Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 1 ชุดที่ 1

1 ชุดที่ 1

Published by dengwansri, 2020-09-27 03:37:03

Description: 1 ชุดที่ 1

Search

Read the Text Version

ชุดฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง การสรา้ งเครื่องมือวดั และประเมนิ ผล วิชาวิทยาศาสตร์ เล่มท่ี 1 แนวทางการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ b

เอกสาร ศน.ท่ี 46/2562 นางสาวนชุ จิรา แดงวนั สี สำนกั งานเขตพนื้ ที่การศกึ ษาประถมศึกษาสรุ าษฎรธ์ านี เขต 2 สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน

ก ชดุ ฝกึ อบรมด้วยตนเอง การสร้างเครอื่ งมือวัดและประเมินผล วชิ าวิทยาศาสตร์ คำนำ โดยธรรมชาติการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ จะเน้นผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ จรงิ ได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ คิดเปน็ เหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิด วิเคราะหว์ จิ ารณ์ ให้เกิดสามารถในการแก้ปญั หา การตัดสินใจ เกิดการเรียนรู้อยา่ งตอ่ เนือ่ ง นำความรู้ ไปใช้ให้เกดิ ประโยชน์ต่อการดำรงชวี ติ โดยยึดหลกั ทว่ี ่าผเู้ รียนทุกคนมคี วามสามารถเรยี นรู้และพัฒนา ตนเองได้เต็มตามศักยภาพ ซ่ึงผู้สอนต้องมีความรู้ความเข้าใจเนื้อหาวิชา ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ หลักสูตรสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ วิธีสอน (teaching method) กิจกรรมการเรียนรู้ (teaching and learning activity) ในวิชาวิทยาศาสตร์ ครูเป็นผู้ออกแบบการจัดการเรียนรู้ จัด ประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน ในชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง การสร้างเคร่ืองมือวัดและประเมินผล วิชา วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 2551 เป็น เอกสารให้ครดู ว้ ยตนเอง ชดุ ฝกึ อบรมมีทง้ั หมด 5 เลม่ ไดแ้ ก่ คู่มอื การใช้ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง การสร้างเครอ่ื งมือวดั และประเมินผล วชิ าวิทยาศาสตร์ เล่มที่ 1 แนวทางการจัดการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เลม่ ที่ 2 ความรพู้ ื้นฐานเกีย่ วกบั การวัดและประเมนิ ผล เลม่ ท่ี 3 การสรา้ งขอ้ สอบแบบเลือกตอบ เล่มที่ 4 การสรา้ งขอ้ สอบแบบเขียนตอบ เล่มท่ี 5 การหาคุณภาพของเครือ่ งมอื วัดและประเมินผล เอกสารเล่มนี้ เปน็ เอกสารเล่มท่ี 1 ผจู้ ัดทำหวงั ว่าชุดฝกึ อบรมดว้ ยตนเองเล่มน้ี จะช่วยให้ครูมี ความร้คู วามสามารถเป็นแนวทางในการจดั การเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ขอใหผ้ ู้ศึกษาได้ศกึ ษาใบความรู้ และทำใบกิจกรรมใหค้ รบทุกใบกิจกรรม เพือ่ นำความรู้ไปใช้พัฒนาผเู้ รยี นให้เกิดประโยชนส์ ูงสุดต่อไป เลม่ ท่ี 1 แนวทางการจัดการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์

ข ชุดฝกึ อบรมด้วยตนเอง การสรา้ งเครือ่ งมอื วัดและประเมินผล วิชาวิทยาศาสตร์ สารบัญ หน้า ก คำนำ ข สารบัญ 1 คำช้แี จง 2 คำแนะนำในการศกึ ษา 3 วัตถปุ ระสงค์ 3 ขอบขา่ ยเน้ือหา 3 แนวคดิ 4 สาระสำคัญ 5 แบบทดสอบก่อนศกึ ษาชุดฝึกอบรม 7 ตอนท่ี 1 หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 8 ใบความรู้ที่ 1.1 การจัดการเรียนร้ตู ามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน 21 พุทธศักราช 2551 22 ใบกจิ กรรมที่ 1.1 24 ใบความรู้ที่ 1.2 การเรยี นร้ใู นศตวรรษท่ี 21 25 ใบกจิ กรรมที่ 1.2 27 ใบความรู้ท่ี 1.3 บทบาทของครูและผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 28 ใบกิจกรรมท่ี 1.3 29 ตอนท่ี 2 การสอนเพอ่ื ใหเ้ กิดพฤติกรรมด้านความรู้ 31 ใบความรทู้ ี่ 2.1 การจัดการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ 32 ใบกจิ กรรมที่ 2.1 38 ใบความรู้ที่ 2.2 การจัดการเรยี นรแู้ บบเชงิ รุก 39 ใบกิจกรรมที่ 2.2 41 ใบความรู้ที่ 2.3 การจัดการเรียนรู้ท่ีสง่ เสริมการคิดวเิ คราะห์ 42 ใบกจิ กรรมท่ี 2.3 43 ใบความรทู้ ี่ 2.4 การจัดการเรียนรแู้ บบทดลอง 44 ใบกจิ กรรมท่ี 2.4 47 ใบความร้ทู ี่ 2.5 การจัดการเรยี นร้โู ครงงานเปน็ ฐาน ใบกจิ กรรมที่ 2.5 เล่มที่ 1 แนวทางการจัดการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์

ค ชุดฝกึ อบรมด้วยตนเอง การสรา้ งเครอื่ งมือวดั และประเมนิ ผล วิชาวิทยาศาสตร์ สารบญั (ตอ่ ) หน้า ใบความรทู้ ี่ 2.6 การจดั การเรียนรู้แบบสะเต็มศกึ ษา 48 ใบกจิ กรรมที่ 2.6 53 ใบความร้ทู ่ี 2.7 การจัดการเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรหู้ รือวฏั จักรการเรยี นรู้ 5 E 54 ใบกจิ กรรมที่ 2.7 59 แบบทดสอบหลังศกึ ษาชุดฝกึ อบรม 63 บรรณานกุ รม 66 คณะทำงาน 69 เลม่ ที่ 1 แนวทางการจดั การเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์

1 ชดุ ฝกึ อบรมด้วยตนเอง การสรา้ งเครอื่ งมอื วดั และประเมนิ ผล วชิ าวิทยาศาสตร์ คำช้ีแจง ชุดฝึกอบรมดว้ ยตนเอง การสรา้ งเครอ่ื งมอื วัดและประเมินผล วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เล่มที่ 1 แนวทาง การจดั การเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ เป็นเอกสารฝกึ อบรมให้ครูได้ศึกษาด้วยตนเอง เพ่อื ให้เกิดความรู้ความข้า ใจและเกิดแนวคดิ ในการจัดประสบการณ์ในหอ้ งเรียนให้แก่ผู้เรยี น ได้สอดคล้องกบั มาตรฐานการเรียนรู้และ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 อันจะส่งผลให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปสู่แนวทางการปฏิบัติจริง ทุกชุดฝึกอบรมมีเนื้อหาท่ี เกย่ี วข้องและต่อเน่อื งกัน ผู้ฝกึ อบรมควรทำความเข้าใจโดยศึกษาเอกสารให้ละเอยี ด พร้อมท้ังปฏิบัติตาม คำแนะนำการใชช้ ดุ ฝกึ ด้วยตนเอง ตามข้ันตอนดังตอ่ ไปน้ี ศึกษาภาพรวมเอกสาร/คำแนะนำ ศึกษาวตั ถปุ ระสงค์ ขอบข่ายเนอื้ หา และสาระสำคญั ศึกษารายละเอยี ดการใชช้ ดุ ฝึกอบรม ประเมินตนเองดว้ ยการทดสอบก่อนศกึ ษาชดุ ฝกึ อบรม ศึกษาใบความร้แู ละทำใบกจิ กรรม สรุปองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเองดว้ ยผังความคิด ไมผ่ ่าน ประเมินตนเองดว้ ยการทดสอบหลังฝกึ อบรม ผ่าน ศกึ ษาเอกสารเล่มท่ี 2 แผนภาพ ขน้ั ตอนการศกึ ษาดว้ ยตนเอง เลม่ ที่ 1 แนวทางการจัดการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์

2 ชดุ ฝึกอบรมด้วยตนเอง การสร้างเคร่ืองมือวัดและประเมนิ ผล วิชาวิทยาศาสตร์ คำแนะนำในการศึกษา การศึกษาชดุ ฝึกอบรมดว้ ยตนเอง เร่อื งแนวทางการจัดการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์พฒั นาขน้ึ สำหรบั ครูวทิ ยาศาสตร์ เพ่ือเป็นแนวทางการออกแบบการจัดการเรยี นรู้ ผูศ้ กึ ษาควรปฏบิ ัตดิ ังนี้ 1. การเตรยี มตวั เพื่อศกึ ษาชุดฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง 1.1 กำหนดเวลาในการศกึ ษาชดุ ฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง แนวทางการจัดการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 1.2 ศกึ ษาเอกสารเพิม่ เตมิ ท่ีระบุในชุดฝึกอบรมดว้ ยตนเอง จะทำใหผ้ ู้ศึกษามีความรู้และเข้าใจเรว็ ข้ึน 2. การศกึ ษาชดุ ฝกึ อบรมด้วยตนเอง 2.1 ทำแบบทดสอบกอ่ นศกึ ษา และตรวจคำตอบดว้ ยตนเองจากเฉลยแบบทดสอบโดยให้ คะแนน 1 คะแนน สำหรบั คำตอบทถ่ี กู ตอ้ งและให้ 0 คะแนนสำหรบั คำตอบที่ผิด 2.2 ควรอา่ นเน้อื หาสาระในใบความรู้ในแต่ละเล่มอยา่ งนอ้ ย 1 จบ แล้วสรุปความคิดรวบยอด 2.3 ทำกจิ กรรมในใบกิจกรรมแต่ละตอนและตรวจคำตอบดว้ ยตนเองจากแนวคำตอบในใบ ความรู้ โดยให้คะแนน 1 คะแนนสำหรับคำตอบท่ีถูกต้อง ให้ 0 คะแนนสำหรับคำตอบท่ีผดิ 2.4 ทำแบบทดสอบหลังศึกษาชุดฝกึ อบรมดว้ ยตนเองและตรวจคำตอบด้วยตนเองจาก แบบทดสอบโดยให้คะแนน 1 คะแนนสำหรับคำตอบท่ถี กู ตอ้ ง ให้คะแนน 0 คะแนน สำหรับคำตอบทผ่ี ดิ 2.5 ใหศ้ กึ ษาชุดฝึกอบรมดว้ ยตนเองต่อเน่อื งให้จบเลม่ 2.6 ชดุ ฝกึ อบรมดว้ ยตนเองนี้ สามารถศกึ ษาด้วยตนเองไดท้ กุ สถานที่ ทุกเวลา 3 การประเมนิ ผล 3.1 ในตอนท้ายของชดุ ฝกึ อบรมด้วยตนเอง จะมีการประเมนิ ผลเพื่อวดั ความรู้ความเขา้ ใจแล้ว ตรวจสอบคำตอบดว้ ยตนเองจากเฉลย ใหค้ ะแนน 1 คะแนน สำหรับคำตอบทถ่ี ูก และ 0 คะแนน สำหรับ คำตอบท่ผี ิด โดยตอ้ งผ่านเกณฑ์ 80% ขน้ึ ไป 3.2 เปรียบเทยี บความแตกตา่ งของค่าเฉล่ียคะแนนก่อนศกึ ษาและหลังศึกษาชุดฝกึ อบรม เลม่ ที่ 1 แนวทางการจดั การเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์

3 ชดุ ฝกึ อบรมด้วยตนเอง การสร้างเครื่องมือวัดและประเมนิ ผล วิชาวิทยาศาสตร์ วตั ถปุ ระสงค์ เม่ือศึกษาชุดฝกึ อบรมดว้ ยตนเองชุดน้ีแลว้ ผู้ศึกษาสามารถ 1. มีความรู้ ความเข้าใจเกยี่ วกับแนวทางการจัดการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ 2. มีความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ได้ ขอบขา่ ยเน้อื หา 1. หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 1.1 การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 1.2 การเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 1.3 บทบาทของครูและผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 2. แนวทางการจดั การเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ 2.1 การจัดการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ 2.2 การจัดกการเรยี นร้แู บบเชงิ รุก 2.3 การจัดการเรียนรทู้ ส่ี ่งเสริมการคิดวิเคราะห์ 2.4 การจัดการเรยี นรูโ้ ครงงาน 2.5 การจัดการเรยี นรแู้ บบสะเต็มศกึ ษา 2.6 การจัดการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรหู้ รอื วัฎจกั รการเรียนรู้ 5E แนวคิด การพัฒนาครูโดยชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง ใช้แนวคิดการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Construction Knowledge) ครูเป็นผู้ศึกษาเรียนรู้และลงมือทำกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Learning by Doing) ไม่มีวทิ ยากรบรรยายให้ความรู้ การปฏิบัติกิจกรรมเป็นไปตามข้ันตอนท่ีออกแบบ ไว้ เป็นการสรา้ งองคค์ วามรดู้ ้วยตนเอง ตามกระบวนการเรยี นรแู้ บบซิปปา (CIPPA MODEL) เรม่ิ จากการทบทวน ความรูเ้ ดิมในเร่อื งที่จะเรยี นรู้ การศึกษาหาความร้เู พม่ิ เติมจากชุดฝึกอบรมแล้วนำความรู้เดมิ ไป เลม่ ที่ 1 แนวทางการจัดการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์

4 ชดุ ฝึกอบรมด้วยตนเอง การสร้างเครอ่ื งมอื วดั และประเมนิ ผล วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เชอื่ มโยงกบั ความรู้ใหม่ แลกเปล่ียนเรียนรกู้ ่อนท่ีจะสรุปความรู้ ความเข้าใจของตนเอง เป็นทฤษฎกี ารเรียนรู้ท่ี เน้นผ้ศู กึ ษาเป็นผู้สรา้ งองค์ความรูด้ ้วยตนเอง ประสบการณ์ใหม่ / ความรู้ใหม่ + ประสบการณเ์ ดิม / ความรเู้ ดมิ = องคค์ วามรู้ใหม่ โดยเริ่มจากการทบทวนความรู้เดิมในเรื่องที่จะเรียนรู้การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่ง เรียนรู้ตา่ ง ๆนำความเขา้ ใจขอ้ มูลเช่ือมโยงความรูเ้ ดิมกับความรู้ใหมแ่ ละเปลี่ยนเรียนรู้ก่อนที่จะสรุปองค์ ความรู้และทำความเข้าใจด้วยตนเอง สาระสำคัญ การจัดการเรยี นรเู้ ป็นกระบวนการสำคญั ในการพัฒนาผูเ้ รียนใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ ดำรงอยใู่ นสังคมท่ี มีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้ ให้ผู้เรียนสามารถแก้ปัญหาและนำไปใชใ้ นชีวิตประจำวนั เพื่อบรรลุ มาตรฐานการเรียนร้/ู ตวั ชีว้ ัด ของหลกั สูตรแกนกลางพุทธศักราช 2551 มีคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์เป็น เป้าหมายสำคญั ผู้เรียนจะต้องอาศยั กระบวนการเรียนรูท้ ่ีหลากหลายเปน็ เคร่อื งมือทจ่ี ะนำพาตนเอง ที่ครู เป็นผู้ออกแบบจัดทำหน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 (21st century skills) โดยยดึ หลกั วา่ ผูเ้ รียนทุกคน มคี วามสามารถเรียนรแู้ ละพฒั นาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียน มีความสำคัญท่ีสุด รวมถึงจะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ มีความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรวมทั้งความรู้ ซึ่งรูปแบบการจัดการเรียนรู้มีหลาย รูปแบบ เช่น การสอนแบบทดลองหรือแบบปฏิบัติการ การเรียนรู้แบบโครงงาน การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็ม ศกึ ษา การจดั การเรียนรู้แบบเชงิ รกุ การจดั การเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ เปน็ ต้น ไปทดสอบก่อนศกึ ษา ชดุ ฝึกอบรมกนั เลยค่ะ…. เลม่ ท่ี 1 แนวทางการจดั การเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์

5 ชุดฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง การสร้างเคร่อื งมือวัดและประเมนิ ผล วิชาวทิ ยาศาสตร์ แบบทดสอบก่อนศกึ ษาชดุ ฝึกอบรม คำชแี้ จง ให้ท่านเลอื กคำตอบท่ถี ูกตอ้ งท่ีสุดเพยี งคำตอบเดียว 1. การจดั การเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ มุ่งเนน้ ผเู้ รยี นให้เกิดกระบวนการเรียนรอู้ ย่างไร 1. ผูเ้ รยี นได้ลงมอื กระทำ 2. ผู้เรยี นสามารถอ่านออก 3. ผเู้ รียนต้องมที กั ษะในการพูด 4. ผเู้ รียนมีทักษะต่ืนตวั ในกจิ กรรม 2. แนวทางการออกแบบการสอนวิทยาศาสตร์ จะต้องอาศยั ข้อมูลใดบา้ ง 1. หลักสูตรฯ มาตรฐานการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และสือ่ 2. หลกั สูตรฯ กิจกรรมการเรียนรู้ ครู และการประเมินผล 3. มาตรฐานการเรียนรู้ กิจกรรมการเรยี นรู้ ครู และสือ่ 4. มาตรฐานการเรียนรู้ ผู้บริหาร ครู และผเู้ รียน 3. การกำหนดหวั ขอ้ เร่ืองที่จะทำโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ควรพิจารณาจากสง่ิ ใด 1. ความแปลกใหม่ ไม่มเี คยมใี ครทำมาก่อนและยาก 2. ต้องมีประโยชนแ์ ละแกป้ ญั หาได้ 3. นา่ สนใจและมคี วามเป็นไปได้วา่ จะทำได้สำเร็จ 4. ต้องอยใู่ นสาระการเรยี นรู้หรืออยใู่ นบทเรยี น 4. การออกแบบการจัดการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ ส่ิงใดทีส่ ำคญั ที่สดุ 1. ศึกษารูปแบบการเรียนรู้ 2. ศึกษาหลกั สตู รสถานศึกษา 3. ศกึ ษามาตรฐานการเรียนรู้ 4. ศึกษาการออกแบบเครือ่ งมอื วดั และประเมินผล 5. ข้อใดกล่าวถูกตอ้ งและครอบคลมุ “วิทยาศาสตร”์ มากทีส่ ุด 1. เป็นวชิ าทเี่ ปน็ ความร้เู ก่ียวกบั ส่งิ มชี ีวิตตา่ ง ๆ ท่อี ย่รู อบตัวเรา 2. เป็นวชิ าท่วี ่าด้วยการค้นพบความจริงในธรรมชาติ 3. เปน็ วชิ าที่อธิบายปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ของธรรมชาติ 4. เปน็ วชิ าที่ว่าดว้ ยการแกป้ ญั หาเป็นขั้นตอนอยา่ งเป็นระบบ เล่มท่ี 1 แนวทางการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

6 ชดุ ฝึกอบรมด้วยตนเอง การสร้างเครอ่ื งมอื วัดและประเมนิ ผล วิชาวทิ ยาศาสตร์ 6. ครูบวั ตองสอนวิชาวทิ ยาศาสตร์ ช้ัน ป.6 ทำการวเิ คราะห์ตวั ชวี้ ัด ว5.1 ป. 6/1 ทดลองและอธบิ ายตอ่ วงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ย ครูบวั ตองเลอื กรปู แบบการสอนแบบเชิงรกุ (Active Learning) เป็นเพราะเหตุใด 1. เรยี นได้ลงมือปฏบิ ัตดิ ว้ ยตนเอง 2. ผ้เู รียนไดร้ ว่ มกันสนทนาในกลุม่ 3. ผเู้ รียนตอ้ งเรยี นรูแ้ บบกล่มุ โดยมคี รพู าทำ 4. ผ้เู รียนต้องมที ักษะในการพูด 7. สิง่ ท่ตี วั ชีว้ ดั ไมไ่ ดก้ ำหนดไว้คือขอ้ ใด 1. คุณลกั ษณะของผ้เู รียน 2. ผลการเรยี นของผเู้ รยี น 3. เป้าหมายผ้เู รียน 4. คุณภาพผู้เรยี น 8. ขอ้ ใดเปน็ การเรียงลำดบั พฤติกรรมด้านสติปัญญาการเรียนรตู้ ามแนวคิดของ Bloom taxonomy ได้ ถูกต้อง 1. การจำ การเข้าใจ การประยกุ ต์ใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมนิ ผล 2. การจำ การเข้าใจ การประยุกตใ์ ช้ การสงั เคราะห์ การประเมนิ ผล การสรา้ งสรรค์ 3. การจำ การเข้าใจ การประยกุ ต์ใช้ การสังเคราะห์ การวิเคราะห์ การสร้างสรรค์ 4. การจำ การเข้าใจ การประยกุ ตใ์ ช้ การวเิ คราะห์ การประเมนิ ค่า การสรา้ งสรรค์ 9. ข้อใดต่อไปนี้ถกู ต้อง เกี่ยวกับข้นั ตอนของการจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 1. ขัน้ สร้างความสนใจ ข้นั การสำรวจและค้นคว้า ข้ันการอธิบาย ข้นั การขยายความรู้ และขัน้ การประเมนิ 2. ขั้นสร้างความสนใจ ขนั้ การสำรวจและคน้ คว้า ขั้นการขยายความรู้ ขนั้ การอธิบาย และขัน้ การประเมิน 3. ขั้นการสำรวจและคน้ ควา้ ข้ันสร้างความสนใจ ข้ันการอธิบาย ขัน้ การขยายความรู้ และขั้นการประเมิน 4. ข้นั การสำรวจและคน้ คว้า ขัน้ สรา้ งความสนใจ ขั้นการขยายความรู้ ข้ันการอธิบาย และข้ันการประเมิน 10. องคป์ ระกอบของความคิดใด ท่สี ง่ ผลให้ผเู้ รยี นเกิดความคิดสร้างสรรค์ 1. ความคดิ วิเคราะห์ ความคดิ วพิ ากษ์ ความคิดเชิงระบบ ความคิดยดื หยุ่น 2. ความคดิ ริเร่ิม ความคิดคลอ่ ง ความคิดยืดหยุ่น ความคิดละเอยี ดลออ 3. ความคดิ วิพากษ์ ความคิดยดื หยนุ่ ความคดิ ละเอียด ความคิดไตร่ตรอง 4. ความคดิ สวยงามละเอยี ดลออ ความคิดเชิงระบบ ความคิดวเิ คราะห์ ความคิดคล่องตัว เล่มท่ี 1 แนวทางการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์

7 ชุดฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง การสร้างเคร่อื งมอื วัดและประเมนิ ผล วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ตอนที่ 1 หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 เลม่ ท่ี 1 แนวทางการจัดการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์

8 ชุดฝึกอบรมดว้ ยตนเอง การสร้างเครื่องมือวดั และประเมนิ ผล วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ใบความรู้ท่ี 1.1 การจัดการเรียนรตู้ ามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 องคป์ ระกอบการเรยี นรู้ O (objective) มาตรฐานการ เรียนรู้ L (Learning) E (Evaluation) การจดั การเรยี นรู้ การประเมินองิ องิ มาตรฐาน มาตรฐานการเรียนรู้ ภาพ องค์ประกอบการเรยี นรู้ มาตรฐานและตวั ชวี้ ัดของหลักสูตร หลกั สตู ร มาตรฐาน 1 ตวั ช้ีวดั 1 ความรู้ (Knowledge) มาตรฐาน 2 ตัวชว้ี ัด 2 มาตรฐาน 3 ตัวช้ีวดั 3 ทกั ษะกระบวนการ(Process & Skill) ตวั ช้วี ดั 4 คณุ ลักษณะ (Attribute) ภาพ มาตรฐานตัวช้ีวดั และหลักสูตร เลม่ ที่ 1 แนวทางการจัดการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์

9 ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง การสร้างเคร่อื งมือวดั และประเมนิ ผล วชิ าวทิ ยาศาสตร์ องคป์ ระกอบของตัวชวี้ ดั ตวั ชีว้ ดั วิเคราะห์ และ อธิบาย การเปล่ียนแปลงทีท่ ำให้เกิดสารใหมแ่ ละมีสมบัตเิ ปล่ียนแปลงไป คำสำคัญ (key word) หรอื พฤติกรรมที่ตอ้ งการแสดง สถานการณ์ หรือ บริบทเน้อื หา ภาพ องคป์ ระกอบของตวั ช้วี ัด หลักสตู รสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560) ระดับประถมศกึ ษา มาตรฐาน สาระที่ 2 มาตรฐาน ว 1.1-ว 1.3 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ว 2.1-ว 2.3 สาระท่ี 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ วทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและ มาตรฐาน สาระท่ี 4 อวกาศ ว 4.1-ว 4.2 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 3.1-ว 3.2 เล่มที่ 1 แนวทางการจดั การเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์

10 ชดุ ฝึกอบรมด้วยตนเอง การสรา้ งเครอื่ งมอื วดั และประเมนิ ผล วิชาวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์เพิม่ เติม ⚫ สาระชีววทิ ยา ⚫ สาระเคมี ⚫ สาระฟสิ กิ ส์ ⚫ สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ เรียนรู้อะไรในวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่เน้นการ เชื่อมโยง ความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสรา้ งองค์ความรู้ โดยใช้ กระบวนการในการสบื เสาะหาความร้แู ละแก้ปัญหาทห่ี ลากหลาย ให้ผเู้ รียนมีสว่ นร่วมในการเรยี นรู้ ทุกข้นั ตอน มีการทำกจิ กรรม ดว้ ยการลงมอื ปฏบิ ตั จิ ริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดบั ชัน้ โดยกำหนดสาระสำคญั ดงั นี้ ✧ วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ เรยี นรู้เกีย่ วกบั ชีวติ ในส่ิงแวดล้อม องคป์ ระกอบของสิง่ มีชวี ิต การดำรงชีวิต ของมนุษย์และสัตว์การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวัฒนาการของ สิ่งมชี ีวติ ✧ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ เรยี นรู้เกย่ี วกับ ธรรมชาตขิ องสาร การเปล่ยี นแปลงของสาร การเคลื่อนท่ี พลังงาน และคลื่น ✧ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ภายใน ระบบสุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการ เปลี่ยนแปลงลม ฟ้าอากาศ และผลตอ่ สง่ิ มชี ีวิตและส่งิ แวดล้อม ✧ เทคโนโลยี ● การออกแบบและเทคโนโลยีเรยี นรู้เก่ยี วกบั เทคโนโลยีเพ่ือการดำรงชีวติ ในสังคมท่มี ี การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแกป้ ัญหาหรอื พัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชงิ วศิ วกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยีอยา่ งเหมาะสมโดยคำนึงถงึ ผลกระทบต่อชีวิต สงั คม และส่ิงแวดลอ้ ม ● วิทยาการคำนวณ เรยี นรู้เกีย่ วกับการคดิ เชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์แกป้ ญั หา เปน็ ขัน้ ตอน และเป็นระบบ ประยกุ ต์ใช้ความรดู้ ้านวิทยาการคอมพวิ เตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ในการแกป้ ญั หาท่พี บในชีวติ จรงิ ไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ เลม่ ที่ 1 แนวทางการจดั การเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์

11 ชดุ ฝึกอบรมด้วยตนเอง การสรา้ งเครอ่ื งมือวัดและประเมนิ ผล วชิ าวทิ ยาศาสตร์ คุณภาพผู้เรยี นเมือ่ จบช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ❖ เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะและการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่ การทำหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ของพืช และการทำงานของระบบย่อยอาหารของ มนษุ ย์ ❖ เข้าใจสมบัติและการจำแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสาร การละลาย การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงที่ผันกลับได้และผันกลับไม่ได้ และการแยกสาร อยา่ งง่าย ❖ เข้าใจลักษณะของแรงโนม้ ถว่ งของโลก แรงลพั ธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟา้ และผลของแรงต่าง ๆ ผลที่เกิดจากแรงกระทำต่อวัตถุ ความดัน หลักการที่มีต่อวัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ปรากฏการณ์ เบื้องต้นของเสยี ง และแสง ❖ เข้าใจปรากฏการณ์การขึ้นและตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ องค์ประกอบของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของดาวเคราะห์และ ดาวฤกษ์ การขึ้นและตกของกลุ่มดาวฤกษ์ การใช้แผนที่ดาว การเกิดอุปราคา พัฒนาการและประโยชน์ ของเทคโนโลยอี วกาศ ❖ เขา้ ใจลักษณะของแหล่งนำ้ วัฏจักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำคา้ ง นำ้ คา้ งแขง็ หยาดน้ำฟ้า กระบวนการเกิดหนิ วัฏจกั รหนิ การใชป้ ระโยชนห์ ินและแร่ การเกิดซากดึกดำบรรพ์ การเกิด ลมบก ลมทะเล มรสมุ ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบตั ิภยั การเกิดและผลกระทบของ ปรากฏการณเ์ รือนกระจก ❖ คน้ หาขอ้ มูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมนิ ความน่าเช่ือถือ ตัดสนิ ใจเลือกข้อมูลใช้เหตุผล เชิงตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการทำงานร่วมกัน เข้าใจสิทธิและ หนา้ ทีข่ องตน เคารพสิทธขิ องผู้อน่ื ❖ ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ คาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับคำถามหรอื ปัญหาที่จะสำรวจตรวจสอบ วางแผนและสำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมอื อปุ กรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีเหมาะสม ในการเก็บ รวบรวมขอ้ มลู ทงั้ เชิงปรมิ าณและคุณภาพ เลม่ ที่ 1 แนวทางการจดั การเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์

12 ชุดฝึกอบรมดว้ ยตนเอง การสร้างเครอ่ื งมือวดั และประเมนิ ผล วิชาวิทยาศาสตร์ ❖ วิเคราะหข์ ้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพนั ธ์ของข้อมูลทม่ี าจากการสำรวจตรวจสอบ ในรูปแบบทีเ่ หมาะสม เพ่ือส่อื สารความรูจ้ ากผลการสำรวจตรวจสอบไดอ้ ยา่ งมีเหตผุ ลและหลกั ฐานอา้ งอิง ❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษา ตามความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในขอ้ มูลทีม่ ีหลักฐานอา้ งอิง และรับฟัง ความคิดเหน็ ผูอ้ นื่ ❖ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสตั ย์ จนงานลุล่วงเปน็ ผลสำเรจ็ และทำงานร่วมกับผู้อ่นื อยา่ งสร้างสรรค์ ❖ ตระหนักในคณุ ค่าของความรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต แสดงความชนื่ ชม ยกยอ่ ง และเคารพสทิ ธใิ นผลงานของผคู้ ิดคน้ และศึกษาหา ความร้เู พ่มิ เตมิ ทำโครงงานหรือชิ้นงานตามท่ีกำหนดใหห้ รือตามความสนใจ ❖ แสดงถึงความซาบซึง้ หว่ งใย แสดงพฤตกิ รรมเกยี่ วกบั การใช้ การดแู ลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อมอยา่ งร้คู ณุ ค่า กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ มุ่งหวังให้ผ้เู รียนได้เรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ท่ีเน้นการเชื่อมโยง ความรู้ กับกระบวนการมีทกั ษะสำคัญในการคน้ คว้า และสรา้ งองค์ความรโู้ ดยใชก้ ระบวนการในการศึกษา หาความรู้และการแก้ปญั หาทีห่ ลากหลาย ใหผ้ ู้เรียนมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นรู้ ขน้ั ตอนมกี ารทำกิจกรรมด้าน การลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้นโดยได้กำหนดสาระสำคัญ มาตรฐานการเรียนรู้ และรายละเอียดตวั ชีว้ ดั ไว้ดังน้ี ....ไปดูโครงสรา้ งมาตรฐานการเรียนรู้กันค่ะ เล่มที่ 1 แนวทางการจัดการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์

13 ชดุ ฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง การสร้างเครื่องมอื วดั และประเมนิ ผล วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ตาราง โครงสร้างมาตรฐานการเรยี นรู้ ตัวชว้ี ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 สาระ มาตรฐาน ตวั ช้ีวัด รายละเอยี ดตัวชีว้ ดั 1. ระบุสารอาหารและบอกประโยชน์ของ 1.วทิ ยาศาสตร์ ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต ว1.2 ป 6/1 สารอาหารแต่ละ ประเภทจากอาหารที่ตนเอง ชวี ภาพ รบั ประทาน หนว่ ยพ้นื ฐานของสง่ิ มชี ีวิต 2. บอกแนวทางในการเลือกรับประทาน การลำเลียงสารเข้าและออก อาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนท่ี เหมาะสมกบั เพศและวยั รวมทง้ั ความปลอดภัย จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของ ว1.2 ป 6/2 ต่อสขุ ภาพ โครงสรา้ ง และหนา้ ที่ของระบบ 3. ตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของ สารอาหาร ต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ี โดยการเลือกรับประทาน อาหารทีม่ ีสารอาหาร ครบถ้วนในสดั สว่ นท่ีเหมาะสมกับเพศ และวัย ทำงานสัมพนั ธ์กนั ความสัมพันธ์ รวมทงั้ ปลอดภยั ตอ่ สุขภาพ ของโครงสร้างและหน้าที่ของ ว1.2 ป 6/3 4. สรา้ งแบบจำลอง ระบบย่อยอาหาร และ อวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทำงาน บรรยายหน้าท่ีของอวัยวะในระบบย่อยอาหาร รวมทัง้ อธบิ ายการย่อย อาหารและการ ดูดซมึ สัมพันธ์กัน รวมทั้งนาความรูไ้ ป สารอาหาร ใชป้ ระโยชน์ 5. ตระหนักถงึ ความสำคัญของระบบย่อย อาหาร โดยการบอก แนวทางในการดูแลรักษา ว1.2 ป 6/4 อวัยวะในระบบย่อยอาหารให้ทางานเป็นปกติ ว1.2 ป 6/5 1. อธิบายและเปรียบเทยี บการแยกสารผสม โดยการหยิบออก การร่อน การใชแ้ ม่เหลก็ 2.วทิ ยาศาสตร์ 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร ว2.1 ป 6/1 ดึงดดู การรินออก การกรอง และการ กายภาพ องค์ประกอบของสสาร ตกตะกอน โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ รวมทง้ั ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสมบตั ขิ อง ระบวุ ธิ แี กป้ ัญหาในชวี ิตประจำวนั เกี่ยวกับ สสารกบั โครงสรา้ งและแรงยดึ การแยกสาร เหนี่ยวระหวา่ งอนภุ าค หลกั และธรรมชาติของการ เปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และ การเกิดปฏิกริ ิยาเคมี เล่มท่ี 1 แนวทางการจดั การเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์

14 ชดุ ฝึกอบรมด้วยตนเอง การสรา้ งเครื่องมอื วดั และประเมนิ ผล วิชาวทิ ยาศาสตร์ สาระ มาตรฐาน ตวั ชวี้ ดั รายละเอียดตวั ช้วี ดั 1. อธิบายการเกิดและผลของแรงไฟฟา้ ซ่งึ เกิด ว 2.2 เขา้ ใจธรรมชาตขิ องแรง ว2.2 ป 6/1 จากวัตถทุ ีผ่ ่านการ ขัดถโู ดยใช้หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ในชวี ิตประจำวนั ผลของแรงที่ 1. ระบุส่วนประกอบและบรรยายหนา้ ทขี่ องแต่ กระทำต่อวตั ถุ ลักษณะการ ละสว่ นประกอบของวงจรไฟฟ้าอยา่ งง่ายจาก หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ เคล่อื นทแ่ี บบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ 2. เขียนแผนภาพและตอ่ วงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย 3. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีท่ี รวมทงั้ นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ เหมาะสมในการอธิบายวิธกี ารและผลของ การต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบอนกุ รม ว 2.3 เข้าใจความหมายของ ว2.3 ป 6/1 4. ตระหนกั ถึงประโยชนข์ องความรูข้ องการต่อ พลงั งาน การเปลีย่ นแปลงและ เซลล์ไฟฟ้าแบบอนกุ รมโดยบอก การถ่ายโอนพลังงาน ปฏสิ ัมพันธ์ ว2.3 ป 6/2 ประโยชนแ์ ละการประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจำวนั ระหวา่ งสสาร และพลงั งาน ว2.3 ป 6/3 5. ออกแบบการทดลองและทดลองดว้ ยวิธที ่ี พลงั งานในชวี ิตประจำวนั เหมาะสมในการอธบิ ายการตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบ ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ ว2.3 ป 6/4 อนุกรมและแบบขนาน ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และ 6. ตระหนักถึงประโยชนข์ องความรขู้ องการต่อ หลอดไฟฟ้า แบบอนกุ รมและแบบขนาน โดย คล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ รวมทงั้ นำ บอกประโยชน์ ข้อจำกดั และการประยุกตใ์ ช้ใน ความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ชีวติ ประจำวัน 7. อธบิ ายการเกดิ เงามดื เงามัวจากหลกั ฐาน ว2.3 ป 6/5 เชิงประจกั ษ์ 8. เขียนแผนภาพรังสขี องแสงแสดงการเกิดเงา ว2.3 ป 6/6 มดื เงามัว 1. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกิดและ ว2.3 ป 6/7 เปรียบเทียบ ปรากฏการณ์ สุรยิ ุปราคาและ จันทรปุ ราคา ว2.3 ป 6/8 2. อธบิ าย พัฒนาการ ของเทคโนโลยี อวกาศ 3.วิทยาศาสตร์ ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ว3.1 ป 6/1 และ ยกตัวอยา่ งการนำเทคโนโลยอี วกาศมาใช้ โลก และอวกาศ ลกั ษณะกระบวนการเกิด และ ว3.1 ป 6/2 ประโยชนใ์ น ชีวิตประจำวนั จากข้อมลู ท่ี ววิ ัฒนาการของเอกภพ รวบรวมได้ กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์ และ ระบบ สรุ ิยะ รวมท้งั ปฏสิ ัมพนั ธภ์ ายใน ระบบสรุ ยิ ะทส่ี ง่ ผลต่อสงิ่ มชี วี ิต และการประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยี อวกาศ เล่มท่ี 1 แนวทางการจัดการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์

15 ชุดฝึกอบรมดว้ ยตนเอง การสร้างเครอื่ งมือวัดและประเมนิ ผล วชิ าวิทยาศาสตร์ สาระ มาตรฐาน ตวั ชว้ี ัด รายละเอียดตวั ชี้วดั 4.เทคโนโลยี 1. เปรยี บเทยี บกระบวนการเกิดหนิ อัคนี ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และ ว3.2 ป 6/1 หนิ ตะกอน และหินแปร และอธบิ าย วฏั จักรหิน จากแบบจำลอง ความสมั พนั ธ์ของระบบโลก 2. บรรยายและยก ตัวอย่างการใชป้ ระโยชน์ กระบวนการเปลยี่ นแปลง ของหินและแรใ่ นชีวติ ประจำวันจากข้อมูลที่ รวบรวมได้ ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณี ว3.2 ป 6/2 พบิ ตั ิภยั กระบวนการเปล่ียนแปลง 3. สร้างแบบจำลองท่อี ธบิ ายการเกิดซากดกึ ดำ บรรพ์และคาดคะเนสภาพแวดลอ้ มในอดีตของ ลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก ซากดกึ ดำบรรพ์ รวมท้งั ผลตอ่ สง่ิ มชี ีวติ และ ว3.2 ป 6/3 4. เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลมทะเล และ สง่ิ แวดล้อม มรสมุ รวมท้งั อธิบายผลทม่ี ีตอ่ สิง่ มชี วี ติ และ สิ่งแวดลอ้ มจากแบบจำลอง ว3.2 ป 6/4 5. อธิบายผลของมรสุมตอ่ การเกดิ ฤดูของ ว3.2 ป 6/5 ประเทศไทย จากขอ้ มลู ทร่ี วบรวมได้ ว3.2 ป 6/6 ว3.2 ป 6/7 6. บรรยายลกั ษณะและผลกระทบของนำ้ ทว่ ม การกัดเซาะชายฝ่งั ดินถล่ม แผน่ ดินไหว สึนามิ ว3.2 ป 6/8 7. ตระหนักถงึ ผลกระทบของภยั ธรรมชาติและ ว3.2 ป 6/9 ธรณพี ิบัตภิ ัย โดยนำเสนอแนวทางในการเฝา้ ระวงั และปฏบิ ัติตนใหป้ ลอดภัยจากภัย ว 4.2 เขา้ ใจและใช้แนวคดิ เชิง ว4.2 ป 6/1 ธรรมชาตแิ ละธรณพี ิบตั ิภยั ทอี่ าจเกิดในท้องถ่ิน คำนวณในการแก้ปัญหาที่พบใน ว4.2 ป 6/2 ชีวติ จรงิ อย่างเปน็ ขั้นตอนและ 8. สรา้ งแบบจำลองท่อี ธบิ ายการเกิดปรากฏการณ์ เปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ ว4.2 ป 6/3 เรอื นกระจกและผลของปรากฏการณ์เรือน และการส่ือสารในการเรียนรู้ กระจกต่อสงิ่ มีชีวิต การทำงาน และการแก้ปัญหาได้ อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ รู้เท่าทนั 9. ตระหนกั ถึงผลกระทบของปรากฏการณ์ และมีจรยิ ธรรม เรอื นกระจกโดยนำเสนอแนวทาง การปฏิบัติ ตนเพอ่ื ลดกิจกรรมท่กี อ่ ใหเ้ กิดแก๊สเรอื นกระจก 1. ใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะในการอธบิ ายและ ออกแบบวิธกี ารแก้ปญั หาทีพ่ บในชีวิตประจำวัน 2. ออกแบบและเขียนโปรแกรมอยา่ งง่ายเพื่อ แก้ปญั หาในชีวิต ประจำวนั ตรวจหา ขอ้ ผิดพลาดของ โปรแกรมและแกไ้ ข 3. ใช้อินเทอร์เน็ตในการคน้ หาขอ้ มูลอย่างมี ประสทิ ธภิ าพ เล่มท่ี 1 แนวทางการจัดการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์

