ก่อนเข้าเรื่อง อยากขอย้าความเข้าใจกับพ่ีน้องทหาร และท่านผู้รับฟังอีก นดิ หนง่ึ เก่ียวกบั ทรรศนะทางศาสนา หรือทางธรรมคือทางศาสนาถือว่า ตัวคนแต่ละคนน้ี เป็นผู้ให้กาเนิดแก่ความเส่ือมและความเจริญท้ังหมด ที่คนเราปรารถนา ไม่ว่าจะเป็น ความเจรญิ ทางเศรษฐกจิ การค้า การก่อสรา้ ง การเมอื ง การศกึ ษา การทหาร การตารวจ และไม่ว่าจะเป็นกิจการทางด้านใดก็ตาม การบ้าน การวัดก็เหมือนกัน ต้องอาศัยคนเป็น ผู้ให้กาเนิด ถ้าไม่มีคนเสียอย่างเดียว ความเจริญอะไรก็เกิดขึ้นไม่ได้ เหมือนพ่อแม่ไม่มี ลูกถือกาเนดิ ข้ึนมาได้อย่างไร ความเจรญิ กเ็ หมือนกนั ตอ้ งมีผู้ใหก้ าเนดิ คือเรานีเ่ อง แต่วา่ คนที่จะให้กาเนิดความเจริญได้ หมายความว่า ตวั คนผู้นั้นเองจะต้อง เป็นคนเจรญิ กอ่ น ตอ้ งเป็นคนเจริญ จงึ จะใหก้ าเนดิ ความเจริญได้ ถา้ หากคนวิบตั ิเสียแลว้ ก็ไม่มีทางที่จะให้กาเนิดแก่ความเจริญ สิ่งทจี่ ะถือกาเนิดจากคนวิบัตคิ ือความวิบัตินั่นเอง เหมือนแม่ไก่มนั ออกลกู มาก็เป็นไก่ แม่เปด็ ออกลูกมาก็เปน็ เปด็ ตามแนวตามแถวของมัน หันมาดูหลักธรรมะในพุทธศาสนา ท่านท่ีใช้ความสังเกตจะเห็นข้อแปลกอยู่อย่างหน่ึงว่า การทาความดีความเจริญทุกอย่าง พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทาที่ในตัวของแต่ละคนก่อน คือนับ ๑ ที่ตัวเรา ยกตัวอย่างเช่น หลักการทางานท่ีเรียกว่าอิทธิบาท อันถือกันว่าเป็น ปฏิปทาแห่งความสาเร็จส่ีข้อ แต่ละข้อเริ่มทาท่ีในตัวเราก่อน วิธีทางานให้สาเร็จแทนที่ พระพุทธองค์จะทรงสอนว่า ต้องมีเครื่องมือดี ๆ ต้องมีนาดี ๆ ต้องมีสวนดี ๆ เปล่าเลย พระองคก์ ลบั ทรงสอนวา่ ในลาดับแรกทสี่ ดุ คนที่จะทางานนั่นเอง ต้องทาตวั ใหด้ ี ๆ กอ่ น อิทธิบาทหมดท้ังสี่ข้อล้วนแต่เป็นหลักทาตัวเองให้ดีท้ังน้ัน คนทาดีแล้ว งานท่ีทาก็ดีตาม ไปด้วย ท่านว่าอย่างน้ี ซ่ึงตรงกันข้ามกับความรู้สึกนึกคิดของสามัญชนทั่วไป ท่ีคิดแต่จะ เอาดีไว้นอกตัว หลักอ่ืน ๆ ก็เหมือนกัน อย่างเช่นหลักการครองเรือน จะอยู่กินเป็นสามี ภรรยากัน แทนที่พระจะตรสั ให้คานึงถึงทรพั ย์สินหรือสินสอดทองหมั้นเสียก่อน แต่ทรง สอนให้คานึงถึงตัวคนเป็นลาดับแรก โลกชอบดูของท่ีเขาหยิบยื่นให้ แต่พระสอนให้ดูคน ผูท้ ี่ย่ืนให้เรามา ที่ว่าน้ีเพื่อจะยา้ ความเข้าใจกับพ่ีน้องทหารและทา่ นผฟู้ ังวา่ ทรรศนะทาง ศาสนาถือว่าความเส่ือมและความเจริญน้ัน เกิดมาจากคน คนเป็นผู้ให้กาเนิด และโดย เหตุผลดังกล่าวนก้ี ็หมายความวา่ ถ้าหากเราอยากได้ความเจรญิ เราก็ตอ้ งทาตวั เราเองให้ เจริญกอ่ น เหมือนเราอยากได้ลูกไก่ เราก็ตอ้ งเลีย้ งแมไ่ ก่ อยากไดล้ กู ไก่แยะ ๆ กต็ อ้ งเล้ยี ง แม่ไก่หลาย ๆ ตัว ถ้าเราอยากได้ลูกไก่ แต่ไม่เลี้ยงแม่ไก่ไว้ก็จนใจ นี่เป็นเหตุผลง่าย ๆ ตามทรรศนะทางศาสนา
การท่ีพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้ทาตัวเราให้วิบัติ ก็เพื่อจะให้เรา ไมต่ ้องประสบกับความวิบตั ิน่นั เอง เพราะถ้าตัวเราเองเป็นตัววิบัติเสียแล้ว เราเองแหละจะเป็นผู้ให้กาเนิดแก่ความวิบัติ และแล้วความวิบัติที่เราให้ กาเนิดไว้นั่นแหละ มันจะหันมากวนใจเรา เหมือนลูกห่าน มันก็ร้องให้แม่ ห่านหนวกหูเป็นธรรมดา คนบางคนใจจริงอยากเจริญ ไม่อยากวิบัติ ไม่ อยากพบอยากเห็นเลย ไหว้วอนเจ้าพ่อเจ้าแม่ ขอร้องกระท่ังผีสางเทวดา ให้ช่วยปัดเป่าความวิบัติให้ คือไม่อยากพบอยากเห็นความวิบัติเลย แต่ ตัวเองสิเกิดทาตัวให้วิบัติอยู่ทุกวันทุกคืน เราทาตัวเป็นแม่ห่านคอยาว แต่ วา่ ไมอ่ ยากออกลกู เปน็ หา่ น กผ็ ิดไป การที่ทางศาสนาสอนคนให้ทาตัวเปน็ คนอย่างนัน้ ๆ และห้ามไม่ใหเ้ ป็นคน ชนิดนั้น ๆ ก็เพื่อปรับปรุงหรือตระเตรยี มผู้ให้กาเนิดความเจริญไว้ เพราะข้อเท็จจริงมีว่า ความเจริญเกดิ จากคนเจริญ และความวบิ ตั ิกเ็ กิดจากคนวิบัติ ตามท่ไี ดก้ ลา่ วมาแล้ว ทีน้ีคนเจริญถ้าจัดเป็นชั้น ๆ มีอยู่ ๓ ช้ัน คือคนเจริญชั้นเย่ียม สามารถให้ กาเนิดแก่ความเจริญได้ด้วย พูดอีกทีคือทาความเจริญเป็น คนเจริญช้ันรองลงมา ให้ กาเนิดความเจริญไม่ได้ แต่บารุงรักษาความเจริญที่คนอื่นทาเป็นคนประเภทนี้ ยังมีหวัง ได้ครองความเจริญเหมือนคนปลูกบ้านเองไม่เป็น แต่ปัดกวาดดูแลบ้านเรือนที่คนอ่ืนทา แล้วเป็น ก็ยังมีหวังได้อยู่บ้านดี ๆ คนเจริญชั้นรองลงมาอีกให้กาเนิดความเจริญก็ไม่เป็น บารุงรักษาความเจริญก็ไม่ได้ แต่ยังรู้จักเปิดทางให้คนอื่นทาความเจริญ คนช้ันน้ีก็ยังมี หวังท่ีจะได้ครองความเจริญ นบั เขา้ ในประเภทคนเจริญเหมือนกัน ที่พูดมาแล้วทั้งหมดนี้ เพ่ือให้พ่ีน้องทหารและท่านผู้ฟังเห็นจุดกาเนิดของ ความเจริญ ไม่ว่าใครอยากได้ความเจริญในสิ่งใด ในที่ใดก็ตาม ภารกิจท่ีจะลืมเสียไม่ได้ อย่างเด็ดขาดกค็ อื ต้องทาคนให้เจริญ เพอ่ื จะได้เปน็ ผู้ให้กาเนดิ ความเจริญตามท่ตี ้องการ ในทางด้านวิบัติก็คล้าย ๆ กัน คือสาคัญท่ีคน ถ้าคนเป็นคนวิบัติเสยี แลว้ ก็ ให้กาเนิดแต่ความวิบัติ ลูกกามันก็ดาเหมือนแม่กา ส่ิงท่ีออกมาจากคนวิบัติก็คือความ วิบัติ ทางานท่ีไหน ท่ีนั่นวิบัติ คบกับใคร คนนั้นก็วิบัติ เป็นลูกใคร พ่อแม่ก็วิบัติ เป็น ลูกเขยลูกสะใภ้ใคร พ่อตา แม่ยาย พ่อผัว แม่ผัว ก็พลอยวิบัติตามไปด้วย เรื่องของเรื่อง คือตัวคนวิบัติเสียแล้ว เปรียบเหมือนเล้ียงแม่กา ผลท่ีสุดมีไข่ออกมามันก็ไข่กา มีลูก ออกมามันกเ็ ปน็ ลกู กา รอ้ งออกมาเสียงมันกเ็ ปน็ เสียงกาดงั กลา่ วแลว้
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนอย่าง พิถีพิถันกับเรื่องของคน อย่างเช่นเรื่องความวิบัติแห่งชีวิต ที่ข้าพเจ้านามาเสนอแก่พี่น้องทหาร และท่านผู้ฟังนี้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ก็เพ่ือท่ีจะให้เราทุกคนระมัดระวังตัว อย่าพลาดพลั้งปล่อย ตัวเองให้เปน็ คนวิบตั ิเสีย เราจะไดไ้ มต่ อ้ งถกู ความวบิ ตั ิลม่ จมมันเลน่ งานเอา เกียจครา้ นทางาน เอาละ เราหันเข้าหาเร่ืองที่ค้าง คือเรื่องความวิบัติแห่งชีวิต วันนี้ขอไม่ ทบทวน เพ่อื รักษาเวลา จะอธบิ ายต่อทเี ดยี ว คือต่อเรื่องอาจารวิบัติ คนท่ถี ือวา่ เสียความ ประพฤติถึงข้ึนวิบตั ิน้นั เสียใน ๖ จุดด้วยกนั คือ ตดิ ยาเสพตดิ ให้โทษ ติดเที่ยวเวลาคา่ คืน ติดเที่ยวดูการเล่น ติดการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร ท้ังห้านี้อธิบายมาหมดแล้ว วันนี้จะ อธิบายความประพฤติที่วบิ ตั กิ ระทงที่ ๖ สุดท้าย ความวิบัติทางความประพฤติลาดับท่ี ๖ คือความเกียจคร้าน งานการไมอ่ ยากทา ลกั ษณะของความเกียจคร้าน เห็นจะทราบอยู่ด้วยกันทุกคนแล้ว คิดว่าจะ ไม่พดู มาก จะพูดเฉพาะเนื้อแท้ของความเกยี จคร้านเทา่ น้ัน ความเกยี จครา้ นนน้ั ภาษาบาลวี ่า กุสีตะ หมายถงึ อาการท่ีจิตใจออ่ นเปยี ก ใจไมม่ กี าลัง ใจไมก่ ล้า ตัวความเกียจคร้านจริง ๆ อยู่ทใี่ นใจ มนั เกาะหัวใจเสียทีเดยี วต้อง ดทู ่ีใจจึงจะเห็น ส่วนที่มันแสดงออกมาภายนอกให้ไม่อยากทางาน นั่นเป็นอาการสาแดง ออกของคนทถ่ี กู ความเกียจคร้านเกาะหวั ใจแล้ว เหมือนเชอ้ื ไขก้ บั อาการไข้มันคนละตอน ท่ีเราเห็นคนเป็นไข้สั่นสะท้านไปท้ังตัว น่ันเป็นอาการแสดงออกของคนท่ีติดเชื้อไข้จับแล้ว ตวั เชอ้ื ไขจ้ ริง ๆ มันไมไ่ ด้สน่ั และคนไข้เอง ก็มองไมค่ ่อยเหน็ ตวั เช้ือไข้ ถา้ สังเกตดูอาการภายในจิตใจจรงิ ๆ แล้ว ความเกยี จครา้ น หรือ กสุ ีตะ ก็ คือความอ่อนเปียกของจิตใจน่ันเอง ธรรมดาคนเราถ้ากาลังกายอ่อนแอ ก็กลัวของหนัก ไม่กล้าสู้ ใจคนเราก็เหมือนกัน ถ้าลงได้อ่อนเปียกแล้วก็ขี้ขลาด กลัวยาก กลัวเหนื่อย จิปาถะ ท่านที่ได้ศึกษาทางธรรมะ หรือเคยสนใจกับเร่ืองอบายมุข ๖ ตอน ท่ีว่าด้วยโทษ ของความเกียจคร้าน ๖ ประการ ท่านอาจรู้สึกแปลกใจว่า เหตุใดท่านจึงนับโทษของ ความเกียจคร้าน วา่ อยา่ งนี้ “เกียจครา้ นทางาน มโี ทษ ๖ อยา่ งคอื :
มักให้อ้างว่า หนาวนกั ” รอ้ นนกั ” เย็นแลว้ ” ยังเชา้ อยู่ ” หิวนัก ” กระหายนัก แลว้ ไม่ทางาน” ฟังดูเวลาท่านแจกลูกอย่างนี้ เหมือนกับบอกอาการคนเกียจคร้าน ไม่ใช่ โทษของความเกียจคร้าน แต่ถ้าพิจารณาให้ซึ้งแล้ว จะเห็นได้ชัดว่า นี่แหละโทษของ ความเกียจครา้ น ท่านชใ้ี ห้ดูโทษช้ันใน คือใจคนท่ีความเกยี จคร้านเกาะเขา้ แล้ว จะป็น ใจที่เต็มไปดว้ ยข้ออ้าง ทอ่ี ้างก็เพราะกลัว ที่ท่านนับใหฟ้ ังนั้น เท่ากับท่านบอกว่าใจคน ขี้เกียจนั้น อ่อนแออย่างน้ี ขี้ขลาดมาก กลัวจนกระท่ังของท่ีไม่น่ากลัว กลัวกระท่ัง แดด กระท่ังฝน ท่านว่าอย่างนี้ ข้าพเจ้าเคยพูดมาแล้ว ในเรื่องอะไร เม่ือไรจาไม่ได้ เสยี แลว้ ได้บอกไวว้ ่า หัวใจของคนเกียจคร้านนั้นทาท่าจะตายวนั ละนับครั้งไม่ถ้วนกลัว ตายเป็นกาลังเอะอะจะตายเสยี เรื่อย อ้างอยู่แต่วา่ หิวจะตาย อม่ิ จะตาย เหนอ่ื ยจะตาย ง่วงจะตาย ดูเหมือนวันหนึ่ง ๆ ไม่ต้องทาอะไร คือกลัวไปเสียหมด กระท่ังกินข้าวอ่ิมแล้ว กย็ งั กลัวว่าอ่ิมจะตาย ทางานไมไ่ หว เกยี จครา้ นน้อย ฝนตกจงึ กลวั ถา้ เกยี จครา้ นมาก แม้แต่ฟ้าร้องก็กลัว “ฟ้าร้องออกครืน ๆ จะทางานได้ยังไง!” ย่ิงถ้าเกียจคร้านขนาดหนัก เพยี งแต่ครึ้มฝนก็จะตายแลว้ งานการไม่ตอ้ งทา ทาไม่ไหว เรื่องเหล่านเ้ี กดิ จากกาลังใจ ท่ีตกต่าแล้ว การที่ใจเราตกต่าลงไปอย่างน้ี นี่แหละเป็นโทษของความเกียจคร้าน เพราะฉะน้ัน ในตาราเรียนท่ีว่า ด้วยโทษของความเกียจคร้าน แทนท่ีท่านจะบอกว่า ถา้ เกียจคร้านแลว้ จะอดอยากยากจนอย่างนัน้ อย่างนี้ ท่านไม่ว่า แตท่ ่านลว้ งเข้าไปว่า ตรงในใจทีเดียวว่า ถ้าเกียจคร้านแล้วจะเสียหายคือ ใจของผู้นั้นจะ “มักอ้าง” ท่าน วา่ อยา่ งนี้ มีข้อที่น่าจะพูดแยกไว้ให้ชัดเสียอีกหน่อย คือการดูว่าใครเกียจคร้าน หรือไม่ ถ้าจะดใู หแ้ น่ ๆ ต้องดูที่ใจเท่านั้น ถา้ ดแู ตข่ า้ งนอกบางทไี ม่แน่ เชน่ ดวู ่าทางาน หรือไม่ทาไม่รแู้ น่ เพราะบางคร้ังบางคราว คนขยันก็อาจไม่ทางานก็ได้ เพราะคนขยัน ท่ีฉลาดนั้น ถ้ากาลเทศะไม่สมควรแลว้ เขาอาจอยเู่ ฉย ๆ นัง่ กินนอนกินรอไปก่อนกไ็ ด้ เวลาเขาไมท่ างานก็เหมือนกบั คนเกยี จครา้ นนนั่ เอง คิดดไู มเ่ ห็นทาอะไร ที่เขาไม่ทาอะไร
ก็เพราะไม่มีอะไรท่ีจะทา แต่ความขยันก็ยังอยู่ในใจเขานั่นเอง ส่วนคนเกียจคร้าน เราจะดอู าการภายนอกได้ตรงที่วา่ ถงึ กาละอันควรทาแลว้ แตไ่ มท่ า อยา่ งนน้ั จึงเกียจคร้าน งานมาจ่ออยูถ่ งึ หัวบนั ไดบ้านแล้วยงั ไมส่ ู้ เพราะมันสไู้ ม่ไหว กลัวตาย ! ทนี ว้ี ่าถึงทางวิบัติ ทาไมท่านจึงไม่ คนเกียจครา้ นเป็นคนเสยี ความประพฤติ คืออาจารวิบัติ? ที่ว่าเสียนั้นน่ะ คือเป็นความประพฤติท่ีวางใจไม่ได้ ถ้าใครประพฤติ อยา่ งน้ี คนอน่ื เขาวางใจไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในทางทางาน งานทกุ อยา่ งมกั จะตอ้ ง มคี วามย่งุ หรือความยากอย่ทู ง้ั น้ันข้ึนชื่อว่างานแลว้ ถ้าไม่ยงุ่ ก็ยาก ย่งิ งานที่สาคัญมาก ก็ท้ังยากทั้งยุ่งรวมกัน ใจคนเกียจคร้านน้ัน เป็นใจไม่สู้งานอยู่แล้ว หนักก็ไม่เอา เบาก็ไม่สู้ จึงเป็นคนใจอาภัพ ชาตาเสียตลอดชาติ ถ้าแก้ความเกียจคร้านในใจตัวเองไม่ตก คนเราจะมีชีวิตอยู่ได้มันต้องกินอาหาร หุงข้าวกินเองไม่ได้ ก็ต้องกินข้าวท่ีคนอ่ืนหุงได้ มึนจึงจะไม่ตาย ความเจริญรงุ่ เรืองในชวี ิตของเราก็เหมือนกัน คือเจรญิ ได้ด้วยงาน ถ้า สร้างงานข้ึนทาเองไม่เป็น ก็ต้องทางานที่คนอ่ืนสร้างให้เป็น จึงจะเจริญ ทีนี้คนเกียจ ครา้ น เปน็ คนไม่สู้งานท้ังสองอย่าง คดิ งานเองก็ไม่เอา ทางานท่ีคนอ่นื มอบก็ไม่ไหว ก็ เป็นอันวา่ หมดทกุ ประตู ชีวิตมแี ตจ่ ะร่วงโรย ใคร ๆ เขาก็รู้วา่ ชาตาคนเกยี จคร้านเป็น อย่างไร เพราะฉะน้ัน คนทั้งหลายเขาจึงไม่ไว้วางใจ นอกจากจะหลงเชื่อว่าเป็นคน ขยันเท่าน้ันถ้าบอกเขาตรง ๆ หรือเขารู้แน่ ๆ ว่าเราเป็นคนเกียจคร้านแล้ว ไม่มีใคร เขาเล่นด้วย อยากทดลองความจริงดูก็ได้ อย่างเช่น ไปสมัครเข้าทางาน แม้แต่จะ รับจ้างเป็นคนใช้เขาก็ตาม ลองบอกเขาตรงๆ แต่แรกดูซิว่า “ผมเป็นคนเกียจคร้าน งานการไม่อยากทา” ลองดูซิว่าจะมีใครเขาจ้างไหม ? เขาก็ไม่จ้าง เพราะเขาไม่ ไว้วางใจว่าจะทางานให้เขาเสร็จหรือไม่ ถ้าแม้จะไปสู่ขอแต่งงานกับลูกเต้าของใคร เราลองบอกเขาตรง ๆ วา่ เราเป็นคนขเ้ี กยี จหลงั ยาวบอกวา่ “ผมรกั แตต่ ัวผมเองเป็น คนเกยี จคร้าน” ลองดูซิว่าเขาจะใหห้ รือไม่ให้ จ้างเขาก็ไม่เล่นด้วย เพราะเขาไม่ว่างใจ ได้ว่าจะพาลกู สาวเขาไปเป็นขอทาน หรอื ไปอดตายเม่ือไร ที่พูดนี้ คือชี้ให้เห็นง่าย ๆ ว่า ความเกียจคร้านเป็นรอยตาหนิในทาง ความประพฤติแน่นอน และขอให้ท่านท้ังหลายสังเกตดูเถอะว่า ความไม่ดีของคนมี หลายอย่าง ความใจน้อยข้ีโทโสเป็นต้น แต่ในท่ีน้ีและท่ีท่ัวไปท่านก็ไม่จัดว่าเสียความ ประพฤติ ไมเ่ ป็นอาจารวิบัติกลับมาจัดเอาความเกียจครา้ น เพราะความเกียจคร้านมัน เป็นพื้นฐานที่ทาความเจริญไม่ได้ เราจะเรียกว่าอย่างไรดี ข้าพเจ้ายังนึกหาคาพูดไม่ได้ ถ้าจะเปรียบกับที่นาก็เห็นจะได้ ความเสียของนามีหลายอย่าง เช่น มีหลัก มีตอ มี
กรวด มีหินก็เสีย เวลาขุด เวลาไถไปเจอเข้ากวนโมโหไม่ใช่น้อย แต่ว่าเสียอะไรก็ยัง พอมีหวงั ท่ดี ินมันจดื สิหมดทา่ ปลกู อะไรไม่ขน้ึ เสียน่าออ่ นใจ คนเกียจครา้ นกเ็ หมือน นาจืดน่ันแหละ คือมันเสียชนิดไม่กวนโมโหใครแต่มันเสียชนิดที่ใครไม่มีหวังจะปลูกฝัง ความรู้ความดีหน้าที่การงาน และความรักความนับถือในคนเกียจคร้าน ไม่งอกงาม ท้ังนนั้ ท่ดี ินมนั จืดเสยี แล้ว พี่น้องทหารและท่านผู้ฟังทุกท่าน โปรดตรองดูขอโทษเถอะ ข้อแรกที่สุด ลองสารวจดูว่า ตัวเราเองเวลาน้ี เป็นนาประเภทไหน เป็นนาจืดหรือเปล่า ถ้าเป็นก็ แก้เสีย เพราะว่าความสุขความเจริญทั้งปวงที่เราหวัง เราจะต้องอาศัยปลูกข้ึนจากตัว เราเองน้ี หากตัวเรามันเป็น “นาจืด” เสียแล้ว ทาอะไรก็ไม่เป็นมรรคเปน็ ผล จะเป็น คนอาภัพท่ีสุดช่ัวชีวิตของเขา ประการที่สอง น่าจะได้ลองตรวจดูว่า เวลานี้ท่านเอง หลงไป “จับจอง” เอานาจืดไว้หรือแปล่า คือไปหลงรักหลงโปรดคนเกียจคร้านงาน การไม่ทา มีบ้างไหม ถ้าท่านไปฝากชีวิตจิตใจกับคนเกียจคร้าน ก็เหมือนท่านคิดจับ จองนาทม่ี นั จดื แลว้ ระวงั จะอดอยาก ไมพ่ อปากพอท้องในวนั หนา้ ความเกียจคร้านมันเป็นโรคร้ายอย่างหนึ่ง ไม่มีหมอที่ไหนจะรักษาโรค เกียจคร้านให้เราได้ หมอนวดหมอยา แก้ไม่หายทั้งน้ัน เพราะยากิน ยาทา ยาฉีด มันเข้าไม่ถึง ใครเป็นแล้วต้องช่วยตัวเอง วิธีแก้มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือทางาน การ ทางานน่ันแหละ คือวิธีบาบัดความเกียจคร้าน ทางานเข้าให้เหงื่อมันออก แล้วความ เกียจครา้ นมันจะไหลออกมาด้วย เสรจ็ เร่อื งกันที ชวี ิตจะไดพ้ น้ จากความวิบัต.ิ วบิ ัตขิ ้อที่ ๓ ทิฐิวบิ ัติ ทิฐคิ อื อะไร ? อาหารใจ พบกันอกี ครง้ั หน่งึ ทางเสียง เชน่ เดยี วกับทกุ ๆ วันพธุ พร้อมกับเร่อื งราว อันเป็นอาหารแห่งดวงใจสาหรับทุก ๆ คน ที่รับฟังท่านทั้งหลายทราบอยู่แก่ใจแล้วใช่ ไหมว่า ทุก ๆ ชีวิตที่จะเจริญเติบโตขึ้นได้ ย่อมต้องอาศัยอาหาร ถ้าขาดอาหารเสีย ชีวิตก็ร่วงโรยและล้มตายไป ข้อน้ีเป็นความจริง และยังมีความจริงท่ีซ้อนอยู่ในความ จริงอีกว่า อาหารสาหรับชีวิตมีอยู่สองประเภท คืออาหารประเภทบาเรอกับอาหารบารุง
เสียงเพลง ดนตรี หนัง ละคร และคาสรรเสริญเยินยอ เสียงพูดจาร่าเริงเป็นอาหาร แห่งดวงใจเหมือนกัน แต่เป็นอาหารบาเรอ มีผลเพียงทาให้จิตใจสดชื่นชั่วครู่ช่ัวยาม เท่าน้ัน เหมือนเอาแป้งนวลปะหน้าเย็นๆเท่าน้ันเอง อาหารอีกประเภทหนึ่ง เป็นอาหารบารุงจิตใจ ได้แก่วิชาความรู้ ธรรมะ และความดี สิ่งเหล่าน้ีทาให้เจรญิ ข้ึน คือทาให้ใจฉลาด สว่าง สุขุม มั่นคงและองอาจกล้าหาญ สามารถต่อต้านกบั อารมณ์ ต่างๆได้ อาหารแห่งดวงใจก็มีสองประเภทเหมือนกัน คือ อาหารบาเรอ กับ อาหารบารงุ เสียงเพลง ดนตรี หนัง ละคร และคาสรรเสริญเยินยอ เสียงพูดจาร่าเริง เป็นอาหารแห่งดวงใจเหมือนกัน แต่เป็นอาหารบาเรอ มีผลเพียงทาให้จิตใจสดช่ืนชว่ั ครู่ ช่ัวยามเท่าน้ัน เหมือนเอาแป้งนวลปะหน้าเย็นๆเท่านั้นเอง อาหารอีกประเภทหนึ่ง เป็นอาหารบารุงจิตใจ ได้แก่วิชาความรู้ ธรรมะ และความดี สิ่งเหล่านี้ทาให้เจรญิ ข้ึน คอื ทาให้ใจฉลาด สว่าง สุขุม มั่นคงและองอาจกล้าหาญ สามารถต่อต้านกบั อารมณ์ ต่างๆได้ กาลังทางใจทแี่ ทจ้ ริงไดจ้ ากอาหารประเภทนี้ ประเภทบารุงน่ี อาหารสองประเภทน้ีให้ผลแตกต่างกันมาก ต่างขนาดแปง้ นวลกบั ข้าสุกทเี ดียวแหละแต่นา่ เสยี ดายท่วี ่า คนบางคนไมอ่ าจมองเห็น ผลท่ีได้ต่างกัน ไปหลงใหลกับอาหารบาเรอเสียมาก แล้วก็มองข้ามอาหารบารุงเสีย ฟังเพลงอดตาหลับขับตานอนก็ได้ แต่ถ้าฟังธรรมะสักคร่ึงช่ัวโมง ก็ดูเหมือนต้องอดทน เอามากมาย ถ้าจะเดินไปดูหนัง แต่ถ้าไปฟังธรรมะใครถามก็ไม่อยากบอก บางคนท่ี หนุ่มที่สาว ถ้าไปฟังธรรมกับคุณย่าคุณยาย ก็ไพล่บอกคนอื่นว่าไปเป็นเพ่ือนคุณย่าคุณ ยาย ครั้นจะบอกว่าตนเองไปฟังธรรมกลับรู้สึกว่ามันไม่โก้ ไม่เหมือนบอกว่าไปดูหนัง หรือไปฟังดนตรี ทาไมคิดอย่างน้ันก็ไม่ทราบ ที่พูดน้ีก็ไม่ใช่จะตาหนิท่านผู้ฟัง แต่ อยากจะตาหนิข้าพเจ้าเอง ท่ีอัตคัดสิติปัญญาที่จะพูดให้คุณหนุ่มๆ สาวๆ เห็นจริงตามที่ ข้าพเจ้าอยากให้เห็น คืออยากให้เห็นความจริงท่ีว่า ธรรมเป็นอาหารบารุงใจ ให้ผลต่าง จากเสียงเพลง ต่างจากหนัง ต่างจากละคร คือแทนท่ีจะเป็นเพียงชุบชโลมใจให้ เพลิดเพลิน แต่ทาให้ใจมีความเข้มแข็งข้ึนดีขึ้นในทุกๆทาง คนท่ีบาเรอชีวิตด้วยสียง ร้องและเพลงขับหล่อมอย่างโชกโชน แต่ไม่ได้อาหารบารุงใจเลย ใจจะอ่อนกาลัง สงั เกตดูง่ายๆเม่ือประสบอารมณ์ร้าย เช่น พลาดรัก หรือผิดหลังในความชีวิต ใจจะอ่อน เปียกจนทรงตัวไม่ได้มักจะร้องให้ดังกว่า คนท่ีสนใจกับธรรมะอยู่ก่อนเสมอ ข้อเท็จจริง
เปน็ อย่างนีจ้ ริงๆ จริงอยู่ธรรมะไม่ทาให้คนโก้ แต่ทาให้คนเก่งธรรมะไม่ทาให้คนเด่น แต่ ทาให้คนดี ธรรมะจึงเป็นสิ่งจาเป็น กะบ่ีน้าปลานั้น ใครๆก็ไม่เห็นว่าสวย แต่กะบ่ี นา้ ปลากจ็ าเปน็ สาหรับชีวิตยงิ่ กว่าแปง้ ฝนุ่ กวา่ ฝ่นุ กวา่ ครีม หรือไมจ่ รงิ ถ้าใครแต่งตวั ดว้ ย เส้ือผ้าเข้าที เราขมกันนัก อยากจะถามว่าเขาซ้ือท่ีไหน เขาตัดที่ไหน แต่ตัวคนที่เดิน โย่งๆสวมเส้ือผ้าน้ันมา ไม่มีใครอยากถามหรอกว่า เขาได้ผักได้ปลามาจากไหนมากิน เลีย้ งชีวิต โลกของเราน่ีมันขรุขระนะท่านนะ คนเดินทางไกลน้ัน จะต้องเดินขึ้นเขา บ้าง จะต้องลงห้วยบ้าง ที่จะเอาราบเรียบเหมือนหน้ากลองตลอดทางมันไม่ได้ นึกดูแต่ ถนนมิตรภาพเป็นถนนชั้นยอดเยี่ยมสุดฝีมือช่างฝรั่ง ลงทุนทานับเป็นร้อยล้าน ถึงอย่าง น้ันก็ยังมีข้ึนมีลง มีลาดมีเนิน คนเดินทางจะต้องบารุงกาลังใจไว้ให้พอ สาหรับคน เดนิ ไปตามผิวโลกอนั ขรขุ ระน้ี ทางดาเนินชีวิตของเราก็เหมือนกนั เวลาน้ีเราอยู่ในโลกอัน ขรุขระ อย่านึกว่าชีวิตของเราจะราบรื่นไปจนตาย เราจะต้องขึ้นสูง เราจะต้องลงต่า เราต้องต่อสู้อุปสรรค เช่นเดียวกับคนทางเหมือนกันเพราะฉะนั้น เราจะไม่ได้จาก อาหารบาเรอใจ แต่เราจะได้จากอาหารบารุงเท่าน้ัน พ่ีน้องทหารที่รักโปรดจาคา ขา้ พเจา้ ไว้ จาไว้วา่ กาลังเป็นสิ่งจาเปน็ และเราจะได้จากการศกึ ษาธรรมเทา่ นนั้ รายการ น้ี ๓๐ นาที ไม่มีอะไรสนุก ไม่มีอะไรโก้ แต่ๆทุกๆนาท่ีท่ีผ่านไป เต็มไปด้วยอาหาร บารงุ ใจของท่านผูฟ้ ังตลอดเวลา ทิฐบิ ตั ิ เอาละ เชิญทุกคนพิจารณาธรรมะต่อไป ในเรื่องท่ีเรายังค้างกันอยู่ คือ เร่ืองของความวิบัติแห่งชีวิตจิตใจเป็นแง่หน่ึงของธรรมะท่ีพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ จุดท่ี จะทาให้ชีวิตของเราล้มเหลว – ล่มจม พระตรัสส่ังไว้ ๔ จุดด้วยกัน ว่ามาแล้วสอง คือ วิบัติทางศีล กับวิบัติทางความประพฤติ พูดฟังกันง่ายๆคือ ความเป็นคนไร้ศีลสัตย์ เรียกว่าเสียศีล ความเป็นคนประพฤติเหลวแหลก เรียกว่า เสียความประพฤติ นี่ว่าแล้ว วันนี้จะพูดถึงจุดวิบัติร้ายแรงอีกจุดหน่ึง คือทิฐิวิบัติเป็นจุดที่สาม เสียหาย ร้ายแรงนกั ถา้ จะเปรียบกบั การเสยี ทางร่างกาย คนเสียศีลเหมอื นกับคนเส้นสายในตวั ไมด่ ี มันชักมันกระตุกนอกบทนอกบาทคนเสียความประพฤติ เหมือนคนเลือดลมในตัวเสีย ให้ขัดให้ยอกทาไรไม่สะดวก แต่คนทิฐิเสียเหมือนคนตาเสียมองอะไรไม่เห็น จะทาอะไร เตม็ ไปด้วยความผิดพลาดเหมือนคนตาเสียทั้งหลายนัน้ แหละ เดนิ ผิด หยิบผดิ อ่านผิด
เขียนผิด ลงได้ตาเสียแล้ว มีทางผิด ๙๙ ประตูคนทิฐิเสียเคราะห์ร้ายยิ่งกว่านั้นอีกร้อย เท่าพนเทา่ จะอธบิ ายใหฟ้ งั ทิฐิคือความเห็น เป็นอาการของจิตใจ คนมีจิตใจทุกคนมีทิฐิทุกคน ที่พูดน้ีอาจไม่ตรงกับที่ชาวบ้านเข้าใจ เพราะเอาความหมายทางศาสนามาพูด คือ ชาวบ้านเรามักจะเขา้ ใจวา่ ทิฐิเป็นของไม่ดี โดยที่คดิ วา่ ทิฐิคอื ความหัวรนั้ ตามใจตัวเอง ในทางผิดๆ แต่ทางศาสนาถือว่าทิฐิคือความเห็น อาจดีหรือเสียก็ได้ ถ้าเห็นถูกดี ถา้ เหน็ ผิดกเ็ สยี แต่ที่ว่า เห็นๆในที่นี้หมายถึงใจเห็น ไม่ใช่ตาเห็น คือคนเราทุกคนที่หูตา จติ ใจเปน็ ปกติอย่างเราๆท่านๆนี่ เหน็ ไดค้ นละ ๓ ทาง หรือเห็น ๓ แบบด้วยกันคอื : - เห็นด้วยตา เรียกวา่ พบเห็น คิดเหน็ - เหน็ ดว้ ยการคดิ ” ร้เู ห็น - เห็นความรู้ ” นี่แหละคนๆหนึ่งเห็นได้ ๓ แบบ อย่างเช่นเราเดินผ่านสวนคนอื่น เห็นสับปะรดอยู่ที่ กอลูกโตๆ การเห็นอาจเกดิ ข้ึนทั้ง ๓ แบบในเรือ่ งเดียวกัน คือที่ตาเรามองเห็นสบั ปะรดน้ัน เป็นการพบเห็น คือไปเจอเข้าแล้วก็เห็นพอเห็นสับปะรดแล้วยังรู้ต่อไปอีกว่า สับปะรด แบบนตี้ ้องหวาน เพราะเคยร้มู าแล้ว นร่ี ู้เหน็ ความคดิ ต่อไปว่าทาอยา่ งไรจึงจะได้กินมนั พอคิดก็เห็นทางทาต่อไปว่า “ถ้าขโมยเอาเหน็ จะดีเป็นแน่ทเี ดียว” การเหน็ “ทางทา” อย่างนี้เรียกว่าคิดเห็น น่ียกตัวอย่างข้างไม่ดีให้ฟัง บางทีความคิดเห็นเกดิ ขึ้นเอง โดยท่ี ตาไมเ่ ห็นก็ได้ อย่างเรานอนหลบั ตาเอามือกา่ ยหนา้ ผาก แล้วคดิ อะไรๆไป แล้วก็เห็นทาง ท่ีจะทาให้ไปข้างหน้า อย่างน้ีก็เป็นความคิดเห็นท่านทรายแล้วใช่ไหมว่า การเห็นของ คนๆหนึ่งมี ๓ เห็นด้วยกัน พบเห็น กับรู้เห็น ทีน้ีความเห็นท่ีท่านเรียกว่าทิฐิๆ น้ัน หมายถึง “ความคิดเห็น” เท่าน้ันการพบเห็นอะไรด้วยตาก็ไม่เรียกว่าทิฐิ ถ้าจะเรียก เป็นคาอรรถก็เรียกว่าทรรศนะ การรู้เห็นด้วยปัญญาก็ไม่เรียกว่าทิฐิแต่เรียกว่าญาณ ท่เี รยี กวา่ ทิฐนิ ัน้ จาเพาะความ “คิดเหน็ ” เท่าน้ัน คือใจคิดแล้วก็เหน็ ไป ความคิดเห็นที่เรียกว่า ทิฐิ นี่แหละสาคัญมากสาคัญเอามากๆทีเดียว เพราว่าคนเราสาคัญท่ีใจ ทีนี้ใจจะคิดไปอย่างไรกแ็ ล้วแต่จะเห็น คอื เปน็ ไปตามทิฐิถ้าลง ได้เห็นแล้วผืนยาก ชีวิตของแต่ละคนจึงตกอยู่ใต้อานาจทิฐิของตนเอง คนที่อุตสาห์ทา มาหากนิ ในทางสจุ ริต คือจะยากจนเทา่ ไรก็ไมฉ่ อ้ ไมโ่ กงใคร ท่ไี ม่ฉอ้ ไมโ่ กงนนั้ ก็เพราะทิฐิ ของเขา คนทฉ่ี ้อทีโ่ กงไมร่ ู้จกั อิ่มรู้จกั พอ จนตัวเองตอ้ งได้รับความทุกขท์ รมาน กเ็ พราะ
ทิฐิของเขาเหมือนกันคนท่ีต้ังตัวอยู่ในทางสงบเงียบเรียบร้อย อย่างเราๆ ท่านๆ น้ีก็ เพราะทิฐิของเรา ส่วนคนที่เป็นโจรผู้ร้ายหลบซ่อนอยู่ในดงในป่า นั้นก็เพราะทิฐิของ เขา นี่พูดให้เห็นว่าทิฐิเป็นของมีอิทธิพลมากในชีวิตของคนเราแต่ละคน บางคนวิ่งตา มททิฐิของตวั เองจนลืมชาติศาสนา ลืมประชาชนเพ่ือนรว่ มชาตขิ องตัวก็มี อย่างคนทเี่ ห็น ดีเห็นชอบไปกับระบอบปกครองท่ีขัดต่อชาติศาสนาของเราเป็นต้น มันได้เห็นไปเสีย แล้ว ถึงรู้อยู่ว่าคนทั้งชาติไม่เห็นด้วยก็จายอมท้ังชาติท้ิงบ้านช่องลูกเมีย หนีไปอยู่กับ พวกทิฐิเดียวกันกับตน มิใยว่าเพื่อนร่วมชาติจะเรียกร้องให้ กลับความคิดความเห็นสัก ปานใดก็ตาม น่ีแหละพ่ีน้องทหารที่รัก และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ทิฐิหรือความคิดเห็นนั้น เป็นแรงผลักดันชีวิตของคนไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ คนทั้งชาติช่วยกันผลักไว้ก็ยังไม่ไหว สู้ทิฐิไม่ได้ คนบางคนประพฤติตัวสามะเลเทเมา เพราะคิดว่าโก้ดี ท้ังพ่อท้ังแม่ทั้งเมีย ช่วยกันดึงไว้ไม่อยู่ ทัง้ กฎหมายทั้งศาสนาชว่ ยกนั ต้านทานไวไ้ ม่ฟงั เสยี ผู้เสียคนไปจนได้ เพราะแรงทิฐติ ัวเดยี วแทๆ้ โปรดคดิ ดูเถิด ทีน้ีทิฐิของคนเรามันแปลกอยู่อย่างหนึ่งคอื มันอาจผิดก็ได้ อาจถูกก็ได้พูด อีกทีคือทิฐิดีก็มี ทิฐิเสียก็มี ถ้าเห็นผิดก็เสีย ถ้าเห็นถูกก็ดี มันเกิดดีๆเสียๆ ปนกันอย่างนี้ มนั จึงได้ยงุ่ บางทใี นตวั คนๆเดียว ความคิดบางคราวก็ผิด บางคราวกถ็ ูก ทุกคนต้องระวัง ตัวเอาเอง เราจะพูดกันเฉพาะทางความเห็นผิด เพราะจุดหมายจะช้ีให้ดูว่า ความเห็นที่เป็นทิฐิวิบัติน้ันคือเห็นอย่างไร ? ความเห็นผิดของคนเรามีอยู่สองชั้น คือ เพียงมีความคิดเห็นคลาดเคล่ือน แต่ผิดวิธีไม่ถึงผิดทาง อย่างนี้เป็นเพียงทิฐิปลาส คือ ความเห็นคลาดเคล่ือน น่ีช้ันหนึ่งอีกชั้นหน่ึงมีความคิดเห็นผิดทางเลย เห็นดาเป็นขาวๆ เป็นดาเอาเลย เห็นผิดเป็นชอบ เหน็ บาปเป็นบญุ เอาเลยทเี ดียว เหน็ ผดิ ขนาดนเี้ รียกว่า มิจฉาทิฐิ เห็นผิดอย่างจงั ความเห็นสองชั้นน้ีผิดคนละช้ัน โทษคนละสถาน วิธีแก้ก็คนละ วิธี เหน็ ผิดขนาดทิฐิปลาสน้ัน ไม่สู้อะไรนกั หนาเพียงแต่คลาดเคล่อื น ผิดจังๆก็ไม่ผดิ แต่ เอาถูกต้องนักก็ไม่ได้พอลาบากๆ วิธีแก้พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ทิฏฐุชุกรรม” แปลว่า ทาให้ทฐิ ิมันตรง ซึ่งก็หมายความว่า ทฐิ ิคดแลว้ ดัดใหต้ รง คนทิฐคิ ดน้ันเหมือนคนตาเหล่ ยงิ นกก็ไม่ถูกตัวนกถูกแต่ขนหาง คือทาความดีอะไรไม่ตรงดี เขาว่าบวชเป็นพระดีก็เห็น กับเขา แล้วลงทุนลงแรงบวชเหมือนกัน แต่ว่าบวชแล้วเกิดเห็นว่ารักษาวินัยอย่าง หย่อนๆดีกว่า สบายดี อย่างน้ีเรียกว่า ทิฐิปลาสความเห็นลด บวชตลอดพรรษาก็ไม่ เข้าถึงสมรณธรรมแค่ได้บวชแต่บวชแล้วไม่ได้อะไร เหมือนคนตาเหล่ยิงนกนั้นแหละ แค่ได้ยิง แต่ยิงแล้วไม่ได้นก หรืออย่างคนท่ีมาเป็นทหาร เ ขาว่าลูกผู้ชายต้องเป็นทหาร ก็เห็นกับเขายกมือสมัครกับเขา ร้องไชโยเข้าค่ายทหารกับเขาเหมือนกันแต่ครั้นเป็น ทหารแล้ว ก็เกิดเห็นว่าเป็นอย่างหย่อนวินัยดีกว่า เข้าตารางก็ช่างมัน กินข้าวหลวง เหมือนกันจะหนีก็ไม่หนี แต่จะอยู่อย่างดีก็ไม่เอา อย่างนี้เรียก ว่าทิฐิคดเหมือนกัน
ความเห็นคดๆแค่น้ียังไม่ถึงขั้นวิบัติแค่วิปลาส ของใครคดก็รีบดัดเสีย ประเดี๋ยวก็ตรง ตรวจดูเองแล้วกัน แล้วก็ตัดเองไม่เช่นนั้นคนอื่นเขาดัดได้ก็ลาบากทิฐิข้ันวิบัติ ต้องขั้น มิจฉาทิฐิ เสียหายร้ายแรงกว่าทิฐิปลาส โทษก็คนละขั้น ทิฐิวิปลาส มีโทษเพียงทาให้ คลาดจากความเจรญิ สว่ นมจิ ฉาทฐิ ิ มันขนาดด่งิ นรกอเวจีเลยทเี ดยี วเปน็ โทษคนละมาตรา วบิ ัตขิ อ้ ที่ ๓ ทฐิ ิวบั ตั ิ (ต่อ) ทฐิ วิ ปิ ลาส อทิ ธพิ ลทิฐิ จะขอพูดถอยหลังอีกหน่อย เพ่ือเป็นการทบทวนสิ่งที่มีอิทธพิ ลผลักไสคน แต่คนละคนไปสู้ฐานะต่างๆได้อย่างน่าประหลาด มีอยู่อย่างหนึ่งคือทิฐิของคนผู้นั้นเอง ทิฐิท่ีว่าน้ีคือความเห็น แต่เป็นการเห็นด้วยลาพั งความคิด ที่เราพู ดกันว่า “ความคดิ เห็น” คอื ความเห็นของคนเราแต่ละคนมอี ยู่ ๓ แบบ สามเห็นดว้ ยกัน เหน็ ดว้ นตา เรยี กว่า พบเหน็ เหน็ ด้วยใจ เรียกวา่ คดิ เหน็ เห็นด้วยปญั ญา เรียกว่า ร้เู ห็น การพบเห็น กับ การรู้เห็น สองอย่างน้ีไม่เรียกว่าทิฐิ และไม่มีทางทา ให้ผู้เห็นเสียหายอะไรนัก ส่วนมากเห็นแล้วดี เกิดประโยชน์แก่ผู้เห็น ตาการเห็นด้วยใจ หรือความคิดเห็นเท่าน้ัน ที่เรียกว่าทิฐิ เพราะฉะน้ันทิฐิท่ีเราแปลกันว่า ความเห็นน้ัน ที่ถูกแล้วหมายถึงความคิดเห็นทิฐิ คือความคิดเห็นน่ีแหละเป็นดาบสองคม คือ อาจ อานวยผลดีแก่ตัวผู้คิดเห็นอย่างมหาศาลก็ได้ อาจทาให้ผู้คิดเห็นนั้นวิบัติล่มจม จนกระท่ังตกนรกอเวจีก็ได้เวลาน้ีทุกคนก็มีความคิดความเห็นทั้งน้ัน ก็หมายความว่า เรากาลงั ถือดาบสองคมอยแู่ ลว้ ต้องระวังใหม้ ากเวลาจะเง้ือจะฟนั ทาไมทิฐิจึงเป็นดาบสองคม ก็เพราะทิฐิเป็นเรื่องของความคิดเห็น ท่ีว่า คิดเห็นก็หมายความว่าเห็นด้วยการคิด ทีนี้การคิดการนึกน้ันใจทุกดวงมันคิดได้นึกได้ ทง้ั นน้ั เพราใจเปน็ ธรรมชาตคิ ิด ใจโง่สุดที่คดิ ได้ คดิ ไปตามประสาโง่ ใจฉลสดท่ีสดุ กค็ ิด ได้ คิดไปตามประสามคนรู้มาก ใจบริสุทธิ์จากกิเลสตันหาแล้วก็คิดได้ ใจที่หนาแน่น ด้วยกิเลสโสมมสักเท่าไรก็คิดได้ รวมความว่าใจทุกใจคิดได้ท้ังนั้น เม่ือคิดได้ก็เห็นได้
เพราะมันของเกิดต่อเน่ืองกัน เพราะฉะน้ัน คนทุกคนจึงมีความคิดความเห็นได้ทั้งนั้น หรือถ้าพูดตามสานวนทางศาสนาก็พูดว่า ทิฐเิ ป็นของมีไดแ้ คนทุกคน ใครมใี จคนนั้นก็มี ทฐิ ทิ ่ที ิฐิเกดิ ขนึ้ ได้จากใจทกุ ๆชนดิ นี่สิ อันตรายมาก เพราะคนเราท่ัวไปใจยังมีกเิ ลสหอ่ หุ้ม อยู่ ความคิดท่ีคิดออกไปนั้นมีกิเลสหนุนหลัง มีกิเลสแทรก มีกิเลสบัง เพราฉะนั้น ความเหน็ ทีเ่ กิดจากความคิดก็เป็นความเห็นทไี่ ม่สะอาด และไม่ถกู ต้องเสมอไป กิเลสใน ใจเราเองแหละทาใหค้ วามเห็นเพี้ยนไป เห็นน่ะเหน็ จริง แต่สิว่ ทเ่ี ห็นนนั้ ไม่จริง เหมือน เราสวมแว่นสีแล้วดูส่ิงต่างๆ สมมติว่าเราสวมแว่นแดง แล้วมองดูอะไรต่างๆมันก็แดง ไปหมด หน้าคนก็แดง ถ้าสวมแว่นเขียวมองดูอะไรมันก็เขยี วไปหมด ถนนหนทางกเ็ ขยี ว ถา้ เราสวมแวน่ ดา ดูอะไรๆ มนั กด็ าไปหมด บา้ นเมืองก็ดูมืดดาไปดว้ ย สีแดง เขยี ว ดา ทเ่ี ราเหน็ นัน้ ความจรงิ มันไม่ใช่สีนั้นเสมอไป แลว้ ตาเราก็ไมไ่ ด้เขียวแดงดา ท่ีเราเห็นเป็น สเี ขยี ว แดง ดา เพราะแว่นตาท่เี ราสวมนนั่ ตา่ งหากย่างน้ีแหละทข่ี า้ พเจา้ บอกวา่ มีจรงิ คอื ผู้เหน็ ก็ได้ เห็นจริงๆ แต่สิ่งท่ีเห็นน้ันมนั ไม่เป็นจริงตามท่ีเหน็ แว่นทาเหตุแท้ๆความเห็นของใจ เหมือนกัน ใจยังมีกิเลสก็เหมือนตาทสี่ วมแว่น จะคิดอะไรก็ถูกกิเลสมนั บัง แล้วส่ิงท่ี เห็นก็เลยผิดเพี้ยนไปตามอานาจกิเลสน้ัน เร่ืองกิเลสบังใจนี่แหละ ที่ทาให้คนแตก ความคิดเห็นกัน บางทีพ่อแม่กับลกู กเ็ หน็ ไมต่ รงกัน บางคนมลี กู ชายลูกสาวลุกเกดิ ไป หลงรกั ใครคนหน่ึง เห็นเป็นดีเป็นงามไปทุกอย่าง แต่ฝ่ายพอ่ แม่กลับไมเ่ ห็นดว้ ย มองดู อะไรมันไม่เข้าท่าเข้าทีไปเสียท้ังนั้น ทาไมคนๆเดียวกันแท้ๆ พ่อแม่กับลูกจึงเห็นไปคน ละอย่าง เราก็ตอบได้ทันทีว่า ที่เห็นไม่เหมือนกันนั้น เพราะสวมแว่นคนละสี อาจเป็น ว่าลูกสวมแว่นรักเข้าแล้ว มองเห็นอะไรมันก็เลยน่ารักไปหมด อย่างที่ข้าพเจ้าพูดมัน มาแล้วว่า คนเราถ้ารักมันแรงแล้ว ดูอะไรเขาก็น่ารักไปหมด จนกระท่ังลูกหมาลูก แมวบ้านก็น่ารัก เพราะฉะนั้นถ้าความรักมันแทรกใจมากๆ พูดกันมารู้เรื่อง เปรยี บเสมือนว่า ลูกใสแ่ ว่นเขยี ว พ่อแมใ่ สแ่ ว่นขาว แลว้ ดูผา้ เช็ดหน้าผืนเดียวกนั ลูกก็ เถียงว่าสีเขียว พ่อแม่ก็บอกว่าสีขาว เห็นน่ะเห็นส่ิงเดียวกันแต่แว่นมันทาให้เห็น แตกต่างกันความคิดของคนมีกิเลสทุกคน เวลาเห็นมักจะเอาแน่ไม่ได้ ถ้าตอนใด กิเลสไม่แทรกขึ้นบังความเห็นเสีย ความคิดก็ถูกต้องแต่ถ้าตอนใด บังเอิญกิเลสแทรก ความเหน็ กผ็ ดิ เพ้ยี นไป สงั เกตดงู า่ ยๆอย่างเข่นคนคดิ จะหาเงินใช้ ถ้าขณะน้นั เกิดความ โลภขึ้น แทรกความเห็นในการหาเงินก็เหหันไปตามความโลภเช่นเห็นว่าลักปล้น ฉกชิง หรือเหตุทุจริตฉ้อโกงเอาดีกว่า ถ้าใจคิดจะต่อว่าใครสักคนหน่ึง แล้วความโกรธเกิดข้ึน แทรก ความเหน็ ในการทจี่ ะพูดจาท้วงติงก็เหหันไปตามฤทธ์ิ เห็นว่าด่าว่าทุบตีดีกว่าที่ จะพูดกันดีๆ อย่างน้ีเป็นต้น น่ีแหละเรื่องของคนยังไม่สิ้นกิเลส อาจเห็นอะไรผิดๆ ได้ง่าย ครั้นเห็นผิดแล้วก็เดินทางผิด เพราะความเห็นเป็นส่ิงมีอิทธิพลมากที่สุดในชีวิต ของแตล่ ะคน ในชวี ิตของแต่ละคน ตามท่ไี ดพ้ ดู มาแล้ว
พิจารณาดูตามหลักปฏิบัติทางศาสนา พระพุทธเจ้าย้าแล้วย้าอีกนับไม่ ถ้วนครง้ั ว่า ทิฐิเปน็ เรื่องสาคัญทใ่ี ครๆจะประมาทไม่ได้ เวลาเหน็ ผิดข้นึ มาแล้วมนั ฉดุ ไม่ อยู่จริงๆ อย่างที่เคยพูดมาแล้ว ไม่ต้องคิดหาตัวอย่างให้ลาบาก นึกดูแต่คนท่ีเห็นลัทธิ การปกครองบางอย่างซึ่งใครๆ ก็เห็นกันทั่วแผ่นดินว่ามันร้าย ไม่เหมาะสาหรับเรา ตาคนที่เห็นว่าดีก็ดีอยู่คนเดียว ถึงตายก็ยอมถึงพลัดบ้านพลัดเมืองไปซุกซ่อนอยู่ที่ ยากลาบากสักเท่าไรก็ยอม เพราะมันเห็นเป็นดีเป็นชอบไปแล้ว นี่แหละทิฐิพาไป หรือคนติดการพนันเล่นบัตรเล่นเบอร์ พระเจ้าพระสงฆ์ก็เทศน์ให้ล่ันบ้านว่ามันเป็น อบายมุข เป็นทางหายนะ รัฐบาลก็ห้าม ตารวจก็จับ แต่คนท่ีถูกโฆษะครอบงาใจ ก็เห็น เป็นทางรา่ รวย เห็นอยู่ได้ เลน่ จนจะไม่มกี างเกงจะนุ่งแล้ว ก็ยังเห็นว่ามันเป็นของดีอยู่ได้ นีแ่ หลพอทิ ธิพลของทฐิ ิ-ความเหน็ ว่าเฉพาะทิฐิข้างเสีย พระพุทธเจา้ ทรงแสดงไว้หลายแห่ง แตพ่ อสรุปได้ว่า ทิฐิข้างฝ่ายเสียนั้นมีอยู่สองชั้น เสียเหมือนกัน แต่เสีย แต่เสียมากเสียน้อยไม่เท่ากันและ วธิ ีแก้ก็ใช้วิธีแตกต่างกันออกไปบ้าง เหมอื นเรารักษาโรคนั้นแหละ โรคอย่างเดยี วกัน แต่ ถ้ามันเป็นน้อยก็แค่ก็กินยา ถ้าเป็นมากก็อาจถึงกับผ่าตัดเข้าไปถึงในท้องในไส้ก็ได้ ทฐิ ิเสียสองชัน้ นนั้ คอื : - ชนั้ ทิฐวิ ปิ ลาส กับ - ช้นั มิจฉาทฐิ ิ เห็นจะต้องย้าความแตกต่างทิฐิสองชนิดน้ี สักหน่อยทิฐิปลาสกับมิจฉาทิฐิ เสียเหมือนกัน แต่อาการหนักเบาไม่เท่ากัน วิปลาสนั้นอาการเบากว่ามิจฉา ท่านที่ สนใจสังเกตหลักปฏิบัติธรรมะ จะสงั เกตไดว้ ่า วธิ ีแก้ทิฐิ ท่ีเสยี สองชนดิ น้ี ก็แก้ไม่หมอื นกัน ทิฐิวิปลาสน้ัน วิธีแก้เพียงปรับปรุงทิฐิให้หายวิปลาสเสียใช้ได้ การปรับปรุงทิฐิวิปลาสให้ คืนดีน้ี ภาษาทางธรรมะเรียกว่า “ทิฏฐุชุกรรม” แปลว่า การทาทิฐิให้ตรงโปรดสังเกต ศัพท์ไว้ให้ดี ทาทา่ นจงึ สอนให้ทาให้ตรง ก็เพราะมันคดเพราะทิฐิมนั คดน่ันแหละท่าน จึงสอนให้ทาให้มันตรง ส่วนมิจฉาทิฐิน้ันไม่มีปัญหา ทรงสอนให้สละทิ้งเสีย ถ้าเป็น มิจฉาทิฐิแล้วป่วยการไปดัดแปลง ถึงจะตัดจะแปลงสักเท่าไรมันก็ใช้ไม่ได้ มีอยู่ทาง
เดียวเท่านนั้ คอื ทงิ้ เลย วิธีน้ีภาษาธรรมมะเรยี กวา่ ปหานะ แปลว่าท้ิงไปนีเ่ ทยี บกนั ให้ดวู ่า ระหว่างทิฐิวิปลาส กับมจิ ฉาทิฐิไหนเสียมากเสียน้อยกว่ากนั อันหนึ่งเสียพอดดั ได้ อีกอัน เสยี ขนนาดเหวยี่ งทงิ้ เลย ทฐิ วิ ปิ ลาส ทีน้ีจะอธิบายแต่ละอย่าง ท้ังความหมาย ความเสียดาย และวิธีแก้ เรื่องน้ีรีบเกินไปนักไม่ค่อยดี เพราะมันเป็นผลได้ผลเสียอย่างสาคัญมากใน ชวี ติ ของเราตาละคน ว่าเร่ืองทิฐิวิปลาสเสียก่อน เฉพาะคาว่าวิปลาสๆน้ี แปลกันมาว่า พลาด คือมันไม่ถึงกับเสียหมด เพียงแต่พลาดไป จะแปลว่า - ว่าเลือนก็ได้เหมือนกัน แล้วแต่ เรือ่ ง อย่างเชน่ คาวา่ สญั ญาวิปลาส หมายถึงความจาเลอะเลอื น คือจาผดิ ๆถูกๆ จาได้อยู่ แต่มันคลาดเคลื่อนไป จาหนา้ ไดล้ มื ชื่อ หรือนึกช่ืออกแตล่ ืมเร่อื งท่ีเก่ยี วขอ้ งกันความจา เสียขนาดนี้เรยี กว่า สัญญาวปิ ลาสอีกอยา่ งเช่นคาว่า สิติวปิ ลาส ไมไ่ ด้หมายถงึ เสียสติ เป็นแต่สติฟ่ันเฟืองไปบ้าง นึกถึงตัวบางขณะ ลืมตัวเป็นบางขณะ ขอโทษเถอะ คือ จะถึงกับเป็นบ้าจริงๆก็ไม่เป็น เห็นจะขนาดท่ีเราพูดกันบอๆน้ันกระม่ัง น่ียกมาเพื่อวาง แนวให้วิจารณ์ คาวา่ วิปลาส หมายความขนาดนี้ ทีนท้ี ฐิ ิวปิ ลาสก็หมายถึงวา่ ความเห็น มันเขวไปหรือมันคดไป ไม่ถึงกับผิดจังๆ เรียกว่ายมบาลทาไมไม่ได้ แต่จะข้ึนสวรรค์ก็ ไปไม่รอดเหมือนกัน ตัวอย่างความเห็นคดนั้นคือความเห็นมีทั้งผิด มีท้ังถูกปนกันไป ตรงกับสานวนที่ว่าผิดๆถูกๆ วันก่อนเคยยกตัวอย่างมาบ้างแล้ว เช่น คนเห็นว่าการบวช ในศาสนาเป็นของดีควรทา แต่ในการบวชน้ัน กลับเห็นว่า บวชพอให้เต็มพรรษา สิกขาวินัยสาคัญ อย่างน้ีเรียกว่าเห็นวิปลาส เล็งเป้าถูกแล้ว แต่ใช้ลูกธนู ยิงมันก็ไม่ถูก เป้า หรืออย่างคนที่เข้ารัยราชการทหาร เขาวา่ เป็นทหาร เป็นเหมือนส่ิงที่ลูกผชู้ ายควร ทา เขาว่าก็เห็นกับเขาเหมือนกัน แต่แล้วเห็นว่า การละเมิดวินัยของทหารได้เป็นการดี เป็นการโก้เก๋ อยา่ งน้ีวปิ ลาสเห็นคดเหมอื นกนั เด็กหน่มุ บางคน คิดอยากให้ตวั ดีเด่น จะ ได้มีคนรู้จกั นับหน้าถือตามากๆ แต่เห็นตอไปอีกว่า การแสวงหาความเด่นนั้นควรจะหา โดยวิธีทาตวั เป็นนักเลงโตเกะกะเกเรใหค้ นกลัว แลว้ เขาจะได้นับถือเปน็ ลูกพี่อย่างนี้ก็คด อีกเหมือนกัน เท่านี้ก็เห็นจะพอมองเห็นเค้าแล้วว่า ความเห็นวิปลาสนั้น คืออย่างไร ทิฐิวิปลาสนั้น ถ้าพูดถึงลักษณะก็เป็นความเห็นคด แต่ถ้าพูดถึงความเสียหายท่ีจะได้รับ
ท่านแปลว่าพลาด คือพลาดทางความเห็น พลาดก็หมายถึงคลาดไป เสียผลที่ต้องการ เหมือนคนจะไปเชยี งใหม่ ขนของข้ึนรถไว้ถูกขบวนแล้ว ท่ีน่ังก็จองแล้ว ต๋ัวก็มแี ล้ว แต่มัว ทาอะไรอยู่เลยขน้ึ รถไมท่ ัน เรียกวา่ พลาด ผลกค็ อื ไม่ถงึ เชยี งใหมอ่ ยดู่ ี สรุปแล้ว ผิดกับพลาดไม่เหมือนกัน ทิฐิปลาสนั้น เป็นทิฐิประเภททาให้ พลาด ไม่ถึงกับผดิ ทาง เห็นถกู ทางแล้ว แตพ่ ลาดวิธซี งึ่ เป็นรายละเอยี ดปลีกยอ่ ยในทางนน้ั ทีน้ีวิธีแก้ ก็ให้นึกถึงคาท่ียกมาแล้ว คือคาว่า “ทิฏฐุชุกรรม” (ทิฏฐิ อุชุ กรรม) คาน้ีเป็นคาในพระพุทธวจนะ มิมาในพระไตรปิฎก แปลว่า การทาความเห็น ให้ตรง การทาของคดๆให้ตรงนั้น ภาษไทยเราเรียกว่าอะไร? ใครนึกออกบ้าง? เรียกว่า “ตัด” เพราะฉะน้ัน ทิฏฐุชุกรรมก็คือ ดัดทิฐินั่นเอง ทางท่ีถูกท่ีดีท่ีสุดแล้ว เราเองต้องคอยดัดทิฐิขิงตัวเองไว้เสมอ เผลอไม่ได้ ท้ิงไว้นานๆมันคดไม่รู้ตัว ที่คดได้ก็ เพราะใจเรายังมีของที่ทาให้ทิฐิเราคดอยู่ คือ กิเลส แระเด๋ียวคดไปตามความโลภ ประเดยี๋ วคดไปตามความโกรธ ประเด๋ียวคดไปตามความโงเ่ ขลา ประเดี๋ยวคดไปข้างรัก ประเด๋ียวคดไปทางชัง เรื่องท่ีจาให้คดมันมีแยะ นับไม่ไหวทั้งๆที่ตอนเช้าดัดไว้ดีแล้ว พอตกบ่ายชัดเริ่มคดแล้วยงิ่ ตกเยน็ งอจนดูไม่เลยก็มี บางทีทางานทาการอยู่ดีๆ ทฐิ กิ ็ตรง แน่วต่อแบบต่อแผน แต่พอไปเจอเอาเงินทองของกานัลเข้า มันชักคดเสียอีกแล้ว นี่แหละหนาทิฐิคนมีกิเลส แล้วก็เพราะเหตุนี้แหละ พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้ถือว่า ทิฏฐุชุกรรม - การดัดความเห็นให้ตรง เป็นกิจวัตรประจาวันของชาวพุทธ พรานธนูเขา ต้องคอยดัดลูกธนูไว้ให้ตรง ยิงนกถูกจึงจะถูก ทหารก็ต้องคอยตรวจปืนไว้เสมอ ตั้งศูนย์หน้าศูนย์หลังให้ตรงไว้ เวลายิงจะได้ถูกเป้า การดาเนินชีวิตของเราก็เหมือนกัน เราเล็งเป้าไว้ที่ความสาเร็จ การสอบได้ การมีเกียรติ การสมบูรณ์พูนสุข และสวรรค์ นิพพาน ท่ีไหนก็ตาม มีแต่เล็ง ถ้าปล่อยให้ทิฐิคดเสียแล้ว ชาตาชีวิตก็ไม่ไปสู่ เป้าหมายได้การดัดทิฐใิ ห้ตรงนน้ั มสี งิ่ สาคญั อย่สู องอย่าง ท่จี ะต้องคานึงถึง คอื : ๑. การตรวจสอบทิฐขิ องตน และ ๒. วธิ ีคิดทฐิ จิ ะทาอยา่ งไร จะใชอ้ ะไรคัด ธรุ ะขอ้ แรกคือการตรวจสอบทิฐขิ องตน คือหม่นั ตรวจสอบดูวา่ ทิฐิของเรามันตรงหรอื คด วิธีตรวจสอบน้ัน พระพุทธองค์ทรงวางวิธีปฏิบัติไว้ให้แล้วหลายอย่างด้วยกัน เช่นการ ฟังธรรมะหรือฟังเทศน์ ที่ท่านแสดงอานิสงค์ไว้ ๕ ข้อ มีอยู่ข้อหนึ่งที่ส่าทา ให้ความเห็นถูกต้อง ในเรื่องธรรมสากัจฉะ การสนทนาธรรมก็เหมือนกัน มีผลทาให้
ความเห็นถูกต้องด้วย เม่ือสรุปแล้ว วิธีตรวจสอบทิฐิของเราว่ายังตรงอยู่หรือไม่ มีอยู่ ๓ วิธี คอื : ๑. ธัมมานสุ รณะ การระลกึ ถึงธรรม ๒. ธัมมะสวนะ การฟังธรรม ๓. ธมั มสากัจฉา การสนทนาธรรม วิธที ี่ ๑. ทวี่ ่าธมั มานุสรณะ คือการระลึกถึงธรรมนัน้ หมายความวา่ นกึ ตรวจสอบดูคาสอนของพระพุทธเจ้าตามท่ีเราจาไวเ้ รียนไวแ้ ล้ว เวลานึกถงึ ธรรมใจเรา ก็ยอ้ นสานึกตัวควบไป เช่นเรานกึ ถึงศลี หา้ ว่า มขี ้อหา้ มอะไรบ้าง พอนกึ ถึงขอ้ หา้ มด่ืมสุรา ถ้าขณะน้ันเรากาลังมัวเมากับคนท่ีดื่มสุรา ใจก็จะสะดุด รู้ว่าทิฐิเราชักคดไปเสียแล้ว อย่างนี้เป็นตน้ วิธีที่ ๒. ทีว่าธัมมสวนะ คือการฟังธรรมน้ันหมายถึงการฟังคนอื่นพูด ธรรมะ เช่นการฟังเทศน์ การฟังปาฐกถา ฟังบรรยาย ฟังเขาคุยธรรมะกัน รวมท้ัง การหนังสอื ธรรมะดว้ ย ธรรมะน้ันเปน็ ของคงเสน้ คงวา ไมค่ ดไม่งอตรงแนว่ เหมือนบรรทัด เหล็ก คนเราเวลาฟังธรรมะ ถ้าความเห็นคดๆงอๆ อยู่บางแล้ว ใจจะสะดุดเป็นระยะๆ คือฟังไม่ราบร่ืน แม้แต่ฟังพระให้ศีลก็สะดุดแล้ว หากใครทิฐิคด การที่พระพุทธเจ้าวาง ระเบียบให้มีวันฟังธรรมไว้ ๗ คร้ัง ซึ่งเรียกว่าวันธรรมสวนะนั้น ก็มิใช่ว่าให้ฟังเพราไม่รู้ อย่างเดียว แต่ให้ฟังทั้งๆท่ีรู้ เพื่อตรวจทิฐิขิงตนด้วย นัดเทศน์จึงต้องเคารพในธรรม คือ ว่าไปตามธรรมะ จึงจะดีแท้ ไม่ใช่เทศน์อ้อมหนีกิเลสฟัง แต่ถ้าองค์ไหนเทศน์อ้อมกิเลส คนฟงั จะชอบใจเคร่อื งกณั ฑ์อุดมดี วิธีท่ี ๓. ที่ว่าธรรมสากัจฉา คือสนทนาธรรมน้ันหมายถึงการคุยธรรมมะ แลกเปลย่ี นความเห็นกับคนอ่ืนเราออกความเห็นให้เขาฟังบ้าง เขาออกความเห็นให้เรา ฟังบา้ ง จะได้รู้ว่าของใครคดหรือไมค่ ด และเม่อื รู้แล้วจะไดด้ ดั ใหต้ รงต่อไป.
วบิ ตั ขิ ้อที่ ๓ ทิฐิวิบตั ิ วธิ ตี รวจทิฐวิ ปิ ลาส พุธนี้ เราควรจะไดจ้ ับเรื่องทค่ี ้างข้นึ มาพจิ ารณากนั เลยทเี ดียว คือปญั หาเร่อื ง ทฐิ ิความคิดเห็น ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ยิง่ ประจาชวี ติ ของเราแต่ละคน ใครจะมีฝไี ม้ลายมือดี เท่าไรก็ตาม จะมีความรู้ความฉลาดสักเท่าไรก็ตามหากทิฐิเสียๆแล้ว ชีวิตก็จะถึงความ หายนะอย่างแน่นอน นึกดูง่ายๆว่า เรื่องท่ีจะทาให้ชีวิตของคนเราหายนะล่มจม มีอยู่ มากมายหลายอย่างนัก แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงรวบยอดเข้าแล้ว มีอยู่ส่ีจุดเท่าน้ัน แล้ว ในส่ีจุดน้ี, ทิฐิก็เป็นจุดหน่ึงในส่ีจุดน้ันด้วยเมื่อวันพุธท่ีแล้วข้าพเจ้าได้จาแนกให้เห็นลงไป ว่าทิฐิของคนเราที่มนั เสียมีอยู่ ๒ ช้ัน คือ : - ชัน้ ทิฐิวิปลาส กับ - ชนั้ มจิ ฉาทิฐิ เสียเหมือน แต่เสียคนละช้ัน เสียขนาดที่เรียกว่าทิฐิวิปลาสน้ันยังไม่ถึงขั้น วบิ ตั ิ เป็นเพียงมคี วามคิดความเหน็ นอกลนู่ อกทางไปบ้าง บางแหง่ ทา่ นเรยี กวา่ ทิฐิไมต่ รง มันไม่ตรงก็ศีลมันคดน้ันเอง ส่วนมิจฉาทิฐิคือทิฐิเสีย ฉะนั้นวิธีแก้ท่านจึงว่างไว้ต่างกัน แก้ทิฐิวิปลาสแก้ด้วยทิฏฐุชุกรรม คือการดัดทิฐิให้ตรง มันตรงเสียแล้วก็ใช้การได้ ส่วนมิจฉาทิฐิแก้ด้วยปหานะ คือท้ิงเสียดัดไม่ได้เพรามันเสียแล้ว ถ้าเปรียบกับคนทิฐิ ปลาสเหมือนคนป่วยมิจฉาทิฐิเหมือนคนตาย น่ีว่ามาแล้วท้ังนั้น และตอนก่อนจะหมด เวลาได้วกเข้าปัญหาเรื่องดัดทิฐิวิปลาสให้ตรงซึ่งเรียกว่าทิฏฐุชุกรรม จะทาอย่างไร? พอมาถงึ ปัญหาน้กี ไ็ ดแย้มวา่ การดดั ทฐิ จิ ้องคานึงถงึ งาน ๒ อยา่ ง คอื : ๑. การตรวจสอบทิฐิ และ ๒. การดัดทฐิ ิ ว่าไว้แค่นก้ี ็หมดเวลาพอดี วนั นี้จะอธิบายต่อตรงนี้ การตรวจสอบทิฐิ งานขน้ั ตน้ ของการดัดทิฐิ ก็คือการตรวจสอบดูว่าทิฐิของเราคิดหรือไม่คิด ถา้ รู้วา่ มันคดก็จะได้ดัดเสียให้ตรงถ้ามันตรงอยู่แล้วกจ็ ะได้ไมด่ ัด ถ้าไปดัดมันเข้าท้ังๆ ที่ ตรงมันก็จะกลายเป็นทิฐคิ ดเสียเทา่ นัน้ เพราะฉะนนั้ การตรวจสอบจงึ เป็นสง่ิ จาเป็นอยา่ งยิ่ง
ขอ้ ควรจะทาความเขา้ ใจไวอ้ กี อย่าง คือสิ่งท่ที าให้ทฐิ ิเกิดวิปลาสคดเค้ียว จะได้พิจารณาประกอบการตรวจสอบทิฐิของตน จะชี้ใหด้ ูมาตงั้ แตร่ ากเหง้าดงั้ เดิมของ มนั ทีเดยี ว โปรดตรวจดูตามที่อธิบายมาแลว้ เมื่อวันก่อนว่าทิฐินัน้ คอื ความคิดเห็น หรือ พูดให้กระจ่างคือความเห็นที่เกิดจากความคิด ถ้าความคิดมากความเห็นก็มาก หรือจะ พูดเล่นศัพท์นิดหน่อยว่า ถ้าใจเรามีเรื่องคิดมากเท่าไร ทิฐิก็มีมากเท่านั้น อย่างน้ีก็ได้ เมื่อทิฐเิ ป็นของเกิดจากความคิดเราก็สาวต่อไปดูอีกทีว่า อะไรเล่าที่ทาให้ใจคิด เท่าน้ี ก็เจอสงิ่ ที่ทาให้ใจคิดน้ัน หากอิงตารากค็ ือ สิ่งที่ได้เห็น เสียงที่ได้ฟัง กล่นิ ทไ่ี ด้ดม รสที่ได้ ล้ิม สัมผัสท่ีได้แตะต้อง และอารมณ์ท่ีใจนึกข้ึนเอง ภาษาทางศาสนานับของเหล่านี้ด้วย คาสั้นๆว่า รูป เสยี ง กล่ิน รส ผัสสะ และอารมณร์ วมเป็น ๖ อย่าง หกอยา่ งนีแ้ หละ ทาให้ใจคิด นี่ว่าทางตารา ทีนี้ว่าอย่างชาวบ้านเรา ส่ิงท่ีทาให้ใจคิดก็คือของสวยๆงามๆ หรือคนสวยๆ งามๆ เห็นแล้วไม่ได้ มันให้มีอันอยากคิด ยังไม่เห็นก็คิดอยากเห็น เห็นแล้วก็ใหค้ ิดอยากเห็นอีก เสยี งเพราะๆเสยี งหวานๆ หูก็เหมือนกันได้ยินเขา้ แล้วให้มี อันอยากคิด ยังไม่ได้ฟังก็ให้คิดอยากฟังฟังแล้วก็อยากให้คิดอยากฟังอีก คิดอยากอยู่ ใกล้คิดอยากจะเป็นเจ้าของ รสและสัมผัสก็เหมือนกัน ใครยังไม่เจอก็คิดอยากเจอ พอเจอเขา้ แลว้ กใ็ ห้มวี นั คดิ อยากเจออกี อารมณ์ยิง่ แล้วเลย อารมณ์ท่ีวา่ นี้คอื ห้วงนกึ ทีใ่ จชอบ ไม่เก่ียวกับห้าทางท่ีว่ามาแล้ว เป็นเร่ืองทางใจโดยตรง เช่นความรัก ความโกรธ ความ พยาบาท ยศ ศักดิ์ อานาจ ความอยากอวดอยากโก้ อยากเอาชนะแข่งดี เหล่าน้ีเป็นต้น อันเป็นเร่ืองของใจโดยตรง รวมความแล้วสิ่งที่ทาให้ใจคิดก็คือรูป เสียง กล่ิน รส สัมผสั และอารมณ์ ซง่ึ เราได้เห็นด้วยตา ไดฟ้ ังด้วยหู ได้ดมดว้ ยจมูก ได้ล้ิมด้วยล้นิ ได้ แตะตอ้ งด้วยร่างกาย และอารมณ์ทางใจ เมื่อสงิ่ เหล่าน้ีทาใหใ้ จคดิ ส่ิงที่ทาให้ความเห็น มันคดก็ส่ิงเหล่านี้เอง หกอย่างน้ีแหละเป็นเหตุ บางทีทิฐิของเรามันก็คดไปกับตา พอ เห็นเขียวๆ แดงๆ เข้าหน่อย ความคิดความเห็นท่ีเคยอยู่ตรงๆอยู่ ก็คดก็งอไปหมด ระเบียบวินยั ศีลธรรมมารยาทเสียหมด เพราความเหน็ มนั คดเบีย่ งหนีไปทางอืน่ เสียแลว้ คิดดูเองก็แล้วกัน บางทีทิฐิของคนบางคนก็คดไปกับเสียง เสียงออดอ้อน เสียงเยินยอ เสียงสับสอ่ เสียงชมเชย เสยี นินทากาเร เสียงโฆษณาชวนเชื่อ โดนลมเป่าหเู ข้ามากๆ ทิฐิ ก็คดไปได้เหมือนกัน พูดมาเท่าน้ีก็เห็นจะพอวาดภาพต่อไปออกแล้ว ในตอนน้ีอยาก เพียงให้ข้อสังเกตไวว้ ่า สิ่งใดที่ทาให้ใจคิด ก็ส่ิงนั้นแหละที่ทาให้ทิฐิคด “ทิฐิคดเพราะ สิ่งที่ใจคิด” ถ้าหากจะถามว่า ทิฐิของคนเราที่ดัดไว้ตรงๆแล้ว นานสักก่ีมากน้อยมันจึง คด? ตอบวา่ ไม่แน่ แล้วแต่ใจใครจะมีส่งิ ยั่วใจมากหรือน้อย คนที่ไม่มีโอกาสที่จะได้เก็บ รักษาเงินทองของมีค่า โอกาสท่ีสิ่งเหล่านี้จะทาให้ทิฐิคดก็มีน้อย ตรงกันข้าม ใครคลุก คลีอยู่กับของย่ัวใจมาก โอกาสท่ีทิฐิจะวิปลาสคดงอไปก็มีมากเหมือนเด็กนั่งเฝ้ากับข้าว อยู่คนเดียว ความคิดที่อยากจะขโมยกับกินก็เกิดบ่อย เร่ืองน้ีตัวใครตัวมันต้องดูเอง สารวจเอง โตๆดว้ ยกันแลว้ ทั้งนั้น
เมื่อเราไม่อาจกาหนดลงไปได้ตายตัวว่านานเท่าไรทิฐิจึงจะคด แล้วเราจะ ทาอย่างไร ? วิธีทาคือหมั่นตรวจสอบทิฐิของตัวเองอยู่เสมอ ดังจะเสนอวิธีปฏิบัติเป็น ข้อๆ ไป แลว้ กส็ ังเกตดเู องกแ็ ล้วกนั วา่ จะตรวจสอบเมอื่ ไรใชร้ ะยะนานเทา่ ใด เท่าที่พอจะรวบรวมได้จากคาสอนทางศาสนาของเรา ท่านวางวิธี ตรวจสอบทิฐใิ ห้ ๓ วิธดี ว้ ยกนั ซ่งึ ไดก้ ล่าวถึงในวนั กอ่ นบ้างแล้ว คอื : ๑. ตรวจสอบด้วยการศึกษาเอง เรียกวา่ ธรรมานสุ รณะ ๒. ตรวจสอบด้วยการฟงั ธรรมะ เรียกวา่ ธรรมสวนะ ๓. ตรวจสอบดว้ ยการสนทนาธรรม เรียกวา่ ธรรมสากจั ฉา ธรรม เรยี กวา่ ธรรมสากัจฉา ท่ีว่าน้ีคือตรวจสอบทิฐิ - ความคิดเห็นของตัวเราเองว่า ยังตรงดีอยู่หรือไม่ หรอื เกดิ คดเคีย้ วหงกิ งอไปเสยี แลว้ วิธีที่ ๑. ตรวจสอบด้วยการศึกษาเอง คาว่า ศึกษาเองนี่ หมายถึงการอ่าน เอง ดูเอง ตลอดจนการคิดพิจารณาเอง อย่างท่ีพระพุทธองค์ตรัสแนะแก่พระเถระรูป หน่ึงว่า_____ธมฺม อนุวิจินฺตยธมฺมอนุสฺสรภิกฺขุสทฺธมฺมา น ปริทายติ, ท่านบอกคิด ธรรมมะระลึกถึงธรรมมะไว้ จะได้ไม่เส่ือมจากสัทธรรมในทางปฏิบัติ เราอาจอ่าน หนังสือที่ท่านผู้มีความรู้ทางธรรมะแต่งไว้ ดูความในหนังสือ แล้วก็เอาใจเราเข้าไปสอบ กับความในหนังสือนั้นดูว่า มันตรงกันไหม หรือ ไม่ตรงกัน เราจะรู้ได้เอง เช่นใน หนงั สอื ท่านวา่ “ความกตัญญูกตเวทเี ปน็ เคร่ืองหมายของคนดี” นห่ี นงั สือวา่ ทีน้คี วาม คิดเห็นของเราล่ะ เห็นว่าอย่างไรในเรื่องนี้ ถ้าเห็นตรงกัน ก็เป็นอันว่าทิฐิเรายังตรง แต่ ถ้าเห็นขัดกัน เช่น เราเกิดเห็นความเนรคุณเป็นเคร่ืองแสดงว่าโก้ว่าเก่ง หรือเราเกิดไป นิยมชมชอบใครกต็ าม ทเี่ ปน็ คนอกตญั ญูอย่างนี้แหละทฐิ ิคด คดแน่ๆ เอาเทียบกับแบบ ดูอย่างนี้รู้เลยทีเดียวแบบท่ีว่า น้ีไม่ใช่จะต้องไปงัดเอาออกมาจากตู้เสมอไป อาจแบบไว้ ให้เราตรวจอยู่เสมอก็ได้ อย่างเช่นป้ายคาขวัญต่างๆ ที่ติดไว้ตามกองร้อย หรือตามถนน ในค่ายาทหารมีอยู่ทุกค่ายน่ันแหละ เช่นเขาเขียนบอกไว้ว่า “ใจกล้ากิริยาดี เป็น ศักดิ์ศรีของนักรบ ” อย่างนี้ก็คือแบบ พอเห็นเข้าอย่าอ่านเฉยๆ ให้เอาความเห็นของ เราเข้าไปสอบดูว่าเวลานี้เราเห็นตรงกันไหม ? ถ้าตรงใช้ได้ แต่ถ้าใครเห็นกลับกัน ตัวเป็นทหารแต่ไปเห็นว่า “ใจขลาด มารยาท ทราม เป็นความดี” อย่างคด ลงได้คด อย่างนแี้ ล้วต่อใหเ้ ป็นทหารจนตาย ก็เปน็ ทหารทด่ี ีไมไ่ ด้ เหมือนเอาลกู ธนูคดยิงนก ยงิ จน ตายก็ไม่ได้นก ท่ียกมานี้ว่าข้างทหารพอเป็นตัวอย่าง ฝ่ายท่านผู้ฟังท่ัวไปก็อนุโลมแบบ เดียวกันน้ี คือเอาทิฐิของเราสอบกันแผนดู ทางท่ีดีแล้วควรทาทุกวัน, การไหว้พระสวด
มนต์ประจาวนั ตามประเพณีของชาวพุทธ ก็มีความมุ่งหมายในเร่ืองตรวจสอบทิฐิรวมอยู่ ด้วย คือ เอาทิฐิของเราสอบกับพระดู ว่าเรากับพระยังตรงกันอยู่หรือเปล่า ใจเรากาลัง คิดจะทามิติมิร้าย ก็ลองสอบดูว่าพระท่านเห็นด้วยหรอื ไม่ การต้ังพระไว้บชู าก็ดี การเอา พระแขวนคอไวก้ ็ดี การท่เี ราไหว้พระสวดมนต์ประจาวันกด็ ี ต้องเล็งเขา้ สู่จุดนี้จงึ จะไดผ้ ล สมบูรณ์ ไม่ใช่เพียงไปกราบไหว้ใหพ้ ระพุทธดู หรือไปสวดมนต์ให้พระพุทธฟัง ไมใ่ ชอ่ ยา่ ง นั้น แต่จุดหมายอยทู่ กี่ ารตรวจสอบทิฐิประจาวนั วิธีนเ้ี รียกวา่ ธรรมานสุ รณะ วิธีท่ี ๒. ตรวจสอบด้วยการฟังธรรมะ หมายความว่าฟังจากคนอ่ืน เช่น ฟัง พระเทศน์ ฟังบรรยาย ฟังปาฐกภา ฟังจากวิทยุ เช่นอย่างเราฟังอยู่เวลานี้เป็นต้น ทาง ศาสนาเรยี กวธิ นี ้ีว่า ธรรมสวนะ การฟงั ธรรมะ ขอเสนอข้อสังเกตให้เป็นท่ีเข้าใจกันไว้ด้วยว่า การฟังธรรมะ เช่น อย่างฟังพระเทศน์หรือทหารฟังบรรยายประจาสัปดาห์และประจาเดือน นั้น บางคนเข้าใจผิดวา่ ท่ีผู้พูดจะพดู นั้น ตนเลยเรยี นมาแลว้ รู้อยู่แล้วซ้าๆ ทั้งนั้น เลยคิดไม่อยากฟัง นี่คิดผิด ท่ีจริงธรรมะที่พระเทศน์หรือ อนศุ าสนาจารย์บรรยายน้นั ไมใ่ ชข่ องใหมเ่ สมอไป รูก้ ันอยู่แล้วทั้งนัน้ แต่ที่ พูดอีก ท้ังๆ ที่รู้ก็เพื่อบาเพ็ญประโยชน์แก่คนฟัง จะได้ตรวจสอบทิฐิจาก การฟัง ตามเวลาอันสมควร เป็นอย่างนี้ต่างหากเล่า อย่าลืมว่าบรรทัดเก่า นัน้ เอง ขีดเส้นให้ตรงได้หลายร้อยครงั้ การฟังธรรมะนั้น ห่างกว่าวิธแี รก พระพุทธองคท์ รงวางระยะมาตรฐานไว้ ๗ วันคร้ัง ท่ีเรียกว่าวันธรรมสวนะ คือ ๗ วันเราก็ตรวจสอบทิฐิกันที ท้ิงไว้นานนักถ้ามัน คดไปแล้วดัดยาก เฉพาะทางทหารเรามีระเบียงฟังธรรมมะจากอนุศาสนาจารย์เดือนละ ๑ คร้ังเป็นอย่างน้อยแล้วก็ฟังจากวิทยุนี้ทุก ๗ วัน ถ้าแม้ทิฐิจะวิปลาสไปบ้าง ภายใน ระยะน้ีก็ยังพอดัดได้ทัน ข้าพเจ้าไม่อยากพูด แต่ก็อยากให้ทราบความจริงว่า ท่ีไหน ทอดทิ้งการฟังธรรมะปีก็แล้ว สองปีก็แล้ว ไม่มีการตรวจสอบทิฐิกันเลย หนักเข้ามักจะ แย่ เมื่อคนส่วนมากเกิดทิฐิคด คิดเห็นข้างๆ คูๆ จริงอยู่มันทีละน้อยๆ แต่เม่ือนานๆ เข้า มกั จะเขวไปมากจนตัดไมก่ ลบั เร่อื งอยา่ งนต้ี อ้ งระวัง ในครอบครัวกต็ ามในหมู่คณะก็ตาม ต้องดาเนินการให้สมาชิกได้ตรวจสอบ ทิฐิของตนเวลาอันควรท่านที่เป็นนักสังเกต ย่อมจะเทียบได้ว่า ความเห็นของคนสมัยก่อนกับสมัยน้ีต่างกันมาก คนสมัยก่อนมักจะมี ความเห็นในเร่อื งผดิ ชอบชว่ั ดีคล้อยไปทางเดยี วกัน ผดิ เห็นวา่ ผิด ถกู เหน็ ว่าถูก แมแ้ ตเ่ ป็น โจรมหาโจร ก็ยังมีความเห็นว่าท่ีตัวทาไปนั้นไม่ดี แต่คนทุกวันนี้ ความเห็นสาส่อน
แตกกระเจิดกระเจิงไปคนละทางสองทาง นี่ขอโทษนะ ผิดถูกสังเกตดูก็แล้วกัน ถ้าไม่รัก กนั จา้ งก็ไมพ่ ดู ใหฟ้ ัง นึกดูเถอะ เร่อื งบางอยา่ งไม่นา่ จะเถียงกนั เลยวา่ ดีหรือไม่ดี กย็ ังเถียง กัน ที่เอาข้างเจ้ารกเข้าป่าไปก็มี เพราะเห็นไม่ตรงกัน เหตุใดความเห็นของคนสมัยก่อน กับสมัยน้ี จึงมีอันเป็นต่างกันเหตุผลอาจมีอยู่หลายอย่าง แต่มองในทรรศนะทางศาสนา เห็นเหตุใหญ่อยอู่ ันหนึ่ง คือคนสมัยก่อนนิยมวันธรรมสวนะ ตรวจสอบทิฐกิ ันเป็นระยะๆ ตามกาหนดอันควร ทิฐิจึงตรงกัน แต่สมัยนี้ความนิยมในเร่ืองฟังเทศน์ฟังธรรมวันธรรม วันธรรมสวนะเสื่อมลง ร้อยวันพันปีก็ไม่ตรวจสอบทิฐิดูบ้าง ต่างคนต่างคิดก็เลยต่างคน ต่างคด ทิ้งไว้นานๆ ก็เลยชักจะพูดกันไม่รู้เร่ือง, รวมความว่า การตรวจสอบทิฐิด้วยการ ฟังธรรมะทางศาสนา ถอื วา่ เป็นกจิ จาเป็นทต่ี ้องทาเป็นระยะๆ ตามกาละอนั ควร วิธีที่ ๓ ตรวจสอบด้วยการสนทนาธรรม งานชนิดน้ีเรียกว่าธรรมสากัจฉา ซึ่งแปลว่าการสนทนาธรรมตรงตัว การสนทนาต่างจากการอ่านและคิดนึกเอง ต่างจาก การฟัง เพราะการอ่านการฟังไม่ได้แสดงทิฐิออกไป มีแต่อ่านแต่ฟังเฉยๆ ส่วนการ สนทนาธรรมเป็นการคุย ต่างฝ่ายต่างแสดงทิฐิ คือความคิดความเห็นของตัวออกมา ที่ เรียกว่าแลกเปล่ียนความคิดเห็นกันท่ีว่าแลกเปล่ียนความคิดเห็น ก็คือแลกเปลี่ยนทิฐิ นนั่ เอง เมอ่ื ตา่ งคนตา่ งแสดงความเห็นออกมา เราก็สอบดทู ิฐขิ องเราซวิ ่าคดหรือตรง การสนทนาธรรมที่ว่าน้ี อาจเป็นการสนทนาตอบโต้กันจริงๆ คือตีวงคุย ธรรมะกันจริงๆ ก็ได้ หรือเพียงแต่ถามตอบกันคาสองคาก็ได้ เช่นทางานไปติดปัญหา อะไรเข้า หรือคิดไปเห็นอะไรมันชอบมาพากล ก็แสดงความคิดเห็นให้คนอื่นฟัง และขอ ฟังความคิดความเห็นของเขาบ้าง อย่างนี้ก็ได้ ความมุ่งหมายสาคัญไม่ให้อุบทิฐิตัวเองไว้ นานเกนิ ไป ขยายมันออกเสยี งบ้า การสนทนาธรรม เป็นงานที่พระพุทะเจ้าทรงสรรเสริญมาก แม้พระองค์ ทรงร่วมสนทนาธรรมกับพระสาวกเป็นบางคราว แต่บางคนเข้าใจไปว่า เราความรู้น้อย คุยกับคนที่เขาความรู้มากไม่ได้เลยไม่อยากคุยด้วย กลัวจะขายหน้าเขา บางคนก็คิดว่า เราความรู้มาก ไม่ต้องขอความเห็นใครก็ได้ไม่อีกทีก็คิดว่ามือช้ันเรามันต้องคุยกับเจ้าฟ้า เจ้าคุณเท่าน้ัน จึงจะรู้เรื่อง คิดอย่างนี้ยังไม่ถูก การสนทนาธรรมไม่ใช่สนามอวดความรู้ เป็นงานพูดและฟังความคิดเห็น เป็นงานประเภททิฏฐิชุกธรรม คือทาความเห็นให้ตรง เอาละ พอละสรปุ ได้ว่า การตรวจสอบทฐิ ขิ องเราว่าวปิ ลาสหรือไม่ มีอยู่ ๓ วธิ ี คอื : - ธมั มานสุ รณะสอบกบั ธรรมะดว้ ยตนเอง เป็นกจิ ประจาวนั - ธัมมสวนะ สอบด้วยการฟังธรรมะ ๗ วนั ครงั้ - ธมั มสากัจฉา สอบด้วยการสนทนาธรรมะตามกาละอนั ควร
อยากจะขอบอกกล่าวว่า วิธีท้ังสามนี้เป็นพระพุทธวจนะท้ังสิ้น แต่กระจัด กระจายกันอยู่ ท่านจะไปพลิกหาในเล่มไหนๆ ที่รวมชุดกันอยู่อย่างนี้ ไม่เจอแน่ ข้าพเจ้า ค้นไปพบไป แล้วก็เอาสรุปรวมไว้ ให้สะดวกแก่ท่านผู้ฟัง อย่างเช่นเรื่องฟังธรรม พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงไว้แน่นอนว่ามีประโยชน์ ๕ อย่าง และในห้าอย่างน้ันมีอยู่อย่าง หนึ่งท่ีว่า ผู้ฟังจะได้มีโอกาสตัดความเห็นให้ตรง อย่างนี้เป็นต้น เป็นวิธีการค้นที่ว่า ผู้ฟัง จะไดม้ ีโอกาสดัดความเห็นใหต้ รง อย่างน้เี ปน็ ตน้ เปน็ วิธกี ารคน้ มขี อ้ นา่ สงั เกตอกี อยา่ งคือ เหตุใดการตรวจสอบทฐิ ิ ท่านจงึ ให้ตรวจสอบกับ ธรรมะ ท้ังสามวิธีจะสอบกับอย่างอื่น ไม่ได้หรือ ? ข้อนี้ตอบง่าย คือเร่ืองทางโลกน้ันมัน เป็นของไม่อยู่ตัว หมุนเวยี นเปล่ียนแปลงไม่คงทน มันขึ้นได้ลงได้เหมือนข้ีผึ้งพอถูกเย็นก็ แข็ง พอถูกร้อนก็อ่อน ส่วนธรรมะเป็นของสูง คงตัว คนแต่งโลก แต่ธรรมะแต่งคน อยู่ เหนอื คน เพราะฉะน้นั ธรรมะจงึ เปน็ ของแน่ ใช้ตรวจสอบทิฐไิ ด้ดีทส่ี ดุ นกึ ถงึ อุปกรณก์ ารเขยี นหนังสือของเราดขู องสาคญั มี ๓ อยา่ ง คอื ไม้ บรรทัด ปากกาและหมึก ปากกากับหมึกน้ันได้แต่ใชข้ ีดใช้เขียน ถ้าจะสอบ ท่ีขดี ที่เขียนนั้น ตรงหรือไม่ตอ้ งใช้ไม้บรรทัด แม้ปากกาจะปลอกทองราคา ๔๐๐ – ๕๐๐ ก็ต้องพ่ึงบรรทัดไม้ฉาฉาราคา๒ สลึงมันจึงจะตรง เร่ือง เก่ียวกับชีวิตของเราก็เหมือนกันน้ี ธรรมะเหมือนไม้บรรทัด ตัวเราเหมือน ปากกา วิชาความรู้เหมือนหมึก ด้วยเหตุนี้แหล่ะ การตรวจสอบความตรง ของทิฐิพระพุทธเจ้าจึงรับสั่งว่า ให้ใช้ธรรมะ โดยพลิกแพลงใช้ ๓ วิธีตาม ที่วา่ มาแล้ว. วบิ ตั ิข้อท่ี ๓ ทิฐวิ ิบตั ิ (ตอ่ ) ทิฐิมานะ พุธที่แล้วอธิบายเรื่องดัดทิฐิ ตอนท้ายๆ ดูเหมือนจะพูดห้วนไปสักหน่อย วนั น้ีขอแถมอีกนิด ก่อนท่ีจะพูดในประเด็นอื่นต่อไปที่วา่ ห้วนน้ัน คือตอนท่ีบอกว่า คนท่ี ร้ตู วั วา่ ทิฐขิ องตนวปิ ลาสแลว้ หากจะดดั คนื ให้ตรงก็ไมย่ าก ทาไดง้ ่ายนดิ เดยี ว คือเพียงแต่ รสู้ ึกวา่ ความคิดเหน็ ของเราเขวเสยี แล้ว กเ็ ลิกคดิ เหน็ อย่างน้ันเสยี คิดเหน็ เสียใหม่ ให้ตรง ทางท่ถี ูก เทา่ น้กี ็ส้ินเร่อื ง พูดไปแล้วก็นกึ สังหรณ์ทใจว่า ผฟู้ ังบางทา่ นอาจสงสยั และคิดไป ว่าข้าพเจ้าแนะวิธีละเลงขนมเบ้ืองด้วยปาก เพราะความจริงเราเคยโดนมาแล้วเป็น ส่วนมากว่า การดัดทิฐิวิปลาสของคนยากเย็นเพียงใด แม้แต่ลูกในไส้เราแท้ๆ พอแกเห็น
ผิดพลาดออกนอกลู่นอกทาง เราจะดัดเข้าหาทางที่ถูก ก็แสนจะลาบากยากเย็น บางที ถึงกับตัดปล่อยไปจริงๆ ก็มี มันดัดไม่ไหวแล้วทาไมข้าพเจ้าจึงบอกว่าง่าย เรื่องนี้จะต้อง แถลงเพิ่มเติม พ่ีน้องทหารและผู้ฟัง เคยรู้จักเถาวัลย์ใช่ไหม ? เครือไม้ท่ีมันเกิดอยู่กับ ป่าน่ะ อย่างเช่นเครือหวายหรือเครือย่านาง คงจะเคยเห็นกันทุกคน เถาวัลย์น่ะมันเป็น ของอ่อนยาวเท่าไรๆ ก็ไม่แขง็ ดัดง่าย ถงึ เดก็ ๆ ท่ีมีกาลังน้อยกด็ ัดมนั ได้ อยา่ งท่ีเขาเอามา ดัดทาของใช้ขายอยู่ในตลาดก็มีเยอะ แต่ว่ามันมีเถาวัลย์บางเถาว์ มันเกิดในป่าท่ีมีต้นไม้ ยืนต้นพองอกข้ึนมาแล้วมันเกิดไปพันต้นไม้เข้า เถาวัลย์พันไม้อย่างน้ีน่ะ เพียงแต่ตัดต้น ตัดปลายแล้วเอามาดัดดู มันดัดไม่ได้ ดัดเท่าไรก็ไม่สาเร็จ มันแข็ง ! ที่แข็งนั้นไม่ใช่ เถาวัลยม์ ันแขง็ ดูให้ดี ทอ่ นไมม้ ันพาแขง็ ตา่ งหาก นเ่ี ถาวัลยพ์ ันไม้ ทิฐิของคนเราก็เหมือนกัน ปกติมันไม่ใช่ของแข็ง ไม่ใช่ของดัดยาก แต่ถ้า หากทิฐิของใครมีของแข็งมาแทรกเข้า ก็กลายเป็นของดัดยาก บางทีดัดจนตายก็ยังไม่ ตรงได้อะไรเล่าของแข็งที่ทาให้ฐิทิดัดยาก ! ท่านผู้ใดนึกออกบ้าน? ของแข็งท่ีว่านั้นก็คือ มานะ ความถือตัวถ้าใครเป็นคนเจ้ามานะอยู่แล้ว พอเกิดความคิดเห็นอะไรขึ้น ความ คิดเห็นก็พันเข้ากับมานะน้ัน ทิฐิที่พันมานะอย่างนี้ เราเรียกว่า “ฐิทิมานะ” ท่านผู้ฟังคง จะเคยได้ยินบ่อย บางทีเราก็ว่าใครๆที่ชอบดันทุรัง ไม่ยอมฟังความเห็นของคนอื่นว่า อี ตาคนนั้นแกเป็นคนทีมีทิฐิมานะ ซ่ึงหมายความว่า ทิฐิของแกได้เกิดพันมานะเข้าแล้ว เหมอื นเถาวัลยพ์ นั ไมด้ ดั ยากมาก ท่ียากนนั้ ยากทมี่ านะ ไม่ใชย่ ากที่ทฐิ ิ ขอพูดท้าวไปถึงความถือตัวสักหน่อย ความจริงก็ว่ามามากแล้ว อย่างเช่น ในเรื่องอุปกิเลสหรือสนิมในใจได้ว่าเร่ืองมานะเสียจนปรุหมดแล้ว แต่ว่าแล้วก็ยังไม่แล้ว ขอทบทวนอีกหน่อย จะได้รู้ว่าถ้าทิฐิมาพันมานะเข้าแล้ว มันดัดยากอย่างไร คือมานะที่ เราว่าความถือตัวนั้น เรามักจะเข้าใจกันว่า หมายถึงความทะนงตัว คิดว่าตัวประเสริฐ เลิศลอยกว่าคนอ่ืน อย่างนี้เรียกว่ามานะ ความถือตัวท่ีเข้าใจอย่างน้ีก็ถูก แต่แรกความ จริงโรคถือตวั ของคนมถี ึง ๓ ชนิด คือคนมมี านะนน้ั มีสามประเภทดว้ ยกัน คือ : ๑. พวกมานะเฉยๆ ถอื ว่าตวั เสมอกับคนอื่น ๒. พวกอติมานะ ถอื ว่าตวั สงู กวา่ คนอื่น และ ๓. พวกอวมานะ ถือว่าตัวตา่ กว่าเขา รวมเป็นคนมานะ ๓ พวก ท้ังสามพวกนี้ทาดียากด้วยกันทั้งน้ัน พวกถือว่า เสมอกับเขา ก็ปิดประตูค้า ใครเตือนไม่ได้ และไม่อยากให้ใครมาเตือน เราก็คนกินข้าว มีหัวใจเหมือนกัน ไม่ต้องมาสอน น่ีความคิดของพวกมานะเฉยๆ ส่วนพวกอติมานะ ถือตัวว่าตัวสูงกว่าคนอ่ืน ฉันใหญ่กว่า รวยกว่า ตาแหน่งสูงกว่า ตระกูลสูงกว่า ความรู้
มากกว่าใกล้ชิดกับผู้ใหญ่มากกว่า ใครๆ อย่ามาสอนเลย น่ีความคิดของพวกอติมานะ ตายเสียเปล่า ทาดีไม่ได้ก่ีมากน้อย, อีกพวกหนึ่ง พวกอวมานะ ถือว่าตัวต่ากว่าเขาดูถูก ตัวเองวา่ เราเปน็ คนช้ันต่า ดวงเรามันไมด่ ี วาสนาเรานอ้ ย เราเป็นแค่ลกู จา้ ง เป็นแค่พลทหาร เป็นแค่กรรมกร รวมความว่าดูถูกตัวเองเสียจนไม่อยากจะทาดี คดิ ว่าคนอย่างเราทาดไี ม่ขึ้น เลยปล่อยตัวตามยถากรรม ช้ันท่ีสุดแม้แต่บ้านเรือนของตัวเอง ก็ไม่อยากเก็บกวาดให้ เรยี บร้อย ไม่ว่าใครจะเรียกร้องเชิญชวนให้ปรับปรุงตัวเองอย่างไรๆ ก็ช่างนีพ่ วกถือวา่ ตัว ต่า คนท่ีหลบดีออกไปข้างต่าก็มีเยอะเหมือนกัน ตกลงโรคมานะน่ีแหล่ะทาให้ทิฐิแข็ง ดัดยาก ในเรื่องสนิมในใจข้าพเจ้าว่าไว้ว่า คนถือว่าตัวสูงเหมือนคนเป็นโรคหลังแข็ง ก้มไม่ลง แม้จะเห็นทองวางอยู่กับพื้นก็หยิบเอาไม่ได้ ส่วนคนถือว่าต่าเหมือนคนเป็นโรค หลังงอเงยไม่ข้ึน ทองวางอยู่สูงแค่มือเอ้ือม ก็หยิบไม่ถึง ท้ังโรงหลังแข็งท้ังโรคหลังงอ มันโรคอาภัยด้วยกันท้ังน้ัน คนที่มีความถือตัวอยู่แล้ว ถ้าเกิดความเห็นวิปลาสซ้าเข้าไป อกี ยง่ิ ไปกันใหญ่ ทาอะไรผดิ ๆ แล้วยังใครวา่ กล่าวตักเตือนไมไ่ ด้เสยี อีกแล้ว พูดเร่ืองความเห็นวิปลาสแล้ว ก็มานึกถึงเหตุการณ์บ้านเมืองของเราใน ปัจจบุ ันนี้ หวังว่าพ่ีน้องทหารและท่านผู้ฟังท้งั หลาย คงจะได้สดับตรับฟังขา่ งทางหนังสือ และวิทยุว่า ในระยะ ๑ สัปดาห์มาน้ี ได้มีนักเรียนยกพวกตีกันหนาหูขึ้น ซ่ึงเป็น เหตกุ ารณ์อันน่าเศร้าสลดใจของคนไทย และของพ่อแม่ครบู าอาจารย์ทุกคน ผู้มคี วามรัก และหวังดีต่อกุลบุตรธิดา จะเรียกว่าน้าตาตกในก็ได้ สาเหตุก็มาจากการแข้งขันกีฬาซ่ึง เป็นเรื่องมีแพ้มีชนะ ความจริงการเล่นกีฬาน้ันคู่แข่งขันย่อมจะได้เกียรติ คือมีคนนิยม ชมชอบทั้งสองฝ่าย ฝ่ายชนะถ้าชนะอย่างนักกีฬาคนกส็ รรเสรญิ ฝ่ายแพ้หากเล่นสุดฝีมือ แล้วคนก็นับถือและให้เกียรติ แต่กุลบุตรธิดาของเราบางหมู่บางพวกบางคนกลับมีความ คิดเห็นวิปลาสคลาดเคลื่อนไป คิดว่าคนเก่งจริงแล้วต้องเอาชนะให้ได้ ไม่ว่าในหรือนอก กติกา พอทิฐิวิปลาสอย่างนี้เกิดขึ้นกเ็ ลยพากันตัดสินใจไปมนทางผิด จะตามฆ่าตามตีกัน คิดว่าวธิ ีนัน้ จะทาใหพ้ วกตนมชี อื่ มีเสียง นี่แหละ่ ทีว่ า่ ทฐิ ิวปิ ลาส ความเห็นคด ถา้ คดแต่ทิฐิ ไมเ่ ปน็ ไร พอรู้สึกตัวว่าผดิ ไปแลว้ ด้วยอารมณ์ชวั่ แล่นกเ็ ลกิ ได้ ตั้งต้นกนั ใหม่ ผิดแลว้ ก็ตีกัน ได้ เรามนั ล้ินกับฟันกม็ ีกระทบกนั บ้าง แต่ข้อสาคัญมีมานะเข้าแทรกด้วยหรือเปลา่ ? อ้าง พวก อ้างสี อ้างเหล่าเข้าหากันไหม? ถ้าอ้างโน่น อ้างนี่ๆ มาแย่หน่อย พ่อแม่ครูบา อาจารยจ์ ะพากันร้องไห้ต่อไปอีก เพราะทฐิ ิวิปลาสท่ีแทรกด้วยมานะนั้น ดัดยากนกั แม้ผู้ หลักผู้ใหญ่เจ้าบ้านผ่าน เมื่อครูบาอาจารย์จะร้องขอตักเตือนอย่างไรกไ็ ม่ได้ยิน ถ้าขืนพา กันดื้อรั้นไม่มีความเช่ือฟัง และไม่เลิกละความเห็นวิปลาสอย่างนี้ มีแต่ความย่อยยับจะ ตามมา นักเรยี นเองกเ็ สยี โรงเรยี นกเ็ สียบ้านเมืองของเรากเ็ สีย เสียมหดทกุ อยา่ ง บรรดา บดิ ามารดาผ้ปู กครองกจ็ ะพากันเสียอกเสยี ใจ นี่แหละ่ คอื ความวบิ ัติเพราะทฐิ ิวปิ ลาส พูดแล้วก็ขอพูดต่อไปอีกหน่วยเถอะ คนไทยเราน้ีมีโชคดีมากกว่าชาวโลก อีกหลายสิบล้านคน ที่บรรพบุรุษของเราท่านมาต้ังบ้านต้ังเมือง ไว้ให้เราท่ีแหลมทองน้ี
เปน็ เหมือนแผ่นธรณีอันศักด์ิสทิ ธิ์ ภยั พบิ ตั ิทางอนื่ ท่ีจะมาแผ้วพาลนอ้ ยเตม็ ที เม่อื วานนี้พ่ี น้องทหารและท่านผู้ฟัง ถ้าได้ฟังข่าวทางวิทยุสถานีต่างๆ คงจะได้ฟังว่า ที่เกาะญ่ีปุ่นได้ ประสบภัยจากมรสุม ย่อยยับอับปางถึง ๓๘ หัวเมืองคนต้ังแสนไม่มีท่ีอยู่ และล้มตาย หายสูญไปเป็นพนั ๆ น้ันเขาตอ้ งเผชญิ ภัยธรรมชาติอย่างรา้ ยกาจ แตป่ ระเทศไทย เราแคล้วคลาดจากภัยเช่นนั้นตลอดเวลา ภูมิประเทศดินฟ้าอากาศช่วย เมืองไทยทุกอย่าง ภัยแห่งความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมืองเรา ถ้าจะเอาท่ีน่ากลัวกัน จริงแล้วก็เห็นมีอยู่ทางเดียว คือภัยทางทิฐิวิปลาสของพวกไทยเราเอง อย่าลืมว่า เมือง เขาถูกมนสุมจนบ้านแตก เมืองแตก แต่คนเขายังรักกัน ยังดีกว่าเราท่ีคนไทยแตกกันเอง แต่บ้านเรือนยังอยู่ จาไว้ว่า “เรา - บ้านดีคนแตก เสียหายมากกว่าเขาท่ีบ้านแตกแต่คนดี” หลายเท่านัก เพราะฉะนั้น ลูกไทยหลานไทยทุกคนไม่ควรคดิ ไม่ควรทา ไม่ควรพยายาม ในทางท่ีทาให้เกิด การแตกสามัคคีขึ้นในบ้านเมืองของเรา ความคิดเห็นที่ว่าจะต้องตาม ข่มเหงฝ่ายอ่ืนเพื่อรักษาช่ือเสียงฝ่ายตนเอง และความคิดเห็นในทางดื้อดึงขาดความเชื่อ ฟังครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นความคิดเห็นท่ีเรียกว่าทิฐิวิปลาสท้ังส้ิน อย่างนี้แหละ พระพุทธเต้าทรงพร่าสอนพวกเราว่า ให้บาเพ็ญทิฏฐุชุกกรรม คือทาความเห็นให้ตรง ใครไมเ่ ชื่อพระองค์ คนน้นั ก็มกี รรม มหี วังตกไปสู่ความวบิ ัติ ข้าพเจ้ายังไม่ได้บอกว่า การดัดทิฐินี่แทรกด้วยมานะจะทาอย่างไร วิธีทา เหมอื นดัดเถาวัลย์พันทอ่ นไม้นั้นแหละ คือแกะเถาวัลยอ์ อกแล้วขวา้ งท่อนไม้ท้ิงเสยี เหลือ แต่เถาวัลย์ ก็ดัดไม่ยาก ทิฐิมานะของคนเราก็เหมือนกัน ถอนมานะความถือตัวออกเสีย ใหเ้ หลือแต่ทิฐิ ตัดงา่ ยนิดเดียว เอาละ เร่อื ทฐิ ิวปิ ลาสผ่านไปทีโปรดอยา่ งลมื ว่า ทิฐิทเี่ สียเพียงช้ัน วิปลาสน้ียังไม่ถึงข้ันวิบัติ เพียงแต่เป็นผู้เดินไปสู่ความวิบัติทิฐิที่เสียหาย ร้ายแรงถึงข้ันที่เรียกว่าทิฐิวิบัติ หมายถึงมิจฉาทิฐิ ซึ่งจะบรรยายต่อไป แต่ก็ อย่างดูเบาว่า เพียงทิฐิวิปลาสเป็นเรื่องเล็กน้อย อย่าดูเบา ขนาดทิฐิวิปลาสก็ ร้ายถึงกับหามส่งโรงพยายาม เย็บกันตั้งหลายเข็ม, มิจฉาทิฐิท่ีจะพูดต่อไป ร้ายแรงกวา่ นอ้ี ีก ถงึ ขน้ั วิบัติทีเดยี ว.
วิบัตขิ ้อท่ี ๓ ทิฐิวิบตั ิ (ตอ่ ) มจิ ฉาทิฐิ วันนี้ก็จะพูดเรื่องเก่า คือเรื่องความวิบัติล่มจม ซ่ึงเป็นเรื่องอัปมงคล ไม่น่าฟัง แต่ว่าจาเป็นต้องพูดสู่กันฟังเพื่อจะได้คดิ อ่านป้องกัน วันนจ้ี ะถึงตอนทิฐวิ ิบัติแน่ แตข่ อเวลาพดู อะไรกันไว้ตรงนี้สกั นิดหนอ่ ยก่อน เป็นเรือ่ งสมบตั ิวบิ ัตนิ แี่ หละ คอื ทรรศนะ ทางศาสนาเห็นว่า สมบัติทั้งหลายทั้งปวงในโลกเรานี้มันขึ้นอยู่กับคน คนก็คือคนผู้ครอง สมบัติน้ันนั่นเอง สมบัติของตระกูลที่พ่อแม่อุตส่าห์สะสมไว้ ก็ข้ึนอยู่กับผู้ครองของ ตระกูล สมบัติของชาติบ้านเมืองก็ขึ้นอยู่กับผู้สืบชาติ สมบัติของศาสนาก็ขึ้นอยู่กับศา สนิก สมบัติของหน่วยทหาร กรมกอง โรงเรียน ก็ข้ึนอยู่กับผู้ครองสมบัตินั้นๆ หากคน ครองสมบตั กิ ลายเปน็ คนวิบัติเสยี แลว้ ก็ไมอ่ าจท่ีจะครองสมบัตินั้นๆได้ คนเรานแ่ี หละคือ หัวใจของสมบัติ จะพูดอีกทีก็ว่า ยอดของสมบัติก็คือคน ถ้าปล่อยให้คนวิบัติแล้ว อะไรๆ มันก็วิบัติตามไปหมด เพราะคนวิบัติแล้ว เข้าท่ีไหนมีแต่ทาความวิบัติ อยู่บ้านก็สร้าง ความวิบัติให้พ่อแม่ เข้าโรงเรียนก็พลอยทาเกียรติของโรงเรียนให้วิบัติ มาเป็นทหารอยู่ กรมไหน กองไหน ก็ทาความวิบัติแก่กรมกองนั้น ช้ันที่สุด เข้าบวชในศาสนา ก็พาให้ ศาสนาวิบตั ิตามไปด้วย เพราะฉะน้ัน ทางศาสนาจึงถือว่า ปัญหาเรอื่ งคนเป็นปัญหาใหญ่ ไม่ว่าใครจะทาอะไร ท่านเตือนไว้เสมอว่า ให้ข้ึนต้นท่ีคน สินสอดทองหม้ันต้ังเล่มเกวียน ถ้าคนไม่ดีเสียอย่างเดียว ครอบครัวก็วิบัติจนได้ ขอโทษเถอะ ทุกวันทุกคืนเรามักคอย ระแวงแต่ความวิบัติที่จะมาจากภายนอก พายุจะมา น้าจะท่วม ไฟจะไหม้ สนใจระแวง ระวังนักหนา เกรงว่าส่ิงเหล่านั้นจะมาทาให้เราให้ชาติบ้านเมืองของเราวิบัติ นั่นถูกแล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงสอนให้ไม่ประมาท คือให้ระแวงระวังภัยท่ีจะมาถึงตน แต่ใน ขณะเดยี วกนั ก็ทรงกาชบั ใหร้ ะวงั พบิ ัตเิ พม่ิ ขน้ึ อกี หน่งึ ทาง คอื ระวังคนจะวิบตั ิ ดิน น้า ลม ไฟ ถึงจะร้ายแรงสักเท่าไร ก็ไม่เคยทาให้ชาติศาสนาไหนสูญสิน้ แหลกสลลาย แต่คนวิบัติ สิร้ายนกั การระวังคนไม่ให้วิบัตินั้น เป็นหน้าที่ของคนทุกคน จะต้องช่วยกันระวัง และท่ีระวงั ก็ให้ช่วยกนั ระวงั ไวค้ นละคนเทา่ นัน้ เอง ไม่มากมายเหลอื กาลังอะไร และคนที่ เราจะต้องระวังคนเดียวนั้น ก็ไม่ใช่ใครทีไหน คือตัวใครตัวมันนี่เอง พูดกันง่ายๆ คือทุก คนต้องคอยระวังตัวเองไว้ อย่าให้วิบัติได้ นอกนั้นไม่มีใครอีกแล้ว ตารวจ สารวัตร เจ้าหน้าท่ี จนแม้กระทั่งพระพุทธองค์เอง ก็ประกันให้เราไม่ได้ว่า เราจะไม่เป็นคนวิบัติ เพราะอะไร เพราะมูลเหตุแห่งความวิบัติมันอยู่ในใจของเราแต่ละคนเอง เจ้าหน้าที่ของ บ้านเมืองนั้น กวา่ จะรู้ว่าเราวิบตั ิ ก็ตอ่ เม่อื เราไปทาความวิบัติให้ใครเข้าเท่านั้น อย่างเช่น เราไปขโมยของใครเขาเข้า เขาจึงจะรู้ว่าเราเป็นคนศีลวิบัติ แต่ความจริงแล้ว ใจเรามัน วิบัติก่อนท่ีจะขโมยต้ังนานแล้ว ไม่มีใครเขารู้ เพราะฉะน้ัน คนที่จะช่วยป้องกันตัวเราให้
ปลอดภัยจากการเป็นคนวิบัติดีที่สุดไม่มีใครเกินตัวเราเอง วันนี้พิจารณาเหตุแห่งความ วิบตั ติ ่อไปอกี คือเร่ืองทิฐิวิบัติ ทิฐิวิบัตินั้น หมายถึง ความคิดความเห็นของเรามันเสีย ท่ีว่า เสียน่ะ หมายถึงว่า เสยี จนใช้ไม่ไดน้ ะ เสียขนาดวปิ ลาสไม่นับว่าวิบตั แิ ท้ น่ันว่ามาแล้ว ส่วนทิฐิที่ถึงขั้นที่เรียกว่า “ทิฐิวิบัติ” น้ัน ได้แก่ มิจฉาทิฐิ คอื ความเหน็ ผิด เรื่องมิจฉาทิฐิน่ี เป็นเรื่องที่พวกชาวพุทธเราชอบพูดถึงกันมาก เพราะ มิจฉาทิฐิเป็นเร่ืองร้ายแรง ดีไม่ดีอาจขาดจากศาสนาก็ได้ เพราะฉะน้ัน คนจึงชอบพูดถึง มาก มากเพราะเกลียด คือคนเราน่ีก็แปลกอยู่ รักมากก็ชอบพูดถึงบ่อย เกลียดมากก็พูด ถึงบ่อย ท่ีเกลียดมากแล้วพูดถึงบ่อยอย่างเช่น “ความตาย” อย่างไรล่ะ คนเราเกลียด “ตาย” แต่ชอบพูดถึงตายบ่อยๆ หวิ ข้าวหน่อยเดียว ก็ว่าหิวจะตาย ร้อนหน่อย ก็ว่าร้อน จะตาย เหนื่อยจะตาย ร้ายจะตาย หนักเข้าก็บอกว่า ดีจะตาย วันหนึ่งๆเราพูดถึงตาย มากกว่าเกดิ หลายพนั เทา่ เกลยี ดมากก็เลยพดู ถึงมาก ของท่มี ันไม่พอจะตาย ก็บอกวา่ จะ ตาย เรื่องมิจฉาทิฐิก็เหมือนกัน ท้ังเกลียดท้ังกลัว ก็เลยชอบพูดถึงกันมาก ครั้นพูดมากๆ เขา้ กพ็ าลเขวเหมือนกัน คอื คนเขามคี วามเห็นไม่ตรงกบั ตัวเขา้ บ้าง กอ็ าจเหน็ วา่ เขาเป็น คนมิจฉาทิฐิก็ได้ และตกบทตัวเองเป็นมิจฉาทิฐิเข้าแล้ว ก็อาจเห็นว่า คนไม่ได้เป็น มจิ ฉาทิฐิก็ได้ ประกอบกับเรือ่ งมิจฉาทิฐิจริงๆ ก็เป็นเร่อื งเข้าใจยากจรงิ ๆด้วย แต่ข้าพเจ้า พอจะสังเกตได้อย่างหนึ่ง คือ เร่ืองมิจฉาทิฐิรู้น้อยยุ่งมาก รู้มากยุ่งน้อย เพราะฉะนั้น ขอให้เราอย่ารีบร้อน อย่าคิดเร่ง ค่อยพูดค่อยจาดีกว่า ปล่อยให้ข้าพเจ้ายื่นไปให้ทีละ เปราะๆ ประเด๋ียวกเ็ ขา้ ใจ จะต้งั ประเด็นไว้ให้ขบกนั ๒ ประเดน็ คอื : ๑. ความคดิ เหน็ ท่ีเปน็ มจิ ฉาทิฐินั้น คือเห็นอย่างไร? และ ๒. ทาไมคนเราจึงกลายเป็นคนมจิ ฉาทฐิ ิ ว่ากันสองประเด็นเท่าน้ีก็พอ วิธีแก้วิธีกันและผลได้ผลเสีย รวมอยู่ในสอง ประเดน็ นหี้ มดแล้ว
ความเห็นทีเ่ ป็นมิจฉาทฐิ ิ ประเด็นแรก คือลักษณะของมิจฉาทิฐิ มิจฉา แปลว่า ผิด ทิฐิ แปลว่า ความเห็น เพราะฉะน้นั คาว่า มิจฉาทฐิ ิ จึงแปลว่า ความเหน็ ผิด เฉพาะคาว่าทฐิ ิ ทีแ่ ปลว่า ความเห็นนั้น ได้อธิบายมาละเอียดพอแล้ว ต้ังต้นตอนทิฐิวิปลาส คือหมายถึงความ คดิ เหน็ ทา่ นผูฟ้ งั คงจะจาไดม้ ิใช่หรือ ที่พูดไวว้ ่า คนเราทกุ คนนี้ เหน็ ได้คนละ ๓ แบบ คือ พบเห็น คิดเห็น และรู้เห็น พบเห็น – เห็นด้วยตา คิดเห็น – เห็นด้วยใจ ส่วนรู้เห็น – เห็นด้วยปัญญา ทีนี้ทิฐินั้น หมายถึงความคิดเห็น คือเห็นด้วย ใจคิด นี่ทบทวนให้ เป็นอันว่าความหายของคาทฐิ ิ ไม่ต้องพูดอกี จาไวแ้ ต่เพียงว่า ทิฐิคือความคดิ เห็น เทา่ นกี้ พ็ อ ปัญหาสาคัญอยู่ท่ีคาว่า มิจฉา ที่แปลว่า ผิด ความเห็นอย่างไรที่เรียกว่า เห็นผิด จะเอาไรเป็นเกณฑ์ เอาอะไรวัด เอาอะไรตรวจสอบ ปัญหาสาคัญอยู่ตรงน้ีจะ แก้ปัญหาน้ี ขอนาท่านผู้ฟังท่องเที่ยวเข้าในพระไตรปิฎกสักนิดหน่อยก่อน คืออ้างตารา เพ่ือจะได้แยกแยะมิจฉาทิฐิออกให้เห็นง่ายๆชัดๆ แต่พูดตรงน้ี คนท่ีเคยเรียนธรรมแล้ว จะได้ประโยชนม์ าก ส่วนคนทีไ่ ม่เคยเรยี นจะฟังยากนิดหน่อย แตก่ ย็ ากไมเ่ ท่าไร ยากแล้ว ดี ดหู นงั ฝร่งั ยากกวา่ นตี้ ้งั ร้อยเท่า ยังอตุ ส่าห์ดู คือความเห็นผิดของคนท่ีเรียกว่า มิจฉาทฐิ ิๆน้นั มอี ยสู่ องชน้ั คือ : ๑. อนิยตมิจฉาทิฐิ คือเห็นผิดแต่ว่ายังไม่ดิ่งแท้ ได้แก่ มิจฉาทิฐิ ที่ กล่าวไวใ้ นหมวดมโนทุจริต(อภิชฌาพยาบาท มิจฉาทิฐิ) มิจฉาทิฐชิ ั้นน้ี แคเ่ ห็นผิดทานอง คลองธรรม ยงั มีผดิ ๆถกู ๆอยูบ่ ้าง ๒. นิยตมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิดที่ด่ิงลงไปแล้วถอนตัวได้ยาก มิจฉาทิฐิประเภทน้ี พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นเร่ืองหนึ่งต่างหาก ไม่เป็นกิ่งเป็นแขนงของ เรื่องใด อยา่ งเชน่ ทิฐิ ๓ ในพระไตรปิฎกเล่ม ๑๓ น่ันว่าไวเ้ ฉพาะเลย ถ้าท่านผูใ้ ดอยากจะ ดวู า่ มิจฉาทิฐิแยกสองประเภทอยา่ งน้ี พระพุทธเจา้ ตรัสไส้ท่ีไหน ดูในหนังสือนวโกวาทก็ ได้ ดหู มวด ๔ ท่วี ่าความไมป่ ระมาทในท่ี ๔ สถาน ทา่ นเรยี งไวอ้ ย่างนี้ - ในการละกายทจุ ริต - ในการละวจที จุ ริต - ในการละมโนทจุ รติ และ - ในการละมิจฉาทฐิ ิ ความจริงข้อที่ว่าให้ลมโนทุจริตน้ัน ก็หมายถึง มโนทุจริต ๓ อย่าง ซ่ึงมี มิจฉาทิฐิเป็นข้อหน่ึงในสามข้อนั้นอยู่แล้ว แต่แล้วพระพุทธองค์ยังตรัสย้าอีกข้อหน่ึง
ต่างหากว่า ให้ละมิจฉาทิฐิ มิจฉาทิฐิที่มาในหมวดมโนทุจริตกับมิจฉาทิฐิที่มาโดดๆน่ะ ต่างกัน ย่ิงพูดไปก็ย่ิงเป็นห่วงว่า ผู้ฟังส่วนมากจะยุ่งสมอง แต่ท่ีพูดน้ี ก็เป็นอาหารสมอง อันเอร็ดอร่อยของผู้มีภูมิรู้ทางธรรมะอยู่แล้ว ต้ังแต่ชั้นนักธรรมโทขึ้นไป หมายความว่า มจิ ฉาทฐิ ิในหมวดมโนทุจริตนน้ั เป็นเพียงอาการอย่างหนึ่งของจติ ทต่ี กอยู่ในอานาจความ ละโมบและความพยาบาท ส่วนมิจฉาทิฐิท่ีมาโดดๆเป็นหมวดหน่ึงต่างหาก เป็นมิจฉาทิฐิ ท่เี กดิ จากเน้ือแทข้ องจิตจริงๆ เปรียบใหฟ้ ังอย่างน้ีดกี ว่า อย่างเช่น อาการไข้ โรคไข้จรงิ ๆ ก็มี อย่างเช่น ไข้มาลาเรีย นั่นเขาเรียกโรคชนิดหนึ่งจริงๆ ทีน้ีไข้ที่เป็นเพียงอาการของ โรคอื่นก็มี เช่นคนเป็นโรคปอด หรือแผลอักเสบแล้วมีอาการไข้ อย่างนี้ก็ไข้ แต่มันเป็น เพียงอาการของโรคอื่น โรคไข้กับอาการไข้ ศักด์ิมันต่างกันเห็นไหม มิจฉาทิฐิท่ีท่ีรวมอยู่ ในหมวดมโนทุจริตน่ันเทา่ กบั อาการไข้ สว่ นมจิ ฉาทิฐทิ ี่พระพทุ ธองคต์ รัสไวโ้ ดดๆต่างหาก น่ันเท่ากับโรคไข้จรงิ ๆ เอาละ เลิกยุ่งกันที พดู ไว้เท่าน้ี ท่านท่ีอยากจะหาความเขา้ ใจย่งิ กวา่ น้ี ก็ให้ หากันต่อไป ขืนพูดแบบนี้คนฟังจะแย่ไปหลายคน เพราะฟังไม่เข้าใจ จะพูดให้มิจฉาทิฐิ นอ้ ยลง อาจเพ่มิ ปรมิ าณมจิ ฉาทิฐกิ เ็ ปน็ ได้ คราวนี้พูดฟังกันง่ายๆ ขาดคาก็ให้รู้เร่ืองเลย ว่าเร่ืองมิจฉาทิฐิจริงๆเลย ทีเดียว ความเห็นผิดขนาดที่เป็นมิจฉาทิฐิอย่างด่ิงลงไปจริงๆ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ อย่างนี้ คือ : ๑. เห็นผิดไปว่า ทาดีไม่ได้ดี ทาชั่วไม่ได้ชั่ว อย่างนี้เรียกเป็นคา อรรถว่า อกริ ิยทิฐิ ๒. เหน็ ผิดไปว่า สิ่งทัง้ ปวงไมม่ เี หตมุ ีผลอยา่ งน้ี เรียกวา่ อเหตกุ ทิฐิ ๓. เห็นผิดไปว่า บุญบาปไม่มี เห็นผิดอย่างน้ีเรียกเป็นคาอรรถ ว่า นัตถิกทิฐิ ทบทวนอีกคร้ังหน่ึง มิจฉาทิฐิ ไดแ้ ก่ความเหน็ ผิดใน ๓ อย่าง คือ อกิริยทิฐิ เห็นว่าทาดีไม่ได้ดี ทาชั่วไม่ได้ชั่ว อเหตุกทิฐิ เห็นว่าทุกส่ิงไม่มีเหตุมีผล และ นัตถิกทิฐิ เห็นวา่ บาปบญุ ไม่มี วันน้ี ให้เป็นข้อคิดการบ้านไว้แค่นี้เสียก่อน คิดไปแล้วก็อย่าเพิ่ง เอะอะวา่ ตวั เองหรือคนน้ันคนน้ีเปน็ มิจฉาทิฐิ ไวพ้ ุธหนา้ จะจาระไนให้ละเอียด
วบิ ตั ิขอ้ ท่ี ๓ ทฐิ วิ ัติ (ตอ่ ) มจิ ฉาทฐิ ิ – ครทู งั้ หก วนั น้มี าถึงจดุ หมายทีเ่ ราต้งั ไวแ้ ล้ว คอื เราไดต้ ง้ั จดุ หมายไว้วา่ จะพูดเรอ่ื งทิฐิ วบิ ตั ิ แตก่ ็ยงั พดู ไปไมถ่ ึงทิฐิวบิ ตั ิ พูดถึงแคท่ ฐิ ิวิปลาส เป็นการบกุ เบิกทางให้ท่านผู้ฟงั หาก จะเปรียบก็คล้ายๆกะวา่ ข้าพเจ้ารับกับท่านผู้ฟังไว้ว่าจะพาไปดูคนตายท่ีป่าช้า แต่ได้พา แวะดูคนป่วยที่โรงพยาบาลเสียก่อน เพ่ือจะได้เอาไปเทียบกันว่า คนป่วยกับคนตาย ท่าทางตา่ งกันอย่างไร? วนั นี้ถึงปา่ ช้าแน่ จะได้พูดถงึ ตอนทที่ ิฐิมนั วิบัติจริงๆ ทิฐิวิบัติน้ัน หมายถึงทิฐิที่เสียหายมากมายขนาดท่ีเรียกว่ามิจฉาทิฐิ วันพุธ ก่อนได้แยกมิจฉาทิฐิออกให้เห็นตามท่ีพระพทุ ธองค์ทรงแยกไว้ แตว่ ันน้ันรู้สึกจะเป็นการ รีบด่วนเกินไปสักหน่อย เอาเป็นว่าเริ่มกันใหม่ จะแยกให้ดูง่ายๆ คือความคิดเห็นท่ีเป็น มิจฉาทฐิ ิขนาดดึงลงไปแกไ้ ขไมไ่ ด้ เปน็ ความคิดเห็นทีเ่ ก่ียวกับ ๑. เรอ่ื งกรรม ๒. เรอื่ งการเกดิ การตาย และ ๓. เรื่องโลกและชวี ิต ที่ว่าเห็นผิดก็หมายความว่า ผิดอยู่ในสามเร่ืองนี้ ถ้าไปผิดอย่างอื่นซ่ึงไม เกี่ยวกับเรอื่ งท้ังสามนี้ก็ไม่เรยี กวา่ มิจฉาทิฐิ เช่นมใี ครเกดิ คิดจะไปทานาบนภูเขา เห็นว่า ไดข้ า้ วมากกวา่ ทาทีพ่ ื้นดนิ อย่างน้ีก็ไม่เปน็ มจิ ฉาทิฐิ เพราะไม่เกีย่ วกบั เรื่องท้ังสามนน้ั ในสามเร่ืองนั้น จะพูดถึงความเห็นผิดในเร่ืองกรรมเสียก่อน เพราะเรื่องน้ี สาคัญที่สุดกว่าทุกเร่ือง ถา้ ใครเกิดเห็นผิดในเร่อื งนจ้ี ะวิบัติทันตาเห็น เพราะฉะนั้นจะเอา มาว่าเสียก่อน กรรมที่ว่านี้ได้กาหนดไว้ตอนหนึ่งเสียก่อนว่า หมายถึงการกระทาของเรา นเี่ อง คนเหน็ ผดิ ในเรื่องกรรมมีผิดได้ ๓ ประตู คอื : ๑. เหน็ วา่ กรรมไมม่ ี ๒. เห็นว่าผลกรรมไมม่ ี และ ๓. เหน็ วา่ ดชี ัว่ บาปบญุ ไม่มี
มิจฉาทิฐิพวกแรกที่เห็นว่ากรรมไม่มีนั้น ตรงกับคาจากัดความใน ตาราทางศาสนว่า อกริ ิยทิฐิ ซึ่งเราแปลว่าไม่เป็นอันทา คนมิจฉาทฐิ ิพวกนี้จะเห็น ไปว่า การกระทาของคนเราท่ีทาๆอะไรไปแล้วไม่ใช่ส่ิงที่อาจได้ผลต่อไปข้างหน้า ได้ อย่างเช่นเราไปขโมยทรัพย์ใครเขามา การขโมยนั้นทางศาสนาเรียกว่ากรรม แล้วก็สอนว่ากรรมคือการขโมยนี้น่ะ จะต้องให้ผลแก่ผู้ขโมยต่อไปในวันข้างหน้า เช่นอาจทาให้หายนะล่มจมลงไป ได้แก่คาที่เราชอบพูดกันว่า ทุกขโต ทุกขฐานัง ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์น้ันถึงตัว นี่คติของพวกเราคนมีศาสนา แต่คนมิจฉาทิฐิกลับ เห็นไปว่าไม่จริง ถ้าหากใช้เหล่ียมขโมยให้ดีๆใครจับไม่ได้ ก็ไม่มีอะไร แล้วก็คิด ค้านต่อไปว่า ท่ีคนขโมยแล้วติดตะรางนั้นก็เพราะตารวจจับต่างหาก เป็นผลการ จับของตารวจ ไม่ใช่ผลการขโมยของเรา ความเหน็ แบบน้ีทางศาสนาถอื ว่าเห็นผิด ที่ว่าผิดน้ันไม่ใช่ผิดต่อพุทธศาสนา ถือเห็นว่าความเห็นของเขาไม่ตรงต่อของตน แล้วก็เลยเหมาเอาว่าเขาผิด ไม่ใช่อย่างน้ัน แต่ที่ว่าผิดเพราะผิดจากสัจธรรม คือ กฎที่ถูกต้องเป็นความจริงแท้ที่ถูกไม่ใช่อย่างนั้น ความเห็นผิดอย่างน้ีตรงกับ สานวนท่ีบางคนชอบพูดกนั ทุกวันนี้ว่า “ทาดไี มไ่ ดด้ ี ทาช่ัวไมไ่ ด้ช่ัว” การพูดว่าทา ดีไม่ได้ดีนั้น ถ้าผู้พูดๆเพียงระบายความรู้สึกอัดอั้นใจ หรือพูดเพ่ือต้ังเป็นแง่คิดแง่ คุย ก็ไม่เป็นไร คือใจจริงก็ไม่ได้เห็นอย่างนั้น แต่ถ้าหากใครเห็นเป็นจริงเป็นจังไป อย่างนั้นจริงๆ ความเห็นของคนนั้นก็เป็นมิจฉาทิฐิประเภทน้ี และถ้าหากมี มิจฉาทิฐิอยา่ งนเี้ กิดข้ึนแล้วยังยดึ เอาความเหน็ ของตนเป็นแนวดาเนินชีวติ กจ็ ะพา ชวี ิตของตนไปถึงความวบิ ตั ิล่มจมในช่วั ชีวติ ทนั ตาเหน็ นีเ้ ปน็ อยา่ งแน่นอน คอื คนท่ี มีมิจฉาทิฐิแล้วก็ยังมีอยู่สองพวก คือพวกหน่ึงมีแล้วแต่ไม่ยึดถือ เพราะเหตุอย่าง อ่ืนบังคับ เช่นใจจริงไม่เช่ือว่าโกงเขาไม่ดี คิดว่าโกงเขาได้เป็นการดีแต่ว่าไม่โกง เพราะกลวั ตดิ คกุ ทเ่ี รียกว่ามิจฉาทฐิ แิ ล้วแต่ไม่ใช้ คนประเภทน้เี รียกวา่ “มจิ ฉาทิฐิ สมาบัน” คือคนมีมิจฉาแล้ว ส่วนอีกพวกหนึ่งมีมิจฉาทิฐิแล้วก็ยึดทิฐิผิดๆของตน เป็นหลักดาเนินชีวิตด้วย คนประเภทนี้เรียกว่า “มิจฉาทิฐิสมาทาน” คือยึดถือ ความเห็นผิดร้ายกว่าพวกแรก พวกนี้แหละท่ีข้าพเจ้าบอกว่าจะถึงความวิบัติทัน ตาเห็น เรื่องนี้ต้องบอกกล่าวไว้ให้ทราบประเดี๋ยวจะเข้าใจผิด เช่นไปรู้จักพบเห็น ใครเป็นคนมิจฉาทิฐิแต่ไม่เห็นเขาวิบัติล่มจมก็จะนึกสงสัย จึงบอกไว้ว่า คน มิจฉาทิฐนิ น้ั วบิ ตั แิ น่ ต่างแต่ว่าจะวบิ ตั ชิ า้ หรือเร็ว - พวกมจิ ฉาทิฐสิ มาบนั วบิ ตั ชิ ้า - พวกมิจฉาทิฐสิ มาทาน วิบตั เิ ร็ว
ทีน้ีจะย้อนไปพูดถึงลักษณะความเห็นผดิ อกี ที ทีพ่ ูดมาแล้วยงั แฉลบไป แฉลบมาอยู่ ยังไมเ่ คน้ ลงไปเปน็ แห่งๆอยา่ งที่เคยทา ความเห็นผิดอยา่ งวา่ นี้ ความจริงมีครอู าจารยเ์ หมอื นกัน ไมใ่ ชไ่ มม่ ี ขา้ พเจา้ คิดว่าถ้าหากเราย้อนไปศึกษาดูต้นสานกั มิจฉาทิฐดิ ูก่อน คงจะเข้าใจเรื่องน้ีได้ง่ายเข้า จะ ได้รูว้ า่ ต้นมิจฉาทิฐนิ ้ันทาไมจึงเกดิ ความคิดเห็นอย่างนัน้ แล้วเวลานี้ใครบ้างเป็นสาวกของ ครูคนน้ัน เอาอยา่ งน้ดี กี ว่า กาเนิดมิจฉาทิฐิ จบั ความต้ังแต่ยคุ กอ่ นพระพทุ ธเจ้าตรสั รู้ คือศาสนาพทุ ธยงั ไมเ่ กิด ให้คดิ ไป ถึงชมพูทวีปแถบตีนเขาหิมาลัยทางประเทศเนปาล เรื่อยลงมาจนถึงที่ราบลุ่มแม่น้าคยา ซึ่งเป็นตอนกลางประเทศอินเดียทุกวันน้ี คนในท้องถิ่นที่ว่านี้ในสมัยนั้น ได้พากันค้นคิด ปัญหาเก่ียวกับเร่ืองเกิดๆตายๆ และเรื่องชีวิตจิตใจกันอยู่มากแล้ว และมีคนต้ังตัวเป็น จา้ วลัทธิคณาจารย์กันอยู่มากมาย แล้วคนกน็ ิยมกันมาก พอรู้ว่าอาจารย์ผวู้ ิเศษเกิดขึ้นที่ ไหนก็พากันเฮโลสาระพาไปห้อมล้อมแห่แหนกัน จะว่าอะไรมี ก็เหมือนคนท่ีเป็นโรคต่ืน ผู้วิเศษในเมืองไทยเรานี่แหละ ซึ่งระบาดเป็นพักๆ ท่านผู้ฟังก็ยังจาได้มิใช่รึ? เม่ือไม่กี่วัน มาน้คี นตืน่ สุริยคราธ แล้วต่อมาอีกหนอ่ ยก็เกดิ ตน่ื ยักษ์จะกนิ คน ต่ืนอาจารยว์ ิเศษ อย่าให้ เล่าเลยไปก็ทาให้จักกะจี้กับความหวังเปล่าๆ คนในอินเดียสมัยโน้นก็เหมือนกันเป็นโรค ตนื่ ผู้วิเศษกนั ทัว่ บ้านทั่วเมือง จนกระทง่ั ตอนเกิดศาสนาพุทธแลว้ พระพุทธเจา้ ถึงกับทรง บัญญัติไว้ในคุณสมบัติของอุบาสกอุบาสิกาอย่างตรงๆเลยว่า อุบาสกอุบาสกิ าตอ้ งไมเ่ ป็น คนตื่นข่าว หรือต่ืนผู้วิเศษ ที่ต้องตรัสเช่นน้ันก็เพราะมีคนตื่นกันมากนั่นเอง แล้วอาการ ของโรคก็เหมือนกันอยู่อีกอย่าง คือถ้าคนฮือกันไปทางไหนมากก็เกิดมีพระอาจารย์ ในทางนั้นมาก ผู้วิเศษน้ันมีอยู่ไม่น้อยเลย ที่เกิดตามคาฮือของคน ถ้าคนฮือเล่นหวยกัน มากอาจารย์ใบ้หวยก็จะอุบัติข้ึนมาก ไม่รู้ว่าสาเร็จมาจากไหนไว้นักหนา นี่ว่าถึงเรื่องฮือ กัน ในชมพูทวีปก็เหมือนกันน่ีแหละคนเขาฮือในทางค้นคว้าปรัชญาชีวิตกันมาก คนที่ หัวคดิ แหลมกห็ าชอ่ งทางเอาดเี อาเดน่ ในทางนั้นกนั มาก กาลเวลาล่วงเลยมาเปน็ ลาดับ จนถึงระยะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และเสด็จสอนศาสนาอยู่ในชมพูทวีปนั้น มจี ้าวลัทธชิ น้ั ครูจริงๆอยู่ ๖ คนคนเหล่านีเ้ ฉพาะที่มีตรงข้ามกบั พุทธศาสนา พระพุทธเจ้า ตรัสว่าเป็นคนมิจฉาทิฐิอย่างแรง ทั้งหกคน ครูหกคนท่ีว่าน้ีก็คือ ครูปูรณะครูอชิตะ ครมู กั ขลโิ คสาล ครนู คิ รณฐค์ รูสญั ชยั (ทีเ่ ปน็ อาจารยข์ องพระโมคคัลลานะ พระสาลิบตุ ร) และครูปกุธะ ครหู กคนนี้เป็นครูมิจฉาทิฐทิ ง้ั สิ้น ต่างแตว่ ่าใครจะมิจฉาทิฐิแบบไหนเท่านั้น
ครูคนแรกที่ช่ือปูรณะน่ันแหละ คือ ต้นตารับมิจฉาทิฐิท่ีว่า “ทาดีไม่ได้ดี” ทเี่ รียกวา่ อกิรยิ ทิฐิ ปัญหาหาว่าทาไมเขาจงึ เห็นอย่างนี้ ตอ้ งสืบประวัตดิ ูจงึ จะตอบได้ คือตาครูปูรณะน่ี เดิมทีแกเป็นทาสเขา เป็นทาสในตระกูลที่มีอันจะกิน ตระกูลหนึ่ง ท่านผู้ฟังคงจะรูเ้ รื่องชีวิตของทาสอย่แู ล้ว ทาสคือคนใช้ถาวรที่ไม่มีอะไรเป็น ของตัวเลยนั่นเอง ชาตาต่ากว่าลูกจ้างเหมือนคนใช้ทุกวันน้ีมากนัก ทีน้ีธรรมเนียมของ ชาวอินเดียสมัยนั้น เขาถืออยู่อย่างหน่ึง คือเวลาได้ทาสมาเขาก็นับไว้ คนที่ ๑ คนท่ี ๒ ฯลฯ จนกระทงั่ ถึงคนที่ ๑๐๐ ใครเปน็ ทาสคนท่ี ๑๐๐ เขาถือว่าทาสคนนน้ั เปน็ ทาสมงคล ถ้าพูดตามสานวนนกั ผลติ พระเครื่องก็เหน็ จะเรียกทาสชนิดน้วี ่า “ทาสคะแนน” แลว้ ก็ต้ัง ช่ือเรยี กกนั ในตระกูลนั้นว่าปูรณะ แปลเตม็ นายปรู ณะ ก็แปลวา่ นายเต็ม นัน่ เอง ขอโทษ นะ ทีน้ีครูปูรณะท่ีสมัยแกเป็นทาสก็เป็นทาสท่ีครบ ๑๐๐ นี่เอง เรียกว่าชาตาดีกว่าทาส คนอ่ืนในตระกลู เดยี วกัน หัวใจคนเป็นทาสเขา ก็เหมือนกับหัวใจคนติดคุก คือคิดอยากจะออกจาก คุกอยู่ตลอดเวลา เบ่ือหน่ายชีวิตเต็มที ทาอะไรเหนือ่ ยเกือบตายก็ไม่ได้อะไรของตวั นาย เอาหมด นายปูรณะแกก็คงเบื่อหน่ายความเป็นทาสเต็มที อยู่มาวันหน่ึงแกเลยหลบหนี ไป คิดว่าจะไปหาท่ีตายดาบหน้าดีกว่าอยู่เป็นทาสเขา ในตานานทางศาสนากล่าวว่า ขณะท่ีแกซัดเซพเนจรไปน้ัน เกิดไปถูกพวกโจรแย่งชิงเอาของติดตัวจนหมด แม้แต่ผ้านุ่ง ก็ไม่เหลือ โจรอินเดียสมัยนั้นคงจะใจดากว่าสมัยน้ีมาก ของเราท่ีว่าถูกจ้ีเอาหมดตัว ความจริงก็ยังเหลือผ้านุ่งไว้ให้ น่ันจี้ลอกคราบกันเลย ตกลงแกก็เลยนุ่งลมห่มฟ้าหลบๆ ซ่อนๆอยู่ในป่า แต่นายปูรณะแกเป็นคนชาตาดี ถึงเป็นทาสเขาก็ได้เป็นทาสพิเศษ คือ จวบเหมาะกับระยะน้ันชาวบ้านพากันเป็นโรคต่ืนผ้วู ิเศษกัน เกิดมีผ้ไู ปเห็นนายปุรณะเข้า ท่ใี นป่า ก็นาข่าวมาบอกชาวบ้าน พวกชาวบ้านก็สาคัญว่าผู้วิเศษไดเ้ สดจ็ มาโปรดแลว้ จึง พากันไปกราบไหวเ้ อาข้าวของไปถวายทาให้นายปูรณะมกี ารอยู่ดีกินดขี ้ึนมาก ทาให้นาย ปูรณะฉุกคิดขึ้นมาว่า ไอ้ที่แกทาดีมาตั้งแต่ก่อนน้ันก็ไม่เห็นได้ดิบได้ดีอะไร แต่พอแปลง เพศมาอย่างนี้แล้วลาภเกดิ อุดมสมบรู ณ์ขึน้ เลยต้ังตัวเปน็ นกั พรตประเภทฑิฆัมพร คอื นุ่ง ฟ้าและสถาปนาตวั เองขึ้นเป็นอาจารย์ เวลานี้นักพรตแบบไม่นุ่งผ้านี้ก็ยังมีอยู่ในประเทศ อนิ เดีย ทิฐิท่ีนายปุรณสอนนั้นมีว่า การทาดีทาชั่วไม่เป็นอันทา พูดง่ายๆคือทาดีก็ ไม่ได้ดี ทาชว่ั ก็ไมไ่ ด้ชวั่ ทีเ่ รยี กวา่ อกริ ยิ ทิฐิ ถ้าเราจะลองต้งั ปัญหาข้ึนวิจัยดูวา่ เหตใุ ดตาครปู ูรณะแกจึงเหน็ ผดิ ไปอยา่ ง นี้ ทุกท่านก็คงจะพอมองเห็นแล้วคาตอบ ทิฐิของนายปรู ณะนั้นไม่ใช่เกิดจากการค้นคว้า อะไรเลย แต่เกิดจากอารมณค์ ้างของเขา แกเองเป็นทาสเขาแล้วหนีเขามา คนที่เป็นทาส
เขานั้นก็เป็นทที่ ราบกนั อยแู่ ล้วทางานแทบตายสายตวั แทบขาดกไ็ มไ่ ด้ไม่ดอี ะไรเลย ทาส ทกุ คนจึงมักมีความนอ้ ยใจอยู่ตลอดเวลา คิดอยู่ในใจเสมอวา่ “ทาดีเกือบตายก็ไม่เห็นได้ ดี” ถึงนายปูรณะน้ีก็คงมีอารมณ์ค้างใจอยู่อย่างนั้น ย่ิงมาในตอนหลัง แกเลิกนุ่งผ้าเลิก ทางานแล้ว ชาตาย่ิงดขี ้ึนกวา่ ตอนทางาน กเ็ ลยพาลเห็นเป็นเรื่องจรงิ จงั วา่ “ทาดีทาชั่วไม่ ไดผ้ ล” “ทาเสียแรงเปล่า” เพราะฉะน้นั เวลาแกมลี ูกศษิ ย์ลูกหาแกจึงสอนทฤษฎขี องแก ว่า “กรโต น กริยติ” แปลว่า “ถึงทาก็ไม่ได้ดี” น่ีแหละต้นเหตุของความเห็นท่ีว่า “การ ทาดีทาชว่ั ไม่มใี ครเห็น” หรือทีม่ ผี ู้ใชค้ าบ่นอย่อู ย่างทุกวนั นี้ “ทาดไี ม่ไดด้ ี” ท่านผฟู้ งั พอสังเกตได้แลว้ ใช่ไหม คนที่เปน็ ต้นตารับของมจิ ฉาทฐิ ิแบบนี้ ตก อยใู่ นสง่ิ แวดลอ้ มอย่างไร จึงทาให้แกเหน็ อยา่ งน้ี แล้วกส็ อนอย่างน้ี ทีนี้จะพูดถึงท่ีผิด ทาไมความเห็นอย่างน้ีจึงถือว่าเห็นผิด เอาอะไรไปวัดว่า เราผิด? ที่วา่ ผดิ น้ันผดิ จากกฎความจริง หรอื หลกั สัจธรรม เฉพาะอยา่ งย่ิงในกฎของกรรม ความเห็นที่ว่านี้ปฏิเสธกฎของกรรมโดยตรง บางคนอาจจะยังนึกวาดภาพไม่ออกว่าคน อย่างน้ีมีความเห็นอย่างไร จะยกตัวอย่างให้ฟัง อย่างเช่นศาสนาสอนว่าการขโมยของๆ คนอ่ืนเป็นบาปกรรม ไม่ดี ใครทาบาปอย่างน้ีไว้ กรรมของเราก็จะต้องให้ผลในวัน ขา้ งหน้า เชน่ ทาให้เกิดความวบิ ัติล่มจม หรือตัวเขาเองจะไดร้ ับความลาบากลงไป เพราะ ผลกรรมของเขา เข้าหลักที่เราชอบพูดกันว่า “ทุกขโต ทุกขฐานัง” ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์ น้ันถึงตัว เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรทาบาปกรมมอย่างนี้ น่ีคติของศาสนา ส่วนคนมิจฉาทิฐิ ประเภทที่ว่าน้ีเห็นค้านว่า กรรมคือการขโมยเขานั้นจะไม่มผี ลอะไร ลักเขาแล้วมันก็แล้ว ไปแค่น้ัน ไม่มบี าปมีเบิบอะไร ข้อสาคัญอย่าใหต้ ารวจจับได้ และถ้าหากบังเอญิ เขาจับได้ ใหต้ ดิ ตะรางนั่นก็ไมใ่ ชผ่ ลกรรมท่ีขโมย แตม่ นั เป็นผลทตี่ ารวจจบั เท่าน้นั เปน็ เพราะตวั เอง หลบไมเ่ กง่ คนอกริ ยิ ทิฐิอยา่ งน้ี เพราะฉะน้ันต้องระวัง ระวังใจเราจะเกดิ ไปหลงเป็นลูกศิษย์อีตาปูรณะเข้า ประเด๋ียวจะลาบาก เอาละที่พูดมาวันนี้ ขอสรุปให้ว่า ความเห็นผิดที่ว่าทาดีไม่ได้ดี ทาชั่วไม่ได้ ช่ัว เป็นมิจฉาทิฐิประเภทหน่ึงใน ๓ อย่าง คนมีมิจฉาทิฐิอย่างน้ีแล้ว อาจอยู่ในฐานะ ๒ อยา่ ง คือ : พวกที่ ๑.มิจฉาทิฐิสมาบัน คือเป็นคนมีมิจฉาทิฐิ แต่ไม่ใช้มิจฉาทิฐิเป็น แนวทางชีวิต เพราะมีความจาเป็นอย่างอ่ืน คนประเภทนี้ถึงความวิบัติช้าหน่อย คือคอย
จนกว่าจะหมดความจาเป็น มิจฉาทิฐิของเขาจึงจะได้ผล เปรียบเหมือนคนมียาพิษอยู่ใน กระเปา๋ แลว้ แต่ยังไม่กนิ มันก็ยงั ไมต่ าย พวกที่ ๒ มิจฉาทิฐิสมาทาน คือคนมีมิจฉาทิฐิ แล้วก็ใช้ทาอะไรตาม มิจฉาทิฐิของตนอยู่แลว้ เห็นว่าขโมยเขาก็ไม่เป็นไรกก็ าลังจะขโมยอยู่แล้ว เห็นวา่ โกงเขา ก็ไม่เป็นไรก็กาลังโกงอยู่แล้ว เห็นว่าอาฆาตพยาบาทเขาไม่เป็นไร ก็กาลังตามผลาญเขา อยู่แล้ว รวมความว่า กาลังใช้ทฤษฎีของตาครูปูรณะอยู่แล้ว พวกน้ีจะถึงความวิบัติในไม่ ชา้ วิบตั ขิ ้องท่ี ๓ ทิฐวิ ิบตั ิ มิจฉาทฐิ ิ – อกริ ยิ ทิฐิ วันน้ีจะต่อเรื่องเดิม คือเรื่องความคิดเห็นท่ีเป็นมิจฉาทิฐิ ซึ่งพระพุทธเจ้า ตรสั ว่า เปน็ ความวบิ ตั อิ ย่างรา้ ยแรง ใครเปน็ คนมจิ ฉาทฐิ ิ คนนน้ั ก็วิบตั ิ และคนวบิ ตั ิน้นั ไป รว่ มอยูใ่ นสังคมใด สงั คมน้ันก็จะพลอยวบิ ตั ดิ ้วย พุธโน้นได้เสนอไว้ว่าความเห็นผิดของคนเรา พระพุทธเจ้าทรงสรุปไว้ว่ามี ๓ ประเภทด้วยกัน ในสามประเภทน้ัน ประเภทแรกคือความเห็นที่ว่า “ทาดีไม่ได้ดี ทา ชั่วไม่ได้ชวั่ ” ในทางศาสนาเรียกมิจฉาทิฐชิ นิดน้วี า่ อกิริยทิฐิ ซงึ่ แปลในวงนักศกึ ษาธรรมะ วา่ “ความเห็นวา่ ไมเ่ ป็นอันทา” วนั น้นั ได้บอกวา่ ความเห็นทว่ี ่า ทาดีไมไ่ ดด้ ี นีไ้ มใ่ ช่เพ่งิ จะ มคี นเห็นกันเด๋ียวน้ี แต่มีคนต้ังตัวเป็นครูเผยแพร่มาแล้ว ต้งั แต่ยุคก่อนพระพทุ ธเจ้าตรสั รู้ เสียดว้ ยซา้ แล้วก็เลยเลา่ เร่ืองครคู นน้นั ให้ฟัง เพอ่ื ให้ทา่ นผู้ฟังและพ่นี ้องทหารท้ังหลายได้ วิจารณ์สิ่งแวดล้อมดูว่า เหตุใดครูคนน้ันจึงเห็นอย่างนั้น ตาครูมิจฉาทิฐิคนนั้น เดิมเป็น ทาสเขา ช่ือปูรณะแล้วก็หลบหนีจากเรือนนายไปหลบอยู่ในป่า จวบเหมาะพอดีกับคน สมัยนั้นกาลังต่ืนผู้วิเศษ แล้วมีคนไปเจอนายปุรณะเข้า ผ้าผ่อนก็ไม่มี เลยคิดว่าแกเป็น ผู้วิเศษกัน จึงชวนกันไปไหว้ แล้วเอาอาหารการกินไปให้ ก็แบบคนไปหาผู้วิเศษสมัยนี้ แหละ คือไปหาของดีกับคนท่ีมีอะไรพิกลๆ ทีนี้นายปูรณะ แกก็เลยเทศนาสั่งสอนพวกท่ี ไปหาว่า“ กรโต น กรยิ ติ” ถ้าแปลเปน็ ไทยก็ว่า “ปว่ ยการทา ทาดีก็ไมไ่ ดด้ ี พี่น้องทหารและท่านผู้ฟัง ลองคิดวิจารณ์ดูซิว่า ทาไมแกจึงสอน อย่างนั้น? แล้วเราก็จะได้คาตอบออกมาว่า ความเห็นของนายปูรณะน้ัน ไม่ใช่หลักวิชาที่เกิดจากการค้นคว้าอะไรเลย แต่เกิดจากอารมณ์ค้างของ ทาสคนหนึ่งเท่าน้ันเอง ทาสทุกคนต้องทางานหนัก แต่ครั้งทาได้มรรค ได้ผลแล้ว นายเอาไปหมด ทาสก็คงเป็นทาส ไม่มีอะไรดีข้ึน เพราะฉะน้ัน
ทาสทุกคนจึงอัดอ้ันตันใจ แล้วก็ชอบอุทานว่า “เฮ้อ ! ทาเสียเปล่า” “ ทา ดีก็เห็นได้ดีอะไรเลย” อารมณ์ของทาสเปน็ อย่างนี้อยู่แล้ว และนายปูรณะ น้ีแกอาจบ่นมากไปทาให้พวกทาสด้วยกันเกิดกระด้างกระเด่ืองต่อนายก็ เป็นได้ พอนายจะเอาโทษถึงได้หนีเตลิดเปิดเปิงไป พอชาตาดีข้ึน แกก็เอา อารมณ์ค้างต้ังแต่สมัยเป็นทาสนั่นแหละออกมาสอน แล้วสอนอย่างนี้ คน เชื่อง่ายออก ได้สานุศิษย์เร็ว แพร่หลายอย่างน่าอัศจรรย์ นึกดูว่าเวลาน้ี นายปูรณะตายไปตั้งกว่า ๒๖ ศตวรรษแล้ว สานุศิษย์ของแกก็ยังมีอยู่ คือ เล่อื มใสเห็นเปน็ จรงิ เป็นจังวา่ ทาดไี มไ่ ด้ดี ทนี ้ีมปี ัญหาวา่ เหตุใดพทุ ธศาสนาจงึ ประณามความเห็นเช่นว่าเป็นความผดิ เป็นมจิ ฉาทิฐิ เอาอะไรไปตดั สินว่าเขาผิด หรือเห็นว่าความเห็นของใครไม่ตรงกับเราแล้ว จะเหมาเอาว่าเขาผิดดื้อ ๆ อย่างนั้นรึ? –– ไม่ใช่แน่ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาท่ี สปอร์ทที่สุด ถือธรรมเป็นใหญ่ ที่สอนว่าใครทาดไี ดด้ ี นี่ก็สอนอยา่ งสปอร์ทท่ีสุดแล้ว เอา ดีเป็นกติกากันเลยทีเดียว ไม่เอาชาติชั้นวรรณะยศศักด์ิอัครฐานมาเก่ียวเลย บอกกัน ตรงๆ เลยว่า เอาความดีเป็นใหญ่ ใครทาดี –– ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นคนบ้านนอกหรือคน บางกอก ไม่ว่าจะเป็นลูกคนจนหรือคนรวย ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตารวจ –– พลเรือน ใครทาดไี ด้ดี ไม่มีอภิสิทธหิ์ รือโควตาพเิ ศษ แต่แข่งขันกันด้วยความดี ข้อน้ีแหละแสดงถึง ความสปอร์ทในคาสอน เพราะฉะน้ัน ม่ันใจเถอะว่า พุทธศาสนาจะไม่ปรักปราว่าคนอ่ืน ผิด เพราะความเห็นขัดกับศาสนาพุทธ นิสัยพรรค์นี้ไม่มีในพุทธศาสนา และถ้าชาวพุทธ คนใดใช้นสิ ยั อย่างนีก้ ็ผิดวถิ ีทางของชาวพุทธ การที่จะว่าผิดหรือถูกนั้น ต้องเอาของสองอย่างจับดู คือ เหตุ กับ ผล ต้อง ใช้เหตุกบั ผลเป็นเครอื่ งพิสูจน์ อย่างความเห็นที่ว่า ทาดไี ม่ได้ดนี ้ี ถา้ อยากจะทราบว่าเป็น ความเห็นผิดหรือถูก ก็ต้องพิสูจน์กันด้วยเหตุ กับ ผล ไม่ใช่ว่าคาสอนอย่างนี้ไม่มีใน ศาสนาของเรา แลว้ ก็เหมาอาวา่ เป็นมิจฉาทิฐิเลยทีเดียว สาปให้เขาตกนรกอเวจีเอาด้ือๆ ไม่ใชอ่ ยา่ งนัน้ ขอให้เราคิดถึงเร่ืองเหตุ กับ ผล เสียก่อน ที่จริงเรื่องน้ีเคยอธิบายมาแล้ว และจาได้ว่าเคยย้ามาหลายคร้ังเหมือนกัน เพราะเป็นหัวใจของศาสนาพทุ ธ ชาวพุทธทุก คนตอ้ งบาเพ็ญตัวเป็นคนมเี หตผุ ล ทีน้ีเหตุ – ผล คือ อะไร? ได้เคยให้ความหมายไว้เป็นคาไทยๆ ง่ายๆ ว่า “ เหตุคือต้น ผลคือปลาย” หมายความว่าต้นเร่ืองกับปลายเร่ือง ต้นกับปลายสาคัญมาก ส่วนกลางๆ ไม่แน่นัก อย่างเช่น ต้นไม้ เราอยากจะรู้แนๆ่ ว่ามันต้นอะไร ต้องดูต้นกับดูปลายของมัน ต้นน่ะคือ
พันธ์ุเดิมท่ีเอามาปลูก ถ้าดูเมล็ดเดิมเห็นว่ามะม่วงอกร่อง ก็ทายได้ว่าเวลาผลมันออกมา ก็จะต้องเป็นอกร่อง ถ้าเราเป็นมะม่วงเป็นต้นอยู่แล้วไม่ทันเห็นเมล็ดตอนปลูก จะให้แน่ ต้องคอยดูอีกทีตอนมันออกลูก ถ้าผลมันเป็นอกร่องมันก็เป็นมะม่วงอกร่องแน่ นี่ท่ีว่าดู เหตุ –– ดูผล คือ ดูต้นกับดูปลาย ส่วนระยะกลางๆ ไม่แน่มะม่วงหวานกับมะม่วงเปรี้ยว ดูท่ีต้นก็เหมือนๆ กัน ดูใบก็คล้าย ๆ กัน ถึงจะดูออก ดูช่อก็พอๆ กัน แน่ที่สุดต้องดูผล แล้วผลน่ะ มันอยู่ท่ีปลาย ถ้าต้นอะไรเราสงสัยแลละอยากดูใหแ้ น่ก็ต้องคอย คอยจนกว่า มันจะออกผล ถ้าจะดูผลมะเขือก็ราว ๒–๓ เดือน แต่ถ้าจะดูผลมะม่วงก็ราว ๔–๕ ปี ถ้า จะดูผลตาลตะโหนดก็ ๒๐–๓๐ ปี แล้วแต่ชนิดของมัน เพราผลทุกชนิดของมัน ต้องเกิด จากเหตุของมันเอง อย่างทข่ี ้าพเจา้ เคยบอกแลว้ ว่า เราทาได้แค่เหตุ แล้วให้เหตุมันทาผล ให้เรา เราอยากได้ผลมะม่วง แต่เราทาผลมะม่วงไม่เป็นเราทาได้แค่ปลูกต้นมะม่วง แล้ว ใหต้ ้นมะม่วงมันทาผลมะม่วงใหเ้ รา เราอยากกินไข่ไก่ แต่เราทาไข่ไก่เองไม่เป็น เราทาได้ แค่เลี้ยงไก่ แล้วให้ไม่มันทาไข่ให้เรากิน ผลทุกอย่างย่อมเกิดแต่เหตุของมันเอง แล้วอยู่ นอกวสิ ยั ทคี่ นเราจะทาเองได้ เรอ่ื งเหตุ –– ผลทว่ั ไปหวงั วา่ ทา่ นผฟู้ ังคนจับใจความไดแ้ ล้ว จาไว้ง่ายๆ ว่า เหตุคือต้น ผลคือปลาย บางทีเราพูดต่อกันเป็นการอธิบายไม่รู้ตัวก็มี อย่างเช่นเราพดู ว่า “เหตผุ ลตน้ ปลาย” เปน็ ตน้ หลักเหตุผลนี่แหละเป็นหลักสาคัญ มัน เป็นของเก่ียวเน่ืองกันไป มองดูทุกส่ิงทุกอย่างที่ท่านอาจมองเห็นอยู่ในเวลานี้ เก้าอ้ี โต๊ะ ตู้ อาคาร เครื่องรับวิทยุ และทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแต่เป็นผลมาจากเหตุทั้งส้ิน เรือ่ งความ ดีความช่ัวก็เหมือนกัน คือตกอยู่ในกฎแห่งเหตุผลน้ีด้วย ข้อสาคัญว่าเราจะสาวความไป ถึงหรอื ไม่ และเรามคี วามอดทนพอทจี่ ะรอดูผลของมนั หรอื ไม่เทา่ นัน้ ยกตัวอย่างเชน่ เรา พบนักโทษคนหน่ึงอยู่ในตะราง แล้วเราถามดูว่าก่อนท่ีจะมาถูกขังน้ีทาอะไรอยู่ก่อน นักโทษผู้นั้นบอกว่าเป็นทหาร ทาความดีแก่ชาติบ้านเมืองแท้ๆ ไม่น่าจะได้รับผลอย่างน้ี ไหนพระว่าทาดีได้ดี?! นี่สาวไปไมถ่ ึงต้น ไปถึงตอนแค่เป็นทหาร ท่ีจริงแกเป็นผูร้ ้ายฆ่าคน ตายแต่ก่อนเป็นทหาร เราไม่ได้สาวไปถึง ก็เลยไม่เห็น อันท่ีจริงการติดตะรางนั้น ก็เป็น ผลของการฆ่าคนตั้งแต่ก่อนเป็นทหาร มิใช่ผลของการเป็นทหาร ส่วนผลของการเป็น ทหาร อาจยังไมถ่ งึ เวลาจะให้ผล อยา่ งนเ้ี ราต้องคอยดู ในยุคน้บี า้ นเมอื งของเรามีตัวอยา่ ง ที่จะอ้างอิงได้แยะว่า คนทาช่ัวไว้แล้วไปกระโดดโลดเต้นอยู่พักหน่ึง เสร็จแล้วพอต่อมา ความชั่วให้ผล ก็ต้องรับกรรมทรมานไป เรื่องเหล่านี้คนอย่างเราๆ ท่านๆ ก็รู้เห็นกันอยู่ แล้ว ถ้าเหยียบไฟเท้าก็พอง ขับรถเร็วเกินไปก็มักจะเสียหลัก ใช้เงินต้นเดือนหมด ปลาย เดือนก็เดือดร้อน เรียนหนังสือเก่งก็ได้ความรู้มาก เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเหตุผลเห็นๆ กัน อยู่ทั้งนัน้ เม่ือเรามองดูเหตุผลตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ลองหยิบเอาความคิดเห็น แบบครูปูรณะข้ึนมาพิจารณาดูสิ ที่แกบอกว่าทาดีไม่ได้ดี –– ทาชั่วไม่ได้ชั่ว นั่นเป็นการ เห็นผิดหรือเห็นถูก ! เราก็จะเห็นได้ทันทีว่าเป็นความเห็นผิด ที่ว่าผิดก็เพราะผิดต่อ
เหตุผล เหตุผลมันไม่ใช่อย่างนั้น คนเรียนหนังสือใครๆ ก็ย่อมรู้ว่าจะต้องได้ความรู้ แล้ว ทาไมแกจึงบอกว่าทาแล้วไม่ได้ จะดูผิดท่ีไปกระมัง คนเกโรงเรียน ความรู้ก็น้อย น่ีก็ เหตผุ ล แล้วทาไมปรู ณะจึงเหน็ ว่าทาชั่วแล้วไม่ได้ผลชั่ว นี่กจ็ ะดูผิดท่ีไปอีกแล้ว? อาจดูแต่ ว่า การหนีโรงเรียนเป็นเหตุช่ัว แต่ได้ไปเท่ียวสนุก ก็เลยคิดเอาว่าเหตุช่ัวผลดี ซ่ึงความ จริงแล้ว เหตุ –– คือการหนีโรงเรียนมันยังไม่ให้ผล จะรู้แน่ต้องคอยดูปลายปีสิ จะนั่งงง ในห้องสอบ ส่วนความสนุกมันไม่ใช่ผลของการหนีโรงเรียน แต่เป็นผลของการไปเท่ียง เตร่ เร่ืองเหล่าน้ีเป็นเร่ืองซับซ้อน ก็บอกแล้วว่าเรื่องเหตุผลน้ัน เป็นเรื่องของคนฉลาด และเปน็ เรอ่ื งของคนคิดการณ์ไกล ทิฐิของนายปูรณะ ที่ว่าทาดีไม่ได้ดี ทาช่ัวไม่ได้ชั่ว เป็นการปฏิเสธความดี ความช่ัวโดยส้นิ เชิง เท่ากับบอกว่าความดีความช่ัวไม่มีนนั่ เอง แม้จะมีอะไรเกิดข้ึนก็ไมร่ ับ ว่ามันเป็นผลของความดีความช่ัว เช่นมีใครได้รับแต่งตั้งให้มีตาแหน่งสูง แทนท่ีจะรับว่า น่ันเป็นผลท่เี ขาไดร้ ่าเรียนมา คอื ทาเหตุดไี ว้ กไ็ ม่ว่า วา่ เอาแตว่ ่าทไ่ี ด้ตาแหน่งสูงก็เพราะมี คนต้ัง เอากันแคน่ ้ี ถา้ หากผู้ร้ายปล้นถูกจับไปติดคุก แทนทจ่ี ะรับว่าการปล้นไม่ดี ก็เปล่า ว่าเอาแต่ว่าเพราะตารวจจับตัวจึงตดิ คกุ คือไปคดิ ตัดตอนเอาส้ันเหลือเกินส้ันจนไมถ่ ึงต้น –– ไม่ถึงปลาย ผดิ เหตผุ ลไปหมด เหน็ อย่างน้แี หละท่วี ่าเห็นผิด คนเราถ้าลงได้เห็นดิ่งลงไปแล้วว่า ทาดีไม่ได้ดี ทาชั่วไม่ได้ช่ัว คือเป็นคนมี มิจฉาทิฐิอย่างนี้แล้ว ก็หมดหลักประกันในทางจิตใจ จนหลายเป็นคนมักฉวยโอกาส ทา อะไรเพราะเห็นแก่ได้ ไม่คานึงถึงความช่ัวความดี คนอย่างพวกเราเห็นกันว่าความ ซื่อสัตยส์ ุจริตเปน็ ความดี เขาก็ค้านวา่ ความดีไม่มี พวกเราเห็นวา่ ความทจุ รติ เปน็ ความชั่ว เขาก็แย้งว่าความช่ัวไมม่ ี เพราะเขาเห็นว่าส่ิงที่เราเรียกกนั ว่าความดีความชั่ว มันไม่มีใคร ที่ไปมัวคิดจะทาดี คิดจะงดเว้นจากความชั่ว เขาก็เห็นว่าเป็นคนโง่ เพราะไปคิดจะทาจะ เว้นของท่ีมันไม่มี พฤติการณ์ท่ีคนมิจฉาทิฐิแสดงออกก็คือเป็นนักฉวยโอกาส ความดีไม่ ทา แต่จะเอาผลดี ความผิดไม่เว้น แต่จะไม่รับว่าตนผิด ท่านทั้งหลายลองคิดดูซิว่าจะยุ่ง หรือไม่ยุ่ง และตัวผู้น้ันเองจะวิบัติหรือไม่วิบัติ ปัญหาน้ีจะไม่ตอบ ขอให้พี่น้องทหารและ ท่านผู้ฟังคิดดูเอง คือคนที่ไม่ทาความดีแต่จะเอาผลดีกับคนท่ีความผิดไม่เว้น แต่จะไม่ ยอมรับผิด เป็นคนชนิดไหน น่าคบไหม คนอย่างว่านี้ หากเราจะยกย่องเอาเป็นเจ้าเป็น นายจะดีไหม หรือถ้าเราจะรับเอาไว้เป็นลูกน้องทางานด้วยจะเป็นอย่างใด โปรดคิดดู เม่ือคิดไปๆ แล้วจะเห็นเองว่า คนมิจฉาทิฐิประเภทนี้เป็นคนใช้ไม่ได้เลย แม้แต่ประตู เดียว เหมือนคนตายแล้ว นับวนั แต่จะเหม็น สาหรับเร่ืองนี้เราเคยเหน็ ฤทธ์กิ ันมาแล้ว ต้งั แต่คราวสงครามโลกครง้ั ท่ีแล้ว และหลังสงครามอีกหลายปี ผู้คนเกิดความผิดวิปลาสเกือบท่ัวบ้านทั่วเมือง แล้วเราก็ เดือดรอ้ นกนั ทกุ หัวระแหง เพราะไมไ่ วว้ างใจใครได้ มองหน้าคนทุกคนเป็นนกั ฉวยโอกาส หมด คาพูดท่ีว่า “ใครไม่โกงโง่” น้ี เป็นคาพูดธรรมดาในสมัยน้ัน แต่ต่อมาๆ ความ
คิดเห็นผิด ๆ ก็ได้ค่อยๆ หายไปจากสังคมจนมาประมาณ ๓–๔ ปีมานี้ นับว่าทุกสิ่งทุก อยา่ งคืนเขา้ สสู่ ภาพเดิมแลว้ คอื ความคดิ ความเห็นผดิ ๆ คอ่ ยหายไป ถงึ แม้จะมใี ครแหลม ข้นึ มาเป็นครั้งคราว คนทั้งหลายก็รู้ไต๋ อยู่ไม่ได้ ขา้ พเจ้าคิดว่า ทางที่เราจะป้องกันคนของเราไม่ให้ความเห็นวิปรติ อย่างว่า มาแล้ว ต้องอาศยั คนสาคัญอยู่ ๒ คน คือผู้ใหญก่ ับผู้น้อย จาไวว้ ่าความเหน็ ปิดมักจะเกิด จากการที่ตนไมไ่ ดร้ ับความเป็นธรรมหรือหมดความยุติธรรม ความยตุ ิธรรมมันไม่เด่นพอ เรามองไม่เหน็ เพราะฉะนนั้ ถ้าหากผใู้ หญ่เช่นพ่อแม่ ผู้บงั คบั บญั ชา หัวหน้า หรอื ประมุข ของกลุ่มชนต่างๆ เชิดชูความยุติธรรมให้เด่นชัด ใครทาผิดลงโทษตามผิด อย่ากลบ เกลื่อนเบ่ียงบ่าย ใครทาความดีเป็นคนมีประโยชน์ ก็สนับสนุนให้เด่นชัด ใครทาดีมากก็ ให้ความดีความชอบมาก ใครทาน้อยก็ให้น้อย ใครไม่ทาเลยก็ไม่ได้เลย ความยุติธรรม และความเที่ยงธรรมดังนี้ จะเป็นการป้องกันมิจฉาทิฐิให้แก่ผู้น้อยอย่างดีย่ิง ทางฝ่าย ผู้น้อยก็เหมือนกัน ต้องให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ใหญ่ เช่นผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้า หรือ ท่านผู้เป็นประมุขของหน่วยราชการบ้านเมืองช้ันใดก็ตาม ถ้าท่านทาดี เราก็สนับสนุน ด้วยความจริงใจ ยกยอ่ ง สรรเสริญ แม้วา่ ผู้น้ันจะไม่ใช่ญาติไม่ใช่สมัครพรรคพวกของเรา กต็ าม กเ็ ราจะเอาดีกันนี่ ใครทาดใี ห้ เรากเ็ ชียร์ แต่ถ้าใครเกิดวปิ ริตออกนอกทาง เรากง็ ด สนับสนุน การงดสนับสนุนนั่นแหละ คือการช่วยผู้เกิดมิจฉาทิฐิให้กลับตัวเป็นคุณ ไม่ใช่ เป็นโทษ โปรดจาไว้ง่ายๆ ว่า มิจฉาทิฐิท่ีเห็นว่าทาดีไม่ได้ดี เป็นความเห็น ผิดท่ีเกิดจากความคับใจ เพราะขาดความยุติธรรม ถ้าหากผู้ใหญ่กับ ผู้น้อย ต่างให้ความเป็นธรรมแก่กันและกันแล้ว ทิฐิแบบน้ีก็จะเบาบาง นั่นคือ การสร้างแนวป้องกันตัว และชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ท่ีดี มาก ปืนและลูกระเบิดที่เราสะสมไว้มากมายนี้ เป็นแนวป้องกันข้าศึก ภายนอก แต่ความยุติธรรมท่ีผู้ใหญ่ให้กับผนู้ ้อยช่วยกนั สร้างข้ึน จะเป็น แนวปอ้ งกันคนเราเองท่มี ่ันคงยง่ิ กวา่ .
วบิ ัติขอ้ ท่ี ๓ ทิฐวิ ิบตั ิ อเหตุกทฐิ ิ วันน้ีเรามาพิจารณาเรื่องความวิบัติของชีวิตต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องท่ียัง ค้างอยู่ เห็นจะต้องทบทวนสักนิดหน่อยก่อน ความเข้าใจจะได้ต่อเนื่องกัน คือ พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบว่า ความเจริญก้าวหน้าแห่งชีวิตของคนเราอาจประสบความ วิบัติล่มจมลงได้ ท้ังๆ ท่ีผู้นั้นมีความเพียรพยายามสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ตัวเอง อย่อู ย่างเตม็ ท่ี และทาทุกส่ิงทกุ อยา่ งเพือ่ ความกา้ วหนา้ ของตน ทง้ั เรียนท้ังทาและท้งั ๆ ที่ มองเหน็ จดุ สาเร็จอยขู่ ้างหน้าแลว้ กต็ าม แต่ไปๆ ก็ถงึ ความวบิ ตั อิ บั ปางเสียในระหวา่ งทาง น่าเสียดาย ความวบิ ัติเช่นน้ีมักทาให้คนเข้าใจผิด ไปคิดโทษเหตุภายนอกเสยี มาก เข้าใจ ว่าเป็นเร่ืองของดวงดาว เข้าใจว่าเป็นฤทธิ์ของภูตป่าฝีทะเล ท้ังน้ีเพราะตนมองไม่เห็น เหตุอย่างอ่ืน ขยันแกก็ขยัน ทามาหากินตัวเป็นเกลียว สังคมก็กว้างขวาง มีมิตรสหาย มากมายทุกหนทกุ แห่ง แต่แลว้ กลบั วิบัติล่มจมเอาตัวไม่รอด ในสายตาของคนธรรมดาจึง มองไม่เห็นว่าเขาผู้นั้นได้ทาผิดอะไร ผลท่ีสุดก็เลยโทษผีสางดาวเดือนส่งไปเลย แต่ พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงค้นพบความจรงิ ว่า จุดวิบัติร้ายแรงทส่ี ุดอยู่ในตัวของผู้น้ันเอง ซ่ึงมีอยู่ ๔ จุดด้วยกัน เรียกสั้นๆ ว่าวิบัติ ๔ การที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบข้อเท็จจริงวันนี้ ก็ เหมือนกับหมอคน้ พบแหล่งเชอื้ โรคนนั่ เอง เดิมคนเป็นอหิวาต์ตาย ชาวบ้านโจษกันว่ามีผี หา่ มาจากป่าเขา ทาให้คนมีอันเป็นแต่หมอกลับค้นพบว่า ตัวอหิวาต์ไม่ไดม้ าจากภเู ขาเลา กาที่ไหน หากมาจากกองเศษอาหารเน่าๆ ข้างครัวเรานี่เอง แต่คนมองข้ามไปเสีย เหตุที่ ทาใหค้ นวิบตั กิ เ็ หมอื นกัน จดุ สาคัญมันอยู่ในตัวเรานเ่ี อง ขณะนี้เรากาลังพดู กันถงึ จดุ วิบัติร้ายแรง อย่างหน่ึง คือ ทิฐิวิบัติ ความเห็น เสีย ได้ขยายความให้เห็นแล้วว่า ทิฐิความเห็นของคนเราเสียได้สองชั้น คือเสียพอ ดัดแปลงได้เรียกว่าทิฐิวิปลาส เสียขนาดวิปลาสนี้ดัดแล้วหาย เรื่องน้ีอธิบายมาหมดแล้ว ทั้งวิธีสังเกตตรวจสอบ และวิธีดัดทิฐิให้ตรง แล้วก็ช้ีลงไปว่าทิฐิเสียขนาดวิบัตินั้น หมายถึงมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดขนาดด่ิงลงไป คือผิดอย่างสุดตัว ซึ่งแยกออกเป็น ๓ ลกั ษณะดว้ ยกัน คอื อกิริยทฐิ ิ เห็นว่าทาดไี ม่ได้ดี ข้อนี้อธิบายเสร็จไปแล้ว แล้วก็จบไว้แค่ นี้ วนั น้ีกจ็ ะต่อตรงน้ี มิจฉาทิฐิลักษณะที่ ๒ คือ อเหตุกทิฐิ คาว่าอเหตุกะน้ันแปลตามตัวว่าไม่มี เหตุ อเหตุกทิฐิ ก็หมายความว่า ความเห็นไม่มีเหตุ คาแปลดูจะไม่ค่อยร่ืนหูอยู่บ้าง แต่ก็ พอจะเขา้ ใจได้ จะแยกประเด็นพดู ใหฟ้ งั งา่ ยๆ เปน็ ๓ ประเด็น คือ :
- ลกั ษณะของถกู ทฐิ ิ - ความเหน็ อยา่ งนผี้ ิดอยา่ งไร - แล้วถา้ ใครเห็นอยา่ งนจ้ี ะวบิ ัตอิ ยา่ งไร จับประเด็นแรกเสียก่อน คือลักษณะของอเหตุกทิฐิ ความเห็นท่ีว่าอะไรๆ ไม่มีเหตุ คือเห็นยังไง? ความเห็นของคนประเภทน้ีปฏิเสธเหตุท่ีตาไม่เห็น รับรองเฉพาะ แค่ที่ตาเห็นเท่าน้ัน ยกตัวอย่างเช่นเห็นคนๆ หน่ึงได้ประดับยศเป็นนายร้อยนายพันนาย พล ก็เหน็ แต่วา่ ท่เี ขาได้ประดับยศกเ็ พราะมีผู้ใหญ่ให้ หรอื มีคนขอคนให้แลว้ ก็ได้ คิดแค่นี้ ไมไ่ ด้เหน็ หรือไม่ยอมเห็นว่า ย้อนหลังคนื ไปก่อน แต่มคี นขอคนให้นน้ั เขาได้ทาคณุ ความดี อะไรไว้บ้าง ไม่ยอมรับรู้ไปถึง อย่างนี้เรียกว่าปฏิเสธเหตุ พูดอีกทีคือเห็นว่าการท่ีคนน้ัน ได้ยศ ไม่มีเหตุอะไรมาก่อน หรือไม่เกิดกับเหตุที่เคยทามาก่อนเลย ในแง่อื่นๆ ก็ เหมอื นกัน อย่างเหน็ คนติดคกุ กค็ ิดเห็นแค่ว่าที่ตดิ ก็เพราะแกค้ ดไี ม่เกง่ หรือไดท้ นายไม่ดี หรือไม่ก็เพราะตารวจจับ คิดเห็นแค่นี้ ส่วนความผิดท่ีผู้นั้นทาไว้ต้ังแต่ก่อนโน้นไม่รับรู้ หรือรู้ก็ไม่ยอมรบั วา่ เป็นตวั เหตทุ ีท่ าให้ตดิ คุก ความเหน็ อยา่ งน้แี หละทเ่ี รียกว่าอเหตุกทฐิ ิ ฟงั ดูเผนิ ๆ คลา้ ยๆ กะจะเหมือนกบั อกิรยิ ทฐิ ิ ทอี่ ธบิ ายมาแลว้ แต่ความจริง ไม่เหมือนกัน เป็นการเห็นผิดคนละแง่ อกิริยทิฐินั้นเห็นว่าความดีความช่ัวไม่มี เหตุน่ะมี ยอมรบั อยู่วา่ ความสขุ ความทุกขข์ องคนเราเกิดแต่เหตุที่ทาไว้ รเู้ หมือนกันวา่ สิง่ ต่างๆ เกิด แต่เหตุ แต่ปฏิเสธตรงท่ีว่าการกระทาของคนเรานั้น ที่แท้ก็เป็นเพียงการกระทา ไม่ เรียกว่าดี ช่ัวบุญบาป ใครจะทาอะไรก็ได้ ถ้าทาให้คนเห็นแล้วเขาชอบเขาก็ว่าดีและให้ บาเหน็จรางวัลแต่ถ้าทาอะไรแล้วคนอืน่ เขาไม่ชอบเขากต็ ิหรือลงโทษ ท่ีแท้ที่จรงิ แลว้ การ กระทาของคนไม่มีดีหรือช่ัว ทาก็ทากันไปเท่าน้ันเอง นี่อกิริยทิฐิ ส่วนอเหตุกทิฐิตัดเหตุ ออกไปเลย เห็นว่าสุขทุกข์ไม่มีเหตุเอาเลยทีเดียว ท่ีพูดน้ีอาจฟังยากอยู่สักหน่อย เพราะ ตัวเร่ืองจริงๆ มันก็ยากอยู่แล้วด้วย จะเปรียบให้ฟังอีกทีหนึ่ง ให้สังเกตว่าใครเห็นผิด ตรงไหน นาย ก. เห็นวา่ น้ามะพรา้ วจะหอมจะหวานหรือไม่ ไม่เกยี่ วกับวา่ พนั ธ์เุ ดมิ มันจะ นา้ หอมน้าหวานหรอื ไม่ ใครอยากจะเอามะพร้าวชนิดไหนทาพันธุ์ก็ได้ เม่ือมันโตข้ึนมาก มันอยากหอมมันก็หอม มันอยากหวานมันก็หวานเอง ไม่เกี่ยวกับพันธุ์ น่ีความเห็นนาย ก. รับว่าต้นมะพร้าวย่อมเกิดจากลูกมะพร้าว แต่ปฏิเสธรสของมันว่าหวานหอม ไม่เก่ียว กันพนั ธเุ์ ดมิ ส่วนนาย ข. เหน็ หนักเขา้ ไปอีกวา่ ลูกมะพรา้ วบนตน้ นะ่ มันไม่ได้เกิดจากลูก มะพร้าวเดิมเอาเลยทีเดียว แต่มันเกิดจากต้นมะพร้าวเท่าน้ัน เช้ือแถวแนวเดิมไม่เกี่ยว ท่านผฟู้ ังลองนึกดูกแ็ ล้วกนั ว่าผิดอยา่ งไร นาย ก. กับนาย ข. ต่างกันตรงไหน และใครผิด มากผิดน้อยกว่ากัน ซ่ึงแน่ละ คนที่เห็นว่าลูกมะพร้าวบนต้นไม่ได้เกิดจากลูกมะพรา้ วลูก เดิม ยอ่ มเปน็ คนเหน็ ผดิ มากกวา่ ผดิ น่าเกลยี ดกวา่ กนั มาก
ความแตกต่างระหว่างมิจฉาทิฐิ ๒ ชนิดนี้ ก็เหมือนกัน คนที่เห็น ว่าดีช่ัวไม่สาคัญก็เห็นผิดเอาการอยู่แล้ว คนที่เห็นว่าอะไรๆ เป็นไปเอง ไม่มเี หตมุ ผี ลอะไร ยิ่งผิดน่าเกลียดมากกว่า ทีนี้พูดถึงประเด็นที่สอง คือการท่ีเราปรักปราว่าความเห็นอย่างนี้เป็น ความเหน็ ผดิ เอาอะไรมาวดั มาตรวจสอบว่าความเห็นนผี้ ิด หรือเพียงแต่เห็นว่าเขาพูดไม่ ตรงกับเราก็เหมาว่าเขาผิด อย่างน้ันรึ? เปล่าเลย การท่ีเราจะรู้ว่าผิดก็เพราะเราเอา ความถูกเข้าไปวดั ดู ไปสอบดู ถ้ามันถูกมันก็ไม่ผิด และถ้ามันไม่ถูกเราก็ต้องลงความเห็น ว่าผิด จาไว้ว่าความถูกเท่านั้นที่จะช้ีขาดว่าอะไรผิด ไม่ใช่เอาความคิดเห็นส่วนตัวเข้าไป ตัดสิน เอาถูกตัดสินอย่างไร คือเราต้ังคาถามขึ้นตอบถูกผิดดูเองก็ได้ อย่างเช่นเรื่องต้น มะพร้าวทีว่ า่ มาแล้ว เราลองตั้งคาถามดูวา่ “ต้นมะพรา้ วมันเกิดจากลูกมะพรา้ วลกู เดมิ ใช่ ไหม?” ถูกหรือไม่ถูกท่ีข้าพเจ้าบอกว่า ต้นมะพร้าวที่เราเห็นอยู่นี่มันเกิดมาจากลูก มะพร้าวลูกก่อน?–––––– ทุกคน จะต้องตอบว่า ถูกแล้ว น่ีเราได้ที่ถูกไว้แล้ว ท่ีน้ีมีคน เห็นว่า ต้นมะพร้าวไม่ได้เกิดจากลูกมะพร้าวเดิมหรอก มันเกิดข้ึนเอง ใครเห็นว่าถูกหรือ ผดิ ? –––––– ผิด! อย่างนแ้ี หละที่วา่ ใหเ้ อาถูกตดั สินผิด เช่นเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดแต่เหตุทั้งนั้น ท่านลอง คิดดูซิว่า มีอะไรบ้างที่ไม่เกิดแต่เหตุ คือไม่มีเหตุ มีไหม? ––ไม่มี! อะไรๆ มันเกิดจากเหตุท้ังน้ัน เหตุกับผลเป็นของคู่กัน คนโบราณท่านผูกนิทานไว้ สอนเดก็ วา่ อยา่ งน้ี คอื เริม่ เรื่องจากขา้ วไม่สุก เด็กก็ถามบา้ งว่า ข้าวทาไมไม่ สกุ ข้าวบอกว่าเพราะหม้อข้าวไม่เดือด เด็กถามหมอ้ ข้าวว่า ทาไมหม้อข้าว ไม่เดือด หม้อข้าวก็บอกว่าเพราะไฟดับ ไปถามไฟว่า ทาไมไฟจึงดับ ไฟก็ บอกว่าเพราะฝนตก จึงไปถามฝนว่า ทาไมฝนจึงตก ฝนก็บอกวา่ เพราะฟ้า รอ้ ง แลว้ ก็ไล่กันต่อๆ ไป นิทานเร่อื งนีด้ ีมาก น่แี หละวิธีสอบเหตผุ ลของคน โบราณ อะไรๆ มันเกิดแต่เหตุทัง้ นนั้ โดยพูดอย่างเดียวกันน้ี ความสุขความทุกข์ที่เราได้รับอยู่ก็เกิดจากเหตุ เหมือนกัน ที่ถูกมันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ใครเกิดเห็นไปว่าความสุขความทุกข์ไม่มี เหตุ คนนั้นก็เห็นผิด ! ผิดจังๆ เลยทีเดียวๆ ชาวบ้านเราพอได้ยินเสียงระฆังดังมา เราก็ ยอ่ มคดิ เห็นว่า เสียงน้ันต้องมีผู้เป็นตน้ เหตุทาให้ดงั มันจึงดัง ถ้าใครเกิดบอกว่า ระฆังมัน ดงั ของมันเอง คนนัน้ กเ็ ห็นผดิ นี่แหละคนปฏเิ สธเหตทุ ว่ี า่ ผดิ นนั้ ผดิ อยา่ งน้ี คอื ผดิ จากที่ถูก
เหตุบางอย่างมันมาไกลกว่านี้ คือไกลมาจนเราไม่สามารถจะมองเห็น แต่ เราก็ใช้วิธีสันนิษฐานด้วยปัญญา จากกฎอันเดียวที่ว่าทุกส่ิงเกิดแต่เหตุน่ีเอง เราอาจโยง ทกุ สงิ่ ทุกอย่างเข้าไปหาเหตดุ ้วยปัญญาของเราเอง เช่นเราเห็นแต่นา้ กะทิมนั ๆ อยู่ในชาม ขนม เราก็สาวกลับไปด้วยปัญญาเราเองว่า มันจะต้องมาจากลูกมะพร้าวๆ มาจากต้น มะพร้าวๆ ก็มาจากพันธุ์มะพร้าว ไอ้มะพร้าวลูกเดิมโน้นเรามองไม่เห็น แต่เราก็สาว กลับไปได้ด้วยปัญญา เม่ือเห็นเหตุผลที่ต่างกัน เราก็แยกเหตุด้วยปัญญาของเราเองได้ เช่นเห็นเกลือเค็ม แต่น้าตาลหวาน ทั้งๆ ท่ีลักษณะมันคล้ายกัน เราก็คงสันนิษฐานได้ว่า ต้นเหตุของเกลือกับน้าตาลต้องต่างกัน สิ่งต่างๆ ในโลกมันเป็นผลเนื่องมากจากเหตุ ท้งั น้ัน ตวั คนเราแต่ละคนๆ นี้ก็เปน็ สิง่ หนึ่งในโลกเหมือนกัน อยใู่ นกฎอนั เดียว คือ เป็นผลทมี่ าจากเหตุ แตเ่ หตุนั้นอาจใกล้กม็ ี ไกลก็มี อยา่ งเราเห็นคนทีไ่ ด้ยศบรรดาศักด์สิ ูง เราสาวกับไปก็จะพบว่า ที่เขามียศบรรดาศักดิ์น้ันเพราะเหตุท่ีเขาเรียนเก่งต้ังแต่ยังเป็น เด็ก ใครๆ ก็ยอมรับ เพราะเรียนอยู่ด้วยกันหลายคน แต่ทีน้ีถ้าจะสาวต่อไปอีกว่า ใน บรรดาเพื่อนนักเรียนด้วยกันน้ัน เขาเรียนได้ง่ายกว่าทุกคน สติปัญญาดีเป็นพิเศษ ข้อนี้ ล่ะอะไรเป็นเหตุ? พอถึงตรงนี้หมดทางไป เพราะสาวไปอีกกเ็ จอแต่วา่ เพิ่งจะเกิดมาไม่กี่ ปีนี่เอง ยังไม่ได้ไปทาอะไรท่ีไหน น่ีแหละเหตุสุดสายตา สุดคิด บางท่านเลยโยนไปหา พระพรหมหรือเทพเจา้ ผ้ยู ่ิงใหญ่เอาเลยทเี ดียวว่า ท่านบันดาลให้มาเกิดอยา่ งนี้ หรือท่าน ให้พรมาอย่างนี้ แต่ทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงสามารถใช้พุทธญาณตรวจสอบ ย้อนหลังข้ามชาติไป กลับได้พบว่าความเฉลียวฉลาดอันเป็นทุนอยู่ในใจของคนน้ัน เป็น ผลมาจากการศึกษาอบรมจิตของเขาเองตั้งแต่ชาติก่อนโน้น จิตน้ันเคยผ่านการเกิด มาแล้ว และได้รับการอบรมโดยถูกทางจนมีสภาพละเอียดและแจ่มใส ความละเอียด แจ่มใสของจิตนั้นไดต้ ิดมาจนถึงชาตินด้ี ้วย ท่านเรยี กวา่ อุปนสิ ยั เหมอื นไข่เกดิ จากแม่ไก่ท่ี ได้รับการเลี้ยงดูถูกวิธี เมื่อเอามาฟักเกิดมาเป็นตัวใหม่ ก็เป็นตัวไก่ท่ีงาม หรือพันธ์ุข้าวที่ นาเอาความดีอันเกิดจากน้าจากปุ๋ยตั้งแรกอยู่กับต้นเดมิ มาออกรวงใหม่ ก็เมล็ดใหญห่ อม อรอ่ ยไปดว้ ย รวมความว่า ส่งิ ที่ปรากฏแก่ชีวติ ของคนเราทุกวันน้ี อาจเกดิ จากเหตุท่ีผนู้ ้ัน ทาในชาติน้ีก็ได้ หรืออาจเนื่องมาจาเหตุที่ทาในชาติก่อนก็ได้ แต่เม่ือกล่าวโดยรวบยอด แลว้ ก็ไมพ่ น้ เหตุ คือทุกอยา่ งเกดิ แตเ่ หตทุ งั้ สน้ิ ใครก็ตามท่ีเห็นว่า สิ่งต่างๆ ไม่มเี หตุเกิดหรอื ไม่ได้เกิดจาก เหตุ คนน้ันก็เป็นมิจฉาทิฐิ ท่ีเรียกว่าเหตุกทิฐิ ความเห็นที่ว่าน้ีร้ายนัก ! เม่ือมันเกิดข้ึนในใจของใครแล้ว จะกลายเป็นคนเหยียบแผ่นดินผิด เหยียบผดิ ยงั ไง พธุ หน้าจะแจงให้ฟงั
วบิ ัติข้อท่ี 3 ทฐิ วิ บิ ัติ (ต่อ) อเหตกุ ทิฐิ –นตั ถิกทิฐิ เรื่องมิจฉาทิฐินั้นเป็นเรื่องแปลกอีกอย่าง ดูต้นไม่ร้าย แต่ดูปลายมันแรง หมายความว่าอย่างไรๆ คืออย่างนี้ ถ้าฟังคาอธิบายลักษณะของมิจฉาทิฐิว่าชนิดนี้ คือเห็นว่าอย่างน้ัน ชนิดนั้นคือเห็นว่าอย่างโน้น ฟังดูก็เฉยๆ ใครอยากเห็นว่า อย่างไร ก็เห็นไป มันก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร ถึงกะเอามาพูดกันซ้าๆ ซากๆ เพราะ ใครๆ ก็มีสิทธจิ ะคิดเห็นไปตามใจของเขา นเ่ี ปน็ ความรสู้ กึ เวลาดูมิจฉาทฐิ ทิ ห่ี ลักวิชา แต่ถา้ พวกเราสาวตามไปดตู อนที่คนมิจฉาทฐิ ิแสดงบทบาทของเขา เราจึงจะเห็นได้ ชัดว่า มิจฉาทิฐิทาความวิบัติแก่เขาแค่ไหน วิบัติขนาดเหยียบแผ่นดินผิดทีเดียว แหละ จะว่าอะไรมี การดมู ิจฉาทิฐิน้ันคล้ายๆ กับดูต้นตาแยหรอื หมามุ่ย ต้นไม่ร้าย แต่ปลายมันแรง คือถ้าเราดูเมล็ดของมันก่อนท่ีมันจะงอกขึ้นเป็นต้น ก็ไม่เห็นมี อะไรเป็นเมล็ดกลมๆ ผิวเกล้ียงเป็นมัน แต่ถ้าเราตามไปดูเวลามันงอกเป็นต้นจะ เห็นว่ามันตา่ งจากตอนทม่ี นั เปน็ เมลด็ แตก่ ย็ ังเรียบรอ้ ย ไมม่ ีเสย้ี นหนามท่ีจะระคาย มอื เลย แต่ถ้าเราตามดูต่อไปอีก จนถึงปลายของมัน เราจะเห็นว่ามันมีลกู นา่ ระแวง เหมือนกัน น่ากลัวกว่าตอนท่ีดูที่ต้นที่เมล็ด ยง่ิ ถ้าตามไปดูเวลามันปล่อยละอองคัน ไปถูกคนเข้า มนั จะก่อเรือ่ งยุ่งไม่นอ้ ยเลย เลน่ เอาคนดีๆ แทๆ้ น่งั เกาเป็นลงิ เป็นค่าง ไปกไ็ ด้ นแ่ี หละท่ีวา่ ตน้ ไมร่ ้ายแต่ปลายมนั แรง เรอ่ื งมจิ ฉาทฐิ ิเหมือนกัน อยากดฤู ทธข์ิ องมจิ ฉาทิฐติ ้องคอยดูพฤตกิ รรม คือ บทบาทที่คนมิจฉาทิฐิแสดงออกและสังคมงานการท่ีคนผู้น้ันเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ตามไปดูที่ ปลายอยา่ งนเ้ี จอแน่ เพ่ือความเข้าใจง่าย ข้าพเจ้าจะชี้ให้ดูพฤติการณ์หรือบทบาทของคนมี อเหตุกทิฐิ ชี้ที่ได้ท่ีเสียให้ดูด้วยจะได้เสร็จไปพร้อมกันเป็นเรื่องๆ คือความเห็นผิดที่ เรียกวา่ อเหตุกทฐิ ินี้เม่ือเวลามันเกิดขึ้นในจิตใจของใครแล้ว มันจะทาให้จิตใจของผูน้ ั้นมี ความคิดเหหันไป มีการปฏิเสธเหตุที่เกิดข้ึนในตัวเอง หรือท่ีตัวทาขึ้นเอง แต่ไปโยนให้ เหตภุ ายนอก ครัน้ แลว้ ก็แสดงบทบาทออกมา ๒ ลกั ษณะด้วยกนั คอื : ๑. จะเป็นคนหลงงมงาย และ ๒. จะเป็นคนทาอะไรตามอาเภอใจ ประการแรก ทีว่ ่าจะเป็นคนหลงงมงาย คอื เปน็ คนไม่มหี ลกั ใจ ทาไมจึงเป็น อย่างนนั้ ? คืออาการสาคัญของใจคนเรามีอยู่สองอาการ น่ีหมายถงึ อาการของใจจริงๆนะ ไม่ใช่หมายถึงอาการที่เกิดจากแรงอารมณ์ท่ีมากระทบ ประเด๋ียวจะงุนงง ท่ีว่าอาการ
จริงๆ กบั อาการที่เกดิ จากแรงกระทบ ให้นึกถึงระฆังทเี่ ราตี อาการของตวั ระฆังจริงๆ คือ แข็งกับเย็น คือจับดูที่ตัวระฆังมันแข็งๆ เย็นๆ น่ีตัวแท้ของระฆัง ทีน้ีถ้าเราเอาค้อนไปตี ระฆงั มนั มีเสียงดงั ออกมา เสยี งเพราะเสยี งกังวานดงั มากดังน้อย นน่ั อาการท่เี กิดจากแรง กระทบ ตกลงระฆังมสี องอาการ คืออาการของระฆงั แท้ๆ กบั อาการกระทบ ใจคนเราก็มี สองอาการเหมือนกัน คืออาการของใจแท้ๆ กบั อาการทีเ่ กิดจากแรงอารมณ์ที่มากระทบ ทางใจ สาหรบั อาการท่ีเกิดจากแรงกระทบน้ันมีมากมาย เช่นเสียงคนมาด่านกระทบหใู จ เราเดือดดาลหรือเสียงคะๆ ขาๆ หวานๆ มากระทบหู ใจเราชุ่มชื่น ความเดือดดาลกับ ความชมุ่ ชื่น นี่เป็นอาการทเ่ี กิดจากแรงกระทบ น่ยี กตวั อย่างใหฟ้ งั ยังไมต่ ้องการพดู ในแง่ นีแ้ ต่จะพดู ขา้ งอาการแทข้ องจิตใจ ซ่งึ เป็นปัญหาใหญก่ วา่ อาการแท้ของใจนัน้ มี ๒ อย่างคอื ความเชื่อกับความรู้ หรือถ้าจะพดู ให้ เป็นคาอรรถก็พดู ว่า ศรทั ธา กับ ปญั ญา ความเชื่อก็คอื ศรทั ธา ความร้กู ็คือปญั ญา อาการทงั้ สองอย่างลว้ นมพี ลังที่ จะผลักดันจิตใจ หรือพูดง่าย ๆ คือผลักคนเราแต่ละคนเข้าสู่จุดใดจุดหน่ึงก็ได้ทั้งน้ัน พระพทุ ธเจา้ ก็ทรงรับวา่ ทง้ั สองอยา่ งเปน็ ของมพี ลงั อย่างหน่ึงศรทั ธาพลงั แรงความเชอื่ อีกอย่างปัญญาพลัง แรงความรู้ ประเด๋ียว – อธิบายไปสักหน่อยก่อนแล้วจะบอกให้ดู โลก อ่านโลกออกเลยวา่ ใครตกอยูใ่ นแรงอะไร และมีผลได้ผลเสยี ตา่ งกนั อยา่ งไร ศรัทธาคือความเช่ือ หมายความว่า ใจเราเช่ือ คือเชอ่ื ว่ามี อยา่ งนั้นจรงิ ๆ เช่ือว่าเป็นอย่างนั้น ๆ ลาพงั ความเชอื่ นนั้ เกดิ ขนึ้ ได้จาก การชักจูงเท่านั้น เช่ือไปตามท่ีเขาวา่ เพราะเหน็ ว่าพูดน่าเบ่ือ แล้วใจเรา ก็เชื่อไปตามเหมือนผู้ใหญ่เล่านิทานให้เด็กฟังว่า ยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัด โพธิ์นัดพบกัน เด็กเห็นว่าผู้ใหญ่เป็นคนที่น่าเชื่อแล้วก็น้อมใจเชื่อตามไป เลย ไม่ได้คิดหาความจริง ว่ายักษ์วัดแจ้งมันมาท่าเตียนได้จริงตามที่ ผ้ใู หญ่เลา่ นน้ั หรอื เปล่า ไมไ่ ดค้ ดิ พอผใู้ หญ่เล่าวา่ วันหนึ่งยกั ษ์วดั แจง้ ฝั่งธน นั่งเรือจ้างข้ามแม่น้าเจ้าพระยามาเยี่ยมยักษ์วัดโพธิ์แล้วก็เลยชวนกันขึ้น รถสามล้อมาพบยักษ์วดั พระแก้ว เด็กที่น่ังฟังก็ขนลุกขนพอง เชื่อเอาเลย ทีเดียวว่า ยักษ์ทั้ง ๓ เกิดมาเจอกันจริง ๆ น่ีคือความเชื่อล้วน ๆ ถึง ใครจะบอกว่าไม่จริงเด็กก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ เพราะตนได้ฟังมาจากผู้ใหญ่ เล่า ส่วนปัญญา คือความรอบรู้เป็นเร่ืองของความคิดค้น เป็นเรื่องของ
การทางานทางใจ มิใช่เชื่อตามที่เขาว่าอย่างเดียว อย่างเช่นเรื่องยักษ์ ประชมุ กันท่ีวา่ นี้ พวกแรงศรทั ธามีแต่เชื่อว่าเป็นจริงตามนั้น แต่พวกแรง ปัญญาจะฟังแล้วสอบย้อนไปหาเหตุของเร่ือง คือตั้งคาถามข้ึนในใจว่า สมเหตุสมผลหรือไม่ เม่ือคิดไปแล้วจึงจะรู้ข้ึนมาว่า ยักษ์วัดเหล่านั้นแต่ ละตวั มันทาด้วยอิฐด้วยปูน เดินออกจากที่ไมไ่ ดถ้ ึงเดินได้ก็ลงเรือจ้างไม่ได้ ล่มหมด แล้วท่ีมาชวนยักษ์วัดโพธ์ิข้ึนสามล้อมาวัดพระแก้วก็เหมือนกัน สามล้อพังหมด เมื่อสอบย้อนไปหาเหตุอย่างนี้แล้ว จะเกิดความรู้จริง ขน้ึ มาวา่ เรอ่ื งน้ันเหลวไหล ความรู้จรงิ น้เี รยี กวา่ ปญั ญา รวมความว่าศรัทธา เกิดจากส่ิงที่ได้เห็นได้ฟังส่วนปัญญาเกิดจากการ คดิ ค้นจากเหตุไปหาผล และจากผลไปหาเหตุ เพราะฉะนั้นอาหารใจของคนทัง้ สองฝา่ ย น้จี งึ ตา่ งกนั พวกศรัทธามคี วามลกึ ลับเป็นอาหารใจ พวกปญั ญามเี หตผุ ลเปน็ อาหารใจ พวกแรงศรัทธา จะพยายามคดิ ว่าสงิ่ ตา่ ง ๆ เป็นเรือ่ งลกึ ลบั ไปเสียทัง้ หมด เห็นคนเกดิ มาก็คิดวา่ มีผ้ลู กึ ลับทาใหเ้ กดิ ถึงแมจ้ ะเหน็ อยู่ชัด ๆ ว่าพอ่ กบั แม่เป็นคนทาให้ เกิด ก็พยายามคิดต่อไปว่าไม่ใช่ ต้องมีท่านผู้ใดผู้หน่ึง ซ่ึงไม่มีใครเคยพบเคยเห็นส่งมา เกิด เห็นคนตายก็พยายามคิดว่ามที ่านผู้ลกึ ลับบัญชาให้ต้องตาย ทัง้ ๆ ที่เห็นอยู่ว่าคน นั้นถูกรถชนตาย ก็ไม่ยอมรับเหตุที่เห็นชัด ๆ แต่สร้างเหตุขึ้นใหม่ว่ามีอานาจลึกลับมา ทาให้ตาย พวกทต่ี กอยู่ในกระแสศรัทธาพลังเป็นอย่างนี้ คือมีความลกึ ลบั เป็นอาหารใจ มนษุ ยด์ ้วยกันจะดีสกั ปานใด ส่วนกระจ่างแจ้งมีเหตมุ ผี ลเท่าไหร่ก็ไมอ่ ยากสนใจ เพราะ ใจจริงไปเอร็ดอร่อยกับความลึกลับ และโดยนัยนี้คนศรัทธาพลังจึงไม่ชอบเหตุผล ซึ่ง เป็นการตรงกันข้ามกับพวกปัญญาพลัง หากจะเปรียบคนทั้งสองที่ชอบคนละอย่าง ก็ เหมือนกะว่า เราจุดตะเกียงไว้ดวงหนึ่งในเวลากลางคืน คนพวกหน่ึงมองมาทางแสง สว่างสนุกดี เห็นโน่นเหน็ นช่ี ัดวา่ อะไร เป็นอะไร จงึ น่ังหันหน้ามาทางตะเกียง สว่ นอีก พวกหน่ึงสนุกกับความมืด น่ังมองความมืดแล้วก็นึกวาดภาพต่าง ๆ ขึ้นในความมืด จริงไม่จรงิ ไม่สาคญั เพราะฉะนั้นคนพวกน้ีจึงน่ังหันหลังให้ตะเกียง แล้วก็หันหน้าไปหา ความมดื วาดภาพในความมดื ข้นึ รักเองกลวั เอง ตามเรอ่ื งของคนแรงศรทั ธา และเรื่องของคนที่ตกอยู่ในพลังศรัทธาอย่างเดียวมักจะมีความรู้สึกอย่ าง หน่ึงคือ ไม่ชอบให้ใครวิจารณ์ส่ิงท่ีตนเช่ือ อยากจะปล่อยให้ลึกลับอยู่อย่างนั้น ใครจะ มาวิจารณ์ให้กระจ่างแจ้งไม่ชอบ แต่ว่าตนเองชอบไปวิจารณ์ของคนอื่น มักจะมีความ คดิ เหน็ วา่ ฝ่ายทีช่ อบความกระจ่างแจง้ คอื ฝ่ายใชพ้ ลังปัญญาเป็นคนโง่เขลา เพราะฉะนั้น คนสองพวกน้ีจึงมักจะขัดกันด้วยความเห็น ฝา่ ยศรทั ธาพลังก็ว่าเชอื่ สิง่ ลึกลบั ดกี ว่า ฝา่ ย ปัญญาพลังก็ว่าเช่ือสิ่งท่ีเราสามารถรู้เห็นและพิสูจน์ได้ดีว่า ทั้งน้ีทั้งน้ันก็เพราะต่างคน ต่างชอบ ที่ว่าแล้วว่าอาหารใจตรงกัน ถ้าต่างคนต่างชอบต่างคนต่างกินของตนก็ไม่
เปน็ ไร แต่ถ้าใครลุอานาจแก่กเิ ลส อยากดีอยากเด่นเกนิ ไป กห็ าเรื่องรา้ ยทับถมอกี ฝา่ ย หนึ่งจนถึงเสยี กริ ยิ ามารยาทขาดสมบัตผิ ้ดู กี ม็ ี ทรรศนะทางพทุ ธศาสนาเหน็ วา่ ท้งั ศรัทธาทงั้ ปญั ญา จะต้องปรองดองกัน คือความเช่ือน่ะดีแต่ต้องเชื่อด้วยปัญญา ไม่ใช่ก้ม หน้าก้มตาเช่ืออย่างเดียว ต้องวิจารณ์เหตุผลควบกันไปด้วย การวิจารณ์ เหตุผลนี้ถือหลักสาคัญของผู้ปฏิบัติพุทธศาสนา ตรงกันข้ามพุทธศาสนา ตาหนกิ ารเชอื่ โดยไม่พสิ จู น์ความจริงและตาหนิอกี หลายเทา่ สาหรบั คนท่ีใช้ ความเชื่อของตนไปปรับปราคนอ่ืนโดยไม่คานึงถึงเหตุผล คนตาบอดนั้น โดยทั่วไปแล้วเป็นคนท่ีน่าสงสาร แต่ถ้าตาบอดชอบสอดตาดีเถียงข้าง ๆ คู ๆ ก็กลายเป็นคนนา่ สมเพชแทนทจี่ ะนา่ สงสาร และนา่ ตาหนิ ทาไมข้าพเจ้าพูดถึงอาการของคนอเหตุกทิฐิจึงถลามาถึงเร่ืองศรัทธาและ ปัญญา มันเกยี่ วกนั ยังไง มีมนั มีทเี่ กย่ี ว เด๋ียวจะพดู ให้ฟัง คอื คนทีใ่ จมอี เหตุผลกทิฐนิ ้ัน จะเป็นคนท่ีไม่ชอบใช้ปัญญา เพราะการใช้ปัญญาเป็นเรื่องของเหตุ คนรักเหตุผล เท่านั้นทช่ี อบใชป้ ัญญา ทีน้ีคนอเหตุกทิฐินนั้ ทิ้งเหตุเสียแล้ว ไม่สนใจกับเหตุ ไม่อยากรู้ เหตุอ้างว่าไม่มีเหตุ เม่ือตัดเหตุออกไปเสียแล้วก็หมายความว่าไม่ต้องใช้ปัญญา และ เพราะค่าที่ตนไม่ใช่ปัญญาจิตก็แสดงออกทางเดียวคือทางศรัทธา จาไว้ว่าจิตของคนเรา นี้ก็จะเปรียบก็เหมือนไฟฉายเดินทาง คือมีปลายอยู่สองทาง ปลายข้างหนึ่งมีแสงพุ่ง ออกมาได้ ปลายข้างหน่ึงไม่มีแสง สภาพของใจก็คล้ายกัน ข้างหน่ึงปัญญา ข้างหนึ่ง ศรัทธา ปัญญามีแสงเม่ือใช้แล้วทาให้เห็นความจริง ข้างหนึ่งศรัทธา ปัญญามีแสงเม่ือ ใชแ้ ลว้ ทาให้เหน็ ความจริง ส่วนศรัทธาไมม่ แี สง ศรทั ธาจึงใชพ้ ิสูจน์ความจรงิ ไม่ได้สดุ อยู่ แค่ความเชื่อ คนมิจฉาทิฐิประเภทอเหตุกะไป ๆ ก็จะกลายเป็นคนไม่ใช้ปัญญา อาศัย แต่ความเช่ือ เมื่อมผี ลสิ่งใดปรากฏขึ้นกเ็ หว่ียงออกนอกเหตุเสีย ของง่าย ๆ ธรรมดา ๆ แท้ ๆ ก็ทาให้มันลึกลับเอาจนได้ ขับรถไม่ระวังรถชนกันยับเยิน แทนท่ีจะบอกว่าเกิด จากความประมาทของตนเอง เปล่า ! นึกว่าผีทุ่งผีป่าเจ้าเขาเจ้าทะเลมาทา คือ บดิ เบือนให้ลึกลับเอาจนได้ เพราะฉะน้นั คนอเหตุกทิฐจิ งึ คดิ ขา้ งงมงาย ปัญญามแี ต่ไม่ ใช้ เหมือนคนมีตาแค่หลับตาเดิน ผลที่สุดก็จะถึงความวิบัติเท่าน้ัน นี้ชี้ให้เห็นจุดวิบัติ ในชาตินี้ เพราะคนประเภทนี้ไม่มีโอกาสแก้ที่เหตุได้เลย จึงจะคิดทาอะไร ๆ ไปเท่าไร ๆ ก็ไมต่ รงจดุ คือไมถ่ ูกเหตุ เมือ่ ไม่ถกู เหตุก็แกไ้ มต่ ก จะวิบตั หิ รอื ไม่วบิ ัตกิ ็ใหค้ ิดดู ลักษณะที่สอง คือคนอเหตุกทิฐิ จะเป็นคนท่ีชอบทาอะไรตามอาเภอใจ คือไม่ทาตามเหตุผลแต่ทาท่ีใจชอบเพราะอะไรเขาจึงไม่ทาตามเหตุผล ? ก็เพราะเขา
ปฏิเสธไว้ในใจเสียแล้วว่าอะไร ๆ ไม่มีเหตุผล คนประเภทนี้ยุ่งมาก ไม่ใช่ยุ่งแต่ตัว แต่ ทาให้หม่คู ณะพวกพ้องยุง่ ไปดว้ ย จะยกตัวอย่างใหด้ ู ๑. ในทางทาดี คนอเหตุกทิฐิไม่ชอบทาเพราะไม่เชื่อว่าความดีท่ีทาน้ัน จะเป็นเหตุให้เกิดผลดีในวันหน้า เมื่อตัวไม่ทาดีแต่ว่าอยากได้ผลดีแล้วจะทายังไง คือ ผลน่ะอยากได้ เขามียศอยากมี เขาได้เงินเดือนข้ึนอยากได้กะเขาท่านผู้ฟังช่วยนึกทีว่า คนไม่ทาเหตุแต่อยากได้ผล ทาอย่างไรจึงจะได้ ? ก็เห็นมีอยู่สองวิธี คือขอเอากับโกง เอาวิ่งเท่ียวขอเอาด้ือ ๆ ถ้าไม่ได้ก็ใช้วิธียักยอกเอาผลงานที่คนอื่นทาไว้ สังคมใดมีคน ประเภทนจี้ ะยุ่งหรือไมย่ งุ่ โปรดคดิ ดเู อง ๒. ในทางละความช่ัว ใครแนะนาให้เลิกละความประพฤติไม่ดีเสีย ให้ เวน้ บาปกรรมเสยี ไม่อยากละไม่อยากเว้น ท่ีไม่อยากละกเ็ พราะไม่ยอมรับวา่ ความประ พฤตช่ัวจะเป็นเหตุให้ตนได้รับความเดือดร้อนภายหลัง ครัง้ ทากรรมช่ัวไว้ ไปถึงจังหวะ ที่กรรมช่ัวเกิดจะให้ผลข้ึนมา ก็เท่ียวว่ิงวุ่นจะไม่ยอมรับผลกรรม นี่ก็ยุ่ง, จะขอให้พระ ช่วยบ้าง ให้คนช่วยบ้าง ให้เทวดาอารักษ์ช่วยบ้าง ผลที่สุดท่านก็ช่วยเราไม่ได้ ท่าน ช่วยได้แตห่ า้ มไม่ใหเ้ รากินสะหลอด แตถ่ ้าใครกินสะหลอดแลว้ จะให้ท่านช่วยไมไ่ ด้ ตอ้ ง ว่ิงเข้าส้วม ท่านช่วยไม่ได้ ครั้งท่านช่วยไม่ได้ก็โมโห พาลหาว่าพระไม่ได้เรื่อง ผู้ใหญ่ ไม่ไดค้ วาม เทวดาไมไ่ ดส้ ติ น่ีคือทางออกของคนมจิ ฉาทฐิ ิ ย่งุ หรือไม่ย่งุ คิดดูเอาเองและ จะวบิ ตั หิ รอื ไมก่ ค็ ิดดไู ด้ ๓. คนอเหตุกทิฐิ มักจะตีราคาของผลไม้ต่าง ๆ ผิดไป ข้อนี้ก็ยุ่งมากคือ ทาอะไรพูดอะไรไม่คิดถึงเหตุ เล่นกับคนไม่มีเหตุยุ่งท้ังขึ้นท้ังล่อง ทหารไปรับทัพมา แทบจะเอาชีวติ ไม่รอด ครั้นชนะมาคนอเหตุกะแทนทจี่ ะชมวา่ ทหารเก่ง กลับเห็นไปว่า เพราะข้าศึกไม่เอาจริง ทหารกเ็ หมือนกัน คนท่ีอยทู่ างแนวหลงั อตุ ส่าหอ์ ดตาหลับขับตา นอนเฝ้าบ้านเฝ้าเมืองให้ ทาไร่ไถนาส่งข้าวปลาไปเลี้ยงทหารสายตัวแทบขาด ทหารที่ เป็นอเหตุกทิฐิแทนที่จะรู้น้าใจพวกแนวหลัง กก็ ลับเห็นไปว่าเขาไม่ได้ช่วยอะไร เล่นกับ คนอเหตกุ ทฐิ แิ ลว้ เลน่ ยากจริง ๆ พาลจะเป็นคนเนรคณุ เอาง่าย ๆ ท่ีพูดมาท้ังหมดนี้ ไม่ใช่พูดให้ไปเท่ียวหัวเราะเยาะ คนอนื่ แต่พูดเพ่ือให้เหน็ วา่ ถ้าตวั เราเกิดมิจฉาทิฐิชนิดนี้ข้ึนมาแลว้ วิบัติ จริงตามท่ีพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไรเท่านั้น เท่ากับเล่าให้ฟังว่า ถ้าเชื้อ โรคชนิดน้ีเกาะตัวเข้าแล้ว จะทาให้เราเจ็บปวดล้มตายได้อย่างไรเท่าน้ัน ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นเลย
นัตถกิ ทิฐ มิจฉาทิฐิลักษณะที่สาม เป็นประเภทที่ร้ายแรงท่ีสุด เรียกว่า นัตถิกทิฐิ เร่ืองน้ีไม่ต้องอธิบายมาก เพราะคนเห็นผิดประเภทน้ี ก็คือคนเห็นว่าอะไร ๆ ก็ไม่มี นั่นเอง พ่อแม่ก็ไม่มีบุญคุณแก่ลูก ลูกก็ไม่มีหนี้บุญคุณกับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ก็ไม่ใช่ คนมีคุณแก่ศิษย์ ศิษย์ก็ไม่มีเร่ืองจะต้องนับถือครูบาอาจารย์ บุญก็ไม่มี บาปก็ไม่มี ชว่ ยชีวิตคนอ่ืนก็ไม่ได้บญุ ฆา่ คนตายก็ไม่มบี าป ปฏิปทาของคนพวกนก้ี ็คอื อยไู่ ปเรอ่ื ย ๆ ทาอะไรตามอาเภอใจ ไมเ่ หน็ คณุ ค่าของศลี ธรรมวัฒนธรรมทัง้ สน้ิ เพียงแต่รู้สันดานของคนมิจฉาทิฐิประเภทน้ี ทุกคนก็จะ มองเห็นโดยตลอดแล้วว่า เขาจะเป็นคนวิบัติ และทาให้สังคมวิบัติ อย่างไรบ้าง. วิบัติขอ้ ท่ี ๔ อาชีววบิ ตั ิ การบรรยายวันน้ี คงจะต้องต่อเร่ืองชีวิตวิบัติซ่ึงเป็นเร่ืองที่ค้างมา และ ค่อนข้างจะกระปริด กระปรอยในตอนท้ายนี้ อยากจะอธิบายเสียให้จบในวันนี้ หาก เป็นไปได้ มิฉะน้ันก็จะประปริดประปรอยต่อไปอีกถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพราะข้าพเจ้า จะเดินทางไปตา่ งประเทศในวันศุกรม์ ะรืนนี้ เพราะฉะนั้นพูดกันเสยี ใหจ้ บไปตอนหน่ึงกด็ ี เหมือนกันกลบั มาจะได้พูดเรอื่ งใหมส่ ่กู ันฟงั ต่อไป ทางวิบัติทางท่ี ๔ คือ อาชีววิบัติ แปลว่า เสียทางอาชีพ พูดง่าย ๆ คอื วิบัติทางการทามาหากิน เรอื่ งนมี้ ีแงท่ ่ีจะต้องอธบิ ายกวา้ งขวางมาก เรอ่ื งอาชีพวิบัติ น้ี ถ้าจับประเด็นไม่ได้ก็ทาความเข้าใจยาก คนพูดก็จะเลอะ คนฟังก็จะเลอะ เพราะ ของมันใหญ่จับยาก เหมือนเราจะจับม้าจับช้าง ตัวมันใหญ่ จะอุ้มจะกอดมันก็ไม่ได้ ไมเ่ หมือนหมาเหมือนแมว จับสัตว์ใหญ่ ๆ จะตอ้ งหาที่จับให้เหมาะไม่อย่างน้ันจับไม่อยู่ หลุดมือเสียเวลาเปล่า เร่ืองอาชีพวิบัติน่ีก็เหมือนกัน กว้างมาก เพียงแต่คาว่า อาชีพ คาเดียว ยังหาขอบเขตยาก ข้าพเจ้าเคยไปประชุมอภิปรายกันมาแล้วกับท่านผู้รู้หลัก นักปราชญ์อกี หลายท่าน โดนแตค่ าว่า “อาชพี ” คาเดยี ว หมดเวลาตั้งช่วั โมง ๆ ยงั ไม่ คอ่ ยไดค้ วามแน่วา่ หมายถึงแค่ไหน วันน้ีเราตั้งประเด็นพูดกนั ในทางของจรงิ ดีกวา่ คือ พูดเอาตอนท่ีเราจะปฏิบัติจะทากัน ไม่ใช่เอาความรู้มาเขย่าเล่น วันนี้ควรจะทาความ เข้าใจกันใน ๓ ประเด็น คือ :
๑. คาว่า อาชพี หมายถึงอะไร ๒. อาชพี วบิ ัติ หมายความวา่ อย่างไร และ ๓. จะแก้ปญั หาเร่อื งนอ้ี ยา่ งไร ประเด็นแรก คือความหมายคาว่า อาชีพ ถ้าจะพูดในทางศัพท์แสลงกัน กไ็ ด้ สนุกดีเหมือนกัน แตส่ นกุ ในวงจากัด คอื พดู ถึงรากศพั ท์ มลู ศพั ท์ มนั มาอย่างน้ัน อย่างน้ี แต่ข้าพเจ้าคิดว่าป่วยการ ลัดเข้าหาธงของเราเลย คาว่า อาชีพ ๆ น้ี หมายถึง “การทามาหากิน” การทามาหากินนน่ั เอง เรยี กว่า อาชพี คนเรามีชีวิต คือมีความเป็นอยู่ คือร่างกายของเรานี่ มันสด มันเป็น เรยี กวา่ มชี วี ิต ถ้ามันสูญเสยี ความสด ความเปน็ ไป ก็เรยี กวา่ เสยี ชวี ิต หรือตาย ตายก็ คือไม่เป็นน่ันเอง ตัวคนเราน้ีอาจเป็นก็ได้ อาจตายก็ได้ คือมันไปได้ ๒ ทาง เหมือน เรานั่งอยู่บนก่ิงไม้ อาจอยู่บนต้นไม้ก็ได้ หรืออาจตกลงมาก็ได้ ได้ท้ังสองทางตัวเราก็ เหมือนกัน อาจเป็นก็ได้ อาจตายก็ได้ แต่ที่น้ีใจของเรานี่ มันไม่อยากตาย แต่อยาก เป็น ยิ่งเป็นอยู่นาน ๆ ก็ยิ่งชอบ เวลาให้ศีลให้พรกันก็บอกว่า ให้มีอายุมั่นยืน คือ หมายความว่า ให้เป็นอยู่นาน ๆ ไม่มีใครอยากเลิกเป็น เว้นแต่คนท่ีความคิดวิปริต อยากตาย แต่คนท่ีอยากตายแล้วฆ่าตัวตายน้ัน ถ้าดูกันถึงจิตใจส่วนลึกของเขาแล้ว ก็ อยากเป็นเหมือนกัน แต่ว่าเป็นอยู่ชนิดน้ีไม่ไหวจึงอยากรีบหนีไปในชาติหน้า เลยต้อง ฆ่าตัวตายเหมือนคนที่ไปรักผู้หญิงอ่ืนไว้ แล้วมาพาลทะเลาะหาเรื่องหย่ากับเมียตัว ดู เผิน ๆ กเ็ หมือนคนไม่อยากมีเมียคาก็ท้าหย่า สองคาก็ท้าหย่า แต่ดูให้ดีแล้ว ไมใ่ ช่คน ไมอ่ ยากมีเมีย ที่หย่าก็หยา่ เพราะอยากมนี ่ันเอง อยากจะทิ้งตรอกน้ี หนไี ปมตี รอกโน้น ต่างหาก คนฆ่าตัวตายก็เหมือนกัน ไม่ใช่ไม่อยากเป็น อยากเหมือนกันแต่อยากรีบไป เป็นข้างหน้าโน้น รวมความโดยเบด็ เสร็จเด็ดขายแล้ว ทั่วทุกตัวสัตว์ล้วนแต่อยากให้ตัว เป็น คาว่า อยากเป็น ๆ นี่แหละ ถ้าพูดคาศัพท์ให้โก้ ๆ หน่อยก็พูดว่า อยากมีชีวิต ๆ ก็คอื อยากเปน็ น่งั เอง พระพทุ ธเจา้ ตรัสไวไ้ มผ่ ิดเลยวา่ “ชีวิตุกาโม ว” แปลตรง ๆ “ใคร ๆ ก็อยากเป็นอย่างนั้นแหละ” ขอ้ นี้เป็น “สัจธรรม” ค้านไม่ได้ถ้าใครค้านว่าไม่ จริง ก็ลอยจับอดุ จมกู ดู จะดิ้นหรือไม่? ตกลงว่าระหวา่ ง เป็น กบั ตาย นนั้ คนเราชอบข้างเปน็ ทีน้ตี วั เราท่ีมนั จะเป็นอยไู่ ด้ มันต้องเลี้ยงมนั จงึ เปน็ ตวั เรานี้ จะวา่ เป็นตวั ชนิดดีแท้ก็ไม่ได้เกิดมาเป็นตัวเสร็จแล้ว ก็ยังไม่แล้ว ยังต้องเลี้ยง ถ้าไม่เล้ียงมันก็ตาย เพราะฉะน้นั ความทีเ่ ป็นอยู่น่ียากกวา่ ตาย เพราะเราตอ้ งฝืนมนั ไว้ ขา้ พเจา้ พูดเสมอว่า
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137