CASTChange Agents for Strategic Transformation
คำนำ
วิชาเรียนรู้ หน้า ๑ ทำไมต้อง \"CAST\" ๑ นายสุทธพงษ์ จุลเจริญ ๒ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ๔ ๒๔ ๒ ทัศนศึกษาตัวอย่างความสำเร็จพื้ นที่พั ฒนาคุณภาพชีวิต ๓๒ ตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา ๓๗ ทีมวิทยากร ศพช.อุดรธานี ๕๔ ๕๖ ๓ ทฤษฎีใหม่ด้านการบริหารจัดการทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า สู่การพั ฒนาตามหลักกสิกรรมธรรมชาติ โดย ทีมวิทยากร ศพช.อุดรธานี ๔ หลักกสิกรรมธรรมชาติ กับระบบเศรษฐกิจพอเพี ยง และบันได ๙ ขั้นสู่ความพอเพี ยง อาจารย์ปัญญา ปุลิเวคินทร์ ๕ การขับเคลื่อนเขตพั ฒนาเศรษฐกิจพอเพี ยงในบริบทของการร่วมทุน ๓ ภาคี ภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ๖ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพี ยงสู่เป้าหมายการพั ฒนาที่ยั่งยืน (SEP to SDGs) อาจารย์คณิต ธนูธรรมเจริญ ๗ ฝึกปฏิบัติการ “จิตอาสาพั ฒนา เอามื้อสามัคคี” ทีมวิทยากร ศพช.ชลบุรี ๘ ทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่เขตพั ฒนาเศรษฐกิจพอเพี ยงด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ และ ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย บำบัดทุกข์ บำรุงสุข Change Agents for Strategic Transformation (CAST)
วิชาเรียนรู้ หน้า ๙ พั ฒนา ๓ ขุมพลัง “พลังกาย พลังปัญญา พลังใจ” กิจกรรมรับอรุณ ๖๑ ๖๖ ทีมวิทยากร ศพช.ชลบุรี ๘๒ ๑ ๐ ตัวอย่างความสำเร็จการขับเคลื่อนงาน \"บำบัดทุกข์ บำรุงสุข\" แบบบูรณาการ ๘๓ ในบทบาทของคณะสงฆ์ ฝ่ายสาธารณะสงเคราะห์ พื้ นที่จังหวัดอุบลราชธานี พระพิ พั ฒน์วชิโรภาส ผู้อำนวยการศูนย์พุ ทธธรรมสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ๑๑ ฝึกปฏิบัติการ “จิตอาสาภัยพิ บัติ หาอยู่ หากิน” ทีมวิทยากร ศพช.พิษณุโลก ๑๒ ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชา เพื่ อการปฏิรูปประเทศสู่การปฏิบัติ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย บำบัดทุกข์ บำรุงสุข Change Agents for Strategic Transformation (CAST)
๑ บทท่ี ๑ ทำไมตอ้ ง \"CAST\" นำยสุทธิพงษ์ จุลเจรญิ ปลัดกระทรวงมหำดไทย
๒ บทที่ ๒ ทศั นศึกษำตวั อย่ำงควำมสำเรจ็ พื้นที่พฒั นำคุณภำพชีวติ ตำมหลักทฤษฎีใหมป่ ระยุกต์สู่ โคก หนอง นำ โดย ทีมวทิ ยำกร ศพช.อดุ รธำนี ปี ๒๕๖๒ นายสุทธิพงษ์ จลุ เจรญิ ปลดั กระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนในขณะน้ัน มีนโยบายแนวคิด ที่จะสร้างตาบลเข้มแข็ง ม่ันคง มั่งค่ัง ย่ังยืน ตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกจิ พอเพียง โดยหนง่ึ ในน้ันก็คือ โครงการ โคก หนอง นา โมเดล ซ่ึงศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนอุดรธานี ได้รับมอบหมาย ให้พัฒนาพื้นที่และจัดการฝึกอบรม ให้เป็นแหล่งเรียนรู้สาหรับ ประชาชนเข้ามาเรียนรู้และศึกษาดูงาน กจิ กรรม โคก หนอง นา มกราคม ๒๕๖๓ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนอุดรธานี ร่วมกับ เครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ ดาเนินการสารวจและเลือกพ้ืนท่ีประมาณ ๖๐ ไร่ ซึ่งเป็นพ้ืนที่แห้งแล้ง ลักษณะดินเป็นดินลูกรังปนทราย ประกอบกับน้าใต้ดินเป็นช้ันเกลือ ใกล้เคียงกับพ้ืนที่ ส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ นับเป็นความท้าทายอย่างย่ิง ในการนาหลักสิกรรมธรรมชาติมาปรับใช้ ให้เป็นแหล่ง เรียนรู้ โคก หนอง นา สาหรับประชาชนโดยวางแผน การทางานแบง่ พนื้ ที่เป็นแปลง ๆ โดยใช้พ้ืนท่ีหนองเป็น จุดศูนย์กลาง การพฒั นาพน้ื ที่ของ ศพช.อุดรธานี ดาเนินงาน โดยเริ่มจากการขุดหนอง ขุดคลองไส้ไก่ นาน้ามาใช้ ในการทานา และปลูกผัก เพ่ือให้พอกินก่อน จากน้ัน เสรมิ ด้วยการปลูกป่า ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง โดยใช้ หลักกสิกรรมธรรมชาติ จากการพัฒนาพ้ืนที่ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนอุดรธานี จึงกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ประยุกตส์ ่โู คกหนองนา โดยมฐี านเรยี นรจู้ านวนท้ังส้นิ ๑๓ ฐานเรียนรู้ พ้ืนที่ที่พัฒนาเป็นตัวอย่างของความสาเร็จ จากลงมือทา ลงมอื ปฏิบตั ิ ตามบริบทของพ้ืนที่ ซึ่งความสาเร็จมาจากการบริหารพื้นท่ีและ การจดั การท่เี ป็นระบบ พนื้ ท่ีของความสาเร็จมีการบริหารจดั การ ดังนี้ ตัวอย่างความสาเรจ็ โคกหนองนาในพน้ื ที่ ๑ งาน สาหรับครัวเรือน ที่ไม่มีพ้ืนที่มากนัก โดยย่อส่วนการปลูกป่า ๕ ระดับ ที่ใช้ไม้ยืนต้นระดับกลาง
๓ ไม้พุ่ม ไม้เลื้อย ไม้หัว และพืชผักล้มลุก และข้าวแทน เพื่อมุ่งเน้น ไปสู่ความพอกนิ เป็นเบอ้ื งต้น ซึ่งองค์ประกอบในจุดน้ีก็จะครบมีท้ัง โคก หนอง และมีท้ังนาก็ยังสามารถปลูกข้าวได้ โดยผลผลิตต่อ หน่ึงฤดูกาลก็จะได้ประมาณ ๑ กระสอบทาให้เลี้ยงคนหนึ่งคนใน ระยะเวลา ๓๐ วนั ได้ สว่ นผักกส็ ามารถปลกู หมุนเวยี นไปตามฤดูกาล ต้นน้า คือ ส่วนของ โคก ประกอบไปด้วย ป่า ๕ ระดับ ผสานกับคลองไส้ไก่ จากแนวคิดท่ีจะเก็บฝน ตกลงมา และน้าที่ไหลผา่ นมาต้องเก็บไว้ให้ได้มากท่ีสุด มีคลองไส้ไก่ ประมาณ ๓๐๐ เมตร คดเค้ียวไปตามลักษณะ บรบิ ทพืน้ ท่ี การกักเกบ็ น้าโดยการนานา้ เติมหนอง จากน้าฝน น้าบาดาล เก็บไว้ในรากของต้นไม้ก่อน คือการปลูกป่าบนโคก ให้ต้นไม้เก็บน้า ไว้และพอเข้าสู่หน้าแล้ง น้าจากต้นไม้ก็จะค่อย ๆ ระบายออกมาสู่ หนอง และป่าที่ประกอบด้วยพืชพันธ์ุสมุนไพร ต้นไม้หลายชนิด เป็นหวั ใจให้กับโคก หนอง นา การเก็บน้าในอีกรูปแบบคือ อธรรมปราบอธรรม น่ันก็คือนาน้าเสียจากอาคารที่พัก มาเก็บเอาไว้ใน หลุมขนมครก แล้วใชอ้ าทเิ ช่นผักตบชวา ผักบุ้ง บาบัดน้าเสีย รวมถึงให้น้าท่ีดีเข้ามาเพ่ือจะมาเจือจาง ก่อนไหล ไปสู่หนองกลาง เม่ือนา้ มาถึงหนองกลางกม็ ีคลองไสไ้ ก่หมนุ เวยี นน้าใหก้ ลับมาเหมือนเดิม เพื่อท่ีจะสามารถเก็บน้า ใหอ้ ยูใ่ นแปลงนานท่ีสุด แล้วคอ่ ยออกสู่หนองใหญ่ หนองลูกใหญส่ ดุ ในมีพนื้ ที่ มีขนาด ๒ ไร่ รูปแบบเป็นหนองมีหนึ่งตะพัก ความลึกเริ่มต้ังแต่ ๒ ถึง ๖ เมตร ใน ๒ ปแี รกของการขุดหนองลูกนี้ ยังไม่สามารถกักเก็บน้าไว้ใช้ได้ตลอดท้ังปี จากสภาพดิน และปริมาณการใช้ จนฤดูกาลที่ผ่านมา หลักจากสามารถขุด คลองไส้ไก่ ครบระบบ บนส่วนที่เป็นโคก เห็นได้ชัดขึ้นว่า พื้นที่หนองขนาด ๒ ไร่นี้ เพียงพอ ต่อความต้องการของแปลงพื้นทนี่ า ทมี่ ีพ้นื ทเ่ี กือบ ๒ ไรโ่ ดยทาการปลูกข้าวเจ้า และข้าวเหนียวสลับไปแต่ละปี โดยมีพื้นที่ รอการขยายอกี ประมาณ ๑๐ ไร่ ผลสาเรจ็ ของ โคก หนอง นา โมเดล ศพช.อดุ รธานี ทมี่ าจากความรว่ มมอื ร่วมใจ ของประชาชน และบุคลากร เครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ ร่วมกนั สร้างร่วมกนั พัฒนาจนเหน็ เปน็ ที่ประจักษแ์ ลว้ วา่ โคก หนอง นา ป่า และน้า ไดค้ ืนความอุดมสมบรู ณ์เปน็ แหลง่ อขู่ ้าวอ่นู ้า แม้พน้ื ทีท่ ่ีมีความเสือ่ มโทรมก็สามารถทาใหเ้ กิดข้ึนได้จรงิ ได้ และตลอดไป ส่ือวีดิทศั นป์ ระกอบตวั อย่างพื้นท่คี วามสาเร็จ โคก หนอง นา ศูนยศ์ กึ ษาและพฒั นาชมุ ชนอุดรธานี
๔ บทท่ี ๓ ทฤษฎีใหมด่ ำ้ นกำรบรหิ ำรจดั กำรทรัพยำกร ดิน น้ำ ปำ่ สู่กำรพฒั นำตำมหลกั กสกิ รรมธรรมชำติ โดย ทีมวิทยำกร ศพช.อุดรธำนี การฝึกปฏิบตั ิ ๑๐ ฐานเรยี นรู้ตามหลักกสิกรรมธรรมชาติ ๑. ฐำนปุย๋ หมกั ชีวภำพ : ปยุ๋ หมักแหง้ วทิ ยากรอธิบายถึงปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ซ่ึงหมายถึง สารธรรมชาติท่ีได้จากกระบวนการหมักบ่ม วัตถดุ ิบจากธรรมชาติตา่ ง ๆ ทง้ั พชื และสตั วจ์ นสลายตวั สมบูรณ์เปน็ ฮวิ มัส วติ ามิน ฮอร์โมน และ สารธรรมชาติต่าง ๆ ซ่ึงเป็นทั้งอาหารของดิน ตัวเร่งการทางานของส่ิงมีชีวิตเล็ก ๆ ท่ีอาศัยอยู่ในดิน และอาศัยอยู่ปลายรากของพืช ทีส่ ามารถสรา้ งธาตอุ าหารกว่า ๙๓ ชนดิ ใหแ้ ก่พืช ประโยชน์ของป๋ยุ อินทรีย์ชีวภาพ ๑) เป็นอาหารของสิง่ มีชวี ิตในดนิ เช่น แบคทเี รยี เช้ือรา และแอคติโนมยั ซสี ๒) ให้ธาตุอาหาร และกระตุน้ ใหจ้ ลุ ินทรีย์ สรา้ งอาหารกว่า ๙๓ ชนดิ แกพ่ ืช ๓) ช่วยปรบั ปรงุ คุณสมบัติ และโครงสร้างดินใหด้ ีขึ้น ๔) ช่วยดูดซบั หรือดดู ยดึ ธาตอุ าหารไว้ให้แกพ่ ืช ๕) ช่วยปรับค่าความเปน็ กรด-ด่างของดนิ ให้อยู่ในระดบั ที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพชื ๖) ชว่ ยกาจดั และตอ่ ตา้ นเชื้อจลุ นิ ทรยี ท์ ่กี ่อโรคตา่ ง ๆ ๗) ทาใหพ้ ชื สามารถสร้างพษิ ไดเ้ อง ช่วยให้ต้านทานโรคและแมลงได้ดี วิทยากรได้อธบิ ายสูตรการทาปุ๋ยแหง้ ซึง่ มวี ธิ ที าทแี่ ตกตา่ งกนั โดยยกตัวอย่าง สตู รป๋ยุ แหง้ ดงั น้ี ๑) สูตรหญ้าผสมขีไ้ ก่ - หญา้ สด ๕๐ กก. - ขีไ้ ก่ ๕ กก. - ไม่ควรเลือกไกท่ กี่ นิ ยาปฏชิ ีวนะ เพราะจะทาให้มีกลิ่นเหม็นเน่าและเป็น อันตรายต่อ จลุ ินทรยี ์ในดนิ และทป่ี ลายรากพชื วิธีทา นาหญ้าสด ๑๐ กก. ใส่ลงใน ถังหมักพลาสติกขนาด ๒๐๐ ลิตร ย่าให้ แน่น (จะสงู ประมาณ ๒๐ ซม.) โรยข้ีไก่ หมาด ๆ ๑ กก. ทบั ลงบนหญ้า ทาซ้า เช่นเดมิ อีก ๔ ชัน้ ปดิ ฝาเก็บไว้ในท่ีร่ม จากนนั้ บม่ ไวป้ ระมาณ ๔๕ วนั ข้ึนไปจะได้ปุย๋ น้าเขม้ ข้นคณุ ภาพดี วธิ ใี ช้ ผสมนา้ ๑ : ๒๐๐-๕๐๐ รดดนิ หรอื ผสมนา้ ๑ : ๓๐๐-๑๐๐๐ ฉดี ลาตน้ และใบ ๒) สตู รพืชผกั - เศษพืชผกั ผลไม้ทกุ ชนิด ๓ กก. - นา้ ตาลแดงหรอื กากน้าตาล ๑ กก. - น้าสะอาด ๑๐ ลติ ร - หวั เช้อื จลุ ินทรียเ์ ขม้ ขน้ ๑ ลิตร
๕ วิธีทา นาเศษผักผลไม้ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ในถังพลาสติก แยกผสมน้ากับน้าตาล ให้เขา้ กนั เปน็ เน้ือเดียว เตมิ หัวเช้อื จลุ ินทรีย์เข้มข้นลงไปจากนั้นนาไปเททับลงบนเศษผักผลไม้ในถังให้ทั่ว ใช้ไม้ไผ่ขัด กดให้เศษผักจมนา้ ปิดฝาให้สนทิ ไม่ให้ แสงและอากาศเข้า บ่มทง้ิ ไว้ในท่ีร่ม ๙๐ วนั เป็นอย่างน้อย ก็จะได้ปุ๋ยน้า คณุ ภาพดกี ล่ินหอม และรสเปรยี้ ว (pH 3.3) เหมาะสาหรบั รดพชื ผกั ทุกชนิด ถ้าต้องการรดผักชนิดไหนให้ ใช้ผัก ชนดิ นนั้ หมกั เปน็ หลกั ร่วมกับพืช ผักทช่ี อบขนึ้ รว่ มกับผกั ชนดิ นั้น วธิ ีใช้ ผสมนา้ ๑:๑๐๐ รดดนิ หรอื ผสม น้า ๑ : ๒๐๐-๔๐๐ ฉดี พ่นใบและลาตน้ ๓) สูตรมลู สัตว์ - มูลสตั ว์ ๑ กระสอบ - แกลบ เศษใบไม้ หรือซังขา้ วโพด ๑ กระสอบ - ขี้เถา้ แกลบ ๑ กระสอบ - ราออ่ น ๑ กระสอบ - น้าสะอาด ๑๐ ลติ ร (ถา้ วัตถดุ บิ แห้งมากก็สามารถเพ่ิมปริมาณข้ึน) - หวั เช้อื จุลินทรยี ์เข้มขน้ ๑ ลิตร วธิ ที า นามลู สัตว์ แกลบ ขเี้ ถ้าแกลบ และราอ่อนมาผสมคลุกเคล้าให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ผสมนา้ กับหัวเชื้อจุลินทรีย์เข้มข้นให้เข้ากัน รดลงบนกองวัสดุ และผสมให้เข้ากันจนมีความชื้นประมาณ ๓๕% โดยทดลองกาดู จะเกาะกันเป็นก้อนได้แต่ไม่เหนียว และเม่ือปล่อยท้ิงลงพ้ืนจากความสูงประมาณ ๑ เมตร ก้อนปุ๋ยจะแตก แต่ยังมีรอยนิ้วมือเหลืออยู่ คลุกเคล้าให้เข้ากันดี ตักปุ๋ยใส่กระสอบ และมัดปากถุงให้แน่น กองกระสอบป๋ยุ ซ้อนกนั เปน็ ชัน้ ๆ และควรวางเรียงกระสอบให้ห่างกัน เพื่อให้ความร้อนสามารถระบายออกได้ ท้ัง ๔ ด้าน เพื่อไม่ต้องกลับกระสอบทุกวัน ทิ้งไว้ประมาณ ๕ - ๗ วัน ตรวจดูว่ามีกล่ินหอมและไม่มีไอร้อน ก็สามารถนาไปใชง้ านและเกบ็ รกั ษาไวไ้ ดน้ าน วิธีใช้ ควรใช้ตั้งแต่ในขั้นตอนของการเตรียมดิน โดยผสมคลุกเคล้ากับดินในแปลง เสร็จแล้วคลุมดินด้วยฟางใบไม้หรือก่ิงไม้ และควรหมักดินท้ิงไว้ ๗ วัน จึงจะเริ่มลงมือปลูกพืช (ในกรณีท่ีเป็นนาข้าว พชื ไรแ่ ละพืชผกั ) อตั ราการใช้ นาข้าว ๒๐๐ กิโลกรมั : ๑ ไร่ พืชไร่/ผัก ๒ กามือ : ๑ ตารางเมตร ส่วนไม้ยืนต้น พืชสวน ๑ กโิ ลกรัม : ๑ ตารางเมตร ขอ้ แนะนา ในการใช้ปุ๋ยหมกั แหง้ อินทรยี ช์ ีวภาพให้ได้ผลดีนนั้ หลงั จากหว่านหรือคลุกผสมปุ๋ยหมักแห้ง กับดินแล้ว ควรคลุมดินด้วยฟาง เศษหญ้า หรือเศษใบไม้ จากน้ันใช้ปุ๋ยน้าหมักอินทรีย์ชีวภาพรดลงไปในอัตราส่วน ๑ : ๒๐๐ จะชว่ ยให้ดินร่วนซยุ และฟขู ้นึ ทาให้รากพืชเติบโตไดด้ ี
๖ ลิงค์คลปิ วดิ ีโอ : ศพช.อดุ รธานี : หลักสูตรระยะสัน้ “108 อาชพี “ แก้จน พฒั นาคน ทกุ ช่วงวัย การทาป๋ยุ หมกั แห้ง : - YouTube ๒. ฐำนฅนรกั ษแ์ มธ่ รณี : ห่มดินและนำ้ หมักสมุนไพร ๗ รส วทิ ยากรอธิบายถึงหลกั กสิกรรมธรรมชาติท่ีให้ความสาคัญกับการปรับปรุงบารุงดินเป็นอันดับแรก และถือเป็นหัวใจสาคัญ เพราะถือว่าดิน เป็นต้นกาเนิดของชีวิตสังคมไทยในอดีต ให้ความสาคัญของดิน ด้วยความเคารพ บชู าดินเสมอื น “แม”่ เรยี ก “พระแม่ ธรณ”ี การให้ความรักและเอาใจใส่พระแมธ่ รณี โดยการห่มดิน หรือการคลุมดินไม่เปลือยดิน โดยใช้ฟาง เศษหญ้า หรือ เศษพืชผลทางการเกษตรท่ีสามารถย่อย สลายได้เอง ตามธรรมชาติ และการปรุง อาหารเลี้ยงดินโดยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ขีวภาพให้ลงไปเพ่ือให้เป็นอาหารของดิน แล้วดินจะปลดปล่อยธาตุอาหารให้พืช โดย กระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์ เรียกหลักการน้ีว่า “เลี้ยงดิน ใหด้ นิ เลีย้ งพืช (feed the soil and let the soil feed the plant)” การปฏิบัติเช่นนี้จะทาให้ดินกลับมามีชีวิต พืชที่ปลูกก็จะเจริญเติบโตแข็งแรงให้ผลผลิตดี ต้นทุนในการผลิตลดลง รวมถึง การที่ผู้ผลิตและผู้บริโภค มสี ขุ ภาพกายสขุ ภาพจิตท่ดี ี จงึ มกี ารใหน้ ิยามของการ ปฏบิ ตั เิ ช่นน้ีว่า “คืนชีวิตให้แผ่นดิน” ซ่ึงเป็นการแสดงออก ถงึ ความกตญั ญู กตเวที ของ“ลูก” (มนุษย์) ท่มี ีตอ่ “แม”่ (ธรณ)ี หลักของการ “ห่มดิน” หรอื “คลมุ ดิน” โดยใช้ฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ท่ีสามารถย่อยสลายได้เอง ตามธรรมชาติ และใสอ่ าหารใหแ้ ก่ดิน ด้วยการใสป่ ๋ยุ อนิ ทรยี ์ชีวภาพลงไป เพื่อให้อาหารแก่ดิน แล้วดินจะปล่อย ธาตอุ าหารใหพ้ ืช โดยกระบวนการย่อยสลายของจลุ ินทรีย์เรียกหลักการน้ีว่า “เลี้ยงดิน ให้ดินเล้ียงพืช” การปฏิบัติ เชน่ นี้ จะทาให้ดนิ กลับมามชี วี ติ เปน็ การ “คืนชีวติ ใหแ้ ผ่นดิน” ประโยชน์ของการห่มดนิ คือ เปน็ ที่อยู่อาศยั ของจุลนิ ทรีย์ เป็นอาหารให้สัตว์หน้าดิน เช่น ไส้เดือน กิ้งกือ ฯลฯ ซึ่งช่วยพรวนดิน และถ่ายมูลเป็นปุ๋ยให้พืช เก็บรักษาความชื้น เมื่อย่อยสลายจะกลายเป็นฮิวมัส ซง่ึ เปน็ ป๋ยุ ใหก้ บั พชื ประโยชนข์ องจุลินทรีย์ ได้แก่ ชว่ ยตรงึ ไนโตรเจนจากอากาศ ซึ่งในอากาศมีก๊าซไนโตรเจนอยู่ถึง ๗๘% ช่วยย่อยสลายซากพชื ซากสตั ว์ ชว่ ยยอ่ ยแร่ธาตุที่อยูใ่ นหิน ลูกรังทราย เชน่ ธาตุอาหาร กลุ่ม เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ฟอสฟอรัส เปน็ ตน้ ชว่ ยผลิตฮอรโ์ มนใหพ้ ืช ช่วยผลิตสารป้องกันโรคพชื
๗ สาหรับวิธีการห่มดิน เร่ิมจาก ห่มดินด้วยฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ รอบโคนต้นไม้ประเภท ไม้ยืนต้น โดยเว้นให้ห่างจากโคนต้นไม้ ๑ คืบ ห่มหนา ๑ คืบ – ๑ ฟุต ทาเป็นวงเหมือนโดนัท โรยด้วยปุ๋ยคอก (มูลสัตว์) บาง ๆ และรดด้วยน้าหมักชีวภาพผสมน้าเจือจาง อัตราส่วน ๑ : ๕๐-๑๐๐ ห่มดินในท่ีดินผืนใหม่ที่เพิ่งขุด ปรับพ้ืนท่ี หรือดินที่เสื่อมสภาพ เพ่ือปรับปรุงคุณภาพของดินก่อนเร่ิมการเพาะปลูก ด้วยการห่มฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ ให้หนาอย่างน้อย ๑ ฟุต ทั้งแปลง โรยด้วยปุ๋ยคอก แล้วราดรดด้วยน้าหมักชีวภาพผสมน้าเข้มข้น อัตราส่วน ๑ : ๑๐ โดยวิธีนี้ เป็นการระเบิดดินท่ีแห้งแข็ง ให้มีความชุ่มช้ืน (ฟางห่มคลุมดินเพื่อลดการระเหย ของน้าในดิน ปุ๋ยคอกทใ่ี ส่เพอ่ื เพิ่มอินทรียวัตถุ น้าหมักทาหน้าที่ย่อยสลายท้ังปุ๋ยและฟาง ให้กลายเป็นอินทรียวัตถุ ได้เร็วขน้ึ ) ซ่ึงวิธนี ีอ้ าจต้องใช้เวลา ๓ เดอื นขน้ึ ไป โดยยังไม่ควรปลูกพืชใด ๆ เพราะน้าหมักที่เข้มข้นอาจทาให้ต้นไม้ ตายได้ จากนั้นวิทยากรอธิบายถึงการทาน้าหมักจากสมุนไพร ๗ รส ซึ่งมีประโยชน์ทางการเกษตร มีวิธีทาที่เหมือนกันทุกรส แตกต่างกันที่วัตถุดิบหลัก คือ สมุนไพรแต่ละชนิด ซึ่งมีประสิทธิภาพแตกต่างกัน ดังน้ัน จึงต้องเลือกใช้ให้ตรงกับความต้องการของเรา ซึ่งน้าหมักสมุนไพร ๗ รส เป็นสูตรท่ีผสมข้ึนมาจาก สมุนไพรท่ีมีรสจืด ขม ฝาด เบื่อเมา เปรี้ยว หอมระเหย และเผ็ดร้อน หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นสูตรท่ีรวมรส ของสมุนไพรท่ีมีคุณสมบัติในการกาจัดแมลงศัตรูพืชเข้าไว้ในสูตรเดียวกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน กาจัดแมลงศัตรูพืชผัก ซ่ึงมีความหลากหลายและสามารถพัฒนาความต้านทานสารกาจัดแมลงได้ภายในเวลาไม่นาน ดงั น้นั การรวมพิษของพืชที่มีผลต่อระบบการทางานของแมลงศัตรูพืช เอาไว้ภายในสูตรเดียว จึงเป็นอีกหนึ่งวิธี ท่จี ะลดปัญหาการด้ือยาของแมลงลงได้โดยการทาน้าหมักสมุนไพร ๗ รส นั้นเป็นการเลือกเอาสมุนไพรรสต่าง ๆ มาทานา้ หมักจลุ นิ ทรยี ์ชีวภาพ เพ่ือประโยชน์ทางการเกษตร ซง่ึ สามารถใช้ได้กับนาขา้ ว และพชื ผักทกุ ชนิด น้าหมักสมนุ ไพร ๗ รส ประกอบด้วย ๑) สมนุ ไพรรสจดื ไดแ้ ก่ ใบกล้วย ผกั บุ้ง รางจดื และพชื สมนุ ไพรทีม่ รี สจืดทุกชนดิ สรรพคุณ : จะเป็นปุ๋ยบารุงดิน ให้ดินมีความร่วนซุย โปร่ง และทาให้ดินไม่แข็ง และ สามารถใชบ้ าบัดนา้ เสยี ไดด้ ้วย ๒) น้าหมักสมุนไพรรสขม ได้แก่ ใบสะเดา บอระเพ็ด ใบข้ีเหล็ก และพืชสมุนไพรที่มี รสขมทุกชนิด สรรพคณุ : สามารถฆา่ เช้อื แบคทีเรีย เพอ่ื สร้างภูมิค้มุ กันให้กับพชื ๓) สมุนไพรรสฝาด ได้แก่ ปลีกล้วย เปลือกมงั คุด เปลือกฝร่ัง มะยมหวาน และพืชสมุนไพร ที่มรี สฝาดทุกชนิด สรรพคณุ : ฆา่ เชอ้ื ราในโรคพชื ทกุ ชนิด ๔) น้าหมักสมุนไพรรสเบื่อเมา ไดแ้ ก่ หัวกลอย ใบเมล็ดสบดู่ า ใบนอ้ ยหน่า และพืชสมุนไพร ท่ีมรี สเบอื่ เมาทกุ ชนิด สรรพคุณ : ฆ่าเพลี้ย หนอน และ แมลง ในพืชผักทุกชนดิ
๘ ๕) น้าหมักสมุนไพรรสเปร้ียว ได้แก่ มะกรูด มะนาว กระเจี๊ยบ และพืชสมุนไพรท่ีมี รสเปร้ียวทกุ ชนดิ สรรพคณุ : ไลแ่ มลงโดยเฉพาะ ๖) น้าหมักสมุนไพรรสหอมระเหย ได้แก่ ตะไคร้หอม ใบกะเพรา ใบเตย และพืชสมุนไพร ทม่ี ีรสหอมระเหยทกุ ชนดิ สรรพคุณ : จะเป็นนา้ หมกั ท่ีเปลย่ี นกลิ่นของต้นพชื เพื่อป้องกันแมลงไปกดั กนิ ทาลาย ๗) น้าหมักสมุนไพรรสเผด็ ร้อน ได้แก่ พริก ขิง ข่า และพืชสมนุ ไพรทม่ี รี สเผ็ดร้อนทุกชนิด สรรพคุณ : ไลแ่ มลง และ ทาให้แมลงแสบร้อน วิธกี ารทา ๑) ใช้วัตถุดิบท่ีเป็นที่มาของแต่ละรส อย่างใดอย่างหน่ึงสับให้ละเอียด รวมแล้วให้ได้ จานวน ๓ กโิ ลกรมั + กากนา้ ตาล จานวน ๑ ลิตร + น้าเปล่า จานวน ๑๐ ลิตร ๒) เทน้าเปล่าใส่ถังพลาสติกแล้วเทกากน้าตาลลงไปคนเร่ือย ๆ จนกากน้าตาลละลาย เปน็ เน้ือเดียวกนั กบั น้า จากนั้นจงึ เทวัตถุดิบที่สับละเอียดแล้วตามลงไป คนให้เข้ากันอีกครั้ง ปิดฝาให้สนิทตั้งไว้ ในท่ีร่ม นานประมาณ ๓ เดอื น จึงสามารถนามาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ วธิ ีการใช้ การใช้ประโยชน์ ใช้ในอัตราส่วนเดียวกันสาหรับพืชผัก นาข้าว และไม้ผลทุกชนิด คือ น้าหมัก ๑ ลิตรต่อน้าเปล่า ๒๐ ลิตร ฉีดพ่นให้ท่ัว คือ ถ้าเป็นพืชผักท่ัวไปฉีดพ่นทุก ๓ วัน/ถ้าเป็นไม้ผลฉีดพ่น ทกุ ๗ วนั ลิงค์คลปิ วิดีโอ : ศพช.อดุ รธานี : หลกั สตู รระยะส้นั “108 อาชพี “ แกจ้ น พัฒนาคน ทกุ ช่วงวัย คลปิ การทาน้าหมกั จุลินทรีย์ : - YouTube
๙ ๓. ฐำนฅนรกั ษแ์ ม่โพสพ วทิ ยากรอธิบายถงึ นาข้าวอินทรยี ์ เป็นระบบการผลิตข้าวที่ไมใ่ ช้สารเคมีทางการเกษตรทุกชนิด เปน็ ตน้ ว่า ปยุ๋ เคมี สารควบคมุ การเจริญเตบิ โต สารควบคุมและกาจัดวัชพืชสารป้องกันกาจัดโรค แมลง และสัตว์ ศัตรูขา้ ว ตลอดจนสารเคมีท่ใี ชร้ มเพ่อื ป้องกันกาจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บการผลิตข้าวอินทรีย์นอกจากจะทาให้ ได้ผลผลิตข้าวที่มีคุณภาพสูงและปลอดภัยจากสารพิษแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและเป็น การพัฒนาการเกษตรแบบย่ังยืนอีกด้วยการผลิตข้าวอินทรีย์เป็นระบบการผลิตทางการเกษตรท่ีเน้นเรื่อง ของธรรมชาติเป็นสาคัญ ได้แก่ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ การรักษาสมดลุ ธรรมชาติและการใชป้ ระโยชน์จากธรรมชาติ เพ่อื การผลิตอย่างยัง่ ยืน เชน่ ปรับปรุงความอดุ มสมบรู ณ์ ของดินโดยการปลูกพชื หมนุ เวยี น การใชป้ ุย๋ อนิ ทรีย์ในไร่นาหรือจากแหลง่ อน่ื ควบคุมโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าว โดยวธิ ีผสมผสานไม่ใช้สารเคมี การเลือกใช้พันธ์ุข้าวที่เหมาะสมมีความต้านทานโดยธรรมชาติ ช่วยรักษาสมดุล ของศัตรธู รรมชาติ การจดั การพชื ดนิ และน้า ให้ถกู ต้องเหมาะสมกบั ความตอ้ งการของตน้ ข้าว เพื่อทาให้ต้นข้าว เจรญิ เตบิ โตได้ดี มคี วามสมบรู ณ์แขง็ แรงตามธรรมชาติ การจัดการสภาพแวดล้อมไม่ให้เหมาะสมต่อการระบาด ของโรคแมลง และสตั วศ์ ัตรขู ้าว เปน็ ต้น การปฏบิ ัตเิ ชน่ น้สี ามารถทาให้ต้นข้าวที่ปลูกให้ผลผลิตสูงในระดับท่ีน่าพอใจ โดยมเี ทคนิคและวิธกี าร ดงั น้ี ๑) ยอ่ ยฟางและตอซังให้เปน็ ปุ๋ย โดยการหมักฟางเพ่ือชว่ ยปรบั สภาพดนิ ใหร้ ่วนซยุ ๒) ทุบทาเทือก คราดพ้นื ทีน่ าให้เสมอกนั ทาใหส้ ามารถควบคมุ ระดบั นา้ ได้ และกาจัดวัชพชื ได้ด้วย ๓) คัดเมลด็ พนั ธุข์ ้าวเพาะปลูก แช่คลกุ กบั นา้ หมกั สมุนไพรท่ีมฤี ทธกิ์ าจดั โรคและขับไลแ่ มลงศัตรพู ืช ๔) ดานา เริม่ จากตกกลา้ ใช้เมล็ดพันธ์ุข้าว ๑ ถังคร่ึงต่อแปลงเพาะขนาด ๑ งาน จะได้พื้นที่นา ๕ ไร่ เมอื่ ตน้ กล้างอกขน้ึ ใหใ้ ชน้ ้าหมัก อตั ราสว่ น ๑ ลิตร ต่อน้า ๕๐๐ ลิตร ผ่านไป ๓๐ วัน นาไปปักดาได้ โดยตัดใบออก ใหเ้ หลือความยาวจากราก ๒๐ ซม. ๕) ให้อาหารดนิ เพอ่ื บารงุ ดนิ เรง่ จลุ นิ ทรียใ์ นดิน หลงั จากดานาไปแล้ว ๑๕ วัน ใช้นา้ หมักและปุ๋ยหมัก ชีวภาพฉีดพน่ เพ่อื เรง่ ราก ๖) บารงุ ดนิ เร่งจุลินทรีย์ก่อนข้าวตั้งท้อง ด้วยปุ๋ยหมักแห้ง น้าหมักชีวภาพ กระตุ้นการทางาน ของจลุ ินทรยี ์และสารองอาหารให้เพียงพอกบั ความต้องการของต้นข้าว ๗) ลงแรง เอามือ้ สามัคคี เกบ็ เกย่ี วขา้ ว ลิงคค์ ลิปวดิ ีโอ : ศพช.อดุ รธานี องค์ความรู้หลกั กสิกรรมธรรมชาติ ฐานเรยี นรู้ : คนั นาทองคา - YouTube
๑๐ ๔. ฐำนฅนรักษส์ ุขภำพ วิทยากรอธิบายถึงความเป็นมาของการแปรรูปผลผลิตที่มีอยู่ในพ้ืนที่ โคก หนอง นา โมเดล โดยสามารถนามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพ่ือสร้างมูลค่าได้ โดยการทาเป็นยาหม่องสมุนไพร และสามารถใช้ ในชวี ติ ประจาวันได้ อธบิ ายได้ ดังนี้ วัสด/ุ อุปกรณ์ ๑) เตาไฟ ๑ เตา ๒) กระทะ ๑ ใบ ๓) หม้อตม้ ๑ ใบ ๔) ทพั พี ๑ อัน ๕) ช้อนสาหรับตักยาหมอ่ ง ๑ คัน ๖) ขวดบรรจยุ าหมอ่ ง สว่ นผสม ๑) พาราฟนิ ๕๐ กรัม ๒) วาสลีน ๑๐๐ กรัม ๓) เมนทอล ๒๕ กรมั ๔) การบรู ๕๐ กรัม ๕) พิมเสน ๒๕ กรมั ๖) นา้ มนั เขียวสมนุ ไพร ๒๐๐ กรัม ๗) น้ามนั ระกา ๕๐ กรมั ๘) นา้ มนั ยูคาลปิ ตัส ๑๐ กรัม วิธีการทา ๑) จดุ เตาไฟ นากระทะใส่น้าข้ึนตง้ั ไฟ แล้วนาหม้อตม้ วางบนกระทะ ๒) ตนุ๋ สว่ นผสมโดยใช้พาราฟินและวาสลีนลงไปให้ละลาย ๓) เมื่อส่วนผสมพาราฟินและวาสลีนละลายแล้ว เติมน้ามันเขียวสมุนไพรลงไป หากมีน้ามันระกาและน้ามนั ยคู าลปิ ตสั ใหเ้ ติมลงไปด้วย ๔) ปดิ ไฟ รออุณหภูมลิ ดลงเหลือประมาณ ๖๐ องศาเซลเซียส เติมเมนทอล การบูร พิมเสน ลงไป คนให้ละลาย ๕) ตกั ส่วนผสมใสข่ วดบรรจุยาหมอ่ ง รอให้แขง็ ตัว แล้วปดิ ฝา
๑๑ วิธกี ารใช้ ใช้สูดดม และนวดเพ่ือบรรเทาอาการปวด เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีข้ึน บรรเทาอาการคันจากแมลงกัด หรือต่อย ควรเก็บรักษาไว้ในท่ีแห้งและเย็น หลีกเล่ียงแสงแดด ข้อควรระวัง อย่าใหเ้ ขา้ ตา ๕. ฐำนบริหำรจัดกำรขยะ ๕.๑ ประเภทของขยะ ซ่ึงแยกออกเปน็ ๕ ประเภท ดังน้ี ๑) ขยะอนิ ทรยี ์ หรือขยะท่ียอ่ ยสลายได้ ได้แก่ เศษอาหาร พืช ผัก ใบไม้ และอินทรีย์สารอ่ืน ๆ แยกออกมา เพื่อนาไปใชป้ ระโยชน์ เช่น การทาปุย๋ หมกั น้าหมกั ชีวภาพ คลมุ โคลนตน้ ไม้ เล้ยี งสตั ว์ เป็นต้น ๒) ขยะพษิ หรอื ขยะอนั ตราย ขยะประเภทน้มี อี ยู่ ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ (๑) ท่ีต้องการจัด โดยหลกั วิชาการ ได้แก่ แบตเตอร่โี ทรศพั ท์ ถ่านไฟฉาย หลอดไฟฟา้ หวั เทียนไฟฉาย ฯลฯ หลอดกัมมันตภาพรังสี และ (๒) ทส่ี ามารถนามาสู่ กระบวนการรีไซเคิลได้ ได้แก่ กระป๋องสเปรย์ฉีดพ่นกาจัดแมลง กระป๋องสเปรย์พ่นสี แผงวงจรอิเลก็ ทรอนิกส์ เครือ่ งคอมพิวเตอร์ ๓) ขยะรไี ซเคิล คอื วัสดุเหลือใช้ ที่ใช้แล้ว ที่เส่ือมสภาพหรือหมดอายุการใช้งานตามปกติ แต่สามารถนามาใช้ประโยชน์อย่างอ่ืนได้ เช่น ยางรถยนต์/จักรยาน/จักยานยนต์ ถุงพลาสติก กล่องเคร่ืองด่ืม ถาดใสไ่ ข่ กระดาษทกุ ชนดิ ขวดพลาสตกิ ทกุ ประเภท ขวดแกว้ ทุกสี กระปอ๋ งสงั กะสีทกุ แบบ (กาแฟ สเปรย์ นม) กระป๋องอลมู เิ นยี ม โทรศัพทเ์ กา่ โทรทัศน์ พัดลม แบตเตอรี่ รองเท้าบูท กระสอบปุ๋ยเก่า ๆ เสื่อน้ามัน ข้าวแห้ง เศษเทียน น้าตาเทยี น ซองกาแฟ ซอง นา้ ยาปรับผ้านมุ่ ฯลฯ วสั ดุเหลา่ นสี้ ามารถที่จะนามาใช้ซา้ ไดอ้ ีก หรอื นากลับไป ผลติ ใหม่ได้ ๔) ขยะทั่วไป ขยะชนิดน้ีจะไม่สามารถระบุได้ว่ามีอะไรบ้าง แต่โดยรวมคือวัสดุท่ีเหลือ จากการคัดแยก ประเภทที่ ๑-๓ เป็นวัสดุเหลือใช้มีมูลค่าต่าหรือไม่สามารถสร้างมูลค่าได้เลยท่ีถูกเรียกว่าขยะ พรอ้ มที่จะทง้ิ และนาไปส่กู ารกาจัดต่อไป
๑๒ ๕) ขยะติดเชื้อ ขยะหรือมูลฝอยที่มีเชื้อโรคปะปนอยู่ในปริมาณเข้มข้น โดยถ้าเราได้มี การสมั ผัสหรอื ใกล้ชิดกับขยะน้ัน ก็สามารถทาให้เกิดโรคได้สิ่งของท่ีสัมผัสกับสารคัดหล่ังของผู้ป่วย เช่น น้ามูก น้าลายและเลือด เป็นต้น ซึ่งขยะติดเชื้อนี้รวมไปถึงชุดตรวจ COVID-19 ด้วยตัวเองอย่าง Antigen Test Kit หนา้ กากอนามยั ภาชนะใสอ่ าหารและชอ้ นสอ้ มพลาสติก (แบบใช้คร้ังเดียวท้ิง) และขวดน้าดื่มหรือหลอดดูดน้า พลาสตกิ (แบบใชค้ ร้งั เดียวทงิ้ ) ด้วยเช่นกัน ๕.๒ การลดขยะที่ตน้ ทาง ดว้ ยหลักการ 3Rs ๑) Redues ลดการสร้างขยะหรือการทาให้เกิดขยะ โดยการไม่นาวัสดุที่จะก่อให้เกิด สภาพการเป็นขยะในภายหลังมาใช้ เช่น กล่องโฟม ถุงพลาสติก หรือปฏิเสธการรับถุงใส่ของเม่ือซื้อสินค้า จานวนไมม่ าก การใช้วัสดธุ รรมชาติแทนถงุ หรอื กล่องโฟม การใชถ้ งุ ผา้ ฯลฯ ๒) Reuses ลดทิ้งวสั ดุทาใหเ้ กิดขยะโดยการนากลับมาใช้ซา้ เชน่ การลา้ งถุงพลาสตกิ ไว้ใช้อีก การนาขวดพลาสตกิ ใสมาบรรจนุ า้ ดืม่ การนาวัสดุท่ชี ารุดแลว้ มาทากระถางปลูกพชื ผักสวนครวั ๓) Recycle ลดการทิ้งวัสดุใช้แล้วโดยการนากลับมาสู่การผลิตใหม่ ซึ่งมีวัสดุใช้แล้ว ที่หลากหลายท่ีสามารถนามาผลิตใหม่ได้ เช่น ยางรถยนต์/จักรยาน/จักยานยนต์ ถุงพลาสติก กล่องเคร่ืองด่ืม ถาดใส่ไข่ กระดาษทุกชนิด ขวดพลาสตกิ ทกุ ประเภท ขวดแก้วทุกสี กระป๋องสงั กะสที ุกแบบ (กาแฟ สเปรย์ นม) กระปอ๋ งอลมู เิ นียม โทรศัพทเ์ กา่ โทรทัศน์ พัดลม แบตเตอร่ี รองเท้าบูท กระสอบปุ๋ยเก่า ๆ เส่ือน้ามัน ข้าวแห้ง เศษเทียน น้าตาเทยี น ฯลฯ ๕.๓ ธนาคารขยะ มกี ารดาเนินการ ดงั นี้ ขั้นตอนท่ี ๑ การจัดต้งั คณะทางานและหน้าทข่ี องคณะทางาน - ผู้จดั การธนาคาร รับผิดชอบดาเนนิ งานในภาพรวมของธนาคาร - เจ้าหน้าท่ีจดบันทึก รับผิดชอบการจดบันทึกรายละเอียด เก่ียวกับสมาชิก ได้แก่ ชอื่ -นามสกุล เลขท่ี ประเภท และปริมาณวสั ดุรไี ซเคลิ - เจา้ หนา้ ที่คัดแยก รบั ผิดชอบการคัดแยกขยะ และช่งั นา้ หนกั เพอ่ื จัดเกบ็ ในสถานที่เกบ็ - เจ้าหน้าทค่ี ดิ เงิน รับผดิ ชอบการเทียบกับราคาท่กี าหนดและคิดจานวนเงินของสินค้า ที่สมาชิกนามาฝากพร้อมทั้งรับผิดชอบการฝาก – ถอนเงินของสมาชิก โดยกาหนดให้สมาชิกสามารถถอนเงิน จากสมุดบญั ชีเงนิ ฝากได้เม่ือมีเงนิ ฝากเกนิ ๓๐๐ บาท แตต่ อ้ งมีเงนิ ค้างบัญชไี ว้อย่างน้อย ๓๐๐ บาท
๑๓ ขนั้ ตอนท่ี ๒ การประชุมคณะทางาน - สารวจรา้ นรบั ซอื้ ของเกา่ ท่ีมีอยูใ่ นชุมชน ราคา ประเภทของขยะรีไซเคิลที่รับซ้ือ - กาหนดระยะเวลาที่จะเปิด ปิด ธนาคารขยะ - กาหนดสวัสดกิ ารต่าง ๆ ทส่ี มาชกิ จะไดร้ ับ ขน้ั ตอนที่ ๓ การจัดเตรยี มสถานทเ่ี กบ็ รวบรวมขยะรไี ซเคลิ - ยดึ หลักงา่ ย ๆ โดยสามารถเกบ็ รวบรวมขยะได้ ป้องกันฝน - มีการคัดแยกขยะอย่างชัดเจน - จดั สถานทีแ่ บง่ เปน็ ๔ ชอ่ ง สาหรบั จัดเก็บ กระดาษ โลหะ อโลหะ และพลาสติก - มีการติดป้ายราคาของขยะทีร่ ับซือ้ ในแตล่ ะชนิด ขน้ั ตอนท่ี ๔ การประชาสัมพันธ์ - ประชาสัมพนั ธร์ บั สมัครสมาชิก - การเผยขอ้ มูลขา่ วสาร และสร้างความเขา้ ใจเพื่อให้เกิดความรว่ มมอื กันของคนในชุมชน - การประชาสัมพนั ธผ์ ลการดาเนนิ งานของธนาคารให้สมาชิกทราบ ข้นั ตอนที่ ๕ การเปิดธนาคารขยะรไี ซเคลิ - รับสมัครสมาชกิ ของธนาคาร และผู้ที่สนใจท่ัวไป - จดั ทาทะเบยี นสมาชกิ - เมื่อสมาชิกนาขยะรีไซเคิลมาฝากที่ธนาคาร เจ้าหน้าที่จะทาการคัดแยกประเภท และชา่ งนา้ หนักคิดเป็นจานวนเงิน โดยเทียบกับใบราคาท่ไี ดม้ าจากร้านรับซ้อื ของเกา่ บันทึกในสมุดคู่ฝาก - เกบ็ หลกั ฐานการฝากถอนของสมาชกิ - ถา้ สมาชิกตอ้ งการถอนเงิน ในกรณีมีเงินฝากเกินกว่า ๓๐๐ บาท ให้เขียนรายละเอียด ใบถอนเงินให้กบั เจ้าหนา้ ท่ี - ภายหลังเปิดธนาคารเสร็จสน้ิ เจา้ หน้าท่ีต้องทาการรวบรวมรายรับ รายจ่าย และทะเบียน คมุ เจา้ หน้ขี องธนาคารในแต่ละวัน เพ่ือความสะดวกในการตรวจสอบ การลงค่าใช้จ่าย การซ้ือ ขายขยะรีไซเคิล ลงในสมุดเงินสด เพ่ือสามารถตรวจสอบการขาดทนุ กาไร - ควรมีการสรุปการดาเนนิ งาน ในแต่ละเดือน และแจง้ แก่สมาชิกของธนาคารทราบ ขั้นตอนท่ี ๖ การจดั สรรผลประโยชน์แกส่ มาชกิ - ค่ารกั ษาพยาบาล - เงนิ ปันผล - ฯลฯ ขั้นตอนที่ ๗ การเปดิ ธนาคารขยะรไี ซเคิล รับสมคั รสมาชกิ ของธนาคาร โดยใหผ้ ู้ทส่ี นใจกรอกรายละเอยี ดใบสมคั ร - เจา้ หนา้ ท่ธี นาคารให้เลขท่สี มาชิก พร้อมสมุดคฝู่ าก โดยธนาคารจะเป็นผเู้ กบ็ รวบรวม สมุดคู่ฝากไว้ สมาชกิ สามารถขอดูได้ในวนั ท่ีธนาคารเปิดทาการ
๑๔ - เจา้ หน้าทีธ่ นาคารลงรายละเอียด สมาชกิ ในทะเบยี นลูกคา้ - เม่ือสมาชิกนาขยะรีไซเคิลมาฝาก ท่ีธนาคาร เจ้าหน้าท่ีจะทาการคัดแยกประเภท และชา่ งนา้ หนกั - คิดเป็นจานวนเงิน โดยเทียบกับใบราคาที่ได้มาจากร้านรับซ้ือของเก่า ลงบันทึก ในใบนาฝาก - เจา้ หน้าที่บนั ทกึ รายละเอียด เลขท่สี มาชิก ประเภทขยะรีไซเคิล จานวนเงิน ลงใน เอกสารใบสรุปการนาฝาก - บันทึกลงในสมุดคฝู่ าก เพอ่ื เกบ็ เป็นหลักฐานการฝากถอนของสมาชิก - ถา้ สมาชกิ ตอ้ งการถอนเงนิ ใหเ้ ขียนรายละเอยี ด ใบถอนเงนิ แลว้ ใหก้ ับเจา้ หนา้ ที่ - ภายหลงั เปิดธนาคารเสรจ็ สิน้ เจ้าหนา้ ท่ตี อ้ งทาการรวบรวมรายรับ รายจ่าย และทะเบียน คุมเจ้าหน้ีของธนาคารในแต่ละวนั เพอื่ ความสะดวกในการตรวจสอบ การลงค่าใช้จ่าย การซ้ือ ขายขยะรีไซเคิล ลงในสมุดเงนิ สด เพอ่ื สามารถตรวจสอบการขาดทนุ กาไร - ควรมีการสรุปการดาเนินงาน ในแต่ละเดือน และแจ้งแก่สมาชิกของธนาคาร โดยการจดั บอรด์ นทิ รรศการ บริเวณที่ทาการ จากนั้นวิทยากรอธิบายถึงวธิ กี ารบริหารจัดการขยะเปียกและเศษวัสดุในครัวเรือน และยังฟื้นฟูดิน ดว้ ยหลักการผา่ ทอ้ งช้าง หรือ เพอร์มาคัลเชอร์ (permaculture) เป็นแนวคิดและวิถีทางการเกษตรที่เน้นเร่ือง ความยง่ั ยนื ของชวี ิตและส่งิ แวดล้อม เกิดข้ึนในต่างประเทศเมื่อกว่า ๓๐ ปีท่ีแล้ว องค์ความรู้แบบฝร่ังนี้ ไม่ได้จากัด อยู่เพียงการทาการเกษตร แต่ครอบคลุมถึงการออกแบบวิถีการดารงชีวิตที่เก่ียวข้องกับระบบเกษตรกรรม รวมถึง การใช้ชีวิตของผู้คนในรูปแบบที่สอดคล้องกับวิถีธรรมชาติ โดยวิธีทาจะเป็นการปรับปรุงดินโดยใช้เศษอาหาร หรอื วัสดตุ ามธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายได้มาฝังกลบ ใช้วิธีขุดร่องลึกประมาณ ๓๐-๕๐ ซม. กว้างประมาณ ๕๐-๑๐๐ ซม. นาเศษอาหารมาฝังกลบในร่อง ที่จะทาการเพาะปลูกและใช้น้าหมักจุลินทรีย์เป็นตัวช่วยย่อย ใชเ้ วลาประมาณ ๑ เดือน จึงสามารถนามาทาแปลงเพื่อปลูกพืชได้ ซึ่งประโยชน์ ก็คือ เป็นการเอาวัสดุที่เหลือใช้ ในครัวเรือนท่ีสามารถย่อยสลายได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการปรับปรุงบารุงดิน ช่วยลดต้นทุนในการปลูกพืช ช่วยประหยัดเวลารักษาพืช และท่ีสาคัญเราสามารถสร้างระบบนิเวศใหม่ข้ึนมาในพ้ืนท่ี โดยไม่ต้องพึ่งปัจจัย ภายนอกพืน้ ที่ เปน็ การสร้างความสมบรู ณใ์ ห้กับผนื ดนิ ของเราอย่างย่งั ยนื
๑๕ ๖. ฐำนฅนรกั ษน์ ำ้ วิทยากรอธิบายถึงวิธีการจัดการและอนุรักษ์น้ารูปแบบอื่น ๆ ที่เครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ ไดพ้ ฒั นาและนามาประยุกต์ใช้ ซง่ึ เรียกว่า การบาบัดน้าเสยี โดยใช้จลุ ินทรีย์ วิธที ่ี ๑ การใช้นา้ หมกั ชีวภาพ โดยการใช้นา้ หมกั ชีวภาพปริมาณ ๑ ต่อ ๕๐๐ ส่วน ราดลงท้ังใน นา้ ท้ิงจากครัวเรือน ตลาดสด ฟารม์ ปศุสัตว์ หรือโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลายอินทรีย์สาร ในแหล่งน้า นอกจากน้ีน้าหมักชีวภาพยังสามารถนาไปใช้ได้ดีในการปรับสภาพน้าในบ่อประมงท้ังบ่อเลี้ยงกุ้ง และปลาไดเ้ ปน็ อยา่ งดี วิธีท่ี ๒ ลูกระเบิดจุลินทรีย์ เป็นการบาบัดฟ้ืนฟูแหล่งน้า ให้ดีข้ึนด้วยจุลินทรีย์ เช่นเดียวกับ การใช้น้าหมักประกอบด้วยโคลนจากท้องน้า ๕๐ กิโลกรัม, รา ๑๐ กิโลกรัม, ปุ๋ยอินทรีย์เม็ดหรือผง ๕๐ กิโลกรัม และน้าหมักชีวภาพท่ีหมัก จนได้ที่แล้ว ๓ เดือนข้ึนไป โดยนาทุกอย่างมาผสมเข้าด้วยกัน จนสามารถป้ันเป็น ก้อนขนาดเท่าลกู เปตอง นาไปผึ่งไว้ในที่ร่มจนแห้ง สามารถนาไปบาบัดน้าได้ โดยใช้ในอัตราส่วน ๕ กิโลกรัมต่อน้า ๑ ล้านลิตรหรือ ๒๕-๕๐ กิโลกรัม ต่อพื้นท่ีไร่ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับสภาพน้าที่เน่าเสียจากการทดลองของเครือข่าย กสิกรรมธรรมชาติ พบว่า สามารถเพ่ิมค่า DO (Dissolved Oxygen) หรือค่าออกซิเจนที่ละลายในน้าจาก 3.5 ppm หรือสว่ นในลา้ นส่วน เปน็ 6.5 ppm ในเวลา ๒๒ นาที ออกซิเจนเปน็ ส่ิงทจี่ าเป็นอย่างยิ่งสาหรับปลา, หอย, พืช และแอโรบิคแบคทีเรีย (แบคที่เรียที่ต้องการออกซิเจน) ถ้าหากค่า DO ในน้าต่ากว่า 3 ppm จะทาให้สิ่งมีชีวิต ในน้าอย่ใู นภาวะถูกกดดัน ถา้ ค่า DO ตา่ กว่า 2 ppm หรือ 1 ppm ปลาจะไมส่ ามารถดารงชีวิตอยู่ได้ เนื่องจาก ปลาจะดารงชีวติ และทากิจกรรมตา่ ง ๆ ตามปกติได้ท่ีค่า DO 5-6 ppm ซ่ึงเป็นสิ่งจาเป็นมาก สาหรับอุตสาหกรรม การเพาะเลย้ี งสัตวน์ ้าและพืชนา้ การเพ่ิมออกซิเจนในแหลง่ น้าชว่ ยให้เกดิ แบคทีเรียที่สร้างสรรค์ข้ึน ส่งเสริมให้เกิด สตั ว์หน้าเลน เช่น ไส้เดือน แมลงในน้า รวมทั้งไรน้า ซึ่งเป็นอาหาร ธรรมชาติที่สาคัญยิ่งของสัตว์น้าพวก ปู กุ้ง ปลา และหอย จากน้ันวทิ ยากรอธบิ ายถงึ หลักการทาคลองไส้ไก่ และการทาคลังอาหารปลา โดยพูดถึง บ่อน้า หนองน้า หรือคูคลอง นอกจากจะเป็นท่ีกักเก็บน้าในฤดูฝน และเป็นแหล่งน้าในฤดูแล้งแล้ว ยังใช้เล้ียงปลา เพ่ือเป็นอาหารได้ เพ่ือเป็นการพึ่งพาตนเองและลดค่าใช้จ่ายเร่ืองอาหารปลา เราสามารถสร้างแหล่งอาหาร ให้กับปลาและสัตว์น้าตา่ ง ๆ ได้ ด้วยการทา \"แซนด์วิชปลา\" โดยใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ้ือ อาหารปลา และยงั เป็นการบาบัดรกั ษานา้ ดว้ ยการสร้างระบบนิเวศทเี่ หมาะสม สร้างอาหารปลอดภัยจากสารเคมี โดยการทาแซนดว์ ชิ ปลาหรอื คลังอาหารปลา มี ๒ รปู แบบ คือ ๑) แซนดว์ ชิ ปลาแบบคอกไมไ้ ผ่ โดยนาไม้มาตอกเปน็ รปู ครึ่งวงกลมทรี่ มิ หนองนา้ ๒) แซนดว์ ชิ ปลาแบบเสวียน โดยนาไม้ไผ่มาเหลาเป็นซี่แล้วปักรอบ ๆ แล้วสานเหมือน สานเขง่ โดยสานใหม้ ชี อ่ งห่างกนั ๑ ฝา่ มอื สลบั กบั ช่องว่าง ๑ นิ้ว เพ่ือให้ปลาสามารถมาตอดกินอาหารและสร้าง ความแขง็ แรงใหเ้ สวียน นาไปไว้ริมหนองน้า
๑๖ วสั ดุ - ไม้ไผ่ - ฟาง ผกั ตบชวา หรือใบไม้อื่น ๆ - ปยุ๋ คอก - น้าหมกั จลุ ินทรียช์ วี ภาพ วิธีการทา สาหรับบ่อน้าหรือหนองน้า จะทาแซนด์วิชปลาไว้ที่ริมตล่ิง โดยใช้ลาไม้ไผ่ปักลงไปถ่ี ๆ ใหเ้ ป็นวงโคง้ คร่ึงวงกลม หากบ่อมขี นาดใหญ่ก็ควรจะทาหลาย ๆ จุด ส่วนในพ้ืนท่ีเล็ก เช่น คลองไส้ไก่หรือคูน้า รอบนาขา้ ว ก็สามารถเลย้ี งปลาไดเ้ ชน่ กนั โดยใช้ไม้ไผ่เหลาแล้วสานเป็นเสวียน จากนั้นจึงนาไปปักลงไปในคลองไส้ไก่ หรอื คูน้า เมื่อมีไม้ไผห่ รอื เสวยี นเปน็ เสมือนภาชนะแล้ว จึงใส่ฟาง ผักตบชวา หรือใบไม้สุมลงไปให้มีความสูง ๑ ฟุต หรือ ๑ ศอก ย่าใหแ้ น่น ใสป่ ุ๋ยคอก และรดน้าหมักจุลินทรีย์ชีวภาพ โดยทาสลับกับเป็นช้ัน ๆ จนเต็มคอกหรือเสวียน เม่ือท้ิงไว้สักระยะ จุลินทรีย์ในปุ๋ยคอกและน้าหมักจุลินทรีย์ชีวภาพจะช่วยย่อยเศษพืช ทาให้เกิดแพลงก์ตอน หนอน และไรแดง ข้นึ เองตามธรรมชาติ ซ่งึ เป็นอาหารช้ันดีของปลาและสัตว์น้าทุกชนิด การบารุงรักษา หากวัสดุ ทที่ าไว้ยุบลงกเ็ ติมได้ สามารถใชง้ านได้จนกวา่ จะผุพงั ลิงค์คลปิ วดิ ีโอ : ฐานเรยี นรฅู้ นรกั ษ์นา้ องคค์ วามรู้การทาจลุ ินทรียบ์ อล - YouTube ๗. ฐำนหวั คนั นำทองคำ หวั คันนา \"ทองคา\" คอื อะไร ? ทาไม ต้องสร้าง... สร้างแลว้ ได้ประโยชนอ์ ะไร...!! แล้วถ้าจะเรม่ิ ทา ตอ้ งเรมิ่ จากอะไร แลว้ จะทาอย่างไร ถงึ จะเรยี กว่า \"หัวคันนาทองคา\" จากน้ันวิทยากรอธิบายให้เข้าใจเก่ียวกับคาว่า หัวคันนาทองคา ไม่ได้พ่ึงเกิดขึ้นแต่มีมานาน ต้ังแต่ในอดีต ชาวนาสมัยก่อนนั้น นิยมปลูกพืชผักบนหัวคันนา ดังนั้นหัวคันนาสมัยก่อนจึงมีขนาดท่ีใหญ่ต่าง จากปัจจบุ ันท่ีมีขนาดเล็กลงจากแต่ก่อนมาก และไม่นิยมปลูกพืชผักบนหัวคันนากัน เพราะคิดว่าเสียพ้ืนที่การทานา แต่ร้หู รือไม่ การปลกู พชื ผกั บนหัวคนั นาน้นั จะชว่ ยให้ชาวนา ประหยัดค่าใช้จ่ายค่าอาหารไปได้มาก เพราะไม่ต้อง ควกั สตางค์ไปซอ้ื และท่สี าคัญไดก้ นิ พชื ผกั ท่ีปลอดภัยไร้สารเคมี เอาง่ายๆ ว่าในระยะเวลาท่ีชาวนารอผลผลิตจากข้าว
๑๗ ถ้าไม่ปลกู พืชผกั อยา่ งอืน่ กจ็ ะได้แต่ข้าว มีรายได้จากขา้ วฤดกู าลละ ๑ ถึง ๒ คร้ังเท่านั้นในระหว่างที่รอก็ต้องใช้ เงินเก่าเงินเก็บ แต่ถ้าปลูกพืชผักบนหัวคันนา เลี้ยงปลาในนาข้าว ชาวนาก็สามารถลดค่าใช้จ่ายในเรื่องอาหาร นอกจากจะกินเองแล้ว \"ครูอาจารย\"์ ท่านส่ังสอนไว้เสมอ เหลือกินก็ ทาบุญ ทาทาน เก็บ แล้วจึงขาย เท่านี้ก็นาพา ชาวนา ๙ ขนั้ สู่ความพอเพยี ง อยา่ งยง่ั ยืนได้ อีกทางหนง่ึ เริม่ ง่ายๆ แค่เพิ่มพ้ืนท่ีคันนาจากเดิมให้มีขนาดความกว้าง ไม่น้อยกว่า ๒ เมตร สูงไม่น้อย ๑.๒๐ เมตร แถมด้วยคลองไส้ไก่บริเวณ ๒ ฝ่ังบนหัวคันนา เท่านี้ก็จะมีพื้นท่ี ในการปลูกพชื ผกั มากขน้ึ การปลูกน้ันเน้นการปลูกแบบผสมผสาน ปลูกหลากหลายชนิด ไม่เน้นปลูกจานวนมาก เท่านี้ก็จะมหี ัวคันนาทองคาไว้ใชแ้ ลว้ สาหรับการย่าขใี้ นนาข้าว วทิ ยากรไดพ้ ูดถึง มูลสัตว์ท่ีใช้ ควรเลือกมูลวัวหรือมูลควาย เพราะเป็น สตั วท์ ก่ี นิ หญ้าหรือพืช มูลจึงมีเส้นใยของพืชผสมอยู่ เมื่อนามาย่าผสมกับน้าคลุกกับผิวดินแล้วทิ้งให้แห้ง จะสานกัน เป็นแผ่นช่วยยึดหน้าดิน อีกทั้งการทางานของจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในมูลสัตว์ จะแทรกเข้าไปอุดช่องว่างในเนื้อดิน เปน็ ตวั ประสานทาให้ดินยดึ เกาะตดิ กัน จึงทาให้ช่วยลดการร่ัวซึมของน้าได้ นอกจากน้ี ยังเป็นการสร้างระบบนิเวศ ให้กบั บ่อนา้ เพราะมลู สตั ว์ทาใหเ้ กดิ แหล่งอาหารของสัตว์น้า เช่น หนอนแดง และไรแดง อันเป็นอาหารของกุ้ง หอย ปู และปลา และพูดถึงวิธีทา โดยเริ่มจากการนามูลสัตว์ เช่น มูลวัว มูลควาย เทกระจายลงบนพื้นที่ที่ต้องการ ให้ท่วั รดนา้ ให้ดินชุ่มจนเป็นดินเลน เหยียบย่าให้มูลสัตว์ผสมกับดินจนเป็นเน้ือเดียวกัน ตากให้แห้งสนิทจึงใช้งานได้ จากน้ันวิทยากรให้ผู้เข้าอบรมฝึกปฏิบัติการย่าข้ีในนาข้าว เพ่ือปรับปรุงบารุงดินก่อนการเพาะปลูก และฝึก ปฏิบตั กิ ารปน้ั หวั คันนาทองคา ลงิ ค์คลปิ วิดโี อ : ศพช.อดุ รธานี องค์ความรู้หลักกสิกรรมธรรมชาติ ฐานเรียนรู้ : คันนาทองคา - YouTube ๘. ฐำนฅนรักษ์ดนิ วทิ ยากรอธิบายถงึ วธิ งี า่ ย ๆ และมปี ระสทิ ธิภาพสูงในการฟ้ืนฟูผืนดินของคุณให้กลับมาสมบูรณ์ นัน่ กค็ อื “การปลกู แฝก” เพราะแฝกเป็นกาแพงธรรมชาติท่ีช่วยลดการพังทลายของหน้าดิน ช่วยดักตะกอนดิน สรา้ งความสมบรู ณข์ องดนิ และน้า โดยการปลูกแฝก อธิบายไดด้ ังนี้
๑๘ จากนน้ั วิทยากรอธิบายหลกั ของการ “ห่มดิน” หรอื “คลุมดิน” โดยใช้ฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ที่สามารถ ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และใส่อาหารให้แก่ดิน ด้วยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพลงไป เพ่ือให้อาหารแก่ดิน แล้วดนิ จะปล่อยธาตุอาหารให้พืช โดยกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์เรียกหลักการน้ีว่า “เลี้ยงดิน ให้ดิน เลี้ยงพชื ” การปฏบิ ัติเช่นนี้ จะทาใหด้ นิ กลบั มามีชวี ติ เป็นการ “คนื ชีวิตใหแ้ ผน่ ดนิ ” ประโยชน์ของการห่มดิน คือ เป็นท่ีอยู่อาศัยของจุลินทรีย์ เป็นอาหารให้สัตว์หน้าดิน เช่น ไส้เดือน กิ้งกือ ฯลฯ ซ่ึงช่วยพรวนดิน และถ่ายมูลเป็นปุ๋ยให้พืช เก็บรักษาความชื้น เม่ือย่อยสลายจะกลายเป็นฮิวมัส ซ่ึงเปน็ ปยุ๋ ให้กบั พืช ประโยชน์ของจุลนิ ทรีย์ ได้แก่ ช่วยตรงึ ไนโตรเจนจากอากาศ ซ่ึงในอากาศมีก๊าซไนโตรเจนอยู่ถึง ๗๘% ช่วยยอ่ ยสลายซากพืช ซากสตั ว์ ช่วยย่อยแร่ธาตุท่ีอยู่ในหิน ลูกรัง ทราย เช่น ธาตุอาหาร กลุ่มเหล็ก แมงกานีส สังกะสี ฟอสฟอรสั เป็นต้น ช่วยผลิตฮอร์โมนใหพ้ ชื ช่วยผลติ สารปอ้ งกนั โรคพืช
๑๙ สาหรับวิธีการห่มดิน เร่ิมจาก ห่มดินด้วยฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ รอบโคนต้นไม้ประเภทไม้ยืนต้น โดยเวน้ ให้หา่ งจากโคนตน้ ไม้ ๑ คืบ ห่มหนา ๑ คบื – ๑ ฟุต ทาเปน็ วงเหมือนโดนัท โรยด้วยปุ๋ยคอก (มูลสัตว์) บาง ๆ และรดด้วยน้าหมักชีวภาพผสมน้าเจือจาง อัตราส่วน ๑ : ๕๐-๑๐๐ ห่มดินในที่ดินผืนใหม่ที่เพ่ิงขุดปรับพื้นที่ หรือดินท่ีเสื่อมสภาพ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของดินก่อนเริ่มการเพาะปลูก ด้วยการห่มฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ ให้หนาอยา่ งนอ้ ย ๑ ฟุต ท้ังแปลง โรยด้วยปุ๋ยคอก แล้วราดรดด้วยน้าหมักชีวภาพผสมน้าเข้มข้น อัตราส่วน ๑ : ๑๐ โดยวธิ ีนี้ เปน็ การระเบดิ ดินท่ีแหง้ แขง็ ให้มีความชุ่มช้ืน (ฟางห่มคลุมดินเพ่ือลดการระเหยของน้าในดิน ปุ๋ยคอก ทีใ่ ส่เพื่อเพ่ิมอินทรียวัตถุ น้าหมักทาหน้าท่ีย่อยสลายทั้งปุ๋ยและฟาง ให้กลายเป็นอินทรียวัตถุได้เร็วขึ้น) ซึ่งวิธีนี้ อาจตอ้ งใชเ้ วลา ๓ เดือนขน้ึ ไป โดยยงั ไมค่ วรปลูกพชื ใด ๆ เพราะน้าหมักที่เข้มขน้ อาจทาใหต้ น้ ไม้ตายได้ ลงิ ค์คลิปวดิ ีโอ : หม่ ดิน ชว่ ยใหด้ นิ เลย้ี งพชื เจริญเตบิ โต - YouTube ๙. ฅนรกั ษ์ปำ่ วิทยากรอธิบายถึงหลักการปลูกป่า ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง และการปลูกต้นไม้แบบ กสิกรรมธรรมชาติ ประกอบด้วยต้นไม้หลากหลาย ทั้งชนิดพันธุ์ ช่วงอายุ ลักษณะนิสัย และขนาดความสูง โดยเราสามารถจัดแบง่ ตามระดับช่วงความสงู และระบบนเิ วศได้ ๕ ระดับ โดยให้ผู้เข้าอบรมร้องเพลง ป่า ๕ ระดับ พรอ้ มท่าทางประกอบเพลง และอธิบายถงึ หลักการปา่ ๕ ระดบั ไดแ้ ก่ ๑) ไมส้ งู เปน็ กลมุ่ ตน้ ไมเ้ รือนยอดสูงสุดและอายยุ ืนไมใ้ นระดับน้ี เช่น ตะเคยี น ยางนา เต็งรัง ๒) ไม้กลาง เป็นกลุ่มต้นไม้ท่ีไม่สูงนัก ไม้ในระดับน้ีได้แก่บรรดาไม้ผลที่เก็บกินได้ เช่น มะม่วง ขนนุ มงั คุด กระท้อน ไผ่ สะตอ ๓) ไม้เตีย้ เปน็ กลุ่มตน้ ไม้พุ่มเตยี้ ไม้ในระดับน้ี เช่น พรกิ มะเขอื กะเพรา ผักหวานบา้ น ติ้ว ๔) ไมเ้ รี่ยดนิ ไมใ้ นระดบั นีเ้ ปน็ ตระกูลไม้เลือ้ ย เชน่ พรกิ ไทย รางจดื ๕) ไม้หัวใตด้ นิ ไม้ในระดบั นี้ เชน่ ขิง ขา่ มนั มือเสอื บกุ กวาวเครือ ประโยชนเ์ พือ่ ให้ “พออยู่” คอื การปลกู ตน้ ไมท้ ีใ่ ชเ้ น้อื ไม้และไม้เชิงเศรษฐกิจให้เป็นป่าไม้กลุ่มนี้ เป็นไม้อายุยาวนานซึ่งจะเน้นประโยชน์ในเน้ือไม้เพื่อสร้างบ้าน ทาเคร่ืองเรือน และถือได้ว่าเป็นการออมทรัพย์ เพอื่ สร้างความมนั่ คงในอนาคตตน้ ไม้กลมุ่ นีเ้ ชน่ ตะเคียนทองยางนา แดง สกั พะยูง พะยอม เปน็ ต้น
๒๐ ประโยชน์เพื่อให้ “พอกิน” คือ การปลูกต้นไม้ที่กินได้รวมทั้งใช้เป็นยาสมุนไพร ไม้ในกลุ่มนี้ เช่น แค มะรุม ทเุ รียน สะตอ ผักหวาน ฝาง แหม้ (แฮม่ ) กลว้ ย ฟกั ข้าว เปน็ ตน้ ประโยชน์เพ่ือให้ “พอใช้” คือ การปลูกต้นไม้ให้เป็นป่าไม้สาหรับใช้สอยในครัวเรือน อาทิ ทาฟนื เผาถ่าน ทางานหัตถกรรม หรือทานา้ ยาซกั ลา้ ง ไมใ้ นกลุ่มนี้ เช่น มะคาดีควาย หวาย ไผ่ หมีเหมน็ เป็นตน้ ประโยชน์เพื่อให้ “พอร่มเย็น” คือ ประโยชน์อย่างที่ ๔ ที่เกิดจากการปลูกป่า ๓ อย่าง “พอร่มเยน็ ” คือปา่ ท้งั ๓ อยา่ งจะช่วยฟ้นื ฟูระบบนิเวศดนิ และนา้ ใหก้ ลับอุดมสมบรู ณ์รม่ รนื่ และฉ่าเยน็ ข้นึ มา ๑๐. ฐำนคนมนี ้ำยำ วิทยากรอธิบายถึงความเป็นมาของการแปรรูปผลผลิตท่ีมีอยู่ในพ้ืนท่ี โคก หนอง นา โมเดล โดยสามารถนามาแปรรูปเปน็ ผลติ ภณั ฑเ์ พอ่ื สร้างมลู คา่ ได้ และสามารถใช้ในชวี ิตประจาวันได้ อธบิ ายได้ดังน้ี น้ำยำอเนกประสงค์ (สูตรชวี ภำพ) เครอื่ งมือและอปุ กรณ์ที่ใช้ ๑) ถังพลาสตกิ สีเข้มมีฝาปดิ มิดชดิ ขนาดความจุ ๓๒ แกลลอน ๑ ใบ ๒) ตะกรา้ พลาสตกิ ๓) เครื่องชั่งน้าหนัก ๔) ถว้ ยตวงน้า ๑ ใบ ๕) ชอ้ น ไมพ้ าย สาหรับคน ๑ คัน ๖) ผ้าขาวบางสาหรบั กรอง ๑ ผนื ๗) ช้อนตวง ๑ ชุด สว่ นผสม ๑) เปลือกสบั ปะรดหรือผลไมร้ สเปรีย้ ว เช่น มะกรดู มะนาว มะเฟือง ปริมาณ ๓๐ กก. ๒) หวั เชอ้ื น้าหมักชวี ภาพหรอื EM ๑.๕ กก. (สรรพคณุ ช่วยย่อยสลายสบั ปะรด) ๓) น้าตาลทรายแดง ๑ กก. (เป็นอาหารของจลุ นิ ทรยี ์) ๔) นา้ สะอาดไม่มีคลอรีน (น้าประปาพกั ไว้ ๑ คนื ก่อนนามาใช้)
๒๑ วธิ ีทา ๑) ลา้ งถงั และตะกร้าพลาสติก ท้งิ ไว้ให้แห้ง นาตะกรา้ ใสใ่ นถังพลาสตกิ ๒) นาเปลือกสับปะรดหรือผลไมร้ สเปร้ียวมาล้างน้าให้สะอาด แล้วแช่ในน้าหมักชีวภาพ หรือ EM โดยผสมน้าสะอาดในอตั รา ๑:๑๐๐ เพอ่ื ล้างสารเคมีที่ติดมากบั เปลือกแช่ทงิ้ ไวป้ ระมาณคร่ึงชั่วโมง ๓) สบั เปลอื กสบั ปะรดหรือผลไม้รสเปรย้ี วเป็นช้ินเล็ก แล้วนาไปเทใสใ่ นตะกร้า ๔) นาน้าตาลทรายแดงผสมกับนา้ หมักชวี ภาพหรอื EM คนจนละลายหมด ๕) นาส่วนผสมข้อ ๓ และ ๔ เทลงในตะกร้าสับปะรด คนให้เข้ากัน เติมน้าสะอาดให้ท่วม ปดิ ฝาทิง้ ไว้ เมื่อหมักได้ ๒-๓ วนั คนให้เข้ากันอกี ครง้ั หมักต่อจนครบ ๑๕ วัน จึงเปิดออก กรองด้วยผ้าขาวบาง โดยไม่ต้องบีบคั้นกาก นาน้าสกัดชีวภาพที่กรองใส่ถังปิดไว้ให้แน่น และปล่อยให้ตกตะกอนอีก ๒-๓ วัน ระยะแรกๆ สีของน้าจะขุ่นต่อมาจะตกตะกอน กลิ่นจะฉุนคล้ายไวน์มากขึ้นเร่ือย ๆ และสีจะใสน่าใช้ยิ่งขึ้น (หากคั้นกากน้าสกัดที่ได้สีจะขุ่นไม่น่าใช้ ส่วนกากท่ีเหลือสามารถนาไปผสมดินปลูกต้นไม้ได้) ถังที่หมักควรเก็บ ในท่ีมีแสงน้อยภายในห้องหรือในท่ีร่มอุณหภูมิปกติ เพราะ เช้ือจุลินทรีย์ในน้าหมักชีวภาพชอบความมื ด และต้องอยู่ในที่ไม่ร้อนจัดหรือเย็นจัด การหมักจะเกิดฝ้าขาวเหนือผิวน้าแสดงว่าการหมักได้ผล เมื่อกวนลงไป ฝ้าสีขาวจะสลายตวั กลับไปอยู่ในน้าเหมอื นเดมิ วิธีใช้ ใช้ล้างจาน พื้นห้องน้า พื้นบ้าน โดยไม่ต้องผสมน้า ใช้เหมือนน้ายาตามท้องตลาด การล้างจานจานวนมากควรแช่จานในนา้ ยาผสมน้า อัตราสว่ น ๑:๕ แช่ทง้ิ ไวป้ ระมาณ ๒๐ นาทีก่อนล้าง เพ่ือให้ สะอาดท่วั ถงึ แล้วจึงล้างออกด้วยน้าสะอาด ควรตากจานให้แห้งก่อนนาไปใช้ เพ่ือป้องกันการตกค้างของจุลินทรีย์ ในหยดน้าที่เกาะอยู่บนจานน้ายาอเนกประสงค์สามารถนาไปใช้ในการขจัดคราบมันได้เป็นอย่างดี จากสองพลังบวก คือกรดเปร้ียวจากน้าผลไม้ซึ่งช่วยทาให้ไขมันแตกตัว และเช้ือจุลินทรีย์ซึ่งจะย่อยคราบไขมันทาให้ไม่มีกล่ิน ตกคา้ งเหม็นบดู อีกทงั้ ยังถนอมมือไม่ทาให้มือแห้งแตกหรือลอกเหมือนน้ายาเคมีตามท้องตลาด ท่ีสาคัญไม่ทาลาย ส่ิงแวดลอ้ มและไมเ่ ป็นอนั ตรายตอ่ สุขภาพ หมายเหตุ วัสดุที่ใช้แทนเปลือกสับปะรด ได้แก่ มะขามเปียก มะกรูด มะเฟือง กากกระเจยี๊ บท่ตี ม้ นา้ แล้ว เปลือกมะนาว เปลือกส้ม เปลือกเสาวรส เปลือกส้มโอ หรือเปลือกผลไม้ท่ีมีรสเปร้ียว ๆ เพราะมีสภาพเป็นกรดเหมือนกับสับปะรด ฤดูกาลไหน วัสดุใดมีราคาถูกก็ใช้วัสดุนั้น ตามหลักควรใช้เปลือก หลังจากหมักทานา้ ยากเ็ อากากที่หมกั แล้วไปทาปยุ๋ ไม่มีการทิ้งเปล่า การทาน้ายาอเนกประสงค์ จานวนมากน้อย ให้ใชต้ ามสัดสว่ นดังกล่าวขา้ งต้น ข้อควรระวัง ๑) ถ้ากวนไปคนละทางจะเกิดฟอง และต้องกวนนาน ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อน้ายา ตกตะกอน ๒) น้าสมุนไพรทีจ่ ะนามาผสมต้องตัง้ ทง้ิ ไว้ให้ตกตะกอนเสยี ก่อน
๒๒ ๓) ถา้ นา้ ยาอเนกประสงค์เหลวเกนิ ไปให้เติมน้าเกลอื เพม่ิ และถา้ ขน้ เกนิ ไปใหเ้ ติมน้าสะอาด ๔) หลงั จากทาเสรจ็ ควรเกบ็ ไว้ ๒๔ ชั่วโมง เพ่ือให้ตัวยาและสมุนไพรได้ทาปฏิกิริยากัน ก่อนนาไปใช้
๒๓ บทท่ี ๔ หลกั กสิกรรมธรรมชำติกับระบบเศรษฐกิจพอเพียง และบันได ๙ ข้ันสูค่ วำมพอเพียง โดย อำจำรย์ปัญญำ ปลุ เิ วคินทร์ ผอู้ ำนวยกำรศนู ย์ภูมริ ักษธ์ รรมชำติ จงั หวดั นครนำยก มูลนธิ ชิ ยั พัฒนำ วทิ ยากรใช้วธิ กี ารบรรยายและใช้สอ่ื วีดิทศั น์ประกอบเพื่อสรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจให้ชัดเจนมากย่ิงขึ้น รายละเอียดตามขัน้ ตอน ดงั นี้ ข้ันตอนท่ี ๑ วิทยากรกล่าวถึงที่มาของศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ โดย สานักงานมูลนิธิชัยพัฒนา ร่วมกับสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งเป็นพื้นท่ีแสดงแนวคิดโครงการอันเน่ืองอันเนื่องมาจาก พระราชดาริ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาทิ ด้านการเกษตร ด้านปศุสัตว์ ด้านสิ่งแวดล้อ ม และดา้ นพลงั งานทีม่ ุง่ การพัฒนาด้วยการแก้ไขปรับปรุงคุณภาพของ คน ดิน น้า ป่า อย่างเป็นระบบ จากสื่อวีดิทัศน์ “ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ จังหวัดนครนายก” จาก https://www.youtube.com/watch?v=WRpJ59Za3Ew โดยช่องภมู ริ กั ษ์ ชัยพัฒนา บนเว็บไซต์ Youtube สรุปเนื้อหาจากส่อื ไดด้ ังนี้ - ที่แห่งนี้มีพ้ืนท่ี ๑๔ ไร่ ๒ งาน ๑๘ ตารางวา เป็นที่ดินท่ีในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงใช้ พระราชทรพั ย์ส่วนพระองคซ์ ื้อไวเ้ มื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒ - ไดร้ บั การพฒั นาจากสมาคมศิษย์เกา่ วชิราวุธและมลู นธิ ชิ ยั พัฒนา นาโดย อ.สเุ มธ ตนั ติเวชกุล - ความหมายของช่อื ภูมิรักษ์ธรรมชาติ ทส่ี มเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชทานให้ คอื ผนื แผน่ ดินท่ีแสดงแนวความคิดของพระเจา้ อยู่หวั เกยี่ วกบั การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ - ปี พ.ศ. ๒๕๔๖-๒๕๔๗ เรม่ิ มกี ารปรับปรงุ พื้นท่ี และไดน้ าดินจากการระเบดิ ภูเขามาถมที่ - ต่อมามีแบ่งโซนตามภูมิภาคของประเทศ ได้แก่ ภาคเหนือให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติ ภาคกลางใหค้ วามรดู้ ้านเกษตรทฤษฎีใหม่ ภาคอีสานให้ความรู้ด้านการส่งเสริมอาชีพเสริม และภาคใต้ให้ความรูด้ า้ นพลังงานทดแทน นอกจากนน้ั ยงั มีเรอ่ื งการจดั การน้า ทั้งการบาบัดน้าเสีย และโซนไม้ ไผก่ ับวิถีชวี ิตคนไทย - มีการส่งเสริมการทาผลิตภัณฑ์ใช้เอง เช่น สบู่ก้อน สบู่เหลว น้ายาล้างจาน สระผม เปน็ ต้น โดยใช้วตั ถดุ บิ จากสมนุ ไพรทมี่ ีในพ้นื ท่ี - การทานา้ แดดเดียว โดยใช้ขวดแกว้ ใส ใส่น้าและต้ังเอียง ๔๕ องศา ตากแดดเพ่ือฆ่าเช้ือโรค และทาใหโ้ มเลกลุ น้าซมึ เขา้ สู่เซลลไ์ ดม้ ากขนึ้ ร่างกายจะไดร้ บั การปรับสมดลุ และขจัดของเสียได้ดี - การปลูกแฝก ลุ่มและดอน แฝกดอนรากจะสั้นกว่าแฝกลุ่ม จึงนิยมปลูกแฝกลุ่มมากกว่า โดยนิยมปลูกรอบขอบบ่อ เพ่ือปอ้ งกนั การพงั ทลายของหน้าดิน และกนั วตั ถุต่าง ๆ ไหลลงบ่อ - ท่ีนี่เน้นในเร่ืองอย่าปอกเปลือกเปลือยดิน ให้ห่มดิน เพ่ือให้เกิดความชุ่มชื้น เกิดสัตว์ หน้าดินท่ีจะคอยสร้างป๋ยุ ให้ดินจากมลู และเปน็ ทอ่ี ยู่ของจลุ ินทรยี ์ ทาใหด้ นิ ดี เกิดเป็นฮวิ มัส ซึง่ เปน็ ประโยชน์ต่อพชื
๒๔ - ประโยชนข์ องจลุ นิ ทรีย์ ๕ อยา่ ง ๑. ชว่ ยตรงึ ไนโตรเจนจากอากาศลงดิน ๒. ชว่ ยยอ่ ยสลาย ซากพชื ซากสตั ว์ ๓. ชว่ ยย่อยสลายแร่ธาตุ ๔. ชว่ ยผลิตสารปอ้ งกันโรคพืช และ ๕. สรา้ งฮอรโ์ มนใหก้ บั พืช - การนาของเสียจากการขับถ่ายมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยใช้ถังเก็บและถังพักและนา อจุ จาระ ปสั สาวะมาใชเ้ ป็นปุ๋ย โดยตอ้ งผ่านกระบวนการหมกั ๑๕ วนั หมดกล่ิน ๒๘ วนั หมดเชื้อ - โซนภาคเหนือ เน้นในเรื่องการดูแลรักษาป่า มีการแสดงแนวคิดป่าเปียกป้องกันไฟ โดยปลูกพืชทมี่ ีลักษณะช้ืน เช่น กลว้ ยเพอื่ เป็นแนวกนั ไฟ - ป่า ๓ อย่างประโยชน์ ๔ อย่าง โดยการปลูกพืชที่ให้ประโยชน์ ๓ อย่าง ได้แก่ พอกิน อันได้แก่ไม้ที่เราปลูกไว้กิน เช่นพืชผัก ผลไม้ พอใช้อันได้แก่ ไผ่ กล้วย เป็นต้น และพออยู่ ได้แก่ไม้ท่ีใช้สาหรับ ทาท่ีอยู่อาศัยหรือไม้เศรษฐกิจ เช่น ยางนา สัก ตะเคียน มะค่า กระถินเทพา เป็นต้น ซึ่งเมื่อปลูกไม้ครบทั้ง ๓ อย่างแล้ว จะเกิดประโยชน์อย่างที่ ๔ คือ พอร่มเย็น น่ันคือระบบนิเวศจะกลับคืนมาสมบูรณ์ มีร่มเงาให้ ความเย็นสบายต่อผูอ้ าศยั - การสร้างฝายชะลอความชุ่มชน้ื เพอ่ื สรา้ งความชุ่มชืน้ ให้กบั ผืนดิน และพืชผักตา่ ง ๆ - การปลูกปา่ ในใจคน โดยสร้างจติ สานกึ ใหค้ นก่อน แล้วเขาจะอยากปลูกป่าเอง - โซนภาคกลาง เกษตรทฤษฎีใหม่โดยยึดพ้ืนที่ ๑๕ ไร่เป็นหลัก เนื่องจากในช่วงน้ัน คา่ เฉลย่ี การถือครองทีด่ นิ ของเกษตรกรอยู่ที่ ๑๕ ไรต่ อ่ ครวั เรือน พระองคท์ ่านเน้นในเร่ืองความเรียบง่าย ผูกติด กับธรรมชาติ พออยู่พอกิน พอแบ่งปัน โดยแบ่งพ้ืนที่ออกเป็น ๔ ส่วน แหล่งน้า ๓๐ นาข้าว ๓๐ พืชผัก ๓๐ และท่ีอยู่อาศยั และปศสุ ัตว์ ๑๐ มกี ารคานวณการใช้น้าตอ่ การทากจิ กรรมตา่ ง ๆ ในพนื้ ท่ี - จักรยานปั่นน้า ลดค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าในการสูบน้ารดต้นไม้ แต่ใช้แรงงานแทน เปน็ การออกกาลงั กาย สามารถสบู น้าลกึ ได้ ๓๐ เมตร ต่อทอ่ ไกลได้ ๓๐ เมตร ตอ่ สปริงเกอรไ์ ด้ ๓๕ หวั - คนตดิ ดนิ ไดค้ วามร้มู าจากบา้ นท่ามะไฟหวาน จังหวัดชัยภูมิ ที่น่ีทา ๒ แบบ มีแบบก่อ และแบบปน้ั แบบก่อจะตอ้ งทากอ้ นดนิ ลกั ษณะเหมือนอิฐบล็อกและก่อเปน็ ชั้น ๆ เหมือนการก่อปูน ส่วนแบบป้ัน ต้องขึ้นโครงและนาดินมาพอกตามโครง ท้ังนี้จะต้องผสมดนิ ให้พอเหมาะ - คลองไส้ไก่ เป็นการเลียนแบบธรรมชาติ ขุดคลองโค้งไปมาเพื่อกระจายความชื้น การขุดมี ๓ แบบ คือ แบบเชิงเขาซึ่งจะขุดขวางทางน้าลดความเร็วของน้า แบบเนินจะขุดเปล่ียนทางน้าไปทาง ที่เราต้องการทาการเกษตร และแบบพื้นที่เรียบจะขุดโค้งไปมาตามที่เราต้องการ การขุดจะขุดกว้าง ๕๐ ซม. ลึก ๕๐ ซม. เป็นรูปตวั วี - การส่งเสริมอาชีพ การปลูกผัก การเพาะเห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า การเล้ียงปลา การทา ปยุ๋ หมกั ชีวภาพ - คนั นาทองคา โดยทาคันนาให้มีขนาดใหญ่ ยกหัวคันนาให้สูงอย่างน้อย ๑ เมตร กว้าง อย่างนอ้ ย ๒ เมตร ไม่ปอกเปลือกเปลอื ยดิน ห่มดินด้วยฟาง ขุดคลองไส้ไก่ และปลูกพืชผักที่มีความหลากหลาย ปลกู สิง่ ที่เรากิน กนิ ส่งิ ท่ีเราปลูก
๒๕ - ธนาคารข้าว โดยมีการกู้ข้าว และคืนข้าว ลักษณะเหมือนกับธนาคารท่ัวไป โดยตั้ง กรรมการขนึ้ เพื่อพิจารณาการกูย้ ืมของสมาชิก - ภูมิปัญญาในการสีข้าวด้วยมือ ซ่ึงหากเกดิ ภาวะวิกฤตไมม่ ีไฟฟ้าใช้ อาจจะต้องกลับมา ใชอ้ กี คร้งั ซ่ึงเป็นการพึง่ ตนเองที่ดีอย่างหนง่ึ - คนรักษ์แม่ธรณี มีการใช้ปุ๋ย ๒ ชนิด คือ ปุ๋ยแห้ง โดยใช้มูลสัตว์ที่มีในพ้ืนที่มาหมัก ตามสูตร หรือทเ่ี รยี กว่าแห้งชาม ส่วนปุ๋ยน้า หรือที่เรียกว่าน้าชาม มีทั้งสิ้น ๗ รสตามลักษณะของพืชท่ีใช้ ได้แก่ รสจืด เปร้ียว เผด็ เบื่อเมา หอมระเหย รสฝาด และรสขม ซึง่ แตล่ ะรสจะมีคณุ สมบตั ทิ ่แี ตกตา่ งกนั ไป - คนเอาถ่าน ใช้ประโยชน์จากไม้ที่มีในป่า จากการตัดแต่งกิ่งไม้ หรือเหลือจากการแปรรูป จงึ จะเอามาเผาถ่าน ไดภ้ ูมิปัญญาการเผาถ่านจาก อ.จิตติ เลิศล้า นอกจากจะได้ถ่านไว้ใช้แล้ว ยังได้น้าส้มควันไม้ ในการไลแ่ มลงอีกดว้ ย - น้ามันไบโอดีเซล โดยนาน้ามันพืชหรือสัตว์ท่ีใช้แล้วมาต้มที่อุณหภูมิ ๖๐ องศา และดาเนินการตามสตู รท่กี าหนด - ทฤษฎีแก้มลงิ โดยเปรยี บเทยี บการการเก็บอาหารของลิงไว้ในแก้ม กับการแก้น้าท่วม ผันน้าจากบรเิ วณทน่ี า้ ทว่ มมาเกบ็ ไว้บรเิ วณที่กาหนดทาใหน้ า้ ไม่ทว่ มและบรเิ วณแก้มลิงก็มีน้าไว้ใชอ้ ีกดว้ ย - โครงการแกลง้ ดิน การแก้ไขปัญหาดินเปรย้ี วหรือเป็นกรด พระองค์แกล้งดินโดยทาให้ ดนิ โกรธสุดขดี ปลอ่ ยใหม้ นั เปร้ียวให้เตม็ ที่ จากนา้ ปล่อยน้าเข้าไปขังในพื้นที่แล้วโรยด้วยปูนขาว ตากดินให้แห้ง ๒ เดอื น แล้วทาแบบเดิมไปเรอ่ื ย ๆ จนกว่าจะหายเปร้ยี ว - การบาบดั นา้ เสยี ๒ วิธี วธิ ีแรก เครื่องท่ีหนึ่งคือ กังหันน้าชัยพัฒนา โดยตีน้าขึ้นมาสัมผัส อากาศแลว้ ปล่อยลงน้าเพ่ือเพ่ิมออกซิเจนให้น้า เคร่ืองท่ีสอง คือ เคร่ืองอัดอากาศสู่ผิวน้า เป็นการนาออกซิเจน ลงไปผสมใต้ผิวน้า วิธีท่ี ๒ อธรรมปราบอธรรม ให้เกิดธรรมะ โดยใช้อธรรมคือผักตบชวา มาล้อมคอกให้ดูด สง่ิ ปฏกิ ลู จากอธรรมอีกตวั ก็คือน้าเสีย แลว้ น้าจะดีขึ้นกลายเปน็ นา้ ดตี ่อไป ข้ันตอนที่ ๒ วิทยากรได้กล่าวถงึ ถงึ ประวัตกิ ารทางานของตวั เอง และเปดิ ส่ือวีดิทัศน์ “รายการ คนหวงแผ่นดิน อ.ปัญญา ปุลิเวคินทร์” จาก https://www.youtube.com/watch?v=Nor-YG6KDMM โดยชอ่ งมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ บนเว็บไซต์ Youtube สรุปเน้อื หาจากสอื่ ไดด้ งั น้ี ความเปน็ มาของศูนยภ์ มู ิรกั ษธ์ รรมชาติ จังหวัดนครนายก อ.ปัญญา ปุลิเวคินทร์ จากผู้จัดการ ธนาคารผู้มีรายได้คร่ึงแสน เดินหน้าสู่เส้นทางความพอเพียง สร้างบ้านหลังใหม่ในใจตนเอง ในบั้นปลายชีวิต เม่ืออ่ิมตัวจากหน้าที่การงาน จึงอยากหันเข้าสู่ความเรียบง่าย ช่ือปัญญา จบ ปริญญาโท แต่เป็นเหมือนคน ปัญญาอ่อน ความรู้ท่ีมีในหัว ไม่สามารถใช้ในการพึ่งตนเองได้ คาถามแรกท่ีเกิดขึ้น คือ ใครจะเป็นต้นแบบ ในการไปทางานกับเกษตรกรให้เขามีความสุข ใครจะเป็นต้นแบบของคนท่ีทางานหนักและไม่ท้อ ใครจะเป็น ต้นแบบของการใฝ่รู้ตลอดเวลา สรุปได้ว่าในหลวงรัชกาลท่ี ๙ เป็นต้นแบบในการดาเนินชีวิตในการพ่ึงตนเอง บนฐานความพอเพียง ตามทต่ี นตัง้ คาถามไว้
๒๖ จากนั้นจงึ ได้ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎีและแนวปฏิบัติของพระองค์ท่านอย่างจริงจัง เร่ิมทางาน สายพฒั นาชุมชนทม่ี กุ ดาหารหลังจากลาออกจากตาแหน่งเดิม มุ่งทางานกับชาวบ้าน เรียนรู้จากชาวบ้าน ท้ังใน ด้านการเกษตร การพ่ึงตนเอง ใช้คนที่จบ ป.๔ เป็นครูสอน เรียนรู้ภูมิปัญญาจากเขา พอใจท่ีจะใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ลาออกจากงานที่มีเงินเดือนไปรับงานที่ไม่มีเงินเดือน จนแม่ด่า จึงได้อธิบายว่า งานน้ีทาเพ่ือในหลวง บนท่ีดิน ของในหลวง แม่จึงเข้าใจและเต็มใจพร้อมให้กาลังใจให้ทาให้เต็มท่ี เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการเป็นคนที่สนองงาน ในพระราชดาริ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจอย่างย่ิงของ อ.ปัญญา และตั้งใจจะดูแลท่ีดินส่วนพระองค์ในจังหวัด นครนายกให้ดีที่สุด โดยมีแนวคิดว่า “การทางานให้พระองค์ท่านมีความสุข ไม่จาเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดท่าน ทาทไี่ หนกไ็ ดข้ อใหร้ าษฎรของพระองค์ท่านมคี วามสุข” ปี ๒๕๔๕ ท่ีดินกว่า ๑๔ ไร่ ท้ายเข่ือนขุนด่านปราการชล ซ่ึงเป็นที่ดินส่วนพระองค์ ได้ถูกปรับให้เป็นอาศรมปัญญา เพื่อเป็นสถานท่ีรวบรวมแนวพระราชดาริเก่ียวกับการทาเกษตรทฤษฎีใหม่ ด้วยความรว่ มมือของสมาคมศิษย์เกา่ วชริ าวธุ และมลู นธิ ิชัยพฒั นา มี อ.ปัญญา เปน็ ผู้ดแู ล มอี าคารไม้ไผ่เป็นท่ีตั้ง และตั้งใจจะดูแลท่ีดินให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ แต่ดินไม่ดีปลูกอะไรก็ไม่ข้ึน เพราะเป็นหินที่เกิดจาก การระเบิดเขาเพื่อทาเข่ือน อ. ปัญญา เร่ิมจากการทาให้ดู อยู่ให้เห็น ฟ้ืนฟูดินโดยการห่มดิน และทาทุกอย่าง จับจอบ เสยี ม ทัง้ ทไ่ี ม่ใช่งานที่ถนัด แต่อาศัยการเรียนรู้ ความพยายาม จนสามารถฟื้นฟูดินได้ และได้รับการยอมรับ จากชาวบ้านที่ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นท่ี เมื่อดินดีจึงเริ่มปลูกต้นไม้ได้ อ.ปัญญาจึงสานต่อความคิดให้เกิด อาศรมปัญญาอย่างสมบูรณ์ โดยแบ่งพื้นที่จาลองการเกษตรของแต่ละภาค เหนือ กลาง อีสาน และใต้ภาคีเครือข่าย การเกษตร เปน็ ส่วนสาคัญท่ีทาใหอ้ งค์ความรู้สมบูรณ์ เชน่ การปลูกข้าวได้จากความรู้จากลุงทองเหมาะ แจ่มแจ้ง นา้ มนั ได้ความรจู้ ากผรู้ ูเ้ ร่อื งไบโอดเี ซล ปา่ ได้ความรู้จากกลุม่ ปา่ ต้นน้าพะโต๊ะ อาศรมปัญญาไดร้ ับพระราชทานนามจากสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ เม่ือ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๕ ท่ีดินแห่งนี้ กลายเป็นห้องเรียนชีวิตที่บรรจุความรู้ เกี่ยวกับการทาเกษตรทฤษฎีใหม่ มี อ.ปัญญา เป็นแกนหลักในการขับเคล่ือน และสร้างวิทยากรให้ความรู้ ภายในศูนยท์ าหนา้ ท่ใี ห้ความรู้ผ้มู าดงู าน ได้รบั ความชว่ ยเหลือจากเด็ก ๆ โรงเรียนใกล้เคียงร่วมเป็นมัคคุเทศก์น้อย และจากผืนนาท่ีเคยว่างเปล่า บัดน้ีได้เปลี่ยนไปเป็นแหล่งเรียนรู้ท่ีมีชีวิต สาหรับราษฎรอันเป็นท่ีรักของ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั รชั กาลท่ี ๙ และมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา และ อ.ปัญญา ต้ังใจจะดาเนินตามเป้าหมาย ท่ีตง้ั ไว้ เพ่อื สนองพระราชดาริจนกว่าชวี ิตจะหาไม่ ขัน้ ตอนที่ ๓ ให้ผูเ้ ขา้ อบรมได้แสดงความคดิ เก่ยี วกับระบบเศรษฐกิจ ๓ ระบบ ได้แก่ ระบบทุนนิยม ระบบสงั คมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ และปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยมโี จทย์ วา่ “ระบบทุนนยิ ม ระบบสังคมนิยม หรอื คอมมิวนิสต์ และปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ในความคดิ หรือความรู้ของท่าน เข้าใจว่าอย่างไร?” ซึ่งจากโจทย์ วิทยากรเน้นให้นาเสนอความคิดที่เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน อีกทั้งในระหว่างผู้เข้าอบรมเขียนตอบคาถาม วิทยากรจะสอดแทรกความรูภ้ มู ปิ ญั ญาไทย สถานการณว์ ิกฤตในปจั จบุ นั ท่ีเกิดข้ึนเพ่ือเช่ือมโยงเข้าสู่การหลักคิด
๒๗ และที่มาของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และวิทยากรขออาสาสมัครจากผู้เข้าอบรมให้แสดงความคิด ตามโจทย์ทมี่ อบให้ สกู่ ารเชื่อมโยงเข้าในประเดน็ ถัดไป ขนั้ ตอนท่ี ๔ เขา้ สบู่ ทเรยี นในประเด็นหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง โดยบรรยายเก่ียวกับ แนวคิด ที่มา และผลกระทบจากระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและสังคมนิยมก่อน เนื่องจากเป็นปรัชญาเบ้ืองหลัง ของการก่อเกดิ และเป็นแรงผลักดนั ของการสถาปนาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นมรรควิธี และวิธีการ ในการดาเนนิ ชวี ติ ใหม่ของมวลมนุษยชาติ เพอ่ื ใหเ้ หน็ ความหมายของทฤษฎหี ลักของโลก ๒ ทฤษฎี ที่ต่อสู้กันมา และเศรษฐกจิ พอเพยี งเป็นปรชั ญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั รชั กาลที่ ๙ ดังนี้ ๑) ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม (Capitalism) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ระบบเศรษฐกิจแบบ เสรีนิยม มีเสรีภาพในการตัดสินใจว่า จะผลิตอะไร (What) ผลิต (How) ผลิตเพื่อใคร (Who) สามารถเลือกใช้ ทรัพย์สินทาการผลิตในส่ิงท่ีตนถนัด และเห็นว่าจะนาผลกาไรมาให้มากที่สุด รัฐบาลไม่มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือถา้ มีก็นอ้ ยมาก โดยผวู้ างรากฐานคือ อดัม สมิธ บิดาของระบบทุนนิยมเม่ือสามร้อยกว่าปีก่อน ซ่ึงระบบทุนนิยม ได้เตบิ โตมากในโลกภายใต้แนวคิดน้ี แต่น้าหนักเกือบทั้งหมดไปอยู่ที่การสร้างความม่ังคั่งหรือ Growth โดยลืม เรอ่ื งความเห็นอกเห็นใจ หรอื compassion เนน้ แต่การสร้างการเติบโต สร้างกาไร ทาให้ระบบทุนนิยมท่ีผ่านมา จงึ มปี ัญหามาก ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติเศรษฐกิจ ปัญหาความเหล่ือมล้า ความขัดแย้งทางการเมืองที่มีเหตุมาจากผลผลิต ของระบบทุนนิยม หรือแม้แต่สงครามท่ีสะท้อนการแย่งชิงทรัพยากร พูดได้ว่า ระบบทุนนิยมที่เน้นการเติบโต ไดส้ รา้ งปญั หาให้กบั เศรษฐกจิ โลกมาตลอด ไมว่ า่ จะเปน็ การทาลายป่า เพื่อเอาป่ามาแปลงเป็นเงิน สร้างความมั่งค่ัง ทาลายดนิ ด้วยการใสส่ ารเคมีลงดินเพื่อให้ได้ผลผลิตมากท่ีสุด มนุษย์ทาลายน้า โดยเฉพาะอย่างย่ิงจากโรงงาน ด้วยการปล่อยน้าเสียลงน้า มีอากาศที่เป็นพิษ ตัวอย่างเช่น โรงงานที่จังหวัดระยอง ท่ีปล่อยควัน สร้างมลพิษ ทางอากาศ ซึ่งพบไปทั่วทง้ั โลก เกดิ การล้างผลาญพลังงาน ล้างผลาญธรรมชาติด้วยว่ามนุษย์เดี๋ยวนี้เอาเงินเป็นสรณะ และสิ่งท่ีเกิดข้ึนตามมาคือ มนุษย์เอาเปรียบกันเอง ผูกขาดทั้งโลก ตัวอย่างเช่น คนที่รวยท่ีสุดในโลก ๓ อันดับ มีทรัพย์สินเท่ากับคนยากจนคร่ึงโลก อีกท้ังเกิดการโกงกินและทุจริต ส่งผลให้คนเกิดการเปล่ียนแปลงทางคิด และความรู้ เช่น คนไม่กตัญญูรู้คุณอย่างในสังคมตะวันตกท่ีลูกหลานไม่ดูแลพ่อแม่ครอบครัว เพราะด้วยระบบ การจัดเก็บภาษีที่รัฐเรียกเก็บสูง เพราะต้องนามาเป็นสวัสดิการให้กับคนสูงอายุ และในปัจจุบันสังคมไทยเร่ิมมี ค่านยิ มและแนวคิดดังกลา่ ว เชน่ เรียกร้องให้ยกเลกิ พธิ ไี หวค้ รู การกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ ซึ่งเป็นการเปล่ียนแปลง วถิ ีวัฒนธรรมอันดีของสงั คมไทย ประเทศไทยการพัฒนาเศรษฐกิจจากเดิมสู่การเป็นระทุนนิยมโดยเริ่มจาก แผนพัฒนา เศรษฐกจิ แหง่ ชาติ ฉบบั ที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๐๔ ในสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีแผนนี้ได้มี การจ้างผูเ้ ชีย่ วชาญชาวตา่ งชาติมาเขียนแผน ด้วยแนวคิดแบบระบบทุนนิยม ซ่ึงจะมีคาขวัญที่เราคุ้นหูมาจนถึง ปัจจุบันน้ี คือ “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” ซ่ึงก่อนจะมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ สังคมไทยอยู่กันแบบพอเพียง เป็นสังคมแห่งการแบ่งปัน อยู่กันแบบเครือญาติ ส่งผลเกิดการเปลี่ยนแปลง ทางความคดิ ในการใช้ชีวิต คือ คนเร่ิมมีแนวคิด “มีเงินมากก็มีความสุขมาก มีเงินน้อยก็สุขน้อย” และมีภาพสะท้อน
๒๘ การทางานของหน่วยงานรฐั ที่มผี ลกับประชาชน เช่น ในสมัยก่อนชาวนาไม่ได้ต้องการเงินกู้เพราะชาวนาพ่ึงตนเองได้ กล่าวคือ สมัยก่อนทานา ไม่จาเป็นต้องซ้ือปุ๋ย ใช้มูลสัตว์บารุงดินก็เพียงพอแล้ว ไถนาก็พึ่งพาวัวควาย และวิทยากร ไดก้ ล่าวถึงการทางานของตน ในครงั้ เมื่อทางาน ธกส. ท่ีต้องไปหาลูกค้ามากู้เงิน เกิดหน้ีสินครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหา ยาวนานมาจนถงึ ปจั จุบนั สาเหตุจากนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจ จูงใจประชาชนด้วย “เงิน” อีกทั้งในแผนพัฒนา เศรษฐกิจฯ ฉบับที่ ๓ เน้นการผลิตและทาเกษตรเชิงเดี่ยว “ปลูกอย่างเดียว รวยแน่นอน” ชาวบ้านเริ่มปลูก ข้าวโพด ปลูกมัน ปลูกอ้อย และถ้าอยากผลผลิตเยอะเพ่ือท่ีได้กาไรเยอะให้ใส่ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงรับส่ังระบบเศรษฐกิจแบบนี้ว่า “เศรษฐกิจคนตาโต” คนอยากมี อยากได้ โดยไมส่ นใจสงิ่ แวดล้อมและคนอื่น ขอแคต่ นมั่งคัง่ รา่ รวยพอ ซงึ่ เป็นปญั หาอยา่ งย่ิง ๒) ระบบเศรษฐกจิ สงั คมนิยม (Socialism) โดยผูว้ างรากฐานแนวคดิ คอื คารล์ มาร์กซ์ เมื่อร้อยกว่าปีก่อน รัฐเข้าควบคุมและโอนกิจการธนาคารท้ังหมดมาเป็นของรัฐ การดาเนินกิจกรรมขนาดใหญ่ จะถูกควบคุมโดยรัฐ เช่น กิจการสาธารณูปโภค อาทิ ไฟฟ้า ประปา รถไฟ โทรศัพท์ และโทรคมนาคม รวมถึง อุตสาหกรรมหนกั ตา่ ง ๆ เช่น อุตสาหกรรมป่าไม้ เหมืองแร่ อุตสาหกรรมน้ามันและพลังงาน กล่าวได้อย่างง่าย ว่า รัฐยึดทรัพยส์ ิน ยึดกจิ การ ไม่เอาความเจริญ และรัฐเป็นผกู้ ระจายรายได้ จะเห็นได้แนวคิดของสังคมนิยมถูก คดิ ข้นึ เพอื่ ตอ่ ต้านแนวคิดแบบทุนนิยม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงรับสั่งระบบเศรษฐกิจ แบบนว้ี ่า “เศรษฐกจิ พวกคนหลงั เขา” ซ่ึงจากที่กล่าวถึงระบบเศรษฐกิจทั้ง ๒ ระบบ จะเห็นได้ว่าเป็นระบบท่ีสุดโต่ง และไมต่ อบสนองการอยู่อยู่ร่วมกันแบบพึ่งพากันของดิน น้า ป่า คน และในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ประเทศไทยอยู่ภายใต้ อิทธิพลของสหรัฐอเมริกา ซึ่งคนไทยอยู่ท่ามกลางท้ังทุนนิยมและสังคมนิยม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ จึงได้พระราชทานช้ีแนะ แนวทางการดาเนินชีวิต และปฏิบัติตนให้แก่ประชาชนทุกระดับทุกสาขา วิชาชีพมาโดยตลอด พระองค์ทรงห่วงใยต่อสถานการณ์และปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้น และส่งผลกระทบต่อ การดารงชีวิตอยู่ของคนไทย และสังคมไทยในยุคโลกาภิวัตน์ จนกระท่ังเข้าสู่ห้วงเวลาที่ประเทศประสบวิกฤตการณ์ ทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และภายหลังจากปัญหาวิกฤต พระองค์พระราชทานแนวทางแก้ไขปัญหา เพ่ือให้ รอดพ้นและสามารถดารงอยู่ได้ภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทรงเตือนทุกฝ่ายให้รู้จักคาว่า \"พอเพียง\" อย่าทาอะไรเกินตัว ทาอะไรต้องควรรอบครอบ ไม่ประมาท ดารงชีวิตอย่างสมถะและสามัคคี ซึ่งจะนาพา ตนเองและประเทศชาติให้รอดพ้นภาวะวิกฤตต่าง ๆ และนาไปสู่ความสุขได้ “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญา แนวคิดท่ตี ง้ั อยู่บนพืน้ ฐานของวิถไี ทยท้งั ในดา้ นการพฒั นาและการบรหิ ารใหด้ าเนิน ไปบน “ทางสายกลาง” ๓) ระบบเศรษฐกจิ ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นระบบเศรษฐกิจที่มุ่งต่อ ศักยภาพของประเทศที่มีความสมดุลเป็นพื้นฐาน โดยให้ความสาคัญกับการผลิตเพ่ืออุปโภค บริโภค สารอง และแบ่งปัน หลังจากน้ันจึงผลิตเพ่ือการค้า ซึ่งประกอบด้วย ๓ คุณลักษณะท่ีเป็นห่วงสอดร้อยประสานกัน เพ่ือนาไปสู่การปฏิบัติ ได้แก่ ความพอประมาณ (ความพอดี ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียน ตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ) ความมีเหตุผล (การตัดสินใจเก่ียวกับ
๒๙ ระดับของความพอเพียงน้ัน จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจน คานึงถงึ ผลทค่ี าดว่าจะเกิดขน้ึ จากการกระทานั้น อย่างรอบคอบ) ภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว (การเตรียมตัวให้พร้อมรับ ผลกระทบและการเปล่ียนแปลงด้านการต่าง ๆ ท่ีจะเกิดขึ้นโดยคานึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีคาดว่าจะเกิดข้ึนในอนาคตท้ังใกล้และไกล) อีกท้ัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๙ ประกาศในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ พระองค์ทรงรับสั่งว่า “เศรษฐกิจพอเพียงเปรียบเสมือนบ้าน บ้านจะแข็งแรงได้ มั่นคงได้ต้องมี เสาเข็มที่แข็งแรง พึ่งตนเองเป็นพื้นฐาน” และจากพระราชดารัส ด้วยมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ นาโดยนายวิวัฒน์ ศลั ยกาธร จึงแปลสารจากพระองค์สู่การปฏิบัติ ให้คนเข้าถึงได้ง่าย เป็น “ทฤษฎีบันได ๙ ขั้นสู่ความพอเพียง” เป็นแนวทางท่ใี ชล้ าดบั ข้นั เพือ่ เดินตามไปทลี ะขัน้ คอ่ ย ๆ ก้าวไปแบบยั้งยืนและมั่นคง ซ่ึงหากใครทาตามได้ รับรอง วา่ ไม่มีจนแน่นอน โดยแตล่ ะขัน้ จะมี ดังน้ี บันไดขั้นที่ ๑-๔ คือ เศรษฐกิจพอเพียงข้ันพ้ืนฐาน คือ ความต้องการปัจจัย ๔ และประการสาคญั ท่สี ดุ ของปัจจัย ๔ คือ อาหาร ข้นั ที่ ๑ ของแนวทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืนคือ ตอบคาถามให้ได้ว่า “ทาอย่างไรจึงจะพอกิน” โดยให้ความสาคัญกับ ข้าวปลาอาหาร ไม่ให้ความสาคัญกับเงิน ซึ่งเป็นเพียงแค่ “ตัวกลาง” ในการแลกเปลี่ยนตามมาตรฐานสากล โดยยึดหลักว่า “เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาสิของจริง” เกษตรกรต้องเริ่มจากการอยู่ให้ได้โดยไม่ใช้เงิน มีอาหารพอมี พอกิน ด้วยการปลูกพืชผัก ผลไม้ ให้พอกิน ชาวนาต้องเก็บข้าวไว้ให้เพียงพอสาหรับการมีกินท้ังปี ไม่ขายข้าวเปลือกเพ่ือนาเงินไปซ้ือข้าวสารนอกจากน้ัน หัวใจสาคญั ของ “พอกนิ ” ยงั มคี วามหมายรวมไปถึงความปลอดภัยในอาหารกินอย่างไรให้มีสุขภาพดี ไม่สะสม เอาความเจ็บไข้ได้ปว่ ยไวใ้ นรา่ งกาย น่คี อื ความหมายของบนั ไดข้ันท่ี ๑ ที่เกษตรกรต้องก้าวข้ามให้ได้ และบันได ข้ันท่ี ๒-๔ พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น เกิดข้ึนได้พร้อมกัน ด้วยคาตอบเดียวคือ “ปลูกป่า ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง” ซง่ึ ปา่ ๓ อย่างจะให้ท้งั อาหาร เคร่อื งนงุ่ หม่ สมุนไพรสาหรบั รกั ษาโรค ท้งั โรคคน โรคพืช โรคสัตว์ ให้ไม้สาหรับ ทาบา้ นพกั ทีอ่ ยูอ่ าศยั และใหค้ วามรม่ เยน็ กับบา้ น กับชุมชน กบั โลกใบน้ี ซ่งึ เปน็ แนวทางในการแก้ปญั หาความยากจน ของเกษตรกรไทย ซ่ึงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถแก้ปัญหาได้จริงและยังสามารถย้อนกลับไปแก้ไข ปัญหาหน้ีสิน ซ่ึงสะสมพอกพูนจากการท า เกษตรเชิงเดยี่ ว ปัญหาความเส่ือมโทรมของทรพั ยากร ปัญหาความขาดแคลนน้า ภัยแล้ง ทงั้ หมดล้วนแกไ้ ขไดจ้ ากแนวคดิ ปา่ ๓ อยา่ งประโยชน์ ๔ อยา่ ง บันไดขัน้ ท่ี ๕-๙ คือ เศรษฐกจิ พอเพยี งขั้นก้าวหนา้ ข้นั ท่ี ๕-๖ บญุ และทาน เครอื ขา่ ยเศรษฐกจิ พอเพียง เชื่อม่ันว่าสังคมไทยเป็นสังคมบุญ สงั คมทาน ไม่เน้นการแลกเปลี่ยนทางการค้า แต่เน้นการทาบุญ ไม่เน้นการสะสมเป็นของส่วนตัว แต่เน้นการให้ทาน และสะสมโดยมอบใหเ้ ป็นทรพั ยส์ นิ ส่วนรวมโดยวัด หรือศาสนสถานตามแต่ละศาสนาเป็นศูนย์กลางเป็นการฝึกจิตใจ ให้ละซึ่งความโลภ และกิเลสในการอยากได้ ใคร่มี ลดปัญหาช่องว่างระหว่างชนช้ัน ตามความหมายอันลึกซ้ึง ของประโยคที่ว่า “ย่ิงทาย่ิงได้ ย่ิงให้ย่ิงมี” การให้ไปคือได้มา และเช่ือมั่นในฤทธิ์ของทาน ว่าทานมีฤทธ์ิจริง และจะส่งผลกลบั มาเป็นเพอ่ื น เปน็ กลั ยาณมติ ร เป็นเครอื ขา่ ยทชี่ ว่ ยเหลือกันในทุกสถานการณ์ แม้ในวันที่โลกน้ี ประสบกบั วกิ ฤตการณ์
๓๐ ข้ันที่ ๗ เก็บรักษา ขั้นต่อไปหลังจากสามารถพ่ึงตนเองได้ พอมี พอเหลือทาบุญ ทาทานแลว้ คือ การรู้จักเก็บรักษา ซึ่งเป็นการต้ังอยู่ในความไม่ประมาท และการรู้จักเก็บรักษา ยังเป็นการสร้าง รากฐานของการเอาตัวรอดในเวลาเกิดวกิ ฤตการณ์ โดยยึดแนวทางตามวถิ ชี ีวิตชาวนาสมัยก่อนซึ่งเก็บรักษาข้าว ไวใ้ นยงุ้ ฉาง เพอ่ื ให้พอมีกนิ ขา้ มปี คดั เลอื กและเกบ็ รกั ษา “ขา้ วพันธุ์” ไวส้ าหรบั เป็นพันธุ์ข้าวในปีต่อไปซึ่งผิดกับ วิถีชาวนาในปัจจุบันที่ใช้วิธีการขายข้าวท้ังหมด แล้วนาเงินที่ขายได้ไปซ้ือพันธ์ุข้าวเพ่ือปลูกในปีต่อไปส่งผลให้ เกิดการขาดความมั่นคงและเปรียบเสมือนการใช้ชีวิตอยู่บนเส้นทางสายความประมาท เพราะหากเกิดภัยแล้ง น้าทว่ ม ผลผลติ ไมไ่ ดต้ ามที่ต้ังใจไว้ ย่อมหมายถงึ ปัญหาหนสี้ นิ และการขาดแคลนพันธุ์ข้าวสาหรับปลูกในปีต่อไป นอกจากเกบ็ พนั ธข์ุ า้ วแล้ว ยงั เน้นให้รู้จักวิธีการถนอมอาหาร การสะสม อาหาร ไว้กินในยามหน้าแล้ง ด้วยการ แปรรปู อาหารหลากชนดิ อาทิ ปลารา้ ปลาแห้ง มะขามเปยี ก พรกิ แหง้ หอมกระเทยี ม เพอ่ื เกบ็ ไว้กนิ ในอนาคต ข้นั ท่ี ๘ ขาย เน่ืองจากเศรษฐกจิ พอเพยี ง ไม่ใช่เศรษฐกิจการค้า แต่ก็ไม่ใช่เศรษฐกิจ หลังเขาการค้าขายสามารถทาได้ แต่ทาภายใต้การรู้จักตนเอง รู้จักพอประมาณ และทาไปตามลาดับ โดยของท่ีขาย คือ ของที่เหลือจากทุกข้ันแล้วจึงนามาขาย เช่น ทานาอินทรีย์ ปลูกข้าวปลอดสารเคมี ไม่ทาลายธรรมชาติ ได้ผลผลิตเก็บไว้พอกนิ เกบ็ ไวท้ าพนั ธ์ุ ทาบญุ ทาทาน แลว้ จึงนามาขายด้วยความรู้สึกของการ “ให้” อยากที่จะ ใหส้ ่งิ ดี ๆ ที่เราปลกู เอง เผื่อแผ่ให้กบั คนอน่ื ๆ ได้รับส่ิงดี ๆ น้ัน ๆ ด้วยการค้าขายตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นการค้าท่ีมองกลับด้าน “เพราะรักคุณจึงอยากให้คุณได้รับในส่ิงดี ๆ” พอเพียงเพ่ืออุ้มชู เผ่ือแผ่ แบ่งปัน ไปด้วยกัน ข้นั ที่ ๙ เครือข่ายกองกาลังเกษตรโยธนิ คือการสร้างกองกาลังเกษตรโยธิน หรือการสร้าง เครือข่ายเชื่อมโยงท้ังประเทศ เพ่ือขยายผลความสาเร็จตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง สู่การปฏิวัติแนวคิด และวิถีการดาเนินชีวิตของคนในสังคม ในชุมชน เพื่อการแก้ปัญหาวิกฤต ๔ ประการ อันได้แก่ วิกฤตการณ์ ส่ิงแวดล้อม ภัยธรรมชาติ วิกฤตการณ์โรคระบาดทั้งในคน สัตว์ พืช วิกฤตเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพงวิกฤต ความขัดแย้งทางสังคม ซ่งึ เครือขา่ ยกสกิ รรมธรรมชาติ มลู นิธกิ สกิ รรมธรรมชาติ ได้น้อมนาศาสตร์พระราชามาสู่ การปฏิบัติในระยะเวลากว่า ๓๐ ปีที่ผ่านจนได้ผลจริงในการปฏิบัติเพ่ือแก้ไขปัญหาท้ังด้านดิน น้า ป่า และคน จนพัฒนาเป็นหลักการ แนวปฏิบัติตามศาสตร์พระราชา อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เรียกว่า “ทฤษฎีบันได ๙ ขั้นสู่ ความพอเพียง ม่ังคั่ง ยง่ั ยนื ” ข้ันตอนที่ ๕ วิทยากรนาเข้าสู่ประเด็น “หลักกสิกรรมธรรมชาติ” ด้วยการถามว่า “เกษตรกรรม กับกสิกรรม ต่างกันอย่างไร” ซ่ึงคาว่า กสิกรรม มาจากคาบาลีว่า กสิกมฺม (อ่านว่า กะ-สิ-กัม-มะ) ซึ่งหมายถึง การเพาะปลูก การไถ ความเป็นอังหน่ึงอันเดียวกันกับธรรมชาติ และในส่วนคาว่า เกษตรกรรม หมายถึงการกระทา คาว่า เกษตรกรรม ใช้ตรงกับคาภาษาองั กฤษวา่ agriculture จากความหมายของฝร่ัง แปลว่า “รวย” เป็นการใช้ ประโยชน์จากทดี่ นิ เช่นการเพาะปลกู พืชตา่ ง ๆ การปา่ ไม้ รวมทัง้ การเลี้ยงสัตว์ และการประมง เพ่ือผลผลติ หัวใจของหลักกสกิ รรมธรรมชาติ คอื “เลยี้ งดนิ ให้ดินเลี้ยงพืช” เราไม่เผา ไม่ทาลายหน้าดิน ไมป่ อกเปลือกเปลือยดิน แต่นาเศษไม้ ใบหญ้า เศษฟาง มาห่มดินไว้และรดด้วยน้าปุ๋ยน้าหมักแห้งชาม น้าชาม แล้วปล่อยใหจ้ ุลินทรียท์ าหนา้ ท่ีของมนั นั่นคนื หลกั การคืนชวี ิตให้แผน่ ดนิ เพราะดินมันตายแล้วดินตายหมายถึง
๓๑ ในดินไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลือ ไม่มีจุลินทรีย์ ไม่มีไส้เดือน ไม่มีแมลงเล็ก ๆ เพราะการใช้สารเคมีใช้ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้าจนดินตายหมดส้นิ เราจึงต้อง “คืนชีวิตให้แผ่น” จากหลักกสิกรรมธรรมชาติเล็ก ๆ “เลี้ยงดิน ให้ดิน เล้ยี งพืช” จงึ สามารถสร้างแหล่งอาหารเลี้ยงผู้คน และสร้างแหล่งพักพิงด้วยใจคนท่ีเต็มไปด้วยเมตตาและการให้ เป็นแก่นของปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงทเี่ ชื่อว่า Our Loss is Our Gain ยิ่งให้ไปยิ่งได้มา เป็นแหล่งพักใจท่ามกลาง ความแล้ง ร้อน โลภ ของสงั คมทมี่ ุ่งแขง่ ขนั อย่างทกุ วันนี้ ข้นั ตอนที่ ๖ กจิ กรรมสาธิตการทาของใช้เพอื่ การพ่ึงตนเองโดยเจา้ หน้าที่จากศูนย์ภูมริ ักษธ์ รรมชาติ
๓๒ บทที่ ๕ กำรขบั เคลอ่ื นเขตพัฒนำเศรษฐกิจพอเพยี งในบรบิ ทของกำรรว่ มทนุ ๓ ภำคี ภำครฐั ภำคประชำชน และภำคเอกชน โดย นำยชยดิฐ หุตำนวุ ัชร์ สถานการณ์การเปล่ียนแปลงของโลก (Global Transformation and Disruption) ที่เทคโนโลยี จะเปลยี่ นแปลงทุกอย่างในโลก โดยอธิบายการเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี ตั้งแต่ยุค ๑.๐ ยุค ๒.๐ ยุค ๓.๐ ยุค ๔.๐ และ ยคุ ๕.๐ และการแพร่ระบาดของเช้ือไวรัส ท่ีเข้ามา Disruptive และจากสถานโลกปัจจุบันประเทศที่เป็น มหาอานาจ ไดแ้ ก่ ประเทศในทวีปยุโรป ทีวปี อเมริกา และทวีปเอเชีย ที่จะเข้ามาเปล่ียนแปลงโลก ทาให้เกิดสงคราม แห่งการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยี (Seven Global War) ได้แก่ 1) Culture 2) Trade 3) Technology 4) Data 5) Currency 6) Weapon 7) Pandemic จากสงครามเหล่าน้ี จะส่งผลให้เกิดสภาวะที่โลกกาลังเป็นหนี้สิน หรือท่เี รียกว่า “Global Debt” ส่งผลกระทบต่อการดาเนินวิถีชีวิตของมนุษย์ เช่น มีความสุขน้อยลง เบ่ือหน่าย กับการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันมากขึ้น (Global Humans Disruption) จากสถานการณ์ดังกล่าว ทาให้เห็นถึง ความไม่แน่นอนของโลกและความเหลื่อมล้าของสังคม ทางออกที่จะช่วยแก้ปัญหาในเร่ืองน้ีได้ คือ การทาให้ ความเจริญกระจายสู่ภูมิภาค De-urbanization ด้วยการพฒั นาเขตเศรษฐกิจพอเพียง (SEDz) โดยการใช้กลไก การร่วมทนุ ทง้ั ๓ ภาคี ได้แก่ ภาครฐั ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการพัฒนาเพอ่ื ให้เกิดการเปล่ยี นแปลงร่วมกัน จากท่กี ล่าวมาข้างตน้ ทาใหเ้ ห็นว่า โลกเปลี่ยนแปลง ประเทศเปลี่ยนแปลง ธรุ กิจเปลี่ยนแปลงและนักธุรกิจ ในปัจจบุ ันจาเปน็ ต้องปรบั ตัวและเปล่ียนแปลงมุมมองทางธุรกจิ จากท่แี สวงหาแต่กาไรอย่างเดียว ก็เร่ิมนากาไร ส่วนหน่ึงไปดูแลสังคมสิ่งแวดล้อม จึงเกิดเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ (New Business Model) เช่น “ESB” Eco Social Business โดยคานึงถึงโลก มนุษย์ และผลกาไร ตามลาดับ และจะต้องคิดมากกว่าหน่ึง (Beyond 1 Bottom Line) ต้องเลยี้ งตนได้ ธรุ กิจดมี ี Balance ใหส้ มดุล และมปี ัจจัยแหง่ ความสาเรจ็ ได้แก่ การมี Hard Skill และ Soft Skill ทีด่ ี จากประเทศมหาอานาจของโลกในทวีปยุโรป ทีวีปอเมริกา และทวีปเอเชีย จะเห็นการแข่งขันทางการค้า ของประเทศเหล่านีม้ สี ถานะการแข่งขันทีเ่ ท่าเทยี มกนั โดยดจู าก Market Share และ Online Marketing เช่น การทาเศรษฐกิจแบบสร้างสรรค์ (Creative Economy) จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม จากการเปล่ียนแปลงดังกล่าวจึงสอดคล้องกับคาว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ดังน้ัน โลกในปัจจุบัน จาเปน็ ตอ้ งมีการเปล่ียนแปลง และเราเองมีมุมมองหรือมีความคิดอย่างไร เพื่อรองรับสถานการณ์การเปล่ียนแปลง โดยเปล่ยี นจาก Globalization เปน็ Localization เราตอ้ งกระจายความเจริญลงสชู่ ุมชน เพอ่ื สร้างความยงั่ ยืน ให้เกิดขน้ึ ในสังคม ด้วยการใช้ “หลัก 3 R” ไดแ้ ก่ Reform Rethink และ Reset ในฐานะคนมหาดไทย เราจะตั้งรบั กบั การเปลี่ยนแปลงนรี้ ่วมกันด้วยการทาส่ิงดีงาม เพ่ือสังคมและส่ิงแวดล้อม โดยเป็นการทางานท่ีไม่มุ่งความสาเร็จแต่ควรมองระหว่างไปด้วย (Journey and Destination) ไปด้วย ซึ่งต้องปรับ มุมมองจากส่ิงทคี่ ดิ วา่ ยาก ใหเ้ ปน็ ความเรยี บง่าย งานที่ทากจ็ ะสาเร็จ คนมีความสุข นาไปสู่ความย่ังยืนได้ โดยมี สูตรการบริหารจัดการ ดังน้ี โดยให้ความสาคัญกับตนเอง (Self) ร้อยละ ๕๐ สังคม (Social) ร้อยละ ๒๕
๓๓ และการทางาน (Work) ร้อยละ ๒๕ ดังน้ัน คนมหาดไทยต้องมีลักษณะ “เก่งตน เก่งคน เก่งงาน” คิดใหญ่ ทาเล็ก ทาสาเรจ็ จงึ ขยายผล และการทางานเป็นทมี กม็ สี ่วนสาคัญ ปัจจุบันธุรกิจมีการกลายพันธ์ เราจึงควรปรับตัวในการทาธุรกิจด้วยโมเดล 8M ได้แก่ Manpower Money Machine Method Marketing Material Management และ Morale โดยทาให้ดีทาให้แข็งแรง ไมเ่ อาเปรยี บชาวบา้ น พลงั ของการรวมตัวรวมกลุม่ น้ันมีความสาคญั และผนู้ าก็มีความสาคัญเช่นเดียวกัน และผู้นาก็เปรียบ ได้กับข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยเปลี่ยนจากผู้ชี้นาหรือผู้สั่งการ (Dictator) มาเป็นผู้เอื้ออานวย (Facilitator) เปลย่ี นการประชมุ แบบทางการมาเป็นการสนทนาแบบไม่เป็นทางการมากนัก Meeting เป็น Dialogue และผู้นาก็ควรมีทกั ษะการฟงั ที่ดี โดยฟงั อยา่ งตัง้ ใจและเข้าใจ จากสถานการณ์ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทาให้เราตกอยู่ในยุคแห่งความไม่รู้ เพราะฉะน้ัน จงเรยี นรู้ และทาปัจจุบนั ใหด้ ที ี่สดุ หากพูดถึงคาว่า “ทาส” ในยุคสมัยน้ี ก็คือคนท่ีเป็นหนี้สิน เราจึงควรน้อมนา หลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาประยกุ ตใ์ ช้ในวิถชี วี ิต โดยปรับใช้ให้เหมาะสมกับ 5 ธุรกิจท่ีน่าสนใจที่เป็น เทรนด์ของโลกในปัจจุบัน ได้แก่ Fintech Foodtech Healthtech Foresttech และ Envirornmenttech ตวั อยา่ งที่ทาไดง้ า่ ย เชน่ การปลกู ตน้ ไมเ้ ศรษฐกิจไว้เป็นหลกั ประกัน รวมถึงวางแผนจาเป็นใช้การสังเคราะห์กระบวนงาน ทั้งระบบ ทาอะไรก็ต้องมีกลยุทธ์ท่ีเปรียบเสมือนการเล่นสนุกเกอร์ หากเล่นโดยไม่มีกลยุทธ์ก็จะเปรียบเสมือน “ไก่บิน” หากมีแผนก็เปรียบเสมอื น “อินทรยี ์” (Gliding Eagle) ซ่งึ การมีต้นทนุ เครอื ขา่ ย และความเชื่อม่ันน้ัน สาคญั มากในการทางานปจั จบุ นั ในฐานะผู้นาท่อี ยใู่ นยุคของการเปลยี่ นแปลง จาเปน็ ตอ้ งลงพ้ืนที่ศึกษาบรบิ ทชุมชน เน้นการพูดคุยแลกเปลี่ยน มีการทาพิมพ์เขียว (Blueprint) มีการส่ือสารกับคน องค์กร ชุมชน ด้วยสุนทรียสนทนา (Meeting Dialogue) คานงึ ถึงผู้ไดร้ บั ผลประโยชนท์ ีเ่ ป็นคนในชุมชน ผ้นู าจาเป็นตอ้ งมี Mindset ทอี่ ยากจะทาดใี หส้ งั คม ทัง้ นี้ ในบริบทการทางานของภาครฐั ควรคานงึ ถงึ การเลือก Segment หรือกลุ่มเปา้ หมายในการดาเนินงาน โครงการหรือกจิ กรรมตา่ ง ๆ เพื่อให้เกดิ ผลสาเร็จมากทส่ี ุด เช่นเดียวกนั กับการลงทนุ ในภาคธรุ กจิ ทกี่ ระแสในปัจจุบัน ปรับเปล่ียนมาเป็นการลงทุนเพื่อทาให้สังคม และส่ิงแวดล้อมดีขึ้น มีการเน้นในเร่ืองที่เก่ียวกับความรู้สึก ความหลากหลาย และการรซู้ งึ้ ซ่งึ มันจะเปน็ ตวั ที่นาไปสู่ความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่จะนามาซึ่งความเชื่อใจ (Trust Respect) ท่ีจะดาเนินงานโครงการและกิจกรรมร่วมกนั สุดท้ายการจะทางานร่วมกันเราควรคบหากับคนที่ดี เพราะเชื่อว่าความโชคดีจะมาจากพลังงานที่ดี จะส่งผลให้เรามีพละกาลังในการทางานร่วมกัน หม่ันทาบุญและอธิษฐานจิต ผู้บริหารยุคใหม่จาเป็นต้องสร้าง ความสมดุลในทกุ มติ ิของการทางานให้ดี และวทิ ยากรเปิดโอกาสใหผ้ ู้เข้ารับการฝกึ อบรมซกั ถาม
๓๔ จดั เก็บประเด็นเนอ้ื หำกำรบรรยำย ด้วยเครื่องมอื Mind map
๓๕
๓๖
๓๗ บทที่ ๖ ปรัชญำเศรษฐกจิ พอเพียงสู่เป้ำหมำยกำรพัฒนำท่ีย่ังยนื (SEP to SDGs) โดย อำจำรย์คณิต ธนธู รรมเจรญิ ข้ำรำชกำรบำนำญ ข้ำรำชกำรพลเรอื นในสงั กดั สำนกั พระรำชวงั เป้าหมายการพัฒนาอย่างย่ังยืน ๑๗ เป้าหมาย ขององค์การสหประชาชาติ (UN) และความท้าทาย ของสงั คมในการพฒั นาบนฐานทรพั ยากรธรรมชาติ (Nature-based Solution) การพัฒนาที่ย่ังยืน คือ การพัฒนาที่สนองความต้องการของปัจจุบัน โดยไม่ทาให้ประชากรรุ่นต่อไป ในอนาคต ต้องประนีประนอมยอมลดความสามารถของเขาในการที่จะสนองความต้องการของเขาเอง ” (Commission on Environment and Development ในรายงาน Our Common Future ปี พ.ศ. ๒๕๓๐) ๑. ควำมเป็นมำของเป้ำหมำยกำรพัฒนำท่ยี ่งั ยืน การพัฒนาแบบทันสมัยเพ่ือเร่งรัดพัฒนาประเทศด้อยพัฒนา และประเทศกาลังพัฒนา ก่อใหเ้ กิดสภาพปญั หาและความไม่สมดุลของดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ ความยากจน ความเหลื่อมล้า การร่อยหรอทรัพยากร และปัญหาโลกร้อน จงึ นาไปสู่แนวคิดจดุ มุง่ หมายของการพัฒนาเพอ่ื การอนุรกั ษส์ ภาพแวดล้อมและแก้ไขปัญหา ความยากจน ในการประชุมกรุงสตอกโฮม สวีเดน ๑๙๗๒ โดยมีการจัดทารายงาน เร่ือง “อนาคตของเรา: Our Common Future” หรือ Word Commission on Environment and Development ในรายงาน Our Common Future 1987 หรือ Brundtland Report และกาหนดนิยาม การพัฒนาที่ย่ังยืนขึ้น ต่อมาในปี ๑๙๙๒
๓๘ UN Summit หรือ Rio Conference ทาปฏิญญา “สภาพแวดล้อมและการพัฒนา” โดยมีหลักการ Agenda 21 เกี่ยวกับการพัฒนาท่ยี ่ังยนื ขนึ้ ในปี ๒๐๐๐ การประชุมแห่งสหัสวรรษ (Millennium Summit) ได้กาหนดเป้าหมายการพัฒนา แห่งสหสั วรรษ จานวน ๘ เปา้ หมาย ให้บรรลุในปี ๒๐๑๕ ดังนี้ ๑) ขจัดความยากจน และความหิวโหย ๒) บรรลุ ความสาเรจ็ ในการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างถ้วนหน้า ๓) ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ และมอบอานาจแก่สตรี ๔) ลดอัตราการตายของเด็ก ๕) ส่งเสริมสุขภาพของมารดา ๖) ต่อสู้กับเช้ือเอชไอวี/โรคเอดส์ ๗) สร้างความย่ังยืน ให้กับสิ่งแวดลอ้ ม และ ๘) พัฒนาความเปน็ ห้นุ สว่ นเพื่อการพฒั นาระดับโลก จนในปี ๒๐๑๒-๒๐๑๓ จัดตั้ง Opening Working Group สร้างเป้าหมายการพัฒนาท่ีย่ังยืน และ ๒๐ กันยายน ๒๐๑๕ รบั รองเปา้ หมายการพฒั นาท่ยี ง่ั ยืน ๑๗ เปา้ หมาย Nature-based Solutions: กำรดำเนนิ งำนเพอื่ คมุ้ ครอง จัดกำรอย่ำงยง่ั ยืน และฟ้นื ฟูระบบนเิ วศ องคก์ ารระหว่างประเทศเพ่ือการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) เสนอแนวคิดการดาเนินการเพ่ือปกป้อง ฟื้นฟูระบบนิเวศตามธรรมชาติ อย่างมีประสิทธิภาพและจัดการอย่างย่ังยืน ซึ่งเป็นความท้าทายทางสังคม ในการปรับตวั ให้มีความเปน็ อยทู่ ด่ี ี และไดร้ ับประโยชนจ์ ากความหลากหลายทางชวี ภาพอย่างยั่งยืน Nature-based Solution (Nbs) เป็นการบริหาร จัดการแบบองค์รวมท่ีต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ ในธรรมชาติ ระบบนิเวศ รวมถึงความหลากหลายทาง ชวี ภาพเปน็ พนื้ ฐาน แล้วจึงค่อยพัฒนาการดูแลรักษาพ้ืนท่ี ใหส้ อดคล้องกับความเปน็ จริง โดยพจิ ารณาจาก ฐำนคิดบนระบบนเิ วศ (Eco system-base approaches) - Restoration การฟ้นื ฟูระบบนิเวศ - Issue-specific การปรับตวั ตามระบบนิเวศ - Infrastructure แนวทางเพม่ิ พื้นทีส่ เี ขียว - Protection การป้องกัน การอนุรกั ษ์ ควำมทำ้ ทำยทำงสังคม (Societal challenges) - การเปลีย่ นแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) - ความม่นั คงดา้ นอาหาร (Food security) - ความมน่ั คงทรัพยากรน้า (Water security) - มลพษิ นา้ (Water pollution) - สุขภาพ (Human health) - ภัยพบิ ัติ (Disaster risk)
๓๙ THE GLOBAL GOALS for Sustainable Development (2016-2030): กำรเปล่ียนแปลง โลกของเรำ ปี ค.ศ. ๒๐๓๐ วำระกำรพฒั นำท่ียัง่ ยนื ๑๗ เป้ำหมำย เปำ้ หมำยท่ี ๑ ยตุ คิ วามยากจนทกุ รูปแบบในทุกที่ เป้ำหมำยท่ี ๒ ยุตคิ วามหวิ โหย บรรลุความมัน่ คงทางอาหาร และยกระดับโภชนาการและส่งเสรมิ เกษตรกรรมท่ยี ่ังยืน เปำ้ หมำยที่ ๓ สรา้ งหลกั ประกนั ว่าคนมีชวี ิตทีม่ ีสุขภาพดี และสง่ เสริมสวสั ดภิ าพสาหรับทกุ คนในทกุ วัย เปำ้ หมำยท่ี ๔ สร้างหลกั ประกนั ว่าทกุ คนมกี ารศกึ ษาท่มี ีคุณภาพ อยา่ งครอบคลมุ และเทา่ เทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรยี นรู้ ตลอดชวี ิต เป้ำหมำยที่ ๕ บรรลุความเสมอภาคระหวา่ งเพศและใหอ้ านาจ ของผู้หญงิ และเด็กหญงิ ทุกคน เปำ้ หมำยท่ี ๖ สร้างหลกั ประกนั วา่ จะมีการจดั ให้มนี ้าและ สุขอนามยั สาหรบั ทุกคน และมีการบรหิ ารจัดการท่ีย่ังยืน เปำ้ หมำยท่ี ๗ สรา้ งหลักประกันว่าทุกคนเขา้ ถึงพลงั งานสมัยใหม่ ในราคาทส่ี ามารถซ้ือหาได้เชอื่ ถอื ได้ และยง่ั ยืน เป้ำหมำยที่ ๘ ส่งเสรมิ การเติบโตทางเศรษฐกจิ ท่ตี ่อเนอ่ื ง ครอบคลุมและยงั่ ยนื การจ้างงานเตม็ ทแ่ี ละมผี ลิตภาพ และการมีงานทีส่ มควรสาหรบั ทกุ คน เป้ำหมำยท่ี ๙ สรา้ งโครงสรา้ งพืน้ ฐานทีมีความทนทาน ส่งเสริม การพฒั นาอุตสาหกรรมทค่ี รอบคลุมและยง่ั ยืน และส่งเสริม
๔๐ เป้ำหมำยท่ี ๑๐ ลดความไมเ่ สมอภาคภายในและระหว่างประเทศ เป้ำหมำยที่ ๑๑ ทาใหเ้ มอื งและการตัง้ ถิ่นฐานของมนุษย์ มีความครอบคลุม ปลอดภยั มีภมู ิต้านทานและยงั่ ยนื เปำ้ หมำยท่ี ๑๒ สร้างหลกั ประกันให้มรี ปู แบบการบรโิ ภค และการผลิตทยี่ ั่งยืน เป้ำหมำยท่ี ๑๓ ปฏิบัตกิ ารอยา่ งเร่งด่วนเพื่อตอ่ สู้กบั การ เปลยี่ นแปลงสภาพภมู ิอากาศและผลกระทบที่เกิดขน้ึ เป้ำหมำยท่ี ๑๔ อนุรักษแ์ ละใชป้ ระโยชนจ์ ากมหาสมทุ ร ทะเล และทรัพยากรทางทะเลอยา่ งยงั่ ยืนเพื่อการพัฒนาที่ยัง่ ยืน เปำ้ หมำยที่ ๑๕ ปกป้อง ฟืน้ ฟู และสนับสนนุ การใช้ระบบนเิ วศ บนบกอย่างยง่ั ยนื จดั การป่าไมอ้ ยา่ งย่งั ยนื ต่อสกู้ ารกลายสภาพ เป็น ทะเลทราย หยุดการเส่ือมโทรมของที่ดนิ และฟื้นสภาพ กลับมาใหม่ และหยุดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เปำ้ หมำยท่ี ๑๖ สง่ เสรมิ สังคมท่ีสงบสุขและครอบคลมุ เพ่อื การพัฒนาทยี่ ั่งยนื ให้ทุกคนเข้าถึงความยตุ ธิ รรม และสร้าง สถาบันมีประสิทธิผล รบั ผดิ รบั ชอบ และครอบคลมุ ในทุกระดบั เปำ้ หมำยท่ี ๑๗ เสริมความเข้มแข็งใหแ้ ก่กลไกการดาเนนิ งาน และฟื้นฟูสภาพหนุ้ ส่วนความร่วมมือระดับโลกสาหรับการพัฒนา ที่ยั่งยนื
๔๑ Equitable - ยุติธรรม: การพัฒนา กอ่ ให้เกิดความเทา่ เทยี มทางด้านเศรษฐกิจ หลกั กำรสำคญั ของกำรพัฒนำที่ย่ังยืน และโอกาสของทกุ คนในสังคม Bearable - รบั ได้: สภาพแวดล้อม เกดิ สมดลุ โดยใชท้ รัพยากรอยา่ ง เหมาะสมและธรรมชาติสามารถแบกรับ ได้ ส่วนในด้านสงั คมมกี ารพัฒนาใน เชิงบวกด้านสทิ ธเิ สรีภาพและโอกาส ของเด็ก สตรีและผดู้ อ้ ยโอกาสอน่ื ๆ และเปน็ การเปลีย่ นแปลงทีช่ มุ ชน ยอมรับ Viable - ปฏิบัติได้: สามารถนาไปปฏิบัติ ได้จริง กอ่ ให้เกิดผลเชิงบวกทัง้ ต่อ เศรษฐกิจและสง่ิ แวดลอ้ ม หลักกำรสำคญั ของกำรพัฒนำท่ยี งั่ ยนื คือ การสร้างสมดุลระหว่าง ๓ มติ ิ คือ ๑) มิติการพัฒนาเศรษฐกิจท่ีย่ังยืน ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ กระจายรายได้เอื้อประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ในสังคม ใช้เทคโนโลยีสะอาด ลดปริมาณของเสีย ไม่สร้าง ผลกระทบตอ่ สิง่ แวดล้อม ๒) มิติการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน เป็น การพฒั นาคนใหม้ ีความรมู้ ีสมรรถนะ และมีผลิตภาพสูงข้ึน ส่งเสริมให้เกิดสังคมที่มีคุณภาพ เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เป็นธรรม และพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคง มีความสมานฉันท์ เอื้ออาทร ๓) มติ ิการพฒั นาส่ิงแวดลอ้ มท่ีย่ังยนื เป็น การใช้ทรพั ยากรธรรมชาติในปริมาณท่ีระบบนิเวศสามารถ ฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิมได้ ลดการปล่อยมลพิษออกสู่ ส่ิงแวดลอ้ ม มุ่งการจัดการใหเ้ กดิ ความสมดลุ เกอื้ กูล
๔๒ ๒. พระรำชดำริเกีย่ วกบั ปรัชญำของเศรษฐกจิ พอเพยี ง หลักกำร และควำมสำคัญ ควำมเปน็ มำของแนวพระรำชดำริ ปรชั ญำของเศรษฐกจิ พอเพียง ปี ๒๕๑๗ ช่วงสงครามเย็น ความขัดแย้งทางสังคม ภาวะป่ันป่วนทางเศรษฐกิจ สถานการณ์ประเทศตา่ ง ๆ กาลังยา่ แย่ ตกตา่ เพราะม่งุ พัฒนาสู่ความทันสมัย มุ่งแสวงหาอานาจ ลัทธิ จึงทาให้เกิด แนวคิดการพัฒนาเพ่ือส่วนรวมให้อยู่ดีกินดี พออยู่ พอกิน มีความสงบ โดยการพัฒนาต้องทาเป็นขั้นเป็นตอน ใหพ้ ออยู่ พอกิน แล้วคอ่ ยพัฒนาไปสู่ขน้ั ก้าวหน้า ปี ๒๕๒๒-๒๕๒๖ มีพระราชดาริให้จัดต้ัง “ศูนย์ศึกษาการพัฒนา” เพื่อศึกษารูปแบบ การพัฒนาที่เหมาะสมสอดคลอ้ งกับลกั ษณะภูมสิ งั คม สร้างองค์ความรูข้ ึ้นมา ปี ๒๕๓๕ พระราชทาน รูปแบบเกษตรทฤษฎีใหม่ การจัดการพื้นที่เกษตรกรรมให้สามารถ พ่ึงพาตัวเองได้ ภายใตค้ วามสมดลุ ของระบบการผลิต ประกอบด้วย น้า - นาข้าว - ไรส่ วน - ปศุสตั ว์ ที่อย่อู าศัย ปี ๒๕๔๐ วิกฤตเศรษฐกจิ ฟองสบ่แู ตก ทรงพระราชทานแนวพระราชดาริของเศรษฐกิจ พอเพยี ง เนน้ การพอมี พอกิน พออยู่ สามารถอยูไ่ ด้เพอื่ สร้างรากฐานทีม่ ่ันคงต่อไป ดังน้นั เศรษฐกจิ พอเพียง เปน็ แนวคิดใหม่ ไม่ใช่แนวคิดทางเศรษฐกิจเพื่อการค้าการขาย ซึ่งเรียกว่า Trade Economy แต่เป็นแนวคิดที่ทาอะไรด้วยความเป็นเหตุเป็นผล อะลุ่มอล่วย พอเพียงกับตัวเอง พอมีพอใช้ พออยู่ พอกนิ อยู่ได้ไม่เดือดรอ้ น ผลิตได้พอใช้ ถ้าผลิตได้มากกว่าท่ีต้องการก็ขาย แต่ขายไม่ห่างไกล ไมต่ อ้ งเสียคา่ ขนส่ง ทาแล้วมีความสุขและมีความสงบ เรียกว่า “Sufficiency Economy” ซึ่งสามารถนาไปปรับใช้ ในเศรษฐกิจของประเทศและของโลกได้ หลักกำรปรชั ญำของเศรษฐกิจพอเพยี ง ประกอบดว้ ย ๓ องค์ประกอบ ดงั น้ี ๑) ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีท่ีไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไมเ่ บียดเบียนตนเองและผ้อู ่นื ๒) ความมีเหตุผล หมายถึง การตดั สินใจเก่ียวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไป อย่างมีเหตผุ ล โดยพจิ ารณาจากเหตปุ จั จัยอย่างรอบคอบ ๓) ภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลง ด้านต่าง ๆ ทค่ี าดว่าจะเกดิ ขนึ้ ในอนาคต โดยมเี ง่ือนไขของการตดั สนิ ใจและดาเนินกจิ กรรมตา่ ง ๆ ใน ๒ ประการ ไดแ้ ก่ ๑) เงือ่ นไขความรู้ ประกอบดว้ ย ความรอบรู้เกีย่ วกับวชิ าการตา่ ง ๆ ท่ีเกีย่ วขอ้ งรอบด้าน ๒) เงอ่ื นไขคุณธรรม ประกอบดว้ ย มคี วามตระหนกั ในคณุ ธรรม มีความซ่ือสัตย์สุจริต และมคี วามอดทน มคี วามเพียร ใช้สติปญั ญาในการดาเนนิ ชวี ิต
๔๓ ปรชั ญำของเศรษฐกจิ พอเพยี งกบั กรอบแนวคดิ ในกำรพฒั นำ เปน็ หลกั ปรัชญา ท่ีเป็นตรรกะของความเป็นเหตุปัจจัย ความเป็นจริง ความเป็นเหตุเป็นผล ประยกุ ตใ์ ชใ้ นระดับบุคคล ชมุ ชน ประเทศ โลก ครอบคลุมทกุ มติ ิ ทั้งมิตสิ ังคม มิติสิ่งแวดล้อม และมิติเศรษฐกิจ สู่เป้าหมายการพัฒนาท่ีย่ังยืน และเป็นแนวคิดที่เป็นองค์รวม มีความเท่าทันท่ีสามารถรองรับปรับตัวได้กับ การเปลี่ยนแปลง มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมให้มีความเข้มแข็ง มีรูปแบบการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ช่วยเหลือ เกื้อกูล แบ่งปัน รู้รัก สามัคคี ดาเนินชีวิตอยู่ร่วมกับสภาพส่ิงแวดล้อมอย่างสอดคล้องเหมาะสม สมดุล มั่นคง ย่ังยืน แสดงให้เหน็ ถงึ สรรพสิ่งล้วนเชอื่ มโยงกันอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นการสร้างรากฐานของชีวิต รากฐานแผ่นดิน ใหม้ ่นั คง คือ ความพอมี พอกิน พออยู่ พอใช้ เมื่อพ้ืนฐานมั่นคงแล้ว จึงค่อยเสริมความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจ สูงขนึ้ โดยลาดบั ตอ่ ไป หากม่งุ ทุ่มเทแตส่ รา้ งความเจรญิ ยกเศรษฐกิจขึ้นอย่างรวดเร็ว กจ็ ะเกิดความไมส่ มดุล ดงั น้นั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอพยี ง จงึ เป็นหลักการทม่ี ่งุ พฒั นาคณุ ภาพคน ให้มีความรู้ มคี ุณธรรม เรียนรู้ตลอดชีวติ เป็นบุคคลที่มีศักยภาพ เข้าใจ เข้าถึงปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คิดอย่างพอเพียง พดู อย่างพอเพียง ปฏิบัติอย่างพอเพียง มีความเพียร มีความอุตสาหะ อดทน ซ่ือสัตย์ สุจริต มีเมตตาธรรม มีปัญญา พัฒนาตนใหเ้ ป็นผู้ขับเคลอื่ นการพัฒนาท่ยี ่ังยืนไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ บนหลกั คดิ แบบบูรณาการเข้ากับศาสตร์พระราชา การพัฒนาตามแนวพระราชดาริ “ภมู สิ งั คม” สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพภูมินิเวศ ภูมิวัฒนธรรม และโครงการ อนั เนอื่ งมาจากพระราชดาริ ๔,๓๕๐ โครงการ ๓. แนวทำงประยุกต์ใช้หลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียงและศำสตร์พระรำชำสู่เป้ำหมำยกำรพัฒนำ อยำ่ งยั่งยืน ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) และเป้ำหมำยกำรพัฒนำ ท่ยี ่ังยืน (SDGs) หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง (SEP) มีความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาท่ียั่งยืน (SDGs) อยา่ งกลมกลนื เพราะมีเป้าหมายปลายทางที่สอดคล้องกัน กล่าวคือ ท้ัง SEP และ SDGs ต่างมุ่งพัฒนา และสรา้ งความสมดุลในมิติสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ส่วนที่เหลื่อมกันอยู่แต่ไม่ขัดกันก็คือ SEP เน้นมิติ วฒั นธรรมดว้ ย ขณะท่ีใน SDGs มิติวัฒนธรรมแฝงอยู่ในหลายเป้าหมาย และมีส่วนของสันติภาพและความร่วมมือ เพอ่ื การพัฒนาเพ่มิ เขา้ มา
๔๔ เปำ้ หมำยของกำรพฒั นำท่ียง่ั ยืนในมิติเศรษฐกจิ มิติสงั คม และมติ ิสิง่ แวดลอ้ ม มติ เิ ศรษฐกจิ มติ ิสงั คม มติ สิ ิง่ แวดล้อม เป้าหมายท่ี ๘ การเติบโตทางเศรษฐกจิ เปา้ หมายที่ ๑ ยุติความยากจน เปา้ หมายท่ี ๖ ใหม้ ีน้า มีสุขอนามยั เปา้ หมายท่ี ๙ พัฒนาอุตสาหกรรมท่ี และมกี ารบริหารจัดการทีย่ ่งั ยนื ครอบคลุมและย่ังยนื เป้าหมายที่ ๒ ยตุ ิความหิวโหย เปา้ หมายท่ี ๑๓ ปฏิบตั กิ ารตอ่ สกู้ ับ เป้าหมายท่ี ๑๐ ลดความเสมอภาคทั้ง ภายในและระหวา่ งประเทศ ความมั่นคงอาหาร และเกษตรกรรมย่ังยืน การเปลี่ยนแปลงสภาพภมู อิ ากาศ เปา้ หมายที่ ๑๒ ให้มรี ูปแบบการบริโภค และผลกระทบท่ีเกดิ ขึ้น และการผลติ ที่ยง่ั ยืน เปา้ หมายที่ ๓ สขุ ภาพดีและมีสวสั ดิภาพ เป้าหมายท่ี ๑๔ อนุรกั ษแ์ ละใชป้ ระโยชน์ เปา้ หมายท่ี ๑๗ เสริมความแขง็ แกร่งกลไก และหนุ้ สว่ นรว่ มมือระดับโลก ทกุ คนในทุกวยั จากมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทาง ทะเลอยา่ งย่ังยืน เป้าหมายที่ ๔ การศึกษาทมี่ ีคณุ ภาพ เปา้ หมายที่ ๑๕ ปกป้อง ฟนื้ ฟู การใชน้ ิเวศ มีโอกาสเรียนรตู้ ลอดชีวิต บนบกอยา่ งยง่ั ยืน จดั การปา่ ไม้อย่างยงั่ ยนื ต่อสกู้ ารกลายสภาพเป็นทะเลทราย อนรุ ักษ์ดินและความหลากหลายทาง ชวี ภาพ เปา้ หมายท่ี ๕ มีความเสมอภาคทางเพศ และให้อานาจผหู้ ญิงและเด็กหญงิ เป้าหมายที่ ๗ เขา้ ถงึ พลงั งานสมยั ใหม่ และ ยั่งยนื เป้าหมายที่ ๑๑ การต้ังถิน่ ฐานทป่ี ลอดภัย มภี มู ติ ้านทาน และยง่ั ยืน เป้าหมายที่ ๑๖ สงั คมสงบสุข ยตุ ธิ รรม
๔๕ ปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพยี งกบั เปำ้ หมำยกำรพัฒนำที่ยั่งยืน Moderation Economic Reasonableness Immunity Social for oneself Knowledge Virtue Environmen tal ควำมพอประมำณ เป้ำหมำยกำรพฒั นำทำงเศรษฐกจิ ดาเนนิ การใด ๆ โดยความพอดี ไมม่ าก ไมน่ ้อย ไม่โลภ การเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ อย่างต่อเนือ่ ง ไมเ่ บยี ดเบียน บรหิ ารจดั การบนฐานทนุ ปัจจัยท่ีมี อุตสาหกรรมทย่ี ง่ั ยนื การผลติ และการบรโิ ภคท่ยี ั่งยนื ใชท้ รพั ยากรตามกาลังความสามารถในการฟน้ื ตวั ได้ ความเปน็ หุ้นส่วนในการพัฒนา ควำมเปน็ เหตเุ ปน็ ผล เปำ้ หมำยกำรพัฒนำทำงสังคม พจิ ารณาไปตามเหตุปัจจยั ยึดหลักการ ทาเปน็ ข้ัน พ่งึ ตนเองได้ รอดพ้นจากความยากจน เปน็ ตอน ไมส่ รา้ งผลกระทบต่อสง่ิ แวดล้อม ไมส่ ร้าง มคี วามม่นั คงดา้ นอาหาร เกษตรกรรมยง่ั ยืน ความขัดแย้ง เกอ้ื กลู กันเพ่ือประโยชนส์ ขุ ของสว่ นรวม มสี ขุ ภาพท่ดี ี สงั คมเป็นสขุ เสมอภาค จดั การความเหลื่อมล้า ความยตุ ิธรรม เสมอภาค เท่าเทียม ยตุ ธิ รรม ไมท่ าลายสงิ่ แวดล้อม ใชพ้ ลังงานอย่างเหมาะสม ควำมมภี ูมคิ ุ้มกัน เปำ้ หมำยกำรพัฒนำทำงสังคม ยดึ หลกั ความยั่งยืน เตรยี มพร้อม รู้ เข้าใจ เข้าถึง การจัดการน้าอย่างยั่งยืน การรบั มือกับ ปรบั ตวั ไดเ้ ท่าทนั พร้อมรับการเปล่ยี นแปลง การเปล่ยี นแปลงสภาพภมู ิอากาศ และภัยพบิ ตั ิ จดั การนา้ อย่างย่งั ยืน จัดการความม่ันคงอาหาร การอนรุ ักษ์ และการใช้ประโยชนท์ รัพยากร อนุรกั ษ์ทรัพยากรแก้ไขปัญหาโลกร้อน ใส่ใจสขุ ภาพ อย่างยั่งยืน ควำมรคู้ คู่ ณุ ธรรม พฒั นาบุคคลให้เปน็ ผูม้ คี วามรู้ รรู้ อบ มีความคิดเชิง สร้างสรรค์ มีปญั ญา ในการคิดวเิ คราะห์ เลือกตัดสินใจ ภายใต้ความสานกึ ในคณุ ธรรม คดิ ดี ทาดี มีประสิทธภิ าพในกระบวนการพัฒนาท่ยี งั่ ยืน
Search