ดว้ ยความปรารถนาดจี าก จดั ทาและเรยี บเรยี งโดย โรงเรยี นดงเจริญพิทยาคม สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษามัธยมศกึ ษาเขต 41
จัดทำและเรียบเรียงโดย โทร. 056-619646 Facebook : โรงเรยี นดงเจริญพทิ ยำคม อ.ดงเจรญิ E-mail : [email protected] โรงเรียนดงเจริญพิทยำคม เลขท่ี 67 หมู่ 5 ตำบลห้วยพุก อำเภอดงเจรญิ จังหวัดพจิ ิตร 66210
พระรำชบัญญตั ิจรำจรทำงบก พ.ศ. 2522 พิมพ์ครงั้ ท่ี 1 (สิงหาคม 2561) โดย โรงเรียนดงเจริญพิทยาคม สานกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษาเขต 41 สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ISBN : สงวนลิขสิทธิ์ตำมกฎหมำย โดยโรงเรยี นดงเจริญพิทยำคม ห้ำมมิให้ผู้ใดลอกเลียนแบบ ทำซ้ำ ดัดแปลง นำออกโฆษณำ ขำย แจกจ่ำย เพ่ือ ผลประโยชน์ทำงกำรค้ำ หรือกระทำโดยประกำรอ่ืน ๆ ซึ่งหนังสือเล่มน้ี หรือไม่ว่ำ ส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มน้ี ไม่ว่ำจะกระทำด้วยวิธีเรียงพิมพ์ พิมพ์สำเนำ ถำ่ ยเอกสำรหรือวิธีอื่นใด เว้นแต่จะได้รับอนุญำตเป็นลำยลักษณ์อักษรจำกผู้จัดทำ
คำนำ ปัจจุบันน้ี ย่อมเป็นท่ียอมรับว่าปัญหาจราจร เป็นปัญหาที่เร้ือรัง และ ต้องอาศัยระยะเวลาในการแก้ไขโดยจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายและ ทุกภาคสว่ นท่ีเก่ียวขอ้ ง ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน หรือประชาชนทั่วไป ต้องมี การประสานความร่วมมือและร่วมกันทางานไปพร้อม ๆ กัน และดาเนินการ จัดทาโครงการฝึกอบรม เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจและปลูกฝังวินัยจราจร รวมทั้งการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย ให้แก่ประชาชนและผู้ใช้รถใช้ถนน ใน พื้นท่ีรับผิดชอบ เน่ืองจากสภาพการใช้รถใช้ถนนในปัจจุบัน มีปัญหาเกิดขึ้น หลายประการ โดยเฉพาะอย่างย่ิง อุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนน ซ่ึงเกิดความ สูญเสียท้ังชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและทางราชการ ซึ่งมีสาเหตุสาคัญ หลายประการ กล่าวคือ ผู้ใช้รถใช้ถนนส่วนใหญ่ขาดความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับกฎหมายจราจร ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ขาดจิตสานึกรับผิดชอบ ขาด มารยาทและวินัยในการขับขี่ ซ่ึงการใช้มาตรการทางกฎหมายเพียงอย่างเดียว กไ็ มเ่ พียงพอและไมส่ ามารถลดอัตราความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้ จึงจาเป็นอย่างยิ่ง ท่ีจะต้องดาเนินการมอบความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายจราจรและป้าย เครื่องหมายจราจร เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และปลูกฝังแก่เยาวชนและ ผู้ที่สนใจ โดยเร่ิมจากกการปลูกฝังจิตสานึกและความรู้จากผู้เยาว์วัย เช่น นักเรียน นักศึกษา และส่งต่อไปยังประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนที่มีความสนใจ เน่ืองจากในปัจจุบันได้มีปัญหาอุบัติเหตุในการใช้รถใช้ถนนท่ีทวีคูณเพ่ิมมากขึ้น เพราะวิถีการดาเนินชีวิตประจาวันในปัจจุบัน มีวิถีการดาเนินชีวิตท่ีค่อนข้าง เรง่ รีบและแข่งขันกับเวลา และในบ้านเรือนเป็นส่วนใหญ่ก็จะมีรถใช้กันแทบจะ ทุกบ้าน ทาให้รถบนท้องถนนจึงมีจานวนเพิ่มมากข้ึน และเวลาเป็นสิ่งท่ีทุกคน ตอ้ งแขง่ กันรีบไปให้ถึงท่ีหมายปลายทาง ทาให้ต่างคนจึงต่างไม่สนใจเอ้ือเฟื้อซึ่ง กันและกัน ไม่มีการชะลอความเร็วของรถให้ผู้อ่ืนไปก่อน หรือรีบร้อนมากจน ไม่หยุดรถเมื่อเจอสัญญาณไฟแดง หรือแม้แต่ในที่ติดป้ายบังคับห้าม จากัด
เตือน หรือให้ชะลอรถ ก็ยังมีผู้คนบางส่วนไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือไม่รู้ กฎหมายจราจร จึงทาให้เกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ตามมา เนื่องจากความประมาท เลินเล่อ ความมักง่าย ไม่เคารพกฎหมายจราจร หรือไม่มีวินัยในการขับข่ีก็ตาม ซง่ึ สง่ิ เหล่านจ้ี ะทาให้เกิดการสูญเสียท่ีจะตามมาในภายหลัง เพราะเหตุน้ี การสร้างจิตสานึกและระเบียบวินัยในผู้ใช้รถใช้ถนน จึง มีความสาคัญเป็นอย่างมาก รวมถึงความรู้ในเร่ืองกฎหมายจราจรและป้าย เครื่องหมายจราจรต่าง ๆ เพื่อปลูกฝังให้ผู้ใช้รถใช้ถนนรู้กฎหมายจราจร เพ่ือ เป็นการช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนอีกทางหนึ่ง ผู้จัดทาจึงมีแนวคิดในการจัดทา หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เรื่อง “พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522” ข้ึนมาน้ัน เน่ืองจากทางผู้จัดทาได้เล็งเห็นถึงความสาคัญของกฎหมาย จราจรและป้ายเคร่ืองหมายจราจร เพ่ือให้ความรู้แก่ผู้คนที่สนใจทั่วไป ซ่ึงจะได้ มีความรู้เก่ียวกับกฎหมายจราจรและป้ายเครื่องหมายจราจร เพื่อเพ่ิมช่องทาง ในการศึกษาข้อมูลเก่ียวกับกฎหมายจราจรและป้ายเครื่องหมายจราจรมากให้ เกิดความเข้าใจมากย่ิงข้ึน หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) นี้จะจัดทาแบ่งเป็น ส่วน ๆ ตามหัวข้อใหญ่และย่อย เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจและสามารถสืบค้น ได้ง่าย เหมาะสาหรับผู้ท่ีสนใจ ผู้ขับขี่รถทุกชนิด และบุคคลท่ัวไป ทุกเพศ ทกุ วัย ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์นี้จะมีประโยชน์ต่อ ผู้ท่ีสนใจ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทาต้องขออภัยมา ณ ท่ีน้ี และ ขอขอบพระคุณทุกท่าน ท่ีมีส่วนร่วมในการจัดทาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์น้ี สาเรจ็ ลุล่วงไปได้ด้วยดี ผจู้ ัดทา
สารบญั 3 พระราชบัญญตั ิจราจรทางบก พ.ศ. 2522 10 ลักษณะ 1 การใชร้ ถ 11 หมวด 1 ลักษณะของรถท่ีใชใ้ นทาง 13 หมวด 2 การใช้ไฟหรือเสียงสัญญาณของรถ 16 หมวด 3 การบรรทกุ ลักษณะ 2 สญั ญาณจราจรและเคร่ืองหมายจราจร 17 ลักษณะ 3 การใช้ทางเดนิ รถ หมวด 1 การขบั รถ 22 หมวด 2 การขับแซงและผา่ นขน้ึ หนา้ หมวด 3 การออกรถ การเลยี้ วรถและการกลบั รถ 22 หมวด 4 การหยุดรถและจอดรถ 31 ลกั ษณะ 4 การใช้ทางเดินรถท่ีจัดเป็นช่องเดินรถประจาทาง 33 ลกั ษณะ 5 ขอ้ กาหนดเก่ียวกับความเร็วของรถ 36 ลักษณะ 6 การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกหรือวงเวียน ลักษณะ 7 รถฉกุ เฉิน 42 ลกั ษณะ 8 การลากรถหรือการจงู รถ ลกั ษณะ 9 อุบัตเิ หตุ 44 ลักษณะ 10 รถจักรยาน 45 47 49 49 50
ลกั ษณะ 11 รถบรรทุกคนโดยสาร 53 ลักษณะ 12 รถแท็กซี่ 55 ลกั ษณะ 13 คนเดินเทา้ 58 ลกั ษณะ 14 สตั วแ์ ละสง่ิ ของในทาง 61 ลกั ษณะ 15 รถม้า เกวียนและเลอื่ น 62 ลักษณะ 16 เขตปลอดภัย 63 ลักษณะ 17 เบ็ดเตล็ด 63 ลักษณะ 18 อานาจของเจ้าพนักงานจราจรและพนักงานเจา้ หน้าที่ 68 ลักษณะ 19 บทกาหนดโทษ 82 เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัตจิ ราจรทางบก 93 ป้ายจราจรประเภทป้ายบังคบั 103 ปา้ ยจราจรประเภทเตือน 113 เครือ่ งหมายจราจรบนพ้ืนทาง 129 130 เคร่ืองหมายจราจรบนพื้นทางประเภทบังคับ 140 เครอื่ งหมายจราจรบนพื้นทางประเภทเตือน ***************
3 พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ภมู ิพลอดุลยเดช ป.ร. ใหไ้ ว้ ณ วนั ท่ี 18 มกราคม พ.ศ. 2522 เปน็ ปที ่ี 34 ในรัชกาลปจั จบุ นั พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มี พระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โ ด ย ท่ี เ ป็ น ก า ร ส ม ค ว ร ป รั บ ป รุ ง ก ฎ ห ม า ย ว่ า ด้ ว ย การจราจรทางบก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติ ขึ้นไว้ โดยคาแนะนาและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังตอ่ ไปนี้
4 มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522” มาตรา 21 พระราชบญั ญัตนิ ้ีใหใ้ ช้บงั คบั เมื่อพ้นกาหนด เกา้ สิบวันนบั แต่วันประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเปน็ ตน้ ไป มาตรา 3 ให้ยกเลิก (1) พระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2477 (2) พระราชบัญญัติจราจรทางบก แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศกั ราช 2478 (3) พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี 3) พุทธศักราช 2481 (4) พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี 4) พ.ศ. 2508 (5) ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 59 ลงวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2515 มาตรา 4 ในพระราชบญั ญัตนิ ้ี (1) “การจราจร” หมายความว่า การใช้ทางของผู้ขับขี่ คนเดินเทา้ หรือคนท่ีจงู ขี่ หรอื ไล่ต้อนสัตว์ (2) “ทาง” หมายความวา่ ทางเดินรถ ช่องเดินรถ ช่อง เดินรถประจาทาง ไหล่ทาง ทางเท้า ทางข้าม ทางร่วมทางแยก 1 ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ๙๖/ตอนท่ี ๘/ฉบบั พิเศษ หนา้ ๑/๒๙ มกราคม ๒๕๒๒
5 ทางลาด ทางโค้ง สะพาน และลานที่ประชาชนใช้ในการจราจร และให้หมายความรวมถึงทางส่วนบุคคลท่ีเจ้าของยินยอมให้ ประชาชนใช้ในการจราจรหรือท่ีเจ้าพนักงานจราจรได้ประกาศ ใหเ้ ปน็ ทางตามพระราชบญั ญตั ินี้ด้วย แต่ไม่รวมไปถงึ ทางรถไฟ (3) “ทางเดินรถ” หมายความว่า พ้ืนท่ีท่ีทาไว้สาหรับ การเดนิ รถไม่ว่าในระดบั พน้ื ดิน ใตห้ รอื เหนอื พนื้ ดิน (4) “ช่องเดินรถ” หมายความว่า ทางเดินรถท่ีจัด แบง่ เป็นชอ่ งสาหรับการเดินรถ โดยทาเคร่ืองหมายเป็นเส้นหรือ แนวแบง่ เป็นช่องไว้ (5) “ช่องเดินรถประจาทาง” หมายความว่า ช่องเดิน รถทก่ี าหนดใหเ้ ปน็ ชอ่ งเดินรถสาหรับรถโดยสารประจาทางหรือ รถบรรทุกคนโดยสารประเภทที่ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ กาหนด (6) “ทางเดินรถทางเดียว” หมายความว่า ทางเดินรถ ใดท่ีกาหนดให้ผู้ขับรถขับไปในทิศทางเดียวกันตามเวลาที่เจ้า พนกั งานจราจรกาหนด (7) “ขอบทาง” หมายความว่า แนวรมิ ของทางเดนิ รถ (8) “ไหล่ทาง” หมายความว่า พื้นที่ท่ีต่อจากขอบทาง ออกไปทางดา้ นข้างซึง่ ยังมิได้จดั ทาเปน็ ทางเทา้ (9) “ทางร่วมทางแยก” หมายความว่า พ้ืนท่ีท่ีทางเดิน รถตัง้ แตส่ องสายตัดผ่านกัน รวมบรรจบกนั หรอื ตดิ กนั (10) “วงเวยี น” หมายความว่า ทางเดินรถที่กาหนดให้ รถเดินรอบเคร่ืองหมายจราจรหรือส่ิงท่ีสร้างขึ้นในทางร่วมทาง แยก
6 (11) “ทางเท้า” หมายความว่า พ้ืนท่ีท่ีทาไว้สาหรับคน เดินซ่ึงอยู่ข้างใดข้างหนึ่งของทาง หรือท้ังสองข้างของทาง หรือ ส่วนท่ีอย่ชู ิดขอบทางซงึ่ ใช้เปน็ ที่สาหรบั คนเดนิ (12) “ทางข้าม” หมายความว่า พ้ืนท่ีที่ทาไว้สาหรับให้ คนเดินเท้าข้ามทางโดยทาเคร่ืองหมายเป็นเส้นหรือแนวหรือ ตอกหมุดไว้บนทาง และให้หมายความรวมถึงพื้นที่ท่ีทาให้คน เดินเทา้ ข้ามไม่ว่าในระดับใตห้ รือเหนือพน้ื ดินดว้ ย (13) “เขตปลอดภัย” หมายความว่า พื้นที่ในทางเดิน รถท่ีมีเคร่ืองหมายแสดงไว้ให้เห็นได้ชัดเจนทุกเวลา สาหรับให้ คนเดินเท้าท่ีข้ามทางหยุดรอหรือให้คนท่ีขึ้นหรือลงรถหยุดรอ ก่อนจะขา้ มทางต่อไป (14) “ที่คับขัน” หมายความว่า ทางท่ีมีการจราจร พลุกพล่านหรือมีส่ิงกีดขวาง หรือในท่ีซึ่งมองเห็นหรือทราบได้ ล่วงหน้าว่าอาจเกิดอันตรายหรือความเสียหายแก่รถหรือคนได้ งา่ ย (15) “รถ” หมายความว่า ยานพาหนะทางบกทุกชนิด เวน้ แตร่ ถไฟและรถราง (16) “รถยนต์” หมายความว่า รถท่ีมีล้อตั้งแต่สามล้อ และเดินด้วยกาลังเครื่องยนต์ กาลังไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น ยกเว้นรถทีเ่ ดินบนราง (17) “รถจักรยานยนต์” หมายความว่า รถท่ีเดินด้วย กาลังเครื่องยนต์ กาลังไฟฟ้า หรือพลังงานอ่ืน และมีล้อไม่เกิน สองล้อ ถา้ มพี ว่ งข้างมลี อ้ เพม่ิ อกี ไมเ่ กินหนึง่ ลอ้
7 (18) “รถจักรยาน” หมายความว่า รถที่เดินด้วยกาลัง ของผู้ขับขท่ี ีม่ ใิ ช่เปน็ การลากเข็น (19) “รถฉุกเฉิน” หมายความว่า รถดับเพลิงและ รถพยาบาลของราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วน ภูมิภาคและราชการบริหารส่วนท้องถ่ิน หรือรถอ่ืนที่ได้รับ อนุญาตจากผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติให้ใช้ไฟสัญญาณแสง วับวาบหรือใหใ้ ช้เสียงสัญญาณไซเรนหรือเสียงสัญญาณอย่างอื่น ตามทีจ่ ะกาหนดให้ (20) “รถบรรทุก” หมายความว่า รถยนต์ที่สร้างข้ึน เพอ่ื ใช้บรรทุกสิง่ ของหรือสัตว์ (21) “รถบรรทุกคนโดยสาร” หมายความว่า รถยนต์ที่ สรา้ งขนึ้ เพือ่ ใชบ้ รรทุกคนโดยสารเกนิ เจ็ดคน (22) “รถโรงเรียน” หมายความว่า รถบรรทุกคน โดยสารทโ่ี รงเรยี นใช้รบั ส่งนักเรยี น (23) “รถโดยสารประจาทาง ” หมายความว่า รถบรรทุกคนโดยสารท่ีเดินตามทางที่กาหนดไว้ และเรียกเก็บ ค่าโดยสารเป็นรายคนตามอตั ราทีว่ างไวเ้ ปน็ ระยะทางหรือตลอด ทาง (24) “รถแท็กซี่” หมายความว่า รถยนต์ท่ีใช้รับจ้าง บรรทุกคนโดยสารไมเ่ กนิ เจ็ดคน (25) “รถลากจูง” หมายความว่า รถยนต์ที่สร้างขึ้น เพ่ือใช้สาหรับลากจูงรถหรือเคร่ืองมือการเกษตรหรือเคร่ืองมือ การก่อสร้าง โดยตัวรถน้ันเองมิได้ใช้สาหรับบรรทุกคนหรือ ส่ิงของ
8 (26) “รถพ่วง” หมายความว่า รถที่เคลื่อนท่ีไปโดยใช้ รถอ่ืนลากจงู (27) “มาตรแท็กซ่ี” หมายความว่า เครื่องแสดงอัตรา และคา่ โดยสารของรถแท็กซี่ โดยอาศยั เกณฑร์ ะยะทางหรอื เวลา การใช้รถแท็กซี่หรือโดยอาศัยท้ังระยะทางและเวลาการใช้รถ แท็กซ่ี (28) “ผู้ขับขี่” หมายความว่า ผู้ขับรถ ผู้ประจาเคร่ือง อุปกรณ์การขนส่งตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่ง ผู้ลากเข็น ยานพาหนะ (29) “คนเดินเท้า” หมายความว่า คนเดินและให้รวม ตลอดถงึ ผู้ใช้เก้าอลี้ อ้ สาหรับคนพกิ ารหรือรถสาหรบั เดก็ ด้วย (30) “เจ้าของรถ” หมายความรวมถึงผู้มีรถไว้ใน ครอบครองดว้ ย (31) “ผู้เก็บค่าโดยสาร” หมายความว่า ผู้ซ่ึง รับผิดชอบในการเก็บค่าโดยสาร และผู้ดูแลคนโดยสารท่ีอยู่ ประจารถบรรทุกคนโดยสาร (32) “ใบอนุญาตขับขี่” หมายความว่า ใบอนุญาตขับ รถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ใบอนุญาตสาหรับคนขับรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถจ้างใบอนุญาตขับขี่ตามกฎหมายว่าด้วย ล้อเล่ือน และใบอนุญาตผู้ประจาเครื่องอุปกรณ์การขนส่งตาม กฎหมายวา่ ดว้ ยการขนส่ง (33) “สัญญาณจราจร” หมายความว่า สัญญาณใด ๆ ไม่ว่าจะแสดงด้วยธง ไฟ ไฟฟ้า มือ แขน เสียงนกหวีด หรือด้วย
9 วธิ ีอน่ื ใด สาหรบั ให้ผูข้ ับข่ีคนเดนิ เท้า หรอื คนท่ีจูง ข่ี หรือไล่ต้อน สตั ว์ ปฏบิ ัติตามสัญญาณน้นั ( 3 4 ) “ เ ค ร่ื อ ง ห ม า ย จ ร า จ ร ” ห ม า ย ค ว า ม ว่ า เครื่องหมายใด ๆ ท่ีได้ติดต้ังไว้ หรือทาให้ปรากฏในทางสาหรับ ใหผ้ ขู้ บั ขี่ คนเดินเท้า หรือคนท่ีจูง ขี่หรือไล่ต้อนสัตว์ ปฏิบัติตาม เคร่ืองหมายน้นั (35) “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการ ตามพระราชบัญญัตินี้ (36) 2(ยกเลิก) (37) “เจ้าพนักงานจราจร” หมายความว่า ข้าราชการ ตารวจช้ันสัญญาบัตร ซึ่งรัฐมนตรีแต่งต้ังให้เป็นเจ้าพนักงาน จราจร (38) “พนักงานเจ้าหน้าท่ี” หมายความว่า ตารวจซ่ึง ปฏบิ ัติหนา้ ทีค่ วบคมุ การจราจร (39) “อาสาจราจร” หมายความว่า ผู้ซ่ึงผ่านการอบรม ตามหลักสูตรอาสาจราจร และได้รับแต่งตั้งจากผู้บัญชาการ ตารวจแห่งชาติให้ช่วยเหลือการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงาน เจ้าหน้าทตี่ ามที่บญั ญตั ไิ วใ้ นพระราชบญั ญัติน้ี (40) 3“ผู้ตรวจการ” หมายความว่า ผู้ตรวจการตาม กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกและผู้ตรวจการตามกฎหมาย ว่าด้วยรถยนต์ 2 มาตรา ๔ (๓๖) ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๙
10 [คาวา่ “ผบู้ ญั ชาการตารวจแห่งชาติ” แก้ไขเพ่ิมเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๙] มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอานาจแต่งตั้งเจ้า พนักงานจราจร กับออกกฎกระทรวงกาหนดกิจการอ่ืนเพื่อ ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตนิ ี้4 กฎกระทรวงน้ัน เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา แลว้ ให้ใชบ้ งั คบั ได้ ลกั ษณะ 1 การใช้รถ 3 มาตรา ๔ (๔๐) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๔๒ 4 มาตรา ๕ วรรคหน่ึง แก้ไขเพ่ิมเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบบั ที่ ๘๗/๒๕๕๗ เร่ือง การแก้ไขเพมิ่ เติมผู้รักษาการตามกฎหมายทีเ่ กี่ยวข้องกับ อานาจหนา้ ทีข่ องเจ้าพนักงานตารวจ ลงวันท่ี ๑๐ กรกฎาคม พุทธศกั ราช ๒๕๕๗
11 หมวด 1 ลักษณะของรถที่ใช้ในทาง มาตรา 6 ห้ามมใิ ห้ผูใ้ ดนารถที่มสี ภาพไม่ม่ันคงแข็งแรง หรอื อาจเกดิ อันตราย หรอื อาจทาให้เส่ือมเสียสุขภาพอนามัยแก่ ผู้ใช้ คนโดยสารหรือประชาชนมาใช้ในทางเดนิ รถ รถที่ใช้ในทางเดินรถ ผู้ขับขี่ต้องจัดให้มีเคร่ืองยนต์ เครื่องอุปกรณแ์ ละหรือส่วนควบท่ีครบถ้วนตามกฎหมายว่าด้วย รถยนต์ กฎหมายว่าด้วยการขนส่งกฎหมายว่าด้วยล้อเล่ือน กฎหมายว่าด้วยรถลาก หรือกฎหมายว่าด้วยรถจ้าง และใช้การ ไดด้ ี สภาพของรถท่ีอาจทาให้เสื่อมเสียสุขภาพอนามัยตาม วรรคหน่ึงและวิธีการทดสอบ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และ วธิ กี ารที่กาหนดในกฎกระทรวง มาตรา 7 ห้ามมิให้ผู้ใดนารถที่มิได้ติดแผ่นป้ายเลข ทะเบียน แผ่นป้ายเคร่ืองหมายเลขทะเบียนหรือป้ายประจารถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ กฎหมายว่าด้วยการขนส่ง กฎหมายว่าด้วยล้อเลื่อน กฎหมายว่าด้วยรถลาก หรือกฎหมาย ว่าด้วยรถจา้ ง มาใช้ในทางเดินรถ มาตรา 8 หา้ มมิใหผ้ ูใ้ ดนารถที่ผู้ขับขี่ไม่อาจแลเห็นทาง พอแก่ความปลอดภัยมาใชใ้ นทางเดนิ รถ เพ่ือประโยชน์แห่งมาตรานี้ ให้ผู้บัญชาการตารวจ แห่งชาติมีอานาจออกระเบียบเก่ียวกับการใช้วัสดุกรองแสงกับ
12 รถที่นามาใช้ในทางเดินรถได้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา [คาวา่ “ผูบ้ ญั ชาการตารวจแห่งชาติ” แก้ไขเพ่ิมเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๙] มาตรา 9 ห้ามมิให้ผู้ใดนารถที่เกิดเสียงอ้ืออึงหรือมีสิ่ง ลากถูไปบนทางเดนิ รถมาใช้ในทางเดินรถ มาตรา 10 ห้ามมิให้ผู้ใดนารถท่ีมีล้อหรือส่วนท่ีสัมผัส กับผิวทางไม่ใช่ยางมาใช้ในทางเดินรถ เว้นแต่เป็นรถที่ได้รับ ยกเว้นตามที่กาหนดในกฎกระทรวง หรือเป็นรถท่ีได้รับอนุญาต จากเจา้ พนกั งานจราจร มาตรา 10 ทวิ5 ห้ามมิให้ผู้ใดนารถที่เครื่องยนต์ ก่อให้เกิดก๊าซ ฝุ่น ควัน ละอองเคมี หรือเสียงเกินเกณฑ์ท่ีผู้ บัญชาการตารวจแห่งชาติกาหนดโดยประกาศในราชกิจจา นุเบกษา มาใชใ้ นทางเดินรถ [คาว่า “ผ้บู ญั ชาการตารวจแห่งชาติ” แก้ไขเพ่ิมเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๙] 5 มาตรา ๑๐ ทวิ เพ่ิมโดยพระราชบัญญัตจิ ราจรทางบก (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๓๕
13 หมวด 2 การใชไ้ ฟหรือเสยี งสญั ญาณของรถ มาตรา 11 ในเวลาที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอที่จะ มองเห็นคน รถ หรือส่ิงกีดขวางในทางได้โดยชัดแจ้งภายใน ระยะไม่นอ้ ยกวา่ หนง่ึ ร้อยห้าสิบเมตร ผู้ขับขี่ซ่ึงขับรถในทางต้อง เปิดไฟ หรือใช้แสงสว่างตามประเภท ลักษณะ และเง่ือนไขท่ี กาหนดในกฎกระทรวง มาตรา 12 รถแต่ละชนิดท่ีใช้ในทางเดินรถผู้ขับข่ีต้อง ใชเ้ สียงสัญญาณโดยเฉพาะดังตอ่ ไปน้ี (1) เสียงแตร สาหรับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ และ ใหไ้ ด้ยินไดใ้ นระยะไม่นอ้ ยกว่าหกสบิ เมตร (2) เสียงระฆัง สาหรับรถม้า และให้ได้ยินได้ในระยะไม่ น้อยกว่าสามสบิ เมตร (3) เสียงกระด่ิง สาหรับรถจักรยาน และให้ได้ยินได้ใน ระยะไมน่ ้อยกวา่ สามสิบเมตร ส่วนรถอ่ืนนอกจากที่กล่าวข้างต้น ผู้ขับขี่ต้องใช้เสียง สัญญาณตามท่ีผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติกาหนดโดยประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา [คาว่า “ผบู้ ัญชาการตารวจแห่งชาติ” แก้ไขเพ่ิมเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๙]
14 มาตรา 13 ห้ามมิให้ผู้ขับข่ีซ่ึงขับรถทุกชนิดในทางเดิน รถใชไ้ ฟสัญญาณแสงวบั วาบ เสยี งสัญญาณไซเรน เสียงสัญญาณ ที่เป็นเสียงนกหวีดเสียงท่ีแตกพร่า เสียงหลายเสียง เสียงดังเกิน สมควร หรือเสียงสัญญาณอย่างอื่นตามที่ผู้บัญชาการตารวจ แห่งชาติกาหนดโดยประกาศในราชกิจจานเุ บกษา ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติมีอานาจอนุญาตให้รถ ฉุกเฉิน รถในราชการทหารหรือตารวจหรือรถอ่ืนใช้ไฟสัญญาณ วบั วาบหรอื ใช้เสียงสัญญาณไซเรนหรือเสียงสัญญาณอย่างอ่ืนได้ ในการนี้ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติจะกาหนดเงื่อนไขในการใช้ ไฟสัญญาณหรือเสียงสัญญาณรวมท้ังกาหนดเครื่องหมายที่ แสดงถึงลักษณะของรถดังกล่าวด้วยก็ได้โดยประกาศในราช กจิ จานุเบกษา [คาวา่ “ผบู้ ัญชาการตารวจแห่งชาติ” แก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๙] มาตรา 14 การใช้เสียงสัญญาณ ผู้ขับข่ีจะใช้ได้เฉพาะ เม่อื จาเป็นหรอื ปอ้ งกนั อุบตั เิ หตุเท่านัน้ แต่จะใช้เสียงยาวหรือซ้า เกินควรไม่ได้ การใช้เสียงสัญญาณของรถหรือการกาหนดเง่ือนไขใน การใช้เสียงสัญญาณในเขตหรือท้องที่ใด ให้ผู้บัญชาการตารวจ แหง่ ชาตกิ าหนดโดยประกาศในราชกจิ จานุเบกษา
15 [คาวา่ “ผบู้ ญั ชาการตารวจแห่งชาติ” แก้ไขเพ่ิมเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๙] มาตรา 15 รถที่บรรทุกของย่ืนเกินความยาวของตัวรถ ขณะที่อยู่ในทางเดินรถ และในเวลาต้องเปิดไฟตามมาตรา 11 หรือมาตรา 61 ผู้ขับข่ีต้องจุดไฟสัญญาณแสงแดง หรือในเวลา กลางวันต้องติดธงสีแดงไว้ท่ีตอนปลายสุดของส่ิงท่ีบรรทุกนั้น โดยจุดไฟสญั ญาณหรือตดิ ธงไว้ให้มองเหน็ ไดใ้ นระยะไม่น้อยกว่า หนง่ึ ร้อยหา้ สิบเมตร ไฟสัญญาณแสงแดงหรือธงสีแดงตามวรรคหน่ึง จะใช้ ชนิด ลักษณะหรือจานวนเท่าใด ให้ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ กาหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา [คาว่า “ผูบ้ ญั ชาการตารวจแห่งชาติ” แก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๙] มาตรา 16 ผขู้ ับขีซ่ ง่ึ ขบั รถบรรทุกของเหลวไวไฟท่ีมีจุด วาบไฟในอณุ หภูมิยีส่ ิบเอด็ องศาเซลเซียส หรือต่ากว่านั้น หรือท่ี บรรทุกก๊าซไวไฟต้องปฏบิ ัติตามมาตรา 15 และมาตรา 56 แต่ ไฟสัญญาณทใี่ ช้น้ันตอ้ งมิใชเ่ ป็นชนดิ ทใี่ ชเ้ ชอื้ เพลงิ มาตรา 17 ผขู้ บั ข่ีซ่ึงขับรถท่ีใช้บรรทุกวัตถุระเบิด หรือ วัตถุอันตรายชนิดอื่นใด ต้องจัดให้มีป้ายแสดงถึงวัตถุที่บรรทุก
16 และเครื่องดับเพลิง และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขในการป้องกัน อันตราย ลักษณะและวิธีการติดป้ายแสดงถึงวัตถุที่บรรทุกและ เครื่องดับเพลิงตลอดจนเงื่อนไขในการป้องกันอันตราย ให้ เป็นไปตามทกี่ าหนดในกฎกระทรวง หมวด 3 การบรรทุก มาตรา 186 รถทใ่ี ชบ้ รรทกุ คน สัตว์ หรือสิ่งของ จะใช้ บรรทุกในลักษณะใดโดยรถชนิดหรือประเภทใด ให้เป็นไปตาม หลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารทกี่ าหนดในกฎกระทรวง มาตรา 19 ในกรณีที่มีความจาเป็นจะต้องบรรทุกคน สัตว์ หรือส่ิงของนอกเหนือไปจากหลักเกณฑ์และวิธีการท่ี กาหนดในกฎกระทรวง เมื่อเจ้าของรถร้องขอเจ้าพนักงาน จราจรจะผ่อนผนั โดยอนญุ าตเป็นหนังสือเป็นการช่วั คราวเฉพาะ รายก็ได้ มาตรา 20 ผู้ขับข่ซี ึ่งขับรถบรรทุกคน สัตว์ หรือส่ิงของ ต้องจัดให้มีสิ่งป้องกันมิให้ คน สัตว์ หรือสิ่งของที่บรรทุกตก หล่น รั่วไหล ส่งกล่ิน ส่องแสงสะท้อน หรือปลิวไปจากรถ อัน อาจก่อเหตุเดือดร้อน ราคาญ ทาให้ทางสกปรกเปรอะเป้ือน ทา 6 มาตรา ๑๘ แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๕๐
17 ใหเ้ สื่อมเสียสขุ ภาพอนามัยแก่ประชาชน หรือก่อให้เกิดอันตราย แก่บคุ คลหรอื ทรัพย์สนิ ลักษณะ 2 สญั ญาณจราจรและเคร่ืองหมายจราจร มาตรา 21 ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาณ จราจรและเครื่องหมายจราจรท่ีได้ติดต้ังไว้หรือทาให้ปรากฏ ในทาง หรือท่ีพนักงานเจา้ หน้าท่ีแสดงใหท้ ราบ สัญญาณจราจร เคร่ืองหมายจราจรและความหมาย ของสัญญาณจราจรและเครื่องหมายจราจร ให้ผู้บัญชาการ ตารวจแห่งชาตกิ าหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้ มรี ูปตวั อยา่ งแสดงไวใ้ นประกาศด้วย [คาวา่ “ผู้บญั ชาการตารวจแห่งชาติ” แก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๙] มาตรา 22 ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรหรือ เคร่อื งหมายจราจรทปี่ รากฏขา้ งหนา้ ในกรณีตอ่ ไปนี้ (1) สัญญาณจราจรไฟสีเหลืองอาพัน ให้ผู้ขับข่ีเตรียม หยุดรถหลังเส้นให้รถหยุดเพ่ือเตรียมปฏิบัติตามสัญญาณที่จะ ปรากฏตอ่ ไปดังกลา่ วใน (2) เว้นแตผ่ ูข้ ับขี่ทไ่ี ดเ้ ลยเส้นให้รถหยุด ไปแล้วให้เลยไปได้
18 (2) สัญญาณจราจรไฟสีแดงหรือเคร่ืองหมายจราจรสี แดงท่มี คี าวา่ หยดุ ใหผ้ ู้ขบั ขีห่ ยดุ รถหลังเส้นให้รถหยดุ (3) สัญญาณจราจรไฟสีเขียวหรือเคร่ืองหมายจราจรสี เขียวที่มีคาว่า ไป ให้ผู้ขับขี่ขับรถต่อไปได้ เว้นแต่จะมี เคร่ืองหมายจราจรกาหนดไว้เป็นอยา่ งอ่ืน (4)7 สัญญาณจราจรไฟลูกศรสีเขียวช้ีให้เล้ียวหรือช้ีให้ ตรงไป หรือสัญญาณจราจรไฟสีแดงแสดงพร้อมกับสัญญาณ จราจรไฟลูกศรสีเขยี วช้ใี หเ้ ลี้ยวหรอื ช้ีให้ตรงไป ให้ผู้ขับขี่เล้ียวรถ หรือขับรถตรงไปได้ตามทิศทางที่ลูกศรช้ีและต้องขับรถด้วย ความระมัดระวัง และต้องให้สิทธิแก่คนเดินเท้าในทางข้ามหรือ รถท่มี าทางขวาก่อน (5) สญั ญาณจราจรไฟกระพริบสีแดง ถ้าติดตั้งอยู่ที่ทาง ร่วมทางแยกใดเปิดทางด้านใดให้ผู้ขับข่ีที่มาทางด้านน้ันหยุดรถ หลังเส้นให้รถหยุด เมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวาง การจราจรแลว้ จึงให้ขบั รถต่อไปไดด้ ว้ ยความระมัดระวัง (6) สัญญาณจราจรไฟกระพริบสีเหลืองอาพัน ถ้าติดต้ัง อยู่ ณ ท่ีใดให้ผู้ขับขี่ลดความเร็วของรถลงและผ่านทางเดินรถ นั้นไปด้วยความระมดั ระวงั ผู้ขับข่ีซ่ึงจะขับรถตรงไปต้องเข้าอยู่ในช่องเดินรถท่ีมี เคร่ืองหมายจราจรแสดงให้ตรงไป ส่วนผู้ขับข่ีซ่ึงจะเล้ียวรถต้อง เขา้ อยู่ในชอ่ งเดินรถท่ีมเี คร่ืองหมายจราจรแสดงใหเ้ ลย้ี ว การเข้า 7 มาตรา ๒๒ (๔) แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๓๕
19 อยู่ในช่องเดินรถดังกล่าวจะต้องเข้าต้ังแต่เริ่มมีเคร่ืองหมาย จราจรแสดงใหป้ ฏิบัติเชน่ น้ัน มาตรา 23 ผู้ขับข่ีซ่ึงขับรถในทางเดินรถท่ีมีสัญญาณ จราจรไฟสีเขียวหรือไฟสีแดงติดตั้งไว้เหนือช่องเดินรถ มากกว่า สองช่องข้ึนไปตอ้ งปฏิบตั ิดงั ตอ่ ไปน้ี (1) สัญญาณจราจรไฟสีแดงที่ทาเป็นรูปกากบาทเฉียง อยูเ่ หนือช่องเดนิ รถใดหา้ มมิใหผ้ ้ขู ับขข่ี ับรถในชอ่ งเดินรถน้ัน (2) สัญญาณจราจรไฟสีเขียวที่ทาเป็นรูปลูกศรอยู่เหนือ ช่องเดนิ รถใดให้ผ้ขู ับขีซ่ ่งึ ขบั รถในชอ่ งเดนิ รถน้ันขับรถผ่านไปได้ มาตรา 24 ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรท่ี พนกั งานเจา้ หนา้ ท่แี สดงใหป้ รากฏข้างหนา้ ในกรณตี ่อไปน้ี (1) เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยืน และเหยียดแขนซ้าย ออกไปเสมอระดับไหล่ ผู้ขับข่ีซ่ึงขับรถมาทางด้านหลังของ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องหยุดรถแต่ถ้าพนักงานเจ้าหน้าท่ีลดแขน ข้างท่ีเหยียดออกไปน้ันลงและโบกมือไปข้างหน้าให้ผู้ขับข่ีซ่ึง หยุดรถอยู่ทางด้านหลงั ขบั รถผา่ นไปได้ (2) เม่ือพนักงานเจ้าหน้าที่ยืน และเหยียดแขนข้างใด ข้างหนึ่งออกไปเสมอระดับไหล่และต้ังฝ่ามือข้ึน ผู้ขับข่ีซ่ึงขับรถ มาทางด้านที่เหยยี ดแขนขา้ งนน้ั ของพนักงานเจ้าหน้าท่ีต้องหยุด รถ แต่ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่พลิกฝ่ามือที่ต้ังอยู่นั้น แล้วโบกผ่าน ศีรษะไปทางดา้ นหลัง ใหผ้ ูข้ บั ขซ่ี ่ึงหยดุ รถอย่นู ั้นขบั รถผา่ นไปได้ (3) เมื่อพนักงานเจ้าหน้าท่ียืน และเหยียดแขนท้ังสอง ข้างออกไปเสมอระดับไหล่และต้ังฝ่ามือข้ึน ผู้ขับขี่ซ่ึงขับรถมา
20 ทางด้านที่เหยียดแขนทั้งสองข้างของพนักงานเจ้าหน้าท่ีต้อง หยดุ รถ (4) เม่ือพนกั งานเจ้าหน้าท่ียืน และยกแขนขวาท่อนล่าง ต้ังฉากกับแขนท่อนบนและต้ังฝ่ามือขึ้น ผู้ขับข่ีซึ่งขับรถมา ทางด้านหนา้ ของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องหยุดรถ แต่ถ้าพนักงาน เจ้าหน้าท่ีพลิกฝ่ามือที่ตั้งอยู่นั้นโบกไปด้านหลัง ให้ผู้ขับขี่ ซึ่ง หยดุ รถอยูท่ างดา้ นหน้าของพนักงานเจา้ หน้าที่ขับรถผา่ นไปได้ (5) เม่ือพนักงานเจา้ หน้าทีย่ นื และยกแขนขวาท่อนล่าง ตั้งฉากกับแขนท่อนบนและต้ังฝ่ามือขึ้น ส่วนแขนซ้ายเหยียด ออกไปเสมอระดับไหล่ผู้ขับข่ีซ่ึงขับรถมาทางด้านหน้าและ ด้านหลังของพนักงานเจ้าหนา้ ทต่ี อ้ งหยดุ รถ การหยุดรถตามมาตราน้ี ให้หยุดหลังเส้นให้รถหยุด ใน กรณที ่ที างเดินรถใดไมม่ ีเส้นให้รถหยุด ให้ผู้ขับข่ีหยุดรถห่างจาก พนักงานเจ้าหน้าท่ใี นระยะไมน่ อ้ ยกว่าสามเมตร การแสดงสัญญาณจราจรของพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม มาตราน้ี พนักงานเจ้าหน้าท่ีจะใช้ไฟฉายเรืองแสงหรืออุปกรณ์ เรอื งแสงอนื่ ด้วยกไ็ ด้8 มาตรา 25 ผู้ขับข่ีต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรที่ พนักงานเจ้าหน้าท่ีได้แสดงด้วยเสียงสัญญาณนกหวีดในกรณี ตอ่ ไปน้ี 8 มาตรา ๒๔ วรรคสาม เพิ่มโดยพระราชบญั ญัตจิ ราจรทางบก (ฉบับท่ี ๑๐) พ.ศ. ๒๕๕๗
21 (1) เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้เสียงสัญญาณนกหวีดยาว หนงึ่ ครัง้ ใหผ้ ขู้ ับขี่หยดุ รถทนั ที (2) เม่ือพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้เสียงสัญญาณนกหวีดส้ัน สองครั้งติดต่อกันใหผ้ ู้ขับขี่ขับรถผ่านไปได้ มาตรา 26 ในทางเดินรถที่มีสัญญาณจราจรหรือ เคร่ืองหมายจราจรตามมาตรา 22 หรือสัญญาณจราจรตาม มาตรา 23 ถ้าพนักงานเจ้าหน้าท่ีผู้ควบคุมการจราจรใน ทางเดินรถน้ัน เห็นสมควรเพื่อความปลอดภัยหรือความสะดวก ในการจราจร จะให้สัญญาณจราจรเป็นอย่างอื่นก็ได้ ในกรณี เช่นนี้ ให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติการเดินรถตามสัญญาณที่พนักงาน เจา้ หนา้ ท่กี าหนดให้ มาตรา 27 สัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจร ตามท่ีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติน้ี เมื่อมีเหตุอันสมควร ให้ผบู้ ญั ชาการตารวจแหง่ ชาติมีอานาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้โดย ประกาศในราชกิจจานุเบกษา [คาวา่ “ผบู้ ญั ชาการตารวจแห่งชาติ” แก้ไขเพ่ิมเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๙] มาตรา 28 ห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากพนักงานเจ้าหน้าท่ี หรือเจ้าพนักงานทา ติดตั้ง หรือทาให้ปรากฏซึ่งสัญญาณจราจร หรือเคร่ืองหมายจราจรในทางที่ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ กาหนดตามมาตรา 21
22 [คาวา่ “ผ้บู ญั ชาการตารวจแห่งชาติ” แก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๙] มาตรา 29 ห้ามมิให้ผู้ใดทาให้เสียหาย ทาลาย ซ่อน เร้น เปล่ียนแปลง เคล่ือนย้าย ขีดเขียน หรือทาให้ไร้ประโยชน์ ซ่ึงสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรท่ีพนักงานเจ้าหน้าท่ี หรอื เจ้าพนักงานติดต้ังไว้ หรือทาใหป้ รากฏในทาง มาตรา 30 สัญญาณจราจรหรือเคร่ืองหมายจราจรที่ ทา ติดต้ังหรือทาให้ปรากฏในทางโดยฝ่าฝืนมาตรา 28 หรือ มาตรา 29 เจ้าพนักงานจราจรมีอานาจยึด ร้ือถอน ทาลาย หรือทาให้ส้ินไปซึ่งสญั ญาณจราจรหรือเครอื่ งหมายจราจรนน้ั ได้ ลักษณะ 3 การใช้ทางเดินรถ หมวด 1 การขับรถ มาตรา 31 นอกจากท่ีบัญญัติไว้เป็นพิเศษในลักษณะ 4 ว่าด้วยการใช้ทางเดินรถที่จัดเป็นช่องเดินรถประจาทาง การ ใชท้ างเดนิ รถให้เป็นไปตามท่ีบญั ญัตไิ วใ้ นลักษณะนี้ มาตรา 32 ในการใช้ทางเดินรถผู้ขับข่ีต้องใช้ความ ระมัดระวงั ไม่ให้รถชนหรือโดนคนเดินเท้าไม่ว่าจะอยู่ ณ ส่วนใด
23 ของทาง และต้องให้สัญญาณเตือนคนเดินเท้าให้รู้ตัวเม่ือจาเป็น โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เด็ก คนชราหรือคนพิการทกี่ าลงั ใช้ทาง ผู้ขับ ขตี่ ้องใชค้ วามระมดั ระวงั เป็นพเิ ศษในการควบคุมรถของตน มาตรา 33 ในการขับรถ ผู้ขับข่ีต้องขับรถในทางเดิน รถด้านซ้ายและตอ้ งไม่ลา้ กึง่ กลางของทางเดินรถ เว้นแต่ในกรณี ต่อไปนี้ ใหเ้ ดนิ ทางขวาหรือลา้ กึง่ กลางของทางเดนิ รถได้ (1) ด้านซ้ายของทางเดินรถมีสิ่งกีดขวางหรือถูกปิด การจราจร (2) ทางเดินรถนั้นเจ้าพนักงานจราจรกาหนดให้เป็น ทางเดนิ รถทางเดยี ว (3) ทางเดินรถนัน้ กวา้ งไม่ถึงหกเมตร มาตรา 34 ในการใช้ทางเดินรถท่ีได้จัดแบ่งช่องเดินรถ ในทศิ ทางเดียวกนั ไวต้ ั้งแต่สองชอ่ งข้ึนไป หรอื ที่ได้จัดช่องเดินรถ ประจาทางไว้ในช่องเดินรถซ้ายสุด ผู้ขับขี่ต้องขับรถในช่องซ้าย สุดหรือใกล้กับช่องเดินรถประจาทางเว้นแต่ในกรณีต่อไปน้ี ให้ เดินทางขวาของทางเดินรถได้ (1) ในชอ่ งเดินรถน้ันมสี ่ิงกดี ขวางหรอื ถูกปิดการจราจร (2) ทางเดินรถนั้น เจ้าพนักงานจราจรกาหนดให้เป็น ทางเดินรถทางเดยี ว (3) จะตอ้ งเขา้ ชอ่ งทางให้ถกู ตอ้ งเม่อื เข้าบริเวณใกล้ทาง รว่ มทางแยก (4) เม่ือจะแซงข้นึ หนา้ รถคนั อ่นื
24 (5) 9เม่ือผู้ขับขี่ขับรถด้วยความเร็วสูงกว่ารถในช่องเดิน รถดา้ นซ้าย มาตรา 3510 รถที่มีความเร็วช้าหรือรถท่ีมีความเร็วต่า กว่าความเร็วของรถคนั อื่นทขี่ บั ในทิศทางเดียวกนั ผู้ขับขี่ต้องขับ รถใหใ้ กลข้ อบทางเดินรถด้านซา้ ยเท่าท่จี ะกระทาได้ ผูข้ ับข่ีรถบรรทกุ รถบรรทกุ คนโดยสาร รถจักรยานยนต์ ในทางเดินรถซ่ึงได้แบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ ตั้งแต่ สองช่องขึ้นไปหรือได้จัดช่องเดินรถประจาทางด้านซ้ายไว้ โดยเฉพาะ ต้องขบั รถในช่องเดินรถด้านซ้ายสุดหรือใกล้เคียงกับ ชอ่ งเดนิ รถประจาทางแลว้ แต่กรณี ความในวรรคสองมิให้ใช้บังคับแก่รถยนต์บรรทุกส่วน บุคคลที่มีน้าหนักไม่เกินหน่ึงพันหกร้อยกิโลกรัม และรถยนต์น่ัง สว่ นบุคคลเกินเจด็ คน ตามกฎหมายวา่ ด้วยรถยนต์ มาตรา 36 ผู้ขับข่ีซึ่งจะเล้ียวรถ ให้รถคันอื่นผ่านหรือ แซงขึ้นหนา้ เปล่ียนช่องเดินรถ ลดความเร็วของรถ จอดรถ หรือ หยุดรถ ต้องให้สัญญาณด้วยมือและแขนตามมาตรา 37 หรือ ไฟสัญญาณตามมาตรา 38 หรือสัญญาณอย่างอื่นตามข้อบังคับ ของเจา้ พนักงานจราจร 9 มาตรา ๓๔ (๕) เพิม่ โดยพระราชบัญญตั จิ ราจรทางบก (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๕ 10 มาตรา ๓๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๒๙
25 ถ้าโดยสภาพของรถ สภาพของการบรรทุก หรือสภาพ ของทัศนวิสัยการให้สัญญาณด้วยมือและแขนตามวรรคหน่ึงไม่ อาจทาให้ผู้ขับขี่ซ่ึงขับรถสวนมาหรือตามมาข้างหลังมองเห็นได้ ผู้ขบั ข่ตี ้องใหไ้ ฟสัญญาณ ผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณด้วยมือและแขน ไฟสัญญาณ หรือสัญญาณอย่างอ่ืนตามวรรคหน่ึงก่อนท่ีจะเลี้ยวรถ เปล่ียน ชอ่ งเดนิ รถ จอดรถหรือหยุดรถเป็นระยะทางไม่น้อยกว่าสามสิบ เมตร ผู้ขับขีต่ อ้ งใหส้ ัญญาณด้วยมือและแขน ไฟสัญญาณหรือ สัญญาณอย่างอ่ืนตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ขับขี่ซ่ึงขับรถอ่ืนเห็นได้ใน ระยะไม่น้อยกว่าหกสบิ เมตร มาตรา 37 การให้สัญญาณด้วยมือและแขน ให้ปฏิบัติ ดังตอ่ ไปนี้ (1) เม่ือจะลดความเร็วของรถ ให้ผู้ขับข่ีย่ืนแขนขวาตรง ออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ และโบกมือขนึ้ ลงหลายครัง้ (2) เมอ่ื จะหยุดรถ ให้ผ้ขู บั ข่ียน่ื แขนขวาตรงออกไปนอก รถเสมอระดับไหล่ ยกแขนขวาท่อนล่างตั้งฉากกับแขนท่อนบน และตั้งฝ่ามอื ขนึ้ (3) เม่ือจะให้รถคันอื่นผ่านหรือแซงข้ึนหน้า ให้ผู้ขับข่ี ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ และโบกมือไป ทางข้างหน้าหลายครั้ง (4) เม่ือจะเลี้ยวขวาหรือเปล่ียนช่องเดินรถไปทางขวา ให้ผู้ขบั ขยี่ ่ืนแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่
26 (5) เม่ือจะเลี้ยวซ้ายหรือเปลี่ยนช่องเดินรถไปทางซ้าย ให้ผู้ขับข่ีย่ืนแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ และงอ ขอ้ มือชขู น้ึ โบกไปทางซา้ ยหลายครง้ั เพือ่ ประโยชน์แหง่ มาตรานี้ ในกรณที ี่รถยนต์น้ันมีเคร่ือง ขับอยู่ทางด้านซ้าย ให้ผู้ขับขี่ใช้ไฟสัญญาณแทนการใช้สัญญาณ ดว้ ยมอื และแขน มาตรา 38 การให้ไฟสัญญาณของผู้ขับข่ีรถยนต์หรือ รถจกั รยานยนต์ให้ปฏบิ ัติ ดังตอ่ ไปน้ี (1) เม่ือจะหยุดรถ ผู้ขับข่ีต้องให้ไฟสัญญาณสีแดงที่ ทา้ ยรถ (2)11 เมื่อจะเล้ียวรถ เปล่ียนช่องเดินรถ หรือแซงข้ึน หนา้ รถคันอนื่ ผขู้ ับขี่ต้องให้สัญญาณยกเลี้ยวสีเหลืองอาพัน หรือ ให้ไฟสัญญาณกระพริบสีขาวหรือสีเหลืองอาพันท่ีติดอยู่หน้ารถ หรือข้างรถ และไฟสัญญาณกระพริบสีแดงหรือสีเหลืองอาพันที่ ติดอยู่ท้ายรถไปในทิศทางท่ีจะเลี้ยว เปล่ียนช่องเดินรถ หรือ แซงขนึ้ หน้ารถคนั อน่ื (3) เมื่อจะให้รถคันอื่นแซงขึ้นหน้า ผู้ขับขี่ต้องให้ ไฟสญั ญาณยกเลี้ยวสีเหลืองอาพันหรือให้ไฟสัญญาณกระพริบสี แดงหรอื สีเหลืองอาพนั ทีต่ ิดอยู่ทา้ ยรถทางดา้ นซ้ายของรถ 11 มาตรา ๓๘ (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๕
27 มาตรา 39 เม่ือขับรถสวนกัน ให้ผู้ขับขี่ขับรถชิด ด้านซ้ายของทางเดินรถ โดยให้ถือก่ึงกลางของทางเดินรถเป็น หลัก แต่ถ้าทางเดินรถใดได้จัดแบ่งเป็นช่องเดินรถไว้ ให้ถือเส้น หรือแนวท่ีแบง่ น้ันเป็นหลกั ในทางเดนิ รถทีแ่ คบ เมอื่ ขับรถสวนกัน ผู้ขับขี่แต่ละฝ่าย ตอ้ งลดความเร็วของรถเพือ่ ใหร้ ถสวนกนั ได้โดยปลอดภยั ในทางเดินรถท่ีแคบซึ่งไม่อาจขับรถสวนกันได้โดย ปลอดภัย เมอื่ ขบั รถสวนกนั ผขู้ ับขี่ซ่ึงขับรถคันทใี่ หญก่ ว่าต้อง หยดุ รถใหช้ ดิ ขอบทางเดินรถดา้ นซา้ ยเพ่ือให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถคันท่ี เลก็ กว่าผ่านไปได้ ในทางเดินรถที่มีสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้า ผู้ขับข่ีต้อง ลดความเร็วของรถหรือหยุดรถเพื่อให้รถคันทสี่ วนมาผ่านไปได้ มาตรา 40 ผู้ขับข่ีต้องขับรถให้ห่างรถคันหน้า พอสมควรในระยะที่จะหยดุ รถไดโ้ ดยปลอดภัยในเมื่อจาเป็นต้อง หยุดรถ ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถขึ้นสะพานหรือทางลาดชันต้องใช้ความ ระมัดระวังไมใ่ ห้รถถอยหลงั ไปโดนรถคันอน่ื มาตรา 41 ทางเดินรถใดที่มีเครื่องหมายจราจรให้เป็น ทางเดินรถทางเดยี ว ให้ผู้ขบั ขข่ี บั รถไปตามทิศทางทไี่ ดก้ าหนดไว้ มาตรา 42 ทางเดินรถใดท่ีมีเครื่องหมายจราจรแบ่ง ทางเดินรถออกเป็นสองทางสาหรับรถเดินขึ้นทางหนึ่ง ล่องทาง หน่ึง โดยมีช่องว่างค่ันกลาง หรือทาเครื่องหมายจราจรกีดกั้น
28 แสดงว่าทางเดินรถน้ันมีการแบ่งออกเป็นสองทางดังกล่าว ให้ผู้ ขบั ขี่ขับรถชิดดา้ นซ้ายของทางเดนิ รถ มาตรา 43 หา้ มมใิ ห้ผ้ขู บั ข่ีขบั รถ (1) ในขณะหย่อนความสามารถในอนั ทจี่ ะขับ (2) ในขณะเมาสรุ าหรือของเมาอย่างอ่ืน (3) ในลกั ษณะกดี ขวางการจราจร (4) โดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิด อันตรายแก่บคุ คลหรอื ทรพั ยส์ ิน (5) ในลกั ษณะทีผ่ ดิ ปกติวิสัยของการขับรถตามธรรมดา หรือไม่อาจแลเห็นทางด้านหน้าหรือด้านหลัง ด้านใดด้านหน่ึง หรอื ทง้ั สองดา้ นได้พอแก่ความปลอดภัย (6) คร่อมหรือทับเส้นหรือแนวแบ่งช่องเดินรถ เว้นแต่ เม่อื เปลี่ยนช่องเดินรถ เล้ียวรถ หรือกลับรถ (7) บนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร เว้นแต่รถลาก เขน็ สาหรบั ทารก คนปว่ ยหรอื คนพกิ าร (8) โดยไม่คานึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อน ของผู้อื่น (๙) 12ในขณะใช้โทรศัพท์Iเคล่ือนท่ี เว้นแต่การใช้ โทรศัพท์เคล่ือนท่ีโดยใช้อุปกรณ์เสริมสาหรับการสนทนาโดยผู้ ขบั ข่ีไม่ต้องถอื หรอื จบั โทรศัพท์เคล่ือนท่นี น้ั 12 มาตรา ๔๓ (๙) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๕๑
29 มาตรา 43 ทวิ13 ห้ามมิให้ผู้ขับข่ีเสพยาเสพติดให้โทษ ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยยาเสพติดให้โทษ หรือเสพวัตถุท่ีออกฤทธ์ิ ต่อจิตและประสาทตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุท่ีออกฤทธิ์ต่อจิต และประสาท ท้ังน้ี ตามที่ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติกาหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน พนักงาน เจ้าหน้าที่ หรอื ผู้ตรวจการมีอานาจจัดให้มีการตรวจสอบ ผู้ขับขี่ รถบางประเภทตามที่ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติกาหนดโดย ประกาศในราชกิจจานเุ บกษาวา่ ได้เสพยาเสพตดิ ใหโ้ ทษหรือเสพ วัตถุท่ีออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทตามวรรคหน่ึงหรือไม่ และ หากผลการตรวจสอบในเบื้องต้นปรากฏว่าผู้ขับข่ีน้ันไม่ได้เสพก็ ให้ผู้ขบั ข่นี ้ันขับรถต่อไปได้ ในกรณีที่ผู้ขับขี่ตามวรรคสองไม่ยอมให้ตรวจสอบ ให้ เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรอื ผตู้ รวจการมีอานาจกักตัวผู้น้ันไว้ เพ่ือดาเนินการตรวจสอบ ได้ภายในระยะเวลาเท่าท่ีจาเป็นแห่งกรณีเพ่ือให้การตรวจสอบ เสร็จส้ินไปโดยเร็วและเมื่อผู้นั้นยอมรับการตรวจสอบแล้วหาก ผลการตรวจสอบในเบ้อื งตน้ ปรากฏว่าไม่ได้เสพ ก็ให้ปล่อยตัวไป ทันที การตรวจสอบตามมาตรานี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการทก่ี าหนดในกฎกระทรวง 13 มาตรา ๔๓ ทวิ แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๔๒
30 [คาว่า “ผู้บญั ชาการตารวจแห่งชาติ” แก้ไขเพ่ิมเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๙] มาตรา 43 ตรี14 ในกรณีท่ีมีเหตุอันควรเช่ือว่าผู้ขับข่ี ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 43 (1) หรือ (2) ผู้ตรวจการมีอานาจสั่งให้ผู้ น้ันหยุดรถและสงั่ ใหม้ กี ารทดสอบตามมาตรา 142 ดว้ ย มาตรา 43 จัตวา15 ในกรณีที่ผู้ตรวจการพบว่า ผู้ขับ ข่ีผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 43 (1) หรือ (2) หรือ มาตรา 43 ทวิ วรรคหน่ึง ให้ผู้ตรวจการส่งตัวผู้นั้นพร้อมพยานหลักฐานใน เบ้ืองต้นแก่พนักงานสอบสวนผู้มีอานาจโดยเร็ว แต่ต้องไม่เกิน หกชั่วโมงนับแต่เวลาท่ีพบการกระทาความผิดดังกล่าว เพื่อ ดาเนินคดีตอ่ ไป มาตรา 43 เบญจ16 ในการปฏิบัติหน้าท่ีตามมาตรา 43 ทวิ และมาตรา 43 ตรี ให้ผู้ตรวจการแสดงบัตรประจาตัว 14 มาตรา ๔๓ ตรี เพ่ิมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๔๒ 15 มาตรา ๔๓ จัตวา เพ่ิมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๔๒ 16 มาตรา ๔๓ เบญจ เพ่ิมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๖) พ.ศ. ๒๕๔๒
31 ของตนซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกหรือ กฎหมายวา่ ด้วยรถยนต์ตอ่ ผู้ซึ่งเก่ยี วขอ้ ง หมวด 2 การขบั แซงและผ่านขน้ึ หน้า มาตรา 4417 ผขู้ ับขซี่ ่ึงประสงคจ์ ะขบั รถแซงเพือ่ ขน้ึ หนา้ รถอื่นในทางเดินรถ ซึง่ ไม่ไดแ้ บง่ ชอ่ งทางเดินรถไว้ ต้องให้ สญั ญาณโดยกระพรบิ ไฟหน้าหลายครัง้ หรอื ให้ไฟสัญญาณยก เลยี้ วขวา หรือใหเ้ สียงสัญญาณดังพอท่ีจะให้ผขู้ ับขี่ซึ่งขับรถคัน หน้าให้สัญญาณตอบตามมาตรา 37 (3) หรือมาตรา 38 (3) และเมอื่ เห็นวา่ ไมเ่ ป็นการกีดขวางรถอืน่ ท่ีกาลงั แซงแลว้ จงึ จะ แซงข้นึ หนา้ ได้ การแซงตอ้ งแซงด้านขวาโดยมรี ะยะห่างจากรถท่ีถูกแซง พอสมควร เมอ่ื เห็นว่าไดข้ ับผา่ นขน้ึ หน้ารถทีถ่ กู แซงไปในระยะที่ หา่ งเพยี งพอแล้วจงึ จะขับชดิ ด้านซา้ ยของทางเดินรถได้ มาตรา 45 หา้ มมิใหผ้ ขู้ บั ขี่ขับรถแซงเพอื่ ข้ึนหน้ารถอน่ื ดา้ นซ้ายเวน้ แตใ่ นกรณตี ่อไปนี้ (1) รถที่จะถูกแซงกาลังเล้ียวขวาหรือให้สัญญาณว่าจะ เลย้ี วขวา 17 มาตรา ๔๔ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับ ท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๓๕
32 (2) ทางเดินรถน้ันได้จัดแบ่งเป็นช่องเดินรถในทิศทาง เดียวกันไว้ต้ังแต่สองช่องขึ้นไป การขับรถแซงด้านซ้ายตาม (1) หรือ (2) จะกระทาได้ เมอื่ ไมม่ ีรถอืน่ ตามมาในระยะกระช้นั ชดิ และมคี วามปลอดภัยพอ มาตรา 46 ห้ามมใิ ห้ผขู้ ับขีข่ ับรถแซงเพ่ือข้ึนหน้ารถอื่น ในกรณตี อ่ ไปน้ี (1) เม่ือรถกาลังข้ึนทางชัน ข้ึนสะพาน หรืออยู่ในทาง โคง้ เวน้ แตจ่ ะมีเคร่ืองหมายจราจรใหแ้ ซงได้ (2) ภายในระยะสามสิบเมตรก่อนถึงทางข้าม ทางร่วม ทางแยกวงเวียนหรือเกาะท่ีสร้างไว้ หรือทางเดินรถที่ตัดข้าม ทางรถไฟ (3) เมื่อมีหมอก ฝน ฝุ่นหรือควัน จนทาให้ไม่อาจเห็น ทางขา้ งหนา้ ได้ในระยะหกสิบเมตร (4) เมื่อเขา้ ท่คี ับขันหรอื เขตปลอดภยั มาตรา 47 ห้ามมิให้ผู้ขับข่ีขับรถแซงหรือผ่านขึ้นหน้า รถอน่ื ล้าเข้าไปในเส้นกึ่งกลางของทางเดินรถที่กาหนดไว้ หรือที่ มีเครื่องหมายจราจรแสดงเขตอันตราย หรือเขตให้ใช้ความ ระมดั ระวงั บนทางเดินรถ ใ น ก ร ณี ท่ี ท า ง เ ดิ น ร ถ ด้ า น ซ้ า ย มี สิ่ ง กี ด ข ว า ง ท่ี เ ป็ น อุปสรรคแก่การจราจรและทางเดินรถด้านขวามีความกว้าง เพยี งพอ ผขู้ ับข่ีจะขับรถหลีกสิ่งกีดขวางล้าเข้าไปในเส้นก่ึงกลาง ของทางเดินรถที่เจ้าพนักงานจราจรกาหนดไว้ก็ได้ในเม่ือไม่กีด ขวางการจราจรของรถที่สวนทางมา
33 มาตรา 48 ห้ามมิให้ผู้ขับข่ีขับรถแซงหรือผ่าน ขึ้นหน้ารถคันอ่ืนล้าเข้าไปในช่องเดินรถประจาทาง เว้นแต่ใน กรณีที่มีส่ิงกีดขวางการจราจรในทางเดินรถข้างหน้าหรือเม่ือ ต้องปฏิบัตติ ามคาส่ังของเจ้าพนักงานจราจรแต่ท้ังน้ีจะขับรถอยู่ ในชอ่ งเดินรถประจาทางได้เพียงเทา่ ท่ีจาเป็นเท่าน้ัน มาตรา 49 เม่ือได้รับสัญญาณขอแซงข้ึนหน้าจากรถ คันที่อยู่ข้างหลังผู้ขับข่ีซึ่งขับรถที่มีความเร็วช้าหรือรถที่ใช้ ความเร็วต่ากว่าความเร็วของรถอ่ืนท่ีขับไปในทิศทางเดียวกัน ต้องยอมให้รถที่ใช้ความเร็วสูงกว่าผ่านข้ึนหน้าผู้ขับข่ีท่ีถูกขอ ทางต้องให้สัญญาณตอบตามมาตรา 37 (3) หรือมาตรา 38 (3) เมื่อเห็นว่าทางเดินรถข้างหน้าปลอดภัยและไม่มีรถอ่ืนสวน ทางมาในระยะกระช้ันชิด และต้องลดความเร็วของรถและขับ รถชิดด้านซ้ายของทางเดินรถเพ่ือให้รถท่ีจะแซงผ่านขึ้นหน้าได้ โดยปลอดภัย หมวด 3 การออกรถ การเลี้ยวรถและการกลบั รถ มาตรา 50 การขับรถออกจากที่จอด ถ้ามีรถจอดหรือ มีสง่ิ กีดขวางอยู่ข้างหน้า ผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณด้วยมือและแขน ตามมาตรา 37 หรือไฟสัญญาณตามมาตรา 38 และจะขับรถ ไปได้เมื่อเหน็ วา่ ปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางการจราจรของ รถอน่ื มาตรา 51 การเล้ียวรถ ให้ปฏบิ ตั ิดังนี้
34 (1) ถา้ จะเลย้ี วซ้าย (ก) ในกรณีที่ไม่ได้แบ่งช่องเดินรถไว้ ให้ผู้ขับขี่ ขับรถชดิ ทางเดนิ รถด้านซา้ ย (ข) ในกรณีท่ีมีการแบ่งช่องเดินรถไว้ และมี เคร่ืองหมายจราจรแสดงให้เลี้ยวซ้ายได้ ให้ผู้ขับขี่ขับรถในช่อง เดินรถสาหรับรถท่ีจะเลี้ยวซ้าย ทั้งนี้ ก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อย กว่าสามสบิ เมตร (ค) ในกรณีที่มีช่องเดินรถประจาทางอยู่ทางเดิน รถด้านซ้ายสุด ให้ผู้ขับขี่ขับรถชิดช่องเดินรถประจาทางก่อนถึง ทางเล้ียวไม่น้อยกว่าสามสิบเมตร และจะเล้ียวรถผ่านเข้าไปใน ช่องเดนิ รถประจาทางได้เฉพาะในบริเวณท่ีมีเครื่องหมายจราจร ใหเ้ ล้ียวรถผา่ นได้เท่านัน้ (2) ถ้าจะเลยี้ วขวา (ก) สาหรับทางเดินรถที่ไม่ได้แบ่งช่องเดินรถไว้ ให้ผู้ขับขี่ขับรถชิดทางด้านขวาของแนวกึ่งกลางของทางเดินรถ ก่อนถงึ ทางเล้ียวไมน่ อ้ ยกว่าสามสบิ เมตร (ข) สาหรับทางเดินรถท่ีได้แบ่งช่องเดินรถใน ทิศทางเดียวกันไว้ต้ังแต่สองช่องข้ึนไป ให้ผู้ขับขี่ขับรถชิดทาง ด้านขวาสุดของทางเดินรถหรือในช่องที่มีเคร่ืองหมายจราจร แสดงให้เลี้ยวขวาได้ ทั้งน้ี ก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อยกว่าสามสิบ เมตร (ค) ในกรณีที่มีช่องเดินรถประจาทางอยู่ทางเดิน รถด้านขวาสุด ให้ผู้ขับข่ีขับรถชิดช่องเดินรถประจาทางก่อนถึง ทางเลี้ยวไม่น้อยกว่าสามสิบเมตร และจะเลี้ยวรถผ่านเข้าไปใน
35 ชอ่ งเดินรถประจาทางได้เฉพาะในบริเวณท่ีมีเคร่ืองหมายจราจร ให้เลีย้ วรถผ่านไดเ้ ทา่ นัน้ (ง) สาหรับทางเดินรถท่ีมีเจ้าพนักงานจราจร หรือพนักงานเจ้าหน้าที่แสดงสัญญาณจราจรด้วยมือและแขน ให้ผู้ขับข่ีขับรถเล้ียวขวาผ่านไปได้โดยไม่ต้องอ้อมเจ้าพนักงาน จราจรหรอื พนักงานเจ้าหนา้ ท่ี (จ) เมื่อรถอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับข่ีต้องให้ รถท่ีสวนมาในทางเดินรถทางเดียวกันผ่านทางร่วมทางแยกไป ก่อน เมือ่ เห็นว่าปลอดภัยแลว้ จึงให้เล้ียวขวาไปได้ (3) ถ้าจะเลี้ยวอ้อมวงเวียนหรือเกาะที่สร้างไว้ ใหผ้ ู้ขับขข่ี ับรถออ้ มไปทางซ้ายของวงเวยี นหรอื เกาะนั้น ในกรณตี าม (1) และ (2) ผู้ขับข่ีต้องใช้ความระมัดระวัง และต้องหยุดให้ทางแก่ผู้ท่ีกาลังข้ามทางและรถท่ีกาลังผ่านทาง ร่วมทางแยกจากทางด้านอ่ืนกอ่ น เวน้ แต่ในกรณีท่ีมีรถเล้ียวซ้าย และเลี้ยวขวาพร้อมกัน ให้รถเล้ียวซ้ายให้ทางแก่รถเลี้ยวขวา ก่อน มาตรา 5218 ในทางเดินรถที่สวนกันได้ ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ กลับรถหรือเลี้ยวรถทางขวาในเมื่อมีรถอื่นสวนหรือตามมาใน ระยะน้อยกว่าหน่ึงร้อยเมตรเว้นแต่เมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่ เป็นการกีดขวางการจราจรของรถอ่นื 18 มาตรา ๕๒ แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๓๕
36 มาตรา 53 หา้ มมใิ หผ้ ขู้ บั ขี่ (1) เลี้ยวรถหรือกลับรถในทางเดินรถที่มีเครื่องหมาย ห้ามเลย้ี วขวาหา้ มเล้ียวซา้ ยหรือห้ามกลบั รถ (2) กลับรถท่ีเขตปลอดภัย ที่คับขัน บนสะพาน หรือใน ระยะหนง่ึ ร้อยเมตรจากทางราบของเชงิ สะพาน (3) กลับรถท่ีทางร่วมทางแยก เว้นแต่จะมีเครื่องหมาย จราจรใหก้ ลับรถในบรเิ วณดงั กลา่ วได้ หมวด 4 การหยดุ รถและจอดรถ มาตรา 54 การหยุดรถหรือการจอดรถในทางเดินรถ ผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณด้วยมือและแขนตามมาตรา 37 หรือ ไฟสัญญาณตามมาตรา 38 ก่อนท่ีจะหยุดรถหรือจอดรถใน ระยะไม่นอ้ ยกว่าสามสิบเมตร และจะหยุดรถหรือจอดรถได้เมื่อ ผขู้ บั ขเี่ หน็ ว่าปลอดภัย และไมเ่ ป็นการกีดขวางการจราจร ผู้ขับข่ีต้องจอดรถทางด้านซ้ายของทางเดินรถ และจอด รถให้ด้านซ้ายของรถขนานชิดกับขอบทางหรือไหล่ทางใน ระยะห่างไม่เกินยี่สิบห้าเซนติเมตร หรือจอดรถตามทิศทางหรือ ด้านหน่ึงด้านใดของทางเดินรถท่ีเจ้าพนักงานจราจรกาหนดไว้ แต่ในกรณีท่ีมีช่องเดินรถประจาทางอยู่ทางด้านซ้ายสุดของ ทางเดินรถห้ามมิให้ผู้ขับข่ีจอดรถในลักษณะดังกล่าวในเวลาที่ กาหนดให้ใชช้ ่องเดนิ รถประจาทางน้ัน มาตรา 55 ห้ามมใิ ห้ผขู้ บั ขห่ี ยดุ รถ
37 (1) ในช่องเดินรถ เว้นแต่หยุดชิดขอบทางด้านซ้ายของ ทางเดนิ รถในกรณที ี่ไมม่ ีช่องเดนิ รถประจาทาง (2) บนทางเทา้ (3) บนสะพานหรือในอโุ มงค์ (4) ในทางร่วมทางแยก (5) ในเขตทมี่ ีเครือ่ งหมายจราจรหา้ มหยดุ รถ (6) ตรงปากทางเขา้ ออกของอาคารหรอื ทางเดนิ รถ (7) ในเขตปลอดภยั (8)19 ในลกั ษณะกดี ขวางการจราจร ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ผู้ขับขี่ซึ่งจาเป็นต้อง หยุดรถเพราะมสี งิ่ กีดขวางอยูใ่ นทางเดินรถ หรือเคร่ืองยนต์หรือ เคร่ืองอุปกรณ์ของรถขัดข้องหรือในกรณีที่ปฏิบัติตามสัญญาณ จราจรหรอื เครื่องหมายจราจร มาตรา 56 ในกรณีท่ีเคร่ืองยนต์หรือเคร่ืองอุปกรณ์ ของรถขัดข้องจนต้องจอดรถในทางเดินรถ ผู้ขับขี่ต้องนารถให้ พน้ ทางเดนิ รถโดยเร็วท่สี ดุ ในกรณีตามวรรคหน่ึงถ้าจาเป็นต้องจอดรถอยู่ใน ทางเดนิ รถ ผขู้ ับขีต่ อ้ งจอดรถในลักษณะท่ีไม่กีดขวางการจราจร แ ล ะ ต้ อ ง แ ส ด ง เ ค ร่ื อ ง ห ม า ย ห รื อ สั ญ ญ า ณ ต า ม ลั ก ษ ณ ะ แ ล ะ เงอ่ื นไขที่กาหนดในกฎกระทรวง 19 มาตรา ๕๕ (๘) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๕
38 มาตรา 57 เวน้ แตจ่ ะไดม้ ีบทบัญญัติ กฎ หรือข้อบังคับ ตามพระราชบัญญัตินี้กาหนดไว้เป็นอย่างอื่น ห้ามมิให้ผู้ขับข่ี จอดรถ (1) บนทางเทา้ (2) บนสะพานหรือในอโุ มงค์ (3) ในทางร่วมทางแยก หรือในระยะสิบเมตรจากทาง รว่ มทางแยก (4) ในทางข้าม หรอื ในระยะสามเมตรจากทางขา้ ม (5) ในเขตท่ีมเี คร่อื งหมายจราจรหา้ มจอดรถ (6) ในระยะสามเมตรจากท่อน้าดบั เพลิง (7) ในระยะสิบเมตรจากทีต่ ิดต้ังสัญญาณจราจร (8) ในระยะสบิ ห้าเมตรจากทางรถไฟผ่าน (9) ซอ้ นกนั กบั รถอื่นที่จอดอย่กู อ่ นแลว้ (10) ตรงปากทางเข้าออกของอาคารหรือทางเดินรถ หรอื ในระยะห้าเมตรจากปากทางเดินรถ (11) ระหว่างเขตปลอดภัยกับขอบทาง หรือในระยะสิบ เมตรนับจากปลายสุดของเขตปลอดภยั ทง้ั สองข้าง (12) ในทคี่ บั ขนั (13) ในระยะสิบห้าเมตรก่อนถึงเคร่ืองหมายหยุดรถ ประจาทางและเลยเคร่ืองหมายไปอีกสามเมตร (14) ในระยะสามเมตรจากตไู้ ปรษณยี ์ (15) ในลกั ษณะกดี ขวางการจราจร
39 มาตรา 58 การจอดรถในทางเดินรถท่ีผู้ขับข่ีไม่อาจอยู่ ควบคุมรถนั้นผขู้ บั ข่ีตอ้ งหยุดเครอ่ื งยนต์ และหา้ มลอ้ รถนนั้ ไว้ การจอดรถในทางเดินรถที่เป็นทางลาดหรือชัน ผู้ขับขี่ ต้องหนั ลอ้ หนา้ ของรถเขา้ ขอบทาง มาตรา 5920 เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงาน เจ้าหน้าที่มีอานาจสั่งให้ผู้ขับข่ีเคล่ือนย้ายรถที่หยุดหรือจอดอยู่ อนั เปน็ การฝ่าฝนื บทแหง่ พระราชบัญญตั นิ ี้ได้ เจ้าพนักงานจราจร หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้ท่ี ได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าท่ี ภายใต้การควบคุมดูแลของบุคคลดังกล่าว มีอานาจเคลื่อนย้าย ร ถ ท่ี ห ยุ ด ห รื อ จ อ ด อ ยู่ อั น เ ป็ น ก า ร ฝ่ า ฝื น บ ท บั ญ ญั ติ แ ห่ ง พระราชบัญญัตินี้ หรือใช้เคร่ืองมือบังคับไม่ให้เคลื่อนย้ายรถ ดังกล่าวได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้บัญชาการตารวจ แห่งชาตกิ าหนด21 การเคล่ือนย้ายรถหรือใช้เคร่ืองมือบังคับให้รถท่ีหยุด หรือจอดอยู่ไม่ใหเ้ คลอื่ นยา้ ยได้ตามวรรคสองเจ้าพนักงานจราจร หรือพนักงานเจ้าหน้าท่ี หรือผู้ท่ีได้รับมอบหมายจากเจ้า พนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าท่ี ไม่ต้องรับผิดสาหรับ 20 มาตรา ๕๙ แกไ้ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๓๕ 21 มาตรา ๕๙ วรรคสอง แก้ไขเพ่ิมเติมโดยคาส่ังหัวหน้าคณะรักษาความสงบ แหง่ ชาติท่ี ๑๔/๒๕๖๐ เรือ่ ง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่า ดว้ ยการจราจรทางบก
40 ความเสียหายใด ๆ ท่ีเกิดขึน้ จากการปฏิบัติตามมาตราน้ี เว้นแต่ ความเสียหายน้ันจะเกิดขึ้นจากการกระทาโดยจงใจหรือ ประมาทเลนิ เล่อ22 เจ้าของรถหรือผู้ขับขี่ต้องชาระค่าใช้จ่ายในการท่ีรถถูก เคลอ่ื นยา้ ยหรือการใช้เคร่อื งมอื บงั คับไม่ใหเ้ คลอื่ นยา้ ย ตลอดจน ค่ า ดู แ ล รั ก ษ า ร ถ ร ะ ห ว่ า ง ท่ี อ ยู่ ใ น ค ว า ม ค ร อ บ ค ร อ ง ข อ ง เ จ้ า พนักงานจราจรหรอื พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย จากเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าท่ี ท้ังนี้ ตามอัตรา ทก่ี าหนดในกฎกระทรวง23 เงินท่ีได้จากเจ้าของรถหรือผู้ขับขี่ซ่ึงชาระตามวรรคส่ี เป็นรายได้ท่ีไม่ต้องนาส่งกระทรวงการคลัง และให้นามาเป็น ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการตามมาตรานี้ตามระเบียบท่ี ผู้ บญั ชาการตารวจแห่งชาติกาหนด ในกรณีที่เจ้าของรถหรือผู้ขับข่ีไม่ชาระค่าใช้จ่ายและค่า ดูแลรักษาตามวรรคสี่ เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงาน เจ้าหน้าที่มีอานาจยึดหน่วงรถนั้นไว้ได้จนกว่าจะได้รับชาระ ค่าใช้จ่ายและค่าดูแลรักษาดังกล่าว โดยในระหว่างที่ยึดหน่วง 22 มาตรา ๕๙ วรรคสาม แก้ไขเพ่ิมเติมโดยคาสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบ แห่งชาตทิ ่ี ๑๔/๒๕๖๐ เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่า ดว้ ยการจราจรทางบก 23 มาตรา ๕๙ วรรคสี่ แก้ไขเพิ่มเติมโดยคาส่ังหัวหน้าคณะรักษาความสงบ แห่งชาติท่ี ๑๔/๒๕๖๐ เรอ่ื ง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่า ดว้ ยการจราจรทางบก
41 นั้นให้คานวณค่าดูแลรักษาเป็นรายวัน ถ้าพ้นกาหนดสามเดือน แล้วเจ้าของรถหรือผู้ขับข่ียังไม่ชาระค่าใช้จ่ายและค่าดูแลรักษา ดังกล่าว ให้เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าท่ีมีอานาจ นารถนั้นออกขายทอดตลาดได้ เงินที่ได้จากการขายทอดตลาด เม่ือได้หักค่าใช้จ่ายในการขายทอดตลาด ค่าใช้จ่ายและค่าดูแล รักษาท่ีค้างชาระแล้ว เหลือเงินเท่าใดให้คืนแก่เจ้าของหรือผู้มี สทิ ธิทีแ่ ทจ้ ริงต่อไป [คาวา่ “ผูบ้ ัญชาการตารวจแห่งชาติ” แก้ไขเพ่ิมเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๙] มาตรา 60 การหยุดรถหรือการจอดรถในทางเดินรถ นอกเขตเทศบาลผขู้ ับขต่ี อ้ งหยดุ รถหรือจอดรถ ณ ที่ซ่ึงผู้ขับขี่ซึ่ง ขับรถอ่นื จะเห็นได้ในระยะไม่น้อยกว่าหนง่ึ ร้อยห้าสบิ เมตร มาตรา 61 ในเวลาที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอท่ีผู้ขับข่ีจะ มองเห็นรถทจ่ี อดในทางเดนิ รถไดโ้ ดยชัดแจง้ ในระยะไม่น้อยกว่า หนงึ่ ร้อยห้าสบิ เมตร ผขู้ บั ขี่ ซึง่ จอดรถในทางเดนิ รถหรือไหล่ทาง ต้องเปิดไฟหรือใชแ้ สงสว่างตามประเภท ลักษณะ และเงื่อนไขท่ี กาหนดในกฎกระทรวง มาตรา 62 ในทางเดินรถตอนใดท่ีมีทางรถไฟผ่าน ถ้า ปรากฏว่า (1) มีเคร่ืองหมายหรือสัญญาณระวังรถไฟแสดงว่า รถไฟกาลังจะผ่าน
42 (2) มีส่ิงปิดกั้นหรือมีเจ้าหน้าท่ีให้สัญญาณแสดงว่า รถไฟกาลังจะผ่าน (3) มีเสียงสัญญาณของรถไฟหรือรถไฟกาลังแล่นผ่าน เข้ามาใกล้อาจเกดิ อนั ตรายในเมื่อจะขับรถผา่ นไป ผู้ขับขี่ต้องลดความเร็วของรถและหยุดรถให้ห่างจาก ทางรถไฟไม่น้อยกว่าห้าเมตร เม่ือรถไฟผ่านไปแล้วและมี เคร่ืองหมายหรอื สัญญาณให้รถผ่านได้ ผู้ขับข่ีจึงจะขับรถผ่านไป ได้ มาตรา 63 ในทางเดนิ รถตอนใดท่ีมีทางรถไฟผ่านไม่ว่า จะมเี คร่อื งหมายระวังรถไฟหรอื ไม่ ถา้ ทางรถไฟนั้นไม่มีสัญญาณ ระวังรถไฟหรอื สงิ่ ปดิ กั้น ผู้ขับข่ีต้องลดความเร็วของรถและหยุด รถห่างจากทางรถไฟในระยะไม่น้อยกว่าห้าเมตร เมื่อเห็นว่า ปลอดภยั แลว้ จงึ จะขับรถผา่ นไปได้ มาตรา 64 ในขณะที่ผู้ขับข่ีรถโรงเรียนหยุดรถใน ทางเดินรถเพื่อรับส่งนักเรียนข้ึนหรือลง ให้ผู้ขับขี่ซ่ึงขับรถอื่น ตามมาในทิศทางเดียวกันหรือสวนกันกับรถโรงเรียนใช้ความ ระมัดระวังและลดความเรว็ ของรถ เม่ือเห็นว่าปลอดภัยจึงให้ขับ รถผ่านไปได้ ลกั ษณะ 4 การใชท้ างเดินรถทจ่ี ดั เปน็ ชอ่ งเดนิ รถประจาทาง
43 มาตรา 65 เมื่อเจ้าพนักงานจราจรได้ประกาศ กาหนดให้ช่องเดินรถใดเป็นช่องเดินรถประจาทาง ผู้ขับขี่รถ โดยสารประจาทางและรถบรรทุกคนโดยสารตามประเภทที่ผู้ บัญชาการตารวจแห่งชาติกาหนด ซึ่งอยู่ในระหว่างรับส่งหรือ บรรทุกคนโดยสาร ต้องขับข่ีรถภายในช่องเดินรถประจาทาง และจะขับข่ีรถออกนอกช่องเดินรถประจาทางได้เมื่อมีสิ่งกีด ขวางอยู่ในช่องเดินรถประจาทางน้ัน หรือเมื่อต้องปฏิบัติตาม คาส่งั ของพนกั งานเจ้าหน้าท่ี รถบรรทุกคนโดยสารประเภทใดจะต้องเดินใน ช่องเดินรถประจาทางให้เป็นไปตามที่ผู้บัญชาการตารวจ แหง่ ชาตกิ าหนดโดยประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา ในการประกาศกาหนดให้ช่องเดินรถใดเป็นช่องเดินรถ ประจาทางตามวรรคหนึ่ง จะกาหนดเวลาการใช้ช่องเดินรถ ประจาทางไว้ดว้ ยกไ็ ด้ กรณีจาเป็นเก่ียวกับการจราจร เจ้าพนักงานจราจรมี อานาจประกาศใหร้ ถบรรทุกคนโดยสารประเภทหน่ึงประเภทใด ที่ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติกาหนดตามวรรคสองจะต้องเดิน ในช่องเดนิ รถประจาทางในทางสายใดตอนใดกไ็ ด้ [คาวา่ “ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ” แก้ไขเพ่ิมเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๙] มาตรา 66 ห้ามมิให้ผู้ขับข่ีรถอื่นนอกจากรถโดยสาร ประจาทางหรือรถบรรทุกคนโดยสารประเภทที่ผู้บัญชาการ
44 ตารวจแห่งชาติกาหนด ขับรถในช่องเดินรถประจาทางเว้นแต่ จะปฏบิ ัติตามบทบัญญัติแหง่ พระราชบัญญัตนิ ้ี [คาวา่ “ผู้บญั ชาการตารวจแห่งชาติ” แก้ไขเพ่ิมเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๙] ลักษณะ 5 ข้อกาหนดเก่ียวกับความเร็วของรถ มาตรา 67 ผู้ขับข่ีต้องขับรถด้วยอัตราความเร็วตามที่ กาหนดในกฎกระทรวงหรือตามเครื่องหมายจราจรท่ีได้ติดตั้งไว้ ในทาง เคร่ืองหมายจราจรที่ติดตั้งไว้ตามวรรคหนึ่ง จะกาหนด อัตราความเร็วขั้นสูงหรอื ข้ันตา่ ก็ได้ แตต่ ้องไม่เกินอตั ราความเร็ว ทกี่ าหนดในกฎกระทรวง มาตรา 68 ผู้ขับข่ีซึ่งจะเลี้ยวรถ ให้รถอ่ืนแซงหรือผ่าน ขน้ึ หนา้ จอดรถ หยุดรถ หรือกลบั รถ ตอ้ งลดความเร็วของรถ มาตรา 69 ผู้ขับข่ีซึ่งขับรถในทางเดินรถบนเนินเขา บนสะพาน ที่เชิงสะพาน ท่ีแคบ ทางโค้ง ทางลาด ที่คับขัน หรือที่มหี มอก ฝน ฝุน่ หรอื ควัน จนทาใหไ้ ม่อาจเห็นทางข้างหน้า ได้ในระยะหกสิบเมตร ต้องลดความเร็วของรถในลักษณะที่จะ ให้เกิดความปลอดภัย
45 มาตรา 70 ผู้ขับข่ีซ่ึงขับรถเข้าใกล้ทางร่วมทางแยก ทางขา้ ม เส้นให้รถหยดุ หรอื วงเวียน ตอ้ งลดความเร็วของรถ ลักษณะ 6 การขบั รถผ่านทางร่วมทางแยกหรอื วงเวียน มาตรา 71 ภายใต้บังคับมาตรา 21 และมาตรา 26 เมอ่ื ผขู้ บั ขข่ี ับรถมาถึงทางรว่ มทางแยก ใหผ้ ูข้ บั ขปี่ ฏิบัติดังนี้ (1) ถ้ามีรถอ่ืนอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถ ในทางรว่ มทางแยกนัน้ ผา่ นไปก่อน (2) ถ้ามาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกันและไม่มีรถอยู่ ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถที่อยู่ทางด้านซ้ายของตน ผ่านไปก่อน เว้นแต่ในทางร่วมทางแยกใดมีทางเดินรถทางเอก ตัดผ่านทางเดินรถทางโท ให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถในทางเอกมีสิทธิขับ ผ่านไปกอ่ น (3)24 ถ้าสัญญาณจราจรไฟสีเขียวปรากฏข้างหน้า แต่ ในทางร่วมทางแยกมีรถอื่นหยุดขวางอยู่จนไม่สามารถผ่านพ้น ทางรว่ มทางแยกไปได้ ผู้ขับขีจ่ ะต้องหยุดรถที่หลังเส้นให้รถหยุด จนกว่าจะสามารถเคลือ่ นรถผา่ นพน้ ทางร่วมทางแยกไปได้ 24 มาตรา ๗๑ (๓) เพ่ิมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๓๕
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148