของประเทศแถบอิน โดจนี เชน่ พม่า อินเดีย โดยชนดิ Oedogonium ใช้ปรุงเป็นอาหารในประเทศอินเดีย ส่วนชนดิ Chlorella , Spirulina (สาหร่ายเกลยี วทอง) ใช้เป็นอาหารเสริมทมี่ ีโปรตีนสงู - ใช้เป็นยารักษาโรค ชนิด Spirulina ใช้เป็นสารประกอบในยารักษาความดนั โลหติ สงู โลหิต จาง โรคภมู ิแพ้ มะเร็งในช่องปาก เป็นต้น 6.2 ใช้ในรูปของซาก fossil - ไดอะตอมไมท์ (diatomite) หรือ ไดอะโตมาเซียสเอธิ เป็นซากทีเ่ หลือจากผนงั เซลล์ของได อะตอมเกดิ การทบั ถมมาเป็นเวลานานนบั ล้านปี ถูกนามาใช้ในการทาผลิตภณั ฑ์เคร่ืองกรองนา้ ยา ตา่ ง ๆ ฉนวนกนั ความร้อนในอปุ กรณ์ไฟฟา้ เชน่ หม้อต้มนา้ และเตาเผาทใี่ ช้ความร้อนสงู - หินปนู (carbonate rock) ประกอบด้วยแคลไซท์ ซง่ึ เกดิ จากสว่ นของเซลลท์ ่ีตายแล้วของ แพลงก์ตอนพชื หลายกลมุ่ - ด้านอตุ สาหกรรมนา้ มนั สามารถสร้างเคโรเจนซึ่งเป็นสารประกอบเคมีประเภทไฮโดรคาร์บอน และจะเปลย่ี นสภาพนา้ มนั ปิโตรเลียมโดยขบวนการทางธรรมชาติ 7. ใช้ในการศกึ ษาทดลองทางวิทยาศาสตร์ แพลงก์ตอนบางกลุ่มเช่น ไดโนแฟลกเจลเลต เม่ือมีการบลมู (การแพร่พนั ธ์ุอย่างรวดเร็วใน ระยะเวลาอนั สนั้ ) ในทะเลแถบชายฝั่งทาให้เกิดปรากฏการณ์ท่ีเรียกว่า นา้ แดง หรือ red tide ซึ่งนา้ ทะเลจะเปล่ียนเป็นสีเขียว สีแดง สีนา้ ตาลแดง ปรากฎการณ์นีม้ ีผลโดยตรงและโดยอ้อมต่อสตั ว์นา้ เป็นอย่างมาก นอกจากนนั้ ยงั ส่งผลต่อเน่อื งไปถึงอตุ สาหกรรมอาหารทะเล และส่งผลถึงการเพาะเลีย้ งสตั ว์ นา้ ไดโนแฟลกเจลเลตหลายชนิดสามารถสร้างสารพิษได้ พิษจะสะสมอย่ใู นหอยโดยไม่ทาอนั ตราย แก่หอยแต่จะส่งผลต่อผู้บริโภค อาจมีผลรุนแรงถึงแก่ชีวิต ส่วนผลทางอ้อมคือเม่ือเกิดการบลมู ของ แพลงก์ตอนจานวนมาก สตั ว์นา้ ชนิดอ่ืนไมส่ ามารถอาศยั อย่ไู ด้เนื่องจากขาดออกซิเจนสาหรับหายใจ ในประเทศไทยก็มีการเกิดเหตุการณ์เช่นนีใ้ นฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย ซ่ึงสร้างความเสียหายเป็นอย่าง มาก การท่ีมีการปลอ่ ยนา้ เสียลงในทะเลจากนาก้งุ หรือจากอตุ สาหกรรมอื่น ๆ จะทาให้สารอาหารใน นา้ ทะเลเพ่ิมมากขึน้ ซ่ึงเหมาะสมต่อการขยายพันธ์ของแพลงก์ตอนที่เป็ นพิษเหล่านี ้มาก นอกจากนนั้ การชะล้างหน้าดินท่ีเกิดขึน้ นา้ จะพดั พาสารอาหารลงส่ทู ะเลเป็นจานวนมาก ก็ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งเช่นกัน เราสามารถที่จะป้องกันไม่ให้ปรากฏการณ์เหล่านีเ้ กิดขึน้ ได้ โดยต้อง ช่วยกันรักษาระบบนิเวศทัง้ บนบกและในทะเลเพราะแต่ละระบบนิเวศล้วนแต่มีความสัมพันธ์กัน ทงั้ นนั้ เม่ือระบบนิเวศหนึ่งเส่ือมโทรมลงก็จะส่งผลต่ออีกระบบหนึ่งเป็นลกู โซ่ตอ่ ๆ กนั ไป สดุ ท้ายก็คือ ระบบนิเวศมนษุ ย์นเี ้องทจ่ี ะได้รับผลท่ีเกิดขนึ ้ แบบฝึ กหัดท้ายบท 1.จงอธิบายถึงประโยชน์ของแพลงก์ตอน

4 บทที่ 2 การเพาะเล้ยี งแพลงกต์ อนเพ่ือเป็ นอาหารสตั วน์ ้าวยั ออ่ น ภาพที่ 2 แสดงรูปร่างของไรนา้ นางฟา้ ในการเพาะเลีย้ งสตั ว์นา้ แพลงก์ตอนซง่ึ เป็นสิง่ มีชีวติ ทมี่ คี วามสาคญั เป็นอย่างย่ิงทจี่ ะใช้เป็น อาหารหลกั ในการอนบุ าลสตั ว์นา้ วยั อ่อน เพราะแพลงก์ตอนเป็นอาหารทีม่ คี ณุ คา่ ทางโภชนาการสงู ช่วยควบคมุ คณุ ภาพนา้ ให้เหมาะสมต่อการอนบุ าลสตั ว์นา้ วยั อ่อน แม้ว่าในปัจจบุ นั ได้มีการพฒั นา อาหารสาเร็จรูปให้มขี นาดเหมาะสมต่อสตั ว์นา้ วยั อ่อนและสามารถกนิ ได้ตงั้ แต่ สตั ว์นา้ วยั อ่อนเริ่มกิน อาหาร แต่อาหารสาเร็จรูปท่ีมีคณุ ค่าทางโภชนาการท่สี มบรู ณ์ทาได้ยาก และผลเสียก็คืออาหารจะ จมนา้ ได้งา่ ยไมส่ อดคล้องกบั ธรรมชาตขิ องลกู สตั ว์นา้ ทลี่ ่องลอยนา้ ในช่วงระยะแรก ปัจจุบนั อาหารทใี่ ช้ในการอนบุ าลสตั ว์นา้ วยั ออ่ นทงั้ แพงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสตั ว์ เร่ิมมี บทบาทท่ีสาคญั เป็นอย่างยิง่ ต่อการเพาะเลีย้ งสตั ว์นา้ แต่สว่ นใหญ่เกษตรกรมกั ประสบปัญหาในการ เพาะเลีย้ งแพลงก์ตอน ซง่ึ อาจมาจากหลายสาเหตุ เชน่ หวั เชอื ้ ที่ได้มาคณุ ภาพไมด่ ี ไม่แขง็ แรงพอ ขาดความรู้และความชานาญในการเพาะเลีย้ งแพลงก์ตอน ดงั้ นนั้ การเพาะเลีย้ งแพลงก์ตอนพชื และแพลงก์ตอนสตั ว์เพือ่ ใช้อนบุ าลสตั ว์นา้ วยั อ่อนจึง จาเป็นท่ีควรสง่ เสริมและถา่ ยทอดความรู้ให้แกเ่ กษตรกรและผ้สู นใจทวั่ ไป เพ่อื ประโยชน์แก่เกษตรกร ทีเ่ พาะและอนบุ าลสตั ว์นา้ วยั ออ่ น และผ้ทู ีม่ ีสว่ นเก่ียวข้องกบั ธรุ กจิ การเพาะเลีย้ งแพลงก์ตอนอาหาร สตั ว์นา้ ตอ่ ไป แพลงก์ตอนท่ีใช้ในการอนุบาลสัตว์นา้ วัยอ่อน แบง่ ออกเป็น 2 ประเภทคือ แพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสตั ว์ แพลงก์ตอนพืช เป็นสิง่ มีชวี ิตที่มสี ารสีในเซลล์ ทาให้สามารถดดู ซบั พลงั งานแสงและใช้สาหรับ การสงั เคราะห์แสงเพื่อผลิตอาหาร แพลงก์ตอนพืชมีความสาคญั เพราะเป็นอาหารเบือ้ งต้นของโซ่ อาหาร (food chian) ในแหล่งนา้ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นผู้ผลิต (producer) แพลงก์ตอนพืชที่นิยมทาการ เพาะเลีย้ งใช้เป็นอาหารลกู สตั ว์นา้ วยั อ่อนได้แก่ Chlorella sp., Tetraselmis sp. , Isochrysis sp. , Chaetoceros sp. และ Skeletonema sp.

5 การเพาะขยายแพลงก์ตอนพืช การขยายแพลงก์ตอนในห้องปฏิบตั ิการ นานา้ ทะเลที่มีความเค็ม 25-28 ppt. ที่ผ่านการ autoclave ปริมาณ 900 มิลลิลิตร เติม สารอาหาร และเติมหวั เชือ้ แพลงก์ตอน ปริมาณ 100 มิลลิลิตร นาไปให้อากาศ และวางในที่ที่มีแสง ประมาณ 3,000 - 5,000 Lux อณุ หภมู ิ 22-26 องศาเซลเซยี ส การขยายแพลงก์ตอนในปริมาณมาก เตรียมนา้ ทะเลทีส่ ะอาดผ่านการกรองและการฆ่าเชอื ้ แล้ว ความเคม็ 25 - 28 ppt. เติมป๋ ยุ โดย ใช้สตู รอาหารทเี่ หมาะสม โดยถ้าขยายแพลงก์ตอนกล่มุ ไดอะตอมใช้สตู รซาโตะและซาริกาวา ถ้า ขยายสาหร่ายสเี ขียวใช้สตู รสาหรับสาหร่ายสีเขียว เตมิ แพลงก์ตอนในอตั ราสว่ น 1: 50 ให้อากาศ และตงั้ ทิง้ ไว้ทม่ี แี สง นาน 3-5 วนั จึงนาไปใช้งาน สาหรับในขนั้ ตอนของการเพาะและขยายพนั ธ์ุ แพลงก์ตอนพืชชนิด Tetraselmis sp. , Isochrysis sp. ทงั้ ในห้องปฏิบตั กิ ารและนอกห้องปฏิบตั กิ าร จะไมเ่ ติมสารอาหารสว่ นของ โซเดยี มเมตาซลิ เิ กต ลงไป แพลงก์ตอนสตั ว์ เป็นสิง่ มีชีวติ กลมุ่ ท่ีไมส่ ามารถสร้างอาหารพวกสารอินทรีย์ได้ด้วยตวั เอง จงึ จดั ว่าเป็นสตั ว์ประเภท heterotrophic หรือเป็นกลมุ่ secondary production ในระบบนิเวศของนา้ แพลงก์ตอนสตั ว์มีบทบาทสาคญั ในด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศวทิ ยาของแหลง่ นา้ ไมย่ ง่ิ หยอ่ น ไปกวา่ แพลงก์ตอนพชื เชน่ ใช้เป็นดชั นีชีถ้ งึ สภาพของแหลง่ นา้ ทงั้ ในด้านการประมงและด้านอ่ืนๆ วา่ แหลง่ นา้ นนั้ มีความอดุ มสมบรู ณ์เพยี งใด ชนิดแพลงก์ตอนสตั ว์ท่ใี ช้ในการอนบุ าลสตั ว์นา้ วยั ออ่ น เช่น โรติเฟอร์ , ไรนา้ กร่อย , ไรนา้ จืด , อาร์ทีเมีย และโคพีพอด การเพาะขยายแพลงก์ตอนสัตว์ 1. ทาการล้างถงั หรือบอ่ เพาะแพลงก์ตอนสตั ว์ ให้สะอาด ตากบอ่ ให้แห้ง 2. ทาการเพาะเลีย้ งแพลงก์ตอนพชื เพื่อใช้เป็นอาหารของแพลงก์ตอนสตั ว์ ใช้เวลาประมาณ 3 วนั 3. เตมิ หวั เชอื ้ แพลงก์ตอนสตั ว์ 4. เม่ือแพลงก์ตอนสัตว์เพิ่มจานวนมากขึน้ หรือสังเกตดูว่าอาหารหมด หรือนา้ เริ่ มใส ใช้ ระยะเวลาประมาณ 2-3 วนั ก็ทาการเก็บเก่ียว โดยกรองเอาแพลงก์ตอนสตั ว์ไปใช้เป็นอาหารลกู สตั ว์ นา้ วยั อ่อนตอ่ ไป คาถามท้ายบท 1.จงยกตวั อย่างของแพลงก์ตอนทีใ่ ช้ในการอนบุ าลสตั ว์นา้ วยั ออ่ น ชนิดท่ีสาคญั ๆ

6 บทท่ี 3 การเพาะเลยี้ งแพลงก์ตอนพชื การเพาะเลยี้ งคลอเรลลา ภาพที่ 3 แสดงการเพาะเลีย้ งคลอเรลลา คลอเรลลา (Chlorella) เป็นแพลงก์ตอนพชื ท่มี ขี นาดเล็กมากแค่ 2-3 ไมครอน มองด้วยตา เปลา่ ไม่เห็น ถ้ามีอยเู่ ป็นจานวนมาก จะทาให้เห็นนา้ เป็นสีเขียวตอง คลอเรลลาใช้เป็นอาหารของโรติ เฟอร์และไรนา้ กร่อยรวมทงั้ ใช้ทาสีนา้ ในบ่ออนบุ าล ซงึ่ จะช่วยลดการเกิดเชือ้ เรืองแสงได้ คลอเรลลาท่ี เราใช้อย่ชู อบแสงแดด แตไ่ ม่ชอบอากาศร้อนเกนิ 30 องศาเซลเซียส ย่งิ ถ้าครึม้ ฝนหรือแสงน้อยจะ ตายได้งา่ ย นอกจากนกี ้ ารใสค่ ลอรีนผง 1 กรัม/ตนั หรือคลอรีนนา้ 7 มล./ตนั จะช่วยให้คลอเรลลา เจริญเตบิ โตได้เมื่อมสี ภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม รวมทงั้ เมอื่ มีศตั รูไม่ว่าจะเป็นแพลงก์ตอนพืชชนิด เช่น ออสซลิ ลาทอเรีย และคโี ตเซอรรอสชนิดทเ่ี ป็นสายหรือแพลงก์ตอนสตั ว์ เชน่ โรติเฟอร์และไรนา้ กร่อย วิธีการเพาะเลยี้ งคลอเรลลาในบ่อ 20 ตนั 1. ใสน่ า้ ทะเลสะอาด ให้ได้ปริมาตร 10 ตนั 2. เติมพนั ธ์ุคลอเรลลา ความโปร่งใสประมาณ 50 ซม. 3. ชง่ั ป๋ ยุ ละลายป๋ ยุ แต่ละตวั ใสล่ งในบ่อตามสตู ร สตู ร 21 -0 - 0 500 กรัม สตู ร 16 - 20 -0 75 กรัม สตู ร 46 - 0 - 0 25 กรัม 4. ให้ฟองอากาศ 5. วดั ความโปร่งใสของนา้ 6. เวลา 11.00 น. วดั อณุ หภมู ขิ องนา้ ถ้าอณุ หภมู เิ กิน 31 องศาเซลเซียส ให้ปิดบอ่ 80 %

7 จนถงึ เวลา 14.00 น. ถ้าอณุ หภมู ติ ่ากว่า 31 องศาเซลเซียสให้เปิดบ่อ 7. ใส่คลอรีนผง 20 กรัม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม่อื เห็นฟองหนดื เมื่อนา้ คลอเรลลามีสีเพีย้ นหรือ เม่ือไมแ่ น่ใจว่ามโี รติเฟอร์ลงไปปนเปือ้ นหรือไม่ 8. สบู ไปใช้ ครึ่งบ่อเม่ือวดั ความโปร่งใสได้ประมาณ 50 ซม. หรือต่ากว่านี ้ 9. ขยายพนั ธ์ุเพม่ิ โดยเตมิ นา้ ผสมตามข้อ 1 ลงไปจนเตม็ บ่อและเติมป๋ ยุ ตามข้อ 3 10. ทาซา้ ตามข้อ 4-9 11. ดาเนินการตามข้อ 4-7 12. วนั ต่อมาสบู ไปใช้หมดบ่อ แล้วล้างบอ่ กอ่ นท่ีจะเพาะใหมใ่ นสภาพท่ีเหมาะสมคลอเรลลา เพ่ิมจานวนได้สงู สดุ ในเวลา 4-5 วนั แต่ถ้าเหลือหวั เชือ้ ไว้ครึ่งหนง่ึ แล้วเติมนา้ เลีย้ งลงไปจนเต็มเพาะเลีย้ ง 2-3 วนั ก็ใช้ได้ โดยเติม ป๋ ยุ เพียง 25 %ของป๋ ยุ ท่ีจะใช้สาหรับนา้ เต็มบ่อ ถ้าจะเลีย้ งตอ่ เนื่องนานหลายวนั จึงล้างบ่อ ควรเก็บ เกี่ยวไปใช้วนั ละไม่เกิน 20 % ถ้าเร่ิมต้นด้วยหวั เชือ้ 1 ตนั ควรเพาะเลีย้ งคลอเรลลาก่อนนานอเพลียส เข้าโรงเพาะประมาณ 10 วนั ถ้าจะให้ได้ผลดียิง่ ขึน้ ควรเพม่ิ คาร์บอนไดออกไซค์เฉพาะในเวลาท่มี ีแสง ลงไปด้วย 2 % ของฟองอากาศทงั้ หมดหรือกะปริมาณให้ต่ากวา่ 2 % และเป็นไปได้ท่ีจะเพาะในบอ่ กลางแจ้งโดยไม่ต้องใช้หวั เชือ้ ใหม่จากห้องปฏิบตั อการอย่างที่สถาบนั ฯ ทาอยหู่ วั เชือ้ คลอเรลลา สามารถเก็บไว้ในต้เู ย็นในช่องธรรมดาได้นานเป็นปี การเพาะเลยี้ งสเกลีโตนีมา ภาพท่ี 4 แสดงสเกลีโตนีมา สเกลีโตนีมา (Skeletonema) เป็นแพลงก์ตอนพชื ในกลมุ่ ท่เี รียกวา่ ไดอะตอม เช่นเดียวกบั คี โตเซอรอส เมื่อรวมกนั มากๆ จะทาให้เห็นนา้ เป็นสีนา้ ตาล สเกลโี ตมาหรือไดอะตอมชนิดอนื่ เจริญเตบิ โตเร็วกวา่ คลอเรลลา และอายจุ ะสนั้ กวา่ ด้วย ในประเทศไทยสเกลโี ตนีมาทเี่ พาะกลางแจ้ง มกั จะมอี ายุ 1-2วนั เทา่ นนั้ ทางภาคใต้สเกลีโตนีมาเจริญเติบโตได้งา่ ยกว่าคีโตเซอรอสชนิดเดีย่ วซง่ึ

8 เป็นทนี่ ิยมใช้กนั ในภาคกลางและให้ผลดีเท่าเทียม กบั การใช้คโี ตเซอรอสชนิดเซลลเ์ ดยี่ ว ถ้าได้เซลล์ที่ มีขนาด (5-8 ไมครอน) ซง่ึ มองด้วยตาเาปลา่ ไม่เห็น จะใช้อนบุ าลได้ดีกว่าเซลลท์ ี่มีขนาดใหญ่ (13-20 ไมครอน) ท่ีมองเห็นเป็นเส้นเล็ก ๆ เจริญเติบโต ได้ไม่ดีตายงา่ ยและลูกก้งุ กนิ ยากกว่าการท่เี ซลลข์ อง สเกลโี ตนมี าต่อกนั เป็นสายยาวทาให้กรองได้ แต่เซลล์ของมนั เปราะบางแตกหกั ง่ายถ้าจะกรองจึง ควรกรองด้วยความระมดั ระวงั เพราะเซลลท์ แ่ี ตกหกั จะอนบุ าลลกู ก้งุ ได้ไม่ดี และทาให้นา้ เสยี ได้ นอกจากนนั้ สเกลีโตนีมายงั ตายง่าย เมอ่ื ไมม่ แี สงและอากาศร้อนเกิน 32 องศาเซลเซียส เมือ่ ตายจะทาให้เกิดเมอื ก จึงควรใสใ่ นบ่ออนบุ าลอย่างพอเหมาะและให้แสงสอ่ งลงในบ่อได้ถ้าทกุ อยา่ ง ลงตวั การให้อาหารเพยี งมือ้ เดยี วก็สามารถทาให้ลกู ก้งุ เจริญเติบโตจนเข้าระยะไมซิสได้ ไม่ว่าจะให้ สเกลโี ตนีมาหรือคโี ตเซอรอส วิธีการเพาะเลยี้ งสเกลีโตนีมาในถัง 1 ตัน 1. ผสมนา้ เค็ม 4 สว่ น + นา้ จดื 1 สว่ น ให้ได้ปริมาตร 900 ลิตร เมื่อมีแสงแดดและ 800 ลติ ร เมอื่ ไม่ค่อยมแี สงแดด 2. ใสพ่ นั ธ์ุสเกลโี ตนีมา 100 ลติ ร หรือ 200 ลติ ร เพ่ือให้นา้ เต็มถงั 3. ให้ฟองอากาศและให้ได้รับแสงอยา่ งเพียงพอ ถ้าแสงแดดน้อยให้เพาะกลางแจ้ง 4. อย่าให้อณุ หภมู ิเกิน 32 องศาเซลเซียส โดยหาตาแหน่งวางถงั ให้เหมาะสม 5. เพาะ 1-2 วนั กรองไปใช้หรือสบู ไปใช้ 800-900 ลติ ร 6. ขยายพนั ธ์ุเพิ่มโดยเตมิ นา้ ผสมตาม ข้อ 1 จนเต็มถงั ทาซา้ ตาม ข้อ 3-6 7. วนั ตอ่ มากรองหรือสบู ออกจนหมดถงั เก็บไว้เป็นพนั ธ์ 100-200 ลติ ร 8. ล้างถงั ให้สะอาดเพื่อเพาะใหม่ ตามข้ 1-7 โดยใช้หวั เชอื ้ จากข้อ 8 9. ดาเนินการเช่นนไี ้ ปเร่ือย ๆ จนหยดุ ใช้สเกลีโตนมี า การเพาะเลยี้ งคีโตเซอรอส (Cheatoceros spp.) ภาพที่ 5 แสดงรูปร่างของคีโตเซอรอส

9 คีโตเซอรอส เป็นไดอะตอมชนดิ หนึ่งทนี่ ิยมเลีย้ งกนั แพร่หลาย เนื่องจากหาหวั เชอื ้ ได้สะดวก และเม่อื เจริญเต็มท่ีแล้วจะยงั คงอย่ไู ด้อีกระยะหน่ึง โดยที่จะไมต่ ายและตกตะกอนทนั ทีเหมอื นกบั สาหร่ายชนิดอ่ืน คโี ตเซอรอส เป็นสกลุ ทเี่ ป็นแพลงก์ตอนถาวร และมคี วามสาคญั ในการประมง เนอ่ื งจากเป็น อาหารของสตั ว์นา้ ทงั้ ในธรรมชาติและการเพาะเลีย้ งในบ่อ มจี านวนชนิดและปริมาณมากทวั่ โลก สว่ นใหญ่เป็นชนิดที่พบในทะเลประมาณว่ามีมากกวา่ 50 ชนดิ ทพี่ บในทะเลเขตร้อน และพบมาก บริเวณชายฝั่งทะเลมากกวา่ ทะเลลกึ ลกั ษณะ เป็นสายโซ่ตรงหรือโค้ง เซลลร์ ูปไขจ่ นถึงกลม เม่ือมองจากด้านวาลว์ เซลลร์ ูปสีเ่ หล่ียมท่มี ี ขอบตรงเว้าหรือนนู เมื่อมองจากด้านเกอเดลิ ด้านกว้าง เว้าหรือนนู ก็ได้ ส่วนมมุ ขวาหรือ valve mantle เป็นรูปทรงกระบอก ทีม่ มุ ขวาในแกนยาว มซี ีตลี กั ษณะเป็นหนามยาวมมุ ละ 1 เส้น ซีตที ่มี มุ ของแต่ละฝาเซลลท์ ี่อย่ตู ิดกนั จะแตะกนั ท่จี ดุ ใกล้กบั ฐาน ทาให้หลายเซลลต์ ่อกนั เป็นสาย และเกิดมี ชอ่ งวา่ งระหวา่ งเซลล์ เรียกว่า อะเพอร์เซอร์หรือฟอรามนิ า (apertures or foramina) โคนของซีตี ขนานกบั แกนเพอร์วาลวาร์ หรือ pervavar axis หรือกางออกในแนวตงั้ ฉากกบั แกนของสาย ความ ยาวของสาย คีโตเซอรอส สว่ นใหญ่ขนึ ้ อย่กู บั การสร้างซตี ปี ลายสดุ ของสายหรือเทอร์มนิ ลั ซีตี ซงึ่ มกั จะสนั้ กวา่ และหนากว่าซีตีเส้นอนื่ ซีตเี ส้นปลายสดุ มกั ขนานกบั แกนของสาย แต่มี คีโตเซอรอส บางชนิดมีเซลลเ์ ดียวเซลล์ประกอบด้วยฝา 2 ฝา มีวงเกอเดลิ 1-2 วง บางชนิดมอี ินเตอร์คาลารีแบนด์ ซงึ่ มกั มองเห็นไมช่ ดั เจน คลอโรพลาสต์มรี ูปร่างขนาด ตาแหน่งไมแ่ นน่ อน บางชนิดมไี พรีนอยด์ คีโตเซอรอสชนดิ ท่ีพบบริเวณชายฝั่งจะสร้างเรสติงสปอร์ (resting spore) เซลล์ปกติ 1 เซลล์ จะสร้างเรสตงิ สปอร์เพยี ง 1 สปอร์ ตาแหนง่ ท่สี ร้างคือบริเวณใกล้กบั แถบเกอเดิล (girdle band) แต่ บางชนดิ อาจสร้างที่ขอบเซลล์ ขอบของสปอร์มหี นามยาวหรือหนามขนาดสนั้ ๆ แตล่ ะ สปอร์มฝี า 2 ฝา ฝาแรก (primary valve) จะมมี มุ หรือ valve mantle เรสติงสปอร์เมือ่ สร้างขึน้ มาใหมจ่ ะมีผนงั เรียบ ถ้าตาแหนง่ เรสติงสปอร์อยชู่ ิดขอบเซลล์ ฝาด้านหน่ึงอาจเชอื่ มตดิ กบั เซลลแ์ ม่ โดยมมุ ฝาจะ หายไป และมซี ีตีสนั้ และหนาแทน ฉะนนั้ สปอร์แบบนจี ้ งึ เกิดเป็นคแู่ ละเกิดในเซลล์ทีอ่ ย่ตู ิดกนั คีโตเซอรอสชนิดที่สร้างออกโซสปอร์มีเพยี งไมก่ ี่ชนิด การสร้างสปอร์เกิดขนึ ้ โดยการท่สี าร ภายในเซลลไ์ หลออกไปรวมกนั ที่ด้านข้างแล้วปริมาตรของเซลลจ์ ะขยายใหญ่ขนึ ้ ฝาใหมจ่ ะถกู สร้าง ขนึ ้ เพอ่ื จะได้เซลลป์ รกติท่มี ีขนาดใหญ่กวา่ เดิม(ก่อนสร้างออกโซสปอร์) ชนิดของคีโตเซอรอส ชนิดของคีโตเซอรอสที่นามาเพาะเลีย้ งเพ่อื เลีย้ งลกู ก้งุ มีหลายชนิดด้วยกนั เชน่ คีโตเซอรอส คาลซิแทรนซ์ (C. calcitrans) ซงึ่ เป็นพนั ธ์ุจากแหลง่ นา้ ของประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเซลล์เด่ยี ว ๆ มี ขนาดเลก็ และหนามสนั้ ซงึ่ จะมปี ริมาตรเซลล์ประมาณ 50 ลกู บาศก์ไมครอน แต่ปริมาตรอาจน้อย

10 กวา่ นเี ้ช่น 30 ลกู บาศก์ไมครอน บางครัง้ คีโตเซอรอสชนดิ นอี ้ าจมขี นาดเลก็ มากคอื มีเส้นผ่าน ศนู ย์กลางเซลล์ 4-5 ไมครอนกไ็ ด้ เพราะขนาดจะเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อม นอกจากไดอะตอมชนดิ นจี ้ ะเป็นชนดิ ท่ีเหมาะสมกบั การเป็นอาหารของลกู ก้งุ แล้วยงั เป็น อาหารท่ีดีในการเลยี ้ งหอยสองฝาได้อีกด้วย คีโตเซอรอสชนิดทีเ่ ป็นเซลล์เด่ียวอีกชนิดหนึง่ คือ คีโตเซ อรอส กราซิลิส (C. gracillis) เซลล์มีรูปร่างรูปสเ่ี หลย่ี มผนื ผ้า ขนาดของเซลล์โดยไมน่ บั ก้าน (setae) มดี งั นี ้ ความยาว 8-12 ไมครอน ความกว้าง 7-10 ไมครอน คีโตเซอรอสชนิดนนี ้ ยิ มเลีย้ งกนั ใน ประเทศตาฮิชิ มลรัฐฮาวาย และห้องปฏบิ ตั กิ ารทางทะเลตงุ กาง (tungkang) ในประเทศไต้หวนั เพื่อ เป็นอาหารลกู ก้งุ พีเนยี ส ลกู หอยสองฝา โรตเิ ฟอร์ และโคพีพอด คีโตเซอรอสของไทยส่วนใหญ่เป็นเซลลท์ ี่ต่อกนั เป็นสาย พวกเซลล์เดยี่ ว ๆ กม็ ีบ้าง แต่มกั จะ มีหนามยาวมากหรือหนามโค้งไมเ่ หมาะที่จะใช้เป็นอาหารของลกู ก้งุ คโี ตเซอรอสนิยมเพาะเลีย้ งใช้ กนั ในภาคกลาง ไมไ่ วต่อแสงเหมอื นสเกลีโตนมี า การเพาะเลยี้ ง คีโตเซอรอสทกุ ชนิดสามารถทนทานต่ออณุ หภมู ิสงู ๆ ของนา้ ในบ่อเลีย้ งได้ดี เชน่ เมื่อเลีย้ งคี โตเซอรอส (C. gracillis) ในบอ่ ท่ีนา้ มีอณุ หภมู ิ 40 เซลล์ของไดอะตอมชนิดนจี ้ ะไม่มสี ี แต่ถ้าลด อณุ หภมู ินา้ ลงที่อณุ หภมู ิ 20 หรือ 30 องศาเซลเซียส ไดอะตอมจะเจริญเติบโตตามปกติ เช่น มีสเี ข้ม ขนึ ้ อตั ราการเจริญเติบโตดีขึน้ เป็นต้น อณุ หภมู ิสงู สดุ ที่ใช้เลีย้ งคีโตเซอรอสชนดิ นไี ้ ม่ควรสงู กวา่ 37 องศาเซลเซียส แต่ถ้าจะให้ได้อตั ราการเจริญเติบโตดที ่สี ดุ อณุ หภมู คิ วรอย่ใู นช่วง 20-30 องศา เซลเซยี ส ความเค็มต่าสดุ คือ 6 สว่ นในพนั ความเคม็ แม้จะสงู ถึง 50 สว่ นในพนั กย็ งั เติบโตดี แต่ช่วง ความเค็มที่เหมาะสมคือ 17-25 สว่ นในพนั อตั ราการเจริญเตบิ โตของคีโตเซอรอสจะเพ่ิมขึน้ เร่ือย ๆ ถ้าชว่ งความเข้มแสงระหวา่ ง 500 ถึง 10,000 ลกั ซ์ โดยทว่ั ไปนิยมใช้นา้ ทะเลธรรมชาติในการเพาะเลีย้ งคโี ตเซอรอส เพื่อปอ้ งกนั การปนเปือ้ น (contamination) จึงควรฆา่ เชือ้ ในนา้ ทะเลด้วยไฮโปคลอไรด์ในอตั ราสว่ น 16 กรัมตอ่ นา้ 1 ตนั หรือ ใช้สารละลายเข้มข้น 150 สว่ นในล้าน (10% คลอรีน) ของไฮโปคลอไรด์ เติมลงในถงั เพาะ หลงั จาก นนั้ อกี 12 ชวั่ โมง จงึ เตมิ โซเดียม-ไธโอซลั เฟตเพอ่ื ทาให้ตะกอนคลอรีนเป็นกลางในอตั รา 40-45 กรัม ตอ่ นา้ 1 ตนั ต่อจากนนั้ จึงจะเร่ิมทาการเพาะไดอะตอมได้ ถ้าเพาะคีโตเซอรอส (C. calcitrans) ในภาชนะความจุ 200 ลติ ร อณุ หภมู ิ 21 องศา เซลเซยี ส ความเข้มแสง 15,000 ลกั ซ์ โดยการให้อากาศท่ีผสม Co2 เข้มข้น 1% ในอตั รา 5 ลติ ร/นาที และเตมิ อาหารด้วย ความหนาแน่นเร่ิมต้นของไดอะตอม 1x106 เซลล/์ ลติ ร จะสามารถผลติ ได อะตอมทมี่ ีความหนาแนน่ ถงึ 28-30 x 106 เซลล/์ มิลลิลติ ร ในเวลา 3-4 วนั ภาชนะที่ใช้เลีย้ งเป็นรูป กรวยทรงสงู ใช้แสงสว่างแบบฟลอู อเรสเซนส์

11 เราสามารถนาสตู รอาหารที่ใช้เลีย้ งสเกลีโตนีมามาเลีย้ งคีโตเซอรอสได้ เชน่ ใช้สตู รอาหาร ของเอิร์ดชไรเบอร์ สาหรับเตรียมสารละลายเพื่อทาสต๊อกเชือ้ บริสทุ ธิ์ นอกจากนีย้ งั มีสตู รอาหารอื่น ๆ ทเ่ี หมาะแกก่ ารเลีย้ งคีโตเซอรอสอีก ได้แก่ สตู รวลั เน หรือคอนเวย์ สตู รโปรวาโซลี เป็นต้น การขยายพนั ธ์ุคีโตเซอรอสนนั้ ต้องเตรียมลว่ งหน้าประมาณ 4-5 วนั ในกรณีที่มหี วั เชอื ้ เพยี ง เล็กน้อยและหวั เชอื ้ ทีใ่ ช้ต้องเป็นหวั เชือ้ จากห้องปฏิบตั กิ าร เพราะจะได้หวั เชือ้ ท่ีแขง็ แรงปราศจาก สง่ิ เจือปน จงึ พร้อมที่จะขยายพนั ธ์ุได้อย่างรวดเร็ว การเกบ็ เก่ยี ว ก่อนการเก็บเก่ียวคีโตเซอรอสเพื่อนาไปเลีย้ งลกู ก้งุ ควรกรองเอาเศษผงและสิ่งสกปรกออก เสียก่อน แล้วจงึ นานา้ สว่ นท่ีกรองได้ไปให้ลกู ก้งุ กิน และท่ีสาคญั ควรจะตรวจสอบด้วยกล้อง จลุ ทรรศน์ว่า ไมม่ ีไดอะตอมชนิดอน่ื ท่ไี ม่ใชค่ ีโตเซอรอสปะปนอยู่ และหลงั จากตกั ให้ลกู ก้งุ กินแล้ว ควรเหลือคีโตเซอรอสไว้ขยายพนั ธ์ุดงั วธิ ีข้างต้น และเติมอตั ราสว่ นของอาหารเฉพาะสว่ นนา้ ทะเลที่ เตมิ ลงไปใหม่ เพราะถ้าทงิ ้ ไว้ไมข่ ยายต่อ คีโตเซอรอสจะเริ่มตายและตกตะกอนจบั กนั เป็นกล่มุ ไม่ เหมาะทจ่ี ะนามาให้ลกู ก้งุ กนิ เน่อื งจากคีโตเซอรอสที่ตายจะมีเมือก ซงึ่ จะไปตดิ ตามตวั ลกู ก้งุ ทาให้ เกดิ ความราคาญและยงั เป็นบ่อเกิดของแบคทีเรียอีกด้วย วธิ ีการเก็บเกี่ยวคีโตเซอรอสทศี่ นู ย์การเพาะเลยี ้ งสตั ว์นา้ แถบเอเซียตะวนั ออกเฉียงใต้ (SEAFDEC) ใช้อย่นู นั้ เป็นวิธีทาให้เซลลต์ กตะกอนโดยการเตมิ อลมู เิ นียมซลั เฟตความเข้มข้น 150 สว่ นในล้าน นาไดอะตอมที่ตกตะกอนไปเกลี่ยให้เป็นแผน่ บาง ๆ (ประมาณ 25x106 เซลล์/มลิ ลลิ ิตร) ใสใ่ นถงุ พลาสตกิ ปิดสนิทแล้วแชใ่ นต้เู ย็นท่อี ณุ หภมู ิ 0 องศาเซลเซียส ไดอะตอมทแ่ี ช่แข็งนีส้ ามารถ นาไปเลีย้ งลกู ก้งุ ได้ จากการศกึ ษาเปรียบเทียบอตั ราการเตบิ โตของลกู ก้งุ ท่เี ลีย้ งด้วยไดอะตอมท่ี เกบ็ ด้วยการแช่แข็งและที่เก็บสด พบวา่ ลกู ก้งุ ทีเ่ ลีย้ งด้วยอาหารทงั้ สองประเภทมีอตั ราการเติบโตทไ่ี ม่ แตกตา่ งกนั ส่วนการผสมสารเคมีท่ชี ่ือว่า ไครโอโพรเทคแทนท์ (Cryoprotectant) กบั ไดอะตอมนนั้ สามารถเก็บคีโตเซอรอสแช่แขง็ ให้มคี ณุ ภาพดไี ด้นานถึง 18 เดอื น คีโตเซอรอสท่ีทาให้แห้งโดยวธิ ีการ ตากแดดกม็ คี ณุ ภาพพอที่จะเป็นอาหารเสริมเพอื่ เลีย้ งลกู ก้งุ ได้เชน่ กนั ยามท่ีไดอะตอมสดขาดแคลน การเพาะเลีย้ งสาหร่ายสไปรูลนิ า ภาพที่ 6 แสดงการเพาะเลีย้ งสาหร่ายสไปรูลินา

12 สาหร่ายสไปรูลินา เป็นสาหร่ายสีเขียวแกมนา้ เงนิ มีลกั ษณะเป็นเซลล์หลายๆ เซลล์ต่อกนั เป็นสายยาวและบิดเป็นเกลียวมีขนาดเส้นผ่านศนู ย์กลางประมาณ 3-12 ไมโครเมตร (0.003-0.0012 ซม.) มีความยาวประมาณ 30-50 ไมโครเมตร รูปร่างเซลล์ไมส่ ามารถมองเหน็ ได้ด้วยตาเปลา่ ต้อง มองภายใต้กล้องจลุ ทรรศน์ขนาดกาลงั ขยาย 40 เท่าขนึ ้ ไป สาหร่ายสไปรูลินาเจริญเติบโตในสภาวะที่เป็นด่างที่มีค่าความเป็นกรด-ด่าง(pH) 8.5-11 ทา ให้มีการปนเปือ้ นจากจลุ ินทรีย์ชนิดอ่ืนได้ยาก ในธรรมชาติมีสาหร่ายสไปรูลินาเจริญในทะเลสาบท่ีมี ความเป็นด่างสงู เช่น ทะเลสาบ Texcoco ในเม็กซิโก ทะเลสาบ Chad ในอาฟริกา สาหร่ายสไปรูลิ นาแต่ละสายพนั ธ์ุมีอณุ ภูมิท่ีเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตท่ีแตกต่างกนั โดยสาหร่ายสไปรูลินาสาย พันธ์ุพลาเท็นซิส (S.platensis) มีอุณหภูมิท่ีเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตที่ 35 องศาเซลเซียส สารอาหารหลกั (แหล่งคาร์บอน) ที่ใช้ในการเพาะเลีย้ งสาหร่ายสไปรูลินา คือ โซเดียมไบคาร์บอเนต หรืออาจใช้คาร์บอนไดออกไซต์ (ร้อยละ 1) ซ่ึงมีราคาถูกกว่า แต่การเลีย้ งในระบบเปิด คาร์บอนได ออกไซต์ (ร้ อยละ 1) อาจมีการสูญเสียไปในอากาศได้ง่าย การใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต และ คาร์บอนไดออกไซต์สามารถช่วยควบคมุ ค่าความเป็นกรด-ด่างของระบบเพาะเลีย้ งให้ค่อนข้างคงที่ การเพาะเลีย้ งสาหร่ายต้องมีระบบการกวนท่ีดี เพื่อให้สาหร่ายได้รับแสงเพียงพอ (สาหร่ายส่วนใหญ่ มีค่าการสังเคราะห์แสงอิ่มตัวประมาณร้ อยละ 30 ของความเข้มแสงทัง้ หมด) และช่วยระบาย ออกซเิ จนจากกระบวนการหายใจของสาหร่าย ซงึ่ หากมกี ารสะสมในระบบมากเกนิ ไปอาจเป็นพิษต่อ เซลล์สาหร่าย การออกแบบบ่อเพาะเลีย้ งควรมีลกั ษณะโค้งมน เพื่อให้เซลล์ในบ่อมีการไหลเวียนที่ดี นอกจากนถี ้ ้าบ่อเลีย้ งมีมมุ หกั งออาจมเี ซลลต์ ายสะสมท่ีบริเวณดงั กลา่ ว ระบบการเพาะเลยี้ งสาหร่ายมี 2 แบบ คอื ระบบเปิ ด และระบบปิ ด 1. ระบบปิด เชน่ การเพาะเลีย้ งในถงั ปฏิกรณ์แบบท่อ (tubes-bioreactor) เรียงต่อกนั หลาย ๆ ท่อ และให้ความดนั อากาศ (Airlift driven) เพ่อื กวนเซลลใ์ นระบบ ข้อดีของระบบนี ้ คือ เหมาะกบั ประเทศท่ีอณุ หภมู ริ ะหวา่ งกลางวนั และกลางคืนแตกต่างกนั มาก เพราะสามารถควบคมุ อณุ หภมู ใิ ห้ เหมาะสมได้ตลอดเวลา ทาให้สาหร่ายมีอตั ราการเจริญเติบโตที่ดี และมีผลผลิตสงู นอกจากนี ้ การ เพาะเลีย้ งด้วยระบบท่อสามารถทาได้ในกรณีท่ีมพี นื ้ ท่ีจากดั และสามารถปอ้ งกนั การปนเปือ้ นได้ดี แตข่ ้อเสียคือ ต้นทนุ การผลิตสงู แสงอาจถกู จากดั และท่ออาจมอี ณุ หภมู สิ งู เกินไป รวมทงั้ ปริมาณ ออกซิเจนจากกระบวนการสงั เคราะห์แสงของสาหร่ายภายในถงั ปฏกิ รณ์อาจมสี งู ซง่ึ มีผลไปยบั ยงั้ การ เจริญเตบิ โตของสาหร่ายได้ 2. ระบบเปิด เป็นการเพาะเลยี ้ งในบอ่ เปิด ซงึ่ บ่อทาด้วยปนู ซเี มนต์หรือวสั ดทุ ่ที นดา่ งได้ดี มี ความสงู ของการเพะาเลีย้ งประมาณ 15-20 ซม. และมกี ารกวน ข้อดีคือ ต้นทนุ การผลติ ต่า การ เพาะเลีย้ งและการดแู ลทาได้ง่ายกวา่ ระบบปิด ปริมาณออกซเิ จนในระบบสามารถออกสอู่ ากาศได้ ทาให้เซลล์สาหร่ายไม่ถกู ทาลายโดยออกซเิ จน แต่ข้อเสยี คอื ใช้พนื ้ ทใี่ นการเลยี ้ งจานวนมาก ผลผลิต

13 จาตา่ กวา่ ระบบปิด และอาจมกี ารปนเปือ้ นจากสาหร่ายชนดิ อื่น ดงั นนั้ ควรมีการดแู ลระบบการเลยี ้ ง อยา่ งดี ปัจจัยท่มี ผี ลต่อผลผลิต คือ 1. ความเข้มแสง 2. อณุ หภมู ิ 3. ความเข้มข้นเซลล์ การเพาะเลีย้ งถ้าใช้ความเข้มข้นเซลล์น้อย ปริมาณแสงต่อเซลล์ อาจสงู เกินไปทาให้รงควตั ถตุ ัวรับแสงถกู ทาลาย ซงึ่ เซลล์จะมสี ีเขยี วออกเหลอื ง แต่ถ้าให้ความเข้มข้น เซลลม์ ากเกินไป เซลลแ์ ตล่ ะเซลลจ์ ะได้รับแสงไมเ่ ต็มที่ เพราะมีการบงั แสงซง่ึ กนั และกนั ทาให้เซลลม์ ี การเจริญเติบโตต่า การเพาะเลีย้ งทว่ั ไปใช้ความเข้มข้นเซลลป์ ระมาณ 1,000-100,000 เซลล์ตอ่ มิลลลิ ติ รสารอาหาร 4. ความสมดลุ ระหว่างคาร์บอนไดออกไซต์และออกซิเจน 5. สารอาหาร ความเป็นกรด-ด่างและปริมาณเกลอื องค์ประกอบสาคญั สาหร่ายสไปรูลินามีโปรตีนและกรดอะมโิ นประมาณ ร้อยละ 50-70 กรดนิวคลีอกิ ร้อยละ 2-5 ไขมนั ร้อยละ 6-13 มกี รดไขมนั จาเป็น ได้แก่ กรดลิโนลอิ ิก และกรดแกมมา ลโิ นลอิ ิก มสี ารให้สีได้แก่ ไฟโคไซยานิน คลอโรฟิลลแ์ ละแคโรทินอยด์ เป็นต้น ปริมาณองค์ประกอบ ต่างๆ เหลา่ นขี ้ นึ ้ กบั สภาวะแวดล้อมและการดแู ลระบบการเพาะเลีย้ ง ถ้าการดแู ลระบบเพาะเลยี ้ งไมด่ ี ปริมาณสารชีวเคมเี หลา่ นี ้รวมทงั้ ปริมาณโปรตีนอาจลดลง ประโยชน์ ปัจจุบนั มีการนาสาหร่ยสไปรูลินาไปใช้เป็นอาหารเสริมสุขภาพอย่างแพร่หลาย เน่ืองจากมีสารชีวเคมีที่มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น กรมไขมนั ไม่อิ่มตวั ช่วยลดคอเลสเตอรอล เพ่ิม ระบบภูมิค้มุ กัน และมีศกั ยภาพในการต้านเชือ้ ไวรัสเริม ไฟโคไซยานินและแคโรทีนอยด์ช่วยป้องกัน มะเร็งได้ทงั้ นี ้ผลติ ภณั ฑ์อาหารเสริมสาหร่ายสไปรูลนิ าที่มีจาหนา่ ยในท้องตลาดมีหลายยหี่ ้อ ทงั้ แบบ บรรจุแคปซูลและแบบอัดเม็ด แต่ละยี่ห้ออาจมีองค์ประกอบ เช่น ปริมาณโปรตีน กรดไขมันจาเป็น และไฟโคไซยานิน รวมทงั้ ปริมาณจุลินทรีย์ปนเปือ้ น (แบคทีเรีย , รา) และโลหะหนัก ได้แก่ สารหนู แคดเมียม ตะกั่ว และปรอทปนเปือ้ นแตกต่างกนั ขึน้ กับการดแู ลระบบการเพาะเลีย้ ง ตลอดจนการ เก็บและบรรจุผลิตภัณฑ์ ซึ่งต้องมีการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ทุก ขนั้ ตอน ก่อนออกวางจาหน่ายนอกจากนี ้การนาสาหร่ายสไปรูลนิ าไปเป็นอาหารสตั ว์ปีกและสตั ว์นา้ เพอื่ ชว่ ยเพ่ิมอตั ราการรอดชวี ิตของก้งุ วยั อ่อน เพมิ่ สขี องไข่ไก่ ไข่เป็ด และปลาสวยงามได้ด้วย เป็นต้น สาหร่ายสไปรูลินาเป็นสาหร่ายท่ีมกี ารเจริญเตบิ โตได้ดีท่ีความเป็นด่างสงู ดงั นนั้ การ เพาะเลีย้ งสาหร่ายสไปรูลินาจึงต้องมกี ารปรับ pH ของอาหารให้เป็น ด่างด้วย

14 สูตรอาหารเพาะเลยี้ งสาหร่ายสไปรูลินาอย่างง่าย 1. NaHCO3 8.5 กรัมต่อลิตร 2. NaNO3 1.5 กรัมต่อลิตร 3. K2HPO4 0.5 กรัมต่อลติ ร 4. N:P:K สตู ร16:16:16 0.6 กรัมต่อลติ ร ปรับความเป็นด่างด้วย NaOH จนได้ pH 9-10 การเพาะเลยี้ งแหนแดง แหนแดง มชี ่อื สามัญว่า Azolla , Water ferm , Water velvet ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Azolla pinnata R.Br. ช่ือวงศ์ Azollaceae ภาพท่ี 7 แสดงรูปร่างของแหนแดง (Azolla pinnata) ลักษณะ เป็นพชื ลอยนา้ ขนาดเลก็ จาพวกเฟิร์น มกั แตกสาขาแผ่คลมุ ผิวนา้ เป็นวงกว้าง ใบ ขนาดเลก็ 1 – 2 มม. ติดตามลาต้น ลกั ษณะเป็นแผน่ บางสองแผ่น แผ่นบนสเี ขยี ว แผ่นลา่ งเป็นเยื่อ บางสีชมพอู อ่ น ซ้อนทบั กนั เรียงเป็นสองแถว ใบอ่อนมีสีเขียวเมอื่ แกจ่ ะเป็นสนี า้ ตาลแดง อบั สปอร์ ออกตามซอกใบ สีเขียวรูปไข่ขนาดเล็กพชื ลอยนา้ ขนาดพบเจริญเติบโตอยบู่ นผิวนา้ ในทม่ี นี า้ ขงั ใน เขตร้อนและอบอนุ่ ทว่ั ไป แหนแดงจะมีองค์ประกอบท่ีสาคญั ได้แก่โปรตีน ไขมนั และเซลลโู ลส แร่ธาตุ แหนแดง ต้องการธาตอุ าหารหลกั ท่ีสาคญั ได้แก่ ธาตฟุ อสฟอรัส และธาตโุ ปแตสเซียม และจลุ ธาตทุ ี่สาคญั ได้แก่ เหลก็ และ โมลิบดนิ มั ซง่ึ เป็นองค์ประกอบท่ีสาคญั ของเอน็ ไซม์ไนโตรจเิ นส ในการตรึง ไนโตรเจน แหนแดงสามารถมีชวี ิตอย่ไู ด้ตงั้ แต่อณุ หภมู ิ 5 – 45 องศาเซลเซียส แหนแดงทกุ ชนิดจะ เจริญได้ดีที่สดุ ที่อณุ หภมู ิ 20 – 30 องศาเซลเซียส แหนแดงจะเจริญเติบโตได้ดที ี่สุดท่ีมีแสงประมาณ

15 50 – 70 เปอร์เซ็นต์ของแสงสวา่ ง พีเอช ทีเ่ หมาะสมทแี่ หนแดงเจริญเติบโตได้ดที ่ีสดุ คือ 4.0–5.5 ความลกึ ของนา้ ทเ่ี หมาะสมสาหรับการเจริญเติบโตของแหนแดงคือประมาณ 10 เซนติเมตร ประโยชน์ แหนแดงมีคณุ สมบตั ิเป็นทงั้ ป๋ ยุ พชื สด และป๋ ยุ ชีวภาพเน่อื งจากในใบของแหนแดงมสี าหร่าย สเี ขยี วแกมนา้ เงนิ (blue green algae) ชื่อ Anabaena azollae อาศยั อยโู่ ดยดารงชวี ิตอย่รู ่วมกนั กบั แหนแดงแบบพง่ึ พาอาศยั กนั (mutualism , symbiosis) สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้ ความสมั พนั ธ์นี ้ ทาให้แหนแดงกลายเป็นป๋ ยุ พืชสดที่สาคญั และมีศกั ยภาพสงู ท่ีสามารถนามาใช้ใน ระบบเกษตรพอเพยี ง เพ่อื ร่วมกบั การปลกู ข้าวทดแทนการใช้ป๋ ยุ เคมีไนโตรเจน นอกจากนยี ้ งั สามารถ ลดการเจริญเติบโตของวชั พืชในนาข้าวเป็นอยา่ งดี งานวิจยั (ประยรู สวสั ดีและคณะ, 2531) ที่เก่ียวข้องกบั แหนแดงในนาข้าวร่วมกบั การเลีย้ ง ปลา พบวา่ มีประสิทธิภาพในการเพ่มิ ผลผลติ ข้าวใกล้เคียงกบั การเลีย้ งปลาในนาข้าว โดยใช้ป๋ ยุ เคมี ตามปกตแิ ละยงั ให้ผลผลิตสงู กว่าการใช้ป๋ ยุ เคมไี นโตรเจนเพยี งอยา่ งเดียว แหนแดงเป็นพืชนา้ มี กระจดั กระจายอย่ทู ว่ั ประเทศไทย เป็นทรัพยากรท่ีใช้ไม่หมดสิน้ และแหนแดงมีโปรตีนสงู เนา่ สลาย ปลดปลอ่ ยธาตอุ าหารออกมาได้อย่างรวดเร็ว และสามารถขยายพนั ธ์ุได้อยา่ งรวดเร็วอีกด้วย จึง เหมาะในการนาเอาแหนแดงมาทาเป็นป๋ ยุ พชื สดในนาข้าวและเหมาะในการเป็นอาหารปลากนิ พืชที่ เลีย้ งในนาข้าวอีกด้วย การขยายพนั ธ์ุทาได้ 2 วิธี คือ 1. การขยายพนั ธ์ุแบบไม่อาศยั เพศ โดยการแตกหน่อ เม่ือต้นมกี ารเจริญเตบิ โตเตม็ ท่ีแล้ว 2. การขยายพนั ธ์ุแบบอาศยั เพศ โดยการสร้างสปอร์สืบพนั ธ์ุเพศผู้ และเพศเมยี วธิ ีการเลยี้ งเพ่อื ขยายพันธ์ุ 1. เลีย้ งในบ่อดินโคลน กระถาง และซีเมนต์ (คล้ายกบั การเลีย้ งบวั ) 2. เลีย้ งในบอ่ ธรรมชาติ โดยเลยี ้ งในกระชงั 3. เลีย้ งในแปลงโดยตรง การใช้แหนแดงเป็ นอาหารสตั ว์ การเลยี ้ งแหนแดงไม่ย่งุ ยากมากนกั ถ้าทาให้ถกู วิธี โดยเริ่มแรกจะทาการเลีย้ งเพ่ือขยายพนั ธ์ุ กอ่ นในถงั ซีเมนต์ หรือกระถางปลกู บวั ทาการใส่ดนิ ประมาณ1/2 ของกระถาง ใสป่ ๋ ยุ อินทรีย์หรือป๋ ยุ คอกประมาณ 500 กรัมต่อดิน 10 กิโลกรัม แล้วเติมนา้ ให้ทวั่ ผวิ ดินประมาณ 10 เซนติเมตร วางไว้ท่ี ร่มรับแสงประมาณ 50 % อย่าให้อย่กู ลางแดด เม่ือแหนแดงเจริญเติบโตเตม็ ผวิ ของกระถาง สามารถ นาไปขยายต่อในบอ่ ดนิ ทม่ี ีระดบั นา้ 10 – 20 เซนติเมตร เมอื่ ต้องการใช้ป๋ ยุ ในนาข้าว จึงนาไปขยาย

16 ตอ่ ในนาข้าวท่ีเตรียมกอ่ นปักดาข้าว ปลอ่ ยแหนแดงประมาณ 10 % ของพนื ้ ท่ี แหนแดงจะเจริญเตม็ พนื ้ ที่ภายใน 15 – 30 วนั หลงั จากทาการคลาดกลบแล้วทาการปักดาข้าวได้ทนั ที แหนแดงบางสว่ น จะลอยอย่บู นผิวนา้ หลงั จากปักดาข้าวควรจะปลอ่ ยให้เจริญเติบโตตอ่ ไป เพราะแหนแดงที่ เจริญเติบโตในนาข้าวสามารถเป็นอาหารปลาได้ดีมากเนื่องจากมโี ปรตีนสงู จงึ สามารถนาปลากนิ พชื เชน่ ปลานิล ปลาไน ปลาตะเพยี น ปล่อยลงไปได้ จะทาให้เกษตรกรมรี ายได้เพมิ่ จากปลาท่ี ปลอ่ ยไป และมลู ปลาในนาข้าวกเ็ ป็นป๋ ยุ ให้แกข่ ้าวเช่นกนั จึงทาให้เกษตรกรได้ผลผลิตข้าวสงู ขึน้ และ ให้ปลามากกวา่ ทเ่ี ลีย้ งโดยไมม่ ีแหนแดง การใช้แหนแดงในนาข้าว 1. เตรียมขยายพนั ธ์ุแหนแดงในพืน้ ท่ี 20 -25 ตารางเมตร ใช้สาหรับพืน้ ที่เพาะปลกู ข้าว 1 ไร่ 2. รักษาระดบั นา้ ในน่าข้าวให้ลกึ 5 – 10 เซนตเิ มตร 3. ใช้แหนแดงในอตั รา 50 – 100 กโิ ลกรัม/ไร่ ในวนั ท่ีใสแ่ หนแดงควรมีการใสป่ ๋ ยุ มลู สตั ว์ (มลู ไก)่ ทใ่ี ห้ธาตฟุ อสฟอรัสอตั รา 3 กิโลกรัม/ไร่ 4. ใสป่ ๋ ยุ มลู สตั ว์อีกครัง้ เม่ือแหนแดงมอี ายุ 7 – 10 วนั แหนแดงต้องการธาตอุ าหารหลกั เหมอื นพชื สเี ขยี วชนิดอ่ืนๆ ยกเว้นไนโตรเจน รวมทงั้ ต้องการธาตอุ าหารรองในการเจริญเติบโตด้วยใน ดินนาทว่ั ไปฟอสฟอรัสมคี วามจาเป็นต่อแหนแดงมาก ถ้าปริมาณฟอสฟอรัสในดินตา่ เกนิ ไป จะสง่ ผล ให้การเจริญเตบิ โต และปริมาณการตรึงไนโตรเจนลดลง ข้อสังเกต 1. นา้ เป็นปัจจยั ทสี่ าคญั ทส่ี ดุ ในการเลีย้ งแหนแดง ระดบั นา้ ทใี่ ช้ในการเลีย้ งไมค่ วรสงู เกินไป ระดบั ที่เหมาะสมคอื 10- 30 เซนติเมตร และแหนแดงจะตายเม่ือในนาขาดนา้ 2. แหนแดงจะเจริญเติบโตได้ดีนา้ น่ิง หรือมกี ระแสนา้ ไหลเป็นเวลาอยา่ งช้าๆ บริเวณคลนื่ ลม จดั จะทาให้แหนแดงแตกกระจายออกจากกนั ทาให้การเจริญเติบโต และการตรึงไนโตรเจนลดลง อย่างมาก 3. การตรึงไนโตรเจนของ Anabaena azollae สามารถทาได้ดีในสภาพแวดล้อมทม่ี ี ไนโตรเจนตา่ 4. การตรึงไนโตรเจนของ Anabaena azollae จะมีคา่ สงู สดุ ที่อณุ หภมู ิ 30 องศาเซลเซียส และจะหยดุ กระบวนการตรึงไนโตรเจนในสภาพแวดล้อมทีม่ อี ณุ หภมู สิ งู กวา่ 45 องศาเซลเซียส แบบฝึ กหดั ท้ายบท 1.จงอธิบายวธิ ีในการเพาะเลีย้ งคลอเรลลา

17 บทท่ี 4 การเพาะเลยี้ งแพลงก์ตอนสัตว์ เทคนิคการเพาะเลยี้ งและการใช้ไรแดง ภาพที่ 8 แสดงการเพาะเลีย้ งไรแดงในบ่อปนู ไรแดงเป็นอาหารธรรมชาตทิ ่ีมีประโยชน์อย่างยิง่ ในการอนุบาลลกู ปลาวยั ออ่ น และในธรุ กิจ การเลีย้ งปลาสวยงาม เพราะมคี ณุ ค่าทางโภชนาการสงู ทาให้ลกู ปลาเจริญเตบิ โตรวดเร็วมาก และ มีอตั ราการรอดสงู มีความสาคญั สาหรับผ้เู พาะเลีย้ งปลากดั ปลาปอมปาดวั ร์ ปลาเทวดา และ ปลาออสการ์ อย่างมาก ในอดีตสามารถรวบรวมไรแดงได้จากแหล่งนา้ ทิง้ ใกล้อาคารบ้านเรือน โรงฆ่าสตั ว์ และตามคนู า้ รอบๆกรุงเทพฯ ซ่ึงพบว่ามีปัญหาที่สาคญั คือมีปริมาณไม่แน่นอน และ มกั มีโรคพยาธิโดยเฉพาะพวกหนอนสมอ และเห็บปลาติดมาด้วย มีผลทาให้เกิดการระบาดของ โรคพยาธิในบ่ออนบุ าลได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนนั้ ปริมาณไรแดงยังมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากนา้ เน่าเสียมากเกินไปจนไรแดงไม่สามารถอยู่ได้ ในขณะท่ีความต้องการไรแดงมีมากขึน้ เรื่อยๆ หน่วยงานของกรมประมงจึงได้ทาการศกึ ษาวิจยั หาแนวทางการเพาะเลยี ้ งไรแดง จนปัจจบุ นั ประสบ ผลสาเร็จสามารถแนะนาให้เกษตรกรนาไปดาเนินการได้เป็นอาชีพอย่างหน่ึงท่ีทารายได้ค่อนข้างดี มาก การจดั ลาดบั ทางอนุกรมวิธาน ไรแดงจดั เป็นสตั ว์ไม่มีกระดกู สนั หลงั จาพวกก้งุ หรือที่ เรียกรวมว่า Crustacean มีชื่อสามญั วา่ Water flea เป็นแพลงตอนสตั ว์ ชอบอย่รู วมกนั เป็น กลมุ่ ตวั ออ่ นทฟี่ ักจากไข่มขี นาด 0.22 - 0.35 มิลลิเมตร เมอื่ โตเตม็ วยั จะมขี นาดประมาณ 0.8 - 1.5 มลิ ลเิ มตร ลาตวั มสี ีแดงเร่ือๆเนื่องจากมีสารพวกฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) กระจายอยู่ ทว่ั ร่างกาย โดยสารฮโี มโกลบนิ จะมีมากเมื่อนา้ มอี อกซเิ จนอย่นู ้อย และจะมีน้อยเม่ือนา้ มอี อกซเิ จน มาก ดงั นนั้ ไรแดงทชี่ ้อนมาจากแหลง่ นา้ เสียจะมีสีแดงเข้มชดั เจน แต่ถ้านามาเลีย้ งในนา้ สะอาดจะ มสี นี า้ ตาลออ่ น ไรแดงท่ีพบตามธรรมชาติโดยทว่ั ไปของประเทศ และที่นิยมนามาเพาะเลีย้ งมชี ่อื วิทยาศาสตร์วา่ Moina macrocopa ซงึ่ จดั ลาดบั ชนั้ ได้ดงั นี ้

18 Phylum : Arthropoda Subphylum : Mandibulata Class : Crustacea Subclass : Brachiopoda Order : Cladocera Suborder : Calyptomera Family : Daphnidae Genus : Moina ลกั ษณะภายนอก ลกั ษณะทว่ั ไป ลาตวั คอ่ นข้างกลมและจะแบนทางด้านข้าง มีเปลือกปกคลมุ ตวั สว่ นหวั ค่อนข้างกลม มีตาแบบตารวม (Compound Eye) สีดาเด่นชดั ซงึ่ สามารถขยบั ไป มาได้ ระยางค์ทีพ่ บที่สว่ นหวั คือ Antennule หรือหนวดคู่แรก อยู่เหนือช่องปาก มีลกั ษณะเป็นแท่งสนั้ ๆข้อเดียว ปลาย สดุ มี Sensory bristle เป็นขนเลก็ ๆทาหน้าทร่ี ับความรู้สกึ เพศผ้จู ะมหี นวดค่แู รกนใี ้ หญ่กวา่ เพศเมีย Antenna หรือหนวดคู่ท่ี 2 มีขนาดใหญ่ทาหน้าที่ในการว่ายนา้ ปลายจะแตกเป็น 2 แขนง (Biramous) และจะมี Plumose bristle ซงึ่ เป็นขนค่อนข้างยาวแตกแขนงออกไป Mandible อย่เู หนือปาก Maxilla อยใู่ ต้ Mandible ส่วนอก จะมีเปลือก (Carapace) คลุมไว้ เปลือกมีลกั ษณะเป็นแผ่นบางใส 2 แผ่นยึด ติดกันทางด้านหลงั ส่วนทางด้านท้องจะเปิดให้ระยางค์อกย่ืนออกมาได้ ท่ีส่วนอกนีม้ ี 6 ปล้อง แต่มีระยางค์ 5 คู่ โดยคู่ท่ี 3 และ 4 จะมีขนาดใหญ่และทางด้านข้างมีขนเรียงเป็นแถว ช่วย กรองอาหาร จดั เป็น Filter setae สว่ นท้อง อย่คู ่อนไปทางท้าย มลี กั ษณะเป็นแผ่นงอขนึ ้ ข้างบน ปลายสดุ แยกเป็น 2 แฉก เรียก Caudal rami ส่วนท้ายสุดของด้านท้ องจะมีหนามเล็กๆ เรียก Postabdominal spine หลายอนั แล้วแต่ชนิดของไร ใต้ลงมาจะมี Tactile setae จานวน 2 เส้นทาหน้าทรี่ ับสมั ผสั โดยทั่วไปเมื่อสภาพแวดล้อมปกติ คือมีอาหารสาหรับไรนา้ อยู่มาก และมีอุณหภูมิ ค่อนข้างสงู จะพบไรแดงเพศเมียมากกว่าเพศผู้ คือมกั มีไรแดงเพศเมียอย่ถู ึง 95 % ส่วนเพศผู้มี อยเู่ พียง 5 % การแพร่พนั ธ์ุของไรแดง ไรแดงมีการแพร่พนั ธ์ุได้ 2 แบบ คือ 1. การแพร่พนั ธ์ุแบบไม่อาศยั เพศ จะเกิดในภาวะปกติทีม่ อี าหารสมบรู ณ์ และอณุ หภมู ิ ค่อนข้างสงู (ในฤดรู ้อน) โดยไรแดงเพศเมียจะสร้างไข่ขนึ ้ ในช่องเก็บไข่ (Brood chamber) ทาง

19 ด้านหลงั ของลาตวั ไข่จะสามารถพฒั นาไปเป็นตวั อ่อนโดยไม่จาเป็นต้องได้รับการผสมกบั เชอื ้ ของ เพศผู้ เรียก Parthenogenesis ตวั ออ่ นจะฟักตวั ออกมาเป็นเพศเมีย ว่ายนา้ ออกจากตวั แม่ ปกติไรแดงจะมีอายไุ ด้ 4 - 6 วนั จะสามารถแพร่พนั ธ์ุได้ 1 - 4 ครัง้ ให้ลกู ครัง้ ละ 8 - 14 ตวั ตวั อ่อนทเี่ กิดใหม่จะเจริญเป็นตวั เตม็ วยั ภายใน 24 ชว่ั โมง 2. การแพร่พนั ธ์ุแบบอาศยั เพศ ในสภาพปกตจิ ะเกิดน้อย ได้ตวั ออ่ นทงั้ เพศผ้แู ละเพศเมีย แตเ่ ม่ือสภาพแวดล้อมเปลย่ี นไป เช่น อาหารลดลง อณุ หภมู ติ ่าลง หรือความเป็นกรดเป็นด่าง เปลยี่ นไป ไรเพศเมียจะมกี ารสร้างไขท่ มี่ ีผนงั หนาเพียง 1 - 2 ใบแล้วเกิดการผสมกบั เชือ้ จากตวั ผู้ ไข่ จะยงั ไม่ฟักตวั จะหลดุ จากตวั แมเ่ ป็น Ephippium egg หรือ Winter egg ตกลงไปอยู่ตามพนื ้ ก้น บ่อ สว่ นตวั แม่จะตายไป เมือ่ สภาพแวดล้อมมคี วามเหมาะสมไขก่ จ็ ะฟักตวั ออกมา วิธีการเพาะเลยี้ งไรแดง 1. การเพาะเลยี้ งไรแดงในบ่อซีเมนต์ โดยใช้อาหารผสม มีขนั้ ตอนดังนี้ ขัน้ ท่ี 1 การเตรียมบ่อผลิต ใช้ได้ตงั้ แต่ขนาด 1 - 50 ตารางเมตร (อาจใช้หน่วยเป็นตนั : นา้ ปริมาตร 1 ลูกบาศก์เมตร = 1 ตัน) ถ้าเป็นบ่อซีเมนต์สร้ างใหม่จะมีความเป็นด่างสูงมาก เกินไป ต้องแช่นา้ ทิง้ ไว้ 2 - 3 สปั ดาห์โดยล้างทิง้ และเปลี่ยนนา้ ใหม่ทุกสปั ดาห์ แต่ถ้าต้องการเร็ว ให้หมกั ด้วยเปลือกมะละกอ หรือเปลอื กสบั ปะรด ทิง้ ไว้ 7 - 10 วนั โดยล้างทิง้ ทกุ 3 วนั ส่วนบ่อ เก่าทเี่ คยใช้แล้วควรล้างทาความสะอาดแล้วตาก 1 - 2 วนั ขัน้ ท่ี 2 การเตรียมนา้ ควรใช้นา้ ธรรมชาติ คือ นา้ จากบ่อดิน หรือหนองนา้ สบู ใส่บ่อ โดยปล่อยผ่านผ้ากรอง เพ่ือป้องกันไรชนิดอ่ืนหรือศัตรูของไรแดง จนได้ระดับประมาณ 30 เซนติเมตร ( 1 ฟุต ) ถ้าต่าไปนา้ จะร้อนมาก ถ้าสงู มากไปไรแดงจะเสียกาลงั งานในการเคลื่อนที่ จากนัน้ ปรับความเป็นกรดเป็ นด่างของนา้ โดยใช้ ปูนขาวปริมาณ 1 กิโลกรัม ต่อนา้ 5 ตัน ตวั อยา่ งเช่น บ่อขนาด 20 ตารางเมตร ระดบั นา้ 30 เซนติเมตร จะมปี ริมาตรนา้ = 20 X 0.30 ลกู บาศก์เมตร (ตนั ) = 6 ตนั  ต้องใสป่ นู ขาว = 1 X 6/5 = 1.2 กิโลกรัม ใช้ปนู ขาวจานวนทตี่ ้องการแช่นา้ ทงิ ้ ไว้ 1 คนื แล้วกวนเอาเฉพาะนา้ ไปสาดลงบ่อ จากนนั้ ทาให้นา้ เขียวโดยเติมป๋ ยุ สตู ร 15-15-15 ประมาณ 5 กรัม ต่อ 1 ตารางเมตร และป๋ ยุ ยูเรีย (สตู ร 45-0-0) ประมาณ 3 กรัม ต่อ 1 ตารางเมตร ขัน้ ท่ี 3 การเตรียมอาหาร ใช้อาหารผสม ได้แก่ ราละเอียด 2 ส่วน ปลาป่ น 1 ส่วน และกากถวั่ เหลอื ง 1 สว่ น ในปริมาณ 80 กรัม ต่อตารางเมตร เชน่ บอ่ ขนาด 20 ตารางเมตร จะต้องเตรียมอาหารโดยคานวณดงั นี ้ บ่อขนาด 1 ตารางเมตร จะใช้อาหาร 80 กรัม

20 บ่อขนาด 20 ตารางเมตร จะใช้อาหาร = 80 X 20 กรัม = 1,600 กรัม ( 1.6 กิโลกรัม ) จากสตู รอาหารที่กาหนด ราละเอียด 2 สว่ น +ปลาป่น 1 สว่ น + กากถวั่ เหลือง 1 ส่วน รวม =4 สว่ น นนั่ คือ อาหารผสม 4 กรัม ใช้ลาละเอียด = 2 กรัม อาหารผสม 1,600 กรัม ใช้ราละเอียด = 2 X 1,600/4 = 800 กรัม อาหารผสม 4 กรัม ใช้ปลาป่ น = 1 กรัม อาหารผสม 1,600 กรัม ใช้ปลาป่ น = 1 X 1,600/4 = 400 กรัม อาหารผสม 4 กรัม ใช้กากถวั่ เหลอื ง = 1 กรัม อาหารผสม 1,600 กรัม ใช้กากถวั่ เหลอื ง = 1 X 1,600/4 = 400 กรัม สรุป ในบอ่ ท่จี ะเพาะไรแดงซงึ่ มีขนาด 20 ตารางเมตร จะต้องใช้อาหารผสมโดยใช้ รา 800 กรัม ผสมปลาป่ น 400 กรัม และกากถวั่ เหลือง 400 กรัม หมักอาหารผสมดังกล่าวในถุงพลาสติก โดยใส่นา้ เป็น 2 เท่าของอาหาร เช่น อาหาร ผสมทจ่ี ะใช้มีนา้ หนกั 1,600 กรัม ฉะนนั้ ต้องใช้นา้ เท่ากบั 3,200 กรัม หรือเท่ากบั 3.2 ลิตร (นา้ 1 ลิตรหนกั เท่ากบั 1,000 กรัม) หมกั ไว้นาน 2 - 3 วนั (อย่างน้อยท่ีสดุ 1 วนั ) หมั่นเขย่าถุงทุก วนั จากนนั้ กรองนา้ ท่ีหมักอาหารผสมผ่านผ้าไนล่อนเอาส่วนกากออก แล้วนานา้ ไปสาดลงบ่อท่ี เตรียมไว้ ขัน้ ท่ี 4 การเติมพันธ์ุไรแดง หาไรแดงมาเติมลงบ่อผลิต โดยใช้ไรแดงนา้ หนักสด (ช้อนไร แดงผ่านกระชอนนา้ พอหมาดๆ) ปริมาณ 10 - 60 กรัม ต่อตารางเมตร เช่น บ่อขนาด 20 ตาราง เมตร จะใช้ไรแดงประมาณ 200 - 1,200 กรัม (2 ขีด - 1.2 กิโลกรัม) เม่ือเก็บเก่ียวจะได้ผลผลิต ประมาณ 10 เท่า (2 - 12 กโิ ลกรัม) ขัน้ ท่ี 5 การควบคุมบ่อผลิต คือการควบคมุ ให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ต่อเนื่องทุกวัน เป็นเวลา 10 - 15 วนั โดย การเก็บเกี่ยวผลผลิตให้เก็บเก่ียววันละประมาณ 1/2 ของผลผลิตท่ีมี โดยครัง้ แรกจะเก็บ เก่ียวประมาณวนั ที่ 3 หรือ 5 หลงั จากเติมพนั ธ์ุไรแดง การเติมอาหาร หลงั จากเติมนา้ หมกั จากอาหารผสมแล้ว จะต้องเตรียมอาหารหมกั ไว้อีก ประมาณ 10%ของครัง้ แรก เช่นจากบ่อขนาด 20 ตารางเมตร ครัง้ แรกใช้อาหารผสม 1,600 กรัม ดังนัน้ อาหารผสมที่จะต้องหมักไว้ใช้ในวนั ต่อๆไป จะใช้วันละ 160 กรัมหมักเตรียมไว้วันละถุง เมื่อนาไปเติมแล้วก็หมกั ใหม่เช่นนีไ้ ปทกุ วนั การถ่ายนา้ เม่ือทาการเก็บเก่ียวไรไปแล้ว 4 - 5 วัน ควรถ่ายนา้ ออกระดับ 5 - 10 เซนตเิ มตร แล้วเตมิ นา้ ใหม่

21 การเพาะเลยี้ งไรแดงในบ่อซเี มนต์โดยใช้นา้ เขียว ควรเตรียมวสั ดแุ ละอปุ กรณ์ต่อไปนี ้ 1. บ่อผลิต ถ้ าจะสร้ างบ่อใหม่ควรเป็ นบ่อกลมหรือรูปไข่ เพื่อความสะดวกในการ หมนุ เวียนนา้ แตถ่ ้ามบี อ่ เหล่ยี มอยแู่ ล้วกใ็ ช้ได้ และควรมคี วามสงู ของบ่อประมาณ 60 เซนติเมตร 2. แอร์ป๊ัม สาหรับช่วยให้เกิดการหมุนเวียนนา้ ป้องกันการตกตะกอนของนา้ เขียวและ ช่วยเร่งการขยายพนั ธ์ุ กาลงั ของเครื่องควรให้เหมาะสมกบั ขนาดบ่อ เพื่อให้มีกาลงั ลมพอเพียงที่ จะทาให้นา้ หมนุ เวียนได้ทว่ั บอ่ 3. ผ้ากรอง นา้ ท่ีจะปล่อยลงบ่อผลิตไรจะต้องมีการกรองโดยผ้ากรองทุกครัง้ รวมทัง้ นา้ เขยี วเพอื่ ปอ้ งกนั ไรนา้ ชนดิ อนื่ ๆและศตั รูของไรแดง 4. นา้ เขียว เป็นแพลงตอนพืชท่ีจดั ว่าเป็นสาหร่ายเซลล์เดียว ขนาดเล็กจนมองไม่เห็นด้วย ตาเปล่า แตแ่ พร่พนั ธ์ุขยายจานวนได้รวดเร็วมากเมื่อมีอาหารเหมาะสม เพิ่มจานวนมากมายจนทา ให้นา้ กลายเป็นสเี ขียว ชนิดของสาหร่ายเซลล์เดียวท่ีพบนมี ้ ชี ่อื ทางวทิ ยาศาสตร์ว่า Chlorella sp. 5. ไรแดง สาหรับเป็นเชือ้ ให้แพร่พนั ธ์ุในบ่อผลิต 6. กากผงชรู ส (ซงึ่ เรียก อามิ - อามิ ) เป็นกากจากการผลติ ผงชรู ส ซงึ่ มแี ร่ธาตไุ นโตรเจน 4.2 % และฟอสฟอรัส 0.2 % เวลาใช้จะใช้ทงั้ นา้ และตะกอนร่อนรวมกนั 7. อาหารสมทบ ได้แก่รา ปลาป่น และกากถว่ั เหลอื ง 8. ป๋ ยุ วทิ ยาศาสตร์ ได้แก่ - ป๋ ยุ นา สตู ร 16-20-0 - ป๋ ยุ ซุปเปอร์ฟอสเฟต สตู ร 0-46-0 - ป๋ ยุ ยเู รีย สตู ร 46-0-0 การใช้ป๋ ยุ วทิ ยาศาสตร์แต่ละครัง้ จะต้องละลายนา้ ก่อน 9. ปูนขาว ใช้เพ่ือปรับความเป็นกรดเป็นด่างของนา้ การใช้ควรแช่นา้ ทิง้ ไว้ 1 คืนแล้ว กวนเอาเฉพาะนา้ สาดลงบ่อผลิต การเพาะไรแดงโดยใช้นา้ เขียว ยงั แบ่งออกเป็ น 3 แบบ คอื 1.การเพาะแบบไม่ต่อเน่ือง เป็นการเพาะไรแดงแบบเก็บเก่ียวครัง้ เดียว ควรมีบ่ออย่าง น้อย 4 บ่อ เพ่ือหมนุ เวียนให้ได้ผลผลิตทุกวัน การเพาะแบบนีใ้ ห้ปริมาณไรแดงจานวนมากและ แนน่ อน มีสตู รอาหารทใ่ี ช้ได้ผลหลายสตู ร ดงั ตวั อยา่ งทีจ่ ะใช้ในบอ่ ขนาด 50 ตารางเมตร สตู รที่ 1 อามิ - อามิ 5 ลิตร ป๋ ยุ นา(16-20-0) 2.0 กิโลกรัม รา 5.0 กิโลกรัม และปูน ขาว 3.0 กโิ ลกรัม สตู รนจี ้ ะให้ผลผลิตไรแดง 11.0 - 13.0 กิโลกรัมตอ่ บ่อ สูตรที่ 2 อามิ - อามิ 20 ลิตร ป๋ ุยนา(16-20-0) 1.5 กิโลกรัม ยูเรีย (46-0-0) 1.5 กิโลกรัม ซุปเปอร์ฟอสเฟต(0-46-0) 130 กรัม และปูนขาว 3.0 กิโลกรัม สูตรนีจ้ ะให้ผลผลิตไร แดง 12.0 - 13.0 กิโลกรัมต่อบ่อ

22 สตู รที่ 3 ยเู รีย (46-0-0) 3.0 กิโลกรัม ป๋ ยุ นา(16-20-0) 1.5 กิโลกรัม รา 5.0 กิโลกรัม และปนู ขาว 3.0 กิโลกรัม สตู รนจี ้ ะให้ผลผลติ ไรแดง 10.0 - 12.0 กโิ ลกรัมตอ่ บ่อ วิธีดาเนินการคือ เตรียมบ่อแล้วเติมนา้ ให้ได้ระดบั 20 เซนติเมตร เติมป๋ ยุ สตู รใดสตู รหนึ่ง แล้วเติมนา้ เขียวลงไปประมาณ 1 - 2 ตนั เปิดเคร่ืองแอร์ปั๊มให้นา้ เกิดการหมนุ เวียน ปล่อยไว้ 3 วนั นา้ เขียวจะเจริญเต็มท่ี จากนนั้ เติมเชือ้ ไรแดงประมาณ 1.5 - 2.0 กิโลกรัม ปล่อยทิง้ ไว้อีก 3 วนั ไรแดงจะแพร่พนั ธ์ุจนสามารถเก็บเก่ียวได้ 2.การเพาะแบบต่อเน่ือง เป็นการเพาะไรแดงแบบเก็บเกี่ยวผลผลติ หลายวนั ภายในบ่อ เดยี วกนั ควรมีบ่ออย่างน้อย 4 บ่อเช่นกนั การเพาะแบบนีต้ ้องระวงั เรื่องคณุ ภาพนา้ อาจมีการ ถ่ายนา้ และเพ่ิมนา้ ใหมล่ งบ่อผลิต วิธีดาเนินการเช่นเดียวกบั แบบไม่ตอ่ เนื่อง แต่การเกบ็ เกี่ยวจะ เก็บเก่ียวไรแดงท่ีเกิดขนึ ้ เพียงคร่ึงเดียว จากนนั้ ลดระดบั นา้ ลงประมาณ 10 เซนติเมตร แล้วเติม นา้ ใหม่และนา้ เขียวอยา่ งละ 5 เซนติเมตร ทาเชน่ นีท้ ุกวนั จนกวา่ สภาวะแวดล้อมในบอ่ ผลิตจะไม่ เหมาะสม จึงล้างบ่อแล้วเริ่มใหม่ วธิ ีนจี ้ ะได้ผลผลิตประมาณ 25 กิโลกรัมต่อบอ่ ในระยะเวลา 12 วนั 3.การเพาะแบบเพ่ิมระดับนา้ เป็นการเพาะไรแดงโดยแบ่งการใส่ป๋ ุยออกเป็น 2 ช่วง แต่ละช่วงห่างกนั 3 วนั และใช้ระดบั นา้ สงู เป็น 60 เซนติเมตร ในบ่อผลิตขนาด 50 ตารางเมตร จะใช้ป๋ ยุ ในช่วงที่ 1 และช่วงท่ี 2 ดงั ตารางตอ่ ไปนี ้ ตารางแสดงชนดิ ป๋ ยุ และปริมาณทต่ี ้องใช้ในการเพาะไรแดงแบบเพ่มิ ระดบั นา้ ชนิดป๋ ยุ ชว่ งท่ี 1 ชว่ งที่ 2 อามิ - อามิ 20.0 ลิตร 10.0 ลิตร ป๋ ยุ นา (16-20-0) 1.5 กก. 0.75 กก. ยเู รีย (46-0-0) 3.0 กก. 1.5 กก. ซุปเปอร์ฟอสเฟต (0-46-0) 260.0 กรัม 130.0 กรัม ปนู ขาว 3.0 กก. กากถวั่ เหลอื ง 1.0 กก. 1.5 กก. รา 1.0 กก. 0.5 กก. ท่มี า : กรมประมง (2535) 0.5 กก. วิธีดาเนินการคือเตรียมบ่อแล้วเติมนา้ ระดับ 60 เซนติเมตร แล้วเติมนา้ เขียว 1 - 2 ตัน เปิดเคร่ืองแอร์ป๊ัมให้นา้ หมนุ เวียน เติมป๋ ยุ ชนิดต่างๆในปริมาณทป่ี รากฏในชว่ งที่ 1 ทงิ ้ ไว้ 3 วนั แล้ว เติมป๋ ุยชนิดต่างๆในปริมาณที่ปรากฏในช่วงที่ 2 ทิง้ ไว้อีก 2 วันแล้วเติมเชือ้ ไรแดง 3-5 กิโลกรัม ปลอ่ ยไว้ 3 วนั ไรแดงจะขยายพนั ธ์ุจนเกบ็ เกี่ยวได้ ให้ผลผลติ ประมาณ 28 - 34 กิโลกรัมตอ่ บ่อ

23 การเพาะเลยี้ งไรแดงในบ่อดนิ บ่อดนิ ทจ่ี ะใช้เพาะเลีย้ งไรแดงควรมขี นาดประมาณ 200 - 800 ตารางเมตร มขี นั้ ตอนคอื 1. ทาความสะอาดบ่อแล้วตากบ่อไว้ประมาณ 1 สปั ดาห์ 2. เติมนา้ โดยปลอ่ ยผ่านผ้ากรองให้ได้ระดบั ประมาณ 25 - 40 เซนติเมตร 3. เติมนา้ เขยี วประมาณ 2 ตนั แล้วเติมอาหารตามตารางตอ่ ไปนี ้ ตารางแสดงชนดิ ป๋ ยุ และปริมาณทีจ่ ะใช้เพาะไรแดงในบ่อดนิ ขนาดตา่ งๆ วสั ดุ บอ่ 200 ตรม. บ่อ 400 ตรม. บอ่ 600 ตรม. บ่อ 800 ตรม. 60.0 กก. ปนู ขาว 15.0 กก. 30.0 กก. 45.0 กก. 100.0 ลิตร (80.0 กก.) อามิ - อามิ (ถ้า 25.0 ลิตร (20.0 50.0 ลิตร 75.0 ลิตร (60.0 10.0 กก. 5.0 กก. ไมม่ ีใช้มลู ไกแ่ ทน) กก.) (40.0 กก.) กก.) ป๋ ยุ นา (16-20-0) 2.5 กก. 5.0 กก. 7.5 กก. ยเู รีย (46-0-0) 1.2 กก. 2.5 กก. 3.5 กก. ถ้าไม่มีอามิ - อามิให้ใช้มลู ไก่แทนตามตวั เลขในวงเล็บ แล้วใสน่ า้ เขียวประมาณ 2 ตนั ถ้าไมม่ นี า้ เขียว หมกั นา้ ทงิ ้ ไว้ 3 วนั ดดั แปลงจาก : กรมประมง (2535) 4. เตมิ เชือ้ ไรแดงประมาณ 2 กิโลกรัม แล้วปล่อยทงิ ้ ไว้ 3 วนั 5. เริ่มเกบ็ เก่ียวไรแดงได้ตงั้ แตว่ นั ท่ี 4 หลงั จากเติมเชอื ้ ไรแดง จะเกบ็ เกี่ยวได้ 3 - 4 วนั ไร แดงจะเร่ิมลดจานวนลง ควรเตมิ อาหารลงไปโดยเติมเพยี งครึ่งหนง่ึ ของครัง้ แรก ไรแดงกจ็ ะเพมิ่ จานวนขนึ ้ อีกภายใน 2 - 3 วนั ทาเช่นนไี ้ ปได้อกี 1 - 2 ครัง้ ก็ควรจะล้างบ่อแล้วเริ่มต้นใหม่ การนาไรแดงมาใช้ ไรแดงท่ีได้จากการเพาะเลีย้ งจะมโี รคและพยาธิทีจ่ ะเป็นอนั ตรายต่อ ปลาค่อนข้างน้อยกวา่ ไรแดงทชี่ ้อนจากแหลง่ นา้ เสีย แต่ถ้าต้องการความปลอดภยั ควรล้างไรแดง ด้วยสารละลายดา่ งทบั ทิม อตั รา 0.1 กรัมตอ่ นา้ 20 ลติ ร ซง่ึ จะได้สารละลายสีชมพอู ่อน แช่ไร แดงไว้ประมาณ 5 - 10 นาทโี ดยให้อากาศด้วย จากนนั้ จึงช้อนไปเลีย้ งลกู ปลา การใช้ไรแดงยงั นยิ มให้ไรแดงในสภาพสดมากกวา่ การลาเลียงไรแดง มี 2 ลกั ษณะ คอื 1.การลาเลยี งไรแดงเพื่อนาไปเป็นแม่พนั ธ์ุสาหรับการผลิต จะต้องทะนุถนอมเพื่อให้ไรแดง มคี วามแขง็ แรงและบอบชา้ น้อย จะได้มจี านวนรอดมากทาให้ผลผลิตสงู ปกตไิ รแดงทรี่ อดชีวิตจะ

24 ให้ผลผลติ เป็น 10 เท่า ซงึ่ วิธีการลาเลียงที่ดีควรใช้ถงุ พลาสตกิ อดั ก๊าซออกซเิ จน และใช้ต้แู ชอ่ ณุ หภมู ิ ตา่ ประมาณ 10 - 20 องศาเซลเซียส อาจใช้ถงั โฟมใสน่ า้ แข็งแทนได้ เมือ่ ถึงทหี่ มายจงึ นา ถงุ พลาสตกิ ออกแชใ่ นนา้ ปกติ เพอ่ื คอ่ ยๆทาให้อณุ หภมู ินา้ ในถงุ สงู ขึน้ เท่ากบั บอ่ ผลิต แล้วจึงปลอ่ ย ไรลงบอ่ 2. การลาเลียงไรแดงเพอ่ื นาไปเป็นอาหารสตั ว์นา้ ต้องการเพียงไรแดงสดจงึ ใช้ได้ทงั้ วธิ ีใส่ ถงุ พลาสตกิ อดั ออกซเิ จน และวธิ ีแช่แข็ง โดยเฉพาะวิธีแชแ่ ข็งนยิ มใช้สง่ ไรแดงไปต่างประเทศ เม่ือ ต้องการใช้จะนาก้อนไรแดงแช่แข็งใสล่ งในต้ปู ลา ไรแดงจะคอ่ ยๆละลายหลดุ ออกมาและปลาจะมา ตอดกนิ การเก็บรักษาไรแดง ไรแดงที่ผลิตได้คราวละมากๆอนอกจากจะใช้ในสภาพสดแล้ว ก็ยงั สามารถเก็บรักษาไว้นานๆได้ เมื่อใดท่ีต้องการใช้ก็นาออกมาใช้ได้ทนั ที วิธีที่นิยมใช้เก็บรักษาไร แดง คือ 1. ใช้วิธีการแช่แข็ง วิธีนีส้ ามารถเก็บไว้ได้นานและไรยงั สดอยู่ นิยมทาโดยช้อนไรให้แห้ง พอหมาดๆ จากนัน้ แบ่งใส่ถุงพลาสติกหรือกล่องพลาสติก แล้วนาไปแช่แข็ง เมื่อต้องการใช้ก็ นาไปใสล่ งในนา้ ได้ทนั ที ไรแดงจะค่อยๆละลายลงไปโดยปลาจะมาคอยกนิ 2. ใช้วิธีการเก็บในอณุ หภมู ิต่าประมาณ 10 องศาเซลเซียส โดยเติมนา้ ให้ไรประมาณ 50 % แล้วใส่ถุงพลาสติกอัดออกซิเจน จะทาให้สามารถเก็บไรได้มากขึน้ โดยไรจะมีชีวิตอยู่ได้นาน ประมาณ 4 วนั เทคนิคการเพาะเลยี้ งและการใช้หนอนแดง หนอนแดงเป็นอาหารธรรมชาติ ท่ีมปี ระโยชน์ต่อการเลีย้ งปลาสวยงามอย่างมาก เพราะมี คุณค่าทางโภชนาการสูง เหมาะสาหรับเลีย้ งพ่อแม่พันธ์ุเพื่อให้มีการพัฒนาของเซลล์สืบพันธ์ุท่ีดี และเป็นอาหารที่ปลาสวยงามส่วนใหญ่ชอบกินเป็ นอาหารท่ีนิยมใช้ ทัง้ ภายในประเทศและ ต่างประเทศ เพราะทาให้ปลาเจริญเติบโตเร็ว มีสีสนั สดใส ไม่ทาให้นา้ เน่าเสียหรือมีตะกอนมาก เหมือนกบั อาหารธรรมชาติบางชนิด แต่เน่ืองจากหายากและมีราคาค่อนข้างแพง จึงนิยมใช้เลีย้ ง เฉพาะปลาที่มรี าคาแพงหรือกินอาหารสาเร็จรูปยาก เช่น ปลาปอมปาดวั ร์และปลาเทวดา ในอดีต จะรวบรวมหนอนแดงได้จากพืน้ ก้นแหล่งนา้ โดยเฉพาะแหล่งนา้ เสียแต่ปัจจุบันหาได้ยากขึน้ ในขณะท่ีความต้องการหนอนแดงกลับมีมากขึน้ เร่ือยๆ จึงทาให้มีการเพาะเลีย้ งหนอนแดงเป็น การค้าขนึ ้ มาเช่นกนั การจดั ลาดบั ทางอนุกรมวิธาน หนอนแดงจดั เป็นสตั ว์ไม่มกี ระดกู สนั หลงั ประเภทสตั ว์ หน้าดนิ (Benthos) จะอาศยั อย่ตู ามพนื ้ ก้นบ่อหรือแหลง่ นา้ ทว่ั ๆไป หนอนแดงเป็นตวั อ่อนของแมลง ทม่ี ีลกั ษณะคล้ายยงุ เรียกวา่ “ริน้ ” มที งั้ ชนดิ ที่เป็นนา้ จืด นา้ กร่อย และนา้ เค็ม ชนดิ ที่พบมาก

25 ในนา้ จืดมชี ่ือวิทยาศาสตร์วา่ Chironomous spp. มีลกั ษณะคล้ายยงุ แต่มขี ายาวกวา่ ไมท่ า อนั ตรายหรือดดู เลือดมนุษย์ ริน้ เพศเมยี ไมต่ ้องการเลอื ดเป็นอาหารเหมือนยงุ เพศเมีย สว่ นริน้ เพศ ผ้มู หี วั เลก็ และมีหนวดเป็นพู่ (Plumose) ริน้ พวกนมี ้ กั ชอบเกาะอย่ตู ามที่มืดชายนา้ แล้วเพศเมยี จะ วางไขต่ ามผิวนา้ ลกั ษณะไข่จะมีว้นุ ห้มุ ต่อกนั เป็นสาย เกาะติดอย่ตู ามลาต้นหรือใบของพนั ธ์ุไม้นา้ ตามผิวนา้ โดยจะวางไขค่ ราวละ 400 - 500 ฟอง ใช้เวลาฟักตวั ประมาณ 50 ชวั่ โมง ตวั อ่อนท่ี ออกจากไขม่ คี วามยาวประมาณ 1.0 มิลลิเมตร และเมื่อโตเต็มวยั จะมขี นาดประมาณ 1.0 - 1.2 เซนตเิ มตร หนอนแดงท่ีพบโดยทวั่ ไปมชี ่ือสามญั ว่า Midge แตเ่ นื่องจากลาตวั มกั มีสแี ดงสด จงึ อาจเรียกวา่ Blood Worm จดั ลาดบั ชนั้ ได้ดงั นี ้ Phylum : Arthropoda Class : Insecta Order : Diptera Family : Chironomidae Genus : Chironomus ลักษณะภายนอก หนอนแดงมีลาตวั ยาว สว่ นหวั แยกจากลาตวั ชดั เจน และมตี าเห็นเป็นจุดสีดา 1 คู่ สว่ นอกขยายใหญ่ มีอวยั วะหายใจยน่ื ยาวออกมาเป็นท่อเล็กๆ 1 คู่ มีอวยั วะทาหน้าทคี่ ล้ายขา (Pseudopods หรือ False Legs) อยู่ 2 คู่ คแู่ รกอย่ทู ป่ี ล้องแรกของสว่ นอก คทู่ ี่ 2 อย่ทู ่ีปล้อง สดุ ท้ายของสว่ นท้อง นอกจากนนั้ หนอนแดงยงั สามารถวา่ ยนา้ ได้ โดยการบิดตวั ไปมา วงจรชวี ติ ภาพที่ 9 แสดงวงจรชวี ิตของหนอนแดง การเพาะเลีย้ งหนอนแดง ส่วนใหญ่นิยมใช้บ่อดินเพราะจะให้ผลผลิตค่อนข้างสูง มี ขนั้ ตอนดงั นี ้

26 ขนั้ ท่ี 1 การเตรียมบ่อ ขนาดท่ีเหมาะสมควรอย่รู ะหว่าง 1,000 - 1,600 ตารางเมตร ปรับคนั บ่อให้สามารถเก็บนา้ ได้ประมาณ 30 เซนตเิ มตร หวา่ นด้วยปนู ขาวประมาณ 10 - 15 กิโลกรัม ตากบ่อไว้ประมาณ 1 สปั ดาห์ ขัน้ ท่ี 2 หว่านป๋ ุย ใช้ป๋ ุยมูลสัตว์ซึ่งท่ีนิยมใช้ กันในปัจจุบันได้แก่มูลไก่แห้ ง ปริมาณ 1,000 - 1,500 กิโลกรัม หว่านกระจายให้ท่ัวบ่อ แล้วเติมนา้ เข้าบ่อให้ได้ระดับ 30 เซนติเมตร ริน้ นา้ จืดจะมาวางไข่ติดตามต้นและใบหญ้าบริเวณผิวนา้ ท่ีขอบบ่อ หลงั จากนัน้ ประมาณ 2 วัน ตวั อ่อนของริน้ นา้ จืดจะฟักตวั ออกจากไข่ ซึง่ จะพอดีกบั ที่บ่อจะมีแบคทีเรีย และ แพลงตอนต่างๆ ซ่ึงเกิดจากการใส่มลู ไก่ ตวั อ่อนจะได้รับอาหารเจริญเติบโตและสร้างปลอกอยู่ตามพืน้ ก้นบ่อ ใน เวลา 7 - 10 วนั จะมีขนาดประมาณ 1.0 เซนตเิ มตร เหมาะทจี่ ะนาไปใช้ในการเลีย้ งปลาสวยงาม ขัน้ ท่ี 3 การเก็บผลผลิต จะเริ่มเก็บเก่ียวหนอนแดงประมาณวนั ท่ี 10 - 15 หลงั จากเติมนา้ ซ่ึงจะขึน้ กับฤดูกาล วิธีการเก็บรวบรวมหนอนแดง ตอนแรกจะใช้สวิงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 40 - 50 เซนติเมตร ทาด้วยผ้าไนลอ่ นสีฟ้าขนาดช่องตาประมาณ 1 - 2 มิลลิเมตร ช้อน ลงไปท่ีพืน้ ก้นบ่อให้ลึกลงไปในดินประมาณ 2 - 3 เซนติเมตร แล้วทาการร่อนโดยเขย่าสวิงไปมา บริเวณผิวนา้ จะทาให้ดินและโคลนที่ถูกช้อนขึน้ มากระจายตัวผ่านไนล่อนของสวิงออกไป ส่วน หนอนแดงถึงแม้ขนาดของลาตัวจะเล็กพอท่ีจะลอดช่องตาออกไปได้เช่นกนั แต่เน่ืองจากมีความ ยาวและชอบม้วนตัว จึงทาให้ไม่สามารถลอดออกไปได้ ดังนนั้ ในสวิงจะเหลือเศษวัสดุท่ีมีขนาด ใหญ่ เช่น ใบไม้ ขนไก่ รวมทัง้ หนอนแดง ก็ใช้กระชอนผ้าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร ช้อนทงั้ หมดไปใส่ภาชนะไว้แล้วเก็บเศษวสั ดทุ ่ีไม่ต้องการออก ทาเช่นนีไ้ ปเรื่อยๆจนทัว่ ทงั้ บอ่ ขัน้ ท่ี 4 การปรับสภาพบ่อ เมื่อทาการเก็บเกี่ยวหนอนแดงเสร็จแล้ว ระบายนา้ ในบ่อทิง้ ให้ ลดระดบั ลงประมาณ 10 เซนติเมตร จากนนั้ หว่านด้วยมลู ไกแ่ ห้งอีก 200 - 300 กิโลกรัมแล้วเติม นา้ ให้ได้ระดบั เดิม จากนนั้ จะสามารถดาเนินการตามขนั้ ท่ี 3 และ 4 อีก โดยสามารถทาได้ประมาณ 3 ครัง้ ซงึ่ จะได้ผลผลิตหนอนแดงประมาณ 200 กรัม / ตารางเมตร / ครัง้ ใช้เวลาทงั้ สิน้ ประมาณ 30 วนั เกบ็ เกี่ยวหนอนแดงได้ 3 ครัง้ ขัน้ ท่ี 5 การเตรียมบ่อ จะดาเนินการย้อนกลบั ไปขนั้ ท่ี 1 โดยควรตากบ่อไว้นานประมาณ 10 - 15 วนั แล้วดาเนินการตอ่ ไปตามขนั้ ตอน การเก็บรักษาหนอนแดง กระทาได้ 5 วธิ ี คือ 1. การเก็บสด จะเกบ็ หรือเลีย้ งหนอนแดงในภาชนะ เชน่ กะละมงั ขนาดใหญ่ ให้อากาศ เชน่ เดยี วกบั การเลีย้ งปลา แล้วใช้อาหารผงทใ่ี ช้สาหรับอนบุ าลลกู ปลาดกุ เป็นอาหารเลีย้ งหนอนแดง จะเลยี ้ งหนอนแดงไว้ได้อย่างดี ถงึ แม้หนอนแดงบางสว่ นจะลอกคราบ กลายเป็นหวั โม่ง เพ่อื จะลอก

27 คราบอกี ครัง้ แล้วกลายเป็นตวั เตม็ วยั หนอนแดงทีก่ ลายเป็นหวั โม่งสามารถช้อนไปเป็นอาหารปลาได้ ดี เพราะในระยะทีเ่ ป็นหวั โมง่ หนอนแดงจะชอบอยทู่ ี่ผวิ นา้ ทาให้ช้อนได้งา่ ยและปลาชอบกนิ ด้วย 2. การเก็บแห้ง ใช้ผ้าขาวบางชุบนา้ ให้ช่มุ แล้วห่อหนอนแดงไว้ จากนนั้ เอาใส่ภาชนะเก็บ ไว้ในต้เู ย็นหรือถงั โฟม ให้มอี ณุ หภูมิประมาณ 10 - 15 องศาเซลเซียส จะเก็บไว้ได้ 3 - 5 วนั โดย ทหี่ นอนแดงยงั มชี วี ติ อยู่ 3. การเก็บแช่แข็ง จะเก็บหนอนแดงโดยการรวบรวมใสถ่ ุงพลาสติกหรือใส่กล่องพลาสติก แล้วนาไปแช่แข็ง วิธีนีห้ นอนแดงจะตายหมด แต่ยงั สดและมีคุณค่าทางอาหารดีอยู่ เมื่อนาไป เลีย้ งปลากย็ งั ชอบกนิ เชน่ เดมิ 4. การแช่แขง็ แบบพิเศษ เป็นการเก็บรักษาหนอนแดงเพือ่ การส่งออก โดยการแชแ่ ข็งด้วย ไนโตรเจนเหลว วิธีนีห้ นอนแดงจะฟื น้ ประมาณ 40 % แต่จะไม่แข็งแรงเพียงแต่มีการเคลื่อนไหว ทาให้ปลาชอบกนิ 5. การอบแห้ง เป็นการเก็บหนอนแดงโดยการอบแห้งแล้วบรรจุกระป๋ องสุญญากาศ เป็น วิธีการที่นิยมทาเป็นการค้าในปัจจบุ นั หนอนแดงทผ่ี ่านการอบแห้งแล้วนปี ้ ลายงั ชอบกินเชน่ กนั ภาพท่ี 10 แสดงการรวบรวม การบรรจถุ งุ การแช่แข็งและการนาหนอนแดงไปเลยี ้ งปลา

28 เทคนิคการเพาะเลยี้ งและการใช้อาร์ทเี มีย (Artemia) ภาพท่ี 11 แสดงการเพาะเลีย้ งอาร์ทเี มีย อาร์ทเี มยี จดั ว่าเป็นอาหารธรรมชาติท่ีสาคญั ทส่ี ดุ ต่อธรุ กิจการเพาะเลีย้ งสตั ว์นา้ โดยเฉพาะ มีคณุ สมบตั ทิ ่ีพเิ ศษกวา่ อาหารธรรมชาติชนิดอ่นื ๆ คือ ตวั ออ่ นมขี นาดเล็กมีความยาวประมาณ 0.4 - 0.5 มลิ ลิเมตร เหมาะสาหรับใช้อนบุ าลลกู สตั ว์นา้ แทบทกุ ชนิด เมื่อเจริญเป็นตวั เตม็ วยั จะ คอ่ นข้างมขี นาดใหญ่มีความยาวประมาณ 0.8 - 1.2 เซนติเมตร เหมาะทจ่ี ะใช้เป็นอาหารเลีย้ ง ปลาสวยงาม นอกจากนนั้ ไรทีส่ มบรู ณ์เพศแล้วยงั สามารถแพร่ขยายพนั ธ์ุทงั้ ในแบบออกลกู เป็นตวั คอื ให้ตวั อ่อนออกมาเลย หรือแพร่พนั ธ์ุแบบออกลกู เป็นไข่ โดยไขท่ ปี่ ลอ่ ยออกมาจะมตี วั อ่อนอยู่ ภายในฟองละ 1 ตวั เป็นไขท่ ส่ี ามารถนามาเก็บรักษาไว้ได้เป็นระยะเวลานาน เม่ือใดท่ีต้องการ ตวั อ่อนจึงนามาดาเนินการฟัก กจ็ ะได้ตวั อ่อนตามต้องการและมีความแน่นอน ทีส่ าคญั อีกประการ หนง่ึ คือ อาร์ทเี มียยงั สามารถดารงชีวิตอยใู่ นความเค็มระดบั ตา่ งๆท่ีกว้างมาก มีการเจริญเตบิ โต รวดเร็วและไม่ค่อยมีปัญหาเร่ืองโรค ทาให้ดาเนนิ การเพาะเลีย้ งได้ง่าย ปัจจบุ นั ได้มีการเลยี ้ งอาร์ที เมียกนั บ้างแล้วในนาเกลือตามจงั หวดั แถบชายทะเล ซงึ่ สว่ นใหญ่จะเลีย้ งเพอ่ื การรวบรวมอาร์ทเี มยี ตวั เตม็ วยั สาหรับจาหน่ายในสภาพสดเพื่อนาไปเป็นอาหารสตั ว์นา้ ตา่ งๆ โดยเฉพาะอาหารของ ปลาสวยงาม การจัดลาดับทางอนุกรมวิธาน อาร์ทีเมียเป็นสตั ว์ไม่มีกระดกู สนั หลงั จาพวกก้งุ ชนิดหนึ่ง มีช่ือสามญั วา่ Brine Shrimp หรือ Artemia พบทวั่ โลกทกุ ทวีปรวม 47 ประเทศ โดยพบเฉพาะ แหล่งนา้ เค็มหรือนา้ เค็มจัดจานวน 244 แห่ง แต่ท่ีมีปริมาณมากและพอที่จะรวบรวมส่งออก จาหน่าย มเี พยี งไม่กี่แหง่ ที่สาคญั ได้แก่ San Francisco Bay และ Great Salt Lake ประเทศ สหรัฐอเมริกา และท่ี Buahal Bay ประเทศจีน Ruppert & Barnes, 1974 ได้จดั ลาดบั ทางอนกุ รมวิธานของอาร์ทเี มียไว้ดงั นี ้

29 Phylum : Arthropoda Class : Crustacea Sub-class : Branchiopoda Order : Anostraca Family : Artemiidae Genus : Artemia Specie : salina ลกั ษณะภายนอก ภาพท่ี 12 แสดงลกั ษณะภายนอกของ Artemia อาร์ทีเมียมีลาตวั แบนเรียวยาวคล้ายใบไม้ ลาตัวใสแกมชมพู ไม่มีเปลือกแข็งหุ้มลาตัว (Shelless) แต่มีเนือ้ เยื่อบางๆหุ้มไว้ ว่ายนา้ เคล่ือนท่ีในลักษณะหงายท้อง ลาตัวแบ่งออกเป็น 3 สว่ น คือ 1.ส่วนหัว (Head) แบ่งออกได้เป็น 6 ปล้อง มีตาเด่ียวและตารวมท่ีมีก้านตา 1 คู่ และ หนวด 2 คู่ 2.ส่วนอก (Thorax) แบ่งออกเป็น 11 ปล้อง แต่ละปล้องมีระยางค์ปล้องละ 1 คู่ ทา หน้าทท่ี งั้ ในการว่ายนา้ หายใจ และชว่ ยกรองอาหารเข้าปาก 3.ส่วนท้อง (Abdomen) แบ่งออกเป็น 8 ปล้อง ปล้องแรกเป็นท่ีตัง้ ของอวัยวะเพศ ปล้องที่ 2 - 7 ไมม่ รี ะยางค์ และปล้องท่ี 8 มีแพนหาง 1 คู่ ความแตกต่างระหว่างเพศ โดยปกติเพศผู้จะมีขนาดเล็กกว่าเพศเมีย และหนวดคู่ท่ี 2 ของเพศผู้จะมีขนาดใหญ่คล้ายตะขอใช้เกาะเพศเมีย ทาให้ดวู ่ามีส่วนหวั ขนาดใหญ่ และเพศเมีย จะมถี งุ ไข่ท่ปี ล้องแรกของสว่ นท้อง

30 การแพร่พันธ์ุ อาร์ทีเมียสามารถแพร่ขยายพันธ์ุได้ 2 แบบ คือในสภาวะปกติท่ีความ เค็มตงั้ แต่ 20 - 120 ppt จะแพร่พนั ธ์ุโดยออกลกู เป็นตวั ตวั อ่อนจะฟักออกจากไข่ในถุงไข่ของตวั แม่แล้ววา่ ยนา้ ออกมา ไรทีจ่ ะแพร่พนั ธ์ุแบบนจี ้ ะสงั เกตได้วา่ ไข่ท่ีอย่ใู นถุงไขม่ ีสขี าวเม่ือสภาพแวดล้อม เปลีย่ นไป เช่น ความเคม็ สงู ขึน้ มากกวา่ 130 ppt หรือมกี ารแพร่พนั ธ์ุจนมปี ริมาณ ตวั อาร์ทเี มียอยู่ อย่างหนาแน่น หรือปริมาณอาหารลดลง หรืออุณหภูมิลดต่าลงมาก หรือคุณสมบัติของนา้ ไม่ เหมาะสม อาร์ทีเมยี ส่วนใหญ่จะแพร่พนั ธ์ุแบบออกลกู เป็นไข่ โดยจะปลอ่ ยไข่ท่ีแก่แล้วออกจากถุง ไข่ ไขจ่ ะมีเปลือกหนาและจะไม่ฟักตวั จนกว่าสภาพแวดล้อมจะเหมาะสม ไรที่จะแพร่พนั ธ์ุแบบนจี ้ ะ สงั เกตได้วา่ ไขท่ อ่ี ย่ใู นถงุ ไข่มีสีนา้ ตาลเข้ม ภาพท่ี 13 แสดงวงจรชวี ติ ของ Artemia การรวบรวมไขท่ ี่ Great Salt Lake ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นทะเลสาบท่ีมีพืน้ ท่ีมากถึง 4,000 ตารางกิโลเมตร นา้ มีความเค็มอยู่ระหว่าง 150 - 200 ppt ฤดกู ารเก็บเก่ียวไข่ไรจะเร่ิม ตัง้ แต่เดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนมกราคม ซ่ึงอากาศหนาวเย็นทาให้อาร์ทีเมียออกลูกเป็นไข่ บริษัทต่างๆประมาณ 10 บริษัท ท่ีได้รับสมั ปทานจะสง่ เคร่ืองบินออกสารวจหากลมุ่ ไข่ของ อาร์ที เมีย ซง่ึ มกั จะลอยเป็นกล่มุ ๆในทะเลสาบความยาวกล่มุ ละประมาณ 2 - 3 กิโลเมตร เมื่อพบจะปัก ทนุ่ จบั จองเป็นเจ้าของ แล้วแจ้งไปยงั เรือให้นาท่นุ ลอยลกั ษณะเดียวกบั ทใ่ี ช้กนั คราบนา้ มนั กนั เอา ไข่ไว้แล้วใช้เคร่ืองปั๊มดดู ไข่เข้ามาเก็บในถุงกลางลาเรือ ล้างสิ่งสกปรกออกด้วยนา้ เกลือเข้มข้นก่อน เก็บไว้ในห้องเย็นต่ากว่า 0 องศาเซลเซียส ประมาณ 2 เดือน แล้วนามาตรวจสอบอตั ราการฟัก เพอ่ื คดั เกรดคณุ ภาพ จากนนั้ จึงบรรจกุ ระป๋ องสญุ ญากาศสง่ ไปจาหน่ายทวั่ โลก

31 วิธีการฟักไข่อาร์ ทีเมีย การใช้อาร์ทีเมียในปัจจุบันมักได้จากการซือ้ ไข่ไรที่บรรจุอยู่ใน กระป๋ องสุญญากาศ เม่ือต้องการตวั อ่อนของอาร์ทีเมียเมื่อใด ก็นาไข่ไรท่ีซือ้ ไว้มาฟักตวั ซ่ึงควร ทาตามขนั้ ตอนตอ่ ไปนี ้ 1.เตรียมภาชนะฟักไข่ ส่วนมากจะใช้ภาชนะทรงกลมที่มีขนาดเล็ก มีความจุประมาณ 5 - 20 ลิตร ยกเว้นฟาร์มขนาดใหญ่ที่จาเป็นต้องเพาะครัง้ ละมากๆ จะใช้ถังไฟเบอร์ขนาด 100 - 200 ลิตร 2. เตรียมนา้ โดยใช้นา้ ทะเลปกติ หรือนา้ จืดผสมด้วยเกลือให้ มีความเค็ม 25 ppt (คอื นา้ 1 ลติ ร จะใช้เกลือ 25 กรัม) 3.ใสไ่ ข่อาร์ทเี มียท่ีเตรียมไว้ ในปริมาณประมาณ 1 ช้อนชา ต่อนา้ 5 ลิตร 4.ใสส่ ายลม เพื่อให้ออกซิเจน และทาให้เกิดการหมนุ เวียนของนา้ ในภาชนะ ซง่ึ จะทาให้ ไขไ่ รไม่ตกตะกอน แต่ลอยหมนุ เวียนไปมาในนา้ ตลอดเวลา 5. ใช้เวลา 24 - 36 ชวั่ โมง ไรจะฟักตวั ออกจากไข่ จะสงั เกตได้ว่านา้ ในภาชนะท่ีใช้ฟักไข่ มีสีส้ม เนื่องจากตัวอ่อนของอาร์ทีเมียที่ออกจากไข่ใหม่ๆ ตัวจะมีสีส้มเข้ม เหมาะที่จะนาไปใช้ อนบุ าลลกู ปลา การแยกตัวอ่อนของอาร์ทเี มียออกจากเปลอื กไข่ ตวั ออ่ นของไรท่ีได้จากการฟักตวั จะมี เปลือกไข่ปะปนอยู่ด้วย จาเป็นต้องแยกตวั อ่อนออกจากเปลือกไข่ เพราะลกู ปลาไม่สามารถย่อย เปลือกไข่ได้ และที่สาคญั คือเปลือกไข่มกั มีแบคทีเรียอย่มู าก จะทาให้ปลาติดเชือ้ ได้ง่าย จึงต้อง แยกเปลือกไข่ออกทงิ ้ โดยทาตามขนั้ ตอนดงั นี ้ 1. ยกสายลมออก เพอ่ื ให้นา้ หยดุ การหมนุ เวียน 2. ปล่อยทิง้ ไว้ประมาณ 15 - 20 นาที ตัวอ่อนของไรจะว่ายนา้ ลงไปรวมกลุ่มอยู่ตามก้น ภาชนะ ส่วนเปลือกไขท่ ี่ไรฟักตวั ออกไปแล้วจะลอยอยผู่ ิวนา้ สาหรับไข่ท่ีไม่ฟักตวั และตะกอนต่างๆ จะตกตะกอนอยกู่ ้นภาชนะ 3. ใช้สายยางเล็กๆหรือสายลมดดู เอาตวั อ่อนอาร์ทีเมยี โดยวิธีกาลกั นา้ ทีก่ ้นภาชนะ แล้ว กรองไว้ด้วยกระชอนผ้าตาถี่ 4. นาตัวอ่อนอาร์ทีเมียที่อยู่ในกระชอนไปแกว่งล้างนา้ จืด 2 - 3 ครัง้ ก่อนนาไปเลีย้ งลูก ปลา เทคนิคการแยกตัวอ่อนอาร์ทีเมียออกจากเปลือกไข่ เนื่องจากมกั เกิดปัญหาเร่ืองการ ติดเชือ้ เพราะแยกเปลือกไข่ออกไม่หมด จึงจาเป็นต้องหาวิธีที่จะแยกเปลือกไข่ให้ดีย่ิงขึน้ ซงึ่ ทาได้ ดงั นี ้

32 1. เมื่อยกสายลมออกแล้วให้ตะแคงภาชนะไปทางด้านท่ีมีแสงเข้ามา เพราะตวั อ่อนอาร์ที เมียชอบว่ายนา้ เข้าหาแสง จะทาให้ไรว่ายนา้ ลงไปรวมกันในส่วนลึกเกือบหมด ทาให้สะดวกใน การดดู ตวั ไรออกมาได้งา่ ยขนึ ้ 2. เม่ือยกสายลมออกแล้วใช้กระดาษทึบแสงปิดรอบภาชนะ เว้นเฉพาะทางด้านก้นภาชนะ ไว้ประมาณ 3 เซนติเมตร จะทาให้ไรส่วนใหญ่ว่ายนา้ ลงไปรวมท่ีช่องแสงท่ีก้นภาชนะ ทาให้ รวบรวมไรได้ง่ายขนึ ้ ภาพท่ี 14 แสดงวิธีการแยกตวั ออ่ นอาร์ทเี มยี ออกจากเปลือกไข่ การเลีย้ งอาร์ทีเมียให้เป็ นตัวเต็มวัย การใช้อาร์ทีเมียตัวเต็มวยั เป็นอาหารปลาสวยงาม กาลงั ได้รับความนยิ มมาก เพราะอาร์ทเี มียมคี ณุ คา่ ทางโภชนาการค่อนข้างสูงและปลาชอบกิน อีก ทงั้ ปลายงั สามารถย่อยได้ดีเหลือกากขบั ถ่ายออกมาน้อย ดงั นนั้ หากผู้เลีย้ งปลาสวยงามต้องการ เลีย้ งอาร์ทีเมียไว้เลีย้ งปลาสวยงามด้วยตนเอง ก็สามารถทาได้ไม่ยุ่งยากมากนัก ตามขัน้ ตอน ตอ่ ไปนี ้ การเตรียมบ่อเลยี้ ง บอ่ ท่ีจะใช้เลีย้ งอาร์ทีเมียอาจใช้กะละมงั พลาสติกขนาดใหญ่ หรือใช้ ถงั ซีเมนต์กลม(ถงั ส้วม)ก็ได้ ซง่ึ ทงั้ กะละมงั และถงั ส้วมจะมรี ูปทรงเป็นทรงกระบอก การคานวณหา ปริมาตรนา้ ในบ่อเลีย้ งนีจ้ ะใช้สตู ร ปริมาตรนา้ = 7/22 x r x r x h เมอื่ r = รัศมขี องปากบ่อ (คร่ึงหนงึ่ ของเส้นผา่ ศูนย์กลาง) h = ความสงู ของระดบั นา้ ท่จี ะใสใ่ นบ่อ ตวั อย่าง จะเลีย้ งอาร์ทีเมียในถงั ซีเมนต์กลม ซ่ึงมีความกว้างท่ีปากถงั (เส้นผ่าศนู ย์กลาง) เท่ากับ 80 เซนตเิ มตร โดยจะใสน่ า้ ระดบั สงู 30 เซนตเิ มตร ถงั ซีเมนต์จะมีความจนุ า้ = 22/7 X 40 X 40 X 30

33 = 150,864 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร (ซีซ)ี จาก ปริมาตร 1 ลิตร = 1,000 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร (ซซี )ี ถงั ซีเมนต์จะมคี วามจนุ า้ = 150,864 /1,000 ลิตร = 150.86 ลิตร นนั่ คือ ถงั ซเี มนต์จนุ า้ ได้ประมาณ 150 ลิตร การเตรียมนา้ เค็ม เม่ือแช่ถงั ซีเมนต์จนหมดฤทธ์ิปูนแล้ว ใส่นา้ จืดแล้วเติมเกลือแกงหรือ เกลือทะเล (หาซือ้ ได้จากร้านขายอาหารสตั ว์) ให้นา้ มคี วามเค็มในระดบั 60 - 80 ppt ซ่งึ เป็นระดบั ความเค็มทีอ่ าร์ทีเมียมกี ารเจริญเติบโตดแี ละมีอตั ราการรอดสงู จากตวั อย่างข้างต้น ถงั ซีเมนต์มีความจนุ า้ 150 ลิตร ถ้าต้องการเตรียมนา้ ให้มคี วาม เคม็ 80 ppt จะต้องใสเ่ กลือเทา่ ใด การคิด ความเค็ม 80 ppt หมายความว่า ปริมาตรนา้ 1 ลิตร จะต้องใสเ่ กลอื 80 กรัม ถงั ซีเมนต์ดงั กลา่ วจะต้องเติมเกลือ = 80 X 150 กรัม = 12,000 กรัม จาก ปริมาณเกลอื 1 กิโลกรัม = 1,000 กรัม  ถงั ซเี มนต์ดงั กลา่ วจะต้องเติมเกลือ = 12,000 / 1,000 กโิ ลกรัม = 12.0 กโิ ลกรัม นั่นคือ เติมเกลือลงในถังซีเมนต์จานวน 12 กิโลกรัม แล้วเติมนา้ ให้ ได้ระดับ 30 เซนติเมตร กวนนา้ ให้เกลือละลายจนหมดก็จะได้นา้ ที่มีความเคม็ 80 ppt. ตามต้องการการเตรียม อาหาร นา้ ที่เตรียมเสร็จแล้วนนั้ จะไม่มอี าหารธรรมชาติอย่เู ลย จะต้องเตรียมให้มีอาหารธรรมชาติ สาหรับเป็นอาหารของอาร์ทีเมีย โดยใช้อาหารผง (อาหารผงสาหรับอนบุ าลลกู ปลาดกุ หาซือ้ ได้จาก ร้านขายปลาสวยงาม หรือร้านขายอาหารสตั ว์) ใส่ลงไปในนา้ จานวน 2 ช้อนโต๊ะ แล้วใส่สายลม เพ่ือทาให้นา้ เกิดการหมุนเวียน เป็นการช่วยผสมนา้ เกลือท่ีเตรียมให้เป็นเนือ้ เดียวกัน และช่วย กระจายอาหารให้สลายตวั เกิดอาหารธรรมชาตไิ ด้ดี ปลอ่ ยทงิ ้ ไว้ 3 - 4 วนั หมายเหตุ บ่อเลีย้ งอาร์ทีเมียควรตงั้ อยู่ภายนอกอาคาร เพ่ือให้ได้รับแสงแดดบ้างพอควร จะทาให้เกดิ แพลงก์ตอนพืชได้ดซี งึ่ เป็นอาหารที่สาคญั ของไร เติมเชือ้ ไร ถ้ามีไข่อาร์ทีเมียให้ใช้ไข่ไรประมาณ 1 / 4 ช้อนชา นาไปฟักในภาชนะใช้นา้ ประมาณ 5 ลิตรและเตรียมให้มีความเคม็ 25 ppt. ใช้เวลาประมาณ 30 ชวั่ โมง ไรจะฟักตวั หมด ควรแยกตวั อ่อนไรออกจากเปลือกไข่ ตวั ออ่ นไรที่ได้นีอ้ ย่าพงึ่ ปลอ่ ยลงบ่อเลีย้ งทนั ที เพราะความเค็ม ท่ใี ช้ฟักไข่กบั ความเค็มท่ีบ่อเลีย้ งต่างกนั มาก ควรปรับความเคม็ กอ่ น โดยใช้ถงั พลาสติกที่ใช้ตกั นา้ โดยทว่ั ๆไป ซ่ึงจะมีความจุประมาณ 10 - 12 ลิตร นาตวั อ่อนไรท่ีแยกออกมาจากเปลือกไข่ โดย ใช้สายยางดดู ให้ได้นา้ มาด้วยประมาณ 2 ลิตร ใสล่ งในถงั พลาสตกิ แล้วตกั นา้ จากบอ่ เลีย้ งท่ีมีความ เค็ม 80 ppt. เติมลงในถังครัง้ ละ 1 ลิตร โดยเติมชั่วโมงละครั้ง และใส่ลมให้ นา้ เกิดการ

34 หมนุ เวยี นผสมกนั ทาไปประมาณ 8 - 10 ครัง้ นา้ ในถงั กจ็ ะมีความเค็มใกล้เคียงกบั ในบ่อเลยี ้ ง ก็ สามารถเทลงบอ่ เลีย้ งได้ ถ้าไม่มีไข่อาร์ทีเมีย หาซือ้ อาร์ทีเมียตัวเต็มวัยที่มีขายสาหรับนาไปใช้เลีย้ งปลา นามา ปลอ่ ยลงบ่อเลีย้ ง ก่อนปลอ่ ยจะต้องมีการปรับความเค็มนา้ เช่นกนั เพราะไรท่ีนามาขายจะถกู ปรับ มาอย่ใู นความเคม็ ประมาณ 30 ppt. การเติมอาหาร ไรท่ีปล่อยเลีย้ งจะต้องมีการให้อาหารโดยใช้อาหารผงเช่นเดิม ซึ่งในบ่อ ซีเมนต์ตามตวั อย่างควรให้อาหารวนั ละประมาณ 1 / 2 ถึง 1 ช้อนชา ขึน้ กบั ขนาดและปริมาณไร อาหารผงที่ให้จะเป็นทงั้ อาหารไรโดยตรง และสว่ นท่เี หลอื จะทาให้เกิดอาหารธรรมชาตไิ ด้ ต้องระวงั เรื่องนา้ เน่าเสยี หากสงั เกตเหน็ ว่าอาหารเหลอื มากและนา้ มกี ลิน่ เหมน็ มากควรงดให้อาหารประมาณ 3 วนั แล้วเริ่มให้ใหม่ทีละน้อย การเก็บเกี่ยวไร การช้อนไรไปใช้นัน้ หากปล่อยไรโดยใช้ตัวอ่อนที่ฟักจากไข่ จะใช้เวลา ประมาณ 15 - 20 วนั ไรจะเติบโตเป็นตวั เต็มวยั ขึน้ กบั ปริมาณความหนาแน่นและอาหารจากนนั้ จะสามารถทยอยช้อนไรไปเป็นอาหารปลาได้เร่ือยๆ ไรท่ีเหลือจะแพร่พันธ์ุเพิ่มจานวนขึน้ มาเอง ส่วนการปล่อยโดยใช้ไรเต็มวยั ก็เช่นเดียวกนั จะใช้เวลาประมาณ 15 - 20 วนั เช่นกนั ไรที่ปล่อยก็ จะแพร่พนั ธ์ุให้ไรเพ่มิ ขึน้ จนสามารถเกบ็ เกี่ยวได้ ภาพท่ี 15 แสดงบอ่ เลีย้ งอาร์ทเี มีย และบ่อหมกั อาหาร การเตรียมอาร์ทีเมียก่อนนาไปใช้เป็ นอาหารปลา ก่อนนาอาร์ทีเมียไปใช้เลีย้ งปลา จะต้องปรับนา้ ในตัวไรให้มีความเค็มลดลง เน่ืองจากอาร์ทีเมียถูกเลีย้ งในนา้ ท่ีมีความเค็มสูงมาก หากไม่ทาให้ตัวไรจืดลงปลาจะไม่ชอบกินหรือกินได้น้ อย ถ้าใช้วิธีช้อนไรมาแช่ในนา้ จืดสนิท ทนั ทีทนั ใด ไรจะเคลื่อนไหวช้าลงแล้วจะตายภายใน 20 - 30 นาที ความเค็มในตวั ไรยงั ลดลงไม่ มากนกั การลดความเค็มในตัวไรลงทาได้โดยการใช้ภาชนะเล็กๆ เช่นขันหรือถัง ตักนา้ จากบ่อ เลีย้ งไรมาประมาณ 1 / 10 ของภาชนะที่จะใช้ แล้วเติมนา้ จืดให้เกือบเต็ม คนให้เข้ากันแล้วใส่

35 สายลม จะได้นา้ กร่อยท่ีมีความเค็มประมาณ 5 - 8 ppt. จากนัน้ ช้อนไรที่จะให้ปลากินมาใส่ไว้ ซงึ่ ท่ีความเค็มระดบั นีไ้ รจะมีชีวิตอยไู่ ด้ จะมกี ารว่ายนา้ ไปมาตามปกติ ช่วยให้ความเค็มในตวั ลดลง ได้ดี ควรปล่อยเลีย้ งไว้ประมาณ 2 - 3 ช่ัวโมงจึงนาไปเลีย้ งปลา สาหรับความเค็มในระดับที่ เตรียมใหม่นีไ้ รจะมีชีวิตอยู่ได้ 1 - 3 วนั ดงั นัน้ อาจปล่อยไรทิง้ ไว้ในตอนเช้าสาหรับใช้เป็นอาหาร ปลาในตอนเย็น และแช่ไว้ในตอนเย็นสาหรับใช้เป็นอาหารในตอนเช้า กจ็ ะทาให้ปลากินไรได้ดีและ ปลอดภยั การเพาะเลีย้ งอาร์ทีเมียในบ่อดิน ปัจจบุ นั มีฟาร์มเพาะเลีย้ งอาร์ทีเมียภายในประเทศอยู่ ประมาณ 20 ฟาร์ม ในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี สมุทรสาคร สมทุ รสงคราม และเพชรบุรี สามารถผลิตอาร์ทีเมียได้วันละ 400 - 1,000 กิโลกรัม การเลีย้ งอาร์ทีเมียในบ่อดินมีการจดั การ ดงั นี ้ 1. การเตรียมบ่อ มกั ใช้บ่อขนาด 1 - 6 ไร่ ลึกประมาณ 1 เมตร โดยมกั ขดุ บ่อให้มีความ ยาวไปตามทศิ ทางลม 2. การเตรียมนา้ ใช้นา้ ท่ีมีความเค็มอย่รู ะหว่าง 80 - 120 ppt. ดงั นนั้ ต้องมีแปลงตากนา้ ทะเลเช่นเดียวกับการทานาเกลือ เพ่ือให้นา้ มีความเค็มสูงขึน้ ตามที่ต้องการแล้วจึงปล่อยเข้าบ่อ เลีย้ ง ตรวจสอบค่า pH ให้มีค่าอย่รู ะหวา่ ง 8.0 - 9.0 3. การปล่อยไรลงบ่อ ถ้าปล่อยไรเต็มวยั จะใช้ไรประมาณ 6 กิโลกรัม / ไร่ แต่ถ้าใช้ไข่ มาฟักเพื่อปลอ่ ยตวั ออ่ น จะใช้ไขไ่ รประมาณ 150 - 200 กรัม / ไร่ 4. การให้อาหาร มีวธิ ีการทาได้ 2 แบบ คือ 4.1 ให้โดยใสล่ งในบ่อเลีย้ งโดยตรง จะค่อยๆทยอยใสท่ ีละน้อย ไรจะกนิ อาหาร ไปโดยตรงส่วนหน่ึง ส่วนท่ีเหลือจะสลายทาให้เกิดอาหารธรรมชาติ อาหารท่ีใช้ได้ แก่มูลไก่ ประมาณ 200 กิโลกรัม / ไร่ / เดือน ร่วมกบั กากผงชรู ส ประมาณ 30 - 90 ลิตร / ไร่ / เดือน 4.2 อีกวธิ ีหนง่ึ คือ มบี ่อหมกั อาหารต่างหาก จะใสอ่ าหารลงบ่อหมกั ให้เนา่ เกิด แพลงตอน แล้วจึงทยอยสบู ไปลงบ่อเลีย้ ง การให้อาหารทงั้ 2 วิธี จะให้มากน้อยและบ่อยครัง้ เพียงใด ขึน้ อยู่กับฤดูกาล และปริมาณอาหารท่ีมีอยู่ในบ่อ โดยสงั เกตจากสีของนา้ และความ โปร่งแสง นอกจากนนั้ จะมีการใช้ไม้คราดอาหารท่ีพืน้ ก้นบ่อให้ฟุ้งกระจาย อย่างน้อยสปั ดาห์ละ 1 - 3 ครัง้ ในปัจจุบันยังนิยมทาคอกไว้มุมบ่อสาหรับหมักหญ้ าและเศษพืช เพื่อให้เกิดอาหาร ธรรมชาติมากขนึ ้ 5. การเก็บเกี่ยวผลผลิต หลงั จากปลอ่ ยเลีย้ งไปประมาณ 15 วนั ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวไร ออกไปจาหน่ายได้ โดยจะได้ ผลผลิตประมาณ 50 - 100 กิโลกรัม / ไร่ / เดือน และใน สภาพแวดล้อมที่ผิดปกติ จะสามารถรวบรวมไข่ไรได้ ประมาณ 5 - 10 กิโลกรัม / ไร่ / เดือน (นา้ หนกั เปียก)

36 ภาพท่ี 16 แสดงบอ่ เลีย้ งอาร์ทีเมยี ขนาด 6 ไร่ (ซ้าย) คอกสาหรับหมกั อาหารในบ่อ (กลาง) และอาร์ทีเมยี ที่รวบรวมมารอจาหนา่ ย (ขวา) การลาเลียงอาร์ทีเมีย วิธีการลาเลยี งอาร์ทเี มียท่ีนิยมกระทากนั คอื การลาเลยี งในสภาพ สด โดยบรรจุถงุ พลาสตกิ ถงุ ละ 1 กิโลกรัม แล้วเติมนา้ 5 ลติ ร ในถงุ จะบรรจถุ งุ นา้ แข็งอยู่ 2 ถงุ แล้วจงึ อดั ออกซิเจนใสถ่ งุ จากนนั้ นาถงุ ไปบรรจลุ งในลงั โฟมซง่ึ รองพนื ้ ด้วยนา้ แข็งอีก 6 ถงุ ความเย็นจะทาให้ไรสลบ ช่วยลดความบอบชา้ ทาให้ลาเลยี งไปได้ไกลๆ นิยมใช้กบั การลาเลียงระยะ ทางไกลหรือการสง่ ออก แต่ถ้าลาเลียงระยะใกล้ๆจะใช้วิธีการอดั ออกซิเจนเพยี งอย่างเดียวก็พอแล้ว ภาพท่ี 17 แสดงนา้ เย็นที่เตรียมไว้สาหรับใสใ่ นถงุ ลาเลยี ง (ซ้าย) และอาร์ทีเมยี ในถงุ ลาเลียงที่อดั ออกซิเจนแล้ว (ขวา)

37 เทคนิคการเพาะเลยี้ งและการใช้โรตเิ ฟอร์ ภาพที่ 18 แสดงรูปร่างของโรตเิ ฟอร์ การอนบุ าลลกู สตั ว์นา้ วยั อ่อนให้มีประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลสงู สดุ คือ การมีอตั รารอดสงู ได้ลกู สตั ว์นา้ แขง็ แรงปลอดโรค ในปัจจุบนั การอนุบาลลกู สตั ว์นา้ วยั ออ่ นนิยมอนบุ าลสตั ว์นา้ วยั อ่อน ด้วยอาหารมชี ีวิต (live food) เพราะให้ผลดตี ามความต้องการดงั กลา่ ว แพลงก์ตอนสตั ว์เป็นอาหาร มีชีวติ ทน่ี ิยมใช้อนุบาลสตั ว์นา้ ตอ่ จากการอนุบาลด้วยแพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสตั ว์เหลา่ นี ้ ได้แก่ โรตเิ ฟอร์ (นา้ จืด, นา้ เค็ม) ไรแดง โคพพี อด และ อาร์ทีเมยี (ไรสนี า้ ตาล หรือไรนา้ เค็ม) โดยเฉพาะ โรติเฟอร์ และไรแดง เป็นแพงก์ตอนสตั ว์ที่เลีย้ งงา่ ย โตเร็ว และมคี ณุ ค่าอาหารสงู รวมทงั้ หาพนั ธ์ุ และขยายพนั ธ์ุเพ่ือการเพาะเลีย้ งได้ไมย่ าก โรติเฟอร์นา้ กร่อยสายพนั ธ์ุใหมม่ ีขนาดประมาณ 200 ไมครอน มองด้วยตาเปลา่ จะเหน็ ตวั ของมนั เป็นจุดขาวๆเล็กๆเท่าปลายดินสอ แตกตา่ งกบั ตะกอนตรงที่มนั เคล่ือนไหวได้ด้วยตวั เอง พบ ทว่ั ไปในแหลง่ นา้ ชายฝั่ง ปากแม่นา้ บ่อเลีย้ งก้งุ บ่อเลีย้ งปลา และนาอาร์ทีเมีย โรติเฟอร์กินอาหารได้ หลายชนิดทงั้ แบคทเี รีย ยสั ต์ ขกี ้ ้งุ ขนาดเล็ก อาหารสาเร็จรูป เลือดปลาและโปรโตซวั แต่อาหารท่ี เหมาะสมท่ีจะใช้เลีย้ งโรตเิ ฟอร์ในประเทศไทย คือ คลอเรลลาโรตเิ ฟอร์ของไทยเจริญเตบิ โตได้เร็วมาก อายุประมาณ 1 วนั กใ็ ห้ลกู ได้แล้ว และเจริญเติบโตได้ดีถ้าอากาศร้อน 32-35 องศาเซลเซียส บาง สายพนั ธ์ุเพม่ิ จานวนได้ 5-7 เท่าใน 1 วนั สว่ นใหญ่เจริญเตบิ โตได้ดีในนา้ ความเค็ม 10 - 15 พพี ีที แต่ โรตเิ ฟอร์สายพนั ธ์ุ ที่เกบ็ มาจากนาอาร์ทีเมียของสถานีเพาะเลีย้ งสตั ว์นา้ ชายฝั่ง จงั หวดั เพชรบรุ ี เพม่ิ จานวนได้ดี แม้จะเพาะเลีย้ งในนา้ ความเคม็ 30 พีพที ี โรตเิ ฟอร์เหมาะท่ีจะใช้เป็นอาหารของลกู ก้งุ กลุ าดาหรือลกู ก้งุ ทะเลในระยะไมซิสและสามารถใช้แทนอาร์ทเี มยี เพ่งิ ฟักได้ในระยะโพสลาวา 1-4 โร ติเฟอร์เพาะงา่ ยได้ผลเร็ว เพาะเพียง 1 วนั ก็เก็บผลผลิตได้ จึงเหมาะอย่างย่งิ ทจี่ ะใช้อาร์ทเี มียในการ อนบุ าลลกู ก้งุ กลุ าดาในระยะดงั กลา่ ว

38 การเลยี้ งโรตเิ ฟอร์ โรติเฟอร์เป็นอาหารมีชีวิตท่ีเหมาะสาหรับลูกก้งุ ระยะไมซิส และลูกปลาระยะเริ่มกินอาหาร เช่น ปลากะพง ปลาบู่ ปลาดุก ปลาแรด ฯลฯ ข้อดีของการเลีย้ งโรติเฟอร์เพ่ืออนุบาลสัตว์นา้ โดยเฉพาะสตั ว์นา้ เคม็ มีดงั นี ้ 1. มขี นาดเล็ก เคล่อื นไหวช้า เหมาะสมกบั การเป็นอาหารของสตั ว์นา้ วยั อ่อน 2. มีคณุ ค่าอาหารสูง เม่ือเลีย้ งด้วยคลอเรลลาอย่างเดียว คิดเป็นร้อยละของนา้ หนักแห้ง มี โปรตีน 58-72 % ไขมนั (lipid) 21-31% แต่ถ้าเลีย้ งด้วยคลอเรลลากับยีสต์จะมีโปรตีนเพ่ิมขึน้ เป็น 63-67 % และมีไขมนั 20-22 % 3. สามารถเลีย้ งได้ปริมาณมาก และสามารถแพร่พนั ธ์ุได้รวดเร็ว 4. เป็นตัวนาท่ีดีของของอาหารเสริมและยา เช่น กรดไขมันหรือยาปฏิชีวนะ ซึ่งเม่ือนาโรติ เฟอร์ไปเลยี ้ งลกู สตั ว์นา้ จะทาให้ลกู สตั ว์นา้ เตบิ โตเร็วและอตั ราการรอดตายสงู ประเภทการเลีย้ ง การเลยี ้ งโรตเิ ฟอร์ให้ได้ปริมาณมากๆ แบ่งตามความจขุ องถงั เลยี ้ งและวิธีการเก็บผลผลิตได้ 2 ประเภท คือ ก. การเลีย้ งแบบเปล่ียนถัง ใช้ถังท่ีมีความจุ 0.5-3.0 ตัน เร่ิมแรกในถังใบท่ี 1 ทาการ เพาะเลีย้ งคลอเรลลา จากนัน้ ใส่สต๊อคโรติเฟอร์ (Brachionus rotundiformis) โดยใช้ยีสต์หนัก 1 กรัมต่อปริมาณโรติเฟอร์ 1 ล้านตัว ประมาณ 5-7 วนั หลงั จากวนั เพาะเชือ้ จะได้ปริมาณโรติเฟอร์ จานวนมากควรตกั โรติเฟอร์ไปให้ลกู กุ้งกินโดยเหลือโรติเฟอร์ไว้ในถงั บ้าง เพื่อเก็บเป็นสต๊อคในการ เลีย้ งถงั ต่อไป (ถงั ใบท่ี 2) ดงั นนั้ การเลีย้ งประเภทที่ 1 จึงลาดบั ขนั้ ตอนได้ดงั นี ้จากถงั ใบท่ี 1 นาสต๊อค ไปเลีย้ งในถงั ใบท่ี 2 จากถงั ใบท่ี 2 นาสต๊อคไปเลยี ้ งถงั ใบท่ี 3 และจากถงั ใบท่ี 3 นาสต๊อคไปเลีย้ งถงั ใบท่ี 4 ทาเช่นนีไ้ ปเร่ือยๆ วิธีการเช่นนีจ้ ึงเรียกว่าวิธีการเลีย้ งแบบเปลี่ยนถงั วิธีนีเ้ ป็นวิธีท่ีง่ายและได้ ผลผลติ นา่ พอใจและใช้แรงงานน้อย ข. การเลีย้ งแบบเก็บผลผลิตบางส่วน วิธีนีต้ ้องใช้ถงั ขนาดใหญ่หลายใบหรือตามความ ต้องการ ในการเลีย้ งเร่ิมแรกให้เพาะเชือ้ คลอเรลลาในถงั เลยี ้ งโรติเฟอร์ และให้เพาะเชอื ้ โรติเฟอร์ลงใน ถัง เม่ือได้ความหนาแน่นของโรติเฟอร์จานวนมากแล้วให้ตักโรติเฟอร์ออกบางส่วนหรือประมาณ 1/3-1/5 ของถัง ส่วนจะตกั ออกจานวนมากเท่าใดให้สงั เกตจากอัตราการสืบพันธ์ุของโรติเฟอร์เป็น หลกั คือ ถ้าโรติเฟอร์มีอตั ราการสืบพันธ์ุเร็วให้ตกั ออกมาก จากนนั้ เติมคลอเรลลาลงในถงั อีก ดงั นนั้ วิธีการเลีย้ งแบบเก็บเก่ียวผลผลิตเพียงบางส่วนจะสามารถเก็บเก่ียวผลผลิตปริมาณมากๆ ได้ทกุ วัน อย่างไรก็ตาม นา้ ในถงั เลีย้ งอาจมีคณุ สมบตั ิเปล่ียนไปจากเดิม คือ จากเม่อื เร่ิมต้นทาการเลีย้ ง ดงั นนั้ ระยะเวลาที่สามารถเกบ็ เกี่ยวผลผลติ ได้สงู สดุ จะนานเพียง 15-30 วนั เท่านนั้ หลงั จากช่วงนแี ้ ล้ว ต้อง เก็บเก่ียวผลผลิตให้หมดถงั แล้วทาความสะอาดถงั เพื่อเริ่มต้นการเลยี ้ งใหม่

39 อาหารท่ใี ช้เลีย้ งโรติเฟอร์ โรตเิ ฟอร์กนิ อาหารได้หลายชนิด ได้แก่ สาหร่ายขนาดเล็ก (microalgae) ยีสต์ แบคทเี รีย และตะกอนในนา้ แต่อาหารท่ดี ที ส่ี ดุ ในการเลีย้ งโรติเฟอร์คอื คอลเรลลาทะเล และยสี ต์ขนมปัง ขนม ปังมรี าคาแพงกวา่ คลอเรลลา เพราะต้องซอื ้ จากท้องตลาด แต่คลอเรลลาสามารถนามาเลีย้ งได้เอง โดยการแยกเชือ้ หรือคดั พนั ธ์ุจากนา้ กร่อยทม่ี ีช่วงความเค็มระหว่าง 10-20 ppt วธิ ีการเพาะเลีย้ งโรตเิ ฟอร์ในบ่อ 10 ตนั 1. ใสค่ ลอเรลลาลงในบอ่ โรตเิ ฟอร์ และเติมนา้ จืดลงได้นา้ เตม็ บ่อไมเ่ กิน 20 พพี ีที นนั่ คือใสน่ า้ คลอเรลลา ประมาณ 2 สว่ นและนา้ จดื ประมาณ 1 สว่ น วดั ตวามโปร่งใสของนา้ 2. ใสพ่ นั ธ์ุโรตเิ ฟอร์ที่เตรียมไว้ลงไปให้เหมาะสมกบั ปริมาณคลอเรลลาในข้อ 1 เช่น ถ้าวดั ความโปร่งใสของ คลอเรลลาได้ 50 ซม.ให้ใสโ่ รตเิ ฟอร์ท่ีกรองจากบ่อเก่า 30-50 % ถ้าความโปร่งใส 70 ซม.ให้ใสโ่ รติเฟอร์ทีก่ รองจากบ่อเก่า 10-30 % 3. ให้ฟองอากาศ 4. ปิดบอ่ ด้วยผ้าพลางแสง 50-80 % เพ่ือปอ้ งกนั การเจริญเติบโตของไดอะตอมธรรมชาติ 5. วดั อณุ หภมู ขิ องนา้ 6. ครบ 1 วนั วดั อณุ หภูมิของนา้ ถ้าอณุ หภูมิประมาณ 30 องศาเซลเซียส เก็บเกี่ยวโรติเฟอร์ ไปใช้ 50 องศาเซลเซียส และถ้าอุณหภูมิ 32-25 องศาเซลเซียส เก็บเก่ียว 70-80 %โดยใช้วิธีถ่ายนา้ ผ่านถุงกรองขนาดตา 60 ไมครอน ผูกปลายอีกข้างหนึ่งไว้ให้แน่น คอยระวังให้โรติเฟอร์อยู่ในนา้ ตลอดเวลาเพ่ือไม่ให้โรติเฟอร์แห้งตายเม่ือถงุ กรองเริ่มตนั จึงเปิดปากถุงเพ่ือถ่ายโรติฟอร์ที่กรองได้ลง ในถงั ทม่ี นี า้ ไปใสร่ วมกนั ในถงั ใหญ่ให้กินคลอเรลลา ก่อนแบ่งโรติเฟอร์ให้ลกู ก้งุ แตล่ ะบ่อกิน 7. เติมคลอเรลลาผสมนา้ จดื ให้ได้ความเคม็ ไมเ่ กิน 20 พพี ีที ลงไปจนเตม็ บ่อ 8. ดาเนินการตาม ข้อ 3-7 9. เติมคลอเรลลาผสมนา้ ความเค็มไม่เกนิ 20 พพี ที ี ลงไปจนเตม็ บ่อ 10. ดาเนินการตาม ข้อ 3-5 11. ครบ 1 วนั เก็บเกี่ยวโรติเฟอร์ทงั้ หมดแล้วล้างบ่อเพาะใหม่ 12. ดาเนินการตาม ข้อ 1-11 จนลกู ก้งุ เข้าระยะโพสลาวา 5 จึงหยุดเพาะและเก็บโรติเฟอร์สว่ น หน่ึงเป็นพนั ธ์ุโดยเลีย้ งไว้ในแก้วหรือในโหลเล็กทีอ่ ณุ หภมู หิ ้องใสโ่ รติเฟอร์น้อยๆในคลอเรลลา หนาแน่น เม่ืออาหารหมด (4-5วนั ) นา้ ใสจึงเลีย้ ง ใหมใ่ นปริมาตรเดิมหรือถ้าพบไขพ่ กั (resting egg) ของโรตเิ ฟอร์ ซง่ึ มลี กั ษณะคล้ายไขป่ กตแิ ตม่ กั มสี ีออกนา้ ตาลมากกว่าและมกั มีคล้ายชอ่ งว่างอยใู่ น เซลล์ไข่ สามารถรวบรวมมาเกบ็ รักษาไว้ในต้เู ย็นช่องธรรมกาได้นานเป็นปี เมื่อจะใช้จึงนาออกมาจาก ต้เู ยน็ รอให้ไขฟ่ ักเป็นตวั แล้วจึงนาไปเลีย้ งต่อไป

40 ศตั รูของโรติเฟอร์ ศตั รูของโรติเฟอร์ที่สาคญั ได้แก่ โคพีพอดหรือโปรโตซวั ชนิดมีขน (ciliated protozoa) ซึ่งจะ ไปแย่งอาหาร และบางชนิดยังกินโรติเฟอร์เป็นอาหารทาให้การเจริญเติบโตของโรติเฟอร์ไม่ดี เท่าที่ควร ดงั นัน้ จึงต้องระมัดระวงั อย่าให้โคพีพอดและโปรโตซวั กล่มุ นีเ้ กิดขึน้ ในถงั เลีย้ งโรติเฟอร์ เดด็ ขาด วิธีการเก็บเก่ยี วโรตเิ ฟอร์ ใช้ถงุ แพลงก์ตอนขนาดตา 75 ไมครอน กรองโรติเฟอร์ ล้างด้วยนา้ ทะเลอกี ครัง้ แล้วจึงนาโรติ เฟอร์ไปเลีย้ งลูกกุ้งหรือลูกปลา ถ้าความเค็มของนา้ ในบ่อลูกสัตว์นา้ มีค่าเท่ากับ (หรือต่างกัน เล็กน้อย) นา้ ในถังเลีย้ งโรติเฟอร์ โรติเฟอร์ท่ีไม่ถูกกินจะอยู่ในบ่ออนุบาลนานประมาณ 1 วัน ถ้า ความเค็มของนา้ ในบ่อลูกสตั ว์นา้ ต่าหรือสูงกว่า 15 ppt จากระดับความเค็มของนา้ ในถังเลีย้ งโรติ เฟอร์ โรตเิ ฟอร์ประมาณ 50 % จะมชี ีวิตอย่ไู ด้นาน 1 วนั เทคนิคการเพาะเลยี้ งและการใช้ไรนา้ นางฟ้า ภาพท่ี 19 แสดงการเพาเลีย้ งไรนา้ นางฟ้า ไรนา้ นางฟา้ เป็นสตั ว์นา้ จืดชนดิ หนึ่งคล้ายก้งุ คนพืน้ บ้านเรียก แมงอ่อนช้อย แมงแงว แมง หางแดง และแมงนา้ ฝน จดั อย่ใู น ไฟลมั อาร์โทรโปดา ไฟลมั ยอ่ ยครัสเตเซีย คลาสแบรงคิโอโปดา อนั ดบั อะนอสตราคา แตไ่ มม่ ีเปลือกแข็งห้มุ จดั อยใู่ นประเภทสตั ว์โบราณ เนื่องจากมขี าวา่ ยนา้ จานวน 11 คู่ และมพี ฤติกรรมว่ายนา้ แบบหงายท้องโดยใช้ขาชว่ ยกรรเชียงนาโบกพดั อาหารเข้าปาก ตวั ผ้มู ีขนาดใหญ่กวา่ ตวั เมียเล็กน้อย ลาตวั ยาวโดยเฉล่ยี 2 เซนตเิ มตร สว่ นหางแยกเป็นสองแฉกมีสี แดงส้ม บริเวณหวั มตี าขนาดใหญ่ มกี ้านตายาว 1 คู่ มหี นวด 2 คู่ หนวดคทู่ ี่ 2 ของตวั ผ้เู ปล่ยี นแปลง ไปใช้สาหรับการจบั ตวั เมีย เวลาผสมพนั ธ์ุและใช้เพื่อการจาแนกชนิด ตวั เมยี มถี งุ ไข่ 1 ถงุ อย่บู ริเวณ กลางลาตวั ด้านท้อง ไข่ท่ีตวั เมียสร้างขนึ ้ จะพฒั นาให้มีเปลอื กหนา เป็นการปรับตวั เพื่อท่จี ะอาศยั อยู่

41 ในแหลง่ นา้ ชวั่ คราว เชน่ คลองข้างถนน นาข้าว และปลกั ควายที่มีนา้ ขงั เฉพาะหน้าฝนเท่านนั้ สาหรับ อาหารของไรนา้ นางฟ้า ได้แก่ แพลงก์ตอนสตั ว์ โปรโตซวั อินทรียสารและแพลงก์ตอนพชื ในประเทศ ไทยพบไรนา้ นางฟ้าชนิดใหม่ของโลก 3 ชนิด คือ 1. ไรนา้ นางฟ้าสิรินธร (Streptocephalus sirindhornae , Sanoamuang, Murugan, Weekers & Dumont, 2000) ลาตวั ใสหรือสีฟ้า หางแดง ลาตวั ยาวประมาณ 1.5-3.0 เซนติเมตร ไข่ เป็นรูปวงกลมคล้ายตะกร้าเป็นชนิดทแี่ พร่หลายกว่าชนิดอื่น 2. ไรนา้ นางฟ้าไทย (Branchinella thailandensis , Sanoamuang , Saengphan & Murugan , 2002) มีลาตวั สสี ้มแดงตลอดทงั้ ตวั ตวั ยาวประมาณ 1.7-4.0 เซนตเิ มตร ไขเ่ ป็นรูป วงกลมคล้ายตะกร้อแต่มีขนาดใหญ่กวา่ ไรนา้ นางฟ้าสริ ินธร 3. ไรนา้ นางฟา้ สยาม (Streptocephalus siamensis ,Saengphan & Sanoamuang) ลาตวั ใสหรือสีฟ้าอ่อนคล้ ายไรนา้ นางฟ้าสิรินธร แต่มีขนาดเล็กกว่า โดยมีตัวยาวประมาณ 1.1-2.0 เซนติเมตร ไข่มีลักษณะเป็นสามเหล่ียมคล้ายปิระมิด และเป็นชนิดท่ีหายากมาก คุณค่าทาง โภชนาการของไรนา้ นางฟ้า มีโปรตีน 64.94 % ไขมัน 5.07 % คาร์โบไฮเดรต 17.96 % มีความ เข้มข้นของสารกล่มุ แคโรทีนอยด์สูงถึง 1,143 ไมโครกรัมต่อนา้ หนักแห้ง 1 กรัม จึงเหมาะท่ีจะนามา เป็นอาหารของปลาสวยงาม เพื่อเร่งสีสันทาให้ปลามีความสวยงามมากย่ิงขึน้ จากการสารวจของ ศ.ดร.ละออศรี เสนาะเมือง คณบดีคณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ซ่งึ เป็นท่านแรกท่ีค้นพบ ไรนา้ นางฟ้าชนิดใหม่ของโลก ซึ่งได้เดินทางไปสารวจและเก็บตัวอย่างสัตว์นา้ ขนาดเล็กจาพวก แพลงก์ตอนในแหล่งนา้ จืดเขตร้อนทางภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือไปจนถึงภาคตะวนั ออกและภาคใต้ จนกระทงั่ ปลายฤดฝู นในปี พ.ศ. 2536 ได้พบไรนา้ นางฟา้ เพศเมียแต่ไมพ่ บไรนา้ นางฟ้าเพศผู้ ต่อมาปี พ.ศ. 2541 ได้สารวจพบไรนา้ นางฟ้าทงั้ เพศผ้แู ละเพศเมีย ซงึ่ เป็นตวั เต็มวยั ทงั้ ยงั ได้จาแนกชนิดจาก ท่ีในโลกมี 50-60 ชนิด สาหรับไรนา้ นางฟ้าชนิดแรกท่ีพบในจงั หวดั หนองบวั ลาภู มีลกั ษณะแตกต่าง กบั ท่ีพบในแหลง่ อื่น ๆ ของโลก โดยได้รับพระราชทานชือ่ ว่า ไรนา้ นางฟา้ สิรินธร หลงั จากนนั้ ได้พบไร นา้ นางฟ้าชนิดท่ี 2 จงึ ให้ชื่อวา่ ไรนา้ นางฟ้าไทย ในขณะเดียวกนั ได้ทาการเก็บตวั อยา่ งเพิ่มเติม พบไร นา้ นางฟ้าชนิดใหม่อีกให้ชื่อว่า ไรนา้ นางฟ้าสยาม โดยพบที่จงั หวัดสพุ รรณบุรีและกาญจนบุรี ไรนา้ นางฟ้าสองชนิดเป็นสัตว์นา้ ประจาถ่ิน ของไทย ลักษณะลาตัวใส ๆ หางมีสีแดงหรือสีส้ม แต่ไรนา้ นางฟ้าสยามยงั พบที่ประเทศลาว ซึ่งช่วงหน่ึงของชีวิตไรนา้ นางฟ้าต้องการอยู่ใน พืน้ ท่ีนา้ แห้ง ไข่มี เปลอื กหนา เป็นซสี อยใู่ นพืน้ ดินเม่ือฝนตกไข่ไรนา้ นางฟา้ ได้รับนา้ ฝนกจ็ ะพฒั นาฟักเป็นตวั โดยจะพบ ในบ่อเล็กบ่อน้อย สว่ นบ่อหรือบงึ ขนาดใหญ่จะไมพ่ บไรนา้ นางฟ้าทว่ั ทกุ ภาคของประเทศไทยสามารถ เพาะพันธ์ุไรนา้ นางฟ้าได้ โดยปัจจยั ที่สาคญั ที่สดุ คือ นา้ สะอาด ในธรรมชาติภายหลงั จาก ฝนตก 1 เดือนมีนา้ ขงั กจ็ ะพบไรนา้ นางฟ้าในแหลง่ นา้ โดยเฉพาะทางภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ

42 วสั ดุอุปกรณ์ท่จี าเป็ นในการใช้เพาะพันธ์ุไรนา้ นางฟ้ามีดังนี้ 1. ภาชนะ 1.1 บอ่ ซเี มนต์ทรงกลม ขนาดเส้นผา่ ศนู ย์กลาง 1 เมตร ลกึ 50-100 เซนติเมตร ซง่ึ สะดวกในการใช้เป็นอยา่ งมาก 1.2 กะละมงั ขนาดขึน้ อย่กู บั ความต้องการใช้เลีย้ งไรนา้ นางฟ้า 1.3 ถงั พลาสติกสีดา 1.4 บอ่ ดนิ ขนาดท่ีเกษตรกรนิยมใช้ คือ 0.5-1 ไร่ บอ่ ดนิ ดีทีส่ ดุ เพราะไม่ต้องเติม อากาศ เป็นแบบธรรมชาติ ไม่ต้องให้ อาหารเสริม ไรนา้ นางฟา้ สามารถดารงชีวิตอย่ไู ด้ สภาพการ เตมิ อากาศเป็นแบบ Air Water Link คือ ให้นา้ ข้างลา่ งขนึ ้ มาข้างบน หรือใช้ หวั ทรายหรือระบบกรอง ทใี่ ช้ในการเลีย้ งปลาสวยงาม 2. แสงแดด ไรนา้ นางฟ้าต้องการแสงแดดด้วย เพ่ือช่วยในการสงั เคราะห์อาหารของไรนา้ นางฟ้า สาหรับบ่อดนิ เป็นบ่อเปิดรับ แสงแดดได้ทวั่ ทงั้ บ่อ หากสร้างโรงเรือนต้องให้ได้รับแสงอาทิตย์ ด้วย โรงเรือนแบบเปิดในชว่ งฤดรู ้อน ควรทาหลงั คามสี แลนคลมุ บงั พนื ้ ท่ี 50 % หากเป็นช่วงฤดหู นาว ไม่คอ่ ยมแี สงแดดจะเปิดสแลนออกให้ได้รับแสงแดด 100 % 3. นา้ มนี า้ สะอาดเพื่อใช้ในการเลีย้ งเหมือนสตั ว์นา้ ทว่ั ไป เช่น นา้ ประปา และนา้ จากแหลง่ นา้ ธรรมชาติ ไรนา้ นางฟ้าไม่จาเป็น ต้องใช้อปุ กรณ์ราคารแพง นา้ ประปาเหมาะสมท่สี ดุ แต่ต้องเป็น นา้ ท่ปี ราศจากคลอรีน โดยเปิดนา้ ประปาทงิ ้ ไว้อย่างน้อย 24 ชว่ั โมง เพือ่ ให้คลอรีนเจือจางลง เพราะ คลอรีนจะมีผลกระทบภายหลงั การฟักตวั ของไรนา้ นางฟ้า จากนนั้ ใช้ระยะเวลา 24 ชว่ั โมง ไข่จะฟัก เป็นตวั เม่ือลกู ไรนา้ - 5 -นางฟ้ามอี ายุ 10-12 ชวั่ โมงต้องให้อาหาร มฉิ ะนนั้ ตวั อ่อนจะตายไรนา้ นางฟา้ กนิ อาหารจาพวกสาหร่าย อนิ ทรียสาร แบคทเี รีย และอาหารท่ีให้กนิ กห็ าได้ง่าย เช่น นา้ เขยี ว การทานา้ เขียว โดยหาหวั เชือ้ นา้ เขียวได้จากสถานีประมงซง่ึ ตงั้ อยเู่ กือบทกุ จงั หวดั แล้วนามาขยาย ปริมาณ สว่ นผสมการทานา้ เขียวประกอบด้วย ป๋ ยุ ยเู รีย ป๋ ยุ สตู ร 16-20-0 ราข้าว ปนู ขาว การเพาะนา้ เขยี วต้องอาศยั แสงแดด ในกรณีท่ีเป็นบ่อซีเมนต์ทรงกลมขนาดเส้นผ่าศนู ย์กลาง 1 เมตร ต้องมี จานวน 3-4 บ่อ เพื่อสารองผลิตนา้ เขียวให้มีปริมาณเพยี งพอต่อการขยายพนั ธ์ุไรนา้ นางฟา้ การให้ อาหารจะให้วนั ละ 2 ครัง้ คือ ตอนเช้าและตอนเย็น แต่ทศ่ี นู ย์วิจยั อนกุ รมวธิ านประยกุ ต์จะใช้ระบบ นา้ หยด โดยนา้ เขียว ค่อย ๆ หยดผ่านทอ่ แอสรอนครัง้ ละ 1-2 หยดเตมิ ครัง้ เดียวใช้ได้ 1-2 วนั ถ้าเลยี ้ ง ไรนา้ นางฟ้าอตั ราความหนาแน่นเกนิ 30 ตวั ต่อลิตร ต้องให้ อาหารมากสกั หน่อย การสงั เกตคุ วาม สมบรู ณ์ของไรนา้ นางฟ้าตวั อ่อนสมบรู ณ์จาก ทางเดินอาหารมีสีเขียว ท่อลาไส้จะยาว ถ้าใสอ่ าหาร เยอะ นา้ เขียวมากจะเป็นทีส่ ะสมของของเสยี ซงึ่ ไมเ่ ป็นผลดตี ่อการดารงชีวิตของไรนา้ นางฟา้ วงจร ชีวติ ของไรนา้ นางฟา้ ไขไ่ รนา้ นางฟ้าใช้เวลาฟักเป็นตวั ประมาณ 24 ชวั่ โมง เมื่อมีอายุ 8-9 วนั จะ เจริญเตบิ โตมไี ข่และ พฒั นาขยายพนั ธ์ุได้อีกทกุ ๆ วนั โดยเฉลย่ี วางไขว่ นั ละ 1 ครัง้ ครอกละ 500 ฟอง หากเป็นบ่อดิน ไขจ่ ะไปกองบริเวณพนื ้ บ่อทาให้ไมส่ ามารถ เก็บไข่ได้ ถ้าเป็นกะละมงั หรือบ่อ

43 ซีเมนต์จะเกบ็ ไข่ได้ง่ายกวา่ การปอ้ งกนั ไข่ไรนา้ นางฟ้าติดไปกบั นา้ ที่ระบายทิง้ ให้ใช้ผ้ากรองปิดท่ี ปลายท่อระบายนา้ ทงิ ้ นาไข่มาแช่นา้ 2 สปั ดาห์ แล้วนามาทาให้แห้งเพอื่ เกบ็ ไว้ขยายพนั ธ์ุในครัง้ ตอ่ ไป ซงึ่ ถือเป็นเคล็ดลบั มิฉะนนั้ จะทาให้ การเพาะพนั ธ์ไุ รนา้ นางฟา้ ไมป่ ระสบผลสมั ฤทธิ์ หากไขท่ ี่ ผา่ นการแช่นา้ แล้ว เปอร์เซ็นต์การฟักจะสงู ถึงร้อยละ 90 ไขไ่ รนา้ นางฟ้ามขี นาด เล็กกว่าไขอ่ าร์ทีเมีย และเป็นไขจ่ มนา้ สว่ นไข่อาร์ทเี มยี จะลอยนา้ ไรนา้ นางฟา้ ไทยมีอายขุ ยั 25-30 วนั ไรนา้ นางฟา้ สยาย มีอายขุ ยั 69-119 วนั ประโยชน์ของไรนา้ นางฟ้า 1. ใช้ในวงการเพาะพนั ธ์ุสตั ว์นา้ เช่น การเพาะพนั ธ์ุก้งุ กลุ าดา ก้งุ ขาว ก้งุ ก้ามกราม 2. ใช้ในการเลีย้ งปลาสวยงาม เช่น ปลาหมอสี 3. ใช้ในการปรุงอาหาร เช่น แกง หมก 4. ใช้ทดแทนการนาเข้าอาร์ทีเมียท่ีต้องสงั่ ซอื ้ จากต่างประเทศ ชว่ ยลดภาวะการขาดดลุ ของประเทศ 5. สามารถเสริมสร้างอาชพี และรายได้ให้ผ้ปู ระกอบการ เทคนิคการเพาะเลยี้ งและการใช้ลูกนา้ ยงุ ภาพท่ี 20 แสดงลกู นา้ ของยงุ ลกู นา้ หรือตวั อ่อนของยงุ สามารถนาไปใช้เป็นอาหารสาหรับปลาสวยงามหลายชนดิ ได้เป็น อย่างดี โดยเฉพาะปลากดั ที่ใช้กนั เช่น Aedes aegypti (aedes) หรือท่ีเรารู้จกั กันเป็นอย่างดีในช่ือ “ยุงลาย” น่ันเอง อันท่ีจริงแล้วการเลีย้ งยุงชนิดอ่ืนๆ ก็ไม่ได้แตกต่างกันซกั เท่าไร ยุงชนิดนีม้ ีนิสัย ค่อนข้างชอบแสงสว่าง ชอบวางไข่ในนา้ สะอาด หลงั จากท่ีมีการผสมพันธ์ุยุงตัวเมียจะต้องดดู เลือด เพื่อนาไปช่วยในการสร้างไข่ ในการวางไข่จะวางไข่ติดกบั ภาชนะท่ีอย่เู หนือผิวนา้ เล็กน้อยซึ่งยงุ หนึ่ง ตัวจะวางไข่ได้ 70-100 ฟอง ยุงชนิดนีจ้ ะอยู่เป็นลูกนา้ จนถึงเป็นตัวโม่งใช้เวลาประมาณ 7 วัน หลงั จากเป็นตวั โมงประมาณ 2 วนั กจ็ ะกลายเป็นยงุ

44 การเตรียมอุปกรณ์การเลีย้ ง 1. กรงเลยี ้ ง ขนาด 12x12x12 นวิ ้ ด้านลา่ งควรเป็นผิวเรียบ ด้านหน้าเจาะเป็นรูขนาด 6.5 นวิ ้ กรงเลีย้ งยงุ ท่เี จาะช่องสาหรับนาอปุ กรณ์เข้าไปในกรง 2. ผ้ายดื เยบ็ เป็นถงุ ยาว 2 ฟตุ เอาไว้สวมด้านหน้ากรง 3. อปุ กรณ์ให้นา้ หวาน ใช้ขวดปากกว้าง (ขวดซุปไก่สกดั ) ไม้เสยี บลกู ชนิ ้ ยาว 10 ซม. และ ลาลี การเตรียมสาลีพนั ไม้สาหรับใช้ชบุ นา้ หวาน 4. ถ้วยสงู ประมาณ 2 นวิ ้ เส้นผ่านศนู ย์กลาง 4 นิว้ 5. ภาชนะสาหรับให้ยงุ วางไข่ เส้นผา่ นศนู ย์กลาง 3.8 นวิ ้ สงู 4 นวิ ้ 6. กระดาษสาหรับให้ยงุ ว่างไข่ควรเป็นสนี า้ ตาล กว้าง 2 นิว้ ยาวเท่ากบั เส้นรอบวงของ อปุ กรณ์สาหรับให้ยงุ วางไข่ 7. กระดาษสาหรับปพู นื ้ กรงขนาดเท่ากบั พืน้ กรง 8. กระบะสาหรับเพาะฟักยงุ กว้าง 9 นวิ ้ ยาว 13 นวิ ้ สงู 5 นวิ ้ 9. กรงสาหรับใสห่ นู เพอ่ื ให้ยงุ มาดดู เลือด อาหารท่เี ราจะใช้เลยี้ งยงุ ในแต่ละช่วงวยั เร่ิมจาก ช่วงท่ีเป็นลกู นา้ ถงึ ตวั โมง่ ให้อาหารปลาท่ใี ช้เลีย้ งปลาสวยงาม ต่อไปก็ช่วงตวั เต็ม วยั จะให้นา้ หวานเทียม โดยใช้สาลพี นั ธ์ุกบั ไม้แล้วชบุ นา้ หวานนาไปใสใ่ นขวดตงั้ ให้ไว้ยงุ กิน การเตรียมนา้ หวานเทยี มเตรียมได้จาก 1. นา้ ตาลทราย 1 กรัม 2. Medvitin syrup 0.75 กรัม 3. นา้ กลน่ั หรือนา้ สะอาดต้มสกุ 10 ลิตร สดุ ท้ายชว่ งหลงั จากที่ยงุ ผสมพนั ธ์ุกนั ต้องให้ยงุ กนิ เลือด ซงึ่ การให้เลือดแกย่ ุงเราจะให้หนู แฮมส์เตอร์ ในการเลีย้ งยุงนัน้ ไข่ยุงที่เราจะนามาเพาะพันธ์ุ ควรปลอดจากเชือ้ ของโรคทุกชนิดและมา จากแหล่งท่ีเช่ือถือได้ เม่ือได้ไข่ของยุงมาแล้วก็นามาเพาะฟักในกระบะที่ใส่นา้ ไว้ซัก 1 ใน 3 ทิง้ ไว้ที่ อณุ หภูมิ 25-30°c (อุณหภูมิห้อง) (ประมาณ 2 ชั่วโมงไข่ก็จะเริ่มฟักหลงั จากแช่ไว้ในนา้ ) ทิง้ ไว้ 12 ชว่ั โมง หรือ หน่ึงคืนจึงนากระดาษไข่ออก แล้วใส่อาหารลงไป 4 เม็ด ต่อ ลกู นา้ 500-1,000 ตัว ควร เปลี่ยนนา้ ทุกๆ 2 วันและเพ่ิมปริมาณอาหารเป็น 6 เม็ด ต่อ ลูกนา้ 500-1000 ตัว หากต้องการให้ ลูกนา้ โตเร็วอย่าให้ลูกนา้ อยู่กันอย่างหนาแน่นเกินไปหนึ่งกระบะควรมีลกู นา้ ยุงประมาณ 200-300 ตวั ลกู นา้ ท่ีมอี ายุ 5-7 วนั จะเร่ิมโตเต็มทีแ่ ละกลายเป็นตวั โม่ง ช่วงท่ีเป็นตวั โม่งให้ดดู เอาตวั โมง่ ใสถ่ ้วย นา้ แล้วนาไปไว้ในกรงก่อนเป็นตวั ยงุ ซงึ่ หลงั จากที่เป็นตวั โม่งจะใช้เวลาประมาณ 2 วนั กจ็ ะกลายเป็น ตวั ยุง ช่วงนีจ้ ะให้ยุงกินนา้ หวานและควรเปล่ียนนา้ หวานวนั เว้นวนั เมื่อเป็นตวั ยุงแล้ว 7-8 วัน ก็จะ

45 เริ่มผสมพนั ธ์ุกนั ซึง่ ใช้เวลา 2-3 วนั แล้วจึงให้อดนา้ หวาน 1-2 วนั จากนนั้ ให้อาหารยงุ โดยการนาหนู ใสก่ รงเล็กขนาดพอดีตวั ปิดหัวท้าย นาไปทิง้ ไว้ในกรงยงุ 3-4 ช่ัวโมงจึงเอาออก และทาความสะอาด กรงยุง นานา้ หวานชดุ ใหม่และนาภาชนะสาหรับให้ยุงวางไข่ ซ่ึงใสน่ า้ ประมาณครึ่งหนึ่งของภาชนะ และใช้กระดาษชุบนา้ พันรอบด้านในโดยให้กระดาษคร่ึงหนึ่งจมอยู่นา้ ใส่เข้าไปไว้ในกรงยุงทิง้ ไว้ ประมาณ 2-3 วัน จึงนากระดาษที่ยุงวางไข่ไว้เต็มมาผ่ึงลมให้แห้ง ควรจด วัน/เดือน/ปี ลงไปบน ก ระ ด า ษ นั้น แ ล ะ เก็ บ ไว้ ใน ก ล่ อ ง ท่ี แ ห้ ง ส นิ ท ไม่ ชื ้น เพ่ื อ จ ะ ได้ เก็ บ ไว้ ได้ น า น นั บ ปี คาถามท้ายบท 1. จงอธิบายวิธีการเพาะเลยี ้ งแพลงก์ตอนสตั ว์มา 1 ชนิด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook