๙๖ จะสอบสวนต่อไปก็ได้ หรือถ้าเห็นเป�นการสมควรที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจะสอบสวนต่อไปตาม แก่กรณีได้ แล้วดำเนินการตาม ข้อ ๓๙ และข้อ ๔๐ ต่อไป แต่ถ้าผู้ถูกกล่าวหามาขอให้ถ้อยคำหรือยื่นคำชี้แจง แก้ข้อกล่าวหาหรือขอนำสืบแกข้ ้อกล่าวหาก่อนท่ีคณะกรรมการสอบสวนจะเสนอสำนวนการสอบสวนตามข้อ ๔๐ โดยมเี หตุผลอนั สมควร ให้คณะกรรมการสอบสวนใหโ้ อกาสแก่ผู้ถกู กลา่ วหาร้องขอ ข้อ ๒๖ เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานตามข้อ ๒๕ เสร็จแล้ว ก่อนเสนอสำนวน การสอบสวนต่อผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามข้อ ๔๐ ถ้าคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าจำเป�นจะต้อง รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมก็ให้ดำเนินการได้ ถ้าพยานหลักฐานท่ีได้เพิ่มเติมมานั้นเป�นพยานหลักฐาน ทสี่ นับสนุนข้อกล่าวหา ให้คณะกรรมการสอบสวนสรุปพยานหลักฐานดังกล่าวใหผ้ ู้ถูกกล่าวหาทราบและให้โอกาส ผู้ถูกกล่าวหาที่จะให้ถ้อยคำหรือนำสืบแก้ข้อกล่าวหาเฉพาะพยานหลักฐานเพิ่มเติมที่สนับสนุนข้อกล่าวหาน้ัน ทง้ั นี้ ใหน้ ำข้อ ๒๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๒๗ ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งได้ยื่นคำชี้แจงหรือให้ถ้อยคำแก้ข้อกล่าวหาไว้แล้วมีสิทธิยื่นคำชี้แจงเพิ่มเติม หรอื ขอใหถ้ ้อยคำ หรือนำสืบแก้ข้อกล่าวหาเพม่ิ เติมตอ่ คณะกรรมการสอบสวนกอ่ นการสอบสวนแล้วเสร็จ เมื่อการสอบสวนแล้วเสร็จและยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรือผู้บังคับบัญชาคนใหม่ตามข้อ ๓๘ ผู้ถูกกล่าวหาจะยื่นคำชี้แจงต่อบุคคลดังกล่าวก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ให้รับ คำชแี้ จงน้ัน รวมไวใ้ นสำนวนการสอบสวนเพ่อื ประกอบการพิจารณาดว้ ย ข้อ ๒๘ ในการสอบปากคำผู้ถูกกล่าวหาและพยาน ต้องมีกรรมการสอบสวนไม่น้อยกว่าสองในสาม ของจำนวนกรรมการสอบสวนทั้งหมด จึงจะสอบสวนได้ ข้อ ๒๙ ก่อนเริ่มสอบปากคำพยาน ให้คณะกรรมการสอบสวนแจ้งให้พยานทราบว่ากรรมการสอบสวน มีฐานะเป�นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา การให้ถ้อยคำอันเป�นเท็จต่อคณะกรรมการสอบสวน อาจเปน� ความผิดตามกฎหมาย ข้อ ๓๐ ในการสอบปากคำผู้ถูกกล่าวหาและพยานมิให้กรรมการสอบสวนผู้ใดกระทำการล่อลวง ขู่เข็ญ ให้สญั ญาหรอื กระทำการใดเพ่ือจูงใจให้บุคคลน้นั ให้ถ้อยคำใดๆ ขอ้ ๓๑ ในการสอบปากคำผถู้ ูกกลา่ วหาและพยาน ใหค้ ณะกรรมการสอบสวนเรียกผู้ซ่งึ จะถูกสอบปากคำ เข้ามาในที่สอบสวนคราวละหนึ่งคน และมิให้บุคคลอื่นอยู่ในที่สอบสวน เว้นแต่บุคคลซึ่งคณะกรรมการสอบสวน
๙๗ อนุญาตให้อยูใ่ นทส่ี อบสวนเพ่ือประโยชน์แหง่ การสอบสวนหรือกรณีท่ีมีการสอบปากคำผ้ถู ูกกลา่ วหา ผูถ้ ูกกล่าวหา มีสิทธินำทนายความหรือท่ปี รึกษาของตนเขา้ มาในทส่ี อบสวนได้ การสอบปากคำผู้ถูกกล่าวหาและพยาน ให้บันทึกถ้อยคำมีสาระสำคัญตามแบบ สว.๔ หรือแบบ สว.๕ ท้ายข้อบังคับนี้แล้วแต่กรณี เมื่อได้บันทึกถ้อยคำเสร็จแล้ว ให้อ่านให้ผู้ให้ถ้อยคำฟ�งหรือจะให้ผู้ให้ถ้อยคำ อ่านเองก็ได้ เมื่อผู้ให้ถ้อยคำรับว่าถูกต้องแล้ว ให้ผู้ให้ถ้อยคำและผู้บันทึกถ้อยคำลงลายมือชื่อไว้เป�นหลักฐาน และให้คณะกรรมการสอบสวนทุกคนที่ร่วมสอบสวนลงลายมือชื่อรับรองไว้ในบันทึกถ้อยคำนั้นด้วย ถ้าบันทึก ถอ้ ยคำมีหลายหนา้ ให้กรรมการสอบสวนอยา่ งนอ้ ยหนง่ึ คนกบั ผู้ให้ถ้อยคำลงลายมือชือ่ กำกบั ไวท้ ุกหน้า ในการบันทึกถ้อยคำ ห้ามมิให้ขูดลบหรือบันทึกข้อความทับ ถ้าจะต้องแก้ไขข้อความที่ได้บันทึกไว้แล้ว ให้ใช้วิธีขีดฆ่าหรือตกเติมและให้กรรมการสอบสวนผู้ร่วมสอบสวนอย่างน้อยหนึ่งคนกับผู้ให้ถ้อยคำลงลายมือชื่อ กำกับไว้ทกุ แห่งที่ขดี ฆา่ หรอื ตกเติม ในกรณีที่ผู้ให้ถ้อยคำไม่ยอมลงลายมือชื่อ ให้บันทึกเหตุนั้นไว้ในบันทึกถ้อยคำ ในกรณีที่ผู้ให้ถ้อยคำ ไมส่ ามารถลงลายมอื ชอ่ื ได้ ให้นำมาตรา ๙ แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาใชบ้ งั คบั โดยอนุโลม ข้อ ๓๒ ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเรียกบุคคลใดมาเป�นพยานให้บุคคลนั้นมาชี้แจงหรือให้ถ้อยคำ ตามวัน เวลา และสถานท่ที ี่คณะกรรมการสอบสวนกำหนด ในกรณีที่พยานมาพบคณะกรรมการสอบสวนแต่ไม่ให้ถ้อยคำหรือไม่มาหรือคณะกรรมการสอบสวนเรียก พยานไม่ไดม้ าภายในเวลาอันสมควร คณะกรรมการสอบสวนจะไมส่ อบสวนพยานนัน้ ก็ได้ แต่ต้องบนั ทกึ เหตุน้ันไว้ ในบนั ทกึ ประจำวันท่ีมกี ารสอบสวนตามขอ้ ๑๙ และรายงานการสอบสวนตามขอ้ ๔๐ ข้อ ๓๓ ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าการสอบสวนพยานหลักฐานใดจะทำให้การสอบล่าช้า โดยไม่จำเป�น หรือมิใช่พยานหลักฐานในประเด็นสำคัญ จะงดการสอบสวนพยานหลักฐานนั้นก็ได้ แต่ต้องบันทึกเหตุที่ไม่สอบสวนนั้นไว้ในบันทึกประจำวันที่มีการสอบสวนตามข้อ ๑๙ และรายงานการสอบสวน ตามข้อ ๔๐ ข้อ ๓๔ ในกรณีที่จะต้องสอบสวนหรือรวบรวมพยานหลักฐานซึ่งอยู่ต่างท้องที่ ประธานกรรมการ สอบสวนจะรายงานต่อผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อดำเนินการมอบหมายให้หัวหน้าส่วนราชการ หรือหัวหน้าหน่วยงานในท้องที่นั้นสอบสวนหรือรวบรวมพยานหลักฐานแทนก็ได้ โดยกำหนดประเด็น
๙๘ หรือข้อสำคัญที่จะต้องสอบสวนไปให้ ในกรณีเช่นนี้ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานเลือกข้าราชการ ฝ่ายพลเรอื นที่เห็นสมควรอยา่ งนอ้ ยอีกสองคนมาร่วมเปน� คณะทำการสอบสวน ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนตามวรรคหนึ่ง ให้มีฐานะเป�นคณะกรรมการสอบสวน ตามข้อบังคับนี้ และให้นำข้อ ๑๗ วรรคหนึ่ง ข้อ ๑๙ วรรคสอง ข้อ ๒๘ ข้อ ๒๙ ข้อ ๓๐ ข้อ ๓๑ และข้อ ๓๒ มาใช้บงั คับโดยอนุโลม ข้อ ๓๕ ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่า กรณีมีมูลว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง หรือกระทำผิดวินัยร้ายแรงในเรื่องอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ให้ประธาน กรรมการสอบสวนรายงานไปยังผูส้ ั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยเรว็ ถ้าผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน เห็นว่า กรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรงหรือกระทำผิดวินัยร้ายแรงตามรายงานให้สั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวนโดยจะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมเป�นผู้ทำการสอบสวน หรือแต่งต้ัง คณะกรรมการสอบสวนใหม่กไ็ ด้ ทง้ั นีใ้ หด้ ำเนนิ การตามหลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการที่กำหนดในข้อบังคบั นี้ ข้อ ๓๖ ในกรณีที่การสอบสวนพาดพิงไปถึงข้าราชการผู้อื่น ให้คณะกรรมการสอบสวนพิจารณา ในเบื้องต้นว่าข้าราชการผู้นั้นมีส่วนร่วมกระทำการในเรื่องที่สอบสวนนั้นด้วยหรือไม่ ถ้าเห็นว่าผู้นั้นมีส่วนร่วม กระทำการในเรื่องที่สอบสวนนั้นอยู่ด้วย ให้ประธานกรรมการสอบสวนรายงานไปยังผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ สอบสวนเพอ่ื พจิ ารณาดำเนนิ การตามควรแกก่ รณีโดยเรว็ ในกรณีที่ผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย อย่างร้ายแรงตามรายงานให้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการการสอบสวนโดยจะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคณะเดิม เป�นผู้สอบสวน หรือจะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนใหม่ก็ได้ ทั้งนี้ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ที่กำหนดในข้อบงั คบั น้ี กรณีเช่นนี้ให้ใชพ้ ยานหลักฐานตามทไี่ ด้สอบสวนมาแล้วประกอบการพจิ ารณาได้ ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการสอบสวนโดยแยกเป�นสำนวนการสอบสวนใหม่ ให้นำสำเนาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องในสำนวนการสอบสวนเดิมรวมในสำนวนการสอบสวนใหม่ หรือบันทึก ให้ปรากฏว่านำพยานหลักฐานใดจากสำนวนการสอบสวนเดิมมาประกอบการพิจารณาในสำนวนการสอบสวน ใหมด่ ว้ ย ข้อ ๓๗ ในกรณีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดหรือต้องรับผิดในคดีที่เกี่ยวกับเรื่อง ที่กล่าวหา ถ้าคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำพิพากษาได้ความประจักษ์ชัดอยู่แล้ว
๙๙ ให้ถือเอาคำพิพากษานั้นเป�นพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาโดยไม่ต้องสอบสวนพยานหลักฐานอื่น ที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหา แต่ต้องแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบและแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐาน ท่ีสนับสนนุ ขอ้ กล่าวหาตามข้อ ๒๕ ให้ผู้ถกู กล่าวหาทราบดว้ ย ข้อ ๓๘ ในระหว่างการสอบสวน แม้จะมีการสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาไปอยู่นอกบังคับบัญชาของผู้สั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวน ให้คณะกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนต่อไปจนเสร็จแล้วทำรายงานการสอบสวน และเสนอสำนวนการสอบสวนต่อผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อตรวจสอบความถูกต้องตามข้อ ๔๓ ข้อ ๔๔ ข้อ ๔๕ และข้อ ๔๖ และให้ผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาคนใหม่ ของผู้ถูกกล่าวหาเพื่อดำเนินการตามข้อ ๔๑ ทั้งนี้ให้ผู้บังคับบัญชาคนใหม่มีอำนาจตรวจสอบความถูกต้อง ตามข้อ ๔๓ ขอ้ ๔๔ ขอ้ ๔๕ และขอ้ ๔๖ ดว้ ย ข้อ ๓๙ เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เสร็จแล้วให้ประชุมพิจารณาลงมติ ว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยหรือไม่ ถ้าผิดเป�นความผิดวินัยกรณีใด ตามมาตราใด และควรได้รับโทษสถานใด ถ้ากรณีมีเหตุอันควรสงสัยอย่างยิ่งว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง แต่การสอบสวนไม่ได้ความ แน่ชัดพอที่จะฟ�งลงโทษปลดออกหรือไล่ออก ถ้าให้รับราชการต่อไปจะเป�นการเสียหายแก่ราชการตามมาตรา ๕๗ (๙) แหง่ พระราชบัญญัติระเบยี บข้าราชการพลเรอื นในสถาบนั อุดมศึกษาพ.ศ. ๒๕๔๗ หรอื ไม่ อย่างไร ข้อ ๔๐ เมื่อได้ประชุมพิจารณาลงมติตามข้อ ๓๙ แล้ว ให้คณะกรรมการสอบสวนทำรายงาน การสอบสวนซ่ึงมสี าระสำคัญตามแบบ สว.๖ ทา้ ยข้อบงั คับนเี้ สนอต่อผ้สู ั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน กรรมการ สอบสวนผู้ใดมีความเห็นแย้ง ให้ทำความเห็นแย้งแนบไว้กับรายงานการสอบสวนโดยถือเป�นส่วนหนึ่งของรายงาน การสอบสวนด้วย รายงานการสอบสวนอย่างน้อยต้องมีสาระสำคญั ดงั นี้ (๑) สรุปข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานว่ามีอย่างใดบ้าง ในกรณีที่ไม่ได้สอบสวนพยานตามข้อ ๓๒ และ ข้อ ๓๓ ให้รายงานเหตุที่ไม่ได้สอบสวนนั้นให้ปรากฏไว้ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาให้ถ้อยคำรับสารภาพ ให้บันทึก เหตผุ ลในการรบั สารภาพ (ถ้าม)ี ไว้ดว้ ย (๒) วนิ จิ ฉยั เปรยี บเทียบพยานหลกั ฐานทีส่ นบั สนนุ ขอ้ กล่าวหากับพยานหลักฐานทห่ี กั ลา้ งข้อกล่าวหา (๓) ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนได้ทำรายงานการสอบสวนว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำผิดวินัย หรือไม่ อย่างไร ถ้าผิดเปน� ความผิดวินยั กรณใี ด ตามมาตราใด และควรไดร้ บั โทษสถานใด
๑๐๐ เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้ทำรายงานการสอบสวนแล้ว ให้เสนอสำนวนการสอบสวนพร้อมทั้ง สารบาญต่อผแู้ ตง่ ตั้งคณะกรรมการสอบสวน และให้ถอื วา่ การสอบสวนแล้วเสร็จ ข้อ ๔๑ เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้เสนอสำนวนการสอบสวนมาแล้วให้ผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ สอบสวนตรวจสอบความถูกต้องของสำนวนการสอบสวนตามข้อ ๔๓ ข้อ ๔๔ ข้อ ๔๕ และข้อ ๔๖ แล้ว ในกรณี ที่คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทำผิด สมควรยุติเรื่อง หรือกระทำผิดที่ยังไม่ถึงขั้น เป�นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควร โดยเรว็ ข้อ ๔๒ ในกรณีผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเห็นสมควรให้สอบสวนเพิ่มเติมประการใด ให้กำหนดประเด็นพร้อมส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องไปให้คณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมเพื่อดำเนินการสอบสวน เพิม่ เตมิ ไดต้ ามความจำเป�น ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมไม่อาจทำการสอบสวนได้ หรือผู้สั่งสอบสวนเพิ่มเติม เห็นเป�นการสมควรจะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนใหม่ขึ้นทำการสอบสวนเพิ่มเติมก็ได้ในกรณีเช่นน้ี ใหน้ ำข้อ ๘ และขอ้ ๙ มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม ให้คณะกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เมื่อสอบสวนเสร็จแล้ว ให้ส่งพยานหลกั ฐานทไี่ ด้จากการสอบสวนเพิ่มเติมไปใหผ้ สู้ งั่ สอบสวนเพิม่ เติมโดยไม่ต้องทำความเห็น ข้อ ๔๓ ในกรณีที่ปรากฏว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนไม่ถูกต้องตามข้อ ๘ ให้การสอบสวน ทั้งหมดเสียไป ในกรณีเช่นนี้ให้ผู้มีอำนาจสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนใหม่ ใหถ้ ูกตอ้ ง ข้อ ๔๔ ในกรณีที่ปรากฏว่าการสอบสวนตอนใดทำไม่ถูกต้อง ให้การสอบสวนตอนนั้นเสียไปเฉพาะ ในกรณดี งั ต่อไปนี้ (๑) การประชุมของคณะกรรมการสอบสวนมีกรรมการสอบสวนมาประชุมไม่ครบตามที่กำหนดไว้ ในขอ้ ๑๗ วรรคหน่งึ (๒) การสอบปากคำบุคคลดำเนินการไม่ถูกต้องตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๙ วรรคสอง ข้อ ๒๘ ข้อ ๓๐ ข้อ ๓๑ วรรคหนงึ่ หรอื ข้อ ๓๔
๑๐๑ ในกรณีเช่นนี้ ให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนสั่งให้คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการใหม่ ให้ถูกตอ้ งโดยเรว็ ข้อ ๔๕ ในกรณีที่ปรากฏว่าคณะกรรมการสอบสวนไม่เรียกผู้ถูกกล่าวหามารับทราบข้อกล่าวหา และ สรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาหรือไม่ส่งบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา และสรุปพยานหลักฐาน ที่สนับสนุนข้อกล่าวหาทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปให้ผู้ถูกกล่าวหาหรือไม่มีหนังสือขอให้ผู้ถูกกล่าวหา ชี้แจง หรือนัดมาให้ถ้อยคำหรือนำมาสืบแก้ข้อกล่าวหาตามข้อ ๒๕ ให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน สั่งให้คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการให้ถูกต้องโดยเร็ว และต้องให้โอกาสแก่ผู้ถูกกล่าวหาทีจ่ ะชี้แจงให้ถ้อยคำ และนำสืบแกข้ ้อกลา่ วหาตามทกี่ ำหนดไว้ในข้อ ๒๕ ดว้ ย ข้อ ๔๖ ในกรณีที่ปรากฏว่าการสอบสวนตอนใดทำไม่ถูกต้องตามข้อบังคับนี้ นอกจากที่กำหนดไว้ ในข้อ ๔๓ ข้อ ๔๔ และข้อ ๔๕ ถ้าการสอบสวนตอนนั้นเป�นสาระสำคัญอันจะทำให้เสียความเป�นธรรม ให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนสั่งให้คณะกรรมการสอบสวนแก้ไขหรือดำเนินการตอนนั้นให้ถูกต้อง โดยเร็ว แต่ถ้าการสอบสวนตอนนั้นมิใช่สาระสำคัญอันจะทำให้เสียความเป�นธรรม ผู้มีอำนาจดังกล่าวจะสั่งให้ แกไ้ ขหรือดำเนนิ การใหถ้ กู ตอ้ งหรอื ไม่ก็ได้ ข้อ ๔๗ กรณีบุคลากรใดเคยถูกกล่าวหา หรือกระทำผิดวินัยก่อนวันโอนมาบรรจุเข้ารับราชการ ทม่ี หาวทิ ยาลัย หากการกระทำน้นั เป�นความผดิ วินัยร้ายแรงท่ีอาจถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออก ให้ผู้บังคับบัญชา ตามข้อ ๗ ดำเนินการสอบสวนและลงโทษตามที่กำหนดในหมวดนี้ แต่หากเป�นเรื่องที่อยู่ในระหว่างการสืบสวน หรือสอบสวนของผู้บังคับบัญชาเดิมก่อนวันโอนก็ให้รอผลการสืบสวนหรือสอบสวนแล้วเสร็จ เมื่อได้รับรายงาน ผลการสอบสวนแล้วหากจะต้องสั่งลงโทษทางวินัย ให้ผู้บังคับบัญชาของข้าราชการผู้นั้นพิจารณาดำเนินการ ลงโทษต่อไป ข้อ ๔๘ บุคลากรผู้ใดพ้นจากราชการอันมิใช่เหตุตาย และมีกรณีกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงก่อนพ้น จากราชการ ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนของบุคลากรผู้นั้นดำเนินการทางวินัย ภายในหน่ึงปน� บั แต่วันทขี่ ้าราชการผนู้ นั้ พ้นจากราชการ การดำเนินการสอบสวนพจิ ารณาตามวรรคหนึ่งใหเ้ ปน� ไปตามหมวดนี้ เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้พิจารณาสอบสวนเป�นประการใดแล้ว ให้เสนอสำนวนการสอบสวน ต่อผู้มีอำนาจสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อพิจารณา หากเห็นว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงให้พิจารณา
๑๐๒ ดำเนินการเพื่อลงโทษปลดออก หรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี แต่หากปรากฏว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัย ที่จะต้องลงโทษภาคทณั ฑ์ ตดั เงินเดือน หรือลดเงนิ เดอื น ก็ใหโ้ ทษเปน� พับไป ในระหว่างท่ีได้ดำเนนิ การสอบสวนพิจารณาหากปรากฏว่าผู้นัน้ ถงึ แก่ความตายใหย้ ุติเร่อื ง ข้อ ๔๙ ในกรณีที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ ให้คณะกรรมการ สอบสวนดำเนินการตามกฎหมายที่ใช้อยู่ก่อนข้อบังคับนี้ใช้บังคับ ส่วนการพิจารณาสั่งการของผู้มีอำนาจแต่งต้ัง คณะกรรมการสอบสวนใหด้ ำเนนิ การตามข้อบงั คบั น้ี หมวด ๕ สถานโทษ ผ้มู ีอำนาจสงั่ ลงโทษ และวิธีการส่งั ลงโทษ ข้อ ๕๐ บุคลากรผู้ใดกระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรงให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรอื ลดเงินเดอื น ถ้ามีเหตุอนั ควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณาลดโทษด้วยก็ได้ ข้อ ๕๑ บุคลากรผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษปลดออก หรือไล่ออก จากราชการ แล้วแต่กรณีความรา้ ยแรงของความผดิ (๑) กรณีที่บุคลากรผูใ้ ดทจุ รติ ตอ่ หน้าทีร่ าชการใหส้ งั่ ลงโทษไล่ออกจากราชการ (๒) กรณีท่ีบุคลากรผู้ใดล่วงละเมิดทางเพศกับนักศึกษา การแก้ไขผลการเรียนหรือผลการสอบของ นักศึกษาโดยมิชอบ มีหน้าที่ออกข้อสอบแล้วเป�ดเผยข้อสอบโดยมิชอบ การแอบอ้างเอาผลงานทางวิชาการของ ผู้อ่นื มาเปน� ผลงานทางวิชาการของตน ใหส้ งั่ ลงโทษปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ ขอ้ ๕๒ ผบู้ ังคับบัญชาท่มี ีอำนาจสั่งลงโทษวินยั ไม่รา้ ยแรง ได้แก่ (๑) อธิการบดีมีอำนาจลงโทษภาคทัณฑ์ หรือตัดเงินเดือนครั้งหนึ่งไม่เกินร้อยละ ๕ และเป�นเวลา ไมเ่ กินสามเดอื น หรอื ลดเงินเดือนครงั้ หนงึ่ ไมเ่ กนิ รอ้ ยละ ๔ (๒) คณบดี ผู้อำนวยการ หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ มีอำนาจสั่ง ลงโทษภาคทัณฑ์ หรือตดั เงนิ เดอื นครัง้ หนงึ่ ไม่เกนิ ร้อยละ ๕ และเป�นเวลาไมเ่ กินสองเดอื น ข้อ ๕๓ ผ้บู งั คับบญั ชาท่ีมีอำนาจสง่ั ลงโทษวนิ ยั อยา่ งร้ายแรง ไดแ้ ก่ อธิการบดโี ดยมติ ก.บ.ม.
๑๐๓ กรณีที่อธิการบดีกระทำความผิดวินัยร้ายแรง ให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ นวตั กรรม โดยมตสิ ภามหาวทิ ยาลัยเปน� ผ้สู งั่ ลงโทษ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมติสภามหาวิทยาลัยเป�นผู้สั่งลงโทษ อธกิ ารบดี ดงั นี้ (๑) กรณีความผิดวินัยไม่ร้ายแรงให้ลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือนครั้งหนึ่งไม่เกินร้อยละห้าและเป�นเวลา ไม่เกนิ สามเดือน หรอื ลดเงนิ เดอื นครง้ั หนึ่งไดไ้ ม่เกนิ ร้อยละส่ี (๒) กรณคี วามผิดวินยั รา้ ยแรงใหล้ งโทษปลดออก หรือไล่ออก ข้อ ๕๔ ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษข้าราชการผู้กระทำผิดวินัยตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมกับความผิด การสั่งลงโทษให้กระทำเป�นคำสั่ง ในคำสั่งให้ระบุว่าผู้ถูกลงโทษกระทำผิดวินัยกรณีใด มาตราใด พร้อมทั้ง แจ้งสิทธิ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งลงโทษและการฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามกฎหมาย วา่ ด้วยวิธปี ฏบิ ตั ริ าชการทางการปกครองและกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองด้วย ข้อ ๕๕ การสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือน ตามข้อ ๕๐ มิให้สั่งลงโทษย้อนหลัง ไปก่อนวันออกคำสั่งเว้นแต่การสั่งลงโทษผู้ถูกสั่งพักราชการ หรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ให้ทำคำสั่งดังกล่าว ตามตัวอยา่ งท่ี ๑ ตวั อย่างท่ี ๒ หรือ ตวั อยา่ งที่ ๓ ท้ายขอ้ บังคับน้ี ข้อ ๕๖ การสง่ั ลงโทษปลดออก หรอื ไล่ออกจากราชการ ตามข้อ ๕๑ มใิ ห้ส่ังยอ้ นหลังไปก่อนวันออกคำส่ัง เว้นแต่ (๑) ในกรณีที่ได้มีคำสั่งให้พักราชการ หรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน เมื่อจะสั่งลงโทษปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ ให้สั่งปลดออก หรือไล่ออก ตั้งแต่วันพักราชการ หรือวันให้ออกจากราชการไว้ก่อน แล้วแตก่ รณี (๒) การลงโทษปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ ในการกระทำผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก หรือโทษ ที่หนักกว่าจำคุก โดยปกติให้สั่งไล่ออกหรือปลดออกตั้งแต่วันต้องรับโทษจำคุก โดยพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก หรอื วนั ตอ้ งคำพิพากษาถึงทส่ี ดุ หรอื วันถูกคุมขังตดิ ต่อกันจนถึงวันตอ้ งคำพิพากษาถึงที่สุดแลว้ แต่กรณี (๓) ในกรณที ่ีได้มีคำสัง่ ลงโทษปลดออก หรอื ไลอ่ อกจากราชการไปแลว้ ถ้าจะต้องส่ังใหม่ หรอื เปลีย่ นแปลง คำสั่ง การลงโทษปลดออก หรือไล่ออก กรณีเช่นนี้ให้สั่งย้อนหลังไปถึงวันออกจากราชการตามคำสัง่ เดิม แต่ถ้าวัน
๑๐๔ ออกจากราชการเดิมไม่ถูกต้อง ก็ใหส้ ง่ั ลงโทษปลดออก หรือไลอ่ อกย้อนหลังไปจนถึงวันท่ีควรต้องออกจากราชการ ตามกรณนี น้ั ในขณะท่อี อกคำสัง่ เดิม (๔) ในกรณีที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามมาตรา ๒๙ มาตรา ๕๑ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ไปแล้ว ถ้าจะต้องสั่งใหม่หรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งเป�นลงโทษปลดออก หรือไล่ออก ให้คำสั่งปลดออก หรือไล่ออก ย้อนหลังไปถงึ วันทีค่ วรต้องส่งั ลงโทษปลดออก หรือไล่ออก ตามกรณีน้ันในขณะออกคำสงั่ เดิม (๕) การสั่งลงโทษปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ ในกรณีที่ผู้ซึ่งจะต้องถูกสั่งลงโทษนั้นได้รับอนุญาต ให้ลาออกจากราชการไปก่อนแล้ว ใหส้ ่ังปลดออก หรอื ไลอ่ อกยอ้ นหลังไปถึงวันออกจากราชการนน้ั (๖) การสั่งลงโทษปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ ในกรณีที่ผู้ซึ่งจะต้องถูกสั่งนั้นได้พ้นจากราชการ ตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จ บำนาญราชการไปก่อนแล้ว ให้สั่งปลดออก หรือไล่ออกย้อนหลังไปถึงวัน สนิ้ งบประมาณท่ผี ูน้ ั้นมอี ายุครบหกสิบป�บริบูรณ์ (๗) กรณีใดมีเหตุสมควรสั่งไล่ออกหรือปลดออกจากราชการย้อนหลัง ก็ให้สั่งไล่ออกหรือปลดออก ย้อนหลังไปถึงวันที่ควรจะออกจากราชการตามกรณีนั้นได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เป�นการทำให้เสียประโยชน์ตามสิทธิ โดยชอบธรรมของผ้ถู กู สง่ั ลงโทษนั้น ข้อ ๕๗ การสั่งเพิ่มโทษหรือลดโทษ เป�นปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ ตามข้อ ๕๑ จะสั่งให้มีผล ใช้บังคบั ตั้งแตว่ นั ใดใหน้ ำขอ้ ๕๖ มาใชบ้ ังคับโดยอนุโลม ข้อ ๕๘ การสั่งเพิ่มโทษ หรือลดโทษ เป�นลดเงินเดือน ตัดเงินเดือน หรือภาคทัณฑ์ ให้สั่งย้อนหลัง ไปถึงวันที่ลงโทษเดิมใช้บังคับ ทั้งนี้การสั่งย้อนหลังดังกล่าวไม่มีผลกระทบถึงสิทธิและประโยชน์ที่ผู้ถูกสั่งลงโทษ ไดร้ บั ไปแล้ว ข้อ ๕๙ การเปลี่ยนแปลงคำสั่งลงโทษปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ ตามข้อ ๕๑ เป�นลดเงินเดือน ตดั เงินเดอื น หรอื ภาคทัณฑ์ จะสงั่ ใหม้ ีผลใชบ้ งั คบั ต้งั แต่วนั ใดมใิ ห้สัง่ ลงโทษยอ้ นหลัง ข้อ ๖๐ คำสั่งเพิ่มโทษ ลดโทษ ตามข้อ ๕๘ หรืองดโทษ ให้ทำคำสั่งดังกล่าวตามตัวอย่างที่ ๔ แนบทา้ ยขอ้ บงั คับนี้
๑๐๕ ข้อ ๖๑ การสั่งเพิ่มโทษ ลดโทษ งดโทษ หรือยกโทษ ตามข้อ ๕๙ และข้อ ๖๒ ให้ทำคำสั่งดังกล่าว ตามตวั อย่างที่ ๔ ท้ายขอ้ บังคบั นี้ ข้อ ๖๒ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในคำสั่งเกี่ยวกับการลงโทษให้ทำเป�นคำสั่ง มีสาระสำคัญแสดง เลขที่ และวนั เดอื น ป� ทีอ่ อกคำสั่ง ข้อความเดมิ ตามทแี่ กไ้ ขเปล่ยี นแปลงและข้อความท่ีแก้ไขเปล่ียนแปลงแลว้ ข้อ ๖๓ บุคลากรผู้ใดถูกสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง แต่การสอบสวนไม่ได้ความแน่ชัดพอที่จะสั่งลงโทษ ปลดออก หรือไล่ออก และผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาเห็นว่าถ้าให้ผู้นั้นคงอยู่ในหน้าที่ราชการ อาจเกิดความเสียหายแก่ราชการ และเห็นควรสั่งให้ออกจากราชการ ให้ผู้สัง่ แต่งตัง้ คณะกรรมการสอบสวนเสนอ ต่อสภามหาวิทยาลัยเพื่อพิจารณามีมติว่าหากให้รับราชการต่อไปจะเป�นการเสียหายแก่ราชการ ให้อธิการบดี สั่งให้ข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญ ขา้ ราชการ หมวด ๖ การแกไ้ ขคำสงั่ ลงโทษ ข้อ ๖๔ ให้ผู้มีอำนาจสั่งลงโทษเปน� ผู้ดำเนนิ การแก้ไขคำสั่งลงโทษนัน้ เว้นแต่โทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิด วินัยตามคำวินิจฉัยของ ก.อ.ม. เกินกว่าอำนาจของผู้มีอำนาจสั่งลงโทษ ให้ผู้มีอำนาจสั่งลงโทษเดิมรายงาน ตามลำดบั จนถงึ ผูม้ อี ำนาจสัง่ ลงโทษสำหรบั ความผิดนั้นๆ เพอื่ ดำเนินการ ขอ้ ๖๕ การแกไ้ ขคำสั่งลงโทษให้ทำเป�นคำสั่งมสี าระสำคัญแสดงเลขท่ี และวัน เดือน ป� ท่ีออกคำส่ังเดิม ขอ้ ความเดมิ ตอนที่แก้ไขเปล่ียนแปลง และขอ้ ความทแ่ี กไ้ ขเปล่ยี นแปลง ข้อ ๖๖ การดำเนินการแก้ไขคำสั่งลงโทษให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับ แจ้งจาก ก.อ.ม. ขอ้ ๖๗ เมือ่ มีอำนาจส่งั ลงโทษดำเนินการแกไ้ ขคำสง่ั แล้ว ใหร้ ายงานการแกไ้ ขคำส่ังตอ่ สภามหาวทิ ยาลัย โดยเร็ว และแจ้งให้ข้าราชการผู้ถูกลงโทษทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีคำสั่งแก้ไขคำสั่งลงโทษโดยให้ ดำเนินการตามวิธีการทพ่ี ระราชบญั ญตั ิวธิ ปี ฏิบตั ริ าชการทางปกครองกำหนด
๑๐๖ หมวด ๗ การส่ังพักและการสง่ั ให้ออกจากราชการไว้ก่อน ข้อ ๖๘ ในระหว่างการสอบสวนทางวนิ ยั จะนำเหตุแห่งการถูกสอบสวนมาเป�นข้ออ้างในการดำเนินการ ใดให้กระทบต่อสิทธิของผู้ถูกสอบสวนไม่ได้ เว้นแต่อธิการบดีจะสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามขอ้ เสนอแนะของคณะกรรมการสอบสวน หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน และผล แห่งการสั่งพกั ราชการหรือส่ังใหอ้ อกจากราชการให้เปน� ไปตามที่กำหนดในขอ้ บงั คบั นี้ ข้อ ๖๙ เมื่อบุคลากรผู้ใดถูกกลา่ วหาว่ากระทำผิดวินยั จนถกู ตั้งกรรมการสอบสวน หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรอื ต้องหาว่ากระทำผิดอาญา เวน้ แต่เปน� ความผิดท่ีได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหโุ ทษ อธิการบดีจะส่ัง ผ้นู น้ั พักราชการไดก้ ็ตอ่ เมื่อมีเหตผุ ลอย่างหน่งึ อย่างใด ตอ่ ไปนี้ (๑) ผู้นั้นถูกตั้งกรรมการสอบสวนหรือถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาในเรื่อง ที่เกี่ยวกับการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ หรือเกี่ยวกับความประพฤติหรือพฤติการณ์อันไม่น่าไว้วางใจและ ผู้ที่ถูกฟ้องนั้นพนักงานอัยการมิได้รับเป�นทนายแก้ต่างให้ และอธิการบดีพิจารณาแล้วเห็นว่าถ้าให้ผู้นั้นคงอยู่ ในหนา้ ทร่ี าชการอาจเกดิ ความเสียหายแก่ราชการ (๒) ผู้นั้นมีพฤติการณ์ที่แสดงว่าถ้าคงอยู่ในหน้าที่ราชการจะเป�นอุปสรรคต่อการสอบสวนพิจารณาหรือ จะก่อใหเ้ กิดความไมส่ งบเรียบร้อยขนึ้ (๓) ผู้นั้นอยู่ในระหว่างถูกควบคุมหรือขังโดยเป�นผู้ถูกจับในคดีอาญาหรือต้องจำคุกโดยคำพิพากษาและ ได้ถกู ควบคมุ ขงั หรือตอ้ งจำคกุ เป�นเวลาติดตอ่ กันเกนิ กว่าสบิ หา้ วันแล้ว (๔) ผู้นั้นถูกตั้งกรรมการสอบสวนและต่อมามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป�นผู้กระทำอาญาในเรื่อง ที่สอบสวนนั้น หรือผู้นั้นถูกต้ังกรรมการสอบสวนภายหลังที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป�นผู้กระทำความผิดอาญา ในเรื่องที่สอบสวนนั้น และอธิการบดีพิจารณาเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำพิพากษาถึงที่สุดน้ัน ได้ประจกั ษ์ชัดอย่แู ล้ววา่ การกระทำความผดิ อาญาของผู้น้นั เป�นความผิดวินยั อย่างรา้ ยแรง
๑๐๗ ข้อ ๗๐ การสั่งพักราชการให้สั่งพักได้ตลอดเวลาที่มีการสอบสวน เว้นแต่กรณีที่ผู้ถูกสั่งพักได้ร้องทุกข์ และผู้มีอำนาจพิจารณาเห็นว่าคำร้องทุกข์ฟ�งขึ้นและไม่สมควรที่จะสั่งพักราชการ ก็ให้สั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติ หน้าทร่ี าชการก่อนการสอบสวนพจิ ารณาเสรจ็ ส้ินได้ ในการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ตามวรรคแรกให้ผู้มีอำนาจพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่ วันไดร้ บั เรื่องร้องทุกข์ ข้อ ๗๑ ในกรณีท่ีบุคลากรผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงถูกตั้งกรรมการสอบสวน หลายสำนวน หรอื ถูกฟ้องคดีอาญา หรือตอ้ งหาวา่ กระทำความผิดอาญาหลายคดีเว้นแต่เป�นความผิดที่ได้กระทำ โดยประมาท หรอื ความผิดลหโุ ทษ หรอื ผู้ท่ีถูกฟ้องน้นั พนักงานอยั การรบั เป�นทนายแกต้ ่างให้ถ้าจะสั่งพักราชการ ใหส้ ั่งพกั ทุกสำนวนและทกุ คดี ในกรณีที่ได้สั่งพักราชการในสำนวนหรือคดีใดไว้แล้ว ภายหลังปรากฏว่าผู้ถูกสั่งพักราชการนั้นมีกรณี ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอย่างวินัยร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวนในสำนวนอื่น หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทำผิดอาญาในคดีอื่นเพิ่มขึ้นอีก เว้นแต่เป�นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิด ลหุโทษ หรือผู้ที่ถูกฟ้องนั้นพนักงานอัยการรับเป�นทนายแก้ต่างให้ก็ให้สั่งพักราชการในสำนวนหรือคดีอื่นที่เพ่ิม ข้ึนด้วย ข้อ ๗๒ การสง่ั พกั ราชการ หา้ มมิใหส้ ่งั พักยอ้ นหลงั ไปกอ่ นวนั ออกคำสั่ง เวน้ แต่ (๑) ผู้ที่ถูกสั่งพักราชการอยู่ในระหว่างถูกควบคุมหรือขังโดยเป�นผู้ถูกจับในคดีอาญา หรือต้องจำคุก โดยคำพิพากษา การส่งั พักราชการในเร่อื งน้นั ใหส้ ง่ั พกั ยอ้ นหลงั ไปถงึ วันท่ถี กู ควบคุม ขัง หรอื ตอ้ งจำคุก (๒) ในกรณไี ด้มีการสัง่ พักราชการไวแ้ ล้วถา้ จะต้องส่ังใหม่เพราะคำสั่งเดมิ ไมช่ อบหรือไมถ่ ูกตอ้ ง ให้ส่ังพัก ต้ังแตว่ ันใหพ้ ักราชการตามคำสง่ั เดมิ หรือตามวันทค่ี วรตอ้ งพักราชการในขณะท่ีออกคำส่งั เดิม ข้อ ๗๓ คำสั่งพักราชการต้องระบุชื่อและตำแหน่งของผู้ถูกสั่งพัก ตลอดจนกรณีและเหตุที่สั่งให้ พกั ราชการ เมื่อได้มีคำสั่งให้บุคลากรผู้ใดพักราชการแล้ว ให้แจ้งคำสั่งให้ผู้นั้นทราบพร้อมทั้งส่งสำเนาคำสั่ง ให้ด้วยโดยพลัน ในกรณีที่ไม่อาจแจ้งให้ผู้นั้นทราบได้ หรือผู้นั้นไม่ยอมรับทราบคำสั่งให้ป�ดสำเนาคำสั่งไว้ ณ ที่ทำการที่ผู้นั้นรับราชการอยู่และมีหนังสือแจ้งพร้อมกับส่งสำเนาคำสั่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไว้ให้ผู้นั้น
๑๐๘ ณ ที่อยู่ของผู้นั้นซึ่งปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ ในกรณีเช่นนี้เมื่อพ้นสิบวันนับแต่วันที่ได้ดำเนินการ ดงั กลา่ วให้ถือวา่ ผนู้ ้นั ได้ทราบคำสั่งพกั ราชการแลว้ ขอ้ ๗๔ เมื่อบุคลากรผใู้ ดมีเหตทุ ่ีอาจถูกสั่งพักราชการตามขอ้ ๖๘ และอธกิ ารบดีพิจารณาเห็นวา่ สอบสวน พิจารณา หรือการพิจารณาคดีที่เป�นเหตุที่อาจถูกสั่งพักราชการนั้น จะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว อธิการบดี จะส่ังใหผ้ นู้ ้นั ออกจากราชการไวก้ ่อนก็ได้ ใหน้ ำขอ้ ๗๐ ข้อ ๗๑ และข้อ ๗๒ มาใช้บงั คับแกก่ ารสง่ั ใหอ้ อกราชการไว้ก่อนโดยอนโุ ลม ข้อ ๗๕ เมื่อได้สั่งให้บุคลากรผู้ใดพักราชการไว้แล้ว อธิการบดีจะพิจารณาตามข้อ ๗๔ และสั่งให้ ผนู้ ้นั ออกจากราชการไวก้ อ่ นอีกชัน้ หนง่ึ ได้ ข้อ ๗๖ การสัง่ ให้ออกจากราชการไว้ก่อน จะส่งั ใหอ้ อกตงั้ แต่วันใด ใหน้ ำข้อ ๗๒ มาใชบ้ ังคับ โดยอนุโลม แต่สำหรับการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนในกรณีตามข้อ ๗๕ ให้สั่งให้ออกตั้งแต่วันพักราชการ เป�นต้นไป ข้อ ๗๗ การสั่งให้บุคลากรผู้ใดซึ่งดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ หรือดำรงตำแหน่งระดับเชี่ยวชาญพิเศษ ออกจากราชการไว้ก่อน ให้ดำเนินการนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง นบั แตว่ ันทีอ่ อกจากราชการไวก้ อ่ น ข้อ ๗๘ เมื่อได้สั่งให้บุคลากรผู้ใดพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อรอฟ�ง ผลการสอบสวนพจิ ารณา ถ้าภายหลังปรากฏผลการสอบสวนพจิ ารณาเปน� ประการใดแลว้ ใหด้ ำเนนิ การดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้อธิการบดีสั่งลงโทษปลดออก หรือไล่ออก ตามความร้ายแรงแหง่ กรณี (๒) ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้ที่ถูกสั่งพักราชการนั้นกระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง และไม่มีกรณีที่จะต้องถูกสั่ง ให้ออกจากราชการ ก็ให้สั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งเดิมหรือตำแหน่งอื่นในระดับเดียวกัน ที่ผู้นั้นมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งนั้น ทั้งนี้ สำหรับการสั่งให้ผู้ถูกสั่งพักราชการกลับ เข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งอื่นในระดับเดียวกันที่ผู้นั้นมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสำหรับ ตำแหน่งนั้น ซึ่งเป�นตำแหน่งศาสตราจารย์ หรือตำแหน่งระดับเชี่ยวชาญพิเศษ ให้ดำเนินการนำความกราบ บังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง แล้วให้อธิการบดีสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลด เงินเดอื นตามควรแก่กรณใี ห้เหมาะสมกับความผิด
๑๐๙ (๓) ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้นกระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง และไม่มี กรณีที่จะต้องถูกสั่งให้ออกจากราชการ ก็ให้สั่งให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิม หรือตำแหน่งอ่ืน ในระดับเดียวกันที่ผู้นั้นมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งนั้น ทั้งนี้สำหรับการสั่งให้ผู้ถูกส่ัง ให้ออกจากราชการไวก้ ่อนกลับเขา้ รบั ราชการในตำแหนง่ เดิม หรอื ตำแหนง่ อ่ืนในระดบั เดยี วกันทผี่ นู้ นั้ มคี ุณสมบัติ เฉพาะสำหรับตำแหน่งนั้น ซึ่งเป�นตำแหน่งศาสตราจารย์ หรือตำแหน่งระดับเชี่ยวชาญพิเศษให้ดำเนินการนำ ความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง แล้วให้อธิการบดีสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ลดเงนิ เดือน ตามควรแกก่ รณใี ห้เหมาะสมกบั ความผิด (๔) ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้ถูกสั่งพักราชการนั้นกระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง และไม่มีกรณีที่จะต้องถูกสั่ง ให้ออกจากราชการด้วยเหตุอื่น แต่ไม่อาจสั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการได้ เนื่องจากมีอายุครบ หกสิบป�บริบูรณ์หรือหกสิบห้าป�บริบูรณ์แล้วแต่กรณี และได้พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าดว้ ยบำเหน็จบำนาญ ขา้ ราชการแลว้ การลงโทษให้เป�นพบั ไป (๕) กรณีที่ปรากฏว่าผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้น กระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง และไม่มีกรณี ที่จะต้องถูกสั่งให้ออกจากราชการด้วยเหตุอื่นแต่ไม่อาจสั่งให้กลับเข้ารับราชการได้ เนื่องจากมีอายุครบหกสิบป� บริบูรณ์หรือหกสิบห้าป�บริบูรณ์แล้วแต่กรณี และสิ้นป�งบประมาณที่มีอายุครบหกสิบป�บริบูรณ์หรือหกสิบห้าป� บริบรู ณ์แลว้ แต่กรณี การลงโทษใหเ้ ปน� พับไป (๖) ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง แต่มีกรณีที่จะต้องถูกสั่งให้ออกจากราชการ ด้วยเหตุอื่น ก็ให้อธิการบดีสั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการตามเหตุนั้นโดยไม่ต้องสั่งให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรอื กลับเขา้ รับราชการ (๗) กรณีที่ปรากฏว่าผู้นั้นมิได้กระทำผิดวินัย และไม่มีกรณีที่จะต้องออกจากราชการ ก็ให้สั่งยุติเรื่อง และให้ผู้นนั้ กลบั เข้าปฏบิ ัตหิ นา้ ทร่ี าชการหรือกลบั เข้ารับราชการตาม (๒) หรอื (๓) แลว้ แต่กรณี (๘) ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้ถูกสั่งพักราชการนั้นมิได้กระทำผิดวินัยและไม่มีกรณีที่จะต้องถูกสั่งให้ออกจาก ราชการด้วยเหตุอื่น แต่ไม่อาจสั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการได้เนือ่ งจากมีอายุครบหกสบิ ป�บริบูรณ์หรอื หกสิบห้าป�บริบูรณ์แล้วแต่กรณีและได้พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการแล้ว ก็สั่งใหย้ ุติเร่อื ง
๑๑๐ (๙) ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้นมิได้กระทำผิดวินัยและไม่มีกรณีที่จะต้อง ถูกสั่งให้ออกจากราชการด้วยเหตุอื่น แต่ไม่อาจสั่งให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการได้เนื่องจากมีอายุครบหกสิบป� บริบูรณ์หรือหกสิบห้าป�บริบูรณ์แล้วแต่กรณี และสิ้นป�งบประมาณที่มีอายุครบหกสิบป�บริบูรณ์หรือหกสิบห้าป� บริบูรณ์แล้วแต่กรณีนั้นแล้ว ก็ให้สั่งยุติเรื่อง และมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อให้ผู้นั้น เปน� ผพู้ ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบำเหนจ็ บำนาญขา้ ราชการ (๑๐) ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้นั้นมิได้กระทำผิดวินัย แต่มีกรณีที่จะต้องถูกสั่งให้ออกจากราชการ ด้วยเหตุอื่น ก็ให้สั่งให้ออกจากราชการตามเหตุนั้น โดยไม่ต้องสั่งให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือกลับเข้า รับราชการ ข้อ ๗๙ การออกคำส่งั พกั ราชการ คำสั่งให้ออกราชการไว้ก่อนหรือคำสงั่ ใหก้ ลับเขา้ ปฏบิ ัติหน้าท่ีราชการ หรือกลับเข้ารบั ราชการให้มสี าระสำคญั ตามแบบที่มหาวทิ ยาลยั กำหนด บทเฉพาะกาล ข้อ ๘๐ ในกรณีที่มีการดำเนินการสอบสวนพิจารณาการดำเนินการทางวินัยตามข้อบังคับมหาวิทยาลัย ราชภัฏอุตรดิตถ์ ว่าด้วย การดำเนินการทางวินัย การสอบสวนพิจารณา การลงโทษ การออกจากราชการ การสั่งพักหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๗ อยู่ก่อนที่ข้อบังคับฉบับนี้ ใชบ้ ังคบั ใหด้ ำเนินการในกรณนี น้ั ๆ ตามข้อบังคบั ฉบบั ดงั กล่าวต่อไปจนกว่าการดำเนินการในเรื่องนั้นๆ จะแลว้ เสร็จ ข้อ ๘๑ ให้คณะกรรมการสอบสวนตาม ข้อบังคับมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ว่าด้วย การดำเนินการ ทางวินัย การสอบสวนพิจารณา การลงโทษ การออกจากราชการ การสั่งพักหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนการ อุทธรณ์และการร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันที่ข้อบังคับนี้ประกาศใช้บังคับ เป�นคณะกรรมการ สอบสวนตามข้อบังคับนี้ และปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าการดำเนินการสอบสวนพิจารณาการดำเนินการทางวินัย จะแล้วเสร็จ ประกาศ ณ วันท่ี ๑๗ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๖๓ (รองศาสตราจารย์พินิติ รตะนานกุ ูล) นายกสภามหาวทิ ยาลัยราชภัฏอตุ รดิตถ์
๑๑๑ ประวัติผเู้ ขียน ช่อื - นามสกุล นายชุตนิ นั ท์ จนั ทร์ยวง วัน เดอื น ป� ทเ่ี กิด ๑๑ สงิ หาคม ๒๕๒๘ ท่ีอยู่ ๙๖/๑ หมทู่ ี่ ๕ ตำบลปา่ เซ่า อำเภอเมอื ง จังหวัดอุตรดติ ถ์ ๕๓๐๐๐ ท่อี ยูป่ �จจุบัน ๒๗ ถนนอนิ ใจมี ตำบลทา่ อิฐ อำเภอเมือง จงั หวัดอุตรดติ ถ์ ๕๓๐๐๐ โทรศัพท์ ๐๘๖-๕๙๐-๑๑๙๗ โทรศัพทท์ ่ีทำงาน ๐๕๕ -๔๑๖๖๐๑ ต่อ ๑๖๔๓ อีเมล์ [email protected] ไอดไี ลน์ leangbeer ประวตั ิการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๕๘ นติ ิศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ านิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามคำแหง พ.ศ. ๒๕๕๑ นติ ศิ าสตรบณั ฑิต สาขาวชิ านิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยรามคำแหง ประวตั ิการทำงาน นักวชิ าการนิติกร งานนติ กิ าร กองบริหารงานบคุ คล สำนกั งานอธิการบดี พ.ศ. ๒๕๕๓ นักวชิ าการนติ ิกร ปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ีในตำแหน่งหัวหนา้ งานนติ กิ าร งานนิตกิ าร พ.ศ. ๒๕๕๕ กองบริหารงานบคุ คล สำนักงานอธิการบดี นิติกรปฏบิ ตั กิ าร ปฏิบตั ิหน้าท่ใี นตำแหนง่ หัวหน้างานนิตกิ าร งานนติ กิ าร พ.ศ. ๒๕๖๓ - ป�จจุบนั กองบริหารงานบคุ คล สำนกั งานอธิการบดี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116