Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารวิชาการ

วารสารวิชาการ

Published by chatchanok2517, 2021-02-04 03:12:51

Description: วารสารวิชาการ

Search

Read the Text Version

ACADEMIC JOURNAL ปที่ 23 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน 2563

สคำ� ณนักะงากนรรมการการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน ท่ปี รกึ ษา เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน (นายอัมพร พินะสา) รองเลขาธิการคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน (นายสนทิ แยม้ เกษร) รองเลขาธิการคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน (นายกวนิ ทร์เกียรติ นนธพ์ ละ) รองเลขาธกิ ารคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พื้นฐาน (ว่าท่รี อ้ ยตรี ธนุ วงษจ์ ินดา) ผชู้ ว่ ยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีเพ่อื การเรียนการสอน ที่ปรกึ ษาดา้ นมาตรฐานการศกึ ษา ทปี่ รกึ ษาดา้ นการศกึ ษาพเิ ศษและผดู้ อ้ ยโอกาสทางการศกึ ษา ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบเครือขา่ ยและการมสี ว่ นรว่ ม ทป่ี รกึ ษาด้านพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ ท่ีปรกึ ษาด้านนโยบายและแผน กองบรรณาธกิ าร ผู้อำ� นวยการส�ำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา (นางสาวรตั นา แสงบวั เผ่อื น) นางสาวปรญิ ญา ฤทธิ์เจริญ นายธญั ญา เรอื งแก้ว ลขิ สทิ ธแ์ิ ละผ้จู ดั พิมพ์ นางวรรณี จันทรศิริ ส�ำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา นางสาววรณนั ขุนศรี สำ� นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน ผอู้ �ำนวยการกลมุ่ พฒั นาและสง่ เสริมวิทยบริการ พมิ พท์ ่โี รงพิมพ์ บรษิ ทั เอส.บ.ี เค.การพมิ พ์ จ�ำกดั (นางเสาวภา ศักดา) นางสาววราภรณ์ ศรีแสงฉาย 92/6 หมู่ 3 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ 10540

บทบรรณาธกิ าร วารสารวิชาการ ปีที่ 23 ฉบับที่ 3 กองบรรณาธิการขอน�ำเสนอบทความด้านการศึกษา ที่หลากหลาย ได้แก่ การพัฒนาความสามารถในการออกแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ และการรับรู้ความสามารถของตนเองของนิสิตครู โดยใช้แนวคิดการพัฒนาบทเรียนร่วมกัน เน้นการคิดสะท้อนผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เป็นบทความน�ำเสนอ การศึกษา เพื่อการพัฒนานิสิตครูในการออกแบบการเรียนการสอนในวิชาวิธีวิทยาการสอนของครู ของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้อิงฐานสมรรถนะ ระดับประถมศึกษา ตอนปลายกับตัวอย่างหน่วยการเรียนรู้ “แพช่วยชีวิต” เป็นบทความน�ำเสนอ ตัวอย่าง การน�ำแนวคิดการจัดการเรียนรู้โดยอิงฐานสมรรถนะสู่การปฏิบัติในห้องเรียนของโรงเรียนสุจิปุลิ 12 ข้อคิด ส�ำหรับการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ในศตวรรษท่ี 21 เป็นบทความน�ำเสนอ ข้อคิดส�ำหรับครูในการพิจารณาวางแผนในการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์เพ่ือพัฒนานักเรียน ในศตวรรษที่ 21 การพฒั นาหลกั สตู รองิ อตั ลกั ษณน์ กั เรยี นผา่ นชมุ ชนแหง่ การเรยี นรทู้ างวชิ าชพี ในโรงเรยี นราชนิ บี น เป็นบทความน�ำเสนอ กระบวนการพฒั นาหลกั สูตรองิ อตั ลกั ษณน์ ักเรียนของ โรงเรียนราชินีบน ซ่ึงผลการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสามถือว่าเป็นกระบวนการวิจัยและ พัฒนาหลักสูตรท่ีเป็นนวัตกรรมการปฏิบัติที่ดี บทบาทและความส�ำคัญของ “เทคโนโลยี” ในสะเต็มศึกษาของประเทศไทยจากข้ันพื้นฐานสู่อุดมศึกษา เป็นบทความน�ำเสนอ ความส�ำคัญ ในการจดั การเรียนการสอนเทคโนโลยใี นสะเต็มศกึ ษา ตง้ั แตร่ ะดับพ้นื ฐานสู่อดุ มศกึ ษา บนเสน้ ทาง ของความภาคภมู ใิ จแหง่ การพฒั นาคณุ ภาพการเรยี นการสอนภาษาไทย : ศกึ ษานเิ ทศกผ์ สู้ ง่ เสรมิ และพฒั นาการเรยี น การสอนภาษาไทยประสบผลสำ� เรจ็ ประจำ� ปี 2562 เป็นบทความน�ำเสนอ นวัตกรรมการเรียนการสอนภาษาไทยของศกึ ษานเิ ทศกท์ ีป่ ระสบผลส�ำเรจ็ ประจ�ำปี 2562 สุดท้ายนี้ กองบรรณาธิการหวังเป็นอย่างยิ่งว่า วารสารวิชาการจะเป็นประโยชน์กับ ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาไม่มากก็น้อย ขอขอบคุณท่ีท่านได้ให้ความสนใจติดตาม วารสารวิชาการอย่างตอ่ เนอ่ื งแลว้ พบกันใหมฉ่ บบั หนา้ กองบรรณาธิการ

สารบัญ 3 การพัฒนาความสามารถในการออกแบบการเรียนการสอน วิทยาศาสตรแ์ ละการรบั รูค้ วามสามารถของตนเองของนิสติ ครู โดยใช้แนวคดิ การพัฒนาบทเรียนรว่ มกัน เนน้ การคิดสะท้อน ผ่านชุมชนแห่งการเรยี นรูท้ างวชิ าชพี 13 ถอดบทเรียนการจดั การเรยี นร้อู งิ ฐานสมรรถนะ ระดบั ประถมศกึ ษาตอนปลาย กับตัวอย่างหนว่ ยการเรยี นรู้ “แพช่วยชวี ิต” 22 12 ขอ้ คิด สำ� หรับการจดั การเรยี นรูค้ ณติ ศาสตร์ ในศตวรรษที่ 21 31 การพัฒนาหลกั สูตรองิ อตั ลักษณ์นกั เรยี น ผ่านชุมชนแห่งการเรยี นรู้ทางวิชาชีพในโรงเรียนราชินบี น 41 บทบาทและความสำ� คญั ของ “เทคโนโลย”ี ในสะเตม็ ศกึ ษาของประเทศไทยจากขัน้ พื้นฐานสูอ่ ดุ มศึกษา 48 บนเส้นทางของความภาคภมู ใิ จแห่งการพฒั นาคุณภาพ การเรียนการสอนภาษาไทย : ศกึ ษานเิ ทศกผ์ ู้สง่ เสริม และพฒั นาการเรยี นการสอนภาษาไทยประสบผลส�ำเรจ็ ประจ�ำปี 2562

การพัฒนาความสามารถในการออกแบบ การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละ การรบั รคู้ วามสามารถของตนเองของนสิ ิตครู โดยใชแ้ นวคิดการพฒั นาบทเรยี นรว่ มกัน เน้นการคิดสะท้อนผ่านชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้ ทางวชิ าชพี ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ อมรรตั น์ บุบผโชติ พิธุลาวัณย์ ศุภอทุ มุ พร และผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ น้�ำผ้ึง ศุภอทุ มุ พร โรงเรยี นสาธติ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ฝ่ายมธั ยม ดร.พรเทพ จนั ทราอุกฤษฎ์ คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั การออกแบบการเรียนการสอนเป็นส่ิงส�ำคัญต่อการสอนของครู เน่ืองจากการออกแบบ การเรียนการสอนเป็นการวางแผนการสอนท่ีจะท�ำให้ครูทราบล่วงหน้าว่าจะสอนอะไรเพ่ือ จุดประสงค์ใด สอนอย่างไร ใช้ส่ืออะไร และประเมินผลด้วยวิธีใด เป็นการเตรียมตัวให้พร้อม ก่อนการสอน ซ่ึงการที่ครูได้วางแผนการสอนอย่างถูกต้องตามหลักการ ย่อมท�ำให้ครูสอนอย่าง มแี นวทางและเปา้ หมาย เกดิ ความมั่นใจ สามารถจดั การเรยี นการสอนไดต้ รงกบั ความตอ้ งการของ นักเรยี น สอนไดค้ รอบคลมุ เนือ้ หา สามารถเตรียมความพรอ้ มของส่อื อปุ กรณ์และแหลง่ การเรยี นรู้ ได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอ ส่งผลให้การจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล เกิดคณุ ค่าแก่นกั เรยี น (Cruickshank, Jenkis & Metcalf, 2011; เฉลิม ฟักอ่อน, 2552) อย่างไรก็ตาม เม่ือพิจารณาความสามารถในการออกแบบการเรียนการสอนของนิสิตครู ในการเรียนวิชาวิธีวิทยาการสอนของครูพบว่า นิสิตครูมีปัญหาในการออกแบบการเรียนการสอน ไม่สามารถล�ำดับข้ันตอนของเน้ือหาและกิจกรรมได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับผลการศึกษา สภาพปัญหาด้านความสามารถในการออกแบบการเรียนการสอนของนิสิตครูที่พบว่า นิสิตครู ยังมีประสบการณ์ด้านการจัดการเรียนการสอนค่อนข้างจ�ำกัด จึงขาดการเช่ือมโยงความรู้เดิมกับ ความรู้ใหม่ ท�ำให้มีปัญหาในการออกแบบการเรียนการสอน ไม่สามารถเขียนองค์ประกอบของ แผนการจัดการเรียนรู้ให้มีความสอดคล้องกันโดยตลอดได้ ขาดการแสดงรายละเอียด รวมถึง ไม่สามารถหาวธิ กี ารหรอื กระตนุ้ ใหน้ ักเรยี นคิดหรือเกิดการเรียนรู้ (กิตตพิ ร ปญั ญาภญิ โญผล และ สริ พิ ร จนั ทวรรณ, 2548; Brown & Melear, 2007; Ramaligela, 2012) และจากประสบการณ์ ในการสอนวิชาวิธีวิทยาการสอนของครูยังพบอีกว่า นิสิตขาดความเช่ือมั่นในประสิทธิภาพของ ตนเองในการจัดการเรียนสอน ได้แก่ ขาดความม่ันใจในความรู้เก่ียวกับเนื้อหาและกลวิธีการสอน รวมไปถงึ ประสบการณ์ในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ วารสารวิชาการ 3

การรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง (Self-efficacy) ความส�ำเร็จในการจัดการเรียนการสอนของครูนั้นข้ึนอยู่กับพฤติกรรมท่ีครูลงมือกระท�ำ เช่นเดียวกับความเชื่อของตัวครูเอง (Fullan, 2010) ครูท่ีเชื่อว่าตนเองสามารถจัดการเรียน การสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเช่ือว่า นักเรียนก็จะสามารถเรียนรู้บรรลุตามผลการเรียนรู้ ท่ีก�ำหนดด้วย ความเช่ือดังกล่าวน้ีเรียกว่า การรับรู้ความสามารถของตนเอง (Self-efficacy) ซึ่งเป็นแรงจูงใจที่ส�ำคัญอันส่งผลต่อประสิทธิภาพในชั้นเรียนของครู ครูท่ีมีการรับรู้ความสามารถ ของตนเองสูงจะมีทัศนคติเชิงบวก มีความยืดหยุ่นในการปรับตัว และมีความพยายามอย่างเต็มที่ ในการพัฒนานักเรียนให้บรรลุตามศักยภาพ ในทางตรงกันข้าม ครูท่ีมีการรับรู้ความสามารถของ ตนเองต�่ำจะมีความพยายามน้อยกว่าในการพัฒนานักเรียนให้สอดคล้องเป็นไปตามความต้องการ (Pendergast, Garvis & Keogh, 2011) การรับรคู้ วามสามารถของตนเองเป็นเสมอื นปจั จยั หลัก ของกลไกการสร้างเสรมิ สมรรถนะแห่งตนเองของมนษุ ย์ (Bandura, 1997) การรับรู้ความสามารถ ของตนเองของครูมีความสัมพันธ์กับความเชื่อที่ครูจะรับรู้ขีดความสามารถของตนเองในภาระ งานสอน Bandura (1997) ได้นิยามการรับรู้ความสามารถของตนเองว่า เป็นความเช่ือใน ขีดความสามารถของตนเองในการจัดการและด�ำเนินการกระท�ำงานต่าง ๆ ให้บรรลุผลส�ำเร็จ ซ่ึงการรับรู้ความสามารถของตนเองของครูมีอิทธิพลต่อความคิด พฤตกิ รรม และอารมณค์ วามรสู้ กึ ของครตู อ่ สถานการณใ์ นชน้ั เรยี น ตลอดจนประสทิ ธผิ ลการเรยี นรขู้ องนกั เรยี นดว้ ย การรับรู้ความสามารถของตนเองของครูเป็นการพิจารณาตัดสินว่า ตนเองสามารถท�ำ ส่ิงใดได้อันส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ของช้ันเรียน และสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียน (Moore & Esselman, 1992) ความเอาใจใส่ต่อการสอน (Coladarci, 1992) ความสามารถในการวางแผนและการจัดการเรียนการสอน (Allinder, 1994) และทุ่มเทเวลาดแู ล ช่วยเหลือนักเรียนได้อย่างยาวนาน (Gibson & Dembo, 1984) โดยมีปัจจัยส่งเสริมการรับรู้ ความสามารถของตนเอง 4 ประการ ได้แก่ 1) ประสบการณ์แห่งความส�ำเร็จ (Enactive Attainment หรือ Performance Attainment) เป็นปัจจัยหลักท่ีส่งผลมากที่สุด เนื่องจาก การกระท�ำที่เคยประสบความส�ำเร็จมาก่อนจะเพิ่มความเชื่อม่ันในความสามารถของตนเอง จนท�ำให้มีความพยายามปฏิบัติงานถัดมาให้ลุล่วงแม้จะพบกับปัญหาอุปสรรคก็ไม่ส่งผลกระทบ มากนัก 2) การชักจงู ด้วยค�ำพดู (Verbal Persuasion) การไดร้ ับคำ� ช่นื ชม ชักจงู โน้มน้าวจากผ้อู ื่น จะท�ำให้เกิดก�ำลังใจท่ีจะปฏิบัติงานให้บรรลุผลส�ำเร็จ แต่อาจได้ผลในระยะสั้น 3) การศึกษา ตัวแบบ (Vicarious Experience) ท�ำให้เห็นประสบการณ์จากความส�ำเร็จของตัวแบบจึงกระตุ้น ความพยายามท่ีจะปฏิบัติให้ประสบความส�ำเร็จได้เช่นเดียวกัน และ 4) สภาวะทางอารมณ์ (Physiological State) การมีอารมณใ์ นเชิงบวก เช่น มคี วามพงึ พอใจ มคี วามสขุ การเหน็ คุณคา่ ในตนเอง จะส่งเสริมการรับรู้ความสามารถของตนเองเพิ่มขึ้น แต่ถ้ามีอารมณ์ในเชิงลบ เช่น 4 วารสารวิชาการ

ความเครยี ด วติ กกงั วล หวาดกลัว จะทำ� ใหก้ ารรบั รคู้ วามสามารถของตนเองลดลง และมแี นวโนม้ จะหลีกเล่ียงการกระท�ำนั้น ๆ ครูท่ีประสบความส�ำเร็จในการสอนจะส่งผลให้การรับรู้ ความสามารถของตนเองของครูเพิ่มข้ึน ในขณะท่ีครูท่ีล้มเหลวในการสอนจะส่งผลให้การรับรู้ ความสามารถของตนเองของครูลดลง และจากงานวิจัยพบว่า การรับรู้ความสามารถของตนเอง ของครูสามารถพัฒนาได้ดีในช่วงของการเรียนการฝึกหัดครู (Wenner, 2001) ดังนั้นจึงมี ความจ�ำเป็นที่จะต้องพัฒนาความสามารถในการออกแบบการเรียนการสอนและการรับรู้ ความสามารถของตนเองของนิสิตครู ซ่ึงมีข้อแนะน�ำให้ใช้วิธีการที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง เชิงบวกในบริบทการเรียนรู้ของนิสิตครู ในปัจจุบัน มีการศึกษาวิจัยถึงคุณค่าของการสร้างชุมชน แห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) (Britton, 2010) และการพฒั นาบทเรยี นรว่ มกนั (Lesson Study) (Sibbald, 2009) แนวคดิ การพัฒนาบทเรยี นรว่ มกนั ผา่ นชมุ ชนแหง่ การเรยี นรทู้ างวชิ าชพี ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพเป็นกระบวนการท�ำงานแบบร่วมมือรวมพลังของครูและ ผู้บริหารในการพิจารณา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และลงมือปฏิบัติอย่างต่อเน่ือง โดยมีเป้าหมาย ในการสร้างประสิทธิภาพทางวิชาชีพเพื่อประโยชน์ของนักเรียน (Hord, 1977) นอกจากน้ี ยังมี ผู้ให้ค�ำนิยามของชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพอีกว่า เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของกลุ่มคน มกี ารซกั ถามอยา่ งใครค่ รวญดว้ ยวิจารณญาณเกี่ยวกับการปฏบิ ัติ การสะทอ้ น การร่วมมอื รวมพลัง การสรปุ ผล การมุง่ ผลลพั ธ์ และแนวทางการสง่ เสริมพฒั นา (McREL, 2003) อยา่ งไรกต็ าม นิยาม ของชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพก็คือ กลุ่มของครูและผู้บริหารที่ประชุมร่วมกันด้วยเป้าหมาย พ้ืนฐานคือการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน โดยใช้วิธีการต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ชุมชนแห่ง การเรียนรู้ทางวิชาชีพสามารถส่งเสริมความเข้าใจและความรู้ในเน้ือหาที่สอนผ่านการอภิปราย ร่วมกัน พัฒนาความพร้อมในการสอน รวมถึงเจตคติต่อการสอน และยังช่วยให้ครูมุ่งเน้น การพัฒนากระบวนการคิดของนักเรียนด้วย (Britton, 2010) ลักษณะหน่ึงของชุมชนแห่ง การเรียนรู้ทางวิชาชีพคือ การพัฒนาบทเรียนร่วมกัน ซ่ึงเป็นแนวทางการพัฒนาครูวิชาชีพที่มี ต้นก�ำเนิดมาจากประเทศญปี่ นุ่ กวา่ 100 ปมี าแลว้ และไดแ้ พรห่ ลายสปู่ ระเทศอนื่ ๆ ในราวปลาย ครสิ ตศ์ ตวรรษ 1990 (Stigler & Hiebert, 1999) การพัฒนาบทเรียนรว่ มกนั เป็นดงั แนวทางหลกั ในการขับเคล่ือนการน�ำหลักสูตรที่ปรับปรุงใหม่ของประเทศญ่ีปุ่นไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพและ บูรณาการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนการสอน เน่ืองจากสามารถพัฒนาท้ังความรู้ ในเน้ือหา ความรู้ในศาสตร์การสอนของครูด้วยการร่วมมือรวมพลังกับเพ่ือนครูผ่านการวิเคราะห์ วางแผน การปฏิบัติการสอน และการสะท้อนผลการปฏิบัติการสอน อันมีเป้าหมายหลักท่ีเน้น การเรียนรู้ของนกั เรียน (Fernandez, 2002) วารสารวิชาการ 5

หลักการด�ำเนินการประกอบด้วยข้นั ตอนตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ 1) การสรา้ งคณะทำ� งานในรปู แบบ ร่วมมือรวมพลังของครูและบุคคลท่ีเกี่ยวข้องในการพัฒนานักเรียน 2) การก�ำหนดเป้าหมายหรือ จุดเน้นในการพัฒนาบทเรียนร่วมกันโดยมีพื้นฐานมาจากสภาพปัญหาและความต้องการในบริบท ของชน้ั เรยี นจรงิ 3) การวางแผนการออกแบบการเรียนการสอนร่วมกัน รวมถึงแผนการปฏบิ ัตงิ าน โดยตลอดกระบวนการ 4) การสังเกตช้ันเรียน โดยมุ่งเน้นพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน 5) การคดิ สะทอ้ นและอภปิ รายผลหลงั การปฏบิ ตั งิ าน 6) การดำ� เนนิ งานในระยะยาวและบรู ณาการ เป็นส่วนหน่ึงของการท�ำงานในช้ันเรียนจริง 7) การมีส่วนร่วมของผู้เช่ียวชาญในการชี้แนะ ช่วยเหลือและให้ก�ำลังใจการปฏิบัติงานของครู (เกรียง ฐิติจ�ำเริญพร, 2560) ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ท่ีมี บทบาทส�ำคัญท่ีขาดไม่ได้ อาจเป็นบุคลากรภายในหรือภายนอกกลุ่มพัฒนาบทเรียนร่วมกัน ท่ีมีประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม ท�ำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ในการวางแผนการสอน หรอื เปน็ ผรู้ ว่ มสงั เกตและอภปิ รายคดิ สะทอ้ น หรอื นำ� แนวคดิ นวตั กรรมใหม่ ๆ มาสู่กลุ่มพัฒนาบทเรียนร่วมกัน หรือเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องสอดคล้องของแผนการจัด การเรียนรู้ โดยกลุ่มพัฒนาบทเรียนร่วมกันจะด�ำเนินงานตามกระบวนการที่มีลักษณะเป็นวงจร การพฒั นาบทเรยี นรว่ มกนั สง่ เสรมิ ครผู า่ นกระบวนการสบื สอบ สงั เกต และปรบั ปรงุ การสอนของตน ด้วยการพัฒนาทางวิชาชีพท่ีมีความหมายและเช่ือมโยงกับบริบทการท�ำงานจริงในชั้นเรียน ครจู งึ มโี อกาสเรยี นรจู้ ากการสอนในชวี ติ ประจำ� วนั ของตนเอง และการพฒั นาแผนการจดั การเรยี นรู้ (Isoda, 2010; Lewis, 2002; Murata, 2011; Stigler & Hiebert, 1999) การรวมกลมุ่ แบบรว่ มมอื รวมพลัง การใช้ระบบชี้แนะ สนับสนุน แบ่งปันประสบการณ์โดยเพ่ือนร่วมงานและชุมชนแห่ง การเรียนรู้ทางวิชาชีพน้ีจะท�ำให้นิสิตครูท่ีมีประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอนท่ีจ�ำกัด ได้มี โอกาสเรียนรู้จากเพื่อนและผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า ส่งผลต่อความเชื่อม่ันในศักยภาพของ ตนเองหรือการรับรู้ความสามารถของตนเองท่ีเพิ่มข้ึนอันจะนำ� ไปสู่ความสามารถในการออกแบบ การเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย นอกจากน้ี การพัฒนาบทเรียนร่วมกันยังส่งเสริม การรับรคู้ วามสามารถของตนเองของครูดว้ ย (Puchner & Taylor, 2006; Sibbald, 2009) แนวคดิ การพฒั นาบทเรยี นรว่ มกนั เปน็ แนวคดิ ทวี่ า่ ดว้ ยการพฒั นาตนเองของครใู นระยะยาว อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ในบริบทการท�ำงานจริงในช้ันเรียนของตนเองผ่านการท�ำงาน แบบร่วมมือรวมพลังกับเพ่ือนร่วมงานเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนและพัฒนาการเรียนรู้ ของนักเรียน องค์ประกอบส�ำคัญของแนวคิดการพัฒนาบทเรียนร่วมกัน ได้แก่ การท�ำงานแบบ ร่วมมือรวมพลังของครู การสังเกตชั้นเรียนโดยเน้นการสังเกตการคิดและการเรียนรู้ของนักเรียน การอภิปรายเพื่อสืบสอบผลการปฏิบัติงาน การมีส่วนร่วมของผู้เช่ียวชาญ และการท�ำงานตาม ขั้นตอนของกระบวนการท่ีสอดคล้องกับบริบทการท�ำงานจริงของครู ท้ังนี้เพื่อให้ครูสามารถ จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่นักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6 วารสารวิชาการ

ามสามารถในการออกแบบการเรียนการสอนของนิสิตครู เน่ืองจากแนวคิดการพ เรียนร่วมกันมีหจาลกกัแนกวาคิดรทดั้งำหมเนดทิน่ีกกล่าาวรมาทจ่ีชึงัดเหเ็นจไดน้ว่ามแนุ่งวเคนิด้นกากรพาัฒรนพาบัฒทนเรียานกรา่วมรกจันดัผ่ากนาชุมรชเนรียนกา งผู้มีส่วนแเหก่งี่ยกาวรเขรีย้อนงรู้ทอายงว่าิชงาเชปีพ ็นสารมะารบถพบัฒรน่วามกากรรันับรอู้คยวา่ามงสตาม่อารเถนขื่อองงตนแเอลงแะลแะคนววามคสิดามชารุมถชนแห มนารรูถ้ทบางูรวณอใมิชนยีหากา่าลกงาชักเารปกีอพรน็าอรเรสกดขะ�แบำาา้ เบบมนกรบินา่วบักกมราาบกรถรนั เทรรเอี่ชีิบยตยัดนา่ทิมเงกจตกเาน่อตราเสมน็มรอุ่งอ่ื เปนกงนขฏ้แนาอลกริบงะานสแรัติสนพนิิงตวัฒคัาบคนิดรนาสูชกใเุมนนานชร่ือุนนจชงแัดจก้นัหกาง่าาเกกรรรแาเียรนรเียเรวนรนคยีียจกินดนารรกรูท้าิรงสารอขู้ขงพนวอัฒอิชขงาอนงชคงานพีผบรสู้มิสทูาีสเมิอต่วราีนยันครนเถกจรรเ่ียตู่ะววิมมทสขเกต้อัา้งันม็งมสาอรงถแพน ภาพของกคารรสใู นนับรสะนนุยกะารยเราียวนแรูข้ ลอะงนมสิ คีิตควราู ทมั้งยสอ่ังงยแนืนวคิดสามารถบูรณาการเข้ากับบรบิ ทการปฏิบัติงาน าชกิ ขใอนงกชใส นามุมชรน้ั ชาพเชรนัฒยี กิในแนนจขกหราอาิงร่งขนงพอกัฒชิสงาคนมุิตรราู ชคเอนรนัิสนรียจิตูโแะคนดสรหาูยโรดมง่ ู้ทใยากชรใาชถา้แง้แพรนนวฒั เวริชนวคายีคิดาคกนชิดณุ ารรภกพี พาทู้าพขัฒราขนองพอางงวบัฒคนชทิ รเูในสิารนียชริตานะพีบครย่วะทขรมยูอกเารวันงแผยี ลน่านะนิสมชรคีิตุม่ววชคามนมรแกยหูั่งันย่งนืกผา่ารเนรียชนุมรู้ ชนแห อนนรู้ทแลางะวผทผิชเู้ ้เูาชชางย่ี วี่ยชวิชชวีพาาชชญีพาภสญาสมยมภนาาอชชากิกยิกดนังดกอังลก่ากวลปร่าะวกปอบรดะ้วยกอนิสบิตดผู้ว้วายงแนผนิสิตนิสผิตู้วผู้รา่วงมแคิดผนอาจนาริสยิต์ผู้สผอู้รน่วแมละคิด อา นสิ ติ ผ้วู างแผน ผ้เู ชี่ยวชาญ ชุมชน นิสิต ภายนอก แห่งการเรียนรู้ ผู้ร่วมคิด ทางวิชาชีพ อาจารย์ ผสู้ อน ภาพ องคป์ รภะากพออบงคข์ปอระงกสอบมขาอชงสิกมาขชอิกขงอชงุมชมุ ชชนนแแหหง่ กง่ากรเราียรนเรรู้ทยีางนวิชราู้ทชพี าขงอวงนิชิสาิตชครีพู ของนิสิตคร วารสารวชิ าการ 7

การพัฒนาบทเรยี นรว่ มกัน ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพจะเข้าไปมีส่วนร่วมในแต่ละขั้นของการพัฒนาบทเรียน รว่ มกนั นกั วจิ ยั และนกั วชิ าการหลายทา่ นกลา่ วถงึ ขน้ั ตอนในการพฒั นาบทเรยี นรว่ มกนั ไวแ้ ตกตา่ งกนั แตส่ าระสำ� คญั นน้ั ประกอบไปดว้ ย 4 ขนั้ ตอนหลกั คอื 1) ขนั้ วเิ คราะหเ์ นอื้ หารายวชิ า 2) ขนั้ วางแผน การจัดการเรียนรู้ 3) ขั้นปฏิบัติการเรียนการสอน และ 4) ข้ันคิดสะท้อน โดยแต่ละข้ันตอน มรี ายละเอียดดังน้ี (Isoda, 2010) 1. ข้ันวิเคราะห์เน้ือหารายวิชา (Analyze) เป็นข้ันตอนที่ครูวิเคราะห์เน้ือหารายวิชา จากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด โดยวเิ คราะหใ์ หค้ รอบคลมุ ทง้ั ดา้ นความรู้ กระบวนการ และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามหลกั สตู ร 2. ข้ันวางแผนการจัดการเรยี นรู้ (Plan) ประกอบไปดว้ ย 2 ส่วนท่สี ำ� คัญ คอื 2.1 การก�ำหนดเป้าหมายของการศึกษา เป็นการก�ำหนดปัญหาของนักเรียนที่เกิดข้ึน จริงในช้ันเรียนท่ีตนรับผิดชอบ และเป็นปัญหาที่ต้องการแก้ไข หรือก�ำหนดส่ิงที่ต้องการพัฒนา นักเรียน เช่น นักเรียนได้คะแนนต่�ำกว่าเกณฑ์จ�ำนวนมาก นักเรียนไม่กล้าตอบค�ำถาม นักเรียน ไม่สนใจเรียน เป็นต้น 2.2 การออกแบบการจัดการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับเป้าหมาย โดยอาจสร้างแผน การจัดการเรียนรู้ใหม่หรือพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีอยู่เดิม เพื่อแก้ปัญหาท่ีต้องการแก้ไข กระบวนการน้ีจะรวมไปถึงการจัดเตรียมสื่อการจัดการเรียนรู้ กระบวนการนี้เป็นการทดสอบว่า แผนการจัดการเรียนรู้ท่ีพัฒนาขึ้น สามารถแก้ปัญหาท่ีต้ังไว้ได้จริงหรือไม่ หรือเป็นการตรวจสอบ คำ� ถามที่ใช้ในแผนการจดั การเรียนร้วู า่ สอดคลอ้ งกบั การปฏบิ ตั ิการสอนจรงิ หรือไม่ 3. ข้ันปฏิบัติการเรียนการสอน (Do) เป็นข้ันตอนที่ครูน�ำแผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ สอนจริงในช้ันเรียน และมเี พื่อนครู/กลมุ่ พัฒนาบทเรยี นรว่ มกนั และสมาชิกคนทีเ่ หลอื จะท�ำหน้าที่ สังเกตการสอน ผู้สังเกตสามารถเดินไปรอบ ๆ เพ่ือสังเกตการสอน ควรมุ่งสังเกตท่ีความคิดและ การตอบสนองของนกั เรยี นมากกวา่ คุณลกั ษณะของครู (Lewis, 2000; Murata 2011; Burghes & Robinson, 2010) ควรมีการเก็บข้อมูลท่ีหลากหลายในขณะท่ีด�ำเนินการเรียนการสอน เช่น การจดบันทึก การบันทึกภาพหรือวีดิทัศน์ เพ่ือท่ีจะเป็นข้อมูลส�ำหรับขั้นตอนการคิดสะท้อนและ อภิปรายผล 4. ข้ันคิดสะท้อน (See/Reflect) เป็นการคิดสะท้อนและอภิปรายผลของปฏิบัติ การสอน เพื่อร่วมกันปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ และน�ำไปปฏิบัติการสอนในครั้งต่อ ๆ ไป โดยทุกคนควรมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และอภิปรายทีละคน ทีละประเด็น (Burghes & Robinson, 2010) สรุปประสิทธิภาพของการสอน สภาพท่ีเกิดข้ึน จุดเด่นและจุดด้อย และ ช่วยกันอภิปรายถึงแนวทางในการปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้และน�ำสู่การปฏิบัติการเรียน การสอน (Stigler & Hiebert, 1999) 8 วารสารวิชาการ

เกดิ ขนึ้ จุดเดน่ และจุดดอ้ ย และช่วยกันอภิปรายถึงแนวทางในการปรบั ปรุงแผนการจัดก เรยี นรู้และนำส่กู ารปฏบิ ตั ิการเรียนการสอน (Stigler and Hiebert, 1999) ข้ันวิเคราะหเ์ น้อื หารายวิชา ขั้นวางแผนการจัดการเรยี นรู้ ขนั้ ปฏบิ ตั กิ ารเรยี นการสอน ขั้นคดิ สะทอ้ น ภาพ แนภวาคพิดแกนาวรคพดิ กัฒารนพาฒั บนทาบเทรเียรยีนนรรว่ ่วมมกกันันผา่ผนา่ ชนมุ ชชนมุ แชหน่งกแาหรเรง่ ียกนารรูท้ เารงวยี ชิ นาชรีพู้ทางวิชาชพี จากการท�ำวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการออกแบบการเรียนการสอน วิทจยาากศกาสาตรรท์แลำะวกิจาัรยรเับรรื่อู้คงวามกสาารมพารัฒถขนอางตคนวเอางมขสองานมิสาิตรคถรู ใโนดยกใชา้แรนอวอคิดกกแาบรพบัฒกนาารบเทรเรียียนนการสอ บวิททยเราียศนามรรสว่1ีคม่ววต.กามรหันมก์แสเลนนัา21ลน้มัง..เะกากนหหรากลลาน้ถรงงััาคใรกกกนริดใาากาสรรรชารใใะับชชร้แทคแแ้้อรอ้นนนิดอู้คนววกวสผคควแคะ่าดดิิบานกกิทดบมชาากก้อรรมุสาพพนาชราฒฒัันรเผมรแนนพียา่าหาานนัฒบบรง่ กกททถชานาเเรขรรุมรสยยาีีเอชรอนนบียนงนรรนทวว่่ตอแรมมยเนู้เกกหชู่ใรนนนััเงิ ง่ียอวผผรกชิะาา่่นงนนดาาขรชชชับรพี่อมมวุุดเชชรีมงพโนนยีนดกบแแยนิสวหหันมา่รงง่่ิตคีผกกู้เา่คชาา่าเรรฉิรงนเเรรลวู ยยีีีย่ชโชินนคดุมรราิดเเ้้ยููชชชชเปงงใิิพีนวว็นชชชิิรแ้แาาพอ้ หชชนยบพพีี ล่งวะวกนนค่าสส8ิิาิดตต0ิิ รกคคเรรารูู รียพนัฒรู้เนช วิชาชีพมนีคะิสแิตนคนเรฉูมลี่ยีคกวาารมรับสราู้คมวาามรสถาใมนารกถาขรอองตอนกเอแงบในบกการาอรอเกรแียบนบกกาารรเสรียอนนกอารยสู่ใอนนรสูงะกดวับ่า ดี โดย ค่าเฉล่ยี กค่อดิ นเใปชอ้ ็นยรา่ งอ้ มยนี ลัยสะำ� ค8ัญ0ทางสถติ ิท่ีระดับ .00 วารสารวชิ าการ 9

3. การรับรู้ความสามารถของตนเองมีความสัมพันธ์กับความสามารถในการออกแบบ การเรียนการสอน หลังการใช้แนวคิดการพัฒนาบทเรียนร่วมกันผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ เชงิ วิชาชพี อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .05 โดยมคี ่าสัมประสทิ ธสิ์ หสัมพนั ธ์เทา่ กบั .59 การคิดสะท้อนของนิสิตครูหลังการใช้แนวคิดการพัฒนาบทเรียนร่วมกันผ่านชุมชน แห่งการเรยี นรทู้ างวิชาชีพในแตล่ ะขนั้ และข้อจำ� กดั มดี ังน้ี 1. ขน้ั วิเคราะห์เนือ้ หารายวิชาและขัน้ การวางแผนการจัดการเรียนรู้ 1.1 มีเพื่อนนิสิต (Buddy) ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาสามารถปรับปรุง แผนการจัดการเรยี นรใู้ หม้ ีประสิทธิภาพ 1.2 สามารถปรึกษาเพือ่ นนสิ ติ และแลกเปลย่ี นความคิดเห็นกนั 1.3 รสู้ กึ อนุ่ ใจ มกี ำ� ลังใจ ไมต่ อ้ งทำ� งานคนเดยี ว 1.4 ท�ำใหแ้ ผนการจัดการเรียนรู้ออกมาสมบรู ณ์แบบมากขึน้ 1.5 สามารถออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ไดเ้ หมาะสมกบั นกั เรยี น 1.6 สามารถแกไ้ ขแผนการจัดการเรียนรู้ใหม้ ปี ระสิทธภิ าพมากยิง่ ขึ้นก่อนนำ� ไปใชส้ อน 1.7 การมเี พอื่ นตา่ งวชิ าเอกเปน็ เพอ่ื นนสิ ติ ทำ� ใหท้ ราบสาระการเรยี นรู้ และกระบวนการ ทีต่ ่างจากวชิ าเอกของตนเอง 2. ขัน้ ปฏิบัติการสอน 2.1 เกดิ ความรู้สึกมั่นใจในการสอนมากยง่ิ ขนึ้ 2.2 ทราบวธิ ีแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ และควบคุมสถานการณ์ 3. ขั้นคดิ สะท้อน 3.1 ได้รบั ค�ำแนะนำ� ท่ีดีและเป็นประโยชนจ์ ากเพ่อื นนสิ ิต 3.2 ท�ำให้ทราบวา่ ส่วนใดทที่ ำ� ดีแลว้ และสว่ นใดควรปรบั ปรงุ 3.3 ได้รับความคิดเห็นจากอาจารย์ท�ำให้ทราบข้อผิดพลาดท่ีเกิดข้ึน และน�ำไป ปรบั ปรงุ แก้ไขตอ่ ไป 3.4 ช่วยให้ผสู้ อนได้ร้แู ละปรบั ปรุงแกไ้ ขจากการประเมินการสอนของ Buddy 3.5 มเี พอื่ นนสิ ติ คอยชว่ ยเหลอื และจดบนั ทกึ ขอ้ เสนอแนะใหน้ ำ� ไปปรบั ปรงุ ในครง้ั ถดั ไป 4. ข้อจำ� กดั 4.1 มเี วลาไมเ่ พยี งพอ 4.2 ไม่มีประสบการณ์ ในการใหค้ �ำแนะน�ำ 4.3 ควรมีหลักฐานจากเพ่ือนนิสิตว่าได้ใหค้ �ำแนะน�ำจริง 10 วารสารวชิ าการ

แนวคดิ การพฒั นาบทเรยี นรว่ มกนั เนน้ การคดิ สะทอ้ นผา่ นชมุ ชนแหง่ การเรยี นรทู้ างวชิ าชพี สามารถน�ำมาใช้ในการพัฒนาการออกแบบการเรียนการสอนและส่งเสริมการรับรู้ความสามารถ ของตนเองของนิสิตครูได้ เพื่อเตรียมพร้อมส�ำหรับการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา ซึ่งต้อง ติดตามผล และนำ� แนวคิดนไี้ ปใช้ในการพัฒนาวชิ าชพี ครตู อ่ ไป เอกสารอา้ งอิง กิตตพิ ร ปัญญาภิญโญผล และสริ พิ ร จนั ทวรรณ. (2548). รูปแบบการมสี ่วนรว่ มของบคุ ลากรทีเ่ กี่ยวขอ้ งในการสนับสนนุ การท�ำวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียนของนักศึกษาฝึกปฏิบัติการวิชาชีพครู ระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่ เชียงใหม:่ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม.่ เกรียงเปฐิต็นิจฐ�ำาเนริญร่วพมรก. ับ(2ก5า6รเ0ป).็นกพา่ีเรลพ้ียัฒงเนพา่ือกเสระรบิมวสนร้ากงาครนวา�ำมคสรูใาหมมา่เรขถ้าใสนู่วกิชาารชอีพอโกดแยบใชบ้แกนาวรคเริดียกนากรพารัฒสนอานบ. ท(เวริทียยนารน่วิพมกนันธ์ มหาบณั ฑิต). กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . เฉลิม ฟักอ่อน. (2552). การออกแบบการจัดการเรียนรู้อิงมาตรฐาน โดยเทคนิค Backward Design. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพมิ พป์ ระสานมติ ร. วารสารวิชาการ 11

Allinder, R. M. (1994). The Relationship Between Efficacy and the Instructional Practices of Special Education Teachers and Consultants. Teacher Education and Special Education, 17, 86-95. Bandura, A. (1997). Self-efficacy: the exercise of control. New York: W.H. Freeman. Britton, T. (2010). STEM Teachers in Professional Learning Communities: A Knowledge Synthesis. Washington, DC: National Commission on Teaching and America’s Future. Brown, S., & Melear, C. (2007). Preservice Teachers’ Research Experiences in Scientists’ Laboratories. Journal of Science Teacher Education, 18(4), 573-597. Burghes, D. N., & Robinson, D. (2010). Lesson Study: Enhancing Mathematics Teaching and Learning. Reading (GB): CfBT Education Trust. Coladarci, T. (1992). Teachers’ Sense of Efficacy and Commitment to Teaching. Journal of Experimental Education, 60, 323-337. Cruickshank, D. R., Jenkis, D. B., & Metcalf, K. K. (2011). The Act of Teaching (6th ed.). New York: McGraw-Hill. Fernandez, C. (2002). Learning from Japanese Approaches to Professional Development: The Case of Lesson Study. Journal of Teacher Education, 53(5), 393-405. Fullan, M. (2010). All Systems Go: The Change Imperative for Whole System Reform. Thousand Oaks, CA: Corwin Press. Gibson, S., & Dembo, M. (1984). Teacher Efficacy: A Construct Validation. Journal of Educational Psychology, 76(4), 569-582. Hord, S. (1997). Professional Learning Communities: Communities of Continuous Inquiry and Improvement. Austin, TX: Southwest Educational Development Laboratory. Isoda, M. (2010). Lesson Study: Problem Solving Approaches in Mathematics Education as a Japanese Experience. Procedia Social and Behavioral Sciences, 8, 17-27. Lewis, C. (2002). Lesson Study: A Handbook of Teacher-Led Instructional Change. Philadelphia: Research for Better Schools. Inc. McREL. (2003). Sustaining School Improvement: Professional Learning Community. CO: Mid-Continent Research for Education and Learning. Moore, W.P. & Esselman, M.E. (1992). Teacher Efficacy, Empowerment, and a Focused Instructional Climate: Does Student Achievement Benefit?. Annual Meeting of the American Educational Research Association, San Francisco, 20-24 April 1992. Murata, A. (2011). Introduction: Conceptual Overview of Lesson Study. In L. C. Pendergast, D., Garvis, S., & Keogh, J. (2011). Pre-service Student-Teacher Self-Efficacy Beliefs: An Insight Into the Making of Teachers. Australian Journal of Teacher Education, 36(12), 46-58. Puchner, L., & Taylor, A. (2006). Lesson Study, Collaboration and Teacher Efficacy: Stories from Two School-Based Math Lesson Study Groups. Teaching and Teacher Education, 22, 922-934. Ramaligela, S. M. (2012). Can Lesson Plan Affect Lesson Presentation? A Case of Mathematics Student Teachers’ Teaching Practice in Schools. Paper Presented at the International Proceedings of Economics Development & Research. Sibbald, T. (2009). The Relationship Between Lesson Study and Self-Efficacy. School Science and Mathematics, 109(8), 450-460. Stigler, J., & Hiebert, J. (1999). The Teaching Gap: Best Ideas from the World’s Teachers for Improving Education in the Classroom. New York: Free Press. Wenner, G. (2001). Science and Mathematics Efficacy Beliefs Held by Practicing and Prospective Teachers: A Five-Year Perspective. Journal of Science Education and Technology, 10, 181-187. 12 วารสารวชิ าการ

ถอดบทเรยี นการจดั การเรยี นรอู้ งิ ฐานสมรรถนะ ระดับประถมศึกษาตอนปลาย กับตัวอยา่ งหน่วยการเรยี นรู้ “แพชว่ ยชวี ติ ” ดร.นาฎฤดี จติ รรงั สรรค์ ผู้อำ� นวยการโรงเรยี นสุจปิ ุลิ ในการปฏิรูปการเรียนการสอนต้องค�ำนึงถึงความต้องการของสังคม ประเทศ และโลก ในยุคปัจจุบันและอนาคตท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะ การเปลีย่ นแปลงด้านเทคโนโลยี ที่สง่ ผลต่อวถิ ชี วี ิตรอบด้าน รวมถงึ การแสวงหาแนวทางแกป้ ญั หา ท้ังทางดา้ นหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผล นับว่าเป็นความท้าทาย ของนักการศกึ ษาไทยเปน็ อยา่ งยิง่ เดก็ ไทยในปัจจุบนั ต้องการความรู้ ทกั ษะ และสมรรถนะชุดใหม่ ท่ีแตกต่างไปจากเดิม จึงเป็นหน้าท่ีของการศึกษาที่จะต้องตอบสนองความต้องการดังกล่าว รวมไปถึงการตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติในการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะ ทางด้านเศรษฐกิจท่ีต้องการให้ประเทศไทยเข้าสู่ความเป็นไทยแลนด์ 4.0 ซ่ึงต้องการนักเรียนรู้ ผู้สร้างนวัตกรรม และเป็นพลเมืองที่มีความเข้มแข็ง ซ่ึงเป็นผลลัพธ์ท่ีพึงประสงค์ของการศึกษา ที่กำ� หนดไว้ในมาตรฐานการศกึ ษาของชาติ คณะท�ำงานและคณะวิจัยโครงการวิจัยและพัฒนากรอบสมรรถนะหลักนักเรียน ระดับประถมศึกษาตอนต้นส�ำหรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐานในคณะกรรมการอิสระเพื่อ การปฏิรูปการศึกษาได้พัฒนากรอบสมรรถนะหลักของนักเรียนและท�ำการวิจัยทดลอง ซ่ึงสามารถแสดงผลได้เป็น 10 สมรรถนะหลัก1 ได้แก่ 1) ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร (Thai Language for Communication) 2) คณิตศาสตร์ในชีวิตประจ�ำวัน (Mathematics in Everyday Life) 3) การสืบสอบทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry and Scientific Mind) 4) ภาษาองั กฤษเพอ่ื การส่ือสาร (English for Communication) 5) ทกั ษะชวี ิต และความเจริญแห่งตน (Life Skills and Personal Growth) 6) ทักษะอาชีพและการเป็น ผู้ประกอบการ (Career Skills and Entrepreneurship) 7) ทักษะการคิดขั้นสูงและ นวัตกรรม (Higher-Order Thinking Skills and Innovation) Critical Thinking, Problem Solving, Creative Thinking 8) การรู้เท่าทันส่ือสารสนเทศและดิจิทัล (Media, Information and Digital Literacy) 9) การท�ำงานแบบรวมพลังเป็นทีมและมีภาวะผู้น�ำ 1 10 สมรรถนะหลัก อ้างอิงจากสำ� นกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา 13 วารสารวชิ าการ

(Collaboration Teamwork and Leadership) และ 10) การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง/ ตื่นรู้ ท่ีมีส�ำนึกสากล (Active Citizen with Global Mindedness) (ส�ำนักงานเลขาธิการ สภาการศกึ ษา, 2562) ภาพ 10 สมรรถนะหลักของผ้เู รียนระดบั การศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน ที่มา: ส�ำนกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา สมรรถนะทั้ง 10 ประการ เป็นสมรรถนะหลักที่คาดว่าจะน�ำมาใช้ในการพัฒนาเด็กและ เยาวชนไทย ในช่วงเวลา 12 ปี ของการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน เพือ่ ให้สามารถกา้ วทันการเปลย่ี นแปลง และดำ� รงชวี ิตไดอ้ ยา่ งมคี ุณภาพในโลกแห่งศตวรรษที่ 21 การจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะเป็นการเรียนการสอน ที่มีจุดประสงค์การเรียนรู้ ฐานสมรรถนะเป็นเป้าหมาย คือ มุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะต่าง ๆ อยา่ งเปน็ องค์รวมในการปฏิบตั งิ าน การแก้ปัญหา และการใชช้ ีวติ เป็นการเรียนการสอนท่ีเชื่อมโยงกับชีวิตจริง เรียนรู้เพื่อให้สามารถใช้การได้จริงในสถานการณ์ ตา่ ง ๆ เปน็ การเรยี นเพอ่ื ใชป้ ระโยชนไ์ ม่ใช่การเรยี นเพอ่ื รู้เท่าน้นั 14 วารสารวิชาการ

15 กโซโจรดลึ่าง่ังอรยกมหงนเอีววป�ำนกิัดสห็นาาัฉยใลคตรนะใทักนตันวเทัสศชอทำ่ีูนตโนิงยหี่นดรี่เเ์ปทเ่ฐายี่ลเพปา็งนรเักป่ืนหอ็นาตสส็นพนตัวซูมตตอััว่ฒวึ่งรรวัยอมยรนฐอ่ายีวกถายาง่าิสนาในใ่างยัระนหงใสเสทหกนร้เมู่กัศาีนกดยารรน็นา่วกรจรร์เยจรมัดถพจกูัด้ีรสกน่ือัดากะมาพะรกาดรรเรสาัฒัเบรรเรรูร่ยีกนชีถยเียนราั้นานนนียรรใกปะก้รูหนจาราทะั้เกดรระด่ีดจสาสกถ็กบั�ำรออามมสเชนนรปศีส้นัอขอเึก็มรนนปอิงษีรยฐบงใรรโานานะนรถนปถกงกฐนสเมีาทาาระมศรีนย่ีรทรดึกน4สสรี่จ�ษสำ-อมถ6ำุจรารนนเิปงปประขใชุลถีท็นนขอีิวนี่อใหจงิต4นะงังนโ-ใขโกหร6่รนวอางวงยโรกเัดงเลรกรดโับฉีรยีกยาำะหงนรรอนเเนชงเนรนสริงช่ว�ียำีเยาุจยีวทรนคนิติก่ปอรนตรใาางุลนำู้ริ “เรแยีพนชรว่ ู้ย“ชแวี พติ ”ช ่ว ยชวี ิต” แนวคดิ สำคัญ : การสรา้ งนวัตกรรมในการแก้ปัญหาแบบรวมพลัง เป็นการทำงาน ร่วมกันตามบทบาทเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ร่วมกัน มีความสัมพันธ์ ทางบวก โดยผู้เก่ียวข้องตระหนกั ในการสนับสนุน แบ่งปัน แลกเปลี่ยนความรู้และ ความคิด พรอ้ มสนับสนุน เก้อื กลู กันทุกด้าน สรา้ งและรกั ษาความสัมพันธ์ทางบวก นำจุดเด่นและความคิดเห็นของแต่ละคนมาใช้ปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ รว่ มกัน สสมมรรรถรนถะนหะลหักล(Cักor(eCcoormepCetoemncpy)etency) ⚫⚫ผแบู้น บำคกทกสรสาาณกั มวรรมษติรทสมระศรบืำ�พรกถางสถลาสานอรนนังตบะคเแระปหิดท์ใบหนน็ขลาบลงชัน้ทกั รวกัวีสีมดวิทติดงูม้ายแปแ้าพนาลรลนศลกะะะทังาาจนมเสกัร�ำปวีภตทวษัต็นารนัำกะทวแ์ งรกะมีลารานะแมรจลิตะวมทิภีวชยาทิีวาวิตยศะสสปาผามมศสู้นรตารระ�ำรรรสจ์ถถตำนนวรแ์ันะะหหลลละจกกัั ติดดวา้า้ ทินนยกคาาณศรติสาศบืสาตสสรอต์บรทใ์ นาง คดิ ขภน้ัาษสางู ไแทลยเะพนอ่ื วกตัารกสรอ่ื รสมาร  สมรรถนะหลักดา้ นภาษาไทยเพ่ือการส่ือสาร ผผลลกการาเรรเียรนยี รู้น(Sรpู้ e(cSifpiceLceiafrincinLgeOaurtncoinmgesO) utcomes) สสาามมาราถรสถรส้ารง้าแงพแชพ่วชย่วชยีวชิตีวทิตี่มทีปี่มระีปสริทะธสิภิทาธพิภในาพกาในรใกชา้งราในชไ้งดา้จนริไงดโ้จดรยิงสมโดาชยิกสใมนาทชีมิกเใขน้าทใจีม เเปข้า้าหใมจาเยปแ้าลหะมบทายบแาทลหะนบา้ ททบขี่ อางทตหนนใน้ากทาีร่ขสอรงา้ ตงนนวใตั นกกรารมรรส่วรม้ากงนั นแวบัตบกร่วรมรมมอื รร่ววมมกพันลงัแ บบร่วมมือ รวมพลงั 1. เขียนค�ำเชิญชวนให้ผู้อ่ืนเข้าใจในวัตถุประสงค์ท่ีต้องการสื่อสารและโน้มน้าวใจ กแใกใหหนาา้มรวม้รสสีคสีสร่ววรว่้านา้านงมร32งแร่ว321คแ..พว่ม...ดิพไวใมใเไวใดชนไาขดใชาด้อ้นงคกีย้ง้คยอ้แาวกนแวา่ยรผาาผคงาด่านมรเนำมำ�หงดแรเเเแรมชนูำ้หใลู้ใลานเญิินะมนนะะกกอาชสกนิอาาะอวมากอรรสนกรไากจมดแจใร�แำห้บำไแบดผ้แบนบู้้อนแกแืน่กพปพเปทขรทร่ีา้ตะี่ะตใเ้อจเภ้อภงใงทกนทกาวาขรขตั รนสนถสราุปาร้ดาด้ารงแงแะขลขสลึ้นะึ้นงะแปคแปลร์ทลระิมะ่ีติมสาส้อาาตางตมรมกราขาาขรอรรถอสถงสงว่ือสว่ือัสสื่อัสสดาสดาุรทารุทแี่รจใี่จลใหะหะะน้ผน้ผโ�ูำ้อนู้ำอม่ืน้มมื่นาเนาใขเชใข้า้าช้วใ้าใ้นใจใในจจ แนวความคดิ ได้ 15 วารสารวชิ าการ

4. สร้างแพต้นแบบ โดยใช้เคร่ืองมือและอุปกรณ์ได้อย่างเหมาะสมตามลักษณะงาน และมีความปลอดภัย 5. น�ำเสนอผลงานและทดสอบแพต้นแบบ โดยน�ำผลจากการทดสอบและการให้ ข้อมลู ป้อนกลบั ไปใช้ในการพัฒนาปรับปรุงตอ่ ไป 6. ปรับปรุงและพัฒนาแพต้นแบบ ใหม้ ปี ระสิทธิภาพมากข้ึน ดว้ ยการท�ำงานร่วมกันแบบ ร่วมมือรวมพลัง 7. ทดสอบและน�ำเสนอแพทีผ่ า่ นการปรบั ปรุงประสิทธภิ าพเพ่ือใหใ้ ชง้ านได้จริง 8. สะท้อนคดิ จากประสบการณ์ที่ได้รับท้ังหมด สามารถสรปุ ประเด็นการเรยี นรทู้ ต่ี นได้รับ เพือ่ นำ� ไปใช้ประโยชนต์ อ่ ไป สาระการเรยี นรู้ ด้านความรู้ (K) ดา้ นทกั ษะ (S) ดา้ นคณุ ลักษณะ (A) 1) หน่วยการวดั ปรมิ าตรและ 1) ทักษะการท�ำงานเป็นทีมแบบ 1) ความเปน็ ผ้นู ำ� และผตู้ ามท่ีดขี องกลุ่ม หนว่ ยการวดั น้ำ� หนัก ร่วมมอื รวมพลัง 2) ความม่งุ มน่ั ต้งั ใจ อดทน 2) การเปรียบเทยี บปรมิ าตรน�้ำ 2) ทักษะในการแก้ไขปัญหา สามารถ และพยายาม ในภาชนะที่แตกต่างกนั วเิ คราะหป์ ัญหาและแก้ปัญหา 3) ความรับผิดชอบ ตอ่ งานท่ีได้ 3) การจมและการลอยของวตั ถุ ไดอ้ ย่างสร้างสรรค์ รบั มอบหมาย 4) แรงพยุงและแรงลอยตัว 3) ทักษะการวางแผน การเลอื กวิธี 4) ความคดิ แบบยืดหยุ่นและไมย่ อมแพ้ 5) หลกั การในการคิดเชิงออกแบบ การและการออกแบบสิ่งประดิษฐ์ ตอ่ ความลม้ เหลว เพื่อสร้างนวตั กรรม 4) ทักษะในการสร้างและรักษา 5) ชุดความคดิ แบบเติบโต พรอ้ มเรียนรู้ 6) กระบวนการออกแบบทาง ความสัมพนั ธอ์ นั ดใี นกลุม่ สงิ่ ใหม่ ๆ เสมอ วศิ วกรรม ประเภทและรปู แบบ ใหค้ วามไวว้ างใจและยอมรบั ผล สง่ิ ประดิษฐท์ างวิศวกรรม ที่เกิดจากการท�ำงานร่วมกนั ด้วย 7) วธิ กี ารใชว้ สั ดุ อุปกรณ์ได้อยา่ ง ความเต็มใจ เหมาะสม คุม้ ค่า และปลอดภัย 5) ทักษะการใช้กระบวนการสบื สอบ 8) หลกั การน�ำเสนอผลงาน ทางวทิ ยาศาสตร์ และคน้ หาความรู้ รปู แบบต่าง ๆ ด้วยตนเอง 6) ทกั ษะการประยุกต์ใชค้ วามรู้ 7) ทักษะในการบรหิ ารความผิดพลาด 8) ทักษะการน�ำเสนอผลงาน และ สอ่ื สารใหผ้ ู้อืน่ เกดิ ความเขา้ ใจ 9) ทักษะการสะทอ้ นคดิ และ การปรับปรุงงานโดยใช้ขอ้ มลู ปอ้ นกลบั เพอ่ื ให้เกดิ ประสิทธภิ าพ และประสิทธิผลในการทำ� งาน 16 วารสารวิชาการ

กิจกรรมการเรียนรู้ในหน่วยน้ีเป็นหน่วยการเรียนรู้ท่ีก�ำหนดเวลาการเรียนรู้ไว้ประมาณ หน่ึงเดือนโดยมีการก�ำหนดวันทดสอบแพซ่ึงเป็นวันแห่งการประเมินหน่วยการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้า จากนนั้ กจิ กรรมเรมิ่ ตน้ ทนี่ กั เรยี นไดร้ บั ภารกจิ ในการสรา้ งแพจากขวดนำ้� จงึ ตอ้ งเขยี นประชาสมั พนั ธ์ ถึงการเรียนรู้น้ีท่ีจ�ำเป็นต้องใช้ขวดนำ�้ เป็นจ�ำนวนมาก เพ่ือสื่อสารและเชิญชวนให้ผู้ปกครองและ นักเรียนคนอ่ืน ๆ ได้ช่วยกันน�ำขวดน�้ำท่ีไม่ใช้แล้วมาบริจาค สิ่งท่ีเกิดข้ึนคือเด็ก ๆ ได้รับ ความร่วมมือที่ดีมาก เพราะได้รับบริจาคขวดน�้ำหลากชนิดจากผู้ปกครอง ท�ำให้ได้ขวดน�้ำมา เต็มห้องเรียนหนึ่งห้อง เต็มแบบกองสูงเป็นภูเขา ภารกิจต่อมาของเด็ก ๆ คือการแยกและ จัดกลุ่มขวดท่ีมีอย่างมหาศาล สิ่งท่ีเด็ก ๆ ได้เรียนรู้ในช่วงน้ี คือ ขนาดของขวด ที่มีความจุ ต่างกัน ทง้ั รูปรา่ ง รูปทรง (เดก็ ๆ เรียนรเู้ รอ่ื งหน่วยของขวดทีบ่ รรจุ ไม่ว่าจะเปน็ ลิตร มลิ ลิลิตร ซีซี เดซิลิตร) เปรียบเทียบหน่วย ตอนนี้ใช้สมรรถนะคณิตศาสตร์ในชีวิตประจ�ำวันกันอย่างเต็มที่ ทั้งต้องเปรียบเทียบทศนิยม เปรียบเทียบขนาด รูปร่าง รวมถึงค้นพบความหนาบางของพลาสติก ซ่ึงต้องแยกประเภทออกด้วยเช่นกัน และครูพบว่านักเรียนของครูหลายคนไม่เคยรู้จักหน่วย บางหนว่ ยดว้ ยซำ�้ ไป เชน่ เดซลิ ติ ร ทสี่ ำ� คญั เดก็ ตอ้ งมคี วามอดทนอยา่ งมาก เพราะกวา่ จะคัดแยกเสรจ็ ใช้เวลามาก รวมถึงการใช้เวลานอกชั้นเรียน มาท�ำงานต่อเพื่อให้ส�ำเร็จ เด็ก ๆ ต้องผนึกพลัง ประสานความต่าง และท�ำให้ครูได้รู้จักเด็กแต่ละคนว่ามีความมุ่งม่ันในการท�ำงานจนส�ำเร็จ ได้มากนอ้ ยเพียงใด หลังจากได้คัดแยกประเภทขวดแล้ว ต่อมาเด็ก ๆ ต้องแบ่งกลุ่มและวางแผนลงบน กระดาษชาร์ต และน�ำเสนอความคิด เดก็ ๆ ได้ทง้ั มติ สิ ัมพันธ์ และความคดิ สรา้ งสรรค์ จินตนาการ แพจากขวดน�้ำท่ีมีความน่าสนใจและหลากหลาย มีสมมติฐานท่ีต้ังขึ้นระหว่างการออกแบบ เช่น ขวด 32 ใบรับน�้ำหนักได้ 1 กิโลกรมั การสรา้ งแพแบบสามเหลยี่ ม จะไปได้เรว็ กว่าแพแบบสี่เหลีย่ ม และอ่ืน ๆ ซ่ึงครูจะไม่ตดั สนิ ความคดิ ของเด็ก ๆ ว่าถกู หรอื ผิด เป็นไปไดห้ รือไม่ เพือ่ ใหน้ ักเรียนเกดิ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เก็บสมมติฐานท่ีต้ังข้ึนแล้วไปหาค�ำตอบด้วยกัน (ทั้งน้ี การเริ่มต้น จากการวางแผนอย่างถ่ีถ้วนมีความส�ำคัญมาก ๆ ท�ำให้ตนเองมีเป้าหมายในการก้าวเดิน เพราะทางขา้ งหนา้ อาจจะพบปญั หาอกี มาก ถา้ เปา้ หมายไมช่ ดั อาจทำ� ใหเ้ สยี เวลาและเสยี โอกาสได)้ เม่ือเริ่มสร้างแพจริง เด็ก ๆ เกิดปัญหา เพราะสิ่งท่ีคิดไว้หรือวาดไว้บนกระดาษ หลายอย่าง อาจท�ำไม่ได้จริง จึงตอ้ งเร่ิมตน้ หาตวั ช่วย ในการหาวธิ อี ่ืน ๆ เพอื่ นำ� มาแกป้ ญั หา เช่น หาขอ้ มูลจาก Internet ถามผู้รู้ ขอให้ผู้ปกครองพาไปดูแพจริง ๆ (ในอนาคต เด็ก ๆ จะต้องพบกับปัญหา ที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร การมีความคิดแบบยืดหยุ่น จะเป็นตัวช่วยส�ำคัญที่จะสามารถหาวิธีการ แก้ปัญหาต่าง ๆ ไดอ้ ย่างสร้างสรรค์) วารสารวิชาการ 17

หลงั จากผา่ นไป 3 สปั ดาห์ เดก็ ๆ ไดส้ รา้ งแพตน้ แบบ โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื และอปุ กรณไ์ ดอ้ ยา่ ง เหมาะสมตามลกั ษณะงานและมคี วามปลอดภยั เรียบรอ้ ยแล้ว เด็ก ๆ จะต้องนำ� ไปทดสอบต้นแบบ (Try Out) ครงั้ ท่ี 1 สงิ่ ท่ีพบคือ บางกลมุ่ ส�ำเร็จ บางกลุ่มท�ำไมส่ �ำเรจ็ ตามทคี่ ดิ ไว้ท้ังหมด เชน่ กลมุ่ ที่คิดว่า แพจะสามารถรับน้�ำหนักเด็ก 3 คน แต่สามารถรับน้�ำหนักได้แค่คนเดียว แพลอยน้�ำได้ แตไ่ มส่ ามารถกำ� กบั ทศิ ทาง หรอื วสั ดอุ ปุ กรณท์ ใี่ ชเ้ มอื่ โดนนำ้� กลบั หลดุ ลอกออกมา เปน็ ตน้ ซง่ึ เดก็ ๆ จะต้องน�ำผลการทดสอบต้นแบบมาปรับปรุง เพ่ือหาจุดบกพร่อง และปรับปรุงผลงานของตนเอง ไมว่ า่ จะเปน็ มวล น�้ำหนกั รูปรา่ ง ตลอดจนชอ่ งวา่ งของขวด เด็ก ๆ ก็น�ำมาร่วมกันวิเคราะห์ทง้ั สิน้ 18 วารสารวชิ าการ

ในข้ันตอนนี้ ครูพบว่า นักเรียนหลายคนมีการตั้งความหวังสูง เม่ือผิดหวังท�ำให้ท้อแท้ ไม่อยากท�ำต่อ เปิดโอกาสให้ครูได้เป็นโค้ชในการกระตุ้น และท�ำให้เห็นคุณค่าของความผิดพลาด เพราะในอนาคตการบริหารความล้มเหลวและผิดพลาดน้ัน ส�ำคัญมาก ๆ สิ่งท่ีน่ากังวลกับ ประเทศไทย คือ เด็ก ๆ กลับมาถามครูว่า ครูจะให้คะแนนผมเท่าไหร่ ซ่ึงชี้ให้เห็นว่าเด็ก ๆ ถูกระบบท่ีสร้างให้ท�ำงาน เพ่ือคะแนน เรียนเพ่ือสอบ โดยจะท�ำงานเพ่ือให้ถูกใจครู มากกว่า การท�ำงานเพื่อใหเ้ กิดความส�ำเร็จสงู สุดตามความสามารถทตี่ นเองมี ดังน้ัน ในการปรับปรุงและพัฒนาแพต้นแบบ ให้มีประสิทธิภาพมากข้ึนในเวลาจ�ำกัด ด้วยการท�ำงานร่วมกันแบบร่วมมือรวมพลัง ครูจะเป็นโค้ชให้เด็ก ๆ ผนึกพลังประสานความต่าง ร่วมกันแก้ปัญหา ซ่ึงระหว่างการระดมสมองมีนักเรียนคนหน่ึงเกิดความคิดและถามขึ้นว่า “เราร่วมมือกันท�ำทุกกลุ่มได้ใช่ไหมครับ ที่ไม่ต้องแข่งกัน เพราะเป้าหมายคือทุกคนต้องล่องแพ วารสารวชิ าการ 19

ข้ามสระว่ายน�้ำไปให้ได้ เราร่วมกันท�ำแพใหญ่ ๆ ข้ามไปข้ามมาได้ใช่ไหมครับ” ค�ำตอบของครูคือ “แล้วแตเ่ ด็ก ๆ เลยครับ ใหค้ ุยกันในห้อง” ผลทเ่ี กดิ ข้ึน เด็ก ๆ ท�ำงานสนุกเพมิ่ ขน้ึ เกิดบรรยากาศ ความสามัคคี ต่างออกความเห็นที่จะปรับปรุงแพของห้องเรียนอย่างออกรส ท�ำให้บรรยากาศ แหง่ ความผดิ พลาดถกู แทนทด่ี ว้ ยเปา้ หมายครง้ั ใหมท่ ม่ี เี พอื่ นรว่ มทำ� ภารกจิ ตามเปา้ หมายนนั้ ๆ ดว้ ย ในช่วงของการปรับปรุงแพที่มีเวลาเพียง 1 สัปดาห์ เด็ก ๆ พบว่า แค่เพียงเวลาที่ครูให้ท�ำ กับเป้าหมายการปรับปรุงแพนั้นไม่สมดุลกัน จึงใช้เวลาว่างอ่ืน ๆ เช่น ตอนเช้า พักกลางวัน และตอนเยน็ เป็นช่วงเวลาที่เดก็ ๆ มีความมุง่ มนั่ ต้งั ใจในการทำ� แพของหอ้ งเรยี น และกระตือรอื รน้ ในการเรยี นมาก ๆ เพราะถ้าทำ� งานเสร็จไว จะได้มีเวลาไปทำ� แพเพิม่ ข้นึ ณ วันทดสอบแพ มีผู้ปกครอง และน้อง ๆ นักเรียน มาร่วมให้ก�ำลังใจด้วย ก่อนการทดสอบมีเหตุการณ์ ท่ีน่าสนใจคือ มีนักเรียนคนหนึ่งบอกครูว่า ถ้าท�ำครั้งนี้ไม่ส�ำเร็จ ก็จะไม่ท�ำแล้ว ขณะท่ีมีเพื่อนด้วยกันหันมาบอกว่า “ท�ำไมล่ะ เราท�ำมันดีข้ึนมาจากคร้ังแรก ตัง้ เยอะ ถา้ ยงั ไม่ได้อกี เราก็มาปรบั กันนิดหน่อยเอง ไม่เหนื่อยเท่าครงั้ แรกหรอก” จากนัน้ ทั้งหอ้ ง ก็ร่วมกันวางแผน จัดล�ำดับผู้ที่จะท�ำหน้าที่ล่องแพ ตลอดการทดสอบเป็นไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และบรรยากาศแห่งความสุข การฝึกใช้ไม้พาย การแก้ปัญหาระหว่างการทดสอบ สุดท้ายภารกิจน้กี ็สำ� เรจ็ ลุล่วง 20 วารสารวิชาการ

ในกิจกรรมสุดท้ายเป็นการสะท้อนคิดจากประสบการณ์ท่ีได้รับท้ังหมด สามารถสรุป ประเดน็ การเรียนรู้ท่ีตนไดร้ บั เพื่อน�ำไปใชป้ ระโยชน์ตอ่ ไป การวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้จากสถานการณ์ประเมินท่ีให้นักเรียนท�ำงาน รว่ มกนั แบบรว่ มมอื รวมพลงั ในการสรา้ งแพชว่ ยชวี ติ จากขวดนำ�้ ทสี่ ามารถเคลอื่ นยา้ ยนกั เรยี นทกุ คน ผ่านสระว่ายน้�ำขนาด 12 เมตรได้อย่างประหยัด คุ้มค่า และปลอดภัย นอกจากจะมีการประเมิน แบบ Formative ในระหว่างทางแล้ว ยังมีการประเมินแบบ Summative ในการประเมิน ความสามารถสร้างแพช่วยชีวิตท่ีมีประสิทธิภาพในการใช้งานได้จริง โดยสมาชิกในทีมเข้าใจ เป้าหมายและบทบาทหนา้ ท่ขี องตนในการสร้างนวัตกรรมรว่ มกันแบบร่วมมอื รวมพลัง ซ่งึ ประเมนิ สมรรถนะหลัก 2 สมรรถนะคือ สมรรถนะหลักด้านการทำ� งานแบบรวมพลงั เปน็ ทมี และมภี าวะผนู้ ำ� และสมรรถนะหลักด้านทักษะการคิดขั้นสูงและนวัตกรรม โดยมีครู นักเรียน และเพื่อนนักเรียน เปน็ ผปู้ ระเมนิ และประเมนิ จากการสะทอ้ นผลการเรยี นรู้ โดยผลการสะทอ้ นของเดก็ ๆ ทำ� ใหเ้ หน็ ถงึ พัฒนาการทางความคิด และการพัฒนาทางอารมณ์ รวมถึงทักษะชีวิตท่ีส�ำคัญมากมาย อิงฐาน สมรรถนะที่แท้จริง โอบอุ้มด้วยความช่วยเหลือเกื้อกูล การท�ำงานร่วมกัน และความสัมพันธ์ อนั ดี มคี วามสขุ และสนุกสนาน เชื่อเหลือเกินว่า การเรียนรู้ครั้งนี้จะเป็นการเรียนรู้ที่มีความหมายและเป็นภาพจ�ำของ เดก็ ๆ กลุ่มนี้ไปตลอดชีวิต วา่ ครัง้ หน่งึ เขาเคยได้ลอ่ งแพชว่ ยชวี ติ จากขวดน�ำ้ เอกสารอา้ งอิง ส�ำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2562). แนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน. นนทบุรี: บรษิ ัท 21 เซน็ จูรี่ จำ� กัด. วารสารวชิ าการ 21

12 ขอ้ คดิ ส�ำหรบั การจดั การเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์ ในศตวรรษที่ 21 รองศาสตราจารย์ ดร.เดช บุญประจกั ษ์ ข้าราชการบำ� นาญ จากการเปล่ียนแปลงที่เป็นผลมาจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ส่งผลใหท้ กุ สงั คมมกี ารเปลีย่ นแปลงตลอดเวลา และเปลี่ยนแปลงในอตั ราท่รี วดเรว็ มาก การตดิ ต่อ สื่อสารเป็นไปด้วยความสะดวกและรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงจะมีลักษณะ “ทั้งโลก” (Global) ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และการด�ำเนินชีวิต โดยมีเทคโนโลยี ที่ทันสมยั เป็นตวั ขับเคลือ่ น จะเรยี กโลกยุคน้ีวา่ “ยคุ ดิจทิ ัลเปลี่ยนโลก” (The New Digital Age) หรอื “ยคุ โลกไรพ้ รมแดน” (Borderless World Age) หรอื “ยคุ โลกาภวิ ตั น”์ (Globalization Age) เปน็ ยคุ ทมี่ คี วามสลบั ซบั ซอ้ นของขอ้ มลู ขา่ วสารและมคี วามหลากหลาย ซงึ่ จะมผี ลกระทบตอ่ วถิ ชี วี ติ และวฒั นธรรมความเปน็ อยขู่ องทุกชาติทุกภาษารวมท้ังประเทศไทย ผลกระทบดังกล่าวส่งผลให้ หลายประเทศตระหนกั ถงึ ความอยรู่ อดของตนเอง จงึ เตรยี มการเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพใหก้ บั ประชาชน ของตนให้เป็นมนุษย์ท่ีมีสติปัญญา (Knowledge Worker) มีวิจารณญาณ (Critical Thinking) มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ศักยภาพของประชาชนข้างต้นเป็นปัจจัยส�ำคัญในการด�ำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพในสังคมปัจจุบัน และอนาคต ท่ีเราเรียกว่า “สังคมแห่งศตวรรษที่ 21” การพัฒนาคนให้มีคุณภาพส�ำหรับสังคม แห่งศตวรรษท่ี 21 ได้ดีที่สุดก็คือ การให้การศึกษาท่ีมีคุณภาพ เพราะการศึกษาเป็นเครื่องมือ ส�ำคัญในการพัฒนาคนให้มีคุณลักษณะตามที่ต้องการ สอดคล้องกับค�ำกล่าวของศาสตราจารย์ นายแพทยว์ ิจารณ์ พานชิ ท่ีกล่าวถึงความส�ำคญั ของการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 ไว้ว่า “การศกึ ษา แห่งศตวรรษท่ี 21 เป็นการเตรียมคนไปเผชิญการเปล่ียนแปลงที่รวดเร็ว รุนแรง พลิกผัน และ คาดไมถ่ งึ คนยุคใหมจ่ ึงตอ้ งมีทกั ษะท่สี ูงในการเรยี นรู้และปรับตวั ” (วจิ ารณ์ พานิช, 2555) การศึกษาแห่งศตวรรษท่ี 21 เป็นการเตรียมคนให้พร้อมที่จะด�ำเนินชีวิตในปัจจุบันและ อนาคต เป็นการเตรียมคนเข้าสู่สังคมใหม่ เป็นสังคมแห่งข้อมูลข่าวสารที่มีความหลากหลาย การจัดการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 จึงเป็นการเตรียมคนให้พร้อมท�ำงานที่ใช้ความรู้และเป็น บุคคลพร้อมเรียนรู้ (Learning Person) ซ่ึงจะต้องพัฒนาให้เป็นคนที่รู้จักคิด วิเคราะห์ เรียนรู้ ท�ำงาน แก้ปัญหา สื่อสารและร่วมมือท�ำงานได้อย่างมีประสิทธิผลไปตลอดชีวิตท่ีเรียกว่า “ทักษะ 22 วารสารวชิ าการ

การเรียนรู้ด้วยตนเอง” (Self-Directed Learning Skills) ประกอบด้วย ทักษะ 3R และ 7Cs ทกั ษะ 3R คอื 1) Reading (อา่ นออก) 2) (W) Riting (เขยี นได)้ และ 3) (A) Rithemetics (คดิ เลขเปน็ ) และทักษะ 7Cs คือ 1) Critical Thinking & Problem Solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมี วิจารญาณและทักษะในการแก้ปัญหา) 2) Creativity & Innovation (ทักษะการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม) 3) Cross – Cultural Understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์) 4) Collaboration, Teamwork & Leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การท�ำงานเป็นทีมและภาวะผู้น�ำ 5) Communications, Information & Media Literacy (ทกั ษะด้านการสอ่ื สาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันส่อื ) 6) Computing & ICT Literacy (ทักษะดา้ น คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) และ 7) Career & Learning Skills (ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้) (วิจารณ์ พานิช, 2555) การจัดการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 จึงต้องเป็นการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพของคน เพราะคนเป็นปัจจัยหลักในการพัฒนา สังคมและประเทศชาติ นอกจากนี้ สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum : WEF) ซ่ึงเป็นองค์กร ไมแ่ สวงหาผลกำ� ไร กอ่ ตั้งขึ้นเม่อื ปี ค.ศ. 1971 (เดมิ ช่อื สภายโุ รป เปล่ียนเปน็ สภาเศรษฐกจิ โลก เม่อื ปี พ.ศ. 2530) โดยเคลาส์ มาร์ติน ชวับ (Klaus Martin Schwab) มกี ารจดั ประชุมทุกปที ีเ่ มอื ง ดาวอส ประเทศสวติ เซอร์แลนด์ ได้รายงานผลการสังเคราะหท์ ักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ทีส่ ำ� คัญไว้ 3 ดา้ น คอื ดา้ นความรพู้ น้ื ฐาน (Foundational Literacies) ประกอบดว้ ย 1) การอา่ นออกเขยี นได้ (Literacy) 2) ความรู้ความสามารถทางคณิตศาสตร์ (Numeracy) 3) ความรู้ความสามารถ ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy) 4) ความรู้ความสามารถทางเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร (ICT Literacy) 5) ความรู้เก่ียวกับการเงิน (Financial Literacy) และ 6) ความรู้ เก่ียวกบั วฒั นธรรมและความเป็นพลเมอื งท่ีดี (Cultural and Civic Literacy) ด้านความสามารถ (Competencies) ประกอบด้วย 1) ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) และแก้ปัญหา (Problem Solving) 2) ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ (Creativity) 3) ความสามารถในการส่ือสาร (Communication) 4) ความสามารถในการท�ำงานร่วมกัน (Collaboration) และด้านคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ (Character Qualities) ประกอบด้วย 1) ความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity) 2) ความริเร่ิม (Initiative) 3) ความมุ่งมั่น อดทน (Persistence Grit) 4) การปรบั ตวั (Adaptability) 5) ภาวะผนู้ ำ� (Leadership) และ 6) การตระหนกั รู้ ทางสังคมและวัฒนธรรม (Social and Cultural Awareness) อาจกล่าวโดยสรุปเก่ียวกับการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ได้ว่าเป็นการจัดการเรียนรู้ เพ่ือเตรียมนักเรียนให้มีความพร้อมท้ังความรู้พ้ืนฐาน ทักษะและความสามารถที่จ�ำเป็นต้องมี วารสารวิชาการ 23

ในปจั จบุ นั และอนาคต และพฒั นาใหเ้ กดิ คณุ ลกั ษณะทพี่ งึ ประสงคท์ พี่ รอ้ มจะเผชญิ การเปลยี่ นแปลง ทีร่ วดเรว็ รุนแรง พลิกผนั และคาดไม่ถึง คณิตศาสตร์มีบทบาทส�ำคัญย่ิงต่อความส�ำเร็จในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจาก คณิตศาสตร์ช่วยให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล คิดเป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และสามารถน�ำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมี ประสิทธิภาพ นอกจากนี้ คณิตศาสตร์ยังเป็นเคร่ืองมือในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ อันเป็นรากฐานในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติให้มีคุณภาพและพัฒนา เศรษฐกิจของประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติ การศึกษาคณิตศาสตร์จึงจ�ำเป็นต้องมีการพัฒนา อย่างต่อเนอ่ื ง เพื่อใหท้ ันสมยั และสอดคลอ้ งกบั สภาพเศรษฐกิจ สังคม และความรูท้ างวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) แนวทางการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 จ�ำเป็นต้องค�ำนึงถึง เป้าหมาย แนวทาง และวิธีการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนานักเรียนให้บรรลุเป้าหมายตามที่ก�ำหนดไว้ได้ และจะต้อง พิจารณาว่า คนในสังคมควรมีคุณลักษณะอย่างไรจึงจะด�ำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ จากการสะทอ้ นสภาพการเปล่ยี นแปลงของสังคมปจั จบุ ันและอนาคตหรือสังคมแห่งศตวรรษที่ 21 ทมี่ งุ่ พัฒนาคุณลกั ษณะของนกั เรียนที่สำ� คัญ 3 ดา้ น คือ ด้านความรู้ ด้านทกั ษะและความสามารถ ตา่ ง ๆ และดา้ นคุณลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ การจัดการเรียนร้คู ณติ ศาสตร์จึงเป็นการสง่ เสรมิ พฒั นา นกั เรยี นแบบองคร์ วม เนน้ การบรู ณาการและการเชอ่ื มโยงความรู้ เปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นไดใ้ ชค้ วามรู้ ทักษะและความสามารถต่าง ๆ ในการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดแก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์ ผ่านการใช้เทคโนโลยี มีการส่ือสารและร่วมมือกัน ซึ่งทักษะเหล่าน้ีจะเป็นพ้ืนฐาน ในการเรยี นรู้และการด�ำเนนิ ชีวติ ของนักเรียนในอนาคต การเรียนการสอนคณิตศาสตร์แต่เดิมท่ีเคยเน้นทักษะการคิดค�ำนวณพ้ืนฐานไม่เพียงพอ สำ� หรบั การเรยี นรทู้ กั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 การพฒั นานกั เรยี นแบบองคร์ วมและเนน้ การบรู ณาการ จะเน้นสอนทักษะการคิดค�ำนวณพ้ืนฐานน้อยลง โดยเพ่ิมการสอนให้นักเรียนคิดอย่างยืดหยุ่น ตามเหตุการณ์หรือสถานการณ์มากข้ึน พัฒนาให้นักเรียนมีความสามารถในการผสมผสานและ ประยุกต์ความรู้ ทักษะและการด�ำเนินการทางคณิตศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพ หรืออาจกล่าวว่า พัฒนานักเรียนให้มี ศักยภาพทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Power) นักเรียนจะได้ฝึกคิด วเิ คราะหแ์ ละแก้ปญั หา และฝึกการประยกุ ต์แนวคดิ ไปใช้แก้ปญั หา ดังนัน้ การสอนคณิตศาสตร์ให้ บรรลเุ ปา้ หมายขา้ งตน้ จำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารปรบั เปลย่ี นแนวทางและพฒั นาวธิ กี ารในการจดั การเรยี นรู้ ผูเ้ ขยี นขอเสนอ 12 ข้อคิดเกยี่ วกบั การจดั การเรียนรู้คณติ ศาสตร์ในศตวรรษท่ี 21 ดงั น้ี 24 วารสารวิชาการ

1. ก�ำหนดเปา้ หมายท่ีต้องการใหเ้ กิดข้ึนในตัวนักเรยี น ก่อนด�ำเนินการสอนแต่ละบทเรียน ผู้สอนจะต้องออกแบบการจัดการเรียนรู้ในแต่ละ เน้ือหาที่สอนก�ำหนดเป้าหมายท่ีตอ้ งการใหเ้ กดิ ขน้ึ ในตวั นักเรยี นใหค้ รอบคลุมท้ัง 3 ดา้ น ใหช้ ัดเจน คือ ด้านความรู้ ด้านทักษะและความสามารถต่าง ๆ ท่ีต้องการพัฒนา และด้านคุณลักษณะ ทพ่ี งึ ประสงค์ จะปรากฏในส่วนที่เรียกว่า จุดประสงค์การเรียนรู้ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ กรอบและแนวทาง ในการจดั การเรียนรู้ รวมท้ังแนวทางในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ในการสอนแต่ละคร้ัง อาจจะไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเกิดทักษะและความสามารถ หรือคุณลักษณะใดบ้าง แต่เมื่อ นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมครบเนื้อหาที่สอนแล้ว ก็ควรจะระบุได้ว่าพัฒนาทักษะ ความสามารถและ คุณลักษณะใดบา้ ง แค่ไหน อย่างไร 2. ใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี นรทู้ ี่หลากหลาย การเรียนรู้อาจเกิดจากผู้สอนน�ำเสนอความรู้ให้แก่นักเรียน หรืออาจเกิดจากผู้สอนจัด สถานการณ์ให้นกั เรียนปฏิบัติกิจกรรมแล้วเกิดการเรียนรู้ หรืออาจเกดิ จากนกั เรียนเกิดปัญหาหรอื ขอ้ สงสยั แลว้ คน้ หาคำ� ตอบ การเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 จะเนน้ ใหน้ กั เรยี นปฏบิ ตั กิ จิ กรรมการเรยี นรู้ ท่จี ะทำ� ให้เกดิ การเรยี นรู้ตามท่กี ำ� หนดไว้ โดยผสู้ อนจะทำ� หนา้ ท่ีอำ� นวยความสะดวก (Facilitator) จะเลือกวิธีใดหรือรูปแบบใดย่อมข้ึนอยู่กับเป้าหมายที่ต้องการให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ซ่ึงแต่ละ รูปแบบก็จะมีเทคนิค วิธีการที่แตกต่างกัน การจัดการเรียนรู้ที่ใช้เพียงรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งอาจ ไม่สามารถพัฒนานักเรียนให้ครอบคลุมเป้าหมายท้ัง 3 ด้านได้ จ�ำเป็นต้องใช้หลากหลายวิธี ผสมผสานกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ดีท่ีสุด ที่เรียกว่า ใช้การบูรณาการ ซ่ึงอาจเป็นการบูรณาการ รปู แบบ เทคนคิ วธิ ีการในการจดั การเรยี นร ู้ และประเด็นส�ำคัญอีกประการหนึ่งในการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ก็คือ การใช้ เหตุการณ์หรือสถานการณ์ในชีวิตจริงมาเป็นสื่อในการพัฒนา เช่น จากสถานการณ์ที่มีการระบาด ของเชื้อไวรัสโคโรนา (Coronavirus) สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ COVID-19 ผู้สอนอาจใช้ การรายงานสถานการณ์จำ� นวน ผตู้ ดิ เช้อื รายใหม่ การรักษาหาย การเสยี ชวี ติ และจำ� นวนผ้ตู ดิ เช้ือ สะสมท่ีน�ำเสนอในรูปกราฟในแต่ละวันมาใช้สอนในเนื้อหาที่เก่ียวข้อง เช่น เรื่องสถิติและ การน�ำเสนอข้อมูล นักเรียนจะได้เข้าใจสาระที่น�ำเสนอ ตลอดจนได้รับความรู้ในการปฏิบัติตัว ในสถานการณ์การแพร่กระจายของเช้ือโรค ซ่ึงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ อาจจัดเป็นแบบท้ังชั้น (Whole-Class Instruction) หรือจัดกลุ่มย่อยท�ำงานร่วมกัน (Group Work) หรือจับคู่สนทนา (Think Pair Share) และควรมีเวลาใหน้ ักเรยี นไดท้ ำ� งานอสิ ระเปน็ รายบคุ คลดว้ ยอย่างเหมาะสม วารสารวิชาการ 25

3. ใหน้ ักเรยี นได้อธิบายแนวคิดอยา่ งมีเหตมุ ผี ล การให้นักเรียนตอบอย่างรวดเร็วและค�ำตอบถูกต้อง (คิดเลขเร็ว) ไม่ได้เป็นการยืนยันว่า นักเรียนมีศักยภาพทางคณิตศาสตร์ ระหว่างการเรียนการสอนควรมีการกระตุ้นด้วยค�ำถามให้ นักเรียนได้คิดและอธิบายแนวคิดของตนเองออกมา เช่น ถามว่า “ท�ำไมคิดเช่นนั้น” “ที่เป็น อยา่ งนน้ั เพราะเหตใุ ด” “ทำ� ไมสง่ิ นน้ั มคี วามหมาย” “สง่ิ นนั้ มคี วามหมายวา่ อยา่ งไร” “จะเชอ่ื ไดไ้ หม หรือแสดงการพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างไร” “มีวิธีแตกต่างกันเก่ียวกับการแก้ปัญหาหรือไม่” “มีคำ� อธบิ ายนอกเหนือจากนหี้ รือไม”่ การตอบคำ� ถามเหล่านี้ นกั เรียนจะไดอ้ ธบิ ายเหตผุ ลออกมา เปน็ ภาษาของตนเอง การถามใหน้ กั เรยี นอธบิ ายแนวคดิ เปน็ การกระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นไดค้ ดิ หาเหตผุ ล ประกอบสิ่งที่คิด แล้วจัดระบบและเรียบเรียงแนวคิดอธิบายออกมา จะท�ำให้นักเรียนมีโอกาส พัฒนาแนวคิด เกิดการเชื่อมโยง ประสานและขยายความรู้ความเข้าใจ การถามด้วยค�ำถาม ดังกล่าวจะท�ำให้นักเรียนเคยชินกับการถูกถามที่ต้องอธิบายความคิด และสิ่งส�ำคัญที่เป็นผล ตามมากค็ อื เมอื่ นักเรียนตอบค�ำถามและสามารถอธิบายเหตุผลของการคิดไดถ้ ูกตอ้ ง จะทำ� ใหเ้ กดิ ความเชอื่ ม่ันในการคดิ และการเรยี นรขู้ องตนเอง 4. ใหก้ ารเขยี นเป็นส่วนส�ำคัญของการเรยี นคณิตศาสตร์ William Zinsser (1993) กล่าวว่า “การเขียนเป็นวิธีการสื่อสารให้รู้ว่า เรามีความคิด เก่ียวกบั สิ่งหนง่ึ อย่างไร แล้วเขียนอธบิ ายแนวคดิ น้ันออกมาเป็นถอ้ ยคำ� ของเรา” (Writing is how we think our way into a subject and make it our own.) การเรยี นคณติ ศาสตรท์ นี่ กั เรยี นไดม้ โี อกาสฝกึ เขยี นอธบิ าย จะทำ� ใหเ้ ขาไดท้ บทวนความคดิ และจัดระบบความคิดที่จะสะท้อนความคิดเหล่านั้นออกมาโดยการเขียนเป็นถ้อยค�ำของตนเอง และการเขยี นของนกั เรยี นยงั เปน็ แนวทางทใ่ี ชส้ ำ� หรบั การวดั ผลทสี่ ะทอ้ นถงึ แนวคดิ และความเขา้ ใจ ของนักเรียน การเขียนในการเรียนคณิตศาสตร์เป็นการขยายผลจากสิ่งท่ีนักเรียนพูดและอภิปราย ร่วมกันในกลุ่ม ก่อนท่ีนักเรียนจะเขียนส่ิงท่ีเรียนรู้ ควรมีการก�ำหนดประเด็นของแนวคิดก่อน แล้วเรียบเรียงสรุปออกมา ในตอนเริ่มต้นอาจต้องอาศัยการแนะน�ำถึงแนวการเขียนก่อน เช่น “ฉนั คิดว่าค�ำตอบ คอื ... ” หรอื “ฉนั คดิ เช่นน้นั เพราะ ... ” เปน็ ตน้ 5. สนับสนุนใหน้ ักเรยี นได้พูดกับคนอ่นื ในขณะเรยี นในชนั้ เรยี น การใหน้ กั เรยี นทำ� งานเงยี บ ๆ คนเดยี วเปน็ การจำ� กดั โอกาสของการเรยี นรู้ การมปี ฏสิ มั พนั ธก์ นั ของนักเรียนเป็นโอกาสท่ีจะได้พูดเก่ียวกับแนวคิด รับฟังแนวคิดของคนอ่ืน ให้ข้อมูลย้อนกลับ เกยี่ วกบั การคดิ เปน็ การสนบั สนนุ ใหน้ กั เรยี นไดส้ นทนากนั และทำ� งานรว่ มกบั คนอนื่ ในการแกป้ ญั หา 26 วารสารวิชาการ

ท�ำให้แนวคิดทางคณิตศาสตร์มีความหมาย และที่ส�ำคัญ นักเรียนสามารถเรียนรู้จากคนอื่นได้ พอ ๆ กับเรียนรจู้ ากครู การสือ่ สารโดยการพดู ออกมาจึงเปน็ ส่งิ สำ� คญั ในการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร ์ 6. ใช้กิจกรรมทางคณิตศาสตร์แทรกในเน้ือหาอ่ืนหรือวิชาอ่ืน ท่ีเกี่ยวขอ้ ง การนำ� กจิ กรรมทางคณติ ศาสตรไ์ ปแทรกในการเรยี นเนอื้ หาอน่ื หรอื เชอื่ มโยงกบั รายวชิ าอนื่ หรือเช่ือมโยงกับสถานการณ์ต่าง ๆ จะท�ำให้นักเรียนคุ้นเคยและเห็นว่า กิจกรรมในชีวิตจริง ล้วนเก่ียวข้องกับคณิตศาสตร์ทั้งสิ้น เริ่มต้ังแต่ต่ืนนอน ท�ำกิจกรรมประจ�ำวัน จนกระท่ังเข้านอน การนำ� คณติ ศาสตรไ์ ปเกยี่ วขอ้ งดงั กลา่ วจะกระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นเกดิ ความสนใจ และการจดั การเรยี นรู้ คณติ ศาสตรใ์ นสภาพท่ีสอดคล้องกบั ชวี ิตจริง จะท�ำให้นกั เรียนเหน็ ความสำ� คญั ของคณิตศาสตร์ 7. จัดหาเคร่ืองมือและส่ือรูปธรรมให้นักเรียนได้ใช้โดยสะดวก ในการเรยี นรู้ การคิดค�ำนวณท่ีซับซ้อนอาจเป็นภาระและน่าเบื่อส�ำหรับนักเรียน ควรเปิดโอกาสให้ นักเรียนได้เลือกใช้เครื่องมือในการค�ำนวณอย่างเหมาะสม เช่น ใช้เคร่ืองค�ำนวณ หรือโปรแกรม ส�ำเร็จรูปต่าง ๆ ช่วยในการค�ำนวณที่ซับซ้อน ความเร็วหรือความถูกต้องจากการค�ำนวณ ไม่ใช่เป้าหมายหลักของการเรียนรู้ เป็นเพียงข้ันตอนหนึ่งในกระบวนการหาค�ำตอบเท่าน้ัน และเคร่ืองค�ำนวณก็ไม่สามารถมาแทนการคิดของนักเรียนได้ ส�ำหรับสื่อรูปธรรมจะเหมาะสม กับบางสถานการณ์ที่ต้องการให้นักเรียนเกิดความเข้าใจได้ง่าย การใช้สื่อเป็นการเตรียมสภาพ ทเี่ ปน็ รูปธรรมสำ� หรับท�ำความเขา้ ใจแนวคดิ ทางคณิตศาสตรท์ ี่เป็นนามธรรมให้งา่ ยขน้ึ และจะเปน็ ประสบการณ์ของนักเรยี นในการได้มาซง่ึ แนวคดิ ทางคณติ ศาสตร์ 8. ด�ำเนินการใหเ้ หน็ ความงามของคณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์เป็นศาสตร์ท่ีเกี่ยวข้องกับการคิด ผลจากการคิดเชิงคณิตศาสตร์จะท�ำให้เกิด ข้อค้นพบใหม่หรือความรู้ใหม่ ที่สามารถอธิบายได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลและตรวจสอบได้ ข้อค้นพบใหม่หรือความรู้ใหม่ถือว่าเป็นความงามเชิงความคิดและเชิงการค้นพบ และความงาม อีกลักษณะหนึ่ง คือ เราสามารถใช้แบบจ�ำลองทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะน้ัน เพื่อให้นักเรียนได้เห็นความงามของคณิตศาสตร์ ผู้สอน ควรจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้ฝึกทักษะต่าง ๆ ที่จะก่อให้เกิดการค้นพบความรู้ใหม่ หรือใช้ คณิตศาสตร์ในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน การค้นพบดังกล่าวจะส่งผลให้นักเรียนได้เห็นความงาม วารสารวชิ าการ 27

เห็นประโยชน์และคุณค่าของคณิตศาสตร์ ซ่ึงส่งผลต่อเจตคติท่ีดีต่อคณิตศาสตร์และต่อการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ หลังจากเรียนรู้แนวคิดและข้อเท็จจริงทางคณิตศาสตร์แล้ว ควรให้โอกาสนักเรียน ไดฝ้ ึกใช้แนวคดิ เหลา่ น้นั กจิ กรรมฝึกใช้แนวคิดทางคณติ ศาสตร์อาจให้มกี ารเชื่อมโยงกบั การเรียนรู้ รายวิชาอื่น ๆ เช่น น�ำไปเชื่อมโยงกับวิชาศิลปะ จะท�ำให้นักเรียนได้พัฒนาผลการเรียนรู้และ จินตนาการเพื่อน�ำไปสู่ความงามทางคณิตศาสตร์อีกลักษณะหนึ่ง เป็นการเปิดโอกาสนักเรียน ได้พัฒนางานและแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ซ่ึงสามารถพัฒนาได้ทั้งทางตรงโดยการสอนหรือ ฝึกอบรม และทางอ้อมโดยการจัดบรรยากาศ สร้างสภาพแวดล้อมท่ีส่งเสริมความเป็นอิสระ ในการเรียนรู้ และต้องพัฒนาอย่างต่อเน่ือง การค้นพบหรือความส�ำเร็จของงาน จะท�ำให้บทเรียน มคี วามหมาย สนกุ กับการคดิ ค้น เกิดความภาคภูมใิ จในสง่ิ ทท่ี ำ� 9. เลือกใชก้ ิจกรรมที่เหมาะสมกับความสนใจและประสบการณ์ของ นักเรยี น สาระความรู้ต่าง ๆ ที่ก�ำหนดในหลักสูตรเป็นเน้ือหาที่นักเรียนทุกคนจะต้องเรียนรู ้ ส�ำหรับนักเรียนท่ีมีความสนใจ มีความถนัดหรือมีความสามารถพิเศษเฉพาะทาง ควรได้รับ การสนับสนุนและพัฒนาให้เกิดการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ หากนักเรียนได้รับการสนับสนุนและ สง่ เสริมใหไ้ ดเ้ รียนรู้จากกิจกรรมที่เขาถนัดหรือสนใจ จะทำ� ใหเ้ ขาท่มุ เทใหก้ บั การท�ำกจิ กรรมนั้น ๆ จนเกิดความส�ำเร็จ เมื่อประสบความส�ำเร็จเขาก็จะเกิดความภูมิใจในความสามารถของตนเอง เกิดความอยากเรียนอยากรู้ ใฝ่เรียนรู้ และเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การเสนอกิจกรรมใด ๆ จ�ำเปน็ ตอ้ งค�ำนงึ ถึงพน้ื ฐานความรู้ วุฒิภาวะและประสบการณข์ องนกั เรยี นเปน็ สำ� คญั 10. ความมานะ พยายามจะท�ำให้การเรียนรู้คณิตศาสตร์ประสบ ความส�ำเรจ็ การจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียน เราไม่สามารถคาดหวังได้ว่านักเรียนทุกคนจะเรียนรู้ สาระความรู้ได้ในเวลาเท่า ๆ กันจากบทเรียนที่ก�ำหนด แม้ว่าครูจะพยายามให้นักเรียนทุกคน ประสบความส�ำเร็จในการเรียนบทเรียนน้ัน ๆ อันเน่ืองมาจากความแตกต่างระหว่างบุคคล การเรียนรู้คณิตศาสตร์เป็นเป้าหมายระยะยาว กล่าวคือ ต้องค่อยเป็นค่อยไป เน้ือหาคณิตศาสตร์ จะมีความต่อเนื่องและสัมพันธ์เช่ือมโยงกัน นักเรียนต้องไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ ต้องมีความหวังและ อยากเรียนรู้คณิตศาสตร์ การเรียนในช้ันเรียนจึงต้องมีการให้แรงเสริมในการเรียนรู้อยู่เสมอ หากพบข้อบกพร่องหรือผิดพลาด ก็ต้องท�ำความเข้าใจกับนักเรียนว่า ความผิดพลาดเป็นโอกาส ท่ีจะได้เรียนรู้ส่ิงที่เรายังไม่รู้ ไม่เข้าใจ อีกท้ังต้องสนับสนุนให้นักเรียนพยายามที่จะเรียนรู้ 28 วารสารวิชาการ

โดยปราศจากการกลัวความล้มเหลว ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้สอนที่จะต้องแสวงหาแนวทาง ในการกระตนุ้ สง่ เสริมใหน้ กั เรียนเกดิ ความสนใจ อยากเรยี นรู้ มคี วามมุ่งมน่ั มานะ อตุ สาหะและ มีความเพียรพยายาม จะช่วยให้นักเรียนประสบความส�ำเร็จ ในสิ่งท่ีผู้สอนวางแผนหรือก�ำหนด เปา้ หมายไว้ 11. คณติ ศาสตร์ ไมใ่ ชเ่ ร่อื งทมี่ คี ำ� ตอบเฉพาะหรอื มเี พียงคำ� ตอบเดยี ว การคิดเก่ียวกับคณิตศาสตร์ไม่ได้มีเพียงช่องทางเดียว จะต้องสนับสนุนให้นักเรียนได้คิด วิธีที่แตกต่างกัน เม่ือได้ค�ำตอบแล้ว ควรถามนักเรียนว่า ใครมีแนวคิดแตกต่างกันจากนี้หรือไม่ เป็นการสนับสนุนให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งไม่ใช่แค่รู้ว่านักเรียนแต่ละคน คิดอย่างไร แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้สื่อสารแนวคิดและค้นหาแนวคิดท่ีแตกต่างกัน มากกวา่ 1 แนวคดิ หรือมากกว่า 1 คำ� ตอบ ในแตล่ ะปญั หาหรอื แตล่ ะสถานการณ์ และยงั เปน็ การ สง่ เสรมิ ให้เกิดการคิดสร้างสรรค์อกี ด้วย 12. ควรให้ผลการเรียนรู้เป็นตัวผลักดันหลักสูตร มากกว่าจะให้ หลกั สูตรเปน็ ตวั ผลกั ดนั นกั เรยี น แต่เดิมมักจะก�ำหนดว่าหลักสูตรคณิตศาสตร์ต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้เน้ือหาสาระ ใดบ้างจึงจะเกิดประโยชน์ ในทางกลับกัน ควรมองกลับว่า ควรน�ำความรู้ ความสามารถและ ประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนในการด�ำเนินชีวิตในศตวรรษท่ี 21 มาเป็นสาระ ที่น�ำไปบรรจุในหลักสูตรการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนสามารถน�ำความรู้ ทักษะ ความสามารถและประสบการณท์ ไ่ี ดร้ บั จากการเรยี นรไู้ ปใชไ้ ดจ้ รงิ ในการดำ� เนนิ ชวี ติ เปน็ การมองกลบั จากท่ีเคยปฏิบัติมาก่อน แนวทางนี้จะท�ำให้ได้ผลการพัฒนานักเรียนตรงตามความต้องการ ท่แี ทจ้ รงิ ข้อคิดท้งั 12 ประการขา้ งตน้ สะท้อนใหเ้ ห็นวา่ การจัดการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ เพอ่ื พัฒนา นักเรียนในศตวรรษที่ 21 จ�ำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับ สถานการณป์ จั จบุ นั ซงึ่ จะตอ้ งใชร้ ปู แบบการเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลาย กจิ กรรมการเรยี นรตู้ อ้ งเหมาะสม กับนักเรียน ใช้สถานการณ์ที่สอดคล้องหรือสัมพันธ์กับชีวิตจริง โดยจัดแทรกเข้าไปกับเรียน การเรียนการสอนปกติ บางครั้งอาจต้องใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่าง สะดวก และผลลัพธ์ (Outcomes) ท่ีต้องการให้เกิดข้ึนในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ คือ ต้องการ ให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีศักยภาพทางคณิตศาสตร์ที่สามารถผสมผสานและประยุกต์ ความรู้ ทักษะ และการด�ำเนินการทางคณิตศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เขียนหวังว่าข้อคิด วารสารวิชาการ 29

12 ประการ น้ีจะเป็นข้อมูลและแนวทางให้ครูผู้สอนได้น�ำเอาไปประกอบการพิจารณาวางแผน การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เพ่ือพัฒนาคุณภาพของนักเรียนตามเป้าหมายของหลักสูตรและ การพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนตอ่ ไป เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2542). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542. กรุงเทพฯ: บริษัทสยามสปอร์ต ซนิ ดเิ คท จ�ำกดั (มหาชน). กระทรวงศึกษาธิการ. (2542). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 (ฉบับท่ี 2). กรุงเทพฯ: บริษทั สยามสปอรต์ ซินดเิ คท จ�ำกัด (มหาชน). กระทรวงศึกษาธิการ. (2542). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 (ฉบับที่ 3). กรุงเทพฯ: บรษิ ทั สยามสปอร์ตซนิ ดิเคท จำ� กัด (มหาชน). กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร: ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตร. กระทรวงศึกษาธิการ. (2562). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562. สืบค้น 20 มถิ นุ ายน 2563, จาก http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/A/057/T_0049.PDF เดช บุญประจักษ์, ปรีชา จ่ันกล้า, นฤนาท จั่นกล้า. (2560). การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เพื่อพัฒนาความสามารถ ในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ส�ำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 13(2), 1-14. เดช บุญประจักษ์. (2559). การพัฒนาการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ ส�ำหรับนักศึกษา เอกคณิตศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พระนคร. วารสารมหาวิทยาลัยราชภฏั มหาสารคาม, 12(2), 25-32. วิจารณ์ พานิช. (2555). วถิ สี รา้ งการเรียนรู้เพ่ือศิษย์ในศตวรรษที่ 21 (พมิ พค์ ร้งั ท่ี 3). กรุงเทพฯ : มลู นธิ ิศร-ี สฤษด์ิวงศ์ ฝา่ ยโรงพิมพ์ บรษิ ทั ตถาตา พบั ลเิ คชัน่ จำ� กดั . สมเดช บุญประจักษ์. (2540). การพัฒนาศักยภาพทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ การเรียนแบบร่วมมอื . (วทิ ยานพิ นธ์มหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ ประสานมิตร. Boaler, J. (2016). Mathematical Mindsets: Unleashing Students’ Potential through Creative Math, Inspiring Messages, and Innovative Teaching. San Francisco: John Wiley and Sons, Inc. Fernando M. Reimers and Connie K. Chung. (2016). Teaching and Learning for the Twenty-First Century. Education Goals, Policies, and Curricula from Six Nations. Massachusetts: Harvard Education Press. William Zinsser. (1993). Writing to Learn: How to Write - and Think - Clearly about any Subject at All (ebook). Published April 28th 2013 by Harper Paperbacks. 30 วารสารวิชาการ

การพัฒนาหลกั สูตร องิ อตั ลกั ษณน์ กั เรยี น ผ่านชมุ ชนแหง่ การเรยี นรทู้ างวชิ าชพี ในโรงเรยี นราชนิ ีบน ดร.พิรุณ ศิรศิ ักดิ์ โรงเรยี นราชนิ ีบน การก�ำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นคุณภาพขั้นต่�ำส�ำหรับนักเรียนทุกคนในประเทศไทย ตามกรอบแนวทางหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 อาจท�ำให้ คุณลักษณะเฉพาะของแต่ละสถานศึกษาถูกละเลยไป ส�ำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมิน คุณภาพการศึกษา (องคก์ ารมหาชน) หรือ สมศ. จึงกำ� หนดใหอ้ ตั ลักษณน์ กั เรยี นเปน็ องค์ประกอบ ของการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม (พ.ศ. 2554-2558) เพื่อให้สถานศึกษาได้ทบทวน ปรชั ญาของการจัดตั้งสถานศึกษา กำ� หนดเปน็ อตั ลกั ษณ์นกั เรยี น และพฒั นานกั เรยี นให้บรรลุตาม อตั ลักษณ์อนั เปน็ คุณลกั ษณะเฉพาะโดดเดน่ ของแตล่ ะสถานศกึ ษา (ชาญณรงค์ พรร่งุ โรจน์, 2557) เป็นโอกาสให้โรงเรียนราชินีบน เริ่มยกระดับหลักสูตรสถานศึกษาให้เป็นหลักสูตรอิงอัตลักษณ์ นักเรียน เพ่ือสืบสานและต่อยอดพระปณิธานในสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ผู้พระราชทานก�ำเนิดโรงเรียนเมื่อพุทธศักราช 2472 โดยโรงเรียน ก�ำหนดให้ “กุลสตรีราชินีบน” เป็นวิสัยทัศน์ของหลักสูตรสถานศึกษา พุทธศักราช 2552 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2556) แบง่ เป็น 4 สาระ ไดแ้ ก่ กลุ สตรที ี่งามพรอ้ ม กลุ สตรแี มศ่ รีเรอื น กลุ สตรี ที่รสู้ ากล และกุลสตรที ่ีมงุ่ ม่ันพฒั นาตนเอง แตล่ ะสาระการเรียนร้มู มี าตรฐานและตัวชีว้ ัดท่ีนำ� ไปใช้ พัฒนาและประเมินผลร่วมกับตัวชี้วัดของหลักสูตรแกนกลางฯ ซึ่งผลการประเมินคุณภาพ ภายนอกรอบสาม ระบุว่า กระบวนการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่ส่งเสริมอัตลักษณ์ กุลสตรีราชินบี นถอื เป็นนวัตกรรมการปฏบิ ัตทิ ่ีดี (Good Practice) ผลการประเมนิ หลกั สตู รสถานศกึ ษา ในปกี ารศกึ ษา 2558 พบวา่ นกั เรยี นทกุ คนมอี ตั ลกั ษณ์ กลุ สตรีราชินบี นในระดับดีข้นึ ไป สาระท่ี 3 กลุ สตรที ร่ี ู้สากลต้องปรับให้ครอบคลุมทักษะการเรียนรู้ ในศตวรรษท่ี 21 และควรบูรณาการตัวชี้วัดอัตลักษณ์นักเรียนสู่แผนการจัดการเรียนรู้และการวัด ประเมินผล เพ่ือให้ครบองค์ประกอบของหลักสูตรจึงจะถือว่าเป็นหลักสูตรอิงอัตลักษณ์นักเรียน อย่างสมบูรณ์ นับเป็นงานใหม่ท่ีครูต้องร่วมมือรวมพลังความคิดและปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ ในขณะที่ ผลการประเมนิ หลกั สตู รสถานศกึ ษา พบวา่ การนเิ ทศไมส่ ง่ เสรมิ ใหค้ รเู กดิ แรงจงู ใจจากภายในตน และการร่วมมือรวมพลังกันแก้ปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน ด้วยเหตุนี้ วารสารวชิ าการ 31

โรงเรียนจงึ น�ำการพัฒนาบทเรียนร่วมกนั ซ่งึ เปน็ แนวทางการพฒั นาวชิ าชีพครทู ่สี ง่ เสริมให้ครูและ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมมือกันแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ผ่านการสืบสอบสะท้อน ผลการปฏิบตั ิงาน สอดคล้องกบั หลกั การพัฒนาวชิ าชพี แบบชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้ทางวชิ าชีพ คอื การสร้างค่านิยมและบรรทัดฐานร่วมกัน การมีเป้าหมายร่วมกันคือการเรียนรู้ของนักเรียน การรว่ มมอื รวมพลงั การเปดิ รบั การชแี้ นะ และการสนทนาทม่ี งุ่ สะทอ้ นผลการปฏบิ ตั งิ าน ดว้ ยเหตนุ ี้ โรงเรียนจึงน�ำแนวทางดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรอิงอัตลักษณ์นักเรียน ทดแทน การนิเทศ โดยบูรณาการเข้าสู่กระบวนการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรอิงอัตลักษณ์นักเรียน ซง่ึ ด�ำเนนิ งานเปน็ 3 ข้นั ตอน ดงั นี้ หลักสูตรอิงอัตลักษณ์นักเรียนพัฒนาข้ึนให้สอดคล้องกับบริบททางสังคม เศรษฐกิจ ส่ิงแวดล้อมและวัฒนธรรมท่ีเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเน่ือง ผ่านกระบวนการวิจัยและ พฒั นาหลักสตู รองิ อัตลักษณน์ กั เรยี น ซงึ่ มลี ักษณะเปน็ วงจรการท�ำงาน 3 ขั้นตอน ดังนี้ ข้ันที่ 1 การสร้างหลักสูตร เป็นการจัดท�ำเอกสารหลักสูตรให้มีองค์ประกอบ ครบถ้วน คือ จุดมุ่งหมาย โครงสร้างหลักสูตร แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการประเมิน การเรียนรู้และแนวทางการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ เพ่ือเป็นกรอบแนวทางการสร้าง หลกั สูตรระดบั รายวชิ าและกจิ กรรม โดยมีขนั้ ตอน ดังน้ี 1.1 การศึกษาข้อมูลพ้ืนฐาน เป็นการรวบรวมและจัดกระท�ำข้อมูล สารสนเทศ 5 ด้าน ดังนี้ 1.1.1 ปรชั ญาการจดั ตง้ั โรงเรยี น เปน็ การศกึ ษาขอ้ มลู ทางประวตั ศิ าสตร์ ของโรงเรียนเพ่ือก�ำหนดแกนอัตลักษณ์ท่ีสะท้อนคุณค่าด้ังเดิมของโรงเรียน แนวคิดทางธุรกิจ ระบุวา่ เป็นคุณลักษณะท่เี ดน่ ชดั ที่สุด สะท้อนใหเ้ หน็ วธิ กี ารและคุณค่าขององคก์ ร 1.1.2 การบรหิ ารหลกั สตู รและงานวชิ าการ เปน็ การประเมนิ หลักสูตร ด้านปัจจัยน�ำเข้า โดยพิจารณาคุณภาพและปริมาณของครู เอกสารหลักสูตร ส่ืออุปกรณ์ และแหล่งเรียนรู้ งบประมาณ ฯลฯ และด้านกระบวนการ โดยการพิจารณาคุณภาพการจัด การเรียนรู้ การนิเทศ การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน การประเมินผลการเรียนรู้การพัฒนา บุคลากร ฯลฯ 1.1.3 คุณภาพนักเรียน เป็นการประเมินคุณภาพผลผลิตของหลักสูตร 2 ระดบั คอื (1) ระดบั สถานศกึ ษา เพอื่ ตดั สนิ วา่ คณุ ภาพนกั เรยี นบรรลตุ ามจดุ มงุ่ หมายของหลกั สตู ร หรือไม่ ทั้งในด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน อัตลักษณ์นักเรียน ฯลฯ และ (2) ระดับประเทศ เพื่อตัดสินคุณภาพนักเรียนของโรงเรียนว่าอยู่ในระดับใดเมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานของประเทศ เชน่ การวเิ คราะหผ์ ลการทดสอบ O-NET 32 วารสารวิชาการ

วารสารวิชาการ ขัน้ ท่ี 1 การสร้างหลกั สูตร กลุ สตรีราชินบี นในศตวรรษที่ 21 ข้ันท่ี 2 การนำหลักสูตรไปใช้ ข้นั ท่ี 3 การประเมินหลกั สตู ร (4 สาระ 14 มาตรฐาน 69 ตัวชวี้ ัด) 1.1 การศกึ ษาขอ้ มูลพน้ื ฐาน สาระท่ี 1 กุลสตรีทง่ี ามพรอ้ ม 2.1 การบริหารหลักสูตรและงานวิชาการ 3.1 การประเมินระหว่างการใช้หลกั สูตร (รายปี) 1.1.1 ปรัชญาและจดุ มุ่งหมายในการจัดตั้ง สาระท่ี 2 กลุ สตรีแม่ศรเี รอื น 2.1.1 การจัดตารางสอนและจัดครูเข้าสอน 3.1.1 ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนตามหลกั สูตร สาระที่ 3 กลุ สตรีที่รู้สากล 2.1.2 การเตรียมความพร้อมและพัฒนาครู 3.1.2 อัตลักษณ์นกั เรียน โรงเรียน สาระท่ี 4 กลุ สตรีท่มี ุ่งมั่นพฒั นาตนเอง 2.1.3 การบริหารสอื่ อปุ กรณ์ เทคโนโลยี 3.1.3 ผลการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ 1.1.2 การบริหารหลกั สูตรและงานวชิ าการ เอกสารประกอบหลักสตู ร 2 ฉบับ 1.1.3 คณุ ภาพนักเรียน - บนั ทึกการพฒั นาคุณภาพการจดั การ และแหล่งเรยี นรู้ 3.2 การประเมินผลสรุปการใช้หลักสูตร 1.1.4 ความคาดหวังของผูม้ สี ว่ นได้สว่ นเสีย เรียนรู้ (สำหรับครู) (ทกุ 3 ปีการศึกษา) 1.1.5 แนวโน้มและบริบทการเปลยี่ นแปลง - บันทกึ การพฒั นาอตั ลกั ษณน์ ักเรียน 2.2 วงจรการพัฒนาคุณภาพการจดั การเรียนรู้ (สำหรบั นกั เรียน) 2.2.1 การจดั การเรียนรูเ้ ชิงรุก 3.2.1 บริบท: ความเหมาะสมขององค์ประกอบ ของโลก 1) ข้ันวางแผนการจดั การเรียนรู้เชงิ รกุ ของหลักสตู รตามบริบทการเปล่ยี นแปลงของโลก 1.2 การกำหนดกรอบหลักสูตร 2) ข้ันจัดการเรียนรู้เชิงรกุ 3) ขั้นบันทึกหลงั การจัดการเรียนรู้ 3.2.2 ปัจจัยนำเข้า: คณุ ภาพนักเรียน 1.2.1 จุดมุ่งหมายของหลกั สูตร คุณภาพครู ความคาดหวังของผู้มสี ่วนไดส้ ่วนเสีย 1.2.2 โครงสรา้ งหลกั สูตร 2.2.2 Lesson Study-Professional ส่อื และเทคโนโลยเี พ่อื การเรียนรู้ ฯลฯ 1.2.3 แนวทางการจัดการเรียนรู้ Learning Community (LS-PLC) 1.2.4 แนวทางการประเมินการเรียนรู้ 3.2.3 กระบวนการ: คุณภาพการจัดการเรียนรู้ 1.2.5 แนวทางการพฒั นาคณุ ภาพการจัด 1) ขั้นวเิ คราะห์และวางแผน ประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลในการบริหาร การเรยี นรู้ 2) ขั้นสังเกต จดั การหลกั สูตรและงานวิชาการ 1.3 การสร้างหลักสูตรระดับรายวิชา/กจิ กรรม 3) ขัน้ สะท้อนผลและปรับปรุงแผน 1.3.1 ประมวลรายวิชา/ประมวลกจิ กรรม 3.2.4 ผลผลิต: ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นตาม 1.3.2 หนว่ ยการเรยี นร้แู บบยอ้ นกลบั หลักสูตร อัตลักษณ์นกั เรียน และผลการทดสอบ ระดับชาติ 1.4 การยกร่างเอกสารหลกั สูตร 1.4.1 การตรวจสอบโดยผเู้ ช่ียวชาญ 2.2.3 การวจิ ยั เชิงปฏบิ ัติการในช้ันเรยี น 1.4.2 การปรับปรุงแก้ไขเอกสารหลกั สูตร 1) การแกป้ ญั หาด้านการเรยี นรู้ด้วย 1.4.3 การประกาศใชห้ ลกั สตู ร นวัตกรรม 2) การพัฒนานวัตกรรมด้านการเรียนรู้ เพอ่ื แก้ปัญหา นำผลการประเมินมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรฉบับต่อไป นำผลการประเมนิ มาใช้ปรับปรุงแกไ้ ขระหว่างการใชห้ ลกั สูตร ภาพ กภราะพบวกนระกบาวรนวกจิ ายั รแวจิลัยะแพลัฒะพนฒั าหนาลหักลสกั ตู สรูตอรงิอองิ อตั ตั ลลักกั ษษณน์ กั เเรรียียนน 33

1.1.4 ความคาดหวงั ของผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี เปน็ การสำ� รวจความคาดหวงั ของด้านการจัดการศึกษาและคุณภาพนักเรียน รวบรวมข้อมูลโดยการสอบถามและสัมภาษณ์ ผู้แทนผปู้ กครอง นกั เรยี นเกา่ ชมุ ชน ฯลฯ และวเิ คราะหข์ ้อมลู ดว้ ยสถิติและการวิเคราะห์เนอ้ื หา 1.1.5 แนวโน้มและบริบทการเปลี่ยนแปลงของโลก เป็นการทบทวน เอกสารเกี่ยวกับบริบททางสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมทั้งในระดับประเทศและ ระดับโลก เพื่อก�ำหนดจุดม่งุ หมายและทิศทางการจดั การศกึ ษาของโรงเรียนใหส้ อดคล้องกบั บริบท ของโลกทเี่ ปล่ียนแปลงไป 1.2 การก�ำหนดกรอบหลักสูตร เป็นการสังเคราะห์องค์ประกอบของ หลกั สูตรดังนี้ 1.2.1 จุดมุ่งหมายของหลักสูตร คือ วิสัยทัศน์ท่ีสะท้อนอัตลักษณ์ นักเรียน ถือเป็นหัวใจส�ำคัญของหลักสูตรประกอบด้วย สาระ มาตรฐานและตัวชี้วัดอัตลักษณ์ นักเรยี นทชี่ ัดเจนเปน็ รูปธรรม ดงั น้ี หลักสูตรกุลสตรีราชินีบนมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนานักเรียนให้มี อัตลักษณ์ กุลสตรีราชินีบนในศตวรรษที่ 21 (Neoclassical Thai Lady) คือกุลสตรีไทย ท่ีมุ่งม่ันพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพและคุณลักษณะสากลเพ่ือการด�ำรงอยู่อย่างยั่งยืน ในโลกแหง่ การเปลย่ี นแปลง ประกอบดว้ ย 4 สาระ 14 มาตรฐาน 38 กลุม่ ตัวชว้ี ดั และ 69 ตัวช้ีวัดต่อระดับการศกึ ษา ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปนี้ (1) สาระ คือ เนื้อหาและประสบการณ์เรียนรู้ท่ีประกอบข้ึนเป็นอัตลักษณ์นักเรียน ครอบคลมุ ความรู้ ทักษะ คุณลกั ษณะและคา่ นิยมท่ีนักเรียนควรเรียนรู้ 4 สาระ ดงั นี้ สาระที่ 1 กุลสตรีที่งามพร้อม คือ เนื้อหาและประสบการณ์เรียนรู้เกี่ยวกับสุขภาพ อนามยั การพัฒนาคณุ ค่าท่ีพึงประสงค์ การฝึกปฏบิ ตั ขิ ดั เกลากริ ยิ ามารยาทและการเข้าสงั คม สาระที่ 2 กลุ สตรแี ม่ศรีเรอื น คือ เนอ้ื หาและประสบการณเ์ รียนรูเ้ กีย่ วกับการอนรุ ักษ์ คุณค่าของกุลสตรีไทยในด้านวิถีชีวิตพอเพียง ศิลปวัฒนธรรมและการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตรยิ ์ สาระที่ 3 กุลสตรีท่ีรู้สากล คือ เน้ือหาและประสบการณ์เรียนรู้เก่ียวกับการพัฒนา ศักยภาพและคุณลักษณะท่ีจ�ำเป็นต่อการศึกษา การประกอบอาชีพและการด�ำรงชีวิตอย่างรู้ เท่าทนั สงั คมโลก สาระที่ 4 กลุ สตรที ีม่ งุ่ ม่นั พฒั นาตนเอง คือ เนอื้ หาและประสบการณเ์ รียนรู้ท่ีสง่ เสรมิ ให้นักเรียนส�ำรวจ ค้นหาจนค้นพบ และมีวินัยในการพัฒนาความถนัดและความสนใจของตนเองต่อ เน่ืองจนเกิดศกั ยภาพท่จี �ำเป็นในโลกของการศึกษาและการทำ� งาน 34 วารสารวชิ าการ

(2) มาตรฐาน เป็นคุณภาพนักเรียนตามองค์ประกอบของแต่ละสาระครอบคลุม ความรู้ ทักษะ คุณลักษณะและค่านิยมที่ต้องการให้เกิดข้ึนกับนักเรียนทุกคนเมื่อจบหลักสูตรดังตัวอย่าง สาระท่ี 3 กุลสตรที รี่ ้สู ากล ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน ดังน้ี มาตรฐาน 3.1 การรู้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT Literacy): การใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างมีวิจารณญาณ เพ่ือแสวงหาความรู้ ติดต่อสื่อสาร เรียนรู้ และตดั สินใจไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและมปี ระสิทธภิ าพ มาตรฐาน 3.2 การรู้ภาษาต่างประเทศ (Foreign Language Literacy): การใช้ ภาษาต่างประเทศเพ่อื การตดิ ตอ่ สอ่ื สารในโลกของการศึกษา การทำ� งานและการดำ� รงชวี ิต มาตรฐาน 3.3 การรู้ส่ิงแวดล้อม (Environmental Literacy): การปฏิบัติตนและ ร่วมกับผู้อ่ืนด�ำเนินการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน รวมถึงดูแลรักษาป้องกันแก้ไขปัญหา สิง่ แวดล้อม มาตรฐาน 3.4 การรู้สุขภาพ (Health Literacy): การมีวิจารณญาณในการบริโภค ออกก�ำลังกายและเล่นกีฬา ดูแลป้องกันตนเองและสังคมให้ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ รวมถึง หลีกเล่ียงอบายมขุ และพฤติกรรมเสย่ี ง เพอ่ื สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ สขุ ภาวะทย่ี ัง่ ยนื ท้งั ตอ่ ตนเองและผู้อน่ื (3) ตัวช้ีวัดอัตลักษณ์นักเรียน เป็นความรู้ ทักษะ คุณลักษณะและค่านิยมที่ต้องการให้เกิด ขึ้นกับนักเรียนแต่ละระดับการศึกษาตามมาตรฐาน โดยจัดเป็นกลุ่มตัวชี้วัดที่ประกอบด้วยตัวช้ีวัดท่ีมี ลักษณะเฉพาะเจาะจง ชดั เจนเป็นรูปธรรม และมีรหัสตัวชีว้ ดั กำ� กบั ไว้ เพื่อน�ำไปบรู ณาการเข้าสหู่ น่วย การเรียนรู้แบบย้อนกลับ แผนการจัดการเรียนรู้รายชั่วโมง และใช้เป็นกรอบแนวทางการประเมิน อัตลักษณ์นักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังตัวอย่าง กลุ่มตัวช้ีวัดและตัวชี้วัดอัตลักษณ์ของ มาตรฐาน 3.4 การรูส้ ุขภาพ ซ่ึงมีรหัสตัวชว้ี ดั ทีม่ คี วามหมายดงั ตาราง กลมุ่ ตวั ช้ีวัดท่ี 1 วิจารณญาณในการบริโภค ตัวช้ีวัดระดับการศึกษาปฐมวัย ม3.4 ปฐ1.1 บริโภคอาหารที่เป็นประโยชน์และ หลีกเลยี่ งอาหารทเ่ี ปน็ โทษต่อรา่ งกาย ตามคำ� ช้แี นะของผปู้ กครองและครู ตัวชี้วดั ระดบั ประถมศกึ ษา ม3.4 ป1.1 เลือกบริโภคอาหารทมี่ ปี ระโยชนแ์ ละเหมาะสม กบั สขุ ภาพรา่ งกายของตนเอง และบอกเหตผุ ลได้ ตัวชี้วัดระดับมัธยมศึกษา ม3.4 ม1.1 อธิบายสภาพและปัญหาภาวะโภชนาการของ ตนเอง และเลือกบริโภคอาหารได้อย่างถกู ตอ้ งและเหมาะสมกบั ตนเอง ตาราง ตัวอยา่ งการก�ำหนดรหัสตัวชว้ี ัด ม3.4 ปฐ1.1, ม3.4 ป1.1 และ ม3.4 ม1.1 รหสั ความหมาย ม3.4 มาตรฐานของสาระท่ี 3 กุลสตรีทีร่ ู้สากล ลำ�ดบั ท่ี 4 การร้สู ขุ ภาพ ปฐ1.1 ตวั ชว้ี ัดระดับการศกึ ษาปฐมวัยของกล่มุ ตัวชวี้ ดั ที่ 1 วจิ ารณญาณในการบรโิ ภค เปน็ ตวั ช้ีวัดท่ี 1 ป1.1 ตัวชวี้ ัดระดับประถมศกึ ษาของกลุม่ ตวั ช้วี ัดที่ 1 วจิ ารณญาณในการบรโิ ภค เปน็ ตวั ชี้วัดที่ 1 ม1.1 ตัวชี้วัดระดบั มัธยมศึกษาของกลมุ่ ตัวช้วี ดั ท่ี 1 วจิ ารณญาณในการบรโิ ภค เป็นตวั ช้วี ัดที่ 1 วารสารวิชาการ 35

1.2.2 โครงสร้างหลักสูตร คือ สัดส่วนเวลาเรียนของกลุ่มสาระ การเรยี นรแู้ ละกจิ กรรมพฒั นานกั เรยี นในแตล่ ะระดบั ทกี่ ำ� หนดขนึ้ โดยคำ� นงึ ถงึ การบรรลจุ ดุ มงุ่ หมาย ของหลกั สูตร 1.2.3 แนวทางการจัดการเรียนรู้ คือ แนวคิด ทฤษฎี รูปแบบ วิธีการและเทคนิคการจัดการเรียนรู้ท่ีหลักสูตรก�ำหนดไว้ให้ส่งเสริมต่อการบรรลุจุดมุ่งหมายของ หลกั สตู ร 1.2.4 แนวทางการประเมนิ การเรียนรู้ คอื รูปแบบ วิธีการและเทคนิค การวดั ประเมนิ การเรยี นร้ทู ่หี ลกั สตู รก�ำหนดให้ใชใ้ นการตรวจสอบคุณภาพการเรยี นรขู้ องนกั เรียน 1.2.5 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ คือ วงจร การปฏบิ ัติงานครู 3 งานทส่ี ัมพนั ธ์กันคอื งานจัดการเรยี นรเู้ ชิงรุก งานพฒั นาบทเรียนรว่ มกนั และ งานวิจัยเชงิ ปฏบิ ตั ิการในชัน้ เรยี น 1.3 การสร้างหลักสูตรระดับรายวิชา/กิจกรรม เป็นการจัดท�ำเอกสาร หลักสูตรระดบั รายวชิ า/กิจกรรมมีองค์ประกอบ ดังนี้ 1.3.1 ประมวลรายวิชา/ประมวลกิจกรรม ตามโครงสร้างหลักสูตร เพ่ือใช้เป็นกรอบการวางแผนจัดการเรียนรู้และประเมินการเรียนรู้ ประกอบด้วย ข้อมูลเบื้องต้น ค�ำอธิบายรายวิชา/กิจกรรม รหัสตัวช้ีวัด ผลการเรียนรู้หรือจุดประสงค์การเรียนรู้ โครงสร้าง รายวชิ า/กจิ กรรม หนงั สอื เอกสารและแหลง่ เรียนรู้ รวมถงึ การวดั และประเมนิ การเรยี นรู ้ 1.3.2 หน่วยการเรียนรู้แบบย้อนกลับ คือ แผนการจัดการเรียนรู้ รายหน่วยที่บูรณาการตัวช้ีวัดอัตลักษณ์นักเรียนเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ โดยเริ่มต้นจากการ วเิ คราะห์ตัวช้วี ดั ผลการเรยี นรูห้ รือจุดประสงค์การเรยี นรู้ เพือ่ ออกแบบการประเมนิ ตามหลกั ฐาน การเรียนรู้แล้วจึงวางแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีเอื้อให้นักเรียนแสดงหลักฐานการเรียนรู้เพื่อ การประเมินไดอ้ ย่างครอบคลุม 1.4 การยกร่างเอกสารหลักสูตร เป็นการน�ำเสนอเอกสารหลักสูตร ทุกองค์ประกอบต่อคณะผู้เช่ียวชาญเพ่ือพิจารณารายละเอียดดังตาราง ปรับปรุงแก้ไขเอกสาร หลักสูตรตามข้อเสนอแนะ และน�ำเสนอคณะกรรมการบริหารโรงเรียน เพ่ืออนุมัติให้ประกาศใช้ หลักสตู รองิ อตั ลักษณน์ กั เรียน 36 วารสารวชิ าการ

ตาราง ประเด็นพิจารณาตรวจสอบร่างหลักสตู รอิงอตั ลกั ษณน์ ักเรียนโดยผเู้ ช่ียวชาญ กลุ่มผู้เช่ียวชาญ ประเดน็ พจิ ารณาตรวจสอบ (1) คณาจารยส์ าขาวชิ าหลกั สูตร (1) ความถูกตอ้ งตามแนวทางของหลักสตู รแกนกลางฯ และการสอน (2) ความสอดคลอ้ งกับบรบิ ทของสถานศกึ ษา ชุมชน/ท้องถ่ิน (2) นักวชิ าการศกึ ษา/ (3) ความสอดคล้องกบั แนวโนม้ การศึกษาระดบั ประเทศและ ศึกษานเิ ทศกใ์ นเขตพ้ืนท่ี ระดับโลก การศึกษา (4) ความสอดคลอ้ งกับบริบททางสังคม เศรษฐกจิ สงิ่ แวดล้อมและวัฒนธรรมท้ังในระดับประเทศและระดับโลก (5) ความสอดคลอ้ งระหว่างองคป์ ระกอบภายในหลกั สูตร (6) ความเหมาะสมของกระบวนการพฒั นาคณุ ภาพวิชาการ (3) คณาจารย์สาขาวิชาเฉพาะ (7) ความถูกต้องเชงิ เนอ้ื หา กระบวนการเรยี นรู้และ การประเมินผล (4) นักเรียนเก่า (8) ความถกู ต้องเชิงเน้ือหา กระบวนการเรยี นรแู้ ละ การประเมนิ ผลตามสาระ มาตรฐานและตัวชี้วัดอตั ลักษณ์ นกั เรียน ข้ันที่ 2 การนำ� หลกั สตู รไปใช้ เป็นการด�ำเนนิ งานทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั การน�ำหลกั สตู รไปใช้ ดังน ้ี 2.1 การบริหารหลักสูตรและงานวิชาการ ได้แก่ การจัดตารางสอนและจัดครู เข้าสอน การเตรียมความพร้อมและพัฒนาครูประจ�ำการ และการบริหารส่ือ อุปกรณ์ เทคโนโลยี และแหลง่ เรยี นรู้ 2.2 วงจรการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ เป็นวงจรการปฏิบัติงานครู 3 งานทสี่ มั พนั ธ์ตอ่ เน่ืองและส่งเสริมกัน ได้แก่ การจดั การเรียนรู้เชิงรกุ การพฒั นาบทเรียนร่วมกัน และการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการในช้นั เรยี น ดงั ภาพ วารสารวิชาการ 37

38 - การวางแผนการจัดการ LS-PLC - การแก้ปัญหาในชัน้ เรียน เรยี นรู้เชิงรกุ - การวเิ คราะหแ์ ละ ด้วยนวัตกรรมการเรยี นรู้ - การจัดการเรียนร้เู ชงิ รุก วางแผน - การพัฒนานวัตกรรมการ - บันทึกหลังการจัดการ - การสังเกต เรยี นร้เู พ่ือแกป้ ญั หาในช้นั เรยี นรู้เชิงรกุ - การสะทอนผลและ เรียน ปรับปรงุ แผน การเรียนรูเ้ ชิงรกุ การวจิ ยั เชิงปฏิบตั กิ าร ในชนั้ เรยี น ภาภพาพวงวจงจรรพพัฒัฒนนาาคคุณุณภภาาพพกากราจรัดจกดัารกเรายีรนเรรียู้ นรู้ กกาารรจจดััดกกา ากจรรัาเดรเรกรยีจาียัดนรนกเรราจรู้ทียราู้จเี่หนกร(ารลภยี1กู้จน)าักจากพรสงกาทู้าาแูตกก่ีหนรสารภลทจดรกากััดงท�ำ�ำพใสก ำหหตูาแL้เLรนรหสSSฯเด็นรด--PกียPขภงLำนนึ้LใาCหหรรCนู้ะเดซ้เชดงหังึ่งซิงาขเน็นรนปึ่ง้นึ ุก้ีภใเ็นหปดาภเมังปร็นาน่ท็นะรภี้ ี่คกะงาางราารูรตนนอะ้อใอหหงงกไนามดแึ่งน้่รทบขับหบ่ีคอกนงวราแาูต่ึงรงนข้อพแวอผงัฒทไนงานดบแงา้รกูรนใับาณหวรก้มาพทกีสาัฒาารมรงพนรตกราัฒัวถคาชนนุณรี้วะพาัภดกใัอฒาาหพัตร้มนีสาคมุรณรภถานพะ ลัก ษณ ์นักเรียนเข้าส2ู่ก.2าร.1จัดกาารรเจรียัดนกราู้เชริงเรุกียในนราู้เชยวิงิชราุกแลเะปก็นิจกรารรมอพอัฒกนแาบนบักเวราียงนแนผำนบูรณาการ ตนัวำ� แชผ้ีวนัดฯอ ัตหแทไลปผนา นังกจึ่งวฯจษัดิชน กไณาปเารชจ์นริ่มีพัดเัมก(รก2ีปเเียาป)รรรนีย็นะงเรราเงนยีดูจ้นา2นเ็นนนข.Lร2คใเ้าู้Sหส.ำจ2ส-มถนรPู่กา่ทจ็LเLสมาี่Cทeสรแรsดิ้นจ็ลหsจแสะoรัดทแ้นิ มอืnนลกกีปแกะาาSรลารบระtะรพuสเบนันรัฒdบันทิเียกทyทนึกนา-ศึกาPรหรบหณเrู้ลเมลทoช์เังืงั่อเfพิงรกกeคีียยราsารนรุงกsรูจพจiรใจัoดัด่อวนดักnกมรคากาaกรารรlานัเเูจยรรรLผะวีียยเe่ารเนินชรนaยี ริ่รมาrชนูู้้เnทแุมชรiำลิงnชู้ ระนgLุกSกแเC-ปหิจPo่็งนกLmกรCราะรmรโยดมเะรuยพเียวกnนัฒลาiรtารนyู้ า(LนSัก-PเรLียCน) หรอื การพรฒั วมนกาลบมุ่ ทLเรSยี-PนLรCว่ มปรกะนั กผอา่บนดช้วยมุ ชครนู แ(Mหoง่ dกeารl เTรeยี aนcรhทู้ eาr)งวเปชิ ็นาผชวู้ พี างแเปผน็ กงานรจใัดหกมาท่ รเท่ี รดียนแรทู้ นการนเิ ทศ เมื่อครูจัดรก่วามรกเัรบียคนู่สรอู้เนชิง(รBุกuเdปd็นyร)ะมยีบะทเบวาลทาเหปน็ เึ่งพจื่อนนเร่วม่ิ มมคปี ิดรใะหเ้ขด้อน็ เสคนำ� อถแานมะแเชลิงะบมวปี กรแะลสะบสกลาับรณเ์ พยี งพอ กคแราลจูระะจสเัดรลมก่ิ ับทาบหกPบรำ� Lำทัว เทลรCLหบบีัยงSนาแใาน-จท้าลPทกแรเะLปกลู้รเชC็ปน่คุ่ม่วี้แรคสม็นโนูรดาแกะคูดรยลแับะร้วกะนกูยดผาวาคเ้วรู้รชทรู่สร่ยว่นเารวมอเกงียมชเกันนรนก่นาียรลรโกน(ู้หคปมุ่Bัรนร้ชฏู้uือL(ิบ(CผdโSCัตูค้เo-dชoิงP-้ชี่ยlาayLeนวc)Caชh(อrCาม)nยปญ่oีบeาเรปงมraทะ)ม็นีบกcบีปอผทอhาูา้บรบบจะ)ทราเดสิหปทเเวิ้ปทา็ปนเยปรธ็นค็นม็ินภรเคีบผทพาูภรทพู้ี่บปาื่อู บย(รรนMพใาึกิหนรทษี่เoห่าวลเาปdรรมี้ทยอื็นมeคงาตผlีงบิด่า(ู้วดTMงทใิชำกหeเาบeลนa้ขกnุ่มาินcา้อtสทรoกhเาแเาrสeร)ปลรนะrะเ)็นกLอปใาSผเห็แนรป-ู้้ดนน็ �ำะผเเวู้นชาินิงงบแกผวานกร LS-PLC แเรลียะนชร้ีแู้ หนระือแผนู้ปวกทคารงอกงทารี่สปามฏาิบรัถตแิงลานกเอปยล่าียงนมเรีปียรนะรสู้ใิทนบธิภทเารพียนพน่ีเั้นล้ียๆงได(้Mเมeื่อnคtรoูเลrือ)กเป็นหัวหน้า กลุ่มสาระการเรียนรู้หรือผู้เชี่ยวชาญมีบทบาทเป็นที่ปรึกษาทางวิชาการและให้ก�ำลังใจแก่ครู และ ผู้ร่วมเรียนรู้ (Co-learner) อาจเป็นครูภายในหรือต่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ หรือผู้ปกครองที่ สามารถแลกเปล่ียนเรียนรู้ในบทเรียนนั้น ๆ ได้ เม่ือครูเลือกบทเรียนท่ียากต่อการจัดการเรียนรู้ หรอื การเรียนรูข้ องนกั เรยี นเพือ่ ทำ� LS-PLC ครจู ะก�ำหนดสมาชกิ กลุม่ LS-PLC ด้วยตนเอง จากนนั้ จึงลงบันทึกในตารางนัดหมายการท�ำ LS-PLC ท่ีฝ่ายวิชาการ โดยแต่ละกลุ่มลงเวลานัดหมาย 3 ครั้งตามขั้นตอนการท�ำ LS-PLC ท่ีประยุกต์แนวคิดของศาสตราจารย์มานาบุ ซาโต (2559) ใหเ้ ข้ากบั บรบิ ทด้านหลักสูตรและการจดั การเรียนร้ขู องโรงเรยี นราชินบี นตามล�ำดับ ดังนี้ 38 วารสารวิชาการ

1) ขั้นวเิ คราะห์และวางแผน (Analyze and Plan) เปน็ การวิเคราะห์ ตวั ชวี้ ดั ตามหลกั สตู รแกนกลางฯ ใหไ้ ดเ้ ปน็ จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมและสาระการเรยี นรู้ แลว้ จงึ กำ� หนด ตัวช้ีวัดอัตลักษณ์นักเรียนที่สอดคล้องกับธรรมชาติของสาระน้ี และบูรณาการเข้าสู่กระบวนการ เรียนรู้เชิงรุก 5 ขั้นตอน จากน้ันครูจะน�ำเสนอ (เล่า) แผนการจัดการเรียนรู้ให้คู่สอนฟัง เพื่อแลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ ซ่ึงกนั และกนั ก่อนท่ีจะเข้ากล่มุ LS-PLC เพ่ือรับฟงั ข้อเสนอแนะจาก กลุ่ม LS-PLC ในการปรบั ปรุงแผนกอ่ นนำ� ไปใชจ้ ัดการเรียนรู้ 2)ขนั้ สังเกต(Observe)เปน็ การจัดการเรยี นรตู้ ามแผนทป่ี รับปรงุ แล้ว โดยมีสมาชิกกล่มุ LS-PLC เขา้ สังเกตพฤติกรรมการเรยี นร้ขู องนกั เรยี นแบบไม่มสี ว่ นร่วม เพ่อื เกบ็ รวบรวมข้อมูลโดยการจดบนั ทึกและอุปกรณ์บันทึกภาพหรือภาพเคลอ่ื นไหวที่เหมาะสม 3) ขั้นสะท้อนผลและปรับปรุงแผน (Reflect and Redesign) เปน็ การสบื สอบสะท้อนความคิดร่วมกันของกลุ่ม LS-PLC โดยใช้ข้อมูลพฤติกรรมการเรียนรู้จาก การสังเกตเป็นส�ำคัญ โดยเริ่มจากครูสะท้อนปัญหาและส่ิงที่ได้เรียนรู้จากบทเรียนน้ี ตามด้วย สมาชิกกลุ่ม LS-PLC ร่วมกันสืบสอบหาสาเหตุและแนวทางการแก้ปัญหาด้านการเรียนรู้ของ นักเรียน โดยใช้ข้อมูลจากการสังเกตเป็นหลัก เพ่ือให้ครูได้ข้อคิดเชิงบวกที่สามารถน�ำไปปรับปรุง แผนการจดั การเรียนร้ใู หม้ คี ุณภาพได้ต่อไป 2.2.3 การวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียน เป็นงานตรวจสอบคุณภาพ รูปแบบ วิธีการหรือเทคนิคต่าง ๆ ท่ีครูเลือกใช้ในการปรับปรุงแผนจากการท�ำ LS-PLC ว่าช่วย แก้ปัญหาหรือยกระดับการเรียนรู้ของนักเรียนได้จริงหรือไม่ อย่างไร ซ่ึงอาจน�ำไปสู่การวิจัยและ พฒั นานวตั กรรมการเรียนรู้ตอ่ ไป ขนั้ ที่ 3 การประเมินหลักสูตร ด�ำเนินการ 2 ระยะ ดังนี้ 3.1 การประเมนิ ระหว่างการใช้หลักสูตร (รายปี) เป็นการประเมินเพือ่ ปรับปรุง แก้ไขและพัฒนาองค์ประกอบท่ีเกี่ยวข้องกับการน�ำหลักสูตรไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ ข้อมูลจากการวิเคราะห์ (1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามหลักสูตร (2) อัตลักษณ์นักเรียน และ (3) ผลของการพัฒนาคณุ ภาพการจัดการเรียนรู้ 3.2 การประเมนิ ผลสรุปการใชห้ ลกั สตู ร (ทกุ 3 ปกี ารศึกษา) เป็นการประเมิน เพื่อการตัดสินใจปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาหลักสูตรในรอบต่อไป หรือยกเลิกการใช้หลักสูตร ฉบับน้ัน ๆ โดยใช้ข้อมูลการประเมินแบบ CIPP Model (Stafflebeam et al., 1971) ได้แก่ (1) บริบท: ความเหมาะสมขององค์ประกอบของหลักสูตรตามบริบทการเปลี่ยนแปลงของโลก (2) ปัจจัยน�ำเข้า: คุณภาพนักเรียน คุณภาพครู ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สื่อและ เทคโนโลยีเพ่ือการเรียนรู้ ฯลฯ (3) กระบวนการ: คุณภาพการจัดการเรียนรู้ ประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลในการบริหารจัดการหลักสูตรและงานวิชาการ และ (4) ผลผลิต: ผลสัมฤทธ์ิทาง การเรียนตามหลักสูตร อัตลกั ษณ์นักเรียน และผลการทดสอบระดบั ชาติ วารสารวชิ าการ 39

กระบวนการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรอิงอัตลักษณ์นักเรียนถือเป็นนวัตกรรมด้านหลักสูตร ท่ีได้รับการเผยแพร่อย่างต่อเนื่องในระดับประเทศ กล่าวได้ว่าเป็นแบบอย่างของการพัฒนา นวตั กรรม 4 ด้าน ดงั น้ี 1. พัฒนาความเป็นตัวตน: การน�ำอัตลักษณ์นักเรียนบูรณาการเข้าสู่หลักสูตร สถานศึกษาส่งผลให้คุณภาพนักเรียนมีลักษณะเฉพาะท่ีโดดเด่นตามปรัชญาการจัดตั้งโรงเรียน และมีคุณลักษณะทีส่ อดคลอ้ งกบั บริบททเี่ ปลย่ี นแปลงไปทั้งในระดับประเทศและระดบั โลก 2. พัฒนาทั้งระบบ: กระบวนการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรอิงอัตลักษณ์นักเรียน มีองค์ประกอบครอบคลุมระบบหลักสูตรต้ังแต่ การสร้างหลักสูตร การน�ำหลักสูตรไปใช้และ การประเมินหลักสูตร โดยวงจรการพัฒนาแบ่งเป็น 2 ระดับคือ ระดับหลักสูตรพัฒนาด้วยวงจร การวิจัยและพัฒนา และระดับการจัดการเรียนรู้พัฒนาด้วยวงจรการพัฒนาคุณภาพการจัด การเรียนรู้ 3. พัฒนาจากภายใน: การพัฒนาบทเรียนร่วมกันเป็นกลไกของการพัฒนาคุณภาพ การศึกษาจากภายในโรงเรียน 2 มิติคือ การพัฒนาหลักสูตรบนฐานของโรงเรียน และการพัฒนา การจัดการเรยี นรู้จากแรงจงู ใจภายในตวั ครู 4. พัฒนาอยา่ งย่งั ยืน: อตั ลักษณ์นกั เรยี นทีส่ อดคล้องกับความต้องการจ�ำเป็นของผ้มู สี ่วน เก่ียวข้อง และถูกน�ำเข้าสูก่ ระบวนการวิจยั และพัฒนาหลกั สตู รและการจัดการเรยี นรอู้ ยา่ งตอ่ เนื่อง เป็นกระบวนการท่ีส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืน (Sustainability) ท้ังในด้านคุณภาพการศึกษาของ โรงเรยี น และดา้ นวถิ ีการเรยี นรเู้ พอ่ื การดำ� รงอยู่อย่างยัง่ ยนื ของนักเรียน เอกสารอ้างองิ ชาญณรงค์ พรรงุ่ โรจน.์ (2557). อตั ลกั ษณน์ ักเรียน เอกลักษณส์ ถานศึกษา. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักงานรบั รองมาตรฐาน และประเมนิ คณุ ภาพ (องค์การมหาชน). ซาโต มานาบุ. (2559). การปฏิรูปโรงเรียน แนวความคิด “ชุมชนแห่งการเรียนรู้” กับการน�ำทฤษฎีมาปฏิบัติจริง. นนทบุร:ี โรงพิมพภ์ าพพิมพ์. พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข. (2558). การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. Ornstein, A., & Hunkins, F. (2009). Curriculum: Foundations, Principles and Issues (5th Ed.) Boston: Pearson Education. Stufflebeam, Daniel L. (1971) .The Relevance of the CIPP Evaluation Model for Educational Accountability. Journal of Research and Development in Education. Retrieved June 23, 2012, from https://files. eric.ed.gov/fulltext/ED062385.pdf Tyler, R.W. (1949). Basic Principles of Curriculum and Instruction. Chicago: The University of Chicago Press. 40 วารสารวิชาการ

บทบาทและความส�ำคัญของ “เทคโนโลยี” ในสะเต็มศึกษาของประเทศไทย จากข้ันพ้ืนฐานสู่อดุ มศึกษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ สุทธิดา จำ� รสั มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ การสร้างนวัตกรรมเป็นวิสัยทัศน์ส�ำคัญของนโยบายทางเศรษฐกิจ “ประเทศไทย” 4.0 (Maesinsee, 2016) จะบรรลุวสิ ยั ทัศนน์ ี้ไดป้ ระเทศตอ้ งมคี วามแขง็ แกรง่ ในองคค์ วามรู้ โดยเฉพาะ องค์ความรู้ท้ังแนวคิดและวธิ ีปฏิบตั ใิ นวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตรแ์ ละคณติ ศาสตรท์ ่ี เชื่อมโยงสู่โอกาสและความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ เทคโนโลยีมีความสำ� คญั มาก ในฐานะ เครื่องมือที่จะต่อยอดเพ่ือสร้างสรรค์หรือแก้ปัญหา ที่ผ่านมาในอดีตประเทศไทยถูกมองว่าเป็น ประเทศที่มีการน�ำเข้าเทคโนโลยีเพื่อการผลิต ในสามทศวรรษที่ผ่านมา การส่งออกของประเทศ ล้วนแต่เป็นการรับจ้างผลิต โดยการน�ำเข้าเครื่องจักรหรือวิธีการผลิต ประเทศไทยได้ประโยชน์ จากรูปแบบเศรษฐกิจแบบนี้เป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างต่�ำ เม่ือเทคโนโลยีใหม่เข้ามา ภาคอุตสาหกรรม ก็ต้องปรับเปล่ียนรูปแบบของเคร่ืองจักรหรือวิธีการ ท�ำให้ต้องลงทุนน�ำเข้าค่อนข้างสูง การน�ำเข้า ยังเสี่ยงกับภาวการณ์ผันผวนของค่าเงิน ท่ีเป็นบทเรียนส�ำคัญจากวิกฤติต้มย�ำกุ้งในปี พ.ศ.2540 (ภาพท่ี 1 ในช่วงปี ค.ศ.1960-2018) เม่ือต้นทุนที่น�ำเข้าแพงข้ึนมากกว่าสองเท่า ซึ่งรวมถึงเงินกู้ จากต่างประเทศ ทำ� ให้หลายธรุ กจิ ต้องประสบกบั ภาวะลม้ ละลายและปิดตัวลงในช่วงเวลาดงั กลา่ ว รวมท้ังรายได้เฉล่ียของประชากรกล็ ดตำ่� ลงมากซึง่ แสดงใหเ้ ห็นภาวะถดถอยทางเศรษฐกจิ ภาพที่ 1 รายไดเ้ ฉลย่ี ตอ่ คนตอ่ ปหี รอื GDP per Capita (พนั เหรยี ญดอลลารส์ หรฐั ) ค.ศ.1960-2018 ท่ีมา : The World Bank (2019) วารสารวิชาการ 41

จากเหตุการณ์ครั้งน้ัน ประเทศไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมกับได้บทเรียน ว่าการสร้างนวัตกรรมด้วยเทคโนโลยีที่มีรากฐานเป็นของตนเองมีความส�ำคัญมาก เป็นภูมิคุ้มกัน จากปจั จยั ภายนอก และสรา้ งความแข็งแกร่งมัน่ คงจากภายใน ตวั T หรือ “เทคโนโลย”ี ในสะเต็ม ของบรบิ ทประเทศไทยจงึ มคี วามหมายมากทั้งทจี่ ะตอบโจทย์วสิ ยั ทศั น์ของประเทศและการพฒั นา คุณภาพชีวิตประชาชน แต่การเปลี่ยนแปลงมุมมองท่ีมีต่อเทคโนโลยีต้องอาศัยเวลา จากแต่เดิม ที่เทคโนโลยีถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้ในการท�ำงานต่าง ๆ ผ่านมุมมองของผู้ใช้ (User) ค่อย ๆ ถูกเปล่ียนมาเป็นผู้สร้าง (Developer) เทคโนโลยี หรือผู้ใช้เทคโนโลยีในการสร้างสรรค์ ส่ิงใหม่ ๆ เช่น นวตั กรรมหรอื แนวทางการแกป้ ัญหาต่าง ๆ การเปล่ียนแปลงท่ีเป็นรูปธรรมมากที่สุดเกิดขึ้นในวงการการศึกษา โดยเร่ิมจากระดับ การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เม่ือนโยบายการศึกษาของชาติได้เปลี่ยนมุมมองของเทคโนโลยี ในฐานะ เคร่อื งมือในการท�ำงาน ไปสูส่ าขาวิชา ในฐานะ “ศาสตร์” ซึง่ เน้นกระบวนการคิด วิชาทเ่ี ก่ยี วข้อง กับเทคโนโลยี รวมท้ังคอมพิวเตอร์แต่เดิมถูกจัดอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานอาชีพและ เทคโนโลยี มีการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นการใช้งานโปรแกรมส�ำเร็จรูป ในการท�ำงานเอกสาร และการสร้างส่ือต่าง ๆ จากการประกาศใช้ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) ท�ำให้สาระที่ 2 การออกแบบและเทคโนโลยี กบั สาระท่ี 3 เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สาร ในกลมุ่ สาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี ถกู ยบุ ย้าย และสร้างใหม่ ไปอยใู่ นกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ในสาระท่ี 4 ด4ัง4ภาพท่ี 2 สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ -มาตรฐาน ว 2.1 - ว 2.3 สาระท่ี 1 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ สาระท่ี 3 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ -มาตรฐาน ว 1.1 - ว 1.3 -มาตรฐาน ว 3.1 - ว 3.2 สาระที่ 4 เทคโนโลยี -มาตรฐาน ว 4.1 - ว 4.2 ภาพที่ 2 กล่มุ สาระภกาาพรกเรลียมุ่ นสารรู้วะทิกายราเรศียานสรตู้วทิรย์ (าฉศบาสบั ตปร์ รบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลกั สตู รแกนทม่ีกาลา: กงกระาทรรศวึกงศษกึ าษขาธน้ั ิกพารื้น(ฐ2า5น60พ) ุทธศกั ราช 2551 โดยมาตรฐานกทารีม่ เราียน: รกู้ กราะรทเปรลวย่ี งนศกกึ รษะบาวธนิกทาัศรน์ท(2ม่ี 5ีต6่อเ0ท)คโนโลยีของการศึกษา 42 ใผนูเ้ รปียรนะนเทานศาไทชายตสิ (อPดroคgลra้อmงกmับeนิยfoาrมIขnวอtาeงรวrสnิทาaยรtาวioศิชnาาaสกlตาSรรt์ uทdี่กeำnหtนAดsโsดeยsโsคmรeงnกtาร,ปPรISะAเม) ินซง่ึผล

โดยมาตรฐานการเรียนรู้ การเปล่ียนกระบวนทัศน์ที่มีต่อเทคโนโลยีของการศึกษาใน ประเทศไทย สอดคล้องกับนิยามของวิทยาศาสตร์ ที่ก�ำหนดโดยโครงการประเมินผลผู้เรียน นานาชาติ (Programme for International Student Assessment (PISA)) ซ่ึงเป็นโครงการ ที่ด�ำเนินการโดยองค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้ให้นิยามของ การรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Scientific literacy) ไว้อย่างน่าสนใจว่า หมายถึง “ความรู้วิทยาศาสตร์ และความรู้เทคโนโลยีที่มีวิทยาศาสตร์เป็นฐาน” ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่า วิทยาศาสตร์ ในโลกศตวรรษท่ี 21 จะขยายขอบเขตออกไปมากกวา่ วทิ ยาศาสตรใ์ นนยิ ามทกี่ ำ� หนดโดยกระบวนทศั น์ ของศตวรรษที่ 19-20 ซึ่งมุมมองปัจจุบันที่มีต่อเทคโนโลยีในฐานะศาสตร์จะเน้นให้ผู้เรียนเกิด กระบวนการคดิ อยา่ งเชน่ การเรยี นรวู้ ทิ ยาการคอมพวิ เตอรจ์ ะเนน้ การคดิ เชงิ คำ� นวณทปี่ ระกอบดว้ ย การแยกสว่ นประกอบและยอ่ ยปญั หา (Decomposition) การหารปู แบบ (Pattern Recognition) การคิดเชิงนามธรรม2 (Abstraction) และการออกแบบขั้นตอนวิธี (Algorithm) โดยทั้ง สอ่ี งคป์ ระกอบเปน็ สว่ นสำ� คญั ในการแกป้ ญั หาทซี่ บั ซอ้ น ใหก้ ลายเปน็ ปญั หายอ่ ย ๆ การหาสว่ นทซ่ี ำ�้ ๆ หรอื เหมอื นกนั ของปญั หาเพอ่ื หาความเหมอื นทง่ี า่ ยตอ่ การจดั การ ในสว่ นของปญั หาหรอื องคป์ ระกอบ ทส่ี ลบั ซบั ซอ้ นกซ็ อ่ นรายละเอยี ดและดงึ มาเฉพาะสว่ นทส่ี ำ� คญั เพอ่ื ใหง้ า่ ยตอ่ การจดั การ และสดุ ทา้ ย คือล�ำดับข้ันตอนวิธีในการแก้ปัญหา โดยทั้งส่ีองค์ประกอบของการคิดเชิงค�ำนวณอาจจะไม่ต้อง เรยี งล�ำดบั ก็ได้โดยองค์ประกอบสำ� คญั ของวทิ ยาการค�ำนวณประกอบด้วย วิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร (Information and Communication Technology (ICT)) รวมทั้ง การรู้เรื่องดจิ ทิ ลั (Digital Literacy) ดังภาพท่ี 3 ภาพที่ 3 องค์ประกอบของวิชาวิทยาการค�ำนวณ ทม่ี า : สร้างจาก Canva.com 2 ค�ำว่า Abstraction หรือ การคิดเชิง “นามธรรม” อาจจะยากต่อความเข้าใจ อธิบายเพ่ิมเติมได้ว่า หมายถึงการคิด ที่สกัดสง่ิ สำ� คัญออกมา โดยซ่อนรายละเอยี ดทไ่ี ม่จ�ำเป็นไว้ วารสารวิชาการ 43

ในส่วนของวิทยาการคอมพิวเตอร์ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เร่ืองโค้ดและระบบการเขียนโค้ด (Coding) หรือที่เรียกกันว่า “โค้ดดิ้ง” ซ่ึงเป็นค�ำท่ีถูกทับศัพท์และใช้กันมากในช่วงปี 2562 เน่อื งจากเปน็ นโยบายการศกึ ษาทสี่ ำ� คญั การเรียนโค้ดดิง้ ของผ้เู รยี นจะเริ่มตัง้ แต่ ป.1 โดยจะเรียนรู้ จากธรรมชาติและสิ่งรอบตัวก่อน ผู้เรียนจะได้ใช้เวลากับหนังสือหรือคอมพิวเตอร์ค่อนข้างน้อย หรือไมม่ ีเลยกไ็ ด้ การเขียนโปรแกรมจะเป็นสง่ิ ง่าย ๆ รอบตัว เช่น การเดนิ ไปซ้ือของ การออกแบบ ขนั้ ตอนการทำ� อาหารทไี่ มซ่ บั ซอ้ น กจิ กรรมเหลา่ นจี้ ะเรยี กวา่ Unplugged coding โดยผเู้ รยี นจะได้ เร่ิมใชค้ อมพวิ เตอรใ์ นชัน้ ป.4 ซ่ึงเปน็ การเขียนโปรแกรมง่าย ๆ โดยการลากบล็อกคำ� ส่งั มาตอ่ กนั Block-based programming ในแพลตฟอร์มออนไลน์ของประเทศไทย Codingthailand.org ท่ีมีความร่วมมือกับแพลตฟอร์มระดับนานาชาติอย่าง code.org หรือการเรียนรู้ด้วยการโค้ด ใหต้ วั ละครเดินตามคำ� ส่ังในโปรแกรม Scratch ดังภาพท่ี 4 ภาพท่ี 4 ตัวอยา่ งบทเรียนการโค้ดในบทเรียนสำ� หรบั ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ทีม่ า : Code.org (2019) ผ้เู รยี นจะไดเ้ รมิ่ เขียนโค้ดดว้ ยการใช้ภาษาตา่ ง ๆ อย่าง Python และ ภาษา C ในระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ในขน้ั นผี้ เู้ รยี นจะไดศ้ กึ ษาอปุ กรณต์ อ่ ขยายทชี่ ว่ ยในการทำ� งานตา่ ง ๆ สงิ่ เหลา่ นี้ จะเป็นพื้นฐานในการต่อยอดในการพัฒนาโครงงานดิจิทัลในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย การปูพื้นฐานเก่ียวกับการออกแบบเทคโนโลยีและการเรียนรู้เก่ียวกับวิทยาการค�ำนวณ ต้ังแต่ 44 วารสารวิชาการ

ประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เปรียบเสมือนการเตรียมความพร้อมของจ๊ิกซอว์ ท่ีจะเชื่อมต่อกับสะเต็มศึกษาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งน้ี ในมาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลัก ของเทคโนโลยีเพ่ือการด�ำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะ ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และศาสตร์อ่ืน ๆ เพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิด สร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยค�ำนึงถึง ผลกระทบต่อชีวติ สงั คม และส่งิ แวดลอ้ มและมาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคดิ เชงิ คำ� นวณใน การแกป้ ญั หาทพี่ บในชวี ติ จรงิ อยา่ งเปน็ ขนั้ ตอนและเปน็ ระบบใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สาร ในการเรียนรู้ การท�ำงาน รายการ แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพรู้เท่าทันและมีจริยธรรม (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2560) แนน่ อนวา่ การเดนิ ทางเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาเทคโนโลยีในฐานะศาสตร์ หนึ่งในสะเต็ม ผ่านกระบวนทัศน์ใหม่เพิ่งจะเร่ิมต้น แต่ก็เป็นการเร่ิมต้นที่ดี ซ่ึงมีตัวอย่างมาแล้ว จากประเทศดาวรุ่งในการประเมินผล PISA 2018 อย่าง “เอสโทเนีย” ท่ีริเร่ิมการสอนวิทยาการ คอมพิวเตอร์และโค้ดด้ิงเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา ด�ำเนินการโดย The Tiger Leap Foundation ในปี ค.ศ.1997 และโครงการ The Proge Tigerprogramme เปน็ ประเทศทผ่ี ลการประเมนิ ผเู้ รยี น อยู่ในระดับหน่ึงในห้าของโลกและเป็นอันดับหนึ่งของยุโรปในการประเมิน PISA 2018 (OECD, 2019) ผู้เขียนเห็นว่า การวางรากฐานกระบวนการคิดเชิงค�ำนวณอย่างเป็นระบบตั้งแต่ปฐมวัย มสี ่วนสำ� คญั อยา่ งมากต่อการต่อยอดการเรยี นรไู้ ปส่กู ระบวนการคดิ ขน้ั สงู อ่ืน ๆ ในระดับอุดมศึกษา การเรียนการสอนท่ีบูรณาการสะเต็มของประเทศไทยอาจจะ ยังไม่ชัดเจนนัก เพราะกระบวนวิชามีความเป็นสะเต็มอยู่แล้วในตัวเองซึ่งแยกสาขาวิชา เช่น คณะวิทยาศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ หรือเป็นสาขาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ เช่น คณะอุตสาหกรรมเกษตร เป็นต้น ปรากฎรายงานการวิจัยเก่ียวกับสะเต็มศึกษาท่ีด�ำเนินการ โดยมหาวิทยาลัยและสถาบันระดับอุดมศึกษา เป็นลักษณะในเชิงการบริการวิชาการและเป็น เครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาผู้เรียนและครูในระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน มีข้อเรียกร้อง ให้อุดมศึกษาปฏิรูปตนเองเพ่ือก้าวสู่โมเดลประเทศไทย 4.0 ที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีปัจจัยส�ำคัญต่าง ๆ ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและสังคม การเรียนการสอน ชุดความคิด ชุดทักษะ เทคโนโลยี เครือข่าย และความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและเอกชน (Buasuwan, 2018) แม้ว่ากรอบมาตรฐานคณุ วฒุ ิระดบั อดุ มศกึ ษาแห่งชาติ (Thai Qualifications Framework for Higher Education) ซึ่งเป็นกรอบท่ีแสดงระบบคุณวุฒิการศึกษา ระดับอุดมศึกษาของประเทศไทยจะก�ำหนดให้ส่วนหนึ่งของทักษะด้าน “เทคโนโลยี” เป็น 1 ใน 5 มาตรฐานผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามที่กรอบมาตรฐานคุณวุฒิกําหนดไว้ 5 ด้าน ได้แก่ (1) คุณธรรมจรยิ ธรรม (2) ความรู้ (3) ทกั ษะทางปญั ญา (4) ทกั ษะความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คลและ วารสารวิชาการ 45

ความรับผิดชอบ และ (5) ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การส่ือสาร และการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ แต่การด�ำเนินงานของแต่ละหลักสูตรนั้น กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา แห่งชาติได้เปิดกว้างให้สาขาวิชาสามารถนําไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับธรรมชาติของสาขาวิชา โดยเพ่ิมเติมทักษะและจุดเด่นของสาขาและสถาบันอุดมศึกษาได้อย่างอิสระ (Office of the Higher Education Commission, 2017, 2019) ดังน้ัน ในปัจจุบันจึงสามารถลงข้อสรุปได้ว่าในอุดมศึกษา บัณฑิตทุกคนที่ผ่านการศึกษา ในระดับปริญญาตรีทุกสาขา น่าจะมีมาตรฐานตามผลการเรียนรู้ท่ีก�ำหนดไว้ โดยทักษะ ด้านเทคโนโลยีจะเน้นไปที่ “เทคโนโลยีสารสนเทศ” ซึ่งหากเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีด้าน อินเทอรเ์ นต็ มือถอื (Mobile Internet Technology) ทป่ี ระเทศไทยกำ� ลังก้าวเข้าสู่ยุค 5G ก็ถือว่า เป็นการเตรียมความพร้อมของคนในการด�ำรงชีวิตยุคดิจิทัลในส่วนของเทคโนโลยีที่จะช่วยพัฒนา นวัตกรรมนั้นจะเป็นการลงลึกสู่ศาสตร์ของแต่ละสาขาวิชา ที่เป็นหน้าท่ีโดยตรงของคณาจารย์ ทจี่ ะพฒั นา บกุ เบกิ สรา้ งสรรคน์ วตั กรรมทจี่ ะตอบโจทยป์ ระเทศไทย 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (Royal Thai Government Gazette, 2017) แต่ทั้งนี้ การวิจัยในเชิงการพัฒนานวัตกรรมน้ัน หอ้ งวจิ ยั ในระดบั อดุ มศกึ ษาจำ� เปน็ ตอ้ งสรา้ งความรว่ มมอื กบั ภาคธรุ กจิ และอตุ สาหกรรมเพอ่ื ตอบโจทย์ การเปลยี่ นแปลงของโลก และความทา้ ทายใหม่ อยา่ งไรกต็ าม คณาจารยใ์ นมหาวทิ ยาลยั กต็ อ้ งไมล่ มื วา่ ผู้เรียนที่ผ่านระบบการศึกษาแบบใหม่จะเริ่มทยอยเข้าสู่ระดับอุดมศึกษา ภายในระยะเวลา ไม่เกิน 5 ปีจากน้ี หากนับจากการเริ่มใช้หลักสูตรวิทยาศาสตร์ฉบับใหม่ทั่วประเทศในปีการศึกษา 2561 และจะใช้ครบช้ันในปี 2563 น่ันหมายถึง ผลผลิตรุ่นแรกของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ใหม่ จะเขา้ สมู่ หาวิทยาลยั ในปกี ารศึกษา 2564 (รุ่นท่เี รียนหลักสูตรใหม่ ม.4-6) ในขณะทีผ่ ้เู รียนที่เรยี น หลักสูตรใหม่ตลอดแนวจะเข้าสู่ระดับอุดมศึกษาในปีการศึกษา 2573 ซึ่งผู้เรียนรุ่นนี้จะเป็นกลุ่ม ที่เรียนวิทยาการค�ำนวณตั้งแต่ ป.1-ม.6 และผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา ทเี่ นน้ เทคโนโลยที ปี่ รากฎอยใู่ นตวั ชว้ี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 หลายส่วนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มวิชาสะเต็มท่ีเน้น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์หรือไม่ก็ตาม การจัดการเรียนรู้ในระดับอุดมศึกษาจะต่อยอดต้นทุนนี้อย่างไร ซึ่งเปน็ โจทย์ทที่ า้ ทายทง้ั ในส่วนเนื้อหาวิชาและกระบวนการจัดการเรยี นรู้ รวมท้งั การใช้เทคโนโลยี เขา้ มาบรู ณาการในการเรยี นรสู้ ำ� หรับผู้เรียนในอนาคตกลุ่มนี้ 46 วารสารวชิ าการ

เอกสารอา้ งองิ กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร: ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตร. Buasuwan, P. (2018). Rethinking Thai Higher Education for Thailand 4.0. Asian Education and Development Studies, 7 (2), 157-173. Code.org. (2019). บทท่ี 8: วาดรปู ร่างต่าง ๆ ด้วยลปู . สืบคน้ 20 เมษายน 2563, จาก https://studio.code.org/ s/coursed-2019/stage/8/puzzle/6 Maesincee, S. (2016). Thailand 4.0 Thriving in the 21st Century through Security, Prosperity & Sustainability. Retrieved October 1, 2017, from http://intranet.ait.ac.th/news-and-events/2016/ news/thailand-4.0-english-dr.-suvit.pdf Organisation for Economic Co-operation and Development. (2019), PISA 2018 Assessment and Analytical Framework. Retrieved October, 1 2017, from https://doi.org/10.1787/b25efab8-en Office of the Higher Education Commission. (2017). Facts of Thai Qualifications Framework for Higher Education. Retrieved October,12017,from http://www.mua.go.th/users/ tqf-hed/news/FilesNews/ FilesNews2/Q&A.pdf?fbclid=IwAR07YOSKHvGhhRQkJdoh qgL6kA5-7BlYvYOueZMQRcAvkpwH_ rGqqrd5W9g Office of the Higher Education Commission. (2019). Thai Qualifications Framework for Higher Education. Retrieved October, 1 2017, from http://www.mua.go.th/users/tqf-hed/news/ news8.php#01 Royal Thai Government Gazette. (2017). Thailand’s 20-Year National Strategy (B.E.2561-2580). October, 1 2017, from http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2561/A/082/ T_0001.PDF The World Bank. (2019). GDP per capita (current US$)-Thailand. Retrieved October, 1 2017, from https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.PCAP.CD?end=2018&locations =TH&start=1960&view=chart วารสารวชิ าการ 47

บนเส้นทางของความภาคภมู ใิ จแหง่ การพัฒนา คณุ ภาพการเรยี นการสอนภาษาไทย : ศึกษานิเทศก์ผู้ส่งเสรมิ และ พัฒนาการเรยี นการสอน ภาษาไทย ประสบผลส�ำเรจ็ ประจำ� ปี 2562 ดร.ดวงใจ บุญยะภาส ส�ำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา “ภาษาไทยนั้นเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของชาติ ภาษาทั้งหลายเป็นเคร่ืองมือของมนุษย์ ชนิดหน่ึง คือ เป็นทางส�ำหรับแสดงความคิดเห็นอย่างหนึ่ง เป็นส่ิงสวยงามอย่างหนึ่ง เช่น ในทางวรรณคดี เป็นต้น ฉะน้ัน จึงจ�ำเป็นต้องรักษาเอาไว้ให้ดี ประเทศน้ันมีภาษาของเราเอง ซ่ึงตอ้ งหวงแหน... ....เราโชคดีที่มีภาษาของตนเองมาแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งท่ีจะรักษาไว้...” จากพระราชด�ำรัส พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในครั้งเสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงเป็นประธานและทรงอภิปรายเรื่อง “ปัญหา การใชค้ ำ� ไทย” รว่ มกบั ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ ในการประชมุ ทางวชิ าการของชมุ นมุ ภาษาไทย คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั (กระทรวงวฒั นธรรม, 2547) แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสำ� คญั ยง่ิ ของภาษาไทย ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นสมบัติทางวัฒนธรรม และเป็นส่ือแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษมาต้ังแต่อดีต และด้วยความส�ำคัญของภาษาไทยดงั กลา่ ว รฐั บาลไทยจงึ ประกาศใหว้ นั ท่ี 29 กรกฎาคม ของทกุ ปี เปน็ “วนั ภาษาไทยแหง่ ชาต”ิ ด้วยเหตุนี้ ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน โดยส�ำนักวิชาการและ มาตรฐานการศึกษา จึงได้จัดโครงการรักษ์ภาษาไทย เนื่องในสัปดาห์วันภาษาไทยแห่งชาติ อย่างต่อเน่ืองมาทุกปี โดยมีกิจกรรมส�ำคัญของโครงการ คอื การคดั เลอื กศกึ ษานเิ ทศกผ์ รู้ บั ผดิ ชอบ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ผู้ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนการสอนภาษาไทยประสบผลส�ำเร็จ จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ซ่ึงในปี พ.ศ. 2562 น้ี มีศึกษานิเทศก์ผู้รับผิดชอบสาระการเรยี นรภู้ าษาไทยทไี่ ดร้ บั คดั เลอื กใหร้ บั รางวลั จำ� นวน 5 รางวลั ไดแ้ ก่ ระดับยอดเยย่ี ม 1 รางวัล ระดบั ดเี ดน่ 2 รางวัล และระดับดี 2 รางวัล 48 วารสารวชิ าการ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook