ร่างกายของเราน้ี มันอยากตายวันละห้าร้อยครั้ง แต่เราไม่ยอมให้มันตาย ใจจะขาด ตาย ก็หายใจไว้ หิวจะตายก็กินไว้ เจ็บจะตายก็รักษาไว้ ไม่ยอมให้มันตาย ถ้าลอง ปล่อยซิ ป่านนี้เราตายไปนานแล้ว หมายความว่า เวลาน้ีเรารักข้างอยาก คือรักจะมี ชวี ิต รกั จะเป็น เพราะฉะนน้ั เราจึงตอ้ งหาอะไร ๆ มาเล้ียงตัวไว้ มบี า้ นใหต้ ัวนอนเวลา มันงว่ งจะตายมขี า้ วให้ตัวกินเวลามันหวิ จะตาย มผี า้ ให้ตัวหม่ เวลามันหนาวจะตาย มียา ใหต้ วั กินเวลามันเจบ็ จะตาย ฟงั ดูก็แลว้ กนั วา่ เพยี งแต่อยากเปน็ อย่างเดียวกต็ ้องทาโน่น ทาน่ีตั้งหลายอย่าง ต้องแบกคราดแบบไถ ตอ้ งหาบตอ้ งหามตอ้ งนั่งเบกิ ตาขบั รถสวนกัน ไปกันมา ต้องจับมีด จับกรรไกร ต้องร้องขายโหวกเหวก เร่ืองของเร่ือง เพราะ ออกเป็นทั้งนั้น งานท่ีเราทาเพื่อจะหาผลประโยชน์มาเลี้งตัวให้เป็นนี่แหละ เรียกว่า “อาชีพ” “อาชีวะ” แปลว่าเล้ียงให้เป็น แต่การเล้ียงชีพนั้น จุดใหญ่อยู่รวมลงท่ีการ กิน การกินสาคญั ผ้านุง่ ขาดก็ไม่ตายไม่มีหมวกใส่ก็ไม่ตาย ไมม่ ีแหวนสวมกไ็ ม่ตาย ไม่ มีแป้งผัดหน้าก็ไม่ตาย แต่ถ้าไม่มีอาหารกินแล้วต้องตาย เม่ือจุดใหญ่อยู่ท่ีกิน เวลาพูด ถึงการทางานเลย้ี งชีพ เราจงึ พูดว่า “ทามาหากนิ ” หมายความวา่ ตอ้ งทามาและตอ้ งหากิน ทุกคนที่รักจะเป็น รักจะมีชีวิต ต้องทามาหากิน ถ้าไม่ทาก็ไม่มีกิน เพราะในตัวเราไม่มีอะไรจะกินได้ ของที่เราจะกินมันอยู่นอกตัว ถ้าอยากกินก็ต้องทา เอามา แต่การทานั้น ทาทางตรงก็มี ทาทางอ้อมก็มี ต้องพูดให้จบประเดี๋ยวผู้ฟังบาง ท่านจะไม่สบายใจ อย่างเช่นคนแก่ทางานไม่ไหว หรือเด็กนักเรียน หรือทหาร และ พระสงฆ์ ความจริงท่านเหล่านี้ ทาเหมือนกัน แต่ว่าทาทางอ้อม เด็กท่ีกาลังเรียน หนงั สอื นน้ั ก็กาลงั หาความรเู้ พอ่ื ทามาหากินเท่ากบั เรม่ิ หาเคร่อื งมอื ท่จี ะใชท้ า คนแก่ก็ทา ชว่ ยสั่งสอนลูกหลาน ช้ีผิด ช้ีถูก ทหารก็ทา ช่วยป้องกันรกั ษาให้ชาวบ้านชาวเมืองได้ อยู่เย็นเป็นสุข ได้ทามาหากินสะดวก พระเจ้าพระสงฆ์ก็ทา ด้วยการรักษาสิกขาวินัย สอนศาสนา ให้ผู้คนปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รวมความแล้วทุกคนมีอาชีพท้ังน้ัน ต่างแต่ ว่าจะตรงหรืออ้อมเท่านั้น แม้แต่ผู้จะบรรลุนิพพานได้ ในองค์มรรค ๘ ก็มีข้อหน่ึงว่า ต้องมีสัมมาอาชีพ หมายความว่า ต้องมีอาชีพเหมือนกัน องค์มรรคจึงจะสมบูรณ์ได้ ฉะนั้นคนท่ีอยากมีชีวิตอยู่ในโลกน้ี จึงไม่มีปัญหาว่าจะต้องมีอาชีพหรือไม่ คนท่ีทาผิด แผนโลกแผนธรรมีอยพู่ วกเดียว คอื คนอยากเป็น แต่เลี่ยงงาน ไม่ทางาน คนประเภท นีใ้ จอยากเป็น แตไ่ ปเดนิ อย่ทู างตาย
ประเด็นที่ ๒ อาชพี วบิ ัตหิ มายความวา่ อยา่ งไร ? งานอาชีพ คือทางหากินของคนเรามีอยู่หลายทางเป็นดีแท้ก็ดี ดีเทยี มก็ดี แลว้ แต่จะเลือก ทาไมข้าพเจา้ จึงบอกว่าดแี ทด้ ีเทียม เพราะงานหารายไดม้ ากินมาใชท้ ุก งานท่ีมันมรี ายได้ ถ้าดูเพียงผิวเผินแล้ว ดีท้ังน้ัน นี่มองเผิน ๆ นะ คือมองแค่ได้กนิ ได้ ใช้ อย่างเช่นรับจ้างเขากับคนขโมยเงินเขา ถ้าดูอย่างผิวเผินแล้ว ก็ได้เหมือนกัน รับจ้างเขาทางานก็ได้เงิน ขโมยเขาก็ได้เงิน แล้วเงินที่ได้นั้น ก็เอาไปซ้ือของกินของ ใช้ได้เหมือนกัน เงินรับจ้างกับเงินขโมย ซ้ือก๋วยเตี๋ยวกินก็อิ่มเท่ากัน ถ้าดูเพียงผิวเผิน อย่างนี้ ก็เหมือนดีเท่ากัน แต่ว่าเบ้ืองหน้าสิ หลังจากกินจากใช้แล้ว คนทั้งสองบ่าย หนา้ ไปคนละทางคนที่กินทีใ่ ช้เงินรับจ้างได้ดตี ่อไป คอื ดีท่ไี ดเ้ งนิ มาแล้วก็ยงั ดตี อ่ ไป ส่วน ท่ีกินท่ีใช้เงินท่ีขโมยมาได้ ดีแต่ตอนท่ีได้ เสร็จแล้วก็เสียต่อไป เสียตัว เสียใจ เสียศีล เสียสัตย์ กแ็ ลว้ แต่ แตร่ วมความวา่ ดแี ลว้ เสยี ตกลงวา่ อาชพี มี ๒ ทาง คอื อาชพี ชนิด ดีแลว้ ดตี อ่ ไป กบั อาชีพชนดิ ดีแลว้ เสียต่อไป ในทางศาสนา พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า อาชีพชนิดดีแลว้ เสีย เป็นอาชีพ วบิ ตั ิ คอื เปน็ ทางทจี่ ะทาให้ชีวติ จิตใจของเราใกล้เข้าไปสู่ความหายนะ อ าชีพ ป ระเภ ท วบิ ตั นิ ี้ ก็ยงั มีหลายชน้ั คอื : วิบัติโดยงาน วบิ ัติโดยการ วบิ ัติโดยงาน หมายความว่า งานอาชีพชนดิ น้ันเป็นงานวิบัตอิ ยู่ในตัวแล้ว ไม่ว่าใครไปทาเข้าก็วิบัติทั้งนั้น เช่นการลักทรัพย์ การฉ้อโกง การปล้น การรับจ้างฆ่า คน การคา้ ของเถอื่ น และการอาชีพทุกอยา่ ง ที่ผดิ คดโี ลก คดีธรรม นง่ี านวบิ ตั ิ วิบัติโดยการ คืองานนั้นไม่วิบัติ งานดี ๆ น่ีแหละ แต่ว่าเราทาให้มัน วิบัติ เช่น คนทาราชการ แต่ทาด้วยความทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง งานไม่เสีย แต่ เสียท่ีเราทาให้เสยี อยา่ งนวี้ บิ ตั ิโดยการ
ประเดน็ ท่ี ๓ การแกป้ ญั หาเรอ่ื งนี้ ตกลงอาชีพจะเป็นอาชีพวิบัติ โดยเหตุ ๒ ประการน้ี ในการ ป้องกันตัว ก็ต้องป้องกัน ๒ ทางนี้ คือรู้จักเลือกทาแต่อาชีพที่ไม่วิบัติ และเม่ือได้ งานอาชพี ที่ไมว่ ิบัตแิ ลว้ กอ็ ยา่ ทาใหอ้ าชีพของเราวบิ ตั ิ. พระสงฆ์กับการพฒั นาประเทศ พ.ศ. ๒๕๐๖ ความจริงคนไทยกับพระสงฆ์นั้นคุ้นกันมาก ท้ังสองฝ่ายรักใคร่กันดี เมื่อ พระท่านเห็นชาวบ้าน ท่านก็เกิดความรู้สึกว่าเหมือนเห็นญาติพ่ีน้อง เม่ือเรานึกถึงพระ ก็เหมือนกัน แม้เป็นพระท่ีเราไม่รู้จักท่านเลย ก็เกิดความรู้สึกว่าเหมือนคิดถึงญาติของ เราเอง แต่เร่ืองคนรักกันน้ันถ้าคลุกคลีอยู่ด้วยกัน นาน ๆ ก็มักจะรู้สึกเฉย ๆ และ บางทีก็มีการเพ่งโทษคอยจับผิดกันด้วย ความรักระหว่างพระกับชาวบ้านก็เหมือนกัน นานเขา้ กม็ ผี ้พู ูดโจษขานค่อนแคะไปต่าง ๆ เชน่ วา่ พระสงฆ์ไม่เห็นทางานอะไร บวชแล้วอยูเ่ ฉย ๆ พระสงฆไ์ ม่ช่วยในการผลติ มีแต่บริโภค พระสงฆท์ อดท้งิ การป้องกันประเทศ เอาตัวรอด พระสงฆส์ ร้างทอี่ ยู่ใหญ่โตสวยงาม เอาเปรยี บชาวบ้านผหู้ าเงิน และยังมีคาวิจารณ์ทานองน้ีอีกหลายข้อ ผมจาได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ได้มีผู้ พมิ พใ์ บปลิวขอ้ ความโจมตีพระสงฆ์ในทานองน้ี รวม ๑๑ ขอ้ แจกจ่ายทางแถบจงั หวดั ชัยภมู ิ เรื่องน้ีเท็จจริงประการใดน่าจะได้พิจารณากันด้วยปัญญา เพราะสมัยน้ี เปน็ ยคุ ของปญั ญาชนแล้ว คือตดั สนิ ปัญหาต่าง ๆ ด้วยเหตุผล ซ่ึงเป็นวิธที ที่ นั สมยั ท่สี ุด สาหรับเรอื่ งนใ้ี คร่จะขอเสนอใหท้ ่านทเ่ี คารพพจิ ารณา ๓ กรณดี ้วยกัน คือ :
๑. สถาบันของพระสงฆ์ไทย ๒. เจตนารมณ์ของนกั บวช และ ๓. งานของพระสงฆ์ สถาบันของพระสงฆไ์ ทย ทา่ นผฟู้ ังย่อมทราบอย่แู ล้ววา่ พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประจาชาติของ ไทยเรา หรือท่ีเรียกว่า State Religion พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระ นางเจ้าพระบรมราชินีนาถของเรา ทรงเป็นศาสนิกแห่งศาสนาน้ี และศาสนาน้ีที่ทาง ราชการใช้ประกอบพิธีเป็นทางการเมื่อจาจะต้องกระทา ท้ังนี้เป็นการสอดคล้องกับมติ มหาชนอย่างเหมาะเจาะ เพราะรายงานผลการสารวจสามะโนประชากรคร้ังหลังสุด (๒๕๐๓) ก็แจ้งว่า ในจานวนพลเมืองไทย ๒๕,๕๘๖,๘๘๔ คนท้ังประเทศ เป็นผู้นับ ถือพระพุทธศาสนา ๒๔,๑๗๓,๐๔๔ คน หมายความว่าพลเมืองไทยร้อยละ ๙๓ – ๙๔ คน นับถือพระพุทธศาสตร์ นอกน้ันแยกย้ายกันนับถือศาสนาต่าง ๆ ตามศรัทธา ของคน ซ่งึ รัฐได้ใหส้ ิทธิเสรภี าพไวอ้ ยา่ งสมบูรณ์ เน่ืองจากในขบวนการพระพุทธศาสนา พระศาสดาของเราทรงกาหนดให้ สมาชิกคือ ศาสนิกชนสองประเภท คือ ประเภทบรรพชิต กับประเภทคฤหัสถ์ แต่ละประเภทมีวิจัยเป็นเครื่องแสดง หรือขอบเขตของการดารงชีพเฉพาะสมาชิก ประเภทบรรพชิตหรือนักบวชน้ัน ได้แก่ พระภิกษุและสามเณร ซ่ึงในท่ีนี้ขอเรียก รวมๆ ว่าพระสงฆ์ ทางราชการได้ถวายความอุปถัมภ์แกพ่ ระสงฆ์ ด้วยการตรากฎหมายขึ้นซ่ึง เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์” โดยกฎหมายฉบับน้ีหมายความว่า รัฐบาลได้ มอบให้พระสงฆ์ท่านปกครองกันเอง ตามขนบประเพณีของสงฆ์ท่านว่ากล่าวกันเอง วินิจฉัยความผิดกันเอง รัฐบาลได้ตั้งหน่วยงานระดับกรมไว้หน่วยหน่ึง คือกรมการ ศาสนา เป็นสานักงานกลางประสานระหว่างองค์การทางศาสนา หรือท่ีเรียกว่าศาสน จักร กับราชอาณาจักร ท้ังน้ีรวมทั้งศาสนาอ่ืน ๆ ด้วย นอกจากน้ีก็รับสนองนโยบาย ของรัฐบาลในดา้ นศาสนปู ถมั ภ์ พลเมืองของศาสนจักรน้ันคือพระสงฆ์ ขณะนี้มีอยู่ประมาณสองแสนเศษ ท่ตี ้องประมาณกเ็ พราะวา่ การถ่ายเท ระหวา่ งพลเมืองของอาณาจกั รและพทุ ธจกั รไดม้ ีอยู่ เสมอ คือมีผู้ลาสิกขาบ้างเข้าบวชบ้างตลอดท้ังปี ยากที่จะกาหนดจานวนแน่นอนได้ แต่ถ้าจะดูจานวนสูงสุดของพระสงฆ์แล้วเราก็อาจดูได้ในวันท่ี ๑๕ หลังจากวัน เข้าพรรษา หรือในระยะใกล้เคยี งกับวนั น้นั และระยะเวลาท่ีจานวนพระเหลือน้อยท่ีสุด ดูเหมือนจะเป็นวนั สนิ้ สดุ ของเดือนมนี าคม หรือปลายเดือนสี่ตอ่ กบั ตน้ เดอื นหา้ ของทกุ ปี
ในจานวนพระสงฆ์ ๒ แสนเศษนั้น ท่านผู้ที่ตั้งใจบวชอยู่ตลอดชีวิต ที่ เรียกวา่ ถวายชวี ติ ในพรหมจรรย์ มีประมาณ ๓% นอกน้นั เป็นผบู้ วชชว่ั คราวและท่านผู้ บวชตอนแก่เพื่อหาความสงบในบั้นปลายของชีวิต แต่ก็น่าเสียดายที่เรายังไม่มีการ สารวจให้แน่นอนว่า มีคนบวชด้วยความมุ่งหมายอย่างไรเท่าไรแน่ และในจานวน พลเมืองของประเทศทั้งหมดเป็นผู้เคยบวชแล้วเท่าไร ในบรรดาผู้ท่ีบวชแล้วน้ัน มีวถิ ีชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง จะมีบ้างก็เพียงการสังเกตการณ์ในบางจุด เช่น นับดูคนในส่ี ตาบลซ่ึงอยู่ต่างถิ่นห่างไกลกันรวมเฉลี่ยแล้วปรากฏว่า ผู้ชายท่ีมีอายุห้าสิบปีข้ึนไปมี เพียงร้อยละ ๓ – ๔ คนเท่าน้ันที่ไม่เคยบวช ซ่ึงก็ดูเหมือนจะเท่า ๆ กับจานวน เปอร์เซ็นต์ของพระที่บวชถวายชีวิตในพรหมจรรย์น่ันเอง เร่อื งน้ีคณะผู้วิจัยกลุ่มศาสนา และความเช่ือถือของสภาวิจัยแห่งชาติได้กาลังเตรียมจะทาการสารวจอยู่แล้ว อีกไม่ช้า เราคงจะได้ตัวเลขต่าง ๆ เกี่ยวกับทางศาสนาท่ีใกล้กับความจริงมากกว่าทุกวันน้ีอย่าง แน่นอน ทั้งน้ีไมร่ วมถงึ การสารวจตามปกติของกรมการศาสนา เจตนารมของนักบวช พูดถึงเจตนารมณ์ของนักบวช ก็เป็นเร่ืองท่ีส่าคิดก่อนอ่ืนโปรดทราบว่า จานวนคนเขา้ บวชในศาสนาแตล่ ะปีไมเ่ คยตกต่าเลย ต้ังแตไ่ หนแตไ่ รมา คิดดงู ่าย ๆ ว่า ประเทศไทยเรามีวัดอยู่ ๒ หมื่นวัน แต่ละวันตีเสียว่ามีพระบวชใหม่ ๓ รูป รวม ทั้งสิ้นก็จะเป็นพระบวชใหม่ปีละประมาณ ๖ หม่ืนรูป น่ีคิดอย่างง่าย ๆ และคิดข้าง นอ้ ยไวค้ นเหลา่ น้บี วชเพ่ืออะไร ? จุดหมายของการบวชสูงสุดมีจุดเดียวเท่านั้น คือ การประพฤติ พรหมจรรย์เพ่ือความหลุดพ้น แต่พระพุทธองค์ก็ทรงอนุเคราะห์แก่คนที่ศรัทธายังอ่อน อาจเข้าประพฤตพิ รหมจรรยเ์ พียงบางระยะของชวี ติ ก็ไดค้ ล้าย ๆ กับรฐั บาลตัดถนนจาก กรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ แต่ถ้าใครจะใช้ถนนเพียงตอนใดตอนหนึ่ง เช่น จากกรุงเทพฯ ไปดอนเมือง หรือรังสิต หรือวังน้อย ฯ ล ฯ ท่านก็ไม่ห้าม ฉะน้ันนักบวชใน พระพทุ ธศาสนาท่เี ราเห็น ๆ อยทู่ กุ วันนี้ อาจจะแบ่งเปน็ กลมุ่ ได้ ๓ กลุ่ม คือ : กลมุ่ ท่ี ๑ ตงั้ เจตนาบวชตลอดชวี ิต เพือ่ ทากจิ พระศาสนาตลอดชาติ กลุ่มท่ี ๒ ต้ังเจตนาจะบวช และทากิจพระศาสนาไปจนหมดกาลังใจ ทีจ่ ะบวชตอ่ ไป กลมุ่ ท่ี ๓ ต้ังใจจะบวชขอรับการฝึก และศึกษาเท่าท่ีตนกาหนดไว้ ล่วงหน้า
แต่ไม่ว่าใครจะเข้าบวชโดยเจตนาอย่างไรก็ตาม การบวชก็นับว่าเป็นส่ิงที่ สามัญชนทาได้ยาก โปรดคิดดูว่าคนที่สมัครเข้าไปทางานในสถาบันใดๆ น้ันเขาจะต้อง ได้รับเบ้ียเล้ียงเงินเดือน หรืออย่างน้อยก็ความสนุกเพลิดเพลิน พอคุ้มกันแต่คนที่เข้ามา บวชในศาสนานั้น ตรงกันข้ามผู้บวชเองต้องเสียสละความสุข เสียเงินซื้อบริขารมาครบ ต้องถูกสอบสวน โรคภัยไข้เจ็บจนกระทั่งหน้ีสินและความสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตใจ ต่อหน้าที่ประชุมสงฆ์ แล้วยังถูกบังคับให้โกนผมโกนค้ิวหมด ต้องอดเหล้าอดอาหารมื้อ เย็นอดกามารมณ์ใช้เคร่ืองแต่งตัว สีเดียวทรงเดียวทุกวันทุกปี ก็ไม่เคยมีวัดไทยโฆษณา ทางวิทยุหรือทางหนังสือพิมพ์ ชักชวนคนเข้าบวชแต่ถึงกระน้ันก็ยังมีคนไปกราบไหว้ วิงวอนขอบวชปีละมากๆ ท้ังๆ ท่ีทางวัดเตือนนักเตือนหนาว่าใครบวชเป็นพระแล้ว กระทานอกรีดนอกรอย จะตกนรกอเวจีในฐานหลอกลวงประชาชน เล้ียงชีพแสดงว่า ทา่ นไม่ได้ยินดียินร้ายกับจานวนคนบวชเลย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างแสดงออกจากศรทั ธาของ ประชาชนจริงๆ ข้อน้ีแสดงให้เห็นชัดว่าศาสนาได้รับการปลูกฝัง ลงในจิตใจของ ประชาชนชาวไทยอย่างลกึ ซึ้ง ถ้าใครคิดจะแยกศาสนาออกจากคนไทยหรือ คิดสภาพคน ไทยไปจากศาสนาคนนั้นกค็ ดิ ผิดและพยายามผดิ งานของพระสงฆ์ ทีน้ีจะพูดถึงงานของสงฆ์ไทย เฉพาะท่ีเก่ียวกบั การพัฒนาประเทศและการ ทาคุณประโยชน์แก่ประชาชนซึ่งได้ทาการทานุบารุงท่าน แต่ก่อนท่ีจะพูดถึงเรื่องน้ี ผมคิดว่า คงจะไม่มีท่านผู้ฟังคนใดซึ่งรู้หลักของการพัฒนาประเทศแล้ว จะคิดไปว่า ใครพัฒนาส่ิงใดก็ต้องไปปรากฏตัวอยู่กับงานสิ่งนั้น เช่นว่า ต้องไปแต่งเคร่ืองแบบทหาร จึงจะนับว่าช่วยป้องกันประเทศ ต้องเป็นตารวจ จึงจะนับว่าได้ช่วยพิทักษ์สันติราษฎร์ หรอื ตอ้ งต้ังโรงงานผลติ สินค้าจงึ จะนบั ได้ว่าชว่ ยเศรษฐกจิ ของชาติ คงจะไม่มใี ครคิดอยา่ ง นี้เป็นแน่ ด้านการศึกษา เห็นได้ง่ายว่าพระช่วยการศึกษาของชาติเพียงใด เอาที่ เห็นกันได้ง่ายๆ เช่นการสร้างโรงเรียน พระท่านสอนชาวบ้านให้รู้จักบริจาคทรัพย์สร้าง ข้ึนสอนชาวบา้ นให้ใสใ่ จในการส่งลูกเขา้ โรงเรียน มีผู้ใหญ่ที่เป็นคนสาคัญของประเทศอยู่ ไม่น้อย ท่ีพระไปเท่ียวดูเห็นว่าเป็นเด็กฉลาดแล้วจูงมือมาจากปรักววั ปรักควาย ให้ได้รับ การศึกษาข้ันสูง คาว่าการแนะแนวการศึกษานั้นเราเพิ่งพูดกัน แต่พระท่านทามานาน แลว้ กจิ การหอพกั นกั เรียนเราก็เพิ่งพูดกนั แต่พระท่านทามานานแล้วเหมือนกนั ด้านเศรษฐกิจ จริงอยู่ เพราะไม่ได้ต้ังโรงงานผลิตสินค้า แต่พระสงฆ์ได้ เพียรพยายามผลิตคนงานท่ีดีไวป้ ้อนให้โรงงานต่างๆ นานนกั หนาแล้ว ท่านสอนนายจ้าง
ใหร้ ้จู ักสงเคราะหล์ ูกจา้ งด้วยความเมตตากรุณา และสอนลูกจา้ งให้ซ่อื ตรงขยนั หมนั่ เพยี ร ให้นายจา้ ง ซงึ่ เปน็ การเพม่ิ ผลผลติ อยา่ งชัดๆ ด้านการป้องกันอาชญากรรม ยิ่งเห็นไดง้ ่ายว่าพระสงฆ์ช่วยประเทศชาติ ไว้มาก แม้ว่าพระไม่ได้แสดงตัวโดยตรงว่า เป็นเจ้าหน้าท่ีป้องกันอาชญากร แต่ท่าน ทางานด้านนี้มานานนักหนาแล้ว นั่นคือ ท่านพยายามส่ังสอนให้คนรักษาศีล ถ้าประชาชนปฏบิ ัติตามแม้แตเ่ พียงรักษาศีลห้าสกั คนละครึ่งเดียวเท่าน้ัน อาชญากรรมก็ จะลดลงเอง ท่านไม่ได้ช่วยหาเงินขยายเรือนจา แต่ท่านช่วยลดจานวนคนท่ีจะเข้าไปอยู่ ในเรือนจา นอกจากน้ีแล้วท่านยังสอนผู้ที่มีหน้าท่ีป้องกันอาชญากรรม มิให้กลายเป็น อาชญากรเสยี อกี ด้วย ด้านสังคมสงเคราะห์ กิจกรรมที่คนเราอาจ มองเห็นยากอย่สู ักหน่อย คือ การปลูกฝังนิสัยใจคอของประชาชน ให้เป็นนักสังคมสงเคราะห์ทุกคน คือต่างคนต่าง สงเคราะห์กัน แทนท่ีจะคอยให้คนอ่ืนมาสงเคราะห์ตนอย่างเดียว บรรดาโรงเรียน โรงพยาบาล และท่ีสาธารณสถาน ท่ีเราเห็นอยู่ท่ัวเมืองไทยนั้น เกิดขึ้นจากเงินบริจาค ของผู้ใจบุญมิใช่น้อย ก็ใครเล่าเป็นผู้สร้างจิตใจเช่นน้ันให้เขา นอกจากพระ ในชนบทอัน แสนจะทุรกันดารน้ัน ราษฎรไม่เคยพบเห็นนักสังคมสงเคราะห์อื่น นอกจากพระ เป็นสิ่ง ท่อี ัศจรรย์ท่ีพระท่านไปเยี่ยมคนเจ็บไข้ทุกครัวเรือน ไปเยี่ยมไร่นาสาโทของชาวบ้านทุกแปลง ยามทุกข์พระสงฆ์เป็นผเู้ ชด็ น้าตาให้ยามทะเลาะกนั กพ็ ระสงฆ์เปน็ ผ้ไู กล่เกล่ีย ยามเจ็บไข้ พระสงฆ์เปน็ ผูพ้ าไปส่งโรงพยาบาล ไมว่ ่าทา่ นจะเดินทางไปแห่งหนตาบลใด หากซ้ือท่อี ับ จนส้ินเน้ือหมดตัว ไม่มีอาหาร ไม่มีที่พัก จงถามชาวบ้านว่า วัดที่ใกล้ท่ีสุดอยู่ที่ไหน แล้วบ่ายหน้าเข้าวัด ท่านจะได้พบผู้ช่วยเหลือท่ีดีท่ีสุด คือพระ และช่วยฟรีโดยตลอด พระคือขบวนการสังคมสงเคราะห์ท่ีย่ิงใหญ่ท่ีสุด เราคิดไม่ถูกทีเดียวว่าหากเราจะจัดตั้ง หน่วยอาสาสมัครขึ้นสักหน่วยหน่ึง เท่ากับหน่วยอาสาสมัครของพระพุทธองค์นี้ เราจะตอ้ งใช้เงนิ สกั ก่ีร้อยลา้ นถึงจะทาได้ ด้านความม่ันคงของประเทศ พระสงฆ์เป็นหัวแรงสาคัญในการรวบรวม ประชาชนพลเมืองไว้เป็นกลุ่มก้อน สร้างสามัคคีธรรม และความจงรักภักดีต่อ ประเทศชาติ ตลอดจนแนะนาพร่าสอนให้พลเมืองรู้จักเสียสละเพ่ือประเทศของตนด้วย คงจะไม่เป็นการพูดลาเลิกจนเกินไป หากผมจะพูดว่า พระสงฆ์ได้ช่วยแนะนาให้คนที่ทา มาหาได้แล้วรู้จักออมทรัพย์ของตน รู้จักนาเงินฝากไว้ในธนาคารออมสินของรัฐบาล ซ่งึ เปน็ วธิ ีเกบ็ ทรัพย์ทีด่ ีท่ีสุด และรฐั ก็ได้นาเงนิ ฝากนัน้ ไปพัฒนาประเทศทั้งให้ดอกผลและ ตน้ ทนุ แกผ่ ู้ฝากดว้ ย ดงั เป็นท่ที ราบอยู่แลว้
บางคนโจมตีพระสงฆ์ว่า ท่านสร้างวัดวาอารามว่าความ สวยงามเกินไป เป็นการเอาเปรียบชาวบ้าน ทั้งน้ีเป็นเพราะไม่เคยรู้จักวัด พระสงฆ์ไทย ความจริงสิ่งต่างๆ ที่เห็นอย่ใู นวดั น้นั เปน็ สิ่งท่สี ร้างขนึ้ ไว้เพ่ือ ชาวบ้านเราเอง สร้างศาลาการเปรียญไว้ให้เป็นที่ประชุมชาวบ้าน สร้าง โบสถไ์ วใ้ หช้ าวบ้านสะสมความดีทางใจ สร้างกฏุ ิไว้ให้ชาวบา้ นอยอู่ าศัยเมื่อ เข้าไปรับการฝกึ อบรมทางศาสนา วัดไม่ใช่ของพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง ท้ังสิ้น แต่เป็นสมบัติของประชาชนรวมกัน โดยท่านเป็นผู้ดูแลรักษาให้ สาหรับตัวท่านเองได้ตดั ทอนความสุขลงเหลอื น้อยท่ีสุด แม้แต่อาหารเลี้ยง ชพี ก็ลดลง และไม่รบกวนชาวบ้านแม้แตฟ่ กู ท่ีรองนอนใหส้ บายตัว ผมพูดอย่างนี้ บางท่านอาจนึกทว้ งว่า ไม่จริงเพราะท่านเคยเดินผ่านเข้าไป ในวัดแล้ว ก็ไม่เห็นพระทาอะไรปะเหมาะเจอแต่พระจาวัด เร่ืองนี้โปรดทราบว่า พระทางานหนักคือพระบ้านนอกโน้น ส่วนพระในกรุงเทพฯ แทบทั้งหมด เป็นพระ นักเรียน มีชีวิตอย่างนักเรียน คือเรียนหนังสือและพักผ่อน เพ่ือนาความรู้ไปบาเพ็ญ สาธารณประโยชน์ในต่างจังหวัด นอกจากนี้ขอได้โปรดทราบด้วยว่า เวลาทางาน ประจาวันของพระสงฆ์ไมต่ รงกบั ชาวบา้ นเรา ยกตวั อย่างเชน่ เรารับประทานอาหารเทยี่ ง ถึงบ่ายหนึ่งโมง แต่ท่านรับประทานหรือฉันม้ือสุดท้าย ระหว่างห้าโมงเช้าถึงเที่ยง เย็นทา่ นไม่ฉนั อาหาร ฉะน้ัน ตามปกติพระนักเรยี นจะพักผอ่ นเอาแรงระหวา่ งหลงั อาหาร กลางวนั แล้วจึงจับการเรียนและทากิจวัตรแตบ่ ่ายสองโมงเรอ่ื ยไป จนกระทั่งประมาณส่ี ท่มุ ฉะนั้นคนทีเ่ ข้าไปติดต่อพระระหว่างหลงั เที่ยง จึงตรงกับเวลาท่านพักผ่อน แล้วก็เลย มาโพนทนาว่า พระกินแล้วนอน ทีตอนเย็นๆ พระกาลังขลุกอยู่กับงานอย่างหนักหน่วง แต่ชาวบา้ นไปสนุกเฮฮาการงานไม่ทา พระท่านไมเ่ หน็ โพนทนาสักคา ก่อนจบผมขอเรยี นเนน้ ด้วยว่าผมเองได้ท่องเท่ียวไปเหน็ ชีวิต ของพระหลายประเทศแลว้ ตลอดจนการปฏิบัติสิกขาวินัยรู้สึกว่าพระสงฆ์ ไทยเราน่าเล่ือมใสมาก ข้อนี้เป็นความจริงท้ังน้ีผมไม่ได้ปฏิเสธว่าพระสงฆ์ ไทยไม่มีเสียหายเลยหามิได้ในบรรดาของความดีก็ต้องมีความเสียปะปน บ้างเปน็ ธรรมดาแม้แต่ธนบตั รซึ่งรัฐบาลกากับเองอยา่ งเขม้ งวดทกุ แผน่ กย็ ัง มเี ก๊ มปี ลอมแตเ่ มอ่ื มีของเก๊ น้อยนักน้อยหนา ก็เป็นโชคของเราแล้ว เป็นอันว่าชีวิตของพระกับของ ชาวบ้าน เป็นชีวิตท่ีต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน มิได้มีการเอารัดเอาเปรียบกันแต่ อย่างใด.
วันมหาสงกรานต์ ๒๕๐๖ ปีนี้ ฟังประกาศสงกรานต์ของโหราแล้วไม่ค่อยสบายใจ แทบจะไม่อยาก เห็นหน้านางสงกรานต์เอาทีเดียว เพราะช่ือแซ่และนิสัยใจคอของนางสงกรานต์ปีน้ีชอบกล ตามประกาศน้ันว่า นางสงกรานต์ปีน้ีนามกรว่า “มโหทรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอก สามหาว....” ถือเอาความตามภาษาไทยว่า เทพีปีน้ีท้องใหญ่คงจะหมายถึงว่ากินจุ ปากจัด แล้วก็ชอบไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวบ้านหม้อ – พาหุรัดด้วยถ้าลงได้เทพีอย่างว่านี้ แล้วพวกเทพบุตรมักจะต้องลาบาก น่ากลัวว่าพระหัตถ์ขวาจะทรงสัญญา พระหัตถ์ซ้าย ทรงโฉนด ทัดดอกเบ้ีย มีน้าเปล่าเป็นภักษา..........แต่ก็ช่างปะไร นางสงกรานต์จะมาใน รูปไหนมันก็เร่ืองของเขาส่วนช่ัวดีมีจนหากท่ีเป็นเร่ืองของเรา ว่าเร่ืองวันสงกรานต์กัน ดกี ว่า วันมหาสงกรานต์น้ัน ว่ากันตรงๆ ก็คือยอดแห่งวันร้อนของคนไทยนั่นเอง คอื ในเมอื งไทยเรามีเดอื ดรอ้ นที่สุดอยู่เดือนหนึ่ง ไดแ้ ก่เดือนห้า เปน็ เดอื นที่ดินฟ้าอากาศ โหดร้ายที่สุดในรอบหน่ึงปี เพราะธรรมชาติบังคับ แสงแดดแผดเผาจนกระทั่งแผ่นดิน แผ่นทรายร้อนระอุทั่วไป น้าท่าในห้วยหนองคลองบึงก็งวดแห้ง ต้นไม้ใบหญ้าเหี้ยม เกรียม ปศุสัตว์วัวควายอันเป็นมิตรสนิทของชาวนาก็ล้มตายมากกว่าทุกระยะ เพราะ ความอดอยาก ประชาชนพลเมืองมากกว่าครึ่งประเทศต้องลดหย่อนการทามาหากิน จนถึงวางมอื ไปช่วั ระยะหน่ึงกม็ ีไม่นอ้ ย ตรงกันข้ามตกฤดเู ดือนห้าทีไร พวกภูตผปี ีศาจกับ ได้ช่วงอาละวาดหนักท้ังผีป่าผีบ้าน ข้าพเจ้าหมายถึงพวกผีเหล้า ผีพนันผีถั่ว ผีโป ผีบัตร ผีเบอร์ ที่เข้าสิงห์ใจของชาวบ้านชาวเมืองยามว่างาน และหมายถึงพวกโจรผู้ร้าย มิจฉาชีพ ท่ีฉวยโอกาสยามแผ่นดินทาการปล้นสะดม ลักต้อนวัวควายของราษฎร ซ่งึ ระบายอยู่ทั่วไป และถ้าข้าพเจ้าจาไม่ผิดโรคร้ายท่ีระบาดใหญ่ เช่นฆ่าประชาชนให้ล้ม ตายระเนระนาดมากมาย ก็เกิดขึ้นในเดือนห้านี้เป็นหลายครั้งหลายคราว เดือนหน้าจึง เป็นเดือนทเี่ หมาะอยา่ งย่ิง สาหรับทุกส่งิ ทุกอยา่ งทจี่ ะนาความเดือดร้อนใจมาสูค่ นไทยเรา เราลองนกึ เหวกความร้อนอนั น่าเบอื่ หน่ายย้อนหลังคืนไปอีก ถึงยุคกรุงศรอี ยธุ ยาศตั รขู องชาติไดพ้ ยายามใช้เดือนห้าครั้งแลว้ ครั้งเล่าเข้า ทาลายชาตไิ ทยเราจนกระทง่ั ไดเ้ กิดมีวัน เดือดเนื้อร้อนใจอย่างทีส่ ดุ ต้ังแต่ พระมหากษัตริย์เจ้าจนกระท่ังไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินแทบจะเป็นบ้ากันทั้งชาติ โดยที่วนั หน่ึงแห่งเดอื นห้าในปีน้ันท่ีเราต้องเสียกรุงศรีอยุธยา เมืองหลวงท่ี คนไทยหวง แหนอยากที่สุดได้ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านแม้แต่วัดวาอารามวัน น้ันเปน็ วันมหาวิปโยค ชายไทยตอ้ งหลงั่ เลือดหญิงไทยต้องหล่ังน้าตาถ้า
เลื อ ด แ ล ะ น้ า ต า ข อ ง บ ร ร พ บุ รุ ษ เร า ต้ อ ง สู ญ เสี ย ไป ใน วั น น้ั น ย า ก ท่ี จ ะ ประมาณได้และวันน้ันก็กลายเป็นวันมหาสงกรานต์ประทับความทรงจา ของคนไทยไว้มใิ ห้เลอื นลมื จบทุกวันน้ี ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยอย่างย่ิงกับท่านผู้พยายามอธิบายว่า ประเพณี สงกรานต์ของไทยเราได้ถูกสร้างขึ้นไว้ เพ่ือต้อนรับเทวดาตามลัทธิพราหมณ์ หรือมี ประเพณีสงกรานต์ไว้เพ่ือสาดน้ากันเล่นสนุกๆ เท่าน้ัน แตเ่ ห็นแท้แก่ใจว่าบรรพบุรษุ ของ เราทั้งสายชาติและสายศาสนาได้ตั้งใจท่ีจะสร้างประเพณีสงกรานต์ขึ้นไว้ เพ่ืออนุชนชาว ไทยโดยตรงและประการสาคัญท่ีสุดคือเป็นวันราลึกถึงบรรพบุรุษของชาติไทย และ ร่วมกันสร้างชาติไทยให้เป็นปึกแผ่นแน่นหนาต่อไป ท่ีพูดน้ีข้าพเจ้าพยายามระมัดระวัง อย่างท่ีสุดแล้ว ท่ีจะไม่ยอมทาตัวให้เป็นคนชนิดฝนตกขี้หมูไหล คือนึกพูดอะไรแล้วก็ เที่ยวดึงเอาเร่ืองต่างๆ มาเสริมข้ึน อันไม่ใช่ปฏิปทาของข้าพเจ้า แต่เม่ือได้พิจารณาถึง สาระสาคญั ของประเพณีแล้ว ก็อดท่จี ะคิดไปเช่นน้นั ไมไ่ ดจ้ รงิ ๆ คือในประเพณี สงกรานต์น้ัน มีหลักสาคัญ อยู่ ๓ ประการได้แก่ ๑. หลักกตญั ญู ๒. หลักสามคั คแี ละ ๓. หลกั อยดู่ ี ประการแรกคอื หลกั แห่งความกตญั ญู คือใหร้ าลึกถงึ อปุ การคุณของท่าน ผู้ได้ช่วยบ้านเมืองของเราไว้ให้รอดพ้นจากปากเหย่ียวปากกา จนมาถึงตัวเราทุกวันนี้ ผู้มีอุปการคุณนั้นลาดับแรกได้แก่พระพุทธเจ้า ผู้ได้ทรงให้ทานธรรมไว้เป็นหลักใจแก่คนไทย จนสามารถนาชาตขิ องเราฟนั ฝ่าอุปสรรคมาได้ เราจึงแสดงความกตัญญูต่อพระองคด์ ้วย การสรงนา้ พระพทุ ธรูป ซ่ึงกระทาท่ัวกันทุกวัดวาอาราม และตามบ้านเรอื นท่ัวไป ลาดบั ท่ี สองได้แก่คนไทยรุ่นเก่า คือบรรพบุรษุ ของไทยเรานั่นเอง ทั้งท่ีสกุลเดียวกับเราและไม่ใช่ เราแสดงความลาลึกถึงคุณท่านด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้ ท่านเหล่าน้ันได้เสียเลือดและ นา้ ตาเพ่อื ความผาสุกของพวกเรา เราก็ทาบุญกรวดนา้ ไปชาระคราบเลือดและนา้ ตาให้ท่าน ลาดับสดุ ท้ายคือทา่ นผหู้ ลักผู้ใหญท่ ่ียงั มชี วี ติ อยู่ เรากโ็ ปรดรับพรตามประเพณี ประการท่ีสองหลักแห่งความสามัคคี แสดงออกดว้ ยการเล่นสาดน้าหอม ใส่กัน เป็นการแสดงความรักใคร่สนิทสนมกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างคนในชาติ โปรดทราบด้วยว่าในบรรดาธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้า ลม ไฟน้ัน ธาตุน้าเป็นธาตุแห่งการ รวมกัน เพราะขึ้นช่ือว่าน้าแล้วก็ต้องพยายามไปรวมกับน้าเสมอ แม้ว่าจะถูกคนเอามีด หรือไม้กรีดให้เป็นรอย พอเขายกมีดยกไม้ขึ้นน้าก็รีบเข้าประสานกันเป็นอันเดียว แม้จะ ถูกแยกไว้คนละตุ่มถูกขังไว้คนละบ้านละเรือน พอได้โอกาสที่คนเทออกน้าจากค่อยๆ ไหลซึมลงไปรวมกันใต้พ้ืนดิน หรือไม่เช่นน้ันก็ระเหยข้ึนไปบนท้องฟ้าก่อน แล้วจึงตกลง
ไปรวมกนั ใหม่ทใี่ ต้ปฐพี ธาตนุ า้ เปน็ ธาตทุ ี่เยน็ ปราศจากความเยอ่ หยง่ิ จองหอง ด้วยเหตนุ ้ี บรรพบุรุษทง้ั สายชาตแิ ละสายศาสนาจึงใชธ้ าตนุ า้ เปน็ สัญลกั ษณ์แหง่ ความสามัคคี ประการที่สามหลักแห่งความอยู่ดี ในระยะเวลาแห่งเทศกาลสงกรานต์น้ัน มีอยู่วันหน่ึงซ่ึงเรียกกันว่าวันเนาว์ คนไทยแต่โบราณใช้เป็นวันกวาดล้างส่ิงสกปรกรุงรัง ออกจากบา้ นเรอื นทอี่ ยอู่ าศัย ประเพณีดงั กล่าวนี้ยังคงถอื เครง่ อยู่ทางภาคเหนอื และภาค อีสาน คือในวันน้ันแต่ละครอบครัวจะปัดกวาดบ้านเรือนเป็นการใหญ่ ต้ังแต่ห้ิงพระบูชา จนกระท่ังในบ้าน ในครัว ใต้ถุนเรือน และคอกวัวคอกควาย แล้วเอาไฟเผาเศษขยะมูล ฝอยฟันกรุงตระหลบไปทั้งหมู่บ้าน พูดถึงเรื่องน้ีข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ก็นึกคิดตรงกัน เคยคุยกันเสมอว่า วันเนาว์น่ันเองคือวันสาธารณสุขท่ีแท้จริงของชาติไทยที่มีมาแต่ โบราณและทาให้นึกไปว่า ถ้าหากทางการประกาศใช้วันนั้นเป็นวันสาธารณสุขแห่งชาติ เสียก็จะดีไม่น้อย เพราะจะได้รับความรว่ มมือจากราษฎรอย่างกว้างขวาง โดยที่ทางการ จะไม่ต้องเสียกระดาษในการโฆษณาอย่างทุกวันน้ี เนื่องจากมีบุคคลอาสาสมัครในการ ธารงรักษาประเพณีสงกรานต์อยู่แล้ว ไม่น้อยกว่าสองแสนคน น่ันคือพระภิกษุสงฆ์และ พุทธศาสนิกชนซ่ึงกระจายอยู่ทั่วประเทศไทยแล้ว เพียงท่านเหล่าน้ันช่วยเตือนชาวบ้าน และแนะนาในเรอ่ื งวนั เนาว์เท่าน้ัน การสาธารณสุขก็จะสัมฤทธิ์ผลเต็มตามความต้องการ ของทางราชการ ถ้าถือว่าวันสงกรานต์เป็นวันสาคัญเกี่ยวกับความเป็ น ปึกแผ่นของชาติไทยแล้ว คนท่ีเราน่าจะขอบใจเป็นพิเศษในฐานะที่ได้ ช่วยกันรักษากิจกรรมอันประเสริฐของชาติไว้ ก็คือพระสงฆ์ไทยและศา สนิกชนชาวไทย ส่วนคนที่น่าเป็นห่วงสาหรับเรื่องน้ี ก็คงมีอยู่สองพวกคือ ชาวพทุ ธผู้ท่ี ยังเมินเฉยต่อประเพณีสงกรานต์กับผู้ที่พยายามบิดเบือน ประเพณีสงกรานต์ไปในทางต่า เช่นแทนท่ีจะใช้น้าบริสุทธิ์สาดกันก็ใช้น้า สกปรกโสโครกสาดคนอื่น เพราะเห็นแก่ความสนุกหรือเข้าใจผิดไปว่า วันสงกรานต์น้นั เปน็ วนั ทค่ี นอืน่ เขาไมโ่ กรธไม่ว่าจะถกู สตั วด์ ว้ ยนา้ อะไรกต็ าม. ๘ เมษายน ๒๕๐๖
ยุคไตรรัตน์วฒั นา ๒๕๐๖ ได้มีนกั สอนศาสนาคนหนึ่ง ซ่ึงเคยสอนศาสนานั้นให้ขา้ พเจา้ เม่ือประมาณ ๒๐ ปี มาแล้วกล่าวคาวิจารณ์พระพุทธศาสนาว่า การที่พระพุทธศาสนาเกิดในประเทศ อนิ เดีย แต่แล้วอยู่ในอินเดียไม่ได้ แสดงว่าศาสนาน้ียังไม่ดีแท้ ระหว่างนั้นข้าพเจา้ ยังไม่มี ความรู้เรื่องศาสนาเท่าใดนัก แม้แต่ศาสนาพุทธท่ีข้าพเจ้านับถืออยู่ เม่ือได้ฟังรู้แล้วรู้สึก ท่ึงอยู่เหมือนกัน ต่อมาอีกหลายปี ข้าพเจ้าได้เดินทางไปทาการส่งเสริมพระศาสนาทาง ภาคเหนือ ตอนนโยบายของรัฐสมัยนั้น ครูโรงเรียนท่ีนับถือศาสนาอ่ืนคนหนึ่งได้ต้ัง ปัญหานี้ข้นึ ให้ขา้ พเจ้าตอบอีก ทาให้ข้าพเจา้ ฉุกคิดข้นึ มาว่า การทีพ่ ระพทุ ธศาสนาดับสูญ ไปจากอินเดีย คงจะเป็นจุดหนึ่งที่นักสอนศาสนายกขึ้นอ้างอีกเพ่ือจูงใจประชาชนออก จากศาสนาเดิมของตน ซ่ึงได้นับถือกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ต้ังแต่น้ันมา ปัญหาที่ว่า “เหตุใดพระพุทธศาสนาจึงอยู่ในอินเดียไม่ได้?” ก็เป็นปัญหาการบ้านของข้าพเจ้า และเปน็ ปัญหาท่ตี ้องหาคาตอบอย่นู านร่วมสบิ ปี ในการหาคาตอบนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้วิตกกังวลกับข้อท่ี ว่า การที่ พระพุทธศาสนาซึ่งเกิดในอินเดีย แต่อยู่ในอินเดียไม่ได้น้ัน แสดงว่าศาสนาไม่ดีพอ ข้อนี้ ข้าพเจ้าไม่ห่วง เพราะถ้าสมมุตวิ ่าใครคนหน่ึงมีแหวนเพชรราคาแสนอยใู่ นมือ แต่ครน้ั พอ มาแกรักษาแหวนวงน้ันไว้ไม่ได้จะเป็นท่ีว่าเอาไปจานาจาหน่ายหรือหายไปก็ตาม จนกระท่ังเวลาน้ีแหวนเพชรวงน้ีได้ตกมาอยู่ในมือเราแล้ว ในกรณีเช่นน้ีเราจะคิดไหมว่า แหวนเพชรวงน้ีไม่ดีจริงจึงอยู่กับเจ้าของเดิมไม่ได้ ในระหว่างตัวแหวนที่หายกับคนที่ ทาหาย ใครไม่ดกี นั แน่ วญิ ญูชนยอ่ มรเู้ อง เพราะฉะน้ันแงน่ ขี้ ้าพเจา้ ไมห่ ่วง แต่ขา้ พเจ้ายอมรับว่า ในระหวา่ งท่ีข้าพเจ้าได้พบคาตอบปญั หานี้ ย่งิ ค้นคิด ไปมากเทา่ ไหร่ย่งิ มืดมิดไปมากเท่านนั้ ยิ่งเร่งจะเอาคาตอบกย็ งิ่ ดูเหมอื นว่าคาตอบจะไกล ไปทุกที ทงั้ นีเ้ ปน็ เพราะเจาะจงจะไปสบื สวนเอากับคนอนิ เดียในสมัยน้นี ่นั เอง คือป่ทู าผิด และตายไปตั้งนานแล้วเราจะไปคิดเอาความผิดจากหลาน เลยหาความผิดไม่เจอ ทาไม ข้าพเจ้าจึงว่าอย่างน้ี ก็เพราะว่าประเทศอินเดียในสมัยปัจจุบันนี้ ได้ให้สิทธิเสรีภาพทาง ศาสนาอย่างกวา้ งขวางที่สุดในโลก ไม่ได้กีดกันศาสนาใดเลยเวลานมี้ ีศาสนาใหญ่ๆ เจริญ งอกงามอยู่ในประเทศอินเดีย ๕ ศาสนา และมีลัทธิต่างๆ อีกกว่า ๒๐๐ ลัทธิ คนอินเดีย กวา่ ๓๐๐ ล้านคน ก็พากันด่ืมดาในศาสนาอย่างถึงขนาดแต่พระพุทธศาสนา “ลูกในใส้” ของอินเดียเองกลับอย่ใู นอนิ เดียไม่ได้เพราะเหตุไร? น่ีสิเปน็ ปญั หา ในที่สุดข้าพเจ้าเปลี่ยนวิธีหาคาตอบใหม่ คือไปศึกษาประวัติศาสตร์ของ ศาสนาอ่ืนๆ ยอ้ นหลังไป เฉพาะยง่ิ ศาสนาทีม่ ีบทบาทอยใู่ นประเทศอนิ เดีย ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๐๐ – ๑๗๐๐ จึงได้คาตอบเป็นท่ีพอใจ ถงึ แม้จะไม่ถูกต้องครบถ้วน ก็เป็นท่ีพอใจของ
ข้าพเจ้าแล้วและได้เดินทางไปท่ีสุดคาตอบนิดด้วยตนเองในดินแดนที่เก่ียวข้องกับ เหตกุ ารณ์น้ี ณ ประเทศอินเดยี เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ รายงานละเอียดเรื่องน้ี ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ในหนังสือบทเรียนจากอินเดียแล้ว ซ่ึงสรุปได้ว่าการท่ีคนอินเดียสมัยน้ีไม่นับถือพุทธศาสนาจริงจัง ก็พระศาสนาได้ดับสูญ จากอนิ เดียไปตงั้ แตก่ ่อนนานมาแล้ว เม่อื ศาสนาไมม่ อี ยู่ จะใหเ้ ขานบั ถือได้อยา่ งไร เร่ืองนี้ ไม่ใช่ความผิดของคนอินเดียในยุคโน้น คือประมาณ พ.ศ. ๑๒๐๐ เมื่อสรุปแล้วมีอยู่ ๔ ประการคือ: ๑. สาวกพกิ ล - คือพระสงฆป์ ฏบิ ตั ิผิดเพยี้ นธรรมวนิ ัยมาก ๒. ประชาชนพิบตั ิ - คอื เศรษฐกิจของประชาชนล้มเหลว ๓. กษตั รยิ ์พนิ าศ - คือบา้ นเมอื งขาดพระมหากษตั ริยพ์ ุทธศาสนูปถัมภก ๔. ศาสนาพกิ าร - คือคาสอนในพระพุทธศาสนาถูกปลอมแปลงมาก เม่ือได้คาตอบน้ีแล้ว ก็ลองศึกษาความเป็นมาในพระพุทธศาสนาใน ประเทศไทยเราดูรู้สึกเห็นจริงด้วย คือในยุคใดอันตราย ๔ อย่างน้ี อย่างใดอย่างหนึ่ง บังเกิดขึ้น พระรัตนตรัยก็อับแสงลง เช่นบางคราวคนเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเอง ลัทธรรมปฏิรูป (คาสอนปลอม) หรือในยุคท่ีพระสงฆ์ได้รับระบบการปกครองแบบ การเมืองก็ดี ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยของ ประชาชนก็พลอยคลอนแคลนไปด้วย ครั้นมาในยุคนี้ อันตรายทั้ง ๔ อย่างนี้ค่อยเบาบางลงคือเศรษฐกิจของประชาชนถูก กระเตอื้ งขน้ึ พศกนิกรมีความจงรักภกั ดีในองค์พระมหากษัตรยิ ์เต็มเปย่ี ม คาสอนศาสนา ประเภทสทั ธรรมปฏิรูปเบาบางลง กระทรวงศกึ ษาธิการกไ็ ด้ปรบั ปรงุ การสอนศาสนามากขึ้น ท่ีน่าเป็นห่วงอยู่ก็แต่การปกครองคณะสงฆ์ ครั้นเม่ือมาถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๐ รัฐบาลไดป้ ระกาศยกเลิก พ.ร.บ. คณะสงฆ์เก่าเสีย ใช้ฉบับใหม่แทน ซึ่งเป็นการปกครอง ทใี่ กล้เคียงกับจริตของสงฆ์มากที่สุดการไดม้ าซ่ึง พ.ร.บ. คณะสงฆ์ฉบับใหม่ นี้เท่ากับเป็น การเขียวฝุ่นผงช้ินสุดท้ายท่ีแปดเปื้อนพระรัตนตรัยให้หลุดออกไป ตามความรู้สึกของ
ข้าพเจ้าดีใจว่าต่อแต่นี้ไปพระพุทธศาสนาในประเทศไทยจะม่ันคงถาวร ไม่รู้จะหาคาพูด คาใดมาระบายความรู้สึกโล่งใจอันนี้ได้ จึงอุทานออกมาว่า “ยุคไตรรัตนวัฒนา” (ไม่ใช่ไตรรัตนพัฒนา แต่เป็นวัฒนา) ซึ่งหมายความว่าพระรัตนตรัยคงจะวัฒนาสถาพร อยใู่ นประเทศไทยตลอดกาลนาน. เข้าท-ี ดแี น่ ๒๕๐๖ หน่วยราชการ บริษัท ห้างร้าน ธนาคารตลอดจนวัดวาอาราม ที่ทุ่มเทเงิน ทองก่อสร้างสานักงานให้ดูใหญ่โตโอโถง ตกแต่งด้วยสารพัดสิ่งท่ีเป็นของมีราคา แต่ แทนที่จะได้รับความนิยมชมชอบจากมหาชน กลับได้รับแต่ความเฉยเมยหรือมิฉะน้ันก็ ถูกโจมตีวิพากษ์วิจารณ์ในทางไม่เป็นมงคลแล้วๆ เล่าๆ น่าเสียดายเงินทองข้าวของท่ี ลงทุนไป เมอื่ ประสบกบั ภาวการณ์เช่นนี้มีหลายหน่วยท่ีแก้ปัญหา ด้วยการบรรจบุ ุคคลที่ มีวุฒิสูงๆ เข้าเป็นเจ้าหน้าท่ีของหน่วยบ้าง เป็นที่ปรึกษาบ้าง และบางทีก็ตั้งกรรมการ จากบุคคลภายนอก ซ่ึงก็เป็นวิธีแก้ปัญหาได้บ้างเหมือนกัน แต่ก็เป็นภาระของหน่วยงาน ท่จี ะตอ้ งเพ่ิมคา่ ใช้จ่ายมากขนึ้ และไม่แนน่ ักวา่ จะทาได้เสมอไป ในบทความเรอ่ื งนข้ี ้าพเจา้ ขอเสนอวิธีแก้ปัญหาอีกแบบหน่ึง ซึ่งแม้จะเป็นแบบโบราณแต่ก็ลงทุนน้อยและได้ผล แน่นอนดีพอสมควร กอ่ นอนื่ ขอเรียนว่า ความเจรญิ กา้ วหน้าของหน่วยงานทุกประเภท และทุก ระดับ ย่อมต้องอาศัยปัจจัยสาคัญ ๓ ประการคือเงินทุนความรู้และความไว้วางใจ ข้าพเจ้าหมายความวา่ ๑. หน่วยจะต้องมเี งนิ ทุนดาเนินงานเพยี งพอ ๒. หนว่ ยจะต้องมีเจา้ หนา้ ทผ่ี มู้ คี วามรู้เพียงพอ และ ๓. หนว่ ยจะตอ้ งไดร้ บั ความไว้วางใจ จากคนภายนอกเพียงพอ แต่ในระหว่างเงินทุน ความรู้และความไว้วางใจ ๓ อย่างน้ี บรรดา นักจิตวิทยาสังคมย่อมจะเห็นว่า “ความไว้วางใจ” มีค่ามากยิ่งกว่า ๒สิ่งแรกรวมกัน เพราะถ้าขาดความไว้วางใจจากคนอื่นเสียอย่างเดียว เงินทุนและความรู้ก็จะหมด ความหมายลงไปด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย ๆ ก็คือ ฐานะของรัฐบาลยุคประชาธิปไตย นี่เอง ไม่เคยมรี ฐั บาลใดทยี่ ากจนเงนิ ทอง หรอื ไร้ฝีมือในการบริหารประเทศ แล้วต้งั อยู่
ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างตัว สร้างหน่วยงาน หรือสร้างสถาบัน ประเภทใดก็ตาม จาต้องคานึงถึง “การสร้างความไวว้ างใจ”ไวด้ ว้ ยเสมอ การสร้างความไว้วางใจน้ัน มีการทาหลายวิธีดังกล่าวแล้ว เช่น การแต่งตัวให้ดภู ูมิฐาน การวางท่าทางให้ดเู ขอ่ื งข้ึน การสร้างสานักงานให้ดใู หญโ่ ตโอ่โถง และทชี่ อบทากนั มากที่สดุ ก็คอื โฆษณาความดีของตนเอง แต่ถ้าพิจารณาจากดา้ นจิตใจแล้ว วิธีการดังกล่าวนี้ เป็นเพียงวิธีเรียกร้องความสนใจเท่านั้น คือทาให้คนอ่ืนหันมาสนใจ แต่ก็ไม่แน่นักว่าคนเหล่านั้นจะให้ความไว้วางใจหรือไม่อุปมาเหมือนคนที่อยากให้คนอื่น เขารัก จึงทาเสียงกระแอมให้เขามองตัว ได้ยินเสียงกระแอมแล้วเขาก็มองจริง ๆ แต่ เมอื่ มองแล้วเขาจะรักหรือไมย่ งั เปน็ ปัญหา ทางศาสนา ท่านแยก “ความสนใจ” กับ “ความไว้วางใจ” เป็นคนละ อย่างกันทีเดียว แม้ว่าจะเป็นพฤติกรรมของจิตท่ีต่อเนื่องกัน ความสนใจท่านเรียกว่า “อธิโมกข์” ส่วนความไว้วางใจท่านเรียกว่า “ศรัทธา” พฤติกรรมของจิตสองอย่างนี้ เกดิ ขน้ึ ตอ่ เน่ืองกัน คอื อธิโมกขเ์ กดิ กอ่ น ศรัทธาเกิดทีหลัง แต่คณุ ค่าตา่ งกนั มากคลา้ ย ๆ กบั อาการของผลมะม่วงที่มอี ยู่ ๒ ระยะ คอื ความดบิ กบั ความสุก ท่ีจรงิ ดบิ กับสุก ก็เป็นอาการต่อเน่ืองกันน่ันเอง แต่ว่ารสชาดของมันต่างมันมาก ตอนดิบรสอย่างหนึ่ง ตอนสุกรสอีกอยา่ งหนึ่ง อธิโมกขก์ ับศรทั ธากเ็ หมือนกนั คอื ศรทั ธามคี ่ามากกวา่ อธิโมกข์ เป็นไหน ๆ และควรทราบความจริงไว้ด้วยว่า แม้จะเกิดอธิโมกข์แล้วก็ไม่แน่นักว่าจะ เกิดศรัทธาตามมา เหมือนกับอุปมาลูกมะม่วงที่ว่ามาแล้ว มะม่วงดิบทุกลูกไม่แน่นักว่า จะสกุ ทุกลูก อาจร่วงเสียก่อนกไ็ ด้ โดนจ้มิ พรกิ เกลือเสียก่อนก็ได้ โดนตาน้าพรกิ มะม่วง โดนดองน้าเกลือ หรือโดนฝานลงใสต่ ้มยาโฮกออื เสยี ก่อนก็ได้ เลยไม่มีโอกาสที่จะไดส้ ุก จากอุปมาและหลักวิชาที่ยกมานี้ จึงเป็นอันทราบได้แน่นอนว่าร้อยคนที่สนใจเราน้ัน ไม่แน่นักว่าจะมีสักหนึ่งคนที่ไว้วางใจในเรา เพราะใจของคนเหล่าน้ันอาจมีอาการเพียง อธิโมกข์เทา่ น้นั ไม่ถึงข้นั ศรทั ธา ถ้าเราสามารถเข้าไปนั่งดูความรู้สึกของจิตในใจของคนอ่ืน แล้วฟัง “หัวใจเขาพูด” ด้วยภาษาไทย อธิโมกข์ ก็คอื ภาษาใจท่ีวา่ “เข้าที” ส่วนศรัทธาก็คือ ภาษาท่ีว่า “ดีแน่” นั่นเอง อย่างเช่นเราเห็นใครคนหน่ึงหน้าตากระจุ๋มกระจิ๋มแต่งตัว เรียบร้อย เราเกิดความรู้สึกว่า “ยายคนนี้เข้าที” ความรู้สึกน้ีเรียกว่าอธิโมกข์หรือ ความสนใจ คร้ันต่อมาได้รู้จักนิสัยใจคอเป็นที่พอใจของเราแล้วเกิดความรู้สึกต่อไปว่า “...ดีแน่ !” อาการของจิตตอนหลังน้ีเรียกว่าศรัทธา หรือความไว้วางใจ ที่ว่า “ไวว้ างใจ” นั่นคอื เขาตกลงใจว่า แม้จะเอาใจเขาไปวางไวต้ รงนน้ั กค็ งไม่ผดิ หวงั แน่ เป็นที่แน่เหลือเกินว่า ผู้ที่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น แต่ทา ด้วยการท่มุ เงินก่อสรา้ งหรือตบแตง่ สานักงาน และโฆษณาสรรพคณุ ตัวเองซา้ ๆ ซาก ๆ
น้ัน จะต้องผิดหวังอยู่ไม่มากก็น้อย เพราะส่ิงเหล่านั้น อาจทาให้คนทั้งหลายเห็นว่า “เข้าที” เท่าน้ัน ไม่ถึงกับ ปลงใจว่า “ดีแน่” ในการสร้างตัวก็ดี สร้างหน่วยก็ดี จะตอ้ งพยายามทาใหไ้ ด้ทง้ั สองอยา่ ง คอื “เขา้ ที – ดีแน”่ จงึ จะถึงระดบั ท่วี างใจได้ ทีน้ีพูดถึงการสร้างความไว้วางใจ สาหรับตัวเราและหน่วยงานของเราจะ ว่ายากก็เหมือนงา่ ย คอื ทาให้คนสนใจกบั ทาให้คนวางใจ มันยากง่ายคนละทาง สูตรท่ี จะพงึ จาไวก้ ็คอื วา่ “อธิโมกข์ – สาเร็จด้วยเงนิ ตรา ศรทั ธา – สาเร็จดว้ ยความดี” ความดีท่ีพูดน้ี ถ้าเป็นการสร้างความไว้วางใจในตัวเราคนเดียว เช่น จะทาให้เขารักเรา ให้ผู้ใหญ่โปรดตัวเรา ให้เพ่ือนฝูงเป็นของเรา ก็หมายถึงตัวเรา จะต้องมีความดีดังจะกล่าวต่อไป แต่ถ้าจะสร้างความไว้วางใจให้หน่วยหรือสถาบันใด เช่นให้คนท้ังหลายนิยมในกระทรวงทบวงกรมของเรา ให้คนนิยมฝากเงินธนาคารเรา ให้คนนิยมซื้อของกับบริษัทเรา หรือให้ศาสนิกชนนิยมมาทาบุญสุนทานที่วัดเรา ดังนี้ เป็นต้น ก็หมายถึงความดีในตัวของเจ้าหน้าท่ีหรือสมาชกิ ภายในของหน่วยนนั้ ความดีทจ่ี าเป็นที่สดุ ในการทาให้คนอ่ืนไว้วางใจนั้น ไดแ้ ก่ “สจั จะ” หรอื “ความสัตย์” อรรถาธิบายเป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว ว่าหมายความถึงความจริง ความ ตรง และความแท้ ตรงกันข้ามกบั ความเท็จ ความคดและความเหลวไหล การที่จะทา ให้คนอื่นได้รับความไวว้ างใจไดน้ ั้น จาจะต้องตรวจสอบดูว่าในตัวผู้น้ันมสี ัจธรรมอยู่มาก น้อยเพียงไร มีครบห้าสาขาหรือไม่ และควรจะกระทาเป็นคราว ๆ ห่างกันราว ๖ เดือน เพราะสัจธรรมในตัวบุคคลย่อมเสื่อมได้ เจริญได้ วิธีตรวจสอบที่ง่าย ๆ ควรใช้ แบบตรวจสอบคะแนน ในทนี่ ี้จะขอยกตวั อยา่ งการตรวจสอบเปน็ รายหนว่ ย หรอื ใน ๑ แผนกซงึ่ หัวหนา้ หน่วยนน้ั ๆ ควรจะกระทาด้วยตนเองเป็นความลบั ดงั นี้
บตั รตรวจสอบสัจธรรมสว่ นบคุ คลและสว่ นรวม ตรวจสอบเมือ่ ... ลาดบั ช่ือ จรงิ จรงิ จริง จรงิ จริง รวม ต่อ ตอ่ ต่อ ต่อ ต่อ หนา้ ท่ี การ วาจา บคุ คล ความ งาน มี 1 นาย ก. (หวั หน้า) 15 17 20 12 5 62 2 นาย ข. (เลขานกุ าร) 10 6 12 10 8 43 3 น.ส. ค. (ปฏคิ ม) 15 15 10 14 10 64 4 นาย ง. (นักการ) 10 8 15 14 6 53 รวม 50 46 57 50 29 242 ทุกช่องท่ีแสดงถึงคุณธรรม ให้คะแนนช่องละ ๒๐ รวม ๕ ช่อง คะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนนรวมสาหรับรายบุคคล ควรจะไม่น้อยกว่า ๕๐ คะแนน จึงจะอยู่ในเกณฑ์ไดร้ ับความไวว้ างใจจากคนอืน่ แตส่ าหรับหน่วยงานหนว่ ยหนึ่ง ๆ เช่น ในสาขาธนาคารแหง่ หนึ่งไม่ควรได้คะแนนรวมนอ้ ยกว่า ๗๐% เพราะจะตอ้ งแข่งขันกับ หน่วยอ่ืนเขาอยู่ตลอดเวลา และตามตัวอย่างข้างบนนี้ท่านจะเห็นได้ว่า นาย ข. ควร จะไดร้ บั การปรบั ปรงุ ตวั ขนึ้ อกี .
ของดีบา้ นสะพัง (เขายอ้ ย – เพชรบุรี) ๒๕๐๖ ผมเองกเ็ พิง่ ได้ยินกิตติศัพท์จากสัปปรุ ุษวดั เขาย้อยว่า คนในหมู่บ้านสะพัง มีอาชีพและนิสัยใจคอไม่ส้เู หมือนกับคนหมู่บ้านอ่ืน ๆ ในละแวกเดียวกนั หรือจะพูดว่า ในจังหวัดเพชรบุรีท้ังหมดก็ว่าได้ คือคนในหมู่บ้านนี้มีฝีมือในทางสานเข่ง – สานหลัว สานกนั ท้งั หมู่บ้าน เด็กก็สาน ผู้ใหญก่ ็สาน คนเฒา่ คนแก่ก็สาน เขาไมค่ ่อยมีเวลาท่จี ะ กินเหล้าเมาแล้ววิวาทกัน ไม่ค่อยมีแก่ใจท่ีจะไปตีวงกัดปลดชนไก่ แล้วก็ไม่ค่อยมีใครที่ รอิ ่านขโมยของคนอื่น เพราะตดิ ตานเข่ง ท่ีน่าสนใจยิ่งกว่าน้ัน คือคนบ้านสะพังมีนิสัยทาบุญ และช่วยเหลือกัน การทาบุญและการสงเคราะห์ก็ทาได้ไม่ยากและสนุกสนาน ถ้าโต๊ะเรียนของเด็กใน โรงเรียนไม่พอ เขาก็นัดกันสานเข่ง คนหน่ึงตัดไม้ สองคนจักตอกหลายคนสานเป็นท่ี สนุกสนาน ตกเย็นได้เข่งกองเป็นภูเขา แล้วบรรดาผู้รับซ้ือเข่ง ก็ประมูลกันรับซื้อให้ ราคาพิเศษหน่อย ก็ยกเงินน้ันไปซื้อโต๊ะเก้าอ้ีให้โรงเรียน บวชนาคท่ีขาดอุปฐาก ทาศพไม่มีญาติ ทอดกฐินตกค้าง และการกุศลสาธารณะอื่น ๆ เขาก็สานเข่งกันเป็นท่ี สนกุ สนาน คาบอกเล่าของท่านสมภาร และปสกสีกาวัดเขาย้อย ทาให้ผมสนใจมาก ทาไมจะไม่น่าสนใจ คนเขาสานเข่งกันท้ังหมู่บ้าน เกิดนึกอย่างไรจึงได้เห็นดี เห็นชอบอาชีพอย่างเดียวกัน แล้วจึงรักกันมาก แทนที่จะแย่งผลประโยชน์กัน คิดเอาดีเอารวยคนเดียวอย่างท่ีเคยพบเห็นอยู่ทั่วไป คนบ้านสะพังผู้สานเข่งไม่มี นสิ ยั อย่างนัน้ ผมมีธุระจาเป็นต้องเลยไปบ้านชะอา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่ความที่ อยากจะศึกษาเรื่องสานเข่งบ้านสะพังยังติดใจอยู่ มีคาถามอยู่หลายข้อท่ีจะต้องไปหา คาตอบทบ่ี านสะพัง ดังนั้น วนั รงุ่ ข้ึนซึง่ เป็นวันอาทติ ย์ผมรบี ทาธรุ ะทบ่ี ้านชะอาและหัวหิน แล้วยอมตัดใจท้ิงความสาราญจากการอาบน้าทะเล ในตอนบ่ายเสียท้ังหมดเดินทาง กลับมาทเี่ ขาย้อย หมู่บ้านสะพัง ตั้งอยู่ตรงหลักกิโลเมตรที่ ๑๔๒ ก่อนที่จะถึงเชิงเขาย้อย เพียงเล็กน้อย เป็นหมู่บ้านเก่าแก่บรมโบราณ ขนาบอยู่ท้ังสองฟากทางถนนสาย กรุงเทพฯ – เพชรบุรี หมายความว่าถนนสายนี้ได้ตัดผ่านกลางหมู่บ้านสะพังพอดีพอดี
ทีเดียว แต่ตัววัดสะพังห่างจากถนนเข้าไปราว ๒๐๐ เมตร เป็นที่สังเกตได้ว่า ที่หน้าร้าน หอ้ งแถวไม้ตดิ ถนนมีเขง่ กองอยเู่ ป็นจานวนมาก รอการขนส่งไปต่างจังหวดั ผมเองไม่เคยรจู้ ักใครเลยที่หมู่บา้ นนีซ้ ่งึ กด็ ีเหมอื นกัน ถ้าหาก รจู้ ักเสยี แล้วก็อาจไม่ได้เห็นของจรงิ เพราะคนรู้จักก็จะอดเอาผกั ชีโรยหน้า ไม่ได้ นี่ไม่ต้อง แต่ด้วยการแสดงความอยากรู้อยากเห็นการทาเข่งน่ันเอง ผมไดร้ ูจ้ กั คนสองคน ทง้ั คเู่ ป็นสาวใหญ่ หนา้ ตาย้ิมแยม้ แจ่มใส คนทหี่ นงึ่ ช่อื กิมก่ี คนที่สองช่ือส้มจีน ท้ังสองเป็นเจ้าของร้านรับซื้อเข่งจากชาวบ้าน เช่นเดียวกัน และตั้งอยู่ถัดกัน เราเป็นมิตรท่ีไม่เคยรู้จักมาก่อน ผมได้รับ ไมตรีเหมือนกับคนท่ีเคยรู้จักรักคุณกันสักสิบปีย่ีสิบปีก็ไม่ปาน หลังจากที่ แจ้งความประสงค์แล้ว ผู้นาทางได้นาผมเดินเข้าไปในละแวกบ้านสะพัง จากตีนบันไดบ้านนี้เลยไปลอดใต้ถุนบ้านน้ัน แวะหน้าบ้านโน้น เตลิดไป เข้าโรงเกวียน และคอกควายบ้านนู้นเร่ือยไป มันมีความสุขเพลิดเพลิน อะไรอย่างน้ัน เด็กน้อยกลับจากโรงเรียนมาก็คว้ามีดอีโต้มานั่งจักตอก และบางคนกส็ านเข่งหนุ่มสาวนัง่ สานเข่งพลางฟังเพลงจากวทิ ยุ สมยศหรอื โดยใครก็ไม่ทราบ กาลังครวญเพลงดาวลกู ไก่ คุณยายอายุ ๘๐ น่ังสานเข่ง อยู่คนเดียวแกบอกว่า ลูกหลานไปมีเหย้ามีเรือนกันหมด ยายก็น่ังสานเข่ง ยังไหว แต่ตอนยกเข่งซ้อนกันจะเอาเข้าท่ีต้องวานคนอื่น ช่วยเพราะแรง ถอยเต็มทีแล้ว “รายได้จากการสานเก่งก็พอได้กินได้ทาน” แกว่า อีกคน แนะนาว่า ท่ีครอบครวั เขาเองน้ันสานได้แต่ไม่งาม ฝีมืออ่อน แล้วก็แนะนา ให้ผมไปชมการสานเข่งของอกี ครอบครัวหน่ึง ซง่ึ ฝีมือเขาดีมาก คาแนะนา อันถอ่ มตวั และสรรเสรญิ เพอ่ื นบ้านอยา่ งน้ี มอี ยู่ท่ัวไปในหม่บู ้านน้ี แม้ว่าใน ครอบครัวที่สานเข่งฝีมือดีก็สรรเสริญกลับบ้านอื่นเค้าทาได้มาก และถ่อม ว่าตนเองทาไดน้ ้อย มาได้ยินคาโต้ตอบของชาวบ้านสะพังสานเข่งแล้ว อดคิดถึง สมเด็จพระมหาวีรวงศ์วัดบรมนิวาสไม่ได้ ท่านกล่าวเปรียบเทียบความ เจริญของวัดสองวัดในสองตาบลว่า ท่านไปตรวจการคณะสงฆ์ที่วัดๆ หนึ่ง เหน็ วัดวาอารามเจรญิ ดี จึงถามสมภารวา่ ทาได้อยา่ งไร ทา่ นสมภารตอบว่า ท่านเองทาอะไรไม่เป็นหรอก แต่ได้อาศัยลูกศิษย์ทั้งน้ันแหละช่วยกันทา อกี เพลาหน่ึงท่านลองถามพระลูกวัดดู พระลูกวัดก็ตอบว่า พวกกระผมทา อะไรก็ไม่เป็น แต่ดีที่ว่าท่านสมภารเก่งมาก เจ้าพระคุณสมเด็จฯ สรุปว่า วดั น้ีมีแต่เพราะดี ครั้นไปอีกวัดหน่ึงสมภารรายงานว่าคนแถวนี้เต็มที พระ
เณรในวดั กท็ าอะไรไมเ่ ป็น “ถา้ ไมไ่ ดเ้ กล้ากระผมวัดมนั ก็แย่” คร้ันอกี เพลา หนึ่งทา่ นลองถามพระลกู วัดดูพระลูกวัดก็รายงานว่าสมภารไม่ได้ความเลย ตนเสียอีกท่ีคิดทาอะไรๆ ให้วดั เจริญตกลงสมภารก็ว่าลูกวัดไม่ดีลูกวัดก็ว่า สมภารไม่ได้ความเจ้าพระคุณสมเด็จฯ สรุปว่าวัดน้ีไม่มีคนดีเลยวัดนี้จึงไม่ เจริญ ชาวบ้านสะพังนั้นต่างคนต่างสรรเสริญคนอ่ืนและถ่อมตัวคนท้ัง หมู่บ้านจึงรักกันและที่เห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่งคือวัดของหมู่บ้านน้ันเป็น แหลง่ ปรบั มาตรฐานทางจิตใจให้คนทั้งหมบู่ ้านรักกนั อุตสา่ ห์พยายามและ รู้จักสงเคราะห์กนั มีอยู่สิ่งหน่ึง ท่ีชาวบ้านบางคนรู้สึกไม่พอใจในตัวเอง คือคาร้องเรียกชื่อ บ้านท่ีว่า “สะพัง” ไปถือเคล็ดที่ว่า “พัง” ๆ เท่าน้ัน เพราะชื่อบ้านมันพังเสียแล้ว ชาวบ้านน้ีตั้งเน้ือตั้งตัวลาบาก เงินทองพังหมด กองสูงไม่ได้และบอกว่าช่ือน้ีมานาน นักหนาแล้ว ท่ีบ้านมีสระน้าโบราณอายุนับร้อยๆ ปี แต่ไม่มีใครรู้ว่าสระท่ีพังอีท่าไหน หรอื เกดิ อาเพศอย่างไรสระจึงพังและกลายมาเป็นชื่อหมูบ่ า้ น ผมได้พูดชี้แจงว่า ไดเ้ กดิ การเขา้ ใจภาษาไทยผิดเพ้ียนไปเสียแล้ว เพราะคา ว่า “สะพัง” เป็นคาโบราณเช่นว่าแหล่งน้า เช่นสระหรือหนองหรือบึง ท่ีอุดมด้วยน้า เรียกว่า “สะพัง” บางทีก็เพ้ียนเป็น “ตะพัง” คาน้ีมีปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุน รามคาแหง และในหนังสือเก่าท่ัวไป เช่นประโยคว่า “สะพังวังโบกขรณี” ถือกันว่า เป็นคามงคล แต่อาจเปน็ ไดว้ า่ คนเขียนปา้ ยบ้านหรอื เขยี นสามะโนครวั เขา้ ใจผิด ไปเขียน อักษร. ผสมเขา้ ในคาว่า “สระ” ก็เลยหมายถึงสระน้าตลง่ิ พงั เมื่อสรุปแล้ว บ้านสะพังมีอะไรดีอยู่หลายอย่างรวมทั้งชื่อหมู่บ้านท่ีว่า “สะพัง” น้ันด้วย ผมคิดว่าท่านที่มีโอกาสผ่านไปทางเมืองเพชรบุรี ลองพักรถแล้วแวะดู ของดีในหมู่บ้านสะพังสัก ๑๐ นาทีดูบ้าง คงจะได้รับความสุขใจ อาบไมตรีจิตของ ชาวบ้านสะพังเย็นนานกว่าอาบน้าทะเลเป็นไหนๆ แต่เวลาเดินวกวนเข้าไปในละแวก บ้านระวังจะหลงทางหน่อยแล้วกัน เพราะเป็นหมู่บ้านท่ีรั้วสูงประตูมาก สุนัขดุไม่มี แต่ ระวังจะเหยียบข้ีควายตามทางเดินนะครับ และถ้าบังเอิญเหยียบเข้าก็อย่าโมโห เพราะ กองขค้ี วายนนั่ แหละ แสดงถึงสถานะเศรษฐกิจอนั ดขี องชาวชนบท. ๑๒ ม.ิ ย. ๐๖
เดก็ ของท่านปลอดภยั แล้วรึ ? บรรยายทางวิทยุกระจายเสียงแหง่ ประเทศไทย ๑ สิงหาคม ๒๕๐๖ ๐๗.๓๕ น. ท่านผูฟ้ งั ทีเ่ คารพ ผมไม่จาเป็นจะต้องแนะนาตัวเองแกท่านผู้ฟัง แต่การท่ีจะพูดเรื่องในวันน้ี นา่ จะไดเ้ รียนทา่ นผู้ฟังไดโ้ ปรดทราบไว้เปน็ เบื้องแรกว่า ผมเองไม่ชอบทาอะไรใหค้ นทุกข์ แม้แต่จะพูดอะไรให้คนอ่ืนรู้สึกวิตกกังวล ก็ไม่ชอบตรงกันข้ามผมชอบทาให้คนอ่ืน ทั้งหลายมีความสุขกายสบายใจ ใครที่มีทุกข์ทางใจอยู่แล้วก็ชอบ แต่จะหาทางคลี่คลาย ทุกข์ให้อย่างน้อยที่สุดเพียงทาให้ผู้นั้นเบาใจได้บ้าง ก็นึกว่าเป็นกุศลสาหรับตนเองและ ชอบทาเช่นนั้น ทพ่ี ดู นไี่ ม่ไดเ้ จตนาจะโฆษณาตัวเอง เพราะผมไมม่ ีความจาเป็นแม้แต่นอ้ ย ที่จะต้องทาเช่นน้ัน แต่ที่พูดถึงเจตนาของตนเอง ก็เพราะวันน้ี ผมจะพูดถึงภัยพิบัติ บางอย่างท่ีกาลังคุกคามเราอยู่ เป็นการช้ีให้ท่านดูเร่ืองที่น่าวิตก และชวนให้ท่านเกิด ความกังวลใจไปตามคาพดู ของผม ซ่ึงความจรงิ กเ็ ปน็ การฝึกความสมัครใจของผมอย่างมาก หากไม่ถึงคราวคับขันจริงๆ แล้วผมจะไม่ยอมปริปากเลย เรื่องที่ว่าน้ีก็คือเรื่องยาเสพติด – เฮโรอีน ซ่ึงกาลังระบาดอยู่ในประเทศไทยของเรา เฉพาะอย่างยิ่งมันกาลังสอดแทรก เข้าไปฉดุ เอาเดก็ ตาดาๆ จากครอบครัวตา่ งๆ ไปเป็นทาสของมันคนแลว้ คนเลา่ ในตานานทางศาสนามีอยู่หลายเรื่อง ที่บรรยายถึงความใจดาอามหิตของ โจรป่าและมนุษย์เผ่ายักษ์ สมัยโบราณมีคาบรรยายไว้ในท้องเร่ืองน่าสยดสยอง ว่าในป่า หิมพานต์แถบภูเขาหิมาลัยไกลจากบ้านผู้เมืองคนหลายร้อยโยชน์ มียักษ์ร้ายอาศัยอยู่ เป็นแห่งๆ แบ่งเขตกันเป็นอาณาจักรเถื่อนในกลางดง ครั้นมีมนุษย์เผลอพัดเข้าไปในถิ่น ของมันก็จับกินเป็นอาหาร เสียแต่ถ้าจับได้มนุษย์ท่ีมีอานาจวาสนา เช่นเป็นราชาหรือ มหาราชามันก็ใช้วิธีต้ังเงื่อนไข ข้อแลกเปล่ียนเป็นต้นว่าถ้ามนุษย์ผู้เคราะห์ร้ายน้ัน จัดแจงส่งคนไปให้มันกินเป็นอาหาร สักวันละคนแล้วไซร้มันก็จะให้ชีวิตกลับคืนยัง บ้านเมือง ของตนได้มีราชาหลายองค์ตกลงรับเง่ือนไขดังกล่าวนั้น เสร็จแล้วก็สั่งเสนา ออกจับผู้คนและเด็กเล็กส่งไปบาเรอ อยากวันละคนวันๆ จนกระทั่งบ้านเมืองเงียบเหงา เกือบจะกลายเป็นเมืองร้าง จึงได้มีพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์มาโปรด ทาลายล้าง ขอ้ ตกลงระหว่างคนกับยักษ์นนั้ เสยี เราได้ฟังเร่ืองประเภทน้ีแลว้ กร็ ู้สึกสงสาร คนท่ีถกู จับ ไปให้ยักษ์กิน และเกลียดชังยักษ์ใจร้ายซ่ึงกินลูกชาวบ้านได้ลงคอ ต่อมามนุษย์จึงได้ร่วม การแอนต้ียักษ์ ไม่ว่าจะป้ันหรือรอรูปยักษ์ที่ไหนเมื่อไหร่ เป็นต้องแกล้งทาหน้าตาน่า
เกลียดมีเข้ียวโง้งท่าทางน่ากลัวและน่าชังมากกว่าท่ีจะน่ารักอย่าง เช่นยักษ์วัดพระแก้ว วัดโพธิ์และยักษ์วดั แจ้งเปน็ ต้น แต่ถ้าเรามาวิเคราะห์กันดูด้วยใจเป็นธรรมจริงๆ เราจะ รู้สึกว่า ยกั ษ์น้ันแม้จะร้ายสกั เท่าไร เขาก็อยู่ของเขาเป็นท่เี ปน็ ทางจะกัด กินใครก็อยากมีการเจรจาบอกกลา่ ว ใหผ้ ู้นั้นรตู้ ัวกอ่ นและว่าทบ่ี ุญท่ีบาป คนไทยเรานี้ ยงั ไม่มีใครถกู ยกั ษก์ ัดหรอื แม้แตถ่ ูกยกั ษ์รังแกแม้แตค่ นเดยี ว อนั ตรายจากยาเสพติดเฮโรอนี เสยี อกี ร้ายกว่ายักษ์ท้ังป่าหิมพานตร์ วมกนั ทา่ นผู้ฟังท่เี คารพผมเองเช่ือว่า ทุกทา่ นเปน็ ผู้ใหญ่มีลูกมีหลานแล้ว ย่อมจะรักและหว่ งใย ในลูกหลานของท่านจึงได้สู้อุตส่าห์ ทะนุถนอมส่งเสียให้เล่าเรียนให้เงินทองท่ีหามา แสนยากและให้โอกาสทุกส่ิงทุกอย่าง ท่ีทาให้เขาเป็นคนดีท่ีพูดน้ีผมคิดว่า คงจะไม่ผิด มากนักแต่ขอประธานโทษเถอะ ความปลอดภัยของเด็กที่ท่านห่วงไยมากนั้น เป็นเร่ือง การสอบตกการเข้าโรงเรียนดีๆ หรือไม่ก็เป็นเร่ืองการเจ็บป่วยโรคอหิวาต์และปัทวเหตุ นานาประการ ท่านจึงลืมนึกถึงว่าในปัจจบุ ันนี้ได้มีนายยักษผ์ ู้ใจบาป คอยตะครุบเอาเด็ก ไปเป็นเหยื่ออยู่แทบทุกหนทุกแห่งเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ๆ ในภาคกลางนี้นั่นคือ ผู้ผลิตและจาหน่ายเฮโรอีนซ่ึงส่งสายออกขายให้เด็กๆ อยู่ทั่วไปท่านแน่ใจหรือว่าเงินค่า ขนมที่จา่ ยให้ลกู ไปโรงเรียนวนั ละ ๓ – ๕ บาท นนั้ เขาเอาไปซ้ืออะไรแนข่ นมหรือเฮโรอีน ปากกา นาฬิกา และของมีค่าบางอย่างที่ลูกชอบ รายงานว่าทาหายหรือถูกเพ่ือนขโมย เอาไป หรือยืมเอาไปนน้ั หายจริงหรือเปล่า? มคี นยืมไปแนร่ ึ? หรือได้ถูกไขว้เขวไปเปน็ ค่า เฮโรอีนเสียแล้วเพราะนักสูบเฮโรอันรุ่นเล็กนั้น เขาจาเป็นจะต้องใช้เงินซ้ือเฮโรอีนวันละ ๓ – ๕ บาท พอดีบางท่านก็เห็นเด็กแสดงอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียว ก็นึกแต่แง่ที่ว่าลูก กาลังแตกเนื้อหนุ่ม อาจโกรธกับแฟนมาอารมณจ์ ึงไม่ดีและเอาแต่ใจตัวหาได้นึกเฉลียวใจ ไม่วา่ อารมณ์เชน่ นน้ั เป็นลักษณะหน่ึงของคนติดเฮโรอนี ที่ผมพูดน้ีมิได้ประสงค์จะก่อความระแวง แต่ต้องการให้ทุกคนเกิดความ ระวังและขอเรียนด้วยวา่ สถิติเด็กท่ีติดเฮโรอนี น้ัน มีเด็กจากครอบครัวทุกระดับแม้แต่ลูก ของคนมั่งมี และลูกค้าราชการชั้นผู้ใหญ่หมายความว่า ส่ิงเลวร้ายดังกล่าวน้ีเป็นภัย ร้ายแรงต่อเด็กทุกระดับเด็ก ที่พ่อแม่ยากจนคนผลิตเฮโรอีนมอมเอาไว้เป็นลูกมือ จาหน่ายเฮโรอีนเด็กที่พ่อแม่ม่ังมี เขาก็มอมเอาไว้เพื่อเป็นลูกค้าเจ้าจานาต่อไป คณะอนุกรรมการฝ่ายป้องกัน สานักงานกลางปราบปรามยาเสพติดให้โทษ ได้ติดตาม ศกึ ษาความเคลอ่ื นไหวของเฮโรอีนอยู่ตลอดเวลา เม่ือเห็นว่าเฮโรอีนทาท่าจะระบาดเข้าสู่ สังคมประเภทใด ก็พากันวางวิธีการเผยแพร่โทษของมันสกัดก้ันในทางน้ัน ครั้นมาใน ระยะนี้ คณะอนุกรรมการคาดการณ์ว่าเฮโรอีน กาลังทาท่าจะระบาดเข้าสู่โรงเรียนแล้ว
จึงได้พากันมุ่งหน้าสกัดก้ันทางด้านโรงเรียน โดยเรียกร้องเชิญชวนให้มีการประชุม ศึกษานเิ ทศก์ กระทรวงศกึ ษาธกิ ารเมอ่ื วันท่ี ๒๖ กรกฎาคมที่แล้วเพอ่ื ขอให้ศึกษานิเทศก์ ได้ไปกระซิบบอกครูบาอาจารย์ให้ทราบทั่วกัน จะได้ช่วยกันระวังเด็กของเรากวดขัน ย่ิงขึ้นซ่ึงก็ได้รับความร่วมมือจากศึกษานิเทศก์เป็นอย่างดีย่ิงในวันนั้นแม้ท่านปลัดและ ท่านรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการก็อุตส่าห์ไปน่ังฟังการอภิปรายอยู่ตลอดเวลา คณะอนุกรรมการเชอื่ ว่าหากไดร้ ับความร่วมมอื จากครูบาอาจารย์ซึ่งมอี ยูข่ ณะนีป้ ระมาณ ๓ แสนเศษเด็กนักเรยี นของเรา ๓ ล้าน ๕ เศษ กค็ งจะปลอดภัยมากขึน้ แต่อย่างไรก็ตาม หากผู้ปกครองทางบ้านไม่ช่วยดูแลเด็ก ให้กวดขันย่ิงขึ้น เราเอาไม่อยู่แน่ ที่ผมนามาพูดวันน้ีก็มีความมุ่งหมายจะเชิญชวน นดั แนะท่านที่ปกครอง เด็กๆ ทุกท่านทุกคนให้เพิ่มการดูแลเด็กยิ่งข้ึน โปรดอย่ามองข้ามการเปล่ียนแปลงแม้ เล็กน้อยในตวั เด็กเปน็ อันขาดเชน่ : ๑. การที่เด็กใช้เงินเปลืองอ้างเหตุต่างๆ เพ่ือขอเงินเพิ่มและแสดง อาการโมโหโทโสมากบังเอิญเราให้เงินน้อยกว่า ๓ บาทซึ่งเป็นราคาขั้นต่า ของเฮโรอีก ๒. การท่ีของใช้ของเด็กหายไปจะเป็นปากกา นาฬิกาเสื้อกางเกง รองเท้าหรอื อยา่ งอ่ืนกต็ ามซงึ่ เดก็ จะอ้างว่าเพอ่ื นยืมบา้ งหายไปบ้าง ๓. การเปลีย่ นแปลงทางอารมณข์ องเดก็ มักจะเกรีย้ วกราดตอนกอ่ น ไปโรงเรยี นและสนใจเปน็ พิเศษในการขอรบั เงนิ คา่ ขนมรายวัน ๔. หวงแหนกระเป๋าไปโรงเรียนหรือเสื้อผ้าส่วนตัวผิดปกติซึ่งบางที อาจมเี ฮโรอนี อยใู่ นนน้ั กไ็ ด้ ๕. อาการเบื่ออาหารร่างกายทรุดโทรมก็ควรสนใจด้วยอาจเพราะ โดนยกั ษ์ใหญส่ บู กินเสียกไ็ ด้ ในท่ีนี้ผมขอความกรุณาได้โปรด บอกกล่าวแก่มิตรสหายของท่านด้วย ว่าภัยเฮโรอีนประชิดตัวเต็มทีแล้ว และเมื่อพบเพ่ือนฝูงก็ควรถามกันว่า “เดก็ ของท่านปลอดภยั แล้วรึ?”
คนที่พระไม่โปรด เมื่อวันพุธก่อนได้วิจารณ์พระพุทธจริยาตอนหนึ่ง ซึ่งว่าด้วยการฝึกคนเป็น การแลกเปล่ียนวิธีการฝึกระหว่างพระศาสดา ของเรากับนายเกสีนักฝึกม้าแห่งประเทศ โกศลวันนี้ก็ตัง้ ใจจะบรรยายพระพุทธจริยาอีก จะว่าต่อกันไม่ว่าต่อกันก็แล้วแต่ท่านผฟู้ ัง จะคิดเอา แต่ก่อนจะเข้าไปถึงเนื้อหาของเร่ือง อยากจะชักชวนให้ท่านคิดอะไรสัก อย่างหรือประกอบการฟัง คือคิดถึงปัญหาเฉพาะหน้าของประเทศชาติในเวลานี้ พี่น้อง ทหารและท่านผู้ฟังทราบอยู่แล้ว ไม่ใช่รึว่าประเทศคืออะไร? แล้วชาติคืออะไร? พูดกัน ส้ันๆ รู้เรื่องเร็วๆ ประเทศคือแผ่นดิน อย่างเช่นประเทศไทยก็คือแผ่นดินไทยกางแผนท่ี ออกดูแลว้ จะทราบวา่ จากไหนถึงไหนข้างบนสุดแม่น้าโขง ข้างลา่ งสดุ ทะเลน่ีประเทศสว่ น ชาตหิ มายถงึ คนเจา้ ของประเทศคอื พวกเราๆ ทา่ นๆ นแ่ี หละเมือ่ สัก ๔ – ๓ ปกี ่อนถ้าใคร พูดขึ้นมาว่าเราจะต้องป้องกันประเทศชาติ ก็จะมีใครคนหนึ่งนึกท้วงอยู่ในใจว่าจะไป ป้องกันอะไรกันใครจะมาทาไมเรา? บางทีอาจถูกหาว่าเป็นโรคหวาดสงครามมาตั้งแต่ ครั้งวิ่งหลบลูกระเบิดฝรั่งโน่นก็ได้เพราะฉะนั้น เราจึงนิ่งเงียบกันมาหลายปีแต่บัดน้ีรู้สึก ว่าเราจะพดู เร่ืองป้องกันประเทศชาตกิ ันอกี แล้วใช่ไหม? ทถี่ ามกันว่าใครจะทาไมประเทศ ไทยนน้ั เด๋ียวนี้มนั ไมเ่ ป็นคาถามแล้ว เพราะรู้กนั หมดแล้วเมืองจีนเขาก็รู้ เมืองแขกเขาก็รู้ เมืองญวนเมืองลาวเขาก็รู้แล้วทาไมคนไทย จึงไม่รู้เสียงผู้ร้ายเดินสวบๆ อยู่แค่ข้างรั้ว น่ีเองทาไมจะต้องสงสัยอยู่อีกแต่ก็อย่างว่านั่นแหละเร่ืองป้องกันประเทศ? มันก็ต้องฟัด กนั เตม็ เหนย่ี วนัน่ แหละเรื่องนีข้ อผ่านไป อยากจะพูดเรื่องป้องกันชาติอย่าลืมว่า ประเทศคือท่ีอยู่ชาติคือ คนอยู่ มีแต่ประเทศถ้าไม่มีชาติก็เป็นป่าดง มีแต่ชาติไม่มีประเทศก็เป็น คนเรร่ ่อนเราจะต้องมีท้ังประเทศท้ังชาติ จงึ จะเป็นไทยแท้เหมือนตัวเรา กับใจเรามันต้องรวมกันสองอย่างจึงเป็นคนถา้ ใจไม่มตี ัวก็เป็นผีถ้าตัวไม่ มใี จกเ็ ป็นศพ ใชไ้ มไ่ ดท้ งั้ สองอย่างศพกใ็ ช้ไมไ่ ด้ ผกี ็ใชไ้ มไ่ ด้ ชาติก็คือคน ที่ทราบกันอยู่แล้ว ที่ว่าป้องกันชาติก็คือป้องกันคน ป้องกัน คนน่ะป้องกันทาไม กลัวคนไทยจะตายหมด? หรือกลัวคนไทยจะหนีไปอยู่เมืองนอกกัน หมด? อย่างว่าน้ันน่ะเราไม่กลัว ตายหมดก็เกิดใหม่ได้หนีหมดก็กลับมาได้ ท่ีป้องกันน้ัน คือป้องกันใจคน ป้องกันไว้ให้ใจคงเป็นใจไทย ถ้าใจเป็นชาติอื่นก็โอนตัวไปเป็นชาติอ่ืน เสียด้วยก็แล้วไป ถ้าตัวเราเป็นคนประเทศอ่ืนปากก็พูดภาษาอื่น แล้วใจก็เป็นอื่นไปด้วย เราก็ไม่ว่าเชิญตามสบาย ที่เรากลัวอยู่เป็นนักหนาก็ตัวยังเป็นไทยปากก็เป็นไทย แต่ใจ เป็นอย่างอ่ืนไปแล้ว นี่สิต้องระวังมาก อันตรายมาก เรานึกถึงมิตรสหายหรือคนรักของ
เราก็แล้วกนั ถา้ ตวั เขากไ็ มม่ ีทที ่าวา่ รักเรา ปากเขาก็บอกวา่ ไม่รักเรา แล้วใจเขากไ็ ม่รักเรา จรงิ มันกแ็ ล้วกนั ไป ไม่รกั กไ็ ม่รัก! ใครจะมาทาไม! แล้วเราก็ไม่เดอื ดรอ้ นอะไร ที่เดือดรอ้ น นนั้ เดือดร้อนกบั คนประเภททป่ี ากว่ารัก ตวั ก็ทาเป็นรัก แตใ่ จเป็นอน่ื ไปเสียแลว้ นสี่ ิทาให้ พระอินทร์เดือดร้อน ตอ้ งระวงั จงหนัก ที่ข้าพเจา้ พูดถึงการป้องกันชาติหรือป้องกันคนไทย น้ีก็มีเหมือนกันประการสาคัญท่ีสุดคือ ป้องกันใจคนไทยให้คงเป็นไทยข้าพเจ้าอยากย้า อกี สักนดิ ว่า ชาตไิ ทยเรากม็ หี ัวใจเหมอื นกนั หัวใจของชาติไทยกค็ อื หัวใจของคนไทยนเ่ี อง เมื่อสองสามปีก่อนอีกเหมือนกัน หากใครพูดว่า จิตใจของคนไทยเส่ือมโทรม คนน้ันก็ มักจะถูกค้อน หาว่าดูหม่ินคนไทยบ้างละ หาว่าไม่รู้อะไรบ้างละ แต่คร้ันตกมาปีนี้เราก็รู้ ความจริงกันมามากแล้วว่าอะไรเป็นอะไร หมดเวลาที่จะถกเถียงกันแล้วว่าเส่ือมจริง หรือไม่เส่ือมเลย เส่ือมน้อยขนาดไม่รักตัวก็มี เสื่อมมากขนาดไม่รักคนชาติเดียวกันก็มี เสื่อมเสียจริงๆ ขนาดไม่รักความเป็นไทยเลยก็มี แล้วอย่างน้ี จะสงสัยอะไรอยู่อีก ถ้าจะ วา่ กนั ให้จังๆ แล้วขา้ พเจา้ อยากจะพดู วา่ ชาติของเรากาลงั เริม่ ปว่ ยดว้ ยโรคหัวใจเขา้ จริงๆ จะเปน็ หัวใจโตหัวใจเล็ก ใจรั่วใจตันก็ไม่ทราบละแต่มีโรคหัวใจแทรกแน่ๆ และท่ีแน่ท่ีสุด ถ้าหากเราไมช่ ่วยรกั ษาไว้ ชาติไทยก็จะสิ้นสดุ ด้วยโรคหัวใจวายวนั หน่ึงจงได้ ท่ีพูดน้ีเป็นปริศนาให้คิดถึงการป้องกันประเทศชาติ คือควรคิด ป้องกันท้ังประเทศทั้งชาติ และการป้องกันชาติน้ัน ประการสาคัญคือ ป้องกันหัวใจของชาติ ว่าอีกทีหน่ึงก็คือป้องกันใจของเราน่ีเอง เพราะ คนเราถ้าใจไปแล้วตัวมันก็ไปด้วย วันน้ีไม่ไปพรุ่งนี้มันก็ไป ลูกชายเรา แท้ๆ ท่ีไปเป็นลูกเขยคนอ่ืนก็เพราะใจเขาไป ลูกสาวเราไปเป็นลูกสะใภ้ คนอ่นื กเ็ พราะใจเขาไป เรื่องใจสาคัญมาก พุทธะจริยาตอนตอนท่ีนามาพิจารณากัน คราวท่ีแล้วก็เป็นเรื่องเก่ียวกับ ปัญหาน้ีปัญหาการป้องกันจิตใจนี่เอง วนั นี้อยากจะขอให้พิจารณาเพ่มิ เติมอีกทบทวนนิด หน่อยก่อนสาหรับท่านที่ไม่ได้ฟังคราวก่อน คือคราวท่ีแล้วได้เล่าถึงพระพุทธจริยาตอน หนึ่งซึ่งมีเร่ืองย่อว่า นายเกสีนักฝึกม้าของประเทศโกศลได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลถาม ถึงวิธีการฝึกอบรมคน พระศาสดาของเราทรงตรัสบอกเขาว่าการฝึกคนมี ๓ วิธีคือ ๑. ช้ีคณุ ของการทาดี ๒. ชีโ้ ทษของการทาชว่ั และ ๓. ช้ีทั้งคณุ ทง้ั โทษให้เหน็ เสร็จแลว้ ก็ ผูกปริศนาให้กับนายเกสีเอาไปคิดตอนทา้ ยว่าถ้ารอดจาก ๓ วิธีนแ้ี ล้วฝึกไม่ได้ พระองค์ก็ ฆ่าเสียพุธที่แล้วสุดลงแค่นี้ วันนี้ขอให้เรามาพิจารณากันต่อไป ตามแนวปัญหาสาม ประเดน็ ที่ตั้งไว้แตว่ นั นั้นคอื ผรู้ บั การฝึกผู้ฝกึ และวิธีฝึก สาหรับผู้รับการฝึกไม่มีปัญญา ตามความหมายของพระพุทธวัจนะน้ัน แสดงว่า คนเราทุกคนจะต้องการฝึกทั้งสิ้น จึงจะใช้การได้ เฉพาะอย่างย่ิงคือการ
ฝึกอบรมใจวันก่อนได้เปรียบความไว้ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า ใจคนท่ีเกิดตามธรรมชาตินั้น ถงึ แม้จะดีก็ดีอย่างเหล็กแท่ง คือเหลก็ เป็นแทง่ ๆ แม้จะเป็นเหล็กเนอื้ ดีเท่าไหร่ก็ตามหาก ยังไม่ได้ดัดแปลงให้เป็นมีดพร้าจอบเสียมก่อน ก็ใช้การไม่ได้จึงจะเอาหั่นผักหรือปอก ผลไม้รับประทานก็ช้าหมดของดีๆ ก็ไม่เป็นตากิน ใจคนที่ไปฝึกอบรมก็เหมือนกัน เพราะฉะน้ัน การฝึกใจอบรมใจจึงเป็นหน้าท่ีของมนุษย์ทุกรูปทุกนามท่ีหวัง เจริญก้าวหน้าท้ังแก่ตัวเองแก่ครอบครัวและแก่ชาติบ้านเมือง ข้าพเจ้าอยากขอให้สนใจ กับพระพุทธะดารัสปริศนาสุดท้ายสักนิดหน่ึงว่า คนที่ฝึกไม่ได้พระองค์ทรงฆ่าทิ้งเสีย แน่ละท่ีว่าฆ่าทิ้งในพระดารัสนี้ไม่ใช่ความหมายถึงว่า ฆ่าให้ตาย หรือทาให้เขาเสียชีวิต แต่ความหมายว่าฆ่าออกจากกลุ่มเวไนยชน คือตัดออกจากจาพวกคนที่พระจะพึงโปรด เป็นคนที่พระโปรดไม่ได้ เรียกพระท้ิง อย่างนี้เรียกว่าฆ่าท้ิง คนประเภทต้องฆ่าทิ้งน้ี ความจริงมีอยู่ทั่วไป อย่างเช่นนักเรียนท่ีครูสอนไม่ได้ เป็นคนด้ือด้านนอกคอกนอกครู ทางโรงเรียนก็ฆ่าช่ือออก ไม่ส่ังไม่สอนละ คนอย่างน้ีเรียกว่าครูฆ่าทิ้ง คนไข้บางรายท่ี รักษาไม่ได้ หมอทรี่ ักษากต็ ัดเขาออกจากบัญชีคนไข้ ฆ่าชื่อออก มีเหมือนกัน เป็นคนหมอท้ิง ท่ีพระศาสดาตรัสว่าพระองค์ทรงฆ่าคนที่ฝึกไม่ได้ก็อย่างนี้เหมือนกัน คือฆ่าช่ือออกจาก กลุ่มเวไนย - คนครทู ง้ิ ชวี ิต กม็ แี ตอ่ ับเฉา - คนหมอทง้ิ ก็มีหวังตาย - คนพระท้ิง ก็มแี ต่จะต่าชา้ ลงไป เร่ืองมันเป็นอย่างน้ี และการที่พระโปรดไม่ได้ถึงกับตัดท้ิงนั้น จะว่าพระไม่ เก่งกไ็ ม่ได้ จะวา่ พระไม่มเี มตตากรณุ ากไ็ มไ่ ด้ จะว่าคาสอนไม่ดีก็ไม่ได้ แต่มันเปน็ เร่อื งไมด่ ี อยู่ในตัวของคนที่ถูกท้ิงน่ันเอง ถึงแม้คนทานาจะดีปลูกข้าวก็อย่างชนิดที่ ๑ ฟ้าฝน อานวยหมดแต่ถ้าเน้ือนามันไม่ดีมีแต่กรวกแต่หิน ปลูกข้าวก็ไม่ข้ึนเขาก็ต้องทิ้งที่ชาวนา ทิ้งนาขกี้ ระต่ายพรรคน์ ัน้ เสยี นั่นแหละแสดงว่าเขาเกง่ เขาฉลาดฉลาด จนรู้ว่านาพรรคน์ ้ัน ต้องทงิ้ การท่ีครทู ้งิ ศษิ ย์ทสี่ อนไมไ่ ด้ และพระทงิ้ คนทีโ่ ปรดไมไ่ หว นัน่ ก็แสดงวา่ ครูเก่งพระ เกง่ แลว้ เหมอื นกนั พี่น้องทหารและท่านผู้ฟัง ในบรรดาผู้ท่ีถูกท้ิงด้วยกันคนท่ีคนทิ้งนับว่า เคราะห์ร้ายมาก เราก็คนครูอาจารย์ท่านก็คนถ้าเราเป็นคนที่คนด้วยกันท้ิง มันก็แย่ เราน่ะไม่แย่หรอก เราคนที่ถูกทิ้งซีแย่แต่ก็ช่างเถอะเรื่องของคนก็อาจมีโมโหโทโสบ้าง คนที่ทิ้งเราอาจมีกิเลสรักชังหลงอยู่แต่คนที่พระทั้งสิ เคราะห์ย่ิงกว่าน้ันอีกหลายเท่า เพราะพระท่านมีเมตตากรุณามากกว่าคนธรรมดาลงได้เพราะทิ้งแล้วก็หมดกัน !
เพราะฉะน้ัน น่าจะได้คิดถึงตัวเองบ้างว่าเราเป็นจาพวกที่ว่าน้ีหรือเปล่า จาพวกพระไม่ โปรดน่ีถา้ เป็นก็จะได้รบี กลบั ตัวกบั ใจเสยี ข้าพเจา้ ขอแถมดว้ ยวา่ คนทน่ี ับถือศาสนาแล้ว เป็นสมาชิกของศาสนาไม่ว่า จะเป็นศาสนาใดก็ตาม อย่านึกว่าพระจะโปรดเสมอไป ไม่ว่าพระของศาสนาไหนก็ เหมือนกันถือศาสนาท่านแล้วก็ต้องเชื่อท่านๆ จึงจะโปรดได้อย่างพวกพุทธน่ีถึงจะแขวน พระเตม็ แผ่นอกแต่ถา้ ตัวเปน็ คนนอกศาสนาพระทไ่ี หนจะโปรด วกมาหาปัญหาต้นต้นอีกนิดหน่ึง คือการป้องกันชาติหรือการ ปอ้ งกันใจคนหลกั สาคญั ก็คอื ปอ้ งกันใจเราเองอย่าใหเ้ ป็นคนทีพ่ ระไม่โปรด อยา่ ง ท่ีว่ามาแล้วถ้าลงพระศาสนาไหนก็ไม่โปรดแล้ว ท่ีคนจะโปรดน้ันอย่าหวังอาจไป เป็นคนโปรดของยาบาลวา่ ไม่ถูก. ๑๙ ก.ค. ๐๔ บุญเดช–บญุ ฤทธิ์ เม่ือวันพุธท่ีแล้ว ได้จัดให้ท่านอนุศาสนาจารย์ผู้หน่ึง มาบรรยายธรรม คือร.ต. ทอง ไชยสาร แห่งกองอนุศาสาจารย์กรมยุทธศึกษาทหารบก ดูเหมือนจะลืม บอกให้ท่านผู้ฟังทราบว่าบรรยายเรื่องอะไร จึงบอกเสียในคราวน้ี เรื่องท่ีบรรยายน้ันคือ เรอ่ื งบุญกริ ิยาวัตถุหรอื พิธีทาบุญ บางทา่ นอาจคิดว่าเป็นเร่ืองท่เี คยฟงั มาแลว้ ถกู ข้าพเจ้า เคยนามาบรรยายและเขียนไว้ก็มี เช่นคาบรรยายพุทธศาสตร์เป็นต้น แต่ที่พูดแล้วเขียน แล้วเป็นวิธีทาบุญอย่างย่อ ๓ วิธี เป็นความรู้เร่ืองวิธีทาบุญเบ้ืองต้นเท่าน้ัน แต่จะเร่ิม บรรยายในรอบใหม่ เป็นวิธีทาบุญอย่างพิสดารซึ่งพระพุทธองค์ทรงวางวิธีทาไว้ให้ ๑๐ วิธีและครบถ้วนบริบูรณ์เพียงเท่านี้ ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากสิบวิธีนี้ หากท่านผู้ใด อยากได้บุญก็เลือกทาเอาในสิบวิธีน้ี เมื่อครั้งข้าพเจ้าบรรยายเร่ืองศีลห้าข้าพเจ้าได้เปิด โอกาสให้ท่านผู้ฟังถาม เร่ืองศีลทุกแง่ทุกมุมท่ีสงสัย แล้วเอามาตอบรวมเข้าไปในคา บรรยายทาให้คาบรรยายเร่ืองศีลห้าสมบูรณ์ทุกแง่ทุกเง่ือน เพราะได้เอาความข้องใจ สงสัยของทุกท่านทุกคนมาแก้รวมไว้ในน้ันแล้ว ในการบรรยายเรื่องวิธีทาบุญคราวน้ีก็ อยากจะทาอย่างนัน้ เหมือนกันคือเรามาวิจัยเร่ืองการทาบุญกันให้ขาวสักที พดู จบคราว น้ีแล้วก็ไม่ต้องพูดกันอีกก็ได้มีอะไรๆ ท่ีชาวพุทธทาอยู่จะเอามาวิจารณ์ให้หมดทั้งผิดทั้ง ถกู คิดว่าอยา่ งนี้
วิธีบรรยายนั้นลาดับแรก จะให้ท่านอนุศาสนาจารย์คนใด คนหน่ึง มาบรรยายทาง หลักวิชากอ่ น เช่นเม่ือวันพุธท่ีแล้วร้อยตรีทองมาบรรยายเรื่องทาน หนัก ไปทางหลักวิชา ครั้นพุธนี้ข้าพเจ้าจะบรรยายเรื่องเดียวกันอีก แต่เน้นหนักไปในทาง ปฏิบัติ หรือการวิจารณ์ทางเหตุผล จะสลับกันอย่างน้ีต่อไป คือพุธแรกท่านผู้อ่ืน พุธ หลงั ข้าพเจา้ เอง เวน้ แตจ่ ะมเี หตจุ าเปน็ จริง ๆ จึงจะเปล่ียนแปลง พุธที่แล้วท่านก็แปลกใจว่า เหตุใดข้าพเจ้าจึงไม่บรรยายเสียเองและ สอบถามมา ที่พูดตัดพ้อมาทางสายอยา่ งเชน่ คุณน้อม วังจันทรเกษม เปน็ ต้น ขอบคุณ ที่แสดงความหวังดีต่อข้าพเจ้า และโปรดทราบอีกครั้งว่า การจัดแบบน้ีเป็นความ ประสงค์ของข้าพเจ้าเองและเพ่ือประโยชน์แก่ท่านผู้ฟังจะได้เข้าใจธรรมะลึกซึ้งย่ิงข้ึน ขอบอกอีกนิดว่า นึกอย่างไรจึงเอาเรื่องวิธีทาบุญมาบรรยายในตอนน้ี มูลเหตุหรือ ขอ้ คิดมีอยสู่ องอย่าง คอื : ๑ . ก ารท าบุ ญ เป็ น ห น้ าท่ี อั น จาเป็ น ข อ งช าวพุ ท ธ คื อ วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของพุทธศาสนิกชนอยู่ที่ความพ้นทุกข์ ทุกคนต้องมุ่งสู่จุดนั้น จึง จะเช่ือว่าดาเนินตามรอยบาทพระศาสดา แต่พระศาสดาของเราทรงกาชับไว้เป็นหนัก หนาว่า ความพ้นทุกข์น้ันไม่มีทางที่เราจะพึงได้ด้วยการอ้วนวอนเอากะใคร ไม่มีทางท่ี จะได้ด้วยลาพงั ความคิด และความปรารถนา แต่จะได้ทางเดียวเท่านั้น คือการทาบุญ เพราะฉะน้ัน คนที่ปฏิญาณตนว่าเป็นชาวพุทธทุกคนต้องทาบุญ ถ้าปากอ้างว่าตัวเป็น พุทธศาสนิกแต่ไม่ทาบุญ ก็เป็นศาสนิกเพียงด้วยลมปาก ถ้าใจคิดว่าตัวเป็นพุทธศาสนิก แต่ไม่ทาบุญ ก็เป็นพุทธศาสนิกเพียงการนึกเอาเอง เมื่อการทาบุญเป็นหน้าที่จาเป็น หรือถ้าพูดกันอย่างสานวนท่านที่ถือศาสนาอิสลาม ก็เรียกว่า “รุก่น” คือการทาบุญ เป็นหน้าท่ีจาเป็นของชาวพุทธพอ ๆ กับรุก่นเป็นข้อปฏิบัติจาเป็นของชาวมุสลิมน่ันเอง เมื่อเป็นอย่างนี้เราก็น่าจะศึกษาหาความเข้าใจกันไว้ให้แน่ ๆ ว่าทาบุญคือทาอย่างไร ทาแล้วได้อะไร คนฐานะอย่างเราหาเช้ากินค่า หรือไร่นาไม่ได้ทา เพราะมาทาซ้ายหัน ขวาหัน ทั้งเช้าทั้งเย็น อย่างทหารเราน่ี จะทาอย่างไรหรือไม่เราจะได้สะสางกันเสียที พูดอย่างน้ีกรุณาอย่าเพ่ิงเอะอะคิดว่าข้าพเจ้าจะเร่ียไร ไม่มีแน่ นเี่ หตุอันหนึ่งท่ีทาให้คิด เสนอ เร่ืองน้แี ก่ท่านผู้ฟัง และ ๒. เวลาน้ีชาติบ้านเมืองของเรากาลังอยู่ในสภาพจาเป็นที่จะต้อง ปรับปรุงให้ดีขึ้น หรอื พูดกันว่าต้องพัฒนา เพราะมีลางบอกเหตุหลายส่ิงหลายประการ เตือนเราแล้ว ว่าเราจะน่ิงเฉย ๆ อยู่ไม่ได้ อุปมาเหมือนว่า พายุกาลังกระโชกมา ฟัง กาลังร้อง ท้องนภากาศดังเปร้ียงปร้างแสดงแน่ชัดว่าอีกไม่นา นฝนใหญ่จะมา
เราจะต้องซ่อมแซมหลังคาให้มั่นคง การพัฒนาสังคมทุกวันน้ีไม่ใช่ทาด้วยนึกสนุก แต่ เป็นการทาเพือ่ รบั มือกบั อุบตั เิ หตเุ ภทภัยทจ่ี ะโหมมาหาเรา ในสภาพการอย่างน้ี ข้าพเจ้าตรองดูแล้ว เห็นว่าสิ่งจาเป็นมากคือการ ทาบุญ ถ้าไม่มีคนประเภทน้ีให้เพียงพอแล้ว แก้ไม่สาเร็จ ข้าพเจ้าเคยจาได้ว่าท่านผู้ บญั ชาการทหารบกปัจจุบันเคยกลา่ วย้าหลายครั้งหลายคราวว่า เงินเรากู้เขาได้ แต่คน สิเราจะไปกู้ใคร ข้าพเจ้าก็เห็นอย่างนั้น และคนที่ว่านี้ คือคนบุญ ไม่ใช่คนบาป ถึง เวลาแล้วท่ีเราจะบาเพ็ญตัวเป็นคนบุญ เลิกเป็นคนบาปกันเสียที การนาเร่ืองบุญกิรยิ า วัตถุมาบรรยายในรายการนี้ ก็เพื่อเสนอแนะแนวทางทาตัวเป็นคนบุญแก่ท่านที่อาจยัง ลังเลใจ และขอเกร่ินไวด้ ้วยว่า ท่านผู้ตัง้ ตวั ต้ังใจเป็นคนบุญ ไม่มีทางเสียเปรียบ ไม่ว่า ต่อเพื่อนฝูง ต่อศัตรู ต่อสังคม หรือต่อใคร ๆ ก็ตาม เหตุผลสองประการนี้ ทาให้ ขา้ พเจ้ายกเอาเร่ืองบุญกิริยาวัตถุมาเสนอเพื่อการศึกษาในรายการนี้ ก่อนอ่ืนขอท่านได้ โปรดร้ือฟื้นความรู้และความทรงจาเรื่องบุญ ๆ บาป ๆ ในใจของท่านเอง เอาข้ึนมา ตรวจสอบซักซ้อมดู เป็นการปรบั ความคิดเห็นให้ตรงกันเสียก่อน และในการซ้อมความ เข้าใจเร่ืองบุญ – บาป ข้าพเจ้าจะยกเอาคาบรรยายเก่าในหนังสือคาบรรยายพุทธ ศาสตรม์ าอ่านเฉพาะตอนท่วี ่าด้วยความหมายของคาว่าบุญ – บาป ให้ทา่ นผู้ฟังคิดตาม ไป ความเข้าใจของเราจะได้ตรงแนวเดียวกัน ข้าพเจ้าได้บรรยายไว้เมื่อ ๕ ปีก่อนว่า ดงั นี้ ( เปดิ เสยี งจาก Tape ซง่ึ บนั ทึกจากพุทธศาสตร์ ฉ. ๒๕ ศตวรรษ หนา้ ๗๒๒ – ๗๒๗) จากคาบรรยายพุทธศาสตร์ตอนนี้ ให้ความกระจ่างแจ้งเร่ืองความหมาย ของคาวา่ บุญง่าย ๆ และถกู ต้องตามทรรศนะของพระพุทธศาสนาทุกประการ และบัดนี้ก็สรุปได้แล้วว่า ที่ว่าทาบุญ ๆ นั้นก็คือทาให้จิตใจของเราดีขึ้น อยา่ ใหม้ ันต่าชา้ เลวทรามลงไป จดุ สาคัญอยูต่ รงน้ี ทีน้ีพูดถึงเร่ืองประโยชน์ของบุญ มีบุญแล้วเอาไปทาอะไรได้ ? ปัญหานี้ กว้างขวางนัก เหมือนกับคาถามว่า “ความสะอาดมีประโยชน์อย่างไร ?” ซ่ึงเป็น คาถามท่ีมีคาตอบมากเกินกว่าจะเอามาพูดกันในเวลาจากัด จึงอยากขอจัดเข้าไปแง่ เดียวท่ีว่า อาจมีบางท่านยังคิดว่าคนทาบุญเป็นคนตัดช่องน้อย ถ้าผัวทาบุญก็ดู เหมือนว่าคดิ จะไปหาความสุขกบั นางฟา้ โน้น เมียเดิมไมเ่ กี่ยว เมยี ทาบุญก็ดูเป็นที่วา่ จะ ได้ไปพบเทพบุตรคนใดคนหนึ่งบนสวรรค์ ถ้าหากเป็นไปตามรูปนี้แล้ว คาทาบุญก็เป็น คนตัดช่องน้อยเอาตัวรอด เล่นจะหนีไปสบายคนเดียวนี่ ถ้าหากใครทาบุญแล้ว ปรารถนาอย่างน้ี คือปรารถนาจะไปหานางฟ้า หรือไปพบกับเทพบุตรในดวงใจใหม่
อยา่ งนี้เปน็ การนอกใจกนั ใช่หรอื ไม่ ? หนอย ใส่บาตรดว้ ยกันกรวดนา้ ด้วยกันแตต่ ่างคน ตา่ งปรารถนาจะมีแฟนใหม่ ดยู ังไงอยู่กระมงั อาจเพราะความเขา้ ใจวา่ ผลบุญเป็นอยา่ ง นี้แหละ บางคนจึงเกลียดคนทาบุญ พอผัวทาเมียก็ค้อน พอเมียทาบ้างผัวก็แขวะ คนทาบุญจะถูกอปั เปหิไปอยวู่ ัดเสยี ใหไ้ ด้ ทั้งนเ้ี ปน็ เพราะเมาฤทธิ์ คืออย่างนี้ จะพูดให้ฟัง สิ่งท่ีทาให้คนเมามีอยู่อย่างหนึ่ง คือฤทธิ์ ไม่ว่า จะเป็นฤทธ์ิของอะไรก็ตาม ถ้าถึงข้ันออกฤทธิ์แล้วเมาทุกอย่าง ข้าวกับน้าเอาดอง รวมกันเข้า กล่ันจนออกฤทธิ์ กินแล้วก็เมา คนเราถ้ามีอานาจวาสนามาก ๆ จนกระทั่งไม่ต้องทางานเนรมิตเอาได้ ก็มันจะเมาฤทธ์ิตัวเอง หากไม่ระวัง อย่าว่าแต่ คนธรรมดาเลย แม้พวกฤๅษีชีไพร พอออกฤทธิ์เหาะได้ ก็ชักจะเมาฤทธิ์ตัวเอง เหมือนกัน เพราะฤทธิ์เป็นของเมาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนมิให้พุทธสาวกเล่น ฤทธ์ิประเด๋ียวจะเมาฤทธ์ิ ของทุกอย่างมันมีท้ังสองขั้น คือ ข้ันฤทธ์ิกับข้ันเดช คือ มีท้งั ฤทธทิ์ ั้งเดช บุญก็เหมือนกัน ให้ผลได้สองช้ัน คือให้ในชั้นเดชก็ได้ ถ้าบุญรวมตัวเข้า มาก ๆ ก็ให้ได้ถึงฤทธ์ิ ท่ีพูดกันว่า จะมีนางฟ้านางอากาศคอยต้อนรับคนมีบุญนั้นนั่น มันเขา้ ข้ันบญุ ฤทธแ์ิ ลว้ อย่าไปสนใจมากนัก ประเดยี๋ วจะเมาบญุ ฤทธิข์ องตวั เอง คนเรา นี้แปลกนะ พอมีฤทธิ์หน่อยก็อยากแผลงฤทธิ์ แต่ครั้นแผลงฤทธ์เิ ข้าก็กลับเมาฤทธิ์แล้ว ลงท้ายก็คือหมดฤทธ์ิ ท่ีพูดน้ี พูดวน ๆ เวียน ๆ อยู่หนอ่ ย อยากจะบอกนิดเดยี ว ถ้า รักที่จะทาบุญแล้วอย่าไปสนใจกับนางฟ้า เทพบุตร เทวดาให้มากนัก มันจะเมา แล้ว มาสนใจกับบุญเดชดีกวา่ จะไปเมาบญุ ฤทธิ์ บุญเดช คืออานาจบุญ บางทีก็เรียกว่าบุญญานุภาพแปลว่า อานภุ าพบุญ ขอให้ท่านผู้ฟังกาหนดใจไว้ให้ดีว่า เดช กับ ฤทธิ์ ต่างกัน มันคู่กันก็จริง แต่มัน ต่างกัน ขอเปรียบเทียบอีกนิดเถอะ จะได้กาหนดใจง่าย ๆ อย่างเช่น เรามีปืนพกอยู่ กะตวั โจรผู้รา้ ยเห็นเข้าก็กลัว ไม่กล้ามาราวี หากถึงความจาเป็น เราอาจใชป้ ืนยิงเอา คนตายจริง ๆ ก็ได้ ตอนท่ีปืนทาให้คนกลัว ทาให้ไม่มีคนพาลมาเกะกะเราเป็นเวลา ๑๐ ปี ๒๐ ปี นับแต่มีปืนมา น่ันเพราะเดชปืน แต่ตรงที่ยิงเขาตายนั่นฤทธ์ิปืน คือ ปนื มันแผลงฤทธิแ์ ล้วทหารทาการฝึกหัดเตรยี มศัสตราอาวุธ พร้อมอยู่ท่ีจะรบชาติศัตรูรู้ เรื่องเข้าก็ไม่กล้ายกทัพมาย่ายีบ้านเรา น่ีเพราะเดชทหาร ถ้าข้าศึกบังอาจยกมา พวกเรากระโจนออกรบจรงิ ๆ นน่ั เป็นตอนทหารแผลงฤทธ์ิ ทกุ ส่ิงทุกยา่ งมผี ลสองตอน อย่างน้ี คอื แสดงออกมาเป็นเดช หรือออก มาเป็นฤทธิ์ ถ้ายังแสดงออกมาเป็นเดชอยู่ ก็อยู่ได้นาน ถ้าถึงข้ัน แผลงฤทธิ์แล้ว มันถึงจุดสุดยอด ประเดี๋ยวก็เมาและสิ้นฤทธ์ิ ที่วกกลับไปพูดย้อนต้น คอื อยากให้เห็นเรือ่ งบญุ เดช บญุ ฤทธ์ชิ ัด ๆ ทาไมขา้ พเจ้าจึงชักชวนใหส้ นใจกับบญุ เดชมาก
ก็เพื่อจะได้รู้ค่าของบุญ และอยากทาบุญ, ค่าของบญุ จรงิ ๆ อยู่ท่บี ุญเดชน่ีเอง มีเดช อย่างไร ? มีเดชคือ มีอานาจ กาจัดบาปได้ บาปทราบแล้วมิใช่รึว่า คือความเสีย บุญคือความดี ความดมี ากข้นึ มนั ก็ไล่ความเสียไปไดม้ าก เพราะดีกับเสียมนั เปน็ คนละ พวก ดมี ากขน้ึ เสียกล็ งเป็นธรรมดา ในผนื ผ้า – ถา้ ความสะอาดมากขน้ึ ความสกปรก ก็น้อยลง ในบ้านเรา – ถ้าความสว่างมากขึ้น ความมืดก็น้อยลง ในร่างกายเรา – ถ้า สุขภาพดีข้ึน ความเจ็บป่วยก็น้อยลง มันไล่กันอยู่อย่างน้ี ในใจคนเราก็เหมือนกัน ถา้ บุญในใจมากขนึ้ ความคิดผิด ๆ เลว ๆ ก็น้อยลง ยิ่งบุญในใจของใครมากขึ้นเท่าไร ความปลอดภัยทางใจกย็ ง่ิ มากขึ้น เท่านั้น และเมื่อใจของเขาปลอดภัยมาก ตัวเขาก็ไม่เป็นภัยแก่คนอื่น ไม่เป็นภัยแก่ทุกคนที่ไปรักใคร่ใกล้ชิดเขา เพราะคนใจบุญผิดจากคนใจบาป คนใจบาป พร้อมที่จะเปน็ โจรเมื่อคนอ่นื รวย พร้อมที่จะเอาเปรียบเมือ่ คนอื่นเผลอ และพรอ้ มทจี่ ะ เป็นเพชฌฆาตเมื่อคนอื่นขดั ใจ พร้อมที่จะทอดทง้ิ ไปยามทา่ นวิบัติ ความรักของคนบาป จึงเหมอื นกบั น้าผ้ึงท่ีแทรกด้วยยาพษิ ตรงกันข้าม คนท่ีมบี ุญในใจมาก ยอ่ มพรอ้ มที่จะ ช่วยคุ่มครองเม่ือยามคนอ่ืนมีทรัพย์ พร้อมท่ีพิทักษ์เมื่อคนอ่ืนเผลอ พร้อมท่ีจะให้อภัย เมื่อคนอ่ืนล่วงเกิน และพร้อมท่ีจะเป็นเพื่อนยากในยามวิบัติ เดชของบุญนั้นแสดง ออกมาอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าได้ย้าว่า หน้าท่ีของพ่อบ้านแม่บ้านอันหนึ่ง คือ การสร้างบุญขึ้นในใจของคนในบ้านเรือน และท่ีว่านี้ ก็ไม่ใช่ข้าพเจ้าว่าเอาเอง พระ พุทธองค์ก็ทรงสอนไว้อย่างน้ี มีมาในพระไตรปิฎก เล่ม ๒๒ หน้า ๘๕ เปิดดูก็ได้ ถ้าขยายส่วนออกไปถึงบ้านเมอื ง หน้าท่ีอนั หน่งึ ของพอ่ เมอื งกค็ ือ หาทางสรา้ งคนใจบุญ ขึ้นในเมืองให้มาก ๆ คนบาปจะได้น้อยลง การสร้างคนบาปขึ้นมาก ๆ ทีแรกสนุกดี แต่ร้ายท่ีสุคือคนบาปก็มีฤทธ์ิในทางทาบาป หนักเข้าก็เป็นภัยแก่ผู้สร้างเข้าน่ันเอง เพราะเขาเป็นคนบาป จะให้เขาทาอะไรล่ะ เขาก็ต้องทาบาปตามเรื่องของเขา แสดงบทบาทเป็นผู้ร้ายแสดงบทบาทโจร แสดงบทบาทเป็นนักค้าเฮโรอีน แสดงบทบาทหากินทางมิจฉาชีพ และอ่ืน ๆ ถ้าคนบาปแสดงบทบาทบาป ๆ ออกมา ก็อย่าไปว่าเขา ถ้าจะว่าก็ว่าคนสร้างคือสนับสนุนให้เข้าเป็น ถ้าบรรจุบุญเข้าในใจของ คนได้แล้ว บทบาทอยา่ งวา่ น้ีไม่ต้องห่วงแลว้ สร้างคนบุญน้ันเหมือนมงุ หลงั คาให้ตัวเอง อยู่ ไม่มีภัย มีแต่ความปลอดภัย อย่างนี้เป็นบุญเดช เห็นกันทันตา เพราะฉะน้ัน ขอให้เราทุกคนมาช่วยกันสร้างคนให้มาก ๆ และให้เกียรติยศแก่คนบุญอย่างเต็มที่ ส่วนวิธีสร้างบุญ ซ่ึงพระศาสนาสอนแก่คนบุญอย่างเต็มที่ ส่วนวิธีสร้างบุญ ซึ่งพระ ศาสนาสอนไว้ ๑๐ วิธีน้ัน วิธีแรกท่านอนุศาสนาจารย์ผู้ท่ีมาบรรยายเม่ือวันพุธก่อน ไดบ้ รรยายไว้แลว้ คอื การให้ หรือเรยี กวา่ ทาน, การให้ ท่ถี ูกทีส่ ุดก็คือ สละทรัพย์ ของเราสนับสนุนให้คนทาความดี พูดอีกทีจาง่าย ๆ ว่า การทาบุญด้านการให้ก็คือ ให้แก่คนทาบุญ ถ้าให้แก่คนทาบาปก็ไม่ได้บุญ ถ้าเราอยากได้ดอกกุหลาบหอม ๆ
ก็ต้องให้น้าให้ปุ๋ยแกต้นกุหลายจึงจะได้ เราเอาน้าไปรดต้นอุตพิดแต่คิดจะเอาดอก กหุ ลาบมันจะได้ยังไง? การอธิษฐาน คือต้ังใจให้แน่วแน่ที่จะทาความดีไม่เสีย มีแต่ดี คล้าย ๆ กับคนที่เป็นนักเรียน ตั้งใจอยู่เรื่อยว่าจะเรียนหนังสือกินข้าวก็นึกว่าจะ เอาแรงไว้เรียน นอนก็คิดว่าจะเอากาลังไว้เรียน มีเงินก็นึกว่าจะเอาไว้ซื้อหนังสือ เรียน อย่างน้ีดี น่ีอธิษฐานเหมือนกันคนที่ทาบุญทีไรอธิษฐานทุกที ก็คล้าย ๆ กันนี.้ ปญั หาเรือ่ งโลกหนา้ ทจี ริงหรอื ไม่ ? (จากปายาสิราชญั ญสตู ร พระไตรปฎิ ก เลน่ ๑๐ หน้า ๓๕๒) พระไตรปิฎก คัมภีร์สูงสุดของพระพุทธศาสนา เพียบพร้อมด้วย หลักธรรมอันประเสริฐ และแพรวพราวด้วยวรรณคดี ลีลาแห่งภาษาบาลี ประหนึ่งยุ้ง ฉาง หรอื เรอื นคลงั ทบ่ี รรจเุ ต็มด้วยเสบยี งอาหารนานาชนดิ คอลมั น์พุทธศาสตร์นี้อุปมา เหมือนสารับกับข้าว ที่ข้าพเจ้าเบิกจากคลังออกมาปรุงด้วยรสมือของตนเอง สิ่ง ประกอบทั้งปวงมาจากคลังแต่เปรี้ยวหวานเค็มจดื เป็นของข้าพเจ้าเอง อนึ่ง เร่ืองท้ังปวงจากพระไตรปิฎกท่ีจะเสนอท่านในคอลัมน์นี้ โปรดพิจารณาเอา ประโยชน์ ๓ ประการคือ ๑. หลักวิชาของศาสนา ๒. วีรกรรมของบุคคลในเรื่อง และ ๓. ธรรมปฏิบัติเพื่อเราเอง ติดตามคอลัมน์นี้ไปท่านจะได้ด่ืมด่ารสธรรมอัน ประเสริฐจากพระไตรปิฎก ไม่ใช่แต่พระพุทธองค์เท่านั้น ท่ีถูกคณาจารย์นอกศาสนาไล่ต้อนด้วยการ ซักถามปัญหาอย่างหนักหน่วง เช่น คราวท่ีทรงถูกสัจจกนิครนถ์ท้าทาย ดังได้เสนอใน พุทธศาสตร์คราวก่อนแล้วน้ัน บรรดาพระสาวกผู้ทาการประกาศพระศาสนาก็ถูกรังแก มาอย่างโชกโชนแล้วทั้งนั้น บางครง้ั ก็ต้องต่อสกู้ ับนกั ปรัชญาใจน้อย บางคราวก็โดนนัก ปรัชญาปากแขง็ และบางทยี ังแถมเปน็ นกั โตค้ ารมมอี ิทธพิ ลกง่ึ นกั เลงเสยี ด้วยซ้า ซ้าร้าย ยังมีนักปราชญ์ที่ไม่กล้าแสดงตัวคอยส่งแต่สานุศิษย์ออกตอดเล็กตอดน้อยก่อความ ราคาญไม่รู้จักเสร็จส้ินก็มี ด้วยเหตุนี้เองพระพุทธองค์จึงประทานพระโอวาทแก่พุทธ สาวกเสมอว่า ผ้ทู ากิจพระศาสนานนั้ อปุ มาเหมอื นช้างรบทย่ี ่างลงสู่สมรภูมแิ ล้ว จะต้อง ทนต่อลกู ธนูทีเ่ ขายงิ มาท้งั ส่ีทิศ
ในยุคพุทธกาล ซึ่งก็คงจะระยะใกล้เคียงกับนิคมรนถ์ใหญ่เมืองไพศาลีท้า โต้คารมกับพระศาสดาของเราน่ันเองพระสาวกรูปหนึ่งช่ือกุมารกัสสปะ โอรสบุญธรรม ของพระราชาปัสเสนทิ แห่งประเทศโกศล ได้พาลูกศิษย์จาริกเข้าไปประกาศพระ ศาสนาในนครเสตัพยะ อันเป็นจังหวัดชายแดนของประเทศโกศล และราชาปายาสิ ราชัญญะเปน็ ผูค้ รองนคร ทา่ นพระกุมารกัสสปะก็คงจะทราบอยู่แล้วเหมือนกันว่า ปายาสิเป็นราชา ที่ปากแข็ง ด้ือรั้นในความคิดเห็นของตนเอง จนแม้แต่พระราชาปัสเสนทิ พระบิดา เล้ียงของพระเถระเอง ก็ทรงส่ันเคียรมาแล้ว จะเสด็จมาเยือนนครนี้บ้างก็เพียงนาน ๆ ครั้งเท่านั้น และประการสาคัญที่สุด ปายาสิไม่เชื่อคาสอนทางศาสนา เขาไม่เช่ือเป็น เด็ดขาดว่าโลกหน้ามีจริง จนกระท้ังพวกเจ้าลัทธิต่าง ๆ เอือมระอากันมาแล้วท้ังน้ัน เสตัพยะเกือบจะกลายเป็นแผ่นดินที่นักบวชปักกลดไม่ลงอยู่แล้ว การที่พระกุมารกัส สปะนาขบวนพระพุทธสาวกเข้าไปจาริกประกาศธรรมในดินแดนเสตัพยะดู ๆ ก็เหมือน ฝูงผีเส้ือจากพระราชาอุทยานพลัดเข้าสู่ถิ่นกากลางดงใหญ่ อย่างนั้นเอง ในสายตาของ นกั ปราชญ์ฝา่ ยปายาสิ เหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่ใคร ๆ คาดไว้ วันหนึง่ ขณะทท่ี ่านพระกมุ ารกสั สปะพานกั อย่ทู ่ีป่าไมส้ เี สยี ดทางทศิ เหนือ ของตวั เมอื งเสตัพยะ ปายาสริ าชญั ญ์พระราชาเจ้าคารมได้พาขา้ ราชการและชาวเมอื งไป หาท่านเพื่อเป็นการเยี่ยมเยียนและสนทนาข้อปัญหากับท่าน ดังท่ีได้เคยทรงทากับ นกั บวชในลทั ธิศาสนาอื่น ๆ มามากแล้ว “เปน็ การดแี ลว้ ทา่ นกัสสปะ ที่ทา่ นมาเผยแผ่ศาสนาในถน่ิ นี้ อยากจะถาม ปัญหาข้องใจบางอยา่ ง ท่านกัสสปะจะขดั ขอ้ งหรือไม่ ?” ราชาปายาสิปรารภข้ึน “ได้สิราชัญญะ อาตมภาพยินดี” พระเถระทูลตอบ “พระองค์ทรงใคร่ จะสนทนาเรอ่ื งอะไร” “ข้าพเจ้ายังสงสัยเร่ืองชาติหน้า ท่านกัสสปะ, ทางศาสนามักจะสอนว่า ชาติหน้ามีจริง คนทาบาปแล้วตกนรก ทาบุญแล้วไปสวรรค์ แต่ข้าพเจ้าเองไม่เชื่อว่า ชาตหิ น้าทีจรงิ โลกคงมีโลกเดียวคือโลกนีเ้ ทา่ น้ัน” ราชญั ญแ์ ถลงความเห็น “ราชัญญ์ ทาไมพระองค์ตรัสอย่างนั้น อาตมภาพขอทูลถามอะไรหน่อย ขอใหท้ รงตอบอย่างตรงไปตรงมา” “ได้, ถามมาสิทา่ นกสั สปะ” “อาตมภาพขอทูลถามวา่ พระจันทร์กบั พระอาทติ ย์ท่สี อ่ งโลกอยทู่ กุ วนั ทุก คืน มีจริงไหม ราชญั ญ์ ?”
“มีสิท่านกัสสปะ ใคร ๆ ก็เห็นกันทง้ั น้นั ” “นน่ั แหละราชัญญ์ อาตมาขอทูลถามวา่ พระจนั ทรก์ บั พระอาทิตย์นั้นมอี ยู่ ในโลกเดยี วกับทเ่ี ราอย่กู นั นีห้ รอื เปล่า ?” “เปล่าเลย ท่านกัสสปะ ในโลกที่เราอยู่น้ีไม่มีพระจันทร์กับพระอาทิตย์ แน่นอน” ราชัญญ์ “ถา้ เช่นน้นั กห็ มายความว่า ยังมโี ลกอ่ืนนอกจากโลกนี้ ใช่ไหม ราชัญญ์ ?” “มันคนละเรื่องกัน ท่านกัสสปะ ท่ีข้าพเจ้าไม่เช่ือน้ัน คือไม่เชื่อว่ามีโลก อืน่ นอกจากโลกน้ี ที่คนเราตายแลว้ จะต้องไปเกดิ ทนี่ ัน้ ” ราชัญญ์ “อาตมภาพทราบแล้ว ราชัญญ์ และกาลังทูลตอบเร่ืองนั้นอยู่แล้ว พระองค์ทรงเชื่อวา่ เทวดามีจรงิ ไหม ?” พระเถระ “ขา้ พเจ้าเชื่อวา่ เทวดาตอ้ งมจี ริง” ราชัญญ์ “ขอประทานอภัยอีกครั้ง ในสังคมมนุษย์เรานี้ พระองค์ทรงเห็นมีเทวดา ไหม ?” พระเถระ “ไม่เคยเหน็ ท่านกัสสปะ” ราชญั ญ์ “ถ้าเชน่ น้ันก็หมายความว่า พวกเทวดามีทอ่ี ย่อู น่ื จากพวกเราใชห่ รือไม่ ?” พระเถระ “ใช่ ทา่ นกัสสปะ” ราชญั ญ์ “น่นั กห็ มายความว่า มโี ลกอ่นื จากโลกนี้ใช่ไหม ราชญั ญ์ ?” พระเถระ “แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เชื่อว่า คนเราตายแล้วจะไปเกิดในโลกหน้า ท่านกัสสปะ” ราชญั ญ์ “ราชัญญ์ พระองค์ทรงมีเหตุผลย่างไร ที่ทาให้ไม่ทรงเช่ือว่าโลกหน้ามี ขอใหท้ รงแถลงดว้ ย” พระเถระ “ท่านกัสสปะ ข้าพเจ้าได้ทดลองติดต่อดูหลายครั้งหลายคราวแล้วไม่ได้ เรอ่ื ง” ราชัญญ์ “ขอไดท้ รงอธิบายวธิ ตี ิดต่ออีกบ้าง” พระเถระ “ข้าพเจ้าได้ส่ังกับญาติท่ีรักสนิทหลายคน และสั่งกับพวกเสนาอามาตย์ก็ หลายคน เมื่อเขาเหลา่ น้ันจวนจะตาย ขอให้เขากลับมาบอกวา่ เขาไดไ้ ปตกนรกหรอื ขึ้น สวรรค์จริงตามที่ทางศาสนาสอนหรือเปล่า แต่แล้วไม่เห็นมีใครกลับมาบอกสักคนเดียว นี่แสดงว่าโลกหน้าไม่มี นรกสวรรค์ไมม่ ี ถ้ามีก็จะต้องมีคนกลับมาบอกข้าพเจ้าบ้างเป็น แน”่ ราชญั ญ์
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ราชัญญ์ สมมติว่าผู้ร้ายฉกรรจ์คนหน่ึง ทาความผิด อย่างร้ายกาจ ตารวจไปจับเขาได้แล้วนาตัวมาข้ึนศาล แต่ก่อนจะออกจากบ้าน พวก ญาติของผู้ร้ายคนนั้นได้ขอร้องเขาว่า ถ้าหากคนทาผิดอย่างน้ีต้องรับโทษประหารชีวิต จริงแล้ว กข็ อให้เขาช่วยกลับไปบอกดว้ ย ผรู้ า้ ยคนนั้นก็รบั คา แต่ครั้งตัวเขาถูกนามาขึ้น ศาลแล้วศาลได้ตดั สินประหารชวี ิตเขา หลงั จากนนั้ เพชฌฆาตก็นาตัวเขาไปประหารชวี ิต เมอ่ื เขารับโทษแลว้ เขาจะกลับไปบอกแกญาติพน่ี อ้ งตามท่ีรับปากไว้หรอื ไม่ ?” พระเถระ “ฮึ ! ไม่ได้สิท่านกัสสปะ ก็มันตายแล้วน่ี โทษมันหนักมาก จะกลับไป บอกญาติไดอ้ ยา่ งไร !” ราชัญญ์ “ถ้าเช่นน้ัน พวกญาติของเขาท่ีคอยอยู่ก็ไม่ควรจะเชื่อว่าโทษประหารมี จริง ตามทีผ่ พู้ ิพากษาวา่ ใช่ไหม ราชัญญ์ ?” พระเถระ “เอะ๊ , ถ้าใครคิดวา่ โทษประหารไมม่ จี รงิ คนนัน้ กค็ ดิ ผดิ สิ ทา่ นกัสสปะ “เช่นเดยี วกนั ราชัญญ์ พระองค์ไปทรงสัง่ คนบาปหนกั ว่า ถ้าตกนรกจริง ขอให้มาทูลให้ทรงทราบ แลว้ ใครจะปล่อยให้เขามา ?คร้นั พระองค์ทรงคอยแล้วไม่เห็น เขากลับมาทูลให้ทรงทราบ พระองค์ก็ทรงคิดว่า นรกไม่มีจริงเป็นความคิดท่ีถูกต้องดี แล้วหรอื ราชัญญ์” ราชาปายาสิ ทรงจานนด้วยเหตุผลของท่านพระกุมารกัสสปะบ้างแล้ว แต่ก็มิใช่การยอมจานนโดยสิ้นเชิงพระองค์ยังมีข้อโต้แย้งอยู่อีกมาก ตามวิสัยของคนเจ้า คารมจึงรับสั่งซกั ไซ้ต่อไปวา่ “เอาละ ท่านกัสสปะ เร่ืองนรกยกไว้ก่อน ข้าพเจ้าเห็นด้วยที่ว่าคน ตกนรกแล้วไม่อาจกลับมาบอกเราได้เพราะเขาทุกข์มาก ก็แล้วคนเกิดในสวรรค์ล่ะ มีความสุขสบายทุกอย่าง แล้วเทวดาก็มีเวลาว่างมากเพราะไม่ต้องทามาหากิน ถ้าแม้ ญาติของข้าพเจ้าบางคนที่ทาบุญไว้มากมายซ่ึงตายไปแล้วนั้นจะกลับมาบอกก็ไม่ได้ แล้วกท็ าไมจึงไม่เหน็ กลบั มาบอกสกั คน ถ้าหากสวรรคม์ ีจรงิ ตามท่ที ่านกสั สปะว่า ?” “เด๋ียวก่อน ราชัญญ์ พระองค์อย่างเพ่ิงด่วนตัดสินพระทัยเช่นน้นั ขอให้ พระองค์รับทราบความจริงอันหน่ึงเสียก่อน คือเรื่องระยะกาลเวลาท่ีแตกต่างกัน ระหว่างโลกท้ังสอง คือมนุษยโลกกับ เทวโลก ในเทวโลกนั้นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งนาน เท่ากับ ๑๐๐ ปีของโลกมนุษย์ ถ้าหากพระญาติของพระองค์คนใดคนหน่ึง ไปเกิดใน เทวโลกซึ่งเต็มไปด้วยกามารมณ์ทุกชนิด ถ้าเขาคิดวา่ ขอเสวยสุขให้สาราญใจสักวันหนึ่ง ก่อน แล้วจึงจะกลับมาทูลให้พระองค์ทรงทราบ ก็หมายความว่า พระองค์จะต้องทรง รอคอยเขาอยู่ ๑๐๐ ปี เกินกว่าอายุขัยของมนุษย์ในยุคน้ีแล้ว พระองค์จะได้พบเขา หรอื ?”
“แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เชื่อว่า ระยะเวลาวันคืนระหว่างโลกจะต่างกันอย่างนั้น ใครเล่าบอกทา่ นกสั สปะ หรือว่าร้เู อาเอง ข้าพเจา้ ไมเ่ ชอ่ื ” ราชญั ญ์ยงั เสยี งแข็ง “ราชัญญ์ พระองค์จะเช่ือว่าสวรรค์มีจริงหรือไม่และเวลาในสวรรค์ต่าง จากเวลาในมนุษย์โลกตามที่อาตมาแสดงน้ันจริงหรือไม่ น่ันย่อมแล้วแต่พระองค์” พระเถร - กมุ ารกัสสปะทูลราชาปายาสิเป็นเชิงข่มทิฐขิ องพระองค์ หลังจากท่ีท่านเพียร แสดงเหตุผลแล้ว ๆ เล่า ๆ แตพ่ ระราชายังทรงยืนกรานว่าไมเ่ ชื่ออยูร่ ่าไป “ของท่ีมจี ริง แต่บางคนอาจไม่เชื่อวา่ มีจริงก็ได้, อาตมาขอทูลถามพระองค์ว่า ถ้าเราบอกคนตาบอด แต่กาเนิดว่า ในโลกน้ีมีสีดา แดง ขาว เหลือง มีพระจันทร์ พระอาทิตย์ แต่คนตา บอดกย็ นื กรานวา่ เขาไม่เชอื่ เพราะเขาไม่เคยเห็น พระองค์จะทรงรูส้ กึ อย่างไร ?” “ท่านกัสสปะ อย่างนี้คนตาบอดก็ผิดละสิ ! เพราะส่ิงท่ีเขาเล่าให้ฟังนั้น มันมจี ริง ๆ แต่ตัวแกไมเ่ ห็นเอง แล้วกบ็ อกวา่ ไม่เชื่อ” ราชาปายาสิตรสั ตอบ “ก็แล้วพระองค์ล่ะ ราชัญญ์ ? อาตมาทูลว่าสวรรค์มีจริงสักเท่าไร ๆ พระองคก์ ็รับสั่งแตว่ ่าไม่เช่ือโดยทรงอ้างแตว่ ่าไมเ่ คยเหน็ เหมอื นกับคนตาบอดแตก่ าเนิด หรือเปล่า ? !” “เรื่องสวรรค์ – นรก ไม่ใช่ของที่จะเห็นได้ด้วยตา เนื้อนี่ ราชญั ญ์ คนท่ี จะเหน็ ไดต้ ้องทาความเพยี ร อบรมจติ ใจจนเกดิ ตาทิพย์กอ่ น แลว้ ก็จะเหน็ ด้วยตาทิพย์” ราชาปายาสิไม่ยอมเช่ือว่าสวรรค์มีจริง และไม่เช่ือด้วยว่ามีพระภิกษุหรือ ผใู้ ดผ้หู นงึ่ เคยเห็นสวรรค์ ท่านพระกุมารกัสสปะก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะสร้างความเช่ือแก พระราชาเจ้าคารมให้จงได้ ท่านได้ทูลขอให้พระราชาทรงแถลงเหตุผลประกอบอีกครั้ง ว่า ที่ไมเ่ ช่อื นั้นทรงมเี หตุผลประการใด ? ราชาปายาสิ ผู้ซึ่งถูกพระเถระเปรียบเทียบว่าเป็นคนตาบอดแต่กาเนิด มาแลว้ ไดท้ รงแถลงขอ้ ความเปน็ ทานองแกล้ ากันว่า “ท่านกัสสปะ ข้าพเจ้าเห็นพระสงฆ์พากันพร่าพรรณนานักหนาว่า สวรรค์มีจริง คนทาบุญแล้วจะตายไปเกิดในสวรรค์ และสวรรค์เพียบพร้อมไปด้วย สารพัดความสุขกว่าโลกมนุษย์อย่างน้ันอย่างนี้ แต่ก็ไม่เห็นมีพระรูปใดที่อยากตาย ตรงกันข้าม กลับห่วงชีวิต อยากมีอายุยืน ถ้าสวรรค์มีจริง และคนรักษาศีลจะได้เกิด ในสวรรค์จริง พวกท่านก็รักษาศีลได้แล้ว ทาไมไม่รีบตายเสียล่ะ ? ! ด่ืมยาพิษก็ได้ กระโดดเหวตายก็ได้ เอามีดเชือดคอตายก็ได้ ทางที่จะรีบตายไปเกิดในสวรรค์มีออก หลายทางทาไมไม่ทา ? จะต้องมาทนมีชีวิตอยู่ให้มันลาบากลาบนทาไม ? จะไม่จริง
อย่างปากพูดละมั้ง ?” ราชาปายาสิทรงปล่อยวาทะเชิงกระแทกกระท้ัน ค่อนข้างหนัก หนว่ ง แต่พระเถระก็ทูลช้ีแจงด้วยข้ออุปมาอีกว่า “ราชัญญ์สมมติว่าผู้หญิงสอง คนรว่ มสามีเดียวกัน คนเมียหลวงมีลูกชาย ๑ คน คนเมยี น้อยกาลังมีทอ้ ง พอดผี ัวตาย ทั้งสองจะแบ่งมรดกกัน โดยถือหลักตามธรรมเนียมท่ีว่าลูกชายจะต้องได้ทรัพย์มรดก ของพ่อทั้งหมด แต่ถ้าหากลูกของเมียน้อยเป็นชายด้วย ก็จะได้แบ่งทรัพย์ครง่ึ หนึ่งฝ่าย นางเมยี น้อยเหน็ กองมรดกของสามีแล้ว ก็อยากให้ลกู (ในทอ้ ง)ได้สว่ นแบ่ง จึงตกลงใจว่า ให้วานคนอ่ืนผ่าทอ้ งของตวั เพื่อจะเอาลกู ออกรับมรดกให้ได้ ราชัญญ์ พระองค์คิดไหม วา่ หญิงท่ีให้เขาผา่ ทอ้ งตัวน้ันทาถูกแลว้ ?” “ทาอยา่ งนั้นมันจะถูกอย่างไรกัน ทา่ นกัสสปะ ผลทีส่ ุดมนั ก็ตายท้งั แม่ทั้ง ลกู ใครเลา่ จะไดส้ ่วนแบง่ ?!” ราชาปายาสิ “ก็ทพี่ ระองค์จะให้พระเจ้าพระสงฆร์ บี ฆ่าตัวตายเพื่อไปเอาสมบตั ิในสวรรค์ กเ็ หมือนกนั คนฆ่าตวั ตายโดยอ้างว่าตนมีบุญพอควรแล้ว จะรีบไปสวรรค์ ก็เหมอื นกับ ผู้หญิงรับผ่าท้องเอาลูกที่ยังไม่ถึงกาหนดคลอดออกมารับส่วนแบ่งสมบัติผัวน่ันเอง คน ฉลาดเขาไมท่ ากนั ” พระเถระทลู ตอบ ท่านพระกุมารกัสสปะโต้ตอบด้วยข้ออุปมาอย่างเหมาะเจาะ น่าฟังมาก สมกับท่พี ระศาสดาทรงตั้งท่านใหเ้ ปน็ เอตทคั คะทางกลา่ วธรรมวจิ ิตร คืออธิบายธรรมด้วย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137