| หน้าท่ี 38 มาตรา 8 (2) การจัดการศึกษาให้ยึดหลักให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและ มาตรา 9 การ จัดระบบ โครงสร้างและกระบวนการจัดการศึกษาให้ยึดหลักการกระจายอำนาจไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา สถานศกึ ษา องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ระดมทรพั ยากรจากแหล่งต่าง ๆ มาใชใ้ นการจัดการศึกษา การ มีส่วนร่วมของบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กร ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องคก์ รวิชาชีพ สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสงั คม อื่น ๆ รวมทงั้ มาตรา 29 ไดก้ ำหนดให้ สถานศึกษาร่วมกับบุคคล ครอบครัวชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กร เอกชน องค์กรวิชาชีพสถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่น ส่งเสริมความเข้มแข็งของ ชุมชน โดยจัดกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีการจัดการศึกษาอบรม มีการแสวงหา ความรู้ข้อมลู ข่าวสาร และรู้จกั เลอื กสรรภมู ปิ ญั ญาและวิทยาการต่าง ๆ เพ่อื พัฒนาชมุ ชนให้สอดคล้องกับ สภาพปัญหาและความต้องการ รวมทั้งหาวิธีการ สนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนา ระหว่างชุมชน หลักการมสี ว่ นรว่ ม การมีส่วนรว่ มในการจดั การศกึ ษาต้งั อย่บู นหลักการพ้นื ฐาน 6 ประการ คือ (1) หลักการกระจายอำนาจการจัด การศึกษาให้แก่ประชาชน โดยมีการกระจายอำนาจจาก ส่วนกลางและเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษาไปยงั สถานศกึ ษา (2) หลักการบริหารตนเองโดยให้สถานศึกษามีอิสระในการตัดสินใจด้วยตนเองมากขึ้น ภายใต้ การบริหารในรปู ขององค์คณะบุคคล (3) หลักการบริหารแบบมีส่วนร่วมโดยผู้เกี่ยวข้องสามารถมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและ แผน การกำหนดหลักสูตร ทอ้ งถน่ิ รวมทงั้ รว่ มคดิ รว่ มตัดสนิ ใจและร่วมทำ (4) หลักการภาวะผู้นำแบบเกื้อหนนุ เปน็ ภาวะผู้นำที่เนน้ การสนับสนนุ และ อำนวยความสะดวก (5) หลักการพัฒนาท้ังระบบเปน็ การปรบั ทั้งโครงสร้างและวฒั นธรรมองค์กรโดยการเปลี่ยนแปลง ท่ีระบบ ทั้งหมด (6) หลักการความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้โดยโรงเรียนต้องพร้อมให้มีการตรวจสอบเพื่อให้ การบรหิ ารและการ จดั การศึกษาเปน็ ไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ (ประจวบ หนูเลยี่ ง เด่น ชะเนติยงั และ นวลพรรณ วรรณสธุ ี, 2558) 2.2 การจัดการศกึ ษาโดยการมีส่วนรว่ มของประชาชน การจัดการศึกษาโดยการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เป็นการเปิดโอกาสให้แก่ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามี ส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ส่งเสริมหรือสนับสนุนการจัดการศึกษา โดยรัฐมีการกระจายอำนาจ (decentralization) ใหก้ ลมุ่ บคุ คล องค์กร หน่วยงาน จังหวดั เปน็ ผจู้ ดั การศกึ ษา อาจดำเนินการในรปู แบบ ต่าง ๆ เช่น คณะบุคคล, กลุ่ม, มูลนิธิ, สมาคม, สภา, สมัชชาที่มีองค์ประกอบของบุคคลที่มาจากทุกภาค สว่ น มีอิสระและอำนาจในการกำหนดและตัดสนิ ใจ ร่วมออกแบบ การพฒั นาการศกึ ษา สนบั สนุน ตลอดจน ตรวจสอบการใช้ทรัพยากรการศึกษา และร่วมรับผิดชอบการจัดการศึกษา การมีส่วนร่วมจึงเป็นการเปิด โอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการคิดริเริ่ม ร่วมทำ ร่วมแก้ไข และร่วมมีผลประโยชน์ การทำงาน ร่วมกับกลุ่ม เพื่อให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคด์ ้วยความร่วมมือร่วมใจ กระทำในช่วงเวลาและลำดับเหตุการณ์ท่ถี ูก จังหวะ เหมาะสม รวมท้งั กระทำการงานต่าง ๆ ดว้ ยความร้สู กึ ผกู พัน ร่วมมือรว่ มใจ และรบั ผดิ ชอบ (ปกรณ์
| หน้าท่ี 39 ปรียากร, 2530; นิรันดร์ จงวุฒิเวศย์, 2527) การมีส่วนร่วมในลักษณะเช่นนี้ เอกชัย กี่สุขพันธ์ (2538) เรียกว่า “รูปแบบของความเกี่ยวข้องผูกพันกัน” (involvement) ของสมาชิกในการประชุมหรือเพ่ือ ตัดสินใจและควบคุมการทำงานร่วมกัน สอดคล้องกับ Gustavo (1992) ที่กล่าวว่าการมีส่วนร่วมของ ประชาชน คือ การเข้าไปมีหน้าที่หรือมีส่วนรับผิดชอบ เมื่อมีการมีส่วนร่วมเกิดขึ้นจะเชื่อมโยงไปสู่ กระบวนการเข้าไปมีส่วนรับผิดชอบของแต่ละบุคคล การมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของภาคประชาชน เริ่มมาตั้งแต่การรวมกลุ่มเพื่อแก้ไขปัญหาหรือต้องการ พัฒนาการจัดการศึกษาของพื้นที่ ตัวอย่างของการ มสี ่วนร่วมของประชาชนท่ปี ระสบความสำเรจ็ คอื การดำเนนิ งานของสำนักงานส่งเสรมิ สงั คมแห่งการเรียนรู้ และคุณภาพเยาวชน ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชน กลุ่มบุคคล ชุมชนรวมตัวกัน ในชื่อ “จังหวัดปฏิรูปการ เรียนรู้” จำนวน 15 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ น่าน แม่ฮ่องสอน ลำปาง สุโขทัย กาญจนบุรี ชลบุรี ตราด พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา สุรินทร์ อำนาจเจริญ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และยะลา โดยทุกจังหวัดเกิด กลไก ความร่วมมือของภาคสว่ นต่าง ๆ ในพื้นทมี่ าร่วมคดิ ร่วมทำ ร่วมกำหนดวาระสำคญั ที่คนในจงั หวัดเห็น ว่าเป็นปัญหาสำคัญ มีการตั้งเป้าหมาย และจัดทำข้อมูลเพื่อสนับสนุนการวางแผนตั้งเป้าหมายตัวชี้วัดและ ติดตามผลการดำเนินงานเพ่ือแก้ปญั หา ร่วมกัน ในหลายพ้นื ทท่ี ี่ดำเนินการมีประเด็นหรือปัญหาที่ประชาชน แต่ละพื้นที่ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนา การจัดการศึกษาที่ประสบผลสำเร็จแตกต่างกัน เชน่ จงั หวัดเชียงใหม่แก้ไขปัญหาความเหลอ่ื มลำ้ ทางการศึกษาของโรงเรียน ในเมอื งและโรงเรยี นในพ้ืนทห่ี ่างไกล ที่มีความยากลำบาก จังหวัดสุรินทร์แก้ไขปัญหาเด็กออกกลางคันหรือเด็กที่หลุดออกจาก ระบบการศึกษา จังหวัดภูเก็ตพัฒนาการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมของผู้เรียนสู่โลกของการมีงานทำและการพัฒนา คุณธรรม สำนึกรักถิ่นเกิด สื่อสารได้หลายภาษา จังหวัดสุโขทัยแก้ไขปัญหาการอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ความสำเรจ็ ในการจัดการศกึ ษา ทั้งหมดนีล้ ้วนเกิดจากการมสี ว่ นรว่ มของภาคประชาชน จากการศึกษาของ ศิรกิ าญจน์ โกสมุ ภ์ (2542, น.189) ไดศ้ ึกษาวจิ ยั การมีสว่ นรว่ มของชุมชนและ โรงเรียน ได้แบบของการมสี ว่ นร่วม 3 แบบ ประกอบด้วย 1) การมีส่วนร่วมของชุมชนและโรงเรียนแบบชายขอบ (Margiral Participation) เป็น ลักษณะการมีส่วนร่วมมือ หรือการทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างโรงเรียนและชุมชนที่มีข้อจำกัดอันทำให้มี การมีส่วนร่วมไม่เต็มที่ คือมีน้อยนั่นเอง ข้อจำกัดนี้อาจเกิดจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน ระหว่าง 2 ฝา่ ย ฝ่ายหน่ึงรู้สกึ วา่ ตนเองด้อยอำนาจกว่าหรือมที รัพยากรเชิงอำนาจ เชน่ เปน็ ผู้มีความรู้น้อย กว่าจึงทำให้ไม่ปรารถนาเขา้ มามสี ว่ นร่วมอยา่ งเต็มท่ี นนั้ คอื ความเข้มข้นของการมสี ่วนรว่ มนอ้ ย 2) การมีส่วนร่วมของชุมชนและโรงเรียนแบบเป็นบางส่วน (Partial Participation) การมีส่วนร่วมแบบบางส่วนเป็นการเข้ามาเกี่ยวข้องของประชาชนในชุมชน หรือกิจกรรมการศึกษาใน ระดับความเข้มข้นมากกว่าแบบชายขอบ กิจกรรมโดยคณะกรรมการโรงเรียนจึงมีความสำคัญที่รัฐถือว่า เปน็ นโยบายสำคญั ซ่งึ สามารถสร้างความชอบธรรมในการจัดการศกึ ษาของไทย 3) การมีส่วนร่วมของชุมชนและโรงเรียนแบบสมบูรณ์ (Full Participation) เป็นการ มีส่วนร่วมระหว่างโรงเรียนและชุมชนโดยทั้งสองฝ่ายร่วมกันอย่างเข้มข้น และเท่าเทียมกัน ต่างฝ่ายต่าง มอี ทิ ธพิ ลตอ่ กจิ กรรมรว่ มกัน ทุกฝา่ ยมีส่วนร่วมไดเ้ ตม็ ท่ี จากทั้ง 3 แบบการมีส่วนร่วมของชุมชนกับโรงเรียนคงเป็นที่ชัดเจนว่าความคาดหวังของ ทุกคนคงอยากให้เป็นลักษณะการมีส่วนร่วมแบบสมบูรณ์มากที่สุด แต่ความเป็นจริงแล้วความสัมพันธ์
| หน้าท่ี 40 ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนจะอยู่ในแบบบางส่วน หรือไม่ก็แบบชายขอบเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้ระบบ การศกึ ษาของประเทศประสบกับปญั หาหลายอย่างตามมา จากแนวคดิ ข้างต้น สรุปไดว้ า่ การจดั การศึกษาโดยการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนสามารถ ดำเนินการได้หลายลักษณะ แต่การที่ประชาชนจะสามารถมีส่วนร่วมได้โดยตรง คือ การรวมตัวกันเป็ นใน รูปแบบต่าง ๆ เพื่อร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ไขปัญหา พัฒนาหรือยกระดับการจัดการศึกษาของพื้นท่ี เนื่องจากคนในพ้ืนท่ีตระหนัก รับรู้ และเขา้ ใจปัญหารว่ มกัน รวมทัง้ แสวงหาแนวทางแกไ้ ขปัญหาหรือพัฒนา การศึกษาเชิงพื้นที่ ส่งผลให้สามารถพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้ตรงกับความต้องการของบริบทพื้นที่ และ เปน็ ประโยชน์ต่อการปฏิรปู การศึกษาใหบ้ รรลุผลอย่างเป็นรปู ธรรม 2.3 รปู แบบการจัดการศึกษาโดยการมีส่วนร่วม รปู แบบการจัดการศึกษาโดยการมสี ว่ นร่วม มีนกั วิชาการท่ีได้ศึกษาและพัฒนารูปแบบของการจดั การศึกษาโดยการมีสว่ นร่วมไว้ ยกตัวอยา่ ง เช่น จิณณวัตร ปะโคทัง (2549) ได้ศกึ ษารูปแบบการมีสว่ นร่วม ของชุมชนในการจดั การศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พบรูปแบบการมสี ่วนรว่ มในการจดั การศึกษา 5 รปู แบบ ไดแ้ ก่ (1) รูปแบบการมีส่วนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น CMU Journal of Education, Vol. 4 No. 3 2020 ศึกษาศาสตร์สาร มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ปีที่ 4 ฉบบั ที่ 3 2563 71 (2) รปู แบบการมสี ่วนร่วมกบั คณะกรรมการสถานศกึ ษา (3) รูปแบบการมีส่วนรว่ มกบั เครือขา่ ยของผปู้ กครองนักเรยี น (4) รปู แบบการมสี ่วนร่วมกับในการระดมทุน (5) รูปแบบการมีส่วนรว่ มกบั ในการสร้างความสัมพนั ธก์ บั ชมุ ชน พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ และคณะ (2554) กล่าวว่า รูปแบบการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ของประชาชนเปน็ รูปแบบของการจัดสมัชชาการศึกษาท่ีส่งเสรมิ การมีสว่ นรว่ มของประชาชนจากระดับราก หญ้าจนถึงระดับชาติ โดยได้พัฒนา รูปแบบของสมัชชาการศึกษาท่ีเรียกว่า “รูปแบบ 333 หรือ 33 (Triple Three Model) 3 ตัวแรก หมายถึง ระดับสมัชชา การศึกษา 3 ระดับ ได้แก่ ระดับจังหวัด ระดับกลุ่มจังหวัด และ ระดบั ชาติ 3 ตัวทีส่ อง หมายถึง องคป์ ระกอบของสมัชชา การศกึ ษา มี 3 องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ ภาคองค์ความรู้ ภาคประชาชน และภาครฐั 3 ตวั ที่สาม หมายถงึ กิจกรรมของสมัชชา แตล่ ะระดบั มี 3 กิจกรรมหลกั ได้แก่ (1) การวจิ ัยและพฒั นาองคค์ วามรู้ (2) การประชมุ สมชั ชา (3) การตดิ ตามผล ขอ้ เสนอเชิงนโยบายและยทุ ธศาสตรส์ กู่ ารปฏบิ ัติ นอกจากนี้ พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ และคณะ (2554) และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2563) กล่าวถึงรปู แบบและกลไกการมสี ่วนร่วม แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ รูปแบบและกลไกการมสี ว่ น ร่วมระดับชาติ รูปแบบและกลไกการมีส่วนร่วมระดับจังหวัด และรูปแบบและกลไกการมีส่วนร่วมระดับ สถานศกึ ษา
| หนา้ ที่ 41 องค์ประกอบของการมีส่วนร่วม พบว่า องค์ประกอบในการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ประกอบด้วยองค์ประกอบ ดังน้ี (1) คณะกรรมการนโยบายการศกึ ษาแห่งชาติ (มาตรา 82) (2) ประธาน คณะกรรมการสถานศึกษา (มาตรา 24) และคณะกรรมการสถานศึกษา (มาตรา 23) (3) ผูว้ า่ ราชการจงั หวัด (มาตรา 24) (4) สำนักงานศกึ ษาธกิ ารจงั หวดั /สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษา/องค์การบรหิ ารส่วนจงั หวัด (องคป์ ระกอบทคี่ วรเพ่ิมเติม) (5) คณะบุคคล (มาตรา 18) (6) หน่วยงานรฐั (มาตรา 24) (7) เอกชน (มาตรา 24) กระบวนการมีส่วนร่วมตามร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ได้มีแนวคิด ในการ ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการศึกษา ได้แก่ การรวมกลุ่มของ ประชาชน เป็นคณะบุคคลในรูปแบบต่าง ๆ (มาตรา 18) การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษา (มาตรา 23) การประชุมร่วมกันของคณะกรรมการพัฒนาการศึกษาจังหวัด (มาตรา 24) ในกระบวนการมีส่วนร่วม จะมปี ระเด็นการมีสว่ นร่วม โดยผูม้ สี ่วนเกี่ยวขอ้ งหรอื ภาคส่วนตา่ ง ๆ จำเป็นต้องมกี ารเตรียมข้อมูล ประเด็น เนื้อหาสาระตา่ ง ๆ ในการเข้าประชุมร่วมกนั ท่ีผูว้ ่าราชการจงั หวดั หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ว่าราชการ จังหวัดมอบหมายจัดขึ้น เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยน เสนอแนะความคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนา การจัดการศึกษาของพื้นที่/จังหวัด โดยอาจมีการเตรียมข้อมูล เนื้อหา ประเด็นต่าง ๆ เพื่อเข้าร่วมประชุม เช่น (1) ข้อมูลพื้นฐานของจังหวัด (2) ข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาจังหวัด (3) ประเด็นความ ต้องการทางการศกึ ษาของจังหวดั และ (4) ข้อเสนอ นโยบาย หรอื แนวทางการพัฒนาการศึกษาจงั หวดั นอกจากนี้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2563) ได้ศึกษารูปแบบและกลไกการ ดำเนินงานที่เก่ยี วกับการมสี ว่ นรว่ มและสมัชชาการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบว่า รูปแบบและ กลไกการมสี ว่ นร่วมและสมชั ชาการศึกษา แบง่ ออกเปน็ 3 ระดับ ไดแ้ ก่ (1) รูปแบบกลไกระดับจังหวัด เป็นกลไกเชิงระบบที่ใช้การผลักดันนโยบาย แผนงาน ด้วยการ ตดั สินใจ เชงิ นโยบายและเชิงกลยุทธ์ เปน็ กลไกในระดับการบริหารองค์กรและการตัดสนิ แก้ปญั หาในพนื้ ท่ี (2) รูปแบบกลไก ระดับอำเภอ เป็นกลไกการประสานที่เชื่อมโยงเครือข่ายภาคี กิจกรรม เป้าหมาย บุคคลท่มี ที ักษะความชำนาญในแตล่ ะเรื่อง ทัง้ สาระความรู้ ข้อมลู พืน้ ฐาน และงานงบประมาณ (3) รูปแบบกลไกระดับตำบล เป็นกลไกการจัดการที่ใช้ในระดับ ปฏิบัติการและเป็นปัจจัยที่ เออื้ อำนวยใหเ้ กิดการจัดกจิ กรรมท่หี ลากหลายตามสภาพปัญหาในแตล่ ะพ้นื ท่ี สรุปได้ว่า รูปแบบการจัดการศึกษาโดยการมีส่วนร่วมที่กล่าวมาข้างต้น สามารถแบ่งได้หลาย ลักษณะขึ้นอยู่กับมุมมอง นิยามของรูปแบบที่ต้องการศึกษา ซึ่งในงานวิจัยครั้งนี้ ผู้ศึกษาต้องการศึกษา รปู แบบการมีสว่ นร่วมในระดับจงั หวดั (จงั หวดั ชมุ พร) 2.4 รปู แบบการตัง้ คณะบุคคลและการมสี ว่ นร่วม โลกของการศึกษา เป็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ครอบคลุมพื้นที่โดยไม่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังมีมนุษย์ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญของโลก ดำรงอยู่ เพราะการศึกษาที่ดีและสิ่งแวดล้อม
| หน้าที่ 42 ทางการศึกษาที่ดี ย่อมพัฒนามนุษย์ ให้เจริญงอกงามและนำพาโลกของเราให้งดงามและน่าอยู่ยิ่งข้ึน การศึกษามีความเป็น “พลวัตร” หมายถึงมีพลังขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงไป ตลอดเวลาโดยไม่จบสิ้น เนื่องจากมีมนุษย์ที่เป็นทั้งปัจจัยและผลผลิต ดังนั้นปัญหา ทางการศึกษาจึงเกิดขึ้นตลอดเวลาและ เปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อมที่หลาก หลาย การศึกษาไม่ใช่งานของคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่พื้นที่จำกัด ภายในสถานศึกษา ไม่ใชภ่ าระของครแู ละผบู้ ริหารโรงเรยี นเท่านั้น แตเ่ ปน็ ภาระความรับผิดชอบ ส่วนรวม ของเราทุกคนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน เพราะผลกระทบจากปัญหาทางการศึกษาได้สั่นสะเทือนไปทั่ว ทุกหย่อมหญ้า มีผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็ก เยาวชน ในวันนี้และวันข้างหน้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น การที่บุคคล กลุ่มบุคคลในทุกภาคส่วนของสังคมรวมตัวกัน จัดการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในรูปแบบที่หลากหลายตามสภาพปัญหา ตามความถนัดและสนใจ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหาและ พัฒนาคุณภาพ การศึกษาแบบ “ร่วมด้วยช่วยกัน” ในท้องถิ่น ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และ ในระดับชาติ โดยเปน็ “หุ้นส่วน” ที่มีความเทา่ เทียมกันแลว้ ปัญหาทางการศกึ ษากจ็ ะได้รับการแก้ไขได้ทัน กบั สถานการณ์ นำไปสกู่ ารยกระดบั คุณภาพการศกึ ษาได้ในทส่ี ดุ สมัชชาการศึกษา เป็นกระบวนการที่บุคคล องค์กรภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมร่วม ระดมความคิดเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมคิด ร่วมแก้ ปัญหาการศึกษาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทุกระดับ ตั้งแต่ หม่บู ้าน ชุมชน ตำบล อำเภอ จงั หวัด และระดบั ชาติ “หลักการ” ของสมัชชาการศึกษา ความเปน็ หุ้นส่วน และมีส่วนร่วม: ร่วมรับรู้ปัญหา รู้ร้อน รู้หนาว ร่วมคิด ร่วมมือ ภายใต้ความเท่าเทียมเพื่อประโยชน์ด้าน การศกึ ษาของเดก็ เยาวชน และคนทุกเพศวัย สมัชชาการศึกษา เป็นการรวมพลังกันในระดับฐานล่างและเป็นกลไกใน การแก้ไขปัญหา สาธารณะและพัฒนารว่ มกันในสังคม โดยการใช้แนวคดิ การจัดตั้ง สมชั ชาการศึกษา ดงั น้ี 1) ร่วมคิด วิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ ไตร่ตรองด้วยเหตุผลบนฐานข้อมูล และวิเคราะห์ สงั เคราะหอ์ ย่างสร้างสรรค์ 2) รว่ มเรยี นรู้ ศกึ ษาแสวงหาทางเลือกทางออกนำร่องทดลองและถอดบทเรยี นเพ่อื ปรับปรงุ พฒั นา 3) ร่วมกระทำ หลอมรวมและบูรณาการการดำเนินงานภายใต้เป้าหมายเดียวกัน รวมทั้ง การรว่ มระดมทรัพยากร 4) ร่วมประเมนิ ติดตาม ประเมนิ และตรวจสอบอยา่ งเป็นกลั ยาณมติ ร 5) ร่วมรับผิดชอบ ยอมรับในผลลพั ธ์ หรอื ผลกระทบทเ่ี กิดข้นึ จากการกระทำ ปัจจัยความสาํ เร็จของการบริหารการศกึ ษาโดยองคคณะบุคคล ความสําเร็จของการปฏิบัตงิ าน ขึ้นอยูกับความพรอมและความสามารถในการปฏิบัติงานใหเปนไปตามวัตถุประสงคที่ตั้งไว ความสําเร็จ และประสิทธิภาพขององคการนั้นอาจพูดไดวาเปนเรื่องเดียวกัน เพราะองคการที่ไรประสิทธิภาพคงจะ ทํางานใหประสบความสาํ เร็จไดยากการวดั ประสทิ ธภิ าพหรอื โอกาสของความสําเรจ็ น้นั จะวัดจากการบรรลุ เปาหมายและในการบรรลุเปาหมายขององคการนั้น ปจจัยตาง ๆ ไดแก การฝกอบรม ประสบการณ ความผูกพนั ความรูสึกยังมีความสําคัญตอประสิทธภิ าพขององคการดวย (Katz & Kahn, 1978: 226) ท้ัง ยังพบวาองคการที่จะทํางานใหบรรลุความสําเร็จ ผูปฏิบัติตองไดรับการตอบสนองความตองการท้ัง ภายนอกและภายใน ความตองการภายนอก ไดแก่ รายไดหรือคาตอบแทน ความมั่นคง ปลอดภัยในการ ปฏิบัติงาน สภาพแวดลอมทางกายภาพ ตําแหนงหนาที่ สวนความตองการภายใน ไดแก
| หน้าที่ 43 ตองการ เขาหมูคณะ ตองการแสดงความรูสึกเกี่ยวกับการจงรักภักดี ความเปนเพื่อน ความรัก ตองการ ศกั ด์ิศรขี องตนเอง (Zateanick, et al 958:40) ปจจัยที่มีอิทธิพลตอประสิทธิภาพหรือความสําเร็จขององค การ ตามแนวคิดของแฮรริง เอ็มเมอรสัน (Haring Emerson) มดี งั น้ี (1) ทําความเขาใจและกําหนดแนวการทาํ งานใหกระจาง (2) ใชสามัญสาํ นึกในความนาจะเปนไปไดของงาน (3) ไดรับคาํ ปรึกษาและคําแนะนาํ ท่ีถูกตองสมบูรณ (4) รักษาระเบยี บวินยั ในการทาํ งาน (5) ปฏิบตั ิงานดวยความยุตธิ รรม (6) การทํางานตองเช่ือถือไดมีความฉับพลัน มสี มรรถภาพและลงทะเบยี นไวเป็นหลกั ฐาน (7) มีการแจงใหทราบถงึ การดําเนนิ งานอยางทว่ั ถงึ (8) ทํางานสาํ เรจ็ ทันเวลา (9) ผลงานไดมาตรฐาน (10) การดําเนินงานสามารถจัดเปนมาตรฐานได (11) กําหนดมาตรฐานทส่ี ามารถใชเปนเคร่ืองมือในการฝกสอนงานได (12) ใหบําเหนจ็ รางวลั แกงานที่ดี โทมสั ปเตอร (Thomas J.Peters) เสนอปจจยั 7 ประการ ท่ีมีอทิ ธพิ ลตอการปฏบิ ตั งิ านในองคการคือ (1) กลยทุ ธ (Strategy) (2) โครงสราง (Structure) (3) ระบบ (Systems) 24 (4) แบบ (Styles) (5) บุคลากร (Staff) (6) ความสามารถ (Skill) (7) คานิยม (Shared Values) สรุปไดวา ประสิทธภิ าพหรือความสําเรจ็ ขององคการ ข้นึ อยูกับปจจยั หลายปจจยั ที่กลาวถงึ มาก ไดแก ปจจัยวาดวยทรัพยากร คน เงิน วัสดุอุปกรณ (หมายถึงขนาดขององคการ) การฝกอบรม ประสบการณ (หมายถึงสมรรถนะ) แรงจูงใจ (หมายถึง บรรยากาศในองค การ) และภาวะผู นํา นอกจากนี้ยงั มปี จจยั แวดลอม โดยเนนเรอื่ งการมีสวนรวมของชมุ ชน 3. งานวิจัยทเี่ ก่ยี วข้อง 3.1 งานวิจัยในประเทศ กรณศี กึ ษาจงั หวัดเชียงใหม่ หลกั การ : “ภาคเี ชียงใหม่เพ่ือปฏิรปู การศึกษา” มุ่งตอบโจทย์ปญั หาพ้นื ทีเ่ ชียงใหม่ วตั ถุประสงค์ : การจดั การศึกษาเพื่อดแู ลคุณภาพชีวติ คนเชียงใหม่
| หน้าท่ี 44 บททาทหนา้ ท่ี : เชอ่ื มโยงเครือข่ายผู้สมัครใจ โดยใช้ อบจ.เชยี งใหมเ่ ป็นเลขานุการภาคี มกี จิ กรรมเวทีบรู ณาการแลกเปลยี่ น แบ่งปนั ข้อมูลความรปู้ ระสบการณ์ และแนวคิด วิธีการปฏบิ ัติใหม่ ๆ สนบั สนนุ และเสรมิ แรงกลไกย่อย/คณะทำงานชดุ ต่าง ๆ รูปแบบกลไกความร่วมมือ : สนับสนุน ผลักดัน ขบั เคลอื่ นระดับหลักการ ทิศทาง นโยบาย และเป้าหมายสงู สดุ ภายใต้บทบาทหนา้ ที่ประสานเชือ่ มโยงและสนับสนนุ การดำเนินงานของ องค์การ บริหารสว่ นจงั หวดั เชียงใหม่ กรณศี กึ ษาจงั หวัดสุรินทร์ หลักการ: เครือข่ายสมัชชาการศึกษา จังหวัดสุรินทร์ ใช้ประเด็น “การดูแลเด็กออก กลางคัน” ในการขับเคลื่อน โดยคณะกรรมการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ โดยมีองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด สุรินทร์เป็นหน่วยประสานความร่วมมือ ซึ่งใช้กลไกปัญจภาคี ติดตามช่วยเหลือ และเฝ้าระวังเด็กออก กลางคันในระดับตำบล เปน็ กลไกในการขบั เคลอื่ น วตั ถุประสงค์: เพอื่ ชว่ ยเหลอื และเฝ้าระวงั เด็กออกกลางคัน เดก็ และเยาวชนสรุ ินทร์เกง่ ดี มงี านทำและเกิดสัมมาอาชพี บทบาทหน้าท่ี: 1) พัฒนาระบบข้อมูลติดตามและเฝ้าระวังเด็กออกกลางคันที่เชื่อมโยงข้อมูลจาก สถานศึกษา ในระดบั ตำบลสจู่ ังหวดั เป็นเคร่อื งมอื ปอ้ นสู่กลไกตดิ ตามชว่ ยเหลือเด็กออกกลางคนั 2) สร้างกลไกความรว่ มมือ 5 ภาคส่วน (เด็กพ่อแม่ผู้ปกครอง หน่วยจัดการศกึ ษาหน่วยงาน สง่ เสริมสนบั สนุนการศึกษา องค์การเอกชน มูลนิธิ ติดตามเฝ้าระวังให้นักเรยี นระดับมธั ยมศึกษา ตอนต้น ได้เขา้ ศกึ ษาตอ่ และระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลายให้ไดร้ บั การฝึกอาชพี ) 3) ดำเนินการจัดตั้งสมัชชาการศึกษาตำบล 20 ตำบลนำร่องพัฒนาเป็นสมัชชาการศึกษา จังหวัด เพ่ือสนบั สนนุ การดำเนินงานของศกึ ษาธิการจังหวัด รปู แบบ : กลไกปัญจภาคี ภาพท่ี 2 กลไกปญั จภาคี
| หนา้ ท่ี 45 กรณีศึกษาจงั หวัดนครปฐม หลกั การ : ดำเนินการภาครัฐควบค่กู ับภาคประชาชนในลกั ษณะคูข่ นาน(รฐั คปู่ ระชาชน) วัตถปุ ระสงค์ : เพ่ือขบั เคลอ่ื นการมสี ่วนร่วมแบบภาครฐั ค่ปู ระชาชนตามความสนใจและ พนั ธกิจของพน้ื ท่ี บทบาทหนา้ ที่ 1) กำหนดนโยบายยทุ ธศาสตร์และขับเคล่ือนผ่านระบบราชการและหนว่ ยงานทีเ่ กี่ยวข้อง 2) จัดสรรทรัพยากรเพ่ือการขับเคลอื่ น 3) นำเสนอผลลพั ธ์ทเี่ กิดขึ้นในพ้ืนทีต่ ามเป้าหมาย กลไกการขบั เคล่อื น : ขบั เคลื่อนเชงิ ระบบประกอบดว้ ยโครงสร้าง 3 ส่วน ได้แก่ 1) โครงสร้างหลกั ฝ่ายราชการ : นโยบายยทุ ธศาสตรร์ ะดบั จงั หวัด, หนว่ ยงานราชการใน พืน้ ท่,ี ผลลพั ธ์เชงิ พนั ธกิจ 2) โครงสรา้ งหลักฝา่ ยประชาชน : การมีส่วนร่วม, กิจกรรมการมีสว่ นร่วมและปฏบิ ตั กิ าร, การเรียนรูเ้ ชงิ พนื้ ท่ี สว่ นสนับสนุน : การจัดการทรพั ยากรการศกึ ษา, การประชาสมั พนั ธ์ กรศึกษาจงั หวัดชลบุรี หลักการ : ทำแผนพัฒนาการศกึ ษาจังหวัดในด้านการศกึ ษาเพื่อการมงี านทำเปน็ การทำงาน ของคณะกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้โดยใช้จังหวัดเป็นฐาน ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีเป็นประธาน และบรรจแุ ผนการจัดการศึกษาเพื่อการมงี านทำไวใ้ นแผนยุทธศาสตรข์ องจังหวดั ชลบุรี วัตถุประสงค์ : ร่วมกันดำเนินงานและก่อตั้งขึ้นสมัชชาการศึกษาจังหวัดชลบุรี เพื่อการ ดำเนนิ งานปฏิรูปการเรยี นรรู้ ะดับจงั หวัดไดเ้ หน็ ผลเป็นภาพชัดขึน้ บทบาทหนา้ ท่ี : ร่างแผนพฒั นาการศึกษาจงั หวัด โดยเฉพาะประเดน็ การศึกษาเพ่ือการมงี านทำ กลไกการขบั เคลือ่ น : กลไกเชื่อมโยงทีส่ ำคัญท่ีส่งผลให้เกิดความสำเรจ็ ในการดำเนินงานคือ การจัดตั้งคณะอนุกรรมการ 5 คณะ เพื่อเป็นทีมทำงานที่เชื่อมโยงกันเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูป โดยเป็นการประสานเชื่อมโยงจังหวัด การมีส่วนร่วมของสถาบันการศึกษาและกิจกรรมให้ประสาน สอดคล้องกัน จนเกิดแผนปฏิบัติที่ชัดเจนและเป็นพี่เลี้ยงแก่สถาบันการศึกษานำไปสู่การสัมฤทธิ์ผลและ การบรรลุเปา้ หมาย กรณีศึกษาจงั หวดั สุราษฎรธ์ านี หลกั การ 1. เตรียมความพร้อมเพ่อื ใหจ้ ังหวัดมีศกั ยภาพทจ่ี ะจัดการศึกษาของตนเองได้ในระยะยาว 2. ยดึ หลกั สร้างการมีสว่ นรว่ มของทกุ ภาคส่วน 3. จดั การศึกษาเพ่ือสอดคลอ้ งกบั บรบิ ทของจังหวัด 4. เกดิ ข้นึ ตามความพรอ้ ม เห็นประโยชน์สว่ นรวม มิใช่เกิดจากการส่ังการ 5. มีเปา้ หมายในการพฒั นาการศกึ ษาจังหวดั เปน็ รูปธรรมรว่ มกนั
| หนา้ ที่ 46 วัตถุประสงค์ เป็นเครือข่ายหลักในการประชุมระดมความคิดเห็น ในการพัฒนาการศึกษาโดยผ่าน เครือข่ายความร่วมมือของสมาชิก ร่วมระดมพละกำลังทั้งพลังสมองและพลังความร่วมมือจากหลายภาค ส่วนเพื่อพฒั นาเน้นอตั ลักษณค์ วามเปน็ ตวั ตนของคนจังหวัดสรุ าษฎร์ธานี บทบาทหน้าที่ 1. จดั ทำแผนยทุ ธศาสตร์ แผนการศึกษาจังหวดั 2. การจัดการข้อมูลและความรเู้ พือ่ การวางแผนการศกึ ษาจังหวัด 3. ตดิ ตามและประเมินผลการดำเนนิ งานตามแผนการศึกษาจังหวดั 4. เสนอแนะการจดั การศกึ ษาตอ่ สว่ นกลาง 5. จัดกิจกรรมพิเศษหรือโครงการพเิ ศษเพื่อตอบโจทยเ์ ฉพาะของพ้ืนที่ 6. ใหค้ วามรว่ มมอื ต่อหน่วยงานทางการศกึ ษาอื่น 7. ประสานความร่วมมือด้านงบประมาณระหวา่ งกระทรวงศกึ ษาธิการและองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิน่ 8. สรา้ งความร่วมมือระหวา่ งภาครฐั เอกชน ประชาชนและท้องถน่ิ เพอ่ื รว่ มกนั พัฒนา การศึกษาของจังหวดั 9. คัดเลือกและแต่งต้งั คณะกรรมการการศกึ ษาจงั หวดั กลไกการขบั เคล่ือน เชื่อมโยงเครือข่ายสมัชชาจากรูปแบบการทำงานร่วมกันของคณะทำงานระหว่างหน่วยงาน ภาครัฐ เอกชนและจังหวัดที่ประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา โดยใช้แผนงาน ยทุ ธศาสตร์เปน็ กลไกหลักในหารขับเคล่ือนแผนงาน โครงการในระดบั พืน้ ท่ี อำเภอ ตำบลและสถานศกึ ษา ปารณทัตต์ แสนวิเศษ (2555) ได้ศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียนประถมศึกษา: การสร้างทฤษฎีจากฐานราก พบว่า รูปแบบการมีส่วนร่วมของชุมชนกับ สถานศกึ ษา ประกอบด้วย (1) รปู แบบการมีสว่ นร่วมกับองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบล (2) รปู แบบการมสี ว่ นรว่ มของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน (3) รูปแบบการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาขั้นพืน้ ฐานของผู้ปกครอง (4) รูปแบบการมสี ว่ นร่วมของศิษย์เกา่ (5) รูปแบบการมสี ว่ นร่วมของคณะกรรมการภาคี 4 ฝ่าย (ผู้แทนครู, ผู้ปกครอง, ชมุ ชน, กรรมการนักเรยี น) (6) รปู แบบการมีสว่ นร่วมของ องคก์ รต่าง ๆ ในชุมชน (7) รปู แบบการมีส่วนรว่ มของกลุม่ อาชพี และผปู้ ระกอบการวิสาหกิจชมุ ชน (8) รปู แบบการมีส่วนร่วม ของประชาชนท่ัวไปในชุมชน (9) รปู แบบการมีสว่ นรว่ มของหน่วยงานราชการและเจา้ หน้าท่ขี องรัฐ (10) รูปแบบการมสี ว่ นรว่ มของภาคเอกชนและสถานประกอบการ (11) รปู แบบการมีส่วนรว่ มของศนู ย์อำนวยการเครือข่าย และ (12) รูปแบบการมี สว่ นร่วมในการระดมทุน
| หน้าท่ี 47 พัฒนะพงษ์ สุขมะดัน และเสาวลักษณ์ กมลนาวิน (2562) ได้สรุปบทเรียนการดำเนินงาน “โครงการจังหวัดปฏิรูป การเรียนรู้” พบว่า องค์ประกอบสำคัญของการจัดการศึกษาเชิงพื้นท่ี ประกอบดว้ ย (1) กลไกความรว่ มมอื ของภาคสว่ นในพ้นื ที่ทเ่ี กยี่ วข้องกบั การพฒั นาคุณภาพการศึกษา (2) ข้อมูลที่จะช่วยชี้ปัญหา จัดลำดับความสำคัญและติดตามความก้าวหน้าว่า การดำเนินงาน บรรลเุ ป้าหมายมากน้อยเพยี งไร (3) แผนและโครงการเพื่อพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เพื่อบูรณาการ ความร่วมมือและทรัพยากร ในการจัดการศึกษาร่วมกัน โดยทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มูลนิธิ สถาบนั การศกึ ษา สถานประกอบการ รวมถงึ หนว่ ยงานอืน่ ที่เกย่ี วขอ้ งได้มาร่วมกันจัดเวทีแลกเปล่ียนข้อมูล รบั รูแ้ ละ ตระหนักถงึ ปญั หาการศึกษาทไี่ ม่สามารถตอบโจทย์ของคนในพน้ื ท่ี CMU Journal of Education, Vol. 4 No. 3 2020 ศึกษาศาสตร์สาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปที ่ี 4 ฉบับท่ี 3 2563 77 (6) เอกชน มาตรา 24 ได้กำหนดใหเ้ อกชนเป็นกลไกรว่ มในการมีส่วนร่วมระดับ จังหวัดโดยอาจเชิญมา ประชุมร่วมกันกับประธานกรรมการสถานศึกษาก็ได้เอกชนควรประกอบไปด้วย บุคคลหรือผู้แทนสถานประกอบในจังหวัด โดยมีหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน อำนวยความสะดวก ให้ข้อมูล ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา สนับสนุนทรัพยากรทางการศึกษา หรือเข้าร่วมประชุม คณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาจังหวัดตามวาระและโอกาส โดยภาคเอกชนควร ประกอบด้วย (1) ผู้แทนสถานประกอบการ (2) ผู้แทนสภาหอการค้าจังหวัด (3) ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมจังหวัด (4) ผู้แทนสภา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัด (5) ผู้แทนสภาวัฒนธรรมจังหวัด (6) ผู้แทนสถานศึกษา เอกชน และ (7) อ่ืน ๆ ตามความเหมาะสม สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2564) ทำการศึกษาความร่วมมือระหวา่ งรัฐกับภาคเอกชนในการ พัฒนาการศึกษาตามกฎหมายและแผนปฏิรปู ประเทศดา้ นการศึกษา ผลการศึกษาพบว่า แนวโน้มและต้นแบบ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของภาคเอกชนในระบบการศึกษาต่างๆ ในระดับนานาชาติท่ี ประสบความสำเรจ็ และแนวทางการส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนในการจัดการศึกษาในระบบการศกึ ษาไทย ในอนาคต โดยมีข้อเสนอสำคญั ท่ีเก่ียวข้องกับการศกึ ษาคร้ังน้ี 3 ประการ คอื 1. ตน้ แบบการส่งเสริมการมสี ว่ นรว่ มของภาคเอกชนในการจดั การศึกษาทป่ี ระสบความสำเร็จใน ระดับนานาชาติ 3 รปู แบบ 1.1 การร่วมจดั การศึกษาโดยรบั เงนิ อดุ หนุนจากภาครฐั บางส่วน 1.2 โรงเรียนในกำกับของรัฐ 1.3 คูปองการศึกษา สำหรับแนวคิดนี้มีการพูดถึงในประเทศไทยมายาวนานกว่า 2-3 ทศวรรษแลว้ และเคยถูกบรรจอุ ย่ใู นแนวนโยบายด้านการศึกษาของไหลรัฐบาล แต่กย็ ังไมเ่ คยเกดิ ข้ึนอย่าง แพร่หลายในระบบการศึกษาไทย หลักการสำคัญของแนวคิดคูปองการศึกษา คือการที่รัฐบาลให้อิสระ แก่ประชาชนผู้ปกครองอย่างเต็มท่ีในการเลือกโรงเรียนที่เหมาะสมกบั บุตรหลานของตนเอง ไม่ว่าจะเปน็ โรงเรียนรัฐ ท้องถิ่น หรือเอกชน โดยเมื่อเลือกแล้วรัฐบาลก็จะส่งเงินงบประมาณตามไปที่โรงเรียน ให้ ประหนึ่งว่ารัฐบาลให้คูปองการศึกษาแก่ครอบครัวในการเลือกโรงเรียนท่ีดีที่สุดสำหรับลูกหลาน ที่ได้รับเลือกก็สามารถรวบรวมเอาคูปองไปเบิกเงินจากรัฐบาลเพื่อนำมาจัดการศึกษา ระบบการศึกษา
| หน้าที่ 48 ที่เป็นต้นกำเนิดของรูปแบบการจัดคูปองการศึกษาคือ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเริ่มใช้ระบบนี้มา ตั้งแต่ ค.ศ 1917 ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมความเช่ือและศาสนาที่แตกต่างหลากหลายรัฐบาลให้อสิ ระใน การเลอื กโรงเรียนท่สี อดคล้องกับความเชือ่ และวฒั นธรรมท่หี ลากหลายผา่ นระบบคปู องการศกึ ษา 2. แนวทางความร่วมมือ การสนบั สนุนสง่ เสริมระหว่างรัฐกบั ภาคเอกชนในการพฒั นาการศึกษา และการจัดการศึกษาตามกฎหมายและแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา โดยตามแผนปฏิรูปการศึกษา กำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาภาครัฐเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนจากทุกภาคส่วนได้มี บทบาทในการจัดการศึกษาเพื่อสนับสนุนให้กระบวนการปฏิรูปการศึกษาเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ รัฐธรรมนญู มาตรา 54 วรรค 3 ทีร่ ะบไุ ว้อยา่ งชัดเจนใหร้ ัฐต้องดำเนนิ การจัดให้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐ ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนให้รัฐต้องดำเนินการจัดให้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนในการจัดการศึกษาทุกระดับ ซึ่งระบุแนวทางการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้มีส่วนร่วม ในกระบวนการปฏริ ปู ประเทศด้านการศกึ ษารว่ มกบั หนว่ ยงานภาครฐั อย่างน้อย 3 แนวทางดงั นี้ 2.1 การสนบั สนนุ การพัฒนาระบบหลักประกนั โอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษา ตงั้ แต่ระดับปฐมวัยด้วยความรว่ มมือระหว่างหนว่ ยงานภาครฐั และเอกชน 2.2 การยกระดับกระบวนการจดั อาชีวศึกษาทวิภาคี 2.3 การสนับสนุนการพัฒนา Digital Learning platform และระบบ Credit Bank รว่ มกันระหว่างหน่วยงานภาครฐั และภาคเอกชน 3. แนวทางขยายผลความร่วมมือและการสนับสนุนส่งเสริมการใช้ทรัพยากรเพื่อการ จัดการศึกษาของเอกชนและสถานศึกษา ซึ่งเป็นนวัตกรรมความร่วมมือใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมคือ เดิมภาคเอกชนเป็นผู้เปิดสถานศึกษาเพื่อจัดการศึกษาให้แก่ประชาชนโดยตรง แต่เปลี่ยนเป็น กระบวนการของภาคเอกชนในการเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนกระบวนการจัดการศึกษาทั้งที่เป็น กระบวนการถ่ายทอดนวัตกรรม และกระบวนการบริหารองค์กรไปจนถึงการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์และ เทคโนโลยีการศึกษาที่ทันสมัย และการส่งบุคลากรในองค์กรเอกชนมาร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรมในการ จัดการเรยี นการสอนกบั ครูและบุคลากรทางการเรยี นการสอนในโรงเรียนอย่างต่อเน่อื ง สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2562) ศึกษารูปแบบและกลไกการมีส่วนร่วมและสมัชชา การศึกษา โดยดำเนินการศึกษา 3 รูปแบบ คือ 1) ศึกษาสภาพการดำเนินงานของภาคีเครือข่าย การศึกษา/สมัชชาการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ 2) ศึกษาวิเคราะห์ /สมัชชาการศึกษา กรณีศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ 3) ศึกษากลไกในการส่งเสริมและพัฒนาการดำเนินงานของ ภาคเี ครอื ขา่ ยการศึกษา/สมัชชาการศกึ ษาท่ีประสบความสำเรจ็ ของไทย ผลการศึกษาโดยสรุป พบวา่ 1. บคุ คลหรอื ตัวแทนของแตล่ ะองค์กรบุคลากรและผทู้ รงคณุ วุฒิที่ร่วมกันขบั เคลือ่ นภาคเี ครือข่าย ต่างยืนยันตรงกันว่านอกจากทุกคนต้องมีความรู้สึกในการมีส่วนร่วมสำหรับการทำกิจกรรมร่วมกันแล้ว 4 ประเทศคือ ฟินแลนด์ แคนาดา สิงคโปร์และญี่ปุ่น จังหวัดคือนครปฐม ชลบุรี สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ และสุรนิ ทร์ 2. ข้อสรุปกรณีศึกษาจากตา่ งประเทศ 4 ประเทศพบว่าปัจจัยหลกั ที่ทำให้งานการจัดการศึกษา แบบการมีส่วนร่วมที่ประสบความสำเร็จนั้นเป็นการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นสามารถตัดสินใจบริหาร จัดการตามสภาพที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น โดยเน้นให้พลเมืองรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ของบุคคลเป็นปัจจัย
| หน้าท่ี 49 สำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ระดับบุคคล องค์กรและหน่วยงานตามลำดับ การสร้างความตระหนักรู้ร่วมกันรับผิดชอบต่องานในหน้าที่จึงเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนปรับปรุงและ พัฒนาการดำเนนิ งานอยา่ งต่อเน่อื งจนสามารถดำเนนิ ไดป้ ระสบความสำเร็จตามเปา้ หมาย 3. กรณีศึกษาในประเทศ 5 จังหวัด จังหวัดนครปฐม ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่สร้างความ ต่อเนื่องในการดำเนินกิจกรรมของจังหวัดนครปฐมคือ การจัดวางบุคคลให้เหมาะสมและสอดคล้องกับ ความสามารถรวมทั้งการสร้างกิจกรรมในพน้ื ที่อย่างต่อเนือ่ งโดยมมี หาวทิ ยาลัยราชภัฏนครปฐมเป็นเกณฑ์ ในการดำเนินกิจกรรม จังหวัดเชียงใหม่ ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยแกนหลักในการขับเคลื่อนให้เกิด กิจกรรมของภาคีเชียงใหม่ใช้หลักการกระตุ้นความรู้สึกรับผิดชอบร่วมกันโดยการสร้างความตระหนัก ให้เกิดขึ้นภายในตัวบุคคลเพื่อให้เกิดความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนและจัดกิจกรรมเพื่อเ ปิดโอกาส การสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชนและสังคมโดยมีองค์การบริหารส่วนจังหวัดทำหน้าที่สนับสนุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยแกนหลักในการขับเคลื่อนให้เกิดกิจกรรมอยู่ที่องค์การ บริหารส่วนจังหวัดซึ่งคอยจัดกิจกรรมตามแผนงานให้เกิดผลตามเป้าหมายในแต่ละพื้นที่ จังหวัดชลบุรี ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยแกนหลักในการขับเคลื่อนให้เกิดกิจกรรมอยู่ที่คณะทำงานฝ่ายเลขานุการของ คณะทำงานแต่ละชุดที่คอยประสานจัดการให้เกิดกิจกรรมในระดับต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นตามเป้าหมาย ของแผนงานโครงการโดยมีองค์การบริหารส่วนจังหวัดทำหน้าที่สนับสนุนจังหวัดสุรินทร์ ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยแกนหลักในการขับเคลื่อนให้เกิดกิจกรรมคือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และ องค์การบรหิ ารส่วนตำบลทใี่ ช้หลักการทำงานแบบปัญจภาคดี ำเนนิ กิจกรรม ภทั ราวุธ รักกล่ิน (2562) ศกึ ษาเรอื่ งการพฒั นารูปแบบความรว่ มมือกบั สถานศึกษาต่างประเทศสู่ ความเป็นเลิศทางการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนสาธิตสังกัดมหาวิทยาลัยในประเทศไทยโดยมี วตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อพัฒนาและตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบความร่วมมอื กับสถานศึกษาต่างประเทศ สู่ความเป็นเลิศทางการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนสาธิตสังกัดมหาวิทยาลัยในประเทศไทย โดยกระบวนการวิจัยแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนคือ ขั้นตอนที่ 1 การพัฒนารูปแบบความร่วมมือกบั สถานศึกษา ต่างประเทศความเป็นเลิศทางการศึกษาในศตวรรษที่ 21 จากผู้ให้ข้อมูลหลักซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจำนวน 12 คน ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบความร่วมมือจากโรงเรียนสาธิตจำนวน 21 โรงเรียน ด้วยเทคนิคการวจิ ยั แบบ delphi จากการศึกษาพบว่า รูปแบบความร่วมมือกับสถานศึกษา ต่างประเทศสู่ความเป็นเลิศทางการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนสาธิตสังกัดมหาวิทยาลัยใน ประเทศไทยมี 5 แบบ คือ ความร่วมมือแบบเครือข่าย ความร่วมมือแบบทางการ ความร่วมมือแบบ กึ่งทางการ ความร่วมมือแบบไม่เปน็ ทางการและความรว่ มมือแบบอิสระ โดยแตล่ ะรูปแบบประกอบด้วย 5 ขัน้ ตอน ดงั น้ี ขั้นการประสานความรว่ มมือ ขนั้ การสร้างข้อตกลงความร่วมมือ ข้นั การสร้างกิจกรรม ความร่วมมือระหว่างกัน ขนั้ สรุปผลและประเมนิ ผลของความรว่ มมือ และข้นั ปรับปรุงพฒั นาความร่วมมือ โดยองค์ประกอบของความร่วมมือมีด้วยกัน 6 ด้าน คือ ด้านนโยบาย ด้านหลักสูตร ด้านครูผู้สอน ด้านรูปแบบกระบวนการจัดการเรียนการสอน ด้านผู้บริหารและด้านผู้เรียน ผลการตรวจสอบ บริบท ความร่วมมือกบั สถานศึกษาต่างประเทศสู่ความเป็นเลิศทางการศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนสาธิต สงั กดั มหาวิทยาลัยในประเทศไทยพบวา่ มีความเหมาะสมทุกดา้ น
| หน้าท่ี 50 วีระยุทธ สุดสมบูรณ์ และคณะ (2563) ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาและประเมินรูปแบบการบริหาร ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับสถานประกอบการของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมมหาวิทยาลัย ราชภัฏนครศรีธรรมราช ด้วยวิธีวิจัยแบบผสมผสานกลุ่มตัวอย่างที่ใชใ้ นการวิจัยประกอบด้วย 3 กลุ่มคือ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ และกลุ่มตัวอย่างผู้สอน ผลการวิจัยพบว่ารูปแบบการบริหารความ รว่ มมือระหว่างมหาวทิ ยาลยั กับสถานประกอบการของคณะเทคโนโลยอี ุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครศรีธรรมราช ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบที่ใช้เป็นระบบและกลไกในการขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ ไดแ้ ก่ 1. การเตรยี มการสร้างความร่วมมือ ประกอบดว้ ย การวิเคราะห์ความต้องการจำเปน็ ในการสร้าง ความร่วมมือ การกำหนดทิศทางความรว่ มมือ การกำหนดบทบาทและหนา้ ที่และการจัดสรรงบประมาณ สนับสนุนความรว่ มมือ 2. การวางแผนและพัฒนาความร่วมมือ ประกอบด้วย การจัดทำแผนการสอนรายวิชาที่ สอดคลอ้ งกบั ความต้องการของสถานประกอบการ การกำหนดวตั ถปุ ระสงค์รายวชิ าทตี่ อ้ งการจัดการเรียน การสอนร่วมกัน การออกแบบกระบวนการเรียนรู้ การออกแบบกระบวนการวัด ติดตามและประเมินผล การพัฒนาเอกสารประกอบการสอน/ตำรา/หนงั สอื /คูม่ ือฝึกประสบการณ์วิชาชพี ทางเทคโนโลยียานยนต์ สมยั ใหม่รวมทง้ั การดำเนนิ การพฒั นาสื่อการเรยี นการสอนและการพัฒนาบุคลากรร่วมกนั ของท้งั 3 ฝ่าย 3. การดำเนินการขับเคลื่อนความร่วมมือ ประกอบด้วย การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และศึกษาดูงาน รว่ มกนั การจัดประชุมเพ่อื ดำเนนิ การขับเคลอ่ื นความรว่ มมอื ขอ้ กำหนดเชงิ กฎหมาย และการสนับสนุน วัสดุฝึก ครภุ ณั ฑฝ์ กึ และเทคโนโลยยี านยนต์สมัยใหม่ 4. การบริหารความร่วมมือร่วมกัน ประกอบด้วย การจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การบริหารโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ การสนบั สนนุ การยกร่างข้อตกลงความร่วมมือ การพิจารณาดำเนินงานหน่วยวิจยั เฉพาะทางเทคโนโลยียานยนต์อจั ฉรยิ ะและโครงการจัดต้งั ศูนย์ฝึกอบรม และถ่ายทอดเทคโนโลยียานยนต์ Nissan แห่งภาคใต้และการกำกับติดตามและประเมินผลความร่วมมือ ร่วมกัน ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับสถาน ประกอบการของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช พบว่ารูปแบบการ บริหารความรว่ มมือนี้มีความเหมาะสมในการนำไปใช้เพ่ือรว่ มดำเนินการพฒั นาการศึกษา รุ่งนภา ตั้งจิตรเจริญกุล วิชุดา กิจธรธรรมและจันทร์เพ็ญ ตั้งจิตรเจริญกุล (2562) ดำเนินการ ศึกษาวิจัยรูปแบบเครือข่ายความร่วมมือเพื่อเพิ่มคุณภาพการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยของศูนย์พัฒนา เด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : การวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยทำการศึกษาจาก องคก์ รภาคเี ครือข่าย 3 กลมุ่ คือ กลมุ่ ศูนยพ์ ฒั นาเด็กเล็ก กลุ่มสถาบนั อุดมศึกษาที่สอนสาขาการศึกษา ปฐมวัยและกลมุ่ องคก์ รภาคี โดยผลการวิจยั สำคัญทเี่ กย่ี วขอ้ งสรปุ ดงั นี้ 1. กลุ่มองค์กรภาคีเครือข่ายทั้ง 3 กลุ่ม ต่างมีความคิดเห็นสอดคล้องกันในส่วนของความ ต้องการในการพฒั นาเครือข่ายความรว่ มมือระหวา่ งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กกบั องค์กรภาคเี ครือข่าย 2. รูปแบบการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือเพื่อเพิ่มคุณภาพการศึกษาระดับปฐมวัยของศูนย์ พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีองค์ประกอบของรูปแบบฯ ประกอบด้วย คำชี้แจง
| หน้าที่ 51 ความเป็นมา หลักการพัฒนารูปแบบฯ วัตถุประสงค์ของรูปแบบฯ โครงสร้างของรูปแบบฯ แผนการ ดำเนินการตามรูปแบบฯ มีการดำเนินการตามแนวคิดของทฤษฎีระบบคือ ปัจจัยป้อน กระบวนการ ผลผลิตและผลลัพธ์ การดำเนินการสร้างเครือข่ายทั้งในลักษณะของเครือข่ายทางวิชาการ เครือข่าย ทางการวิจยั เครอื ขา่ ยการจัดการเรียนรู้ และเครอื ข่ายออนไลน์ 3. ปัจจยั ที่สง่ ผลตอ่ คุณภาพการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยของศูนย์พฒั นาเดก็ เล็ก สังกัดองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ปัจจัยด้านบุคลากรของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ปัจจัยด้านการบริหารศูนย์ พฒั นาเด็กเล็ก และปจั จยั ด้านนโยบายการสนบั สนุนการบริหารจัดการขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถนิ่ อุดมสิน คันธภูมิ (2558) ทำการศึกษาวิจัยการพัฒนารูปแบบเครือข่ายความร่วมมือในการ พัฒนาคุณภาพผู้เรียนสำหรับโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จากกลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา ครูวิชากร และประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผลการวิจัย สำคัญที่เกี่ยวข้องพบว่า โรงเรียนประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษา มีการดำเนินการเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ในดา้ นตา่ ง ๆ จำนวน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1)ดา้ นการสร้างความตระหนักและรับรูป้ ัญหา 2)ด้านการร่วม วางแผน 3)ด้านรวมปฏิบัติตามแผนและ 4)ด้านร่วมประเมินผลทั้งนี้ในการประเมินสภาพที่พึงประสงค์ กลุ่มตัวอย่างในภาพรวมมีความต้องการให้สูงขึ้นจากสภาพปัจจุบันรูปแบบเครือข่ายความร่วมมือในการ พัฒนาคุณภาพผู้เรียนสำหรับโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาที่ ผู้วจิ ัยพฒั นาข้นึ ประกอบดว้ ย 5 องคป์ ระกอบดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 ผู้มีสว่ นเกีย่ วข้อง ได้แก่ คณะครู ผู้ปกครองนักเรียน ชุมชน ศิษย์เก่า พระสงฆ์ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ปราชญ์ ชาวบ้าน หน่วยงานของรัฐ และองค์กรเอกชน องค์ประกอบที่ 2 กระบวนการสร้างเครือข่ายมี 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นตอนหนักถึงความสำคัญในการสร้างเครือข่าย 2) ท่านประสานหน่วยงาน/องค์กร เครือข่าย 3) ขั้นสร้างพันธะสัญญาร่วมกัน 4) ขั้นบริหารจัดการเครือข่าย 5) ขั้นพัฒนาและรักษา ความสัมพันธ์ องค์ประกอบที่ 3 ความร่วมมือ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลักดังนี้ 1) การตระหนัก และรบั รูป้ ญั หา 2) การร่วมวางแผน 3) การรว่ มปฏบิ ัติตามแผน 4) การรว่ มประเมนิ ผล องคป์ ระกอบท่ี 4 องค์ประกอบสำคัญของเครือขา่ ย ประกอบด้วย 1) สมาชกิ ของเครือข่าย 2) วตั ถปุ ระสงค์หรอื เป้าหมาย ร่วมกนั 3) ผ้ปู ระสานงานเครือข่าย 4) กจิ กรรม 5) การมสี ว่ นร่วมของสมาชิกเครือข่าย 6) การเสรมิ สร้าง ซึ่งกันและกัน 7) ระบบความสัมพันธ์ของเครือข่าย 8) ระบบบริหารจัดการเครือข่าย องค์ประกอบที่ 5 คณุ ภาพผู้เรียน ประกอบดว้ ย1) ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนักเรียน 2) และคณุ ลักษณะที่พึงประสงค์ของ ผู้เรียน ผลการศึกษาการใช้รูปแบบเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนสำหรับโรงเรียน ประถมศึกษาพบว่านักเรยี นมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสงู ขึ้นและความพึงพอใจของผู้บริหาร คณะครูและ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อรูปแบบเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน มีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมาก วิจิตราภรณ์ โตแก้ว (2558) ศึกษาการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการบริหารการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี จากบุคลากรของศูนย์การศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอท่าม่วงและบุคลากรจากภาคีเครือข่ายของศูนย์การศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอท่าม่วง ผลการศึกษาพบว่า แนวทางการมีส่วนร่วมของภาคี
| หน้าที่ 52 เครือข่ายในการบรหิ ารการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอทา่ ม่วง จังหวัดกาญจนบรุ ี มีความร่วมมือในด้านต่างๆ ดังนี้ ด้านการวางแผนคือ เรื่องมีการสำรวจความต้องการของประชาชนใน เรื่องข้อมูลผู้ไม่รู้หนังสือ ด้านการจัดองค์กรคือ เรื่องมีส่วนร่วมในการเป็นสถานศึกษาภาคีเครือข่าย โดยใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของสำนักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอั ธยาศัย ด้านการบังคับบัญชาคือ เรื่องมีความรับผิดชอบต่องานที่ผิดพลาด ด้านการประสานงานคือเรื่องท่ี สนับสนุนกิจกรรมเพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างครูศูนย์การเรียนรู้ชุมชนกับชุมชนพื้นที่และด้านการ ควบคมุ คอื เร่ืองมสี ว่ นร่วมในการรับทราบและพิจารณาให้ความเห็นชอบรายงานการนเิ ทศติดตาม ทัศนยี ์ บุญมาภิ และคณะ (2561) ได้ทำกาศกึ ษารูปแบบความรว่ มมือระหว่างโรงเรยี นกบั ชุมชน ในการบรหิ ารโรงเรยี นขนาดเล็ก เขตภาคเหนอื ตอนบน พบว่ารูปแบบความรว่ มมือดังกล่าวมีองค์ประกอบ 5 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 หลักการของรูปแบบใช้หลักการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน หลักความสอดคล้อง กับบริบทของโรงเรียน หลักการพึ่งตนเองของโรงเรียน และหลักการพัฒนาตนเอง ของโรงเรียน ส่วนท่ี 2 วตั ถุประสงค์ เพอื่ นำเสนอแนวทางในการจดั การใหช้ มุ ชน เข้ามาใหค้ วามรว่ มมือกับ ทางโรงเรียนในการบริหารโรงเรียนขนาดเล็ก และเพื่อนำเสนอแนวทางในการนำรูปแบบความร่วมมือ ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนไปใช้ในการบริหารโรงเรียนขนาดเล็ก ในเขตภาคเหนือตอนบน ส่วนที่ 3 “ สาระสำคัญของรูปแบบ ประกอบด้วย มิติด้านหน้าที่ทางการบริหาร ได้แก่ การวางแผนการจัดองค์การ การนำ และการควบคุม กำกับ ติดตาม ในมิติด้านภารกิจการบริหารสถานศึกษา ได้แก่ การบริหารงาน วิชาการ การบริหารงานงบประมาณ การบริหารงานบุคลากร และการบริหารงานทั่วไป และในมิติ คุณลักษณะของผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา และชุมชนที่มีอิทธิพลต่อความร่วมมือ ส่วนที่ 4 แนวทาง การนำรูปแบบไปใช้โดยหน่วยงานต้นสังกัดและสถานศึกษา ส่วนที่ 5 เงื่อนไขความสำเร็จ ซึ่ง ขึ้นอยู่กับผู้บริหาร สถานศึกษาและครู ส่วนชมุ ชนข้ึนอยู่กบั ความตระหนักเห็นความสำคัญ และประโยชน์ ที่ได้รับจากการให้ความร่วมมือรูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็น ประโยชนอ์ ย่ใู นระดับมากท่สี ดุ ทกุ ด้าน ชนิตา รักษ์พลเมือง สนานจิตร สุคนธทรัพย์ และอุบลวรรณ หงส์วิทยากร (2558) ศึกษา รูปแบบความร่วมมือในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่า จากการสังเคราะห์ รูปแบบท่ดี ำเนนิ การในประเทศท่มี ีนโยบายและแนวปฏิบตั ทิ ีด่ ใี นการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาไปยัง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและมีกฎหมายรับรองการจัดการศึกษาบนฐานความร่วมมือระหว่างองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเมื่อวิเคราะห์การจัดการศึกษาบนฐานความร่วมมือที่ต่างประเทศได้ดำเนินการ มาแล้วพบว่า มีทั้งความร่วมมือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตั้งแต่สองแห่งขึ้นไป และความตกลง ร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับหน่วยงานภาครัฐ ส่วนการดำเนินการมีหลายรูปแบบ อาทิ การมีอำนาจการบริหารร่วมกัน (Shared Power Cooperation) ที่เป็นรูปแบบการร่วมมืออย่างเป็น ทางการ เช่น รปู แบบ \"สหการ\" โดยมกี ฎหมายรองรับ การมีขอ้ ตกลงความรว่ มมือระหวา่ งองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นด้วยกันหรือกับหน่วยงานอื่น (Intergovernmental Cooperation) การให้ดำเนินการแทน (Entrustment) แหล่งทุนจากภายในและภายนอกท้องถ่ิน ชุมชนมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ สนับสนุน ด้านสื่อ วัสดุอุปกรณ์ให้กับโรงเรียน ชุมชนมีสว่ นร่วมในการสรา้ งและจัดหาแหลง่ เรียนรู้ภายนอกโรงเรยี น ให้กับนักเรียน ชุมชนมีส่วนร่วมในการช่วยจัดหาวัสดุ อุปกรณ์การเรียนรู้จากบุคคล องค์กรและสถาน
| หนา้ ที่ 53 ประกอบการ เพือ่ สนับสนุนการเรียนจัดการเรียนรู้ ด้านที่ 4 การมสี ่วนร่วมในการดำเนินการ ได้แก่ การมี ส่วนร่วมในการติดต่อประสานงานกับบุคคลภายในและภายนอกชุมชนซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ามาให้ ความรู้แก่นักเรียน การมีส่วนร่วมในการส่งเสริมและมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างโรงเรยี นกับชมุ ชน และการมีส่วนร่วมในการประชุมปรึกษาหารือ เสนอแนะ และกำหนดแนวทาง ตามแผนปฏิบตั กิ ารหรือโครงการตา่ ง ๆ ของโรงเรยี น จากการสมั ภาษณ์ผบู้ ริหารสถานศึกษา พบวา่ ชมุ ชน มีส่วนร่วมในฐานะเป็นผูม้ ีบทบาทหลักในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน ชุมชนมีส่วนร่วมในการ ประสานงาน ติดต่อ ผชู้ ำนาญการในและนอกชุมชนเขา้ รว่ มแก้ปัญหาของโรงเรียน ชุมชนมสี ว่ นรว่ มในการ ช่วยส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ทั้งที่โรงเรียนและชุมชน ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงเรียน ปรับปรุง อาคารสถานที่ และจัดสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาและชุมชนมีส่วนร่วมในการนำโรงเรียนเข้าร่วม กิจกรรมต่าง ๆ กับชุมชน และด้านที่ ๕ การมีส่วนร่วมในการประเมินผล ได้แก่ การมีส่วนรว่ มในการเปน็ คณะกรรมการประเมินคุณภาพนักเรียนของโรงเรยี น การมสี ว่ นรว่ มในการประเมินผลการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน และการมีส่วนร่วมในการนำผลการประเมินมาหาแนวทางแก้ไข จากการสัมภาษณ์ ผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา พบวา่ ชมุ ชนมสี ว่ นรว่ มในการประเมินผลการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน ชุมชน มีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ประเมินผลการจัดการศึกษาของโรงเรียน ชุมชนมีส่วนร่วมในการประเมิน การสรุปผลการจัดกิจกรรม โครงการต่าง\" ของโรงเรียน ชุมชนมีส่วนร่วมในการกำกับติดตามผลการใช้ งบประมาณ และทรัพยากรอื่นเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนและชุมชนมีสวนร่วมในการ ตรวจสอบ ประเมนิ ผลการศกึ ษาตามระบบประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ปารณทัตต์ แสนวิเศษ (2555) ทำการศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐานของโรงเรียนประถมศึกษา : การสร้างทฤษฎีฐานราก พบว่า การมีส่วนร่วมชุมชนในการจัด การศึกษาขั้นพื้นฐานได้แก่การมีส่วนร่วมในการร่วมคิดและตัดสินใจ การมีส่วนร่วมในการสนับสนุนและ ร่วมดำเนนิ งาน การมสี ่วนร่วมควบคมุ ตรวจสอบการดำเนนิ งานของโรงเรยี น และ การมสี ว่ นร่วมในการรับ บริการและรับความช่วยเหลือจากโรงเรียนโดยที่กระบวนการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 สำรวจความต้องการ การสำรวจข้อมูลพื้นฐาน ขั้นที่ 2 การกำหนดมาตรฐานของ สถานศึกษา ขั้นที่ 3 การวางแผนพัฒนาสถานศึกษาตามวิสัยทัศน์พันธกิจ ขั้นที่ 5 ขั้นการดำเนินการ ขั้นที่ 5 ขั้นการประเมินผล และขั้นที่ 6 ขั้นการร่วมรับผลประโยชน์ และรูปแบบและลักษณะการมี สว่ นรว่ มของชุมชนกับสถานศึกษา มี 12 รปู แบบ ดังนี้ 1) รปู แบบและลกั ษณะการมสี ว่ นรว่ มในการจดั การศกึ ษาข้นั พ้นื ฐานขององค์การบริหารส่วนตำบล 2) รูปแบบและลักษณะการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะกรรมการ สถานศึกษาข้นั พื้นฐาน 3) รูปแบบและลกั ษณะการมีสว่ นรว่ มในการจดั การศึกษาข้นั พืน้ ฐานของผูป้ กครอง 4) การมีสว่ นรว่ มในการจัดการศกึ ษาข้ันพื้นฐานของศิษยเ์ ก่า 5) รูปแบบและลักษณะการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะกรรมการภาคี 4 ฝ่าย (ผ้แู ทนครู ผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนชมุ ชน และผูแ้ ทนกรรมการนกั เรียน) 6) รูปแบบและลกั ษณะการมสี ่วนร่วมในการจัดการศึกษาขั้นพ้ืนฐานขององคก์ รตา่ ง ๆ ในชมุ ชน
| หน้าที่ 54 7) รูปแบบและลักษณะการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของกลุ่มอาชีพและ ผู้ประกอบการวิสาหกจิ ชุมชน 8) รปู แบบและลักษณะการมีสว่ นรว่ มในการจัดการศึกษาขั้นพ้นื ฐานของประชาชนทั่วไปในชมุ ชน สุรัตน์ ก้อนนาค และพรเทพ รู้แผน (2554) ได้ทำการศึกษาแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมของ ชุมชนในการบริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จังหวัดชัยนาท พบว่า แนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารสถานศกึ ษาสังกัดสำนักงาน ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั จงั หวดั ชัยนาท ประกอบดว้ ย ดา้ นการมีส่วนร่วม กำหนดแผน นโยบายและยุทธศาสตร์ 1) ควรคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิในชุมชนเป็นคณะกรรมการ 2) อบรม ให้ความรู้ในบทบาทหน้าที่ของคณะกรมการ 3) จัดให้มีกิจกรรมตามบทบาทหน้าที่และภารกิจอย่าง ต่อเนื่อง ด้านการมีส่วนร่วมเกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษา 1) ควรคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิในชุมชนเป็น คณะกรรมการ 2) ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับคณะกรรมการ 3) เปิดโอกาสให้ ชุมชนได้มีส่วน ร่วมแสดงความคดิ เห็น ด้านการมสี ว่ นร่วมในการบริหารจดั การศึกษา 1) ควรประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ ความเข้าใจให้ชุมชนได้เห็นความสำคัญ 2) เปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความพร้อมในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม กำหนดแนวทางและวิธีการมีส่วนรว่ มของชุมชน 3) ยกย่องบุคคลในชมุ ชนท่ีมีสว่ นรว่ มในการจัดการศึกษา ด้านการมีส่วนร่วมเสริมสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน 1) สถานศึกษา ควรจัดสรรงบประมาณสนับสนุน 2) สร้างเครือข่ายประชาสัมพันธ์ในชุมชน 3) ควรร่วมกิจกรรมกับชุมชนอย่างต่อเนื่อง 4) แต่งตั้ง ผู้รับผิดชอบในการประสานงาน และ ด้านการมีส่วนร่วมในการติดตามประเมินผล 1) ควรเลือก ผู้ทรงคุณวุฒิในชุมชนเป็นคณะกรรมการนิเทศ 2) อบรมให้ความรู้เรื่องการติดตามและประเมินผลกับผู้มี ส่วนเกีย่ วข้อง 3) ทำความเขา้ ใจและร่วมกันวางแผนการนเิ ทศกับชุมชน 4) มีเคร่อื งมือในการนเิ ทศติดตาม ผลและ 5) สถานศึกษามีเว็บไซต์เพื่อให้ชุมชนสามารถติดตามและตรวจสอบการจัดกิจกรรมของ สถานศึกษาไดต้ ลอดเวลา จิตตวดี ทองทั่ว (2557) ศึกษาการพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของชุมชนสำหรับการจัด คอื การพฒั นารูปแบบการมีส่วนรว่ มของชมุ ชนสำหรบั การจัดกจิ กรรมการศึกษาตลอดชวี ิตในสถานศึกษา โดยวิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ซึ่งใช้การวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนรว่ มเป็นวิธีวจิ ัยสำคัญการวิจัยแบง่ เปน็ 3 ระยะ คือ 1) การศกึ ษาสภาพและปจั จยั การมีสว่ นรว่ มของชมชนสำหรบั การจดั กจิ กรรมการศึกษาตลอด ชีวิตในสถานศึกษา 2) การเปรียบเทียบปัจจัยการมีส่วนร่วมของชุมชนสำหรับการจัดกิจกรรมการศึกษา ตลอดชีวิตในสถานศึกษาและ 3) การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของชุมชน สำหรับการจัดกิจกรรม การศึกษาตลอดชีวิตในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ตัวแทนชุมชนจากการศึกษาในระบบโรงเรียน การศึกษานอกระบบโรงเยนและการศึกษาตามอัธยาศัย จำนวน 1,846 คน จากโรงเรียนดีศรีตำบล รุ่นที่ 1 จำนวน 182 โรงเรียน โดยการสุ่มแบบเจาะจงและทำการวจิ ัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมกับพื้นท่ีปฏิบัตกิ าร จริงกับตัวแทนชุมชนจากโรงเรียนดีศรีตำบล จำนวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบ สัมภาษณ์ การสนทนากล่มุ การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัย ใช้การวเิ คราะห์สถติ ิพื้นฐานและการวิเคราะห์ เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพการมีส่วนร่วมของชุมชนสำหรับการจัดกิจกรรมการศึกษาตลอดชีวติ ในสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (3.44) 2) การเปรียบเทียบปัจจัยการมีส่วนร่วมของชม ชนสำหรบั การจดั กจิ กรรมการศึกษาตลอดชวี ิตในสถานศกึ ษา 2.1) ดา้ นสถานศกึ ษา พบปัจจัยที่สอดคล้องกัน
| หน้าท่ี 55 6 ด้าน คือ ผู้บริหาร ครู การปฏิบัติงานของโรงเรียน คณะกรรมการสถานศึกษา การสร้างเครือข่าย และ การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 2.2) ด้านชุมชน มี 6 ดา้ น คอื ผูน้ ำชมุ ชน ความสมั พันธภ์ ายในชุมชน ทรพั ยากร และแหล่งเรียนรู้ การสร้างกลุ่มและเครือข่ายในชุมชน การกำหนดบทบาทความร่วมมือและการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ 3) ผลการพัฒนารูปแบบ พบว่า รูปแบบ ประกอบด้วย 3.1 สภาพพื้นฐานการมีส่วน ร่วม ซึ่งประกอบด้วย หน่วยงานที่เข้าร่วมจดั กิจกรรม กลุ่มเป้าหมาย สาระความรู้ วิธีการจัดกิจกรรม ส่ือ การเรียนรู้ วัตถุประสงค์ แหล่งเรียนรู้ และผลที่ชุมชนได้รับ 3.2) กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ประกอบด้วย ศึกษาข้อมูลพื้นฐานของชมุ ชน การระดมความคิดเห็น การวางแผน การดำเนินการ การรับ ผลประโยชน์ และการประเมินผล 3.3) ปัจจัยการมีส่วนร่วม คือด้านสถานศึกษาและด้านชมชนและ 3.4) การจดั กิจกรรมการศกึ ษาตลอดชีวติ ในสถนศึกษาทเ่ี กิดจากการมีส่วนรว่ มของชมุ ชนเพอื่ จัดการศึกษา ที่สอดคล้องกับสภาพปญั หาและความตอ้ งการของชุมชนเพื่อให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง พยอม วงศส์ ารศรี และจันทรแ์ รม เรือนแปน้ (2557) ศึกษาการสำรวจเบ้ืองตน้ เพื่อจัดทำแผนท่ี ชุมชนและพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือในการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ชมชนในพื้นที่ตำบล โคกโคเฆ่า อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจและจัดเก็บข้อมูลพื้นฐานของชุมชนใน ตำบลโคกโคเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี 2) จัดทำแผนที่ชุมชนตำบลโคกโคเฒ่าอำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี และ 3 พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนใน ตำบลโคกโคเฒา่ อำเภอเมอื ง จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี วธิ กี ารดำเนินงานแบ่งออกเป็น 2ข้ันตอน ขั้นตอนที่ 1 คือ การสำรวจและจัดเก็บข้อมูลพื้นฐานทั้งข้อมูลปฐมภูมิและข้อมูลทุติยภูมิ โดยการเดินเท้าสำรวจและ ถ่ายภาพ การสอบถามข้อมูลจากผู้นำและสมาชิกในชุมชนและบันทึกเสียง และการรวบรวมเอกสาร ที่เกี่ยวข้องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโคกโคเฒ่า เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดทำแผนที่ชมชน ขั้นตอน ที่ 2 คือการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในตำบลโคกโคเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ประชากรการวิจัย คือ ผู้นำชุมชนและบุคลากรระดับบริหารในหน่วยงาน ทเี่ ปน็ แกนนำการพฒั นาในพ้ืนท่โี ดยศึกษาจากประชากรทั้งหมดเครือ่ งมือวิจยั ประกอบด้วย ผลการสำรวจ เบื้องต้นเพื่อจัดทำแผนที่ชุมชน เอกสารและสื่อโสตทัศน์ประกอบการประชุม เครื่องบันทึกเทป วิดีทัศน์ เทปบันทึกเสียง และแบบสำรวจความคาดหวังของผู้เข้าร่วมประชุมต่อการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย ราชภัฏสวนดสุ ิตและความพร้อมในการทำงานร่วมกันในอนาคต การเก็บข้อมูลใช้วิธีจัดประชุมผู้นำชุมชน และตัวแทนหน่วยงานที่เป็นแกนนำในการพัฒนาโดยใช้เทคนิคการระดมพลังสร้างสรรค์ชุมชน (Appreciation Influence Control : AIC) และใช้แบบสอบถามเพื่อสำรวจความคาดหวังของผู้เข้าร่วม ประชุมและความพร้อมในการทำงานรว่ มกนั ผลการวิจยั พบวา่ 1) ข้อมลู พื้นฐานทจี่ ำเป็นสำหรบั การจัดทำ แผนที่ชุมชนตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการวิจัยคร้ังนี้ มี 7 ด้าน ประกอบด้วย 1.1) การเดินทางเข้าส่พู ื้นท่ี 1.2) อาณาเขตติดต่อและลักษณะทั่วไปของพื้นที่ 1.3) ประชากรและสภาพความเป็นอยู่ในชุมชน 1.4) สภาพ เศรษฐกิจ 1.5) สภาพสังคม 1.6) การปกครองในระดับตำบลและ 1.7 ข้อมูลพื้นฐานรายหมู่บ้าน 2) การพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชมชนในตำบลโคกโคเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี สามารถใช้วิธีจัดประชุมและใช้เทคนิคการระดมพลังสร้างสรรค์ชุมชนเพอื่ สร้างความตระหนักในปญั หาแก่ผู้ร่วมประชุมได้ จากผลการสำรวจความคาดหวงั ของผู้ร่วมประชุมต่อการ ดำเนินงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตและความพร้อมในการทำงานร่วมกัน พบว่า ในภาพรวม
| หนา้ ที่ 56 ผู้ร่วมประชุมมีความคาดหวังต่อการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์สุพรรณบุรี ในระดับมาก โดยสิ่งที่คาดหวังเป็นอันดับหนึ่ง คือการมีส่วนร่วมกับชุมชนในการทำงานพัฒนา รองลงมา คือ การจัดฝึกอบรมเพือ่ พัฒนาอาชพี แกค่ นในชมุ ชน โดยการจดั การศึกษาในระดับสงู กวา่ ปรญิ ญาตรีแก่คน ในชุมชนมีความคาดหวังเป็นอันดับสุดท้าย สำรับความพร้อมในการให้ความร่วมมือกับทางมหาวิทยาลั ย นั้น ในภาพรวมผู้ร่วมประชุม มีความพร้อมที่จะให้ความร่วมมือแก่ทางมหาวิทยาลัยในระดับมาก โดยประเดน็ ทมี่ ีความพร้อมเป็นอนั ดับหน่ึง คือ การใหข้ อ้ มูลแก่ทางมหาวิทยาลัย รองลงมาคือ การทำงาน พัฒนาชุมชนร่วมกับทางมหาวิทยาลัย โดยการเข้าร่วมกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย มีความพร้อมเป็น อันดับสุดท้าย สำหรับแนวทางในการจัดกิจกรรมร่วมกันนั้น ผู้ร่วมประชุมส่วนใหญ่เห็นว่า สถานที่ท่ี เหมาะสมในการจัดกิจกรรมที่ต้องการเชิญคนในชุมชนเข้าร่วม คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์สุพรรณบุรี ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการจัดกิจกรรม คือ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และบุคคลที่ทาง มหาวิทยาลัยควรประสานความร่วมมือในการจัดกจิ กรรมร่วมกัน คือ กำนันตำบล โคกโคเฒ่าสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 3) ทดลองใช้และประเมินรูปแบบการดำเนินงานความ ร่วมมือระหว่างประเทศด้านอาชีวศึกษา ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผลการศึกษาพบวา่ 1 สภาพการดำเนนิ งานความรว่ มมือระหว่างประเทศด้านอาชีวศึกษา ของสถานศึกษา สงั กดั สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาค่าเฉลี่ยโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ปญั หาการดำเนินงาน ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านอาชีวศึกษา ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา โดยภาพรวมพบว่า 1.1) ขาดการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับต่างประเทศ 1.2 ไม่มีการ แต่งตั้งบุคลากรประสานความร่วมมือกับต่างประเทศ 3) ไม่มีคณะกรรมการบริหารงานการดำเนินงาน ความร่วมมือระหว่างประเทศในสถานศึกษา 1.4) ขาดผู้รับผิดชอบในการประสานงานความร่วมมือ ระหว่างประเทศด้านอาชีศึกษาเพื่อการกำหนดกิจกรรมความร่วมมือ และปัจจัยภายในด้านผู้บริหาร ปัจจัยภายนอกด้านเศรษฐกิจที่ส่งผลมากที่สุดต่อสภาพการดำเนินงานความร่วมมือระหว่างประเทศด้าน อาชีวศึกษา ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 2 รูปแบบการดำเนินงาน ความร่วมมือระหว่างประเทศ ด้านอาชีวศึกษา ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา ที่สร้างขึ้นประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ด้านผู้บริหาร ด้านโครงสร้างและกลไก ความรว่ มมอื ด้านทรัพยากรความร่วมมอื และดา้ นข้นั ตอนการดำเนนิ งาน ซ่งึ รูปแบบได้ผา่ นการตรวจสอบ ดา้ นความเหมาะสม และผ่านการประเมนิ คุณภาพ โดยผูท้ รงคณุ วฒุ ิ ด้านความเหมาะสมและความเป็นไป ได้โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ผลการทคลองใช้และประเมินรูปแบบความร่วมมือระหว่าง ประเทศด้านอาชีศึกษา ของสถานศึกษาสงั กัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา พบว่า หลังการนำ รูปแบบไปทดลองใช้หรือหลังการพัฒนามีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนการพัฒนาอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ความพึงพอใจของผู้บริหารสถานศึกษาและครู ที่มีต่อรูปแบบ ทีพ่ ฒั นาขึ้น อยใู่ นระดับมากทส่ี ดุ และผลการประเมินคณุ ภาพของรูปแบบเชงิ ประจักษโ์ ดยผู้ใช้ ด้านความ เหมาะสม ความเปน็ ไปได้ และความเปน็ ประ โยชน์ โดยภาพรวม อย่ใู นระดับมากทสี่ ดุ ภัทรวรรธน์ นิลแก้วบารวิชญ์ (2559) ได้ทำการวิจัยเรื่อง รูปแบบการพัฒนาเครือข่ายความ ร่วมมือทางวิชาการของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อ ศึกษาองค์ประกอบของเครือข่ายความร่วมมือ
| หนา้ ท่ี 57 สร้างและพฒั นารูปแบบเครือข่ายความร่วมมือทางวชิ าการ ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สังกัดสำนักงานงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้อำนวยการ สำนักงานเขตพื้นที่ฯ รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่ฯ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู คณะกรรมการ ตดิ ตามฯคณะกรรมการเขตพ้ืนที่1 โดยใชเ้ ทคนิคการสุ่มหลายข้ันตอน จำนวน 380 คน เคร่ืองมือที่ใช้เป็น แบบสัมภาษณ์แบบเจาะลึกและแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละค่าเฉล่ีย สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน และ Z-test ทิวัตถ์ มณี โชติ และ ทรงยศ สาโรงน์ (2560) ได้ทำการวิจัยเรื่องรูปแบบความร่วมมือทาง การศึกษาระหว่างมหาวิทยาลัยราชกัฏกับมหาวิทยาลัยในอาเซียน +3 การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ศึกษาและสังเคราะห์บทบาททางการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฎในประชาคมอาเซียน 2) ศึกษา สภาพการดำเนินการของมหาวิทยาลัยราชภัฎในประชาคมอาเซียนและ 3) พัฒนาและประเมินรูปแบบ ความร่วมมือทางการศึกษาระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏกับมหาวิทยาลัยในอาเซียน+3 ใช้การวิจัยแบบ ผสมผสานโดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านอาเซียนและทางด้านการศึกษา จำนวน 10 คน และผู้บริหารและอาจารยม์ หาวิทยาลยั ราชภฎั จำนวน 20 คน ผลการวจิ ัยพบวา่ 1) บทบาททางการศึกษา ของมหาวิทยาลยั ราชภัฎในประชาคมอาเซยี น ไดแ้ ก่ 1.1) การปรบั ปรงุ ขอ้ บังคบั ระเบยี บและเงอ่ื นไขให้เอ้ือ ต่อการเป็นสมาชิกอาเซียน 1.2) การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน 1.3) การพัฒนาโครงการ ความร่วมมือกับกลุม่ ประเทศสมาชิกอาเซยี นและ 1.4) การสร้างเครือขา่ ย ทางการศึกษากับมหาวิทยาลยั ในอาเซยี น 2) สภาพการดำเนนิ การของมหาวิทยาลัยราชภัฎในประชาคมอาเซียน พบวา่ มีเครือข่ายความ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาทั้งในและนอกประชาคมอาเซียนรูปแบบความร่วมมือเปน็ แบบบางส่วนหรือบางกิจกรรมกิจกรรมที่ทำมากที่สุดคือการแลกเปลี่ยนนักศึกษาอาจารย์และบุคลากร และลักษณะของความร่วมมือมีความเข้มแข็งและต่อเนื่องในบางเครือข่าย ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการ พฒั นาเครือขา่ ยความรว่ มมือทางวิชาการ ประกอบด้วย 1) กระบวนการสร้างเครือข่ายมีข้ันตอน คือ 1.1) ขั้นตระหนักถึงความจำเป็นในการสร้างเครือข่าย 1.2) ขั้นประสานหน่วยงาน/องค์กรเครือข่าย 1.3) ข้ัน สร้างพันธสัญญาร่วมกัน 1.4) ขั้นบริหารจัดการเครือข่าย 1.5) ขั้นพัฒนาความสัมพันธ์ 1.6) ขั้นรักษา ความสัมพันธอ์ ย่างต่อเนือ่ ง 2) องค์ประกอบของเครือข่ายความร่วมมอื ทางวิชาการมี ร องค์ประกอบ คือ 2.) กิจกรรมสำคัญ ที่เสริมประสิทธิภาพการดำเนินภารกิจของเครือข่าย 2.2) เทคนิควิธีการพัฒนาสมาชิก เครือขา่ ย 2.3) กระบวนการเสริมสร้างพลังอำนาจ (Empowerment) 2.4 คณุ ลักษณะทีด่ ขี องสมาชิกและ ผนู้ ำเครือขา่ ย 2.5) การปฏบิ ตั ิงานของเครือข่ายและการสะท้อนผล 3) ขอบขา่ ยภารกิจงานด้านวิชาการมี 7 ภารกิจ คือ 3.1) การพัฒนาหลักสูตร 3.2) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 3.3) การพัฒนาการวัดและ ประเมินผลการศึกษา 3.4) การพัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา 3.5) การพัฒนาระบบ การนิเทศติดตาม 3.6) การพัฒนาระบบประกันคุณภาพการศึกษา 3.7) การพัฒนาระบบบริหารจัด การศึกษา 4) ผลการทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการ สูงกว่าเกณฑ์ ที่กำหนดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 สำหรับประเทศไทยจากการศึกษาข้อมูล พบว่า รัฐมีแนวนโยบายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทในการจัดการศึกษาและมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาของรัฐ โดยถือว่าการศึกษาโดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นบริการสาธารณะประเภทหน่ึง ที่ต้องจัดให้ท่ัวถึงและมีคุณภาพ การวิจัยครั้งนีพ้ บว่าผู้บรหิ ารองค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ สว่ นใหญ่เห็นวา่
| หนา้ ท่ี 58 มีความจำเป็นต้องดำเนินภารกิจโดยอาศัยความร่วมมือในการจัดการศึกษา และได้ข้อสรุปว่าหลักการ ร่วมมือจัดการศึกษาที่ควรนำมาใช้ประกอบด้วยหลักการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นคุณภาพ หลักความ สอดคล้องกับพื้นที่ หลักการศึกษาตลอดชีวิต หลักการระดมทรัพยากร กับหลักความสมัครใจและมุ่งมั่น นอกจากนีย้ งั ได้นำเสนอรปู แบบความร่วมมือ ซ่ึงสามารถนำมาใช้ในประเทศไทย รปู แบบความร่วมมือที่ไม่ เป็นนิติบุคคล คือ ความร่วมมือตามพื้นที่บริการ ความร่วมมือตามแบบเครือข่ายหรือภาคีความร่วมมือ ความร่วมมือแบบแบ่งงาน ความร่วมมือตามระดับศักยภาพ มีความเหมาะสมและเป็นไปได้ โดยเฉพาะ หากเป็นความร่วมมือภายใต้ระเบียบกฎหมายที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือปฏิบัติอยู่และสามารถ ดำเนินการได้ทันทีโดยได้รับความเห็นชอบของสภาท้องถิ่นแต่ละแห่งตามแนวทางทีเ่ สนอโดยกรมส่งเสรมิ การปกครองท้องถิ่น ส่วนความร่วมมือในรูปแบบที่เป็นนิติบุคคลอาจพิจารณาการบริหารงานในรูป คณะกรรมการร่วม (Joint Board) ซึ่งดำเนินการได้ง่ายกว่าสหการที่แม้จะเป็นรูปแบบที่ต่างประเทศได้ ดำเนินการและได้รับความสำเร็จมาแลว้ แต่ประเทศไทยจำเปน็ ต้องมีการแกไ้ ขปรบั ปรงุ ระเบียบ กฎหมาย ที่เกี่ยวข้องก่อน โดยเฉพาะในส่วนสหการเฉพาะของเทศบาลโดยการแก้ไขพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 (รวมทั้งที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 13 พ.ศ. 2552) ที่กำหนดว่าการจัดตั้งและยุบเลกิ สหการ จะทำได้ก็แต่โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ซึ่งทำให้มีความยากลำบากทั้งในการจัดตั้งและยุบเลิก นอกจากนี้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นยังควรจัดการประชุมสัมมนาเพื่อทำความเข้าใจรูปแบบ ดังกล่าวให้ชัดเจนก่อนเนื่องจากผลการวิจยั พบว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจและไม่เข้าใจความร่วมมือใน รูปแบบสหการในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม การที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 สนับสนุนให้องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นจดั ตั้งหรือร่วมกนั จัดตั้งองค์การเพื่อการจดั ทำ บริการสาธารณะจึงเป็นโอกาสอันดีที่จะนำเสนอรปู แบบความร่วมมือในการจัดตั้งสหการการศึกษาขึ้นใน ประเทศไทย พิมพ์ปรียวาท น้อยคล้าย (2559) ได้ทำการศึกษาแนวทางการมีส่วนร่วมของชุมชนในการ บริหารโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา พบว่า แนวทางการมีส่วนร่วมของชุมชนในการ บริหารโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา มี 5 ด้าน ดังนี้ ด้านที่ 1 การมีส่วนร่วมในการ วางแผน ได้แก่ การมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนกลยุทธ์ของโรงเรียน การมีส่วนร่วมในการวางแผน ปฏิบัติการประจำปี และการมีส่วนร่วมในการวางแผนสนับสนุนงานด้านงบประมาณ จากการสัมภาษณ์ ผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ชุมชนมีส่วนร่วมในการรับรู้เกี่ยวกับปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาใน โรงเรียน ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดทำหลักสูตรและแผนงานต่างๆ ของโรงเรียนชุมชนมีส่วนร่วมในการ สนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน ชุมชนมีส่วนร่วมในการวางแผนสนับสนุนงานด้านงบประมาณใน กิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน และชุมชนมีส่วนร่วมในการวางแผนการพัฒนาครูและบุคลากรในโรงเรียน ด้านที่ 2 การมีส่วนรว่ มในการตดั สนิ ใจ ได้แก่ การมสี ่วนรว่ มในการแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจในการ พัฒนาข้อมูลสารสนเทศ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการปรับสภาพภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อมของ สถานศึกษา และการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจในการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพ การศึกษาของโรงเรียน จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศกึ ษา พบว่า ชุมชนมีส่วนร่วมในการแสดงความ คิดเห็นและตัดสินใจในการจัดการศึกษาของโรงเรียน ชุมชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและ ตดั สนิ ใจในการจัดทำหลักสูตรของโรงเรียน ชุมชนมีสว่ นร่วมในการแสดงความคดิ เห็นและตัดสินใจในการ
| หน้าท่ี 59 จัดกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน ชุมชน มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจคัดสรร คณะกรรมการที่ปรึกษาในการบริหารโรงเรียน ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครอง เครือขา่ ย และชมุ ชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจสนับสนนุ งบประมาณและวธิ ีการใช้ส่ืออปุ กรณ์ต่าง ๆ ของ โรงเรียน ด้านท่ี 3 การมีสว่ นรว่ มในการระดมทรัพยากรและเทคโนโลยีท้องถิ่นได้แก่ การมีส่วนร่วมในการ ระดมทรัพยากรในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การสร้างห้องสมุดมีชีวิต ห้องอัจฉริยะ ฯลฯเพื่อพัฒนาโรงเรียน การมีสวนร่วมในการติดต่อเพื่อแสวงหาแหล่งทุนจากภายในและภายนอกท้องถิ่น และการมีส่วนร่วมใน การชวนบุคลากรในท้องถิ่นท่ีมีความรู้ ความสามารถและเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ เข้ามาเป็นวิทยากรให้ ความรู้กบั ครูและนักเรียน จากการสมั ภาษณ์ผ้บู รหิ ารสถานศึกษา พบวา่ ชมุ ชนมีส่วนรว่ มในการสนับสนุน ด้านงบประมาณในการพัฒนาโรงเรียน ชุมชนมีส่วนร่วมการสนับสนุนงบประมาณในการติดต่อเพ่ือ แสวงหา เอกพล ดวงศรี (2563) ได้ศกึ ษารูปแบบการมีสว่ นร่วมในการจัดการศึกษาของประชาชนตามร่าง พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ โดยศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจากร่างพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติฉบับใหม่และเอกสาร ที่เกี่ยวข้อง พบว่า ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริม การมีส่วนรว่ มในการจัดการศกึ ษา โดย สามารถแบ่งรูปแบบการมีส่วนร่วมในการจัดการศกึ ษาออกเป็น 3 ระดับ ดงั น้ี 1. รูปแบบการมีส่วนร่วมระดับสถานศึกษา สถานศึกษาถือเป็นหน่วยจัดการเรียนรู้และกลไก ทเ่ี ลก็ ทส่ี ดุ แตม่ ีความสำคัญมากท่ีสดุ ร่างพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาตจิ ึงไดก้ ำหนดรูปแบบและกลไก การมีส่วนร่วมระดับสถานศึกษาไว้อย่างชัดเจน โดยได้กำหนดกลไกการมีส่วนร่วม ในระดับสถานศึกษา ไว้ 2 กลไก ไดแ้ ก่ ในมาตรา 23 เรยี กว่า “คณะกรรมการสถานศกึ ษา” และ มาตรา 24 เรียกว่า “ประธาน กรรมการสถานศึกษา” ทั้งนี้มีเจตนารมณ์ในการให้ความสำคัญกับสถานศึกษาในพื้นที่ เพื่อยกระดับ คุณภาพการศึกษาของ พื้นที่/ชุมชน จากการศึกษาพบว่า กลไกการมีส่วนร่วมในระดับสถานศึกษา ประกอบด้วย (1) ประธานกรรมการสถานศึกษา เป็นกลไกหลักตามมาตรา 24 และ (2) คณะกรรมการ สถานศึกษาเป็นกลไกหลักตามมาตรา 23 โดยองค์ประกอบของ คณะกรรมการสถานศึกษา ควร ประกอบด้วย (1) ผู้แทนผู้ปกครอง (2) ผู้แทนครูและบุคลากรทางการศึกษา (3) ผู้แทนองค์กร ศาสนา (4) ผู้แทนภาควิชาการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ (5) ผู้แทนองค์กรชุมชน กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน (6) ผู้แทนองค์กร ปกครอง ส่วนท้องถิ่น (7) ผู้แทนครูภูมิปัญญาไทยหรือปราชญ์ชาวบ้าน (8) ผู้แทนศิษย์เก่า (9) ผู้แทน นักเรียน (10) ผู้อำนวยการ สถานศึกษา ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าร่างพระราชบัญญัติได้เปิดโอกาสให้ สถานศึกษามากกว่า 1 แห่ง สามารถมีคณะกรรมการ สถานศึกษาร่วมกันได้ สอดคล้องกับความเห็นจาก พื้นที่กรณีศึกษาที่เสนอว่า เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการศึกษา คณะกรรมการสถานศึกษาของ โรงเรียนขนาดเล็กควรมีโครงสร้างแบบใหม่ โดยอาจมีการรวมกลุ่มของโรงเรียนที่มีพื้นที่ ใกล้เคียงกัน จำนวน 2-5 สถานศึกษาตอ่ คณะกรรมการสถานศึกษา 1 ชดุ และมขี อ้ สงั เกตว่าคณะกรรมการสถานศึกษา 1 คน ไม่ควรดำรงตำแหนง่ ซำ้ ซอ้ นกันเกนิ กว่า 2 สถานศึกษา 2. รูปแบบการมีส่วนร่วมระดับจังหวดั รปู แบบการมสี ่วนร่วมท่ีเชอ่ื มต่อจากระดับสถานศึกษา คือ รปู แบบการมสี ว่ นรว่ มระดับจงั หวัด ประกอบดว้ ยกลไก 6 สว่ น ดังนี้
| หน้าท่ี 60 (1) คณะบคุ คล มาตรา 18 ไดว้ างกลไกการมีสว่ นรว่ มของภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และ ภาคส่วน ต่าง ๆ ในพื้นที่ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมสามารถรวมตัวกันเป็น คณะบุคคลในรปู แบบตา่ ง ๆ เชน่ กลุม่ สภา คณะ หรือชื่อเรียกอ่นื ๆ ซง่ึ อาจมีชือ่ เรยี กแตกต่างกันไปข้ึนอยู่ กับบริบทของพื้นที่ โดยองค์ประกอบของคณะบุคคล ควรประกอบด้วย “บุคคลจากทุกภาคส่วน” ได้แก่ (1) ผู้แทนภาครัฐ (2) ผู้แทนภาคเอกชน (3) ผู้แทนภาควิชาการ (4) ผู้แทน ภาคศาสนา (5) ผู้แทนภาค วิชาชีพ/ประชาสังคม (6) ผู้แทนภาคสื่อมวลชน (7) ผู้แทนภาคประชาชน และ (8) อื่น ๆ ตาม ความ เหมาะสมของพ้ืนที่ (2) คณะกรรมการระดับจังหวัด มาตรา 24 ได้วางกลไกการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาใน รูปแบบ คณะกรรมการระดับจังหวัด ซึ่งอาจมีชื่อเรียกแบบเดียวกันทั้งหมด หรือมีชื่อเรียกแตกต่างกัน ออกไป ทั้งนขี้ ้ึนอยกู่ ับ คณะกรรมการนโยบายกำหนด แต่เพอื่ งา่ ยต่อความเข้าใจในเบ้ืองต้นนีจ้ ึงขอเรียกว่า “คณะกรรมการพฒั นาการจัดการศึกษา จงั หวดั ” มผี วู้ า่ ราชการจงั หวดั เปน็ ผ้ทู ำหนา้ ทีอ่ ำนวยความสะดวก และจัดให้มีการประชุมร่วมกันของประธานกรรมการ สถานศึกษาของรัฐทุกแห่งอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ร่วมกับคณะบุคคลตามมาตรา 18 โดยอาจเชิญหน่วยงานของรัฐ เอกชน หรือ บุคคลที่เกี่ยวข้องมาร่วม ประชุม เพื่อให้ข้อมูลหรือแสดงความคิดเห็นด้วยก็ได้ การประชุมหรือเวทีที่จัดขึ้นนี้ถือว่าเป็นเวที เพื่อ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการศึกษาจังหวัด รวมทั้งเสนอแนะนโยบาย หรือแนวทางในการ พฒั นาการจดั การศกึ ษาท่ีมคี วามเหมาะสมกับจังหวดั ของตน (3) ผู้ว่าราชการจังหวัด มาตรา 24 ได้กำหนดบทบาทหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด คือ การจัด ประชมุ รว่ มกนั ของประธานกรรมการสถานศึกษาตามมาตรา 23 ทกุ แห่งกบั คณะบุคคลอย่างน้อยปีละ 1 คร้งั เพื่อรับฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในจังหวัด รวมทั้งเสนอแนะนโยบาย หรือ แนวทางในการพัฒนาการจัดการศึกษาที่มี ความเหมาะสมกับจังหวัดของตน ดังนั้นจะเห็นว่าผู้ว่าราชการ จังหวัดไม่ได้ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการพัฒนาการศึกษา จังหวัดเช่นเดิม แต่เปลี่ยนไปทำหน้าที่เป็นผู้ อำนวยความสะดวก ประสานความร่วมมือหน่วยงานตา่ ง ๆ ในจงั หวดั เพือ่ ให้ ความรว่ มมอื กับคณะกรรมการ พัฒนาการศกึ ษาจังหวัดทเี่ กดิ จากการมีสว่ นรว่ มของประธานกรรมการสถานศึกษาและคณะบคุ คล (4) สำนกั งานศึกษาธิการจังหวัด สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษา และองค์การบริหารส่วนจังหวัด เนอื่ งจากในร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาตฉิ บับใหม่ไม่ไดก้ ำหนดกลไกทีจ่ ะทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ ในการประชุม รว่ มกนั ตามมาตรา 24 และหนว่ ยงานจดแจ้งหรือรับรองการรวมตัวกันของคณะบุคคลตาม มาตรา 18 รวมทั้งไม่มีการกล่าวถึง หน่วยกำกับ ติดตามการมีส่วนร่วมในการพัฒนาการจัดการศึกษา แต่ จะเห็นว่ามีการตั้งหน่วยงาน คือ สำนักงานศึกษาธิการ จังหวัด มีภารกิจ อำนาจหน้าที่สอดคล้องกับ ภารกจิ ดังกลา่ วและเป็นหน่วยงานการศึกษาในพ้ืนที่ จึงเหน็ ว่าศึกษาธิการจังหวัด ควรจะเป็นกลไกหน่ึงใน การทำหน้าท่ซี ง่ึ สอดคล้องกบั ภารกิจหน้าทเี่ ดิมตามท่ีกฎหมายบัญญตั ินอกจากน้ใี นบางพื้นที่สำนกั งาน เขต พื้นที่การศึกษาที่มีที่ตั้งในพื้นที่ก็มีส่วนสำคัญในการจัดการศึกษาของพื้นที่ และมีข้อมูลสารสนเทศทาง การศกึ ษาของ สถานศกึ ษาในสังกดั ด้วย รวมท้งั องคก์ ารบริหารส่วนจงั หวัด (อบจ.) ยงั เปน็ หน่วยงานทด่ี ูแล การจัดการศึกษาในสังกัด กระทรวงมหาดไทย และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมในพื้นที่ท่ี ประสบความสำเร็จอย่างเห็นได้ชัด ทั้ง 3 กลไกนี้ จึงควรมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของพื้นที่ในระดับ จังหวัด โดยทั้ง 3 หน่วยงานนี้อาจจะทำหน้าที่ร่วมกันในการเป็นฝ่าย เลขานุการของคณะกรรมการ
| หนา้ ท่ี 61 พัฒนาการจัดการศึกษาระดับจังหวัด และทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ว่าราชการจังหวัด ประสานงาน และ อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ด้วย สอดคล้องกับความเห็นของพื้นที่กรณีศึกษาพบว่า ท้ัง 3 หน่วยงานมี ข้อมลู พน้ื ฐานดา้ น การศึกษาและเปน็ ฝา่ ยเลขานกุ ารท่ีรับผดิ ชอบงานดา้ นการศึกษาอยู่แล้ว (5) หน่วยงานรัฐ มาตรา 24 ได้กำหนดให้หน่วยงานรัฐเป็นกลไกร่วมในการมีส่วนร่วมระดับ จงั หวดั โดย อาจเชิญมาประชมุ ร่วมกันกบั ประธานกรรมการสถานศึกษากไ็ ด้ควรประกอบด้วยหนว่ ยงานรัฐ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา ของจังหวัด เช่น (1) นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด,ตำบล (2) นายกเทศมนตรีเทศบาล,นคร,เมือง (3) พัฒนาสังคมจังหวัด (4) ผู้อำนวยการพระพุทธศาสนาจังหวัด (5) สาธารณสุขจังหวัด (6) วัฒนธรรมจังหวัด (7) พัฒนาการจังหวัด (8) ท่องเที่ยวและ กีฬาจังหวัด (9) ท้องถิ่นจังหวัด (10) ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษา (11) ผู้อำนวยการ กศน. จงั หวัด (12) ประธานกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัด (13) ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษา เอกชน และ (14) อ่ืน ๆ ตาม ความเหมาะสมของพน้ื ท่ี (6) เอกชน มาตรา 24 ได้กำหนดให้เอกชนเป็นกลไกร่วมในการมีส่วนร่วมระดับจังหวัดโดยอาจ เชิญมา ประชุมร่วมกันกับประธานกรรมการสถานศึกษาก็ได้เอกชนควรประกอบไปด้วยบคุ คลหรือผู้แทน สถานประกอบในจังหวดั โดยมีหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน อำนวยความสะดวก ให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง กับการจัดการศึกษา สนับสนุนทรพั ยากรทาง การศึกษา หรือเข้าร่วมประชมุ คณะกรรมการพัฒนาการจดั การศึกษาจังหวดั ตามวาระและโอกาส โดยภาคเอกชนควร ประกอบด้วย (1) ผแู้ ทนสถานประกอบการ (2) ผู้แทนสภาหอการค้าจังหวัด (3) ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมจังหวัด (4) ผู้แทนสภา อุตสาหกรรมท่องเที่ยว จังหวดั (5) ผูแ้ ทนสภาวัฒนธรรมจังหวดั (6) ผ้แู ทนสถานศึกษาเอกชน และ (7) อน่ื ๆ ตามความเหมาะสม 1.3 รูปแบบการมสี ่วนรว่ มระดบั ชาติ มาตรา 82 ได้วางกลไกการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาระดับชาติเรียกว่า “คณะกรรมการนโยบาย การศึกษาแห่งชาติ” เป็นหน่วยนโยบายระดับบน ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรี มอบหมายเป็นประธาน และมีรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็น รองประธาน และกรรมการโดยตำแหน่ง จำนวน 7 คน และมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากทุกภาคส่วน จำนวน 12 คน โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการ นโยบายการศึกษาแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ และใหเ้ ลขาธกิ าร แตง่ ตง้ั เจ้าหน้าทีข่ องสำนักงานเปน็ ผ้ชู ว่ ยเลขานุการได้ไมเ่ กิน 2 คน และมาตรา 88 เปิด โอกาสให้ตั้งคณะกรรมการอย่างน้อย 4 คณะ ได้แก่ (1) คณะกรรมการที่ทำหน้าที่ศึกษาและวิจัย (2) คณะกรรมการที่ทำหน้าท่ียกรา่ งแผนการศึกษาแห่งชาติ (3) คณะกรรมการที่ทำหน้าทีต่ ดิ ตามดูแลการจดั การศกึ ษา (4) คณะกรรมการที่ทำหน้าท่ขี บั เคล่ือนการปฏิรูปการศึกษา และ (5) คณะกรรมการอนื่ ๆ อย่างไรก็ตาม เพ่อื ใหเ้ กิดการมีส่วนรว่ มในการจดั การศกึ ษาท่เี ชื่อมโยงจากระดบั จังหวดั ควรมี การแต่งตั้งคณะกรรมการอื่น ๆ ตามมาตรา 88 ซึ่งเปิดโอกาสและให้อำนาจแก่คณะกรรมการนโยบาย การศึกษาแห่งชาติสามารถแต่งตัง้ CMU Journal of Education, Vol. 4 No. 3 2020 ศึกษาศาสตร์สาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 4 ฉบับที่ 3 2563 78 คณะกรรมการด้านอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ เพื่อประโยชน์ใน การปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และต่อเนื่อง ซึ่ง คณะกรรมการที่ควรแต่งตั้งเพิ่มเติม คือ “คณะกรรมการส่งเสริมเครือข่ายการมีส่วนร่วมทางการศึกษา” หรือ “คณะกรรมการ การจัดการศึกษา
| หนา้ ที่ 62 เชิงพื้นที่” หรือชื่อเรียกอย่างอื่น ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนภาคีเครือข่ายการศึกษา สมัชชาการศึกษา หรือ ชื่อเรียกอื่น ๆ ตามบริบทของพื้นที่/จังหวัดเข้ามาเป็นตัวแทนในคณะกรรมการด้านดังกล่าว จะทำให้เกิด ความเชื่อมโยงกัน ทั้งในระนาบบนและระนาบล่างเป็นการทำงานที่เชื่อมประสานและสะท้อนปัญหา ความต้องการในการจัดการศกึ ษาและ การเรียนรขู้ องพนื้ ท่ีไปยังคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบการจัดการศึกษา การเรียนรู้ และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืนตาม เป้าหมายของยทุ ธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) เอกพล ดวงศรี (2563) ได้วิจัยเรื่องการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของประชาชนตามร่าง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ มีประเด็นที่น่าสนใจและนำมาอภิปรายได้ ดังนี้ 1. รูปแบบ การมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาตามร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ การมีส่วนร่วมทั้ง 3 ระดับ ถึงแม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกันให้การจัดการศึกษาของพื้นที่บรรลุเป้าหมาย ตาม วัตถุประสงคท์ ั้งนี้มีข้อสังเกตวา่ การมสี ว่ นร่วมของทุกภาคสว่ นทั้งระดับสถานศึกษาและระดับจังหวัด ควรเป็นองค์ประกอบแบบยืดหยุ่น โดยใช้คำว่า “อื่นๆ ตามความเหมาะสมของพื้นที่” เนื่องจากการจัด การศึกษาเชิงพื้นที่เป็นแนวคิดท่ี ให้ความสำคัญกับ “พื้นที่” อย่างแท้จริง การดำเนินการต่าง ๆ หรือการ กำหนดประเด็นการมีส่วนร่วมล้วนเกิดจากคนในพื้นท่ี เป็นผู้เห็นความสำคัญ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วม แก้ปัญหา รว่ มพฒั นาจึงจะเกิดความยั่งยนื 2. การใหค้ วามสำคัญกบั การส่งเสริมภาคประชาสงั คม ผู้มีส่วน ได้ส่วนเสีย และประชาชน ในจังหวัดและพน้ื ที่ ผ่านแนวคิดการรวมตวั เป็นคณะบุคคลรูปแบบต่าง ๆ ตาม มาตรา 18 เปิดโอกาสและให้เสรีภาพในการรวมตัวกันของ ประชาชนในจังหวัด อย่างไรก็ตามผู้วิจัยมี ข้อสังเกตว่าการจัดตั้งคณะบุคคลในร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ อาจประสบปัญหา ในทางปฏิบัติอยู่บ้าง เนื่องจากไม่ได้กำหนดจำนวนของคณะบุคคลไว้อย่างชัดเจนว่าจะมีคณะบุคคลได้กี่ คณะ หรือหากจะจัดตั้งหลายคณะได้หรือไม่ รวมทั้งหากมีหลายคณะในการจัดประชุมตามมาตรา 24 จะต้องเชิญคณะบุคคลกลุ่มใด และรับฟังข้อเสนอแนะของคณะใด หรือเชิญเข้าร่วมทุกคณะ ข้อสังเกต ในทางปฏิบตั ินี้จะมีวธิ ีการอย่างไร ในอนาคตเพื่อให้ชัดเจนต้องจัดทำระเบียบว่าด้วยการจัดตัง้ คณะบุคคล ในรูปแบบต่าง ๆ โดยเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ นโยบายการศึกษาแห่งชาติ 3. การให้ความสำคัญกบั คณะกรรมการสถานศึกษาอย่างแท้จริงมิใช่เพียงตำแหน่ง พบว่า กลไก คณะกรรมการสถานศึกษาไม่ได้ เป็นสิ่งใหม่แต่ประการใด เนื่องจากปรากฏอยู่ในกฎกระทรวง กำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้น จาก ตำแหน่งของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2546 จากปัญหาในทางปฏิบัติของ คณะกรรมการสถานศึกษา ในปัจจุบัน พบว่ามีส่วนร่วมค่อนข้างน้อย ขาดความรู้ความเข้าใจในบทบาท หน้าที่ของคณะกรรมการสถานศึกษา และไม่มีเวลา ให้แก่สถานศึกษา ดังนั้นเพื่อให้การมีส่วนร่วมของ คณะกรรมการสถานศึกษามีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้น ร่างพระราชบัญญัติฉบับน้ี จึงกำหนดให้คณะกรรมการ สถานศึกษาเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมในระดับสถานศึกษามิใช่เพียงตำแหน่ง เท่าน้ัน เพื่อให้คณะกรรมการสถานศึกษามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย ทิศทาง หลักสูตร และการดำเนินงาน ของ สถานศึกษาได้อย่างเข้มแข็ง นอกจากนี้จาก ข้อมูลภาคสนามเห็นว่าการประชุมคณะกรรมการ สถานศึกษาควรประชุมกันมากกว่า 2 ครั้งต่อปี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อการวางแผนการจัด การศึกษาของพื้นที่ และเมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสถานศึกษาแล้วควรมีการประชุมเชิงปฏิบัติการ
| หน้าท่ี 63 สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการสถานศึกษา ควรกำหนดบทบาทหน้าที่ของ คณะกรรมการ สถานศกึ ษาให้ชัดเจนว่ามีอำนาจและหน้าที่ในเรื่องใดบ้าง อำนาจหนา้ ที่เรื่องใดเป็นการให้ ความเห็นหรือข้อเสนอแนะ เรื่องใด เป็นเรื่องให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติ และประการสำคัญ คือ ควรมี อำนาจหน้าที่ในการอนุมัติแผนการจัดการศึกษาของ สถานศึกษานั้น ๆ ด้วย 4. หน้าที่ของผู้ว่าราชการ จังหวัดเปลี่ยนไปจากเดิม ปัจจุบันผู้ว่าราชการจังหวัดจะทำหน้าที่เป็นประธาน คณะกรรมการพัฒนา การศึกษาจังหวัดแต่ในร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติมาตรา 24 บทบาทของผู้ว่าราชการจังหวัด จะเปลี่ยนแปลงไป โดยจะทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก ประสานความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ ใน จังหวัด เพื่อให้ความร่วมมือ กับคณะกรรมการพัฒนาการศึกษาจังหวัดที่เกิดจากการมีส่วนร่วมระหว่าง ประธานกรรมการสถานศึกษาและคณะบุคคล โดยผู้ที่จะทำหน้าที่ประธานการประชุมร่วมกันตาม มาตรา 24 ไม่ใช่ผวู้ า่ ราชการจังหวดั แตจ่ ะเปน็ ประธานซ่งึ ที่ประชุมเลอื ก 3.2 งานวจิ ยั ต่างประเทศ Delancy (2000) ได้ศึกษาการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในกระบวนการการตัดสินใจในหลักสูตร การเรียนระดับเขต พบว่า การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชนต่อการกำหนดหลักสูตรการสอนของ โรงเรียนมีผลต่อ วิสัยทัศน์นักการศึกษาและมีความคิดเห็นแตกต่างกัน การใช้วิธีสื่อสารที่เหมาะสมและ การสื่อสารสองทางจะเกดิ ประโยชน์ใน กระบวนการตดั สินใจ และทำใหไ้ ม่เกิดความขัดแย้งในโรงเรียน Pryor (2005) ได้ศึกษาการระดมกำลังการมีส่วนร่วมของ ชุมชนสังคมเมืองสำหรับการจัดการ เรยี นการสอนในชนบท กรณีศึกษาประเทศกานา พบว่า การมีส่วนรว่ มในชุมชนเกิดจากความต้องการของ ชุมชนเอง โรงเรียนควรจะกระตือรือร้นในการพยายามสร้างความรว่ มมือมากกว่าการหวังพึ่งให้ชุมชนเขา้ มาชว่ ยพฒั นาโรงเรียน กรณีศึกษาประเทศสิงคโปร์ หลักการ การบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จเนื่องจากเป็นประเทศขนาดเล็ก โดยมีการจัดการเชิงพื้นที่ โดยมีกระทรวงศึกษาธิการเป็นแกนนำในการกำหนดนโยบายการศึกษาของประเทศเพื่อให้สอดคล้องกับ การพัฒนาประเทศ ตลาดแรงงาน และข้อเสนอแนะของนกั การศึกษา วัตถุประสงค์ 1. เพอื่ ให้นักเรียนคิดเป็นและเปน็ พลเมืองทเี่ รียนรู้ตลอดชีวิต สอดคล้องกับความต้องการของ ตลาดแรงงาน การดำเนินการมเี อกภาพมุง่ เนน้ การทำตามนโยบายการศกึ ษาใหม่ผ่านการจดั การให้มีความ พร้อมเพรียงของทรพั ยากรการศกึ ษา 2. เพื่อใหส้ ถานศกึ ษามีคณุ ภาพเทา่ นเทยี มกัน สถาบนั การศึกษาแกง่ ชาตเิ ปน็ หนว่ ยงานหลักใน การผลิตและทักษะครูใหต้ อบสนองตามนโยบาย จำทำให้เกิดความพร้อมของบุคคลากรท่ีจะสนับสนุน นโยบายการศึกษา บทบาทและหน้าท่ี/แนวทางในการจดั ตงั้ สมัชชาการศกึ ษา ประเทสสงิ คโปร์ ยังไม่มีการมีสว่ นร่วมของภาคประชาสังคมในการเปน็ Citizen Participation in Education ทจี่ ะมากำหนดนโยบายในเชงิ พื้นทแ่ี ละสง่ ต่อกลับไปส่สู มัชชาการศึกษาระดบั ชาติ
| หนา้ ที่ 64 กรณศี กึ ษาประเทศญีป่ ่นุ หลักการ มกี ารจัดลำกบั การพฒั นาการศึกษาในระดับแนวหน้าของโลก ดำเนินการโดยกระทรงศึกษา วัฒนธรรม กฬี า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซง่ึ เปน็ กระทรวงทรี่ บั ผิดชอบด้านการศกึ ษา โดยมีสภา การศกึ ษากลาง ทีดำเนนิ การใหม้ ีการกระจายอำนาจและบทบาทการศกึ ษาเพื่อเปิดกวา้ งใหช้ มุ ชนเขา้ มามี ส่วนร่วมในการบรหิ ารจดั การศึกษาในระดับพนื้ ที่ วตั ถุประสงค์ 1. เพอ่ื เสนอความต้องการของผ้ปู กครองและชุมชนต่อสถานศึกษา 2. เพื่อสร้างการมสี ่วนร่วมระหว่างสถานศกึ ษาและชมุ ชน 3. เพื่อกระตุ้นให้สถานศึกษามีความรบั ผดิ ชอบต่อชุมชนในกา้ นการเป็นแหลง่ ข้อมูลขา่ วสาร บทบาทหนา้ ที่ 1. จดั สรรงบประมาณและพิจารณาจา้ งครูและอบรมพัฒนาบคุ ลากร 2. อนุมตั ิแผนการสอนและแผนบริหารสถานศึกษา 3. เสนอแนะดา้ นบุคลากรและสรา้ งความร่วมมอื กับชมุ ชน 4. สนบั สนนุ การศกึ ษาในหอ้ งเรียน 5. ลดความเหล่อื มลำ้ ของนักเรียน 6. ส่งเสรมิ แนวทางการเรยี นรู้ตลอดชวี ิต แนวทางในการจัดตง้ั สมัชชาการศึกษา รัฐบาลญป่ี ่นุ ได้กำหนดให้การมีสว่ นรว่ มเปน็ กฎหมาย จึงเกิดโครงสรา้ งการบรหิ ารเชิงพื้นท่ี ท้ังใน ระดับจังหวัด และระดับเมอื ง มกี ารกำหนดตำแหนง่ คณะกรรมการตา่ งๆ ตามโครงสรา้ ง การปกครอง และ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้ามาทำหน้าที่ ด้านการมีส่วนร่วม ในการศึกษาระดับพื้นที่ และมีการกำหนด ความรับผิดชอบอย่างชัดเจนในระดับสถานศึกษา มีคณะกรรมการสภาการจัดการ ศึกษา ที่ท้องถิ่นและ องค์กรภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการ กำกับตรวจสอบสถานศึกษา เน้นการมีส่วนร่วมของ ประชาชน ทั้งนี้ ยังไม่พบการมีส่วนร่วมในภาคประชาสังคมเข้ามาทำหน้าที่ กำหนดและกำกับนโยบาย การศึกษาในระดบั พืน้ ท่ี และส่งต่อไปสรู่ ะดบั สมชั ชาการศึกษาระดับชาติ หมายเหตุ : ทั้งประเทศสิงคโปร์ และประเทศญี่ปุ่น การมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ของทุก ภาคส่วน มาจากกลไกจากภาครัฐทั้งสองประเทศ โดยเป็นกลไกเชิงกฎหมาย กลไกเชิงบริหาร ส่วนการ ก่อตั้งสมชั ชามาโดยเน้ือแท้นน้ั ยงั ไมม่ ี กรณศี กึ ษาประเทศฟินแลนด์ หลกั การ 1. การให้โอกาสทเ่ี ทา่ เทียมกันในการเรียนรแู้ ละการพฒั นาแก่เด็กและเยาวชน 2. สนับสนุนบทบาทหลักให้เป็นของผเู้ รียน 3. ระบบบริหารการศกึ ษา มี 2 ระดับ ได้แก่ ส่วนกลาง และระดับท้องถิน่ ส่วนกลาง คือ กระทรวงศกึ ษาธกิ ารและวฒั นธรรม กำหนดนโยบายการศกึ ษาฟรที ุกระดับการศึกษา
| หน้าท่ี 65 4. ในระดับท้องถิ่น ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทหลักกับสถานศึกษาและให้มีผู้แทน ในสมชั ชาสถานศกึ ษา เพ่ือใหก้ ารจดั การศกึ ษามกี ารบรหิ ารจดั การตนเอง ตามความแตกตา่ งของแตล่ ะท้องถ่ิน วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ ให้การจดั การศึกษาและการจดั การทรพั ยากรการศึกษาเชงิ พืน้ ทีม่ ีประสทิ ธิภาพ 2. เพื่อให้ชมุ ชนเข้ามามสี ่วนรว่ มในการตัดสินใจด้านการศึกษาของสถานศึกษา 3. เพือ่ จดั การศกึ ษาให้ตอบสนองความต้องการของชมุ ชน บทบาทและหนา้ ท่/ี แนวทางในการจัดตงั้ สมัชชาการศึกษา 1. บริหารจดั การทรพั ยากรในการจดั การศกึ ษาทุกระดับ ทกุ ประเภท ใหม้ คี วามโปรง่ ใส มปี ระสทิ ธิภาพ 2. ส่งเสริม สนบั สนนุ การจดั การศึกษาในระดับท้องถน่ิ โดยให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม 3. กำกบั ดูแล และติดตามการจดั การศกึ ษาในทกุ รปู แบบใหม้ คี ุณภาพ 4. เปน็ ผู้แทนสมัชชาในสถานศึกษา เพื่อใหค้ วามสำคญั กับความแตกต่างของแตล่ ะท้องถิ่น รูปแบบ/กลไก มีระบบกลไกการขับเคลื่อนเชิงโครงสร้าง เป็นการจัดการเชิงระบบแบบการมีส่วนร่วม ประกอบด้วย โครงสร้างหลัก โครงสร้างรอง และส่วนสนับสนุน มีโครงสร้างที่เน้นการจัดการเชิงพื้นท่ี ในระดับสถานศึกษา มีระดับการบรหิ าร มีการกระจายอำนาจสูท่ อ้ งถิน่ กรณีศึกษาประเทศแคนาดา หลกั การ ส่วนกลางมีนโยบายกระจายอำนาจในระบบการศึกษา เน้นการมีส่วนร่วมกับภาคประชาชน มีสภาการศึกษาของสถานศึกษา เพื่อดำเนินกิจการของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายการศึกษา ระดับพื้นที่และมีองค์กรในระดับชาติของชนพน้ื เมือง ท่ีช่ือวา่ Assembly of First Nation (AFN) วัตถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื เปดิ โอกาสให้ชนพืน้ เมืองมีสว่ นรว่ มในการจัดการศึกษา 2. เพือ่ สนบั สนุนการศกึ ษาของสมาชกิ ในวถิ ีชวี ติ ชนพืน้ เมือง 3. เพ่อื สง่ เสริมการจดั การศึกษาในแตล่ ะเขตมณฑล โดยคณะกรรมการการศกึ ษาระดบั มลรัฐ บทบาทและหน้าท/่ี แนวทางในการจัดตัง้ สมชั ชาการศกึ ษา 1. กำหนดนโยบายการศึกษาในระดับมณฑล โดยเน้นนโยบายการศึกษาที่เปิดกว้างในด้าน หลกั สูตร การเรยี นการสอนและมวี ิชาท่เี กีย่ วข้องกับวฒั นธรรมชนพน้ื เมือง 2. จัดตง้ั กองทนุ การศึกษาเพอื่ สนับสนนุ การศกึ ษาในระดบั ท้องถนิ่ และชนกลุ่มน้อย 3. ให้สภาสถานศึกษา เพื่อทำหน้าที่ดำเนินกจิ การของสถานศึกษาใหส้ อดคล้องกับนโยบาย การศกึ ษาระดับพ้ืนท่ี รปู แบบ/กลไก มรี ะบบกลไกการขบั เคล่ือนเชงิ โครงสร้าง เนน้ ให้เกิดการขับเคลอื่ นของโครงสร้างหลกั คอื เน้น การมี สว่ นรว่ มโดยสภาชนพ้ืนเมืองสคู่ ณะกรรมการการศึกษาระดบั มลรฐั โดยมีวงรอบสนับสนนุ 4 ระดบั ได้แก่ สถานศกึ ษากบั ชมุ ชน ระดับพืน้ ท่ี ระดบั การศึกษาอิสระและระดบั มลรัฐ
บทท่ี 3 วิธีดำเนนิ การศกึ ษา การศกึ ษาเร่ือง “แนวทางการพฒั นากฎหมายเพื่อนำร่องรูปแบบการต้งั คณะบคุ คลในระดับ จังหวัด เพื่อพัฒนาการศึกษาตามกฎหมายการศึกษาชาติ (จังหวัดชุมพร)” มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ศึกษาแนวทางการบูรณาการความร่วมมือในการจัดต้ังคณะบุคคลเพ่ือพัฒนาการศึกษา กฎหมาย การศึกษาและกฎหมายท่ีเก่ียวข้องในระดับจังหวัดชุมพร 2) จัดทำและการนำร่องรูปแบบ กลไก ใน การบริหารจัดการของคณะบุคคลที่กำกับดูแลและสนับสนุนการศึกษาในระดับจังหวัดชุมพรโดยมี เป้าหมายและจุดเด่นที่ชัดเจนเป็นการเฉพาะ ซ่ึงสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งผล ต่อการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และ 3) จัดทำข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายการศึกษาและ กฎหมายท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือให้การบริหารจัดการของคณะบุคคลท่ีดูแลด้านการศึกษาในระดับจังหวัด ชุมพรดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการดำเนินการแบบผสมผสาน (Mixed Method) ทั้ง การศกึ ษาเชงิ ปรมิ าณ และศึกษาเชิงคุณภาพ ท้ังนีม้ วี ธิ ีการดำเนินการศึกษาตามวตั ถุประสงค์ ดังนี้ ขั้นตอนท่ี 1 การศึกษาแนวทางการบูรณาการความร่วมมือในการจัดตั้งคณะบุคคลเพื่อพัฒนา การศึกษา 1. ศึกษาข้อมูลเก่ียวกับการสนับสนุนส่งเสริม ระหว่างรัฐ เอกชน ท้องถ่ิน ชุมชน ในการพัฒนา การศึกษาและการจัดการศึกษาตามกฎหมายและแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาของจังหวัดชุมพร การบูรณาการความร่วมมือในการพัฒนาการศึกษาในระดับจังหวัดจากทุกภาคส่วน ศึกษาโครงสร้าง การบริหารจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในส่วนภูมิภาค จังหวัด การศึกษาเอกชน สถานศึกษาใน สังกัด การใช้ทรัพยากรร่วมกัน และรูปแบบการตั้งคณะบุคคล กลไก ท่ีกำกับดูแลและสนับสนุนการศึกษา ในระดบั จังหวดั ที่บริหารจัดการได้อย่างมปี ระสิทธิภาพของพื้นที่อ่นื 2. วิเคราะห์ และสังเคราะห์องค์ความรู้เก่ียวกับการสนับสนุนการศึกษาขององค์กรและภาค ส่วนต่าง ๆ การบูรณาการความร่วมมือในระดับจังหวัดเพ่ือพัฒนาการศึกษา ตามกฎหมายและ หลักเกณฑ์ต่าง ๆ สภาพบริบทในพืน้ ท่ี ยุทธศาสตร์จังหวัด นโยบาย ของจงั หวัดชุมพร สภาพปัญหาท่ี ผ่านมาและประสิทธิภาพในการดำเนินการเพ่อื กำหนดเครื่องมือและเกณฑ์ในการศึกษา 3. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ตลอดจนรายงาน และข้อมูล กฎหมายการศกึ ษาไทย และกฎหมายทเ่ี กีย่ วข้อง 4. ศึกษาข้อมูลพน้ื ฐาน สภาพบริบท นโยบายด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการเก่ียวกับ การจัดการศึกษาในจังหวัดชุมพร สภาพปัญหาในพื้นที่จังหวัดชุมพรของทุกภาคส่วนในการสนับสนุน ส่งเสริมการศึกษา กลไก รปู แบบการจดั ต้ังคณะบคุ คลทเ่ี ข้ามามสี ว่ นรว่ มในการศกึ ษาในระดับจังหวัด 5. กำหนดกรอบแนวคิดในการศึกษา และจัดทำรายงานฉบับเร่ิมงาน (Inception Report) เสนอตอ่ สำนักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา
| หน้าที่ 67 ข้ันตอนที่ 2 การสร้าง และพัฒนา รูปแบบ กลไก ในการมีส่วนร่วมทางการศึกษาของคณะ บคุ คลทก่ี ำกบั ดแู ลและสนับสนุนการศึกษาในระดบั จงั หวัดชมุ พร 1. เกบ็ รวบรวมข้อมลู ด้วยการสัมภาษณ์เชงิ ลึก (In-dept Interview) ของนักปราชญ์ นกั คิด ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการศึกษา กฎหมาย เอกชน การมีส่วนร่วมและการกระจาย อำนาจ เพื่อให้ได้มาซ่ึงข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการบูรณาการความร่วมมือในการจัดต้ังคณะบุคคลใน จังหวัดชุมพร เพอ่ื พฒั นาการศกึ ษา กฎหมายการศึกษาและกฎหมายทเี่ ก่ียวขอ้ ง การจัดทำและการนำ ร่องรูปแบบ กลไก ของคณะบุคคลท่ีกำกับดแู ลและสนบั สนนุ การศึกษาในจังหวัดชมุ พรโดยมีเปา้ หมาย และจุดเด่นท่ีชัดเจนเป็นการเฉพาะ ซ่ึงสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งผลต่อ การปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา การปรับปรุงกฎหมายการศึกษาและกฎหมายที่เก่ียวข้อง เพื่อให้ ก า ร บ ริ ห าร จั ด ก า ร ข อ งค ณ ะ บุ ค ค ล ที่ ดู แ ล ด้ าน ก า ร ศึ ก ษ า ใน ร ะ ดั บ จั งห วั ด ด ำเนิ น ก าร ได้ อ ย่ างมี ประสิทธิภาพ โดยมีประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือท่ีใช้ในการศึกษา และการวิเคราะห์ข้อมูล ดังน้ี 1.1 ประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง 1.1.1 ประชากร ไดแ้ ก่ ผู้ทรงคุณวุฒิของจังหวัดชุมพรด้านการศกึ ษา ด้านการมีส่วน ร่วมในการจัดการศึกษาของคณะบุคคล ด้านกฎหมาย ด้านภูมิสังคมของชุมพร และด้านนโยบาย การศึกษา 1.1.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ศึกษาได้ทำการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา จำนวน 1 คน ด้านการมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาของคณะบคุ คล จำนวน 1 คน ด้านกฎหมาย จำนวน 1 คน ดา้ นภูมิสังคมของจงั หวัดชุมพร จำนวน 1 คน และดา้ นนโยบายการศึกษา จำนวน 1 คน รวมทงั้ ส้นิ จำนวน 5 คน 1.2 เครอื่ งมือทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษา ผู้ศึกษาไดใ้ ช้แบบสมั ภาษณแ์ บบกึง่ โครงสรา้ งตามกรอบแนวคิดการศึกษา ดงั นี้ 1.2.1 ระดบั การมีสว่ นรว่ มทางการศกึ ษา 3 ระดับ 1.2.1.1 การมสี ว่ นรว่ มทางการศึกษาระดับชาติ 1.2.1.2 การมสี ว่ นรว่ มทางการศึกษาระดบั ภมู ิภาค 1.2.1.3 การมสี ่วนร่วมทางการศึกษาระดบั จังหวดั 1.2.2 องคป์ ระกอบของคณะบุคคลเพอ่ื พัฒนาการศกึ ษาในแต่ละระดบั 1.2.2.1 ภาคองค์ความรู้ 1.2.2.2 ภาคประชาชน 1.2.2.3 ภาครฐั 1.2.3 กิจกรรมหลกั ของคณะบุคคลเพ่ือพัฒนาการศึกษาในแต่ละระดบั 1.2.3.1 การศกึ ษาและพัฒนาองค์ความรู้ 1.2.3.2 การประชมุ คณะบุคคลเพือ่ พฒั นาการศึกษา 1.2.3.3 การตดิ ตามผลข้อเสนอเชงิ นโยบายและยุทธศาสตรส์ กู่ ารปฏิบตั ิ 1.3 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล วเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยการวิเคราะหเ์ น้ือหา (Content Analysis)
| หน้าท่ี 68 2. ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูล กรณีศึกษารูปแบบกลไก ในการมีส่วนร่วมทางการศึกษาของคณะ บุคคลที่กำกับดูแลและสนับสนุนการศึกษาในระดับจังหวัด ท่ีประสบความสำเร็จ (Best Practice) ได้แก่ กรณีระบบการมีส่วนร่วมด้านการศึกษาของพลเมืองประเทศฟินแลนด์ รูปแบบการกระจาย อำนาจในระบบการศึกษาสู่ภาคประชาชนของประเทศแคนาดา รูปแบบสภาการศึกษาของประเทศ ญีป่ ุน่ ภาคเี ชยี งใหมเ่ พื่อการปฏิรปู การศึกษาของจงั หวัดเชียงใหม่ ภาคีเครือข่ายการมีส่วนร่วมทางการ ศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคีเครือข่ายการมีส่วนร่วมทางการศึกษาแบบปัญจภาคีจังหวัดสุรินทร์ และ ภาคเี ครือขา่ ยการมีสว่ นรว่ มทางการศึกษาจงั หวดั ชลบรุ ี 2.1 ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง กรณีศึกษากลไก ในการมีส่วนร่วมทางการศึกษาของคณะบุคคลที่กำกับดูแลและ สนับสนุนการศึกษาที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ และในประเทศ ที่มีผลสำเร็จใน การดำเนินงานของคณะบคุ คล ด้านการจดั การศกึ ษาเป็นท่ียอมรับ 2.2 เครอ่ื งมือท่ใี ช้ในการศกึ ษา แบบตรวจสอบรปู แบบ กลไก ในการมีส่วนร่วมทางการศึกษาของคณะบุคคลท่ีกำกับ ดูแลและสนับสนนุ การศกึ ษา 2.3 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล วเิ คราะห์ขอ้ มูลโดยการวเิ คราะหเ์ นือ้ หา (Content Analysis) 3. เก็บรวบรวมข้อมูลจากการอภิปรายกลุ่มย่อย (focus group discussion) ระหว่าง ผู้ดำเนินการศึกษา นักวิชาการท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน ท้องถิ่น ชุมชน ประชาสังคม ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้บริหารภาครัฐ ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารองค์กรเอกชน ผู้บริหารองค์กรท้องถ่ิน ผู้นำชุมชน ผู้นำ คณะบุคคลท่ีจัดตั้งข้ึนเพ่ือการศึกษาในจังหวัด ผู้เก่ียวข้องทั้งระดับนโยบาย ระดับพ้ืนท่ี และระดับ สถานศึกษา เพื่อรับฟังความคิดเห็น วิพากษ์ ให้ข้อคิดเห็นในการศึกษาและเป็นไปตามเป้าหมายการ ดำเนินงาน 3.1 ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ ง 3.1.1 ประชากร ได้แก่ นักวิชาการท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน ท้องถ่ิน ชุมชน ประชา สังคม ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้บริหารภาครัฐ ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารองค์กรเอกชน ผู้บริหารองค์กร ท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ผู้นำคณะบุคคลท่ีจัดตั้งขึ้นเพื่อการศึกษาในจังหวัด ผู้เก่ียวข้องท้ังระดับนโยบาย ระดับพืน้ ท่ี และระดบั สถานศึกษา 3.1.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ศึกษาได้ทำการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) นักวิชาการทงั้ ภาครัฐ ภาคเอกชน ท้องถ่ิน ชุมชน ประชาสังคม ผทู้ รงคุณวฒุ ิ ผู้บริหารภาครัฐ ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารองค์กรเอกชน ผู้บริหารองค์กรท้องถ่ิน ผู้นำชุมชน ผู้นำ คณะบุคคลท่ีจัดตั้งขึ้นเพ่ือการศึกษาในจังหวัด ผู้เก่ียวข้องท้ังระดับนโยบาย ระดับพ้ืนที่ และระดับ สถานศกึ ษา รวมทงั้ สน้ิ 23 คน
| หน้าท่ี 69 3.2 เครอื่ งมือทใ่ี ชใ้ นการศึกษา ผู้ศึกษาได้ใช้แบบอภิปรายกลุ่มย่อยแบบก่ึงโครงสร้างตามกรอบแนวคิดการศึกษา ดังนี้ 3.2.1 ระดับการมีสว่ นรว่ มทางการศกึ ษา 3 ระดับ 3.2.1.1 การมีสว่ นรว่ มทางการศกึ ษาระดบั ชาติ 3.2.1.2 การมสี ่วนรว่ มทางการศึกษาระดับภูมิภาค 3.2.1.3 การมสี ่วนร่วมทางการศึกษาระดับจงั หวัด 3.2.2 องค์ประกอบของคณะบุคคลเพ่อื พัฒนาการศกึ ษาในแต่ละระดบั 3.2.2.1 ภาคองค์ความรู้ 3.2.2.2 ภาคประชาชน 3.2.2.3 ภาครฐั 3.2.3 กจิ กรรมหลกั ของคณะบุคคลเพื่อพฒั นาการศึกษาในแต่ละระดับ 3.2.3.1 การศึกษาและพฒั นาองค์ความรู้ 3.2.3.2 การประชุมคณะบุคคลเพ่ือพฒั นาการศกึ ษา 3.2.3.3 การตดิ ตามผลข้อเสนอเชิงนโยบายและยทุ ธศาสตร์สู่การปฏบิ ตั ิ 3.3 การวเิ คราะหข์ ้อมูล วิเคราะหข์ อ้ มูลโดยการวิเคราะหเ์ น้ือหา (Content Analysis) 4. จัดทำรูปแบบ กลไก ในการมีส่วนร่วมทางการศึกษาของคณะบุคคลท่ีกำกับดูแลและ สนับสนนุ การศึกษาในระดบั จังหวดั ชุมพร 5. ดำเนินการนำร่องขับเคลื่อนตามรูปแบบ กลไก การจัดต้ังคณะบุคคลในจังหวัดชุมพร เพ่ือ การพฒั นาการศกึ ษาในจังหวดั ชมุ พร ขั้นตอนท่ี 3 กำหนดข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายการศึกษาและกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง เพอ่ื ให้การบรหิ ารจดั การของคณะบุคคลทดี่ ูแลด้านการศึกษาในระดับจังหวดั ชมุ พร 1. กำหนดข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายการศึกษาและกฎหมายที่เก่ียวข้อง เพ่ือให้การ บริหารจดั การของคณะบุคคลท่ีดูแลด้านการศึกษาในระดับจังหวดั ชุมพร จากข้อมลู การศึกษาขั้นตอน ท่ี 1 และ ขนั้ ตอนที่ 2 2. ตรวจสอบความเหมาะสมของข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายการศึกษาและกฎหมายท่ี เก่ียวข้อง เพ่ือให้การบริหารจัดการของคณะบุคคลท่ีดูแลด้านการศึกษาในระดับจังหวัดชุมพร โดยใช้ แบบสอบถามความคดิ เห็นใหแ้ กค่ ณะกรรมการศกึ ษาธิการจังหวดั ชมุ พร 2.1 ประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง ประชากร คณะกรรมการศึกษาธิการจงั หวดั ชมุ พร และเลขานกุ าร จำนวน 17 คน 2.2 เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการศึกษา แบบสอบถามความคิดเห็นข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายการศึกษาและกฎหมายท่ี เกย่ี วข้อง เพอ่ื ให้การบรหิ ารจัดการของคณะบคุ คลทด่ี ูแลด้านการศกึ ษาในระดับจงั หวัดชุมพร โดยเป็น แบบมาตราส่วนประมาณคา่ 5 ระดับ คือ
| หน้าท่ี 70 ระดบั 5 หมายถึง เหน็ ด้วยกบั ขอ้ เสนอมากที่สดุ ระดับ 4 หมายถงึ เหน็ ดว้ ยกบั ข้อเสนอมาก ระดับ 3 หมายถึง เหน็ ด้วยกบั ข้อเสนอปานกลาง ระดบั 2 หมายถงึ เห็นดว้ ยกับขอ้ เสนอนอ้ ย ระดบั 1 หมายถึง เหน็ ดว้ ยกับข้อเสนอน้อยที่สดุ 2.3 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู การวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistic)โดยใชต้ ารางแจกแจง ความถี่ แสดงผลเป็นค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 3. พัฒนาข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายการศึกษาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การบริหาร จดั การของคณะบุคคลท่ีดแู ลดา้ นการศึกษาในระดับจังหวัดชมุ พร 4. จัดทำรายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์ (Final Report) และข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมาย และกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง เพื่อให้การบริหารจัดการของคณะบุคคลที่ดูแลด้านการศึกษาระดับจังหวัด ชมุ พร เสนอตอ่ สำนักงานเลขาธิการสภาการศกึ ษา ตารางท่ี 1 ระยะเวลาในการศึกษา กิจกรรม เดือน ต.ค. 64 พ.ย. 64 ธ.ค. 64 1. ศึกษาข้อมูลเก่ียวกับการสนับสนุนส่งเสริม ระหว่างรฐั เอกชน ท้องถิ่น ชมุ ชน ในการพฒั นาการศกึ ษาและการจดั การศึกษาตาม กฎหมายและแผนปฏิรูปประเทศด้านการศกึ ษาของจงั หวัดชุมพร 2 วเิ คราะห์ และสังเคราะห์องคค์ วามรเู้ กย่ี วกบั การสนบั สนุน การศึกษาขององค์กรและภาคสว่ นตา่ ง ๆ การบูรณาการความ ร่วมมือในระดบั จังหวัดเพื่อพัฒนาการศกึ ษา ตามกฎหมายและ หลกั เกณฑ์ตา่ ง ๆ สภาพบรบิ ทในพนื้ ที่จงั หวัดชมุ พร 3.ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวขอ้ ง ตลอดจน รายงาน และข้อมูลกฎหมายการศกึ ษาไทย และกฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 4.ศกึ ษาข้อมูลพนื้ ฐาน สภาพบรบิ ท นโยบายดา้ นการศึกษาของ กระทรวงศึกษาธิการเกย่ี วกับการจัดการศึกษาในจังหวดั ชุมพร 5.กำหนดกรอบแนวคิดในการศกึ ษา และจดั ทำรายงานฉบับเร่ิมงาน (Inception Report) เสนอต่อสำนักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา 6.เก็บรวบรวมขอ้ มูลด้วยการสัมภาษณเ์ ชงิ ลกึ (In-dept Interview) ของนักปราชญ์ นกั คิดผู้เช่ียวชาญหรอื ผู้ทรงคุณวฒุ เิ พือ่ ให้ได้มาซึ่ง ขอ้ มลู เก่ยี วกบั แนวทางการบูรณาการความรว่ มมือในการจัดตัง้ คณะ บคุ คลในจงั หวัดชุมพร เพอ่ื พัฒนาการศึกษา กฎหมายการศึกษาและ
| หน้าที่ 71 กจิ กรรม เดอื น ต.ค. 64 พ.ย. 64 ธ.ค. 64 กฎหมายทเี่ กีย่ วข้อง การจัดทำและการนำร่องรูปแบบ กลไก ของ คณะบุคคลการปรบั ปรงุ กฎหมายการศึกษาและกฎหมายที่เกย่ี วข้อง 7.ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูล กรณีศึกษารูปแบบกลไก ในการมีส่วนร่วม ทางการศึกษาของคณะบุคคลที่กำกับดูแลและสนับสนุนการศึกษา ในระดบั จังหวัด ทีป่ ระสบความสำเรจ็ (Best Practice) 8.เก็บรวบรวมขอ้ มูลจากการอภิปรายกล่มุ ย่อย (focus group discussion) ผมู้ สี ่วนเกย่ี วข้องจำนวน 23 คน เพื่อรบั ฟงั ความ คิดเหน็ วิพากษ์ ใหข้ ้อคิดเหน็ ในการศึกษาและเป็นไปตามเปา้ หมาย การดำเนินงาน 9.จดั ทำรูปแบบ และดำเนินการนำร่องขบั เคลือ่ นตามรูปแบบ กลไก การจดั ตง้ั คณะบุคคลในจังหวัดชมุ พร เพื่อการพัฒนาการศึกษาใน จังหวัดชุมพร 10.กำหนดข้อเสนอการปรบั ปรุงกฎหมายการศกึ ษาและกฎหมายที่ เกยี่ วข้อง เพ่ือใหก้ ารบรหิ ารจัดการของคณะบุคคลที่ดูแลด้าน การศึกษาในระดบั จังหวดั ชุมพร 11.ตรวจสอบความเหมาะสมของข้อเสนอ การปรับปรุงกฎหมายการศึกษาและกฎหมายทเี่ กย่ี วขอ้ ง เพอ่ื ให้การ บริหารจดั การของคณะบุคคลทดี่ แู ลดา้ นการศึกษาในระดับจังหวดั ชุมพร โดยใช้แบบสอบถามความคิดเหน็ ใหแ้ กค่ ณะกรรมการ ศึกษาธิการจงั หวัดชุมพร 12.พฒั นาข้อเสนอการปรบั ปรุงกฎหมายการศึกษาและกฎหมายท่ี เก่ียวข้อง เพอ่ื ให้การบรหิ ารจัดการของคณะบุคคลท่ีดูแลดา้ น การศึกษาในระดบั จงั หวดั ชุมพร 13.จดั ทำรายงานการศึกษาฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) และ ขอ้ เสนอการปรับปรงุ กฎหมายและกฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง เพื่อให้การ บริหารจดั การของคณะบุคคลที่ดูแลด้านการศกึ ษาระดับจังหวดั ชุมพร เสนอต่อสำนกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา
บทที่ 4 ผลการศึกษา ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาแนวทางการพัฒนากฎหมายเพื่อนำร่องรูปแบบการต้ัง คณะบุคคลในระดับจังหวัด เพื่อพัฒนาการศึกษาตามกฎหมายการศึกษาชาติ (จังหวัดชุมพร) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดงั นี้ ขั้นตอนที่ 1 ผลการศึกษาแนวทางการบูรณาการความร่วมมือในการจัดตั้งคณะบุคคลเพื่อพัฒนา การศกึ ษา กฎหมายการศกึ ษาและกฎหมายท่ีเก่ียวข้องในระดับจังหวัดชุมพร จำแนกเปน็ 4 ประเดน็ ดังนี้ 1.1 กฎหมายการศกึ ษาทีเ่ กยี่ วขอ้ ง 1) รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ.2560 2) ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ของคณะกรรมการอิสระเพื่อการ ปฏริ ปู การศึกษาทผี่ า่ นการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา วาระ 3 เม่ือวนั ท่ี 30 เมษายน 2562 3) คำส่งั หัวหน้าคณะรักษาความสงบแหง่ ชาติ ท่ี 19/2560 4) ประกาศแผนการปฏริ ปู ประเทศ(ด้านการศึกษา) วันท่ี 23 กุมภาพันธ์ 2564 1.2 กรณีศึกษารูปแบบการตั้งคณะบุคคล และการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาที่ประสบ ความสำเรจ็ ทัง้ ในประเทศ และต่างประเทศ ดงั นี้ - ในประเทศ ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดนครปฐม จังหวัดชลบุรี และจงั หวดั สุราษฎร์ธานี - ต่างประเทศ ประกอบด้วย ประเทศสิงคโปร์ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศแคนาดา และ ประเทศฟนิ แลนด์ 1.3 งานวิจัยทีเ่ กย่ี วข้อง - สำนกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา (2563) - พฤทธิ์ ศริ บิ รรณพิทักษ์ และคณะ (2563) - เอกพล ดวงศรี (2563) - Delancy (2000) - Pryor (2005) 1.4 การสัมภาษณ์ผ้ทู รงคุณวุฒิ - ด้านการศึกษา - ดา้ นการมีสว่ นรว่ มในการจดั การศึกษาของคณะบคุ คล - ดา้ นกฎหมาย - ด้านภูมิสงั คมของชมุ พร - ดา้ นนโยบายการศกึ ษา จากการศึกษาเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบูรณาการ ความร่วมมือในการจัดตั้งคณะ บุคคลเพื่อพัฒนาการศึกษา กฎหมายการศึกษาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสรุปผลการสัมภาษณ์ คณะผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาระดับจังหวัดและประชุมอภิปราย (Focus group discussion)
| หนา้ ที่ 73 ผู้เกี่ยวข้องทางการศึกษาทุกภาคส่วนในระดับจังหวัด นำมาใช้ในการวิเคราะห์ผลในภาพรวมเพื่อเป็น ขอ้ มูลดำเนนิ การพฒั นา ดงั น้ี ข้อ 1.1 กฎหมายการศึกษาที่เกยี่ วขอ้ ง 1) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 54 วรรคสาม กำหนดให้ “รัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามความต้องการในระบบต่าง ๆ รวมทั้งส่งเสริมให้มี การเรียนรตู้ ลอดชีวิต และจดั ใหม้ กี ารรว่ มมือกันระหว่างรฐั องค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ และภาคเอกชน ในการจัดการศึกษาทุกระดับ โดยรัฐมีหน้าที่ดำเนินการ กำกับ ส่งเสริม และสนับสนุน ให้การจัด การศกึ ษาดงั กลา่ วมคี ณุ ภาพและได้มาตรฐานสากล” จากสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา และการประชุมอภิปราย ผู้เกี่ยวข้องกับการจัด การศึกษาทุกภาคส่วนระดับจังหวัด (Focus group discussion) พบว่า ที่ประชุม เห็นด้วยกับ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช 2560 มาตรา 54 วรรคสาม และมขี อ้ เสนอเพ่ิมเติม คือ - ประชาชนได้รับการศึกษาตามความต้องการในระบบต่าง ๆ อย่างมีคุณภาพ เสมอ ภาค ทัว่ ถงึ และเปน็ ธรรม รวมท้งั ส่งเสริมใหม้ กี ารเรียนรู้ตลอดชวี ติ - จัดให้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน และ ภาคประชาสังคมในการจัดการศกึ ษา 2) ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูป การศึกษาท่ีผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎกี า วาระ 3 เมือ่ วนั ท่ี 30 เมษายน 2562 (อ้างอิงเอกสารการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาฯ ของสำนักงานสภาการศึกษาแห่งชาติ บทที่ 5 องค์ประกอบและกระบวนการมีสว่ นร่วมในการจัดการศกึ ษา ตามรา่ งพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ......) คณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ (มาตรา 82) มาตรา 82 ใหม้ ีคณะกรรมการคณะหน่ึง เรยี กว่า “คณะกรรมการนโยบาย การศกึ ษาแห่งชาติ” ประกอบดว้ ย (1) นายกรฐั มนตรีหรอื รองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรฐั มนตรมี อบหมาย เป็นประธานกรรมการ (2) รฐั มนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธกิ าร เป็นรองประธานกรรมการคนทห่ี นึง่ (3) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็นรองประธาน กรรมการคนทส่ี อง (4) กรรมการโดยตำแหน่ง จำนวนเจ็ดคน ได้แก่ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคม และความ มั่นคงของมนุษย์ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปลัดกระทรวง มหาดไทย ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ผอู้ ำนวยการสำนกั งบประมาณ (5) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ ความสามารถ และ ประสบการณ์ด้านกฎหมาย ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการศึกษาเพื่อคุณวุฒิตามระดับ ด้านการศึกษาเพื่อการพัฒนาตนเอง ด้านการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้านข้อมูลสารสนเทศ ด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน ด้านคนพิการ ด้านบุคคลซึ่งมีความสามารถพิเศษ และด้านการเงิน การคลังหรือเศรษฐศาสตร์ ด้านละหนึ่งคน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นผู้แทนจากภาคเอกชน ซ่งึ ทีป่ ระชมุ รว่ มกนั ของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคม
| หนา้ ที่ 74 ธนาคารไทยมีมติเสนอจำนวนหนึ่งคน และประชาชนซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือเป็นการทั่วไปว่าเป็น ผู้ชำนาญการในภูมิปัญญาท้องถิ่นจำนวนหนึ่งคน ให้เลขาธิการเป็นกรรมการและเลขานุการ โดยให้ เลขาธิการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเป็นผู้ช่วยเลขานุการได้ไม่เกินสองคน กรรมการตาม (2) และ (3) จะมอบอำนาจหรือมอบหมายให้บุคคลอื่นมาประชุมแทนมิได้ เว้นแต่เป็นการมอบให้รัฐมนตรีช่วย ว่าการกระทรวง กรรมการตาม (4) ต้องมาประชุมด้วยตนเอง การมอบหมายให้ผู้ดำรงตำแหน่งรอง ของตำแหน่งดังกล่าวมาประชุมแทนอาจทำได้เป็นครั้งคราว แต่ไม่ทำให้ผู้ดำรงตำแหน่งนั้นพ้นจาก ความรับผิด มติของคณะกรรมการนโยบายมีผลผูกพันส่วนราชการที่มีหัวหน้าส่วนราชการ เป็นกรรมการ การที่ส่วนราชการใดดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการนโยบาย ให้ถือว่า หัวหน้าส่วนราชการซึ่งเป็นกรรมการนั้นจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายการไม่เข้าร่วมประชุมไม่ว่าด้วย เหตใุ ด ไมเ่ ป็นเหตุให้ไม่ตอ้ งปฏิบัตติ ามความในวรรคหา้ จากสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา และการประชุมอภิปราย ผู้เกี่ยวข้องกับการจัด การศึกษาทุกภาคส่วนระดับจังหวัด (Focus group discussion) พบว่า ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเห็นด้วยกับ ร่างพระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาที่ผ่าน การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา วาระ 3 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และขอเพิ่มผู้เกี่ยวข้อง ดงั น้ี มาตรา 82 เพ่ิมเลขาธิการคุรสุ ภา /ผู้แทนครู/ ผ้แู ทนผ้บู รหิ ารสถานศึกษา (2) ประธานคณะกรรมการสถานศึกษา (มาตรา 24) และคณะกรรมการสถานศึกษา (มาตรา 23) ประธานคณะกรรมการสถานศึกษา (มาตรา 24) ในแต่ละจงั หวัด ให้ผวู้ า่ ราชการจังหวัดจัด ให้มีการประชุมร่วมกันของประธานในคณะกรรมการสถานศึกษาตามมาตรา 23 ทุกแห่งอย่างน้อยปีละ หน่ึงครั้ง เพอ่ื รับฟงั และแลกเปลยี่ นความคิดเห็นเกย่ี วกบั การจัดการศึกษาในจังหวดั รวมทง้ั เสนอแนะนโยบาย หรือแนวทางในการพัฒนาการจัดการศึกษาที่มีความเหมาะสมกับจงั หวดั ของตนโดยอาจเชิญหนว่ ยงานของรัฐ เอกชนหรือบคุ คลทเี่ ก่ยี วข้องมาร่วมประชุมเพ่อื ให้ข้อมูลหรอื แสดงความคิดเหน็ ได้ ในการจัดประชมุ ตามวรรคหนง่ึ จังหวัดใดมีการต้งั คณะบุคคลตามมาตรา 18 ให้เชิญคณะบุคคล ดังกลา่ วมารว่ มประชมุ ดว้ ย ในการประชุมตามวรรคหนึ่ง ให้ที่ประชุมเลือกผู้เข้าร่วมประชุมคนหนึ่งทำหน้าท่ี ประธานในท่ี ประชุม ให้หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องกับการจัดการศึกษาและคณะกรรมการนโยบายนำ ข้อเสนอแนะ จากท่ี ประชมุ ร่วมกนั ตามวรรคหน่งึ ไปพจิ ารณาดำเนินการตามหน้าท่ีและอำนาจต่อไป จากที่ประชุม เห็นด้วยกับข้อความข้อกำหนดตามกฎหมาย แต่ขอเพิ่มเติม มาตรา 24 ว่าควรมี การประชุมปลี ะ 2 ครง้ั คณะกรรมการสถานศึกษา (มาตรา 23) ให้สถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาเพื่อให้บรรลุ เป้าหมายตามมาตรา 8 วรรคหนึ่ง (4) (5) และ (6) มีคณะกรรมการสถานศึกษาเพ่อื ทำหน้าที่กำกับ เสนอแนะหรือช่วยเหลือสถานศึกษาในการจัดการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายตามมาตรา ๘ และหน้าที่อื่น ตามที่กำหนดในระเบียบทีอ่ อกตามวรรคสอง
| หน้าที่ 75 องค์ประกอบ วิธีการได้มา คุณสมบัติ หน้าที่และอำนาจ และการดำเนินงานของคณะกรรมการ สถานศึกษาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด ภายใต้เงื่อนไข ดงั ตอ่ ไปนี้ (1) คำนึงถึงความเป็นอิสระของการบริหารจัดการสถานศึกษา ประสิทธิภาพ ความ โปรง่ ใส และความรบั ผิดชอบในการบรหิ ารจดั การสถานศึกษา (2) มีรูปแบบหลากหลายที่สามารถปรับใช้กับสถานศึกษาที่มีขนาด ลักษณะ วัตถปุ ระสงค์ และความพรอ้ มทแี่ ตกต่างกันได้ (3) องค์ประกอบของคณะกรรมการสถานศึกษาต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วม ของ ประชาชนหรือองค์กรชุมชนในพื้นที่ผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนครูในสถานศึกษาซึ่งมิใช่ครูใหญ่โดยจะมี ผแู้ ทน จากองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิน่ ร่วมดว้ ยกไ็ ด้ (4) เปิดโอกาสให้สถานศึกษาหลายสถานศึกษาสามารถมีคณะกรรมการสถานศึกษา ร่วมกันได้ ให้เป็นหน้าท่ีของคณะกรรมการนโยบายที่จะต้องปรับปรุงระเบียบตามวรรคสองให้ เหมาะสมและสอดคล้องกับความจำเปน็ หรอื ขอ้ เสนอแนะของสถานศึกษาอย่างน้อยทุกสองปี จากที่ประชุม เห็นด้วยตามกฎหมายที่กำหนด แต่ขอเพิ่มเติม มาตรา 23 ให้บุคคลเหล่านี้เป็น กรรมการในตำแหน่ง ไดแ้ ก่ นายกเทศมนตร/ี นายกองค์การบรหิ ารสว่ นตำบล/ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล สง่ เสริมสุขภาพตำบล(ดแู ลเด็ก)/ผู้กำกบั การสถานีตำรวจภูธรในท้องถ่ิน(ความปลอดภยั ) นอกจากน้ี ทป่ี ระชมุ ยนื ยันความเห็นตามขอ้ ที่ 3, 4 และ 5 มาตรา 24 และ 18 ดังน้ี (3) ผูว้ า่ ราชการจังหวัด (มาตรา 24) (4) สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด/สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา/องค์การบริหารส่วนจังหวัด (มาตรา 24) (5) คณะบคุ คล (มาตรา 18) มาตรา 18 เพอ่ื ประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 11 วรรคหนึ่ง (6) ประชาชนซึ่งมี ภูมิลำเนาหรือประกอบอาชีพหรือธุรกิจในจังหวัดใด อาจรวมตัวกันเป็นคณะบุคคลเพื่อให้การส่งเสริม สนับสนุน ช่วยเหลือ เสนอแนะ อุดหนุน หรือให้ความร่วมมือในการจัดการศึกษาของสถานศึกษาใน จงั หวดั นั้นหรือจังหวดั ใกลเ้ คียงได้ คณะบุคคลตามวรรคหนึ่งอาจจัดตั้งเป็นสมัชชา สภา กลุ่ม หรือหมู่คณะที่เรียกชื่ออย่างอื่นได้ เมื่อมีการรวมตัวกันเป็นคณะบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้คณะบุคคลดังกล่าวแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ทราบ และใหผ้ ู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการจดั การศึกษาทราบ เพื่อให้ความ รว่ มมือและอำนวยความสะดวกตามสมควร ในการดำเนินการจัดการศึกษาและการจัดทำร่างแผนการศึกษาแห่งชาติตามมาตรา ๗๓ ให้ หน่วยงานของรฐั ที่เก่ียวข้องและสถานศึกษารับฟังความคิดเห็นหรอื ข้อเสนอแนะ ของคณะบุคคลตาม วรรคสามประกอบการพิจารณาด้วย การบรจิ าคเงินหรอื ทรัพย์สินอื่นเพื่อเป็นค่าใชจ้ ่ายในการดำเนินงานของคณะบุคคตามวรรคสาม หรือการบริจาคให้แก่สถานศึกษาผ่านทางคณะบุคคลดังกล่าว ให้ได้ รับการลดหย่อนภาษีอากรหรือหักเป็น
| หน้าที่ 76 รายจ่ายตามประมวลรัษฎากร ที่ประชุม เห็นด้วย แต่ขอปรับถ้อยคำ หรือประกอบอาชีพหรือธุรกิจใน จงั หวัดใด เป็นธุรกิจทีเ่ กี่ยวข้องหรือมเี ครอื ขา่ ย (6) ผู้ว่าราชการจงั หวัด (มาตรา 24) (7) เอกชน (มาตรา 24) ทป่ี ระชมุ เหน็ ดว้ ย และเพิ่มเติมขอ้ ความดังน้ี เอกชน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม มีส่วนร่วม/ส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้ข้อมูลหรือ แสดงความคิดเหน็ ได้ ให้เปน็ หนา้ ท่ขี องคณะกรรมการนโยบายทจี่ ะต้องปรับปรุงระเบยี บตามวรรคสอง มาตรา 23 ให้สถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามมาตรา 8 วรรคหน่งึ (4) (5) และ (6) มีคณะกรรมการสถานศึกษาเพอ่ื ทำหน้าที่กำกับ เสนอแนะหรือช่วยเหลือสถานศึกษาใน การจดั การศกึ ษาให้บรรลเุ ป้าหมายตามมาตรา 8 และหน้าที่อ่นื ตามทีก่ ำหนดในระเบียบที่ออกตามวรรค สอง องค์ประกอบ วิธีการได้มา คุณสมบัติ หน้าที่และอำนาจ และการดำเนินงานของคณะกรรมการ สถานศึกษาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด ภายใต้เงื่อนไข ดังตอ่ ไปน้ี (1) คำนึงถึงความเป็นอิสระของการบริหารจัดการสถานศึกษา ประสิทธิภาพ ความ โปร่งใส และความรับผิดชอบในการบริหารจัดการสถานศกึ ษา (2) มีรูปแบบหลากหลายที่สามารถปรับใช้กับสถานศึกษาที่มีขนาด ลักษณะ วตั ถุประสงค์ และความพร้อมทแ่ี ตกต่างกนั ได้ (3) องค์ประกอบของคณะกรรมการสถานศึกษาต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของ ประชาชนหรือองค์กรชุมชนในพื้นท่ี ผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนครูในสถานศึกษาซึ่งมิใช่ครูใหญ่ โดยจะมี ผู้แทนจากองคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ รว่ มดว้ ยก็ได้ (4) เปิดโอกาสให้สถานศึกษาหลายสถานศึกษาสามารถมีคณะกรรมการสถานศึกษาร่วมกัน ได้ ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายที่จะต้องปรับปรุงระเบียบตามวรรคสองให้เหมาะสมและ สอดคล้องกบั ความจำเป็นหรือข้อเสนอแนะของสถานศึกษาอยา่ งน้อยทุกสองปีใหเ้ หมาะสมและสอดคล้อง กบั ความจำเปน็ หรอื ข้อเสนอแนะของสถานศึกษาอย่างน้อยทุกสองปี ความคดิ เห็นเพ่มิ เติม 1. กฎหมายควรให้อำนาจในการบริหารจัดการขององคค์ ณะตามมาตราที่ 18 อย่างแทจ้ ริง 2. สง่ เสริมให้ขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษานำประเด็นความต้องการด้านการพัฒนา ทรพั ยากรมนษุ ยแ์ ละการศึกษาไปสู่การปฏบิ ัตดิ ว้ ยวธิ กี าร/รูปแบบต่าง ๆ ตามความเหมาะสม 3) คำสง่ั หัวหนา้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 19/2560 เรอ่ื ง การปฏิรูปการศึกษาในภูมภิ าคของกระทรวงศึกษาธิการ คณะผวู้ จิ ัย ขอนำเสนอ ในข้อที่ เกย่ี วขอ้ งกบั การปฏริ ูปการศึกษาในสว่ นภูมภิ าค ดังน้ี ข้อ 2 ให้มีคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ประกอบด้วย (1) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปน็ ประธานกรรมการ
| หนา้ ที่ 77 (2) รฐั มนตรีชว่ ยวา่ การกระทรวงศกึ ษาธิการ เป็นกรรมการ (3) เลขาธิการคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน เปน็ กรรมการ (4) เลขาธกิ ารคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา เปน็ กรรมการ (5) เลขาธกิ ารคณะกรรมการการอุดมศกึ ษา เป็นกรรมการ (6) เลขาธิการสภาการศกึ ษา เป็นกรรมการ (7) ประธานสภาหอการคา้ แหง่ ประเทศไทย เปน็ กรรมการ (8) ประธานสภาอุตสาหกรรมแหง่ ประเทศไทย เป็นกรรมการ (9) ปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร เปน็ กรรมการและเลขานุการ ข้อ 3 ใหค้ ณะกรรมการขับเคล่อื นตามข้อ 2 มอี ำนาจหนา้ ที่ ดงั ตอ่ ไปนี้ (1) กำหนดทิศทางการดําเนนิ งานของกระทรวงศึกษาธกิ ารในระดบั ภูมภิ าคหรอื จังหวัด (2) โอนกิจการ ทรัพย์สิน หน้ี และเงินงบประมาณของส่วนราชการใดใน กระทรวงศึกษาธิการ ไปเป็นของส่วนราชการอื่น ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการตามบัญชีที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศกำหนด รวมทั้งพิจารณา การจัดสรรงบประมาณให้แก่ หนว่ ยงานของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ในระดบั ภมู ภาคหรอื จังหวดั (3) วางแผนงานเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของกระทรวงศึกษาธิการในระดับภูมิภาค หรือจังหวดั (4) เกลี่ยอัตรากําลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เงินงบประมาณและ ทรัพยส์ ิน ของส่วนราชการตา่ ง ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการได้ท้ังกระทรวงโดยต้องไม่เพิ่มอัตรากําลังคน และ งบประมาณ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปการศึกษาและการบริหารราชการของ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ในภูมิภาค การเกลี่ยอัตรากําลัง ตามวรรคหนึ่ง ให้ตัดโอนอัตราตำแหน่งและเงินงบประมาณแผ่นดิน ประจำอัตรา รวมตลอดทั้งงบบุคลากรที่จ่ายในลักษณะเงินเดือน ค่าจ้างประจำ และเงินอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตั้งไว้สำหรับตำแหน่งที่เกลี่ยนั้นมาเป็นของส่วนราชการที่รับโอน และการโอนหรือการนํารายจ่าย ที่ กำหนดไว้สำหรับส่วนราชการใดในกระทรวงศึกษาธิการตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปี หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมไปใช้สำหรับส่วนราชการที่รับโอน นอกเหนอื จากกรณี ตามมาตรา 18 แหง่ พระราชบัญญตั ิวิธการงบประมาณ ี พ.ศ. 2502 ให้กระทำได้ (5) แต่งตั้ง โอน หรือย้ายผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา หรือ ผู้ปฏิบัติงาน ในตำแหน่งตา่ ง ๆ ในหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการในระดับภมู ิภาคหรือจังหวดั ทั้งนี้ ตามประเภทหรือระดบั ตำแหน่งที่รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงศึกษาธิการกำหนด ในกรณีที่กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีบทบัญญัติใด กําหนดให้องค์กรอื่นใดมีอำนาจหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง มิให้นําบทบัญญัตินั้นมาใช้บังคับแก่องค์กร ซึ่งมี อำนาจหนา้ ท่ดี ังกลา่ ว (6) สั่งให้ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา หรือผู้ปฏิบัติงานในตำแหน่ง ต่างๆ ในหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการในระดับภูมภิ าคหรือจังหวัด หยุดการปฏิบัติหน้าที่หรือให้ พ้นจากตำแหน่ง
| หนา้ ท่ี 78 ในกรณีที่ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารเขตพื้นที่การศกึ ษา หรือผู้ปฏิบัติงานผู้ใดถูกสั่ง ให้หยุด การปฏิบัติหน้าที่หรือถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง ให้งดการจ่ายค่าตอบแทนหรือสิทธิ ประโยชน์ใด ๆ ในตำแหน่งในระหว่างที่ถูกสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่หรือถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งนับ แต่ วันที่ไดร้ ับทราบคําสง่ั (7) แต่งต้ังคณะอนกุ รรมการศึกษาธกิ ารจงั หวัดตามข้อ 9 (8) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทำงานเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงานได้ตามความ จําเปน็ (9) เชิญข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นในหน่วยงานของรัฐ หรือบุคคล ท่ีเก่ียวข้องมาสอบถามข้อเท็จจรงิ รวมทัง้ เรยี กเอกสารจากหนว่ ยงานของรฐั หรือบุคคลท่เี กย่ี วข้องมาเพื่อ ประกอบการพจิ ารณา ข้อ 5 ให้มีสำนักงานศึกษาธิการภาค จำนวนสิบแปดภาค สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธกิ าร ตามบัญชีท่รี ฐั มนตรีวา่ การกระทรวงศึกษาธกิ ารประกาศกำหนด เพอ่ื ปฏบิ ตั ภิ ารกิจ ของ กระทรวงศึกษาธิการในระดับพื้นที่ ทําหน้าที่ขับเคลื่อนการศึกษาในระดับภาคและจงั หวัดโดยการ อํานวยการ ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาการศึกษาแบบร่วมมือและบูรณาการกับหน่วยงานในสังกัด กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานอื่นหรือภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่นั้น ๆ และให้มี อำนาจหน้าท่ี ดังต่อไปนี้ (1) กำหนดยุทธศาสตร์และบทบาทการพัฒนาภาคต่าง ๆ ให้เชื่อมโยงและสอดคล้องกับ ทิศทางการพัฒนาประเทศ ทิศทางการดําเนินงานตามข้อ 3 (1) นโยบายและยุทธศาสตร์ของ กระทรวงศึกษาธิการ และยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัด รวมทั้งการพัฒนาด้านอื่น ๆ ในพื้นท่ี รับผดิ ชอบตามศกั ยภาพและโอกาสของบคุ คลและชุมชนในแต่ละพืน้ ที่ (2) สนับสนุนการพัฒนาจังหวัดในพื้นที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานด้านวิชาการ การวิจัยและ พฒั นา (3) กำกบั ดแู ล ติดตาม และประเมนิ ผลการดาํ เนินงานของสำนักงานศึกษาธกิ ารจังหวัด ใน พ้นื ทีร่ บั ผดิ ชอบ (4) สนับสนุนการตรวจราชการ และติดตามประเมินผลการดําเนินงานตามนโยบายและ ยุทธศาสตร์ ของกระทรวงศึกษาธิการในพ้ืนที่รบั ผิดชอบ (5) ประสานการบริหารงานระหว่างราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้เกิดการพัฒนา อย่างบูรณาการ ในระดับพื้นที่ของหลายจังหวัด โดยยึดการมีส่วนร่วมและประโยชน์สุขของประชาชน เป็นหลกั (6) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ ไดร้ ับมอบหมาย ข้อ 6 ให้มีศึกษาธิการภาคเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงานราชการและลูกจ้าง ใน สำนักงานศึกษาธิการภาค มีอำนาจหน้าท่ีรับผิดชอบการดําเนินงานของสำนักงานศกึ ษาธิการภาค และ ให้มีรองศึกษาธิการภาคจำนวนหน่ึงคน เพื่อช่วยเหลืองานศึกษาธิการภาค ทั้งนี้ ผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง รองศึกษาธิการภาคต้องเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งประเภทอํานวยการ ระดบั สูง หรอื ศกึ ษาธกิ ารจังหวดั อยู่กอ่ นวันที่คำสงั่ นีใ้ ช้บังคบั
| หนา้ ที่ 79 ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้มีอำนาจสั่งบรรจุศึกษาธิการภาค และสั่งบรรจุและแต่งต้ัง รองศึกษาธกิ ารภาค จากข้าราชการในกระทรวงศึกษาธกิ าร ข้อ 7 ในแต่ละจังหวัด ให้มีคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด เรียกโดยย่อว่า “กศจ.” ประกอบด้วย (1) ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธาน กรรมการ (2) ศึกษาธกิ ารภาคในพนื้ ที่ท่รี บั ผดิ ชอบ เปน็ รองประธานกรรมการ (3) ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการ การอาชีวศึกษา ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการ ขา้ ราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ผ้แู ทนสำนักงานคณะกรรมการสง่ เสรมิ การศึกษาเอกชน และ ผู้แทน สำนักงานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั เป็นกรรมการ (4) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนไม่เกินหกคน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศกึ ษาธิการ แต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการขับเคลื่อนตามข้อ 2 โดยอย่างน้อยต้องมีผู้แทนองค์กร ภาคเอกชน ผูแ้ ทนองคก์ รวชิ าชีพ และผแู้ ทนภาคประชาชน ด้านละหนึ่งคน (5) ศกึ ษาธิการจังหวัด เป็นกรรมการและเลขานกุ าร (6) รองศึกษาธิการจังหวัด เป็นผู้ช่วยเลขานุการ กศจ. อาจแต่งตั้งข้าราชการใน สำนักงานศึกษาธกิ ารจงั หวดั จำนวนไมเ่ กนิ สองคน เป็นผูช้ ว่ ยเลขานุการด้วยกไ็ ด้ ข้อ 8 ให้ กศจ. มีอำนาจหน้าทีใ่ นเขตจงั หวดั ดังตอ่ ไปนี้ (1) อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยระเบียบ บริหาร ราชการกระทรวงศึกษาธิการ และกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษา กําหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาและ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่ การศกึ ษา (2) กำหนดยุทธศาสตร์ แนวทางการจัดการศึกษา และการส่งเสริมสนับสนุนการจัด การศกึ ษา ทกุ ระดับและทุกประเภท ประสานและสง่ เสริม การบริหารและการจดั การศึกษา ขององค์กร ปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาของบุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่นที่จัดการศึกษา ในรปู แบบ ที่หลากหลาย (3) พจิ ารณาและให้ความเหน็ ชอบแผนพฒั นาการศกึ ษา (4) พิจารณาและใหค้ วามเห็นชอบกรอบการประเมินผลการปฏิบัติงานและตวั ช้วี ัดในการ ดําเนินงานในลักษณะตัวชี้วัดร่วมของส่วนราชการหรือหน่วยงาน และสถานศึกษาในสังกัด กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (5) เสนอความเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทาง การศึกษาต่อคณะกรรมการขบั เคล่อนตามข้อ ๒ (6) กำกับ เร่งรัด ติดตาม และประเมินผลการปฏิบตั ิงานของส่วนราชการหรอื หน่วยงาน และสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธกิ าร (7) วางแผนการจดั การศึกษาและพิจารณาเสนอแนะการจดั สรรงบประมาณใหแ้ ก่
| หน้าท่ี 80 สถานศกึ ษา (8) เสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนตามข้อ ๒ เพื่อแต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาธิการ จังหวดั ตาม ข้อ 9 (9) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานตามความจําเป็นเพื่อช่วยเหลือการ ปฏบิ ัติงาน ของคณะอนุกรรมการศึกษาธิการจังหวดั (กศจ.) ซ่งึ อยา่ งน้อยต้องมีคณะอนุกรรมการบริหาร ราชการเชิงยทุ ธศาสตร์ และคณะอนกุ รรมการ เกย่ี วกับการพัฒนาการศึกษา โดยให้นําองคป์ ระกอบของ อกศจ. มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม ในการเสนอและการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานตามวรรคหนึ่ง ต้องคำนึงถึง วงเงินงบประมาณที่ได้รับ ความคุ้มค่า ความประหยัด ความรวดเร็วและไม่เป็นการเพิ่มขั้นตอน ในการ ปฏบิ ัติหนา้ ท่โี ดยไม่จาํ เป็น (10) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด หรือตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนตาม ขอ้ 2 มอบหมาย ข้อ 9 ให้ กศจ. เสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนตามข้อ ๒ เพื่อแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ศึกษาธิการจงั หวัด เรียกโดยยอ่ ว่า “อกศจ.” เพื่อชว่ ยเหลอื หรือกลน่ั กรองงานใหแ้ ก่ กศจ. เกี่ยวกับ การ บรรจุ การแต่งตั้ง การโยกย้าย การดำเนินการทางวินัย การกำหนดวิทยฐานะ หรือการกำหนด สิทธิ ประโยชน์ต่าง ๆ ของข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา ให้ อกศจ. ตามวรรคหนง่ึ ประกอบด้วย (1) กรรมการใน กศจ. จำนวนหนง่ึ คน เปน็ ประธานอนกุ รรมการ (2) กรรมการใน กศจ. จำนวนสองคน เปน็ อนุกรรมการ (3) ผู้อํานวยการสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาหรือผู้อํานวยการ สถานศึกษา ในจังหวดั จำนวนสองคน เป็นอนุกรรมการ (4) ผทู้ รงคณุ วุฒิ ซง่ึ มไิ ดเ้ ป็นกรรมการใน กศจ. จำนวนไมเ่ กนิ สามคน เปน็ อนุกรรมการ (5) ศึกษาธกิ ารจังหวดั เป็นอนกุ รรมการและเลขานกุ าร ในกรณีมีความจาํ เป็น กศจ. อาจแตง่ ตง้ั ข้าราชการในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดจำนวน ไม่เกินสองคน เปน็ ผ้ชู ว่ ยเลขานกุ ารกไ็ ด้ ข้อ 10 การเบกิ จา่ ยเบีย้ ประชุมของ กศจ. อกศจ. คณะอนุกรรมการและคณะทำงาน ตามข้อ 8 (9) เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเบ้ียประชุมกรรมการ และการเบิกจ่ายค่าใช้จ่าย ที่เกี่ยวข้องกับ การบริหารจัดการอื่น ๆ ที่จําเป็น ให้เบิกจ่ายได้ตามระเบียบของทางราชการ โดยเบิกจ่าย จาก งบประมาณของสำนกั งานปลดั กระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ข้อ 11 ให้มีสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อปฏิบัติภารกิจของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับการบริ หารและการจัดการศึกษาตามที่กฎหมาย กำหนด การปฏิบัติราชการตามอำนาจหน้าที่ นโยบาย และยุทธศาสตร์ของส่วนราชการต่าง ๆ ท่ี มอบหมาย และใหม้ ีอำนาจหน้าท่ีในเขตจงั หวัด ดงั ตอ่ ไปนี้ (1) รับผิดชอบงานธุรการของ กศจ. อกศจ. คณะอนุกรรมการบริหารราชการเชิง ยุทธศาสตร์ คณะอนกุ รรมการเก่ยี วกบั การพฒั นาการศกึ ษา คณะอนุกรรมการและคณะทำงาน รวมทั้ง ปฏิบตั ิงานราชการ ทเ่ี ปน็ ไปตามอำนาจและหนา้ ทีข่ อง กศจ. และตามที่ กศจ. มอบหมาย
| หน้าท่ี 81 (2) จดั ทำแผนพฒั นาการศกึ ษาและแผนปฏบิ ตั ิการ (3) สั่งการ กำกบั ดูแล เร่งรัด ติดตาม และประเมินผลการปฏบิ ตั ิงานของส่วนราชการ หรือหน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นไปตามนโยบายของ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (4) จดั ระบบ ส่งเสรมิ และประสานงานเครอื ข่ายข้อมูลสารสนเทศและเทคโนโลยี ดจิ ิทลั เพ่ือการศึกษา (5) ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาเพื่อคนพิการ ผู้ด้อยโอกาส และผู้มีความสามารถ พิเศษ (6) ดําเนินงานเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษา (7) ส่งเสรมิ สนับสนุน และการดำเนินการเกี่ยวกับงานดา้ นวชิ าการ การนิเทศ และแนะ แนวการศึกษาทุกระดับและทุกประเภท รวมทั้งติดตามและประเมินผลระบบบริหารและการจัด การศกึ ษา (8) การดำเนินการเกย่ี วกับการตรวจสอบดา้ นการบริหาร การเงนิ และการบัญชีของส่วน ราชการ หรือหน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (9) ส่งเสรมิ และประสานงานการศาสนา ศิลปะ วฒั นธรรม และการกฬี าเพ่ือการศกึ ษา (10) สง่ เสรมิ สนบั สนนุ และการดำเนนิ การเกย่ี วกบั การจัดการศกึ ษาเอกชน (11) ปฏิบัติภารกิจตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการหรือตามที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้ง ปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับราชการประจำทั่วไปของกระทรวงศึกษาธิการ และประสานงานต่างๆ ในจงั หวัด ข้อ 12 ให้มีศึกษาธิการจังหวัด เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงานราชการ และ ลูกจ้างใน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของศึกษาธิการภาค มีอำนาจหน้าที่ รับผิดชอบ การดาํ เนินงานของสำนักงานศกึ ษาธกิ ารจงั หวัด รวมทงั้ ให้มีอำนาจหน้าท่ตี ามท่กี ฎหมาย วา่ ด้วยระเบียบ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากําหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้อํานวยการ สำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและผู้อํานวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เฉพาะงานที่ เกี่ยวกับ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศกึ ษา มัธยมศึกษา และ ให้มีรองศึกษาธิการจังหวัด เพื่อช่วยเหลืองานศึกษาธิการจังหวัด จำนวนสามคน ให้ศึกษาธิการจังหวัด รองศึกษาธกิ ารจงั หวดั และขา้ ราชการท่ปี ฏิบตั งิ านในสำนักงานศึกษาธกิ ารจังหวัดเป็นข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษา ทั้งนี้ ให้ศึกษาธิการจังหวัด ดำรงตำแหน่งเทียบกับข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทอํานวยการระดับสูง และผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง ศึกษาธิการจังหวัดต้องเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่ง ผอู้ ํานวยการประเภทผู้บรหิ ารการศึกษาหรือเป็นผู้ที่ไดร้ ับ มอบหมายให้ปฏิบัติหนา้ ที่รองศึกษาธิการภาค อยกู่ อ่ นวันทค่ี ำส่ังนี้ใช้บงั คับ ทง้ั น้ี ตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และเง่ือนไข ท่ี ก.ค.ศ. กำหนด ข้อ 13 การบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในจังหวัดหรือ กรุงเทพมหานครตามมาตรา 53 (3) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและ บุคลากร ทางการศึกษา พ.ศ. 2547 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและ บุคลากร
| หนา้ ท่ี 82 ทางการศึกษา (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2551 ใหศ้ กึ ษาธิการจังหวัดโดยความเห็นชอบของ กศจ. เป็นผู้มีอำนาจ ส่งั บรรจแุ ละแตง่ ตง้ั ข้อ 14 เพื่อประโยชน์ในการบริหารงาน กำกับดูแล และบูรณาการการศึกษาของ กระทรวงศึกษาธิการในจังหวัดหรือกรุงเทพมหานคร ให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการ คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษา นอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน มอบอำนาจ เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล วิชาการ การบริหารทั่วไป งบประมาณ และทรัพย์สิน ให้กับศึกษาธิการ จังหวดั เป็นผู้ปฏบิ ัตริ าชการแทนในเรอ่ื งน้นั ให้เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนมอบอำนาจในการปฏิบัติราชการ ตาม กฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนให้ศึกษาธิการจังหวัดเป็นผู้การดำเนินการแทน การมอบอำนาจตาม วรรคหนึ่งและวรรคสองให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการ ขับเคลื่อนตามข้อ 2 กำหนด ข้อ 15 ใหร้ ฐั มนตรีวา่ การกระทรวงศกึ ษาธิการ โดยความเหน็ ชอบของคณะกรรมการ ขับเคล่อื น ตามข้อ 2 กำหนดสถานที่ตั้งของสำนักงานศึกษาธิการภาคและสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ให้แล้ว เสร็จภายในส่ีสิบห้าวันนับแต่วันท่ีคำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ ทั้งนี้ การสำนักงานดังกล่าวต้องไม่เปน็ การเพ่ิม หรือกระทบตอ่ ภาระงบประมาณ ข้อ 16 ให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่และการดำเนินการใด ๆ ตามอำนาจหน้าที่ของ คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค กศจ. อกศจ. คณะอนุกรรมการ และคณะทำงาน ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 10/2559 เรื่อง การขับเคลื่อนการปฏริ ปู การศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ลงวันที่ 21 มนี าคม พุทธศักราช 2559 และที่ แก้ไขเพิ่มเติม ไปเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูป การศึกษาของ กระทรวงศึกษาธกิ ารในภูมภิ าค กศจ. อกศจ. คณะอนุกรรมการ และคณะทำงาน ตามคำสั่ง ข้อ 17 ให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่และการดำเนินการใด ๆ ตามอำนาจหน้าที่ของ ศึกษาธิการ ภาค รองศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด และรองศึกษาธิการจังหวัดตามคำสั่งหัวหน้า คณะรักษา ความสงบแห่งชาติ ที่ 11/2559 เรื่อง การบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการ ในภูมิภาค ลงวันที่ 21 มีนาคม พุทธศักราช 2559 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปเป็นอำนาจหน้าที่ของ ศึกษาธิการภาค รอง ศกึ ษาธกิ ารภาค ศึกษาธกิ ารจังหวดั และรองศกึ ษาธิการจังหวดั ตามคำสัง่ น้ี ข้อ 18 ให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการ กิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้ ภาระผูกพัน ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง และอัตรากําลังของสำนักงานศึกษาธิการภาค สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด สำนักงาน ปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ตามคำสง่ั หวั หนา้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ท่ี 11/2559 เร่ือง การบริหารราชการ ของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ลงวันที่ 21 มีนาคม พุทธศักราช 2559 และที่ แกไ้ ข
| หนา้ ที่ 83 เพิ่มเติม ไปเป็นของสำนักงานศึกษาธิการภาค สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ และสำนกั งานศึกษาธกิ ารจงั หวัด สำนกั งานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธกิ ารตามคำสั่งนี้ ข้อ 19 ให้สำนักงานศึกษาธิการภาคและสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดตามคำสั่งหัวหน้าคณะ รักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 11/2559 เรื่อง การบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ลงวันที่ 21 มีนาคม พุทธศักราช 2559 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับ เป็น สำนกั งานศึกษาธกิ ารภาคและสำนกั งานศกึ ษาธิการจังหวดั ตามคำสง่ั น้ี ข้อ 20 ให้ศึกษาธิการภาค รองศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด และรองศึกษาธิการจังหวัด ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 11/2559 เรื่อง การบริหารราชการของ กระทรวงศึกษาธิการ ในภูมิภาค ลงวันที่ 21 มีนาคม พุทธศักราช 2559 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งดำรง ตำแหน่งอยู่ในวัน ก่อนวันท่ีคำสั่งนี้มีผลใช้บังคับเป็นศึกษาธิการภาค รองศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการ จงั หวัด และ รองศกึ ษาธิการจงั หวัดตามคำสง่ั น้ี 4) แผนการปฏิรูปประเทศฉบบั ปรับปรงุ (ด้านการศกึ ษา) ประกาศ ใชว้ นั ที่ 23 กุมภาพนั ธ์ 2564 เป้าหมาย กิจกรรมการปฏิรปู ประเทศด้านการศกึ ษาและกลไกการขับเคล่ือน ภาพท่ี 3 แผนปฏริ ูปพัฒนาประเทศด้านการศกึ ษา (พ.ศ 2561 – 2565)
| หน้าที่ 84 ภาพท่ี 3 (ต่อ) ท้ังน้ีแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ฉบับปรับปรุงนี้ มุ่งเน้นกิจกรรมปฏิรูปที่จะส่งผลให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงของภาคการศึกษาที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน ประชาชนอย่างมีนัยส ำคัญ 5 กิจกรรม โดยพิจารณาความเชื่อมโยงกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาที่คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 ซึ่งประกอบด้วย 7 เรื่อง 29 ประเด็น 131 กิจกรรม ซึ่งหน่วยงาน รับผิดชอบ ได้ขับเคลื่อนการดำเนนิ การบางกจิ กรรมไปแล้ว สำหรับกิจกรรมปฏิรูป 5 กิจกรรมที่กำหนด ใหมแ่ ละแผนงานเดิม ยงั มงุ่ เนน้ การยกระดบั คุณภาพการจัดการศึกษา ลดความเหลอ่ื มล้ำทางการศึกษา และม่งุ สู่ความเปน็ เลิศและ สรา้ งขดี ความสามารถในการแข่งขนั ของประเทศ ข้อเสนอในการมีหรอื แก้ไขปรับปรงุ กฎหมาย สาระสำคัญโดยสังเขป ให้มีการจัดทำกฎหมายว่าการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่เพื่อให้เป็น กฎหมาย กลางที่เน้นการบริหารและการจัดการศึกษาให้มีความยืดหยุ่นหลากหลาย การมีส่วนร่วมของ ทุกภาคส่วนใน การบริหารและจัดการศึกษา การส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษา และปฏิรูปกลไก การติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลการจัดการศึกษาและวางกลไกสำคัญให้สอดคล้องกับการจัดองค์กร รวมถึงการจัดองค์กร ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาตามภารกิจของการจัดการศึกษา ท้ังนี้ จะต้อง เป็นไปตามเจตนารมณ์ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และสอดคล้องกับแนวทาง ของยุทธศาสตรช์ าตแิ ละ แผนการปฏิรูปประเทศดา้ นการศึกษา
| หน้าท่ี 85 1.2 กรณศี ึกษารปู แบบการตัง้ คณะบคุ คล 1.2.1 ในประเทศ - จังหวดั เชยี งใหม่ จังหวดั สุรนิ ทร์ จงั หวดั นครปฐม จังหวัดชลบรุ ี และจงั หวัดสุราษฎร์ธานี 1.2.2 ตา่ งประเทศ - ประเทศสิงคโปร์ ประเทศญ่ปี ุ่น ประเทศแคนาดา และประเทศฟนิ แลนด์ 1.2.1 ในประเทศ ตารางท่ี 2 เปรยี บเทียบผลการศกึ ษารปู แบบการจดั ตงั้ คณะบุคคลของจังหวัดท่ปี ระสบความสำเร็จ จงั หวัด หลกั การ วัตถุประสงค์ บทบาทหนา้ ท่ี กลไกความร่วมมือ เชียงใหม่ สุรินทร์ มงุ่ ตอบโจทยป์ ัญหา จัดการศกึ ษาเพือ่ เชอื่ มโยงเครอื ขา่ ย สนับสนุน ผลักดัน นครปฐม พ้นื ท่ีของจังหวดั ดูแลคุณภาพชีวิต โดย องค์การบริหาร ขับเคลอื่ นนโยบาย ชลบุรี คนในจงั หวัด สว่ นจงั หวัด. อยา่ งเป็นรูปธธรม สุราษฎร์ คำนงึ ถงึ ช่วยเหลอื และเฝา้ จัดตั้งสมัชชา รูปแบบกลไก ธานี ความสำคญั ของ ระวงั เด็กออก การศึกษาตำบล 20 ปัญจภาคี การดแู ลกลุม่ เด็ก กลางคนั เดก็ และ ตำบลนำร่องเพ่อื ความรว่ มมือ 5 ออก กลางคนั เยาวชน เก่ง ดี มี สนับสนนุ การ ภาคสว่ น งานทำ ดำเนนิ งานจังหวัด ดำเนนิ การภาครฐั ขบั เคล่ือนการมี ดำเนนิ การตาม ขบั เคลอ่ื นเชิงระบบ ควบคกู่ ับภาค ส่วนรว่ มแบบ นโยบายยุทธศาสตร์ ประกอบดว้ ย ประชาชนใน ภาครฐั คู่ประชาชน และขับเคลอื่ นผ่าน โครงสรา้ ง 3 ส่วน ลักษณะคูข่ นาน ตามความสนใจและ ระบบราชการและ ฝา่ ยราชการ พนั ธกจิ ของพ้ืนที่ หนว่ ยงานที่เกี่ยวข้อง ฝา่ ยประชาชนและ สว่ นสนับสนุน บรรจุแผนการจดั กอ่ ตัง้ ขึ้นสมชั ชา ผลักดันแผนพัฒนา จดั ตงั้ คณะ การศึกษาเพือ่ การมี การศึกษาจงั หวัด การศกึ ษาจังหวัด อนุกรรมการ เป็น งานทำไวใ้ นแผน เพื่อการดำเนินงาน เพือ่ การมีงานทำ ทีมทำงานที่ ยุทธศาสตร์ของ ปฏริ ปู การเรยี นรู้ เชือ่ มโยงกันเพอ่ื จงั หวดั ระดับจงั หวดั ได้เห็น ขบั เคลอ่ื นการ ผลเป็นภาพชัดข้ึน ปฏิรปู ยดึ หลักสร้างการมี รว่ มระดมพลงั จัดทำแผนการพฒั นา ขบั เคลอื่ นการ สว่ นร่วมของทกุ ความร่วมมือจาก ประสานความ ปฏิรปู การศึกษา ภาคสว่ นสอดคล้อง หลายภาคส่วนเพ่อื ร่วมมอื ท้ังภาครัฐ โดยใชก้ ลไกหลกั กับบรบิ ทของ พัฒนาอตั ลักษณ์ และเอกชน แผนงาน โครงการ จงั หวดั ความเปน็ ตวั ตน ในระดับพนื้ ที่ ของคนจังหวดั
| หน้าท่ี 86 จากตารางท่ี 2 พบว่า ผลจากการศึกษารูปแบบการจัดตั้งคณะบุคคลของจังหวัดที่ประสบ ความสำเร็จ ประกอบด้วยการขับเคลื่อนโดยมีหลักการ วัตถุประสงค์ บทบาทหน้าที่ และรูปแบบกลไก ความรว่ มมือทช่ี ัดเจน ตามแต่บริบทของแตล่ ะจงั หวัด 1.2.2 ตา่ งประเทศ ตารางที่ 3 เปรยี บเทียบผลการศกึ ษารปู แบบการจัดตงั้ คณะบุคคลของประเทศทปี่ ระสบความสำเร็จ ประเทศ หลกั การ วัตถุประสงค์ บทบาทหนา้ ท่ี กลไกความร่วมมือ สิงคโปร์ ยังไม่มีการมีสว่ น มีคณะกรรมการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ผเู้ รียนคดิ เปน็ และ ร่วมของภาคประชา ดำเนนิ การระดับ ญ่ปี ุ่น สงั คมในการเป็น พน้ื ท่ตี ามนโยบาย เปน็ แกนนำในการ เป็นพลเมืองที่ Citizen ของกฎหมาย ฟินแลนด์ Participation in แคนาดา กำหนดนโยบาย เรยี นรตู้ ลอดชีวติ Education ที่จะมา บรหิ ารเชงิ พ้นื ท่ี ท้ัง กำหนดนโยบายใน ในระดบั จงั หวดั การศกึ ษาของ สอดคลอ้ งกบั ความ เชิงพ้นื ที่ และระดับเมอื ง เสนอแนะด้าน มโี ครงสร้าง การ ประเทศ ต้องการของ บคุ ลากรและสร้าง ปกครอง และภาค ความรว่ มมอื กบั ส่วนที่เก่ยี วขอ้ งเพื่อ ตลาดแรงงาน ชมุ ชน เข้ามาทำหนา้ ที่ ด้านการมีสว่ นร่วม ดำเนินการโดย สร้างการมีส่วนรว่ ม ส่งเสริม สนบั สนุน ในการศึกษาระดบั กระทรวงศึกษา ระหว่าง การจัดการศึกษาใน พื้นทจ่ี ากส่วนกลาง วฒั นธรรม กีฬา สถานศกึ ษาและ ระดบั ท้องถิ่น โดยให้ จดั การเชิงระบบ วิทยาศาสตร์และ ชมุ ชน ทุกฝา่ ยมสี ่วนร่วม แบบการมีสว่ นร่วม เทคโนโลยี เน้นการจดั การเชิง ใหส้ ภาสถานศึกษา พน้ื ที่ ระบบบรหิ าร เพ่ือใหช้ มุ ชนเขา้ มา เพอ่ื ทำหน้าท่ดี ำเนนิ การศกึ ษา มี 2 มสี ่วนร่วมในการ กจิ การของ ขบั เคลอ่ื นเชิง ระดบั ได้แก่ ตัดสินใจดา้ น สถานศกึ ษาให้ โครงสรา้ ง ส่วนกลาง และ การศึกษาของ เนน้ การมี ส่วนรว่ ม ระดบั ท้องถ่ิน สถานศกึ ษา โดยสภาชน ส่วนกลาง จัดการศึกษาในแต่ เน้นการมสี ่วน ละเขตมณฑล โดย รว่ มกบั ภาค คณะกรรมการ ประชาชน การศึกษาระดับมล
| หนา้ ที่ 87 ประเทศ หลกั การ วัตถุประสงค์ บทบาทหน้าที่ กลไกความร่วมมือ สอดคล้องกับ พื้นเมืองสู่ นโยบาย การศกึ ษา คณะกรรมการ ระดบั พืน้ ที่ ระดับมลรัฐ ตารางที่ 3 พบว่า ประเทศท่ีมีผลการศึกษารูปแบบการจัดตั้งคณะบุคคลของประเทศที่ประสบ ความสำเร็จแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ สิงคโปร์และ ญี่ปุ่น จะเน้นการมีส่วนร่วมในกำกับของนโยบาย ส่วน ประเทศฟินแลนดแ์ ละแคนาดา เน้นการมสี ่วนรว่ มของภาครฐั และเอกชนตามบรบิ ทของพืน้ ท่ี 1.3 งานวิจัยทเ่ี กีย่ วขอ้ ง 1.3.1 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2562) ศึกษารูปแบบและกลไกการมีส่วนร่วมและ สมชั ชาการศึกษา โดยดำเนนิ การศกึ ษา 3 รปู แบบ คือ 1) ศึกษาสภาพการดำเนนิ งานของภาคีเครือขา่ ยการศกึ ษา/สมัชชาการศกึ ษาท้งั ในประเทศและ ต่างประเทศ 2) ศึกษาวเิ คราะห์/สมชั ชาการศึกษา กรณศี ึกษาทั้งในประเทศและตา่ งประเทศ 3) ศึกษากลไกในการส่งเสริมและพัฒนาการดำเนินงานของภาคีเครือข่ายการศึกษา/สมัชชา การศึกษาทป่ี ระสบความสำเรจ็ ของไทย 1.3.2 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2564) ทำการศึกษาความร่วมมือระหว่างรัฐกับ ภาคเอกชนในการพัฒนาการศึกษาตามกฎหมายและแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ผลการศึกษา พบว่า แนวโน้มและต้นแบบการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของภาคเอกชนในระบบ การศึกษาต่างๆ ในระดับนานาชาติที่ประสบความสำเร็จ และแนวทางการส่งเสริมบทบาทของ ภาคเอกชนในการจัดการศึกษาในระบบการศึกษาไทยในอนาคต โดยมีข้อเสนอสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ การศึกษาคร้ังน้ี 3 ประการ คอื 1. ต้นแบบการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการจัดการศึกษาที่ประสบ ความสำเร็จในระดับนานาชาติ 3 รปู แบบ 1.1 การร่วมจัดการศกึ ษาโดยรับเงนิ อดุ หนุนจากภาครัฐบางสว่ น 1.2 โรงเรียนในกำกับของรัฐ 1.3 คูปองการศึกษา 2. แนวทางความร่วมมือการสนับสนุนส่งเสริมระหว่างรัฐกับภาคเอกชนในการพัฒนา การศึกษาและการจัดการศึกษาตามกฎหมายและแผนปฏริ ูปประเทศด้านการศึกษา โดยตามแผนปฏิรูป การศึกษากำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาภาครัฐเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนจาก ทุก ภาคส่วนได้มีบทบาทในการจัดการศึกษาเพื่อสนับสนุนให้กระบวนการปฏิรูปการศึกษาเป็นไปตาม เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 54 วรรค 3 ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนให้รัฐต้องดำเนินการจัดให้มีการ ร่วมมอื กนั ระหว่างรัฐ องคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่ และภาคเอกชนในการจัดการศกึ ษาทุกระดับ อย่าง นอ้ ย 3 แนวทาง ดังนี้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145