16 ชดุ ฝึกอบรมดว้ ยตนเอง การสรา้ งเคร่ืองมอื วัดและประเมนิ ผล วิชาวิทยาศาสตร์ สาระ มาตรฐาน ตัวช้ีวัด รายละเอยี ดตัวชีว้ ดั ว4.2 ป 6/4 4. ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ ทำงานรว่ มกนั อย่างปลอดภยั เข้าใจสิทธแิ ละหนา้ ท่ีของตน เคารพในสิทธิของผอู้ ืน่ แจง้ ผู้เกย่ี วขอ้ งเม่อื พบ ข้อมลู หรอื บุคคลท่ีไมเ่ หมาะสม ตัวอย่าง มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองคป์ ระกอบ และความสัมพันธ์ของ ระบบโลก กระบวนการเปล่ยี นแปลงภายในโลก และบนผวิ โลก ธรณพี บิ ัติภัย กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟ้าอากาศ และภมู ิอากาศโลก รวมทง้ั ผลต่อส่ิงมีชีวิตและสงิ่ แวดลอ้ ม ตวั ขี้วัด ว3.2 ป 6/3 สร้างแบบจำลอง ท่ี อธบิ าย การเกดิ ซากดกึ ดำบรรพแ์ ละ คาดคะเน สภาพแวดล้อมในอดตี ของซากดกึ ดำบรรพ์ Process & Skill Knowledge เลม่ ท่ี 1 แนวทางการจัดการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์

17 ชุดฝึกอบรมดว้ ยตนเอง การสรา้ งเคร่อื งมือวัดและประเมนิ ผล วชิ าวิทยาศาสตร์ วธิ กี ารวัดและประเมินผลผู้เรียน ความรคู้ วามสามารถทางสมอง องคค์ วามรู้ตามตัวช้ีวดั (Knowledge) ขัน้ ตอน/วิธีการ/หลักการ/ ทักษะกระบวนการ กระบวนการตามตัวชีว้ ดั (Process Skill) พฤตกิ รรมท่แี สดงออก คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ตามตัวชวี้ ดั (Attribute) เลม่ ที่ 1 แนวทางการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์

18 ชุดฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง การสร้างเครื่องมือวดั และประเมนิ ผล วชิ าวิทยาศาสตร์ การนำหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 สกู่ ารจัดการเรยี นรู้ เล่มท่ี 1 แนวทางการจดั การเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์

19 ชดุ ฝึกอบรมดว้ ยตนเอง การสรา้ งเครอ่ื งมือวัดและประเมนิ ผล วิชาวทิ ยาศาสตร์ การวเิ คราะห์ตวั ชีว้ ัดเพ่ือวางแผนจดั การเรยี นรู้ ตัวอย่าง กลุม่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมชี ีวติ หน่วยพ้นื ฐานของสงิ่ มชี ีวติ การลำเลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์ ความสมั พนั ธ์ของ โครงสร้างและหน้าทขี่ องระบบตา่ ง ๆ ของสัตว์และมนุษยท์ ่ีทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพนั ธ์ของโครงสร้างและหน้าทขี่ องอวยั วะตา่ ง ๆ ของพืชทท่ี ำงานสมั พนั ธ์กนั รวมทง้ั นำความรไู้ ป ใชป้ ระโยชน์ ตวั ชวี้ ัด รายละเอยี ดตวั ชี้วัด คำสำคัญ (K ) (P) (A) แนวทางการประเมิน วิธีการและ เวลา เคร่ืองมือ (ช่วั โมง) ว1.2 ป 6/1 1. ระบุสารอาหาร -ระบุ  ใหผ้ ูเ้ รยี นระบุ -การใชค้ ำถาม 2 และบอกประโยชน์ -บอก สารอาหารและบอก -แบบทดสอบ ของ สารอาหารแต่ ประโยชนข์ อง ละประเภทจาก สารอาหารแตล่ ะ อาหารทตี่ นเอง ประเภทจากอาหารท่ี รับประทาน ตนเองรับประทาน ว1.2ป 6/2 2. บอกแนวทางใน -บอก  ให้ผ้เู รยี นบอกแนวทาง -การใชค้ ำถาม 2 การเลอื ก ในการเลอื ก -แบบทดสอบ รบั ประทาน รับประทาน อาหารให้ อาหารให้ได้ ได้สารอาหารครบถว้ น สารอาหาร ในสดั สว่ นที่ เหมาะสม ครบถว้ นในสดั สว่ น กบั เพศและวยั รวมท้ัง ท่ี เหมาะสมกบั เพศ ความปลอดภยั ตอ่ และวัย รวมท้งั สขุ ภาพ ความปลอดภัยตอ่ สุขภาพ ว1.2 ป 6/4 4. สร้างแบบจำลอง -สรา้ ง  ใหผ้ เู้ รียนสร้าง -การตรวจ 2 ระบบย่อยอาหาร แบบจำล แบบจำลอง ระบบย่อย ผลงาน และบรรยายหน้าที่ อง อาหาร -ให้ผู้เรียน -แบบประเมนิ ของอวัยวะใน -บรรยาย บรรยายหน้าที่ของ การบรรยาย ระบบยอ่ ยอาหาร - อธบิ าย อวยั วะในระบบย่อย -แบบสังเกต รวมทงั้ อธิบายการ อาหาร ให้ผูเ้ รียน -การใช้คำถาม ย่อย อาหารและ อธบิ ายการย่อย -แบบทดสอบ การดูดซึม อาหารและการดูดซมึ สารอาหาร สารอาหาร เล่มที่ 1 แนวทางการจัดการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์

20 ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง การสรา้ งเครอื่ งมอื วดั และประเมนิ ผล วิชาวทิ ยาศาสตร์ ใบกจิ กรรมท่ี 1.1 จงตอบคำถามต่อไปน้ี 1. จงวเิ คราะห์ตวั ชว้ี ัดต่อไปน้ี แล้วระบพุ ฤติกรรมทีป่ รากฏในตัวชีว้ ดั ลงในชอ่ ง (K) หรอื (A) หรอื (P) ท่ีสัมพนั ธก์ บั พฤติกรรม เพื่อนำไปวางแผนการสรา้ งขอ้ สอบ ดังต่อไปน้ี ตัวช้ีวัด คำสำคญั ความรู้ ทกั ษะ คุณลักษณะ แนวทาง (K ) กระบวนการ (A) การจดั การเรยี นรู้ 1. ว 2. 1 ป 6 / 1 อ ธ ิ บ า ย แ ล ะ เปรียบเทียบการแยกสารผสมโดย (P) การหยิบออก การร่อน การใช้ แม่เหล็กดึงดูด การรินออก การกรอง และการตกตะกอน โดยใช้หลักฐาน เชิงประจักษ์ รวมทั้งระบุวิธี แก้ป ัญห าใ นช ีวิตป ร ะจ ำวัน เกี่ยวกับการแยกสาร 2. ว2.2 ป 6/1 อธิบายการเกิด และผลของแรงไฟฟ้าซึ่งเกิดจาก วัตถุที่ผ่านการ ขัดถูโดยใช้ หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ 3. ว3.1 ป 6/2 อธิบายพัฒนาการ ของเทคโนโลยี อวกาศ และ ย ก ต ั ว อ ย ่ า ง ก า ร น ำ เ ท ค โ น โ ล ยี อวกาศมาใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจำวัน จากข้อมูลที่ รวบรวมได้ 4. ว3.2 ป 6/4 เปรียบเทียบ การเกิดลมบก ลมทะเล และมรสมุ รวมทั้งอธิบายผลที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดลอ้ มจากแบบจำลอง 5.ว4.2 ป 6/3 ใช้อินเทอร์เน็ตใน การค้นหาขอ้ มลู อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ....ตอ่ ไป...ให้ทา่ นศึกษาใบความรู้ท่ี 1.2 กนั ต่อเลยค่ะ.... เลม่ ที่ 1 แนวทางการจดั การเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์

21 ชดุ ฝึกอบรมด้วยตนเอง การสร้างเคร่อื งมือวัดและประเมนิ ผล วชิ าวิทยาศาสตร์ ใบความรู้ท่ี 1.2 การเรียนรูใ้ นศตวรรษที่ 21 การเรียนรู้เพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 (21st century skills) การจัดการเรียนการสอนนนั้ ยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด ต้องได้รับส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ มีความรู้และทักษะด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมอย่างสมดุลยง่ั ยืน จัด เนอ้ื หาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของผู้เรียนโดยคำนงึ ถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล ฝึกทักษะกระบวนการคิด การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกัน และแก้ปัญหา จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น มี การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพและดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ทีเ่ หมาะสม กับผ้เู รยี นแตล่ ะระดับการศึกษา ใชเ้ ทคโนโลยีเพือ่ การศึกษาของผู้เรียนเพอ่ื ให้มีความรู้และทักษะเพียงพอ ท่ีจะใชเ้ ทคโนโลยเี พื่อการศกึ ษาในการแสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเองอย่างตอ่ เนือ่ งตลอดชีวิต ผลลพั ธ์การเรยี นรขู้ องผูเ้ รียนและระบบสนบั สนนุ การเรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21 ภาพ 21 st Century Student Outcomes And Support Systens เลม่ ท่ี 1 แนวทางการจัดการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์

22 ชดุ ฝึกอบรมดว้ ยตนเอง การสร้างเครอื่ งมือวัดและประเมนิ ผล วชิ าวทิ ยาศาสตร์ การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นการจัดการเรียนรู้บูรณาการควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้เกี่ยวกับประเด็นปัญหาในโลกที่เป็นจริง และสามารถเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันได้ เน้นทักษะการคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมัลติมีเดยี สำหรับการวัดและประเมินผลจะเน้นการประเมินผลตาม สภาพจริง และผู้เรยี นมสี ่วนร่วมในการประเมนิ ตนเอง (self-assessment) การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ ในศตวรรษที่ 21 นม้ี ุ่งพัฒนาทง้ั ความรูแ้ ละทกั ษะท่ีจำเปน็ ตอ่ การดำรงชวี ติ ได้แก่ 1. ทกั ษะดา้ นการเรียนร้แู ละนวตั กรรม (Learning and Innovation Skills) การเรยี นรผู้ ่านการสืบค้น ข้อมูลข่าวสารที่มีอย่างมหาศาล สามารถวิเคราะห์สังเคราะห์และตัดสินใจ นำข้อมูลที่มีอยู่มาใช้ให้เกิด ประโยชน์ตอ่ การพัฒนานวตั กรรม ความคิดสร้างสรรค์จงึ เป็นสิ่งท่ีครูต้องสอดแทรกและส่งเสริมเข้าไปใน กิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนได้รู้จักวิธีการแสวงหาความรู้และการนำความรู้ไป ประยุกตส์ รา้ งสรรค์ออกมาเป็นนวัตกรรม (ณฐั พงษ์ เจรญิ ทพิ ย์, 2542) 2. ทักษะด้านการส่ือสารสารสนเทศและเทคโนโลยี ( Information, Media and Technology Skills) ผเู้ รยี นควรไดร้ บั การพฒั นาทักษะดา้ นสารสนเทศ มกี ารเรียนรู้ท่ผี ู้เรียนได้สัมผัส คุ้นเคยข้อมูลและ สามารถประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศได้ (ชนาธปิ พรกลุ , 2554) 3. ทักษะชีวิตและอาชีพ (Life and Career Skills) การเห็นคุณค่าของชีวิตตนเองและผู้อื่นเป็น เรื่องสำคัญที่ทำให้ผู้เรียนดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข (ระพี สาคริก, 2552) และมีความ รับผิดชอบต่อหน้าที่ตนเองและรู้จักรับผิดชอบต่อสังคม รักโลก รักสิ่งแวดล้อม (ประสาท เนืองเฉลิม, 2558) ดงั นัน้ สรปุ ได้ว่า การจดั การเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 เปน็ การจัดการเรียนรู้ทเ่ี น้นผ้เู รียนเป็นสำคัญ ให้ผู้เรียนเกิดความรู้และสร้างองค์ความรู้ใหม่ สามารถประดิษฐ์คิดค้นใหม่โดยการใช้กระบวนการทางปัญญา กระบวนการทางสังคมและให้ผู้เรียนได้มีสว่ นร่วมในการเรียน และสามารถนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้ เกิดประโยชน์ และมีทกั ษะทีจ่ ำเป็นต่อการดำรงชวี ติ เลม่ ที่ 1 แนวทางการจัดการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์

23 ชุดฝกึ อบรมด้วยตนเอง การสร้างเครอ่ื งมอื วดั และประเมนิ ผล วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ใบกิจกรรมที่ 1.2 จากท่านได้ศึกษาใบความรแู้ ลว้ ลองตอบคำถามนะคะ จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1. ทา่ นเข้าชมคลปิ วิดีโอทางเวปไซด์ http://gg.gg/jomjv ในศตวรรษท่ี 21 ทกั ษะที่จำเป็นที่ผู้เรียนควรมี ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง .................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 2. ทา่ นมแี นวทางในการออกแบบการจัดการเรยี นรอู้ ย่างไร .................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ....ตอ่ ไป...ใหท้ า่ นศกึ ษาใบความร้ทู ี่ 1.3 กนั ตอ่ เลยคะ่ .... เล่มที่ 1 แนวทางการจดั การเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์

24 ชดุ ฝึกอบรมด้วยตนเอง การสรา้ งเครอ่ื งมอื วดั และประเมนิ ผล วชิ าวิทยาศาสตร์ ใบความรทู้ ่ี 1.3 บทบาทของครแู ละผ้เู รยี นในศตวรรษที่ 21 บทบาทของครู ครมู ีบทบาทในการส่งเสริมใหผ้ เู้ รยี นพัฒนาเต็มตามศักยภาพ ดงั น้ี 1. ศึกษาวิเคราะหท์ ำความเขา้ ใจหลกั สูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้กระจ่างชัดเจน เพ่ือนำไปใช้ใน การพจิ ารณาประกอบการออกแบบการจดั การเรียนรู้ สือ่ การสอน แกผ่ เู้ รียน 2. จัดทำหน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ โดยเน้น ความรู้ (Knowledge : K) ทักษะกระบวนการ (Process : P) ทส่ี อดคลอ้ งตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน รวมทั้งเจตคติ (Attitude : A) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม 3. ศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล พร้อมนำข้อมูลไปใช้ในการออกแบบการเรียนรู้ และ จดั การเรยี นรู้ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้เรียน ตามความแตกต่างของผู้เรียนและพฒั นาการทางสมอง เพ่ือพฒั นาศักยภาพของผู้เรยี นใหบ้ รรลุตามวตั ถปุ ระสงค์ 4. จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ด้วยวิธีการที่หลากหลายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของ หลักสตู ร เช่นการสอนแบบ Active learning 5. จัดบรรยากาศและสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกห้องเรยี นให้เอื้อต่อการเรียนรู้ 6. จัดเตรียมและใช้ส่ือการเรียนรู้ต่าง ๆ ตลอดจนภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น เทคโนโลยีและแหลง่ เรียนรู้ ในชมุ ชนได้อย่าง เหมาะสมกบั การเรยี นร้ขู องผู้เรยี น 7. ประเมินผลการเรยี นรขู้ องผู้เรียนด้วยวธิ ีการตา่ ง ๆ อยา่ งหลากหลาย ทัง้ นี้มงุ่ เนน้ การประเมนิ ผลตาม สภาพจริง เป็นสำคญั นอกจากนีเ้ น้นการมีส่วนร่วมของผู้เรยี น และผปู้ กครอง 8. นำผลการประเมนิ ผู้เรยี นใช้เพ่อื สอนซ่อมเสรมิ และพัฒนาผ้เู รยี น ตลอดจนปรบั ปรุงการจัดกิจกรรม การเรยี นรู้ของตนเองอยา่ งเป็นระบบ 9. ใช้กระบวนการวิจัยในชั้นเรียนเพื่อพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบและ ต่อเน่อื ง ดังนั้นสรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมการสอนวิทยาศาสตร์ให้สอดคล้องกับศตวรรษที่ 21 ครูควร ปรบั เปลีย่ นวธิ กี ารสอนแบบเดิม ๆ เช่น การใหค้ รูเปน็ ศูนยก์ ลาง เปลยี่ นเป็นผชู้ ่วยเหลือ เปน็ ต้นให้ เลม่ ท่ี 1 แนวทางการจัดการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์

25 ชุดฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง การสร้างเครื่องมอื วัดและประเมนิ ผล วิชาวทิ ยาศาสตร์ ออกแบบการเรียนรูจ้ ัดประสบการณใ์ หม้ ีความเหมาะสมเปน็ ผู้คอยกระตุ้นการคิด เรา้ ความสนใจ ในการเรยี น ครเู ปน็ ผสู้ รา้ งแรงบันดาลใจ แหง่ การค้นควา้ หาความรู้ บทบาทของผู้เรียน ประสาท เนืองเฉลิม (2558) กล่าวถงึ บทบาทของผเู้ รียนไว้วา่ การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 ตอ้ งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เพราะความรู้เกิดไดจ้ ากกระบวนการเรยี นรู้ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการ การศกึ ษาการมสี ว่ นร่วมในการเรยี นรู้ การจัดประสบการณท์ ห่ี ลากหลายดงั น้ี 1. ผเู้ รยี นเปน็ ผทู้ ตี่ ั้งคำถามเก่ยี วกบั สถานการณ์ ปัญหาทไ่ี ด้รบั การกระตนุ้ จากบทเรียน 2. ผเู้ รยี นเปน็ ผ้ทู ่ีวางแผนการเรยี นรู้ซึง่ อาจเปน็ ทัง้ การวางแผนร่วมกับครูหรือกลมุ่ ผ้เู รียนด้วย จะช่วยกระตุ้นกระบวนการคดิ และกระบวนการทำงานกลมุ่ การเรยี นรู้การทำความเข้าใจ 3. ผู้เรียนเป็นผู้ที่ร่วมการเรียนรู้ผ่านการสืบเสาะหาความรู้การลงมือกระทำและการแก้ปัญหา ร่วมกนั 4. ผเู้ รยี นเป็นผสู้ รปุ ความรูแ้ ละแลกเปลย่ี นเรียนรใู้ นส่ิงที่ดี และลงมือกระทำ 5. ผู้เรยี นเปน็ ผู้ที่สะท้อนผิดที่มีบทเรยี นและท่มี ตี ่อการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 6. ผู้เรียนเปน็ ผู้ที่มีสว่ นรว่ มในการกำหนดทิศทางการเรียนรแู้ ละพัฒนาสังคมโดยอาศัยการศึกษา แบบประชาธปิ ไตยเมื่อผเู้ รียนเข้าใจบทบาทตนเองตามวิถีทางการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรใ์ นศตวรรษที่ 21 ก็จะเป็นองคป์ ระกอบหนึง่ ท่ที ำให้บรรลเุ ปา้ หมายและปรัชญาของวิทยาศาสตร์ศึกษา 7. ผู้เรยี นเป็นผ้คู ิดตง้ั คำถามวางแผนลงมือกระทำสรุปและสะท้อนผลการเรียนรู้ ดงั นน้ั สรปุ ไดว้ ่า ผ้เู รยี นควรมบี ทบาทเป็นผู้ร่วมกำหนดเป้าหมายการเรยี นรแู้ ละร่วมแสดงความเห็นอย่าง มีเหตุผล หมน่ั ฝึกฝนพัฒนาทักษะในการแสวงความรู้ การพัฒนาทักษะในศตวรรษท่ี 21 ทกั ษะดา้ นต่าง ๆ เช่น ทักษะการใชเ้ ทคโนโลยี การคิดแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์จากแหลง่ การเรยี นรู้ท่ีหลากหลาย เพื่อ สร้างความรู้ความเข้าใจในการเรียนการรู้ด้วยตนเอง การเข้าถึงแหล่งข้อมูลและการจัดกระทำข้อมูล รวมทั้งการมีมนุษยสัมพันธ์ ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ สร้างผลงานจากการเรียนรู้ตามความถนัดด้วยของ ตนเอง นำเสนอและสะสะท้อนผลงานในรูปแบบต่าง ๆ ให้กำลังใจและช่นื ชมตนเองอย่เู สมอ เลม่ ท่ี 1 แนวทางการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์

26 ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง การสร้างเคร่ืองมอื วัดและประเมนิ ผล วิชาวทิ ยาศาสตร์ ใบกิจกรรมท่ี 1.3 จากท่านได้ศึกษาใบความรแู้ ล้ว ลองตอบคำถามนะคะ จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี 1. ใหท้ ่านชมคลปิ วิดโิ อน้ี http://gg.gg/jqn4i จากคลิปทา่ นคิดว่า ในศตวรรษที่ 21 ครูควรมบี ทบาทอยา่ งไรบา้ ง ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 2. ใหท้ ่านชมคลิปวดิ ิโอนี้ http://gg.gg/jqn7f จากคลิปท่านคิดว่า ในศตวรรษท่ี 21 นกั เรยี นควรมบี ทบาทอย่างไรบ้าง ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... เลม่ ที่ 1 แนวทางการจัดการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์

27 ชดุ ฝึกอบรมด้วยตนเอง การสร้างเครื่องมือวดั และประเมนิ ผล วิชาวิทยาศาสตร์ ตอนที่ 2 แนวทางการจดั การเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เลม่ ท่ี 1 แนวทางการจดั การเรยี นรู้วิทยาศาสตร์

28 ชุดฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง การสร้างเครือ่ งมอื วัดและประเมนิ ผล วิชาวิทยาศาสตร์ ใบความรู้ที่ 2.1 การจดั การเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ แนวทางการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ตามหลักสตู รการศึกษาขัน้ พ้นื ฐานพุทธศักราช 2551 เนน้ ผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยผู้เรียนมีบทบาทวางแผนการเรียนรู้ เลือกทำกิจกรรมการเรียนรู้ และลงมือปฏิบัติ กิจกรรมใหส้ อดคลอ้ งกับความสนใจและความถนัดของผู้เรยี น ฝกึ ทกั ษะกระบวนการคดิ และประยกุ ต์การเรยี นรู้ มาใชเ้ พือ่ ปอ้ งกัน แก้ปญั หา และจดั กจิ กรรมใหผ้ ู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้คิด เป็นทำเปน็ ซง่ึ มีเปา้ หมายของการจดั การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ดังนี้ เปา้ หมายของการจัดการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ การพัฒนาการศกึ ษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีลักษณะของการจัดการเรียนรู้ มคี วามยืดหยุ่น ตามบริบทของชุมชนในท้องถ่ิน เพื่อให้เกดิ การเรียนรู้เช่ือมโยงความรูใ้ ห้เกิดความรู้แบบองคร์ วม นำไปสู่ การสร้างและพฒั นาคุณภาพชีวิตที่มีตอ่ การรับผิดชอบต่อสังคมและการอนุรักษ์ธรรมชาติ เป้าหมายของ การจัดการเรียนการสอนสาระวิทยาศาสตร์ตามมาตรฐานการเรียนรู้ (สถาบันส่งเสริมการสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2546) ไดก้ ำหนดไว้ดังนี้ 1. เพ่ือให้เข้าใจหลกั การทฤษฎที ี่เปน็ พืน้ ฐานในวิทยาศาสตร์ 2. เพอ่ื ใหเ้ ข้าใจขอบเขตธรรมชาติและขอ้ จำกัดของวิทยาศาสตร์ 3. เพ่ือใหม้ ีทักษะทีส่ ำคญั ในการศึกษาคน้ คว้าและคิดค้นทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 4. เพอื่ พฒั นากระบวนการคิดและจนิ ตนาการความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการทักษะ ในการสือ่ สารความสามารถในการตดั สนิ ใจ 5. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมวลมนุษย์สิ่งแวดล้อมที่มี ผลกระทบซ่งึ กนั และกัน 6.เพือ่ นำความรู้ความเข้าใจเร่อื งวิทยาศาสตรไ์ ปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีวติ 7. เพื่อให้มจี ิตวิทยาศาสตร์มคี ุณธรรมจริยธรรม ค่านิยม ในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อย่างสรา้ งสรรค์ เล่มที่ 1 แนวทางการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์

29 ชดุ ฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง การสร้างเครอื่ งมือวดั และประเมนิ ผล วชิ าวิทยาศาสตร์ แนวทางการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เน้นผู้เรียนเปน็ สำคัญ โดยผู้เรียนมีบทบาทในการวางแผนการเรียนรู้ทำกิจกรรมการเรียนรู้และลงมือปฏิบัติทั้งนี้เพื่อ พัฒนาผู้เรียนให้มีความสมบูรณ์ทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา การจัดการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ใช้แนวทางจดั กระบวนการเรยี นรูต้ าม พรบ. มาตรา 24 ทร่ี ะบใุ หส้ ถานศึกษาดำเนนิ การดงั น้ี 1. จดั เน้ือหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกบั ความสนใจและความถนดั ของผู้เรียน 2. ฝึกทักษะกระบวนการคิดการจัดการการเผชิญสถานการณ์การประยุกต์ความรู้มาใช้ในการแก้ปัญหา การป้องกันและการแกป้ ญั หา 3. จัดกิจกรรมใหผ้ ้เู รียนไดเ้ รียนรู้จากประสบการณจ์ รงิ ฝกึ การปฏบิ ตั ิใหค้ ดิ เป็นทำเปน็ 4. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานระหว่างความรู้ต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนรวมทั้งปลูกฝัง คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 5. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียนรู้ อำนวยความสะดวก ต่าง ๆให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ไปพร้อม พร้อมกนั 6. จดั การเรียนรู้ใหเ้ กิดข้ึนได้ทุกท่ที ุกเวลา เลม่ ที่ 1 แนวทางการจัดการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์

30 ชดุ ฝึกอบรมด้วยตนเอง การสรา้ งเครอ่ื งมอื วดั และประเมนิ ผล วิชาวทิ ยาศาสตร์ ใบกิจกรรมที่ 2.1 จากทา่ นได้ศกึ ษาใบความรู้แลว้ ลองตอบคำถามนะคะ จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี ให้ทา่ นศกึ ษาคลิปวดี โี อนี้ http://gg.gg/jomf2 จากคลิบวดิ ีโอทา่ นจะนำความรู้ไปปรบั ใช้ในการจัดการเรียน การสอนเพือ่ ให้ผู้เรียนเกดิ ทักษะในศตวรรษที่ 21 อยา่ งไร ..................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ....ต่อไป...ใหท้ ่านศึกษาใบความรทู้ ี่ 2.2 กันต่อเลยคะ่ .... เล่มที่ 1 แนวทางการจัดการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์

31 ชดุ ฝกึ อบรมด้วยตนเอง การสร้างเครือ่ งมอื วัดและประเมนิ ผล วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ใบความร้ทู ี่ 2.2 การจัดการเรียนรู้แบบเชงิ รุก (Active Learning) Active Learning เป็นการจัดการเรียนการรู้ที่ส่งเสริมใหผู้เรียน ประยกุ ตใชทกั ษะและเชื่อมโยงองคความรูนำไปปฏิบตั ิเพอ่ื แกไขปญหา โดยการนำเอา วิธกี ารสอน และเทคนิคการสอนทห่ี ลากหลาย มาใชออกแบบแผนการสอนและ กิจกรรมกระตุนให้ผู้เรียนมีสวนร่วมในชั้นเรียน สงเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ผู้เรียนกับเพื่อนในชั้นเรียน และผู้เรียนกับผู้สอน ความสามารถในการสื่อสาร การทำงานเป็นทีมซึ่งสอดคลองกับ การเปลี่ยนแปลงในยุคปจจุบัน ดังภาพ พีระมิดการเรียนรู้ ถ้าผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติจะทำให้ผู้เรียนมีความรู้คงทน จ น เ ก ิ ด เ ป ็ น ก าร เ ร ีย น รู้ อ ย่าง มี ความหมาย (นรินทร์ วงค์คําจันทร์, 2558) และหน่วยการเรียนรู้ Active Learning เป็นหน่วยการเรียนร ู้ ท่ี ออกแบบกิจกรรม โดยผู้เรียนเป็น ภาพ พีระมิดการเเรยี นรู้ ศูนย์กลาง ในการพัฒนาศักยภาพทาง สมอง จิตใจ และทักษะกระบวนการ การมสี ว่ นรว่ มปฏสิ มั พันธ์มากกวา่ การแข่งขัน ปลูกฝังความรับผิดชอบรว่ มกัน การมีวินัยในการทำงานในการคิดการแก้ปัญหา และการนำ ความรูไ้ ปประยกุ ต์ใชใ้ นชีวติ อย่างแทจ้ ริง กอ่ นเขา้ เน้อื หาและกิจกรรมการเรียนรู้ช่วงแรก ควรใช้กิจกรรม ประเภทการฟงั การดูสื่อทีวี วดี โี อ ดกู ารสาธติ หลังจากนั้นเปน็ การเรยี นรูเ้ ปน็ กลุม่ 3-5 คน ลงมือทำด้วย ตนเอง มีการสนทนาแลกเปลี่ยนอภิปราย ประเมิน สรุปความรู้ และนำเสนอ ผู้เรียนได้สร้างความรู้ใหม่ และจะกลายเปน็ ความร้ทู ค่ี งทนในทสี่ ุด (ครรชิต มนญู ผล, 2559) เลม่ ที่ 1 แนวทางการจดั การเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์

32 ชดุ ฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง การสร้างเคร่ืองมอื วัดและประเมนิ ผล วิชาวทิ ยาศาสตร์ ครรชติ มนญุ ผล, 2559 กล่าวถงึ หลกั สำคัญในการออกแบบการเรยี นรู้ Active Learning มี รายละเอียด ดงั น้ี หลกั ท่ี 1 การพัฒนาศักยภาพสมอง การพัฒนาศกั ยภาพสมองมนษุ ย์ ทำให้มนษุ ยม์ พี ฒั นาการตา่ ง ๆทำหน้าท่ีอยา่ ง รวดเรว็ เช่น การจดั การเรียนรู้ Brain based Learning เป็นการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูท้ ใี่ ห้ความสำคัญกับ พัฒนาการของสมองผู้เรียนในแต่ละวัย โดยการฝึกสมองให้เรียนรู้การแก้ปัญหาได้ถูกต้องเหมาะสม เพื่อนำความรไู้ ปประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตจรงิ ในอนาคตได้ มีรายละเอยี ดดงั นี้ 1. ทกุ ส่วนของร่างกายมนษุ ยม์ ีผลต่อการเรียนรูข้ องสมองทัง้ ส้นิ ไม่วา่ การเคลื่อนไหวรา่ กาย การเดิน การนั่ง การกนิ การฟงั การร้องเพลง เปน็ ตน้ 2. อารมณ์มีผลต่อการเรียนรู้ คำชื่นชม ความสนุกสนาน ความท้าทายเป็นที่พึงพอใจ ย่อมส่งผล ให้เกดิ ปฏกิ ิรยิ าตอบสนองในการอยากมีสว่ นรว่ มอยากรบั ร้ใู ห้ความร่วมมอื 3. อารมณ์มผี ลตอ่ การพัฒนาการคิด ถ้าสิง่ ที่เรียนร้นู ัน้ สนกุ ท้าทาย ตน่ื เตน้ มคี วามสุข ผูเ้ รียน จะพรอ้ มเรียนรู้และจดจำขอ้ มลู เร่อื งราวเหตุการณ์ตา่ ง ๆ 4. สง่ิ แวดล้อมสามารถเปล่ียนแปลงสมองและพฤติกรรมของมนุษยไ์ ด้ สีของห้องเรียน ความสวยงาม ความสว่าง ความรอ้ นเยน็ รวมทง้ั บุคลกิ ภาพของครลู ว้ นมผี ลต่อสมองท้ังสน้ิ 5. สารอาหารสำคัญที่ช่วยพฒั นาสมอง เชน่ ธาตุสงั กะสี พบในอาหารประเภทปลา ข้าวซ้อมมือ โอเมก้า 3 พบในปลา และสาหร่ายทะเล สารไฟโตเอสโตรเจน ในถั่วเหลือง สารแอนโทไซยานินในผลไม้ และธาตเุ หล็ก พบในถั่วผักสีเขยี ว เน้อื สตั ว์ไข่ปลาและข้าว เปน็ ตน้ 6. การกระตุ้นความสนใจเป็นสง่ิ สำคญั ท่ีสุด ผเู้ รยี นมคี วามสนใจติดตามเร่ืองราวส้นั ยาว เป็นไป ตามวยั ครตู ้องปรบั เปลยี่ นวิธกี ารนำเสนอหรือวิธสี อน เพอื่ ดงึ ความสนใจผู้เรียนให้อยู่กับการเรียนรู้ให้มาก ทสี่ ดุ 7. การฝึกผู้เรียนตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบด้วยการสำรวจข้อมูลต่าง ๆ ฝึกแสดงความคิดเห็น แลกเปลยี่ นเรียนร้กู ับผอู้ ืน่ เรยี งลำดับ เปรยี บเทยี บ จัดกลุม่ สรปุ ปญั หาสาเหตุ นอกจากน้ีควรฝึกใหผ้ ู้เรียน ได้สัมผัสของจรงิ 8. สมองเรียนรู้ได้ดีด้วยการปฏิบัติจริงด้วยตนเอง Active Learning การได้ลงมือทำ การได้ เคลื่อนไหวสัมผัส ชิมรส ดมกลิ่น ส่งผลให้สมองเรียนรู้ได้ดีกว่าการเรียนรู้แบบ Passive Learning เช่น การฟงั คำบรรยาย การอ่าน การนั่งดทู ีวี หรอื การดกู ารสาธติ 9. สมองเรียนรู้ได้ดีเมื่อมีสิ่งจูงใจ น่าสนใจ มีความมุ่งมั่นตั้งใจ มีแรงบันดาลใจ มีเป้าหมายท่ี ชดั เจน มีเวลาพอเพียงทีจ่ ะชว่ ยสามารถจัดกระทำขอ้ มูลได้อย่างมีความหมาย เลม่ ท่ี 1 แนวทางการจดั การเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์

33 ชดุ ฝกึ อบรมด้วยตนเอง การสร้างเคร่ืองมือวัดและประเมนิ ผล วชิ าวิทยาศาสตร์ หลักที่ 2 การสรา้ งความคงทนในการเรยี นรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งผลถึงความคงทนในการเรียนร้ขู องสมอง มี ความแตกต่างกัน เช่น การจัดการเรียนรู้แนวพระราชดำรัสของ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว การปลูกจติ สำนึก การระเบิดจากข้างใน สง่ ผลให้ผู้เรียนเกดิ พลังการเรยี นรู้ มีความร้ทู ค่ี งทนย่ังยืน สามารถจดจำเรอ่ื งราวต่าง ๆ ได้เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน สามารถพัฒนามนุษย์ท้ัง ด้านสติปัญญา (Head) ด้านจิตใจ (Heart) ด้านทักษะการปฏิบัติ (Hand) กลายเป็นทักษะชีวิต (Life Skills) ตดิ ตัวในทีส่ ุด ควรให้ผเู้ รยี นไดท้ ำกิจกรรมดังต่อไปนที้ ุกชวั่ โมง เชน่ ขยบั กาย ขยายสมอง การเคลอื่ นไหว ประกอบเพลงเข้าจังหวะ ฝึกระเบียบวินัย ฝึกทักษะการคิดที่หลากหลาย รวบรวมจัดกลุ่ม เปรียบเทียบ เรียงลำดับ สรุปผลลัพธ์ ผลกระทบ ปัญหาสาเหตุ จุดดีจุดด้อย ฝึกตั้งคำถาม ฝึกอ่านเชิงวิเคราะห์ ฝึก เขยี นเชงิ วเิ คราะห์ ฝึกนำเสนอเชิงวิเคราะห์ และกิจกรรมการเรียนรู้ที่ต้องทำทุกวัน เช่น กิจกรรมท้าทาย ความสนใจ กจิ กรรมฝกึ การฟังการสมั ผัส การแลกเปลี่ยนความคิด ฝกึ ทำงานเป็นกล่มุ การแก้ปัญหาจาก สถานการณจ์ ริงในชีวิตประจำวนั ดว้ ยตนเอง ทำกจิ กรรมการทดลองปฏิบตั ิจรงิ กิจกรรมจติ อาสา เป็นตน้ ภาพ กิจกรรมการเรยี นรูท้ ีผ่ ้เู รยี นต้องปฏบิ ัติ (ครรชติ มนูญผล, 2559) เลม่ ที่ 1 แนวทางการจดั การเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์

34 ชดุ ฝึกอบรมด้วยตนเอง การสรา้ งเคร่อื งมอื วดั และประเมนิ ผล วิชาวิทยาศาสตร์ หลกั ที่ 3 ธรรมชาตริ ายวชิ าวิชาวิทยาศาสตร์ การจัดการเรยี นร้เู ชงิ รกุ (Active Learning) เป็นการจดั การเรยี นรู้ที่มี กจิ กรรม ใหผู้เรยี นไดล้ งมือปฏบิ ัติ แลกเปล่ยี นเรียนรู ทั้งในเชิงทักษะต่าง ๆ เชน การทดลอง การสำรวจตรวจสอบ ผู้เรยี นตองหาความหมายและทำความเขาใจด้วยตนเองหรอื ร่วมกัน กับเพื่อน เชน ร่วมสืบค้นหาคำตอบ รว่ มอภิปราย รว่ มนำเสนอ ประยุกตใชหรือนำไปใช้ และสรุปความคิด รวบยอด โดยครจู ัดกิจกรรมการเรียนรทู้ หี่ ลากหลาย เพอ่ื สง่ เสริมสนบั สนนุ ใหผู้เรียนเกิดความกระตอื รอื ร้น สนใจเรยี น เช่น การเรียนรู้แบบใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน การจัดการเรียนรูแ้ บบทดลอง การจดั การเรียนรู้แบบ สะเต็มศึกษา การจัดการเรียนรู้ทีส่ ่งเสรมิ การคดิ วเิ คราะห์ การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ เป็น ตน้ ไดม้ ีนกั วิชาการไดเ้ สนอข้นั ตอนการเรียนรู้แบบ Active Learning ดงั น้ี นรินทร์ วงศ์คำจันทร์ (2558) ไดก้ ลา่ วถงึ ขั้นตอนการสอนแบบ Active Learning ประกอบด้วย 6 ข้นั ตอน ดงั นี้ 1. ขั้นนำ หมายถึง ครนู ำเขาสู่บทเรยี นโดยการใช้สถานการณที่พบชวี ิตประจำวัน เพ่ือกระตุ้นให กบั ผู้เรยี นสนใจ 2. ขั้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ หมายถึง การจัดกิจกรรมที่ทำให้ผู้เรียนร่วมกันแชร์ ประสบการณ์ และเชื่อมโยงประสบการณ์หรือความรู้เดิมของตนเองกับประสบการณใหม่ ที่พบเพื่อนำ สรุปและสรา้ งองคความรูรว่ มกนั เชน การใชวดี ีโอ สถานการณจำลอง ตั้งประเด็นคำถาม เปน็ ต้น 3. ขน้ั การสรา้ งองคความรูร่วมกนั หมายถงึ การจดั กิจกรรมโดยการตงั้ ปญหา หรอื คำถามท่ีทำให ผเู้ รียนไดค้ ดิ เพอ่ื นำไปสู่การสรา้ งประสบการณรว่ มกัน โดยครู ใหทำกิจกรรมการทดลอง สำรวจตรวจสอบ รว่ มอภปิ รายและระดมความคดิ เปน็ ตน 4. ขั้นการนำเสนอความรู หมายถึง การรวบรวมแนวคิดที่ได้จากการอภิปราย กลุมนำมา เชื่อมโยงกับหลักการ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ จนเป็นที่ยอมรับ ว่าเป็นขอเท็จจริง เชน ปญหาที่เกิดจาก การเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีมีผลกระทบตอ่ สงิ่ มชี วี ิตและส่งิ แวดลอม 5. ข้นั การประยกุ ตใชหรือลงมือปฏิบัติ หมายถึง กจิ กรรมนำเสนอ ความรูนน้ั ตอผ้เู รียนด้วยกันใน ชั้นเรียน ตอสาธารณะ โดยการทำโปสเตอร์ ทำป้าย การเสนอภาพนงิ่ หรอื ผู้เรียนนำใชในชวี ิตประจำวันได้ เชน หลักการเลอื กใชสารเคมีที่ถูกตอง และการปองกันอนั ตรายจากสารเคมี 6. ขั้นประเมินผล หมายถึง เป็นขั้นที่ผู้สอนใหผู้เรียนทำแบบฝกหัด และ แบบประเมินผลจาก สงั เกตพฤติกรรม ใบกิจกรรม และบนั ทึกการเรยี นรู เลม่ ที่ 1 แนวทางการจัดการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์

35 ชุดฝกึ อบรมด้วยตนเอง การสร้างเครอื่ งมอื วัดและประเมนิ ผล วชิ าวิทยาศาสตร์ Baldwin and Williams (1988, p. 187) ได้เสนอขนั้ ตอนการจัดการสอนแบบ Active Learning ดังนี้ 1. ขนั้ เตรยี มพรอม เปน็ ขนั้ ที่ผสู้ อนนำผูเ้ รียนเขาสู่เนื้อหา โดยการสร้างแรงจงู ให ผเู้ รียนเกิดความ กระตือรือรนในการอยากท่ีจะเรียนรูตอไป 2. ขั้นปฏิบัติงานกลุ่ม เป็นขั้นที่ผู้สอนใหผู้เรียนเข้ากลุ่มยอย เพื่อทำงานร่วมกัน และสรุปความ คดิ เห็นของกลมุ่ อกี ทัง้ ตองแลกเปลีย่ นเรยี นรูกนั ระหว่างกลมุ่ อน่ื ๆ โดยท่ี ผูส้ อนตองเสรมิ ขอ้ มลู ใหสมบูรณ 3. ขั้นประยุกตใช้ เป็นข้นั ท่ใี หผเู้ รียนทำแบบฝกหัด หรือทำแบบทดสอบหลงั เรยี น 4. ข้นั ติดตามผล เป็นขนั้ ทใ่ี หผู้เรยี นไดค้ นควาอิสระเพมิ่ เติม โดยจดั ทำเป็นรายงาน หรอื ใหผู้เรียน เขยี นบนั ทกึ ประจำวัน รวมถึงใหผูเ้ รยี นเขียนสรปุ ความรูทีไ่ ดร้ ับในคาบเรยี น น้ัน ๆ ครรชิต มนูญผล, 2559 ได้กล่าวถึงขน้ั ตอนการสอนแบบ Active Learning ดังน้ี 1. ข้ันรับรู้ เพอื่ กระตุน้ ให้เกิดความสนใจ อยากร้จู ักเรือ่ งราวเหตกุ ารณ์รอบตัว - ตงั้ คำถามกำหนดประเดน็ ให้แสดงความคิดเหน็ อย่างอิสระ - สรา้ งความสนใจกระตุน้ ให้คดิ รว่ มกัน - รว่ มอภปิ รายตรวจสอบข้อและเติมเตม็ 2. ข้นั ประยกุ ต์ใช้ เพอ่ื นำความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตรป์ ระยุกต์ใช้ - เลอื กหัวข้อเร่อื งท่สี นใจ - วางแผนศึกษาสำรวจทดลอง - ร่วมอภปิ รายสรปุ องค์ความรู้ - รวมนำเสนอความรู้ใหม่ 3. ขั้นเชือ่ มโยง เพื่อฝึกต้งั คำถาม ฝึกเป็นระบบฝกึ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ - แบง่ กล่มุ ฝึกคดิ สำรวจตรวจสอบ คาดคะเน ฝึกวางแผน คน้ คว้าทดลอง - อธบิ ายส่งิ ทค่ี น้ พบแสดงหลกั ฐานและเหตุผล ดงั นั้นสรปุ ได้วา่ การจัดการเรยี นรูแ้ บบ Active Learning เป็นการจัดการเรยี นรูท้ ผ่ี ้เู รียนได้เป็นผู้ ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และสร้างองค์ความรูจากสิ่งที่ได้ลงมือปฏิบัติ เช่น การทดลอง การสำรวจ ตรวจสอบ การคนหาคำตอบ การร่วมกันอภิปราย และนำเสนอเพือ่ หาขอ้ สรุป และนำความรู้ท่ีได้ไปปรับ ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยครูเป็นผู้ช่วยเหลือ สนับสนุน และคอยกระตุ้นให ผู้เรียนเกิดความสนใจ ประกอบด้วยขน้ั ตอนดงั น้ี 1. ขนั้ นำเข้าสู่บทเรียน การสร้างความสนใจให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้ อยากเหน็ และต้องการหาคำตอบ การดภู าพ การดวู ดิ ีโอ ข่าว เหตุการณ์ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับเนอ้ื หา เปน็ ตน้ 2. ขั้นปฏิบัติ การสร้างองคความรูร่วมกัน โดยผู้เรียนร่วมกันลงมือค้นคว้าหาคำตอบโดยการ สืบค้น การทดลอง การเชื่อมโยงความรู้เก่าและใหม่ แล้วร่วมกันอภิปรายเพื่อหาข้อสรุปแนวคิด หลักการของ เนอ้ื หาในบทเรียน เพ่ือผู้เรยี นจะได้นำความร้ไู ปใชในการแก้ปัญหาในสถานการณใหมต่ อไป เล่มที่ 1 แนวทางการจัดการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์

36 ชุดฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง การสร้างเครื่องมอื วดั และประเมนิ ผล วิชาวทิ ยาศาสตร์ 3. การนำเสนอ โดยตัวแทนกลุ่มนำเสนอผลงานท่ีสะทอนความคิดเหน็ จากการลงมอื ปฏิบัติจริง ในรปู แบบต่าง ๆ 4. ขั้นสรุป เป็นการสรุปผลร่วมกันระหว่างผู้เรียนและครู ว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด หรอื ไม่ เล่มท่ี 1 แนวทางการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์

37 ชดุ ฝึกอบรมดว้ ยตนเอง การสร้างเครอ่ื งมือวดั และประเมนิ ผล วชิ าวิทยาศาสตร์ ใบกจิ กรรมที่ 2.2 จากทา่ นไดศ้ กึ ษาใบความร้แู ลว้ ลองตอบคำถามนะคะ จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี 1. การจัดการเรยี นรแู้ บบ Active Learning หรอื การจดั การเรยี นรแู้ บบเชิงรกุ มีลกั ษณะอยา่ งไร พร้อมกบั ยกตัวอยา่ งรปู แบบการจดั การเรยี นรูม้ า 5 รปู แบบ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 2. ท่านจะจัดการเรยี นร้อู ย่างไร ใหผ้ ู้เรยี นมคี วามคงทนในการเรยี นรแู้ ละจดจำไดน้ านข้ึน .................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 3. ในการจัดกิจกรรมการเรยี นรูข้ องท่าน กิจกรรมทีท่ ่านต้องทำทุกช่วั โมงและกิจกรรมทจี่ ะตอ้ งทำ ทกุ วนั ทสี่ ง่ ผลต่อผู้เรยี นในการเรียนรูม้ ีอะไรบา้ ง จงยกตัวอยา่ ง ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... เลม่ ท่ี 1 แนวทางการจัดการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์

38 ชดุ ฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง การสรา้ งเครื่องมือวัดและประเมนิ ผล วชิ าวิทยาศาสตร์ ใบความรู้ 2.3 การจัดการเรียนร้ทู ่สี ง่ เสริมการคิดวเิ คราะห์ การคิดวิเคราะห์ (Analytical thinking) เป็นกระบวนการคิด การจำแนก แยกแยะ เปรียบเทียบข้อมูล เพื่อจัดกลุมข้อมูลอย่างเป็นระบบ ระบุเหตุผลหรือเชื่อมโยงความสัมพนั ธ์ของข้อมูล และตรวจสอบข้อมูล หรือ หาข้อมูลเพื่อใหเพียงพอในการตัดสินใจ แก้ปัญหา (เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ ศักด์ิ, 2550 ) เพื่อหาข้อสรปุ อันเป็นหลกั การของข้อมลู น้ัน แล้วนำหลักการนนั้ ไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ (ทศิ นา แขมมณี, 2552) รวมทั้งหาความสมั พันธ์และความเช่ือมโยงของส่ิงต่าง ๆ จนได้ความคิดนำ ไปสู่การสรุป การประยุกต์ใช้ การทำนายหรือคาดการณ์สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง (ประพันธศ์ ิริ สเุ สารัจ, 2556 :53 – 54) ดังนั้นสรุปได้ว่า การคิดวิเคราะห์ เป็นความสามารถในการคิด แยะแยก เปรียบเทียบ และ ตัดสินข้อมูล เกี่ยวกับประเด็นปญหาหรือสถานการณนั้น ๆ อย่างมีเหตุผลหรือข้อมูลที่นาเชื่อถือมา สนับสนนุ และสรปุ ผลการคิดวิเคราะหม์ ีความสำคัญอย่างย่ิงในการจัดการศึกษา ได้มีนักวิชาการกล่าวถึง ข้นั ตอนการคดิ วเิ คราะห์ ดังน้ี ทิศนา แขมมณี (2553) กล่าวถงึ ขั้นตอนการคิดวิเคราะห์ดงั นี้ ขน้ั ที่ 1 ศึกษาขอ้ มูล ขน้ั ที่ 2 กำหนดวัตถปุ ระสงคในการวิเคราะห์ข้อมูล ขั้นที่ 3 กำหนดเกณฑในการจำแนกแยกแยะขอ้ มูล ขั้นท่ี 4 แยกแยะข้อมูลตามเกณฑท่ีกำหนด เพ่ือใหเห็นองคประกอบของสงิ่ ท่ี วเิ คราะห์ ขั้นที่ 5 หาความสัมพันธ์ระหว่างองคประกอบต่าง ๆ และความสัมพันธ์ของข้อมูลใน แต่ ละองคประกอบ ขัน้ ท่ี 6 นำเสนอผลการวิเคราะห์ ขั้นที่ 7 นำเสนอผลการวิเคราะห์มาสรุปตอบคำถามตามวัตถปุ ระสงค วีระ สุดสังข์ (2550 : 26-28) ได้กล่าวไว้ว่า วิธีการคิดวิเคราะห์ สามารถฝึกตามขั้นตอนได้ดังนี้ 1. กำหนดสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์ เป็นการกำหนดวัตถุ สิ่งของ เรื่องราวหรือเหตุการณ์ ตา่ ง ๆ ขนึ้ มา เพ่อื เปน็ ตน้ เรอื่ งท่ีจะใชว้ เิ คราะห์ 2. กำหนดปัญหาหรือวัตถุประสงค์ เป็นการกำหนดประเด็นสงสัยจากปัญหาหรือสิ่งท่ี วิเคราะห์ อาจจะกำหนดเป็นคำถาม หรอื กำหนดวตั ถปุ ระสงคก์ ารวิเคราะห์ เพือ่ ค้นหาความจรงิ เล่มที่ 1 แนวทางการจดั การเรียนร้วู ิทยาศาสตร์

39 ชดุ ฝึกอบรมด้วยตนเอง การสรา้ งเครื่องมอื วัดและประเมนิ ผล วิชาวิทยาศาสตร์ 3. กำหนดหลักการหรือกฎเกณฑ์ เพื่อใช้แยกส่วนประกอบของสิ่งที่กำหนดให้ เช่น เกณฑ์ในการจำแนกสิง่ ท่ีมีความเหมอื นกันหรือแตกตา่ งกนั 4. กำหนดการพิจารณาแยกแยะ เป็นการกำหนดการพินิจพิเคราะห์ แยกแยะ และ กระจายสิ่งท่ีกำหนดให้ออกเป็นส่วนยอ่ ย ๆ โดยอาจใช้เทคนิคคำถาม 5 W 1 H ประกอบด้วย What Where When Why Who และ How 5. สรุปคำตอบ เป็นการรวบรวมประเด็นที่สำคัญเพื่อหาข้อสรุปเป็นคำตอบหรือตอบ ปญั หาของสงิ่ ท่กี ำหนดให้ ดังนั้น สามารถสรุปได้ว่า การคิดวิเคราะห์มีข้นั ตอน ดังนี้ ขั้นท่ี 1 ศึกษาข้อมูลหรือสง่ิ ที่ตองการวเิ คราะห์ ประเดน็ กรณศี ึกษา ข้ันที่ 2 กำหนดวตั ถุประสงคข์ องการคิดวเิ คราะห์ ขนั้ ท่ี 3 จำแนก แยกแยะ สิ่งต่าง ๆ ทีต่ องการวิเคราะห์ ข้ันที่ 4 เชอ่ื มโยงความสมั พันธร์ ะหว่างองคประกอบใหญ่และองคประกอบยอ่ ย ขน้ั ที่ 5 นำเสนอขอ้ มูลการวเิ คราะห์ ขน้ั ที่ 6 นำผลการวิเคราะห์ไปใชประโยชน์ เล่มที่ 1 แนวทางการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์

40 ชุดฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง การสรา้ งเครื่องมือวดั และประเมนิ ผล วิชาวทิ ยาศาสตร์ ใบกิจกรรมที่ 2.3 จากทา่ นได้ศกึ ษาใบความร้แู ลว้ ลองตอบคำถามนะคะ จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1. ให้ท่านชมคลิปวดิ ีโอ http://gg.gg/jqozk กรณีศกึ ษา โรงเรียนบ้านขุนแปะ จ.เชียงใหม่ ใหท้ ่านออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรูท้ ีส่ ง่ เสริมผู้เรียนใหม้ ที ักษะการคิดวเิ คราะห์ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ....ตอ่ ไป...ให้ท่านศกึ ษาใบความรทู้ ่ี 2.4 กันตอ่ เลยคะ่ .... เล่มท่ี 1 แนวทางการจัดการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์

41 ชดุ ฝกึ อบรมด้วยตนเอง การสรา้ งเครื่องมือวดั และประเมนิ ผล วิชาวิทยาศาสตร์ ใบความรูท้ ี่ 2.4 การจดั การเรยี นรู้แบบทดลอง วิธีสอนแบบทดลองหรือแบบปฏิบัติการ เป็นวิธีที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้จากการค้นพบ โดยวธิ ีการปฏบิ ัติ ในห้องทดลองผู้เรยี นจะไดร้ ับความรู้จากประสบการณ์ตรงโดยการสังเกตและการทดลอง ขั้นตอนการสอนแบบทดลองมี 4 ขนั้ ดังน้ี 1. ขั้นนำ ให้เกิดความเข้าใจและเกดิ แรงจูงใจ ครูเสนอแนะสิ่งทีจ่ ะทำการทดลอง อธิบาย ให้ผู้เรียนเข้าใจในวิธีการทดลองและชี้แจงคำแนะนำในการทดลองหรือให้ผู้เรียนศึกษาจากเอกสาร ประกอบการเรยี นรู้ 2. ขั้นทำการทดลอง ผเู้ รียนทกุ คนไปทำการทดลอง 3. ขั้นเสนอผลการทดลอง ผู้เรียนรายงานข้อมูล หรือสิ่งที่ค้นพบทีร่ วบรวมได้ โดยการนำเสนอ หน้าชั้นเรยี น การทำรายงาน การจัดนิทรรศการ เป็นต้น 4. ขั้นสรุปและวัดผล ครูและผู้เรียนร่วมกันสรุปผลการทดลอง สรุปความคิดรวบยอด และทำการประเมิน ตัวอยา่ ง เรื่อง การกรอง ชั้น ป. 6 ขัน้ ตอนการทดลอง 1. ขัน้ นำ ใหเ้ กิดความเข้าใจและเกิดแรงจูงใจครูนำมาใหผ้ ู้เรียนดู 2 แกว้ ให้ ตัดสนิ ว่านำ้ แก้วไหนสะอาดกว่ากนั แล้วถามวา่ ถ้าน้ำไม่สะอาดจะทำอย่างไร ให้สะอาดจนได้ขอ้ สรุปวา่ การกระทำใหน้ ้ำสะอาดได้ 2. ขัน้ ทำการทดลอง แบง่ ผู้เรยี นออกเป็นกลุ่ม กลุม่ ละ 4-5 คน โดยใน กลุ่มมีนกั เรียน เก่ง นกั เรยี นปานกลาง และนักเรยี นออ่ น จากนัน้ แจกอุปกรณก์ ารทดลองใหก้ ลมุ่ ละ 1 ชดุ พรอ้ มกบั ใบกิจกรรม ให้ผเู้ รยี นทำการทดลอง สงั เกตและบนั ทกึ ผลการทดลอง และ ชว่ ยกนั ตอบคำถาม 3. ขัน้ เสนอ เปน็ การนำเสนอผลการทดลอง โดยใหผ้ ูเ้ รียนส่งตวั แทนออกมารายงานผล 4. ขั้นสรุป ขั้นนี้ทำการวัดผลและประเมนิ ผลผู้เรียน และร่วมกันสรุปผลการทดลองและนำผลที่ได้ ไปจัดปา้ ยนทิ รรศการ เลม่ ท่ี 1 แนวทางการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์

42 ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง การสรา้ งเครอื่ งมือวัดและประเมนิ ผล วิชาวิทยาศาสตร์ ใบกจิ กรรมที่ 2.4 จากท่านไดศ้ ึกษาใบความรแู้ ล้ว ลองตอบคำถามนะคะ จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี 1. การจดั การเรียนร้แู บบทดลอง มีกขี่ ้นั ตอน อะไรบา้ งจงอธบิ าย ..................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 2. จงออกแบบการจัดการเรียนรทู้ ีใ่ หน้ ักเรียนไดท้ ำการทดลอง 1 เรื่อง ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ....ตอ่ ไป...ใหท้ ่านศึกษาใบความรทู้ ี่ 2.5 กนั ตอ่ เลยคะ่ .... เล่มท่ี 1 แนวทางการจัดการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์

43 ชุดฝกึ อบรมด้วยตนเอง การสรา้ งเครอื่ งมอื วัดและประเมนิ ผล วิชาวทิ ยาศาสตร์ ใบความรทู้ ี่ 2.5 การจดั การเรียนรโู้ ครงงานเป็นฐาน การเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-Based Learning) เป็นรูปแบบหนึ่งของ Child- centered Approach ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำงานตามระดับทักษะที่ตนเองมีอยู่ โดยศึกษาค้นคว้าและลงมือ ปฏิบัติด้วยตวั เองภายใต้การดูแลและการให้คำปรึกษาของครู โดยครูทำหนา้ ที่เป็นผู้สนับสนุนการแก้ไข ปญั หา และสร้างแรงจงู ใจใหแ้ ก่ผเู้ รียน ตัง้ แตก่ ารคดิ สร้างผลงานดว้ ยตนเอง (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2545: 1-4) ซึง่ โครงงานเปน็ การศกึ ษาเร่อื งใดเร่ืองหนึง่ อยา่ งมหี ลกั เกณฑ์ เปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นได้ลงมือปฏิบัติและ ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตามแผนที่ผู้เรียนเป็นผู้จัดทำขึ้น (กุณตรี เพ็ชรทวีพรเดช และคณะ, 2550:24) ภายใต้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้มาซึง่ คำตอบหรือผลงานที่มีความสมบูรณ์ในตวั เองเกิดการเรยี นรู้ ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อตอบปัญหาข้อสงสัย (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2546) การคน้ คว้าหาองค์ความรใู้ หม่ดว้ ยตนเอง (กนกวรรณ แปงใจ, 2555) มนี กั วิชาการไดเ้ สนอขัน้ ตอนการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานวทิ ยาศาสตร์ มดี งั น้ี สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2550 :4-5) เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โครงงาน วิทยาศาสตรต์ ามแนวคดิ มดี งั นี้ 1. ขั้นนำ เป็นขั้นที่ครูให้ผูเ้ รียนศึกษาใบความรู้ ศึกษาสถานการณ์ เกม รูปภาพ หรือการใช้ การตั้งคำถามเกี่ยวกบั สาระการเรยี นรู้ท่กี ำหนดในแผนการจดั การเรยี นรแู้ ตล่ ะแผน 2. ข้ันวางแผน เปน็ ขนั้ วางแผนโดยการระดมความคิดเหน็ จากการอภปิ ราย หรือข้อสรุปของ กลมุ่ เพ่อื ใหไ้ ดแ้ นวทางในการปฏิบตั ิ 3. ขั้นปฏิบัติ เป็นขั้นที่ผู้เรียนลงมือทำตามแผนแล้วเขียนสรุปรายงานผลที่เกิดขึ้นจากการวางแผน ร่วมกนั 4. ข้ันประเมนิ ผล เปน็ ขน้ั การวดั และประเมนิ ผลตามสภาพจริง โดยใหบ้ รรลุจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ท่ีกำหนดไวใ้ นแผนการจดั การเรียนรู้โดยมีผ้เู รยี นและเพอ่ื นร่วมกนั ประเมนิ วิมลศรี สุวรรณรัตน์และมาฆะ ทิพย์คีรี (2555) เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โครงงาน วิทยาศาสตร์ตามแนวคิด มดี งั นี้ 1. ขน้ั นำ เปน็ ขน้ั ทีผ่ ู้เรียนร่วมกนั กำหนดเป้าหมายร่วมกันสรา้ งแรงจงู ใจในการเรียน 2. ขน้ั ทบทวนความรเู้ ดมิ เป็นขน้ั ทีผ่ เู้ รยี นได้แสดงออกถึงความรูเ้ ดิม 3. ขั้นปรบั เปลี่ยนแนวคดิ เปน็ ขัน้ ท่ีผู้เรยี นได้ปรบั เปลีย่ นแนวคดิ ดว้ ยวิธกี ารทีห่ ลากหลาย เลม่ ที่ 1 แนวทางการจัดการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์

44 ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง การสรา้ งเครอ่ื งมือวดั และประเมนิ ผล วิชาวิทยาศาสตร์ 4. ขั้นสร้างความรู้ เป็นขั้นท่ีผู้เรียนไดน้ ำความรู้จากการตีความ แล้วเชื่อมโยงกับความรู้เก่า ไปส่คู วามรูใ้ หม่ 5. ขั้นนำความรูไ้ ปใช้ผ้เู รียนสามารถนำความรคู้ วามเข้าใจท่ไี ด้เรยี นรู้ขอ้ เท็จจรงิ วิธีการต่าง ๆ ไปใชใ้ นสถานการณช์ วี ติ ดงั นน้ั สรปุ ได้วา่ ขน้ั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน มขี ้ันตอน ดังน้ี 1. ขน้ั นำ ครูต้ังคำถามเพ่ือกระต้นุ ให้ผู้เรียนสนใจเพือ่ นำไปสู่ปัญหา เพื่อหาคำตอบ 2. ขั้นวางแผน สมาชิกในกลุ่มร่วมกนั วางแผน โดยการระดมความคดิ รวบรวมขอ้ มูลแนวทางต่าง ๆ และหาขอ้ สรปุ ของกลมุ่ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั ิ 3. ขั้นปฏบิ ตั ิ ผเู้ รยี นลงมือปฏบิ ัติกิจกรรม แกป้ ญั หา หาคำตอบ บนั ทึกผล เขยี นรายงานผลท่ีเกิดขึ้น จากการวางแผนทำงานรว่ มกนั 4. ขั้นประเมินผล การวัดและประเมินผลตามสภาพจริง โดยให้บรรลุจุดประสงค์ การเรียนรู้ที่ กำหนดไว้ โดยมีครู ผเู้ รยี นและเพ่อื นร่วมกนั ประเมิน ตวั อย่าง เรื่อง สารเคมีที่พบในชวี ติ ประจำวนั มาตรฐาน ว3.1 เข้าใจสมบัติของสารความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคมีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และจิตวทิ ยาศาสตร์สื่อสารส่งิ ท่เี รียนรแู้ ละนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ตัวชี้วัด ว3.1 ป.6/5 อภิปรายการเลือกใช้สารแต่ละประเภทได้อย่างถูกต้อง และปลอดภัย 1.ขั้นนำ ครนู ำเขา้ ส่บู ทเรียนโดยการสอบถามนักเรียนท่ีเก่ยี วกบั สารเคมีทพ่ี บในชวี ิตประจำวนั สารเคมีที่ นักเรียนได้เคยเรียนไปแล้วหรือความรู้ที่มี และให้นักเรียนยกตัวอย่างสารเคมีที่นักเรียนรู้จักและที่พบ รอบตัวในชีวิตประจำวัน แล้วจัดประเภทของสารเคมีที่มีผลต่อมนุษย์ สิ่งแวดล้อม และวิธีการเลือกใช้ สารเคมีที่ถูกต้อง ตลอดจนร่วมอภิปรายเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ และอภิปรายเกี่ยวกับผลกระทบที่ขึ้น โดยครเู ปิด วิดโี อ และรูปภาพของสารเคมที ่ีใชใ้ นชีวิตประจำวนั ใหด้ ู เลม่ ท่ี 1 แนวทางการจดั การเรียนรู้วิทยาศาสตร์

45 ชุดฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง การสร้างเครือ่ งมอื วัดและประเมนิ ผล วชิ าวิทยาศาสตร์ 2. ขัน้ สอน - ครูแจ้งขอบข่ายเนื้อหาในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ได้แก่ สารเคมีที่พบในชีวิตประจำวัน ผลกระทบทเี่ กดิ ข้นึ - จากขอบขา่ ยให้นักเรยี นแบ่งกล่มุ แต่ละกลมุ่ แบ่งหน้าทก่ี ันชดั เจนวา่ ใครทำอะไร โดยแต่ละกลุ่ม ศกึ ษารายละเอยี ดของหวั ข้อทสี่ นใจ - นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ จะต้องคิดส่งิ ท่อี ยากรู้ กำหนดวตั ถุประสงค์เกี่ยวกับหัวขอ้ ดงั กลา่ ว - ครพู ิจารณาเร่ืองทีน่ ักเรียนสนใจวา่ เหมาะสมแก่การทำโครงงานหรือไม่ แลว้ ให้นักเรียนระบดุ ว้ ย วา่ โครงงานนั้น เปน็ โครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภทใด - ครใู ห้นกั เรียนหาสาเหตุ วา่ ทำไมจึงทำเร่ืองนีเ้ รอื่ งที่นักเรียนสนใจ แล้วให้นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ช่วย กำหนดจุดมุง่ หมาย ในเรื่องท่ตี นเองอยากรู้อยากหาคำตอบ - ใหน้ ักเรยี นแต่ละกลมุ่ ตัง้ ชอื่ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 3. ขั้นวางแผน - ผเู้ รยี นแตล่ ะกลมุ่ ระบแุ หลง่ ข้อมลู สำหรบั ใช้ในการศึกษาคน้ ควา้ - ระบขุ ้ันตอนการดำเนินงาน ซง่ึ ครจู ะเปน็ ผูต้ รวจสอบ - ระบุวิธีการนำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์ตามรูปแบบที่ตนเองสนใจ และเน้นให้นักเรียน นำเสนอโครงงานด้วยวธิ กี ารทีห่ ลากหลาย - กำหนดเวลาในการดำเนินงาน ว่าใช้เวลาเพียงใด - กำหนดวิธีการประเมินโครงงานวิทยาศาสตร์ ซึ่งหนึ่งกลุ่มอาจจะสามารถประเมินโครงงานได้ หลายวธิ ีเชน่ เพ่อื นร่วมช้ัน เขา้ รว่ มชมโครงงาน นำเสนอต่อพ่อแม่ ครู เปน็ ต้น 4. ข้ันปฏบิ ตั ิ ผู้เรยี นลงมอื ปฏิบัตกิ ิจกรรม ตามแผนท่ไี ด้กำหนดไว้ 5. ขัน้ ประเมินผล เมอ่ื กิจกรรมเสร็จส้นิ ลงผเู้ รียนต้องประเมินการปฏบิ ตั งิ านของตนเอง 6. ข้นั สรุป ครูและนักเรียนรว่ มกัน สรุป และผ้เู รียนแตล่ ะกลมุ่ นำเสนอ เช่น จัดบอร์ด จดั นทิ รรศการ แจกแผน่ พบั หรือแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ซง่ึ กนั และกนั เล่มท่ี 1 แนวทางการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook