คมู อื การเขยีดนา นบกทฎคหวามมาวยชิ าการ จดั ทำโดย สำนักกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาผูแ ทนราษฎร พทุ ธศักราช 2561
คมู่ ือการเขียน บทความวชิ าการด้านกฎหมาย สานกั กฎหมาย สานักงานเลขาธิการสภาแทนราษฎร มถิ นุ ายน 2561
ง
เร่อื ง ค่มู ือการเขยี นบทความวชิ าการด้านกฎหมาย ปที ่พี มิ พ์ จานวนหนา้ 2561 จานวนพมิ พ์ จัดทาโดย 160 หน้า พิมพท์ ี่ 150 เล่ม สานักกฎหมาย สานกั งานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ถนนอทู่ องใน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2357 3100 ตอ่ 3130 โทรสาร 0 2357 3100 ต่อ 3122 สานักการพิมพ์ สานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ถนนประดพิ ัทธ์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรงุ เทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2244 2117 โทรสาร 0 2244 2122
ง
ก คำนำ สำนักกฎหมำย สำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร มีบุคลำกรในสำยงำนวิทยำกำร ท่ีปฏิบัติงำนเกี่ยวกับกำรเขียนบทควำมทำงวิชำกำรโดยเน้นกำรเขียนบทควำมทำงวิชำกำร ด้ำนกฎหมำยเป็นหลัก มีกำรนำเสนอเน้ือหำสำระของกฎหมำย ซ่ึงได้จำกกำรศึกษำค้นคว้ำเอกสำร ทำงวิชำกำรด้ำนกฎหมำยต่ำง ๆ จำกนั้น นำมำกลั่นกรอง เรียบเรียงเขียนข้ึนใหม่ โดยเน้ือหำสำระ ของบทควำมทำงวิชำกำรด้ำนกฎหมำยท่ีนำเสนอนั้น มีพื้นฐำนอยู่ในสำขำวิชำกฎหมำย ซ่ึงประกอบด้วยควำมรู้ ข้อเท็จจริง หรือมุมมองทรรศนะใหม่ ๆ ในด้ำนกฎหมำยท่ีผ่ำนกำรค้นคว้ำ วเิ ครำะห์และกำรแทรกควำมคิดเห็น ข้อเสนอทำงวิชำกำรตำมควำมเหน็ ของผู้เขียน เพ่ือสนับสนุนงำน ด้ำนกระบวนกำรนิตบิ ัญญตั ิให้แก่สมำชิกสภำผูแ้ ทนรำษฎร บุคลำกรในวงงำนรัฐสภำ และเพอ่ื เผยแพร่ ต่อผู้สนใจทั่วไป ผ่ำนหลำยช่องทำง เช่น ทำงเว็บไซต์ของสำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร อินทรำเน็ต และทำงสถำนีวิทยุกระจำยเสียงรัฐสภำ (FM 87.5 MHz) อีกทั้งบทควำมทำงวิชำกำร ดังกล่ำวสำมำรถนำไปใช้ประกอบกำรปฏิบัติงำน ซ่ึงก่อให้เกิดองค์ควำมรู้ใหม่ และเป็นประโยชน์ ตอ่ กำรพฒั นำงำนตอ่ ไปในอนำคต สำนักกฎหมำย จึงได้จัดทำ “คู่มือกำรเขียนบทควำมวิชำกำรด้ำนกฎหมำย” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้บทควำมวิชำกำรด้ำนกฎหมำย ของสำนักกฎหมำย มีคุณค่ำ มีประโยชน์ และเชื่อถือได้ ตลอดจนเป็นประโยชน์ต่อเจ้ำหน้ำที่ผู้ปฏิบัติงำนให้มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจ สำมำรถปฏิบัติงำนได้อย่ำง ถูกต้อง รวดเร็ว มีประสิทธิภำพในกำรปฏิบัติงำน และก่อให้เกิดบทควำมวิชำกำรด้ำนกฎหมำย ทมี่ คี ณุ ภำพภำยใตม้ ำตรฐำนเดยี วกัน คณะผจู้ ัดทำหวังเปน็ อยำ่ งย่งิ ว่ำ คมู่ ือกำรเขียนบทควำมวิชำกำรด้ำนกฎหมำย จะเป็นประโยชน์ ในกำรเขียนบทควำมทำงวิชำกำรเกี่ยวกับกฎหมำยต่อหน่วยงำนภำยใน บุคลำกรของสำนักงำน เลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎร บุคลำกรในวงงำนรัฐสภำ และผู้สนใจทั่วไป สำมำรถศึกษำไดด้ ว้ ยตนเองและนำไปปรบั ใช้ให้เกดิ ประโยชน์ไดต้ ่อไป สำนักกฎหมำย สำนกั งำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร มิถนุ ำยน 2561
ง
ข สารบญั หน้า คา ………………………….................................................................................................................... ก สารบัญ ......................................................................................................................................... ข สว่ นที่ 1 ความสาคญั ของการจดั ทาคมู่ ือการเขยี นบทความวิชาการดา้ นกฎหมาย ความสาคัญ ………………………………………………………………………………….............……... 1 ส่วนที่ 2 โครงสรา้ งของบทความวิชาการดา้ นกฎหมาย 2.1 ช่ือเร่ือง …………………………………………………………….………………………….…….…… 3 2.2 บทนา ………………………………………………………………………………….……...…………. 4 2.3 เน้อื หา ................................................................................................................. 5 2.4 บทวเิ คราะหแ์ ละบทสรปุ ..................................................................................... 9 สว่ นที่ 3 รูปแบบการจดั ทาบทความวิชาการด้านกฎหมาย 3.1 ส่วนปก ................................................................................................................ 13 3.2 ส่วนเนอ้ื หา .......................................................................................................... 15 3.3 สว่ นประกอบท้ายเรอ่ื ง ………………………………………………………………..………….… 16 3.4 เร่ืองทว่ั ไปเก่ยี วกับการพิมพ์ ................................................................................ 17 3.5 การลาดบั หนา้ ...................................................................................................... 19 3.6 การพิมพ์ปก ช่ือบทความและหวั ขอ้ ในบทความ .................................................. 19 3.7 การพิมพ์อัญประภาษ (Quotation) ……………………………………………………..…… 20 ส่วนที่ 4 ขน้ั ตอนการดาเนินการ 4.1 การพจิ ารณาเลอื กหวั ขอ้ ของบทความ ................................................................ 21 4.2 การคน้ คว้าและรวบรวมเนื้อหาทีเ่ กีย่ วขอ้ ง ......................................................... 21 4.3 การศกึ ษาวเิ คราะหแ์ ละสังเคราะห์ข้อมูล ........................................................... 22 4.4 การจัดวางโครงสร้างของบทความ ..................................................................... 20 4.5 การเขียนบทความ ............................................................................................. 23 4.6 การจดั พิมพ์ตามรปู แบบของบทความและการตรวจสอบความถูกต้อง .............. 24 4.7 การนาเสนอต่อผ้บู ังคับบัญชา ............................................................................ 24 4.8 การเผยแพร่บทความ ........................................................................................ 24
ค ส่วนที่ 5 เทคนิคการเขยี นบทความวิชาการด้านกฎหมาย 5.1 เทคนิคการจัดทาบทความวชิ าการดา้ นกฎหมายให้มีคณุ ภาพ ......................... 25 5.1.1 การเตรยี มความพรอ้ ม .......................................................................... 25 5.1.2 การทบทวนวรรณกรรม …………………………………………….………………… 25 5.1.3 เทคนิคการใช้ 5W1H ………………..……………………………….……….…….… 25 5.1.4 เทคนคิ การใช้ตาราง .............................................................................. 25 5.1.5 เทคนิคการใช้หัวข้อยอ่ ย ....................................................................... 26 5.1.6 เทคนคิ การใช้ภาษา ………………………………………………..…………………..... 26 5.2 ปัญหาท่อี าจเกิดขึน้ จากการจดั ทาบทความวิชาการดา้ นกฎหมาย ...................... 26 5.2.1 ปัญหาเก่ียวกับการคน้ ควา้ และรวบรวมเนอื้ หาท่ีเก่ยี วข้อง ....................... 26 5.2.2 ปญั หาการจัดทาเรือ่ งซา้ กนั ………………………………………….………………... 26 5.3 ฐานขอ้ มลู ทางเวบ็ ไซตท์ ี่สาคัญ ……………………………………………………………….... 26 5.3.2 Google Scholar (https://scholar.google.co.th/) ............................ 26 5.3.3 Single Search หอสมดุ แหง่ ชาติ ………………………………………………….... 26 (http://www.search.nlt.go.th:1701) 5.3.4 ฐานข้อมลู เอกสารฉบบั เตม็ ..................................................................... 26 ThaiLIS Digital Collection (TDC) (http://tdc.thailis.or.th/tdc/) 5.3.5 Thai Journals Online (ThaiJO) ......................................................... 26 (https://www.tci-thaijo.org/) 5.4 จรรยาบรรณของนักเขียน .................................................................................. 28 บรรณานกุ รม ……………………………………..…………………….……………………………………….………… 25 ภาคผนวก ภาคผนวก 1 - รูปแบบการอ้างองิ ภาคผนวก 2 - สถิติการจัดทาบทความวชิ าการทางกฎหมายของสานักกฎหมาย (พ.ศ. 2560 – 2561) ภาคผนวก 3 - คาสัง่ สานกั กฎหมาย ที่ 5/2560 เรอื่ ง แตง่ ต้งั คณะทางานจดั ทาค่มู อื การเขยี นบทความวิชาการ และการเผยแพร่ผลงานวิชาการของสานักกฎมาย สัง่ ณ วนั ที่ 27 กนั ยายน 2560
ง
จ
สว่ นท่ี 1 ความสาคญั ของคู่มือบทความวิชาการดา้ นกฎหมาย ความสาคญั สำนักกฎหมำย สำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร มีหน้ำท่ีและควำมรับผิดชอบเก่ียวกับ กำรยกรำ่ งกฎหมำยใหม่ แก้ไขเพิม่ เตมิ กฎหมำย ปรับปรงุ หรือยกเลกิ กฎหมำย ศึกษำวิเครำะห์เก่ียวกับ กฎหมำยเพื่อใหส้ มำชิกสภำผู้แทนรำษฎรเสนอ และยงั มหี น้ำที่ในกำรวิเครำะห์รำ่ งกฎหมำยทเ่ี สนอต่อ สภำผู้แทนรำษฎรเพื่อประกอบกำรพิจำรณำ ตลอดจนกำรวิเครำะห์กฎหมำยที่ใช้บังคับ เพื่อเสนอแก้ไข ปรับปรุงหรือให้มีกฎหมำยใหม่ เพ่ือประโยชน์ในกำรพัฒนำเศรษฐกิจ สังคม หรือกำรบริหำรประเทศ โดยที่ผ่ำนมำวิทยำกรของสำนักกฎหมำย สำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎรได้ดำเนินงำน เพื่อสนับสนุนภำรกิจดังกล่ำวโดยกำรศึกษำค้นคว้ำข้อมูลเพื่อนำมำเขียนบทควำมทำงวิชำกำร สนับสนุนกำรปฏิบัติงำนของสมำชิกสภำผู้แทนรำษฎร บุคคลในวงงำนรัฐสภำ และเพื่อเผยแพร่ ต่อผูส้ นใจทวั่ ไปผ่ำนหลำยช่องทำง เช่น ทำงเวบ็ ไซต์ อนิ ทรำเน็ต รวมทั้งสถำนีวิทยุกระจำยเสยี งรฐั สภำ กำรเขียนบทควำมทำงวชิ ำกำรของวิทยำกรสำนกั กฎหมำย นอกจำกจะเป็นกำรปฏิบตั ิงำนตำม กรอบอำนำจหน้ำที่ ซง่ึ มลี ักษณะเฉพำะและแตกต่ำงจำกกำรเขยี นบทควำมทำงวิชำกำรทัว่ ไป โดยเนน้ กำรเขียนบทควำมเก่ียวกับกฎหมำยเป็นหลักเพ่ือสนับสนุนงำนด้ำนกระบวนกำรนิติบัญญัติ ของสมำชิกสภำผู้แทนรำษฎร และยังเป็นกำรเขียนบทควำมทำงวิชำกำรท่ีใช้ประกอบกำรปฏิบัติงำนใด งำนหน่งึ อนั ก่อให้เกิดควำมรู้ใหม่ และเป็นประโยชน์ต่อกำรพัฒนำงำนและพัฒนำกฎหมำยต่อไปในอนำคต กำรเขียนบทควำมทำงวิชำกำรในลักษณะดังกล่ำว จึงเรียกได้ว่ำเป็น “กำรเขียนบทควำม ทำงวิชำกำรด้ำนกฎหมำย” โดยหมำยถึงงำนเขียนบทควำมทำงวิชำกำรที่ผู้เขียนมุ่งนำเสนอเนื้อหำสำระ ของกฎหมำย ซ่ึงไดจ้ ำกกำรศึกษำคน้ คว้ำเอกสำรทำงวชิ ำกำรด้ำนกฎหมำยต่ำง ๆ แล้วผูเ้ ขียนนำมำกล่ันกรอง เรยี บเรียงเขียนข้ึนใหม่อย่ำงต่อเน่ืองกัน โดยเนื้อหำสำระของบทควำมทำงวิชำกำรด้ำนกฎหมำยที่นำเสนอ น้ัน มีพื้นฐำนอยู่ในสำขำวิชำกฎหมำย ซึ่งประกอบด้วยควำมรู้ ข้อเท็จจริง หรือมุมมองทรรศนะใหม่ ๆ ในด้ำนกฎหมำยท่ีผูเ้ ขียนค้นคว้ำ วิเครำะห์ได้มำ และแทรกควำมคิดเห็น ข้อเสนอของผู้เขียนไว้ประกอบด้วย รวมทั้งหมำยถึง งำนเขียนเกี่ยวกับกฎหมำย ซ่ึงมีกำรกำหนดประเด็นที่ชัดเจน มีกำรวิเครำะห์ประเด็น ตำมหลักวิชำกำรด้ำนกฎหมำย และมีกำรสรุปประเด็น โดยเป็นกำรนำควำมรู้จำกแหล่งข้อมูลทำงวิชำกำร ดำ้ นกฎหมำยมำสงั เครำะห์ประกอบกบั กำรให้ทศั นะทำงวิชำกำรตำมควำมเห็นของตน ดังน้ัน สำนักกฎหมำยจึงจัดทำ “คู่มือกำรเขียนบทควำมวิชำกำรด้ำนกฎหมำย” ข้ึน เพ่ือให้ บทควำมวิชำกำรด้ำนกฎหมำย ของสำนักกฎหมำย มีคุณค่ำ มีประโยชน์ และเช่ือถือได้ ตลอดจน เป็นประโยชน์ให้กับเจ้ำหน้ำท่ีผู้ปฏิบัติงำนมีควำมรู้ ควำมเข้ำใจ สำมำรถปฏิบัติงำนได้อย่ำงถูกต้อง รวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภำพในกำรปฏิบัติงำน และก่อให้เกิดบทควำมวิชำกำรด้ำนกฎหมำยท่ีมีคุณภำพ ภำยใต้มำตรฐำนเดยี วกัน นอกจำกน้ีกำรจัดทำคู่มือบทควำมวิชำกำรด้ำนกฎหมำยยังเป็นกำรเผยแพร่ ควำมรู้เก่ียวกับข้ันตอนในกำรเขียนบทควำมทำงวิชำกำรเก่ียวกับกฎหมำย ให้แก่หน่วยงำน หรอื บคุ ลำกรของสำนักงำนเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร และผู้สนใจทวั่ ไปสำมำรถศึกษำได้ด้วยตนเอง และนำไปปรับใชไ้ ด้
สว่ นท่ี 2 โครงสร้างของบทความวิชาการดา้ นกฎหมาย เม่อื กล่าวถึงโครงสร้างของการเขียนบทความวชิ าการทว่ั ไป มกั ประกอบไปด้วย 4 สว่ นที่สาคัญ คือ ช่ือเร่ือง บทนา เน้ือเรื่อง และบทสรุป ในส่วนของบทความวิชาการด้านกฎหมายน้ัน โครงสร้าง การเขยี นโดยท่ัวไปไม่แตกต่างไปจากบทความวิชาการอ่ืน ๆ เพยี งแตเ่ น้ือหาสาระของบทความทางวชิ าการ ด้านกฎหมายท่นี าเสนอน้นั มีพนื้ ฐานอยู่ในสาขาวิชากฎหมาย และการนาเสนอชื่อเรื่องมักแสดงให้เห็น อย่างชัดเจนว่าเก่ียวข้องกับกฎหมายเร่ืองใด หรือประเด็นใด โดยรายละเอียดของโครงสร้างบทความ วิชาการดา้ นกฎหมาย มีดงั นี้ 2.1 ช่ือเรอ่ื ง ชื่อเรื่องเป็นจุดแรกท่ีผู้อ่านเห็น ดังน้ันต้องต้ังช่ือเร่ืองให้น่าสนใจให้น่าอ่านท่ีสุด ถ้าช่ือเรื่อง ไม่มีความน่าสนใจมากพอ ผู้อ่านอาจจะไม่เข้าไปหน้าเน้ือหาของบทความ หรือปิดหน้าบทความไป ชื่อเร่ืองที่ดีควรจะบอกประเด็นหลักของเร่ืองและเหมาะสมกับเน้ือเรื่อง ถ้าเน้ือหาในเรื่องไม่ตรงกับ ชอื่ เรือ่ ง หรอื ไมน่ ่าสนใจเหมอื นชอื่ เร่ือง คนอา่ นอาจจะรู้สึกเหมือนโดนหลอกได้ สาหรบั การตัง้ ช่ือเร่ือง จะตง้ั กอ่ นจะเขยี นเน้อื หา หรือตั้งหลังจากเขยี นเนือ้ หาของเรอื่ งเสร็จแลว้ กไ็ ด้1 2.1.1 การเลอื กเร่ือง การเลือกชื่อเรื่องท่ีดีสิ่งท่ีผู้เขียนจาเป็นต้องคานึงถึงคือ เลือกเรื่องที่เก่ียวข้องกับ กฎหมายต่าง ๆ ที่ได้มีการประกาศในราชกิจานุเบกษาแล้ว และต้องเป็นเรื่องท่ีตนเองสนใจ หรือ เร่ืองที่สังคมกาลังให้ความสนใจ โดยยึดแนวคิดท่ีวา่ ทันสมัย ทันเหตุการณ์ เป็นเรื่องท่ีผู้เขยี นมีความรู้ มีประสบการณ์ ตลอดจนเป็นเร่ืองที่ผู้เขียนต้องการเสนอความคิดแก่ผู้อ่าน สามารถหาแหล่งค้นคว้า หรือหาข้อมูลมาสนับสนุนในงานเขียนได้เพียงพอ เร่ืองที่จะนาเสนอมีความยาก ความง่าย พอเหมาะ กับความสามารถของผู้เขียน เวลาท่ีได้รับมอบหมาย หน้ากระดาษ และคอลัมน์ท่ีตนรับผิดชอบ เช่น เร่ือง “กฎหมายการค้ามนุษย์” เป็นเร่ืองท่ีรัฐบาลกาลังให้ความสาคัญ และมีประเด็นท่ีเก่ียวข้องกับ กฎหมายหลายฉบับทั้งที่ตราขึ้นใหม่และแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเดิม การเลือกกฎหมายการค้ามนุษย์ มาเขียนเป็นบทความวิชาการทางกฎหมายในช่วงเวลาน้ีจึงถือว่าอยู่ในช่วงของกระแสทางสังคม และเมื่อมปี ระเด็นเกี่ยวขอ้ งกับกฎหมายหลายฉบบั จึงสามารถนามาจดั ทาบทความไดห้ ลายตอน 2.1.2 การตั้งชอื่ เรอ่ื ง การเขียนบทความให้น่าอ่าน ช่ือเร่ืองเป็นจุดเร่ิมต้นท่ีสามารถทาให้ผู้อ่านเกิดความสนใจ ในเร่ืองน้ัน ๆ และมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจว่าจะอ่านหรือไม่อ่านต่อไป ดังน้ัน ถ้าช่ือเร่ือง ไม่มีพลังเพียงพอ ผู้อ่านก็อาจจะไม่สนใจเข้าไปหน้าเนื้อหาของบทความน้ัน ๆ เลย ซ่ึงปัจจุบันนี้ การสืบค้นใน Google เพื่อหาเรื่องท่ีตนเองสนใจเป็นไปอย่างง่ายและสะดวกกว่าการค้นคว้า 1 นภาลัย สุวรรณธาดา และคนอ่ืน ๆ, การเขียนผลงานวิชาการและบทความ, พิมพ์ครั้งท่ี 2 (ปรบั ปรงุ เพ่มิ เติม) (กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พภ์ าพพิมพ์ 2553), 109.
4 ทางห้องสมดุ ถา้ ชื่อเรื่องไม่สะดุดตา คนอา่ นกอ็ าจจะมองผ่านไปเลย สาหรบั การตัง้ ชอื่ เรื่องในเบ้ืองต้น มีหลักการ ดังนี้ 1) บอกประเด็นหลักของเรื่อง แต่ก็ต้องให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง ถ้าเน้ือหาในเรื่อง ไม่ตรงกับช่ือเร่ือง หรือไม่น่าสนใจเหมือนช่ือเร่ือง คนอ่านก็อาจจะรู้สึกเหมือนโดนหลอกลวงได้ ยกตัวอย่างที่การตั้งช่ือเรื่องเป็นการบอกประเด็นหลักของเรื่อง เช่น “ภัยร้ายจากบัตรเครดิต” “การร้ือถอนอาคารตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร” และ “ปัญหาการท้องไม่พร้อม!!!... กับพระราชบัญญัติ การปอ้ งกันและแก้ไขปญั หาการต้งั ครรภใ์ นวัยร่นุ พ.ศ. 2559” เป็นต้น 2) ตั้งช่ือให้กระชับและได้ใจความ เช่น “เร่ืองน่ารู้เก่ียวกับกฎหมายเคร่ืองสาอาง” “การทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย” และ “สทิ ธเิ สรีภาพตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2560” เปน็ ต้น 3) ต้ังชื่อให้มีคีย์เวิร์ดอยู่ในช่ือเรื่อง เช่น “ก่อการร้าย... ภัยคุกคามต่อมวลมนษุ ยชาติ” “การรอ้ งสอดในคดีปกครอง” และ “รฐั ธรรมนูญฉบับสมดุ ไทย” เป็นต้น 2.1.3 กาหนดจุดม่งุ หมาย กาหนดใหช้ ดั เจนว่าเขียนเพื่ออะไร เชน่ ใหค้ วามรู้ เสนอความเห็น โน้มน้าวใจ ให้แนวคดิ ในการดาเนินชีวิต ซ่ึงลักษณะการเขียนบทความทางวิชาการด้านกฎหมายส่วนใหญ่การกาหนด จดุ มุ่งหมายจะเป็นการเขียนเพ่ือใหค้ วามรู้2 เช่น “ดอกเบ้ียในสัญญากู้ยืมเงินเป็นกรณีท่ีคู่สัญญาสามารถตกลงกันได้ว่าจะให้มีการ คิดดอกเบี้ยกัน หรอื ไม่ หากตกลงกนั ว่าไม่ต้องเสยี ดอกเบ้ียแก่กัน ก็ต้องเปน็ ไปตามข้อตกลง คือไม่ต้อง เสียดอกเบ้ีย แต่เม่ือไรก็ตามท่ี ลูกหน้ีผิดนัดชาระหน้ี ลูกหน้ีจะต้องเสียดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นบั แต่วันผดิ นัดตามมาตรา 224 วรรคหนึง่ แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์”3 2.2 บทนา ส่วนนาจะเป็นส่วนท่ีผู้เขียนจูงใจให้ผู้อ่านเกิดความสนใจในเรื่องน้ัน ๆ ซึ่งสามารถใช้วิธีการ และเทคนิคต่าง ๆ ตามแต่ผู้เขียนจะเห็นสมควร เช่น อาจใช้ภาษาท่ีกระตุ้น จูงใจผู้อ่านหรือยกปัญหา ที่กาลังเป็นที่สนใจขณะน้ันข้ึนมาอภิปราย หรือตั้งประเด็นคาถามหรือปัญหาที่ท้าทายความคิด ของผอู้ า่ นหรอื อาจจะกล่าวถงึ ประโยชน์ทผี่ ู้อ่านจะไดร้ บั จากการอ่าน เป็นต้น นอกจากจะเป็นสว่ นที่ใช้ จูงใจผู้อ่านแล้ว ส่วนนาเป็นส่วนท่ีผู้เขียนสามารถกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเขียนบทความนั้น หรือให้คาช้ีแจงที่มาของการเขียนบทความน้ัน ๆ รวมท้ังขอบเขตของบทความน้ัน เพ่ือช่วยให้ผู้อ่าน ไม่คาดหวังเกินขอบเขตท่ีกาหนด นอกจากน้ันผู้เขียนอาจใช้ส่วนนาน้ีในการปูพ้ืนฐานท่ีจาเป็นในการ อ่านเรอื่ งนน้ั ใหแ้ กผ่ อู้ า่ น หรอื ใหก้ รอบแนวคิดทจ่ี ะช่วยใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจเน้ือหาสาระทีน่ าเสนอต่อไป เชน่ “วัฒนธรรม” คือ วิถีการดาเนินชีวิต ความคิด ความเช่ือ ค่านิยม จารีตประเพณี พิธีกรรม และภูมิ ปัญญา ซึ่งกลุ่มชนและสังคมร่วมสร้างสรรค์ ส่ังสม ปลูกฝัง สืบทอด เรียนรู้ปรับปรุง และ 2 “การเขียนบทความ”, http://counseware’payap’ac’th/docu/th203/content/aticle.htm/ (สบื ค้นเมื่อวนั ท่ี 5 มกราคม 2561). 3 อรวรรณ เกษร , “กฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกนิ อัตรา”, สืบค้นเม่ือวนั ท่ี 20 มนี าคม 2561, https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/elaw_parcy/ewt_dl_link.php?nid=1763.
5 เปลย่ี นแปลงเพ่อื ใหเ้ กดิ ความเจรญิ งอกงามท้ังด้านจติ ใจและวตั ถุอย่างสันตสิ ขุ และยั่งยนื ส่วน “มรดก ทางวัฒนธรรม” เปน็ รูปแบบของ วัฒนธรรมท่มี ีเอกลักษณ์และมีคุณค่าซ่ึงเกิดข้ึนในอดตี และได้รับการ สบื ทอดจากคนร่นุ หนึ่งไปส่อู กี รุ่นหนึง่ .....”4 2.3 เนอื้ หา 2.3.1 การหาเนื้อหา ก่อนท่ีเขยี นบทความทางวชิ าการ ผเู้ ขียนจาตอ้ งสืบเสาะหาความรู้และเร่ืองราวอันเป็น สาระมาเพ่ือเป็นเนื้อหาแห่งการเขียน เพราะมิใช่เป็นการเขียนประเภทที่แต่ง หรือสมมติขึ้นเองได้ เราอาจหาเนอื้ หาได้จากแหลง่ ตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1) จากการสมั ภาษณ์ การซักถามสอบถามผูร้ ู้ 2) จากการสบื เสาะว่าท่ใี ดมอี ะไรบา้ ง 3) จากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน ซึ่งเป็นข่าวสดใหม่ มีทุก ๆ ชนิดต้ังแต่ โจรกรรม ฆาตกรรม ฉ้อโกง การเมือง ตั้งแต่เร่ืองใหญ่จนถึงเรื่องสามัญ ผู้เขียนบทความจะหยิบยกเร่ืองจากข่าวสด มาเขียนไดเ้ สมอ 4) จากหนังสอื ต่าง ๆ 5) จากบคุ คลต่าง ๆ เร่ิมจากบคุ คลที่อยใู่ กลต้ ัวเรา 6) จากการเดนิ ทางท่องเท่ียว 7) จากปฏิทินในรอบปีซึ่งมีถึง 12 เดือนน้ัน มีเทศกาลมากมายหลายอย่าง ต้ังแต่ พระราชพธิ จี นถงึ งานตา่ ง ๆ 8) จากวงการและสถาบนั ตา่ ง ๆ 2.3.2 การเขียนโครงเร่อื งของบทความทางวิชาการ ก่อนท่ีจะลงมือเขียนบทความทางวิชาการ ผู้เขียนควรจะมีการเขียนหรือวางโครงเรอ่ื ง ของบทความก่อน โครงเร่ืองหมายถึง การกาหนดเนื้อหาของบทความ โดยวิธีการจัดลาดับความคิด ให้เป็นหมวดหมู่ หรือเป็นข้ันตอนตามลาดับความสาคัญ และความสัมพันธ์ของเน้ือหาที่จะเขียน โดยลักษณะโครงเร่อื งทีด่ ีควรมีดงั นี้ 1) อยใู่ นขอบเขตของเรือ่ งทจี่ ะเขยี น 2) เนือ้ เร่ืองไมซ่ ้าซ้อนกนั 3) ความสัมพันธ์ของเนื้อเรื่องทุกหัวข้อมีการเรียงลาดับความก่อนหลังตามลาดับที่ควร เสนอ และมีความเชื่อมโยงเนื้อเรื่องเขา้ ด้วยกนั 4) สาระความสาคญั ครบถ้วน 4 วนิดา อินทรอานวย, “พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสริมและรักษามรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. 2559”, สืบค้นเมอ่ื วนั ท่ี 20 มนี าคม 2561, https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/elaw_parcy/ewt_dl_link.php?nid=1761.
6 ท้ังน้ี ในการเขียนโครงเร่ืองเพ่ือให้ผู้เขียนได้รู้ว่าตนเองควรจะมีการจัดลาดับ ของการเขียนอย่างไร ข้ันตอนของการเขียนโครงเร่ือง มีดังน้ี 1) ค้นคว้าและรวบรวมข้อมูล เป็นการรวบรวมเน้ือหาที่เป็นท้ังความรู้ ข้อเท็จจริง และประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับเร่ืองท่ีจะเขียนจากเอกสารและสถิติต่าง ๆ ท้ังน้ี อาจจะมี การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีการอ่ืน ๆ ประกอบ เช่น การสัมภาษณ์ การสนทนา แลกเปล่ียน ความคดิ เหน็ ฯลฯ 2) จัดหมวดหมู่การคิด เป็นการคัดสรรประเด็นท่ีเก่ียวข้องกับเรื่องท่ีจะเขียนว่า เร่ืองใดเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใด แนวคิดใดท่ีเป็นเร่ืองเดียวกันหรือใกล้เคียงกันให้อยู่ในพวกเดียวกนั หรอื จดั เปน็ ประเดน็ หลัก ประเด็นรอง 3) จัดลาดับความคิด เม่ือได้จัดหมวดหมู่ความคิดแล้ว จะนามาจัดลาดับความคิด ตามวิธีการต่าง ๆ เช่น จัดลาดับความคิดเห็นตามเวลาหรือเหตุการณ์ตามลาดับการเกิดก่อน – หลัง จัดลาดับตามสถานที่ เช่น แบ่งตามภูมิภาค เหนือ กลาง ใต้ ตะวันออก และ ตะวันตก หรือการจัดลาดับ ความคิดจากส่วนรวมไปหาส่วนย่อย หรือจากส่วนย่อย ๆ ไปหาส่วนรวม เป็นต้น ทั้งนี้ การจัดลาดับ ความคิดตอ้ งจดั ให้เปน็ ระบบ ให้เขยี นตามลาดบั ข้ันตอนเพื่อจะใหผ้ อู้ า่ นเข้าใจตามลาดับ 2.3.3 การประมวลความรู้ ทบทวนวรรณกรรมท่เี กี่ยวขอ้ ง ต้องค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ หรือการสัมภาษณ์ผู้รู้ ผู้เกี่ยวข้อง ให้เพียงพอท่ีจะเขียน โดยการทบทวนวรรณกรรม (Literature Review) หมายถึง การเขียนค้นคว้า รวบรวมและประมวลผลงานทางวิชาการ เกี่ยวกับ แนวคิด ทฤษฎี จากเอกสาร และผลงานเขียน ท่ีมีเร่ืองเกี่ยวข้องกับงานของเราที่มีผู้อื่นทามาแล้ว เป็นการระดมความคิดจากผู้รู้สาขาต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับงานเขียน เพื่อให้ผู้เขียนสามารถดึงแนวคิด เร่ืองราวในมิติต่าง ๆ มาเขียนได้อย่าง ครบครันก่อนทีจ่ ะลงมอื ทาการเขียนของตนเอง 2.3.4 วัตถุประสงคใ์ นการทบทวนวรรณกรรม วัตถุประสงค์หลักของการทบทวนวรรณกรรม คือ การเขียนว่าในแต่ละประเด็น ที่ผู้เขียนต้องการเขียนนั้นได้มีผใู้ ดเขียน หรือเขียนทฤษฎีต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องในเร่อื งนมี้ าบา้ ง ได้ค้นพบอะไร หรือได้อธิบายไว้อย่างไร มีเร่ืองใดบ้างท่ีเคยผ่านการเขียนหรือใช้อธิบายมาแล้วบ้าง และผลที่ได้จาก การวิเคราะห์ตลอดจนข้อสรุป และข้อเสนอแนะของผู้เขียนในอดีตมีความเก่ียวข้องกับประเด็น ทจี่ ะเขียนอย่างไร ดังจะได้สรปุ วัตถุประสงค์เป็นข้อ ๆ เพ่อื ความเข้าใจยิ่งขนึ้ ดังน้ี5 1) เพอื่ ป้องกันการเขียนซา้ ซ้อน 2) เพื่อช่วยให้เกิดความคิด และมีทิศทางในการทางานเขียน ได้แก่ การจัดการ กบั ปญั หาที่เกิดข้นึ การต้ังสมมตฐิ านการเขียน วธิ กี ารเขียน แหล่งขอ้ มลู เป็นต้น 3) เพ่อื พฒั นาความคดิ ในการออกแบบวธิ กี ารเขียน เพอื่ มุ่งสคู่ วามสาเร็จของงานเขียน 5 นภาลัย สวุ รรณธาดา และคนอื่น ๆ, การเขียน ผลงานวิชาการและบทความ, 120.
7 ขั้นตอนในการทบทวนวรรณกรรม ผู้เขียนสามารถดาเนินการทบทวนวรรณกรรม ใหเ้ ป็นระบบได้ ดังนี้ 1) ต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับเร่ืองที่จะเขียน โดยเฉพาะต้องทราบว่าคาสาคัญ (key word) ของเรื่องท่ีจะเขียนคืออะไร พร้อมทั้งตัดสินใจว่าจะเขียนเร่ืองนั้น ๆ ให้มีความเข้มข้น มากนอ้ ยเพียงใด 2) ต้องมีการวางแผนในการเขียน เช่น ใช้กลวิธีใดในการค้นหา ใช้เวลาในการเขียน นานเท่าไร ห้องสมดุ ที่จะไปเขียนอยทู่ ่ีไหนบ้าง 3) ต้องทราบว่าประเภทของเอกสารที่จะเขียนมีอะไรบ้าง รวมถึงจะเขียนเอกสาร เหล่านัน้ ยอ้ นหลังไปมากนอ้ ยเพียงใด และมจี านวนเอกสารเทา่ ไร 4) ทบทวนข้อค้นพบ เน้ือหา หรือประเด็นสาคัญจากการเขียนให้ครบถ้วนเพื่อนาไปสู่ การบูรณาการสรา้ งเปน็ กรอบแนวคิด 5) จัดทาแบบการบันทกึ ซ่งึ อาจประกอบด้วย - ช่ือผู้แต่ง ชื่อเร่ือง จังหวัดที่พิมพ์ สานักพิมพ์ ปีที่พิมพ์ (รายละเอียดเกี่ยวกับ หนงั สอื เล่มนนั้ เพือ่ สะดวกแกก่ ารอา้ งองิ ) - อ่านเนื้อหาท่ีต้องการและสรุปความให้ชัดเจน พร้อมทั้งระบุหน้าท่ีใช้ข้อมูล เหลา่ น้นั - นาข้อมูลที่ได้มาจัดหมวดหมู่สร้างเป็นกรอบแนวคิด โดยคิดว่า หากจะเขียน เรื่องนั้น ๆ จะต้องมีปัจจัยอะไรบ้าง เป็นแผนภาพที่จะบอกว่าปรากฏการณ์ท่ีเราสนใจนั้นคืออะไร เกิดข้ึนได้อย่างไร มีความเป็นเหตุเป็นผลต่อกันอย่างไร เพ่ือสะดวกในการนาเสนอต่อไป ท้ังน้ี นยิ มรวมข้อมูลทีเ่ กีย่ วข้องกันเปน็ หัวขอ้ เดียวกัน 2.3.5 กาหนดกรอบแนวความคิดในการเขียน หรอื ประเด็นสาคัญ หรือแก่นเร่ือง ต้องกาหนดว่าบทความเรื่องนี้จะเสนอแนวคิดสาคัญ หรือมีแก่นเร่ืองอะไรให้แก่ผู้อ่าน เพ่อื จะได้นาเสนอเนอื้ หา ถ่ายทอดถอ้ ยคาประโยคต่าง ๆ เพอ่ื มงุ่ ส่แู กน่ เรือ่ งนั้น โดยท่ัวไปหลังจากท่ีผู้เขียนได้กาหนดประเด็นที่จะทาการเขียน และทาการทบทวน วรรณกรรมแล้ว งานในข้ันต่อไปคือการกาหนดแนว ความคิดในการเขียน หรือแนวความคิด ของผู้เขียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรื่องท่ีเขียน ในประเด็นต่าง ๆ ท่ีผู้เขียนกาหนดไว้ในการเขียน แต่ละคร้ัง ดังน้ัน กรอบแนวความคิดในการเขียนจึงหมายถึงกรอบของการเขียนในด้านเน้ือหาสาระ ซึ่งประกอบด้วยประเด็นต่าง ๆ ที่จะเขียน และการระบุความสัมพันธ์ของเรื่องต่าง ๆ ในประเด็น ที่ต้องการเขียนเหล่านน้ั ที่มาของกรอบแนวความคดิ ในการเขยี นว่ามีอยู่ 3 แหลง่ ดว้ ยกนั คอื 6 1) ผลงานวิจัยที่เก่ียวข้อง หมายถึง งานวิจัยที่มีผู้อื่นทามาแล้วในอดีตที่มีประเด็น ตรงกับประเด็นท่ีผู้เขียนต้องการเขียน หรือมีเนื้อหาสาระพาดพิงประเด็นที่ต้องการเขียนรวมอยู่ด้วย งานเขียนท่ีเก่ียวข้องดังกล่าวน้ี ไม่จาเป็นต้องอยู่ในสาขาวิชาท่ีผู้เขียนเขียนอยู่เสมอไป อาจจะอยู่ ในสาขาวิชาอ่ืน เช่น สาขาสังคมวิทยา จิตวิทยา เศรษฐศาสตร์ มานุษยวิทยา หรือสาขาอ่ืนใดก็ได้ ท่ีนักวชิ าการสาขานั้น ๆ ได้มีการเขยี นในเรื่องดังกล่าวมาแล้ว 6 เรือ่ งเดยี วกัน, 120 -121.
8 2) ทฤษฎีทเี่ กี่ยวข้อง เพ่ือใหไ้ ด้กรอบแนวความคิดที่รัดกุมมีเหตผุ ล ผเู้ ขียนควรอย่างย่ิง ท่ีจะเขียนทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับประเด็นท่ีเขียน ทั้งท่ีเป็นทฤษฎีในสาขาของตนและสาขาอ่ืน ๆ คาอธิบายหรือข้อสรุปต่าง ๆ ท่ีได้จากการเขียนในการวิเคราะห์หรือสรุปผลจะได้มีความหนักแน่น และเข้มข้นในเชิงทฤษฎี ซ่ึงหมายถึงความรู้หรือข้อสมมติฐานที่ได้มีการทดสอบความถูกต้องมาแล้ว ระดับหน่ึง ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีมีคุณค่าทางวิชาการมาก การเขียนทฤษฎีที่เก่ียวข้องนี้นอกจากจะชี้ให้เห็นว่า เร่ืองใดสาคัญ และมีความสัมพันธ์กันอย่างไรแล้วยังทาให้กรอบแนวคิดของการเขียนมีแนวทาง ทชี่ ดั เจนและมเี หตมุ ีผล 3) แนวความคดิ ของผู้เขียนเอง ซึ่งจะได้มาจากความคิดและประสบการณ์ของผเู้ ขียนเอง เก่ียวกับส่ิงที่ต้องการเขียน เน่ืองจากเรื่องที่ต้องการเขียนหลายเร่ือง หรือเกือบทุกเร่ืองสามารถเขียน ไดห้ ลายมุมแตกตา่ งกนั ดังนัน้ ผเู้ ขียนจาเป็นต้องเลือกกรอบแนวคิดท่ใี ช้ในการเขียนจากแนวคิดตา่ ง ๆ ท่ีมีอยู่เพื่อนามาใช้สรา้ งกรอบแนวความคดิ ของตนเอง ซึง่ ตอ้ งอาศัยหลักบางประการ ดังน้ี 3.1) ความตรงประเด็น กรอบแนวความคิดที่ผู้เขียนเลือกควรตรงกับประเด็น ของการเขยี นคอื มีความตรงประเด็นในด้านเนือ้ หาสาระกบั เร่ืองท่ีเขยี น 3.2) ความง่ายและไม่ซับซ้อน กรอบแนวความคิดที่เลือกควรเป็นกรอบท่ีง่าย แกก่ ารเข้าใจ ไมย่ ุง่ ยากซับซอ้ น สามารถอธบิ ายปรากฏการณท์ ีต่ ้องการเขียนได้อย่างสะดวก 3.3) ความสอดคล้องกับความสนใจ กรอบแนวความคิดท่ีผู้เขียนเลือกควรมี เน้ือหาสาระที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับความสนใจของผู้เขียน ซ่ึงอาจไม่ตรงประเด็นท่ีผู้เขียน ต้งั ใจเขยี นโดยตรงก็ได้ กรอบแนวความคิดในการเขียน มีประโยชน์ต่อการเขียนในข้ันตอนต่าง ๆ มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในข้ันตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล ขั้นการวิเคราะห์ข้อมูล และขั้นตีความหมาย ผลท่ไี ด้จากการเขยี น ดังน้ี - ขน้ั ตอนการเกบ็ รวบรวมข้อมูล หากมีการจดั ทากรอบแนวคิดในการเขียนที่ชัดเจน จะสามารถช้ีให้เห็นถึงทิศทางของการเขียน รูปแบบความสมั พันธ์ระหว่างข้อมูลท่ตี ้องการเขียนวิธีการ และสถานทใี่ นการเกบ็ ข้อมูลซ่งึ จะมีประโยชน์มากในการเขียน - ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูล กรอบแนวความคิดที่เลือกมีความเกี่ยวข้องโดยตรง กับข้ันตอนของการวเิ คราะห์ ดังน้ันจงึ สามารถชใี้ ห้ผู้เขยี นเหน็ ถึงแนวทางในการวเิ คราะหข์ ้อมูลได้ - ขั้นตอนการตีความหมาย กรอบแนวความคิดจะให้เนื้อหาสาระและเหตุผล เก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล ความสอดคล้องระหว่างกรอบแนวความคิด และผลท่ีได้จาก การวิเคราะห์จะทาให้การตีความหมายเป็นไปได้อย่างราบร่ืน แต่หากเกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่าง กรอบแนวความคิดผลที่ได้จากการวเิ คราะห์จะเกิดปญั หาในการตคี วามได้ 2.3.6 การเขียนเนอ้ื เรื่อง เน้ือเรื่อง (Body) การเขียนส่วนเนื้อเรื่องจะต้องใช้ท้ังศาสตร์และศิลป์ประกอบกัน กล่าวคือ ในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับศาสตร์ (sciences) น้ันคือหลักวิชาการที่ผู้เขียนจะต้องคานึงถึงในการเขยี น ได้แก่ กรอบแนวความคิด (conceptual framework) ท่ีผู้เขียนใช้ในการเขียนจะต้องแสดงให้เห็น ความเชื่อมโยงของเหตุที่นาไปสผู่ ล (causal relationship) การอ้างอิงข้อมูลต่าง ๆ ในส่วนศิลป์ (art)
9 ได้แก่ ศิลป์ในการใช้ภาษาเพ่ือนาเสนอเร่ืองที่เขียน การลาดับความ การบรรยาย วิธีการอ้างอิง สถิติ และขอ้ มูลต่าง ๆ ที่ใชใ้ นการประกอบเรื่องที่เขยี น เพอ่ื ให้ผูอ้ า่ นเกดิ ความเข้าใจและประทบั ใจมากท่ีสุด ในสว่ นเนอื้ หาสาระผู้เขยี นควรคานงึ ถงึ ประเด็นสาคัญ ๆ ดงั ต่อไปนี้ 1) การจัดลาดับเนื้อหาสาระ ผู้เขียนควรมีการวางแผนจัดโครงสร้างของเนื้อหาสาระ ที่จะนาเสนอ และจัดลาดับเนื้อหาสาระให้เหมาะสมตามธรรมชาติของเนื้อหาสาระน้ัน การนาเสนอ เนอ้ื หาสาระควรมคี วามต่อเนื่องกัน เพ่อื ช่วยให้ผ้อู า่ นเข้าใจสาระนั้นไดโ้ ดยงา่ ย 2) การเรียบเรียงเนื้อหา ในส่วนนี้ต้องอาศัยความสามารถของผู้เขียนในหลายด้าน นอกเหนือจากความเข้าใจในเนื้อหาสาระ เช่น ด้านภาษา ด้านสไตล์การเขียน ด้านวิธีการนาเสนอ การนาเสนอเน้ือหาสาระให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายได้อย่างรวดเร็วนั้นจาเป็นต้องใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการ นาเสนอเข้าชว่ ย เช่น การใชส้ ่ือประเภทภาพ แผนภมู ิ ตาราง กราฟ เป็นตน้ 3) การวเิ คราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ ต้องเป็นไปอย่างมีหลกั การ ทฤษฎี หรือมีหลักฐาน อ้างองิ อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ มีความเปน็ เหตเุ ป็นผลที่น่าเช่ือถือ มีการอา้ งองิ ข้อมลู ที่เชื่อถือได้ เพ่ือนาไปสู่ข้อสรุปด้วยทรรศนะของกลุ่มและมุมมองของผู้เขียน โดยมีการเรียบเรียงเรื่องราว ต่อเน่ืองกันตามลาดับอย่างชัดเจนเพ่ือให้ผู้อ่านหรือผู้อ่านสามารถนาเร่ืองนั้น ๆ ไปปรับใช้ในการ ปฏิบตั ิหน้าท่ีได้อีกทางหน่ึง 4) การใช้ภาษา การเขียนบทความทางวิชาการ จะต้องใช้คาในภาษาไทยหากคาไทยนั้น ยังไม่เป็นที่เผยแพร่หลาย ควรใส่คาภาษาต่างประเทศไว้ในวงเล็บ ในกรณีที่ไม่สามารถหาคาไทยได้ จาเป็นต้องใช้คาทับศัพท์ก็ควรเขียนคาน้ันให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของราชบัณฑิตยสถาน ไม่ควรเขียนภาษาไทยและภาษาต่างประเทศปะปนกัน เพราะจะทาให้งานเขียนนั้นมีลักษณะ ของความเป็นทางการ (formal) ลดลง ผู้เขียนบทความทางวิชาการจาเป็นต้องพิถีพิถันในเร่ือง การเขยี นตวั สะกดการนั ตต์ ่าง ๆ ใหถ้ กู ตอ้ งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน และควรตรวจทาน งานของตนไม่ให้ผิดพลาด เพราะงานนนั้ จะเปน็ แหล่งอา้ งอิงทางวิชาการต่อไป 5) วิธีการนาเสนอ การนาเสนอเนื้อหาสาระให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็วนั้น จาเป็นตอ้ งใชเ้ ทคนิคต่าง ๆ ในการนาเสนอเข้าชว่ ย เช่น การใช้ส่ือประเภทภาพ แผนภูมิ ตาราง กราฟ เป็นตน้ ผู้เขยี นควรมกี ารนาเสนอส่อื ต่าง ๆ อยา่ งเหมาะสม และถกู ตอ้ งตามหลักวชิ าการ 2.4 บทวเิ คราะห์และบทสรุป 2.4.1 วิเคราะห์ข้อมลู โดยใช้หลักแนวคิดเกี่ยวกับหลักการวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis) ซึ่งหลักการวิเคราะห์ เป็นความสามารถและทักษะที่สูงกว่าความเข้าใจ และการนาไปใช้ โดยมีลักษณะเป็นการจาแนก แยกแยะองค์ประกอบของส่ิงใดส่ิงหน่ึงออกเป็นส่วน ๆ เพื่อค้นหาว่ามีองค์ประกอบย่อย ๆ อะไรบ้าง ทามาจากอะไร ประกอบขึ้นมาได้อย่างไรและมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างไร รวมทั้ง การสืบค้น ความสมั พนั ธส์ ว่ นต่าง ๆ วา่ สามารถเข้ากันไดห้ รอื ไม่ อนั จะชว่ ยให้เกิดความเขา้ ใจต่อสงิ่ หน่งึ สิง่ ใดอย่าง แท้จริง การวิเคราะห์แบง่ เปน็ 3 ลักษณะ ดงั นี้7 7 เร่ืองเดยี วกัน, 121 – 122.
10 1) การวิเคราะห์ความสาคญั (analysis of elements) เป็นความสามารถในการค้นหา จดุ สาคัญหรอื หวั ใจของเรือ่ ง คน้ หาสาเหตุ ผลลัพธ์ และจุดม่งุ หมายสาคัญของเรอ่ื งตา่ ง ๆ 2) วเิ คราะหค์ วามสมั พันธ์ (analysis of relationship) เป็นความสามารถในการคน้ หา ความเก่ียวข้องสัมพันธ์กัน และการพาดพิงกันระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ว่ามีความเก่ียวพันกัน ในลักษณะใด คลอ้ ยตามกัน หรือขัดแยง้ กัน เกยี่ วขอ้ งกนั หรอื ไม่เกี่ยวขอ้ งกัน 3) วิเคราะห์หลักการ (analysis of organizational principles) เป็นความสามารถ ในการค้นหาว่า การท่ีโครงสร้างและระบบของวัตถุ ส่ิงของ เร่ืองราว และการกระทาต่าง ๆ ที่รวมกัน อยใู่ นสภาพเชน่ น้นั ไดเ้ พราะยึดหลกั การใดเป็นสาคัญ 2.4.2 สังเคราะห์ข้อมูล โดยใช้หลักแนวคิดเกี่ยวกับหลักการสังเคราะห์ข้อมูล (Synthesis) ซ่ึงหลักการ สังเคราะห์ เป็นความสามารถในการผสมผสาน รวบรวมส่วนประกอบย่อย ๆ หรือส่วนใหญ่ ๆ เข้าด้วยกันเพ่ือให้เป็นเรื่องราวอันหน่ึงอันเดียวกันเพื่อเป็นส่ิงใหม่อีกรูปแบบหน่ึงมีคุณลักษณะ โครงสร้างหรือหน้าที่ใหม่ที่แปลกแตกต่างไป การสังเคราะห์จึงมีลักษณะของการเป็นกระบวนการ รวบรวมเนื้อหาสาระของเร่ืองต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างรูปแบบหรือโครงสร้างท่ียังไม่ชัดเจน ข้ึนมาก่อน อันเป็นกระบวนการท่ีต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ภายในขอบเขตของส่ิงที่กาหนดให้ แบง่ เป็น 3 ลกั ษณะ คอื 1) การสังเคราะห์ข้อความ เป็นความสามารถในการสังเคราะห์ข้อความโดยส่ือ หรือโดยการพูด การเขียน การวิพากษ์ วิจารณ์ หาข้อยุติบางประการ เช่น สามารถแต่งเรื่องราว หรือบทกลอนได้ โดยไมล่ อกเลยี นใคร สามารถวาดภาพได้โดยอาศยั จินตนาการของตนเองได้ 2) การสงั เคราะหแ์ ผนงาน เป็นความสามารถในการกาหนดแนวทางวางแผน ออกแบบ เขียนโครงงาน หรอื โครงการตา่ ง ๆ ล่วงหน้าข้ึนมาใหม่ให้สอดคล้องกับขอ้ มูลและจดุ มุ่งหมายทว่ี างไว้ 3) การสังเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการนาเอานามธรรมย่อย ๆ มาจัดระบบของข้อเท็จจริงหรือส่วนประกอบ มาผสมผสานให้เป็นส่ิงสาเร็จรูปหน่วยใหม่ ท่ีแปลก ไปจากเดิม เกิดเป็นเรื่องราวใหม่ ทฤษฎี กฎ สมมติฐาน หรือสูตรข้ึน เช่น ให้ตั้งสมมติฐานเก่ียวกับ ปัญหาท่ีมีสาเหตุและผลของเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นได้ เมื่อกาหนดข้อเท็จจริงหรือเง่ือนไขของเร่ืองราวให้ แล้วสมมติสถานการณ์ทเี่ กิดขึน้ สามารถหาข้อยตุ ิหรือขอ้ สรุปของเรอ่ื งน้ันในแงม่ มุ ต่าง ๆ ได้ 2.4.3 บทสรปุ บทความทางวิชาการท่ีดีควรมีการสรุปประเด็นสาคัญ ๆ ของบทความนั้น ๆ ซ่ึงอาจทา ในลักษณะท่ีเป็นการย่อ คือ การเลือกเก็บประเด็นสาคัญ ๆ ของบทความนั้น ๆ มาเขียนรวมกันไว้ อย่างสั้น ๆ ท้ายบท หรือ อาจใช้วิธีการบอกผลลัพธ์ว่าส่ิงที่กล่าวมามีความสาคัญอย่างไร สามารถ นาไปใช้อะไรได้บ้าง หรือจะทาให้เกิดอะไรต่อไป หรืออาจใช้ วิธีการตั้งคาถามหรือให้ประเด็นท้ิงท้าย กระตนุ้ ให้ผ้อู า่ นไปสบื เสาะแสวงหาความรู้ หรือคดิ คน้ พฒั นาเรื่องนัน้ ต่อไป งานเขียนท่ดี คี วรมีการสรุป ในลกั ษณะใดลกั ษณะหนึง่ เสมอ เช่น
11 “.....จึงเป็นหน้าท่ีของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐบาล ภาคนิติบัญญัติ ภาคประชาชน และบุคคลอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้องท่ีจะต้องเร่งศึกษาหามาตรการและแนวทางปฏิบัติในการแก้ไขปัญหา ที่มีความชัดเจน และเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้เหตุการณ์โศกนาฏกรรมดังเช่นเหตุการณ์ ทเี่ กดิ ข้นึ ซา้ แลว้ ซา้ อีกตลอดระยะเวลาท่ผี ่านมาให้หมดสิน้ ไปในทสี่ ดุ ”8 8 ทวียศ ศรีเกต,ุ “ ร้ือถอนตามพระราชบัญญัตคิ วบคุมอาคาร”, สืบค้นเม่อื วันท่ี 20 มีนาคม 2561, https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/elaw_parcy/ewt_dl_link.php?nid=1759
12
ส่วนที่ 3 รูปแบบการจดั ทาบทความวิชาการด้านกฎหมาย บทความประกอบด้วยส่วนสาคัญ 6 ส่วน คือ ส่วนปก ส่วนเน้ือหา และส่วนประกอบท้ายเร่ือง การลาดับหน้า การพิมพ์ปก ชื่อบทความและหัวข้อในบทความ การพิมพ์อัญประภาษ แต่ละส่วน มรี ายละเอียด ดังต่อไปน้ี 3.1 สว่ นปก สว่ นปกประกอบดว้ ยรายการตา่ ง ๆ เรยี งตามลาดับ ดังนี้ 3.1.1 ลักษณะของปกนอก ตอ้ งเปน็ ปกแขง็ หรือปกสี 3.1.2 พิมพ์ตรารัฐสภา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 น้ิว ตรงกึ่งกลางของปกห่างจากขอบบน ของกระดาษ 2 น้ิว 3.1.3 ชื่อเร่ืองบทความ ให้ใช้ภาษาตามเน้ือหาบทความ กรณีท่ีชื่อเร่ืองมีความยาวมาก ให้พิมพ์เรียงลงมาในลกั ษณะรปู สามเหล่ียมหัวกลบั () 3.1.4 ช่ือผ้เู ขยี นบทความ พิมพ์ช่อื และช่ือ - สกลุ พรอ้ มคานาหนา้ ชอ่ื ตาแหน่ง และต้นสังกดั 3.1.5 ส่วนล่างของปก บอกรายละเอียดเกย่ี วกบั วตั ถปุ ระสงค์ในการจัดทาบทความน้ัน ๆ อาทิ บทความเพ่ือการเผยแพร่ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ บทความเพื่อออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียง รัฐสภา หรอื บทความเพอื่ การเผยแพรท่ างสื่อส่ิงพิมพ์ เป็นตน้ 3.1.6 ชอ่ื หนว่ ยงาน คือ สานกั งานเลขาธกิ ารสภาผแู้ ทนราษฎร 3.1.7 ปีพทุ ธศกั ราช หมายถึง ปี พ.ศ. ที่เขยี นบทความทางวิชาการ
14 ชอื่ เรื่อง ................................................................. ชอ่ื ผูจ้ ดั ทา .................................................. ตาแหนง่ .................................... กลุ่มงาน ........................... สานกั กฎหมาย บทความน้ใี ชเ้ พ่อื นาออกอากาศทางสถานวี ทิ ยุกระจายเสียงรัฐสภา รายการเจตนารมณ์กฎหมาย สานกั งานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
15 3.2 สว่ นเนอ้ื หา การเขียนบทความทางวิชาการให้ได้ดีนั้น ถ้าผู้เขียนรู้จักวางโครงเรื่องให้ดีก็จะช่วยการเขียน ได้มาก เพราะโครงเร่ืองจะช่วยควบคุมการเขียนให้เป็นไปตามแนวคิดที่กาหนดไว้ ท้ังยังเป็นการ ป้องกันมิให้เขียนวกวน ซ้ากลับไปกลับมาอีกด้วย บทความทางวิชาการที่ดีจะต้องมีส่วนประกอบของ เน้ือหาดงั ต่อไปน้ี 3.2.1 ช่ือเรื่อง การกาหนดช่ือเรื่อง ต้องใช้ภาษาที่เป็นทางการ ชื่อเรื่องชัดเจน ตรงไปตรงมา และครอบคลุมประเด็นของเร่ืองและมีความยาวไม่เกิน 100 ตัวอักษร ชื่อเรื่องจะต้องสื่อถึงเนื้อหา ของเร่ือง ซ่ึงต้องมีลักษณะท่ีเจาะลึก ไม่กว้างเกินไป มีความใหม่และน่าสนใจสอดคล้องกับเวลา สถานการณ์ และนโยบายของวารสาร ใช้ตัวอักษร TH SarabunPSK ขนาด 20 พอยต์ ตัวหนา ไว้กึง่ กลางหน้ากระดาษ 3.2.2 บทนาหรอื คานา ส่วนนาจะเป็นสว่ นท่ีผูเ้ ขยี นจูงใจใหผ้ ู้อ่านเกดิ ความสนใจในเร่ืองน้นั ๆ ซึ่งสามารถใช้วิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ตามแต่ผู้เขียนจะเห็นสมควร เช่น อาจใช้ภาษาท่ีกระตุ้น จูงใจ ผ้อู ่านหรอื ยกปัญหาท่ีกาลังเปน็ ทสี่ นใจขณะน้ันขนึ้ มาอภิปราย หรือต้งั ประเด็นคาถามหรือปัญหาท่ีท้าทาย ความคิดของผู้อ่านหรอื อาจจะกล่าวถงึ ประโยชน์ท่ผี อู้ ่านจะไดร้ บั จากการอ่าน เปน็ ตน้ นอกจากจะเป็น ส่วนที่ใช้จูงใจผู้อ่านแล้ว ส่วนนาเป็นส่วนที่ผู้เขียนสามารถกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเขียนบทความนั้น หรือให้คาชี้แจงที่มาของการเขียนบทความน้ัน ๆ รวมท้ังขอบเขตของบทความนั้น เพื่อช่วยให้ผู้อ่าน ไม่คาดหวังเกินขอบเขตท่ีกาหนด นอกจากน้ันผู้เขียนอาจใช้ส่วนนานี้ในการปูพ้ืนฐานท่ีจะเป็นในการ อ่านเรื่องนั้นให้แก่ผู้อ่าน หรือให้กรอบแนวคิดที่จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเน้ือหาสาระท่ีนาเสนอต่อไป การข้ึนบทนาหรือคานามีอยู่ 2 แบบ คือ การกลา่ วท่วั ไปก่อนทจ่ี ะวกเข้าเร่ืองทจ่ี ะเขียน และการกล่าว เจาะจงลงไปตรงกับหัวเรื่องท่ีจะเขียนเลยทีเดียวการเขียนคานา ต้องให้น่าอ่านชวนติดตาม เพราะผู้อา่ นนิยมอ่านย่อหนา้ แรกกอ่ น 3.2.3 เน้ือเร่ือง การเขียนส่วนเน้ือเรื่องจะต้องใช้ท้ังศาสตร์และศิลป์ประกอบกัน กล่าวคือ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ (sciences) นั้นคือหลักวิชาการที่ผู้เขียนจะต้องคานึงถึงในการเขียน ได้แก่ กรอบแนวความคิดที่ผู้เขียนใช้ในการเขียนจะต้องแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงของเหตุที่นาไปสู่ ผลการอ้างอิงข้อมูลต่าง ๆ ในส่วนศิลป์ (art) ได้แก่ ศิลป์ในการใช้ภาษาเพื่อนาเสนอเร่ืองที่เขียน การลาดับความ การบรรยาย วิธีการอ้างอิง สถิติและข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้ในการประกอบเรื่องท่ีเขียน เพอ่ื ให้ผ้อู า่ นเกิดความเขา้ ใจและประทบั ใจมากท่ีสุด เน้ือเร่ือง (Body) การเขียนส่วนเนื้อเรื่องจะต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ประกอบกัน กล่าวคือ ในส่วนที่เก่ียวข้องกับศาสตร์ (sciences) นั้นคือหลักวิชาการที่ผเู้ ขียนจะต้องคานึงถึงในการเขยี น ได้แก่ กรอบแนวความคิด (conceptual framework) ที่ผู้เขียนใช้ในการเขียนจะต้องแสดงให้เห็น ความเชื่อมโยงของเหตุท่ีนาไปสู่ผล (causal relationship) การอ้างอิงข้อมูลต่าง ๆ ในส่วนศิลป์ (art) ได้แก่ ศิลป์ในการใช้ภาษาเพ่ือนาเสนอเรื่องท่ีเขียน การลาดับความ การบรรยาย วิธีการอ้างอิง สถิติ และขอ้ มูลต่าง ๆ ทใี่ ชใ้ นการประกอบเร่ืองท่ีเขียน เพื่อใหผ้ ู้อา่ นเกิดความเขา้ ใจและประทบั ใจมากท่ีสุด ในส่วนเน้อื หาสาระผูเ้ ขียนควรคานึงถงึ ประเดน็ สาคญั ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้
16 1) การจัดลาดบั เนอื้ หาสาระ ผเู้ ขียนควรมีการวางแผนจัดโครงสร้างของเนื้อหาสาระ ที่จะนาเสนอ และจัดลาดับเน้ือหาสาระให้เหมาะสมตามธรรมชาติของเน้ือหาสาระน้ัน การนาเสนอ เนอ้ื หาสาระควรมีความต่อเน่ืองกัน เพ่อื ช่วยให้ผอู้ ่านเข้าใจสาระนน้ั ไดโ้ ดยง่าย 2) การเรียบเรียงเนื้อหา ในส่วนน้ีต้องอาศัยความสามารถของผู้เขียนในหลายด้าน นอกเหนือจากความเข้าใจในเนื้อหาสาระ เช่น ด้านภาษา ด้านสไตล์การเขียน ด้านวิธีการนาเสนอ การนาเสนอเนื้อหาสาระให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายได้อย่างรวดเร็วนั้นจาเป็นต้องใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการ นาเสนอเขา้ ชว่ ย เช่น การใช้ส่ือประเภทภาพ แผนภมู ิ ตาราง กราฟ เปน็ ต้น 3) การวิเคราะห์ วพิ ากษ์ วจิ ารณ์ ตอ้ งเปน็ ไปอยา่ งมีหลกั การ ทฤษฎี หรือมีหลักฐาน อา้ งองิ อยา่ งถูกต้องตามหลักวิชาการ มีความเปน็ เหตุเป็นผลที่น่าเชื่อถือ มกี ารอ้างอิงข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อนาไปสู่ข้อสรุปด้วยทรรศนะของกลุ่มและมุมมองของผู้เขียน โดยมีการเรียบเรียงเรื่องราว ต่อเนื่องกันตามลาดับอย่างชัดเจนเพ่ือให้ผู้อ่านหรือผู้อ่านสามารถนาเรื่องนั้น ๆ ไปปรับใช้ในการ ปฏิบัติหนา้ ทีไ่ ดอ้ กี ทางหน่งึ 4) การใช้ภาษา การเขียนบทความทางวิชาการ จะต้องใช้คาในภาษาไทยหากคาไทยนั้น ยังไม่เป็นท่ีเผยแพร่หลาย ควรใส่คาภาษาต่างประเทศไว้ในวงเล็บ ในกรณีที่ไม่สามารถหาคาไทยได้ จาเป็นต้องใช้คาทับศัพท์ก็ควรเขียนคาน้ันให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของราชบัณฑิตยสถาน ไม่ควรเขียนภาษาไทยและภาษาต่างประเทศปะปนกัน เพราะจะทาให้งานเขียนนั้นมีลักษณะ ของความเป็นทางการ (formal) ลดลง ผู้เขียนบทความทางวิชาการจาเป็นต้องพิถีพิถันในเรื่อง การเขยี นตัวสะกดการันต์ต่าง ๆ ให้ถกู ตอ้ งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน และควรตรวจทาน งานของตนไม่ใหผ้ ิดพลาด เพราะงานนัน้ จะเป็นแหล่งอา้ งอิงทางวิชาการต่อไป 5) วิธีการนาเสนอ การนาเสนอเน้ือหาสาระให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็วน้ัน จาเปน็ ตอ้ งใช้เทคนคิ ต่าง ๆ ในการนาเสนอเข้าชว่ ย เช่น การใช้สือ่ ประเภทภาพ แผนภมู ิ ตาราง กราฟ เปน็ ต้น ผู้เขียนควรมีการนาเสนอสื่อตา่ ง ๆ อย่างเหมาะสม และถูกตอ้ งตามหลักวชิ าการ 3.2.4 ส่วนสรุป บทความทางวิชาการที่ดีควรมีการสรุปประเด็นสาคัญ ๆ ของบทความน้ัน ๆ ซ่ึงอาจทาในลักษณะท่ีเป็นการย่อ คือการเลือกเก็บประเด็นสาคัญ ๆ ของบทความน้ัน ๆ มาเขียน รวมกันไว้อย่างสั้น ๆ ท้ายบท หรือ อาจใช้วิธีการบอกผลลัพธ์ว่า สิ่งท่ีกล่าวมามีความสาคัญอย่างไร สามารถนาไปใช้อะไรได้บ้าง หรือจะทาให้เกิดอะไรต่อไป หรืออาจใช้วิธีการต้ังคาถามหรือให้ประเด็น ทิ้งท้ายกระตุ้นให้ผู้อ่านไปสืบเสาะแสวงหาความรู้ หรือคิดค้นพัฒนาเรื่องน้ันต่อไป งานเขียนที่ดี ควรมีการสรุปในลกั ษณะใดลักษณะหนึง่ เสมอ 3.3 ส่วนประกอบทา้ ยเรื่อง ส่วนประกอบท้ายเร่ือง ประกอบด้วยรายการอ้างอิงหรือรายการอ้างอิง เนื่องจากบทความ ทางวิชาการ เป็นงานท่ีเขียนขึ้นบนพื้นฐานของวิชาการที่ได้มีการศึกษา ค้นคว้า วิจัยกันมาแล้ว และการวิเคราะห์ วิจารณ์อาจมีการเช่ือมโยงกับผลงานของผู้อ่ืนจึงจาเป็นต้องมีการอ้างอิง เมื่อนา ขอ้ ความหรอื ผลงานของผู้อื่นมาใช้ โดยการระบุใหช้ ดั เจนว่าเปน็ งานของใคร ทาเมื่อไร และนามาจากไหน เป็นการให้เกียรติเจ้าของงาน และประกาศให้ผู้อ่านรับรู้ว่า ส่วนนั้นไม่ใช่ความคิดของผู้อ่ืน รวมทั้ง เป็นการให้หลักฐานแก่ผู้อ่าน ให้ผู้อ่านสามารถไปสืบเสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม หรือติดตาม
17 ตรวจสอบหลักฐานได้ การอ้างอิงควรจะเป็นการกระทาอย่างมีจุดหมาย เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบ แหลง่ ทีม่ าของความรู้ และชว่ ยใหผ้ อู้ า่ นมีโอกาสหาความรู้เพม่ิ ข้นึ และเปน็ การแสดงว่าส่ิงทน่ี ามากล่าว มีหลักฐานควรเชื่อถือได้เพียงใด ความรู้พ้ืน ๆ ที่เป็นส่ิงที่ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย ไม่จาเป็นต้องมีการสบื ค้น อะไรอีก ไม่จาเป็นต้องมีการอ้างอิง ควรอ้างอิงเท่าท่ีจาเป็น นอกจากน้ัน พึงตระหนักอยู่เสมอว่า การคัดลอกงานของผู้อ่ืนน้ันทาได้ แต่ต้องเป็นการนามาเพื่ออธิบายสนับสนุนเท่านั้น ไม่ใช่ลอกเอามา เปน็ เน้อื งานของตน รายการอ้างองิ คอื รายช่อื หนังสือหรอื ส่ิงพิมพอ์ ่นื ๆ รวมทง้ั โสตทัศนวสั ดุ และสอ่ื อิเลก็ ทรอนิกส์ ที่ใช้สาหรับค้นคว้าอ้างอิงประกอบการเขียนบทความเร่ืองน้ัน ๆ สาหรับบทความภาษาไทยให้พิมพ์คาว่า รายการอา้ งอิง บทความภาษาองั กฤษให้พิมพค์ าว่า REFERENCES โดยพมิ พ์ไว้ตรงกลางบรรทดั บนสุด หน้าแรกของรายการอ้างอิง พิมพ์ห่างจากขอบบน 1.5 นิ้ว ต่อจากนั้น ให้เว้น 1 บรรทัด แล้วจึงพิมพ์ รายการข้อมูลท่ีนามาอ้างอิง การพิมพ์รายการอ้างอิงแต่ละรายการ ให้พิมพ์ชิดขอบกระดาษด้านซ้าย โดยไม่ตอ้ งต้ังการพมิ พ์ก้นั ดา้ นขวา ถ้ารายการใดไม่จบใน 1 บรรทัด ให้พิมพ์บรรทัดต่อๆ มาโดยย่อหน้าเข้ามา 0.8 น้ิว จนจบ รายการ นั้น ๆ แล้วจึงขน้ึ รายการใหม่ ส่วนรายการท่นี ามาอา้ งองิ ให้แยกตามประเภท ดังตอ่ ไปนี้ 1. หนงั สือและบทความในหนังสือ 2. บทความในวารสาร หนงั สือพมิ พ์ สารานกุ รม 3. เอกสารอ่ืน ๆ เช่น วารสารสาระสังเขป บทความ ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ และเอกสารอ่ืน ๆ ที่ไมไ่ ดต้ ีพมิ พ์ เปน็ ตน้ ในการลาดับภาษาของรายการอ้างอิง ถ้าเป็นบทความภาษาไทยให้เรียงรายการอ้างอิง ภาษาไทยพร้อมแยกประเภทก่อน แล้วจึงพิมพ์รายการอ้างอิงภาษาต่างประเทศโดยแยกตามประเภท ของขอ้ มลู ทนี่ ามาอ้างอิง 3.4 เรอ่ื งทว่ั ๆ ไปเกีย่ วกบั การพมิ พ์ 3.4.1 กระดาษท่ีใชพ้ มิ พ์ กาหนดให้ใช้กระดาษขาว ไม่มีเส้นบรรทัด มีความหนาต้ังแต่ 80 แกรมข้ึนไป ขนาดมาตรฐาน A4 3.4.2 ตวั พิมพ์ ตัวอักษรที่ใช้พิมพ์ต้องเป็นตัวอักษรตัวพิมพ์แบบเดียวกันตลอดทั้งเรื่อง ขนาดของ ตวั พมิ พแ์ ละรปู แบบตัวอกั ษรกาหนด ดังนี้ 1) บทความท้ังภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ให้ใช้ชนิดตัวพิมพ์ แบบ TH SarabunPSK1 ขนาด 16 พอยต์ ตัวพิมพ์ธรรมดา ยกเว้นการพิมพ์ในตารางหรือภาพประกอบต่าง ๆ อนุโลมให้ใช้ 1 เพื่อให้เอกสารต่าง ๆ ของภาครัฐ เป็นไปอย่างมีมาตรฐาน ปราศจากปัญหาลิขสิทธ์ิ และไม่ได้ข้ึนกับระบบปฏิบัติการระบบใดระบบหนึ่ง ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 7 กันยายน 2553 เรื่อง โครงการฟอนตม์ าตรฐานราชการไทย
18 ตวั พมิ พท์ เี่ ล็กลงหรอื ยอ่ สว่ น เพื่อใหต้ ารางหรือภาพประกอบนัน้ ๆ อย่ใู นกรอบของการวางรปู กระดาษ ทีก่ าหนด 2) ช่ือเร่ือง ชื่อส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น รายการอ้างอิง เป็นต้น ให้พิมพ์ด้วยตัวอักษร เขม้ หนา ขนาด 18 พอยต์ 3.4.3 การเวน้ ขอบกระดาษ การกาหนดระยะห่างของกรอบข้อความในแต่ละหน้า ให้มีระยะเป็นแนวเดียวกัน ตลอดทง้ั เลม่ ดังนี้ 1) ริมกระดาษขอบบนลงมาถึงข้อความบรรทัดแรก ให้เว้นระยะ 1.5 น้ิว นับจาก ดา้ นบนตวั อักษร 2) ริมกระดาษขอบซ้าย ให้เวน้ ระยะ 1.5 น้วิ 3) ริมกระดาษขอบขวาและขอบล่าง ให้เวน้ ระยะ 1 นิ้ว ในกรณีท่ีท้ายกระดาษเป็นหัวข้อ ต้องมีเน้ือหาต่ออย่างน้อย 1-2 บรรทัด หรือปรับย้าย ท้งั หัวขอ้ และเนอื้ หาไปไว้หนา้ ถดั ไปท้ังหมด 3.4.4 การเวน้ ระยะระหว่างบรรทัด การเว้นระยะห่างระหว่างบรรทัดในการพิมพ์บทความให้ใช้ระยะบรรทัดปกติเป็น 1 เท่า อยา่ งเดียวโดยตลอด 3.4.5 การยอ่ หนา้ การย่อหน้าใหเ้ วน้ ระยะหา่ งจากขอบซา้ ยเข้ามา 0.8 นิว้ 3.4.6 การจดั ตาแหน่งข้อความในหนา้ กระดาษ การพิมพ์เนื้อหาให้จัดตาแหน่งข้อความในหน้ากระดาษเป็นแบบชิดขอบทั้งระยะขอบซ้าย และขอบขวา (Justified) เพื่อความสวยงาม และให้พิมพ์โดยใช้โปรแกรมตัดคาขึ้นบรรทัดใหม่ อัตโนมัติไม่ต้อง Enter ปิดท้ายบรรทัด ถ้าพิมพ์คาสุดท้ายไม่จบในบรรทัดน้ัน ๆ ให้ยกคาน้ันทั้งคา ไปพิมพ์ในบรรทัดต่อไป ห้ามตัดส่วนท้ายของคาไปพิมพ์ในบรรทัดใหม่ เช่น ประสบการณ์ ห้ามแยก บรรทดั เป็น ประสบ - การณ์ เป็นตน้ 3.4.7 การข้ึนหน้าใหม่ 1) ถ้าพิมพ์มาถึงบรรทัดสุดท้ายของหน้ากระดาษ (โดยเว้นจากขอบล่าง 1 นิ้ว ตามเรื่องการเว้นขอบกระดาษ) และจะต้องข้ึนหน้าใหม่ แต่มีข้อความเหลืออีกเพียงบรรทัดเดียว กจ็ ะจบยอ่ หน้าเดิม ใหพ้ มิ พ์ตอ่ ไปในหนา้ เดมิ จนจบย่อหนา้ น้ัน แล้วจึงขน้ึ ยอ่ หน้าใหม่ในหนา้ ถัดไป 2) ถ้าจะต้องขึ้นย่อหน้าใหม่ แต่มีเนื้อท่ีเหลือให้พิมพ์ได้อีกเพียงบรรทัดเดียวในหน้าน้ันให้ยก ยอ่ หน้านน้ั ไปตัง้ ต้นพิมพใ์ นหน้าถัดไป 3.4.8 ตัวเลข การพิมพ์บทความไม่ว่าจะอยู่ในเนื้อเรื่องหรือการลาดับหน้าบทและหัวข้อก็ตามให้ใช้ ตวั เลขไทยอยา่ งเดียวตลอดทงั้ เรือ่ ง
19 3.5 การลาดบั หนา้ 3.5.1 การลาดับหนา้ สว่ นปก ส่วนปกของบทความทางวิชาการจะไม่มีการลาดับเลขหน้าแต่อย่างใด 3.5.2 การลาดบั หน้าส่วนเนื้อเรอ่ื ง 1) การพิมพ์เลขลาดับหน้าส่วนเน้ือเรื่อง ให้พิมพ์ทุกหน้าโดยใช้ตัวเลขไทยขนาด 16 พอยต์ ตัวพิมพ์ธรรมดา (Normal) ของ TH SarabunPSK โดยไม่ต้องมีวงเล็บ เช่น 1 2 3 . . . เรียงตามลาดบั ตลอดทั้งเรอื่ ง 2) การพิมพ์เลขหน้า ให้พิมพ์ไว้ท่ีก่ึงกลางด้านบนของหน้ากระดาษ โดยห่างจาก ขอบบนของกระดาษ 1 นิ้ว 3.5.3 การลาดบั หน้าสาคญั หน้าสาคัญในที่น้ีหมายถึง หน้าบอกภาคผนวก โดยพิมพ์อยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษ อีกหน้าหน่ึงต่างหากก่อนข้ึนภาคหรือตอนนั้น ๆ เช่น ภาคผนวก เป็นต้น หน้าสาคัญนี้ไม่ต้องนับหน้า และไมต่ ้องใสเ่ ลขหนา้ 3.6 การพิมพ์ปก ชื่อบทความและหวั ข้อในบทความ 3.6.1 ปก 1) พมิ พต์ รารัฐสภา ขนาดเสน้ ผ่าศูนยก์ ลาง 1.5 น้ิว ตรงกง่ึ กลางของปกหา่ งจากขอบบน ของกระดาษ 2 นิว้ 2) ช่ือเร่ืองบทความ ให้ใช้ภาษาตามเนื้อหาบทความ กรณีท่ีชื่อเรื่องมีความยาวมาก ให้พิมพ์เรียงลงมาในลักษณะรูปสามเหล่ียมหัวกลับ () ชื่อเร่ืองบทความให้ใช้ตัวอักษร TH SarabunPSK ขนาด 26 พอยต์ ตวั หนา 3) ชื่อผู้เขียนบทความ พิมพ์ชื่อและชื่อสกุลพร้อมคานาหน้าชื่อ ตาแหน่ง ต้นสังกัด ของผู้เขยี น ใชต้ ัวอักษร TH SarabunPSK ขนาด 20 พอยต์ ตวั หนา ไวก้ ง่ึ กลางหน้ากระดาษ 4) ส่วนล่างของปก บอกรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ในการจัดทาบทความน้ัน ๆ อาทิ บทความเพ่ือการเผยแพร่ทางส่ืออิเล็กทรอนิกส์ บทความเพื่อออกอากาศทางสถา นี วิทยุกระจายเสียงรัฐสภา หรือบทความเพื่อการเผยแพร่ทางส่ือส่ิงพิมพ์ เป็นต้น ใช้ตัวอักษร TH SarabunPSK ขนาด 20 พอยต์ ตวั หนา ไว้ก่งึ กลางหน้ากระดาษ 3.6.2 ชอ่ื บทความ เม่ือเร่ิมในส่วนของเน้ือหาให้พิมพ์ “ชื่อบทความ” ไว้ตรงกลางหน้ากระดาษ กรณีท่ี ช่ือเร่ืองมีความยาวมาก ให้พิมพ์เรียงลงมาในลักษณะรูปสามเหลี่ยมหัวกลับ () ชื่อเร่ืองบทความ ใหใ้ ช้ตวั อกั ษร TH SarabunPSK ขนาด 18 พอยต์ ตวั หนา 3.6.3 ชอ่ื ผู้เขยี นบทความหรือผู้เรียบเรียง การพิมพ์ช่ือผู้เขียนบทความหรือผู้เรียบเรียง ให้พิมพ์เว้นระยะห่างจากบรรทัด ช่ือบทความ 1 บรรทัด ชิดขวามือของหน้ากระดาษ โดยบรรทัดแรก คือ ชื่อ – สกุล ของผู้เขียน
20 บรรทัดท่ีสอง คอื ตาแหนง่ และบรรทัดท่สี าม พิมพ์คาว่าผเู้ รยี บเรยี ง ให้ใช้ตัวอักษร TH SarabunPSK ขนาด 14 พอยต์ ตวั เอียง ชิดขวา 3.6.4 หวั ข้อในบทความ 1) การแบง่ หวั ข้อของแตล่ ะบท ให้แบง่ ออกเป็นหัวข้อใหญ่ (Main Heading) และหัวข้อย่อย (Sub-Heading) ตามลาดับ 2) การพิมพ์หัวข้อใหญ่ให้พิมพ์ชิดริมขอบซ้ายของกระดาษ ถ้าหัวข้อไม่อยู่ตอนบนสุด ของกระดาษให้เวน้ ระยะหา่ งจากบรรทดั บนและบรรทัดล่าง 1 บรรทดั ใช้ตวั อักษรเขม้ หนา ขนาด 16 พอยต์ ให้ใส่ตัวเลขกากับตามหัวข้อ ถ้าจะข้ึนหัวข้อใหม่แต่มีที่ว่างสาหรับพิมพ์เนื้อเร่ืองได้ไม่เกิน 1 บรรทัด ในหน้านน้ั ใหย้ กหวั ข้อน้นั ไปข้นึ หน้าใหมเ่ ลย 3) การแบ่งหัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อย ให้ใช้ตัวเลขกากับ โดยกาหนดให้ใช้ตัวเลข ได้ไม่เกิน 3 ตัว คือ 1.1.1 หากต้องแบ่งย่อยอีก ให้ใช้เคร่ืองหมายวงเล็บ () ช่วย สาหรับวิธีพิมพ์ แต่ละหัวข้อยอ่ ยมดี ังน้ี หัวข้อย่อยระดับที่ 1 ให้พิมพ์หัวข้อย่อยไว้ที่ย่อหน้าใหม่ห่างจากขอบซ้าย 0.8 นิ้ว โดยเว้นห่างจากบรรทัดบน 1 บรรทัด หัวข้อย่อยระดับที่ 2 ให้พิมพ์หัวข้อย่อยไว้ที่ย่อหน้าใหม่ พิมพ์เว้นระยะเพ่ิมออกไป จากยอ่ หน้าเดิมอีก 0.3 นวิ้ โดยพมิ พ์ตามบรรทัดพมิ พ์ปกตไิ มต่ อ้ งเวน้ ห่างจากบรรทัดบน หัวข้อย่อยระดับที่ 3 เป็นต้นไป ให้พิมพ์ย่อหน้าใหม่ โดยพิมพ์เว้นระยะเพ่ิมออกไป จากย่อหนา้ เดิมอีก 0.3 น้ิว ต่อไปเรื่อย ๆ ทุกย่อหน้า 4) การพิมพ์หัวข้อย่อยทุกหัวข้อให้ใช้ตัวอักษรเข้มหนา ส่วนการพิมพ์เนื้อเรื่อง ของหัวขอ้ ยอ่ ยให้พิมพ์ย่อหนา้ ใหมโ่ ดยเวน้ ระยะให้ตรงกับอักษรตวั แรกของหัวข้อย่อยนัน้ 3.7 การพิมพ์อัญประภาษ (Quotation) อัญประภาษ คอื ข้อความที่ผเู้ ขยี นคัดลอกมาจากข้อเขียนหรือคาพดู ของผู้อื่น เพื่อใชป้ ระกอบ เนือ้ เร่อื งในบทความ หลกั การพิมพอ์ ัญประภาษ มดี ังน้ี 3.7.1 การพิมพ์อัญประภาษท่ีมีความยาวไม่เกิน 3 บรรทัด ให้พิมพ์ต่อจากข้อความ ในบทความได้โดยไมต่ อ้ งขึน้ บรรทัดใหม่ แตต่ ้องพมิ พ์อย่ใู นเครอ่ื งหมายอัญประกาศคู่ (“……….”) 3.7.2 อัญประภาษท่ีมีความยาวเกิน 3 บรรทัด ให้พิมพ์ข้ึนบรรทัดใหม่โดยย่อหน้าเข้ามา 0.8 น้ิว ในกรณีที่มีย่อหน้าภายในอัญประภาษ ให้ย่อหน้าเข้ามาอีก 0.3 นิ้วทุกย่อหน้า อัญประภาษที่พิมพ์ แบบนี้ไมต่ ้องมีเครื่องหมายอญั ประกาศกากบั 3.7.3 กรณีที่ต้องการละเว้นข้อความท่ีคัดลอกมาบางส่วน ให้พิมพ์เคร่ืองหมายจุดสามจุด โดยพมิ พเ์ วน้ ระยะ 1 ช่วงตัวอกั ษรระหว่างจุด (. . .) 3.7.4 ถ้ามีข้อความอื่นท่ีคัดลอกมาซ้อนอยู่ ให้ใส่เคร่ืองหมายอัญประกาศเดี่ยว สาหรับ ข้อความที่ซอ้ นอยู่ เชน่ “…….. ‘………..’ ……….” 3.7.5 การอ้างอิงท่ีมาของอัญประภาษ ให้เลือกใช้รูปแบบการอ้างอิงรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ใหเ้ หมือนกนั ตลอดทัง้ เลม่ ตามรายละเอียดวธิ กี ารอา้ งองิ แตล่ ะรปู แบบ
สว่ นที่ 4 ขัน้ ตอนการดาเนินการ นอกจากโครงสร้างและรูปแบบของการจัดทาบทความวิชาการด้านกฎหมายที่ผู้เขียน ต้องดาเนินการตามที่ได้กาหนดไว้แล้ว การจัดทาบทความวิชาการทางกฎหมายของสานักกฎหมาย สานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ต้องมีการนาเสนองานผ่านผู้บังคับบัญชาตามลาดับช้ันก่อน ท่จี ะเผยแพร่ผา่ นช่องทางตา่ ง ๆ ตามทีก่ าหนดไว้ โดยขน้ั ตอนการดาเนนิ การมที งั้ หมด 8 ข้ันตอน ดงั น้ี 4.1 การพิจารณาเลอื กหัวข้อของบทความ ในการพิจารณาหัวข้อหรือประเด็นเพ่ือจัดทาบทความทางวิชาการด้านกฎหมาย ของวิทยากร สานักกฎหมายน้ัน ในขั้นต้นผู้เขียนจะต้องพิจารณาก่อนว่า ตนมีความสนใจเร่ืองใดและมีความรู้ และความเช่ียวชาญในเร่ืองใด เพราะตาแหน่งวิทยากรสานักกฎหมายเป็นตาแหน่งท่ีมีหลากหลาย สาขาวชิ าทัง้ ด้านสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การบริหาร เป็นตน้ ดังนั้น หากผู้จัดทาบทความพิจารณา ปัจจัยข้างต้นดังกล่าวได้แล้วจะทาให้การดาเนินการในขั้นตอนต่อไปง่ายข้ึน และมีความรู้ความเข้าใจ ในเนื้อหาได้เป็นอย่างดี สามารถสื่อสารและเขียนงานทางวิชาการออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากน้ัน จึงเป็นการเลือกหัวขอ้ ท่ีจะนามาจัดทาบทความ โดยทว่ั ไปแล้ววิธีการพิจารณาเลือกหัวข้อน้ัน แบ่งออกเปน็ 3 ลกั ษณะ คือ 4.1.1 การพิจารณาจากกฎหมายท่ีมีความน่าสนใจหรือกฎหมายที่เป็นประเด็นทางสังคม ในขณะนน้ั หรอื เปน็ กฎหมายใหม่ 4.1.2 การพิจารณาจากประเด็นทางสังคมที่น่าสนใจ จากน้ัน จึงนากฎหมายท่ีเกี่ยวข้องมา อธบิ ายและวเิ คราะหป์ ระเด็นนน้ั ๆ 4.1.3 การพิจารณาจากประเด็นหรือกฎหมายท่ีผู้เขียนจัดทาบทความมีความสนใจและ ความเชยี่ วชาญ ข้อสาคัญ คือ กฎหมายหรือประเด็นท่ีเลือกมานั้นต้องมีความสาคัญ มีประโยชน์ หรือเป็นเรอ่ื ง ท่ีอยู่ในความสนใจของสาธารณชนด้วย 4.2 การค้นคว้าและรวบรวมเน้ือหาท่เี กยี่ วขอ้ ง เม่ือได้หัวข้อเร่ืองที่จะนามาจัดทาบทความแล้ว วิทยากรต้องทาการค้นคว้า รวบรวมเอกสาร หรอื เน้อื หาสาระท่ีเกี่ยวข้อง โดยแบง่ เป็นประเภทของหวั ข้อบทความได้ ดังนี้ 4.2.1 หัวข้อท่ีเกี่ยวกับกฎหมาย การค้นคว้าและรวบรวมเอกสารหรือรายละเอียดต่าง ๆ ควรจะ ค้นคว้าเกี่ยวกับ ข้ันตอน ที่มา ประเด็นการพิจารณาในกระบวนการยกร่างกฎหมาย เนื้อหา สาระของกฎหมาย จากแหล่งสืบค้นภายในสานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เช่น ห้องสมุดรัฐสภา เอกสารประกอบการพิจารณา บันทึกการประชุมของคณะกรรมาธิการ เอกสารวิชาการของรัฐสภา งานวิจัยของรัฐสภา หรือเว็บไซต์ที่เก่ียวข้อง เป็นต้น และเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมครบถ้วน และถูกต้อง หรือมีบางประเด็นในข้อกฎหมายท่ียังคลุมเครือหรือไม่เข้าใจ ผู้เขียนอาจติดต่อประสาน ขอข้อมูลเพิ่มเติมเก่ียวกับเร่ืองนั้น ๆ จากหน่วยงานภายใน เช่น สานักการประชุม สานักกรรมาธิการ
22 หรือสานักงานเลขาธิการวุฒิสภา นอกจากนั้น ควรมีการค้นคว้าจากบทความทางวิชาการหรือข่าวสาร เพม่ิ เติมดว้ ย 4.2.2 หัวข้อท่ีเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม การค้นคว้าข้อมูลในลักษณะน้ีส่วนใหญ่มาจาก การติดตามข่าวสารประจาวัน บทวิเคราะห์ บทความทางวิชาการ โดยข้อมูลเหล่านี้อาจจะมิได้มีกล่าวถึง กฎหมายโดยตรง ดังน้ัน ผู้เขียนจัดทาบทความประเภทนี้จึงต้องศึกษาประเด็นดังกล่าวว่ามีกฎหมายใด ท่เี กยี่ วขอ้ ง และหากมีประเด็นท่ีน่าสนใจหรือเป็นข้อสงสัย อาจติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการยังคบั ใช้ กฎหมายน้นั เพือ่ สอบถามให้ได้ข้อมูลท่ีครบถว้ นต่อไป 4.2.3 หัวข้อท่ีวิทยากรผู้จัดทาบทความมีความสนใจและมีความเชี่ยวชาญ การค้นคว้า และรวบรวมข้อมูลจากหัวข้อประเภทนี้จะทาให้วิทยากรผู้น้ันมีข้อมูลเชิงลึก เพราะเป็นประเด็นที่ตน ติดตามและมีความรู้ความเช่ียวชาญ การสืบค้นข้อมูลจึงเป็นเร่ืองง่าย สามารถสืบค้นจากแหล่งที่มา ต่าง ๆ ได้หลากหลายหรอื แหล่งท่ีตนให้ความสนใจเป็นพิเศษ หรือท่ีตนรู้จกั อยู่แล้ว เช่น เว็บไซต์ทั้งใน และต่างประเทศ ห้องสมุดของสถาบันการศึกษา ห้องสมุดหน่วยงานต่าง ๆ หนังสือ ตารา บทความ ทางวิชาการ และกฎหมายทเ่ี ก่ียวขอ้ ง เป็นตน้ เมอ่ื ไดข้ ้อมลู จากแหล่งต่าง ๆ ตามความต้องการแลว้ ผู้จดั ทาบทความควรจดั เก็บขอ้ มูลให้อยใู่ น ท่ีเดียวกันและจัดแบ่งหมวดหมู่ของข้อมูลให้ชัดเจนเพื่อสะดวกต่อการค้นคว้าในขณะที่ร่างบทความ เช่น การจดั ทาเป็นไฟลเ์ ก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ หรือการเก็บเอกสารใส่แฟ้มเดียวกัน เป็นตน้ 4.3 การศกึ ษาวิเคราะหแ์ ละสงั เคราะห์ขอ้ มลู หลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ตามขั้นตอนท่ี 2 แล้ว นาข้อมูลดังกล่าวมาศึกษาทาความเข้าใจ ตามประเภทของเนื้อหา โดยภาพรวมแล้ววิทยากรต้องศึกษาทาความเข้าใจเจตนารมณ์ของการใช้ กฎหมายน้ัน และศกึ ษาบทบัญญัติต่าง ๆ ให้เข้าใจ รวมทั้งศึกษาความเช่อื มโยงระหว่างกฎหมายอื่น ๆ ท่ีเก่ียวข้อง และวิเคราะห์กับสถานการณ์ปัจจุบันว่า กฎหมายมีผลอย่างไร มีประเด็นหรือข้อสงสัย อะไรบ้างท่ีน่าสนใจ หรือหากเป็นหัวข้อที่เป็นประเด็นทางสังคม วิทยากรต้องศึกษาจากข่าวสาร สถานการณ์ปัจจุบัน บทความทางวิชาการ ตาราทางวิชาการ และกฎหมายทเ่ี ก่ียวข้อง เพอ่ื ใหท้ ราบถึง ผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมาย ประเด็นอื่น ๆ ท่ีน่าสนใจ การวิเคราะห์เปรียบเทียบกฎหมาย ลักษณะเดียวกันของต่างประเทศ และอาจวิเคราะห์ถึงผลที่จะเกิดข้ึนในอนาคตได้ จากนั้นจึงเป็นการ สังเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้ได้เนื้อหาสาระสาคัญและสิ่งที่คิดว่าควรนามาเผยแพร่ต่อสาธารณชน เพ่ือให้ ผอู้ า่ นและผฟู้ งั มีความรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกับประเดน็ ทน่ี าเสนอได้ 4.4 การจดั วางโครงสรา้ งของบทความ หลังจากได้มีการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลข้างต้นแล้ว วิทยากรจะนาข้อมูลเหล่าน้ัน มาจัดวางโครงสร้างของบทความฯ ตามหลักการเขียนบทความ โดยกาหนดให้มีหัวข้อ ดังน้ี 1) ช่ือเรื่อง 2) บทนา 3) เน้ือหา 4) บทวิเคราะห์และบทสรุป 5) บรรณานุกรม (อ้างอิง) (ดังทีก่ ลา่ วมาแล้ว ส่วนที่ 2 โครงสรา้ งของบทความวชิ าการดา้ นกฎหมาย)
23 4.5 การเขยี นบทความ เขียนบทความตามโครงสร้างของเอกสารท่ีกาหนดไว้ตามขั้นตอนท่ี 4 ด้วยความละเอียด รอบคอบ โดยคานึงถึงหลักการเขียนบทความวิชาการที่ดีและความถูกต้องในด้านต่าง ๆ เช่น เนื้อหาสาระ การใช้ภาษา การสะกดคา วรรคตอน การใช้ภาษาท่ีเข้าใจง่าย ผู้เขียนควรทาความเข้าใจข้อมูล จากเอกสารต่าง ๆ ที่ได้จัดเตรียมไว้ตามข้ันตอน 2 อย่างละเอียดถ่ีถ้วน พร้อมกับมีการประมวล วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ก่อนที่จะดาเนินการเขียน ทั้งนี้ เพื่อให้ได้บทความท่ีมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชนส์ ูงสุด สามารถอธบิ ายได้ ดงั น้ี 4.5.1 บทนา การเขียนบทนา คือ การนาเสนอความสาคัญของปัญหาหรือประเด็นที่ต้อง การนาเสนอให้สอดคล้องกับหัวข้อของบทความน้ัน ๆ เป็นการกล่าวถึงสาเหตุ ท่ีมา และปัญหา ของการนาเสนอบทความ อาจนาเสนอในรูปแบบของข้อเท็จจริง สถิติ หรือข่าวสารท่ีเป็นประเด็น ทางสังคมในวงกว้าง แล้วกระชับเนอื้ หาเข้าสู่ประเด็นทต่ี อ้ งการนาเสนอตอ่ ไป 4.5.2 เนื้อหาสาระที่สาคญั ท่ีน่ารู้ของเร่ือง ส่วนนี้เป็นสว่ นสาคัญ เพราะเป็นการแสดงเน้ือหา ของบทความ ผู้เขียนบทความจึงต้องมีการจัดลาดับและเรียบเรียงเน้ือหามีความเหมาะสม โดยมีการวางโครงเรื่องตามลาดับของเนื้อหาที่จะนาเสนอ มีความต่อเน่ืองกัน เพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจ ได้ง่าย ในด้านการเขียนนั้น นอกจากที่ผู้เขียนจัดทาบทความต้องมีความรู้ความเข้าใจในเน้ือหาสาระ แล้วจะต้องใช้ความสามารถทางด้านภาษา วธิ ีการเขยี น การนาเสนอ หรือใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้ง่าย ตอ่ การทาความเข้าใจ เชน่ ตาราง กราฟ แผนภูมิ รูปภาพ เปน็ ตน้ 4.5.3 บทสรุปและข้อเสนอแนะ เป็นการสรุปเน้ือหาสาระของบทความโดยผู้จัดทา บทความต้องเขียนให้มีความกระชับ สามารถยกเน้ือหาท่ีสาคัญมาสรุปให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย และนาเสนอข้อเสนอแนะที่เปน็ เหตเุ ป็นผล ทาให้ผู้อ่านมองเห็นรูปธรรม 4.6 การจัดพิมพต์ ามรูปแบบของบทความและการตรวจสอบความถกู ต้อง เม่ือเขียนบทความดังกล่าวเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลทาการจัดพิมพ์บทความดังกล่าว ตามรูปแบบที่กาหนด จากนั้น ตรวจสอบความถูกต้องในด้านต่าง ๆ เช่น เนื้อหาสาระ รูปแบบ การสะกดคา และวรรคตอน เป็นต้น 4.7 การเสนอบทความทางวิชาการดา้ นกฎหมายต่อผู้บังคับบญั ชา เม่ือบทความดังกล่าวถูกต้องสมบูรณ์แล้ว นาเสนอต่อผู้บังคับบัญชาตามลาดับ เพื่อเห็นชอบ และอนุญาตเผยแพร่ 4.8 การเผยแพรบ่ ทความ เม่ือผู้บังคับบัญชาพิจารณาเห็นชอบและอนุญาตให้มีการเผยแพร่บทความ วิชาการ ดา้ นกฎหมายแลว้ จงึ นาบทความให้กบั เจ้าหนา้ ทก่ี ล่มุ งานบรหิ ารท่ัวไป สานักกฎหมาย เพ่ือดาเนินการ นาเข้าสู่เว็บไซต์ของสานักกฎหมายเพ่ือเผยแพร่ และบันทึกเสียงผ่านทางรายการ “เจตนารมณ์ กฎหมาย” ทางสถานีวิทยุกระจายเสยี งและวิทยุโทรทศั นร์ ฐั สภาต่อไป
24 แผนภมู แิ สดงขั้นตอนการดาเนนิ การจดั ทาบทความวชิ าการดา้ นกฎหมาย ขัน้ ตอนท่ี 1 การพิจารณาเลอื กหัวขอ้ ของบทความ ข้นั ตอนที่ 2 การค้นคว้าและรวบรวมเน้ือหาที่เก่ียวขอ้ ง ขน้ั ตอนท่ี 3 การศึกษาวเิ คราะหแ์ ละสังเคราะห์ข้อมลู ขัน้ ตอนที่ 4 การจดั วางโครงสรา้ งของบทความ ขน้ั ตอนที่ 5 การเขยี นบทความ ข้ันตอนที่ 6 การจัดพมิ พ์ตามรูปแบบของบทความและการตรวจสอบความถกู ต้อง ข้นั ตอนท่ี 7 เสนอต่อผู้บังคบั บัญชา ขน้ั ตอนท่ี 8 การเผยแพร่บทความ เผยแพรผ่ ่านทางเว็บไซตข์ องสานักกฎหมาย ทบทวนข้อมลู บทความฯ และติดตามขา่ วสาร ทเี่ ก่ยี วกับเรื่องทนี่ ามาจัดทาบทความฯ ให้มคี วามทันสมัย ครบถว้ น เพอื่ เตรยี มเผยแพร่ ผ่านทางรายการ “เจตนารมณ์กฎหมาย” ทางสถานี วทิ ยุกระจายเสียงและวทิ ยโุ ทรทศั นร์ ัฐสภา บนั ทึกเสียงรายการ “เจตนารมณก์ ฎหมาย” ตามวนั /เวลาทีน่ ดั ไว้ ติดตามรบั ฟังรายการ “เจตนารมณ์กฎหมาย” เพ่ือนาข้อบกพร่องทไ่ี ด้มาปรับปรุงเพื่อใหเ้ กดิ การพัฒนาต่อไป
ส่วนท่ี 5 เทคนิคการจัดทาบทความวิชาการดา้ นกฎหมาย ในการจัดทาบทความวิชาการด้านกฎหมายนอกจากผู้เขียนต้องดาเนินการตามโครงสร้าง รูปแบบ และขั้นตอนท่ีได้กาหนดไว้แล้ว ยังมีเทคนิคต่าง ๆ ท่ีเป็นการสนับสนุนกระบวนการจัดทา บทความ ให้มีความถกู ตอ้ ง สมบรู ณ์ และลดข้อผิดพลาดในการจดั ทา โดยสามารถรวบรวมได้ ดงั นี้ 5.1 เทคนคิ การจดั ทาบทความวชิ าการดา้ นกฎหมายใหม้ ีคณุ ภาพ 5.1.1 การศกึ ษาและปฏบิ ัตติ ามรปู แบบ การเขียนบทความวิชาการด้านกฎหมาย ควรคานึงถึงโครงสร้างของการเขียนบทความ วิชาการ 4 ส่วนที่สาคัญ คือ ช่ือเรื่อง บทนา เนื้อเรื่อง และบทสรุป รวมทั้งปฏิบัติตามรูปแบบของ คู่มือการเขียนบทความวชิ าการดา้ นกฎหมายเลม่ น้ี โครงสร้างและรูปแบบการเขียนบทความวิชาการด้านกฎหมาย ไม่แตกต่างไปจาก บทความวชิ าการอื่น ๆ เพียงแต่เนอื้ หาสาระของบทความทางวชิ าการดา้ นกฎหมายจะนาเสนอเน้ือหา ท่ีมีพื้นฐานอยู่ในสาขาวิชากฎหมาย และการนาเสนอช่ือเรื่องมักแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเกี่ยวข้อง กับกฎหมายเรื่องใด หรือประเด็นใด โครงสร้างของบทความวิชาการด้านกฎหมายและส่วนท่ี 3 รปู แบบการจัดทาบทความวิชาการด้านกฎหมาย 5.1.2 การเตรียมความพรอ้ ม การเขียนบทความวิชาการด้านกฎหมายท่ีถูกต้อง ผู้จัดทาควรมีการเตรียมความพร้อม ด้านข้อมูลโดยการติดตามข้อมูลข่าวสารให้เป็นปัจจุบันและทันสมัยอยู่เสมอ เช่นทางอินเตอร์เน็ต หนังสือพิมพ์ สื่อส่ิงพิมพ์ และจากช่องทางอื่น ๆ อีกท้ังจาเป็นต้องศึกษา ทบทวน และทาความเข้าใจ กับคาศัพท์ต่าง ๆ หลักไวยากรณ์ไทย การใช้ภาษาเขียนมาเป็นทางการสามารถส่ือสารให้เกิด ความเขา้ ใจได้ 5.1.3 การทบทวนวรรณกรรม การทบทวนวรรณกรรมเป็นเร่ืองสาคัญและต้องใช้ในการเขียนบทความวิชาการ เน้นเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงานเขียน และสรุปประเด็นสาคัญของแต่ละวรรณกรรมท่ีนามาใช้ในงาน เขียนแบบสรปุ ความเพื่อปอ้ งกันการละเมดิ ลิขสิทธ์ิ 5.1.4 เทคนิคการใช้ 5W1H1 5W1H เป็นหนึ่งในเคร่ืองมือท่ีใช้มากท่ีสุดในระดับสากลสาหรับการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และการนาเสนอเป็นกรอบ 5W1H วิธีน้ีจะใช้ในช่วงของกระบวนการจัดทาบทความวชิ าการ มีคุณภาพ เข้าใจและสามารถอธิบายความจริง หรือปัญหา อีกทั้งสามารถใช้ในการจัดระเบียบ การเขียนรายงานบทความเอกสารและหนังสอื ทวั่ ไป โดยมสี ว่ นประกอบ ดงั นี้ 1 “การใช้เทคนิค 5W1H ในการวิเคราะห์ปัญหา”, ศิริประภา 205, นาข้อมูลข้ึนเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2557, http://sites, google.com/sote/siriprapha205/5W1H (สืบค้นเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2561).
26 - Who ใคร คือ สิ่งท่ีเราต้องรู้ว่า ใครรับผิดชอบ ใครเกี่ยวข้อง ใครได้รับผลกระทบ ในเรื่องนน้ั มีใครบา้ ง - What ทาอะไร คอื สิง่ ทเี่ ราต้องรู้ว่า เราจะทาอะไร แต่ละคนทาอะไรบ้าง - Where ที่ไหน คือ สิ่งที่เราต้องรู้ว่า สถานที่ท่ีเราจะทาว่าจะทาท่ีไหน เหตุการณ์ หรอื สงิ่ ท่ีทาน้ันอยู่ท่ีไหน - When เม่ือไหร่ คือ ส่ิงที่เราต้องรู้ว่า ระยะเวลาท่ีจะทาจนถึงสิ้นสุด เหตุการณ์ หรือสง่ิ ที่ทานน้ั ทาเม่อื วนั เดอื น ปี ใด - Why ทาไม คือ สง่ิ ท่เี ราต้องรู้วา่ สิง่ ทเ่ี ราจะทานั้น ทาด้วยเหตผุ ลใด เหตใุ ดจงึ ไดท้ าสิ่งน้ัน หรอื เกดิ เหตกุ ารณน์ นั้ ๆ - How อย่างไร คือ ส่ิงที่เราต้องรู้ว่า เราจะสามารถทาทุกอย่างให้บรรลุผลได้อย่างไร เหตกุ ารณห์ รือสิง่ ท่ที านั้นทาอย่างไรบ้าง 5.1.4 เทคนิคการใชต้ าราง การใช้ตาราง และรูปภาพประกอบในการเขียนบทความจะช่วยให้การอธิบายต่าง ๆ ง่ายข้ึน ชัดเจนขึ้น และยังช่วยกระตุ้นความสนใจได้เป็นอย่างดี โดยยึดหลักและรูปแบบของภาพ ตามรูปแบบท่ีคู่มือกาหนด โดยพิจารณาเท่าที่จาเป็นไม่มากจนเกินไป แต่ละตารางควรมีคาอธิบาย อยู่ใต้รูปด้วยว่าหมายถึงอะไร ใช้ทาอะไร หรือต้องการแสดงอะไร โดยให้ตารางและเนื้อหา มีความสอดคล้องกนั 5.1.5 เทคนคิ การใชห้ วั ขอ้ ยอ่ ย ควรมีการกาหนดหัวข้อหลักและหัวข้อย่อย เพื่อให้สะดวกและง่ายต่อการอ่าน การกาหนดหัวข้อหลักและหัวข้อย่อย ให้คานึงถึงจุดสาคัญหรือประโยคสาคัญเขียนใส่ลงไปก่อน จากนั้นจึงค่อยมาเรียบเรียงลาดับหัวข้อย่อยและประโยคสาคัญเหล่านั้นตามลาดับความต่อเนื่อง ที่ควรจะเป็น เช่น หัวข้อไหนควรอยู่ก่อนจึงจะอ่านเข้าใจง่าย ควรจะนาหัวข้อท่ีกล่าวรวม ๆ ขึ้นมาก่อน แลว้ เกบ็ หวั ขอ้ ท่ีเนน้ รายละเอียดเอาไว้ทีหลงั โดยเรยี งลาดบั ความต่อเนื่องกัน 5.1.6 เทคนิคการใช้ภาษา กรณีบทความเป็นภาษาไทยให้ใช้ศัพท์เทคนิคเท่าท่ีจาเป็น โดยเฉพาะเมื่อต้องเผยแพร่ ทางสถานีวิทยุและพยายามใช้ภาษาอังกฤษให้น้อยท่ีสุดเว้นแต่มีความจาเป็นต้องใช้ศัพท์เทคนิค ในการส่ือสารหากใช้ภาษาไทยอาจทาให้ความหมายผิดเพี้ยนไป ผู้อ่านหรือผู้ฟังอาจไม่เข้าใจได้ และ ควรวงเล็บภาษาอังกฤษไว้ด้วย ยกเว้นไม่สามารถจะแปลเป็นภาษาไทยได้ ให้ทับศัพท์เป็นภาษาไทย แลว้ วงเล็บภาษาองั กฤษกากบั 5.2 ขอ้ พงึ ระวังในการจดั ทาบทความวชิ าการด้านกฎหมาย 5.2.1 การค้นคว้าและรวบรวมเนอ้ื หาท่ีเกย่ี วขอ้ ง เน่ืองจากบทความวิชาการด้านกฎหมายมีลักษณะเฉพาะและแตกต่างจากบทความ วิชาการในสาขาสังคมศาสตร์อ่ืน ๆ ในการพิจารณาประเด็นเพ่ือจัดทาบทความทางวิชาการ ด้านกฎหมายของวิทยากรสานักกฎหมายนั้น ผู้จัดทาจะต้องพิจารณาก่อนว่าตนมีความสนใจเรื่องใด
27 และมีความร้แู ละความเชยี่ วชาญในเรื่องนัน้ ๆ มากพอท่จี ะเขียนและส่ือสารให้กับผู้อ่นื ได้อยา่ งถูกต้อง เน่ืองจากการเขียนบทความทางวิชาการด้านกฎหมายบางคร้ังต้องมีการตีความทางกฎหมาย ผู้จัดทา จึงตอ้ งศึกษาข้อมลู และข้อกฎหมายอย่างรอบคอบ ตลอดจนปรึกษานกั กฎหมายที่มีความรู้ความเข้าใจ ในเนื้อหานั้น ๆ เพ่ือใหเ้ นอื้ หาของบทความถกู ต้อง และการตีความเป็นไปตามเจตนารมณ์กฎหมาย 5.2.2 การจดั ทาเรื่องทซ่ี า้ ซ้อนกนั เมือ่ ไดห้ วั ขอ้ เร่อื งทีจ่ ะนามาจัดทาบทความแล้ว ผ้เู ขียนต้องตรวจสอบประเด็นดังกล่าวว่า มีผู้อ่ืนได้ดาเนินการไปก่อนแล้วหรือไม่ อย่างไรก็ตามในกฎหมายแต่ละเร่ืองมีประเด็นท่ีสามารถนามา จัดทาบทความทางวิชาการได้หลากหลาย ผู้จัดทาอาจพิจารณาจากประเด็นท่ีตนสนใจเป็นหลัก แม้จะเป็นกฎหมายฉบับเดียวกันที่ได้เคยมีผู้จัดทาไปแล้ว หากมีประเด็นท่ีสามารถนามาจัดทา บทความทม่ี เี นื้อหาแตกตา่ งกนั กส็ ามารถดาเนนิ การได้ 5.3 ฐานขอ้ มลู ทางเว็บไซต์ทส่ี าคญั 5.3.1 Google (https://www.google.com/) เป็นโปรแกรมช่วยในการสืบค้นข้อมูล (Search Engine) ซึ่งค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ผา่ นระบบเว็บไซต์ และเครือขา่ ยอินเตอร์เนต็ เพ่อื เข้าถึงเว็บไซต์ข้อมูลท่ีตอ้ งการค้นหา สามารถสบื ค้น ไดท้ ั้งขอ้ ความ รปู ภาพ ส่อื มลั ตมิ เิ ดยี ภาพเคลอื่ นไหว วีดิโอ และข้อมูลอ่นื ๆ 5.3.2 Google Scholar (https://scholar.google.co.th/) เป็นบริการหน่ึงของ Google ให้บริการในการสืบค้นงานเขียน และส่ิงพิมพ์ทางวิชาการ อาทิ งานวิจัย ดุษฎีนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ บทความในวารสารวชิ าการต่าง ๆ ซ่ึงการแสดงผล จะสามารถเช่ือมโยงไปยงั ผลงาน ทางวชิ าการ ซง่ึ ผ้ใู ช้อาจสามารถดาวน์โหลดผลงานฉบับเต็มได้ 5.3.3 Single Search หอสมุดแหง่ ชาติ (http://www.search.nlt.go.th:1701) หอสมุดแห่งชาติมีหนังสือให้บริการที่ทันสมัยเป็นจานวนมากกว่า 1 ล้านเล่ม และจัด หมวดหมู่ดังกล่าวด้วยระบบการจัดหมวดหมู่สากลท่ีเรียกว่าระบบ Dewey Decimal Classification นอกจากน้ียังมีหน่วยงานที่ประสานงานกับหน่วยงานอื่นท้ังภายในและภายนอกประเทศ เพื่อแลกเปล่ียน ความร้คู วามคิดเห็นทางดา้ นห้องสมุด และบรรณารกั ษศาสตร์ 5.3.4 ฐานข้อมูลเอกสารฉบับเต็ม ThaiLIS Digital Collection (TDC) (http://tdc.thailis.or.th/tdc/) TDC หรือ Thai Digital Collection เป็นโครงการหน่ึงของ ThaiLIS มีเป้าหมาย เพ่ือให้บริการสืบค้นฐานข้อมูลเอกสารฉบับเต็ม ซ่ึงเป็นเอกสารฉบับเต็มของ วิทยานิพนธ์ รายงาน การวิจัยของอาจารย์ รวบรวมจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ท่ัวประเทศ นักศึกษา อาจารย์ และบุคลากร ในการเข้าใช้บริการนั้นจะต้องเข้าใช้งานจากคอมพิวเตอร์ ภายในห้องสมุดสมาชิก ดูรายละเอียด ห้องสมดุ สมาชกิ ได้จากทางเลือกมหาวิทยาลัย/สถาบัน 5.3.5 Thai Journals Online (ThaiJO) (https://www.tci-thaijo.org/) Thai Journals Online (ThaiJO) เป็นระบบฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลาง ของประเทศไทย เป็นแหล่งรวมวารสารวิชาการท่ีผลิตในประเทศไทยทุกสาขาวิชา ทั้งสาขา วิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ThaiJo ได้รับการสนับสนุนจาก สานักงาน
28 กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจ อมเกล้าธนบุรี (มจธ.) มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และศนู ยด์ ชั นกี ารอา้ งองิ วารสารไทย (Thai-Journal Citation Index Centre : TCI) วารสารวชิ าการไทยท่ปี รากฏใน ThaiJO จะพัฒนาอยู่บนระบบ OJS (Online Journal System) เดียวกนั ซ่งึ พฒั นาโดย Public Knowledge Project (PKP) 5.4 จรรยาบรรณนักเขยี น พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน ปี พ.ศ. 2525 ไดใ้ ห้ความหมายของคาว่า จรรยาบรรณ และนักเขียนไว้ ดังนี้ จรรยาบรรณ หมายถึง ประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพแต่ละอาชีพกาหนดข้ึน เพือ่ รกั ษา และส่งเสรมิ เกียรตคิ ณุ ชือ่ เสียงรวมถึงฐานะของสมาชิก นักเขียน หมายถึง ผ้ทู ีม่ ผี ลงานดา้ นการเขยี น ผู้ประพนั ธ์ นักประพันธ์ อาจเขียนเปน็ ลายลักษณ์ อักษรหรอื ไม่ก็ได้ จรรยาบรรณของนกั เขยี นท่ีดี ไดแ้ ก่2 5.4.1 การไม่คัดลอกผลงานหรือขโมยความคิดผู้อื่นโดยไม่อ้างอิงให้ถูกต้อง บางคนเรียกว่า “โจรกรรมทางวิชาการ” หรอื “โจรกรรมทางวรรณกรรม” (plagiarism) 5.4.2 นักเขียนท่ีดีต้องไม่แต่งเติมข้อมูล เปลี่ยนแปลงข้อมูลให้คลาดเคล่ือนจากข้อเท็จจริง รวมทัง้ ตอ้ งแสดงแหลง่ ที่มาของขอ้ มลู หรือแจ้งวิธีการได้ข้อมลู 5.4.3 นักเขยี นทด่ี ีต้องไม่ขม่ ขคู่ ุกคามเพื่อใหไ้ ด้ข้อมูล 5.4.4 นักเขียนที่ดีต้องไม่มีความลาเอียงในการเขียนงานวิชาการ และควรวิพากษ์วิจารณ์ โดยความเปน็ ธรรมและปราศจากอคติ 5.4.5 นักเขียนท่ีดีต้องเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น มีใจกว้าง พร้อมท่ีจะเปิดเผย ข้อมลู และขัน้ ตอนการเขยี น และพร้อมทจี่ ะปรับปรุงแกไ้ ขงานวชิ าการของตนให้ถกู ต้อง 2 เดือน คาดี, จรรยาบรรณของนักวิจัย, วารสาส์นสมาคมนักวิจัยทางสังคมศาสตร์สภาวิจัย แหง่ ชาต,ิ 2536, 22.
29
30
31 บรรณานุกรม เกรยี งศักดิ์ เจรญิ วงศ์ศกั ด์ิ, ผูแ้ ปล. เขียนบทความอย่างไรใหน้ ่าอ่าน. กรุงเทพฯ : ซัคเซสมเี ดยี , 2543. ชฎาภา ประเสรฐิ ทรง และ หทัยชนก บัวเจริญ. (พฤศจิกายน 2549). บทความ:เขียนอยา่ งไร (จึงจะ) ด.ี สบื คน้ เมอ่ื วนั ที่ 15 มถิ นุ ายน2561, จาก http://www.academic.hcu.ac.th/forum/ board_posts.asp?FID=217 เดอื น คาดี. จรรยาบรรณของนกั วจิ ยั . วารสาสน์ สมาคมนกั วิจยั ทางสังคมศาสตร์ สภาวิจัยแห่งชาติ. 2536. ติน ปรัชญพฤทธิ์. ข้อมูลเก่ียวกับพันธะทางสังคม ความรับผิดชอบต่อสังคม วิชาชีพนิยม และจรรยาบรรณ ในการปฏบิ ตั ิงาน :ศนู ย์สง่ เสริมจรยิ ธรรม สานักงาน ก.พ.. 2543. ธดิ า โมสิกรัตน์. การเขียนผลงานวชิ าการและบทความ. กรุงเทพฯ, 2548. นภาลัย สวุ รรณธาดา ธิดา โมสิกรัตน์ และสุมาลี สงั ขศ์ ร.ี การเขียนผลงานวิชาการและบทความ. พิมพค์ ร้งั ท่ี 3 (ปรบั ปรงุ เพ่ิมเติม). กรุงเทพฯ, 2559. ปรชั ญา อาภากุล. ทกั ษะการใชภ้ าษาไทยเพ่อื การสื่อสาร. กรุงเทพฯ : ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา ฝ่ายเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ศรปี ทุม, 2548. ไพฑูรย์ สินลารัตน์. ตาราและบทความวิชาการ : แนวคิดและแนวทางการเขียนเพ่ือคุณภาพ . กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2552. ไพโรจน์ ตีรณธนากุล. การวิจัยสู่การเขยี นบทความและรายงาน. กรุงเทพฯ : ศนู ยส์ ่อื เสรมิ กรุงเทพ, ม.ป.ป. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, สานักหอสมุด. (2556). คู่มือการพิมพ์วิทยานิพนธ์ (พิมพ์คร้ังที่ 8, แก้ไขและเพิม่ เติม). กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม์ หาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. สถาบันบณั ฑิตย์พฒั นบริหารศาสตร์ เอกสารประกอบการอบรม จรยิ ธรรมและจรรยาบรรณ ทางวิชาการ สานักงานคณะกรรมการวจิ ัยแหง่ ชาติ. จรรยาวชิ าชีพวิจยั และแนวทางปฏบิ ตั ิ. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : สานกั งาน ...., 2555. สานกั งานเลขาธิการสภาผูแ้ ทนราษฎร, สานกั กฎหมาย. สบื ค้นเมือ่ วันท่ี 2 พฤษภาคม 2561, จาก https://www.parliament.go.th/elaw/
32 สานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. โครงการพัฒนาบุคลากรของรัฐสภา. การเขียนบทความ และงานเขียนเชิงวิชาการ : เอกสารประกอบการฝึกอบรมหลักสูตร เทคนิคการศึกษาและ วเิ คราะหข์ อ้ มูล.กรงุ เทพฯ : 2544. สทิ ธ์ิ ธีรสรณ์. จากงานวิจัยสู่บทความวิชาการ. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2554. เสาวลกั ษณ์ หวงั สนิ สจุ ริต Plagiarism ขโมยความคดิ ผิดไมร่ ตู้ ัว R&D Newsletter ปี ที่ 19 ฉบบั ท่ี 3. องคก์ ารเภสชั กรรม 2555. สุชาติ ประสิทธ์ิรัฐสินธุ์, ผแู้ ปล. ค่มู ือการเขยี นผลงานทางวิชาการแนว APA. กรุงเทพฯ : ม.ป.พ., ม.ป.ป. สมุ าลี สังขศ์ ร.ี การเขียนผลงานวิชาการและบทความ. กรงุ เทพฯ, 2553. Legislative Institutional Repository of Thailand เรากาลังเขา้ ข่าย Plagiarism หรอื ไม่ สืบค้น จาก www.library2.parliament.go.th
ภาคผนวก
30
ภาคผนวก 1 รูปแบบการอา้ งอิง การอา้ งองิ แบบเชงิ อรรถตามหลักเกณฑ์ Turabian
4.2 การอา้ งอิงแบบเชงิ อรรถตามหลกั เกณฑ์ Turabian
67 4.2 การอา้ งอิงแบบเชิงอรรถตามหลกั เกณฑ์ Turabian การอ้างองิ ตามหลักเกณฑ์ของ Turabian ปัจจบุ ันมี 2 รูปแบบ ดังนี้ 1. การอ้างอิงแบบแทรกในเน้ือหา (Parenthetical Citations-Reference List Style) เป็นการอ้างอิงถึงแหล่งท่ีมาของข้อความท่ีคัดลอกหรือเก็บความ โดยใช้รูปแบบการอ้างอิงที่ เรียกว่า “ระบบนาม – ปี” โดยทั่วไปประกอบด้วยข้อมูลสาคัญ 3 ส่วน คือ ผู้แต่ง ปีที่พิมพ์ เลขหน้า ท่ีอ้างอิง ทั้งน้ีการอ้างอิงมักใช้ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและกายภาพ (Natural and Physical Sciences) และสังคมศาสตรบ์ างสาขา 2. การอ้างอิงแบบเชิงอรรถ (Notes-Bibliography Style) เป็นการอ้างอิง ด้วยข้อความไว้ท้ายหน้ากระดาษ โดยการใส่หมายเลขไว้ 2 แห่ง เป็นคู่ ๆ เรียงตามลาดับกันไป โดยแห่งแรกใส่ไว้ท้ายคา ข้อความ หรือแนวคิดที่คัดลอกมาใช้ในการเขียนวิทยานิพนธ์ หรือ การค้นคว้าอิสระ และอีกแห่งหน่ึงใส่หมายเลขเดียวกันไว้ในรายการเชิงอรรถที่อยู่ส่วนข้างล่างของ แตล่ ะหนา้ ท่อี ้างถงึ ทั้งน้ีการอ้างองิ แบบเชงิ อรรถมักใชใ้ นสาขาวชิ ามนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ สาหรับในคู่มือการพิมพ์วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ เป็นการอ้างอิงเน้ือหาจากหนังสือ A Manual for Writers of Research Papers, Theses and Dissertations: Chicago Style for Students and Researchers, by Kate L. Turabian , Revised by Wayne C. Booth, Gregory G. Colomb, Joseph M. Williams, and University of Chicago Press Editorial Staff, 7th Edition, 2007. ซึ่งจัดทาโดยมหาวิทยาลัยชิคาโก เป็นหลัก และเลือกใช้รูปแบบ การอา้ งอิงแบบเชงิ อรรถ (Notes-Bibliography Style) เท่าน้ัน แต่อย่างไรก็ตามได้มีการแก้ไข เพ่ิมเติมเพื่อให้สอดคล้องกับการนามาใช้สาหรับสิ่งพิมพ์ ของไทย สาหรับรายละเอียดและเรื่องท่ีมีลักษณะเฉพาะเจาะจงมาก ๆ ซ่ึงไม่ปรากฏอยู่ในคู่มือฉบับน้ี โปรดดูเพมิ่ จากหนงั สอื ดงั กล่าว การอ้างอิงแบบเชิงอรรถประกอบด้วยการอ้างอิงเชิงอรรถท้ายหน้า (Footnote) และ การลงรายการอ้างอิงท้ายเล่ม (Bibliography หรือ References) ในการอ้างอิงแบบเชิงอรรถจะ แสดงแหลง่ ทีม่ าของการอ้างอิงโดยลงหมายเลขแบบตัวยกไว้ท้ายสุดของประโยคท่ีอ้างและลงรายการ เชิงอรรถไว้ส่วนล่างของหน้ากระดาษแต่ละหน้าที่อ้างถึง โดยการย่อหน้าเข้ามา 0.5 น้ิว พิมพ์หมายเลขเชิงอรรถ ตามด้วยรายละเอียดของหนังสือท่ีอ้างอิง หากมีรายละเอียดมากบรรทัด ท่ีสองจะอย่ทู ่ขี อบซา้ ย การเรียงลาดับเลขของเชิงอรรถ ให้เริ่มเชิงอรรถแรกของแต่ละบทด้วยเลข 1 ต่อเนื่อง กันไปโดยไม่ต้องแยกเป็นเชิงอรรถของหนังสือภาษาไทย หรือภาษาต่างประเทศจนจบบท เม่ือข้ึน บทใหม่หมายเลขเชงิ อรรถจะเรมิ่ ที่ 1 ใหมเ่ สมอ
68 4.2.1 หลกั เกณฑ์ท่ัวไป 4.2.1.1 หลักเกณฑ์การลงรายการผูแ้ ตง่ (1) ผู้แต่งชาวไทย ให้ใส่ชื่อตามด้วยชื่อสกุล ไม่ว่างานเขียนจะเป็นภาษาไทย หรอื ภาษาต่างประเทศ กรณีผ้แู ต่งใสท่ ั้งช่ือสกลุ ของตวั เองและสามี ใหล้ งรายการตามทีป่ รากฏในหน้า ชอื่ เรอ่ื งหรือหนา้ ปกใน (Title Page) เชงิ อรรถและรายการอ้างอิง ลงรายการเหมือนกันดังนี้ แววรตั น์ โชตนิ ิพทั ธ์ พนั ธ์ทุ พิ ย์ กาญจนะจติ รา สายสุนทร Waeorath Chotnipat Phunthip Kanchanachittra Saisoonthorn Chaiwat Satha-Anand (2) ผแู้ ตง่ ชาวต่างประเทศ เชงิ อรรถ ใชต้ ามท่ีปรากฏในหน้าชอื่ เร่อื งหรือหน้าปกใน ให้ลงชอ่ื ต้น ชือ่ กลาง (ถา้ มี) ช่ือสกุล รายการอา้ งองิ ใหล้ งช่ือสกุล ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,) ชอื่ ตน้ ชอ่ื กลาง (ถ้าม)ี เชิงอรรถ รายการอา้ งอิง Alan S. Pitkethly Pitkethly, Alan S. George Bernard Giles Giles, George Bernard Martin Ricketts Ricketts, Martin - กรณีผ้แู ต่งมคี าตอ่ ท้ายช่ือ เช่น Jr. เป็นต้น ลงรายการดังนี้ เชิงอรรถ รายการอ้างองิ Henry Louis Gates Jr. Gates, Henry Louis Jr. - กรณีผู้แต่งเป็นราชวงศ์และมีคาต่อท้ายพระนาม เช่น I, III (or 3rd), IV (or 4th) เป็นต้น เชิงอรรถและรายการอ้างองิ ลงรายการเหมอื นกนั ดังน้ี Elizabeth I เชงิ อรรถ 1 Elizabeth I, Collected Works, ed. Leah S. Marcus, Janel Mueller, and Mary Beth Rose (Chicago: University of Chicago Press, 2000), 102-104.
69 รายการอ้างอิง Elizabeth I, Collected Works. Edited by Leah S. Marcus, Janel Mueller, and Mary Beth Rose. Chicago: University of Chicago Press, 2000. - ช่ือผู้แต่งที่เป็นบุคคลสาคัญทางประวัติศาสตร์ให้อ้างอิงจาก Merriam- Webster’s Biographical Dictionary ส่วนเชิงอรรถให้ลงรายการตามท่ีปรากฏ สาหรับรายการ อา้ งอิงให้ลงช่อื สกลุ ตามด้วยเคร่ืองหมายจลุ ภาค (,) ลงชอ่ื ต้น ชอื่ กลาง (ถ้าม)ี - ชื่อผู้แต่งที่มีส่วนประกอบของชื่อ มากกว่า ชื่อต้นและชื่อสกุล ในภาษาต่างประเทศ เช่น ช่ือสกุลมีเคร่ืองหมายยัติภังค์ (-) ประกอบ หรือสตรีที่ใช้ชื่อสกุลตนเองและ ชอ่ื สกุลสามี ลงรายการดงั นี้ เชงิ อรรถ รายการอ้างอิง Alice Kessler-Harris Kessler-Harris, Alice Derlene Clark Hine Hine, Derlene Clark Ludwig Mies van der Rohe Mies van der Rohe, Ludwig - ช่ือสกุลมีคานาหน้าหรือคาต่อท้าย (Names with Particles) เช่น de, di, D’ หรอื van ในรายการเชิงอรรถใหล้ งชื่อโดยใชต้ ัวอักษรพมิ พ์ใหญ่หรือพิมพ์เล็กตามท่ีปรากฏ สว่ นรายการอ้างองิ ลงรายการดงั นี้ เชงิ อรรถ รายการอ้างองิ Simone de Beauvoir Beauvoir, Simone de Micaela di Leonardo di Leonardo, Micaela Van Rensselaer Stephen Van Rensselaer, Stephen Lorenzo de’ Medici Medici, Lorenzo de’ - ชอ่ื ผู้แต่งชาวจีนหรอื ชาวญ่ีปนุ่ ให้ลงรายการแบบชาวตะวนั ตก ดงั น้ี เชงิ อรรถ รายการอ้างอิง Tang Tsou Tsou, Tang Lung-Wen Tsai Tsai, Lung-Wen Noriaki Kurosawa Kurosawa, Noriaki (3) ผแู้ ตง่ ที่มีฐานนั ดรศกั ด์ิ บรรดาศกั ดิ์ เชิงอรรถ ให้ลงฐานันดรศักดิ์ หรอื บรรดาศักดิ์ตามดว้ ยชื่อ และชอ่ื สกลุ รายการอ้างอิง ใหใ้ สช่ ือ่ คั่นด้วยเครอ่ื งหมายจุลภาค (,) ตามดว้ ย ฐานนั ดรศกั ดิ์ หรอื บรรดาศักด์ิ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161