Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คำพระ (พ.อ.ปิ่น มุุทุกันต์)

คำพระ (พ.อ.ปิ่น มุุทุกันต์)

Published by 100p.pin2562, 2019-11-17 06:45:59

Description: คำพระ (พ.อ.ปิ่น มุุทุกันต์)

Search

Read the Text Version

50 (๑๑๑) อธมโฺ ม นิรย เนติ ธมโฺ ม ปาเปติ สุคตึ. อธรรมยอ่ มนาํ ไปสู่นรก, ธรรมยอ่ มนําไปสสู่ วรรค์ (ธ.บ.๑) โอกาสทีค่ วรใช้ :- เม่ือจะแสดงโทษของความชวั่ และคุณความดี นิทาน :- ได้มีพระเถระรูปหน่ึง ชื่อจักขุบาล ออกบวชในศาสนาแล้ว ต้ังใจทําความเพียรอย่าง จริงจังจนในทส่ี ุดเกิดเจบ็ ตารกั ษาไม่หาย จึงตาบอดแต่ในวันเดียวกันนั้นท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ความรู้เร่ืองน้ีเป็นที่รู้กันแพร่หลาย พระพุทธเจ้าจึงตรัสเล่าถึงบุรพกรรมของพระเถระว่า ท่านเคยทํา บาปกรรมมา คือชาติก่อนเป็นหมอรักษาตา คร้ันไปรักษาให้ผู้หญิงยากจนคนหนึ่ง ซึ่งเขาสัญญาว่าถ้า รักษาหายจะยกลูกสาวให้หมอ และตัวเองก็จะไปทํางานบ้านให้ด้วย แต่คร้ันหมอรักษาหายแล้ว คนไข้ เกดิ กลบั ใจจะไม่ยอมทาํ ตามสญั ญา หมอกเ็ ลยใสย่ าตาให้สง่ ทา้ ย ทําใหต้ าบอดไปเลย ข้อน้เี ป็นบาปกรรม ท่ีท่านทําไว้ มาภายหลังแม้ว่าท่านได้นํากุศลจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่บาปกรรมก็ยังให้ผลอยู่ คํา พระขา้ งต้นน้ันเป็นการสมอา้ งยืนยันในเรื่องนี้ ความหมาย :-คาํ วา่ อธรรม หมายถงึ บาปกรรมทกุ อยา่ ง ส่วนธรรม หมายถึง กศุ ลกรรม (ความดี) ทุกอยา่ ง ทว่ี า่ อธรรมนาํ ไปสู่นรกนัน้ คอื ทาํ ใหผ้ ูน้ นั้ ตกไปสู่ฐานะลาํ บาก (นิรย :- แปลวา่ ไร้ความเจริญ)เช่น ขี้โรค ต้องโทษ ยากจน ฯลฯ ส่วนธรรมท่ีว่านําไปสู่สวรรค์ หมายถึงความดีย่อมหนุนผู้ทําให้มีความสุข ความเจริญ ทั้งน้ีอาจหมายถึง นรก-สวรรค์ เมื่อตายแล้วก็ได้ แต่มีข้อชี้ขาดอยู่ว่าความชั่วและความดี จะตอ้ งให้ผลทง้ั สองอยา่ งแนน่ อน (๑๑๒) สโยชน สพพฺ มตกิ ฺกกเมยฺย. บคุ คลพึงละสญั โยชนท์ ั้งปวงเสีย (ธ.บ. ๖) โอกาสที่ควรใช้ :- แสดงปฏิปทาแหง่ ความหลดุ พน้ นทิ าน :- พระนางโรหณิ ี พระญาติของพระพุทธเจ้าเกิดโรคผิวหนังเป็นปุมเป็นปม และพุพองท่ัว พระกาย จนไม่อาจเสด็จออกนอกตาํ หนกั ได้เพราะทรงละอายตอ่ สาธารณชนภายหลังพระอนุรุธ ซ่ึงเป็น พระญาติและพระอรหันต์ผ้มู ตี าทิพย์ได้แนะนําพระนางว่าให้เอาเคร่ืองแต่งพระองค์ไปจําหน่ายเสีย ได้ เงินเท่าไรเอาไปสร้างหอฉันถวายสงฆ์ แล้วป๎ดกวาดหอฉันน้ันด้วยพระองค์เองทุกวัน โรคจึงจะหาย เพราะโรคของพระนางเป็นโรคกรรมโรคเวร พระนางทรงทาํ ตามคาํ แนะนาํ ไมช่ ้าโรคก็หาย เป็นปกติ ใน วันฉลองหอฉันน้ันได้ทูลเชิญ พระศาสดา มาเสวยภัตตาหารด้วย พระศาสดาได้ตรัส ถึงบุรพกรรมของ พระนางว่า ชาตกิ ่อนพระนางเปน็ พระอัครมเหสีของพระราชาองคห์ น่งึ

51 ไดท้ รงหงึ นางฟอู นในราชสํานกั ผู้มเี รอื นร่างสวยงาม และไดท้ ําลายด้วยวิธีลอบเอาขุยคันของผลเต่าร้าง โปรยไว้ตามเสื้อผ้าและท่ีนอนของเธอ ทําให้เธอคันและเกาจนพุพองไปทั้งตัว หมดอาชีพและความสุข ครั้นแลว้ พระศาสดาได้ตรสั “คาํ พระ” ข้างบนน้ี ความหมาย :- สญั โยชน์คือกิเลสเครื่องผูกมัดสัตว์โลกไว้ในสงสารทุกข์มี ๑๐ อย่าง คือ ๑. กาม ราคะ กาํ หนัดในกาม ๒. ปฏฆิ ะ ความขัดเคอื ง ๓. มานะถือตัว ๔.ทิฏฐิ ความเห็นผิด ๕. วิจิกิจฉา ความ สงสัย ๖. สีลัพพตปรามาส การลูบคลําศีลวัตร ๗. ภวราคะ พอใจในภพ ๘. อิสสา ความริษยา ๙. มจั ฉริย ความหวงแหน ๑๐. อวชิ ชา ความไมร่ ู้ (๑๑๓) มลา เว ปาปกา ธมฺมา ธรรมอนั ลามกทง้ั หลายเป็นมลทนิ แท้ (ธ.บ. ๗) โอกาสทคี่ วรใช้ :- อบรมความประพฤติ นทิ าน :- “คําพระ” ขอ้ น้พี ระองค์ทรงแสดงแกช่ ายคนหนึ่ง ซึ่งไปเฝูาพระองค์ที่วัดเวฬุวันเมือง ราชคฤห์ ความหมาย :- คําว่า “ธรรม” ในพระพุทธวจนะบทน้ี ถ้าจะแปลให้ตรงตัวต้องแปลว่า “เรื่อง” มิได้หมายถงึ ธรรมะ ซ่ึงเป็นความดงี าม (เพราะคาํ วา่ ธรรม มคี วามหมายกว้างแคบหลายสถาน) ธรรมอันลามก ก็คือเรื่องท่ีไม่ดีทุกอย่างซึ่งถ้าใครประพฤติเช่นน้ันแล้ว ทําให้วิญํูชนท้ังหลาย ตาํ หนติ ิเตยี น เช่น ความเนรคณุ ผู้มคี ุณ การทําผิดประเวณี ความโหดร้าย ฯลฯ ฉะนั้น คนท่ีหวังจะสร้าง เกยี รติยศ ช่ือเสียง ควรละเวน้ ธรรมอนั ลามกเสีย ในพระไตรปิฎก เล่ม ๓๕ : พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมลามกไว้ ๙ อย่าง ซึ่งเป็นมลทินแก่ผู้ ประพฤติ คอื ๑. ความขีโ้ กรธ ๒. ความลบหลูค่ ุณทา่ น ๓. ความรษิ ยา ๔. ความตระหน่ี ๕. ความเป็นคน เจา้ เลห่ ์ (มายา) ๖. ความโอ้อวด ๗. พูดปด ๘. ความปรารถนาลามก และ ๙. ความเห็นผิด (๑๑๔) คตทธฺ โิ น วิโสกสฺส วปิ ปฺ มตุ ตฺ สสฺ สพพฺ ธิ สพฺพคนถฺ ปฺปหีนสฺส ปรฬิ าโห น วชิ ชฺ ต.ิ ความเรา่ รอ้ นยอ่ มไม่มีแก่ ทา่ นผู้ มีทางไกลอนั ถงึ แล้ว หมดความโศกแลว้ พน้ จากกิเลสเคร่ืองร้อย รัดทุกชนิดแลว้ (ธ.บ.๔) โอกาสที่ควรใช้ :- บรรยายคุณลักษณะของรพระอรหันต์ และอาจน้อมมาเป็นแนวทางปฏิบัติ เพื่อความสุขประจําวนั ของเราได้ด้วย นิทาน :- พระเทวทตั ผู้เป็นภกิ ษอุ นั ธพาลมใี จกําเริบอยากเป็นพระศาสดาเสียเอง จึงพยายามปลง พระชนมข์ องพระพทุ ธเจา้ หลายคร้งั มาในครัง้ นัน้ ไดก้ ลงิ้ ก้อนหินจากยอดเขาคชิ ฌกูฏลงใส่พระพุทธองค์ แต่พลาดไป คงมแี ตส่ ะเก็ดหนิ ก้อนหน่ึงกระเด็นไปกระทบพระบาทของพระองค์ ทาํ ใหพ้ ระโลหิตห้อและ บงั เกิดทกุ ขเวทนา พระสงฆไ์ ดท้ ลู เชญิ เสดจ็ ไปรับการพยาบาลจากสถานพยาบาลของหมอชีวกโกมารภัฏ หมอชีวกไดถ้ วายยาปดิ แผลชนิดแรงไว้ แลว้ ทูลลา

52 ไปเยีย่ มคนไขน้ อกเมือง ก่อนไปไดก้ ราบทลู วา่ ตนจะกลับมาปิดยาเอง ขอพระองค์อย่าเพ่ิงทรงทําอย่าง หนง่ึ อย่างใดกับยาน้นั แตค่ ร้นั ไปเย่ียมคนไข้แลว้ เกดิ กลบั ไม่ทนั เวลาประตูเมืองปิด ต่อรุ่งเช้าจึงรีบไปเฝูา และกราบทลู ถามวา่ ทรงร้อนมากไหม พระพทุ ธเจา้ จึงตรสั ตอบเขาด้วย “คาํ พระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย :- คําว่า “ทางไกล” หมายถึงสังสารวัฏ ซ่ึงสัตว์โลกต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่นาน นัก พระอรหนั ต์ข้ามพ้นสงสารแล้ว ท่านเรียกว่ามีทางไกลอันถึงแล้ว ส่วนกิเลสเคร่ืองร้อยรัด หมายถึง สังโยชน์ ๑๐. : สักกายทิฏฐิ เห็นว่ามีตัวตน, วิจิกิจฉา ลังเลใจ, สีลัพพจปรามาส ลูบคลําศีลวัตร, กาม ราคะ กาํ หนดั ในกาม, ปฏิฆะ ขัดใจ, รูปราคะ, กําหนัดในรูป, อรูปราคะ กําหนัดในอรูป, มานะ ถือตัว, อุทสจั จะ คดิ พลา่ น, อวชิ า ไมร่ ้จู รงิ . (๑๑๕) ยถาบี รหโท คมฺภีโร วปิ ฺปสนโฺ น อนาวโิ ล เอว ธมมฺ านิ สุตฺวาน วิปฺปสีทนฺติ ปณฺฑิตา บณั ฑติ ได้ฟ๎งธรรมแลว้ ยอ่ มผอ่ งใส เหมอื นหว้ งนา้ํ ลกึ ใสไมข่ นุ่ มวั ฉนั นน้ั (ธ.บ.๔) โอกาสทค่ี วรใช้ :- สรรเสริญคนทมี่ ีอปุ นิสยั เป็นบณั ฑติ วา่ เป็นนกั ฟง๎ ทีด่ ี นทิ าน :- กาณา หญิงสาวผู้น่าสงสาร ได้เข้าสู่พิธีวิวาห์กับชายหนุ่มแล้ว แต่ยังรอฤกษ์ส่งตัวตาม ประเพณี ฤกษด์ เี ช่นน้นั กม็ าถงึ หลายคร้ังแล้วหากแตเ่ ธอกพ็ ลาดการส่งตวั ไปเสียทกุ คราว เพราะทกุ ครั้งท่ี มารดาของเธอเตรยี มขนมขันหมากเสร็จแล้ว ได้มีพระภิกษุสี่รูปมายืนบิณฑบาตท่ีหน้าบ้าน เป็นเหตุให้ มารดาตอ้ งเอาขนมท่ีเตรียมไวใ้ สบ่ าตรพระไปเสยี ความจริงกาณาเองก็เป็นคนใจบุญสุนทานอยู่ แต่เม่ือ ต้องพลาดโอกาสอนั ดถี ึงสี่คร้งั สหี่ น ที่ร้ายท่ีสุดเธอได้ข่าวว่าฝุายเจ้าบ่าวไม่อาจอดทนรอเธอได้ จึงไปติด พนั หญงิ อื่นเสยี แลว้ ดว้ ย กาณาแสนจะน้อยใจในวาสนาของตวั เอง เลยพาลโกรธเอาพระสี่รูปนั้นจึงด่า เอาว่า พระทําให้การครองเรือนของตนฉิบหาย พระพุทธเจ้าทรงทราบเหตุจึงเสด็จไปที่บ้านน้ัน ทรง สอบสวนชผี้ ดิ ช้ีถกู จนกาณาเกดิ ความเล่อื มใส ได้บรรลุโสดาป๎ตติผล พระคาถาข้างบนนี้ พระพุทธองค์ ตรัสในโอกาสนนั้ ความหมาย :- หมายความคนที่เป็นบัณฑิตน้ัน แม้จิตใจขุ่นมัวอยู่แล้วได้ฟ๎งธรรมก็ผ่องใส ตรง ขา้ มกบั คนพาล ซ่งึ มกั จะพโิ รธโกรธเคืองผแู้ สดงเหตผุ ดิ ช้ีผดิ ชีถ้ ูก (๑๑๖) สโุ ข ปญฺ ฺญสสฺ อจุ ฺจโย การสะสมบญุ ทา้ ให้เกิดสุข (ธ.บ. ๔) โอกาสที่ควรใช:้ - ชักจงู ใจให้คนทาํ บุญ นทิ าน:- ท่านพระมหากัสสป เปน็ พระสาวกผเู้ ครง่ ในการรักษาธุดงค์ และการประพฤติตัวให้เป็น ตัวอย่างของพระสงฆร์ ุ่นหลัง ครงั้ หน่งึ ทา่ นพักอย่ทู ถ่ี าํ้ ปิปผลิ รสู้ ึกแปลกใจท่ีว่า พอตื่นเช้าข้ึนมาทีไร ก็เห็น บริขารของทา่ นถูกจัดวางไวอ้ ยา่ งเรียบร้อย บริเวณรอบๆ กุฏิท่ีพกั ก็มีการป๎ดกวาดไว้แลว้ แตท่ ่านก็นกึ ว่าคง จะเป็นพระหรอื สามเณรมาปฏบิ ัติทา่ น ครัน้ วันหน่งึ ทา่ นตืน่ เชา้ ผิดปกติ ไดย้ นิ เสียงคนกวาดแครกๆ อยู่ข้าง ถํา้ ครนั้ มองออกไปดกู ็เหน็ ผู้หญงิ สาวกําลังกวาดอยู่ จึงถามดูว่าเธอเปน็ ใครหญิงนน้ั บอกวา่ ตนเปน็ เทพธิดา

53 เคยทาํ บญุ กบั ท่านจึงได้ไปเกดิ ในสวรรค์ รําลึกถงึ คณุ ทา่ นจงึ ลงมาปรนนิบัติ พระเถระก็ออกปากขับไล่นาง วา่ จงไปให้พ้นขืนมาทาํ ลับๆล่อๆอยู่กุฏิทา่ นอย่างน้ไี ม่ดี ประเดย๋ี ว พวกพระนักเทศน์ในอนาคตก็จะยกท่านเป็นอุทาหรณ์ว่า ท่านชอบสุงสิงกับผู้หญิง เม่ือผู้หญิงนั้นยังอ้อนวอน พิร้ีพิไรอยู่พระเถระจึงปบมือตะเพิดไล่ ทําให้เทพธิดาเสียใจร้องไห้ร้องห่ม พระพุทธเจ้าทรงทราบเร่ืองเข้าจึง ตรัสปลอบวา่ “การสํารวมเปน็ หนา้ ที่ของพระมหากสั สปสว่ นการทําบญุ เป็นหน้าทขี่ องคนทีอ่ ยากไดบ้ ุญ” แล้วก็ ตรสั “คําพระ”ข้างบนน้ี ความหมาย:- บญุ หมายถงึ ความบริสุทธ์สิ ะอาดแห่งจิตใจ อันเกดิ จากการทาํ ความดี คนที่ทําความดีที ละเลก็ ทีละน้อยแตท่ ําบอ่ ยๆก็ทาํ ให้ “บญุ ” เพิ่มพูนขน้ึ มากขน้ึ เรียกว่าสะสมบญุ (๑๑๗) ปาปานิ ปริวชชฺ เย. คนควรหลีกเว้นจากบาปทัง้ หลาย (ธ.บ. ๕) โอกาสทค่ี วรใช:้ เตอื นคนให้รูจ้ กั หลบหลกี จากความชั่ว และทางทจี่ ะเป็นภัยแก่ตน นทิ าน:- พระภกิ ษุคณะหนึ่งซ่ึงทูลลาพระพุทธเจา้ เพ่อื เดินทางไปยังต่างแคว้น แต่แลว้ ไปไม่ถึง ได้ กลับมาเฝาู พระพุทธเจ้า และกราบทูลว่าทีแรกมีพ่อค้าคนหน่ึงปรารภว่า เขาจะลําเลียงสินค้าไปขายข้าม แดน ถ้าพระรปู ใดอยากจะไปดว้ ยกไ็ ด้เขาจะรบั เลี้ยงดเู สร็จ แต่ครัน้ ออกเดนิ ทางไปถึงหมู่บ้านตีนดง ก็มีคน ผหู้ วังดมี าบอกแกพ่ อ่ ค้า (เพราะเห็นว่าพ่อค้าใจบุญอุตส่าห์อุปถัมภ์นําพระไปส่งด้วย) ว่ามีกองโจรคอยดัก ปลน้ อยู่ข้างหนา้ พ่อค้าได้ฟง๎ แล้วจงึ งดการเดินทาง เปลีย่ นเสน้ ทางใหม่ สายสืบของพวกโจรรู้เร่ืองเข้าก็ไป ดักทางที่จะไป ขา้ งพอ่ คา้ ไดข้ ่าวกง็ ดไปทางน้ันอีก ผลท่ีสุดไปทางไหนไม่ได้ แม้จะกลับบ้านก็ไม่ได้ เพราะ โจรคอยจ้องจะตีปล้นอยู่เสมอ พ่อค้าก็เลยตั้งกองป๎กหลักมั่นอยู่กับที่ แล้วแจ้งความจําเป็นให้พระสงฆ์ ทราบ เมอ่ื พระพุทธเจ้าทรงทราบแลว้ กท็ รงสรรเสริญพอ่ คา้ ตรสั ว่า คนมที รัพย์มากพวกน้อยควรเว้นทางท่ีมี ภยั เสยี คนที่ยังรักจะมีชีวิตอยู่ก็ควรเว้นจากส่ิงที่เป็นพิษ และทรงแสดงธรรมลงท้ายว่า คนท้ังหลายก็ควรเว้น จากบาป ความหมาย:- การท่ีจะทาํ งานหรือประกอบอาชีพใดๆก็ตาม ถ้าเห็นว่าทางใดมีบาปหรือมีความผิด มี โทษทัณฑ์รออยู่ข้างหน้า คนท่ีฉลาดก็ไม่ทําทางนั้น หากแม้จะไม่มีทางทําได้เลยเพราะทําอะไรก็ผิดทุกทาง ก็ ควรหยดุ เสยี อยา่ ทาํ (๑๑๘) ปาโปปิ ปสสฺ ติ ภทฺร ยา ปาปํ น ปจจฺ ติ. คนชว่ั ยอ่ มจะเห็นว่าบาปดีตราบเทา่ ที่บาปยังไม่ให้ผล(ธ.บ. ๕) โอกาสท่ีควรใช้:-เตอื นใจคนทีห่ วั เราะร่าเริงในการได้ทําความชั่วช้าให้กลับสํานึกตัวและบอก กล่าวแกค่ นดีมใิ ห้หลงเอาอยา่ งคนชั่ว นิทาน:-ท่ีเมืองสาวตั ถมี คี ฤหบดีผู้หน่ึงช่ือสุทัต เป็นคนใจบุญสร้างวัดเล้ียงพระและต้ังโรงงาน แจกอาหารแกค่ นอนาถาจนได้สมยาวา่ “อนาถปิณฑกิ ะ” แปลวา่ “พอ่ เล้ียงคนจน” ครั้นอยู่มาการค้า ตกตาํ่ พวกลูกหน้ีไม่อาจชําระหนี้แก่ท่านได้สินค้าก็ขายไม่ออก ซ้ําร้ายได้เกิดนํ้าหลากจากเหนืออย่าง กระทันหนั โกดังสินค้าของท่านบนตลิ่งแม่นํ้าอจีรวดีได้พังทลายลงในน้ําเสียหายมาก ท่านคฤหบดีถึง แก่ขดั สนอย่างไมเ่ คยมีมาแต่กไ็ ม่เลกิ การทาํ บญุ ตามมีตามได้เทวดาพระภูมิท่ีบ้านท่านเป็นมิจฉาทิฐิมา นานแล้ว เห็นได้ทา่ กเ็ ข้าไปแสดงตัวพดู

54 จาเยาะเยย้ ถากถางให้ทา่ นเลิกทาํ ความดเี สยี ทา่ นไม่พอใจมากจงึ ออกปากไล่ตะเพดิ เทวดาออกจากบริเวณบ้าน ของทา่ นเทวดานน้ั ได้รับความเดือดร้อนไม่มีท่ีอยู่ รู้สึกตัวต่อภายหลังว่าบาปกรรมให้ผลเป็นทุกข์จึงกลับมาขอ ขมาโทษท่านคฤหบดีผู้ใจบุญ พอสถานะการค้าดีขึ้นทุกสิ่งทุกอย่างก็คืนสู่สภาพปกติคนยากคนจนท่ีท่านเคย เล้ียงไว้ก็กลับมารับใช้ช่วยเหลือ แม้แต่ทรัพย์สินที่พังลงน้ําผู้ใดเก็บได้ก็เอามาคืนต่อเหตุการณ์ดังกล่าวน้ี พระพทุ ธเจ้าจงึ ตรัส “คําพระ” ข้อน้ี ความหมาย:-พระดํารัสนี้ยืนยันว่าบาปที่คนทําแล้วย่อมจะยังไม่ให้ผลทันทีก็ได้ในระหว่างนั้นคนทํา บาปอาจม่ังมีไดด้ บิ ได้ดเี ป็นการชัว่ คราวกไ็ ด้ (๑๑๙) ปรู ติ พาโล ปาปสสฺ โถกโถกปิ อาจิน คนพาลท้าบาปทีละเล็กละน้อยก็เตม็ ด้วยบาป(ธ.บ. ๕) โอกาสทคี่ วรใช:้ สอนคนไมใ่ หด้ ูหม่ินต่อความผิดว่า เราทําความผดิ เลก็ นอ้ ยไม่เป็นไร นทิ าน:-พระภกิ ษรุ ูปหนึง่ มนี ิสยั มกั ง่ายไมร่ ู้จกั ถนอมของใช้เอาโต๊ะเอาเตียงของสงฆ์ออกมาใช้กลาง ห้องเวลาเลิกใช้แล้วก็ไม่เก็บปล่อยให้ตากแดดตากฝนอยู่น่ันแหละพอพระรูปอ่ืนเตือนก็พูดสามหาวว่า “เรื่องเลก็ ! ของพวกน้ีก็ไม่เห็นมีลวดลายศิลปะอะไร” ความทราบถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จึงรับสั่งให้พระ มักง่ายรปู นน้ั เขา้ เฝาู คร้ังรับสั่งถามก็ยังพูดจาโอหงั เสียอกี ว่า “เรื่องเลก็ โต๊ะเตียงเหล่าน้ันมันก็ไม่ใช่ของมีจิต มใี จอะไร!” พระพุทธเจ้าจึงทรงประทานพระโอวาทว่า ทําอย่างนั้นไม่ถูกธรรมดาพระสงฆ์ย่อมต้องถนอม ของใช้และการทําความผิดน้ันแม้ว่าจะเป็นเร่ืองเล็กน้อยแต่ถ้าทําบ่อยๆ ก็กลายเป็นป๎ญหาเรื่องใหญ่ได้ เหมือนกนั สุดท้ายทรงเนน้ ลงด้วย “คาํ พระ” ขา้ งบนนี้ ความหมาย:-ความผิดที่คนทําน้ันแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่ถ้าทําบ่อยๆ ก็จะทําให้ตัวของผู้ที่ทํา นนั้ กลายเปน็ คนชว่ั ไปไดท้ ี่ว่าเตม็ ด้วยบาปนนั้ คือเปน็ คนชั่วท้ังตัวไม่น่าไว้วางใจ (๑๒๐) มาวมญเฺ ญถ ปุญฺญสฺส ‘น มตฺต อาคมสิ สฺ ติ.’ คนไมค่ วรดหู ม่ินบุญว่าบุญเล็กนอ้ ยจะไม่ใหผ้ ล(ธ.บ. ๕) โอกาสทีค่ วรใช:้ -ให้คําแนะนําแก่ผูท้ าํ ความดีแมย้ ากจนก็ทําตามกําลงั นิทาน:-ทเ่ี มืองสาวัตถีมีเศรษฐคี นหน่ึงซ่งึ ใครๆ เรยี กช่ือตามสมญาว่า “พิฬาลบท” ซ่ึงแปลว่า “คน ตีนแมว” เพราะแกขเี้ หนียวมากเวลาออกของทาํ บุญหรือให้ถ่ัวงาข้าวสารแกใครๆก็เอาน้ิวมือ ๓น้ิวขยุ้ม ให้อย่มู าวนั หนึง่ ชาวเมืองเขาจะทาํ บุญเลย้ี งพระ พอมรรคนายกไปบอกบุญแกแกก็เอาน้ิวมือ ๓ น้ิวขยุ้ม ของใหต้ ามเคยแตค่ รั้นใหไ้ ปแล้วเกิดนกึ วิตกวา่ มรรคนายกจะไปประกาศช่ือตัวและบอกว่าตวั บรจิ าคน้อย จะขายหน้าใครๆเขาจึงส่งคนตามไปสอดแนม และสั่งว่าถ้ามรรคนายกเอาช่ือแกไปนินทาต่อหน้าธาร กาํ นันก็ใหฆ้ า่ เสียเลย! ฝุายมรรคนายกเม่ือถึงเวลาประกาศกับพูดในทางดีว่าทุกคนได้บริจาคของทําบุญมาเต็มกําลัง ศรัทธาสามารถท้ังสิน้ คนสอดแนมก็นาํ ความไปเล่าให้เศรษฐีฟ๎งเศรษฐีได้ฟ๎งดังนั้นรู้สึกกระดากใจที่ตัวเองคิดมุ่ง ร้ายคนดีจึงรีบไปขอโทษมรรคนายกขณะท่ีกําลังเลี้ยงพระ พระพุทธเจ้าตรัสถามว่าเร่ืองอะไรกัน คร้ัน มรรคนายกกราบทลู เรือ่ งราวแล้วพระองค์จงึ รบั สัง่ ดว้ ย “คําพระ” ข้างบนน้ี ความหมาย:-บญุ กศุ ลแม้บางครัง้ เราจะทาํ ได้เพียงเล็กน้อยเพราะมีความจําเป็นอย่างอนื่ ก็ควรทําการท่ี คดิ ว่านอ้ ยๆไมท่ ําจะคอยทาํ เวลาตนร่าํ รวยเป็นการใหญท่ ีเดยี วนัน้ ไมช่ อบด้วยพระพทุ ธโอวาท

55 (๑๒๑) ยปุพเฺ พ,ตวโิ สเสหิ, ปจฺฉา เต มาหกุ ญิ ฺจน มชเฺ ฌ เจ โน คเหสฺ สิ. อุปสนโฺ ต จรสิ สฺ สิ. ปลอ่ ยวางความกังวลในอดีตเสยี อยา่ หว่ งในอนาคตอยา่ ตดิ ป๎จจบุ นั แล้วท่านจะสงบใจได้(ธ.บ. ๑) โอกาสทคี่ วรใช้:-ระงับความฟุูงซ่านแหง่ จติ เพอื่ ให้จิตใจสงบ นิทาน:-มหาอํามาตย์ของพระราชาป๎สเสนทิชื่อสันตติไปปราบจลาจลชายแดนได้ชัยชนะมา พระราชาจึงประทานรางวัลโดยทรงมอบราชสมบัติให้ครองเป็นเวลา ๗ วัน คือเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ช่ัวคราวสนั ตติจดั การฉลองตวั เปน็ การใหญ่กนิ เหล้าตลอดวนั และมรี ะบําร่ายราํ ใหเ้ พลิดเพลินใจ ในวันที่คํารบเจ็ดซึ่งเป็นวันฉลองส่งท้ายพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาเห็นเขากําลังเมาแอ๋อยู่บน หลังชา้ งและผงกหวั แสดงความคาราวะแด่พระองค์หนอ่ ยหน่งึ พระพุทธองค์ทรงยม้ิ และตรัสแกพ่ ระ อานนท์ว่าวันนสี้ นั ตตไิ ปเฝูาพระองค์ทั้งๆ แต่งตวั อยา่ งนแี้ หละ ไดฟ้ ง๎ ธรรมแลว้ กจ็ ะสิ้นชวี ติ ใครๆ ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ที่คนเมาออกอย่างน้ันจะไปฟ๎งเทศน์แต่แล้วเหตุการณ์กลับเป็นจริงโดยท่ี ขณะสนั ตตกิ าํ ลังเพลินชมการฟอู นอยนู่ นั้ นางฟอู นคนหนง่ึ ซึง่ พยายามลดความอ้วนไมก่ นิ ข้าวมาเจ็ดวันแล้ว เกิด เป็นลมตายต่อหน้าต่อตาสนั ตตเิ สยี ใจจนหายเมาเป็นปลิดท้ิงจึงยกขบวนไปเฝูาพระพุทธเจ้าเพื่อขอให้พระองค์ ทรงระงับความโศกให้พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมด้วยคําบาลีข้างบนนี้สันตติฟ๎งแล้วเกิดบรรลุเป็นพระ อรหนั ต์ และปรินพิ พานในลาํ ดับตอ่ มา ความหมาย:-พระดํารัสน้ีทรงสอนให้สันตติปล่อยวางอารมณ์คืออย่านึกถึงเร่ืองเก่าๆ ท่ีแล้วก็แล้วกัน ไปอย่าเป็นห่วงอนาคตวา่ จะเกิดมีอะไรขึ้นวางเฉยเสยี (๑๒๒) นตถฺ ิ ปาปํ อกพุ พฺ โต. บาปยอ่ มไม่มแี ก่คนไมท่ า้ (ธ.บ.๕) โอกาสท่คี วรใช:้ -แสดงทัศนะของพระพุทธศาสนาเกย่ี วกับเรอ่ื งบาปกรรม นิทาน:-เชา้ วนั หน่ึงนายพรานกุกกุฏมิตรออกไปดูบ่วงที่ดักไว้ไม่เห็นมีสัตว์อะไรติดบ่วงเลยแม้แต่ ตัวเดียว แต่ปรากฏว่ามรี อยเทา้ ของใครคนหนึง่ ยาํ่ ไปในบริเวณน้ันจึงตามไปดกู พ็ บพระพุทธเจา้ ประทับ อยู่ในที่ไม่ไกลนักด้วยความเดือดดาลใจเขาคิดว่าอย่างไรเสียพระรูปน้ีเองแหละเท่ียวปล่อยสัตว์ออก จากบ่วงจงึ ยกธนูขึน้ มายงิ พระองคใ์ ห้สมแค้น! พระพุทธเจ้าทรงใช้อํานาจฤทธิ์สะกดให้เขาจังงัง จะยิงธนูไปก็ไม่ได้จะลดธนูลงก็ไม่ได้คงยืนตัว แขง็ อยู่กบั ทีจ่ นกระท่งั สายภรรยาของเขาไม่เห็นเขากลับบ้านจึงติดตามมาดูพระองค์จึงทรงคลายฤทธิ์ แลว้ แสดงธรรมแกค่ นเหลา่ นั้นต่อเหตกุ ารณน์ ้ีพระองคท์ รงแสดงแก่พระสงฆว์ ่าความจรงิ ภรรยาของเขา ได้เป็นพระอริยบุคคลช้ันโสดาบันมานานแล้วพระสงฆ์พากันสงสัยว่าไม่น่าจะเป็นได้พระอริยบุคคล อะไรกันยังปฏิบัติผัวซึ่งเป็นนายพรานซ่ึงตัวก็จะต้องหยิบหอกหยิบธนูให้ผัวอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้เพื่อ ทรงแก้ข้อสงสัยของพระสงฆ์ พระพุทธเจ้าจงึ ตรสั “คําพระ” ข้อน้ีและทรงเปรียบเทียบว่าถ้ามือเราไม่ มีแผลแม้จะหยิบยาพิษๆก็ทําอะไรไมไ่ ด้ ความหมาย:-คําพระบทนี้แสดงวา่ บาปเปน็ ของติดตอ่ กันไม่ได้ตรงข้ามกับมติของศาสนาคริสต์ซ่ึงสอน วา่ มนษุ ยค์ ่แู รกคืออาดมั กบั อวี าทาํ บาปแล้วแบบนนั้ ก็ตกทอดมายงั มนุษย์ไม่ส้นิ สุด

56 (๑๒๓) อถ ปาปานิ กมฺมานิ การ พาโล น พุชฺฌต.ิ คนพาลเม่ือก้าลงั ทา้ บาปยอ่ มไม่รู้สึกตวั (ธ.บ.๕) โอกาสที่ควรใช:้ -เตือนใจให้ระมัดระวังคําพดู และการแก้แคน้ ของคนอืน่ นิทาน:-มีเศรษฐคี นหน่งึ ช่ือสมุ งคลบริจาคเงนิ สร้างวัดถวายพระพุทธเจา้ แล้วก็ไปวดั เสมอๆ เช้าวัน หน่ึงท่านเศรษฐีกําลังเดินไปวัดเห็นคนๆ หน่ึงนอนเอาผ้าคุมโปงอยู่ท่ีศาลาข้างทาง และเห็นเท้าของ ชายนั้นมีโคลนเปื้อนเปรอะ จึงพลั้งปากพูดกับผู้ติดตามว่าอีตาคนนี้ถ้าจะหาขโมยของตอนกลางคืน กระมงั !ชายคนน้ันได้ยนิ เข้าเกดิ ความไม่พอใจที่เปิดผ้าออกดูกร็ ้วู ่าเป็นเศรษฐีสุมงคลต้ังแต่วันน้ันมาเขา ก็พยายามแก้แค้นจะทําให้เศรษฐีชํ้าใจแต่ไม่สําเร็จเผาข้าวในนาก็แล้ว ตัดตีนวัวตีนควายก็แล้ว เผา บ้านก็แล้วท่านเศรษฐีก็เฉยในท่ีสุดได้วางเพลิงเผากุฏิท่านเศรษฐีสร้างถวายพระพุทธเจ้าท่านกลับ ปรบมอื ดใี จว่าจะได้สร้างใหม่เสียทีเม่ือหมดทางที่จะแก้แค้นก็พกกริชติดตามท่านเศรษฐีไปทุกหนทุก แห่งเพอ่ื หาชอ่ งทางสงั หารเสยี วันหนง่ึ ทา่ นเศรษฐที าํ บญุ เสร็จแลว้ ก็ประกาศขอมอบส่วนบุญให้แก่ผู้อื่น ทเ่ี ปน็ อริต่อท่านเป็นอันดับแรก ตานั่นได้ยินคําประกาศเกิดสลดใจว่าไฉนตัวเองจะฆ่าคนดีอย่างน้ีจึง เลกิ ลม้ ความคดิ แล้วเข้าไปขอขมาทา่ นเศรษฐี พระพุทธองค์ตรัสว่าแม้กระนั้นเขาก็จะต้องตกอเวจีแล้ว เกดิ เป็นเปรตถกู ไฟเผาทรุ นทุรายสุดท้ายได้ตรสั “คาํ พระ” บทน้ี ความหมาย:-ขณะทีค่ นพาลกําลังถกู กเิ ลสโหมใจ (บา้ เลอื ด) อยู่นัน้ เขาย่อมจะไม่รู้หรอกว่าเขากําลังทํา บาป (๑๒๔) อิเมส สตตฺ าน ตณฺหา นาม ภารยิ า. ขนึ้ ช่ือว่าตณั หาของสัตวเ์ หล่านห้ี ยาบ (ธ.บ.๗) โอกาสท่คี วรใช:้ - เตือนใจคนท่เี ห็นแกไ่ ด้หวงอะไรจุกจิกหยมุ หยมิ เกนิ ไป นิทาน:-พระภิกษุรูปหนึ่งช่ือติสสะได้ผ้าสําหรับตัดจีวรมาผืนหนึ่งยาว ๙ ศอกจึงวานภิกษุอ่ืนมา ชว่ ยตดั เยบ็ เปน็ จวี รทาํ นองลงแขกของพระในสมัยโบราณตลอดเวลาท่ีตัดเย็บจีวรอยู่น้นั พระติสสะเกิด ความคดิ ติดพันอยู่กับจีวรใหมว่ ่าอยา่ งไรเสยี พรุง่ นต้ี นจะครองจีวรผนื นแี้ นๆ่ แตพ่ อตกค่ําวันน้ันพระติสสะได้มรณภาพลงอย่างป๎จจุบันทันด่วนเม่ือพระภิกษุในวัดนั้นช่วยกัน ทาํ ฌาปนกิจเสร็จแล้วก็นําบริขารของท่านมาพิจารณากันดูว่าควรจะยกให้กับใคร ท้ังหมดก็ตกลงกัน ปฏิบัติตามพระวินัยคือให้บริขารน้ันตกเป็นของพระสงฆ์แล้วแบ่งป๎นกันไป แต่ในระหว่างน้ันพระ ศาสดาได้รับสงั่ มายังภกิ ษเุ หล่านน้ั ว่าสาํ หรบั ผา้ จวี รใหมข่ องพระติสสะให้เก็บไว้ก่อนต่อล่วง ๗ วันแล้ว จึงมาแบ่งกันเมื่อพระสงฆ์ทูลถามถึงเหตุท่ีรับสั่งเช่นนั้นพระองค์ตรัสว่า พระติสสะเกิดความติดใจใน จีวรมากมรณภาพแลว้ กลับมาเกดิ เปน็ เลน็ อย่ทู จ่ี ีวรนน้ั และกาํ ลังวิ่งพล่าน พลางร้องไห้ว่าพระสงฆ์แย่ง จวี รของตนครบ ๗ วันเล็นก็จะตาย จีวรนี้ก็ปราศจากเจ้าของโดยส้ินเชิงในโอกาสน้ันพระองค์ได้ตรัส “คําพระ” บทนี้ ความหมาย:-ที่ว่าตัณหาเป็นของหยาบน้ันคือเม่ือตัณหาเกิดในจิตแล้วทําให้จิตอยากอยากได้ เเม้แต่ ของไมเ่ ปน็ เร่ือง และอาจทาํ ให้คนดๆี ไปเกดิ ในกําเนิดท่หี ยาบๆเลวๆกไ็ ด้

57 (๑๒๕) ทนธฺ หิ กรโต ปญุ ญปาปสมฺ ึ รมตี มโน เมือ่ คนท้าความดีชักชา้ ใจจะยินดไี ปเสียในความชวั่ (ธ.บ. ๕) โอกาสท่ีควรใช:้ -ในการแนะนําทางใจแก่คนท่ีทําความดีไม่ได้ตลอดมักจะกลับไปสู่ความชั่วตาม สนั ดานเดิม นิทาน:-วันหนึ่งท่ีวัดเชตวันเมืองสาวัตถี มีเทศตลอดคืนยันรุ่งมีคนไปฟ๎งกันมากรวมทั้งพระเจ้า แผ่นดนิ โกศลด้วยเปน็ เวลาจวนสว่างแล้วขณะท่ีพระพุทธเจ้ากําลังทรงแสดงธรรมได้มีเสียงตะโกนข้ึน จากกลุ่มคนฟ๎งว่า “ข้าฯ ชนะแล้ว!” ซ้าํ ๆกนั พระราชาทรงตกพระทัยโดยท่ีทรงคิดว่ามีใครคิดกบฏยึด ราชบลั ลงั กเ์ สียแลว้ แต่เมือ่ ทรงสอบดูก็ได้ความว่า ชายชราผู้ยากจนคนหน่ึงมาฟ๎งเทศน์ด้วยเขาเล่าว่า เขาอยกู่ ับเมียจนมากสองคนตายายมผี า้ ผนื เดยี วผลดั กนั ห่มออกนอกบ้านวันนี้มาฟ๎งธรรมจึงเกิดความ เลอ่ื มใสมาก อยากจะถวายของติดกณั ฑ์เทศน์ก็ไม่มขี องอะไรนอกจากผา้ ห่มท่ตี ัวห่มอยู่ฉันจะเปลืองผ้า ถวาย หรือก็เป็นหว่ งว่ายายท้ังบ้านจะไมม่ พี อ่ ห่มออกนอกบ้านคิดไปคิดมาอยู่จนกระท่ังเกือบสว่างจึง ชนะใจตัวเองได้ ตกลงใจเปลื้องผ้าห่มออกพร้อมกับอุทานโดยไม่รู้ตัวว่า “ข้าฯ ชนะแล้ว” พระราชา ทรงพอพระทัยจงึ พระราชทานสง่ิ ของเป็นอันมากในโอกาสน้ันพระศาสดาได้ตรัสพระบาลี “คําพระ” ขา้ งบนนี้ ความหมาย:-ชว่ งความคิดของจิตมันจะคิดทางดีและทางช่ัวสลับกันไปเสมอถ้าความคิดดีเกิดขึ้นแล้ว เรารบี ทาํ ความดีตอ่ เนอื่ งไปความคดิ ชว่ั ก็จะไมไ่ ด้ช่องเกิดข้ึนฉะน้นั พอจับไดว้ า่ เรา (หรือเขา) เกิดความดีขึ้นแล้ว ตอ้ งทาํ ใหค้ วามดีรุดหน้าต่อเนื่องไปนานๆ (๑๒๖) ปาปญฺเจ ปรุ โิ สกยริ า น ตกยิรา ปุนปปฺ ุน ถ้าจ้าจะตอ้ งท้าบาปกอ็ ย่าท้าบ่อยๆ (ธ.บ. ๕) โอกาสทคี่ วรใช:้ -ในการให้ความแนะนาํ แกค่ นท่ียังไมอ่ าจหักหา้ มจิตใจจากการทําบาปได้โดยที่ยัง มีความจาํ เป็นสาํ หรบั เขาอยู่ นิทาน:-มีพระภิกษุรูปหน่ึงเป็นลูกศิษย์ของพระอุททายี ผู้ซ่ึงเป็นคนราคะจัด ตัณหาแรงและ พยายามพลิกแพลงบําบดั ความใคร่ให้ตนเองไมห่ ยดุ หย่อน พระภกิ ษผุ ศู้ ิษยก์ ไ็ ม่รู้ผิดรู้ถูกเห็นพระอุททายีทํา กท็ าํ บา้ ง ครัน้ ทาํ บ่อยกเ็ กดิ เปน็ นิสัยติดใจท่จี ะทาํ อย่างน้ันความทราบถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จึงรับส่ัง ใหเ้ ข้าเฝูา ทรงซกั ถามไดค้ วามเป็นสตั ยแ์ ล้วจึงทรงบญั ญัติพระวนิ ัยขอ้ ห้ามมิให้พระภิกษุแกล้งทําให้น้ํา อสจุ เิ คลือ่ นต่อไปแลว้ ทรงประทานพระโอวาทดงั “คําพระ” ขา้ งบนนี้ ความหมาย:-พระโอวาทนีเ้ ป็นการผอ่ นลงหาคนทีท่ ําผดิ จนติดเปน็ นิสัยแล้วเพราะคนเราถา้ ทําอะไรติด เปน็ นสิ ัยแลว้ จะเลกิ ขาดในทันทีทนั ใดย่อมไม่ได้ในทน่ี พ้ี ระองคจ์ ึงรบั สงั่ ว่า ถ้าจําจะต้องทําก็อย่าทําบ่อยๆเพราะ การทาํ บอ่ ยๆนน้ั จะทําให้เกดิ เปน็ นสิ ยั และแก้ยาก (๑๒๗) โย จ วสสฺ สตชเี วทูปฺปญฺโญอสมาทิโต เอกาห ชวี ติ เสยฺโย ปญญฺ วนฺตสฺสฌายิโน.

58 การมีชีวิตอยู่เพยี งวนั เดียวของคนมปี ญ๎ ญาและไดฌ้ าน ดกี วา่ การมีชีวิตอยู่ต้ังร้อยปขี องคนโง่จิตใจ เหลาะแหละ (ธ.บ. ๔) โอกาสทคี่ วรใช:้ -แสดงคณุ ค่าของสมาธแิ ละปญ๎ ญา นิทาน:-พระอรหันต์รูปหนึ่งไปน่ังเข้าฌานอยู่ในปุาตลอดเวลากลางคืนในคืนนั้นเองก็เกิดมีพวก โจรไปปลน้ ทรพั ยเ์ ขามาพากนั แวะเขา้ ไปพักที่น่ันคนหนึ่งเห็นพระเถระในความมืดนึกว่าหัวตอ จึงเอา หอ่ ของวางทบั ไวบ้ นศรี ษะท่าน คนอนื่ ๆกเ็ ลยเอาห่อของท่ีปล้นได้มาวางสุมกันไว้ทับถมพระเถระหมด ต่อรุ่งเช้าพวกโจรพากันยกห่อของเตรียมจะออกเดินทางต่อไปจึงเห็นพระเถระนั่งสงบนิ่งอยู่ ทีแรก พวกโจรตกใจคิดว่าผีแต่พระเถระรีบแนะนําตนเองว่าเป็นพระไม่ต้องกลัวพวกโจรฟ๎งถ้อยคําสนทนา ของท่านแล้วเกดิ เลือ่ มใสขอบวชทุกคนและร้องเรียกท่านว่าอาจารย์ “ขานุ” แปลว่าอาจารย์ “หวั ตอ” พระเถระได้พาลูกศษิ ย์ผู้กลบั ตวั แลว้ เหล่านั้นไปเฝูาพระพุทธเจา้ พระองคป์ ระธานพระโอวาทดงั “คาํ พระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย:-คําว่า “มีป๎ญญาและได้ฌาน” หมายความว่ารู้จักผิดชอบจนปรับตัวได้และสามารถทํา สมาธิจนใจแนว่ แนถ่ ึงข้ันฌาน คุณธรรมสองขอ้ นี้ทาํ ใหช้ วี ติ เปน็ แก่นสารและมีความสุขมาก (๑๒๘) ยถาปิรจุ ริ ปบุ ผฺ วณฺณวนตฺ อคนธฺ กเอว สุภาษิตา วาจา อผลา โหติ อกพุ พฺ โต ดอกไม้งามและสีสวยแต่ไม่มีกล่ินย่อมไม่หอมแก่ผู้ทัดทรงฉันใดค้าสุภาษิตก็ไม่มีผลอันใดแก่ผู้ไม่ ท้าตามฉนั นนั้ (ธ.บ. ๓) โอกาสที่ควรใช้:-เตือนใจพุทธศาสนิกชนให้สนใจปฏิบัติตามคําสอนของศาสนาแทนท่ีจะเอาแต่ เรยี นอยา่ งเดียวซึ่งจะทาํ ใหต้ นกลายเป็นดอกไม้งามแตไ่ มม่ ีกล่ินเขา้ ทํานองสวยแตร่ ปู จูบไมห่ อม นิทาน:-ครั้งหนึ่งพระราชาป๎สเสนทิ เห็นประเทศโกศล ทรงอาราธนาพระสงฆ์ไปสอนธรรมะใน พระราชวังเป็นประจาํ ซ่ึงพระพุทธเจา้ ทรงสง่ พระอานนท์ไปเปน็ ครสู อนพระมเหสขี องพระราชาท้ังสอง องก็ส่งเข้ารับการศึกษาด้วยคือพระนางมัลลิกากับพระนางวาสภาซ่ึงเป็นเช้ือพระวงศ์ศากยะ (พระ ญาตขิ องพระพทุ ธเจ้า) ผลการศกึ ษาปรากฏวา่ พระนางมาลิกาทรงศกึ ษาโดยเคารพและทรงรับการตรวจสอบความรู้จากพระ เถระด้วยดีแต่พระนางวาสภากลับตรงกันข้ามไม่เต็มใจเรียนและไม่ยอมให้ตรวจสอบความรู้พระอานนท์ได้ กราบทูลรายงานผลการศกึ ษาดงั กลา่ ว ใหพ้ ระพทุ ธเจ้าทรงทราบพระองค์จึงตรัสพระคาถาสุภาษิตข้างบนน้ีแก่ พระเถระ ความหมาย:-คําเปรียบเทียบนี้ไม่ใช่เปรียบคําสุภาษิตเหมือนดอกไม้แต่หากเปรียบตัวคนเหมือน ดอกไม้คอื คนทรี่ ูธ้ รรมะมากๆแต่ไมป่ ฏิบัตติ ามธรรมะเปรียบเหมือนดอกไม้งามแต่ไม่มกี ล่ินหอมน่าดูแต่ไม่น่าชม จะเปน็ คนสวยแต่รปู จบู ไม่หอม (๑๒๙) อตฺตาน ทมยนฺติ ปณฺทิตา บณั ฑติ ยอ่ มฝกึ ฝนตนเอง (ธ.บ. ๔) โอกาสท่ีควรใช้:-สอนให้คนรู้จักฝึกฝนตนเองรู้จักรักการฝึกและใช้สิ่งแวดล้อมให้เป็นครู อาจารย์ของตน นิทาน:-ลูกสาวคนโตของโยมอุป๎ฏฐากของพระสารีบุตรต้ังท้องเวลานางเกิดอาการแพ้ท้อง แปลกจากคนอ่ืนคือให้มีอันอยากจะเล้ียงพระด้วยอาหารท่ีปรุงด้วยปลาตะเพียน ครั้นทําแล้วอาการ

59 แพ้ท้องก็ระงับไดต้ ่อมานางคลอดบุตรเปน็ ชายได้ตั้งชื่อว่า “บัณฑิต” เพราะมีนิมิตแปลกๆ คือพอเด็ก คนน้ีเกิดมาพวกคนโง่ๆ เซอะๆ ในบ้านดรู สู้ กึ ฉลาดเฉลียวขนึ้ พูดกนั ร้เู รอื่ งกว่าแตก่ อ่ น ต่อมาหนูบัณฑิตอายุ ๗ ขวบได้ออกบวชเป็นสามเณรอยู่กับพระสารีบุตรก็เป็นสามเณรที่มี แววฉลาดสมชื่อคือได้พบเห็นอะไรๆ แล้วก็นึกน้อมเอามาฝึกอบรมตนเสมอเช่นวันหนึ่งเดินไป บณิ ฑบาตร กบั พระเถระเห็นชาวนากาํ ลงั ไขนํ้าเขา้ นาสามเณรถามพระเถระว่า “เขาทําอะไร?” พระเถระตอบวา่ “เขาไขน้ํา เข้านา” สามเณรซักว่า “น้ํามีใจหรือเปล่าครับ!” พระเถระตอบว่า “ไม่มี” เพียงเท่านี้สามเณรก็นึกว่านํ้าเป็น ของไม่มีใจเขายังนําไปสู่จุดที่หมายได้ตัวเราเองมีใจทําไมจะนําไปสู่ท่ีหมายไม่ได้ต่อมาไป เห็นคนเขากําลังดัด ลูกศรสามเณรกถ็ ามว่าลูกศรมีใจไหม? ไปเหน็ ชา่ งถากกําลังถากไม้ก็ถามว่าไม้มีใจหรือเปล่า? คร้ันได้รับคําตอบ วา่ สงิ่ เหลา่ นน้ั ไม่มีใจสามเณรกน็ ้อมเข้ามาเตอื นตนเองวา่ เราสมิ ีใจนา่ จะดัดได้แต่งได้ผลที่สุดสามเณรได้ทําความ เพียรจนบรรลุอรหัตต้ังแต่เยาว์ พระศาสดาจึงตรัส “คําพระ” บทนี้เพ่ือสรรเสริญสามเณรให้เป็นตัวอย่างแก่ ผอู้ ืน่ ความหมาย:-การฝึกตนหมายถึงการฝึกตัวให้ใช้การได้ดีให้พูดได้ดี ให้สามารถควบคุมไว้ในขอบเขต ศีลธรรมและระเบียบวนิ ัยได้ดดี ว้ ย (๑๓๐) นโสสพฺเพสุ ฐาเนสุ ปุรโิ สโหติ ปณทฺ ิโต อิตถฺ ีปปิ ณทฺ ติ า โหติ ตตฺถตตฺถวิจกขฺ ณา. มิใชว่ ่าชายจะเป็นบณั ฑิตไดใ้ นทีท่ ุกสถานถงึ หญงิ ผู้มปี ญ๎ ญาสอดส่องกเ็ ป็นบณั ฑติ ในฐานะน้ันๆ ไดเ้ หมอื นกัน (ธ.บ.๔) โอกาสที่ควรใช้:-สดดุ ีความสามารถของสตรใี นเชงิ การใช้ความคิด นทิ าน:-กุณฑลเกศีสาวนอ้ ยผมู้ ที ุกขลาภเธอเปน็ ธดิ าคนโปรดของเศรษฐีผู้บิดาวันหนึ่งเธอเห็น นักโทษประหารทีเ่ ขาตะเวนเมืองเพ่ือจะนําไปประหารเธอเกิดความรักข้ึนโดยฉับพลันและไม่อาจหัก หา้ มใจไดจ้ ึงไหว้วอนพอ่ แม่ให้ไปติดสินบนผ้คู มุ แลกเอานกั โทษมาเป็นผัวไดส้ ําเรจ็ แต่ธรรมดาอสรพิษร้ายย่อมไมร่ ูค้ ณุ คนมหาโจรผนู้ น้ั อยู่กินกับเธอไม่ทนั กระไร ก็คิดจะลวงเธอ ไปฆา่ เพื่อเอาเครอื่ งแต่งตัวนไ้ี ปสู่แกง๊ คโ์ จรอีก ดังนนั้ ผัวสาระเลวชั่วชาตจิ ึงไดอ้ อกอบุ ายทาํ เปน็ ว่า ตวั รอดชวี ติ มาไดเ้ พราะบนไว้กบั ผีจา้ วปุาขอให้กุณฑลเกศีไปทําพธิ ีแก้บนดว้ ยกนั ครนั้ ไปถึงยอดเขาสูงแล้วผัวใจ ทรามก็ขู่เข็ญให้เธอถอดเครื่องแต่งตัวแล้วจะได้ผลักเธอให้ตกไปตายในเหวลึก เกศีผู้มีเคราะห์ถึงคราวคับขัน อย่างที่สดุ แลว้ ไดใ้ ช้อบุ ายที่เหนือกว่าแกล้งทาํ เป็นว่าความรักอันแสนพิศวาสในตัวเขาน้ันไม่มีวันจากเหือดแห้ง แม้จะตายเพราะนา้ํ มือของผวั รักก็ยนิ ดี แตข่ อใหไ้ ด้ร่ายรําราํ่ ลาผวั กอ่ น มหาโจรใจบาปกต็ ายใจนึกว่าลูกไก่ในอุ้ง มือแล้วมนั จะรอ้ งกอ่ นตายบา้ งก็ชา่ งประไร......เกศีร่ายรําไปรอบๆ ตัวเขาอย่างรา่ เริงแตพ่ อเขาเผลอมือของนาง ที่ราํ ฟูอนกก็ ลายเป็นอาวธุ ผลกั ผัวสาระเลวหัวถลาํ ลงสูก่ น้ เหว ณ บดั นั้น “คําพระ” ข้างบนน้ีเป็นคําสดุดีซ่ึงพวก เทวดาอารักษ์ในปาุ นั้นให้แก่เธอ ความหมาย:-ผ้หู ญิงแมจ้ ะแพ้ผูช้ ายในทางกําลังกายแตก่ ําลังปญ๎ ญาหาดอ้ ยกว่าเสมอไปไม่ (๑๓๑) น โมเนน มุนิ โหติ มุฬฺหรโู ป อวทิ ฺทสุ. คนโงไ่ ม่รู้อะไรจะ (ถือว่าตน) เปน็ มนุ ีเพราะการน่งิ หาไดไ้ ม่(ธ.บ. ๗)

60 โอกาสทีค่ วรใช้:-เตือนใจคนหงมิ ๆ พดู น้อยวา่ จะทาํ ตัวเปน็ คนฉลาดเพราะอ้างเอาการน่ิงเป็น เครื่องบงั หน้าไมไ่ ด้ นทิ าน:-ในยคุ ต้นพุทธกาลพระพทุ ธเจา้ ยงั มิได้อนุญาตให้พระสงฆ์สวดอนุโมทนา (ยถา สัพพี) เมื่อฉันอาหารแล้วเวลาไปฉนั ในท่นี มิ นตพ์ อฉันเสรจ็ กล็ กุ ไปเฉยๆ แตใ่ นขณะเดียวกันพวกเดียรถีย์เขามี ธรรมเนียมสวดอนโุ มทนาแล้วประชาชนรูส้ ึกชอบวิธีมกี ารอนุโมทนา ครั้นต่อมาพระพทุ ธเจา้ จึงทรงอนญุ าตให้พระสงฆอ์ นโุ มทนาหลังจากฉันอาหารและให้สนทนา กบั เจ้าภาพไดต้ ามสมควร (กลา่ วอุปนสิ นิ นกถา) พระพทุ ธเจ้าจึงถือเป็นธรรมเนยี มสบื มาแต่ แล้วพว กเดียร ถีย์กลับคิดแข่ง ขันด้วยการงดอนุโมทนาแล้ว ก็ ปล่อยข่าวว่าคนพูดมากๆนั้น ไม่ใช่นักปราชญ์ ลักษณะของนกั ปราชญแ์ ทต้ อ้ งนิ่ง เพ่อื แก้การโฆษณาของพวกเดียรถียพ์ ระศาสดาจงึ ตรัส “คําพระ” บทน้ี ความหมาย:-ชดั อย่ใู นตวั แล้ว (๑๓๒) โยคา เว ชายเต ภรู ิ ป๎ญญายอ่ มเกิดจากการปฏิบัติ (๑๓๓) อโยคา ภรู สิ งขฺ โย. ปญ๎ ญาจะสิน้ ไปก็เพราะการไมป่ ฏิบตั ิ(ธ.บ. ๗) โอกาสทีค่ วรใช้:-อบรมนักศกึ ษาใหส้ นใจในภาคปฏิบัติ นทิ าน:-มีพระภิกษุรูปหนึ่งเรียนพระไตรปิฎกจบมีความรู้มากและเป็นอาจารย์สอนธรรมแก่ พระภิกษุสามเณรอนื่ ๆ ๑๘ คณะดว้ ยกัน ลูกศษิ ยล์ ูกหาเรียนแลว้ ไปทาํ ความเพียรบรรลุอรหันต์ไปแล้ว มากมายและใครๆ ก็เรียกท่านว่า “อาจารย์” ท้ังนั้นเว้นแต่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกท่านว่า “โปฐิละ” ทุกทีซง่ึ คาํ น้แี ปลว่า “ใบลานเปล่า” ท่านนึกกระดากใจจึงไปหาพระลูกศิษย์ขอคําแนะนําท่ีจะทําความเพียรให้บรรลุพระอรหัต พระลูกศิษย์ก็พากันกําจัดความทะนงตัวให้อาจารย์ก่อนจึงพากันบ่ายเบี่ยง พอไปหาองค์นี้ก็บอกว่า ทา่ นควรไปหาองค์โนน้ ไลไ่ ปจนกระท่ังสุดทา้ ยแนะนาํ ให้ไปหาสามเณรน้อยอายุ ๗ ขวบ (ผู้บรรลุอรหัต แล้ว) สามเณรอยากจะทดลองดูว่า ท่านหมดมานะความถือตัวแล้วหรือยังจึงแกล้งบอกท่านว่า “ให้ ท่านเดนิ ลงไปในสระทั้งๆ ท่ยี งั ครองจีวรอย่างดีนี้” พระเถระก็ทําตามแต่พอท่านเดินลงไปน้ําเปียกถึง ชายจีวรนิดหนอ่ ยสามเณรกเ็ รยี กให้กลับ เสร็จแล้วสามเณรจึงสอนธรรมให้พระอาจารย์รูปนั้นปฏิบัติตามด้วยดีจนได้ป๎ญญากําจัดกิเลสส้ินเชิง พระพทุ ธเจ้าจึงตรัส “คาํ พระ” บทนีเ้ ป็นการยืนยันวา่ ท่านทําถูกแล้ว ความหมาย:-หมายความว่าการเรียนทางวิชาการอย่างเดียวไม่มีการปฏิบัติคนเราจะได้ป๎ญญา แตกฉานไมไ่ ดซ้ ้ํารา้ ยความร้ทู เ่ี รียนไวแ้ ลว้ กจ็ ะเส่ือมไปดว้ ยหากไมม่ ีการปฏิบตั ิตามกาลอนั ควร (๑๓๔) เยธมมฺ า เหตปุ ฺปภวา เตสเหตตถาคโต เต สญจฺ โย นโรโธจเอววที มหาสมโณ. ส่ิงใดเกิดจากเหตุพระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุส่ิงของน้ันๆ และทรงแสดงความดับของสิ่งนั้น ด้วย(ธ.บ. ๑) โอกาสท่คี วรใช้:-ในการยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทรงวิจัยเหตุผลของทุกสิ่งอย่างถูกต้อง แล้วจึง สั่งสอนประชาชนชาวพุทธทีแ่ ท้จรงิ ต้องเคารพในเหตผุ ลดว้ ย

61 นิทาน:-อุปติสสะ ปริพาชกหนมุ่ แหง่ สาํ นกั ของอาจารย์สญชัยนักพรตนอกพระพุทธศาสนาได้ พบกับพระอสั สชผิ ู้เปน็ สาวกของพระพทุ ธเจ้าขณะทีท่ ่านนง่ั ฉันอาหารบิณฑบาตอยู่นอกเมืองราชคฤห์ อุปตสิ สะเห็นพระเถระมีอากัปกิริยาน่าเลื่อมใสจึงเรียนถามท่านว่าท่านบวชอยู่ในสํานักของใคร พระ เถระตอบว่าบวชในสํานักของพระพุทธเจ้า อุปติสสะถามต่อไปว่าพระพุทธเจ้ามีลัทธิอย่างไรเพราะ เถระกลา่ วถ่อมตัววา่ ทา่ นเพงิ่ บวชยงั ไม่นานจึงไม่อาจแถลงช้แี จงรายละเอียดได้ ฝุายอุปติสสะก็ขอร้อง วา่ ได้โปรดบอกแต่หัวขอ้ ใหญๆ่ ยอ่ ๆ ก็ไดพ้ ระเถระจึงได้ตอบโดยยกคําบาลีขา้ งต้นขน้ึ แสดง อุปติสสะไดฟ้ ง๎ แล้วเกิดความเลื่อมใสจับใจจึงไปเฝูาพระพุทธเจ้า ได้ทูลขออุปสมบทและให้บรรลุพระ อรหตั มีนามว่าพระสารบี ตุ รเปน็ พระอัครสาวกฝาุ ยขวาของพระพุทธเจ้าตอ่ มา ความหมาย:-หมายความว่าพระพทุ ธองคท์ รงชใ้ี ห้ประชาชนทราบอยา่ งตรงไปตรงมาอะไรเปน็ เหตุของ สิง่ ใดกท็ รงแสดงอย่างเปดิ เผยเช่นความทุกขเ์ กิดจากบาปกรรมกท็ รงสอนตรงๆ วา่ บาปกรรมทาํ ให้เกิดทุกข์ มิใย ว่าผู้ฟ๎งจะพอใจให้รงแสดงอย่างน้ันหรือไม่และมิใยว่าการท่ีทรงแสดงตรงไปตรงมานั้นจะทําให้พระอ งค์ต้อง เส่ือมลาภสักการะหรือไม่และในทุกๆกรณีได้ทรงสอนวิธีดับเหตุน้ันด้วยซึ่งก็คือทรงแสดงวิธีทําให้คนพ้นทุกข์ นนั่ เอง (๑๓๕)อตฺตา หเวชิตเสยฺโย ตัวเราน่แี หละหนาทีช่ นะได้แลว้ เป็นสิ่งประเสริฐ(ธ.บ. ๔) โอ กาสท่ีควรใช้ :-สนับสนุน หรือให้กําลัง ใจแก่บุคคลผู้พ ยายามถอน ตัว จากนิสัยชั่วต่ําและ ผู้ ฝึกอบรมตนใหด้ วี เิ ศษขนึ้ นิทาน:-กาลครัง้ หน่งึ พราหมณ์นักเลงการพนนั ในเมืองสาวตั ถเี ขา้ ไปเฝูาพระพทุ ธเจา้ เมอ่ื ได้ซักถาม กป็ ญ๎ หาตา่ งๆกับพระองคเ์ ปน็ ทพ่ี อใจแลว้ พระพุทธเจ้าจงึ ตรสั ถามเขาวา่ “ทา่ นประกอบอาชพี ทางไหน?” “เลน่ การพนนั พะย่ะค่ะ” พราหมณ์ “ทา่ เหน็ จะเล่นเกง่ มากได้ผลเปน็ อย่างไรบ้างชนะหรอื แพ้?” พระ “บางทีกช็ นะบางทีกแ็ พเ้ อาแน่ไม่ได้” พราหมณ์ “การชนะผู้อ่ืนก็อย่างน้ันแหละพราหมณ์, ไม่ดีวิเศษอะไรนักสู้ชนะตัวเองไม่ได้” พระพุทธเจ้าตรัส ปรารภเรื่องการชนะแลว้ จงึ ประทานพระโอวาทแกเ่ ขาดว้ ย “คําพระ” ข้างบนนี้ ความหมาย:-คนเรามคี วามคดิ ชัว่ ท่ีเรียกว่า “อธรรม” เป็นศัตรูตัวเองทําให้เราพ่ายแพ้ต่ออํานาจฝุาย ตํ่าเช่นความละโมภความพยาบาทและความหลงริษยาการชนะตวั เองหมายถึงการกาํ จัดความคิดช่ัวออกจากใจ ให้ได้พูดง่ายๆ คือชนะ “อธรรม”ที่แทรกแซงอยูใ่ นใจเรานีเ้ อง (๑๓๖) ทนโฺ ต เสฏโสมนสุ ฺเสสุ ในพวกมนุษยด์ ว้ ยกนั คนทีไ่ ดร้ บั การฝึกหดั แล้วยอ่ มประเสริฐทส่ี ดุ (ธ.บ. ๗) โอกาสท่ีควรใช้:-สดุดีคนท่ีได้รับการฝึกอบรม และบรรยายคุณประโยชน์ของการฝึกอบรม วิชาต่างๆ นิทาน:-คร้งั หนง่ึ พระพุทธเจ้าประทบั อยทู่ เ่ี มืองโกสัมพี ทรงถกู นางมาคัณทิยาผู้ชายาของพระ เจ้าแผ่นดินจงเกลียดจงชังเพราะว่าคร้ังหน่ึงบิดาของเธอยกถึงให้พระพุทธเจ้าเพราะไม่ทราบว่า พระพุทธเจ้าเป็นอรยิ บุคคลพระพทุ ธเจ้าทรงปฏิเสธทําให้เธอน้อยใจและผูกอาฆาต

62 นางมาคัณทิยาได้จ้างพวกกรรมกรติดตามด่าพระพุทธเจ้าอย่างสาดเสียเทเสียฝุายพระ อานนทผ์ ูต้ ิดตามอปุ ๎ฏฐากพระพทุ ธเจา้ ทนไม่ไหวจึงทูลเชญิ พระองคไ์ ปทเ่ี มอื งอ่นื พระพุทธเจา้ ตรสั วา่ “จะไปไหนอานนท์?” พระอานนท์ทลู ว่า “ไปเมืองอื่นพ่ะยะ่ คะ่ ” พระพทุ ธเจ้า “ถ้าคนเมอื งอื่นเขาดา่ ละ่ ?” พระอานนท์ “ก็ไปเมอื งอนื่ ตอ่ ไปอีก” พระพุทธเจ้า “ถา้ คุณเมืองอนื่ นั้นด่าอีกล่ะ?” พระอานนท์ “กไ็ ปเมืองอนื่ ตอ่ ไปอกี ” พระพทุ ธองคต์ รัสว่าทําอยา่ งน้ันไม่ถูกเราต้องอดทนคําลว่ งเกินของคนอื่นต้องฝึกอดทนให้ได้ในท่ีสุดได้ ตรัส “คําพระ” บทน้ี ความหมาย:- คําวา่ ฝึกหมายถึงการฝกึ ทาํ อะไรให้เปน็ เริ่มแต่ฝึกเขียนฝึกอ่านฝึกงาน ฯลฯ จนคิดฝึกใจ ของตนเองใหส้ ุภาพเรยี บร้อยและให้สามารถเผชิญกบั อารมณท์ กุ ชนดิ (๑๓๗) สโุ ป ปญญฺ าปฏลิ าโภ. การได้ปญ๎ ญา ทา้ ให้เกิดความสขุ (ธ.บ. ๗) โอกสารท่ีควรใช้ :- ส่งเสริมการศึกษาอบรม นทิ าน :- คร้งั หนึง่ พระพุทธเจา้ ประทับอยทู่ ่ีสํานักสงฆ์ใกล้ปุาหิมพานต์ กําลังทรงดําริถึงความ ลําบากยากเข็ญของประชาชน ซ่ึงถูกแระราชาและเสนาอํามาตย์กดข่ีข่มเหง เพราะยุคนั้นข้าราชการทุจริต ฉอ้ โกงกันมาก มารเห็นได้ช่องจึงเข้าไปเฝูา และทูลเชิญพระพุทธเจ้าให้ทรงลาสมณเพศไปปกครองบ้านเมืองและ กล่าวชมวา่ พระองค์จะมคี วามสุขมากจากการเถลิงอาํ นาจทางโลก พระศาสดา ทรงตําหนิ ความคิด และความพยายามของมาร โดยทรงแสดงว่าความสุขที่แท้จริงนั้นหา ใชจ่ ะเกดิ จากอํานาจ และความมั่งมีตามที่มารว่าหากแต่เกิดจากเหตุอ่ืนๆ (๑๒ ประการ) “คําพระ” ข้างบนนี้ เปน็ ข้อหนง่ึ ซ่ึงแสดงถงึ เหตุเกิดความสุข ความหมาย :- ป๎ญญาหมายถึงความรู้จักผิดชอบ หรือรู้จักบาปบุญคุณโทษ ทางท่ีจะให้เกิดดวง ป๎ญญามี ๓ ทาง คอื สตุ ตามยปญ๎ ญา ป๎ญญาเกดิ จากการฟ๎ง (หมายถึงการเรียน) ๑.จินตามยปญ๎ ญา ป๎ญญาเกิด จากการคิดค้น ๑. ภาวนามยปญ๎ ญา ปญ๎ ญาเกิดจากการอบรมจิตใจ ๑ ป๎ญญาของมนุษย์เราน้ีมีไว้เพื่อ หาความสุขใหแ้ กต่ นและผูอ้ นื่ (๑๓๘) นตฺถิฌานอปญฺญสสฺ นตถฺ ปิ ญฺญาอฌายิ โน. ฌานย่อมไมม่ ีแกค่ นไมม่ ปี ๎ญญา ปญ๎ ญาก็ไม่มีแกค่ นไมม่ ีฌาน (ธ.บ. ๗) โอกสารทค่ี วรใช้ :- แนะนาํ วิธีปลกู ปญ๎ ญา นิทาน :- ครั้งหนึ่ง พวกโจรจํานวนเก้าร้อยคนเล่ือมใสในศาสนา จึงขอบวชในสํานักของพระโสณะ (โสณกฏุ กิ ณั ณะ) ท่านพระโสณะได้พาพระเหล่านั้นไปทําความเพียรอยู่บนเขา แคว้นอวันตี โดยแบ่งออกเป็น คณะๆ ละ ๑๐๐ รูป พระศาสดา ทรงเปล่งพระรัศมไี ปยงั พระภิกษเุ หล่านนั้ และทรงแสดงธรรมดว้ ย “คาํ พระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย :- ฌาน ได้แกค่ วามที่จติ แน่วแนเ่ ปน็ สมาธิ ฌานกับปญ๎ ญาเป็นของอาศัยกัน คือ คนเรา ถา้ ใจล่อกแล่กกใ็ ช้ปญ๎ ญาไม่ได้ดี จะต้องทาํ ให้ใจแน่วแน่ก่อนจึงจะใช้ป๎ญญาได้ผล แต่คนเราจะทําใจให้แน่วแน่ ได้กต็ อ้ งอาศัยป๎ญญาเข้าชว่ ย

63 การเรยี น การอ่าน การฟ๎ง ถ้าใจไมเ่ ปน็ สมาธกิ ็ไม่ได้ความแตกฉานแจม่ แจ้งเปน็ ทท่ี ราบกันอยู่แลว้ (๑๓๙) อตตฺ านเมวปฐมปฏิรเู ป นิเวสเย อถญฺญมนุสา เสยยฺ น กลิ ิสฺเสยฺยปณฺฑิโต. ปรบั ปรงุ ตัวเองให้ดกี ่อน แลว้ จงึ สอนคนอนื่ จะไดไ้ ม่ล้าบาก (ธ.บ. ๖) โอกสารท่คี วรใช้ :- อบรมผูเ้ ป็นครบู าอาจารย์สงั่ สอนคนอื่น นทิ าน :- พระอุปนนท์ ซ่ึงเป็นพระญาตขิ องพระพทุ ธเจ้า มีความสามารถในทางเทศนาอบรมสั่งสอน คนอนื่ เก่งมาก เพราะมวี าทศิลป แต่ตัวทา่ นเองไม่ประพฤติอย่างที่สอนเขา จึงกลายเป็นคนดีแต่ปาก อย่างเช่น มีอยู่พรรษาหนงึ่ พระอุปนนท์ ทําทไี ปอยู่ทว่ี ดั โนน้ นิดวัดน้หี นอ่ ย ทิ้งข้าวของเครื่องบริขารเอาไว้ คล้ายๆกับตน สังกัดอยทู่ ่วี ัดนั้นๆ เผ่ือว่าเวลาพระสงฆ์วัดน้ันแบ่งป๎นลาภกัน ตนจะได้มีส่วนด้วย บางทีพระอ่ืนเกิดความเห็น ขดั แยง้ กนั มาขอให้ทา่ นตดั สนิ ให้ กเ็ รยี กรอ้ งเอาคา่ ตอบแทนเสียอกี คนทั้งหลายจึงพากันตําหนิติเตียนว่า พระ อะไรดีแต่สอนเขา… ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง ต่อเหตุการณ์น้ี พระพุทธเจ้าจึงทรงตําหนิพระอุปนนท์และ ประทานพระโอวาทด้วย “คําพระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย :- การท่ผี ู้อบรมสั่งสอนคนอนื่ ปรับปรงุ ตัวเองกอ่ นแลว้ จึงสอนเขา ไม่ลําบากหลายอย่าง คือไมถ่ ูกใครๆนนิ ทาว่าดีแตส่ อน และไมล่ าํ บากในการทจี่ ะสรรหาคําพูดที่จะสอนคนอ่ืน คือ พูดได้เต็มปากเต็ม คํา ไม่ต้องกลวั วา่ ใครจะย้ิมเยาะหรือโหเ่ อา (๑๔๐) อตฺตา หกิ ิรททุ ฺทโม(ธ.บ. ๖) วา่ กนั วา่ ตัวเองสิฝึกล้าบาก โอกสารท่ีควรใช้ :- อบรมคนท่ีทําหน้าท่เี ปน็ ครฝู กึ คนอ่ืน นทิ าน :- พระอาจารย์รูปหนึ่งเลน่ ไม่ซื่อตอ่ ลูกศษิ ย์ พอตอนหวั ค่าํ บอกใหล้ ูกศิษย์ทําความเพียรเดินจง กลม ทาํ สมาธิ ส่ังกําชับเป็นดิบเป็นดีแล้วตนเองก็เข้าห้อง จําวัดตลอดเวลา พอตกดึกพวกลูกศิษย์ซึ่งทําความ เพียรมาแตห่ วั ค่ํา เตรยี มจะพกั ผอ่ นบา้ ง ก็พอดไี ด้เวลาอาจารย์ตนื่ โดนอาจารย์เค่ียวเข็ญถากถางเอาอีกว่า เห็น แกห่ ลบั แกน่ อน รวมความว่า ถ้าพระอ่ืนทําความเพยี รอาจารย์ก็นอน พอพระอื่นจะนอน อาจารย์ก็ต่ืน พวกลูก ศิษย์ไม่ได้รับการพักผ่อนตามสมควร ทําให้การทําสมาธิภาวนาไม่ก้าวหน้า และสุขภาพเส่ือมโทรมตามๆ กัน จนกระทั่งวันหนึ่งลูกศิษย์ทนไม่ไหว อยากรู้ว่าอาจารย์ของตนวิเศษอย่างไรจึงอดนอนได้ดีมาก ตัวท่านเองไม่ หลบั ไม่นอนและเทยี่ วปลุกใครๆ ตลอดกาล ศิษย์จึงไปแอบดูเวลาอาจารย์เข้าห้อง ก็เลยพบอาจารย์นอนหลับ และจับกําพืดของอาจารย์ได้ นําความไปกราบทูลพระศาสดา พระองค์ประทานโอวาทว่า ที่ถูกคนเราควร ปฏบิ ัตใิ หไ้ ดก้ อ่ นแลว้ จึงค่อยสอนคนอื่น และทรงเนน้ ลงดว้ ย “คาํ พระ” บทน้ี ความหมาย :- การฝกึ ตัวเองหมายถึงฝึกนิสัยใจคอให้ดี ฝึกบังคับใจของตนเองให้ได้ รวมไปถึงการ ฝกึ หดั งานใหเ้ ปน็ ด้วย (๑๔๑) อปปฺ สฺสตุ าย ปรุ ิโสพลิพทโฺ ทวซึรติ มงสานิ ตสฺสวทฺฒนตฺ ิ ปญญฺ า น วฑฒฺ ติ. คนขาดการศกึ ษายอ่ มจะแก่เหมอื นโคถึก มากแตเ่ นอื้ ปญ๎ ญาไม่มี (ธ.บ. ๕) โอกสารท่คี วรใช้ :- แสดงโทษของการขาดการศึกษา นิทาน :- อัคคิทัต เป็นชาวนา ไม่ได้รับการศึกษา แต่ลูกชายชื่อโสมทัตได้เข้ารับราชการเป็น มหาดเลก็ อัคคทิ ตั มวี วั อยู่ ๒ ตวั กม็ าตายเสยี ตัวหน่งึ จงึ บอกลกู วา่ ขอให้ขอพระราชทานวัวให้สักตัว เพ่ือเอามา เข้าคู่กัน โสมทัตคิดว่าให้พ่อเข้าไปขอเองดีกว่า แต่เห็นพ่อเงอะงะ จึงจัดการฝึกซ้อมเสียก่อน โดยมัดหญ้าทํา

64 เปน็ พระราชา มหาอาํ มาตย์ เสนาบดี ถวายคาํ นบั แลว้ กราบทลู วา่ “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ามีวัวอยู่สองตัว ตัว หนง่ึ ตายเสียแลว้ ขอพระองค์ได้โปรดพระราชทานวัว ๑ ตัว แก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วย” คร้ันถึงเวลาเข้าเฝูาจริง อคั คทิ ตั เกดิ ประหมา่ กราบทลู วา่ “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ามีวัวอยู่สองตัว ตัวหนึ่งตายเสียแล้ว ขอพระองค์ได้ โปรดรบั เอาโคอกี ตวั หน่ึง” คาํ กราบบงั คมทลู ขอววั ของเขา กลายเปน็ การถวายวัวแก่พระราชาไป แต่พระราชา กท็ รงทราบ ได้พระราชทานวัวแก่เขา พระพทุ ธเจา้ ทรงยกเรอื่ งนีม้ าเป็นอุทาหรณ์แล้วตรัส “คําพร” ขา้ งบนนี้ ความหมาย :- แจ่มแจง้ อยูแ่ ลว้ (๑๔๒) อวิชชฺ า ปรมมล. อวชิ าเป็นมลธนิ อย่างย่ิง (ธ.บ. ๗) โอกสารทีค่ วรใช้ :- แสดงโทษของความไมร่ ู้ นิทาน :- “คําพระ” บทนี้พระพุทธเจ้าตรัสแก่ชายคนหนึ่ง ซ่ึงมาเฝูาพระองค์ ณ วัดเวฬุวัน เมือง ราชคฤห์ ชายผู้นน้ั กราบทูลพระองคว์ า่ เขาได้รบั ทกุ ข์แสนสาหสั เพราภรรยาประพฤตินอกใจ พระพุทธองค์ได้ ทรงแสดงแก่เขาวา่ ความประพฤติเช่นนั้นเป็นมลทินของหญิง แล้วเลยทรงแสดงสิ่งท่ีเป็นมลทินอีกหลายอย่าง คือ - ความประพฤติชั่วเป็นมลทนิ ของหญิง - ความตระหน่ีเป็นมลทินของผใู้ ห้ - บาปธรรมทั้งหลายเปน็ มลทิน เสร็จแล้วได้ตรสั ตอ่ ไปว่า ยงั มีมลทินชนิดท่ีร้ายแรงกว่ามลทินทั้งหลายอยู่อีกอย่างหน่ึง คืออวิชา แล้ว ตรัส “คําพระ” บทน้ี ความหมาย :- อวิชา คือความไม่รู้ ได้แก่ อวิชา ๘ อย่าง คือ ๑. ไม่รู้จักทุกข์ ๒. ไม่รู้จักเหตุให้เกิด ทกุ ข์ ๓. ไมร่ ูจ้ กั ดับความทุกข์ ๔. ไมร่ ูจ้ ักทางใหถ้ ึงความดับทกุ ข์ ๕. ไม่รู้จักเรอื่ งอดีต ๖. ไม่รู้จักเร่ืองที่จะมีมาใน อนาคต ๗. ไม่รู้จักทั้งอดตี ทัง้ อนาคต ๘. ไม่รู้จกั ปฏิจจสมปุ บาท (ความเกดิ ความดับแหง่ ชีวติ ) (๑๔๓) อถตฺ า สุทนโฺ ต ปุรสิ สสฺส โชต.ิ คนทฝี่ ึกดีแล้วเปน็ แสงสว่างของคนเรา (สคาถวรรคสงั ยุตตนิกาย) โอกสารทค่ี วรใช้ :- ในการฝึกอบรมทางวชิ าการตา่ งๆ นิทาน :- ที่ริมฝ่๎งแม่นํ้ามุนทริกา ในประเทศโกศล มีพราหมณ์คนหนึ่งช่ือ ภารัทวาช ไปต้ังเคร่ือง สงั เวยขนึ้ แล้วทาํ การบูชาไฟตามลัทธิของพราหมณ์ ครั้นทําพิธีกรรมเสร็จแล้วจะนําเคร่ืองสังเวยไปให้นักพรต สักคนหนง่ึ กน็ ึกไมอ่ อกว่าควรจะนําไปใหใ้ คร ขณะท่กี ําลังกวาดสายตาหาผู้ท่คี วรรบั เครอ่ื งสงั เวยอยู่นน้ั กม็ องไป เหน็ นักพรตผู้หน่ึง นัง่ คลมุ ศีรษะ (เพราะอากาศหนาวจัด) อย่ใู ตร้ ่มไม้ จงึ ยกเครอื่ งสังเวยเขา้ ไปหา นักพรตผู้นั้นคือพระพุทธเจ้า แต่ภารัทวาชก็ไม่เคยรู้จัก ทีแรกทําท่าจะหนีเพราะเห็นพระพุทธเจ้ามี พระเกศาโลน้ เขานกึ ว่าเปน็ พวกคนจัณฑาลชัน้ ต่ํา แต่แล้วก็ฉุกคิดขน้ึ ได้ว่า นักพรตที่โกนหัวก็มี จึงกลับสนทนา ด้วย ภารทั วาชทูลถามตอนหน่ึงว่า คนที่เกิดในตระกูลไหนจัดว่าประเสริฐแท้ (คือคนท่ีเขาจะได้เอาเครื่อง สังเวยไปให้ผ้นู นั้ เพื่อให้ผ้นู ้ันเปน็ แสงสว่างสอ่ งทางสวรรคใ์ ห้) พระพุทธองค์ทรงตอบตัดบทว่า ตระกูลไหนก็ไม่ สําคัญ แต่สําคัญอยู่ท่ีว่า ใครได้ฝึกอบรมตัวเองดีและมีความประพฤติดีหรือไม่ต่างหาก พระดํารัสนี้ทําให้ พราหมณ์ทึง่ พระศาสดาตรสั สําทบั ลงไปวา่ ตวั เองทฝ่ี กึ อบรมดแี ล้วนั่นแหละ จะเป็นแสงสว่างสอ่ งทางให้ตัวเอง (คอื คาํ พระขา้ งบน)

65 ภารัทวาชเล่ือมใสในพระดํารัส แต่สงสัยว่าถ้าเช่นน้ันตนจะเอาเครื่องสังเวยไปให้ใคร จึงทูลถาม พระพทุ ธเจา้ พระองคร์ บั สั่งว่าอาหารชนดิ น้ใี ครๆ กินแล้วกไ็ มย่ ่อย เว้นแต่พระองค์เองและพระสาวก (บางรูป) แตพ่ ระองคก์ ไ็ มร่ ับและไม่ใหถ้ วายแกส่ าวกของพระองค์ดว้ ย (เพราะถ้าทรงรบั ก็เท่ากับทรงขออาหาร หรือน้อม ลาภมาเพ่ือพระองค์เอง) ให้เอาท้ิงลงในนํ้าเสีย ภารัทวาชก็ทําตาม คือเทอาหารสังเวยท้ิงน้ํา ผลปรากฏว่าพอ อาหารตกถึงนํา้ ก็ทาํ ใหน้ ้ําเดือดเปน็ ควันพุ่งขึน้ ทาํ ใหเ้ ขาเองแปลกใจมารก ความหมาย :- คนเราทุกคนหากฝึกตัวให้ดี ทั้งทางโลกทางธรรม ตัวเองน่ันแหละจะกลายเป็นดวง โคมส่องแสงสวา่ งให้ตวั เอง ไม่ตอ้ งพึง่ คนอื่นรํ่าไป เหมือนอ่านหนังสืออกเสยี เองก็อา่ นไดเ้ อง (๑๔๔) สาธุ โข สปิ ฺปกนฺนาม. ขน้ึ ชือ่ วา่ ศิลปะ แมอ้ ยา่ งใดอย่างหน่ึง ก็สา้ เรจ็ ประโยชนไ์ ด้ (ธ.บ. ๓) โอกสารท่คี วรใช้ :- สรรเสริญคณุ ของศิลปะ นทิ าน :- คร้ังหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเลา่ อดีตนทิ านใหพ้ ระสงฆ์ฟง๎ ว่า ยงั มีบรุ ษุ เปลย้ี คนหน่ึง ชํานาญใน การดดี กอ้ นกรวด พวกเด็กๆ ชอบจา้ งใหเ้ ขาดดี ก้อนกรวดไปท่ีใบไทร พอพวกเด็กบอกว่าขอดูรูปม้า เขาก็ดีก้อน กรวดข้ึนไปเจาะใบไทรเป็นรูปม้า พวกเด็กๆ ขอดูรูปช้าง รูปนก และรูปอะไรๆ ก็ทําให้ดู จนกระท่ังใบไทรต้น น้ันเปน็ ไปดว้ ยลายต่างๆ อยู่มาวนั หน่ึง พระเจ้าแผ่นดินเสดจ็ ไปประทับที่ร่มไทรน้ันในเวลาเท่ียง ทอดพระเนตเห็นเงาต้นไทรมี รูปอะไรตา่ งๆ เต็มไปหมด เม่อื ทรงสอบสวนดกู ท็ รงทราบว่า เปน็ ศิลปะของคนเปล้ีย พระองค์จึงรับสั่งให้นําตัว มาเขา้ เฝูา “ฉนั มอี ํามาตย์อยคู่ นหน่ึง แกพูดมากจนรําคาญ” พระราชาทรงปรารภ “เธอจะช่วยดีดข้ีแพะเข้าปาก แกได้ไหม?” “ได้พะยะ่ ค่ะ” เขารบั วันหนึ่ง ขณะทอ่ี ํามาตย์พูดมากคนนั้นเข้าเฝูา บรุ ุษเปล้ยี ซ่งึ แอบอยูห่ ลงั มา่ น ได้ใช้ความชํานาญของตน ดีดขี้แพะเขา้ ปากอํามาตย์ทกุ คร้ังท่ีแกอา้ ปากจะพูด จนขี้แพะหมดหนึ่งกะลาก็ไม่ยอมนิ่ง พระราชาจึงตรัสถาม ตรงๆ วา่ “กนิ ขี้แพะหมดท้ังกะลาแล้วยงั ไม่หยุดพดู อกี ร?ึ อํามาตย์อายแก่ใจจึงนิ่งต้ังแต่นั้นมา ทําให้พระราชา ทรงสําราญพระทยั มาก จงึ ประทานรางวลั แก่บรุ ุษเปลี้ยอยา่ งมาก พระราชครูผ้หู นึ่งจงึ กลา่ วคําสุภาษิตข้างบนน้ี แก่พระราชา ความหมาย :- ศิลปะหมายถงึ ความชาํ นาญในการทํางานอะไรอย่างใดอย่างหน่ึง (๑๔๕) มโนปุพพงคฺ มา ธมฺมา มโนเสฎฐา มโนมยา. เร่อื งท้ังปวงสา้ คัญทใ่ี จ ดที ใ่ี จ สา้ เรจ็ ที่ใจ(ธ.บ. ๑) โอกสารทค่ี วรใช้ :- ในการพฒั นาทางจติ ใจและการปรับปรุงงานทุกอย่าง จะต้องไม่ลืมท่ีจะคํานึงถึง จติ ใจของมวลชน นทิ าน :- ครง้ั เมือ่ พระพทุ ธเจ้าประทับอยู่ท่ีเมืองสาวัตถี มีพระอรหันต์ตาบอดองค์หน่ึง (ช่ือพระจักขุ บาล) เดินจงกรมเหยียบแมลงเม่าตายเกลื่อนกลาด พระภิกษุอื่นพากันตําหนิท่าน พระพุทธองค์ตรัสช้ีแจงว่า ทา่ นไม่ไดเ้ จตนา จึงไม่บาป และตรัสเล่ากรรมเก่าของพระอรหันต์ตาบอดน้ันว่า ตั้งแต่ชาติก่อนท่านเป็นหมอ รกั ษาตา คราวหน่ึง มหี ญิงยากจนคนหน่ึงขอให้ท่านรักษาตาให้ โดยสัญญาว่า ถ้ารักษาหาย นางและลูกๆ จะ ยอมเป็นข้ารับใช้ในครอบครัวของหมอ แต่ครั้นหมอรักษาหายแล้ว นางน้ันเกิดบิดพลิ้ว แกล้งทําเป็นตาบอด เพ่ือจะได้ไม่ต้องตอบแทนคุณหมอ แต่หมอรู้ทันและไม่พอใจ จึงปรุงยาให้ใหม่ โดยแกล้งทําเป็นไม่รู้เท่า เมื่อ นางขีโ้ กงนั้นหยอดยาใหมเ่ ขา้ ไป กเ็ ลยตาบอดสนทิ เลย กรรมอันน้เี องที่ทาํ ให้ท่านทาํ ความเพียรจนตาบอดจึงได้

66 บรรลพุ ระอรหนั ต์ เพอ่ื ทรงเนน้ ในเรอื่ งนีพ้ ระพุทธองค์จึงตรัสคําพระข้างต้นนั้น คือทรงชี้ให้เห็นว่าดีชั่วสําคัญที่ ใจเหมือนหมอคนนั้นใจคิดร้ายต่อคนไข้ แม้กิริยาภายนอกจะทําทีว่าช่วยรักษาพยาบาล ก็ต้องบาป และพระ อรหันตต์ าบอด แม้จะเหยยี บแมลงเมา่ ตายมากมาย แต่ใจท่านไม่ได้คดิ ร้าย จงึ ไมเ่ ปน็ บาปกรรม ความหมาย :- ในการวนิ ิจฉยั ความชัว่ ดขี องคน ต้องถือจิตใจของผู้น้ันเป็นสําคัญว่ามีเจตนาอย่างไร ความชัว่ ทที่ ําโดยไมเ่ จตนากเ็ ปน็ เพียงความพลาดพล้ัง และความดีทีท่ าํ โดยไม่ตั้งใจจริง กเ็ ป็นเพียงการบงั เอิญ อนึง่ ในการพัฒนาสังคมใหเ้ จริญ และมรี ะเบียบเรยี บรอ้ ยได้ จําตอ้ งไมล่ มื ท่ีจะพัฒนาจิตใจของคนด้วย เพราะใจเป็นใหญ่ ดไี ดด้ ว้ ยใจ สําเร็จดว้ ยใจ ดงั พระตรสั (๔๖) น สิยา โลกวฑุฒโน. อยา่ เปน็ คนรกโลก(ธ.บ. ๖) โอกสารทีค่ วรใช้ :- อบรมสัง่ สอนคนท่ีไม่ต้ังใจทาํ ตวั ให้เปน็ ประโยชน์ นิทาน :- มพี ระภกิ ษุหนมุ่ รปู หน่ึงไปที่เรือนของมหาอบุ าสกิ าวสิ าขา เพ่ือรบั อาหารบิณฑบาตตามปกติ แต่วนั นน้ั นางวสิ าขามกี จิ อยา่ งอ่นื อยู่ จงึ ให้หลานสาวต้อนรบั พระแทน ขณะทแี่ ม่สาวน้อยตักน้ําในตุ่มเพ่ือถวาย พระนน้ั เธอได้เห็นเงาหนา้ ของเธอเองในน้ํา นึกขําขึ้นมาจึงหัวเราะข้ึนเบาๆ พระภิกษุหนุ่มซึ่งน่ังรออยู่เห็นเธอ หวั เราะ จะนึกอย่างไรขน้ึ มาก็ไม่ทราบเกดิ หัวเราะกับเขาด้วย พอเห็นพระหัวเราะแม่สาวน้อยเกิดไม่พอใจเลย วา่ พระว่า “คนหัวขาด ! หวั เราะทาํ ไม?. พระหนุ่มก็เลยยอ้ นเอาว่า “แกสิ ! หัวขาด ! พอ่ แม่แกก็หัวขาด !” นาง ไดฟ้ ง๎ ดงั น้นั กร็ อ้ งไห้ ว่ิงไปฟูองยา่ ฝาุ ยท่านยา่ ก็ออกมาพูดกับพระว่า “อย่าโกรธเด็กเลยเพราะท่านกห็ วั ขาด จรงิ ๆ !” พระหนุ่มไดฟ้ ง๎ ดงั นนั้ ยิ่งไม่พอใจ สกั ครหู่ นงึ่ พอดีพระเถระรปู หนึง่ ผ่านมา พอทราบเหตุการณ์ก็จะช่วย ระงับ แตก่ ม็ าพดู เขา้ ข้างผู้หญิงอีก พระหนุ่มยิ่งเสียใจใหญ่ พอดีพระพุทธเจ้าเสด็จมา พระหนุ่มจึงกราบทูลว่า ตนเสยี ใจ ยา่ ก็พูดเข้าข้างหลาน พระเถระก็พดู เข้าขา้ งอุป๎ฏฐาก พระศาสดาจงึ ทรงตกั เตือนนางวิสาขา ให้อบรม หลานสาวเสียให้ดี เสร็จแลว้ กท็ รงตรัส “คาํ พระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย :- คนท่ชี อบกอ่ การวิวาทเปน็ จา้ วถ้อยหมอความ ระรานคนอ่ืน เป็นคนรกบ้านรกเมือง รกโรงศาล รกใจของคนอ่ืน รกวัดวาอาราม ชื่อวา่ รกโลก. (๑๔๗) โย จ ปุพเฺ พ ปมชชฺ ติ ฺวา ปจฉฺ าโสนปฺปมชฺชติ โสมโลกปภาเสติ อพฺภามตุ ฺโต ว จนฺทิมา. ผใู้ ดประมาทแล้วในเบื้องแรก แตภ่ ายหลงั ไมป่ ระมาท ผนู้ ้นั ยอ่ มยังโลกนี้ให้สว่าง ดังพระจันทร์พ้นจาก เมฆหมอกฉันนนั้ (ธ.บ. ๖) โอกสารทค่ี วรใช้ :- ให้กาํ ลงั ใจแกผ่ กู้ ลับตัวเปน็ คนดี นทิ าน :- องคุลิมาล มหาโจรผู้ยิ่งใหญ่ฆ่าคนมาแล้วถึง ๙๙๙ คน แล้วก็ตัดเอานิ้วมือของผู้ที่ตายร้อย เข้าเป็นพวงคล้องคอตัวเอง กําลังหาคนท่ีเขาจะฆ่าให้ครบพัน เป็นที่หวั่นหวาดกันโดยท่ัวไป ครั้นแล้ว พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปทรมาน มหาโจรนั้นด้วยฤทธ์ิจนโจรคลายความพยศ หมดความดุร้ายและได้บวชใน ศาสดา ทาํ ความเพียรจนได้บรรลุเป็นพระอรหันตใ์ นไมช่ า้ วันหนง่ึ พระองคลุ มิ าลไปพกั เสวยวิมุติสุขอยู่ ณ ทเ่ี รน้ โดยลาํ พงั ไดก้ ลา่ ว “คําพระ” ข้างต้นน้ี เสร็จแล้ว ปรนิ พิ พาน ณ ทน่ี น้ั ความหมาย :- คนเราแม้จะทําความช่ัวมาแล้ว เพราะความประมาท ภายหลังสํานึกตัวก็อาจทํา ความดี และเป็นคนดีได้ พุทธศาสนาจะให้ความนับถือแก่ผู้กลับตัวได้เสมอ แม้แต่วาระจิตเดียวก่อนจะส้ินใจ คําพระบทน้ีตรงกบั สภุ าษติ ไทยวา่ “ตน้ คด ปลายตรงใชไ้ ด้” (๑๔๘) อตตฺ า หอิ ตตฺ โน นา โถ.

67 ตนเองเป็นท่ีพึง่ ของตน(ธ.บ. ๖) โอกสารท่คี วรใช้ :- สอนใหร้ ้จู ักพงึ่ ตนเอง นทิ าน :- คร้งั หน่งึ เกิดมีเร่ืองอื้อฉาวขึ้นในสํานักของนางภิกษุณี โดยที่ภิกษุณีสาวรูปหนึ่งเกิดตั้งครรภ์ ขึน้ และเธอเองก็ยนื ยันว่า ตนมีศลี บริสุทธ์ิ พระศาสดาทรงทราบความบรสิ ทุ ธ์ขิ องเธออยู่เหมอื นกัน แต่ทรงเห็น วา่ เรอ่ื งทํานองนีค้ วรมกี รรมการสอบสวน จึงทรงตั้งกรรมการขึ้นคณะหน่ึง ประกอบด้วยบุคคลสําคัญ ทั้งฝุาย คฤหสั ถแ์ ละบรรพชติ ท้ังหญงิ และชายเมอื่ ไดส้ อบสวนแลว้ กไ็ ดค้ วามว่า ภิกษุณีน้ันได้ร่วมหลับนอนกับสามีของ ตนเม่ือก่อนบวชครรภ์เร่ิมตั้งข้ึนแล้วแต่ครั้งน้ัน แต่เธอไม่รู้ตัว อยู่มาเธอคลอดบุตรเป็นชาย และถวาย พระราชาป๎สเสนธิเป็นโอรสบญุ ธรรม ภิกษุณีเปน็ มารดาก็เกิดความอาลัยในลกู เรือ่ ยมา ฝาุ ยลูกชายได้นามว่า “กุมารกัสสป” เม่ือโตขนึ้ ไดอ้ อกบวชบรรพชาในศาสนา และไมม่ โี อกาสได้พบปะ กับมารดาเลย จนกระทง่ั วันหนึง่ ภกิ ษุณีมารดาได้เหน็ ลูก กําลังเดินบิณฑบาตอยู่ในเมืองเข้าโดยบังเอิญแรงรัก ผลกั ดนั นางได้ถลันเข้าหาพระเถระพลางอทุ านวา่ “ลูกฉัน” และล้มลงกับพ้ืน ท่านกุมารกัสปะ แทนท่ีจะแสดง อาการดีใจออกนอกหนา้ ทา่ นแสรา้ งกล่าวตอบไปว่า “ท่านทําอะไรอยู่ แค่แต่ความรักก็ตัดไม่ได้ ? !” ภิกษุณีผู้ มารดาฟง๎ แล้วสะด้งุ และสลดใจวา่ ลูกไมน่ า่ จะพูดจาอยา่ งน้ี เสียแรงรกั มานาน ความสลดใจน้ีทําให้นางตัดความ สิเน่หาไดข้ าดและบรรลอุ รหนั ต์ในวนั นน้ั พระพทุ ธเจ้าทรงปรารภเหตุน้ี จึงตรัส “คําพระ” ข้างบนแก่พระสงฆ์ ทัง้ หลาย ความหมาย :- คนอื่นแม้จะเป็นท่ีพึ่งได้บ้าง ก็เพียงบางคราวและบางกรณีเท่านั้น ส่วนตนเองย่อม เป็นท่ีพงึ่ ได้เสมอ (๑๔๙) สุทสสฺ วชฺชมฌฺเญสอตฺตโน ปน ททุ ฺทส. โทษคนอนื่ เห็นงา่ ย โทษของตนเห็นยาก(ธ.บ. ๗) โอกสารทค่ี วรใช้ :- เตอื นใจมใิ ห้เผลอไปมวั แตน่ ินทาคนอืน่ นิทาน :- กาลคร้ังหนง่ึ ท่านเศรษฐีใหญ่ชื่อเมณฑกะ แห่งภัททิยนคร ได้ทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าจะ เสดจ็ ในระหว่างทางน้ัน ไดม้ เี ดยี รถียพ์ วกหน่ึง (นกั บวชนอกศาสนา) พูดจาหา้ มปรามทา่ นเศรษฐีว่าท่านอย่าไป หาพระโคดมเลย เพราะพระโคดมกับท่านเป็นคนละลัทธิกัน เข้ากันไม่ได้ ท่านเป็นพวก “กิริยวาที” คือถือว่า ชวี ติ มแี ก่นสาร ทาํ อะไรๆ ไว้ก็เป็นของเรา ส่วนพระโคดมสอนนอกเร่อื งวา่ อะไรๆ เป็นอนัตตาไม่ใชต่ ัวใช่ตน เศรษฐียังคงไปเฝูาพระพุทธเจ้า เสร็จจากการฟ๎งธรรมแล้ว จึงทูลเล่าเร่ืองท่ีพบเดียรถีย์ให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าจงึ ตรัส “คาํ พระ” บทน้ี ความหมาย :- เป็นวิสัยของปุถุชน ซึ่งมีความรักตนเอง แล้วก็เลยเข้าข้างตัวเอง จึงยากที่จะตําหนิ ตัวเองได้ และในขณะเดียวกันคนเรามีริษยาประจําใจอยู่แล้ว คือไม่อยากให้คนอ่ืนดีเกิน เม่ือมองคนอ่ืนด้วย ริษยาก็ย่อมจะเหน็ ขอ้ บกพร่องของเขามากมายเป็นธรรมดา (๑๕๐) อตตฺ านญเวบียชญญา น นปาเปนสยุเช. ถา้ ร้วู า่ ตวั เองนา่ รกั กอ็ ย่าผกู มัดตวั เองไวก้ บั ความช่ัว(สคาถวรรคสังยตุ ตนกิ าย) โอกสารท่ีควรใช้ :- เม่ือจะปฏิบัติเองหรือสอนคนอ่ืนให้เลิกละจากการประพฤติช่ัว จนติดเป็นนิสัย แล้ว นิทาน :- คร้ังหนง่ึ พระราชาป๎สเสนทิโกศลแห่งประเทศโกศล เสด็จไปเฝูาพระพุทธเจ้าและกราบทูล ปรารภว่า ขณะท่ีพระองค์ (หมายถึงพระเจ้าป๎สเสนทิโกศล) ประทับอยู่ในท่ีเงียบสงัด เกิดความดําริข้ึนว่า พระองค์เองจะเป็นที่รักใคร่ของคนพวกไหน? และคนพวกไหนท่ีเกลียดชังพระองค์ ? ครั้นทรงส่งพระทัยไป

68 พิจารณาถึงพฤตกิ ารณ์ของใครๆ หลายคนเข้า ซ่งึ แตล่ ะคนก็มีบทบาทต่างๆ กันไปก็ให้เกิดพระดําริสืบต่อไปว่า ความจรงิ คนทุกคนกอ็ ้างวา่ รกั ตวั ท้ังนนั้ แต่เหตไุ หนบางคนจึงทําทุกข์ให้ตัวเองเล่า บางคนเท่าน้ันท่ีทําความสุข ความเจรญิ แกต่ ัวเอง แลว้ ก็ทรงสรุปลงว่า คนทีท่ ําความชัว่ ช้าเลวทราม แม้ปากเขาจะพูดว่ารักตัว เขาก็หาเป็น คนรักตัวไม่ ส่วนคนที่ทําความดใี ส่ตวั นัน้ แมป้ ากเขาจะไม่พูดว่ารกั ตัว แตก่ ็เปน็ คนรักตวั พระพุทธเจ้าตรัสรับรองว่า พระดําริของพระราชานั้นถูกต้อง แล้วจึงตรัสพระพุทธภาษิตที่ยกมาไว้นี้ เพ่ือเป็นการแสดงโอวาทของพระองค์ในเรือ่ งนี้ ความหมาย :- ทว่ี า่ ผูกมัดตวั เองไวก้ ับความชวั่ หมายความวา่ ปล่อยตัวให้เป็นทาสของสิ่งท่ีไม่ดี เช่น การคบเพอ่ื นชั่ว การหากนิ ทางทุจริต การเสพสุรายาเมาและติดยาเสพติดให้โทษ ติดการพนัน เหล่านี้เป็นต้น ความชัว่ ทุกอยา่ งยอ่ มนาํ ทกุ ข์มาให้ตัวเองเหมือนเช้ือโรค เหมือนยาพิษ เหมือนโจร เข้าท่ีไหนก็ทําความวิบัติที่ นนั่ คนรักตวั แต่รทิ าํ ความชั่ว จึงผิดทีไป (๑๕๑) อุฏฐานกาลมฺหิอนุฏเนหฐาโน ยุวา พลี อาลริยอุเปโต สสนฺนสงฺกปปมโน กุสีโต ปญฺญายมฺคคอล โสนวินฺทต.ิ คนทยี่ ังหนมุ่ แนน่ มีก้าลังแตไ่ ม่ขยันขันแข็งในเวลาท่คี วรขยัน เอาแตเ่ กยี จครา้ น ไม่มีความคิดริเร่ิม งาน การไมท่ ้า ยอ่ มจะพบลู่ทางด้วยปญ๎ ญาไม่ได้ (ธ.บ. ๗) โอกสารทค่ี วรใช้ :- เร้าใจคนหนมุ่ ให้กระตือรอื ร้นในการแสวงหาความก้าวหนา้ นิทาน :- มีกลุ บุตรหลายคนออกบวชพร้อมกัน ในจาํ นวนน้ันมอี ย่คู นหนึง่ ท่ีเกยี จคร้าน บวชแล้วกก็ ินๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ ส่วนพระภิกษุรูปอ่ืนไปเรียนธรรมวินัย และทําความเพียรจนได้บรรลุธรรม คร้ันวันหน่ึงพระ เหล่านัน้ ไปเฝาู พระพทุ ธเจ้า พระองค์ก็ทรงปฏิสันถารเป็นอันดี แต่ไม่ได้ตรัสอะไรกับพระเกียจคร้านรูปน้ันเลย พระรูปน้ันได้สตินึกถึงตัวคิดว่าเราจะต้องทําความเพียรให้สําเร็จเสียที ก็เหมือนอย่างคนเกียจค้านท้ังหลาย นั่นเอง บทจะขยันก็ขยันจนเกินดี คืนน้ันพระรูปนั้นก็เลยเดินจงกรมเป็นการใหญ่ เดินไปเดินมาเกิดไปล่ืนท่า ไหนกไ็ มท่ ราบ หกล้ม ! ขาหัก ! ส่งเสียงร้องล่ันวัด เล่นเอาพระดีๆ พลอยไม่ได้จําวัดด้วย เพราะช่วยพยาบาล รุ่งขนึ้ กะว่าจะไปในท่นี มิ นต์ก็เลยไปไม่ทันอดข้าวไปตามๆ กนั ความหมาย :- คาํ วา่ “พบลู่ทางด้วยป๎ญญา คอื ทางใดที่จะต้องใช้ความคิดใช้สติป๎ญญาคนประเภท น้หี าไมพ่ บ จะพบกแ็ ตท่ างถนนหนทางธรรมดา ซึ่งพบได้ด้วยตา (๑๕๒) ตนุ เฺ หหกิ ิจฺจอาตปปฺ อํ กฺขาตาโร ตถาคตา. ท่านท้งั หลายจะตอ้ งท้าความเพยี รเอง ตถาคตเป็นแตผ่ ู้บอกเทา่ น้นั (ธ.บ. ๗) โอกสารทคี่ วรใช้ :- แนะนําผู้นบั ถือพระพทุ ธศาสนา ให้รวู้ า่ ตนจะตอ้ งทําความเพยี รเอง มิใช่คอยอ้อน วอนเอากบั พระพทุ ธเจ้า นทิ าน :- คร้ังหนึ่งพระพทุ ธเจ้าทรงนาํ พระสาวกจาริกไปยังถ่ินต่างๆ เพื่อโปรดประชาชน คร้ันแล้วก็ เสด็จกลบั มายังวดั เชตวนั เมอื งสาวัตถี อนั เปน็ ทอ่ี าํ นวยการใหญ่ในการประกาศพระศาสนา แถบเหนือของชมพู ทวีป คร้ันเสด็จกลับมาถึงวัดเชตวันแล้ว พวกพระสงฆ์ที่ตามเสด็จก็จับกลุ่มสนทนากันถึงเร่ืองสภาพถนน หนทางที่ผ่านมา พระองค์ทรงอาศัยเหตุน้ันแสดงธรรมว่าด้วยเร่ืองทาง ใจความว่าในบรรดาทางทั้งหลายนั้น ทางสายกลางคือมชั ฌิมาปฏปิ ทาประเสรฐิ กวา่ เสร็จแลว้ กท็ รงยา้ํ ดว้ ย “คาํ พร” บทน้ี ความหมาย :- ท่ีทรงย้ําลงอย่างนี้เป็นการทรงแสดงอัธยาศัยอันซื่อตรงของพระองค์ว่า อะไร พระองค์ทรงช่วยได้ อะไรทรงช่วยไม่ได้ ก็ตรัสอย่างตรงไปตรงมา ในท่ีน้ีหมายความว่าทางไปนิพพานน้ัน

69 พระองค์ทรงทราบ และบอกให้ได้ แต่พระองค์จะช่วยยกเอาใครๆ ไปนิพพานไม่ได้ ผู้น้ันจะต้องปฏิบัติด้วย ตนเอง (๑๕๓) อตนฺ า โจทยตฺตาน. จงเตอื นตนดว้ ยตน (๑๕๔) ปฏิมเสถมตตฺ นา. จงพิจารณาตนดว้ ยตน (๑๕๕) อตตฺตาหอิ ตฺตโน นาโถ. ตนเป็นทพี่ ง่ึ แหง่ ตน (๑๕๖) อตฺตาว อตตฺ โน คต.ิ ตนเองเปน็ คติของตน(ธ.บ. ๘) โอกสารท่คี วรใช้ :- สอนให้คนรจู้ กั ต้งั ตัวและพึ่งตัวเอง แทนทีจ่ ะคอยเกาะคนอืน่ ร่ําไป นิทาน :- มีชาวนาเข็ญใจคนหนึ่ง ทํามาหากินไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แบกไถใส่เส้ือผ้าขาดๆ เดิน ผา่ นวัดบอ่ ยๆ พระภกิ ษรุ ูปหน่งึ ได้ออกปากแนะให้บวช เขาก็ตกลง โดยพระรูปน้ันอุปการะให้ผ้าไตรและพาไป อาบน้าํ ถูกตัวใหก้ ่อนเขา้ บวช เขาผลัดผ้านุ่งขาดๆ แขวนไว้ทกี่ ิง่ ไมน้ อกวัด พรอ้ มดว้ ยไถเก่าๆ คูท่ กุ ขค์ ู่ยาก ครน้ั บวชแลว้ ไดฉ้ ันอาหารดีๆ และมเี วลาพักผ่อนมากทําให้สุขภาพสมบูรณ์เกิดฮึดขึ้นมา อยากจะสึก ท่านจึงไปยืนดูผ้าขาดกับไถเก่าให้รู้สึกสมเพชตัวเองจนคลายความกระสัน ทําอยู่อย่างนี้จนใครๆ รู้กันหมด เรยี กทา่ นว่า “พระนังคลกฎู – พระคันไถ” แต่ความพยายามน้ี ช่วยให้ท่านบรรลุอรหันต์ในท่ีสุด พระพุทธเจ้า ทรงปรารภวธิ ีการของท่านจึงตรัส “คาํ พระ” บทนี้ ความหมาย :- คติ หมายถึงทางข้างหนา้ หรือโชคชะตา หรืออนาคตแห่งชวี ติ อนาคตของใครจะเป็น อยา่ งไรขึน้ อยกู่ บั ตวั ของผู้นัน้ เอง (นอกนนั้ ชัดเจนอยแู่ ล้ว) (๑๕๗) ปมาโท รกขฺ โต มล. ความประมาทเป็นมลทินของผรู้ กั ษา(ธ.บ. ๗) โอกสารที่ควรใช้ :- เตอื นใจผู้มหี น้าทรี่ ักษาการท้งั ปวง นิทาน :- เม่ือประชาชนพากันกล่าวสรรเสริญคุณพระอัครสาวกว่า ท่านแสดงธรรมเก่งมาก น่า เลื่อมใสจรงิ พระโลฬุทายีกพ็ ดู แยง้ ข้ึนวา่ “แคพ่ ระอัครสาวกเทศน์ พวกท่านยังชมถึงเพียงนี้ ถ้าได้ยินฉันเทศน์ จะชมสักแคไ่ หน” แสดงตนวา่ เปน็ นกั เทศนผ์ ้ยู ิ่งใหญท่ เี ดียว ประชาชนพากนั เชื่อว่าเป็นความจริง จึงจัดให้มีการประชุมฟ๎งเทศน์ข้ึน นิมนต์พระโลฬุทายีข้ึนเทศน์ เปน็ กัณฑ์แรก พระโลฬทุ ายีกข็ ยบั ข้ึนน่ังบนธรรมมาสน์ แต่แล้วนึกหาข้อธรรมท่ีจะแสดงไม่ได้สักข้อเดียว ผลัด ไปวา่ จะเทศน์ตอนกลางคืน พอถึงเวลากลางคืนก็เทศน์ไม่ได้อีก จะให้สวดก็สวดไม่ได้ เมื่อหมดท่าเข้าก็เลยลง จากศาลาว่งิ หนี พวกชาวบ้านก็เลยวิ่งไล่ตาม พระโลฬุทายีหลบไปหลบมา เลยพลัดตกลงไปในหลุมส่วน ฐาน พระ ! ตอ่ เหตุการณ์นี้ พระศาสดาตรัสว่า พระโลฬุทายีเรียนอะไรแล้วก็ไม่ท่องบ่น จึงหลงลืมหมด แล้วทรง สอนดว้ ย “คําพระ” บทนี้ ความหมาย :- ความประมาท คือความปล่อยปละละเลย มัวเมา และเผอเรอ เป็นมลทินต่อการ รกั ษาอะไรๆ ทุกชนดิ (๑๕๘) อชฺเชวกิจจฺ มาตปฺป.ํ

70 ควรท้าความเพยี รเสียในวันนแ้ี หละ(ธ.บ. ๗) โอกสารทคี่ วรใช้ :- เตือนใจคนท่ีผัดวันประกันพรุ่ง ใหร้ บี เรง่ ทําความเพียร นทิ าน :- คร้งั หน่ึง มีพอ่ ค้าต่างถ่ินคนหน่งึ นําคาราวานสนิ คา้ มาตง้ั ขายอยู่ท่ีชานเมืองสาวัตถี ซ่ึงเป็นท่ี ลมุ่ ราบใกล้แมน่ าํ้ อจรี วดี และเปน็ ทางผา่ นระหวา่ งตัวเมืองกบั วัดเชตวันวหิ าร เชา้ วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้เสด็จจากวัดเชตวันเข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี ได้ทอดพระเนตรเห็น พอ่ คา้ ผู้นั้น และทรงหยั่งทราบด้วยพระญาณว่าชีวติ ของพ่อค้าใหญ่จะถึงความส้ินสุดลง ในภายใน ๗ วันนี้แล้ว แตใ่ นขณะเดียวกนั ตัวเองหาทราบไม่ มัวแต่วางแผนจะจัดท่ีต้ังกองเกวียนของตน เพ่ือจะอยู่ประจําท่ีตลอดฤดู ฝน เมอ่ื พระองค์ทรงทราบความจรงิ ดงั นีแ้ ล้ว จงึ ตรสั แก่พระอานนท์ ฝุายพระอานนท์เมื่อได้ทราบแล้ว ก็รู้สึกสงสารพ่อค้า จึงเข้าไปหาเขาและกล่าวเตือน ดัง “คําพระ” ปรากฏขา้ งบนน้ี ความหมาย :- ความเพียร – ในท่ีนี้หมายถึง ความเพียรในการละเว้นความช่ัว และขวนขวายทํา ความดี (๑๕๙) อตฺตา หิอตฺตโน นตถฺ ิ กโุ ต ปตุ ตฺ า กโุ ต ธน. ตวั เราเองยังไม่มลี กู จะมแี ต่ทีไ่ หน ทรพั ยจ์ ะมแี ต่ท่ไี หน(ธ.บ. ๗) โอกสารทคี่ วรใช้ :- เตอื นใจผู้เป็นบิดามารดาใหส้ ร้างตัว สร้างกศุ ล นิทาน :- ในเมืองสาวัตถีมีเศรษฐีคนหน่ึง ช่ืออานันทะ มีทรัพย์มาก ตระหนี่เป็นที่สุด ท่านประชุม ญาติพน่ี อ้ งทุกกึ่งเดือน และสอนลูกวันละ ๓ เวลา เร่ืองที่สอนก็คือ อย่าบริจาคทรัพย์ให้ใครเป็นอันขาด ท่าน สอนว่าให้ดแู ต่ยาหยอดตา หยอดทีละหยดกย็ ังหมดได้ ท่านเองก็ไม่เคยทําบุญสุนทาน เพราะกลัวทรัพย์จะส้ิน เปลอง ครน้ั อย่มู าทา่ นได้ถงึ แกก่ รรม โดยท่ีลืมบอกขุมทรัพย์ ๕ แห่ง ให้แก่ลูกผสู้ บื ตระกลู ต่อมา ท่านเศรษฐีได้ถือปฏิสนธิในท้องของหญิงจัณฑาล นับตั้งแต่ผู้มารดาตั้งท้องเกิดหากินฝืดเคือง พอคลอดลกู ออกมาลูกกห็ นา้ ตาพิกลพิการดูไม่ได้ คร้นั เขาเตบิ โตพอเดินขอทานได้แล้ว นางก็เอากะลาใส่มือให้ ไปเท่ียวขอทานกนิ เอง วันหนึง่ เดก็ น้อยผอู้ าภัพเดินปวู นเปยี้ นเขา้ ไปในเรอื นเดิมของตน (ซึ่งลกู ชายครอบครองอยู่) ใครๆ ก็พา กนั ตะเพิดไลโ่ บยตใี หอ้ อกไป พอดีพระพุทธเจ้าเสด็จมา พระองค์จึงทรงเปิดเผยความจริงให้ทุกคนทราบ และ ทรงแนะใหเ้ ด็กพกิ ารบอกขุมทรพั ย์ที่ซอ่ นไว้ให้ลูกเสีย เด็กก็บอกได้ถูกต้องท้ังห้าแห่ง พุทธภาษิตข้อนี้เป็นพระ ดํารัสแกเ่ ด็กพิการน้ัน ความหมาย :- คนโงม่ ัวแต่นั่งนับว่านั่นทรัพย์ของเรา น่ันลูกหลานของเรา แต่ตัวเองไม่ได้สร้างบุญ กุศลอันใด (คอื ไมม่ ีความด)ี ในที่สุดลูกหลานของตัวเองเขากจ็ ําจะไม่ได้ อย่างเชน่ อานันทะในเรื่องนี้ (๑๖๐) กาโลฆสติ ภตู านิ สพเฺ พเนวสหตตฺ นา. กาลย่อมกินสรรพสตั ว์ พร้อมทง้ั ตวั มันเอง (มูลปริยายชาดก) โอกาสทีค่ วรใช้ :- สอนใหค้ นรู้จักทํางานแขง่ กบั เวลา นทิ าน :-ได้มีพระภกิ ษพุ วกหนึง่ ซึง่ เคยเปน็ พราหมณ์เรยี นไตรเพท จบแล้วมาบวชในศาสนา ครั้นบวช แล้วก็พากนั ท่องจําคาํ สอน ของพระพุทธเจ้าจนแตกฉาน เพราะตนเป็นคนมีความจําดี คร้ันพอจําคําสอนของ

71 พระพุทธเจา้ ไดม้ ากเข้า ก็เกิดความหย่ิง ตรี าคาตัวเองผดิ คือคิดว่าตัวเองกับพระพุทธเจ้าก็เก่งพอๆ กัน เพราะ ความรขู้ องพระพทุ ธเจ้าตัวก็ได้เรียนรู้แล้ว อยู่มาวันหนึ่ง พระพุทธเจ้ามีพระประสงค์จะทรงสอนพระเหล่าน้ัน จงึ ทรงเล่านิทานให้ฟ๎งว่า ต้งั แต่อดีตกาล นานมาแล้ว พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ และเป็นอาจารย์ใหญ่ทิศาปาโมกข์อยู่มามีลูก ศษิ ย์พวกหน่งึ เกิดความคิดวิปลาส คอื พอเรยี นศิลปะศาสตร์ได้มากแล้ว เกิดเข้าใจว่าตัวครูก็มีความรู้เท่าๆ กัน ไม่จําเป็นจะต้องเคารพครูต่อไปแล้ว จึงวางตัวตีเสมอกับครูท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ต้องการจะปราบทิฐิ มานะของลูกศษิ ย์พวกน้นั จงึ ชวนลูกศิษย์ไปนัง่ ทีร่ ่มพุทรา แล้วถามป๎ญหาให้ลูกศิษยต์ อบว่า “กาโลฆสติ ภตู านิ สพฺเพเนวสหตฺตนา. โย จ กาโลฆโส ภโู ต ม ภตู ปจนึปจิ” แปลว่า “กาลกินสัตวก์ ับตวั มัน ผูใ้ ดกนิ มนั ผู้นั้นเผาไฟทเ่ี ผาสัตว์” วา่ แลว้ อาจารยก์ ใ็ ห้ลูกศิษย์คดิ วดั รอยครูเหล่านน้ั อธิบาย วา่ ปริศนานห้ี มายความว่าอย่างไร? ลูกศษิ ย์เหลา่ นั้นมองหน้ากันล่อกแล่ก เพราะจนป๎ญญา ไม่ชา้ กพ็ ากนั รู้สึกตวั วา่ ความรใู้ นตัว อาจารยท์ ี่ตนยังไม่รกู้ ย็ ังมอี ีกมาก ความคิดเดิมท่ีว่าตนได้เอาความรู้ในตัวอาจารย์มาใส่ตัวไว้หมดแล้วน้ันผิดไป เสยี แลว้ และไดพ้ ากันเคารพนบน้อมอาจารยต์ ่อไป พระพทุ ธองคท์ รงนํานิทานเร่ืองน้ีมาเล่าให้พระที่สําคัญตัวผิดฟ๎ง ก็เลยทําให้พระเหล่านั้นได้สํานึกตัว และเลกิ ความคดิ ตเี สมอกบั พระพุทธเจา้ เสยี ได้ ความหมาย :- ท่อนตัวของ คําพระ ที่ว่า “กาลกินสัตว์ พร้อมท้ังตัวมันเอง” หมายความว่าสังขาร ร่างกายของสตั วท์ งั้ ปวงเป็นของทขี่ น้ึ อยู่กับกาลเวลา คือธรรมชาติกําหนดเวลามาให้แล้วทั้งน้ันว่าสัตว์ชนิดน้ีๆ เกิดขึ้นแล้วจะทนอยู่ได้นานสักเท่าไร จึงจะเสื่อมคุณภาพและสลายไป ก็เหมือนกับถูกกาลเวลาเค้ียวกินอยู่ ตลอดเวลา นานเขา้ กแ็ กม้ ตอบ หนังเหยี่ ว ฟ๎นโยก เส้นเอน็ หยอ่ นยาน ฯลฯ และในโอกาสเดียวกัน ตัวกาลเวลา นั้นเองกห็ มดไปด้วยเชา้ หมดไป-สายหมดไป-บา่ ยหมดไป-ค่าํ หมดไป-ไม่มีใครรง้ั เอาไว้ได้ ท่อนหลังของคําพระท่ีว่า “ผู้ใดกินมันผู้นั้นเผาไฟที่เผาสัตว์” ไฟเผาสัตว์ท่านหมายถึงกิเลสตัณหาท่ี แผดเผาหวั ใจสัตว์ให้เร่ารอ้ นอยู่ ผทู้ ก่ี นิ กาลเวลาได้ กค็ ือผู้ที่ขยัน รู้จักทํางานแข่งเวลา ความมุ่งหมาย คือให้เรา กินเวลาเช้าด้วยการใช้เวลาเช้าทํางานให้คุ้มค่า เวลาเช้าที่เราใช้แล้วนั้นมันจะเหลือแต่กาก ผ่านไป เวลาสาย บา่ ย คํ่า ก็คิดเหมอื นกันน้ีแหละ คนทข่ี ยันอยา่ งน้ี จะทาํ ลายความทะยานอยากเสียได้ เพราะตนขยันทําเสียจน มีแล้ว ความอยากมันก็หมดไป ท่านจึงใช้คําว่าเผาไฟทเี่ ผาสัตว์ (๑๖๑) อกิลาสุ วนิ ฺเท หทยสฺสสนฺต.ึ ผู้ไม่เกียจครา้ นยอ่ มจะได้ความสงบใจ (เอกนิคบาตชาดก) โอกาสทีค่ วรใช้ :- ปลุกใจยามทอ้ แทเ้ พราะไม่เหน็ ทางแกอ้ ปุ สรรค นทิ าน :- พระพุทธเจ้าไดท้ รงเลา่ นทิ านให้ภกิ ษทุ ี่ท้อแท้ใจฟง๎ เพื่อให้มีแกใ่ จทําความเพียรตอ่ ไปวา่ การลําเลียงสินค้าข้ามทะเลทราย ในสมัยก่อนต้องใช้เกวียน และมีนายกองเกวียนที่ฉลาดที่สามารถ จริงๆ เป็นผู้วางแผนเตรียมนํ้าและอาหารให้พอดี ถ้าน้อยจะขาดแคลนในกลางทาง ถ้าเผ่ือไว้มากเกวียนก็จะ หนักทําให้ล่าช้า และกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้างน้ัน ไม่มีที่ใดเป็นท่ีหมายทางเลย เขาจึงต้องเดินทางเวลา กลางคืน เพ่อื ใชด้ าวบนท้องฟาู เป็นจดุ หมายและหลบเลย่ี งจากแดดรอ้ นยามกลางวัน มีอยู่คร้ังหน่ึง นายกองเกวียนได้ม่อยหลับไปเพราะความง่วงมาหลายคืนแล้ว วัวได้วนกลับเข้าสู่ทาง ทะเลทรายโดยไม่รู้ตัว กวา่ จะได้สตกิ ็ตอ่ เมื่อไปตกอยกู่ ลางทะเลทรายแลว้ เหตกุ ารณท์ าํ ใหก้ องเกวยี นขาดแคลน นํ้าลง ซึ่งหมายความว่า อีกไม่ช้าท้ังคนและสัตว์พาหนะจะต้องตายหมด นายกองเกวียนได้นําลูกเกวียนออก

72 แยกย้ายหาดูว่า ตรงไหนมตี ้นพชื ขึ้นอยบู่ ้าง คร้ันพบแลว้ กเ็ รง่ ใหข้ ุดบอ่ แต่แล้วก็ไปเจอเอาหินดาล ทุกคนท้อใจ และวุ่นวายเพราะหมดหวัง แต่นายกองเกวียนก็ไม่ท้อถอย พยายามนําลูกน้องที่ยังมีกําลังเหลืออยู่บ้านสกัด แผน่ หินนั้นจนทะลุ นาํ้ อนั ในเยน็ สนทิ ก็พุง่ ขน้ึ ทําใหท้ ุกคนๆ ดวงใจที่วนุ่ วายรอความตายอยู่น้ัน สงบลงได้อย่าง ประหลาด สุภาษติ ข้างต้นนั้น เป็นพระดาํ รัสของพระพุทธเจา้ ทท่ี รงสรปุ เรอื่ งน้ี ความหมาย :-ความวนุ่ วายใจของคนเรา เพราะกลวั ยากจน กลวั แพ้ กลวั สอบตก กลัวถูกทําโทษ กลัว เจ็บ กลัวตาย และกลวั สารพัดอยา่ งน้ันแทบท้ังหมด มักจะเนื่องมาจากความท้อแท้ใจ ตีตัวตายก่อนไข้ ถ้าขยัน ลงมอื ทาํ จรงิ แล้ว ความสงบใจจะมมี าเอง (๑๖๒) พหนู วตอตถฺ ายสปปฺ ญฺโญฆรมาวส. ผมู้ ีป๎ญญาครองเรือน กเ็ พ่ือประโยชนแ์ ก่ผคู้ นจํานวนมาก (สัตตกนิบาต อังคุตตรนกิ าย) โอกาสท่ีควรใช้ :-สอนใจผคู้ รองเหยา้ เรือนหรอื สอนบ่าวสาวในคราวส่งตัว นทิ าน :-คาํ พระบทน้ี พระพทุ ธองคต์ รัสข้นึ ในทีป่ ระชมุ สงฆ์ เป็นการทรงปรารภถึงฆราวาสวิสัย ไม่ทรง เจาะจงเหตุการณเ์ ร่ืองใดโดยเฉพาะ ความหมาย :-การครอบครอง เหยา้ เรือนหรือต้ังครอบครัว โดยตรงก็คือการทํามาหากิน เลี้ยงดูผู้คน ในครอบครัวของตนใหเ้ ป็นสขุ เทา่ น้ัน แตส่ ําหรบั คนท่ปี ญ๎ ญา เป็นคนฉลาด นอกจากจะทําประโยชน์แต่ในวงจํากัด คือในครอบครัวของตน แลว้ ต้องคดิ ทาํ ประโยชนเ์ ผอ่ื แผไ่ ปถึงเพ่ือนบ้าน ตลอดจนถึงประเทศชาติด้วย ในพระพุทธโอวาทเร่ืองน้ี พระ พุทธองคท์ รงยกผ้ทู ่คี นมีป๎ญญาครองเรอื น ควรบําเพญ็ ประโยชนใ์ ห้ คอื มารดา บิดา บุตร ภรรยา สามี คนงาน มิตรสหาย บรรพบรุ ษุ ท่ีล่วงลับไปแล้ว พระราชา เทวดา สมณชพี ราหมณ์ พระสงฆแ์ ละทรงเปรยี บว่า การครอง เรือนของคนฉลาดพึงทาํ ตัวเหมอื นกอ้ นเมฆ หลง่ั สายฝนลงมายังพื้นดิน ทั้งคนท้ังสัตว์ท้ังพืช ได้รับความอิ่มเอิบ ทัว่ กัน (๑๖๓) สนตฺ ฏุ ฐปี รมธน ความสันโดษเป็นทรพั ยอ์ ย่างย่งิ (ธ.บ. ๖) โอกาสทคี่ วรใช้ :-กลบั ใจคนทีร่ อ้ นรน อยากไดโ้ นน่ อยากไดน้ ่ี ไมร่ ูจ้ ักพอ นิทาน :-ได้เกิดสงครามติดพันกันยืดเย้ือระหว่างประเทศโกศล กับ ประเทศมคธ ฝุายโกศลม พระราชาป๎สเสนทิ เป็นจอมทพั ฝุายมคธ มีพระราชาอชาตศตั รู เปน็ จอมทัพ ท้ังสองฝุายได้สู้รบแย่งชิงดินแดน ผืนน้อยท่ชี ายแดน พลโยธาล้มตายเปน็ อนั มากผลัดกนั แพผ้ ลดั กนั ชนะ แต่มาในตอนหลังฝุายโกศลปราชัยถึง ๓ คร้ังติดๆ กนั แนวรบได้ถอยรน่ เข้ามาในเขตโกศล พระราชปส๎ เสนทนิ ้ัน มพี ระชนมายุปนู พระราชบิดาของพระราชาอชาตศัตรู เม่ือต้องพ่ายแพ้แก่เด็กก็ ทรงเสยี พระทัย อับอายแก่เสนาอาํ มาตย์ จึงต้องทรงทําการรบ “กู้หน้า” กลายเป็นสงครามระหว่างคนแก่กับ เดก็ แต่ในทสี่ ุด พระราชาทรงเลิกพระดําริท่ีจะแย่งชิงเอาดินแดนของประเทศอื่น เลิกพระดําริที่จะชิงชัย จากฝาุ ยตรงขา้ ม ได้ทรงพอพระทัยในแผ่นดินและทรัพย์สินซึ่งเป็นสมบัติของโกศล เมื่อทรงเปลี่ยนพระทัยได้

73 เชน่ นแี้ ล้ว กท็ รงมีความสุขสําราญเปน็ อนั มากและได้กราบทลู พระพุทธเจ้า พระองค์จึงตรัส “คําพระ” ข้างบน นี้ ความหมาย :-สันโดษ หมายถึงความพอใจกับของๆ ตน เช่น รักตัว รักบุตรภรรยาของตน รัก บา้ นเมอื งของตน รักหนา้ ทีข่ องตน ฯลฯ (๑๖๔) อจริตฺวา พรหมจริยอลทฺธาโยพฺพเนธน, เสนตฺ ิ จาปาตขิ ีณาว ปุราณานิ อนตุ ถฺ นุ . คนโง่ เม่ือยังหนุ่มแน่น จะบวชก็ไม่บวช จะหาเงินก็ไม่หา ต้องนอนทอดถอนถึงทรัพย์เก่า เหมือนลูกศรที่พ้นจากแหล่งไปแล้ว (ธ.บ. ๕) โอกาสที่ควรใช้ :-กลา่ วเตือนใจคนทย่ี งั หนุ่มแนน่ ใหร้ บี เร่งตั้งตวั จะเอาดที างไหนกท็ าํ เสีย นิทาน :-มหาเศรษฐีคนหนึ่งคิดการณ์ผิด โดยท่ีตัวมีลูกชายคนเดียว และจะได้รับมรดกไม่น้อยกว่า ๘๐๐ ล้าน ไม่ต้องทํางานอะไรก็จะมีกินจนตาย จึงไม่ให้ลูกเรียนวิชาชีพ มหาเศรษฐีอีกคนก็มีลูกสาวคนเดียว จะไดร้ ับมรดกพอๆ กนั และตวั ก็คดิ ผิดเหมือนกนั จงึ ไม่ให้ลกู ฝึกทํางานอะไรเลย นอกจากฟูอนๆ รําๆ หาความ สนกุ ไปวนั หน่ึงๆ แล้วกบ็ ังเอิญหนุ่มสาวคนู่ ี้ได้แต่งงานกนั และรับมรดกจากบิดามารดารวมกนั ๑,๖๐๐ ลา้ น จาํ เนียรกาลตอ่ มา พวกนักเลงสุราบานปรกึ ษากันวา่ หากพวกตนได้เศรษฐีหนุ่มมาเข้ากลุ่มร่วมก๊งด้วย พวกตนก็จะมีเหล้ากินอยา่ งไม่อ้ันต่อไป คร้ันแล้ว จึงออกอุบายวางสายฉุดเอาเศรษฐีมามอมเหล้าเข้าพวก พอ เหล้าเข้าปาก เศรษฐหี น่มุ ก็นัง่ จา่ ยเงนิ ไม่อนั้ ทั้งกินท้งั รางวลั คนบําเรอ จนกระท่ังเงินกองมรดกหมดส้ินก็ไถเงิน เมีย ในที่สุดทั้งคู่ก็กลายเป็นยกจก หาของเศษอาหารพระกิน พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่พระสงฆ์ ดัง “คําพระ” ข้างบนน้ี ความหมาย :- ทรพั ยท์ ่เี ราจ่ายไปแล้วก็เหมอื นลูกกระสุนทเ่ี รายงิ ไปแล้ว ไม่มีทางทเี่ อากลับมายิงอกี . (๑๖๕) อุสสฺ รู เสยฺย จณั ฑิกทฆี โสตตฺ ิย เอกสฺสทฺธานคมน ปรทารปู เสวน เอตพราหมณ เสวสฺสุ อนตฺถ เต ภวิสสฺ ติ. มแี นะ พราหมณ์ ๑. การนอนตืน่ สาย ๒. ความเกียจครา้ น ๓. ความดรุ า้ ย ๔. การนอนขีเ้ ซา ๕. การเดนิ ทางไกลคนเดียว ๖. การทําช้กู บั ภรรยาคนอืน่ ใครประพฤตใิ นหกอย่างน้จี กั ตอ้ งฉิบหาย (ธ.บ. ๔) โอกาสทีค่ วรใช้ :-แนะทางทีผ่ ูค้ รองเรอื นควรละเว้น นิทาน :-ครั้งเม่ือพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเชตวัน นครสาวัตถี มีพราหมณ์คนหนึ่งซ่ึงเป็นเจ้าของ บอ่ นการพนัน เกิดนึกสงสยั วา่ พระพทุ ธเจ้าจะทรงรเู้ ฉพาะทางสวรรค์-นพิ าน การทีเ่ ปน็ ความเจรญิ เท่าน้ัน หรือ

74 จะรูเ้ รอื่ งทจี่ ะเป็นทางฉิบหายด้วย จึงเข้าไปเฝูาและทูลถามดู พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งว่า พระองค์ทรงทราบทาง ฉิบหายดว้ ย คร้ันพราหมณก์ ราบทูลวา่ ถ้าทรงทราบก็โปรดแสดงดูซิ พระองคจ์ งึ ตรสั พระบาลขี ้างบนน้ี ความหมาย :-นอนตื่นสาย (อุสสูรเสยฺย)หมายถึง นอนจนเลยเวลาทํางาน ส่วนนอนขี้เซา (ทีฆโสต ตยิ )หมายถงึ ชอบนอนหลบั ประตดิ ประต่อยาวเกินสมควร โจรปล้น ไฟไหม้ กไ็ มไ่ ดย้ ิน (๑๖๖) อติ ิ วิสฺสฏฐกมฺมนฺเต อตฺถา อจฺเจนตฺ ิ มาณเว. ผลประโยชน์ย่อมละทิง้ คนท่ลี ะทงิ้ งาน (ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค) โอกาสทคี่ วรใช้ :-เตอื นคนท่ีงานการไมท่ าํ มวั แตว่ งิ่ หาโชคลาภด้วยการบนบานศาลกลา่ วผีเจ้าเทวดา นิทาน :- วันหน่ึงพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ ได้ทรงพบเด็กหนุ่มคนหน่ึงใน ระหว่างทาง เขาเป็นคนที่ร่วงโรยเพราะความขัดสนและกําลังไว้ทิศโน้นทิศน้ีขอโชคขอลาภ เม่ือรับสั่งถามได้ ความวา่ เธอชอ่ื สงิ คาลกะ เดิมเปน็ ลกู ผ้มู อี ันจะกิน มาภายหลงั พ่อแม่ตายจากไปและได้ส่ังลูกไว้ว่าให้ไหว้ทิศท้ัง หกเป็นกิจวัตร เธอก็ทําตามอย่างเคร่งครัด แต่ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้ไม่ได้ทําให้ฐานะของเธอดีข้ึน มีแต่เสื่อม โทรมลง พระศาสดาทรงทราบว่า สิงคาลกะไม่ทํางาน เอาแต่ไหว้วอนขอโชคขอลาภ จึงตรัสสอนด้วยสุภาษิต ขา้ งบนนี้ ความหมาย :-พระพทุ ธวจนะนีท้ รงสอนวา่ การงานเป็นส่งิ สําคญั มาก ผลประโยชน์ทั้งปวงออกมาจาก การงานต่างๆ มิได้ออกมาจากการอ้อนวอนใคร ท้ิงงานเสีย คือไม่ทํางาน เอาแต่วิ่งพล่านหาอ้อนวอนผีสาง เทวดา ผลประโยชนท์ เ่ี ขาควรจะไดก้ ็มแี ต่จะเสียไป-ถ้าคนทิ้งงาน โชคลาภก็ท้ิงคน (๑๖๗) สกกฺ าโร กาปุรสิ หนฺติ. สักการะยอ่ มฆ่าคนถอ่ ย (ธ.บ. ๖) โอกาสที่ควรใช้ :- เตือนใจเม่ือได้รับการอุปถัมภ์บํารุง การกราบไหว้บูชา การต้อนรับขับสู้ และของขวัญจากคนอื่น นิทาน :-ครอบครัวหน่ึงถวายอาหารแก่พระภิกษุรูปหน่ึงเป็นประจําวัน พระภิกษุคร้ันได้รับ การบํารงุ นานเข้ากห็ วงสกุล ไม่อยากให้อุปฏ๎ ฐากของตนได้รู้จักกับพระรูปอ่ืน ด้วยเกรงว่าเขาจะไปเล่ือมใสเข้า แล้วตนจะเสื่อมลาภ แม้วา่ หญิงแม่เจา้ เรอื นขอไปฟง๎ เทศนพ์ ระพุทธเจ้า ทา่ นกก็ ดี กนั ครง้ั แลว้ ครั้งเลา่ จนกระทงั่ วันหน่ึง หญิงแม่เจา้ เรอื นไปยังสาํ นกึ ของพระพุทธเจ้าโดยไมบ่ อกกล่าวให้พระรูปน้ัน ทราบ คร้ันท่านได้ทราบภายหลังก็รีบไปเฝูาพระพุทธเจ้า และกราบทูลว่า อุบาสิกาคนน้ีป๎ญญาทึบ พระองค์ ทรงแสดงธรรมะตืน้ ๆ ก็พอ พระพุทธเจ้าทรงทราบนิสยั ของทา่ นอยู่แล้วจึงทรงสั่งสอนว่า “ผลกลว้ ยฆ่าตน้ กลว้ ย ขุยไผฆ่ ่าต้นไผ่ ดอกอ้อฆา่ ตน้ ออ้ ลกู ในทอ้ งฆ่าแมม่ ้าอสั ดร ฉนั ใดก็ดี สกั การะก็ฆ่าคนถ่อยฉันนนั้ ”

75 ความหมาย :-คําว่าสักการะ หมายถึงของได้ฟรีทุกอย่าง นับต้ังแต่อาหาร เส้ือผ้า ของขวัญ ของกํานัล รางวัล จนกระท่ังดอกธูปเทียน คนถ่อยเขลาเบาป๎ญญา พอได้ลาภสักการะมากเข้ามักจะมัวเมา เยอ่ หย่ิงจองหอง เหมือนกิ้งกา่ ไดท้ อง เสยี ผูเ้ สียคน (๑๖๘) สลี หสสฺ นสมปฺ นฺนธมฺมฏฐสจฺจวาทนิ อตฺตโน กมฺมกุพฺพานตชโน กรุ เุ ต บยี . ประชาชนย่อมกระทําคนท่ีถึงพร้อมด้วยศีลและทรรศนะ ต้ังอยู่ในธรรม รักษาสัจวาจา และ ปฏบิ ัติหน้าที่ของตนให้เปน็ ท่รี กั (ธ.บ. ๖) โอกาสท่คี วรใช้ :-แนะวธิ ที าํ ตนให้เปน็ ที่รกั ของประชาชน นิทาน :- ในครัง้ พทุ ธกาลมีพระเถระผู้เฒ่าองค์หน่งึ คอื พระมหากัสสปะ เป็นพระธุดงค์อยู่ปุา เทยี่ วบณิ ฑบาตร และใชผ้ ้าบงั สุกุล อย่างเคร่งครัดท่านได้อธิษฐานไว้ว่าจะปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นหลัง แมส้ น้ิ กิเลสแล้ว ชรามากแลว้ ใครขอใหเ้ ลิกธุดงค์ก็ไม่ยอมเลิก รักษาวินัยก็เคร่งครัดปฏิบัติสมํ่าเสมอกับคนทุก คน และเอาใจใส่ในพระศาสนาดีมาก ผลปรากฏว่าใครก็รักและอยากถวายจตุป๎จจัยแก่ท่าน อยู่มาวันหนึ่ง เป็นวนั นกั ขัตฤกษข์ องเดก็ ได้มพี วกเดก็ ๆ จํานวนเป็นร้อยๆ เอาขนมท่ีบิดามารดาจัดให้ไปกินเองไปถวายพระ เถระ พระเถระจึงพาเดก็ ๆ นาํ ขนมไปถวายพระพุทธเจ้า และพระสงฆ์ทั้งหลาย คร้ังนั้นพระสงฆ์ได้สนทนากัน ถึงเรื่องคนทั้งหลายรกั พระมหากสั สปะ พระพทุ ธเจา้ จึงตรัส “คําพระ” ขา้ งบนนี้ เป็นการประทานคําแนะนําว่า ทาํ อยา่ งไรคนท้ังหลายจงึ จะรกั ความหมาย :- คนที่ปฏิบัติตนได้ดังน้ี คือ ๑. มีศีล ๒. มีความคิดเห็นถูกต้อง (ทรรศนะ) ๓. ตัง้ อยู่ในทํานองคลองธรรม ๔. รักษาคําพดู (เหมอื นพระเถระรักษาธุดงค์ไม่ยอมเลิก) และ ๕. ทาํ ธุระหน้าที่ของ ตนไดจ้ ริง (ไมใ่ ชด่ แี ตพ่ ดู ) คนทงั้ หลายก็จะรักใคร่นับถอื เขาเอง (169) น เตนโหติ ธมมฺ ฎโฐเยนตฺถสหสา นเย. คนท่ตี ัดสินคดีดว้ ยความผลุนผลัน จะช่อื วา่ เป็นผตู้ ้ังอย่ใู นธรรมไม่ได้ (ธ.บ. ๗๗) โอกาสท่ีควรใช้:- เตือนใจผ้มู หี น้าท่ตี ดั สนิ ความ นทิ าน:- วันหน่งึ เกิดฝนตกใหญ่ในตอนเช้าพระทกี่ ําลงั เท่ยี วบณิ ฑบาตอยู่ในเมืองสาวัตถี ต้องหาท่ีหลบ ฝนอย่างกระทันหัน คราวน้ันมีพระหมู่หนึ่งเข้าไปหลบอยู่ที่ระเบียงศาลยุติธรรม ได้เห็นผู้พิพากษาปฏิบัติต่อ ค่คู วามดว้ ยอคติ เชน่ มกี ารเรียกร้องประมลู สนิ บน ถา้ ใครให้มากก็ตัดสินให้ฝุายนั้นชนะ พระเหล่าน้ันเกิดสลด ใจ ครน้ั กลบั มาวัดแล้วจึงกราบทลู พระพุทธเจ้าพระองค์จึงตรัส “คาํ พระ” บทน้ี และตรัสต่อไปวา่ โย จ อตฺตพนถตฺ ญจพโุ ภนจิ ฺเฉยฺย ปณฺทโิ ต อสาหเสนธมเฺ มน สเมนนยตี ปารธมฺมสฺสคตุ ฺโต เมตวี “ธมฺมฏโรติ” ปวุจฺจติ ผูใ้ ดวินจิ ฉยั ความโดยสอบสวนค่คู วามโดยละเอียดละออ โดยยุติธรรม และตามระเบียบแบบแผน ผู้ นนั้ มธี รรมค้มุ ครอง มีปญ๎ ญา เราเรียกว่า “ผูต้ ้ังอยใู่ นธรรม” ความหมาย :-คาํ วา่ “ธรรม” ในทีน่ ้ี หมายถึง “ยุติธรรม” หรือความ “เทีย่ งธรรม” (170) นาทฏิ ฐาปรโต โทสอณ ถลู านิ สพฺพโสอสิ ฺสโรปณเย ทณฺทสามอปปฺ ลเิ วกขฺ โิ ต

76 ผใู้ หย่มิบังควรเลย ท่ีจะตัดสินโทษของผู้นอ้ ยโดยมิไดส้ อบสวนความผิดอย่างละเอียดดว้ ยตนเอง (มหา ปทุมชาดก) โอกาสที่ควรใช้:- ในการพิจารณาโทษผนู้ ้อย นทิ าน :- พระราชาองค์หน่งึ มชี ายาสาวแทนชายาเดมิ ถงึ สวรรคตไปแล้ว และทรงมีพระโอรสหนุ่มนาม วา่ มหาปทมุ มันเป็นเร่ืองของหญิงสาวท่ีมีผัวแก่ ซ่ึงอดที่จะสนใจกับชายหนุ่มท่ีอยู่ใกล้ชิดกับตนมิได้ เจ้าชายมหา ปทมุ ได้ถกู มารดาเล้ยี งซ่งึ ยงั อยใู่ นวัยสาวร่นุ ราวคราวเดยี วกนั พยายามยัว่ ยวนกวนพระทัยแล้ว ๆ เล่า ๆ ทจ่ี ะให้ ร่วมอภิรมย์กับตน แต่เจ้าชายไม่ทรงยินยอมที่จะทําเช่นนั้น ครั้นไม่สนใจ มารดาเลี้ยงผู้ร่านรักก็ลุอํานาจแก่ ความแค้นเคือง ใส่ความว่าเจ้า ชายลักลอบข่มขืนตน จนกระทั่วพระราชาทรงหลงเช่ือว่าเป็นความจริง และด้วยแรงหึง จึงไม่ทันสอบสวน ความผิด เอาแต่ทรงฟ๎งความขา้ งเดยี ว ไดร้ บั ส่งั ให้นําเจ้าชายไปประหารชีวติ ด้วยการโยนเหว ธรรมย่อมรักษาผ้ปู ระพฤติธรรมร่างของเจา้ ชายไดต้ กลงไปค้างบนเถาวัลย์ท่ีก้นเหว รอดพ้นจากความ ตาย จงึ เสด็จเข้าไปบาํ เพญ็ พรตเป็นดาบสอยู่ในปุาดง ต่อมาพระบิดาได้เสด็จไปทรงล่าเน้ือ และหลงทางในปุาไปพบพระดาบสเข้า พระดาบสได้โอกาสจึง ทรงสอนพระราชาด้วยสภุ าษติ ข้างบนนี้ ความหมาย;- ท่ีว่าสอบสวนด้วยตนเอง หมายความว่า พิจารณาอย่างรอบคอบด้วยตนเอง มิใช่เชื่อ ตามคาํ บอกเลา่ แลว้ ก็ดว่ นตดั สนิ ใจ (171) บโี ย นุ เต อาสิ อภณหฺ เนตโต. ผใู้ หญไ่ ร้ตาดา้ จะน่ารกั ดงั ฤา? โอกาสท่คี วรใช้ :-เปน็ ข้อเตือนใจอย่างดียง่ิ สําหรบั นักปกครอง ในแง่ท่ีว่าการมีอํานาจมากไม่แน่ว่าจะ ทําให้คนทง้ั หลายรักใครบ่ ูชาเสมอไป ดังเช่น พระราชาปิงคิละถกู “จุดประทัดไล่” ในเรื่องน้ี นิทาน :-ราชาปงิ คิละแหง่ นครพาราณสี เป็นคนมีนสิ ยั เหี้ยมโหดขาดเมตตากรุณา ทําการรีดนาทาเน้น ไพร่ฟูาข้าแผ่นดนิ จนเป็นท่ีหวาดสะดุ้งทั่วทุกหัวระแหง อยู่มาพระองค์สวรรคต ประชาชนแทนท่ีจะร้องไห้ไว้ ทกุ ข์ กลบั พากนั แสดงความยินดีอย่างเอกิ เกรกิ มีการประดบั ธงทิวฉลองกนั เปน็ การใหญ่ ขณะที่คนท้ังหลายพา กนั รา่ เรงิ อยู่น้นั คนยามเฝูาประตูวังคนหนึ่งเกิดร้องไหเ้ ป็นวักเป็นเวร คนทงั้ หลายเหน็ เขา้ กแ็ ปลกใจ เขาไดถ้ กู เจา้ หน้าท่จี ับกมุ ในข้อหาว่าไมจ่ งรักภักดีต่อพระเจา้ แผน่ ดินองค์ใหม่ หรือไม่ก็อาจเคยมีส่วนรู้ เห็นเปน็ ใจกับพระราชาปงิ คลิ ะ ในการทําทารณุ กรรมแก่ประชาชน นายทวารบาลให้การต่อ เจ้าพนักงานสอบสวนว่า เขามิได้มีความผิดเช่นน้ัน แต่ที่ร้องไห้ก็เพราะว่า เม่ือพระราชาปิงคลิ ะยงั ทรงพระชนมอ์ ยูน่ นั้ พระองค์เป็นคนใจร้าย ทรงเบียดเบียนทุกคนไม่เลือกหน้า ทรงลง ราชทัณฑ์แก่คนที่ไม่มีความผิด แม้แต่คนอย่างตัวเอาเองซ่ึงเป็นยามประตู ได้ถูกพระองค์ทรงเขกศีรษะทั้งขา เขา้ ขาออก เม่อื เสด็จผา่ น ไมไ่ ด้มีความสุขเลย ครั้งพระองค์เสด็จสวรรคตเขาก็ดีใจ แต่เม่ือ คิดถึงว่า พระราชา ปิงคะละผู้ใจร้ายจะต้องตกนรกแน่นอน และท่ีนรกนั้นพวกจ่านรกและยมบาลก็คงจะถูกเบียดเบียนจนทนไม่ ไหว และกค็ งจะส่งพระองค์กลับมาเกิดท่ีเมืองน้ีอีก การกลับมาของพระองค์คร้ังท่ีสองน้ัน พระองค์คงจะทรง ร้ายกาจรุนแรงกับประชาชนเพ่ิมขึ้นอีกหลายเท่า...ท่ีข้าพเจ้าร้องไห้นั้นก็เพราะกลับการกลับมาของพระองค์ ต่างหาก ความหมาย:-คาํ บาลีข้างตน้ นนั้ เป็นคําให้การของเขาต่อเจ้าพนักงานสอบสวน คําว่า “ไร้ตาดํา” คือ ขาดเมตตากรุณาอยา่ งสนิ้ เชิง

77 (172) (๑) ยงกฺ ญิ ฺจิ สิถลิ กมฺม, (๒) สงกฺ ลิ ฏิ ฐญฺจยวต, (๓) สงฺกสฺสรพรฺ หมฺ จริย, น ตโหติ มหปฺผล (๑) การงานที่ย่อหยอ่ น ๑ (๒) วตั รท่เี ศร้าหมอง ๑ (๓) พรหมจรรย์ท่ีนกึ รังเกยี จ ๑ สามสง่ิ นไ้ี มม่ ผี ลมาก (ธ.บ. ๗) โอกาสท่ีควรใช้:-เตือนใจคนท่ีทาํ อะไรยอ่ หย่อน สกั แตว่ ่าทํา นิทาน:-มีพระภกิ ษุรูปหนึ่ง ชอบดูเบาในสิกขาวินัยและการทํากิจวัตรว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และ เที่ยวแนะนําพระภิกษรุ ปู อน่ื ตามความเหน็ ของตน ความทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองค์จึงตรสั “คําพระ” ข้างบนน้ี ความหมาย:-๑. การงานท่ียอ่ หย่อนหมายถึงงานทีผ่ ู้ทําไมเ่ อาจรงิ เอาจัง ทําสักแต่ว่าทํา ๒. วัตรท่ีเศร้า หมอง คือการบําเพ็ญกิจทางศาสนา เช่น รักษาศีลหรือการบรรพชาอุปสมบทเป็นต้น ซ่ึงผู้ปฏิบัติไม่ใส่ปฏิบัติ โดยเคร่งครดั ๓. พรหมจรรย์ที่นึกรังเกียจ คือเม่ือนึกถึง พรหมจรรย์ ของตน แล้วก็สยะแสยงใจ ระแวงแต่ว่า คนอ่ืนจะรเู้ ห็นความช่วั ที่ตนปกปิดไว้ (173) ยตถฺ อธิกรณอปุ ปฺ นฺน, ตตเฺ ถวตสมฺ ึ วปู สํ นฺเต อณณฺ คนตุ˚วฏฏติ. เมือ่ ข้อกล่าวหาเกดิ ข้นึ ทไี่ หน กค็ วรระงบั เสียทีน่ ่ันแลว้ จงึ ไปอยู่ท่อี ื่น (ธ.บ. ๗) โอกาสทีค่ วรใช้ :-เม่อื ถกู คนใส่รา้ ยปาู ยสี นทิ าน :-เร่ืองเกิดข้ึนท่ีเมืองโกสัมพี นครหลวงของแคว้นอังสะ, บิดาของนางมาคัณพิยา คิดอยากให้ พระพทุ ธเจา้ แต่งงานกับลกู สาวตน เพราะชอบลักษณะของพระองค์ จึงนาํ ลกู สาวเข้าไปเฝูาแต่พระพุทธเจ้าทรง ปฏิเสธ ทาํ ใหน้ างมาคณั ทิยาเสียใจมาก คร้งั ต่อมานางไดถ้ ูกบิดานาํ ข้นึ ถวายพระเจา้ แผ่นดิน และได้รับสถาปนา ในตาํ แหน่งอคั รชายาและประกาศตวั เปน็ อริกบั พระพทุ ธเจ้า ด้วยแรงน้อยใจแตเ่ ดิม เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จสู่โกสัมพี มาคัณทิยาได้จ้าง พวกคนยากจน เป็นจํานวนมากติดตามด่า พระพุทธเจ้าดว้ ยคําดา่ ทุกชนิด และทกุ หนทุกแหง่ พระอานนท์ทนไม่ไหว จึงทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าเสด็จ หนไี ปยังเมืองอื่นเสยี “จะไปไหน อานนท์?” พระองค์ตรสั ถาม “ไปเมอื งอน่ื พะยะคะ่ ” พระอานนท์ “กถ็ า้ คนเมอื งอื่นเขาด่าละ อานนท์” พระตรัส “ก็ไปเมืองอ่ืนต่อไปอีกพะยะค่ะ” พระอานนท์ “ถา้ คนเมืองน้ัน ๆ เขาด่าละอานนท์” พระตรสั “ก็หนตี อ่ ไปสพิ ะยะคะ่ ” พระอานนท์ พระพทุ ธเจ้าจึงตรสั วา่ ทาํ อย่างนั้นไม่ใช่วธิ ีท่ถี กู แล้วกต็ รัส “คาํ พระ” ข้างบนน้ี ความหมาย:-ถา้ ถูกคนใส่รา้ ยปูายสีอย่าหนจี งระงบั เสียกอ่ น แลว้ จงึ หนไี ปทอี่ นื่

78 (174) พาลา หเวนปฺปสสนฺติ ทาน. คนพาลยอ่ มไมส่ รรเสรญิ ทาน (ธ.บ. ๖๗) โอกาสที่ควรใช้:-พรรณนาความดีของการบรจิ าคทาน และการสงเคราะห์ผอู้ น่ื นทิ าน:-ในระหว่างท่พี ระพทุ ธศาสนากําลงั รุ่งเรืองอย่างถึงขนาด ในประเทศโกศล พวกพ่อค้าคฤหบดี นิยมทาํ บุญกันอยา่ งเอกิ เกริก และแข่งขนั กันด้วยว่าใครจะจดั ทานได้ วิจิตรพิสดารกว่ากัน เลอเลิศกว่ากัน คร้ัง นั้นเองพระราชาป๎สเสนทิ ได้ทรงบําเพ็ญกุศลอย่างมโหฬาร มีการทําอาสน์สงฆ์เสวตฉัตร และวางผู้คน เจ้าหน้าท่ีไวอ้ ย่างพรักพรอ้ มและหรหู รา พระราชาทรงมีอํามาตยค์ นสนทิ อยู่ ๒ คน คนคนหนึ่งชื่อชุณหะ นิสัยดี ชอบทําบุญด้วยใจจริง อีกคนชื่อกาฬะ เป็นคนมิจฉาทิฐิ ทําเป็นช่วยจัดงานกุลีกุจอไปอย่างนั้นเอง แต่ใจจริงนึกตําหนิพระราชาอยู่ตลอดเวลา หาว่า พระองค์ทรงผลาญทรัพย์โดยไร้ประโยชน์ พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของกาฬะและทรงดําริว่า หาก พระองค์จะสวดอนุโมทนาเต็มท่ีกาฬะก็จะหัวแตกตาย เพื่อทรงสงเคราะห์แก่เขา พระองค์จึงทรงอนุโมทนา อย่างยอ่ เพียงส่ีบทเทา่ นน้ั พระราชาไม่ทรงทราบพระดาํ ริ จึงทรงเสียพระทัยและทูลถามว่า พระองค์ทําความ บกพร่องอยา่ งไรหรือ? พระศาสดาจงึ ทรงเผยพระดําริใหท้ รงทราบและตรัส “คําพระ” บทนี้ ความหมาย :-คนพาลในทน่ี ห้ี มายถงึ คนโงเ่ ขลา (175) ภเชถมติ ฺเต กลยฺ าณฺ เธอจงคบมิตรท่ีดีไว้ (ธ.บ. ๓) โอกาสทค่ี วรใช้:-เตือนใจให้ร้จู ักคบหาสมาคมกบั คนดี นิทาน:-เป็นท่ีทราบกันอยู่แล้วว่า คร้ังพระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวชนั้น มีอํามาตย์คนสนิทผู้หนึ่ง ตามส่งเสด็จดว้ ย เขาคือนายฉันนะพนักงานเลี้ยงมา้ หลวง ต่อมา ฉนั นะไดอ้ อกบวชเปน็ พระ ครน้ั บวชแล้วกต็ ิดทฐิ มิ านะ คอื ถือตวั ว่าเป็นผู้ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้า ก่อนใคร ๆ จึงไม่ยอมอยู่ในโอวาทของใครท้ังส้นิ แม้ใครจะตักเตือนกไ็ ม่ยอมฟง๎ ท้ังส้ิน ร้ายยงิ่ กว่าน้นั พระฉันนะยังเท่ียวพดู ถากถางระรานพระเถระผู้ใหญท่ ว่ั ไป อยา่ งเช่นพูดจาก้าวร้าวพระ โมคคลั ลานะ-สารบี ุตรวา่ ไมน่ ่าจะมาทําตัวเป็นอาจารย์สอนคนนนั้ คนน้ี อา้ งตัวว่าเป็นสาวกเบ้ืองขวา-เบ้ืองซ้าย ตวั เองสิ เป็นผู้พาพระพทุ ธเจ้าออกบวช ควรจะได้เป็นอัครสาวก ดังนเ้ี ป็นต้น พระพุทธเจา้ ทรงตักเตอื นพระฉนั นะว่า พระอคั รสาวกนนั้ เปน็ คนดี ควรจะคบไว้ อย่าคบคนช่ัวเป็นอัน ขาด คําพระขา้ งบนนคี้ อื พระดาํ รสั ของพระพทุ ธองคท์ ่ีตรสั แกพ่ ระฉันนะ ความหมาย:-มิตรที่ดไี ดแ้ กค่ นทเี่ ป็นบัณฑติ ไมท่ าํ ทุจรติ ด้วย กาย วาจา ใจ (176) ญาตกาน ฉายา นาม สตี ลา. ร่มเงาของญาตพิ ่ีน้องเยน็ ดี (ธ.บ. ๓) โอกาสทคี่ วรใช้:-เมอ่ื คิดจะสงเคราะหญ์ าติพีน่ อ้ งของตน นทิ าน:-เนื่องมาจากพระราชาหนมุ่ แห่งประเทศโกศล พระนามว่าวิฑทู ภะ ทรงเคียดแค้นแสนสาหัส ท่ี ครง้ั หนง่ึ นานมาแลว้ พระองคไ์ ด้เสดจ็ ไปกรุงกบิลพสั ด์ุ ในฐานะมกฎุ ราชกุมาร ไดถ้ ูกชาวศากยวงศ์พระญาติของ พระพทุ ธเจา้ กระทําดหู ม่ินเหยียดหยาม หาว่าพระองค์เปน็ โอรสของหญงิ จณั ฑาล คร้ันต่อมาวิฑูทภะได้ครองราชย์ ณ เมืองสาวัตถี มีแสนยานุภาพอันเกรียงไกร ความเจ็บใจท่ีถูกศาก ยวงศ์ดูถกู แตน่ านแลว้ กลับกาํ เริบขึ้น จงึ ระดมพลกรีฑาทพั จะไปบดขยศ้ี ากยวงศใ์ ห้สมแคน้ พระศาสดาทรงทราบเร่ือง และมีพระประสงค์จะทรงสงเคราะหแ์ ก่พระญาตขิ องพระองค์ จงึ เสด็จ

79 ล่วงหน้าไปดักกองทัพวิฑูทภะอยู่ระหว่างทาง โดยประทับอยู่ ณ ใต้ร่มไม้ท่ีใบร่วมโกร๋นหมดแล้ว แทนที่จะ ประทบั ณ ร่มไทรใบดกใกล้ ๆ น้ัน วิฑทู ภะเหลอื บไปเหน็ จึงเขา้ เฝาู กราบทลู วา่ ไฉนไยเลา่ พระองค์จึงไม่ประทับ ท่ีร่มไทรนั้น แต่มาประทับท่ีใต้ต้นไม้ไม่มีใบพอจะบังแดดที่กําลังแผดเผา พระศาสดาแทนท่ีจะทรงอธิบาย เหตุผลโดยตรง กลับทรงตอบด้วยธรรมภาษติ ข้างบนนี้ ความหมาย:-ร่มเงาของญาตใิ นท่นี ห้ี มายถึง นํา้ ใจไมตรี อันเกิดแตญ่ าตขิ องตน (177) อกตญญฺ ุสฺสโปสสฺสนจิ จฺ ววิ รหสสฺ โิ น สพพฺ ญเฺ จ ปฐวี ทชชฺ า เนวน อภริ าธเย. ส้าหรับคนอกั ตัญํู ผู้คอยแต่จะจบั ผดิ แมใ้ ครจะยกสมบตั ิทงั้ แผน่ ดินให้ กท็ า้ ให้เขาพอใจไม่ได้ (ธ.บ. ๑) โอกาสที่ควรใช้:-สําหรับเตือนใจผู้คิดทําประโยชน์แก่คนอ่ืน หรือช่วยเหลือใคร ถ้าผู้นั้นเป็นคน อกตญั ํู คอยแต่จับผดิ กอ็ ยา่ คิดวา่ ตนจะได้รับการตอบแทนคณุ นิทาน :-หลังจากเถนเทวทัตพยายามโรมรับห้ําหั่นพระพุทธองค์ และทําสังฆเภทแยกสงฆ์ไปต้ังลัทธิ ใหม่แล้ว พระสงฆ์เหล่านั้นเกิดสํานึกผิดกลับมาหาพระพุทธเจ้าเกือบหมด ทําให้เถนเทวทัตเสียใจมากจนล้ม ปุวยลง เมื่อมัจจุราชอ้าอุ้งเล็บจะขยุ้มลงอเวจีเถนร้ายเกิดสํานึกผิด อยากจะไปขอขมาพระพุทธองค์ก่อนจะ สิ้นใจ แตพ่ อลกู ศิษยห์ ามไปได้เกอื บถงึ พระวหิ ารแล้ว เถนเทวทัตกถ็ กู ธรณีสูบตายน่าอนาถ พระสาวกท้งั หลาย ต่างพากันสังเวช สลดใจและประหลาดใจวา่ พระพุทธองค์ได้ทรงมพี ระคณุ แก่ เทวทัตมาแล้วอยา่ งมากมาย แม้ในตอนทเ่ี ทวทัตคิดการร้าย กไ็ ด้ทรงใหโ้ อกาสกลับตัวเป็นหลายครัง้ เทวทตั น่าจะสํานึกในพระคณุ ของพระองคน์ านแลว้ พระพุทธองค์ทรงปรารภเหตุการณ์ครั้งน้ี และเพ่ือจะทรงช้ีให้พุทธบริษัททราบซ่ึงในความจริงที่ว่า คนเราลงได้เป็นคนอกตัญํูแล้วและถึงขนาดคอยจับผิดผู้มีคุณแก่ตน แม้ว่าใครจะทําคุณให้สักเท่าไรก็ไม่อาจ ทาํ ใหเ้ ขาสาํ นึกในบุญคณุ ได้ จึงได้ตรัสพระพทุ ธภาษติ ดังกลา่ วมาแลว้ ความหมาย:-คนอกตญั ํู คือคนทไ่ี ม่รู้จักคุณของผู้มีคุณ เช่นไม่รู้จักคุณมารดา บิดา ไม่รู้จักคุณครูบา อาจารย์ เปน็ ตน้ แต่คนประเภทน้ีความจรงิ ก็มีอย่หู ลายระดับ คือเพียงแต่ไม่รู้จักคุณเขาก็มี ไม่รู้จักคุณเขาด้วย แล้ว ยงั คิดล้างผลาญผมู้ คี ุณดว้ ยก็มี คนอกตัญํู ท่ีพระพทุ ธองค์ตรัสถึงในเร่ืองน้ี ทรงหมายถึงคนประเภทหลัง ซ่งึ เป็นคนเลวทสี่ ุดในหมูค่ นเลวทงั้ หลาย ใครกต็ ามทีค่ อยจับผิดผู้มีคุณแก่ตนแล้ว ไม่มีทางท่ีใคร ๆ จะทําให้เขา เป็นมิตรได้ (178) ทชุ ชฺ ีวติ มชีวมิ หฺ า เยสนโฺ น น ททามเส วิชฺชมา- เนสุ โภเคสุ ทีปํนากมหฺ อตตฺ โน. พวกเรามีทรพั ย์เสยี เปล่าไม่ได้ใหท้ านทา้ ที่พง่ึ แกต่ น นบั วา่ มชี วี ิตอยอู่ ย่างช่วั ช้า (ธ.บ. ๓) โอกาสทีค่ วรใช้:-เตือนใจผู้มีทรพั ย์ใหร้ ู้จักใชค้ วามมงั่ มขี องตนในทางท่ีเปน็ สาระ นิทาน:-ครั้งหน่ึง ยามราตรีดึกสงัดแล้ว พระราชาป๎สเสนทิทรงได้ยินเสียงร้องประหลาดดังมาจาก อากาศวา่ “ทุ สะ นะ โส” เป็นเสียงโหยหวน แสดงถึงความทุกข์ทรมานอย่างหนัก พระองค์ทรงกลัวเสียงน้ัน

80 รุ่งเช้าพวกพราหมณ์ราชปุโรหิตก็กราบทูลให้ฆ่าคนและสัตว์หลายชนิด ๆ ละ ๑๐๐ ตัว บุชายัญเพ่ือสะเดาะ เคราะห์ พระนางมัลลิกาเทวีทรงเห็นสัตว์ และคนที่เขาเตรียมบุชายัญร้องระเบงเซ็งแซ่อดสงสารไม่ได้ จึงทูล ชักชวนพระราชาไปเฝูาพระพุทธเจ้า เพือ่ ทูลถามดูใหแ้ นก่ ่อนวา่ เสียงประหลาดน้ันเป็นเสียงอะไรแน่ พระราชา กท็ รงตกลง คร้ังน้ันพระศาสดาตรัสว่า เสียงน้ันเป็นเสียงเปรต ๔ ตนโอดครวญของเขาเอง และทรงเล่าเร่ืองว่า ต้ังแต่คร้ังมนษุ ยม์ อี ายขุ ยั ๒ หม่ืนปี มีเศรษฐหี นุ่มอยู่ส่ีคน ใช้ความรํ่ารวยของตนเที่ยวพร่าผู้หญิงไม่เลือกว่าลูก ใครเมียใคร อาศัยอิทธิพลเงินตราทําความชั่ว คร้ังตายแล้วก็ตกนรก แล้วก็มาเกิดเป็นเปรตถึงวันดีคืนดีก็ร้อง โอดครวญ แต่ละตนนึกอยา่ งรอ้ งให้จบประโยค แต่รอ้ งได้เพยี งอกั ษรตน้ เทา่ นน้ั ว่า ท. จากคาํ เตม็ วา่ “ทชุ วี ติ ...” - “พวกเราชว่ั ชาติแท้!” สะ. “ “สฏั ฐีวสั สะ...” =๖หมน่ื ปีแลว้ !” นะ. “ “นตฺถิ...” =”หมดหวัง!” โส. “ “โสหํ...” =”ข้า” เข็ดหลาบแล้ว!” (๑๗๙) มนาปทายี ลถเต มนาปํ. ผใู้ หส้ ิ่งที่ชอบใจ ก็จะไดส้ ่งิ ทช่ี อบใจ (ป๎ญจกนบิ าต องั คุดรนกิ าย) โอกาสที่ควรใช้ :- เมอื่ จะเร้าใจคนอ่นื ใหเ้ สยี สละบําเพญ็ สาธารณประโยชน์ หรือการสังคมสงเคราะห์ นิทาน :- คนื วนั หนึ่ง ขณะทพี่ ระพทุ ธเจ้าประทับอยู่ท่ีพระวิหารเชตะวัน เมืองสาวตั ถี มเี ทวดาคนหนงึ่ มาปรากฏขนึ้ เฉพาะพระพกั ตร์ และกลา่ วข้อความข้างบนนี้ พรอ้ มกบั กราบทลู ประวตั ขิ องตนว่าชาติกอ่ นตน เกิดเปน็ มนุษย์ ไดฟ้ ๎งพระธรรมคําสอนของพระพทุ ธเจ้าว่าผู้ใหส้ ิง่ ที่ชอบใจก็จะไดส้ ิ่งท่ีชอบใจตอบแทน มคี วาม เลอื่ มใส จงึ ถือเป็นหลักปฏิบตั เิ ครง่ ครัด ในที่สุดก็ได้เหน็ ผลสมจริง คือได้เกดิ เป็นเทพยดาเสวยทิพยสมบัติ ล้วน แต่เปน็ สิ่งท่เี พลิดเพลินเจรญิ ใจ พระพุทธองค์ก็ทรงรับรองพระพุทธวจนะข้างบนนี้ ความหมาย :- การให้สิง่ ท่ชี อบใจในท่ีนี้ หมายถงึ การบริการส่ิงน่าเจรญิ ใจแก่ผู้อืน่ เช่นเราชอบคาํ พูด สุภาพอ่อนโยน คนอน่ื เขากช็ อบ จึงพดู แต่คําสุภาพออ่ นโยน, คนทง้ั หลายต้องการอาหารเรามอี าหารก็บรจิ าค ชว่ ยเหลอื เขา, คนทง้ั หลายตอ้ งการความปลอดภัย เรากใ็ ห้ความปลอดภัยเขา ดงั นี้ เป็นตน้ ท้งั นท้ี ั้งนั้นการใช้ พุทธศาสนสุภาษิตบทนก้ี พ็ งึ ระวงั มิจฉาทิฏฐหิ รอื โมหะจะแทรกใจ ทําให้ตีความไปว่า ถา้ เขาชอบเหล้าเลยี้ งเหลา้ ถา้ เขาชอบการพนันก็ตงั้ บอ่ นการพนนั ไม่ใช่อยา่ งนน้ั คาํ พระบทน้มี งุ่ ไปในทางการบาํ เพ็ญประโยชนใ์ นรปู สังคนสงเคราะห์ เปน็ การถกู ตอ้ ง (๑๘๐) มจเฺ ฉร ททโต มล. ความตระหนเี่ ปน็ มลทินของผ้ใู ห้ (ธ.บ. ๗) โอกาสทคี่ วรใช้ :- เสนอแนะแกผ่ ูท้ ําบญุ ใหท้ าน และผ้ทู ่จี ะขอรอ้ งส่ิงใดสง่ิ หนงึ่ จากคนอ่นื นิทาน :- ไดม้ ชี ายคนหน่ึงเขา้ ไปเฝูาพระพุทธเจา้ เมือ่ พระองคป์ ระทับอยูท่ ี่วัดเวฬุวัน เมอื งราชคฤห์ ซึง่ เปน็ การเฝาู เพอ่ื กราบทลู เรอ่ื งอื่น เม่ือพระองค์แสดงธรรมแกเ่ ขาแล้ว ก็ได้ทรงปรารถนาถึงส่ิงท่ีเป็นมลทินแก่ กนั จึงตรัส “คําพระ” บทน้ี

81 ความหมาย :- ในทางศาสนาพระพุทธองค์ทรงจําแนกความตระหนไ่ี ว้ ๕ อย่าง คือ ๑. ลาภมัจฉรยิ ะ ตระหน่ลี าภ (เป็นมลทนิ ของผใู้ ห้ส่งิ ของเงินทอง) ๒. วรรณมัจฉรยิ ะ ตระหนเ่ี กียรตคิ ณุ (เป็นมลทนิ แกผ่ ้ทู ีจ่ ะให้ เกยี รติแกค่ นอน่ื ) ๓. กลุ มัจฉริยะ ตระหนต่ี ระกูล (เปน็ มลิ ทินแกผ่ ทู้ ่ีจะใหค้ วามรว่ มใจแก่คนอื่น) ๔. อาวาส มจั ฉรยิ ะ ตระหนีท่ อี่ ยู่ (เป็นมลทนิ แก่ผู้ท่จี ะให้พาํ นักแก่คนอืน่ ) ๕. ธรรมมัจฉรยิ ะ ตระหนี่ความรูค้ วามดี (เปน็ มลทนิ แกผ่ ทู้ ่ีจะให้วชิ าความรแู้ ละอบรมสั่งสอนคนอนื่ ใหด้ ี) (๑๘๑) ชเิ น กทรยิ ทาเนม. พึงชนะความตระหรี่ด้วยการให้ (ธ.บ. ๖) โอการทค่ี วรใช้ :- แก้นิสยั คนตระหนีเ่ หน็ แกต่ ัว ใหร้ จู้ กั เสียสละเพอ่ื คนอน่ื และเพ่อื ส่วนรวม นทิ าน :- นายปุณณะผู้เข็ญใจ ได้รบั การดูหมิน่ จากคนมงั่ มีผ้เู ปน็ มิจฉาทิฐทิ ว่ั กรงุ ราชคฤห์เขาพยายาม ฝืนความลาํ บากยากจน บริจาคทานตามมีตามได้ จนในทีส่ ุดผลบุญคํ้าชูเขา ก้อนดนิ ทีเ่ ขาไถนาไดก้ ลายเป็นเงนิ เป็นทอง จนกระทง่ั เขาเปลยี่ นฐานะเป็นเศรษฐีในป๎จจบุ นั ทนั ตาเหน็ แมก้ ระนัน้ ปณุ ณะกท็ าํ ทานไม่ลดละ เผอ่ื แผ่แกค่ นยากไรอ้ นาถา จนคนทงั้ เมืองเกดิ นิยมชมชอบให้เกียรติแก่เขาทกุ มุมเมือง อานุภาพแหง่ ทานของ ปณุ ณะดงั กลา่ ว ได้เข้าไปคลี่คลายความเห็นแก่ตวั ในดวงใจท่ีแหง้ ตบี ของพวกคนมเี งนิ ซ่ึงดูถูกเขามาก่อน ให้หนั มานิยมชมชอบปฏปิ ทาของเขา และแยง่ กนั สู่ขอลูกสาวของเขาไปเปน็ ลูกสะใภ้ เหตุการณ์ผ่านไปนาน ธดิ าของเศรษฐปี ุณณะไดพ้ านางศริ ิมาไปเฝูาพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัส “คํา พระ” บทน้ี แก่เธอทัง้ สอง ความหมาย :- การชนะความตระหนีด่ ้วยการให้ มิใช่ว่าจะต้องให้ข้าวของเงินทองแกค่ นตระหน่ี โดยตรงเสมอไป แต่หมายถงึ การให้ดว้ ยอบุ ายวธิ ีตามควรแก่เหตุ และรวมไปถึงการให้เกียรตใิ หย้ ศ ให้รางวลั ฯลฯ ด้วย จําไว้วา่ “ให”้ เป็นสตู รชนะความตระหนี่ (๑๘๒) ตตถฺ โย มงฺกโุ ต โหติ ปเรส ปานโภชเน น โส ทวิ า จ รตฺตี วา สมาธี อธิคจฺฉติ. ผูใ้ ดเก้อเขินเพราะนํ้า เพราะข้าวท่ีคนอืน่ ให้ ผู้นน้ั ย่อมจะบรรลุสมาธไิ มไ่ ด้ ไมว่ า่ จะเป็นกลางวนั หรือ กลางคนื (ธ.บ. ๗) โอกาสทีค่ วรใช้ :- เตอื นผู้ปฏบิ ัติธรรมะ นิทาน :พระภิกษหุ นุม่ รูปหนง่ึ ช่อื ตสิ สะเป็นชาวเมืองสาวตั ถี มีนิสัยยกตนข่มท่าน ไม่วา่ จะเหน็ ใครทาํ ความดอี ะไร แม้แต่ทา่ นอนาถบีณฑิกะบรจิ าคทรพั ยส์ รา้ งวัดเป็นโกฏิ พระติสสะก็ไมช่ มว่าดกี ลบั บอกวา่ สทู้ ่ีญาติ พนี่ ้องของตนทําไม่ได้ แม้ไปในที่นมิ นตท์ ําบญุ ก็เหมอื นกนั เขาถวายของเย็นกบ็ น่ ว่าเย็น จะเอาของรอ้ น ๆ ครั้น เขาถวายของร้อนก็ติว่าร้อนและจะเอาของเย็น เขาถวายนอ้ ยกว็ า่ เขาขี้เหนยี ว เขาถวายมากกว็ า่ เขาข้ีเหอ่ นง่ั ที่ ไหนชมแตญ่ าตพิ ่นี อ้ งของตน จนกระทัง่ พระภกิ ษอุ ื่น ๆ ท่านรําคาญอยากจะสอบดใู ห้รูแ้ น่ จึงพากนั เดนิ ทางไปสบื ถึงภมู ิลําเนาเดมิ เหลวไหลได้ความวา่ พระติสสะเป็นลูกคนยามประตู ไม่มสี มบตั ิอะไรเลย ความทราบถงึ พระพทุ ธเจ้า พระองค์ จงึ ทรงตรัสตกั เตอื นด้วย “คําพระ” บทน้ี ความหมาย :- ทีว่ า่ “เก้อเขนิ เพราะน้าํ และขา้ วที่คนอน่ื ให้” นั้น หมายความว่า เวลารบั ของทค่ี นอ่ืน ใหแ้ สดงอาการกระดา้ งเกอ้ ๆ ด้วยความไมพ่ อใจ ถา้ ใครลงได้เปน็ อยา่ งน้แี ล้วใจจะหาความสงบไม่ได้ ไมว่ ่าจะ เปน็ เวลาไหน ๆ ก็ตาม (๑๘๓) สตญฺจ ธมโฺ ม น ชร อเุ ปต.ิ

82 ธรรมของสัตบรุ ุษย่อมไม่คราํ่ ครา่ (ธ.บ. ๙) โอกาสทีค่ วรใช้ :- สรรเสรญิ หลกั ธรรมคาํ สอน นทิ าน :- คร้งั หนงึ่ พระนางมัลลกิ าเทวอี ัครมเหสีของพระเจ้าป๎สเสนทิ เสด็จเข้าไปทรงชําระพระสงฆ์ (แขง้ ) ในซุ้มน้าํ ขณะทก่ี ําลังกม้ ลงชาํ ระอยูน่ น้ั เจา้ สนุ ขั ตวั โปรดได้ข้ึนคร่อมพระนางทางเบื้องหลงั และเสพ เมถุนธรรมโดยทนั ที พระนางก็เกิดทรงพอพระทยั ในรสกามน้ัน จึงทรงนิ่งอยจู่ นเสรจ็ กิจ หาได้ทรงนกึ ไมว่ า่ ขณะนั้นพระสวามีประทับทอดพระเนตรอย่บู นปราสาท และทรงเห็นการกระทําน้นั โดยตลอด แต่ครั้นถกู พระ สวามีต่อวา่ พระนางปฏิเสธ และแก้กลบั วา่ ซุ้มน้ีมีอาถรรพ์ใครเขา้ ไปคนเดยี วก็จะเหน็ รปู สัตวอ์ ยู่ด้วยเสมอ พระราชาหลงเชอื่ ได้ลองเสด็จเข้าไปดู กโ็ ดนพระนางโหป่ ระโคมเอาวา่ พระองคท์ รงทาํ มิดีมิรา้ ยกับนางแพะ เรอ่ื งก็เลยเจา๊ กนั ไป และพระนางก็ยงั คงเปน็ ทโี่ ปรดปรานของพระราชาตามเดิม กาลต่อมาพระนางสวรรคต พระราชาทรงเศร้าโศกมาก ไดท้ ลู ถามพระพุทธเจ้าว่า พระนางไปเกดิ ที่ ไหน พระพุทธเจ้าทรงทราบดว้ ยพระญาณแลว้ ว่า พระนางไดไ้ ปตกนรกอยู่ ๗ วนั เพราะบาปกรรมทีล่ วงพระ สวามีนน้ั แต่ครน้ั จะทรงตอบกเ็ กรงพระราชาจะทรงเสยี พระทยั มาก จึงทรงแสดงธรรมว่า รถพระทน่ี ่ังอย่างดียัง ชาํ รุดได้ ร่างกายนกี้ ็เปน็ รถชนดิ หนง่ึ จึงครํา่ คร่าไปไดเ้ หมือนกัน แลว้ กท็ รงแสดง “คําพระ” บทนี้ ความหมาย :- ธรรมของ สัตบุรษุ คอื คุณความดีท่คี นดไี ด้สรา้ งสมไว้ เช่นเมตตากรณุ า ตลอดจน โลกุตรธรรม (๑๘๔) ภิกฺขเว สมคคฺ า โหถ มา ววิ หถ. พระ ! จงสามัคคกี นั อยา่ ทะเลาะกัน (ธ.บ. ๑) โอกาสที่ควรใช้ :- ในการประสานรอยรา้ วระหว่างคนทีท่ ะเลาะเบาะแว้งกัน เฉพาะอยา่ งยิง่ พระสงฆ์ นิทาน :- คร้ังหน่ึง พระภกิ ษชุ าวเมอื งโกสัมพเี กิดทะเลาะกนั เปน็ การใหญ่ ดว้ ยสาเหตุเพียงนาํ้ ล้างส้วม ฝายมือเดียวแท้ ๆ เร่ืองมีอยูว่ า่ พระวัดโฆษิตารามมีอยู่สองคณะ คือคณะธรรมกถึก ถนัดทางเทศน์ กับคณะ วนิ ัยธร ถนดั ทางตดั สนิ อธกิ รณ์ (ความผดิ ทางวินัย) อยมู่ าวนั หนึ่งพระในคณะธรรมกถึกเข้าไปถา่ ยในสว้ ม แล้ว เทน้าํ จากกระบอกชําระไมห่ มด ติดกน้ กระบอกอยู่หน่อยหน่งึ พระในคณะวนิ ัยธรเขา้ ไปทหี ลงั ไปเหน็ นํ้านน้ั เขา้ ก็เอามาเล่าใหพ้ วกพอ้ งฟ๎ง พวกพระวินัยธรกเ็ ลยถอื เป็นเรื่องใหญ่โตเทยี่ วโพนทะนาวา่ พวกพระธรรมกถึกดแี ต่ เทศน์สอนคนอืน่ แต่ไมร่ ูส้ ิกขาวนิ ัย (การค้างน้ําชาํ ระไวใ้ นกระบอกชาํ ระผิดวินัยเล็กนอ้ ย) ฝาุ ยพระท่ีทาํ ผดิ ก็ บอกวา่ ตนไม่รู้วา่ ผิด แต่ฝุายเจ้าถอ้ ยหมอความซง่ึ ชอบทาํ เรื่องเลก็ ให้เปน็ เรือ่ งใหญ่ กไ็ ม่หยุดการโฆษณาโจมตี หนักเขา้ ทั้งพระทัง้ ชาวบา้ นก็เลยแตกกันเป็นสองฝ๎กสองฝุาย พระศาสดาส่งผแู้ ทนไปห้ามปรามและปรับความเขา้ ใจตัง้ หลายครั้ง แต่ไมไ่ ดผ้ ล พระองค์จงึ เสดจ็ ไปเอง ได้ทรงเลา่ เรอื่ งเกา่ ๆ ให้พระเหล่านนั้ ฟ๎งหลายเร่ือง และทรงขอร้องในสามคั คกี ันเสีย แตเ่ หล่าพระนนั้ กไ็ ม่สํานึก ผดิ สภุ าษติ ข้างตน้ นั้นเปน็ พระดํารสั หา้ มพระเหล่านัน้ เม่ือไม่ได้ผล พระองค์จงึ ตัดสินพระทยั เลกิ หา้ มพระ เหล่านน้ั เปล่ียนเป็นวธิ ีปล่อยให้กรรมสอนพระเหลา่ น้ันเอง ได้ตรัสสง่ ทา้ ยวา่ “อธิ โข ภกิ ฺขเว ต โสเภถ ย ตุมเฺ ห เอว สฺวากขฺ าเต ธมมฺ วินเย ปพพฺ ชติ า สมานา ขมา จ ภเวยฺยาถ โสรตา จ.” แปลเอาแต่ใจความวา่ “พวกท่านบวชในศาสนาท่ีดแี ลว้ จงเป็นพระดี มีความขม่ ใจและสงบเสงี่ยม จงึ จะถกู ” ความหมาย :- พระพุทธภาษติ มคี วามชดั เจนตรงไปตรงมาอยูแ่ ล้ว ควรทราบเพ่ิมเติมเพียงว่า หลังจาก ท่ีพระพุทธเจ้าประสานสามัคคีไมไ่ ด้ผลแล้ว ไดเ้ สด็จหนีไปจําพรรษาอย่ใู นปุาลกึ โดยลําพัง ไมม่ ีใครทราบ ประชาชนไม่พอใจในพระสองฝาุ ยนนั้ อย่างรนุ แรงจึงงดการใส่บาตรทําบุญเสีย พระเหล่านน้ั ได้รับความลําบาก มากจึงสํานึกผิด และคนื ดีกันทส่ี ดุ

83 (๑๘๕) วสิ สฺ าสา ปรมา รสา. ความคนุ้ เคยกนั เปน็ รสยอดเย่ียม (ธ.บ. ๓) โอกาสทค่ี วรใช้ :- สรรเสริญการกินการอยรู่ ว่ มกับคนที่คนุ้ เคยก่อน นิทาน :- พระราชาปส๎ เสนทิ แห่งประเทศโกศล ทรงนมิ นต์พระไปฉันในวงั เป็นประจาํ แลว้ ทรงทอด ธุระ ให้เสนาผู้นอ้ ยดแู ลแทน สักแต่วา่ ทําตามมีตามเกิด ในที่สุดพระสงฆก์ ค็ อ่ ย ๆ หายไป เมอ่ื พระไมไ่ ปฉนั ในวัง พระราชาจงึ เสด็จไปทูลฟูองพระพุทธเจา้ ว่า เจ้าหนา้ ที่เขากจ็ ัดอาหารถวายดีอยู่ แต่เหตุไฉนพระจึงไมไ่ ป พระพุทธเจา้ ทรงแสดงว่า อาหารเลยี้ งพระเหล่านั้นหาสําคญั กวา่ ความคุน้ เคยไม่ แลว้ ทรงเลา่ เรอื่ งดาบสรูปหนึง่ ซึ่งพระราชาองค์หนง่ึ ทรงอุปการะ ตอ่ มาท่านปุวยลงในขณะทดี่ าบสอ่นื พากนั หนีไป อยู่ทอี่ ื่น แลว้ พระราชาก็ทรงถวายเภสชั และอาหารอย่างดีที่สุด แตอ่ าการของดาบสกไ็ มท่ ุเลา ท่านดาบสได้ ขอให้สง่ ทา่ นไปอยกู่ ับ

84 ดาบสทคี่ ุ้นเคยกัน พระราชาก็ทรงอนเุ คราะห์ พอได้ไปอยู่รว่ มกบั พวกดาบสทีค่ ้นุ เคยกนั อาการของท่านกห็ าย วันหายคนื ทั้ง ๆ ท่อี าหารและยาก็เลวกว่าทพ่ี ระราชาจัดถวาย พระพุทธเจ้าทรงแสดงวา่ ดาบสผนู้ น้ั ไดก้ ลา่ วสภุ าษติ ขา้ งบนนี้แก่ดาบสท้ังหลาย ความหมาย :- ความรักใครค่ ุ้นเคยกันยอ่ มเปน็ ส่งิ มีรสเลศิ ชว่ ยให้อาหารออกรสยิง่ ข้ึน ชว่ ยให้ยามี สรรพคุณยิง่ ขน้ึ ช่วยใหก้ ารพบปะสนทนามรี สชาติย่งิ ข้นึ คนรกั ใคร่คุน้ เคยกันจะเป็นผเู้ ล้ยี งอาหารและเปน็ ผู้ พยาบาลท่ีดเี ปน็ พเิ ศษ ถ้าหาได.้ (๑๘๖) หริ ิ โอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สกุ กฺ ธมฺนสมาหิตา สนโฺ ต สปปริสา โลเก เทวธมมฺ าติ วจุ ฺจเร นกั ปราชญ์ รอ้ งเรยี กผปู้ ระกอบด้วยหิรโิ อตตัปปะ คือธรรมอนั ขาวสงบระงับ เปน็ สัตบรุ ุษว่าเป็นผูม้ ี เทวธรรม (ธ.บ. ๕) โอกาสทค่ี วรใช้ :- แสดงหลกั ธรรมทีท่ าํ ให้คนเป็นเทวดา นิทาน :- เจ้าชายหน่มุ สามองค์ คอื เจ้าชายมหิส เจ้าชายจนั ทะ และเจ้าชายสรุ ิยะ เป็นพ่ีนอ้ งกัน ตามลาํ ดบั ได้เดนิ ทางลีภ้ ยั การเมอื งเขา้ ไปในปุา พากันลงไปในบงึ ใหญแ่ หง่ หนง่ึ ซึ่งมีน้าํ ใสสะอาดดว้ ยหวังจะด่ืม แก้กระหาย ได้ถกู ผเี สือ้ น้ําจับตัวไว้เพือ่ กนิ เป็นอาหาร แต่ละคนกไ็ ด้อ้อนวอนขอชวี ติ แตผ่ เี สอื้ นํา้ บอกว่า หาก ผใู้ ดตอบไดว้ ่าเทวธรรมคืออะไรจึงจะปลอ่ ย เจา้ ชายสรุ ยิ ะตอบว่า “เทวธรรมกไ็ ด้แก่ทศิ ทั้งส่อี ย่างไรล่ะ” ผีเสือ้ นา้ํ บอกว่าไม่ถูก เจ้าชายจันทะตอบวา่ “เทวธรรมได้แก่พระอาทิตยแ์ ละพระจันทร์” ผดิ อีก เจ้าชายมหสิ ตอบเป็นคนสุดท้ายด้วยคาํ บาลีข้างบนนี้ ผีเสอื้ จึงยอมรบั ว่าถูกตอ้ งและปล่อยตวั ไปทัง้ สาม องค์ ความหมาย :- หิริ คอื ความละอายแก่ใจในการทําความชวั่ โอตตัปปะ คอื ความหวั่นกลัวผลของความ ช่วั ที่จะตามมาแผดเผา, ธรรมอนั ขาวหมายถึงความสจุ ริต คนท่มี ีคุณธรรมเหล่านแ้ี ม้รา่ งจะยงั เปน็ มนษุ ย์ แต่ก็ นบั ว่าเปน็ เทวดาโดยคณุ ธรรม (๑๘๗) น เตน ภิกฺขุ โส โหติ ยาวตา ภิกขฺ เต ปเร วิส ธมฺม สมาทาย ภิกฺขุโหติ น ตาวตา. คนจะชอื่ ว่าเป็นภกิ ษุเพราะเหตทุ เ่ี ทย่ี วภิกขาจารคนอ่ืนหามิได,้ ตราบใดท่ยี ังยึดถอื ธรรมอนั มพี ษิ อย่จู ะ เป็นภิกษไุ มไ่ ด้ (ธ.บ. ๗) โอกาสทีค่ วรใช้ :- เตอื นใจผเู้ ขา้ บวชในศาสนา นทิ าน :- นักบวชนอกศาสนาคนหนึ่งคดิ วา่ พระพทุ ธเจ้าตรัสเรียกสาวกของพระองค์วา่ “ภกิ ษุ” (แปลว่าผูข้ อ) เราเองกเ็ ทยี่ วภกิ ขาจารเหมอื นกนั เรากค็ วรจะเป็นภกิ ษไุ ด้ จงึ นําความดาํ รินีไ้ ปทูลปรารภกับ พระพุทธเจา้ พระองคจ์ ึงตรัส “คําพระ” บทนี้ ความหมาย :- พระดาํ รัสน้ียืนยนั วา่ คําวา่ “ภิกษุ” ในพระพทุ ธศาสนา มีความหมายลกึ ซงึ้ กวา่ ทคี่ นยคุ นั้นเขา้ ใจกนั อยูท่ วั่ ไป ใจความสําคัญอยทู่ ่วี า่ ผนู้ ั้นจะต้องไม่ยึดถือธรรมอนั มพี ษิ ธรรมอนั มพี ิษในที่นี้ หมายถึงความประพฤติชั่ว ความประพฤตชิ ว่ั ทา่ นเรียกว่ามีพิษ เพราะถ้าไปถูกใคร เขา้ กท็ าํ ใหค้ นนั้นเจบ็ แสบ เช่นคําด่า ถอื วา่ คาํ มพี ิษ เพราะทาํ ให้คนถกู ด่าเจ็บใจ (๑๘๘) สมิตฺตตฺตา หิ ปาปาน ‘สมโณติ’ ปวุจจฺ ติ. เราเรยี กคนวา่ เปน็ สมณะ เพราะคา่ ท่ีเขาทาํ ใหบ้ าปทัง้ หลาย

85 สงบลงได้ (ธ.บ. ๗) โอกาสที่ควรใช้ :- แสดงคุณลักษณะของคนทคี่ วรจะเรยี กไดว้ ่าเป็นสมณะ นิทาน :- พระภิกษุรูปหนงึ่ ไปเทีย่ วโอ้อวดใคร ๆ ว่าตนเป็นสมณะแท้ ท้าโตว้ าทะกบั พวกเดยี รถีย์ให้ วุ่นวายไปหมด ทงั้ ๆ ทีต่ ัวเองกไ็ มม่ ภี มู ิธรรมอะไรกี่มากนอ้ ย พระพทุ ธเจ้ารับสั่งใหห้ าเธอมาเฝูา แล้วตรสั “คาํ พระ” บทนี้ ความหมาย :- คนเราไม่มที างจะได้สมญาว่าเปน็ สมณะโดยวธิ อี ่ืน นอกจากจะทาํ ใหก้ ิเลสในใจของตน สงบระงับลงเท่านัน้ แม้คนทบี่ วชแลว้ ก็เปน็ เรื่องของการบวช ไม่เปน็ การประกันไดว้ า่ ผู้นั้นจะเปน็ สมณะไดเ้ สมอ ไป (๑๘๙) น มุณฺฑเถน สมโณ อพฺพโต อสิก ภณ อจิ ฺฉา โลภสมาปนฺโน สมโณ ถึ ภวสิ สฺ ติ คนท่ีไม่ทาํ กจิ วัตร พดู พล่อย ๆ มีความอยากความละโมภ จะเป็นสมณะด้วยอ้างว่าหัวโลน้ ได้อย่างไร ( ธ.บ. ๗ ) โอกาสที่ควรใช้ :-เตือนใจนักบวช และใช้สาํ หรบั ดูพระ นทิ าน:-ในครง้ั พทุ ธกาลมพี ระภิกษรุ ปู หน่ึงช่อื หัตถกะ ทา่ นผ้นู ้ีมนี ิสัยพูดฟูงุ คยุ โวโออ้ วดตลอดเวลา ทําที นัดคนไปชมุ นมุ ทีโ่ น่นทน่ี ่ี โดยอา้ งวา่ จะโต้วาทะกบั พวกเดียรถยี ์ใหด้ ู แต่ครน้ั แล้วทําเลเ่ กไ๊ ปกอ่ นเวลาบา้ ง หลงั เวลาบ้าง เพอ่ื ใหม้ ีอันไมเ่ จอเดยี รถียจ์ นได้ แล้วก็ฉวยโอกาสคุยโมว้ ่า พวกเดียรถียก์ ลวั จึงไมก่ ล้าสู้หนา้ และว่า ตนเปน็ พระแท้ไมก่ ลวั ใคร พระพุทธเจา้ รับสง่ั ให้เธอมาเฝูา แลว้ ทรงประนามการกระทาํ เช่นนนั้ และไดต้ รัส “คาํ พระ” บทนใี้ น ที่สดุ ความหมาย :- โปรดเข้าใจความหมายอนั แตกต่างกนั ระหว่างสมณะ กบั บรรพชิต คอื บรรพชติ หมายถงึ นกั บวช สว่ นสมณะหมายถึงผู้สงบระงบั คําพระบทน้ีเท่ากบั ทรงห้ามวา่ อยา่ เอาความเป็นนกั บวชไปโอ้ อวดวา่ ตนเป็นสมณะเป็นอนั ขาด (๑๙๐) น เตน เถโร โหติ, เยนสสฺ ปลิต สิโร ปรปิ กโฺ ก วโย ตสฺส ‘โมฆชณิ ฺโณติ’ วจุ ฺจต.ิ พระภกิ ษมุ ิใช่จะนับว่าเปน็ พระเถระ เพราะหัวหงอก และแม้ว่าวัยของเขาจะแกห่ งอ่ มแล้วเรา (ตถาคต) ก็เรยี กว่า “คนแก่เปลา่ ” ( ธ.บ. ๗ ) โอกาสทีค่ วรใช้ :-ดพู ระ นทิ าน :-พระเถระรูปหนึง่ ช่ือภัททยิ ะเปน็ คนรา่ งเลก็ ถา้ ใครไมเ่ คยรจู้ กั ท่านมาก่อน กค็ ดิ วา่ เป็น สามเณร และถงึ กับจบั หูท่านเลน่ กม็ ี อยูม่ าวันหนึ่ง พอพระเถระออกจากท่เี ฝาู พระพทุ ธเจ้า ก็มีพระสงฆ์จํานวนหน่งึ สวนทางเข้าไปเฝาู บ้าง พระพุทธเจา้ มีพระประสงค์จะปรารภเหตุเพ่ือแสดงธรรม จึงตรสั ถามพระเหล่านัน้ ว่า เมื่อตอนผ่านเข้ามานไี้ ด้ พบพระเถระใด ๆ บ้างไหม พระสงฆ์เหลา่ น้ันทูลวา่ ไมพ่ บ มแี ตส่ ามเณรรปู หนงึ่ เดินสวนทางออกไป พระองคจ์ ึง ตรัสแนะนําว่าผู้น้ันไม่ใช่ สามเณร แต่เปน็ เถระ และตรสั สอนวา่ พระทชี่ ราภาพมาก ๆ หรอื ไปน่ังอยบู่ นอาสนสูง ความจริงไมใ่ ช่ พระเถระก็มี แล้วตรัส “คาํ พระ” บทน้ี ความหมาย :-คาํ วา่ “เถระ” นั้น ทางธรรมหมายถงึ ผมู้ ใี จม่นั คง โดยทว่ั ๆ ไป ถอื เอาพระบวชนาน ต้ังแตส่ ิบพรรษาขน้ึ ไป

86 (๑๙๑) ทปุ ฺปพพฺ ชฺช ทุรภริ ม. การบวชเปน็ ของยาก การยนิ ดี ในธรรมปฏิบตั กิ ็เป็นของยาก (ธ.บ. ๗ ) โอกาสท่ีควรใช้ :-พดู ถงึ การบวช นิทาน :-ท่สี ํานักสงฆ์ปาุ มหาวนั นอกเมืองไพศาลี คืนน้นั พระจนั ทร์เพญ็ เต็มดวงสอ่ งแสงนวลผอ่ งแผ่ คลุมทั่วแคว้นนัน้ มนั เปน็ วนั นักขัตตฤกษ์ดอกบวั บาน เสยี งดนตรีนานาชนิดเคลา้ ระคนด้วยเสยี งระบํารําฟูอน ดังแวว่ มาถึงบรเิ วณอารามสงฆ์ แสดงถงึ ความหรรษาร่าเริงสดุ ขีดของชาวเมือง ดกึ สงดั แล้ว พระภิกษุหน่มุ รปู หนึ่ง อดตี เจ้าชายมกฎุ ราชกมุ ารแห่งไพศาลี ยืนพิงแผน่ กระดานอยู่ ใต้ ตน้ ไม้อย่างเดยี วดาย แสงจันทรแ์ ละเสียงเพลงทําให้ทา่ นหวนคิดถึงภาพแหง่ ความหรรษา เจา้ ชายและเจ้าหญิง ร่นุ ราวคราวเดียวกัน ซ่ึงคงจะแตง่ ตัวกนั อย่างสวยงาม และกรีดกรายเขา้ สู่สังคมด้วยความ สุขเหนืออืน่ ใด ครน้ั คดิ ไปคดิ มากห็ วลกลับมานึกถงึ ตวั เองว่า ไม่รู้จะบวชทําอะไรกนั “ใครเลา่ ทีจ่ ะถูก ทอดทิง้ เดียวดายเหมือนอยา่ งเรา !” ความรสู้ ึกอกี อันหนงึ่ กแ็ ยง้ ขึน้ ว่า “คนเหลา่ น้ันเสียอีกทพ่ี ากนั กระหย่มิ ตอ่ ทา่ น ผู้เป็นนักบวช.......!” เหมือนเทวดามาช่วยเตือนใจ รงุ่ เชา้ ทา่ นได้เขา้ เฝูาพระศาสดา กราบทลู เรื่องดังกล่าวให้ทรงทราบ พระจงึ ตรัส “คาํ พระ” บทน้ี ความหมาย :-การบวช-ยาก เพราะผู้บวชต้องยกเวน้ จากความสขุ อย่างฆราวาสหลายประการการ ยินดใี นธรรมปฏบิ ัติ- ยาก เพราะการปฏบิ ัติธรรมเป็นการฝนื อาํ นาจฝาุ ยตํ่าท่จี ูงใจอยแู่ ลว้ (๑๙๒) มคฺคานตฺถงถฺ คโิ ก เสฏโฐ. ทางมีองคแ์ ปดประเสรฐิ กว่าทางทง้ั หลาย (ธ.บ. ๗) โอกาสทีค่ วรทีค่ วรใช้:- สง่ เสรมิ การปฏิบัตธิ รรม นิทาน:-วันหนึง่ พระภิกษุจํานวนมากสนทนากันถงึ เร่ืองสภาพของถนนหนทางท่ที ่านเหล่านนั้ เดินทาง มา พระพทุ ธเจ้าทรงยกเรื่องนน้ั ขนึ้ เปน็ เหตุ แลว้ ตรัสถงึ ทางภายใน คอื ทางปฏิบตั ใิ หพ้ น้ ทุกข์ ดงั “คําพระ” ข้างบนนี้ ความหมาย:-ทางมีองคแ์ ปด คือมรรคแปดนัน่ เอง ไดแ้ ก่ ๑. สัมมาทิฐิ ความเหน็ ถูกต้อง ๒. สัมมา สงั กปั ปะ ความริเร่ิมถูกตอ้ ง ๓. สมั มาวาจา ใช้วาจาถกู ๔. สมั มากัมมันตะ ทํางานถูก ๕. สม้ มาอาชีวะ มอี าชีพถกู ๖. สมั มาวายามะพยายามในทางทถี่ กู ๗. สัมมาสติ ใชส้ ติในทางที่ถูก ๘. สมั มาสมาธิ ทาํ สมาธถิ ูกวิธี ทวี่ ่าทางนป้ี ระเสริฐกวา่ ทางอน่ื ๆ คือเปน็ ทางที่ปลอดภยั ท่ีสุด และประการสําคัญ ทาํ ให้ผูป้ ฏิบตั ิบรรลุโลกตุ ระได้ (๑๙๓)สุภานปุ สฺสึ วหิ รนตฺ อินทฺ รเิ ยสุ สุสวตุ โภชนมฺหิ จ มตฺตตญฺญ สทธฺ อารทธฺ วรี ิย ต เว ปสหติ มาโร. มารรงั ควานคนทเี่ ห็นอศภุ ะ สํารวมอินทรียร์ ปู้ ระมาณในการกิน มีศรัทธา และความเพยี รไมไ่ ด้เลย (ธ.บ. ๑) โอกาสที่ควรใช้:- ระวังตัวไม่ให้ศตั รไู ดช้ อ่ งทําร้าย และใชโ้ อวาทหรอื ตักเตือนคนท่ีจะครองตาํ แหน่งท่ี สําคญั ๆ มิใหห้ ลงเหยอ่ื ล่อของคนอนื่ ได้ นทิ าน :-มหากาลกับจุลกาลเป็นพนี่ ้องกนั ออกบวชในพระศาสนา โดยไม่ไดร้ ับความยนิ ยอมจากภรรยา ของตน คร้ันบวชแล้วพระมหากาลผพู้ ไ่ี ด้บรรลเุ ป็นพระอรหันตส์ ้ินกเิ ลสแลว้ สว่ นพระจลุ กาลผนู้ ้องยังคดิ จะสึก อยไู่ มส่ ู้เอาใจใส่ในการทําความเพยี รเท่าไรนัก

87 พระจลุ กาลนัน้ ก่อนบวชมภี รรยาสองคน เปน็ ธรรมดาของเมยี หลวงเมียนอ้ ยท่ผี ัวหนี ตนก็จะตอ้ งหัน หน้าเขา้ หากัน และออกอุบายเอาผวั คนื มาให้ไดส้ องภรรยาของทา่ นจุลกาลกเ็ หมือนกัน ได้ทําทีวา่ จะทาํ บุญ เลยี้ งพระ และนมิ นต์พระศาสดามาในงานด้วย ครั้งถงึ วันสกุ ดบิ ก็ขอใหพ้ ระจุลกาลมาช่วยตรวจความเรียบร้อยในการจดั อาสนะสงฆ์ โอกาสนนั้ สอง หญงิ พากันแกล้งทาํ เป็นไม่เขา้ ใจวธิ ีจดั ท่านจุลกาลต้องเสยี เวลาช้ีแจงซํา้ ๆ ซาก ๆ ย่ิงว่าก็เหมอื นย่ิงยุ เพ่ือจะ ถว่ งเวลาใหพ้ ระอยคู่ ยุ กบั ตัว และเดินเข้า ๆ ออก ๆ เพื่อใหค้ าํ แนะนาํ ครนั้ พอได้จงั หวะทัง้ สองคนกช็ ่วยกันรมุ ลอกคาบพระเอาดื้อ ๆ แตก่ ็อยา่ งวา่ นั่นแหละหลวงพี่เองกอ็ ยากจะสึกตะหงิด ๆ อย่แู ล้ว เข้าทํานอง ขนมผสมนาํ้ ยา ลงไดม้ วยล้มแลว้ มนั แพจ้ นได้ ขา้ งภรรยาเก่าของทา่ นมหากาล เห็นนอ้ ง ๆ ทําได้สาํ เรจ็ กร็ ิจะเอาทา่ นสึกบา้ ง แลว้ กว็ างแผนลอกแบบ เดยี วกันทุกอย่าง แตท่ ่านพระมหากาลร้ทู นั เสียกอ่ น จึงทาํ ไม่สาํ เรจ็ เพือ่ จะทรงชมเชยพระมหากาล จงึ ตรัสพระคาถาข้างบนนี้แกพ่ ระสงฆท์ งั้ หลาย ความหมาย:-คาํ วา่ มารในท่ีนี้หมายถงึ ศัตรผู ้มู ่งุ ร้ายคอยจับผิดและล้างผลาญคนดี ตามพระคาถาน้ี หมายความวา่ พระพทุ ธองคท์ รงช้ใี หเ้ ราดวู า่ ช่องโหว่หรือจดุ อ่อนทม่ี ารจะเลน่ งานเราไดม้ ีอยู่ ๕ จุดด้วยกัน คือ ๑. การลุ่มหลงกับความสวยความงาม เฉพาะอย่างยง่ิ ในทางเพศ ๒. การเทีย่ วเตร่หาความสาํ ราญมากเกินไป ๓. เห็นแกก่ นิ ๔. ไม่เชื่อฟง๎ พระธรรมคําสอน และ ๕. เกียจครา้ นทําการงาน ถา้ ใครทําตนในห้าทางนที้ างใดทางหนงึ่ กเ็ ทา่ กับเปิดช่องไวใ้ หศ้ ัตรเู ล่นงานได้ ปิดช่องเหลา่ น้เี สียแล้ว มารก็หมดโอกาส (๑๙๔) สลี คนโฺ ธ อนตุ ฺตโร. กล่นิ ของศีลเปน็ กล่ินยอดเย่ียม(ธ.บ. ๓) โอกาสท่คี วรใช้:-บรรยายอานิสงส์ของศลี ว่าดีอย่างไร นิทาน:-ณ กาลครง้ั หนึ่งพระอานนทเ์ ถระทูลถามพระพุทธเจ้าว่าในบรรดากล่ินทั้งหลายน้ันมี กลิ่นอะไรเย่ยี มทสี่ ดุ พระพุทธเจ้าตรัสว่ากล่ินท่ีชาวโลกถือกันว่าดีมากก็ได้แก่กล่ินที่เกิดจากรากไม้แก่นไม้หรือ ดอกไม้ พระอานนท์ทูลซักว่ากล่ินเหล่านี้ก็ดีจริงแต่ว่ามันจะขจรไปได้แต่ตามลมเท่านั้นไปทวนลม ไมไ่ ด้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าถูกแล้ว กล่ินเหล่าน้ีฟูุงไปได้แต่ตามลมแต่ยังมีกล่ินท่ีเย่ียมกว่ากล่ินทุก ชนิดอยอู่ ยา่ งหนึ่งคือกลนิ่ ศลี ดังพระบาลขี า้ งบนน้ี ความหมาย:-ศลี คือการงดเวน้ จากการทาํ ความผิดอย่างหยาบทางการกระทาํ หรือทางคําพูดเช่นศีลห้า ที่ท่านว่ากลิ่นศีลเป็นเย่ียมกว่ากล่ินทั้งปวง (กลิ่นในท่ีนี้หมายถึงกิตติศัพท์เล่าลือคุณความดี) ก็เพราะศีลเป็น พ้ืนฐานของความดีท้ังปวง คนเราแม้จะมีวิชาความรู้เต็มตัวหากคนท้ังหลายรู้ว่าผู้น้ันเป็นคนทุศีลเชื่อถือได้ วางใจไมไ่ ด้เสียแลว้ เกียรติคนอื่นๆ ก็พลอยตกไปดว้ ยไม่มกี ารเล่าลือสรรเสริญช่อื เสยี งอับเฉาทําดไี ม่ข้นึ

88 (๑๖๕) ยสฺส โส วหิ ตตฺถาโม กถ ธมมฺ จริสสฺ ติ. คนท่กี า้ ลังลดถอยเต็มทีแล้วจะประพฤติธรรมไดอ้ ย่างไร(ธ.บ. ๑) โอกาสทค่ี วรใช้:-เตือนใจคนที่คดิ วา่ จะทาํ ความดีเมือ่ แก่ นิทาน:-จุลปาละกับมหาปาละสองคนพี่น้องชาวเมืองสาวัตถีพูดโต้ตอบกันถึงเหตุผลที่ว่า คนเราควรจะบวชเมื่อยังหนุ่มหรือควรจะบวชเมื่อแก่มีเรื่องย่อว่า มหาปาละผู้ที่คิดจะออกบวชใน ศาสนาจึงบอกกล่าวให้จุลปาละทราบ จุลปาละขอร้องไม่ให้พี่ชายบวชด้วยเหตุผลหลายประการใน ท่สี ดุ เมอ่ื พช่ี ายยังยนื ยันเจตนาท่ีจะบวชให้ได้ จุลปาละจึงเสนอว่า ถ้าแม้มหาปาละคิดจะบวชก็ควรจะ บวชเม่อื แก่ดีกวา่ ที่จะบวชเม่ือยังหนุ่มแน่นมหาปาละโต้แย้งให้เหตุผลว่าคนเราลงได้แก่แล้วแม้แต่มือ เทา้ ของตัวเองก็ควบคมุ ไมไ่ ด้กําลังกไ็ ม่ดีจะประพฤติธรรมได้อย่างไร บาลีข้างบนน้ันเป็นส่วนหน่ึงของ คําโต้ตอบของมหาปาละ ความหมาย:-การประพฤติธรรม หมายถึงการทาํ ความดีเช่นการบวชเรียนตลอดจนการทําความดีอื่นๆ คําพระบทน้ียืนยันวา่ การประพฤติธรรมตอ้ งอาศยั สุขภาพร่างกายประกอบดว้ ยและเป็นความเข้าใจผิดที่ว่าการ บวชเป็นงานของคนว่างงานหรอื การทาํ ความดเี ป็นเรือ่ งของคนส้ินทา่ แลว้ (๑๙๒) น หิปพชิ ิโต ปรูปฆาต.ี พูดท้าร้ายคนอืน่ อย่หู าใชบ่ รรพชติ ไม่ สมโณ โหติ ปร วิเหฐยนโฺ ต. ผเู้ บียดเบยี นคนอื่นอย่ไู มใ่ ชส่ มณะ(ธ.บ. ๖) โอกาสทีค่ วรใช้:-เพื่อดูว่าใครเป็นพระแท้เปน็ สมณะแทห้ รือไม่ นิทาน:-ครั้งหนึง่ พระอานนท์ผู้เป็นอุป๎ฏฐากของพระพุทธเจ้าเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าการทํา อโุ บสถสงั ฆกรรมในศาสนาของพระพุทธเจา้ ในอดตี จะเหมือนกับที่พระพทุ ธเจ้าองค์ป๎จจุบนั ทรงบญั ญัติ นห้ี รือไม่ จึงเข้าไปทลู ถามพระพุทธเจา้ พระองค์ตรสั ชี้แจงว่ากาํ หนดระยะเวลาในการลงอุโบสถเท่านั้น ตา่ งกันสว่ นคาถาอันเป็นคําสอนทใ่ี ชป้ ระกาศในท่ีประชมุ เหมอื นกนั คอื พระพุทธเจา้ วปิ ๎สสี ๘ ปีจึงลงอุโบสถคร้ังหนึ่ง พระพุทธเจา้ สิขแี ละเวสสภู ๖ ปลี งครงั้ หน่ึง พระพุทธเจ้ากกุสนั ธะและโกนาดม ๑ ปีลงคร้งั หนึ่ง พระพุทธเจา้ ทศพล ๖ เดอื นลงครง้ั หนง่ึ (พระพทุ ธเจ้าองคป์ จ๎ จุบัน ๑๕ วนั ลงคร้งั หน่งึ ) เสรจ็ แล้วพระพทุ ธเจา้ ก็ทรงแสดงคาถาโอวาทปาตโิ มกขแ์ กพ่ ระอานนทจ์ นจบ “คาํ พระ” ข้างบนนี้เป็น หวั ขอ้ หนึง่ ในโอวาทปาตโิ มกขน์ นั้ ความหมาย:-ข้อแรกหมายความวา่ คนท่ีแต่งกายคลา้ ยนกั บวชแล้วแต่ยังพูดให้ร้ายคนอ่ืนอยู่ยังทําร้าย คนอ่ืนอยู่ยังคิดการร้ายตกคนอ่ืนอยู่ก็อย่านับถือว่าเป็นพระแท้ในศาสนาพุทธ ข้อท่ีสองคําว่าสมณะ เป็นคําท่ี เรียกร้องคนได้ทุกเพศทุกวัยที่สงบจากบาปแต่ถ้าใครยังเบียดเบียนคนอื่นอยู่ก็อย่านับถือเขาว่าเป็นสมณะใน ศาสนานี้

89 (๑๙๗) กาสาวกณฺฐา พหโว ปาปธมฺมา อสญฺญตา ปาปา ปาเปหิ กมเฺ มหิ นิรย เต อปุ ปชฺชเร. พวกคนท่ีเอาผ้ากาสาวะคล้องคอแต่ท้าบาปไม่ส้ารวมย่อมตกนรกเพราะบาปกรรมมากต่อ มาก(ธ.บ. ๗) โอกาสทคี่ วรใช้:-เตือนใจพระภิกษสุ ามเณรมิใหป้ ระพฤตินอกรีต นทิ าน:-ครัง้ หน่งึ พระมหาโมคคัลลานะบอกเลา่ แกพ่ ระภิกษบุ างรปู ว่าเม่ือท่านลงจากเขาคิชฌ กูฏใกลๆ้ เมืองราชคฤห์ ทา่ นได้เหน็ สัตว์นรกด้วยตาทิพย์กาํ ลงั ได้รับความทุกข์ทรมานสัตว์นรกบางตน แต่งตวั คล้ายพระสงฆ์มรี า่ งกายเรา่ รอ้ นกระสบั กระส่ายเหวี่ยงไปในอากาศ พระศาสดาได้ตรัสรับรองว่าเป็นความจริงและว่าสัตว์นรกพวกน้ันชาติก่อนได้เคยบวชเป็นพระแต่ ประพฤตเิ ลว ครนั้ แลว้ ได้ตรสั “คาํ พระ”ข้างบนนี้ ความหมาย:-คนท่ีเอาผา้ กาสาวะคล้องคอหมายถึงพระภกิ ษุ-สามเณร (๑๙๘) เสยโฺ ย อโยคโุ ฬ ภุตโต ตตฺโต อคคิสิขปู โม ยญฺเจ ภญุ เชยยฺ ทสุ ีโว รฏฐปณิ ฑ สสญญฺ โต พระภิกษุผู้ทุศีลไม่รู้จักส้ารวมกลืนกินก้อนเหล็กแดงดังเปลวไฟยังจะดีกว่ากลืนกินก้อนข้าว ของชาวเมือง(ธ.บ. ๗) โอกาสทค่ี วรใช้:-เตอื นใจนักบวชใหร้ ู้จักสํารวมตน นิทาน:-พระพุทธเจ้าประทับอยู่ท่ีปุามหาวันแขวงไพศาลีทรงปรารภพระภิกษุพวกหน่ึงซ่ึง เทยี่ วอวดอ้างคณุ วเิ ศษของตนเพอื่ ให้คนทั้งหลายเอาของกินของใช้มาถวายจึงตรสั “คําพระ” บทนี้ ความหมาย:-คาํ วา่ “ผู้ทุศลี ” คือศีลไมบ่ ริสทุ ธห์ิ รอื ละเมิดศีลเป็นอาจิณท่ีว่ากลนื กินกอ้ น เหล็กแดงดีกว่านั้นมีอธิบายว่าการกินก้อนเหล็กแดงอย่างมากก็แค่ทําให้ตัวตายชาติเดียวเท่านั้นแต่การท่ีไป หลอกลวงเอากอ้ นขา้ ว (อาหาร) ของชาวบ้านมากนิ จะตอ้ งตกนรกไปหลายชาติ (๑๙๙) สขุ ยาว ชรา สลี ศลี น้าสุขมาใหต้ ราบเท่าชรา(ธ.บ. ๗) โอกาสทคี่ วรใช้:-บรรยายผลของการรกั ษาศีล นทิ าน:-เมอื่ พระพุทธเจา้ ยังทรงพระชนม์อยู่มีระยะหนึ่งที่พวกข้าราชการพากันทุจริตฉ้อโกง กันทั่วไปต้ังแต่พระราชาลงมาจนกระท่ังเสนาอํามาตย์ผู้น้อย การกดขี่ข่มเหงราษฎรเป็นไปอย่าง กว้างขวางปราศจากความเมตตากรุณาประชาชนพลเมืองเดือดร้อนกันทั่วทุกหัวระแหง วันหน่ึง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในสํานักปุาหิมพานต์ได้ทรงดําริถึงเรื่องน้ีและสงสงสารประชาชนอย่างย่ิง พระองค์ทรงต้ังป๎ญหาขึ้นในพระทัยว่าถ้าพระองค์จะครอบครองประเทศเหล่านั้นแล้วเป็นพระราชา เสียเองจะไดห้ รือไมแ่ ละจะสามารถปกครองประชาชนให้ร่มเย็นได้ไหมก็ทรงเห็นทางว่าพระองค์อาจ ทําไดค้ วามจริงขอ้ ดาํ รนิ เี้ กดิ จากความสังเวชพระทัยที่ไดเ้ ห็นความเหลวแหลกของผู้ปกครองบ้านเมือง เท่าน้ันแต่มารซ่ึงต้องหาโอกาสอยู่แล้วคิดว่าพระองค์ “อยากสึก” จึงเข้าไปเฝูาและกราบทูลเกลี้ย กลอ่ มใหพ้ ระองค์ทรงสละเพศ ไปครองราชยด์ ้วยคํายกยอปอป้๎นนานาประการ

90 ครง้ั นนั้ พระพทุ ธเจ้าทรงตําหนิความคดิ ของมาร และตรัส “คาํ พระ” บทนเ้ี พ่ือแสดงแก่มารว่าความสุข ของคนเรานนั้ ไม่ได้อย่ทู ่กี ารมอี าํ นาจเหนือคนอน่ื ไมไ่ ด้อยู่ทีม่ เี งนิ มที องมากๆแตอ่ ย่ทู เ่ี หตุอน่ื ตามท่ีทรงยกมาตรัส (ซ่ึงมีอยู่ดว้ ยกนั ๑๒ ประการ) ความหมาย:-คนทร่ี ักษาศลี นนั้ ไม่มโี อกาสท่จี ะทาํ ทุจริตหรือความผิดอย่างหยาบซ่ึงจะมีใครมาฟูองร้อง จบั กมุ คุมขังและแมเ้ ป็นคูอ่ ริตามลา้ งผลาญสบายใจตลอดชวี ิต (๒๐๐) โย โข วกฺกลิ ธมมฺ ปสสฺ ติ โส ม ปสฺสติ วักกลิ! ผ้ใู ดเห็นธรรมผ้นู ้นั เห็นเรา(ธ.บ. ๘) โอกาสทคี่ วรใช้:-แนะนาํ วธิ ีปฏบิ ัติธรรมเพ่ือเปน็ การแสดงความภกั ดตี อ่ พระพทุ ธเจา้ นิทาน:-วกั กลิ เปน็ ชายหนมุ่ วรรณพราหมณไ์ ด้เห็นพระพทุ ธเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ราชคฤห์ เกดิ ความรกั ใครเ่ อบิ อม่ิ ในใจพระสรีรสมบัติจึงออกบวชในสํานักของพระพุทธเจ้าตลอดเวลา เป็นนิตย์ บวชแล้วกไ็ มท่ ําเพยี รภาวนาอะไรนอกจากเฝาู ดูพระพุทธเจา้ วนั หนง่ึ พระพุทธเจา้ ตรสั เตือนท่านวา่ “วักกลปิ ระโยชน์อะไรของเธอด้วยการดรู ่างกายอนั เน่า เปอ่ื ย (ของเรา) น้แี ละไดต้ รสั “คําพระ” ข้างบนน้ีแก่ท่าน ความหมาย:-คาํ วา่ “เห็นธรรม” คอื ไดป้ ญ๎ ญาจักษุเหน็ อรยิ สัจสอี่ ันพระพุทธเจา้ ทรงบรรลแุ ล้ว (๒๐๐) สลาภ นาตมิ ญเฺ ญยยฺ . ภิกษุไม่ควรดหู มิน่ ลาภของตน(ธ.บ. ๘) โอกาสทีค่ วรใช้:-เตอื นใจพระภกิ ษสุ งฆ์ผมู้ งุ่ ลาภสักการะและคดิ แยง่ ชิงยศหรือตําแหน่งหน้าที่ ของผู้อืน่ นิทาน:-คร้งั เม่อื พระศาสดายงั ทรงพระชนม์อยู่พระเทวทัตผู้มักใหญ่ใฝุสูงได้ก่อความร้าวราน ในวงการคณะสงฆท์ าํ ตวั เป็นปฏปิ ๎กษ์ตอ่ พระพทุ ธเจ้า คราวนั้นได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งไปพักอยู่กับศิษย์พระเทวทัต ๒-๓ วันเพื่อรับลาภสักการะอัน เกิดแก่ฝุายน้ันเมื่อมีผู้โจทขานกันว่าท่านเป็นฝ๎กฝุายของพระเทวทัตพระพุทธองค์จึงรับส่ังให้ท่านมา เฝาู และทรงสอบถามดู พระภิกษรุ ปู นนั้ กราบทูลว่าตนไม่ได้เล่ือมใสในลัทธิของพระเทวทัตเพียงแต่ไป รับลาภสักการะเทา่ นั้นพระพุทธองคจ์ ึงตรัสสอนวา่ เปน็ พระเป็นสงฆ์ต้องยนิ ดีดว้ ยลาภของตนเทา่ น้ัน เพราะเม่ือพระไปเท่ยี วอยากไดล้ าภของผอู้ น่ื อยู่ ฌานวปิ ๎สสนาและมรรคผลจะไม่เกิดแก่ผู้น้ันเลยในท่ีสุดได้ตรัส “คําพระ” บทนี้ ความหมาย:-คาํ ว่าลาภในท่ีนีห้ มายถึงผลประโยชน์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแก่ตนเช่นตําแหน่งหน้าท่ี สมณ ศกั ด์อิ ํานาจและแม้ เสนาสนะทน่ี ่ังทีน่ อนหรือยวดยานใดๆ (๒๐๒) โย มขุ สญญฺ โต ภิกขฺ ุ นมตฺ ภาณี อนทุ ธฺ โต อตฺถ ธมฺมญฺจ ทิเปติ มธุรนฺตสฺส ภาสติ . (ภิกษุ) ผู้ใดส้ารวมปากพดู ดว้ ยป๎ญญาไมฟ่ ุ้งซา่ นและแสดงเหตผุ ลถอ้ ยคา้ ของผนู้ น้ั ไพเราะ(ธ.บ. ๗) โอกาสทคี่ วรใช้:-เตอื นใจใหร้ ะวงั ปากเฉพาะอย่างยงิ่ คนพูดมาก นิทาน:-พระพุทธองค์ทรงเล่าให้พระสงฆ์ฟ๎งว่า ณ กาลคร้ังหนึ่งนางหงส์สองตัวได้ไปรู้จักมัก คุ้นกับเต่าตัวหน่ึงซ่ึงโดยปกติแล้วเป็นเต่าพูดมากปากคมไม่รู้จักน่ิงเหมือนเต่าทั้งหลายอยู่มาวันหนึ่ง

91 หงษ์ออกปากชวนเตา่ ให้ไปเทยี่ วยังนิวาสสถานของตนท่กี ลางปุาหิมพานต์ เต่าอยากไปแต่จนป๎ญญาท่ี ตัวขาสนั้ จะไปไดอ้ ยา่ งไร ฝาุ ยนกหงษ์ก็บอกวา่ เรอ่ื งขาแขง้ นนั้ ไมส่ ําคัญพวกตนจะพาไปเองขออย่างเดียวอย่าให้เต่าพูด ในระหวา่ งเดนิ ทางกแ็ ลว้ กนั เมื่อเต่ารับปากรบั คําม่ันเหมาะแล้วจึงหาต้นไม้เล็กๆมาแลว้ ให้เต่าคาบตรง กลาง ฝาุ ยหงษ์ท้งั สองก็คาบหวั ทา้ ยพาเหนิ ฟาู ไปแต่ขณะทก่ี าํ ลงั บินผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งในระยะไม่สูง นัก เด็กเจ้ากรรมเกิดไปตะโกนบอกกันว่า “หงษ์หามเต่า!” ฝุายเต่าได้ยินเข้าอยากจะพูดโต้ตอบว่า “แลว้ มันหนกั อะไรของพวกแก!” แตพ่ ออาบปากข้ึนตวั กห็ ลน่ ผลอยลงสพู่ นื้ ดินตายคาท่ี คร้นั ทรงเลา่ นทิ านน้แี ลว้ จึงตรสั “คําพระ” ความหมาย:-ถ้าอยากจะให้คาํ พดู ของตนมีคา่ นา่ สนใจของผ้ฟู ง๎ ต้องพดู แตเ่ นอื้ หาของเร่ืองพอประมาณ (๒๐๓) สพพฺ ตถฺ สวโต ภกิ ขฺ ุ สพพฺ ทกุ ขา ปมจุ จฺ ติ. ภกิ ษผุ ู้สา้ รวมแล้วในทวารทั้งปวงย่อมพน้ จากทุกข์ทั้งปวงได้(ธ.บ. ๘) โอกาสทคี่ วรใช้:-แสดงผลของการระมดั ระวังตัว นิทาน:-ท่ีวัดเชตวัน เมืองสาวัตถีมีพระภิกษุหลายรูปสนทนากันเกี่ยวกับการสํารวมรูปหน่ึง บอกวา่ ตนสาํ รวมตาซ่งึ เปน็ ส่ิงท่ีควรสํารวมไดย้ ากมากอีกรปู หนึง่ บอกว่าตน้ สํารวมหูและรูปอ่ืนๆก็บอก วา่ ตนสํารวมจมูกลนิ้ กายใจตามแต่ใครได้สาํ รวมสง่ิ ใดและแตล่ ะรูปกอ็ า้ งว่าทวารท่ีตนสํารวมน้ันเป็นส่ิง ท่ีสํารวมได้ยากท่ีสุดเลยเกิดความสงสัยว่าอะไรแน่ท่ีสํารวมได้ยากที่สุดจึงพร้อมกันเข้าไปเฝูาทูลถาม พระพทุ ธเจา้ พระพุทธองค์มไิ ดท้ รงตดั สินว่าใครเปน็ ผ้สู ํารวมในสิ่งท่ีสํารวมไดย้ ากทส่ี ดุ แต่ตรัสว่าการสํารวม ในทวารทงั้ ๖ นน้ั เป็นประโยชนท์ ้ังนั้นและทรงสรุปด้วย “คําพระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย:-คําว่าสาํ รวมคือการระวังมิใช่หมายความว่าให้หลับตา-อุดหู ฯลฯ เสียท้ังหมดแต่ให้รู้จัก ระวงั ในการดใู นการฟง๎ ในการดมในการกินในการรับผัสสะแลาในการคิดนึกอย่าระเริงหลงกับสิ่งท่ีได้ยินได้ฟ๎ง ฯลฯ จนเกินควร (๒๐๔) วิเจยฺยทายสคุ ตปสฺ ตตฺ ทานท่เี ลือกให้ พระสคุ ตเจ้าทรงสรรเสรญิ (ธ.บ. ๘) โอกาสท่ีควรใช้:-แนะวิธีบริจาคทานทถี่ ูต้อง นิทาน:-ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดา บนสวรรค์ช้ันดุสิตประทับ ณ ป๎นฑุ กัมพลศิลาอาสน์ เทพยเจ้าคนหนึ่งช่ืออังกุระได้ทูลถามพระองค์ว่า เหตุใดทานท่ีตนกระทําไว้มากมายน้ันจึง ไดผ้ ลน้อย ไม่เท่าผลของผทู้ ท่ี าํ น้อยกวา่ เสียด้วยซา้ํ พระพทุ ธองค์ตรสั วา่ การใหท้ านกเ็ หมอื นหว่านพืชลงในนา ถ้าหว่านในนาดีก็มีผลมาก ชาวนาควรจะ เลือกเน้ือนาใด ผู้ใหท้ านกเ็ ลอื กผู้รบั ทานฉนั นน้ั ขา้ วท่ปี ลูกในนานั้น มีหญ้าเป็นอันตราย ราคะ โทสะ โมหะ และความอยากในใจของผู้รับทานก็เป็น อนั ตรายแก่ทานท่ีมีผู้บรจิ าคให้เขา เช่นนั้นเหมือนกัน “คาํ พระ” ข้างบนน้ีเปน็ โอวาทแกเ่ ทพเจา้ ในคร้งั นัน้ ความหมาย:-“ทานท่เี ลอื กให้” หมายถงึ เลอื กผูร้ ับทาน ถา้ ไดผ้ ทู้ ่มี ีราคะ โทสะ โมหะ และความอยาก เบาบางเปน็ ผรู้ ับทานก็ยงิ่ ดีมาก

92 (๒๐๕) อติโรจติ ปญฺญายสมมฺ าสมฺพทุ ฺธสาวโก สาวกของพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ย่อมรุ่งเรอื งยิง่ ดว้ ยป๎ญญา (ธ.บ. ๓) โอกาสทค่ี วรใช้:-ให้กาํ ลังใจแก่ผ้เู กิดในตระกูลต่าํ ในการสรา้ วตัว นิทาน:-เหตุเกิดท่ีเมืองสาวัตถี ประเทศโกศล ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปประกาศพระศาสนาไม่ นานนัก เร่อื งมีอย่วู า่ นายสริ ิคตุ ซ่งึ นับถอื พระพุทธศาสนา กับนายครหทิน ซึ่งนับถือลัทธิเดียร์ถีย์ เกิดพูดอวย พระศาสนาของตน ทีแรกนายครหทินคุยว่าพวกเดียร์ถีย์เก่งมาก มีญาณมองเห็นอะไร ๆ ได้หมด นายสิริคุต ราํ คาญหู จงึ ลองโดยขุดบอ่ ไว้ทหี่ น้าหน้าบา้ น ใสอ่ จุ จาระไว้ด้วยแล้วเอากระดานปิดเกล่ียดินไว้ไม่เห็นเห็น แล้ว นิมนต์เดยี รถียม์ าเลยี้ งอาหารโดยทําทวี ่าตวั เลือ่ มใส พอเดยี ร์ถีย์เดินไปถึงปากบ่ออุจจาระ ก็ตกลงไปในบ่อทีละ คน ๆ เหตนุ ี้ทําให้ครหทินแค้นใจหนักหนา อยู่มาครหทินคดิ แก้ลําบ้าง ทําทีเป็นเล่ือมใสพระพุทธศาสนา แล้วนิมนต์พระพุทธเจ้ามาเสวยท่ีเรือน ตน โดยแอบทําหลุมกลใส่ถ่านไฟไว้ในหลุมน้ัน หวังจะให้พระพุทธเจ้าตกลงไปถูกไฟคลอก แต่ผลปรากฏว่า พระพทุ ธเจา้ ทรงทราบกลอุบายของเขาไดเ้ สดจ็ ไปทีป่ ากหลุม แลว้ นิรมิตดอกบัวใหญ่ขึ้นประทับยืนบนนั้น ทรง แสดงพระพทุ ธภาษิตขา้ งบนใหแ้ กค่ รหทนิ และทุกคนในทีน่ ัน้ ทาํ ใหเ้ ลอ่ื มใสและปฏญิ าณตนเป็นพุทธมามกะ ความหมาย:- ชาวพุทธถือว่าใครจะเกิดจากตระกูลสูงหรือต่ําไม่สําคัญ ทุกคนอาจก้าวข้ึนสู่ความ รุ่งโรจนไ์ ดด้ ว้ ยป๎ญญา อนั เกดิ จากการศกึ ษาอบรม เราบชู าปญ๎ ญาย่งิ กว่าสายเลือด (๒๐๖) สหสฺสมบี เอ วาจา อนตถฺ ปทสญฺหิตาเอกอตฺถปทเสยฺโย ยสุตฺวา อุปสมฺมติ. คาํ พูดบทเดียวท่ีทาํ หึคนฟ๎งสงบได้ ยอ่ มประเสรฐิ กวา่ คําพดู ต้ังพันบททีไ่ มม่ ปี ระโยชน์ (ธ.บ. ๔) โอกาสท่คี วรใช้:-เป็นตวั อย่างในการใชจ้ ิตวทิ ยา แนะนําทางใจ นิทาน:-ชายคนหนึ่งมลี ักษณะพิเศษคอื เคราแดง และตาเหลอื ง สเี หลอื ง เขาเข้าไปขอสมัครเป็นโจรใน แก๊งค์โจรแห่งหนึ่ง ชายแดนประเทศมคธ ทีแรกหัวหน้าโจรไม่ยอมรับเขาโยให้เหตุผลว่าคนลักษณะนี้ใจคอ กักขละมาก อาจเอามีดเชือดเอานมแม่ของตัวเอง หรือตัดคอพ่อของตัวเอาเลือดกินก็ได้ แต่ชายเคราแดงก็ พยายามทาํ การปรนนิบตั จิ นนายโจรตายใจและรบั ไว้ ตอ่ มาโจรแก๊งค์น้ีถูกจับ และถูกตัดสินประหารชีวิตท้ังหมด ทางการได้ประกาศว่าโจรคนใดรับหน้าท่ี เปน็ ผ้ตู ดั คอโจรอ่ืนได้ (ซ่ึงมที ั้งหมด ๔๙๙ คน) จะได้รบั การปล่อยตัวเป็นอิสระ แต่ไม่มีโจรคนใดรับทํานอกจาก โจรเคราแดงคนนี้ และต่อมาเขากไ็ ดร้ ับแต่งต้ังเป็นเพชฌฆาตหลวง เขาประหารนกั โทษเรือ่ ยมาจนกระอายุ ๕๕ ปี รวมคนทเ่ี ขาประหารได้ ๒,๐๐๐ คน จึงถกู ปลดเกษียณอายุ คร้ันแลว้ เขาต้องเผชญิ กับความวา้ วุ่นใจเปน็ อนั มาก เพราะนึกถึงบาปกรรมของตน จนกระท่ังวันหนึ่ง พระสารีบุตรได้ไปโปรดเขา พระเถระถามเขาว่า “ท่ีท่านฆ่าโจรมากมายนั้นท่านฆ่าเองหรือคนอื่นใช้ท่านให้ ฆา่ ?” เขาตอบวา่ “พระราชารับสง่ั ให้ฆ่า” พระเถระจงึ ถามเปน็ เชงิ ใหค้ ิดวา่ “ถ้าเช่นนั้นทําไมท่านจะบาปล่ะ?” ด้วยคําถามเพียงเท่านี้ อดีตเพชฌฆาตเกิดความสงบใจอย่างประหลาด สามารถฟ๎งเทศน์พระเถระและสร้าง กุศลต่อไปได้ พระพุทธเจ้าตรัส “คําพระ” ข้างบนน้ี เพ่ือแนะพระสงฆ์ให้รู้จักค่าของคําพูดท่ีน้อยแต่แฝงด้วย จิตวิทยา ความหมาย:-โปรดสังเกตดูว่า คําถามของพระเถระ เป็นเพียงสร้างความคิดใหม่แก่เขาเท่าน้ัน มิใช่ ทา่ นปฏเิ สธว่าเขาไมม่ ีบาป พูดอย่างน้เี ป็นผลของการใช้จิตวิทยาอยา่ งยอดเย่ียมของทา่ น.

93 (๒๐๗) เอก คาถาปทเสยฺโย ยสตุ ภ อุปสมฺมติ คาถาบทเดียวท่ีคนฟ๎งแล้ว สงบระงบั ได้ประเสรจ็ กว่า (ธ.บ. ๔) โอกาสท่ีควรใช้:-สรรเสริญคําพูดน้อยแต่เหมาะกับอุปนิสัยของผู้ฟ๎ง ว่าดีแต่พูดมากน้ําท่วมทุ่งแต่ไร้ สาระ นิทาน:- ทารุจีริยะเปน็ กลาสเี รือเดินทะเล ครัง้ หนง่ึ เกดิ อุป๎ทวเหตุเรือแตก เขาได้ชว่ ยตวั เองจนขึ้นฝ่๎งได้ แต่ไม่มีผ้านุ่ง จึงเอาเปลือกไม้มานุ่งพอกันอาย คนทั้งหลายเห็นเข้าคิดว่าเป็นพระอรหันต์ จึงพากันกราบไหว้ นานเข้าเขาเองกเ็ ข้าใจผดิ วา่ ตวั เองเป็นพระอรหนั ตจ์ รงิ ๆ แต่คร้ันอยู่มาเขาได้ทราบวา่ ยงั มีพระอรหนั ต์ท่ีแท้จริงคือพระพุทธเจา้ จึงเดินทางไปเฝาู ถงึ เมืองสาวัตถี และดว้ ยความกระหายอย่างแรงทจี่ ะไดฟ้ ง๎ ธรรมของพระอรหนั ต์ จึงจู่เข้าไปของฟง๎ ธรรมจากพระพทุ ธองค์ ทั้งท่ี กําลังเสด็จบิณฑบาตอยู่กลางถนน พระพุทธองค์จึงประทานพระโอวาทสั้น ๆ แก่เขาว่า “รูปที่เราเห็นก็เป็น เพยี งสกั วา่ เหน็ ” เพียงเท่านีก้ ็ทําให้เขาสงบใจ และตรองตามธรรมะจนได้บรรลุอรหตั ผลแต่เพราะกรรมเก่าตาม ทัน พอเขาผละจากพระศาสดา โดยตั้งใจจะไปแสวงหาอัฐบริขารมาขอบวชก็เลยถูกแม่โคคู่เวรกันมาแต่ชาติ กอ่ นขวดิ เอาถงึ แก่ชีวิต พระศาสดาไดท้ รงแนะแก่พระสงฆใ์ นการเทศนาตามพระบาลขี า้ งบนน้ี ความหมาย:-คาํ ว่า “คาถา” หมายถึงคําพดู (๒๐๘) น ปเรส วิโลมานิ น ปเรสกตากต อตตฺ โน ว อเวกเฺ ขยยฺ กตานิ อกตานิจฺ ไมค่ วรเอาคาแสลงใจของเขามาใสใ่ จเรา ไม่ควรสนใจตรวจงานของคนอื่น แต่ควรตรวจดูงานของ ตัวเราเองว่าอะไรทาแล้วอะไรยังไมไ่ ดท้ า (ธ.บ. ๓) โอกาสท่ีควรใช้:- เตือนใจนักทํางานในเมื่อท้อใจเพราะถูกตําหนิ เหลิงใจไปมัวเมาในเร่ืองธุระไม่ใช่ และขาดความใสใ่ จในหน้าที่เท่าท่ีควร นิทาน:-ท่ีหมู่บ้านใกล้เมืองสาวัตถี หญิงคนหนึ่งนับถือลัทธิเดียรถีย์มานานแล้ว ต่อมาพระพุทธเจ้า เสด็จไปประกาศพระศาสนาใกล้ ๆ หมบู่ า้ นนั้น ใคร ๆ ก็ชมพระองค์ว่าแสดงธรรมไพเราะแท้ นางก็กระหายที่ จะไดฟ้ ง๎ ธรรมของพระองคบ์ ้าง แต่ก็ถกู เดยี รถยี ์กดี กันอยา่ งไม่เป็นทา่ ให้มีอนั คลาดแคล้วไปจนได้ จนกระท่ังอยู่ มาวันหนึ่ง นางส่งลูกชายให้ไปทูลนิมนต์พระพุทธเจ้ามาเสวยอาหารท่ีบ้านได้เป็นผลสําเร็จ ขณะท่ีพระเจ้า ประทับอยู่ในบ้านของนาง และนางกําลังฟ๎งธรรมอยู่น้ัน เดียร์ถีย์ใหญ่ก็มาต่อว่าต่อขานรําเลิกเบิกกระเฌอ จนกระทง่ั นางหมดความสงบใจทจี่ ะฟง๎ ธรรม ที่น้ันพระพุทธเจ้าจึงตรัสบาลีข้างบนนี้ เพ่ือเป็นการแนะนําทําใจ แก่หญิงนัน้ ความหมาย :- พทุ ธภาษติ นี้แนะวธิ ีการทาํ งานวา่ ๑. อย่าไปเทีย่ วเกบ็ เอาคําจ้วงหรอื วิพากษว์ ิจารณ์ผิด ๆ ของคนอื่นมาเป็นอารมณ์ แต่จงเร่งทํางานต่อไป ๒. อย่ามัวเสียเวลาไปวิจารณ์แต่งานของคนอื่น เสียเวลา เปล่า และ ๓. จงวจิ ารณ์งานของตนเองให้มาก ๆ ว่าอะไรทาํ แล้วและอะไรยังค้างอยูแ่ ลว้ รบี แกไ้ ข (๒๐๙) น อจิ เฺ ฉยฺยอธมเฺ มน สมิทฺธมิ ตฺตโน. คนเราไม่ควรอยากได้ความสาํ เรจ็ โดยไม่เปน็ ธรรม (ธ.บ. ๔) โอกาสท่คี วรใช้ :- เตอื นใจคนทคี่ ดิ จะแสวงหาความสาํ เรจ็ แตม่ ีพนั ธะกับคนอนื่ อยู่

94 นิทาน:- ท่ีเมืองสาวัตถี ชายคนหนึ่งคิดอยากจะบวชในศาสนา แต่ตนเองมีภรรยาแล้ว และขณะน้ัน ภรรยาก็กําลังต้งั ครรภ์ เขาอยากจะบอกภรรยาว่า เขาจะลาออกบวชแต่เกรงใจจะกระทบกระเทือนใจ จึงรอโอกาส เห็นว่า ภรรยามีอารมณ์สขุ สบายพร้อมท่จี ะพูดเรอ่ื งนีไ้ ด้ จึงพูดข้ึน ด้วยภรรยาก็ไม่ได้ขัดข้องใจสามีอย่างจัง แต่ขอร้อง ให้เขารอจนกวา่ เธอจะคลอด และให้ลกู โตพอสมควรก่อน เขาเองก็โอนอ่อนผ่อนตาม ด้วยความเห็นอกเห็นใจ และไดร้ ออย่จู นถงึ เวลาสมควรแล้วจึงออกบวช ครนั้ บวชแลว้ กไ็ ดท้ าํ ความเพยี รจนบรรลอุ รหัตผล แล้วก็กลับมาเย่ียมบุตรและภรรยาเก่า แสดงธรรม ให้ฟ๎ง ในท่ีสดุ คนทงั้ สองกอ็ อกบวช และได้บรรลุอรหตั ผลด้วย เพือ่ ทรงสรรเสรญิ การแก้ไขป๎ญหา ในครอบครัวอย่างละมุนละม่อม ทุกคนได้รับผลสําเร็จโดยมิได้คิด เอาแตใ่ จตัว พระองค์จึงตรสั “คําพระ” บทน้ี ความหมาย:- ธรรมดาสภุ าพชนคนดีย่อมไม่คิดตัดช่องน้อยเอาตัวรอด หรือคิดเอาแต่ได้ฝุายเดียว ไม่ แลเหลียวถงึ หัวอกคนอื่น แต่ย่อมจะให้ความเปน็ ธรรมแกก่ นั และกัน ดงั เรอ่ื งน.้ี (๒๑๐) สุกร สาธุนา สาธุ สาธุ ปาเปนทุกร. ความดี คนดที าํ ง่าน ความดี คนช่วั ทํายาก (ธ.บ. ๑) โอกาสท่คี วรใช้ :- ในเม่ือพยายามชกั จูงให้คนอืน่ ทาํ ความดี แต่เขาไม่ทําตาม หรือทําได้เพียงช่ัวครู่ชั่ว ยาม แทนท่ีจะนึกตาํ หนติ ัวเราเอง ก็อาจสาํ นึกถึงว่า ธาตุแทข้ องมนั นนั้ ไมใ่ ช่คนดี เขากย็ อ่ มทาํ ความดีได้ยาก นิทาน :- เจ้าชายอนั ธพาลคนหนึ่ง ชอ่ื เทวทัต ได้ออกบวชในสํานักของพระพุทธเจ้า คร้ันบวชแล้วก็มี ใจกําเริบริษยา อยากเป็นใหญ่เหนือพระสงฆ์ท้ังปวง เม่ือทูลขออํานาจจากพระศาสดาโดยตรงๆ ไม่ได้ จึง วางแผนทําลายพระองค์หลายคร้ังหลายคราว เริ่มแต่ยุเจ้าชายอชาตศัตรูกบฏต่อพระบิดา เพ่ือตนเองจะได้มี พรรคพวก คร้ันแลว้ ก็มีใจกําเริบ ส่งนักแม่นธนูไปลอบปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า ต่อมาก็ปล่อยช้างตกมันเข้า สังหารพระองค์ เมื่อทาํ ไม่สาํ เรจ็ ตัวเองถงึ กับปนี ขึน้ ไปซมุ่ อย่บู นยอดภูเขากลิ้งก้อนหินลงสังหารพระองค์ ขณะ เสดจ็ ผ่านช่องแคบแหง่ หน่งึ ทเ่ี ขาคชิ ฌภูฏ แม้ว่าแผนการอุบาทว์จะล้มเหลว ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เถนเทวทัตก็ไม่ได้เลิกล้มความต้ังใจ ในท่ีสุดได้ เกลี้ยกล่อมพระสงฆ์ผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แยกจากพระสงฆ์พุทธสาวกไปต้ังศาสนาข้ึนใหม่ อุปโลกน์ตัวเองเป็น ศาสดา พระอานนท์เถระได้พยายามช้ีผิดชี้ถูกสักเท่าไร เถนเทวทัตก็ไม่ยอมฟ๎งเสียง รังแต่สร้างกรรมทําบาป หนกั ขอ้ ย่งิ ขนึ้ พระพุทธเจ้า ทรงปรารภถึงพฤติการณ์ของเถนเทวทัตแล้ว ทรงพระสังเวชพระหฤทัย จึงทรงเปล่ง อทุ านเป็นสภุ าษติ ข้างต้นนน้ั ความหมาย:- คําว่าคนดใี นที่นี้ หมายถึง คนท่มี ศี ีลธรรมประจําใจ คือเป็นสุภาพชนคนดี, ส่วนความดี ก็หมายถงึ การท่มี ีประโยชนท์ ุกอยา่ ง ซ่งึ เปน็ งานสุจรติ , ท่ีว่าทาํ งา่ ย-ทํายาก นั้น หมายถงึ ว่าทําด้วยความสะดวก ใจ หรือฝนื ใจทํา ไม่ใชห่ มายความว่า งานน้นั ทํายากหรือทําง่าย ยังมพี ุทธภาษติ ทที่ รงแสดงมุมกลบั ตอ่ ไปดว้ ยวา่ “คนดที ําความช่วั ยาก แตค่ นชวั่ ทาํ ความช่ัวง่าย”

95 (๒๑๑) สตหโิ ส ปโี ย โหติ, อสตโหติ อปปฺ ีโย. บญั ฑติ นัน้ ย่อมจะเป็นทีร่ ักของสัปบรุ ุษท้งั หลาย แต่จะไมเ่ ป็นทร่ี กั ของอสัปบุรษุ (ธ.บ.๓) โอกาสทค่ี วรใช้ :- เตือนใจผ้ปู ระกาศธรรมใหส้ ํานึกตัววา่ มคี นรักเทา่ ผืนหนงั แต่มคี นชังเท่าผืนเสือ่ นิทาน :-พระภิกษุสองรูปซึ่งเปน็ ศิษย์ของพระอัครสาวก กลายเป็นพระอลชั ชไี ม่มยี างอาย ประพฤตติ น นอกรีตนอกรอยหลายประการ เช่น เล่นต้นไม่ (ปลูกต้นไม่ขาย) และรับใช้ชาวบ้าน เพื่อหาลาภสําหรับตน จนกระทั่งสํานกั สงฆ์กฏี าคิรีกลายเป็นแหลง่ ท่พี ระดๆี อยู่ไม่ได้ พระพุทธเจา้ ทรงทราบเร่ืองโดยตลอดแล้ว จึงรับสั่งให้พระอัครสาวกเข้าเฝูา และมีพระบัญชาให้ท่าน พระอคั รสาวกไปชําระ ชผ้ี ิดชถี้ กู พวกไหนด้อื ด้านก็ให้ปพ๎ พาชนียกรรม คือไลอ่ อกจากวัดเสีย พวกไหนเชื่อฟ๎งก็ ใหอ้ บรมสงั่ สอน ในการสงั่ พระอคั รสาวกไปชาํ ระอธกิ รณ์คร้งั นนั้ พระพทุ ธเจ้าได้ทรงเตือนท่านด้วยว่า ธรรมดา คนทีว่ ่ากล่าวตักเตือนคนอื่นนั้น ยอ่ มจะเปน็ ท่ีรกั ของคนดเี ทา่ นัน้ สว่ นคนทไี่ ม่ดีเขากเ็ กลียดโกธร คําพระข้างบน น้ี เป็นพระพุทธดาํ รัสในเหตุการณ์ดังกล่าว ความหมาย : - สัปบุรุษ คือ คนดี อสัปบุรุษ คือ คนชั่ว, ข้อควรจํา คือ คนที่สั่งสอนความดีแก่คนอ่ืน นัน้ อย่าเผลอตัวเปน็ อนั ขาด ว่าจะไมม่ คี นเกลียดชัง เพราะเขายอ่ มจะเป็นหนามแทงตาของคนชั่วทง้ั หลาย. (๒๑๒)สพพฺ าทิสา สปฺปุริโสปวายต. สัตบรุ ษุ ย่อมฟูงุ เฟื่องไปได้ทกุ ทิศ(ธ.บ.๓) โอกาสทคี่ วรใช้ :-สรรเสริญคุณคา่ ของการบาํ เพญ็ ตัวเป็นคนดี นิทาน :-คร้ังหน่ึง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ท่ีกรุงสาวัตถี ได้ทรงแสดงธรรมแก้ความสงสัยของพระ อานนท์ ซงึ่ มากราบทูลถามวา่ บรรดากล่ินหอมทง้ั ปวงในโลกนซ้ี ง่ึ มอี ยู่มากมาย แม้จะฟุูงขจรไปได้ก็เฉพาะทาง ใต้ลมเท่านั้น มันไมอ่ าจฟูุงไปทางเหนือลมได้ ก็แลว้ ยงั จะมีกลน่ิ ชนดิ ใดอีกหรอื ไม่ ซ่งึ อาจฟุูงไปไดแ้ ม้แตท่ วนลม พระพทุ ธองคต์ รสั ว่า สัตบุรุษยอ่ มฟุงู เฟอื่ งไปไดท้ ุกทศิ ความหมาย :- พระพุทธวจนะบทน้ี ทรงสรรเสริญบุรุษ คือ คนดี ว่าจะได้รับคําสรรเสริญหรือความ นยิ มชมชอบจากสังคมทกุ หนทุกแห่ง สัตบุรุษในทรรศนะของทางศาสนา หมายถึง คนท่ีประกอบด้วยสัปปุริสธรรม ๗ ประการ คือ ๑. รู้จัก เหตุ ๒. รู้จักผล ๓. รูจ้ กั ตน ๔. รจู้ ักประมาณ ๕ รจู้ กั กาล ๖. รจู้ กั ชมุ ชน ๗. รจู้ ักเลือกคบคนด.ี (๒๑๓) สตณจฺ คนฺโธ ปฏิวาตเมติ. กลน่ิ ของสัตบุรษุ ย่อมทวนลมได้ (ธ.บ. ๓) โอกาสทคี่ วรใช้ :-สดดุ ีเกียรติคณุ ของคนท่ีตั้งอยู่ในศีลธรรม นทิ าน :-ครง้ั หนง่ึ พระอานนท์ อุปฏ๎ ฐากของพระพุทธเจ้า มารําพึงว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสกลิ่นหอม ชนิดดีเย่ียมไว้ ๓ อย่าง คือ กลิ่นที่เกิดจากรากไม้ จากแก่นไม้ และเกิดจากดอกไม้ แต่มาคิดดูให้ดีแล้ว กลิ่น จาํ พวกน้มี ันฟุูงไปได้แต่ตามลมเท่านั้น ไมอ่ าจฟูุงไปทวนลมได้ ทา่ นพระเถระจึงเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า จะยังมี กลิ่นชนิดใดหรือไม่ในพวกนี้ ท่ีจะฟูงุ ไปไดท้ งั้ ตามลมและทวนลม พระเถระจงึ นําความสงสัยนี้ เข้าไปกราบทลู พระพุทธเจา้ พระพทุ ธเจ้าตรัสตอบว่ามี และกล่ินชนิดน้ัน คือ กล่ินของสัตบุรุษ พระพุทธกาษิตข้างบนน้ี คือ พระ ราชดาํ รัสคอบคาํ ถามของพระอานนท์

96 ความหมาย :-สัตบุรุษหมายถึงคนท่ีสงบจากการทําบาป ต้ังอยู่ในศีลในธรรม, กล่ินของสัตบุรุษ หมายถึงเกียรติคุณ หรอื ช่อื เสยี ง ซึ่งจะมีคนชมเชยและเล่าลือกนั ต่อไป ไม่ว่าจะตามลมหรือทวนลม. (๒๑๔) ยถาบี ภมโร ปุปฺผวณณฺ คนฺธอเหฐยา ปเลติ รสมาทาย เอว คาเม มุนี จเร. มนุ ีเขา้ บา้ นไหน ก็เหมือนกับแมลงภู่เชยชมดอกไม้มทิ าํ ให้ดอกสแี ละกลนิ่ ชอกชาํ้ นาํ เอาแต่รสไป (ธ.บ. ๓) โอกาสทค่ี วรใช้ :- แสดงจรรยาบนั ของนักปราชญ์อาจารย์ เมอ่ื เขา้ ไปเกยี่ วข้องกับตระกูลใดๆ นิทาน :- ที่หมู่บ้านสักกระใกล้ๆ เมืองราชคฤห์ มีเศรษฐีขี้เหนียวอยู่คนหนึ่งชื่อโกสีย์ แกเหนียวมาก จริงๆ วนั หนงึ่ บังเอิญนึกอยากกินขนมเบอื้ ง จะต้ังเตาทอดรบั ประทานที่ในครัวเยีย่ งคนท้ังหลายก็กลัวใครจะมา พบและขอป๎น่ จงึ พาเมยี ขนเตาขนถ่านหอบแปูงหอบกระทะ ข้ึนไปทอดกันสองคนตายาย อยู่ถึงช้ันท่ีเจ็ดของ ตึก นกึ วา่ จะไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่...อนิจจา! พอทอดขนมได้ ๒-๓ แผ่น พระโมคคัลลานะ เกิดมายืนอุ้มบาตร อยูใ่ นอากาศตรงหน้าตา่ งห้อง โกสยี บ์ อกให้หนีสักเท่าใดท่านก็ทําเป็นทองไม่รู้ร้อน จนผลท่ีสุดโกสีย์ยอมจํานน จนใจ บอกเมยี แบ่งขนมใสบ่ าตรนิดหน่อย ขนมเจ้ากรรมเกดิ บไิ ม่ออก หลายแผน่ ตดิ เป็นพวงเดียวกันหมด “ล่ม จมแน่” โกสยี ค์ ดิ แลว้ ก็ชว่ ยเมียปล้ําบิขนมจนเหงอ่ื โชกหมดแง พระเถระแสดงฤทธิใ์ ห้เศรษฐีเห็นเป็นอศั จรรย์หลายอย่าง แล้งจึงพาไปเฝูาพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัส สุภาษติ ข้างบนนีเ้ ปน็ การสรรเสรญิ พระโมคคัลลานะว่าท่านทํางานไดผ้ ลดี โดยไมท่ ําให้สองเศรษฐีผัวเมียชอกชํ้า อะไรเลย ความหมาย :- มนุ ีย่อมบาํ เพญ็ ประโยชน์แก่คนอ่นื โดยไมท่ ําใหเ้ ขาเสยี ใจ หรือเสียทรัพย์แตอ่ ย่างใด (๒๑๕) สจฺเจนาลิกวาทิน. พงึ ชนะคนพดู พลอ่ ยๆ ดว้ ยคําจริง (ธ.บ. ๕) โอกาสทีค่ วรใช้ :- แนะวิธีเอาชนะ นิทาน:-นางสริ ิมา (นอ้ งสาวของหมอชีวกนายแพทย์ประจําองค์พระพุทธเจ้า) เป็นหญิงโสเภณีรูปร่าง สวยงามเป็นเลิศ และมีชือ่ เสยี งในทางบําเรอเป็นท่ีรูก้ ันดี ในวงการพวกผู้ชายสมัยน้ัน ครั้งหนึ่งนางสิริมาเกิดขัด ใจกันกับนางอตุ รา ภรรยาของสมุ นเศรษฐี และได้ปองร้ายต่อนางอุตราเป็นหลายคราว คร้ันภายหลังอยากจะ คนื ดีกับนางอตุ รา ได้พยายามหาวธิ หี ลายอย่าง เพ่อื จะใหน้ างอตุ รายกโทษให้ จนกระท่ังในที่สุดได้เข้าไปทูลขอ ขมาต่อพระพุทธเจ้า ขณะท่ีพระองค์เสวยภัตตาหารอยู่ที่บ้านนางอุตรา โอกาสน้ันพระองค์ทรงปรารภการท่ี หญงิ ทงั้ สองพยายามจะเอาชนะจติ ใจซง่ึ กันและกนั จึงตรสั “คาํ พระ” ดงั บาลขี า้ งบนนี้ ความหมาย :-คนเราควรบําเพ็ญ “อโกธะ” (คือความไมโ่ กธรไว้) เมื่อฝึกได้แล้ว พอใจจะโกธรด้วยเหตุ ใดก็ตาม กใ็ ห้ยก “อโกธะ” ข้ึนระงบั เสีย และถา้ คนอน่ื เขาจะโกธรเราๆ กอ็ ย่าโกธรตอบ จงอยู่อาการปกติ การ ไม่โกธรของเรานน้ั จะทาํ ใหค้ วามโกธรในใจของเขาระงบั ได้ด้วย (๒๑๖) จรณฺเจ นาธิคจเฺ ฉยยฺ , เสยยฺ สทิสมตฺตโน, เอกจริยทฬฺห กริยา, นตถฺ พิ าเล สหายตา. ถา้ หาสหายท่ีดีกว่าหรือเสมอกันไม่ได้ ก็อยคู่ นเดียวดกี วา่ เพราะความเป็นสหายไมม่ ใี นคนพาล (ธ.บ. ๓)

97 โอกาสทีค่ วรใช้ :- ในคราวทีจ่ ําจะตอ้ งหาสมัครพรรคพวก ตง้ั กลุ่ม ตง้ั สมาคม ตงั้ สาํ นัก นทิ าน :- ทา่ นพระมหากัสสปมพี ระลกู ศษิ ย์อยู่ ๒ รปู ท่ยี ังเป็นพระใหม่ ในสองรปู นั้น รูปหน่ึงเป็นคนรู้ มาก ข้ตี เู่ อาความดขี องคนอนื่ คือทําความดเี อาหนา้ ชอบแสดงสิง่ ทอ่ี กี รูปหน่งึ ทําไว้วา่ ตนทาํ เยน็ วันหนึ่ง พระรปู ทีท่ ํางานจริงนกึ รําคาญอยากจะดัดนิสัยคนรู้มากดูบ้าง จึงเอาหม้อต้มนํ้าร้อนที่จะ ให้พระเถระสรง ต้มนํ้าร้อนเดือนแล้วตักออกไปซ่อนไว้ที่อ่ืน เหลือติดก้นหม้อไว้นิดหน่อยให้ปล่อยไอพุ่งโขมง พระรู้มากเห็นเข้าก็นึกว่านํ้ามีเรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปเรียนท่านพระเถระว่า “น้ําสรงกระผมต้มไว้เรียบร้อย แลว้ ” แต่ครั้นพระเถระไปสรงนํ้าแล้วจึงรู้ว่าน้ําในหม้อมีนิดเดียว ตนจึงเก้อ บ่นอุบอิบว่าน้ําแห้ง แล้วคว้าเอา หมอ้ ไปตักนํ้าจะเอามาต้ม ฝาุ ยพระรูปท่ที าํ จริง ก็ยกถงั นํ้าที่ซ่อนไว้ออกมาถวายอาจารย์ในขณะน้ัน คนรู้มากรู้ เรือ่ งเข้าโกธรใหญ่ ตกกลางคืนพระเถระยงั สั่งสอนเสียอีกว่า การตู่ความดีของคนอ่ืนอย่างนั้นไม่ควรทํา เลยท้ัง โกธรทงั้ อายทั้งแค้น รุ่งเช้าวันหนึ่ง ขณะที่พระเถระและพระอ่ืนไปบิณฑบาต พระรู้มากเลยทุบข้าวของในกุฎี ท่าน เอาไปเผาเรียบแลว้ หนไี ป พระพุทธเจ้าทรงทราบข่าว จึงตรัสพระคาถานแี้ กพ่ ระสงฆ์ ความหมาย :- ถา้ ไมม่ ีคนดีท่จี ะคบได้กอ็ ยู่คนเดียว-ไปคนเดียว ดกี ว่าจะไว้วางใจคนพาล (๒๑๗) โย พาโล มญฺญตี พาลย ปณทฺ โิ ต วาบี เตนโส. พาโล จ ปณทฺ ติ มานี ส เว พาโลติ วุจจฺ ต.ิ ผใู้ ดเป็นพาลรู้ว่าตนเป็นพาล ผู้น้ันยังเป็นบัณฑิตอยู่บ้าง ผู้ใดเป็นพาลคิดว่าตนเป็นบัณฑิตผู้น้ันสิพาล แท้ (ธ.บ. ๓) โอกาสทค่ี วรใช้ :-ในคราวจะวนิ จิ ฉัยความเป็นพาลของคนอื่น เพื่อการอบรมสั่งสอน หรือการสมาคม นิทาน :-เหตุเกิดท่ีพระเชตวันวิหาร เมืองสาวัตถี คือตามปกติจะมีคนไปฟ๎งพระธรรมเทศนาของ พระพทุ ธเจ้าเป็นจํานวนมาก วันหนึ่งมีนักล้วงกระเป๋า ๒ คน ฉวยโอกาสปะปนไปกับพวกฟ๎งเทศน์เพื่อหากิน ครัง้ ไปถงึ แล้วนกั เลงคนหนงึ่ ล้วงกระเป๋าได้ ๕ มาสก (ประมาณ ๑ บาท) อีกคนไดฟ้ ๎งธรรมเกิดความเล่ือมใส จึง ไมไ่ ด้ล้วงกระเป๋าใคร ครั้นกลบั บา้ นเมืองของนกั เลงทง้ั สองก็ถามกันว่า ผัวใครล้วงกระเป๋ามาได้เท่าไร นางเมีย ของนักเลงท่ีล้วงกระเปา๋ ไดก้ พ็ ูดจาเยาะเย้ยอกี ฝุายหนง่ึ ว่า ไปมัวน่ังฟ๎งเทศน์เสยี เลยอดกนิ อดีตนักล้วงกระเป๋าผู้กลับตัวได้แล้วจึงนําความไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระองค์จึงตรัสพระคาถา ข้างบนน้ี ความหมาย :- คาํ ว่า พาล หมายถงึ คนโงไ่ มร่ ู้จกั บาปบุญคุณโทษ ส่วนบัณฑิตก็ตรงกันข้ามดวงป๎ญญา ของคนเรานท้ี ่ีเหลอื นอ้ ยทีส่ ดุ เพียงแตส่ อ่ งใจตัวเราใหร้ วู้ ่า เวลาน้ีเราเป็นคนชนดิ ไหน คือถ้าโง่ก็รู้ว่าตัวเราโง่ ถ้า ผดิ กร็ วู้ า่ ตวั ผดิ กย็ งั นบั ว่าดี (๒๑๘) อภิวาทนสลี สฺสนิจฺจวทุ ฒฺ าปจายิโน จตฺตาโร ธมฺมา วทฒฺ นตฺ ิ อายุ วณฺโน สขุ พล. พรสี่ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่คนที่กราบไว้และถ่อมตัวต่อบุคคลผู้ เจริญเป็นนิตย์ (ธ.บ. ๔) โอกาสทค่ี วรใช้ :-บรรยายคณุ ค่าของการออ่ นน้อมถ่อมตัว และอวยพรเปน็ ภาษาบาลีได้

98 นทิ าน :- นกั บวชนอกศาสนาคนหน่ึง เปน็ ชาวทฆี ลัมพกิ นคร บวชบําเพ็ญตบะมาจนกระทั่งอายุ ๔๘ ปี เกิดอยากจะสกึ จงึ ขายเครื่องบริขารได้เงินมาพอแต่งงานกับซ้ือวัว และเหลือไว้เป็นทุนบ้าง ต่อมาเขามีลูกคน หน่ึง นกั บวชนอกศาสนาอกี คนทาํ นายวา่ เด็กจะอายสุ น้ั เจ็ดวันกจ็ ะตาย ชายผ้เู ป็นพ่อรอ้ นใจ จึงไปทูลถามพระพทุ ธเจ้า พระองค์ก็ทรงพยากรณ์ตามนั้น แต่ทรงแนะเขาว่า ให้ นิมนต์พระไปสวดมนต์ทําบุญเสีย ในระหว่างท่ีคาดว่าเด็กจะส้ินชีวิต เขาได้ทําตามโดยนิมนต์พระสวดมนต์ ตลอดคืน ผลปรากฏวา่ เด็กรอดชีวิต และพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เขาจะมีอายุยืนถึง ๑๒๐ ปี พ่อแม่ของเด็กดีใจ เปน็ อันมาก ได้ต้ังชอ่ื เดก็ คนนัน้ วา่ “อายุวฒั นะ” (อายยุ นื ) พระสงฆ์บางรูปประหลาดใจว่า เหตุใดพิธีทางศาสนาจึงทําให้คนอายุยืนได้ พระพุทธเจ้าตรัส “คํา พระ” ข้างบนน้ี เพื่อตอบช้แี จงแก่พระสงฆเ์ หล่านนั้ ความหมาย :-คนท่ีมีความอ่อนน้อมถ่อมตัวรู้จักกราบไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ จะเป็นคนมีความสงบจิตใจ ราบร่นื ผู้ใหญ่เมตตาปราณี ความดีเหล่าน้ียอ่ มจะมีอานภุ าพ สง่ ผลใหผ้ นู้ ้ันเจริญดว้ ยพรดงั กล่าวแลว้ (๒๑๙) นตถฺ พิ าเล สหายตา. ความเปน็ สหายไมม่ ีในคนพาล (ธรรมบท) โอกาสทีค่ วรใช้:- เมอ่ื จะต้องร่วมงานอยา่ งใดอย่างหนึ่งกับคนพาล นิทาน:-พระพุทธสาวกรปู หนึง่ ชอื่ จกั ขบุ าล นัง่ ทําสมาธจิ นตาบอด เพราะปรารภความเพียร เข้มงวด ครั้นได้บรรลุอรหัตผลแล้วจะเดินทางไปเฝูาพระพุทธเจ้า ได้อาศัยสามเณรหลานชายจับปลาย ไม้เทา้ จูงไป ครน้ั เดนิ ทางไปถงึ กลางดง สามเณรได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกําลังร้องเพลง เที่ยวเก็บฟืนอยู่ ในปาุ จึงให้พระเถระพักรออยู่ครหู่ นง่ึ ดว้ ยอ้างว่าตนจะทํากจิ บางอย่างก่อน สักครู่หนงึ่ เสียงร้องเพลงได้เงียบหายไป ท่านพระเถระรู้สึกผิดสังเกตว่า เม่ือสามเณรผละไป จากท่านแล้ว เหตใุ ดเสียงผ้หู ญิงรอ้ งเพลงจงึ เงยี บ ? ครั้นสามเณรกลับมาจะจูงทา่ นเดินทางตอ่ ไป ท่านจึง ถามสามเณรดวู ่าไปทาํ อะไรกบั ผูห้ ญงิ คนน้นั สามเณรรบั สารภาพวา่ ตนได้ศีลขาดกับหญิงคนนั้นเสียแล้ว และไดข้ อลาสกิ ขาในทนั ที พระเถระปฏิเสธท่ีจะให้สามเณรจูงต่อไป โดยที่ท่านรังเกียจ ที่จะให้คนทุศีลอย่างนั้นมาแตะ ต้องแม้แต่ปลายไมเ้ ทา้ ของทา่ น แม้วา่ หลานชาย (สามเณร) ออ้ นวอนแลว้ ๆ เลา่ ๆ กไ็ ม่ยอม หลานชายก็เรียกท่านวา่ หนทางข้างหนา้ ทรุ กันดารและมอี ันตรายมาก ท่านพระเถระกย็ นื ยันว่า ขอให้ท่านตายเสียจะดีกว่าไปกับคนทุศีล เม่ือได้โต้ตอบกันนานเข้า พระเถระจึงพดู ออกมาเป็นคาํ ขาดวา่ “นตฺถิพาเล สหายตา” ซ่งึ ยกมาไว้ขา้ งต้นน้นั ความหมาย:- คนท่ที า่ นเรียกวา่ “พาล” มลี ักษณะ ๓ อยา่ ง คือ ทจุ จฺ นิ ฺติตจินฺตี มีนิสยั ใฝุต่าํ ทุพฺภาสติ ภาสี พูดคําต่ําช้าเปน็ ปกติ ทกุ ฺกฎกมฺมการี ชอบทาํ ความชัว่ ทวี่ ่า ความเปน็ สหายไมม่ ีในคนพาลนั้น คือ คนเราลงได้มีนิสัยอย่างว่านี้แล้ว ไว้ใจไม่ได้ว่าจะ ไม่แวง้ หักหลังใคร

99 (๒๒๐) มสุ าวาที สจฺจวจเนน ชินติ พฺโพ. พงึ ชนะคนข้โี กหกดว้ ยการพูดจริง (ธ.บ. ๖) โอกาสทค่ี วรใช้:- เอาชนะคนพูดพลอ่ ย ๆ ทําให้คนอ่ืนเสยี หาย นิทาน:-นางอุตรามีสามีเป็นคนนอกศาสนา มิจฉาทิฐิ พยายามกีดกันนางทุกทางท่ีจะไม่ให้ ทาํ บุญในศาสนา จนกระท่ังนางตอ้ งวา่ จ้างสาวโสเภณีคนหนง่ึ ชื่อศิริมา มาคอยปรนนิบัติผัวแทน เผื่อตน จะไดไ้ ปวัดทําบุญ นางโสเภณีศิริมา ครั้นได้อยู่ร่วมกับผัวหนุ่มของนางอุตรา ก็คิดกําเริบใจจะครองตําแหน่ง ภรรยาเสียเอง จงึ คิดกาํ จัดนางอัตรา เธอพยายามป้๎นเร่ืองใส่ร้ายนางอุตราหลายกระทง ซ่ึงล้วนแต่เป็น ถ้อยคาํ พล่อย ๆ ไมม่ หี ลกั ฐานอ้างอิง เพอื่ จะให้ใคร ๆ เหน็ ว่านางอตุ ราเป็นคนเลว คร้ันต่อมานางศิริมาลงมือทําร้ายนางอุตรา โดยพยายามเอาน้ํามันร้อน ๆ สาดใส่ให้เสียโฉม พวกบริวารของนางอุตราเห็นเหตุน้ัน จึงรุมกันจับนางศิริมาจะฉีกเนื้อเอาเกลือทาเสียให้ได้ เม่ือ เหตุการณ์ร้ายกําลังคุกคามนางศิริมาอยู่นั้น นางอุตราได้แสดงความเมตตากรุณา ขอให้บริวารของตน ปล่อยเธอเสีย และนางเองก็ให้อโหสิ ความจริงอันน้ียืนยันว่านางอุตรามิใช่คนเลว และเมื่อความจริง แสดงออก นางศิรมิ ากย็ อมอ่อนนอ้ มโดยดี พระพทุ ธเจ้าตรสั “คําพระ” ขา้ งบนนี้สง่ั สอนหญิงทงั้ สอง ความหมาย:- คําว่า “ความจริง” นน้ั อาจเปน็ การแสดงหลักฐาน หรือรอให้สิ่งน้ันแสดงความ จริงออกมาตามกาลเวลาก็ได้ มิใช่หมายถึงการแถลงความจรงิ อยา่ งเดยี ว (๒๒๑) นตฺถิโลเกอนินทฺ ิโต. คนไมถ่ ูกนินทาเลยไม่มีในโลก (ธ.บ. ๖) โอกาสที่ควรใช้:- เตอื นใจไมใ่ ห้หว่ันไหวเกินควร เม่อื ถกู คนอืน่ นนิ ทา นิทาน:-อุบาสกชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่งช่ืออตุละ อยากจะฟ๎งธรรม จึงเข้าวัด ทีแรกไปหา พระเรวตั ซง่ึ เปน็ พระพูดน้อย อตลุ ะโกรธพระเรวัตว่า พูดนอ้ ย ไมไ่ ด้ความแลว้ ก็ไปหาพระสารีบุตร ๆ แสดงอภธิ รรมให้ฟง๎ อตลุ ะโกรธพระสารีบุตรว่า พูดไม่รเู้ ร่อื ง แล้วก็ไปหาพระอานนท์ ๆ แสดงธรรมยอ่ ๆ ใหฟ้ ง๎ อตลุ ะโกรธพระอานนทว์ ่า พดู น้อย แล้วจงึ ไปเฝูาพระพทุ ธเจา้ พระองค์จงึ ตรสั สอนเขาว่า การนินทาสรรเสริญ เป็นของเกา่ บางคนเห็นเขานิ่งก็นนิ ทา บางคนเหน็ เขาพูดมากก็นนิ ทา บางคนเหน็ เขาพูดพอประมาณกน็ ินทา คนไม่ถูกนินทาเลยไมม่ ใี นโลก คนทถี่ ูกนินทาหรอื ได้รับสรรเสรญิ ล้วน ๆ กไ็ ม่มี ฯลฯ ความหมาย:- การทีม่ ีคนนนิ ทากนั น้นั มไิ ด้หมายความว่า คนท่ีถูกเขานินทานั้นจะเปน็ คนไม่ดี เสมอไป หากแต่ตัวผ้นู นิ ทาเองนนั้ เปน็ คนไม่ดี มโี รคจิตชนิดได้นินทาคนอืน่ จงึ สบาย เขากต็ ้งั หน้านินทา ใคร ๆ เพ่ือหาความสบายใจของเขาเอง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook