Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore potho32010

Description: potho32010

Search

Read the Text Version

หนังสือเรยี นสาระความรูพ้ น้ื ฐาน (ภาษาไทย) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย รายวชิ าเลือก หลักการใช้ภาษาเพอื่ ความสาํ เร็จ พท ๓๒๐๑๐ หลักสตู รการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ สําหรบั คนไทยในตา่ งประเทศ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยกลุ่มเปา้ หมายพิเศษ สํานักงานส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัย สํานกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธิการ เอกสารทางวชิ าการลําดับที่ ๕๘/๒๕๕๔

ชอื่ หนงั สือ หนงั สอื เรียนสาระความรพู้ นื้ ฐาน (ภาษาไทย) รายวิชาเลอื ก หลักการใชภ้ าษาเพ่ือควมสาํ เรจ็ พท ๓๒๐๑๐ หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ สาํ หรับคนไทยในต่างประเทศ ISBN : พิมพค์ รัง้ ท่ี : ๑/๒๕๕๔ ปีที่พิมพ์ : ๒๕๕๔ จาํ นวนพิมพ์ : ๑๐๐ เล่ม เอกสารทางวิชาการลําดับท่ี ๕๘/๒๕๕๔ จดั พิมพ์และเผยแพร่ : ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยกลมุ่ เปา้ หมายพิเศษ สาํ นักงานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั สาํ นักงานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร โทร. ๐ ๒๒๘๑ ๗๒๑๗ - ๘, ๐ ๒๖๒๘ ๕๓๒๙, ๐ ๒๖๒๙ ๕๓๓๑ โทรสาร ๐ ๒๖๒๘ ๕๓๓๐

คาํ นํา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกลุ่มเป้าหมายพิเศษ ได้ดําเนินการจัดทํา หนังสือเรียนสาระความรู้พ้ืนฐาน (ภาษาไทย) รายวิชาเลือก หลักการใช้ภาษาเพื่อความสําเร็จ รหัส พท ๓๒๐๑๐ ข้ึน เพ่ือใช้ในการเรียนการสอน ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สําหรับคนไทยในต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณธรรม จริยธรรม มีสติปัญญาและศักยภาพ สามารถดํารงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข โดยผู้เรียนสามารถ ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง และปฏิบัติกิจกรรมเพ่ือทดสอบความรู้ ความเข้าใจในสาระเนื้อหาน้ี รวมทั้งหา ความรจู้ ากแหลง่ เรยี นรู้หรอื สอื่ อื่น ๆ เพมิ่ เติมได้ ในการดาํ เนนิ การจดั ทาํ หนงั สอื เรียนเล่มนี้ ได้รับความร่วมมือที่ดีจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เกี่ยวข้อง ที่รว่ มคน้ คว้าและเรียบเรยี งเน้อื หาสาระจากสื่อตา่ ง ๆ เพ่อื ใหไ้ ดส้ อื่ ท่ีสอดคล้องกับหลักสูตร และเปน็ ประโยชน์ ต่อผู้เรียนทอ่ี ยนู่ อกระบบอย่างแท้จรงิ ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั กลุ่มเปา้ หมายพิเศษ ขอขอบคุณคณะทป่ี รึกษา คณะเรียบเรียง ตลอดจนผจู้ ดั ทําทกุ ทา่ นที่ใหค้ วามร่วมมอื ดว้ ยดีไว้ ณ โอกาสนี้ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกลุ่มเป้าหมายพิเศษ หวังว่าหนังสือเล่มน้ี จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนและการจัดการเรียนการสอน หากมีข้อเสนอแนะประการใดจะขอน้อมรับไว้ด้วย ความขอบคุณยิ่ง ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยกลุ่มเป้าหมายพเิ ศษ ๒๕๕๔ (ก)

สารบัญ หนา้ เรอ่ื ง ก ข คํานาํ ง สารบญั ช คาํ แนะนาํ การใช้หนงั สอื ๑ คําอธบิ ายรายวชิ า พท ๓๒๐๑๐ หลักการใชภ้ าษาเพือ่ ความสาํ เร็จ ๓ แบบทดสอบกอ่ นเรียน ๔ บทท่ี ๑ ลกั ษณะของภาษาไทยเพ่อื ความสําเร็จ ๗ ๙ - เรอื่ งท่ี ๑ ลักษณะของภาษา ๑๑ - เร่อื งท่ี ๒ คําเปน็ คาํ ตาย ๑๖ - เรื่องที่ ๓ คาํ ซาํ้ คําซ้อน ๒๒ - เร่ืองที่ ๔ คาํ สมาส คําสนธิ ๒๓ - เรอื่ งที่ ๕ คาํ ทมี่ าจากภาษาต่างประเทศ ๒๕ - แบบฝึกหดั ทบทวนบทที่ ๑ ๒๖ - แบบทดสอบบทท่ี ๑ ๒๙ บทท่ี ๒ ธรรมชาตขิ องภาษา ๓๑ - เรอ่ื งท่ี ๑ ธรรมชาตขิ องภาษา ๓๒ - เรอื่ งท่ี ๒ ระดบั ของภาษา ๓๔ - แบบฝกึ หัดทบทวนบทที่ ๒ ๓๕ - แบบทดสอบบทท่ี ๒ ๔๓ บทที่ ๓ ลักษณะและการเลอื กใช้คาํ กลุม่ คาํ และประโยค ๔๖ - เร่อื งที่ ๑ คําสภุ าพ คําราชาศพั ท์ ๔๙ - เรอ่ื งที่ ๒ คาํ และสาํ นวน ๕๐ - เร่อื งที่ ๓ ประโยคและชนดิ ของประโยค - แบบฝึกหดั ทบทวนบทท่ี ๓ - แบบทดสอบบทที่ ๓ (ข)

สารบญั หนา้ ๕๒ เร่อื ง ๕๓ บทท่ี ๔ สาํ นวน คาํ พงั เพยและสุภาษติ ๕๖ ๕๙ - เรอ่ื งที่ ๑ การใช้สํานวน คาํ พังเพยและสภุ าษิต ๖๑ - เรือ่ งท่ี ๒ คําศพั ท์บญั ญตั ิ ๖๕ - เร่ืองที่ ๓ คาํ ศพั ทเ์ ฉพาะกลุ่ม ๗๐ - เรื่องที่ ๔ คาํ ศพั ท์ในวงการตา่ ง ๆ ๗๒ - เรอื่ งที่ ๕ การใช้พจนานุกรม ๗๓ - เร่อื งที่ ๖ การใช้สารานุกรม ๗๕ - แบบฝกึ หัดทบทวนบทท่ี ๔ ๗๖ - แบบทดสอบบทท่ี ๔ ๘๐ บทที่ ๕ การแสวงหาความรจู้ ากสอ่ื ตา่ ง ๆ ๘๑ - เรื่องที่ ๑ การแสวงหาความรจู้ ากส่ือต่าง ๆ ๘๓ - แบบฝึกหดั ทบทวนบทที่ ๕ ๘๕-๘๖ - แบบทดสอบบทที่ ๕ ๘๗ แบบทดสอบหลังเรยี น ๘๗ เฉลยแบบฝึกหดั ทบทวนบทที่ ๑ – บทท่ี ๕ ๘๘-๘๙ เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรยี น ๙๐ เฉลยแบบทดสอบบทท่ี ๑- บทท่ี ๕ บรรณานุกรม คณะผู้จดั ทาํ (ค)

คาํ แนะนาํ การใช้หนงั สอื เรยี น หนังสือเรียนสาระความรู้พื้นฐาน (ภาษาไทย) รายวิชาเลือก หลักการใช้ภาษาเพ่ือความสําเร็จ รหสั พท ๓๒๐๑๐ (๑ หนว่ ยกิต) ตามหลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สาํ หรบั คนไทยในต่างประเทศ ประกอบดว้ ยสาระสําคญั ดังนี้ สว่ นที่ ๑ คาํ ชีแ้ จงกอ่ นเรียนร้รู ายวชิ า สว่ นที่ ๒ เน้อื หาสาระและกิจกรรมท้ายบท ส่วนท่ี ๓ แนวตอบกจิ กรรมทา้ ยบท และหรือแบบทดสอบย่อยทา้ ยบท ส่วนท่ี ๑ คาํ ช้ีแจงกอ่ นเรียนร้รู ายวิชา ผู้เรียนต้องศึกษารายละเอียดในคํานําและคําแนะนําการใช้หนังสือเรียน เพื่อสร้างความเข้าใจ และเพ่ือให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ของรายวิชา ซึ่งการเรียนรู้เนื้อหาและการปฏิบัติกิจกรรมท้ายบท ควรปฏบิ ตั ิดงั น้ี ๑. หารือครูประจํากลุ่ม / ครูผู้สอน เพ่ือร่วมกันวางแผนการเรยี น (ใช้เวลาเรยี น ๔๐ ช่ัวโมง) ๒. ศึกษาเน้ือหาจากหนังสือเรียน หากมีข้อสงสัยเรื่องใดสามารถศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมได้จาก สือ่ ตา่ ง ๆ หรือหารือครูประจํากลุม่ / ครูผู้สอน เพอื่ ขอคาํ อธิบายเพิม่ เตมิ ๓. ทํากิจกรรมทา้ ยบทเรยี นตามที่กาํ หนด ๔. เขา้ สอบวดั ผลการเรยี นรู้ปลายภาคเรียน ๕. สรา้ งความเขา้ ใจเกย่ี วกับการประเมนิ ผลรายวิชา ซ่ึงมคี ะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน โดยแบง่ สดั สว่ นคะแนนเป็นระหว่างภาคเรยี น ๖๐ คะแนน และปลายภาคเรยี น ๔๐ คะแนน ดงั น้ี ๕.๑ คะแนนระหวา่ งภาคเรียน ๖๐ คะแนน แบ่งส่วนคะแนนตามกิจกรรม ได้แก่ ๑) ทาํ กจิ กรรมท้ายบทเรียน ๒๐ คะแนน โดยทาํ กิจกรรมทา้ ยบทใหค้ รบถว้ น ๒) ทาํ บนั ทกึ การเรียนรู้ ๒๐ คะแนน โดยสรุปยอ่ เน้อื หาหรือวิเคราะห์เนอื้ หาจาก การศกึ ษาหนังสอื แบบเรยี นรายวชิ าน้ี เพอ่ื แสดงใหเ้ ห็นกระบวนการเรียนรู้ ประโยชน์ และการนําความรไู้ ปใช้ โดยทาํ ตามทค่ี รูกาํ หนด และจดั ทาํ เปน็ รูปแบบเอกสารความรู้ ดงั น้ี - ปก (รายละเอียดเกี่ยวกับตัวผู้เรียน: ช่ือ-นามสกุล รหัสประจําตัว ระดับ การศึกษา ศกร.กศน. ของผู้เรียน และศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกลุ่มเป้าหมาย พิเศษ) - ส่วนบันทึกการเรียนรู้ (เนื้อหาประกอบด้วย : หัวข้อ/เร่ืองท่ีศึกษา และ จดุ ประสงคท์ ศ่ี ึกษา และข้ันตอนการศกึ ษาโดยระบวุ ่ามีวิธีรวบรวมข้อมูลอย่างไร นาํ ข้อมลู มาใชอ้ ย่างไร) - สว่ นสรุปเนื้อหา (สรุปสาระความรู้สําคญั ตามเนอื้ หาทีไ่ ดบ้ นั ทกึ การเรยี นร้)ู (ง)

- ประโยชน์ที่เกิดกับตัวผู้เรียน (บอกความรู้ท่ีรับและนํามาพัฒนาตนเอง/การนําไป ประยกุ ต์ใชใ้ นรายวชิ าอ่ืน ๆ หรอื ในชีวติ ประจาํ วนั ) ๓) ทาํ รายงานหรือโครงงาน ๒๐ คะแนน โดยจัดทําเน้ือหาเป็นรายงานหรือโครงงาน ตามทีค่ รูกําหนดรปู แบบเอกสารรายงาน หรอื โครงงาน ดังน้ี ๓.๑)การทํารายงานหรือโครงงานตามท่ีครูมอบหมาย ให้ดําเนินการตามรูปแบบ กระบวนการทํารายงาน หรอื โครงงาน ตามรปู แบบเอกสาร ดังนี้ - ปก (เรื่องท่ีรายงาน รายละเอียดเกี่ยวกับตัวผู้เรียน : ชื่อ-นามสกุล รหัสประจําตัว ระดับการศึกษา ศกร.กศน. ของผู้เรียน และศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอธั ยาศัยกลมุ่ เป้าหมายพิเศษ) - คาํ นาํ - สารบัญ - สว่ นเน้ือหา (หัวขอ้ หลกั หัวขอ้ ยอ่ ย) - ส่วนเอกสารอา้ งอิง ๓.๒)การทําโครงงาน ตามท่ีครูมอบหมาย และดําเนินการตามกระบวนการ ทํารายงาน โดยจดั ทําตามรูปแบบเอกสารดังน้ี - ปก (ชื่อโครงงาน รายละเอียดเก่ียวกับตัวผู้เรียน : ชื่อ-นามสกุล รหัสประจําตัว ระดับการศึกษา ศกร.กศน. ขอผู้เรียน และศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อธั ยาศัยกลุ่มเป้าหมายพิเศษ) - หลักการและเหตุผล - วัตถุประสงค์ - เป้าหมาย - ขอบเขตของการศึกษา - วธิ ดี ําเนินงานและรายละเอียดของแผน - ระยะเวลาดําเนินงาน - งบประมาณ - ผลทคี่ าดวา่ จะได้รบั ๕.๒ คะแนนปลายภาคเรียน ๔๐ คะแนน ผู้เรียนต้องเข้าสอบวัดความรู้ปลายภาคเรียน โดยใช้เครอื่ งมอื (ขอ้ สอบแบบปรนัย หรือ อตั นยั ) ของศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษา ตามอัธยาศัยกลุ่มเปา้ หมายพิเศษ (จ)

สว่ นท่ี ๒ เนื้อหาสาระและกจิ กรรมทา้ ยบท ผเู้ รียนต้องวางแผนการเรยี น ใหส้ อดคลอ้ งกับระยะเวลาของรายวชิ า และตอ้ งศกึ ษาเน้ือหาสาระ ตามท่ีกําหนดในรายวิชาให้ละเอียดครบถ้วน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการเรียนรู้ของรายวิชา ซ่ึงใน รายวชิ านี้ไดแ้ บง่ เนื้อหาออกเป็น ๕ บท ดังนี้ บทที่ ๑ เร่ืองลกั ษณะของภาษาไทยเพ่ือความสาํ เร็จ บทที่ ๒ เรอื่ งธรรมชาติของภาษา บทท่ี ๓ เร่อื งลกั ษณะและการเลอื กใช้คํา กลุ่มคาํ และประโยค บทท่ี ๔ เรื่องสํานวน คําพงั เพย และสุภาษติ บทท่ี ๕ เร่ืองการแสวงหาความรจู้ ากสื่อต่าง ๆ ส่วนกิจกรรมท้ายบทเรียน เม่ือผู้เรียนได้ศึกษาเนื้อหาแต่ละบท/ตอนแล้ว ต้องทํากิจกรรมท้าย บทเรยี นหรอื แบบฝึกหดั ตามท่ีกาํ หนดใหค้ รบถว้ น เพ่ือสะสมเป็นคะแนนระหว่างภาคเรียน (๒๐ คะแนน) ส่วนที่ ๓ แนวตอบกจิ กรรมท้ายบทเรียนหรือแบบฝกึ หดั และหรือเฉลยแบบทดสอบยอ่ ย (ถ้ามี) แนวตอบกิจกรรมท้ายบทเรียนหรือแบบฝึกหัด และหรือเฉลยแบบทดสอบย่อย จัดทําแยกไว้เป็น บทเรียงลาํ ดบั (ฉ)

โครงสร้างรายวิชาหลกั การใชภ้ าษาเพ่ือความสําเรจ็ รหสั วชิ า พท ๓๒๐๑๐ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย สาระสาํ คญั ศกึ ษาหลักภาษา และลักษณะของภาษาไทย ธรรมชาติของภาษา การสร้างคําในภาษาไทย โครงสร้าง ประโยค สํานวน คําพังเพย สุภาษิต การใช้คําสุภาพ คําราชาศัพท์ การใช้พจนานุกรม และสารานุกรม รวมท้ัง การเปลี่ยนแปลงของภาษาไทย การยืมคําจากภาษาต่างประเทศมาใช้เพื่อให้สามารถใช้ภาษาเป็นเคร่ืองมือ ในการติดตอ่ สอ่ื สารและทาํ ธุรกจิ ในชีวติ ประจาํ วันได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ผลการเรยี นรทู้ ่ีคาดหวงั ๑. อธบิ ายลักษณะของภาษาไทยเพือ่ ความสาํ เร็จได้ ๒. บอกระดับของภาษาไทยได้ ๓. สามารถยกตัวอยา่ ง คําสภุ าพ คาํ ราชาศัพท์ และบอกความหมายของคําและสํานวนได้ ๔. ยกตวั อยา่ ง คาํ พังเพย และสภุ าษิต ได้ ๕. บอกวิธกี ารแสวงหาความรจู้ ากสอ่ื ตา่ ง ๆ ขอบข่ายเน้อื หา บทที่ ๑ ลักษณะของภาษาไทยเพือ่ ความสาํ เร็จ บทท่ี ๒ ธรรมชาติของภาษา บทที่ ๓ ลักษณะและการเลอื กใชค้ าํ กลุ่มคํา และประโยค บทท่ี ๔ สํานวน คาํ พงั เพย และสุภาษิต บทท่ี ๕ การแสวงหาความรูจ้ ากสอื่ ต่าง ๆ (ช)

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๑ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น คาํ ช้แี จง ให้นกั ศึกษาเลอื กคําตอบท่ีถกู ตอ้ งท่ีสุดเพยี งขอ้ เดียว ๑. ภาษาไทยเป็นภาษาคาํ โดด หมายถึงขอ้ ใด ก. บางคํามีความหมายหลายอยา่ ง หลายความหมาย ข. การใช้ควรเปลี่ยนแปลงรปู ศัพท์เสมอ ค. คําแตล่ ะความหมายมไี มส่ มบรู ณใ์ นตวั เอง ง. แต่ละคํามคี วามหมายสมบรู ณใ์ นตวั เอง ๒. การกลายเสยี งเป็นการเปลย่ี นแปลงความธรรมชาตขิ องภาษาเปน็ เสียงกร่อน คือขอ้ ใด ก. หมากม่วง --------> มะม่วง ข. มะพรา้ ว --------> หมากพร้าว ค. สะเอว --------> สายเอว ง. ตะไคร้ --------> ตน้ ไคร้ ๓. ข้อใดเป็น “คาํ เป็น” ทัง้ หมด ก. ปิด-บท-ยก ข. พบ-จกุ -ตาก ค. ใบ-ตา-ฟงั ง. ตดั -บท-นาก ๔. คาํ ซ้อนเพื่อเสยี ง คอื ข้อใด ก. บา้ นเรอื น ข. เนื้อตวั ค. เบกิ บาน ง. ยู่ย่ี ๕. ขอ้ ใดเป็นคาํ สมาสทุกคํา ก. วิทยาลัย-ธนาคาร-มหัศจรรย์ ข. อสิ รภาพ-ศลั ยแพทย-์ หตั ถกรรม ค. จินตนาการ-มจิ ฉาชพี -จตุราศี ง. อิสรภาพ-วิทยาลัย-หัตถกรรม

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๒ ๖. ขอ้ ใดเปน็ ภาษากึง่ ทางการ ก. สุขเรียนจบจากมหาวิทยาลัยรามคําแหง ข. สุขเรยี นจบจากรามคําแหง ค. สขุ เรียนจบจากราม ง. สขุ เรยี นราม ๗. คาํ ราชาศพั ท์ “ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ” คอื ข้อใด ก. ให้ ข. ถาม ค. ตอบ ง. ชแ้ี จง ๘. ความหมายสํานวนไทย “ข้าวแดงแกงร้อน” คืออะไร ก. ความสุข-ความเจริญ ข. ความซื่อสัตย์ ค. เมตตา ง. บญุ คุณ ๙. คําศพั ท์บญั ญตั ิ “Freedom” คือขอ้ ใด ก. เสรภี าพ ข. ฟรีดอม ค. ท่องเที่ยว ง. นโยบาย ๑๐. ถ้าหากเราจะศกึ ษาเรยี นรู้การใช้พจนานุกรม ควรอา่ นและศึกษาอะไรอันดับแรก ก. อกั ขระวิธ-ี คํานํา ข. คําชี้แจง-หนงั สืออา้ งถงึ ค. คํานาํ -คาํ ช้ีแจง ง. บัญชีอักษรยอ่ -หนังสอื อา้ งอิง

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๓ บทที่ ๑ ลักษณะของภาษาไทยเพอ่ื ความสาํ เรจ็ สาระสําคญั ลักษณะสําคัญของภาษาไทย เป็นภาษาคําโดด คําไทยแท้ส่วนมากมีพยางค์เดียว มีตัวสะกด ตรงตามมาตรา เป็นภาษาท่มี เี สียงวรรณยกุ ต์ มกี ารสร้างคาํ เพอ่ื เพมิ่ ความหมายให้มากขึ้น การเรียงคํา ในประโยคเป็นสิ่งท่ีสําคัญมาก คําขยายในภาษาไทยมักจะเรียงอยู่หลังคําท่ีถูกขยาย มีลักษณะนาม มีวรรคตอนในการเขียนและพูดภาษาไทยมีระดับ นอกจากน้ันเป็นการอธิบาย ความหมายและ ยกตวั อยา่ งของคาํ เป็น คาํ ตาย คาํ ซํา้ คาํ ซอ้ น คาํ สมาส คําสนธิ และคําที่มาจากภาษาต่างประเทศ ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวงั ๑. ผเู้ รียนสามารถอธิบายลักษณะของภาษาไทยได้อย่างถกู ต้อง ๒. ผู้เรยี นสามารถอธบิ ายความหมายของคําเป็น คําตาย คําซาํ้ คาํ ซ้อน คาํ สมาส และคํา ท่มี าจากภาษาตา่ งประเทศได้ถกู ต้อง ขอบขา่ ยเน้อื หา เรือ่ งท่ี ๑ ลักษณะของภาษา เรื่องท่ี ๒ คาํ เปน็ คาํ ตาย เร่ืองที่ ๓ คาํ ซา้ํ คาํ ซ้อน เรอ่ื งท่ี ๔ คําสมาส คาํ สนธิ เรอ่ื งท่ี ๕ คาํ ทม่ี าจากภาษาต่างประเทศ

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๔ เรื่องท่ี ๑ ลักษณะของภาษา ภาษาไทยมีวิวัฒนาการมาตามลําดับ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโดยพระโหราธิบดี ได้ต้ังแต่งตําราเรียนภาษาไทยเล่มแรก ช่ือ จินดามณีข้ึน ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจา้ อยู่หัว กระทรวงธรรมการ ไดพ้ ิมพ์ตําราสยามไวยากรณ์เป็นแบบเรียนและเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบ ดี ได้เรียบเรียงข้ึนใหม่ โดยย่อจากตําราสยามไวยากรณ์ จนถึง พ.ศ. ๒๔๖๑ พระยาอุปกิตศิลปสารได้ ใชเ้ คา้ โครงของตําราสยามไวยากรณ์แต่งตําราหลักภาษาไทยขึ้นใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นตําราหลักภาษาไทย ท่สี มบูรณ์และเป็นแบบฉบับหลกั ภาษาไทยทใี่ ชก้ ันมาจนถงึ ปัจจบุ นั ลกั ษณะสาํ คัญของภาษาไทย มดี งั น้ี ๑. ภาษาไทยเป็นภาษาคําโดด คือคํามักมีพยางค์เดียวมีความหมายอยู่ในตัวครบถ้วน เปน็ อิสระไมผ่ กู พันกับคาํ อนื่ ไม่มกี ารเปล่ยี นแปลงรปู คาํ ลักษณะภาษาไทยทีเ่ ปน็ คาํ โดด เชน่ คาํ นามท่ีใช้เรยี กวงศาคณาญาติ เชน่ พอ่ แม่ พี่ น้อง ป้า อา คํานามทเี่ ป็นชือ่ เรยี กอวัยวะ เชน่ แขน ขา ผม มือ ตา หู คาํ นามท่ัวไป เช่น เดิน นอน วิ่ง หลัง เกิด ปดิ ใช้ ให้ หา คําสรรพนาม เชน่ ฉนั ผม มึง เรา เธอ เขา ทา่ น คุณ คําบอกจาํ นวนนบั เชน่ หนง่ึ สอง สาม หมืน่ แสน คาํ ขยาย เช่น ดี เลว ผอม อว้ น เขียว ดาํ มาก นอ้ ย คาํ หลายพยางค์มกั ไม่ใช้คําไทยแท้ แต่เปน็ คาํ ท่ยี มื มาจากภาษาอืน่ และไทยเรานํามาใช้จนคิด ว่าเปน็ ภาษาไทย เชน่ ภาษาจนี ภาษาบาลี-สนั สฤต เปน็ ต้น ๒. คําไทยแท้ส่วนมากมพี ยางคเ์ ดยี ว คือ เปน็ คาํ ทม่ี คี วามหมายเขา้ ใจได้ทันที เช่น ดิน นํ้า ลม ไฟ โอง่ ไห เปน็ ตน้ ส่วนคําไทยแท้ที่มหี ลายพยางคม์ ีสาเหตมุ าจาก ๒.๑ การปรับปรุงศพั ทด์ ว้ ยการลงอปุ สรรคแบบไทย คือการเพ่ิมเสยี งหนา้ ศัพท์ เช่น ชิด…..........................ประชดิ ทาํ .............................กระทาํ ลกู ดุม........................ลกู กระดุม ๒.๒ การกลายเสียง เปน็ การเปลย่ี นแปลงตามธรรมชาติของภาษา เชน่ เสียงกรอ่ น หมากม่วง…............มะม่วง หมากพร้า...............มะพรา้ ว สายเอว..................สะเอว ต้นไคร้....................ตะไคร้

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๕ ๓. คําไทยแท้มตี วั สะกดตรงตามมาตรา เช่น คํา ทเ่ี กย่ี วกับการตอ่ สู้ ไดแ้ ก่ แม่กก ............................................................................. ชก ศอก กระแทก โชก ผลกั แม่กด ............................................................................. กัด ฟดั รดั อดั กอด ฟาด แมก่ บ ............................................................................. ตบ ทุบ งบั บบี จับ แมก่ ง ............................................................................. ถอง พุง่ ดึง เหวีย่ ง ทิง้ แม่กน ............................................................................. ชน ดัน ยนั โยน แม่กม ............................................................................. โถม ท่ิม สุม ท่มุ แมเ่ กย ............................................................................. เสย ต่อย แม่เกอว ............................................................................. เหน่ยี ว น้าว ๔. ภาษาไทยเป็นภาษาท่ีมีเสียงวรรณยุกต์ ซึ่งวรรณยุกต์น้ีจะทําให้คําท่ีมีระดับเสียงและ ความหมายตา่ งกัน เชน่ คา ค่า คา้ เขา เขา่ เข้า นาํ นํ่า นํา้ เสอื เส่อื เสื้อ ๕. ภาษาไทยท่ีมีการสร้างคําเพ่ือเพ่ิมความหมายให้มากขึ้น การเพิ่มคําในภาษาไทยมีหลาย ลักษณะ เชน่ การประสมคํา คําซ้อน คําซํา้ คําสมาส คาํ สนธิ ศพั ท์บัญญัติ คาํ แผลง เป็นตน้ ๖. การเรียงคําในประโยค การเรียงคําในประโยคของภาษาไทยนั้น สําคัญมาก เพราะ ถ้าเรียงคําในประโยคสลับทีก่ นั จะทาํ ใหค้ วามหมายเปล่ียนไป เชน่ - พอ่ ให้เงนิ ผมใช้ - พอ่ ใหใ้ ชเ้ งนิ ผม - พอ่ ให้ผมใชเ้ งนิ ๗. คาํ ขยายในภาษาไทยมกั จะเรียงอย่หู ลงั คําท่ถี กู ขยาย เช่น - แม่ไกส่ ีแดง - เรอื ลําใหญ่แลน่ ช้า

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๖ ๘. คาํ ไทยมีลกั ษณะนาม มีหลกั การใช้ ดังน้ี ๘.๑ ใช้ตามหลงั คาํ วิเศษณ์บอกจาํ นวนนับที่เปน็ ตวั เลข - นกั เรยี น ๓๒ คน - สุนัข ๒ ตัว ๘.๒ ใช้ตามหลงั คาํ นามเพอ่ื บอกลักษณะคาํ นามท่อี ย่ขู ้างหนา้ เชน่ - หนงั สอื เลม่ น้นั ใครเอาไป - รถคันนม้ี าจากยโุ รป ยกเว้น การใช้คําว่า “เดียว” แทนจํานวนนบั ๑ หนว่ ย ซง่ึ จะอยหู่ ลังลกั ษณะนาม เชน่ - ฉนั เล้ียงแมวไวต้ วั เดยี ว - เขากินขา้ วจานเดยี ว ๙. ภาษาไทยมวี รรคตอนในการเขียนและการพดู เพื่อกําหนดความหมายท่ีต้องการสอื่ สาร หากแบง่ วรรคตอนการเขยี นผดิ หรอื พูดเวน้ จังหวะผดิ ความหมายก็จะเปลี่ยนไป เช่น - อาหาร อรอ่ ยหมดทกุ อย่าง - อาหารอรอ่ ย หมดทกุ อย่าง ๑๐. ภาษาไทยมรี ะดบั ของภาษาแบ่งได้ ดังน้ี ๑๐.๑ ระดับพธิ กี าร - ใชใ้ นพธิ กี ารสาํ คัญต่าง ๆ ๑๐.๒ ระดับทางการ - ใชใ้ นโอกาสทเี่ ปน็ ทางการ ๑๐.๓ ระดบั กง่ึ ทางการ - ใช้ในโอกาสทีเ่ ป็นทางการแตล่ ดระดบั โดยใช้ภาษา สภุ าพและเปน็ กันเองมากข้นึ ๑๐.๔ ระดบั สนทนา - ใชใ้ นโอกาสพูดคยุ ทั่วไป ๑๐.๕ ระดบั กนั เอง - สามารถใชภ้ าษาพูดหรอื ภาษาคะนอง กล่าวโดยสรุปลักษณะของภาษาไทย คือ ภาษาไทยเป็นภาษาคําโดดส่วนมากมีพยางค์เดียว มีตัวสะกดตรงตามมาตรา มีเสียงวรรณยุกต์ มีการสร้างคําเพ่ือเพิ่มความหมายให้มากข้ึน การเรียงคํา ในประโยคของภาษาไทยน้ันสําคัญมาก ภาษาไทยมีลักษณะนามและมีวรรคตอนในการเขียนและ การพูด สุดท้าย มีระดับของภาษา ดังนั้นผู้เรียนควรทําความเข้าใจภาษาไทยเหล่าน้ีให้ชัดเจน ก็จะทําให้ การศึกษาภาษาไทยมคี วามสําเร็จมากยง่ิ ขึ้น

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๗ เร่อื งท่ี ๒ คําเปน็ คําตาย คาํ เป็น คาํ เปน็ คือพยัญชนะผสมสระเสยี งยาวในแม่ ก กา และคําทม่ี ตี ัวสะกดในแม่ กง กน กม เกย เกอว รวมทั้งสระเสียงสนั้ ท่ี ๔ ตวั คอื อํา ใอ ไอ เอา ตวั อยา่ งคาํ เปน็ แม่ ก กา ตัวสะกด กง กน กม เกย เกอว สระเสยี งสน้ั อํา ใอ ไอ เอา จา ปรี มา ดู โต จอ้ ปู่ อา เรา นี ตา ปู ฟัง, ตงั , ตน,ยาม,เชย, พราว, ตาม คํา ชม เชย คน นาง,กิน,ปม,นาย,หิว,กลาง,คืน, หงุ ขา้ วเหนียวในครวั ไฟ, ลมื ,เลย,เชียว คาํ , ใบ, ไม,่ ทาํ , ใจ, ไป, เอา ตัวอย่างของคําเปน็ ตามไตรยางค์ ดงั นี้ ๑. อักษรกลางคําเป็น พืน้ เสยี งเป็นเสยี งสามญั เช่น กา คง จน ปม เตย กลอง ผนั ด้วยไม้เอก เป็นเสียงเอก เช่น กา่ ด่ง จ่น บ่ม เตย่ กล่อง ผันดว้ ยไมโ้ ท เป็นเสยี งโท เชน่ กา้ ดง้ จ้น บ้ม เต้ย กล้อง ผนั ดว้ ยไมต้ รี เป็นเสยี งตรี เชน่ กา๊ ดง๊ จน๊ บ๊ม เต๊ย กล๊อง ผนั ด้วยไม้จัตวา เปน็ เสียงจตั วา เชน่ กา๋ ด๋ง จ๋น บ๋ม เต๋ย กลอ๋ ง จะเห็นว่า อกั ษรกลางคาํ เป็น ผนั ได้ ๕ เสยี ง และเสียงกบั รูปวรรณยกุ ตต์ รงกัน ๒. อกั ษรตา่ํ คําเปน็ พ้ืนเสียงเป็นเสียงสามญั เชน่ คา ซน โดน วาว เชย ผันดว้ ยไมส้ ามญั เป็นเสยี งสามญั เชน่ คา ซน โดน วาว เชย ผันด้วยไม้เอก เป็นเสียงโท เชน่ ค่า ซ่น โด่น วา่ ว เช่ย ผันด้วยไม้โท เปน็ เสียงตรี เช่น คา้ ซ้น โด้น วา้ ว เชย้ จะเหน็ ว่าอกั ษรต่าํ คําเป็นผนั ได้เพียง ๓ เสยี ง คอื สามญั โท ตรี ๓. อักษรสูงคาํ เปน็ พ้ืนเสียงเปน็ เสียงจัตวา เชน่ ขา ผง เชย สาว ผนั ดว้ ยไม้เอก เปน็ เสยี งเอก เช่น ขา่ ผง่ เช่ย ส่าว ผนั ดว้ ยไม้โท เช่น ข้า ผง้ เชย้ ส้าว

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๘ คาํ ตาย คาํ ตาย คอื คาํ ทีป่ ระกอบด้วยสระเสยี งส้ัน (รสั สระ) ในแม่ ก กา (ยกเวน้ อํา ใอ ไอ เอา) และ คาํ ท่มี ตี วั สะกดในแม่ กก กด กบ ใชค้ าํ ตายแทนเอกได้ ตัวอยา่ งคาํ ตาย เสียงสนั้ ในมาตรา ก กา มาตรา กก กด กบ มะ จะ ติ ปริ ดุ เกาะ ปะ ฉุ บ่ สุ จิ ปุ ลิ นาก ตาก พกั เมฆ ภาพ ตบ ภาพ นก มัด รบั กาก จกุ ปิด ตรวจ พบ ลาภ ยก ทัพ ตัด บท ตัวอย่างของคาํ ตายตามไตรยางค์ ๑. อกั ษรกลางคําตาย - พนื้ เสียงเป็นเอก เช่น ปะ กาก จด โบก - ผนั ด้วยไม้โท เปน็ เสียงโท เช่น ป้ะ กา้ ก จด้ โบ้ก - ผันดว้ ยไมต้ รี เป็นเสียงตรี เชน่ ป๊ะ ก๊าก จด๊ โบ๊ก - ผันด้วยไมจ้ ตั วา เปน็ เสียงจตั วา เช่น ป๋ะ ก๋าก จด๋ โบก๋ (คาํ ทย่ี กตัวอย่าง เพียงเพือ่ ใหเ้ ห็นวิธีผัน อาจไมม่ ีใชเ้ ปน็ ปกติในภาษาก็ได้) ๒. อกั ษรตาํ่ คําตาย สระเสียงส้ัน พน้ื เสยี งเปน็ เสยี งตรี เช่น คะ นัด รัก สระเสยี งยาว พ้ืนเสยี งเปน็ เสยี งโท เช่น มาก-เชติ -โนต ผนั ด้วยไม้โท เปน็ เสียงตรี เช่น ม้าก เชิต้ โนต้ จะเห็นว่า อกั ษรต่ําคาํ ตาย สระเสยี งสน้ั ผนั ไดเ้ พยี ง ๒ เสียง คอื โท และตรี ๓. อกั ษรสงู คาํ ตาย พน้ื เสยี งเปน็ เสียงเอก เช่น สะ ผลิ ฝาก ขูด ผนั ด้วยไมโ้ ท เป็นเสยี งโท แตค่ าํ ทีผ่ ันได้ไมม่ ที ี่ใชห้ รอื ไม่มคี วามหมายจึงมไิ ด้แสดงไว้ คําตาย เป็นคาํ ทป่ี ระกอบดว้ ยสระเสยี งสั้น ในแม่ ก กา และคาํ ท่ีมีตวั สะกดในแม่ กก กด กบ ใช้คาํ ตายแทนเอาได้ คําตายตามไตรยางค์ คืออักษรกลาง อักษรต่ํา และอักษรสูง

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๙ เร่ืองที่ ๓ คําซา้ํ คําซ้อน คาํ ซํ้า คําซํ้า คือคําท่ีเหมือนกันท้ังเสียงและความหมาย เป็นการกล่าวซ้ํา คําเดิม โดยใช้ไม้ยมก เกิดเป็นคําใหมท่ ่มี คี วามหมายคล้าย ๆ คาํ เดมิ แตอ่ าจเน้นความหมายต่างกัน หรือแยกความหมายเป็น สดั สว่ น หรอื มคี วามหมายเปน็ พหพู จน์ หรอื ความหมายเปลย่ี นไปเปน็ สํานวน ตวั อย่างคาํ ซํา้ ในหอ้ งนม้ี หี นงั สอื ดี ๆ ให้อ่านหลายเลม่ (เน้นความหมายให้มนี าํ้ หนกั ยงิ่ ขนึ้ ) เดก็ คนน้ีทา่ ทางฉล๊าดฉลาด (เน้นความหมายให้มนี ํ้าหนักยงิ่ ขึ้นโดยเปล่ยี นเสียงวรรณยุกตค์ าํ หน้าเปน็ เสียงตรี) ห้องชุดที่หาซอื้ อยู่แถวๆ บางกะปิ (ความหมายเปน็ เชงิ คาดคะเน) ลกู ๆ พาเพอื่ นมาเลีย้ งสังสรรคท์ บี่ า้ น (ความหมายเปน็ พหูพจน)์ ดๆี ชั่วๆ เขากย็ ังเปน็ ญาตขิ องเรา (ความหมายเปล่ียนไปเป็นสาํ นวน) นอกจากนี้ยังมกี ารซ้าํ คําอกี ชนดิ หนง่ึ เรยี กวา่ “คําอพั ภาภาส” เป็นการซ้ําคาํ ดว้ ยวิธีกร่อนคํา หน้าเปน็ เสยี งสระอะ เพือ่ ความไพเราะในการออกเสียง มักพบในคาํ ประพนั ธ์ เช่น ล่วิ ๆ กรอ่ นเปน็ ละลิ่ว เรอ่ื ยๆ กร่อนเป็น ระเร่ือย วบั ๆ กรอ่ นเปน็ วะวับ ในภาษาไทยกใ็ ช้ เชน่ คร้นื ครกึ ยิ้ม แยม้ ใชอ้ พั ภาสเป็น คะครน้ื คะครกึ ยะยมิ้ ยะแย้ม คําซอ้ น คําซอ้ น คอื คําทเี่ กิดจากการนาํ คําท่ีมีความหมายหรือเสยี งใกลเ้ คียงกันมาเรียงต่อกันเกิดเป็น คาํ ใหม่ แบง่ ออกเปน็ ๒ ชนดิ คือ คําซ้อนเพ่อื ความหมาย และคาํ ซ้อนเพ่อื เสยี ง ๑. คําซ้อนเพื่อความหมาย คือ การนําคําท่ีมีความหมายเหมือนกัน คล้ายคลึงกัน หรือมี ความหมายตรงข้ามกันมาเรียงซ้อนกัน เกิดเป็นคําใหม่ท่ีมีความหมายชัดเจนขึ้น หรืออาจมี ความหมายเปลีย่ นแปลงไป แตย่ ังคงเกย่ี วเนอ่ื งกับความหมายเดมิ

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๑๐ ตวั อย่าง หมายถึง ท่อี ยู่อาศัย หมายถงึ รา่ งกาย บ้านเรือน หมายถงึ ความจรงิ เท่าทป่ี รากฏ เน้อื ตัว หมายถึง แชม่ ชน่ื สดใส เทจ็ จรงิ เบกิ บาน ๒. คาํ ซอ้ นเพอ่ื เสยี ง คือ การนําคําท่ีมเี สียงใกล้กันมาเข้าคกู่ ันทําใหเ้ กิดความหมายขึ้น คาํ ท่ี นํามาซ้อนมักมพี ยญั ชนะตน้ และ ตัวสะกดตรงกัน แตป่ ระสมด้วยสระตา่ งกนั สระนน้ั มกั เปน็ สระที่ ใกล้เคียงกนั ตัวอย่าง ยูย่ ่ี หมายถึง ยน่ หรอื ยับเสียรูป โงนเงน หมายถงึ เอยี งเอนไปมา กะเรอ่ กะร่า หมายถงึ อาการทีแ่ บกหรอื หอบของพะรงุ พะรงั กล่าวสรุป คําซํ้า เป็นคําท่ีเหมือนกัน ท้ังเสียงและความหมาย เป็นการซํ้าคําเดิม โดยใช้ ไม้ยมก เกิดจากเป็นคําใหม่ เช่น ดีๆ ฉล๊าด ฉลาด แถวๆ ลูกๆ และ ดีๆ ชั่วๆ เป็นต้น ส่วนคําซ้อน เป็นคําท่ีเกิดจากการนําคําที่มีความหมายหรือเสียงใกล้เคียงกันมาเรียงต่อกันเกิดเป็นคําใหม่ โดยแบ่ง ออกเป็นคําซ้อนเพื่อความหมาย เช่น บ้านเรือน เน้ือตัว เบิกบาน เป็นต้น และคําซ้อนเพ่ือเสียง เช่น ยูย่ ่ี โงนเงน และกระเรอ่ กะร่า เป็นต้น

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๑๑ เร่ืองที่ ๔ คาํ สมาส คําสนธิ คาํ สมาส คําสมาส คือ การประสมคําอย่างหน่ึงซ่ึงไทยรับมาจากภาษาบาลีสันสกฤต คําสมาสเกิดจาก การนําคําบาลีและสันสกฤตมารวมกัน เกิดคําใหม่ มีความหมายใหม่ แต่ยังคงเค้าความหมายของคํา เดิม การแปลความจะแปลจากคําหลักที่อยู่ข้างหลังก่อนคําขยาย ที่อยู่ข้างหน้า เช่น ภูมิศาสตร์ แปลว่า วิชาท่ศี กึ ษาเกีย่ วกบั แผ่นดิน ตวั อย่าง หัตถกรรม หมายถงึ งานที่ทําข้นึ ด้วยมือ อิสรภาพ หมายถึง ความเป็นอยูท่ ่ไี ม่ข้ึนกบั ใคร ศัลยแพทย์ หมายถงึ แพทยผ์ ่าตัด การสมาสคํา อาจมีการเชื่อมคาํ โดยกลมกลนื เสยี งระหว่างคาํ ทเ่ี รียกวา่ “สนธิ” โดยเรียกให้ เสยี งทา้ ยของคําต้นกลืนกับเสียงของคําทนี่ ํามาต่อ เช่น สุข+อภิบาล = สขุ าภบิ าล ราชา+อปุ ถัมภ์ = ราชปู ถมั ภ์ กระยา+อาหาร = กระยาหาร การอา่ นคาํ สมาส การอ่านคาํ สมาสจะออกเสยี ง อะ ท่พี ยางคท์ า้ ยขอคาํ นาํ หนา้ ดว้ ย เชน่ ธนบัตร อ่านวา่ ทะ-นะ-บัด ธุรการ อ่านว่า ทุ-ระ-กาน ภมู ิศาสตร์ อา่ นว่า พู-ม-ิ สาด ธาตสุ ัญญา อ่านว่า ทาด-ตุ-สนั -ยา คําสมาสน้นั รู้กนั อยวู่ า่ จะตอ้ งออกเสยี งเชือ่ มกลางคํา เช่น พุทธกาล ออกเสยี ง พุด-ทะ-กาน กิจวตั ร ออกเสียง กิด-จะ-วดั

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๑๒ คําสมาสทอี่ อกเสียงตามความนยิ ม เช่น เพชรบุรี บางคนออกเสียง เพ็ด-ชะ-บ-ุ รี ราชบุรี บางคนออกเสียง เพด็ -บุ-รี บางคนออกเสียง ราด-ชะ-บุ-รี บางคนออกเสียง ราด-บุ-รี คําสมาสคนไทยนิยมออกเสียงคําเป็นเสียงหนัก เบา สลับกัน การออกเสียงเช่ือมกลาง คําสมาสชว่ ยให้ออกเสียงเบาไดท้ า่ มกลางเสยี งหนัก เช่น กรรมกร ราชการ หตั ถกรรม พทุ ธกาล อุทกภยั ปัจฉมิ พจน์ อบุ ัติเหตุ สมานฉนั ท์ สวัสดกิ าร สมาชกิ ภาพ อตุ สาหกรรม กลั ยาณมติ ร มคี าํ สมาสไม่นอ้ ยท่สี ่วนตน้ เหมือนกัน ตา่ งกนั ท่สี ่วนหลงั การออกเสยี งเชื่อมก็จะต่างกนั ด้วย เช่น เกียรติยศ-เกยี รตนิ ยิ ม เพชรบรู ณ-์ เพชรเกษม พรหมทณั ฑ-์ พรหมวหิ าร อนิ ทรวงศ-์ อินทรธนู ธนบตั ร-ธนบุรี จติ รกรรม-จิตรลดา ชลธาร-ชลบรุ ี ชาติวฒุ ิ-ชาตินิยม เทพบุตร-เทพธิดา ปัจฉมิ กาล-ปจั ฉมิ ลขิ ติ นามธรรม-นามสกลุ ปฐมวัย-ปฐมนเิ ทศ

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๑๓ คาํ สนธิ คําสนธิ หมายถึง คาํ ท่ีสร้างขน้ึ ใหม่ โดยวิธีเช่ือมคําตามแบบภาษาบาลีสันสกฤต ให้ติดต่อเป็น คําเดียวกัน ลักษณะของคําสนธมิ ดี งั น้ี ๑. เกิดจากคาํ มูลต้ังแต่ ๒ คําขึน้ ไป ๒. ต้องเปน็ คาํ ทม่ี าจากภาษาบาลสี ันสฤต ๓. มกี ารเชื่อมคําโดยเปลยี่ นสระ พยัญชนะหรือนิคหติ ของคําเดมิ ๔. มกั เรยี งคาํ หลกั ไว้หลังคาํ ขยาย เชน่ เดยี วกบั คาํ สมาสเมื่อแปลก็แปลจากหลังไปหนา้ ๕. คําสนธิ แบง่ ออกเป็น ๓ ชนิด ไดแ้ ก่ ๕.๑ สระสนธิ หมายถึง คําสนธิท่ีมีการเปล่ียนแปลงสระระหว่างคําที่ใช้เช่ือม การเปลี่ยนแปลงสระมี ๒ วิธี ดงั น้ี ๑) ตดั สระพยางค์ของคาํ หน้า แลว้ ใชส้ ระพยางคห์ นา้ ของคําหลงั เช่น คาํ หน้า คาํ หลงั คําสนธิ จตุร องค์ จตุรงค์ วทิ ย อาลยั วิทยาลัย ธน อาคาร ธนาคาร มหา อศั จรรย์ มหศั จรรย์ จินตน อาการ จินตนาการ มจิ ฉา อาชพี มจิ ฉาชีพ ๒) ตัดสระพยางคท์ ้ายของคาํ หนา้ แล้วใชส้ ระพยางคห์ นา้ ของคําหลัง โดย เปล่ียนสระพยางค์หน้าของคําหลัง ดงั นั้ สระ อะ เปลยี่ นเป็น อา หรอื อู สระ อิ เปลี่ยนเปน็ เอ หรอื โอ เช่น คาํ หน้า คาํ หลัง คําสนธิ ราช อนุญาต ราชานญุ าต ราช อปุ ถัมภ์ ราชูปถมั ภ์ ราช อทุ ิศ นร อิศวร ราชทู ศิ ปรม อนิ ทร์ นเรศวร ชล อทุ ร ปรเมนทร์ ชโลทร

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๑๔ ราช อบุ าย ราโชบาย คาํ หนา้ ๓) เปล่ยี นสระพยางคท์ า้ ยของคาํ หน้าเป็นพยัญชนะ ดังนี้ อัคคี สามคั คี อิ อี เปล่ียนเป็น ย ธนู เหตุ อุ อู เปลีย่ นเป็น ว แล้วใชส้ ระพยางค์หน้าของคําหลัง เช่น คาํ หลงั คําสนธิ โอภาส อัครโยภาส อาจารย์ สามคั ยาจารย์ อาคม ธนว+อาคม เปน็ ธนั วาคม เอนกรรถ เหตว+เอนกรรค เป็น เหตวาเนกรรถ ๕.๒ พยัญชนะสนธิ หมายถงึ คาํ สนธทิ ่มี กี ารเปล่ียนแปลงทพี่ ยัญชนะ เชน่ ๑) เปล่ียน ส เปน็ โอ และ ว เป็น พ เช่น คาํ หนา้ คาํ หลัง คําสนธิ มนส ภาว มโนภาพ มนส รม มโนรม รหส ฐาน รโหฐาน คําหนา้ ๒) เปลี่ยน ส เป็น ร เชน่ คาํ สนธิ ทสุ ทุรชน ทรชน นสิ คาํ หลงั นิรคุณ เนรคุณ นสิ ชน ทสุ คณุ นริ ภัย ภัย ทรุ พล ทรพล พล

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๑๕ ๕.๓ นิคหติ สนธิ หมายถึง คาํ สนธิท่มี ีการเปลี่ยนแปลงนคิ หิต เชน่ ๑) นคิ หติ กับสระ ให้เปล่ยี นรปู เปน็ นคิ หติ เป็น ม แลว้ ใช้สระพยางคห์ นา้ ของคําหลัง เชน่ สํ+อาคม เปน็ สมาคม สํ+โอสร เป็น สโมสร ส+ํ อาทาน เป็น สมาทาน ส+ํ อาส เปน็ สมาส ส+ํ อคั คี เป็น สามคั คี ส+ํ อทุ ัย เปน็ สมุทยั ๒) นิคหติ สนธกิ ับพยัญชนะวรรคให้เปล่ียนนคิ หติ เป็นพยญั ชนะท้ายวรรค เชน่ ส+ํ กร เปน็ สังกร สํ+จร เป็น สัญจร ส+ํ เกต เปน็ สงั เกต ส+ํ ขยา เปน็ สงั ขยา ๓) นคิ หติ สนธกิ บั เศษวรรค ใหเ้ ปล่ียนนคิ หติ เป็น ง เชน่ สํ+โยค เป็น สงั โยค สํ+วร เปน็ สังวร สํ+วาส เปน็ สังวาส ส+ํ สาร เปน็ สงั สาร สงสาร กล่าวโดยสรุป คําสมาส เป็นการประสมคําอย่างหนึ่ง ซ่ึงไทยได้รับมาจากภาษาบาลีและ สันสกฤต คําสมาสเกิดจากการรับคําบาลีและสันสกฤตมารวมกัน เกิดคําใหม่และมีความหมายใหม่ เช่น หัตถกรรม อิสรภาพ ศัลยกรรม เป็นต้น ส่วนคําสนธิ เป็นคําที่สร้างใหม่ โดยวีเชื่อมคําตามแบบ ภาษาบาลี สันสกฤตใหต้ ดิ ต่อเป็นคาํ เดียวกัน เชน่ จตรุ งค์ วทิ ยาลยั ธนาคาร มหัศจรรย์ เป็นต้น

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๑๖ เรอื่ งท่ี ๕ คําทีม่ าจากภาษาต่างประเทศ ภาษาไทยของเรามีภาษาอื่นเข้ามาปะปนอยู่เป็นจํานวนมากเพราะเป็นธรรมชาติของภาษาที่ เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ถ่ายทอด ความรู้ ความคิดของมนุษย์และภาษาเป็นวัฒนธรรมอย่างหน่ึง ซึ่งสามารถหยิบยืมกันได้โดยมีสาเหตุจากอิทธิพลทางภูมิศาสตร์ คือมีเขตแดนติดต่อกับอิทธิพลทาง ประวัติศาสตร์ที่มีการอพยพถิ่นท่ีอยู่ หรืออยู่ในเขตปกครองของประเทศอื่น อิทธิพลทางด้านศาสนา ไทย เรามีการนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาคริสต์ และอื่น ๆ นอกจากนี้อิทธิพล การติดตอ่ ค้าขาย การศกึ ษา แลกเปล่ยี นเทคโนโลยี เป็นตน้ จึงทาํ ให้เรามีการยืมคําภาษาอื่นมาใช้เป็น จาํ นวนมาก เช่น ๑. คําที่มีจากภาษาบาลี สันสฤต ไทยเรารับพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ซ่ึงใช้ภาษาสันสกฤต มาก่อน และต่อมารับพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์มาอีก ซ่ึงใช้ภาษาบาลีเป็นเคร่ืองมือในการเผยแพร่ ไทยจึงรับภาษาบาลี สันสกฤต เข้ามาใชใ้ นภาษาไทย เปน็ จํานวนมาก ตัวอย่างภาษาบาลี สันสกฤตในภาษาไทย สนั สกฤต ไทย บาลี สวฺ าบิน สามี สามี จุติ จตุ ิ ฤษิ สกณุ า สกณุ จฬุ า จฬู า มติ รฺ ทกุ ข์ ทุกขฺ สตวฺ ฤษี ไวทฺย ขณะ ขณ นิตฺย มิตร ปทมุ สัตว์ นิจฺจ กุมาร แพทย์ ปทุม จีวร นจิ ,นิตย์ กมุ าร อลงกฺ าร ปทมุ , ปทั มา จวี ร กุมาร อลงกฺ าร จวี ร อลงั การ

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๑๗ ๒. ภาษาจีน ไทยกับจีนมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดทางด้านเชื้อชาติ ถ่ินที่อยู่ การติดต่อ ค้าขาย ปัจจุบันมีคนจีนเข้ามาอาศัยในประเทศไทยเป็นจํานวนมาก จึงมีการยืมและแลกเปลี่ยนภาษา ซ่ึงกันและกนั ภาษาจีนทไี่ ทยยืมมาใชเ้ ปน็ ภาษาพูด คาํ ทไี่ ทยยืมมาจากภาษาจนี มมี ากมาย ตวั อย่างคาํ ยมื ภาษาจนี ในภาษาไทย กว๋ ยเตี๋ยว ก๊ยุ เก๊ เกา้ อ้ี เกี๊ยว โก๋ (ขนม) เขียม ชา (ใบชา) ชาํ (รา้ นชํา) ซี้ซ้วั ตว่ น ตุน ตงั ตว๋ั ได้ บะฉ่อ ถา่ น ลันเตา มะหม่ี เปีย๊ ะ (ขนม) โสหยุ้ ๓. ภาษาอังกฤษ ชาวอังกฤษเข้ามาติดต่อกับไทยมาต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึง กรุงรัตนโกสินทร์ มีการติดต่อค้าขาย เข้ามารับราชการก็มีมากและภาษาอังกฤษเป็นท่ียอมรับกันท่ัว โลกว่าเป็นภาษาสากลและปะปนอยู่ในภาษาไทยมีมากมาย เช่น ลอตเตอร่ี เปอร์เซ็นต์ บ๋อย โน้ต กอล์ฟ ลิฟท์ สวิตซ์ เบยี ร์ ชอล์ก เบรก เกม เชค็ แสตมป์ เปน็ ต้น ตวั อย่างคาํ ศพั ท์ภาษาองั กฤษในภาษาไทย super ซุปเปอร์ suit สทู mail เมล์ mile ไมล์ tent เตน็ ท์ golf กอลฟ์ bank แบ็งค์ lift ลฟิ ท์ sex เซ็กส์ apartment pound อพารต์ เมนท์ ปอนด์

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๑๘ ๔. ภาษาเขมร เขมรและไทยเป็นชาติท่ีมีความสัมพันธ์กันมานับต้ังแต่อดีตกาล หลักฐานทางด้านโบราณคดี และประวัติศาสตร์ยืนยันว่า เขมรมีอิทธิพลเหนือดินแดนสุวรรณภูมิมาเป็นเวลาช้านาน ก่อนที่ไทย จะสร้างกรุงสุโขทัย เป็นราชธานีหลายร้อยปี จากการท่ีสองประเทศมีอาณาเขตติดต่อกันและมี ความสมั พนั ธ์กันในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การค้าขาย การ สงคราม การศาสนา เป็นต้น ทําให้ภาษาเขมรเข้ามาปะปนกับภาษาไทยมาต้ังแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา ไทยและเขมรมกี ารตดิ ตอ่ กนั มากขึ้น ทาํ ให้ภาษาเขมรได้เข้ามาปะปนกับ ภาษาไทยมากข้ึน ตัวอย่างคําเขมรในภาษาไทย คําเขมร คําไทย โค โค รบํา ระบํา รเบียบ ระเบียบ ทูล ทลู ควร ควร สฺพาน ไพฺร สะพาน เพฺราะ ไพร ชนํ าญ เพราะ ทวฺต ชํานาญ ฉาน ทวด สนฺ ง ฉนั ขทฺ ิ สนอง พวง กะทิ ไกฺร ปวง เฉยี ง ไกร ขฺจาย เฉยี ง เกยี ขจาย สงฺ วน เกดิ สฺอาด สงวน ซฺราบ สอาด ทราบ

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๑๙ ๕. ภาษามอญในภาษาไทย มอญและไทยมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมาเป็นเวลานาน ดินแดนที่เป็นอาณาเขตของ ประเทศไทยปัจจุบันเคยเป็นที่อยู่ของพวกมอญ ซ่ึงมีความเจริญรุ่งเรืองแต่โบราณ ไทยได้รับ อารยธรรมหลายอย่างจากมอญเข้ามา เช่น พุทธศาสนา อักษรศาสตร์ เป็นต้น ปัจจุบันแม้ว่ามอญจะ สูญส้ินชาติแล้วก็ตาม แต่ยังมีคนเชื้อสายมอญพูดภาษามอญอยู่ ซ่ึงเป็นชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ใน ประเทศพม่าและประเทศไทย สําหรับชาวมอญที่ได้อพยพเข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภาร พระมหากษัตริย์ไทยน้ัน เข้ามาต้ังบ้านเรือนอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน ตามบ้าน เรียกว่าหมู่บ้านมอญ เช่น มอญปากลัด มอญปากเกรด็ มอญบางกระดี่ มอญปทมุ ธานี ฯลฯ ตัวอยา่ งภาษามอญในภาษาไทย กว้าน พลาย เพลาะ ได้ เกวยี น ฝาละมี กาํ มะลอ กาํ ยาน เปน็ ต้น ๖. ภาษาพม่าในภาษาไทย พมา่ มกี ารเก่ยี วข้องกับไทยในหลายด้าน พมา่ กบั ไทยทาํ สงครามกนั โดยตลอด ไทยเคยตกเป็น เมืองข้ึนของพม่า ถึง ๒ ครั้ง แม้ว่าพม่าเคยติดต่อกับไทยเป็นเวลาช้านาน แต่ภาษาพม่าเข้ามาใน ภาษาไทยนอ้ ยมาก ตัวอย่างภาษาพมา่ ที่มอี ยู่ในภาษาไทย ภาษาพม่า คําไทย kaki สกี ากี da ดาบ จวน saundo ชเวดากอง ชเวดากอง ตองอู สาละวิน ตองอู นนั ทบเุ รง สาระวิน เนวิน นันทบุเรง ทนิ อ่อง เนวิน อกู่ ัน่ ทนิ อ่อง จักกาย อูก่ ่นั จกั กาย

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๒๐ ๗. ภาษามลายูในภาษาไทย ประเทศไทยมีอาณาเขตติดต่อกับชาวมลายู และได้มีการติดต่อกันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ต้ังแต่สมัยสุโขทัย จนกระท่ังถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในประวัติศาสตร์ พ่อขุนรามคําแหงมหาราช แห่งราชอาณาจักรสโุ ขทัย เคยไดข้ ยายอาณาเขตออกไปจนถึงแหลมมลายู ตวั อย่างลกั ษณะของภาษาชวา มลายูในภาษาไทย ภาษามลายู คาํ ไทย ganja กัญชา kertar กระดาษ กาํ ยาน kameyam กะลาสี kalasi กระพัน kabal กระ karah กําปั่น kupal กง (เรือ) kong ขา้ วตม้ ผัด retupat จรวด cheruat จาํ ปาดะ ตรา champadak ทุเรียน tera โนรี durian บูดู nuri บหุ งา buda ปาเต๊ะ bunga เพกา batek มังคดุ beka ภเู ขา,ภเู กต็ เทผา manggusta bukit tiba

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๒๑ ๘. ภาษาฝรง่ั เศสในภาษาไทย ในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ฝร่ังเศสได้ส่งราชทูตเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย เม่ือ พ.ศ. ๒๒๒๓ และไทยได้ส่งคณะทูตไปยังกรุงฝร่ังเศสเป็นการตอบแทน สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ฝรั่งเศสมีความเกี่ยวข้องทางด้านการเมือง มากกว่าการติดต่อค้าขาย ภาษาฝรั่งเศสรุ่นแรกปรากฏใน จดหมายราชทูตไทยไปฝร่งั เศสหลายคํา ตวั อย่างภาษาฝรัง่ เศสน้ีปรากฏในภาษาไทย ภาษาฝรงั่ เศส คําไทย mayanaise มายองเนส rhum รมั Henri Dunaut อังรี ดนู งั ต์ นโปเลยี น Napoleon หลุยส์ ปาสเตอร์ Louise Pastueur คอนยัค มัสแตง Cognac mustaug คเู ป้ Coupe กัปตนั Capitaine กงสลุ Consul การนั ตี garanbi กล่าวสรุป คําท่ีมาจากภาษาต่างประเทศเข้ามาปะปนอยู่ในภาษาไทยเป็นจํานวนมาก เพราะ เป็นธรรมชาติของภาษาที่เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ซ่ึงมาจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น อิทธิพลทาง ภูมิศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ การย้ายถิ่น การส่ือสาร การค้าขาย การเผยแพร่ศาสนา เป็นต้น ภาษาจาก ต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศไทยมีภาษาบาลีและสันสฤกต ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษาเขมร ภาษามอญ พมา่ มลายู ฝรัง่ เศส เปน็ ต้น

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๒๒ แบบฝึกหดั ทบทวนบทท่ี ๑ คาํ ชี้แจง จงเติมคาํ ลงในช่องว่างให้ไดใ้ จความท่ีสมบรู ณ์ ๑. ลักษณะสาํ คญั ของภาษาไทย มดี ังนี้ (เขยี นเฉพาะหัวข้อสําคญั ) ๑. ........................................................................................................................................ ๒. ........................................................................................................................................ ๓. ........................................................................................................................................ ๔. ........................................................................................................................................ ๕. ........................................................................................................................................ ๖. ........................................................................................................................................ ๗. ........................................................................................................................................ ๘. ........................................................................................................................................ ๙. ........................................................................................................................................ ๑๐. ..................................................................................................................................... ๒. คําเป็น คอื ………………………………………………..……………………………………………………………… ๓. คําตาย คือ……………………………………..………………………………………………………………………… ๔. คาํ ซํ้า คาํ ซ้อน คอื .................................................................................................................. ๕. คําสมาส คือ........................................................................................................................... ๖. คาํ สนธิ คอื .............................................................................................................................. ๗. คําทีม่ าจากต่างประเทศ มปี ระเทศอะไรบ้าง ยกตัวอย่างคําที่มาจากต่างประเทศ …………………………………………………………………………………………………….…………………………

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๒๓ แบบทดสอบบทที่ ๑ เรอื่ ง ลกั ษณะของภาษาไทยเพอ่ื ความสําเรจ็ คําชี้แจง จงเลอื กคําตอบที่ถกู ต้องที่สุด ๑. ตาํ ราเรียนภาษาไทยเล่มแรกของไทย คอื อะไร ก. อเิ หนา ข. จนิ ดามณี ค. แบบเรยี นเร็ว ง. สมทุ รโฆษคาํ ฉนั ท์ ๒. ข้อใดเป็นคาํ สรรพนาม ก. ฉนั -ผม-เธอ ข. แขน-ขา-มือ ค. พอ่ -แม-่ พี่ ง. ผอม-อ้วน-เขียว-ดํา ๓. การสรา้ งคาํ ในภาษาไทยใหม้ ีเพ่ิมข้นึ โดยการทาํ ตามขอ้ ใด ก. การเขยี น ข. การพูด ค. การเผยแพร่คํา ง. ศัพทบ์ ญั ญตั ิ ๔. ขอ้ ใดเป็น “คาํ ตาย” ทกุ คาํ ก. ฟงั -ตน-ยาม ข. เชย-พราว-กิน ค. บดิ -ตรวจ-พบ ง. คํา-ใบ-ไม่ ๕. “คาํ ซา้ํ ” ขอ้ ใดถกู ตอ้ ง ก. ในตู้นม้ี ีหนงั สือดี ๆ ใหอ้ า่ น ข. บ้านน้ี อยเู่ ปน็ สขุ ค. ดเู นอื้ ตวั มอมแมม ง. เบกิ บานใจทกุ วัน

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๒๔ ๖. “คาํ ซอ้ น” คือขอ้ ใด ก. แถว ๆ ข. กะเร่อกะรา่ ค. ดี ๆ ช่ัว ๆ ง. กะเรอ่ ๆ กะรา่ ๆ ๗. คาํ วา่ “ภมู ิศาสตร”์ อา่ นถกู ต้อง คอื ข้อใด ก. ภูม-สาด ข. ภมู ิ-ศาสตร์ ค. พู-มิ-สาด ง. ภู-มิ-ศาสตร์ ๘. ขอ้ ใดเป็น “คาํ สมาส” ทกุ คํา ก. กรรมกร-ราชการ ข. ราชานญุ าต-ราชปู ถมั ภ์ ค. ราชูทศิ -ชโลทร ง. ราโชบาย-นริ ภัย ๙. คาํ ภาษาบาลีว่า “อลงกฺ าร” ภาษาไทยคอื ขอ้ ใด ก. อไลการ ข. อลงการ ค. อลงกร ง. อลังการ ๑๐. ภาษาองั กฤษวา่ “tent” ภาษาไทยคืออะไร ก. เตน้ น์ ข. เตน็ ท์ ค. เตนท์ ง. เต็นน์

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๒๕ บทท่ี ๒ ธรรมชาติของภาษา สาระสําคญั ธรรมชาติของภาษาในโลกน้ีมีลักษณะที่เหมือนกันและแตกต่างกันไปตามประเทศนั้น ๆ แต่ธรรมชาติของภาษาในโลกนี้มีลักษณะเหมือนกันหลายประเภท เช่น ภาษาใช้เสียงในการสื่อ ความหมาย ภาษาเกดิ จากหนว่ ยเลก็ ประกอบกันเป็นหน่วยใหญ่ ภาษามีการเปล่ียนแปลง ภาษามีลักษณะ ทเี่ หมอื นกันและตา่ งกนั เปน็ พฤตกิ รรมทางสังคม สว่ นเร่อื งระดับของภาษามี ๓ ระดับ คือ ภาษาระดับ ทางการ กึ่งทางการและไม่เป็นทางการ ปัจจัยท่ีกําหนดระดับภาษา คือ โอกาสและสถานท่ี สมั พันธภาพระหวา่ งบคุ คล ลกั ษณะเนอ้ื หาและสอื่ ท่ีใช้ในการสง่ สาร ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง ๑. ผ้เู รียนสามารถอธิบายลกั ษณะธรรมชาตขิ องภาษาได้อยา่ งถกู ตอ้ ง ๒. ผู้เรียนสามารถอธิบายระดับของภาษาได้อย่างถกู ตอ้ ง ขอบขา่ ยเนือ้ หา เรือ่ งท่ี ๑ ธรรมชาตขิ องภาษา เร่อื งท่ี ๒ ระดบั ของภาษา

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๒๖ เร่ืองท่ี ๑ ธรรมชาตขิ องภาษา มนุษย์ทุกชาติ ทุกเผ่าพันธ์ุในโลกน้ีต่างก็มีภาษาเป็นของตัวเองท่ีใช้ในการส่ือสาร มนุษย์ยิ่ง เจริญข้ึนเพียงใด ภาษาที่ใช้ย่ิงมีความสลับซับซ้อนข้ึนเพียงนั้น ภาษาของมนุษย์ทุกภาษามีลักษณะ ท่ัวไปรวมกันและแตกต่างกัน ดังนั้นเราจึงควรศึกษาธรรมชาติของภาษา เพ่ือให้ทราบถึงสภาพความ เป็นจริงของภาษา ความหมายและธรรมชาติของภาษา ภาษา หมายถึง เคร่ืองมือท่ีใช้สื่อสารทําความเข้าใจกันระหว่างมนุษย์ การทําความเข้าใจกัน ทําได้หลายวิธีท้ังโดยใช้เสียง กิริยาอาการ ถ้อยคํา ฯลฯ อย่างไรก็ดีวิธีการเหล่าน้ีต้องมีระเบียบและ การกําหนดร้คู วามหมายเป็นขอ้ ตกลงรว่ มกันจึงจะนับไดว้ า่ เป็นภาษา การศึกษาเรื่องธรรมชาติของภาษาเป็นการศึกษาความเป็นไปของภาษาว่ามีลักษณะอย่างไร เพื่อให้ผู้ศึกษานําภาษาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ตลอดจนทําให้ระมัดระวังในการใช้ภาษาอีกด้วย ธรรมชาตขิ องภาษาในโลกน้มี ีลักษณะเหมอื นกัน หลายประการ ดงั นี้ ๑. ภาษาใช้เสยี งในการส่ือความหมาย ๒. ภาษาเกิดจากหนว่ ยเล็กประกอบกันเป็นหน่วยใหญ่ ๓. ภาษามกี ารเปลี่ยนแปลง ๔. ภาษามลี ักษณะทั้งเหมอื นกนั และต่างกนั ๕. ภาษาเปน็ พฤติกรรมทางสังคม

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๒๗ ๑. ภาษาใช้เสียงในการส่ือความหมาย ความหมายของภาษามี ๒ ลักษณะ คอื ๑.๑ ความหมายอย่างกว้าง หมายถึงการส่ือความหมายให้เข้าใจกันระหว่างสองฝ่ายด้วย วธิ กี ารอย่างใด อยา่ งหนี่ง อาจใชท้ งั้ เสยี ง ท่าทางหรือสญั ลักษณ์ หรอื อื่น ๆ ๑.๒ ความหมายอย่างแคบ หมายถึงการที่มนุษย์สื่อความหมายออกเป็นภาษาถ้อยคํา โดยใช้ เสียงพูด ซ่ึงตามลักษณะทางธรรมชาติของภาษานั้น ทุกภาษาจะเกิดมีภาษาพูดก่อนแล้วจึงถ่ายทอด ภาษาพูด ด้วยสญั ลักษณอ์ อกมาเปน็ ตวั หนงั สือ ซ่งึ ก็คอื ภาษาเขยี นนั่นเอง ๒. ภาษาเกิดจากหน่วยเลก็ ประกอบกนั เปน็ หน่วยใหญ่ ธรรมชาตกิ ําเนิดของภาษานนั้ เร่มิ จากหนว่ ยที่เลก็ ประกอบกันเปน็ หน่วยที่ใหญ่ขึ้น คําว่าหน่วยในที่น้ีหมายถึงส่วนประกอบต่าง ๆ ของภาษา ซ่ึงเร่ิมตั้งแต่การนําเสียงต่าง ๆ มาประกอบกันเป็นคํา จากคําประกอบกันเป็นประโยค จากประโยคประกอบกันเป็นข้อความ จาก ขอ้ ความประกอบกันเปน็ เร่อื งราวต่าง ๆ ในภาษาไทยของเรา มีเสียงสระ เสียงพยัญชนะและเสียงวรรณยุกต์ เป็นจํานวนมาก จึงสามารถนําเสียงเหล่านี้มาประกอบกันเป็นคําและกําหนดความหมายได้มาก อาจเป็นคําเดียว (คํา มูล) คาํ ประสม คําซ้อน คําซํา้ และจะนาํ มาประกอบกันเปน็ ประโยค โดยการนาํ คําต่าง ๆ มาเรียงร้อย กันได้เปน็ จาํ นวนมากโดยไม่จํากดั ยิ่งไปกวา่ น้ัน ยงั สามารถขยายประโยคย่อย ๆ ให้เป็นประโยคท่ียาว ออกไปอกี มากมายไดอ้ ยา่ งไมจ่ ํากัด ดังตวั อย่าง เช่น ๑) นกั ศึกษาอ่านหนังสอื ๒) นกั ศกึ ษาอ่านหนงั สอื ภาษาไทย ๓) นักศกึ ษาอ่านหนงั สอื ภาษาไทยกับเพือ่ น ๔) นักศกึ ษาอ่านหนงั สอื ภาษาไทยกับเพ่อื นผชู้ าย ๕) นกั ศึกษาอ่านหนังสอื ภาษาไทยกบั เพือ่ นผู้ชายท่ขี าดเรยี น ๓. ภาษามกี ารเปลี่ยนแปลง การเปล่ียนแปลงเป็นธรรมชาติของภาษาท่ียังมีคนใช้เป็นปกติ ส่วนภาษาท่ีไม่มีการ เปลี่ยนแปลงเลย คือภาษาท่ีตายไปแล้ว ไม่มีคนนํามาใช้อีกแล้ว การเปล่ียนแปลงนั้นอาจเป็นการ เปลี่ยนแปลงของเสียงบางเสียง ความหมายของคําบางคํา รูปประโยคบางประโยค คําและประโยค บางอยา่ งอาจเลกิ ใช้แลว้ ซึ่งอาจจะใช้คาํ หรือรูปประโยคใหม่ขนึ้ มาแทน เช่น หมากม่วง เปน็ มะม่วง ตาปู เปน็ ตะปู อนั หน่งึ เป็น อนงึ่ แตถ่ า้ ว่า เปน็ แตท่ ว่า ทา่ นนาย เปน็ ทนาย ตาวนั เปน็ ตะวัน

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๒๘ ๔. ภาษามีลกั ษณะท่ที ั้งเหมือนกนั และตา่ งกัน ภาษาทุกภาษาในโลกน้ี มีธรรมชาติที่มีทั้งความเหมือนและความแตกต่าง ในเรื่องของความ ต่าง จะสังเกตได้ง่าย กล่าวคือ ทุกภาษาจะแตกต่างในด้านของเสียง ดังตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่าง ภาษาไทยกบั ภาษาองั กฤษ ดังน้ี ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ มีวรรณยุกต์ เอก โท ตรี จตั วา ไม่มีวรรณยกุ ต์ ไม่มีเสียงตัว q และ z ไม่มีคํานําหน้าคํานาม มีเสียงตัว q และ z มีคํานําหน้าคํานาม (Article) มีลักษณะนาม ไมม่ ลี ักษณะนาม ในด้านความเหมอื นกนั หรือคลา้ ยคลงึ กนั ของภาษาต่าง ๆ อาจสรปุ ได้ ดงั ต่อไปนี้ ๔.๑ ภาษาทุกภาษาใช้เสียงในการสื่อความหมาย ได้แก่ เสียงสระและพยัญชนะ (ภาษาไทย เพมิ่ เสยี งวรรณยกุ ต์) ๔.๒ ภาษาทุกภาษามีวิธีการสร้างคําศัพท์ใหม่ที่แตกต่างกัน เช่น ในภาษาไทย มีวิธีการสร้าง ศัพทใ์ หม่ ดา้ ยการประสมคํา ซํา้ คํา ซ้อนคํา เชน่ คําประสม - ทุนทรพั ย์, ตเู้ ซฟ ฯลฯ คําซํา้ - ดาํ ๆ, แดง ๆ, ลกู ๆ, หลาน ๆ ฯลฯ คําซ้อน - อุ้มชู, แข็งแรง ฯลฯ ๔.๓ ภาษาทุกภาษามีสํานวน คือ การใช้คําเดิมในความหมายใหม่ ท่ีไม่ใช่ความหมายตรงตัว เช่น สํานวนไทยท่ีวา่ คมในฝัก จบั เสอื มอื เปล่า ช้า ๆ ได้พร้าสองเลม่ งาม ฯลฯ ๔.๔ ภาษาทกุ ภาษามคี ําชนดิ ต่าง ๆ เช่น คํานาม คาํ กริยา คาํ นาม ฯลฯ ๕. ภาษาเป็นพฤตกิ รรมทางสงั คม ภาษาเกิดจากการเรียนรู้แบบถ่ายทอดบุคคลในสังคมเดียวกัน สมาชิกในสังคมใดย่อมมี โอกาสเรียนรูภ้ าษาเดียวในสังคม กลา่ วโดยสรุป ธรรมชาตขิ องภาษามนุษยท์ กุ เผา่ พันธใ์ุ นโลกนี้ตา่ งก็มีภาษาเป็นของตนเองที่ใช้ ในการสื่อสารเพราะภาษาเป็นเคร่ืองมือท่ีใช้ในการส่ือสารทําความเข้าใจระหว่างมนุษย์ ซึ่งมีหลายวิธีด้วยกัน เช่น ภาษาพูด กิริยาท่าทาง เป็นต้น ธรรมชาติของภาษาในโลกนี้มัลักษณะเหมือนกันหลายประการ เช่น ภาษาใช้เสียงในการสื่อสารความหมาย ภาษาเกิดจากหน่วยเล็กประกอบกันเป็นหน่วยใหญ่ ภาษามีการเปลี่ยนแปลง ภาษามลี ักษณะท้ังเหมือนและตา่ งกัน และภาษาเปน็ พฤติกรรมทางสงั คม

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๒๙ เรือ่ งท่ี ๒ ระดับของภาษา ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ความรู้ ความคิด ความรู้สึก ทัศนคติ แล้วยังสร้าง ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมนุษย์ด้วยกัน ดังนั้น ภาษาจึงมีหลายระดับทั้งท่ีเป็นทางการและไม่เป็นทางการ มีผู้แบ่งระดับท่ีหลากหลาย เช่น บางกลุ่มแบ่งเป็น ๒ ระดับ คือ ระดับท่ีเป็นทางการและไม่เป็น ทางการ แต่บางกลุ่ม แบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ ระดับพิธีการ ก่ึงพิธีการ และไม่เป็นแบบแผน และ บางกลุม่ แบง่ ระดับภาษาออกเป็น ๕ ระดับ คือ ระดับพิธีการ ทางการ กึ่งทางการ ระดับสนทนา และ ระดับกันเอง (ไมเ่ ป็นทางการ) ระดับของภาษา หมายถึง ความลดหล่ันของถ้อยคําและเรียบเรียงถ้อยคําท่ีใช้ตามโอกาส กาลเทศะและความสัมพนั ธ์ระหว่างท่เี ปน็ บุคคลเปน็ ผสู้ ่งสารและผรู้ บั สาร คนในสังคมแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม หลายชนช้ันตามสถานภาพ อาชีพ ถ่ินที่อยู่อาศัย ฯลฯ ภาษาซ่งึ มลี ักษณะผิดแผกหลายระดับไปตามกลมุ่ คนทใ่ี ช้ภาษาดว้ ย ภาษาแบง่ ออกเป็น ๓ ระดบั ดงั นี้ ๑. ภาษาระดับทางการ หรือแบบแผน เป็นภาษาที่ใช้ในที่ประชุมที่มีแบบแผน เช่น การบรรยาย การอภิปราย อย่างเป็นทางการ หรือใช้ในการเขียนข้อความที่จะให้ปรากฏต่อ สาธารณชนอย่างเป็นการเป็นงาน เช่น ตําราวิชาการ หนังสือท่ีใช้ติดต่อกันเป็นทางการหรือในวงการ ธุรกิจ ถ้อยคําท่ีใช้มีลักษณะตรงไปตรงมา อาจมีศัพท์เทคนิคหรือศัพท์วิชาการบ้าง ภาษาที่ใช้ต้อง สอื่ สารใหไ้ ดผ้ ลตามจดุ ประสงคโ์ ดยประหยดั ทัง้ ถอ้ ยคําและเวลาให้มากทส่ี ุด ๒. ภาษาระดับกึ่งทางการหรือแบบแผน เป็นภาษาเขียนปนภาษาพูด เป็นภาษาที่ใช้สื่อสาร โดยมุ่งให้เกิดความเข้าใจ ความรวดเร็วลดความเป็นทางการลงบ้างให้เกิดความใกล้ชิดย่ิงขึ้น ระหว่าง ผู้ส่งสารและผู้รับสารมากกว่าระดับภาษาแบบแผน เช่น การพูดอภิปราย หรือบรรยาย การเขียน เชิงสนทนา การพูดทางวิทยุและโทรทัศน์ ข่าว และบทความในหนังสือพิมพ์ ฯลฯ ลักษณะของ ภาษาระดับนี้มักเป็นเร่ืองเกี่ยวกับความรู้ทั่วไป ธุรกิจ การแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการหรือการ ดาํ เนินชีวติ ฯลฯ มักใชศ้ ัพท์วิชาการเทา่ ท่จี าํ เป็น และอาจมีถ้อยคาํ ทแ่ี สดงความคนุ้ เคยปนอยู่บ้าง ๓. ภาษาระดับปากหรือไม่เป็นทางการ เป็นภาษาท่ีใช้ภาษาพูด มีนํ้าเสียงเป็นกันเอง ใช้ใน วงการจํากัด มักใช้ในสถานท่ีที่จําเป็นส่วนตัวกับบุคคลที่สนิทสนมคุ้นเคย ลักษณะเด่นของภาษาไม่ เป็นทางการ คือ ไม่เคร่งครัดด้านความสมบูรณ์ของประโยค และความถูกต้องของไวยากรณ์ เช่น การพดู ระหว่างสามีภรรยา ระหวา่ งญาตพิ ่นี ้องหรอื เพ่ือนสนิท เป็นต้น ลักษณะของสารไม่มีขอบเขตจํากัด แตม่ กั ใชใ้ นการพูดจากันเท่านั้นอาจจะปรากฏในบทสนทนาในนวนิยายหรือเร่ืองส้ัน เพ่ือความสมจริง ถ้อยคําท่ีใช้อาจมีคําคะนอง คําไม่สุภาพหรือคําภาษาถิ่นปะปนอยู่ เรียกกว่าภาษาปาก เช่น เขี้ยวลากดิน ล้ําเสน้ คุณนาย เมียน้อย ซวิ โดด หัวกบาล เปน็ ต้น

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๓๐ ตัวอย่างการใชภ้ าษาระดับตา่ ง ๆ ภาษาทางการ – คาํ เรียนจบจากมหาวิทยาลยั รามคําแหง ภาษากึ่งทางการ – คําเรียนจบจากรามคาํ แหง ภาษาปาก - คาํ เรียนจบจากราม ภาษาทางการ – กรณุ าปิดไฟหน่อย เพราะง่วงนอนแล้ว ภาษากึง่ ทางการ – ปิดไฟหน่อยงว่ งแลว้ นะ ภาษาปาก - ปดิ ไฟหนอ่ ยสิงว่ งจะตายแลว้ ภาษาทางการ – สามแี มค่ ้าขายอาหารถูกคนร้ายหลอก ภาษากึ่งทางการ – แฟนแมค่ า้ ขายอาหารถูกหลอก ภาษาปาก - ตุ๋นผัวแม่ค้าขายอาหาร ปจั จัยทกี่ าํ หนดระดบั ภาษา ปัจจยั ที่กาํ หนดระดบั ภาษา แบ่งออกได้ ๔ ลกั ษณะ คอื ๑. โอกาสและสถานท่ี เช่น ถ้ามีการประชุมบุคคลกลุ่มใหญ่ การใช้ภาษาจะเป็นทางการ แต่ถ้ามกี ารพูดกันในตลาด รา้ นค้า ภาษาก็จะต่างระดบั ออกไป ๒. สัมพนั ธภาพระหว่างบคุ คล บุคคลมีสัมพนั ธภาพหลายลกั ษณะ เชน่ บคุ คลทไ่ี ม่เคยรูจ้ กั กนั พึ่งรู้จักกนั และบคุ คลท่ีเป็นเพอื่ นสนทิ กนั กจ็ ะใชภ้ าษาตา่ งระดบั กัน ๓. ลักษณะของเนอ้ื หา เชน่ เน้ือหาเกี่ยวกบั เร่อื งสว่ นตัวก็จะไม่นําไปใช้กับระดับภาษาพิธีการ หรอื เป็นทางการ ๔. สอื่ ทีใ่ ช้ในการส่งสาร เช่น จดหมายปดิ ผนกึ กบั ไปรษณียบตั ร ภาษาที่ใช้ก็แตกต่างกัน หรือ พูดทางวทิ ยุกับโทรทัศน์ ระดบั ภาษาท่ใี ชย้ อ่ มแตกตา่ งกัน กล่าวโดยสรุป ภาษาเป็นเคร่ืองมือในการส่ือสารทุกประเภท ทั้งที่เป็นระดับทางการ ก่ึงทางการและภาษาไม่เป็นทางการ ระดับของภาษา จึงเป็นถ้อยคําท่ีใช้ตามโอกาส กาลเทศะและ ความสัมพันธ์ระหว่างท่ีเป็นบุคคล เป็นผู้ส่งสารและผู้รับสาร ภาษาแบ่งออกเป็น ๓ ระดับ คือ ภาษาระดับทางการหรือแบบแผน ภาษาระดับก่ึงทางการหรือก่ึงแบบแผน และภาษาระดับปาก หรือไม่เป็นทางการ นอกจากน้ันปัจจัยที่กําหนดระดับภาษามี ๔ ประการ คือ โอกาสและสถานที่ สัมพนั ธภาพระหว่างบุคคล ลกั ษณะของเนอ้ื หาและสอ่ื ท่ใี ชใ้ นการส่งสาร

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๓๑ แบบฝกึ หดั ทบทวนบทท่ี ๒ คําชแ้ี จง จงเติมคําลงในช่องว่างใหไ้ ด้ใจความที่สมบรู ณ์ ๑. ธรรมชาติของภาษา หมายถึง ………………………………………………………………............... …………………………………………………………………………………………………………………………….. ๒. ธรรมชาตขิ องภาษามอี ะไรบ้าง ๑ ........................................................................................................................................ ๒. ....................................................................................................................................... ๓. ....................................................................................................................................... ๔. ....................................................................................................................................... ๕. ....................................................................................................................................... ๓. ภาษาแบ่งออกเปน็ ๓ ระดับ คือ ๑. ........................................................................................................................................ ๒. ........................................................................................................................................ ๓. ........................................................................................................................................ ๔. จากขอ้ ๓ ยกตัวอยา่ ง ภาษาท้ัง ๓ ระดบั ๑. ........................................................................................................................................ ๒. ........................................................................................................................................ ๓. ........................................................................................................................................

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๓๒ แบบทดสอบบทท่ี ๒ ธรรมชาติของภาษา คาํ ชีแ้ จง จงเลอื กคําตอบที่ถกู ต้องที่สดุ ๑. ทุกภาษาจะมีการเริม่ ตน้ ด้วยภาษาใดก่อน ก. ภาษาใบ้ ข. ภาษาพูด ค. ภาษาเขียน ง. ภาษาตัวอกั ษร ๒. ภาษามกี ารเปล่ยี นแปลง คาํ ว่า “ท่านนาย” ควรเปน็ คาํ ใด ก. ทา่ นาย ข. เจา้ นาย ค. ทํานาย ง. ทนาย ๓. ภาษาทุกภาษามีอะไรทเี่ หมือนกนั ก. มีคํานาม-คาํ กรยิ า ข. ความหมายของคาํ ค. วิธีเขยี นอกั ษร ง. จํานวนคนพูด ๔. ขอ้ ใดกลา่ วถูกต้องเก่ยี วกับภาษามีความแตกตา่ งกัน ก. ทกุ ภาษามสี ํานวน ข. มีวิธกี ารสรา้ งคําศัพท์ใหม่ ค. ใชเ้ สียงในการสื่อสารความหมาย ง. ทุกภาษามคี วามแตกต่างกันในดา้ นเสียง ๕. ระดับของภาษาหมายถึงอะไร ก. ระดับการพดู ของชนชั้นสงู -ต่ํา ข. ความลดหลน่ั ของถอ้ ยคาํ จากต่าํ ไปหาสงู ค. ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คลทเ่ี ปน็ ผพู้ ูด ง. การเรียบเรียงถ้อยคาํ ท่ีใชต้ ามโอกาสและกาลเทศะ

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๓๓ ๖. ภาษาแบ่งออกเป็น ๓ ระดบั คือ ก. ภาษาระดับทางการ-ก่ึงทางการ-ไม่เปน็ ทางการ ข. ภาษาพูด-ภาษาเขยี น-ภาษาทา่ ทาง ค. ภาษาทา่ ทาง-ภาษาสญั ลักษณ์-ภาษาพดู ง. ภาษาราชการ-ภาษาไม่ใชร่ าชการ-ภาษาพูด ๗. “การพูดระหว่างสามีภรรยา” เป็นการพดู ระดบั ใด ก. ภาษาปาก ข. ภาษาท่าทาง ค. ภาษาทางการ ง. ภาษาไมใ่ ช่ราชการ ๘. ข้อใดเป็นภาษาแบบแผน ก. การพูดทางวิทยุ ข. ตาํ ราวิชาการ ค. การพูดสนทนา ง. การพดู ติดต่องาน ๙. จากขอ้ ๘ การใช้ถอ้ ยคําควรเป็นอยา่ งไร ก. ตรงไปตรงมา ข. ออ้ มค้อม ค. สัญลกั ษณ์ ง. ตีความอกี ครงั้ ๑๐. “ภาษากึง่ แบบแผน” ควรเป็นการพดู แบบใด ก. วนั ชยั พูดออกรายการวทิ ยุ ข. วนั ดีสอนหนังสือท่ีโรงเรียน ค. วันชาตพิ มิ พห์ นังสือราชการ ง. วนั ทนาคยุ กบั สามีทางโทรศัพท์

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๓๔ บทท่ี ๓ ลกั ษณะและการเลอื กใชค้ ํา กลุม่ คําและประโยค สาระสาํ คญั การเลือกใช้คํา กลุ่มคํา และประโยคทําให้ภาษาไทยมีความงดงาม สละสลวยและถูกต้อง ตามหลกั ภาษาจงึ ต้องมคี วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกับคําต่าง ๆ เช่น คําสุภาพ ควรใช้ให้ถูกต้องไม่เป็นคํา หยาบคาย คําผวน คําห้วน หรือกระด้าง ไม่เป็นคําที่ใช้เปรียบเทียบกับของหยาบและศัพท์แสลงต่าง ๆ ส่วนคําราชาศัพท์ควรใช้ให้ถูกต้อง มี ๔ ชนิด คือ นามราชาศัพท์ สรรพนามราชาศัพท์ กิริยาราชา ศัพท์และวิเศษณ์ราชาศัพท์ ควรศึกษาหลักการใช้คําราชาศัพท์ให้ใช้อย่างถูกต้องในด้านการใช้คํา คือ การประเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และวรรณยุกต์ คําในภาษาไทย มีลักษณะเด่น เช่น ภาษาไทย มีเสียงวรรณยุกต์ตํ่า เพ่ือบอกความหมายของคํา ส่วนสํานวน เป็นถ้อยคําหรือ ข้อความที่มี ความหมายไมต่ รงตามตัว มีความหมายลกึ ซ้ึง ใชแ้ ทนภาษาพูดธรรมดาไดอ้ ย่างคมคายประการสดุ ท้าย คือประโยค ซึง่ เปน็ ถ้อยคาํ ทน่ี ํามาเรยี งกันได้ใจความสมบรู ณ์ ผลการเรียนร้ทู ีค่ าดหวงั ๑. อธบิ ายลักษณะของคาํ กลมุ่ คําและประโยคได้อยา่ งถกู ต้อง ๒. เลือกใช้คาํ กลมุ่ คําและประโยคไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง ขอบขา่ ยเนอ้ื หา เรือ่ งท่ี ๑ คําสภุ าพ คาํ ราชาศัพท์ เรอ่ื งที่ ๒ คําและสํานวน เร่ืองท่ี ๓ ประโยคและชนิดของประโยค

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๓๕ เรอื่ งที่ ๑ คาํ สุภาพ คําราชาศพั ท์ ตามท่ีเข้าใจกันท่ัวไปว่า ราชาศัพท์ หมายถึง ถ้อยคํา จํานวนหน่ึงท่ีมีลักษณะพิเศษ เป็นคําท่ี ใช้กับพระมหากษัตริย์และเจ้านาย เช่น พระเนตร พระกรรณ พระบาท พระหัตถ์ สรง เสวย เป็นต้น ที่จริงราชาศัพท์ มีความหมายกว้างกว่านี้ เช่นใช้ในการกราบบังคมทูลพระกรุณา ในการเขียนหนังสือ และแต่งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน จะกล่าวถึงผู้ใด ส่ิงใดก็ใช้ถ้อยคําให้สมกับความ ไม่ให้พลาดจาก แบบแผนเยย่ี งอย่าง ทม่ี ีมาแต่กอ่ น คาํ สุภาพ ถ้อยคําต่าง ๆ ท่ีเราพูดจากันอยู่โดยท่ัวไปน้ัน บางคําก็มิควรจะกราบบังคมทูล บางคําก็ควร ถ้าหากคําใดมิควรเราจําเป็นต้องเปล่ียนแปลงเสียให้เหมาะสม การเปลี่ยนแปลงถ้อยคําต่าง ๆ ให้ เหมาะสมเรียกวา่ “คาํ สภุ าพ” คําสุภาพเปน็ ส่วนหนึง่ ของราชาศพั ท์ ความหมายของคําสุภาพ คําสุภาพ หมายถึง ราชาศัพท์ที่ใช้สําหรับสุภาพชนและชนชั้นบุคคลทั่วไปอันเป็นคําสามัญที่ เปลย่ี นแปลงใหส้ ุภาพข้นึ การใชค้ าํ สุภาพ การใชค้ าํ สภุ าพมีหลกั การ ดงั น้ี ๑. ไมเ่ ปน็ คาํ หยาบ เช่น อ้าย อี ข้ี เยยี่ ว ต้องเปล่ียนแปลงหรือไม่ใช้คําเหล่าน้ีเพ่ือความสุภาพ เช่น ข้ีมลู เป็น นา้ํ มกู ไปข้ี เปน็ ไปอุจจาระ ไปเยี่ยว เป็น ไปปัสสาวะ ไอ้นน่ั ไอน้ ี่ เป็น สง่ิ นน้ั สงิ่ นี้ ๒. ไมเ่ ปน็ คําผวน หมายถึง คาํ เม่อื ผวนกลับแล้วหลายเป็นคําหยาบ เช่น ตากแดด เป็น ผึง่ แดด เห็นควรด้วย เป็น เห็นสมควรดว้ ย แขกตี้ เป็น ข้แี ตก พุ่งบกั เปน็ ผักบุ้ง ดากมี เป็น ดีมาก

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๓๖ ๓. ไม่เป็นคาํ หว้ นหรอื กระดา้ ง ควรหลีกเลีย่ งและใช้คาํ อ่นื แทน เชน่ เปลา่ ควรเป็น หามิได้ ไม่รู้ ควรเปน็ ไมท่ ราบ เออเว้ย ควรเป็น มิได้, หามิได้ เออ ควรเป็น คะ่ , ครบั ๔. ไม่เปน็ คําทใี่ ช้เปรียบเทยี บกับของหยาบ เช่น สากกะเบือ เป็น ไม้ตพี ริก ปลาสลดิ เป็น ปลาใบไม้ ไข่ เป็น ฟอง ดอกสลดิ เปน็ ดอกขจร สองบาท เป็น ก่ึงตาํ ลงึ ปลาช่อน เปน็ ปลาหาง ๕. ไมเ่ ป็นคาํ อุทานที่แสดงความไม่เคารพอันไม่สภุ าพ เช่น หา ตายหา่ ! เฮ้ย ! แม่ง ! แก ! เป็นตน้ หรอื ใชอ้ าการพยกั หนา้ แทนรบั หรอื สนั่ ศรี ษะ แทนการปฏเิ สธ อย่างพดู กับเพือ่ น ๆ สนทิ กนั เปน็ ต้น ๖. ถ้อยคําไมส่ ภุ าพทคี่ วรงดใช้ เช่น พดู ภาษาไทยปนภาษาตา่ งประเทศ ศพั ทส์ ะแลงตา่ ง ๆ เพราะเป็นคาํ ที่เขา้ ใจกนั ในกลมุ่ และผู้ทีค่ ุ้นเคยกนั เทา่ นนั้ และไมน่ ับว่าเป็นคําสุภาพหรือแมจ้ ะเป็น ภาษาพูดทค่ี นส่วนใหญ่ยอมรบั ทงั้ ยงั ไม่เป็นภาษาทีพ่ ูดกันในพธิ กี ารต่าง ๆ ด้วย ตัวอยา่ งคาํ สุภาพ ภาษาไม่สุภาพ คาํ สภุ าพ กล้วยกุ กลว้ ยสนั้ กลว้ ยไข่ กล้วยกระ, กลว้ ยเปลอื กม่วง นารจี าํ ศลี กล้วยบวชชี เยือ่ เคย กะปิ โรคกลาก ขี้กลาก โรคเกลอ้ื น ขีเ้ กล้อื น มูลกระบือ ขีค้ วาย มูลสัตว์ ข้สี ัตว์ ขผ้ี ้งึ สีผึ้ง

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๓๗ ภาษาไม่สภุ าพ คาํ สุภาพ ไข่ ฟอง ขนมใสไ่ ส้ ขนมสอดไส้ ขนมตาล ขนมทองฟู ขนมจนี ขนมเส้น ขนมเทียน ขนมบวั สาว ควาย กระบอื ผัว สามี เมยี ภรรยา อว้ ก อาเจียน ตัวเหี้ย ตวั เงนิ ตัวทอง ตาย ถึงแกก่ รรม บอกให้รู้ เรยี นใหท้ ราบ ตนี เท้า ไดพ้ อๆกนั ได้เทา่ เทียมกนั ส้วม ห้องนํ้า หมู สุกร หมา สุนัข ไมร่ ู้ ไมท่ ราบ ไปถ่าย ไปห้องนํ้า ทาํ ไม เพราะเหตุใด ทาํ อย่างไรดี ทาํ ประการใดดี ฯลฯ ฯลฯ คําราชาศัพท์ ความหมายของคําราชาศพั ท์ ราชาศัพท์ หมายถึง คาํ ทีใ่ ช้สาํ หรับพระมหากษตั รยิ ์ หรอื คําท่คี นสามญั ใช้กับพระมหากษัตริย์ หรือคําท่ีใช้เรียกส่ิงของเคร่ืองใช้ของพระมหากษัตริย์ ต่อมา ราชาศัพท์มีความหมายกว้างออกไปถึง การใช้ถ้อยคําให้ถูกต้องเกี่ยวกับ ยศ ฐานะของบุคคล นับรองจากพระมหากษัตริย์ลงมาคือ เจ้านาย ตลอดจนเข้าราชการบรรดาศกั ด์ิ คําว่า “ราชาศัพท์” แปลตามรูปศัพท์หมายถึงศัพท์สําหรับพระราชา ซึ่งสันนิษฐานว่าสมัย โบราณนั้น คงใชส้ ําหรับองคพ์ ระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๓๘ ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายไว้ดังน้ี “ราชาศัพท์” น. คําเฉพาะใช้สําหรับเพ็ดทูลพระเจ้าแผ่นดินและเจ้านาย ต่อมารวมถึงคําที่ใช้กับพระภิกษุสงฆ์ ข้าราชการและสุภาพชน ทม่ี าของราชาศัพท์ การใช้ราชาศัพท์มีขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา คําที่ใชเ้ ปน็ ราชาศัพท์สว่ นใหญเ่ ปน็ คาํ ภาษาเขมร ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และคําไทยที่ประกอบกัน เป็นคาํ ประสม คําราชาศัพท์มี ๔ ชนิด คือ คํานาม คําสรรพนาม คํากริยา และคําวิเศษณ์ มีรายละเอียด ดงั น้ี ๑. นามราชาศัพท์ ๑.๑ ใช้คําว่า “พระบรม” “พระบรมราช” คํานําหน้านามบางคํา ใช้เฉพาะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่น พระบรมราโชวาท พระบรมเดชานุภาพ พระบรมโพธิสมภาร พระบรมราชโองการ พระบรมราชูปถัมภ์ พระบรมราชสมภพ เป็นต้น ถ้าใช้กับสมเด็กพระนางเจ้าฯ พระบรมราขชินีนาถ จะใช้คําว่า พระราโชวาท พระราชาธิบาย พระนามาภไิ ธย พระราชสมภพ (ยกเว้นพระบรมราชนิ ปู ถัมภ)์ ๑.๒ ใช้คําว่า “พระราช” นําหน้าคํานาม เช่น พระราชดํารัส พระราชดําริ พระราช วินิจฉัย พระราชปฏิสันถาร พระราชเสาวนีย์ พระราชหัตถเลขา พระราชทรัพย์ พระราชประวัติ พระราชศรัทธา เป็นต้น ๑.๓ การพดู .....ราชาศพั ท์ ๑) พระบรมวงศช์ ัน้ พระองค์เจ้า หมายความว่าพระองค์เจ้าพระองค์น้ันเป็น พระโอรส พระราชธดิ า ในพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ไมว่ า่ ราชการใด ๒) การใช้ราชาศัพท์กับสมเด็กพระสังฆราชเจ้าใช้เหมือนกับการใช้ ราชาศพั ท์ พระราชวงศช์ ้ันพระองคเ์ จา้ ท่เี ป็นพระราชโอรสในองค์พระมหากษัตริย์

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ | ๓๙ ๒. คําขึ้นตน้ คาํ สรรพนามและคาํ ลงท้ายในการกราบบงั คมทลู ฐานนั ดรของผฟู้ งั คําขนึ้ ตน้ คําสรรพนาม คาํ ลงทา้ ย พระบาทสมเดจ็ พระ ขอเดชะฝา่ ละอองธลุ ี - ใต้ฝา่ ละอองธลุ ี ด้วยเกล้า เจา้ อยูห่ ัว สมเดจ็ พระ พระบาท ปกเกลา้ พระบาท ด้วยกระหมอ่ ม นางเจ้าฯ ปกกระหมอ่ ม - ขา้ พระพทุ ธเจ้า ขอเดชะ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมราช ขอพระราชทานกราบ - ใต้ฝ่าละอองพระบาท ดว้ ยเกล้ากระหม่อม ชนนี บังคมทูลทราบ - ขา้ พระพทุ ธเจา้ หรือ ควรมิควรแลว้ แต่ สมเด็จพระยพุ ราช ฝ่าละอองพระบาท (สมเดจ็ สยาม จะทรงพระกรณุ า มกฎุ ราชกุมาร) โปรดเกลา้ โปรด สมเดจ็ พระบรมราช กระหม่อม กมุ ารี หม่อมเจ้า ทูลฝา่ พระบาท ท่าน แลว้ แต่จะโปรด พระสงฆ์ พระคุณเจา้ กระผม, ดิฉัน พระคณุ ทา่ น ทา่ น ๓. กรยิ าราชาศัพท์ “ทรง” ๓.๑ ใช้คําว่า “ทรง” นําหน้ากริยาสามัญหรือนําหน้านามบางคํา เช่น ทรงยินดี ทรงชา้ ง ทรงเจิม ทรงกราบ ทรงวาดรปู ทรงขอบใจประชาชน เป็นต้น ๓.๒ ใช้คําว่า “ทรง” เป็นคํากริยา นําหน้าคํานามสามัญ “ทรง” จะแปลว่าอะไร แล้วแต่คํานามที่ตามมา เช่น ทรงศีล (ถือศีล) ทรงบาตร (ตักบาตร) ทรงม้า (ขี่ม้า) ทรงดนตรี (เลน่ ดนตร)ี เปน็ ต้น ๓.๓ เป็นคํากรยิ าท่ีเป็นคําราชาศัพท์อยู่แล้วไม่ต้องมีคําว่า “ทรง” นําหน้า เช่น ตรัส เสวย บรรทม กร้วิ โปรด พระราชทาน ประสตู ิ ประทบั เสดจ็ เปน็ ต้น ๓.๔ คําว่า “ทรง” ใช้นําหน้าคํานามท่ีเป็นราชาศัพท์แล้ว จะกลายเป็นกิริยาราชาศัพท์ เช่น ทรงพระราชนิพนธ์ ทรงพระพิโรธ ทรงพระประชวร ทรงพระสรวล ทรงพระเมตตา ทรงพระราชดาํ ริ เป็นต้น

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๔๐ ๓.๕ คํากริยาราชาศัพทท์ ่ีควรศกึ ษา ให้ - พระราชทาน ประทาน (สมเดจ็ เจา้ ฟ้า) ให้ - ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ไป (ด้วยยานพาหนะ) - เสดจ็ พระราชดําเนินหรอื เสดจ็ ฯ (ผ้นู อ้ ย) ให้ - ทลู เกล้าฯ ถวาย น้อมเกล้าฯ ถวาย ถวาย (เจ้านายฯ, พระสงฆ์) อ้มุ - เชิญเสด็จ กราบ - กราบถวายบังคม หลบั - บรรทมหลบั เข้าไปยัง - ทรงพระดาํ เนินไป ติดตาม - ตามเสด็จ นาํ้ สงั ข์ - นํา้ พระมหาสังข์ รู้ - ทราบฝา่ ละอองธุลีพระบาท การใช้ “ทรง” นําหน้าคํากริยาธรรมดา เป็นกริยาราชาศัพท์ เช่น ทรงเอ้ือม ทรงดิ้นรน ทรงหลัง่ นํ้า (นํา้ รดลง รดลง) ทรงเจิม ทรงเลา่ ทรงบอก ทรงหยุด ทรงนํา ทรงผ่าน หรือเสด็จผ่าน (เข้า) ไมท่ รงตนื่ กลัว การใช้กริยา “เป็น” และ “ม”ี (ม,ี เปน็ +คําราชาศัพท์) (ทรงมี, ทรงเปน็ + คาํ สามญั ) - เป็นพระราชโอรส เปน็ พระราชธดิ า มีพระบรมราชโองการ - ทรงเปน็ ทหาร ทรงเป็นครู ทรงเป็นประธาน ทรงมีกรรม ทรงมที กุ ข์ กริยาพเิ ศษสาํ หรับบคุ คลชน้ั ต่าง ๆ คาํ สามญั ราชาศพั ท์ ชน้ั บคุ คล เกิด ทรงพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู ัว เสดจ็ พระราชสมภพ เจา้ นายชน้ั สงู เจา้ นายชัน้ ท่วั ไป กนิ เสวย พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั เจา้ นาย ฉนั พระสงฆ์ รับประทาน สภุ าพชน

ห ลั ก ก า ร ใ ช ห ลั ก ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ค ว า ม สาํ เ ร็ จ | ๔๑ คาํ สามัญ ราชาศัพท์ ช้นั บคุ คล เดิน เสดจ็ พระราชดาํ เนนิ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว ทรงพระราชดําเนนิ เจ้านายชั้นสูง อยากได้ ทรงดาํ เนนิ เจ้านายชน้ั ทวั่ ไป ตอ้ งพระราชประสงค์ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู วั ตัดผม ต้องพระประสงค์ เจา้ นายช้ันสูง แตง่ ตวั เจา้ นายชน้ั ท่วั ไป ทาํ บญุ ทรงพระเครื่องใหญ่ ทรงเคร่ืองใหญ่ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว ทรงเครอ่ื ง เจา้ นายชน้ั สงู แต่งพระองค์ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ทรงบําเพญ็ พระราชกศุ ล เจา้ นายชั้นสูง ทรงบําเพญ็ พระกศุ ล พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เจา้ นายช้ันสงู กริยาพเิ ศษสําหรบั ผนู้ อ้ ยใชก้ บั บุคคลชัน้ ตา่ ง ๆ คาํ สามัญ ราชาศัพท์ ชนั้ บคุ คล ขออนญุ าต ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัว ขอพระราชทานพระราชานญุ าต สมเด็จพระบรมราชนิ ีนาถ เจ้านายชน้ั สูงและ ขอบใจ รู้สึกเป็นพระเดชพระคณุ ลน้ เกลา้ ฯ เจา้ นายชนั้ รอง ขอบพระทัย สมเดจ็ พระบรมราชินีนาถ เจา้ นายชน้ั สูงและ บอก กราบบังคมทูลพระกรุณา เจา้ นายชน้ั รอง กราบบังคมทลู พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั กราบทลู เจา้ นายช้ันสูง ทลู เจา้ นายชนั้ รอง เจา้ นาย, พระสังฆราช


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook