Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือ การปฏิบัติงานของข้าราชการครู

คู่มือ การปฏิบัติงานของข้าราชการครู

Published by pavarisa.1450, 2020-02-01 04:21:14

Description: คู่มือ การปฏิบัติงานของข้าราชการครู

Search

Read the Text Version

90 นกั การภารโรงและลูกจ้างเป็ นบุคลากรสาคัญในการปรับปรุงพัฒนาและดูแลอาคาร สถานท่ี สภาพแวดล้อมและสิ่งอานวยความสะดวกในสถานศึกษา การบริหารจดั การให้ นกั การภารโรงและลกู จ้าง ปฏิบตั ิงานได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ สง่ ผลดีตอ่ การพฒั นาการศกึ ษาของสถานศกึ ษา แนวทางการปฏิบตั ิ 1. แตง่ ตงั้ ผ้รู ับผดิ ชอบบริหารงาน 2. จดั ทาแผนปฏิบตั งิ านและปฏิทินปฏิบตั ิงานของนกั การภารโรงและลกู จ้าง 3. ประชมุ ชีแ้ จง/แบง่ หน้าทค่ี วามรับผิดชอบ 4. ดาเนนิ การตามแผนและปฏิทนิ 5. กากบั ดแู ล ตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบตั งิ าน 6. สรุป รายงานผล ปรับปรุงพฒั นาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง แผนผงั การปฏิบตั งิ าน จดั ทาแผน/ปฏิทนิ การปฏิบตั งิ าน ประชมุ ชีแ้ จง/แบง่ หน้าท่ีความรับผดิ ชอบ ดาเนินการตามแผน/ปฏิทิน กากบั ดแู ล ตรวจสอบ และประเมนิ ผล สรุป/รายงาน/ปรับปรุง/พฒั นา

91 การประสานการจดั การศกึ ษาในระบบและนอกระบบต้องมีการดาเนินการประสานงานกบั หนว่ ยงานทเ่ี กี่ยวข้องเพื่อประสานความร่วมมอื ในการจดั การศกึ ษา แนวทางการปฏิบตั ิ 1.ศกึ ษาการจดั การศกึ ษาทงั้ ในระบบและนอกระบบ 2.ประสานงานหนว่ ยงานการจดั การศกึ ษาทงั้ ในระบบและนอกระบบ 3.แตง่ ตงั้ ผ้รู ับผดิ ชอบดาเนนิ การประสานงานอยา่ งชดั เจน 4.เผยแพร่ข้อมลู ขา่ วสารให้ทราบอยา่ งทวั่ ถงึ แผนผงั การปฏิบตั งิ าน ศกึ ษาการจดั การศกึ ษาทงั้ ในระบบ ประสานงานหนว่ ยงานการจดั การศกึ ษา ทงั้ ในระบบและนอกระบบ แตง่ ตงั้ ผ้รู ับผิดชอบดาเนนิ การ เผยแพร่ข้อมลู ขา่ วสารให้ทราบ อยา่ งทวั่ ถงึ เอกสารท่เี ก่ยี วข้อง เอกสารการบริหารงานโรงเรียนนิติบคุ คล

92 การทศั นศกึ ษาหรือการพานกั เรียนไปนอกสถานศกึ ษา หมายถึง การที่ครูหรือหวั หน้าสถานศกึ ษา พานกั เรียนไปทากิจกรรมการเรียนการสอน ภายนอกสถานศกึ ษา ตงั้ แต่ 2 คนขนึ ้ ไปในเวลาเปิ ดทาการสอน หรือไมก่ ็ได้ โดยมโี ครงการรองรับและดาเนนิ การตามลาดบั ขนั้ ให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ ทงั้ นี ้ต้องเป็ นไปด้วย ความสมคั รใจ ไมใ่ ชเ่ พือ่ การทดสอบหรือการวดั ผล -ระเบยี บกระทรวงศกึ ษาธิการวา่ ด้วยการพานกั เรียนและนกั ศกึ ษาไปนอกสถานศกึ ษา พ.ศ.2548 แนวทางการปฏิบตั ิ 1. เขียนโครงการ 2. พจิ ารณาและขออนญุ าต 3. ขออนญุ าตต้นสงั กดั (ค้างคืน/ตา่ งประเทศ) เขยี นโครงการ ผอ.(ไมค่ ้างคืน) 4. ขออนญุ าตผ้ปู กครอง ผอ. เลขา(ค้างคืน) 5. กาหนดผ้รู บั ผดิ ชอบ พจิ ารณาโครงการ นอกราชอาณาจกั ร 6. การใช้รถนาขบวน และขออนมุ ตั ิ หวั หน้าสว่ นราชการ 7. การทาประกนั ภยั ไม่อนมุ ตั ิ อนมุ ตั ิ - กาหนดผ้รู ับผิดชอบ 8. การเลอื กยานพาหนะและผ้รู ับผิดชอบ เตรียมการ - รถนาขบวน 9. การจดั ทาแผนการเดนิ ทาง เดนิ ทางไป - การทาประกนั ภยั 10. การปฏิบตั ริ ะหวา่ งการเดนิ ทาง - จดั หายานพาหนะและผ้ขู บั ขี่ 11. การพกั แรม - ทาแผนเสนอ 12. การรายงาน ผอ. พกั ค้าง 13. ข้อเสนอแนะ เดนิ ทางกลบั รายงานผล

93 1.งานระบบดแู ลช่วยเหลือนักเรียน งานระบบดแู ลชว่ ยเหลือนกั เรียน เป็ นงานทส่ี ง่ เสริมพฒั นาป้ องกนั และแก้ไขปัญหา เพื่อให้ นกั เรียนได้พฒั นาเต็มศกั ยภาพ มคี ลุ กั ษณะที่พงึ ประสงค์ มภี มู คิ ้มุ กนั ทางจิตใจทเี่ ข้มแขง็ มคี ณุ ภาพชีวิตทดี่ ี มีทกั ษะการดารงชีวติ และรอดพ้นจากวกิ ฤตทงั้ ปวง ดงั นนั้ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน จึงเป็ นกระบวนการ ที่ดาเนินงาน ทช่ี ว่ ยเหลอื นกั เรียนทม่ี ีขนั้ ตอนชดั เจน พร้อมมวี ธิ ีการและเครื่องมือที่มีมาตรฐาน การรู้จกั นกั เรียน มคี ณุ ภาพในการทางานทีต่ รวจสอบได้อยา่ งมรี ะบบ รายบคุ คล แนวทางการปฏิบตั ิ การคดั กรองนกั เรียน 1. ออกคาสงั่ แตง่ ตงั้ คณะทางานแนวทางปฏิบตั ิ 2. ดาเนนิ การศกึ ษานกเรียนรายบคุ คล การสง่ เสริมและ 3. การคดั กรองนกั เรียน พฒั นานกั เรียน 4. การสง่ เสริมพฒั นานกั เรียน 5. การป้ องกนั และแก้ไขปัญหา 6. การสง่ ตอ่ 7. การประเมินผลการดาเนนิ งาน การป้ องกนั และแก้ไข ปัญหา การสง่ ตอ่ การประเมินผล

94 2 งานสภานักเรียน สภานกั เรียนให้สามารถ นาหลกั ธรรมาภิบาลไปพัฒนา คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ได้แก่ การมีวินยั เคารพกติกา มีจิตอาสา เพื่อสงั คม รู้จักใช้กระบวนการประชาธิปไตยและแนวทางสนั ติวิธี ซ่ึง กิจกรรมท่ีสามารถทาให้นักเรียนมีคุณลักษณะวิถีประชาธิปไตยให้กับ นักเรียน โดยการสนับสนุนให้ นกั เรียนได้มีกิจกรรมการเรียนรู้ กระบวนการประชาธิปไตย ได้ปฏิบตั ิจริงในรูปแบบการเลือกตงั้ ผ้แู ทน นกั เรียน เริ่มจากการเลือกหวั หน้าห้อง หัวหน้าระดับชัน้ ประธานชุมนุม ประธานชมรม คณะกรรมการ นกั เรียน และ สภานกั เรียน แผนผงั การปฏบิ ตั งิ าน แนวทางการปฏิบตั ิ 1. แตง่ ตงั้ คณะกรรมการที่รบั ผดิ ชอบ 1. แตง่ ตงั้ 2. ประกาศ คดั เลอื ก 2. จดั ทาแผนภมู ิสภานกั เรียน คณะกรรมการ /สรรหา เลอื กตงั้ 3. ออกคาสงั่ แตง่ ตงั้ คณะกรรมการสภานกั เรียน 4. อบรมพฒั นาคณะกรรมการสภานกั เรียน รับผดิ ชอบ คณะกรรมการสภานกั เรียน 5. คณะกรรมการสภานกั เรียนจดั ทาแผนปฏบิ ตั งิ าน งานสภานกั เรียน ประจาปี 4. อบรมพฒั นา 6. กากบั ตดิ ตาม ประเมนิ ผล การปฏบิ ตั งิ าน 3. ออกคาสง่ั แตง่ ตงั้ คณะกรรมการ 7.สรุปผล รายงานผล คณะกรรมการ สภานกั เรียน สภานกั เรียน 5. คณะกรรมการสภานกั เรียน จดั ทาแผนปฏิบตั งิ านประจาปี 6. สรุปผล รายงานผลงานสภานกั เรียน เอกสารท่เี ก่ยี วข้อง องค์การสหประชาชาติ ได้มกี ารลงนามในปฏิญญาสากล วา่ ด้วยสทิ ธิเดก็ ปี พทุ ธศกั ราช 2533

95 3 วินัยนักเรียน การท่ีนกั เรียนจะมีอิสระท่ีดี เก่ง มีความสุขได้นนั้ สิ่งหนึง่ ท่ีจะช่วยเสริมสร้างได้เป็ นอยา่ งดีก็ คือ วนิ ยั ถ้าเดก็ ทกุ คนในโรงเรียนมวี ินยั ก็ยอ่ มเป็ นการง่ายท่ี จะจดั กระบวนการเรียนการสอน หรือกิจกรรมที่ จะทาให้นกั เรียน เกิดลกั ษณะท่ีดี เก่ง และมีความสขุ ได้ ในทางตรงกนั ข้าม ถ้านกั เรียนขาดวินยั ก็จะเป็ น การยากยิง่ ท่ี จะจดั กระบวนการเรียนการสอน หรือกิจกรรมให้นกั เรียน เกิดทกั ษะดงั กลา่ วได้ ดงั นนั้ งานวินยั นักเรียนจึงจาเป็ นที่โรงเรียนต้องพัฒนา และส่งเสริมระเบียบวินยั ตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ให้ นกั เรียนปฏิบตั ติ าม รวมทงั้ ต้องวางแนวทางการป้ องกนั แก้ไขพฤติกรรมนกั เรียน แนวทางการปฏบิ ตั ิ แผนผังการปฏิบตั งิ าน 1. แตง่ ตงั้ บคุ ลากรรับผดิ ชอบงานวนิ ยั นกั เรียน 2. จดั ทาแผนงานป้ องกนั แก้ไขและสง่ เสริมวินยั แต่งตั้งคณะทางาน 3. ดาเนนิ งานตามระเบียบและแผนงาน 4. กากบั ดแู ลนกั เรียนให้ดาเนินงานตามวินยั กาหนดคณุ ลักษณ์ ระเบียบแนวทางปอ้ งกัน 5. สง่ เสริมและแก้ไขรวมทงั้ ประสานหนว่ ยงานทีเ่ ก่ียวข้อง แกไ้ ขและส่งเสริม 6. ประเมนิ ผลเพอ่ื หาทางแก้ไข ดาเนินงานตาม ระเบยี บระเบยี บ ส่งเสริม แกไ้ ข ประเมนิ ผล เอกสารท่เี ก่ยี วข้อง ระเบยี บกระทรวงศกึ ษาธิการวา่ ด้วยการลงโทษนกั เรียนหรือนกั ศกึ ษา (ฉบบั ท่ี 2 ) พ.ศ. 2550 กฎกระทรวงกาหนดพฤติกรรมนกั เรียนและนกั ศกึ ษา พ.ศ. 2550

96 4 อนามัยโรงเรียน งานอนามยั โรงเรียน เป็ นงานท่ีดูแลรับผิดชอบ ด้านสุขภาพของบุคลากรในโรงเรียน สง่ เสริมให้บคุ ลากรในโรงเรียน มีสขุ ภาพอนามยั ที่ดี ติดตอ่ ประสานงานกบั หน่วยงานภายนอก เชน่ โรงพยาบาล สาธารณสขุ เพ่ือตรวจ สขุ ภาพนกั เรียน ครู ให้ความรู้ด้านสขุ ภาพอนามยั การ ป้ องกันโรคติดต่อ อบรมต่าง ๆ การป้ องกัน การระบาดของโรค จดั ให้มีเอกสารเผยแพร่ และ แบบพมิ พ์การใช้งานอนามยั แนวทางการปฏิบตั ิ 1. แตง่ ตงั้ บคุ ลากรผ้รู ับผดิ ชอบงานอนามยั โรงเรียน 2. วางแผนการดาเนินงานอนามยั โรงเรียน 3. จดั หาจดั ซอื ้ จดั บริการเวชภณั ฑ์และดแู ล 4. ให้บริการสขุ ศกึ ษา ให้คาปรึกษา 5. ประสานงานกบั กองอนามยั หรือโรงพยาบาลใกล้เคยี ง 6. กากบั ตดิ ตาม ตรวจสอบและประเมินผลงานอนามยั โรงเรียน ออกคาสง่ั แตง่ ตงั้ วางแผน จดั หา บริการ บริการ บริการ

97 1 การสร้างเครือข่ายประชาสมั พนั ธ์ งานประชาสมั พนั ธ์เป็ นการบริหารการประชาสมั พนั ธ์ วเิ คราะห์ข้อมลู ผลผลิตและพฒั นาเทคโนโลยี การประชาสมั พนั ธ์ เผยแพร่ข้อมลู ข่าวสารและเสริมสร้างความเข้าใจ เก่ียวกบั กิจการ ผลการดาเนินงาน ของสถานศกึ ษาให้หนว่ ยงาน บคุ ลากร ชมุ ชนและประชาชนทวั่ ไปได้รับทราบอยา่ งทวั่ ถึงกนั แนวทางการปฏิบตั ิ 1. แตง่ ตงั้ คณะทางาน แผนผังการปฏบิ ตั ิงาน 2. สารวจข้อมลู เครือขา่ ยประชาสมั พนั ธ์ 3. จดั ทาหลกั เกณฑ์ แนวทางปฏบิ ตั ิ แตง่ ตงั้ คณะกรรมการ รูปแบบ การติดตอ่ ประสานงาน สารวจข้อมลู /สร้างเครือขา่ ย 4. รวบรวมข้อมลู ขา่ วสาร 5. วางแผน บริหารข้อมลู ขา่ วสาร วิเคราะห์ จดั ทาหลกั เกณฑ์ พจิ ารณา เลอื กข้อกาหนดทตี่ อบสนอง 6. จดั กิจกรรมเสริมประชาสมั พนั ธ์ วางแผน 7. ตรวจสอบ ประสานงาน เครือขา่ ย ประชาสมั พนั ธ์ ประชาสมั พนั ธ์ 8. ประเมินผล ประเมินผล เอกสารท่เี ก่ยี วข้อง คมู่ ือการปฏิบตั งิ านสานกั งานเขตพนื ้ ทกี่ ารศกึ ษากลมุ่ อานวยการ

98 การเผยแพร่ข้อมลู ขา่ วสารและเสริมสร้างความเข้าใจ เก่ยี วกบั กิจกรรมและผลงานของสถานศกึ ษา และ บคุ ลากร ให้หนว่ ยงานและสาธารณชนทว่ั ไปได้รับทราบ แนวทางการปฏบิ ตั ิ 1. แตง่ ตงั้ คณะทางานศกึ ษาวิเคราะห์ระเบยี บกฎหมายแนว แผนผงั การปฏบิ ตั งิ าน ปฏิบตั ทิ เี่ กี่ยวกบั การเผยแพร่ข้อมลู ขา่ วสาร แต่งต้ังคณะทางานศกึ ษาระเบียบ กฎหมาย 2. จดั ระบบรูปแบบการเผยแพร่ข้อมลู 3. จดั ทาแผนเผยแพร่ข้อมลู ขา่ วสาร จดั ระบบรูปแบบการเผยแพร่ขอ้ มูล 4. คดั เลือกงานกิจกรรมประดษิ ฐ์สอ่ื ข้อมลู ขา่ วสารทเี่ ผยแพร่ จดั ทาแผนเผยแพรข่ ้อมลู 5. วเิ คราะห์สรุปประเดน็ ข้อมลู ขา่ วสารท่ีจะเผยแพร่ 6. เสนอผ้อู านวยการพจิ ารณาอนมุ ตั ิ ผลติ สื่อขอ้ มูล ข่าวสารท่จี ะเผยแพร่ 7. เผยแพร่งานให้ข้อมลู ขา่ วสารและผลงานให้ตรงกบั กลมุ่ เป้ าหมาย 8. ตดิ ตามประเมินผลและสรุปผล วิเคราะหส์ รปุ ประเด็นข้อมลู ข่าวสาร เพือ่ เผยแพรป่ ระชาสมั พันธ์ ไมอ่ นมุ ตั ิ เสนอ ผอ.พจิ ารณา อนมุ ตั ิ ดาเนินการเผยแพร่ประชาสมั พันธ์ ตดิ ตามประเมินผล สรุป เอกสารท่เี ก่ยี วข้อง คมู่ อื การปฏบิ ตั งิ านกลมุ่ อานวยการสานกั งานเขตพนื ้ ที่การศกึ ษา พ.ร.บ. ข้อมลู ขา่ วสารของทางราชการ พ.ศ. 2540

99 การสง่ เสริม สนบั สนนุ และประสานงานการจดั การศกึ ษาเพื่อให้หนว่ ยงาน ชมุ ชน ได้มสี ว่ นร่วมใน การสง่ เสริม สนบั สนนุ ประสานงานการจดั การศกึ ษาได้อยา่ งทว่ั ถงึ และมปี ระสิทธิภาพ แนวทางการปฏิบตั ิ 1.ศกึ ษาการสง่ เสริม สนบั สนนุ และประสานงานการจดั การศกึ ษา จากการบริหารงานโรงเรียนนติ ิบคุ คล 2.ประสานหนว่ ยงานตา่ งๆเพ่อื สนบั สนนุ เช่น โรงเรียนพ่ี องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน ชมุ ชน ฯลฯ 3.แตง่ ตงั้ ผ้รู ับผดิ ชอบในการดาเนนิ การ 4.จดั ทาทะเบียนการได้รับการสง่ เสริมสนบั สนนุ และประสานงานการจดั การศกึ ษา 5.ประชาสมั พนั ธ์ เผยแพร่อยา่ งทวั่ ถงึ แผนผังการปฏิบตั ิ ศกึ ษาการสง่ เสริม สนบั สนนุ และประสานงานการจดั การศกึ ษา ประสานหนว่ ยงานตา่ งๆเพอื่ สนบั สนนุ แตง่ ตงั้ ผ้รู บั ผดิ ชอบในการดาเนนิ การ จดั ทาทะเบยี นการได้รับการสง่ เสริม สนบั สนนุ ประชาสมั พนั ธ์ เผยแพร่อย่างทวั่ ถงึ เอกสารอ้างอิง คมู่ อื การการปฏบิ ตั งิ านสานกั งานเขตพืน้ ท่กี ารศกึ ษา กลมุ่ อานวยการ และกลมุ่ บริหารทวั่ ไป

100 ในการปฏิบตั ิงานนนั้ สิ่งท่ีหน่วยงาน หรือสถานศึกษา คาดหวงั ท่ีจะได้จากองค์กร หรือ หนว่ ยงาน คือ ผลการปฏิบตั ิงาน ที่มีประสิทธิภาพ และมีประสิทธิผล เพ่ือนาผลการดาเนินงาน ไปรายงาน ผลการปฏิบตั งิ านตอ่ ผ้บู งั คบั บญั ชาสว่ นราชการ และสาธารณชนตามลาดบั แนวทางการปฏบิ ตั ิ 1. แตง่ ตงั้ คณะทางานในการสรุปและรวบรวมผลงาน 2. อบรม มอบนโยบายแนวทางการรายงานผลงานให้คณะทางานเข้าใจในแนวทางเดยี วกนั 3. คณะทางานรวบรวมสรุปผลงานเป็ นรูปเลม่ 4. สง่ รายงานผลการดาเนนิ งานให้หนว่ ยงานและบคุ คลทเ่ี กี่ยวข้อง 5. สรุปผลและประเมนิ ผลการทางาน แตง่ ตั้งคณะทางาน อบรม/มอบนโยบาย/วางแผนงาน สรุปรวบรวม สง่ รายงานตามรูปแบบทเ่ี หมาะสม ประเมินผล เอกสารท่เี ก่ยี วข้อง พ.ร.บ. การศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2542 และ แก้ไขเพ่มิ เตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ.2545 แก้ไขเพิม่ เติม (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2553

101

102

103

104

105 เมื่อได้รับเกียรตแิ ละโอกาสให้ทาหน้าท่ี “รักษาการในตาแหน่งผู้อานวยการโรงเรียน” สิ่งที่ควร คิดเป็ นอนั ดบั แรกคือ ยินดีและภูมิใจ ท่ีได้รับความไว้วางใจให้ปฏิบตั ิหน้าท่ี “ผ้นู า” ขององค์กร ความยินดี และความภมู ิใจ จะทาให้เรามีพลงั ในการปฏิบตั งิ าน และจะเป็นฐานสาคญั ท่ีจะผลกั ดนั ให้เรามีความพร้อม ทงั้ ร่างกายและจิตใจในการเป็นแบบอยา่ งแก่ครู บคุ ลากร และนกั เรียนในโรงเรียนของเรา ดังนัน้ จึงขอเสนอแนะให้ผู้ท่ีได้รับตาแหน่ง “รักษาการในตาแหน่งผู้อานวยการโรงเรียน” ประพฤตปิ ฏิบตั งิ านเพื่อเป็นแบบอยา่ งที่ดี ดงั นี ้ 1. การเกษียนหนงั สือ 2. การลงหมายเหตรุ ายวนั 3. การกลา่ วในสถานการณ์และการบริหารความขดั แย้ง 4. การปฏิบตั ติ นเป็นแบบอย่างท่ีดี 5. การดาเนนิ การประชมุ ที่เป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการ 6. การนิเทศ กากบั ตดิ ตาม (เวรยาม) 7. การประสานงาน (ภายนอก / ภายใน) 8. การสร้างความสมั พนั ธ์ท่ีดกี บั บคุ ลากรหรือหนว่ ยงาน (ส่ือสารสองทาง) 9. การสร้างขวญั กาลงั ใจแกบ่ คุ ลากร 10. การขบั เคลื่อนนโยบายสกู่ ารปฏิบตั ิ (เฉพาะกิจ) 11. การบริหารการเปล่ียนแปลง

106 1.การเกษียนหนังสือ เกษียนหนงั สือ แปลว่า เขียนหนงั สือ แยกเป็ น เกษียน (เขียน)+หนังสือ เป็ นคาแผลงใน ภาษาไทย ไม่ได้เป็ นคาท่ีมาจากภาษาสนั สฤตแตอ่ ย่างใด แต่เป็ นคาสร้างขนึ ้ ใหม่เพ่ือใช้ในความหมายว่า ข้อความที่เขียนแทรกไว้ เจ้าหน้าท่ีที่เกี่ยวข้อง หรือเลขาฯ มีวิธีเกษียนหนงั สือ (บางทีก็เรียกวา่ สรุปประเดน็ ) ดงั นี ้ - สรุปเรื่องจากหนงั สือที่สง่ มาตดั ทอนให้เหลือเฉพาะใจความสาคญั - แยกสรุปเป็น 3 สว่ น คือ สว่ นเนือ้ หา สว่ นข้อมลู เพม่ิ เตมิ และสว่ นเสนอแนะ - ตรวจสอบความถกู ต้อง ครบถ้วนของเนือ้ หาและการใช้ภาษา - ลงลายมือชื่อผ้เู กษียน - ลงวนั เดือน ปี ผ้บู งั คบั บญั ชา มีวิธีเกษียนหนงั สือ ดงั นี ้ - สว่ นท่ีเป็นคาวินิจฉยั สงั่ การ เชน่ ทราบ \"ดาเนินการ\" \"เห็นชอบ\" \"อนมุ ตั \"ิ \"จดั และแจ้ง\" - สว่ นเพ่มิ เตมิ คาวินจิ ฉยั สง่ั การ (อาจมีหรือไมม่ ีก็ได้) เช่น อนมุ ตั ิ และให้รายงานผลการ ปฏิบตั งิ านให้รับทราบทกุ 6 เดอื น - ลงลายมือช่ือ - ลงวนั เดือน ปี ข้อควรคานงึ สาหรับเจ้าหน้าที่ที่เก่ียวข้อง หรือเลขาฯ สรุปใจความจากหนงั สือต้นฉบบั ให้ครบถ้วน ถกู ต้อง ใช้ภาษาท่ีสนั้ กระชบั จะพิมพ์หรือเขียนด้วย ลายมือก็ได้ แต่ถ้าเป็ นลายมือควรเขียนให้อ่านง่าย ระบุ วัน เดือน ปี ให้ตรงกับความเป็ นจริงไม่ควร ย้อนหลงั หรือลว่ งหน้า เว้นไว้แตม่ ีเหตผุ ลจาเป็ นจริงๆรูปแบบของการเกษียน ใช้รูปแบบเดียวกบั การบนั ทึก คอื ถึงใคร ข้อความสรุป ลงช่ือผ้เู ขียน และวนั เดอื น ปี ท่ีเขียน เทคนคิ การเกษียนของเจ้าหน้าท่ีท่ีเก่ียวข้อง หรือเลขาฯ - กาหนดหมายเลขในวงกลม 1 2 3 ... กากบั เร่ืองที่เสนอขนึ ้ มาตามลาดบั - การเกษียน ให้เริ่มจากบริเวณคร่ึงหน้ากระดาษลงไปและจากซ้ายไปขวา หากที่ไมพ่ อ เกษียน ให้เขียนคาวา่ \"โปรดพลกิ \" และพลิกหน้าถดั ไป เริ่มเกษียนจากสว่ นบนสดุ ของ กระดาษ ไลล่ าดบั ลงลา่ งและจากซ้ายไปขวาเชน่ กนั - ขีดเส้นใต้ ในสว่ นท่ีเป็นใจความสาคญั - ไมใ่ ช้ปากกาเน้นข้อความ เน่ืองจาก กรณีท่ีต้องสาเนาหนงั สือแจ้งผ้อู ื่นตอ่ ไป จะทาให้ ความชดั เจนของตวั หนงั สือลดลง และไมน่ ่าอา่ น

107 2. การลงหมายเหตุรายวัน สมดุ หมายเหตรุ ายวนั เป็นเอกสารที่มีไว้สาหรับผ้บู ริหารหรือผ้รู ักษาราชการแทนผ้บู ริหารท่ีได้รับ มอบหมายให้ปฏิบตั หิ น้าท่ีแทนผ้บู ริหารโรงเรียนจดบนั ทกึ เหตกุ ารณ์สาคญั ๆ ที่เกิดขนึ ้ ในแตล่ ะวนั ของ โรงเรียน ที่ควรบนั ทึกไว้ อาจมีไว้เพ่ือเป็นหลกั ฐานอ้างอิง เป็นข้อมลู ที่มีไว้ใช้ภายในหน้า หรือเก็บเป็นความ ทรงจาสาหรับคนรุ่นหลงั แนวทางการปฏบิ ัติ - บนั ทกึ ด้วยปากกาหมกึ สีดาหรือสีนา้ เงิน - บนั ทกึ เหตกุ ารณ์สาคญั ๆทกุ วนั ทาการและปิ ดทาการ(การระดมทรัพย์,การแก้ไขหลกั ฐาน,ภยั อนั ตราย,การทาโทษนกั เรียน,บาเหนจ็ ความดีความชอบ) - ควรบนั ทกึ หลงั จากหมดเวลาราชการของแตล่ ะวนั - ลงลายมือช่ือผ้บู นั ทกึ ในแตล่ ะวนั - ห้ามลบหรือใช้นายาลบคาผิด ให้ใช้หมกึ แดงขีดทบั ข้อความท่ีบนั ทึกพลาด หรือเม่ือต้องการ แก้ไขแล้วลงนามกากบั พร้อมวนั เดือน ปี ย่อกากบั ที่ริมกระดาษทกุ แหง่ - ไมม่ ีเหตกุ ารณ์ใดๆ ให้ลงว่าปกติ 3 การกล่าวในสถานการณ์และการบริหารความขัดแย้ง การพดู ในที่สาธารณะ เป็นส่ิงที่สาคญั สาหรับการเป็นผ้นู า เพราะนอกจากจะต้องพดู ให้คนใน องค์กรรับฟังในเรื่องของนโยบาย แนวทางการปฏิบตั งิ านและการดาเนนิ กิจกรรมขององค์กรแล้ว บางครัง้ มี ความจาเป็นต้องพดู เพื่อชีแ้ จงความเข้าใจกบั คนนอกองค์กรท่ีมีสว่ นเกี่ยวข้องหรือไมเ่ กี่ยวข้องกบั องคก์ ร ของเรา เพื่อให้ภารกิจขององค์กรหรือสถานศกึ ษาของเรา สามารถดาเนินกิจกรรมตา่ งๆ สคู่ วามสาเร็จ โดยเฉพาะการพดู เพ่ือโน้มน้าวใจ เชญิ ชวนให้บคุ คลภายนอก เข้ามามีสว่ นร่วมในการบริหารจดั การใน สถานศกึ ษาของเรา ซงึ่ นบั เป็ นเรื่องสาคญั มาก ท่ีสาคญั คอื “ผ้นู า” มกั ได้รับเกียรตใิ ห้พดู หรือกลา่ วในโอกาสหรือเวทีตา่ งๆ ในฐานะผ้นู าขององคก์ ร จงึ ต้องมีความรู้ ความสามารถ และทกั ษะ “การพดู ” ในสถานการณ์หรือโอกาสตา่ งๆ นน่ั หมายถงึ มีความ พร้อมเสมอสาหรับการได้รับเกียรตใิ ห้พดู หรือกลา่ วในวาระโอกาสตา่ งๆ

108 แนวทางการปฏบิ ัติ - ศกึ ษาวิธีการพดู หรือกลา่ วในแตล่ ะสถานการณ์แตล่ ะโอกาสอนั ได้แก่ คาทกั ทาย คาขนึ ้ ต้น ให้ เหมาะสมกบั งาน - ประเดน็ หรือเนือ้ หาสาระ ตรงกบั สถานการณ์/โอกาส/งานนนั้ - เวลาที่เหมาะสมที่ใช้ในการพดู - นา้ เสียง (ดงั ,หนกั ,เบา) - สายตา ที่ใช้กบั ผ้ฟู ังทว่ั ถึง ซง่ึ หมายถึงการให้เกียรตผิ ้ฟู ัง - การใช้คาท่ีสภุ าพ นมุ่ นวล ให้เกียรตผิ ้ฟู ัง - คาลงท้ายที่เหมาะสมหรือจบแบบประทบั ใจ - มีประโยคสาคญั /มกุ ตลก ขบขนั ประกอบ ก็จะสร้างความประทบั ใจให้กบั ผ้ฟู ัง ทงั้ นี ้ต้องมีการฝึกฝน เรียนรู้อยตู่ ลอดจะทาให้มีความมนั่ ใจ ไมป่ ระหมา่ สามารถพดู หรือกลา่ วได้ ในที่สาธารณะ ทงั้ เป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการ อยา่ ลืมวา่ บางท่ีเราอาจไมร่ ู้ตวั มาก่อนวา่ จะได้รับเกียรติ ให้เป็นตวั แทนพดู หรือกลา่ วในงานตา่ งๆ ท่ีเราไปร่วมงานจงึ ต้องพร้อมเสมอสาหรับการพดู ผ้นู ากบั การพดู - สร้างภาษากายให้ดดู ี (ยมิ ้ พยกั หน้า ทา่ ทาง) - พดู สภุ าพ - ชดั ถ้อยชดั คา - ถกู กาลเทศะ - ไมพ่ ดู สิ่งท่ีไมค่ วรพดู - พดู ด้วยเหตผุ ลไม่ใช้อารมณ์ - ชื่นชม-ปลอบใจ - ไมจ่ าเป็นต้องพดู ตรงเกินไป

109 4. การปฏิบัตติ นเป็ นแบบอย่างท่ดี ี แนวทางการปฏิบัติ 1. มีความรู้ความเข้าใจในการบริหารจดั การสถานศกึ ษา เป็ นคณุ สมบตั พิ ืน้ ฐานของการบริหาร ใช้ ศาสตร์ใช้ศลิ ป์ ในการบริหารจดั การ 2. มีความสามารถในการปกครองบงั คบั บญั ชาผ้รู ่วมงาน 3. มีความสจุ ริตโปร่งใสและเที่ยงธรรม มีฝ่ ายจดั ทาแผนท่ีเข้มแขง็ แมน่ ยาในกฎระเบียบ 4. มีความสามารถในการตดั สนิ ใจ ได้ถกู ต้องรวดเร็ว กล้าตดั สินใจ ปฏิบตั ติ ามนโยบายของ กระทรวงศกึ ษาธิการ 5. มีความสามารถในการวางแผนพฒั นาโรงเรียน เพื่อพฒั นาองคก์ รไปสเู่ ป้ าหมาย การสร้างองค์กร แหง่ การเรียนรู้ มีการวางแผน จดั ทาโครงการตา่ งๆ ที่นา่ สนใจ อยตู่ ลอดเวลา 6. มีการวางคนให้เหมาะสมกบั งาน 7. การสร้างทีมงานที่เข้มแขง็ 8. มีความคดิ ริเริมสร้างสรรค์ 9. มีความรู้ แม่นยาในกฎระเบียบของทางราชการ 10. มีการบริหารงานโดยใช้ โรงเรี ยนเป็ นฐาน

110 5. การดาเนินการประชุมท่เี ป็ นทางการและไม่เป็ นทางการ 1.แบบท่เี ป็ นทางการ ใช้ในการประชมุ ใหญ่ๆ หรือการประชมุ ท่ีจดั อยา่ งสม่าเสมอเป็ นประจา มกั ใช้รูปแบบวาระเหมือนทกุ ครัง้ 2. แบบไม่เป็ นทางการ เป็ นการประชมุ ท่ีกาหนดรูปแบบง่ายๆ ไมต่ ้องมีระเบยี บวาระครบถ้วน มกั ใช้ในการประชมุ ที่ไมค่ อ่ ยเป็ นทางการหรือการประชมุ กลมุ่ ยอ่ ยๆ 3. แบบหน่วยงานกาหนด บางหนว่ ยงานอาจกาหนดรูปแบบเฉพาะ เชน่ เพม่ิ ระเบียบวา่ ระ เรื่อง ทกั ท้วง ในกรณีท่ีเป็ นเรื่องพิจารณาตามปกตปิ ระจาทกุ ครัง้ ไมต่ ้องมีการอภิปราย หากไมม่ ีการทกั ท้วงหรือ วา่ เหน็ ชอบ ทงั้ นี ้เพ่ือประหยดั เวลาในการประชมุ รายละเอียดในระเบียบวาระการประชุม ระเบียบวาระท่ี 1 เร่ืองท่ปี ระธานแจ้งให้ท่ปี ระชุมทราบ หากไมม่ ีเร่ืองแจ้งให้ทราบ ก็เขียนวา่ ไม่มี ในระเบียบวา่ ระท่ี 1 ไมต่ ้องมีการลงมติ เพราะไมใ่ ชเ่ รื่อง พจิ ารณา แต่อาจมีข้อสังเกตได้ ระเบยี บวาระนีจ้ ะลงท้ายวา่ ท่ปี ระชุมรับทราบ ที่ประชมุ บางแหง่ ใช้คา วา่ เรื่องเพื่อแจ้งทราบ ซง่ึ ไมช่ ดั เจนวา่ แจ้งผ้ใู ด อาจทาให้สบั สน ฉะนนั้ หากเป็นการประชมุ ท่ีสาคญั ควร แยกระเบียบวาระท่ี 1 ให้ประธานเทา่ นนั้ เป็ นผ้แู จ้ง ถือเป็นการให้เกียรตปิ ระธานด้วย ระเบียบวาระท่ี 2 เร่ืองการรับรองรายงานการประชุม ประธานจะเป็นผ้เู สนอให้ท่ีประชมุ พจิ ารณารายงานการประชมุ ครัง้ ท่ีผา่ นมา โดยอาจให้พจิ ารณาที ละหน้า ในกรณีท่ีมไิ ด้แจกลว่ งหน้า หรือรวบยอดทงั้ ฉบบั ในกรณีท่ีแจกลว่ งหน้าแล้ว หากไมม่ ีผ้เู สนอแก้ไข เลขานกุ ารจะต้องบนั ทกึ ข้อความท่ีแก้ไขใหมอ่ ยา่ งละเอียด และข้อความใหมจ่ ะต้องปรากฏในรายงานการ ประชมุ ครัง้ ใหม่ด้วย ระเบยี บวาระนีจ้ ะลงท้ายวา่ “ท่ีประชมุ พจิ ารณาแล้วรับรองรายงานการประชมุ ครัง้ ท่ี.... โดยไมม่ ีการแก้ไข (หรือมีการแก้ไข...)” ระเบียบวาระท่ี 3 เร่ืองท่เี สนอให้ท่ปี ระชุมทราบ บางแหง่ ใช้คาวา่ เรื่องสืบเน่ือง คอื สืบเน่ืองจากการประชมุ ครัง้ ท่ีแล้ว เป็นการายงานผลการ ปฏิบตั งิ านที่ได้รับมอบหมายในการปรุชมครัง้ ก่อนๆ แตก่ ารใช้คากวา่ เร่ืองสืบเนื่อง อาจทาให้เกิดความ ผดิ พลาด โดยมีการนาเรื่องที่เลื่อนจากการพิจารณาครัง้ ก่อนมาพจิ ารณาและลงมตใิ นระเบยี บวาระนีท้ าให้ สบั สนกบั ระเบียบวาระท่ี 4 ซงึ่ เป็นเรื่องพจิ ารณาโดยเฉพาะ ในการประชมุ ระเบยี บวาระที่ 3 นี ้เป็นเรื่องที่ผ้เู ข้าประชมุ จะรายงานผลงานหรือเร่ืองราวสาคญั ใน หนว่ ยงานของตน ท่ีประชมุ เพียงแต่ รับทราบ หรือ มีข้อสังเกต เชน่ เดียวกบั ระเบียบวาระท่ี 1

111 ระเบียบวาระท่ี 4 เร่ืองท่เี สนอให้ท่ปี ระชุมพจิ ารณา ระเบยี บวาระนีเ้ป็ นหวั ใจในการประชมุ เลขานกุ ารจะต้องสง่ ข้อมลู ประกอบการพจิ ารณาให้ กรมการศกึ ษาลว่ งหน้า หากข้อมลู มากจะต้องสรุปสาระสาคญั ให้กรรมการอา่ นด้วย หวั ข้อตา่ งๆ ท่ีจะนามา พจิ ารณาจะต้องตงั้ ชื่อเรื่องให้กระชบั ชดั เจนทกุ เร่ือง เม่ือผ้เู ก่ียวข้องอา่ นก็จะทราบทนั ทีวา่ เป็นเรื่องใด ทาให้ ประหยดั เวลาอา่ น และในที่ประชมุ ก็อภิปรายได้ตรงประเดน็ ในระเบยี บวาระท่ี 4 จะลงท้ายด้วยมตทิ ่ีประชมุ เชน่ “ท่ปี ระชุมมีมตอิ นุมัตติ ามเสนอ” หรือ “ท่ี ประชุมพจิ ารณาแล้วมีมติ ดงั นี้ 1... 2... 3…” มตทิ ี่ประชมุ จะต้องกระชบั และชดั เจนกวา่ อนมุ ตั ิ หรือไม่ มอบหมายให้ใคร ทาอะไร ให้แล้วเสร็จเมื่อไร ยา่ งไร เป็นต้น ระเบียบวาระท่ี 5 เร่ืองอ่ืนๆ (ถ้ามี) ระเบยี บวาระนี ้เป็นระเบียบวาระที่อาจเป็นเร่ืองเร่งดว่ นที่มิได้แจ้งลว่ งหน้า ภาษาพดู เรียกวา่ วาระจร คาอธิบายการเขียนรายงานการประชุม 1. รายงานกระประชุม ให้ลงชื่อคณะท่ีประชมุ หรือช่ือการประชมุ นนั้ 2. ครัง้ ท่ี ให้ลงครัง้ ที่ประชมุ ทบั ด้วยปี พทุ ธศกั ราช และขนึ ้ ครัง้ ที่ 1 ใหม่ เมื่อขนึ ้ ปี พทุ ธศกั ราชใหม่ 3. เม่ือ ให้ลงวนั เดือนปี ท่ีประชมุ 4. ณ ให้ลงสถานท่ีประชมุ 5. ผู้มาประชุม กรณีแตง่ ตงั้ โดยชื่อ ให้ลงชื่อและตาแหนง่ ของผ้ไู ด้รับแตง่ ตงั้ เป็ นคณะกรรมการซง่ึ มา ประชมุ ในวนั นนั้ หากคณะกรรมการตา่ งตงั้ โดยตาแหนง่ ให้ลงตาแหนง่ ก่อนแล้วถึงตามด้วยชื่อ และ ตาแหนง่ ในที่ประชมุ ถ้ามีผ้มู าประชมุ แทนให้ลงตาแหนง่ และช่ือของผ้มู าประชมุ แทน และลงวา่ ประชมุ แทนผ้ใู ดหรือตาแหน่งใด 6. ผู้ไม่มาประชุม ให้ลงช่ือและ/หรือตาแหนง่ ของผ้ทู ี่ได้รับการตา่ งตงั้ เป็นคณะที่ประชมุ ซงึ่ มไิ ด้มา ประชมุ พร้อมทงั้ เหตผุ ล (ถ้ามี) 7. ผู้เข้าร่วมประชุม ให้ลงชื่อและหรือตาแหนง่ ของผ้ทู ี่มไิ ด้รับการแตง่ ตงั้ เป็ นคณะท่ีประชมุ ซง่ึ ได้เข้า ร่วมประชมุ ในครัง้ นนั้ (ถ้ามี) 8. เร่ิมประชุมเวลา ให้ลงเวลาท่ีเร่ิมประชมุ

112 9. ข้อความ ให้เขียนระเบียบวาระการประชมุ ประเดน็ ที่เป็ นสาระและการอภิปรายที่สาคญั ของการ ประชมุ และมตทิ ่ีประชมุ โดยปกตใิ ห้เร่ิมต้นด้วยประธานกลา่ วเปิ ดประชมุ และเร่ืองที่ประชมุ กบั มติ หรือข้อสรุปของท่ีประชมุ ในแตล่ ะเร่ืองตามลาดบั 10. เลิกประชุมเวลา ให้ลงเวลาเลกิ ประชมุ 11. ผู้จดรายงานการประชุม ให้ลงชื่อผ้จู ดรายงานการประชมุ 6. การนิเทศ กากับ ตดิ ตาม (เวรยาม) อานวยพร วงษ์ถนอม ได้กลา่ วถงึ บทบาทของผ้บู ริหารสถานศกึ ษาในการนิเทศการศกึ ษา ดงั นี ้ 1. จดั ให้การปฐมนิเทศครูใหมใ่ ห้เข้าใจในหน้าท่ีการงานท่ีตนรับผดิ ชอบ 2. สถานศกึ ษาจดั การอบรม หรือให้การนเิ ทศด้วยการสอนแก่ครูอยา่ งสม่าเสมอ 3. แนะนาให้ครูรู้จกั ดดั แปลงเนือ้ หาวิชาท่ีสอนให้เหมาะสมแก่สภาพท้องถ่ิน 4. ชว่ ยให้ครูมีความเช่ือมน่ั ในความสามารถของตนที่จะแก้ปัญหา และอปุ สรรคในการเรียนการสอน 5. เสนอแนะวิธีสอนท่ีเหมาะสมกบั เนือ้ หาวชิ า และสภาพแวดล้อมให้ครู 6. สง่ ครูไปสงั เกตการสอนในสถานศกึ ษาอ่ืน ๆ ท่ีเห็นวา่ เป็นตวั อยา่ งท่ีดไี ด้ 7. ให้ครูได้เข้าร่วมการฝึกอบรมทางวชิ าการท่ีจดั ขึน้ ภายในและภายนอกกลมุ่ สถานศกึ ษา 8. จดั ให้มีการติดตามผลภายหลงั การฝึกอบรม 9. จดั หาหนงั สือทางวิชาการ คมู่ ือครู วารสาร และบริการอ่ืน ๆ เพ่ือชว่ ยเหลือครูก้าวหน้าทาง วชิ าการ และวชิ าชีพ 10. ผ้บู ริหารควรเยี่ยมชนั้ เรียน เพ่ือมงุ่ ท่ีจะให้คาปรึกษาชว่ ยเหลือและแก้ไขปัญหาทางการสอน 11. การบารุงขวญั และให้กาลงั ใจแกค่ รู 12. ผ้บู ริหารควรมีเกณฑ์ในการพิจารณาความดีความชอบของครู โดยใช้วิธีความเป็นธรรมให้มากท่ีสดุ 13. จดั ให้มีการสมั มนาของคณะครู เพื่อแสดงความคดิ เหน็ เก่ียวกบั การเรียนการสอน 14. สนบั สนนุ ให้ครูมีโอกาสศกึ ษาในสาขาวชิ าที่เกี่ยวข้อง และจะเป็นประโยชน์โดยตรงตอ่ การศกึ ษา 15. จดั ให้มีการประกวดการเรียนการสอนระหวา่ งสถานศกึ ษาภายในกลมุ่

113 หน้าท่ีท่ีจะต้องกระทาเกี่ยวกบั การนิเทศการศกึ ษาของผ้บู ริหารสถานศกึ ษาไว้ 3 ประการดงั นี ้ 1. ทาหน้าที่ตรวจสอบความเป็ นไปเกี่ยวกบั การเรียนการสอน ขนั้ ตรวจสอบถือวา่ เป็นขนั้ เริ่มต้นการ นเิ ทศ เรื่องที่ควรจะตรวจสอบได้แก่ ความเข้าใจในการใช้หลกั สตู รของครู ความเข้าใจอยา่ งถ่องแท้ ของครูเก่ียวกบั เนือ้ หาของหลกั สตู ร การใช้กลวิธีการสอนตา่ ง ๆ ตลอดจนการใช้สื่อการสอน ลกั ษณะของนกั เรียนในแตล่ ะห้อง 2. ทาหน้าท่ีประเมินผลการเรียนการสอน 3. ทาหน้าท่ีช่วยสง่ เสริมและปรับปรุงการเรียนการสอน อนั ได้แก่ความเข้าใจของครูเก่ียวกบั หลกั การ จดุ หมาย และโครงสร้างของหลกั สตู ร แนะแนวการทาโครงการสอนทงั้ ระยะสนั้ และระยะยาว จดั หาเคร่ืองมือประกอบการสอน และแหลง่ วชิ าการ จดั บรรยากาศทางกายภายในห้องเรียนให้ นา่ เรียนสง่ เสริมให้ครูปรับปรุงตวั เองทงั้ ด้านวชิ าการ และวิชาชีพตลอดจนการพยายามให้ครู ประเมนิ ผลการเรียน 7. การประสานงาน (ภายนอก / ภายใน) การประสานงาน การจดั ให้คนในองค์การทางานสมั พนั ธ์ สอดคล้องให้คนในองค์กรทางานสมั พนั ธ์ สอดคล้องกนั โดยจะต้องตระหนกั ถงึ ความรับผดิ ชอบ วตั ถปุ ระสงค์ เป้ าหมาย วิธีการทางาน อีกทงั้ ความร่วมมือในการ ปฏิบตั งิ านเป็นนา้ หนง่ึ ใจเดยี วกนั มีความคดิ ความเข้าใจตรงกนั มีความร่วมมือในการปฏิบตั งิ าน ไมเ่ กิด ความสบั สนขดั แย้งกนั เป็นส่ิงสาคญั ท่ีเกิดจากการประสานงานท่ีดใี นองค์กร หลกั การประสานงาน 1. จดั ระบบการตดิ ตอ่ ส่ือสารท่ีดีทงั้ ภายในและภายนอกองคก์ ร 2. จดั ระบบความร่วมมือท่ีดี มีนา้ ใจ ไมว่ างเฉย ชว่ ยเหลือซ่ึงกนั และกนั 3. จดั ระบบการประสานงานท่ีดี การสงั สรรคต์ า่ งๆ เพื่อความเข้าใจตรงกนั และความสมั พนั ธ์อนั ดีของ คนในองค์กร 4. จดั ให้คนในองคก์ ร โดยเฉพาะผ้ปู ฏิบตั ภิ ารกิจเกิดความชดั เจน วา่ ใคร ทาอะไร ท่ีไหน อยา่ งไร เม่ือไร เพ่ือสะดวกแก่การประสานงานในการปฏิบตั งิ าน

114 8. การสร้างความสัมพนั ธ์ท่ดี กี ับบุคลากรหรือหน่วยงาน (ส่ือสารสองทาง) 1.การจัดการศกึ ษา ในการจดั กรศกึ ษาชมุ ชนุ มีสว่ นร่วมในการจดั การศกึ ษาอยา่ งชดั เจน เชน่ ในด้านภมู ิปัญญาท้องถ่ิน โดยโรงเรียนจะขอความร่วมมือมายงั ชมุ ชนในด้านการเป็ นวทิ ยากร หรือเป็นแหลง่ ศกึ ษาหาความรู้เพม่ิ เตมิ ให้กบั นกั เรียนเกี่ยวกบั ภมู ปิ ัญญาท้องถ่ินในชมุ ชนนนั้ ๆ เชน่ การจกั สาน การทอเสื่อ เป็นต้น ซงึ่ ชมุ ชนจะเป็น แหลง่ เรียนรู้ท่ีสาคญั ท่ีโรงเรียนจะให้นกั เรียนไปศกึ ษาหาความรู้ หรือดาเนนิ การได้โดยเชิญคนในชมุ ชนมา เป็นวิทยากร หรือให้ผ้เู รียนเข้าไปศกึ ษาและฝึกงานในชมุ ชนด้วยตวั เอง ซง่ึ คนในชมุ ชนจะทาหน้าท่ีเป็น วิทยากรท่ีคอยให้ความรู้แกน่ กั เรียน นอกจากชมุ ชนยงั มีสว่ นร่วมในด้านทนุ ทรัพย์ วสั ดคุ รุภณั ฑ์ตา่ งๆจากชมุ ชน เชน่ ขอบริจาคเงิน ทนุ การศกึ ษา จากประชาชนในชมุ ชนเพ่ือมาให้แกผ่ ้เู รียนในสถานศกึ ษา การทอดผ้าป่ าตา่ งๆ และกิจกรรม ตา่ งๆ เป็ นต้น ซงึ่ ต้องใช้งบประมาณในการดาเนนิ การจงึ ต้องอาศยั ความร่วมมือของคนในชมุ ชน ซงึ่ ก็ได้รับ ความร่วมมือด้วยดมี าโดยตลอด 2. การบริการกิจกรรมเสริม ในด้านการบริการกิจกรรมเสริมก็จะเป็นงานในโอกาสตา่ งๆ เชน่ งานวนั เดก็ งานวนั พอ่ งานวนั แม่ การประชมุ ผ้ปู กครองตา่ งๆ เป็นต้น โรงเรียนจะเชญิ คนในชมุ ชน เพ่ือขอความร่วมมือให้ไปร่วมในกิจกรรม ตา่ งๆที่ทางโรงเรียนจดั ขนึ ้ ซงึ่ จากการทากิจกรรมที่ผา่ นมาทางคนในชมุ ชนก็ได้ให้ความร่วมมือเป็นอยา่ งดี นอกจากนีใ้ นบางกิจกรรมทางโรงเรียนก็ต้องอาศยั สถานที่ภายในชมุ ชนในการทากิจกรรม เชน่ วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา กิจกรรมการบาเพญ็ ประโยชน์ที่จะให้นกั เรียนไปพฒั นาชมุ ชนให้นา่ อย่หู รือสะอาด ซง่ึ ทาชมุ ชนก็ได้ให้ความร่วมมือและสง่ เสริมในการทากิจกรรมตา่ งๆมาโดยตลอด โรงเรียนช่วยเหลือชุมชุนในด้านใดได้บ้าง 1. ด้านแหล่งความรู้ โรงเรียนมีบทบาทในการพฒั นาชมุ ชนโดยตรง ทาหน้าท่ีให้การศกึ ษาแก่ประชาชนทกุ เพศทกุ วยั และทกุ อาชีพ โดยคานง่ึ ถงึ ผลประโยชน์ของชมุ ชนเป็นใหญ่ มีการจดั บริหารด้านตา่ งๆ ให้แกป่ ระชาชนเข้า มาใช้ประโยชน์ เชน่ ห้องสมดุ โรงฝึกงาน หอประชมุ ฯลฯ ประชาชนสามารถเข้ามาศกึ ษาหาความรู้เพม่ิ เตมิ ได้จากโรงเรียน โดยโรงเรียนจะเป็นศนู ย์กลางในการถ่ายทอดความรู้ ทกั ษะ และทศั นคตทิ ี่ดใี ห้แกส่ มาชิก ทกุ คนในชมุ ชน โดยเป็นแหล่งศกึ ษาหาความรู้ทงั้ ด้านวิชาการและการประกอบอาชีพของคนในชมุ ชนนนั้ มี การสารวจความต้องการและศกึ ษาปัญหาของคนในชมุ ชนเพื่อร่วมกนั หาทางแก้ไขและพฒั นาให้ดขี นึ ้ กวา่ เดมิ ในทกุ ๆด้าน

115 2. ด้านบริการสถานท่ี ในด้านการบริการแก่ชมุ ชนนนั้ โรงเรียนจะเปิดโอกาสให้ประชาชนในท้องถิ่นมาใช้บริการด้าน อาคารสถานที่ วสั ดอุ ปุ กรณ์ หรือบริเวณโรงเรียน เพ่ือจดั กิจกรรมที่จาเป็นตา่ งๆ ได้ เชน่ การใช้สนามกีฬา ของโรงเรียนในการจดั แขง่ ขนั กีฬาตา่ งๆ การใช้ห้องสมดุ หรือหอประชมุ ของโรงเรียนในการประชมุ ชาวบ้าน หรือแสดงการสาธิตและนทิ รรศการตา่ งๆ การจดั โครงการอาหารกลางวนั ให้กบั นกั เรียนยากจน การออก วารสารหรือเอกสารส่ิงพมิ พ์ตา่ งๆ เพื่อให้แพร่ขา่ วสารและความรู้ท่ีจาเป็นแก่คนในชมุ ชน การจดั รายการ เพ่ือการศกึ ษาทางวทิ ยหุ รือโทรทศั น์ การตดิ ตอ่ เจ้าหน้าที่มาให้การรักษาพยาบาล หรือควบคมุ โรคติดตอ่ ใน ชมุ ชน เป็นต้น 3. ด้านวัฒนธรรมประเพณี ในด้านวฒั นธรรมประเพณีโรงเรียนมีบทบาทในการสง่ เสริมอนรุ ักษ์วฒั นธรรมตา่ งๆของชมุ ชนให้ อยคู่ กู่ บั ชมุ ชน เพ่ือให้วฒั นธรรมนนั้ คงอยตู่ อ่ ไป ซง่ึ สามารถสง่ เสริมหรืออนรุ ักษ์ได้ด้วยวธิ ีการตา่ งๆ เชน่ ร่วม สืบสานและเข้าไปมีสว่ นร่วมในวฒั นธรรมและประเพณีของชมุ ชนในท้องถิ่นนนั้ ๆ หรือร่วมเผยแพร่และให้ ความรู้กบั ประชาชนเกี่ยวกบั วฒั นธรรมประเพณีตา่ งๆ นอกจากนีย้ งั สามารถจดั กิจกรรมหรือพธิ ีการงาน มหรสพตามประเพณีโดยเป็ นผ้นู าให้แกช่ มุ ชน โดยการสง่ เสริมให้ชมุ ชนนนั้ มีสว่ นร่วมการสืบทอดวฒั นธรรม ประเพณีตา่ งๆของตนได้อย่างเตม็ ท่ี 9. การสร้างขวัญกาลังใจแก่บุคลากร ในฐานะท่ีเราเป็ นผ้นู าองค์กร ควรมีหลกั ยดึ วา่ “คนทกุ คนมีศกั ด์ศิ รีในความเป็นมนษุ ย์ ตามท่ี บทบญั ญตั ไิ ว้รัฐธรรมนญู เพราะจะทาให้เราไมห่ ลงทางในการสร้างขวญั กาลงั ใจให้แก่คนในองค์กร และ ต้องเช่ือมนั วา่ “คนเป็ นทรัพยากรที่มีคา่ ท่ีสดุ ” ซงึ่ จะทาให้เราเหน็ ความสาคญั และคณุ คา่ ของคนในองคก์ ร ทาให้เราเป็ นคนให้เกียรตคิ นสง่ ผลให้เกิดเป็นขวญั กาลงั ใจในการปฏิบตั งิ าน แนวทางการสร้างขวญั กาลงั ใจ 1. จดั ให้มีสภาพแวดล้อมในการทางานให้นา่ อยู่ นา่ ทางาน 2. จดั การแบง่ งานให้ชดั เจน ใครทาอะไร และทาอย่างไร 3. สร้างความพงึ พอใจในงานด้วยการมอบหมายงาน ให้ตรงความรู้ความสามารถ ความถนดั และ ความสนใจ

116 4. ให้การยกยอ่ ง ชมเชย บาเหน็จความดีความชอบอยา่ งเหมาะสม เพ่ือตอบแทนการทา คณุ ประโยชน์ 5. ให้ความใสใ่ จ ดแู ลความเป็นอยแู่ ละทกุ ข์สขุ การทางาน ตลอดจนชีวิตประจาวนั 6. ให้โอกาสแสดงความคดิ เหน็ และมีอสิ ระในความคิดสร้างสรรค์ 7. ให้โอกาสในการ้องทกุ ข์ โดยมีระบบการร้องทกุ ข์ตามขนั้ ตอนและชว่ ยเหลือแก้ปัญหาให้ตามความ เหมาะสม 8. ให้โอกาสแก่คนท่ีทาคณุ ความดี ทาประโยชน์แก่องคก์ ร ได้รับพจิ ารณาเลื่อนขนั้ เล่ือนตาแหนง่ ก้าวหน้าในวิชาชีพ ขวัญกาลังใจ คือยาหมอใหญ่ ยาวิเศษที่จะทาให้คนมีพลงั ในการทางานอยา่ งเตม็ ศกั ยภาพ นาไปสกู่ ารทาให้องค์กรเดนิ สคู่ วามสาเร็จตามภารกิจเป้ าหมาย 10. การขับเคล่ือนนโยบายสู่การปฏิบัติ (เฉพาะกิจ) แนวคิดเก่ียวกับการนานโยบายไปสู่การปฏบิ ัติ ความหมาย การนานโยบายไปส่กู ารปฏิบตั ิ หมายถงึ การบริหารนโยบายที่ครอบคลมุ ถงึ การวิเคราะห์ พฤตกิ รรมขององค์กร ปฏิสมั พนั ธ์ของบคุ คลและกลมุ่ บคุ คล สมรรถนะ และความร่วมมือของพนกั งาน ภาครัฐและเอกชน สภาพแวดล้อมของระบบและปัจจยั อ่ืนๆ ท่ีมีผลกระทบตอ่ การบรรลเุ ป้ าหมายของ นโยบาย (หนิมพานชิ , การวเิ คราะห์นโยบาย ขอบขา่ ย แนวคดิ ทฤษฎี และกรณีตวั อยา่ ง, 2547) ความสาคัญของการนานโยบายไปสู่การปฏบิ ัติ ประการแรก การนานโยบายไปสกู่ ารปฏิบตั เิ ป็นสว่ นหนง่ึ ของกระบวนการนโยบาย ทาให้ กระบวนการนโยบายดาเนนิ ไปอยา่ งสมบรู ณ์ครบวงจร ประการท่ีสอง ในการกาหนดนโยบาย จดุ มงุ่ หมายท่ี สาคญั คือ ความต้องการหรือความปารถนาท่ีจะให้นโยบายมีความถกู ต้อง สมเหตสุ มผล และสามารถ บรรลผุ ลสาเร็จได้ ประการท่ีสาม เป้ าหมายหลกั ของการนานโยบายไปสกู่ ารปฏิบตั ิ คือ ทาอยา่ งไรจงึ จะ สามารถทาให้นโยบายนนั้ ๆบรรลผุ ลสาเร็จ เพ่ือให้ผลประโยชน์ทงั้ ปวงตกตอ่ ประชาชนและประเทศชาติ ดงั นนั้ ทกุ ระเทศจงึ พยายามพฒั นาปรับปรุงระบบและวิธีการนานโยบายไปสกู่ ารปฏิบตั ิให้มีประสิทธิภาพ สงู สดุ (หนิมพานชิ , การวิเคราะห์นโยบาย ขอบขา่ ย แนวคิด ทฤษฎี และกรณีตวั อยา่ ง, 2547)

117 ลักษณะสาคัญของการนานโยบายไปสู่การปฏบิ ัติ การนานโยบายไปส่กู ารปฏิบตั เิ ป็นเรื่องที่มีความสลบั ซบั ซ้อน เนื่องจากมีลกั ษณะที่สาคญั คอื ประการที่หนงึ่ มีผ้เู ก่ียวข้องท่ีสาคญั มาก อาทิ คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการ ข้าราชการสว่ นกลาง สว่ น ภมู ภิ าค สว่ นท้องถิ่น ภาคเอกชน องคก์ รประชาชน ประการท่ีสอง ผ้ทู ี่เกี่ยวข้องมกั มีวตั ถปุ ระสงค์หรือ เป้ าหมายท่ีหลากหลาย และมีความแตกตา่ งกนั ประการที่สาม การขยายตวั ของรัฐบาลและโครงการรัฐ ตา่ งๆ จากภารกิจท่ีมากขนึ ้ จนทาให้โครงการตา่ งๆตลอดจนอานาจของข้าราชการและงบประมาณเพ่ิมมาก ขนึ ้ โครงการตา่ งๆจงึ มกั จะมีขนาดใหญ่ และมีกลไกการทางานจานวนมาก ประการที่ส่ี ความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งหนว่ ยงานจากหลายกระทรวงในหลายระดบั ประการท่ีห้า มีปัจจยั ที่อยนู่ อกเหนือการควบคมุ ซง่ึ การนานโยบายไปส่กู ารปฏิบตั มิ กั จะต้องเผชญิ เสมอ ทาให้การแปลงนโยบายไปสภู่ าคปฏิบตั มิ ีความ สลบั ซบั ซ้อนละเปลี่ยนแปลงไปมากขนึ ้ (หนิมพานิช, การนานโยบายไปสกู่ ารปฏิบตั ิ มมุ มองในทศั นะทาง รัฐศาสตร์การเมือง และรัฐประศาสนศาสตร์การบริหาร และกรณีศกึ ษาของไทย, 2554) เง่อื นไขหรือปัจจัยในการนานโยบายไปสู่การปฏบิ ัติ ในทรรศนะของ L.G.Gunn ได้เขียนบทความท่ีมีช่ือวา่ “ทาไมการนานโยบายไปสกู่ ารปฏิบตั จิ งึ เป็ น เรื่องยาก” โดยมีเงือนไขหรือปัจจยั ดงั นี ้ 1. ปัจจยั ที่อยเู่ หนือการควบคมุ ของผ้บู ริหาร อาทิ ปัจจยั ทางกายภาพ ปัจจยั ทางการเมือง 2. ทรัพยากรและเวลาท่ีพอเพียง 3. การผสมผสานของทรัพยากร อนั ได้แก่ เงิน กาลงั คน ที่ดนิ เครื่องมือ อาคารสถานที่ การผสมผสาน ทรัพยากรเหล่านีต้ ้องเป็นไปตามที่พงึ ปารถนาหรือเป็ นท่ีต้องการ คือ มีมากพอตอ่ การนานโยบาย ไปสกู่ ารปฏิบตั ทิ ี่สมั ฤทธ์ิผล ในทางปฏิบตั ปิ ัจจยั นีก้ อ่ ให้เกิดปัญหาคอขวด 4. นโยบายท่ีจะนาไปสกู่ ารปฏิบตั ใิ นหลกั การควรตงั้ อยบู่ นรากฐานของทฤษฎี สาเหตแุ ละผลที่ เพียงพอเชื่อถือได้ ท่ีล้มเหลวเพราะไมไ่ ด้ตงั้ อยบู่ นรากฐานของการเข้าใจปัญหาท่ีจะแก้ไขอยา่ ง เพียงพอ 5. ความสมั พนั ธ์ของสาเหตแุ ละผลของนโยบายที่ยาวนาน ย่ิงทาให้มีแนวโน้มล้มเหลว เพราะทาให้ ความสมั พนั ธ์เชิงตอบแทนซึ่งกนั และกนั ระหวา่ งการเชื่อมโยงตา่ งๆ ยิง่ มีความสลบั ซบั ซ้อน

118 6. ความสมั พนั ธ์เชงิ พงึ่ พาควรมีน้อย ไมจ่ าเป็นต้องพง่ึ พาตวั แทน การนานโยบายไปสกู่ ารปฏิบตั ิ มากนกั ควรมีจานวนน้อยและมีเฉพาะที่สาคญั 7. ความเข้าใจและเห็นด้วยในวตั ถปุ ระสงค์ เป้ าหมาย ควรนามาจากดั ความให้ชดั เจน เจาะจง เป็นท่ี เข้าใจ และได้รับการเห็นด้วย ทงั้ นีถ้ ้าทกุ คนเข้าใจและเห็นด้วยในวตั ถปุ ระสงค์และเป้ าหมาย เหลา่ นนั้ การทีจะทาให้ การนานโยบายไปสกู่ ารปฏิบตั บิ รรลผุ ลที่ดีหรือท่ีสมบรู ณ์ทาได้ไมย่ าก 8. งานที่ได้รับการระบอุ อกมา จะต้องมีรายละเอียด รวมทงั้ ผลท่ีเกิดขนึ ้ ตามมา ซงึ่ ผ้ทู ่ีจะระบุ รายละเอียด ได้แก่ผ้ทู ี่มีสว่ นร่วมในการนานโยบายไปสกู่ ารปฏิบตั ิ 9. การสื่อสารและการประสานงาน Hood ตงั้ ข้อสงั เกตว่า การนานโยบายไปสกู่ ารปฏิบตั ิทีดีที่ สมบรู ณ์ที่สามารถทาให้บรรลผุ ลได้จะต้องมีระบบบริหารแผนแบบหนึ่งเดยี ว 10. การปราศจากการตอ่ ต้านคาสงั่ Hood ใช้วลีวา่ “การเชื่อฟังท่ีดี” (หนมิ พานิช, การวเิ คราะห์นโยบาย ขอบขา่ ย แนวคดิ ทฤษฎี และกรณีตวั อยา่ ง, 2547)

119 11. การบริหารการเปล่ียนแปลง แนวทางการปฏิบัติ 1. การวางแผนการเปลี่ยนแปลง (Planning for Change) 2. การนาแผนการเปล่ียนแปลงไปสกู่ ารปฏิบตั ิ (Implementing Change) ประกอบด้วยขนั้ ตอนและข้อพจิ ารณาตา่ งๆ ดงั นี ้ 2.1 การกาหนดกลยทุ ธ์ในการนาแผนการเปลี่ยนแปลงไปสกู่ ารปฏิบตั ิ 2.2 การสื่อสารความเข้าใจถงึ แผนการเปลี่ยนแปลง 2.3 การจดั แบง่ งาน 2.4 การจดั กาลงั คน 2.5 การจดั ระเบียบวธิ ีการดาเนนิ งาน 2.6 การพฒั นาบคุ คล 2.7 การทาให้การเปล่ียนแปลงกลายเป็นแบบแผนวฒั นธรรมขององค์การ 2.8 การจดั สรรงบประมาณและทรัพยากร ในการบริหารการเปลี่ยนแปลงนนั้ 3. การติดตามประเมินผล การรักษาผลการเปลี่ยนแปลง (Evaluating and Maintaining Change)












Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook