Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore pge60-89หน่วยที่5 เอกสารประกอบการสอน ทำแผล

pge60-89หน่วยที่5 เอกสารประกอบการสอน ทำแผล

Published by noya2599, 2018-04-24 00:55:15

Description: pge60-89หน่วยที่5 เอกสารประกอบการสอน ทำแผล

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอน หนว่ ยท่ี 5 หลักการและเทคนคิ การดูแลบาดแผล และการพันผ้า ชลการ ทรงศรีบทนา การทาความสะอาดบาดแผลเปน็ การทาความสะอาดบาดแผลและปดิ ผ้าใหมโ่ ดยอาศยั หลักปราศจากเชื้อ ทง้ั นมี้ ีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือส่งเสริมการหายของแผลโดยการทาใหจ้ านวนเช้ือจุลินทรีย์ลดลงดูดซบั ของเหลวที่ออกจากรา่ งกาย ป้องกันเชอื้ จลุ นิ ทรีย์และสง่ิ รบกวนภายนอกลดการบวมของเน้ือเยือ่ ที่บาดแผล ยึดผา้ ปิดแผลใหอ้ ยกู่ ับท่ี หา้ มเลอื ด และใส่ยา โดยในการทาความสะอาดบาดแผลควรเลอื กวิธีการท่ีเหมาะสมกับลักษณะของบาดแผล วธิ ีการทาแผลจะสง่ ผลโดยตรงตอ่ การหายของแผลบาดแผล หมายถึง ภาวะท่ีเยือ่ บผุ ิวหนัง ผิวหนงั หรือเนอื้ เย่อื ที่อยใู่ ต้ผิวหนังไดร้ ับบาดเจ็บ (injury) หรอื ถูกทาลาย (damage) จากเชอื้ จุลินทรยี ห์ รอื จากแรงกล (physical force) จนผวิ หนงั แยกออกจากกันหรือไม่แยกก็ได้ ประเภทของบาดแผล เนอื่ งจากแผลหรอื บาดแผลเกิดได้จากหลายสาเหตุ และมลี ักษณะแตกต่างกนั จึงสามารถจาแนกบาดแผลออกเป็นประเภทต่าง ๆ ไดห้ ลายวธิ ี ดังน้ี 1. แบง่ ตามความสะอาดของแผล ได้แก่ 1.1 แผลสะอาด (clean wound) หมายถึง แผลที่ไม่มีการติดเช้ือหรือแผลทเี่ คยปนเปอ้ื น เช้ือแลว้ แต่ได้รับการดแู ลจนแผลสะอาดไม่มีการติดเชื้อ เน้ือเยื่อของแผลเป็นสีชมพูอมแดง ไมม่ ีลกั ษณะของการอกั เสบบวมแดง หรือแผลทเี่ กิดจากการวางแผนลว่ งหน้าเพอ่ื การตรวจรกั ษา มีการควบคุมภาวะปราศจากเชอ้ืเช่น แผลผา่ ตดั แผลเจาะหลัง แผลใหน้ า้ เกลอื 1.2 แผลปนเป้อื น (contaminated wound) หมายถงึ แผลเปิดท่เี ร่มิ มีการอักเสบปวด บวมแดง รอ้ น อาจมีส่ิงขบั หลั่งเป็นน้าเลอื ดหรือนา้ เหลือง มโี อกาสติดเชือ้ สงู เชน่ แผลถลอก แผลไฟไหม้ นา้ รอ้ นลวก แผลถูกรังสี แผลถูกกรด-ด่าง ไฟฟา้ ชอ็ ตหรือแผลผ่าตัดผา่ นบรเิ วณทีม่ ีการอักเสบ ปนเปอ้ื น เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร อวยั วะสบื พนั ธ์ุ ทางเดินปัสสาวะ ใส่ทอ่ ระบาย เช่น แผลเปดิ ลาไสใ้ หญ่ ถุงน้าดอี ักเสบเป็นต้น 1.3 แผลติดเชื้อ (infected wound) หมายถึง แผลท่ีมีการอักเสบลุกลามเป็นบริเวณกว้าง จากการติดเช้ือมีส่ิงแปลกปลอมหรือปนเป้ือนมาก อาจมีสิ่งขับหลั่งเป็นหนอง ช้าเลือดช้าหนองหรือเน้ือเยื่อตายสว่ นใหญ่เป็นแผลทีเ่ กดิ จากอุบตั ิเหตุ 2. แบ่งตามลักษณะการฉกี ขาดของผวิ หนงั 2.1 แผลปิด (closed wound) หมายถึง บาดแผลที่ผิวหนังหรือเยื่อบุไม่ฉีกขาดออกจากกันแต่เน้ือเย่ือที่อยู่ใต้ผิวหนังได้รับบาดเจ็บ มีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อและหลอดเลือดฝอยบริเวณนั้น ทาให้เลือดออกมาค่ังรวมกันเป็นก้อน (hematoma) ทาให้เกิดการเจ็บปวด มักเกิดจากการกระแทก ถูกดึงรั้งหรือ

ถูกกระตุกอย่างแรง เช่น แผลฟกช้า (contusion bruise) กระดูกหักโดยไม่มีแผลภายนอก แผลไหม้พองสมองได้รับความกระทบกระเทือน (concussion of brain) เป็นต้น 2.2 แผลเปิด (opened wound) หมายถึง แผลท่ผี วิ หนงั บางส่วนฉีกขาดออกจากกนั ไดแ้ ก่ 2.2.1 แผลถลอก (abrasion) ลกั ษณะแผลตื้น มรี อยเปดิ เพียงชั้นนอกของผิวหนงั หรือเย่อื บุ มเี ลอื ดซมึ เลก็ น้อย สาเหตเุ กดิ จากอุบตั เิ หตุ ถูกขีด ข่วน หรือลื่นไถลบนพ้ืนหยาบขรุขระ 2.2.2 แผลฉีกขาด (laceration wound)ลักษณะแผลผิวหนังบริเวณขอบแผลฉีกขาด กระรุ่งกระริ่ง และมีการทาลายของเน้ือเย่ือแผลมาก แผลอาจลึก เสี่ยงต่อการติดเช้ือ สาเหตุเกิดจาก อุบัติเหตุเชน่ รถล้ม หกล้ม ถูกของมีคมเกี่ยว ถกู สะเก็ดระเบิด (explosive wound) แผลถูกบดขย้ี (cursh wound)เชน่ จากเคร่ืองจักรบด เป็นต้น 2.2.3 แผลถกู ตัด (incision wound) ลักษณะแผลขอบแผลจะเรยี บซงึ่ เกิดจากของ มีคมผ่านผวิ หนังเขา้ ไป เช่น ถูกมดี บาด แผลถกู แทง (puncture wound) ลักษณะแผล ปากแผลแคบลกึ ซง่ึ เกดิจากวตั ถุ มีคมปลายแหลมทะลผุ า่ นผวิ หนงั เข้าไป เช่น แผลตะปูตา ถูกมีดแทง แผลลกั ษณะน้จี ะเสี่ยงต่อการติดเชือ้ โรคทไ่ี ม่ใชอ้ อกซเิ จน เชน่ เชื้อบาดทะยัก 2.2.4 แผลทะลุทะลวง (penetration wound) ลักษณะแผลมีการฉีกขาดและการบดทาลายของเนื้อเยื่อ ซ่งึ เกิดจากวัตถุแทงทะลุผา่ นผิวหนังเข้าไปถึงเน้อื เย่ือทอ่ี ย่ลู ึก ๆ หรอื อวยั วะภายใน ทาให้มีการตกเลือด เชน่ แผลถูกยงิ (gun shot wound) กระสุนว่ิงผ่านเยือ่ บุผิวหนัง และเนื้อเย่ือที่อยู่ใต้ ผิวหนังทาให้เกิดการฉีกขาด (laceration) การบดทาลาย(crushing) เกิดคล่ืน(shock wave)และเกิดช่องว่างชั่วคราว (temporary cavitation) ตามที่แนวกระสุนผ่านไป ซ่ึงเกิดมากหรือน้อยข้ึนอยู่กับความเร็วของกระสุน 3. แบ่งตามระยะเวลาท่เี กิดแผล 3.1 แผลสด หมายถงึ แผลท่เี กดิ ขึน้ ใหม่ ๆ จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เช่น แผลถูกมดี บาด แผลผา่ ตัด เปน็ ต้น 3.2 แผลเร้ือรัง หมายถงึ แผลทีม่ ีการตดิ เชื้อและทาลายเนือ้ เยื่อมักเรยี กวา่ ulcer มีการตายของเน้ือเยื่อ (sloughing or shedding) ซ่ึงเรยี กว่า เน้อื ตาย (necrotic tissue) และมีสง่ิ ขับหลง่ั จากการอักเสบของแผลเป็นหนอง (purulent exudate) แผลจะหายช้าและการดูแลรกั ษายงุ่ ยากซับซ้อน ได้แก่ 3.2.1 แผลกดทับ (pressure sore) เกดิ จากหลอดเลือดฝอยทไ่ี ปเล้ียงเนื้อเย่ือและ ผวิ หนังบริเวณน้นั ถูกกดทาใหเ้ นื้อเยื่อและผวิ หนังขาดเลือดและออกซิเจนจึงเกิดการตายของเนอ้ื เยอ่ื บรเิ วณทเี่ กิดแผลกดทับได้มากท่สี ุด คือ ก้นกบ (sacrum) รองลงมา ได้แก่ สะโพก สน้ เทา้ ข้อศอก เข่า ข้อเทา้ 3.2.2 แผลที่เกิดจากการฉายรงั สีเพื่อการรกั ษา ทาให้เน้ือเย่อื ทไ่ี ดร้ บั รังสอี ่อนแอ 3.2.3 แผลเน้ือเน่า (gangrene) เป็นแผลที่เกิดจากการขาดเลือดมาเล้ียงหรือเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ (venous insufficientcy) พบบ่อยจากหลอดเลือดตีบแข็ง เช่น ในผู้ป่วยเบาหวาน มักใช้เรียกแผลท่ีเป็นบริเวณอวัยวะส่วนปลาย เช่น แขน ขา นิ้วมือ-เท้า ไส้ต่ิง เป็นต้น พบได้ 2 ชนิดคือ dry gangreneเป็นแผลเน้ือตายแห้งดา มีกล่ินเหม็นไม่รู้สึกเจ็บปวด ส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อหรือข้ออาจหลุดได้ง่าย และ wetgangreneเปน็ แผลเนา่ และมกี ลน่ิ เหมน็ ผิดปกตคิ ลาแผลได้ยินเสยี งกรอบแกรบมสี ิง่ ขับหล่ังจากแผลตลอดเวลา

ลักษณะการหายของแผล (wound healing) เม่ือเกิดบาดแผลข้ึนแล้วจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม โดยธรรมชาติรา่ งกายจะมีกลไกในการปรับเพื่อรักษาสมดุล ทาให้เกิดการหายของแผลในช่วงระยะเวลาหน่ึง ซึ่งข้ึนอยู่กับหลายปัจจัย การทาแผลเป็นปัจจัยหน่ึงที่สง่ เสรมิ การหายของแผล โดยการป้องกันแผลจากส่งิ ที่ก่อให้เกดิ การระคายเคืองและขัดขวางการหายของแผลดว้ ยเหตนุ กี้ ารหายของแผล (process of wound healing) มี 3 ลกั ษณะ คอื 1. การหายแบบปฐมภูมิ (primary intention/healing by first intention) เป็นการหายของแผลโดยมีการเจริญเตบิ โตของเย่ือบผุ ิวหนงั (epithelization) อย่างรวดเรว็เกิดขนึ้ เม่ือขอบแผลอยูช่ ิดกนั ไมม่ โี พรง หรอื dead space อยภู่ ายใน ไม่มกี ารเจรญิ ของเน้อื เยอ่ื กรานเู ลชันและผวิ หนงั ถูกถึงดึงรง้ั น้อยมาก หรือช่วยใหแ้ ผลปิดโดยการเยบ็ ปดิ ปากแผล การหายของแผลในลักษณะน้ีพบในแผลทีม่ ขี นาดเล็ก เป็นแผลสะอาด หรือแผลผ่าตัดที่ไม่มปี ญั หาแทรกซ้อน ทาให้แผลหายเรว็ และเกดิ รอยแผลเป็นน้อย 2. การหายแบบทุตยิ ภูมิ (secondary intention/healing by secondary intention) การหายของแผลท่ีเกิดจากการเปล่ียนแปลงทางด้านเคมี ได้แก่ การเผาผลาญของคอลลาเจนการดึงรั้งของแผล (wound contraction) การเจริญของเย่ือบุผิวชั้นนอก (epithelization) และการเจริญของเนือ้ เย่ือ กรานูเลชั่น มักพบในแผลทมี่ ีขนาดใหญ่และลึก ขอบแผลกว้าง มีเน้ือตาย มีการทาลายหรือขาดหายไปของเนอื้ เยือ่ เม่อื แผลหายจะมรี อยแผลเปน็ ชดั เจน 3. การหายแบบตตยิ ภมู ิ (Third intention/tertiary intention/healing by third intention) เปน็ การหายของแผลท่มี ีการตดิ เชือ้ เกิดข้ึน การหายของแผลจะเกิดข้ึนไดเ้ ม่อื มีการขจัดการติดเช้อื ให้หมดไป อาศัยการเยบ็ ปิดแผล (suture) หรือปลูกถ่ายผวิ หนัง (skin graft) ปัจจยั ที่มีผลต่อการหายของแผล การหายของแผลแมจ้ ะเป็นกระบวนการที่เกิดขน้ึ เองตามธรรมชาติ แต่กม็ ีปัจจัยหลายประการทีจ่ ะชว่ ยสง่ เสริมการหายของแผล และลดโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน ซ่งึ สามารถจาแนกไดด้ ังนี้ 1. ปจั จยั เฉพาะท่ี 1.1 ลกั ษณะ ขนาด และตาแหนง่ ของแผล 1.1.1 แผลท่ีมขี นาดใหญ่ ลึก กระบวนการหายของแผลจะช้ากวา่ แผลที่มขี นาดเล็ก และตื้น 1.1.2 ตาแหนง่ ของแผล หากมีบาดแผลบริเวณท่มี ีการเคลื่อนไหวอยูเ่ สมอ เส้นใยคอลลาเจนและหลอดเลือดท่ีสรา้ งขน้ึ ใหม่จะเกดิ การฉกี ขาดไดง้ า่ ย ทาให้แผลหายช้า 1.1.3 ลักษณะแผลทีม่ ีการตดิ เช้ือ หรือสง่ิ แปลกปลอมภายในแผล เชน่ การมี exudate เป็นหนองจะเพิ่มความดนั ภายในแผลสูง ขอบแผลติดยาก จงึ ขัดขวางการหายของแผล จะทาให้แผลหายชา้ 1.2 เทคนิคการเย็บแผล และเทคนิคการทาแผล โดยตอ้ งคานงึ ถึงหลักกีดก้นั เชอื้ อย่างเคร่งครัดและกระทบกระเทอื นต่อแผลน้อยที่สุด

1.3 การไหลเวยี นของเลอื ดบรเิ วณแผล ในภาวะทมี่ ีการขาดเลือด ขบวนการ fibrinolytic จะลดลง จงึ ทาใหม้ โี อกาสเกิดลม่ิ เลือดในเลอื ดสงู เลือดกจ็ ะย่ิงมาเลย้ี งแผลได้น้อยลง และเส้นเลือดฝอยทีถ่ ูกสร้างใหมจ่ ะบอบบางและเกดิ การเปล่ยี นแปลงได้งา่ ย เชน่ ในคนอ้วนท่ีมีช้ันไขมันหนาจะมีการไหลเวยี นของเลือดไม่ดี จงึ พบว่าแผลท่ีเกิดข้ึนหายยาก 1.4 ปรมิ าณก๊าซออกซเิ จนในบริเวณแผล การมีระดับความแตกต่างของปรมิ าณก๊าซออกซิเจนในเนือ้ เยื่อแตล่ ะสว่ นนน้ั จะเพ่ิมอัตราการหายของแผลซึง่ สงิ่ ที่มีอิทธิพลต่อปริมาณก๊าซออกซิเจนท่ีไปยังเนื้อเย่ือต่างๆ นนั้ มกั ข้นึ อยู่กับการไหลเวยี นของเลือดทีไ่ ปยังแผลมากกวา่ การใหอ้ อกซิเจนโดยตรงทแ่ี ผล 1.5 อุณหภูมขิ องแผลเม่ืออุณหภมู สิ ูงข้ึน การขาดออกซเิ จนจะเพ่ิมมากขน้ึ การหายของแผล จงึเกิดช้า ซง่ึ อุณหภูมทิ ี่เพมิ่ ขึ้น 1 องศาเซลเซียส จะทาใหข้ บวนการเมตะโบลซิ มึ เพมิ่ ข้ึน และเพ่ิมความต้องการออกซิเจนขน้ึ จากเดมิ ร้อยละ 10 1.6 สารที่ใสแ่ ผล สารแต่ละชนิดจะมีคณุ สมบตั ิแตกต่างกัน การเลือกใช้สารใส่แผลจงึ เปน็ สิง่ ท่ีสาคัญ การเลอื กสารท่ไี มถ่ ูกต้อง นอกจากจะไม่ชว่ ยใหแ้ ผลหายเร็วแลว้ ยงั ทาลายเนื้อเย่ือทเ่ี กิดขน้ึ ใหม่ เป็นผลให้แผลเกิดการลุกลามมากข้ึนด้วย 2. ปจั จัยทัว่ ไป 2.1 อายุ วัยสูงอายุจะมีการซ่อมแซมแผลได้ช้ากว่าวัยหนุ่มสาวเน่ืองจากวัยสูงอายุมีการตอบสนองต่อการอักเสบได้น้อย การสังเคราะห์คอลลาเจนและเย่ือบุผิวลดลง สร้างหลอดเลือดใหม่ได้ช้าเพราะผนังหลอดเลือดของผู้สูงอายุจะแข็งและหนาตัว ทาให้การไหลเวียนของเลือดเข้าสู่เนื้อเย่ือของแผลได้นอ้ ย อีกทั้งประสิทธภิ าพในการตอ่ ต้านเชอ้ื โรคลดลง 2.2 ภาวะโภชนาการ ภาวะโภชนาการเป็นปัจจัยสาคัญในการส่งเสริมการหายของแผล เช่นโปรตีน เป็นองค์ประกอบสาคัญในการสร้างเน้ือเย่ือใหม่และเป็นส่วนประกอบในการนาออกซิเจนไปยังแผลวิตามินซี ช่วยในการสร้างคอลลาเจน ไฟโบรบลาสต์ ช่วยทาลายแบคทีเรีย วิตามินเอ ช่วยในการสร้างเยื่อบุผิว สังกะสี เป็น coenzyme ในการสังเคราะห์คอลลาเจน ดังนั้นการขาดสารอาหารที่ จาเป็นต่อการสร้างเนอื้ เยือ่ จึงทาให้แผลหายช้า 2.3 สภาวะการเจบ็ ป่วย สภาวะการเจบ็ ป่วยเปน็ ปจั จัยทีข่ ดั ขวางการหายของแผล เช่น ผู้ปว่ ยเบาหวาน แผลจะหายช้ากว่าปกติ เพราะเม็ดเลือดขาวที่ทาหนา้ ทีใ่ นการกลนื กินสิ่งแปลกปลอมไมด่ ี มีการไหลเวียนของเลือดไปเลย้ี งบาดแผลน้อย เนอ่ื งจากความผิดปกติของหลอดเลือด ผทู้ ี่มีภูมิต้านทานตา่ จานวนเมด็ เลอื ดขาวลดลงหรอื ทางานไดไ้ มเ่ ตม็ ท่ี ความเจบ็ ปว่ ยส่งผลให้กลา้ มเนื้ออ่อนลา้ กดภมู ิค้มุ กันและเพิม่ เมตาบอลิซึม ความเครยี ดทาใหม้ ีการหลัง่ สาร catabolic glucagon cathecolamine มากขน้ึ ซึง่ ฮอร์โมนดังกล่าวจะยบั ยงั้ กระบวนการอกั เสบ ลดการเพ่ิมความสามารถในการซมึ ผ่านของของเหลว (permability)หลอดเลือดหดตัวทาใหก้ ารไหลเวยี นของเลอื ดลดลง 2.4 การได้รับรังสีรักษา (radiotherapy) รังสีรักษาทาให้เนื้อเยื่อที่ได้รับรังสีอ่อนแอ และการสูบบุหรี่ มีผลต่อหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นลดลง ปริมาณการไหลเวียนของเลือดลดลงและการปล่อยฮีโมโกลบินเขา้ สู่เนอ้ื เยอ่ื ลดลง ทาใหเ้ น้ือเยอ่ื ขาดออกซเิ จนได้

2.5 ยา ยาที่ผู้ป่วยได้รับอาจมีอิทธิพลต่อการหายของแผล เช่น ยาที่รบกวนการสังเคราะห์โปรตีน วติ ามนิ ตา่ ง ๆ ยาท่ีรบกวนการเพ่มิ จานวนเซลล์ และยาท่สี ่งเสริมให้ได้รับสารอาหารเพ่ิมข้นึ กระบวนการหายของแผล แบ่งเปน็ 3 ระยะคอื 1. ระยะท่ีมีการอักเสบ (Hemostasis and Imflammation) : เกิดขึ้นรวดเร็ว ภายหลังได้รับบาดเจ็บ ใช้เวลาต้ังแต่แรกท่ีบาดเจ็บถึง 3 วัน มีเม็ดเลือดขาวมาจับกินเชื้อโรค และย่อยสลายสิ่งแปลกปลอมท่บี าดแผลใช้เวลาประมาณ 24 – 72 ช่ัวโมง 2. ระยะงอกขยาย (Proliferative) : เกิดขึน้ ประมาณวันที่ 4 – 21 หลังเกิดบาดแผลแมคโครฟาจส์ทาหน้าท่ีสร้างไฟโบรบลาสท์ สงั เคราะห์สารแมทรกิ คอลลาเจนและโปรตโิ อไกลแคน สรา้ งหลอดเลือดใหม่ และเซลลอ์ ิพิทเิ ลยี ลปกคลมุ แผล ปากแผลดงึ เข้าหากัน 3. ระยะปรบั ตวั เข้าสภู่ าวะปกติ (Maturation or remodeling) : เกิดขึ้นประมาณวันที่ 21 ถึงเดือนหรือเปน็ ปี จะมีรอยแผลเป็นจากการเรียงตัวของคอลลาเจน รอยแผลแข็งแรงประมาณ 10 สัปดาห์ ปจั จยั ท่ีทาใหแ้ ผลหายช้า ปจั จยั ภายใน ได้แก่ 1. การติดเช้อื 2. กอ้ นเลือด (hematoma) 3. วัตถตุ า่ งท่ี (foreign body) 4. การขาดเลือด (ischemia) 5. การสบู บุหรี่ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ 1. ภาวะทพุ โภชนาการ (malnutrition) 2. วัยสงู อายุ (elderly) 3. เบาหวาน (diabetes) 4. สเตียรอยด์ ลักษณะการหายของแผลทดี่ ี 1. เน้อื เย่ือแผลมสี ีแดง 2. มนี ้าเหลอื งไหลออก ใน 2 – 3 วนั แรก 3. อาจพบกอ้ นเลือดที่แผล 4. เนอื้ แผลจะงอกขึน้ จนเต็มแผล 5. แผลลึกการหายของแผลต้องเร่ิมจากส่วนลา่ งสดุ 6. แผลสว่ นใหญ่จะงอกออกประสานกนั หายดใี ช้เวลาประมาณ 7 – 8 วนั

การสง่ เสรมิ การหายของแผล 1. ปอ้ งกันไมใ่ ห้แผลมีการตดิ เชอื้ : เทคนคิ ต้องปราศจากเชอ้ื 2. ปอ้ งกันไมใ่ ห้แผลได้รบั อันตรายเพิม่ ขึ้น : จากการดึงร้ัง, การกดทับ 3. ดูแลการไหลของท่อระบาย : ตะแคงขา้ งท่ีมที ่อระบาย 4. ถ้าแผลติดเช้อื ใหก้ ารติดเช้ือเฉพาะท่ี : ประคบร้อนและให้บรเิ วณแผลอยนู่ ิ่ง 5. ยกส่วนทอ่ี กั เสบสูงกวา่ ระดบั หัวใจ : การไหลเวียนของเลือดดาและน้าเหลอื งสะดวก 6. ประคบเยน็ ในแผลฟกช้า : ปอ้ งกนั การตกเลือดผลกระทบของแผลต่อร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสงั คม เมือ่ มีแผลเกดิ ข้ึนย่อมสง่ ผลกระทบทั้งทางรา่ งกาย จิตใจ อารมณ์ และสงั คม ท้ังนีข้ ้นึ อยูก่ ับ พ้ืนฐานการยอมรับและสภาพจติ ใจของแต่ละบคุ คล เพราะการเกิดบาดแผลอาจกอ่ ให้เกิดการสญู เสยี เลือดความเจ็บปวด ความกลัวและวติ กกังวล ตลอดจนภาพลกั ษณ์ท่ีเปลี่ยนแปลงไป การยอมรบั สภาพ ตนเองภายหลงั จากการหายของแผล ซึ่งอาจมคี วามพิการที่ทาใหต้ นเองไม่สามารถปฏบิ ตั หิ นา้ ทห่ี รอื บทบาททีต่ นเคยดารงอยู่ได้ ทาให้รสู้ กึ เป็นปมดอ้ ย ความพิการนั้นทาใหข้ าดความมนั่ ใจในการออกสังคม โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ถา้ ผปู้ ว่ ยไมส่ ามารถทีจ่ ะช่วยเหลอื ตนเองในการทากจิ วตั รประจาวันได้ตามปกติ จะต้องพง่ึ พาบคุ คลอน่ืเพิ่มขนึ้ จะทาให้มผี ลกระทบตอ่ ครอบครวั ตามมา มีคา่ ใชจ้ ่ายสงู ขึน้ ซ่ึงอาจกอ่ ให้เกดิ ความตึงเครยี ดทางอารมณ์ของสมาชกิ ในครอบครวั ได้ กระบวนการพยาบาล : การพยาบาลผูป้ ่วยทีม่ ีบาดแผล พยาบาลท่ีให้การดแู ลผู้ป่วยท่ีมีแผลได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ จาเป็นจะต้องมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกับลกั ษณะแผล กระบวนการหายของแผล ปจั จยั สง่ เสรมิ และขัดขวางการหายของแผล และการทาแผลโดยใชก้ ระบวนการพยาบาล ซึง่ ประกอบดว้ ยการประเมินสภาพ การวางแผน การปฏบิ ัติ และการประเมินผลภายหลังการทาแผลการดแู ลรกั ษาแผล(dressing) วัตถุประสงค์ของการดูแลรกั ษาแผล 1. ป้องกนั ไมใ่ ห้เชื้อโรคเขา้ สูแ่ ผลทางผวิ หนัง 2. ปอ้ งกนั ไม่ให้แผลไดร้ ับอนั ตรายเพ่ิมขน้ึ 3. ช่วยกระตุ้นให้แผลหายเร็วขน้ึ 4. เพ่ือชะลา้ งวัตถตุ า่ ง ๆ ที่ตกคา้ งอยู่ในแผลออก 5. เพอื่ ดูดซับสิ่งที่ไหลออกจากแผลหรือระบายเพ่ือให้ไหลออก

6. เพือ่ ห้ามเลือด 7. เพอ่ื ป้องกันผวิ หนังรอบ ๆ แผลทมี่ ที อ่ ระบายเป่ือยและลอกหลดุ ออก การทาแผล เป็นการช่วยส่งเสริมการหายของแผล ในการทาแผลที่ถูกวิธี จะช่วยให้แผลหายเร็วย่ิงขนึ้ และลดการตดิ เชอื้ เพม่ิ เติมเน้อื หาทก่ี ล่าวถงึ ประกอบด้วย 1. การทาแผลชนดิ แห้ง (Dry dressing) 2. การทาแผลชนิดเปียก (Wet dressing) 3. การชะลา้ งแผล (Irrigate) 4. การทาแผลที่มีท่อระบาย 5. การตดั ไหม (Stitch off) อปุ กรณท์ ่ใี ช้ในการทาแผล 1. อปุ กรณท์ าความสะอาดแผล ได้แก่ 1.1 ชดุ ทาแผล (instrument) ที่ผ่านขัน้ ตอนการทาใหป้ ราศจากเชอื้ ประกอบดว้ ย ปากคีบ ชนิดไม่มีเขย้ี ว (non-tooth forceps) ปากคบี มีเข้ียว (tooth forceps) ถว้ ยใส่สารละลาย (iodine cup) สาลี ผา้ ก๊อส 1.2 สารละลาย (solution) ไดแ้ ก่ น้ายาฆา่ เชือ้ (antiseptic) และนา้ เกลือล้างแผล (0.9% normal saline) ที่ปราศจากเชอ้ื 1.2.1 แอลกอฮอล์ 70% (alcohol 70%) ใช้สาหรับเชด็ ผวิ หนงั รอบ ๆ แผลสามารถ ฆ่าเช้ือโรคทผ่ี วิ หนังประมาณร้อยละ 90 ภายใน 2 นาที โดยมีฤทธทิ์ าให้โปรตนี ตกตะกอนหรือแตกสลายและจะระคายเคืองต่อเนื้อเยอื่ เมอ่ื นาไปใช้ในบาดแผล หรอื บริเวณท่มี รี อยแผลสด ทาให้สง่ิ ขับหลัง่ เกดิตะกอนขนุ่ ซง่ึ จะมผี ลตอ่ การอักเสบติดเชื้อบรเิ วณนั้นได้อีกด้วย ดังนนั้ จึงไม่ควรใชแ้ อลกอฮอล์ เชด็ แผลโดยตรง 1.2.2 ทงิ เจอร์ไอโอดีน (tincture iodine) เป็นน้ายาทาความสะอาดผวิ หนังทีด่ ีมากราคาถูกและมีพิษ (toxicity) ตอ่ เนื้อเย่อื ของร่างกายน้อย เป็น bactericidal สามารถฆ่าได้ทั้งเชอื้แบคทเี รยี และเชือ้ ไวรสั โดยจะฆา่ เชือ้ แบคทีเรยี ที่ผิวหนังได้ประมาณร้อยละ 90 ภายใน 90 วินาที จงึ นยิ มใช้เป็นนา้ ยาสาหรับทาใหผ้ ิวหนังปราศจากจากเชื้อ อาจใชใ้ นในการรกั ษาแผลถลอกได้ โดยใช้ความเขม้ ขน้0.8-1% แต่มีข้อเสีย คือ เม่ือทาบริเวณผิวหนังแล้วตวั ทาละลายจะระเหยไป ทาให้ความเขม้ ข้นสูงข้นึผิวหนังไม้พองได้ ดังน้นั หลังจากใช้น้ายา 1 นาที ให้เช็ดตามด้วยแอลกอฮอล์ 70% 1.2.3 เบตาดีน หรอื โปรวิดีน ไอโอดีน (betadine, providone-iodinesolution) เป็น นา้ ยาที่ระคายเคืองต่อผวิ หนงั นอ้ ยกวา่ ทงิ เจอร์ไอโอดีนใช้ได้ดีใน mucous membraneโดยไมม่ ปี ฏิกิรยิ าต่อ mucous และโปรตนี ในส่งิ ขบั หล่ัง 1.2.4 ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (hydrogenperoxcide) จดั อยู่ในกล่มุ oxide ซ่งึ สามารถฆ่k

เชื้อไดโ้ ดยการสรา้ ง oxidant คอื hydroxyl free radical (-OH) ไปทาลายจลุ ินทรยี ์ (microorganism) ใช้สาหรับลา้ งแผลสกปรก แผลมีหนองหรือลิ่มเลอื ด ไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซดแ์ ปรสภาพไดง้ ่ายจะสลายตวั ถา้ มีสารอื่นเจอื ปนหรือถูกความร้อนและแสงสวา่ ง ดังนน้ั จงควรเกบ็ ไว้ในขวดสีชาทม่ี ีฝาปดิ แนน่ 1.2.5 เดกิน (dakin’s solution หรือ hyperchlorite solution) สามารถฆ่าเช้ือโรคและทาลายเน้ือตาย(necrotic tissue)ได้ จึงนิยมใช้กับแผลท่ีมีเนื้อตาย แต่มีข้อเสียคือจะละลายล่ิมเลือดและทาให้เลือดแข็งตัวช้าลงได้ ไม่ควรใช้ในแผลสดเพราะระคายเคืองต่อเน้ือเยื่อ ก่อนทาแผลจึงควรเจือจางความเขม้ ขน้ เปน็ ประมาณ 1-1 สว่ น 1.2.6 โซเดียมคลอไรด์ (sodium chloride, NaCl 0.9% normal saline)โดยท่ัวไปเรียกวา่ นา้ เกลือ โดยมคี ุณสมบัตเิ ปน็ isotonic กบั เซลล์ ช่วยในการกระตนุ้ การงอกขยายของเซลล์ใหม่และไมท่ าลายเนอ้ื เยื่อ 2. วสั ดสุ าหรบั ปิดแผล ปกติจะปดิ 3 ชนั้ ชนั้ แรกติดกับแผล ช้ันที่ 2 และชัน้ ที่ 3 อยู่บนสุด ซง่ึ มหี ลาย ชนิดคอื 2.1 ผ้ากอ๊ ส (gauze dressing) ขนาดตา่ ง ๆ สาหรับปิดแผลขนาดเล็กและมีสงิ่ ขับหล่งั เล็กน้อย 2.2 ผา้ ก๊อสหุม้ สาลี (top dressing) สาหรับปดิ แผลทมี่ ีส่ิงขับหลัง่ จานวนมาก 2.3 ผ้าก๊อสหมุ้ สาลขี นาดใหญ่ (gumgi) ใชป้ ิดแผลขนาดใหญ่และมีสิ่งขับหลง่ั จานวนมาก 2.4 วายกอ๊ ส (y-gauze) เป็นผ้าก็อสท่ตี ัดตรงกลางเปน็ รูปตวั Y ใช้ปิดแผลทม่ี ีการใสท่ ่อ เพื่อระบายสิง่ ขบั หล่ัง 2.5 วาสลนิ ก๊อส (vasaline gauze) เปน็ ก๊อสชบุ วาสลิน สาหรับปดิ แผลเพอื่ ไม่ให้อากาศ เขา้ สู่แผล เชน่ แผล chest drain 2.6 ก๊อส drain ผา้ ก๊อสลักษณะเป็นสายยาว ใช้สาหรบั ใสแ่ ผลท่มี รี ูโพรงขนาดเลก็ 2.7 trasparent film เชน่ tegaderm ลกั ษณะเป็นแผน่ ใสๆ สามารถมองผ่านเห็นเน้ือแผลใช้สาหรบั ปดิ แผลขนาดเลก็ แผลท่ีใกล้หาย (healing wound) ปิดบรเิ วณทแ่ี ทงใหน้ า้ เกลือหรือแผล subclaviancatheter 2.8 hydroconloid หรอื hydrogel เชน่ duoderm ลักษณะเปน็ แผน่ ยาง มีสารชว่ ยในการเจริญเติบโตของเน้ือเย่ือ นิยมใชใ้ นแผลกดทบั 3. วัสดุสาหรับผ้าปิดแผล เมื่อทาแผลเสร็จแล้วต้องทาให้ผ้าปิดแผลอยู่กับที่ วัสดุท่ีใช้บ่อยคือ พลาสเตอร์ (plaster) เพราะง่าย สะดวก แต่มีข้อเสียคือ ระคายเคืองผิวหนัง และเจ็บเวลาเอาออก บางชนิดยืดได้ เช่น เทนโซพลาสต์ (tenoplast) ใช้เพ่ือกดรัดและช่วยในการห้ามเลือด นอกจากน้ีอาจใช้ ผ้าพันแผล(elastic bandage) ก๊อสพันแผล (gauze bandage) หรืออาจจะใช้ผ้าพันแผล ซึ่งการพันขึ้นอยู่กับส่วนต่างๆ ของร่างกาย 4. อปุ กรณอ์ ่นื ๆ ทจี่ าเปน็ เช่น กรรไกรตดั ไหม กรรไกรตดั เช้อื เนอื้ (Metzenbaum) ช้อนขดู เนือ้ ตาย(Currette) อปุ กรณ์สาหรับหยงั่ ความลึกของแผล (probe)

5. ภาชนะสาหรบั ทง้ิ สิง่ สกปรก เชน่ ชามรปู ไต โดยหลักการทาแผล คอื ต้องสะอาดและปลอดภัยประหยดั สง่ิ ของเคร่ืองใชแ้ ละเวลา โดยใชห้ ลัก aseptic technique และจะตอ้ งทาแผลสะอาดก่อนทาแผลสกปรกหรอื ติดเช้ือเสมอ1. การทาแผลชนดิ แหง้ (Dry dressing) การทาแผลชนดิ นี้จะทาในแผลท่ีมปี ากแผลปิด เชน่ แผลผ่าตดั เปน็ แผลท่ีมสี งิ่ ระบายออกจากแผลนอ้ ยหรอื ไม่มี แผลทไ่ี ม่มกี ารสูญเสียเนอื้ เย่อื เชน่ แผลถลอก แผลมีดบาด และแผลที่มีการหาย แบบปฐมภมู ิอปุ กรณ์ ภาพท่ี 9 แสดงอปุ กรณ์ในการทาแผล 1.ชุดทาแผลท่สี ะอาดปราศจากเช้อื ซ่ึงประกอบดว้ ย 1.1 ผา้ ห่อชดุ ทาแผล 1.2 ถาด 1 ใบ สาหรบั บรรจุอปุ กรณท์ ุกอย่าง 1.3 ถว้ ยใสน่ า้ ยา 2 ใบ 1.4 ปากคีมชนิดมีเขี้ยว 1 อัน 1.5 ปากคบี ชนดิ ไม่มเี ขย้ี ว 1 อัน 1.6 สาลี 1.7 ผ้ากอ๊ ส 1.8 ไมพ้ ันสาลี (อาจมีหรอื ไม่มีก็ได้) 2. น้ายาใชท้ าแผล ท่ีนิยมคือ น้าเกลือ (0.9% NSS)และ แอลกอฮอล์ (70% Alcohol) 3.ภาชนะสาหรับใส่ขยะ อาจเป็นชามรูปไต หรือ ถงุ พลาสติก 4. พลาสเตอรป์ ดิ แผล 5. อุปกรณท์ ่ีอาจตอ้ งเพม่ิ มี 5.1 สาลี หรือผ้ากอ๊ ส เพิ่มกรณมี ีแผลขนาดใหญ่ 5.2ถุงมือใช้แทนปากคีบ หรือถ้าผ้าปิดแผลสกปรก มาก ควรสวมถุงมอื หยบิ 5.3 ผา้ ปดิ ปากปิดจมกู กรณแี ผลมีกลิ่นเหมน็ มาก 5.4 ผ้าหม่ ในกรณีไม่มีม่านกน้ั 5.5 ผ้าพัน(Bandage) ในผู้ป่วยที่มีแผลขนาดใหญ่ มาก หรือผู้ป่วยถูกไฟไหม้ หรือ ผู้ป่วยท่ีแพ้ พลา สเตอร์ 5.6 เบนซินเพือ่ เช็ดคราบพลาสเตอร์ 5.7 ผ้าปดิ ตาถ้าผู้ปว่ ยกลวั หรอื แผลขนาดใหญ่

ภาพที่ 11 แสดงวิธีการทาแผลชนดิ แห้งตารางที่ 12 แสดงการปฏิบตั ิการทาแผลข้ันตอนการปฏิบัติ คาอธิบาย / เหตผุ ล1. วางถุงพลาสติกหรือชามรูปไตสาหรับใส่ขยะ ไว้บนเตียง 1.สะดวกในการท้ิงผ้าปิดแผลและสาลีท่ีใช้ใกล้ตาแหน่งแผล ในตาแหน่งท่ีไม่ทาให้ข้ามของสะอาด แลว้ปราศจากเช้ือ2. แกะพลาสเตอร์ กรณีติดด้วยพลาสเตอร์เหนียวใช้สาลีชุบ 2.ชว่ ยให้แกะพลาสเตอร์ออกได้ง่ายไม่ระคายเบนซินเช็ดพลาสเตอร์ออกจาก ผิวหนังผปู้ ่วย เคืองผวิ หนัง3. สวมถุงมือหยิบผ้าแต่งแผล (Dressing) ด้านนอกออกใส่ 3.ผ้าแต่งแผลชั้นนอกไม่สะอาด เพื่อป้องกันถงุ พลาสติกแลว้ ถอดถุงมือออก การ เป้ือนมอื4. เปิดชุดทาแผล ใช้ปากคบี มีเขย้ี วคบี ผ้าแตง่ แผลด้านใน 4.ผา้ แต่งแผลชัน้ ในถอื วา่ ยังสะอาดปราศจาก(ถ้ามี) ทิง้ ในท่ีใสข่ ยะ แต่ถา้ ผ้าแตง่ แผลติดกับแผล ใหเ้ อา เชื้อจงึ คีบด้วยปากคบี และการใช้นา้ เกลือสาลีชุบนา้ เกลือ 0.9% ใช้ ชมุ่ วางระหว่างแผลกบั ผา้ แต่งแผล 0.9% เพ่ือช่วยใหด้ ึงผ้าแต่งแผลออกง่ายกอ่ น แล้วค่อย ๆ ดงึ ผา้ แต่งแผลออก ถ้าผา้ แตง่ แผลเปยี กช่มุ และผูป้ ่วยไมเ่ จ็บทาใหส้ ะดวกขึน้ และ

ตารางที่ 12 แสดงการปฏบิ ัติการทาแผล คาอธิบาย / เหตผุ ลข้ันตอนการปฏิบัติ ป้องกนั การแพร่กระจายของเช้ือโรคสกปรกมากและแผลมีขนาดใหญ่ ผา้ แต่งแผลมี จานวนมากเช่นแผลไฟไหม้ ควรสวมถุงมือหยบิ5. สังเกตเก่ียวกับตาแหน่ง ขนาด ชนิดของแผลสี และกล่ิน 5.ประเมินสภาพของแผล และเตรียมของใช้ของสที ีร่ ะบายออกมาและจานวนผ้าก๊อสท่ีใช้ ในการทาแผลไดถ้ กู ตอ้ ง และเพยี งพอ6. ใช้ปากคีบชนิดไม่มีเข้ียว จัดของใช้ในชุดทาแผลให้เป็น 6.สะดวกในการหยิบใช้ และไม่เปรอะเป้ือนระเบียบ ถ้าชุดทาแผลหรือผ้าก๊อส เปียกน้ายาให้เปล่ียนชุด เวลารินน้ายา ถ้าชุดทาแผลเปียกน้ายา ทาทาแผลใหม่ ใหจ้ ุลินทรยี ์แพร่กระจายได้7. การทาแผลชนดิ แห้ง ทาได้ 2 วธิ ี ข้นึ กบั ลกั ษณะของแผล7.1 ถ้าแผลแห้งดี ใช้ปากคีบชนิดไม่มีเขี้ยวคีบ สาลีชุบน้ายา 7.1เป็นการรักษาความสะอาดของชดุ ทาแผลฆ่าเช้ือบิดพอหมาดโดยให้ปากคีบมีเขี้ยวอยู่ล่างเสมอ แล้วส่ง โดยการไม่ใช้ปากคีบที่ใช้กับแผลแล้วไปคีบให้ปากคีบมีเข้ียวเช็ด รอบแผลในออกนอกเป็นวงกว้างจน ของ ในชดุ ทาแผลโดยตรงสะอาด 7.2กาจัดคราบต่าง ๆ ที่ขังหรือติดอยู่บริเวณ7.2 ถ้าแผลท่ีมีสิ่งระบายต่าง ๆ ติดท่ีแผลใช้สาลี ชุบน้าเกลือ แผลออกก่อน จึงจะทาความสะอาดเพ่ือลด0.9 % NSS เช็ดออกให้สะอาดโดยเริ่มเช็ด จากส่วนในของ เช้อื โรค รอบ ๆ แผลอีกคร้งัแผลก่อน แล้วจึงใช้สาลีชุบน้ายา ฆ่าเชื้อเช็ดผิวหนังรอบ ๆแผลเปน็ วงกว้าง8.ปิดแผลด้วยผ้าแต่งแผลและปิดพลาสเตอร์ หรือใช้ 8.เพื่อป้องกันแผลจากการกระทบกระแทกผ้าพันแผล และไมใ่ ห้เชอ้ื โรคเข้าไปในแผลได้9. ถ้าแผลท่ีมีท่อระบาย(Drain) อยู่ในบริเวณใกล้กัน ควรทา 9.เพ่ือป้องกันแผลสะอาดปนเป้ือนกับแผลความสะอาดแผลผ่าตัดให้เสร็จก่อน แล้วจึงทาแผลท่ีมีท่อ สกปรกระบายปิดแผลด้วยผ้าแต่ง แผล โดยแยกผ้าปิดแผลแต่ละแผลออกจากกนั10. จัดเสือ้ ผา้ ผปู้ ว่ ยใหเ้ รียบร้อย และอยูใ่ นทา่ ที่ สบาย 10. สร้างความรสู้ กึ สบาย และปลอดภยั11. เก็บเคร่ืองใช้ต่าง ๆ ให้ครบ นาไปทาความ สะอาดอย่าง 11.ลดการแพร่กระจายเชื้อและสะดวกในถูกวิธแี ละเก็บเข้าท่ี การ นาไปใช้ในครั้งต่อไป12. ล้างมือ 12. ลดการแพร่กระจายเชื้อ13.บันทกึ ลักษณะของบาดแผลลงในบนั ทึก ทางการพยาบาล 13.เพื่อเป็นหลักฐานและทราบสภาพของเกี่ยวกับสิ่งท่ีออกจากแผล จานวน สีและกลิ่น ความทนของ แผล รวมทง้ั สิ่งผิดปกติท่ีเกดิ ขึ้นอย่างตอ่ เนอื่ งผู้ปว่ ยตอ่ การทาแผลความถ่ีในการเปลย่ี นแผล จานวนผา้ ก๊อสและสาลีที่ใช้ อาการผิดปกติต่าง ๆ ท่ีพบ รวมท้ัง วันเวลาที่ทา

2. การทาแผลชนิดเปยี ก การทาแผลชนิดนี้จะใช้เม่ือแผลมีการสูญเสียเน้ือเย่ือ หรือมีการหายแบบทุตยิ ภูมิเพื่อช่วยใน การขจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเน้ือเยื่อท่ีตายแล้ว ตัวอย่างแผลชนิดนี้ ได้แก่ แผลไฟไหม้และแผลกดทับ ซ่ึงแผลประเภทนี้จะไม่สามารถเยบ็ แผลปิดได้ การหายจึงใชเ้ วลานาน มโี อกาสติดเช้อื ได้ง่าย เพราะไมม่ ีผิวหนังปกคลุมเป็นบริเวณกว้าง เมื่อหายแล้วมักจะมีแผลเป็นขนาดใหญ่ ในการทาแผล ชนิดนี้จะต้องใช้ผ้าก๊อสชุบสารละลายบางอยา่ งปิด (Pack) หนา้ แผลเพ่ือช่วยให้แผลหายเรว็ ขึ้นสารละลายทใ่ี ช้บอ่ ยคือ - นา้ เกลอื 0.9 % NSS ใช้เพื่อใหเ้ นอ้ื เยื่อท่ีตายแลว้ ชุ่ม งา่ ยในการลอกหลุด - เบทาดีน 10 % ใช้ในแผลท่ีมีการติดเช้ือแสตฟฟิลโลค็อคคัส (Staphylococcus) หรือ เชื้อแบคทีเรียชนิดใช้ออกซิเจน (Aerobic bacteria) ซึ่งน้ายานี้อาจทาให้ผิวหนังไหม้พอง ปวดแสบ ปวดร้อนหรอื ผปู้ ่วยบางคนอาจแพไ้ ด้ - อะซิติคเอซิด 0.25 % (Acetic acid) นิยมใช้กับแผลที่ติดเชื้อซูว์โดโมแนส (pseudomonas)หรือเชอ้ื แกรมบวกและเชอื้ แกรมลบ น้ายานี้จะทาใหร้ ะคายเคอื งผิวหนังรอบ ๆ แผลได้- ไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซด์ 3%(Hydrogenperoxide) ช่วยในการขจัดเนื้อตาย และส่ิงแปลกปลอมในแผลสกปรก แผลมีหนอง - โซเดียมไฮโปคลอไรด์ (Sodium hypochorite or dakin’s solution) เปน็ นา้ ยาฆ่าเชือ้ ท่ีจะช่วยขจดั พวกเนือ้ เยือ่ ทตี่ ายแลว้ ใหล้ อกหลุด และยับย้ังการเจริญเตบิ โตของเช้ือซูว์โดโมแนส แต่ นา้ ยาน้ีควรใชเ้ ฉพาะบริเวณทีม่ เี น้ือตายเทา่ น้นั เพราะระคายเคอื งต่อผิวหนังปกติ - นา้ ผึ้ง และนา้ เชอ่ื มเข้มขน้ ใชใ้ สแ่ ผลสะอาดที่มีปากแผลเปิดอปุ กรณ์ 1. เครอื่ งใช้เชน่ เดียวกับการทาแผลชนิดแหง้ 2. เคร่อื งใชท้ เ่ี พ่ิมเติมมี 2.1 ผา้ กอ๊ สชนดิ บางไวส้ าหรับปิดหนา้ แผล 2.2 นา้ ยาท่ใี ช้ปิดหนา้ แผลตามสภาพของแผล 2.3 กรรไกลตัดเน้อื ถา้ มเี นอื้ ตายมาก ที่ขูดเนอ้ื ตาย และท่หี ยั่งความลึกของแผล 2.4 กรณีท่ีแผลลึกมาก ควรใช้สายสวน (Catheter) สอดเข้าไปในแผลเพ่ือช่วยชะล้าง ภาพท่ี 12 แสดงการทาแผลชนิดเปยี ก

ตารางที่ 13 แสดงการทาความสะอาดบาดแผลขั้นตอนการปฏิบตั ิ คาอธิบาย / เหตผุ ล1. ขัน้ ตอนการปฏิบตั ติ งั้ แต่ขอ้ 1- 6 เหมือนกับ การทาแผลชนดิ แห้ง2.ทาความสะอาดแผลเปียก สามารถทาได้หลาย 2.1กาจัดส่ิงแปลกปลอมและเน้ือตายให้ลดลง และวิธีขน้ึ กบั ลักษณะของแผลดงั นี้ มองเหน็ แผลชัดเจน2.1 กรณีแผลเปียกท่ีไม่มีเนื้อตายใช้น้าเกลือ 0.9%เช็ดแผลโดยวนจากในออกนอก แผลจน สะอาดแลว้ ทาขอ้ 3 ตอ่2.2กรณีแผลมีหนองและเนื้อตายไม่มากให้ ล้าง 2.2น้ายาออกซิไดซ์ จะช่วยชะหนองและเนื้อ ตายออกหนอง และ/หรือเน้ือตายออกด้วย ไฮโดรเจนเปอร์ แต่ระคายเคอื งตอ่ เน้ือเย่ือ จงึ ตอ้ งล้าง ออกทุกคร้งัออกไซด์ หรือเดกิน แล้วล้างออกด้วย น้าเกลือ0.9 %2.3กรณีแผลมีหนองและเน้ือตายค่อนข้างมาก ให้ 2.3เนื้อตายขัดขวางการเจริญของเน้ือเย่ือใหม่ และยังขดู เศษเน้อื ตาย เศษหนองที่เหลือด้วยที่ขดู เนื้อตาย เป็นอาหารที่ดขี องเช้ือโรคอกี ด้วยถ้าแผลมีซอกมุมมากใช้ผ้าก๊อสแถบยาว ชุบน้ายาไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ แล้วใช้หยั่ง แผลช่วยในการแยงแสงสอดเข้าไปเช็ดจนทั่ว แล้วล้างตามด้วยน้าเกลอื 0.9 %3.ทาความสะอาดผิวหนังรอบๆแผล ด้วยน้ายาฆ่า 3. เพอื่ ลดปริมาณเชื้อโรคท่อี ยรู่ อบ ๆ แผลเชอื้ โดยวนจากในออกนอกเป็นวงกว้างจน สะอาด4.เทน้ายาที่ต้องการจะเปิดหน้าแผลลงในถ้วย (ใช้ 4.ทาให้เน้ือแผลชุ่มชื้น เน้ือตายลอกหลุดได้ง่ายถ้วยเดียวกับที่ใส่น้าเกลือ0.9%) เอาผ้าก๊อสชุบ เน้ือเยื่อใหม่เจริญได้ดี และควรปิดผ้าปิดแผลให้ พอน้ายาจนชุ่มบิดพอหมดใส่ไว้ในแผลอย่าง หลวม ๆ หมาดเพ่ือปอ้ งกันการไหล เปรอะเป้ือนจนเตม็ แผล5. ปฏบิ ัติเช่นเดียวกับการทาแผลชนิดแห้ง ตงั้ แต่ ข้นั ตอนท่ี 8-126.บันทึกเก่ียวกับลักษณะบาดแผล สิ่งที่ระบาย 6. เพ่ือเป็นหลักฐานและทราบสภาพแผล รวมทั้ง ส่ิงออกจากแผล สี กล่ิน หนอง และเนื้อตาย น้ายาท่ี ผิดปกติที่เกดิ ขึน้ อย่างต่อเนื่องใช้ปิดหน้าแผล ความผิดปกติต่าง ๆ ท่ีพบ รวมท้ังเวลาและวันทีท่ า

3. การชะล้างแผล จดุ ประสงคห์ ลกั ในการชะลา้ งแผลคอื เพื่อทาความสะอาดบรเิ วณทม่ี ีเน้อื ตาย และช่วยสงเสริมให้แผลสร้างเน้ือเย่ือใหม่เร็วข้ึน การทาต้องใช้เทคนิคสะอาดปราศจากเชื้อ แผลท่ีชะล้างมักมี ความลึกควรใช้สายยางที่อ่อนสอดเข้าไปในแผล ก่อนทาการชะล้าง น้ายาท่ีใช้ส่วนใหญ่เป็นน้าเกลือ 0.9 %ขณะทาควรใหผ้ ูป้ ่วยนอนตะแคง เพื่อใหส้ ิ่งชะล้างไหลออกสะดวกอุปกรณ์ 1. เคร่ืองใช้เหมอื นการทาแผลชนดิ แหง้ 2. เครื่องใช้ทีต่ ้องเพมิ่ เติม มี 2.1 ถว้ ยบรรจุนา้ ยาชะล้าง 2.2 น้ายาชะล้าง 150-500 มิลลิลิตร นิยมใช้น้าเกลือ 0.9 % อุ่นให้เท่าอุณหภูมิร่างกายเพือ่ ใหผ้ ูป้ ่วยสุขสบาย 2.3 ชามรูปไตเพอ่ื รองน้าท่ีชะลา้ งออกมา 2.4 กระบอกฉดี ยา 50 มิลลิลิตร พรอ้ มสายยางออ่ นในกรณีท่ีแผลลกึ 2.5 ถุงมอื 2 คู่ 2.6 ผ้ากนั เปอ้ื น 2.7 ผ้ายางกนั ทน่ี อนเปียกตารางท่ี 14 แสดงการปฏิบตั ิการชะลา้ งแผลขน้ั ตอนการปฏบิ ัติ คาอธิบาย / เหตุผล1.ปูผ้ายางกันเปื้อนก่อนจัดท่าให้ผู้ป่วยให้นอน 1.กันเตียงเปียก การนอนตะแคงทาให้น้ายาไหลตะแคงเอาชามรูปไตรองใตแ้ ผลทีจ่ ะชะล้าง สะดวกลงสู่ชามรปู ไต2. วางถุงพลาสตกิ ใส่ขยะใกล้ผปู้ ว่ ย 2. สะดวกในการทางาน3. พยาบาลผูกผา้ กันเป้ือน 3. กนั เสอื้ ผ้าเปรอะเป้ือนขณะทา4.ใส่ถุงมือก่อนแกะพลาสเตอร์และดึงผ้าก๊อส 4. ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และดูแลสุขภาพถอดถงุ มือท้งิ ของแผลดีขึ้นกว่าเดิม หรอื มอี าการผดิ ปกติ5. เปดิ ชุดทาแผลเทนา้ ยาใส่ถ้วยบรรจุนา้ ยา 5. ทาให้สะดวกในขณะทา6. ใสถ่ ุงมอื 6. ลดการแพรเ่ ชื้อ7.เริม่ การชะลา้ งแผล โดยใชก้ ระบอกฉีดยาดดู น้ายา 7.ป้องกันการทาลายเน้ือเยื่อ และทาจนแน่ใจว่าส่ิงและถือสูงจากแผล 2.5 เซนติเมตร (1 น้ิว) ค่อย ๆ แปลกปลอมหลดุ ออกหมดรินน้ายาอย่างต่อเนื่องช้า ๆ ทาไปเรื่อย ๆ จนน้าที่ออกมาใสเหมอื นเดิม8. ถ้าเป็นแผลลึกและมีรูเปิดเล็ก ให้ปฏิบัติดังน้ี ต่อ 8. สอดใส่ได้ลึกกว่า ทาความสะอาดได้ดีกว่า ควร

ตารางท่ี 14 แสดงการปฏบิ ตั ิการชะลา้ งแผลขั้นตอนการปฏบิ ัติ คาอธิบาย / เหตผุ ลสายสวนเข้ากับกระบอกฉีดยา ทาส่วนปลาย ของ กระทาด้วยความนุ่มนวล ช้า ๆ เพ่ือป้องกัน การสายด้วยน้ายาที่จะชะล้างก่อนสอดสายเข้า เข้าไปใน ทาลายเนอ้ื เยือ่ บรเิ วณรอบ ๆแผลช้า ๆ กะให้ห่างจากก้นแผล ประมาณ 1-2เซนติเมตร (1/2 น้ิว) ดันน้ายาเข้า ไปช้า ๆ อย่างตอ่ เน่อื งจนนา้ ท่ีออกมาใส จึงดึง สายยางออก9. ทาความสะอาดปากแผลด้วยน้าเกลือ 0.9% และ 9. เพื่อความสะดวก ไม่ระคายเคืองต่อ ผิวหนัง รอบน้ายาฆ่าเชื้อ เชน่ เดยี วกับการทาแผลทว่ั ไป แผล10. ปดิ แผลด้วยผา้ แตง่ แผล 10. ป้องกันการตดิ เช้ือจากภายนอก11. ถอดถงุ มือ ตดิ พลาสเตอร์ 11. ทาใหต้ ิดพลาสเตอร์ได้สะดวกขึน้12.ปฏิบัตเิ ชน่ เดียวกับการทาแผลชนดิ แหง้ ๆ ตง้ั แตข่ อ้ 10 – 1213.บันทึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับจานวนน้ายาชะล้าง 13. เพ่ือเป็นหลักฐานและทราบสภาพของแผลอาการผิดปกติ เช่น มีเลือดออก ปวดแผลมาก รวมท้งั สง่ิ ผิดปกตทิ ี่เกดิ ข้นึ อยา่ งต่อเนอื่ งลักษณะของสิ่งที่ชะล้างออกมา แผลแห้ง แผล แยกรวมทั้งความรว่ มมอื ของผู้ป่วย4. การทาแผลทม่ี ที ่อระบาย ท่อระบายเป็นวัสดุที่แพทย์จะสอดเข้าไปในร่างกายระหว่างการผ่าตัด โดยปลายด้านหน่ึง จะอยู่ใกลก้ ับอวัยวะหรือโพรงที่ต้องการระบายเอาของเหลวออกจากแผล ส่วนปลายอีกด้านจะโผล่ ออกมาแยกจากแผลผ่าตัด โดยการเจาะผิวหนังห่างจากแผลผ่าตัดประมาณ 2-3 น้ิว เพ่ือป้องกันการ เลื่อนหลุดของท่อระบายก่อนเวลาอันสมควร แพทย์จะเย็บท่อระบายให้ติดกับผิวหนัง ตัวอย่างแผล ท่ีต้องใส่ท่อระบายเพื่อระบายสิ่งที่ค่ังค้างออก คือ การผ่าตัดถุงน้าดี การผ่าตัดตับอ่อน การผ่าตัดใน ช่องท้อง เป็นต้นจุดประสงคห์ ลกั ในการใส่ท่อระบายก็เพ่ือเป็นช่องทางใหข้ องเหลว เชน่ เลือด หนอง นา้ เลือง น้าย่อย นา้ ดีและเนอื้ ตายจากรา่ งกาย ทาใหแ้ ผลหายเรว็ ขนาดของท่อระบาย ความยาวท่ีสอดเข้าไปในแผลประมาณ 25-35 เซนติเมตร (10-14 น้ิว) ความกว้าง 2.5-4เซนติเมตร (0.5-1.5นว้ิ ) เพือ่ ให้ส่ิงที่ค่งั ค้างระบายออกไดด้ ี และทาใหแ้ ผลข้างใน ต้ืนและหายเรว็ ข้ึนจึงตอ้ งดึงท่อระบายออกและตัดให้สั้นลง (Short drain) ประมาณ 2-5 เซนติเมตร (1-2 นิ้ว) ทุกวัน จนกระท่ังหลุดหมด (Off drain) ซง่ึ แผลทเ่ี จาะใส่ท่อระบายจะปิดภายหลังเอาท่อ ออก 1- 2 วนั ตวั อยา่ งท่อระบาย 1. ท่อระบายเพนโรส (Penrose drain) เพ่ือเป็นทางใหข้ องเหลวทีค่ ั่งค้างไหลออกมา ใชม้ ากในแผลทมี่ กี ารอกั เสบใต้ผวิ หนงั แผลผ่าตดั หนา้ ท้อง และแผลมหี นอง

ภาพที่ 13 แสดงแผลทมี่ ที ่อระบาย 2. ทอ่ ระบายที (T-tube) เพอ่ื ใหข้ องเหลวบางสว่ นระบายออกมา นยิ มใช้สายสวนปัสสาวะแบบโฟเล่ย์ (Foley’s catheter) ทาเป็นท่อระบายชนิดน้ี โดยใส่ลมหรือน้าเข้าไปเพ่ือให้ สายตาอยูไ่ ด้ ใช้มากในการผา่ ตดั ถงุ น้าดี กระเพาะปัสสาวะ เปน็ ตน้อุปกรณ์ 1. ชุดทาแผลเช่นเดยี วกับการทาแผลชนิดแหง้ 2. เครอื่ งใชท้ ่ตี อ้ งเพ่มิ เตมิ มี 2.1 ผ้ากอ๊ สตดั เป็นรูปตัววาย (Y ) หรือตวั ที (T) สาหรับรองรับทอ่ ระบาย ในกรณีการตัดท่อระบายให้ส้นั ลง จะต้องเพม่ิ เครือ่ งใช้ตอ่ ไปน้ี 2.2 กรรไกรตัดไหม (ถ้าเปน็ การตดั ท่อระบายครง้ั แรก) 2.3 กรรไกรตดั ทอ่ ระบาย 2.4 เขม็ กลัดซอ่ นปลาย เพอื่ กลัดทอ่ ระบายสว่ นทอ่ี ย่เู หนอื แผล 2.5 ถงุ มือในรายทก่ี ลดั เขม็ กลดั ดว้ ยปากคีบไมถ่ นดั สาหรบั การเอาทอ่ ระบายออก ใช้ อปุ กรณ์เช่นเดียวกบั การทาแผลชนิดแหง้ตารางท1ี่ 4 แสดงการปฏิบตั ิดูแลบาดแผลท่ีมีท่อระบายขน้ั ตอนการปฏบิ ตั ิ คาอธบิ าย / เหตุผล1.ปฏิบตั ิเช่นเดียวกับการทาแผลชนดิ แหง้ ขอ้ 1-62. การทาความสะอาดแผลมีท่อระบายทว่ั ไป2.1 ใช้สาลีชุบน้าเกลือ 0.9% ทาความสะอาด คราบ 2.1 ทาให้สะอาดและลดปริมาณเชื้อโรคสกปรกต่าง ๆ และส่ิงที่ระบายออกรอบ ๆ แผลโดยวนจากในออกนอกจนสะอาด

ตารางท1่ี 4 แสดงการปฏิบตั ิดแู ลบาดแผลท่ีมที ่อระบายขน้ั ตอนการปฏิบตั ิ คาอธิบาย / เหตผุ ล2.2ใช้สาลีชุบน้ายาฆ่าเช้ือ เช็ดทาความสะอาดรอบๆ 2.2ทาให้ผิวหนังรอบแผลแลท่อระบายสะอาดแผล และเช็ดหมุนไปรอบๆ ท่อ โดยวน จากท่อ ปราศจากเช้อื โรคระบายท่ีอยู่ชิดปากแผลมากที่สุด แล้ววนออกด้านนอก อาจใช้มือข้างท่ีไม่ถนัดจับท่อระบาย จะทาให้เช็ดไดส้ ะดวกข้ึน2.3 สอดวายก๊อสเข้าระหว่างผิวหนังและท่อระบาย 2.3ป้องกันการระคายเคืองของผิวหนังจากสิ่งท่ีแล้ววางผ้าก๊อส และผ้าก๊อสหุ้มสาลีคลุม ปิดท่อ ระบายออกจากท่อ และช่วยดูดซับส่ิงท่ีระบายระบายตามลาดับ ออกมา3. การตัดทอ่ ระบายใหส้ ั้นลง3.1เช็ดรอบโคนของท่อระบายและผิวหนังด้วย 3.1 เพ่อื ความสะอาดและลดจานวนเชอ้ื โรคน้ า เก ลื อ 0.9% แ ล ะ น้ าย า ฆ่ าเช้ื อ จ น ส ะ อ า ดตามลาดบั เช่นเดียวกบั ข้อ 2.1 และ 2.23.2 การตัดท่อระบายให้ส้ันครั้งแรกให้ใช้ กรรไกร 3.2แพทย์จะเย็บท่อระบายด้านนอกไว้กับ ผิวหนังตัดไหมเย็บยึดทอ่ ระบายไว้ กบั ผิวหนัง ออกก่อน เพ่ือป้องกันท่อระบายหลุดเข้าไปในช่องท้อง ดังนั้น จึงต้องตัดไหมออกก่อน เพอ่ื จะไดด้ งึ ทอ่ ระบายข้ึนมา ได้3.3ใช้ปากคีบมีเขี้ยวจับท่อระบายดึงขึ้นมาเบา ๆ 3.3 ระวังการดึงท่อระบายออกมามากเกิน ต้องการยาวเท่ากบั จานวนที่ตอ้ งการ ประมาณ 2.5-5 ซม. อาจทาใหท้ ่อระบายหลุดก่อนเวลา3.4ใช้ปากคีบมีเข้ียวคีบท่อระบายใกล้กับ ผิวหนังใช้ 3.4 ป้องกันการเล่ือนหลุดของท่อระบายเข้าไป ในปากคีบไม่มีเขี้ยวหรือผ้าก๊อสหรือสวมถุงมือสะอาด แผลปราศจากเชื้อจับเข็มกลัดซ่อนปลาย กลัดท่อระบายบริเวณทีอ่ ยู่เหนอื ปากแผล ประมาณ 1 ซ.ม.

ตารางท1่ี 4 แสดงการปฏบิ ัติดแู ลบาดแผลท่มี ที อ่ ระบายขนั้ ตอนการปฏบิ ตั ิ คาอธิบาย / เหตผุ ล3.5ใช้กรรไกรตัดท่อระบายตรงส่วนท่ีอยู่เหนือเข็มกลดั ซอ่ นปลายประมาณ 1 ซม.3.6 ทาความสะอาดบริเวณท่อระบายด้วยสาลีชุบ 3.6 ช่วยลดเชื้อและป้องกันการเปรอะเป้ือนจาก ส่ิงน้าเกลือ 0.9% เช็ดผิวหนังรอบท่อระบายและ เช็ด ท่ีระบายออกจากแผลท่อระบายจากโคน ไปยังส่วนปลายท่อตามหลักการทาแผลทั่วไปจนสะอาด และเช็ดตาม ด้วยสาลชี บุ นา้ ยาฆา่ เชอ้ื ดว้ ยวธิ ีการเดียวกัน3.7 สอดวายก๊อสเข้าระหว่างผิวหนังกับท่อ ระบาย 3.7ป้องกันการระคายเคืองของผิวหนังจากส่ิงท่ีแล้ววางผ้าก๊อสและผ้าก๊อสหุ้มสาลีคลุม ปิดท่อ ระบายออกจากท่อและช่วยดูดซับส่ิงท่ีระบายระบายตามลาดับ ออกมา4. การถอดท่อระบายออกจากแผล4.1ทาเช่นเดียวกับการตัดท่อระบายให้สั้นลง แต่ 4.1ถ้าดึงท่อระบายออกเร็วเกินไป ทาให้สิ่งที่ค่ัง ค้างการดึงท่อระบายให้คอ่ ย ๆ ดึง ออก แล้วหยุดช่ัว ครู่ ในแผลขัดขวางการหาย ของแผลเพื่อให้สิ่งท่ีคั่งค้าง ในแผลได้ไหลออกมา จากนั้นจึงดึงตอ่ จนทอ่ ระบายหลดุ ออกจาแผล4.2 เช็ดแผลด้วยน้าเกลือ 0.9% แล้วเช็ดบริเวณ 4.2 ทาให้แผลสะอาดและลดเช้ือโรคบริเวณรอบ ๆรอบแผลด้วยนา้ ยาฆา่ เชอ้ื เปน็ วงกวา้ งอีกคร้ัง แผล5.ปฏิบัติเช่นเดียวกับการทาแผลชนิดแห้ง ตั้งแต่ขัน้ ตอนที่ 8-126. บันทึกเพิ่มเติมเก่ียวกับวิธีการทาแผลแบบใด ในข้อ 2,3,4 และลักษณะผิวหนังรอบ ๆ ท่อ ระบายรวมทัง้ ปฏกิ ริ ิยาของผปู้ ่วยขณะทาแผล

5. การตดั ไหม ภาพที่ 14 แสดงแผลตัดไหมและการตดั ไหม การตดั ไหม หมายถึง การตัดไหมที่เย็บเพื่อดึงรั้งเน้ือเยอื่ มาติดกันจนกว่าแผลจะหาย เพื่อ ปอ้ งกันการอักเสบของแผลจากไหมที่เย็บ วัสดุที่ใช้เย็บแผลมีหลายชนิด เช่นไหม ไหมเทียม ไนลอน ด้าย ลินินและลวด เป็นต้น โดยทั่วไปการตัดไหมจะตัดในวันที่ 7-10 หลังผ่าตัด แต่ต้องดู ตาแหน่งท่ีเย็บด้วย เช่นบริเวณหน้าและลาคอจะตัดเร็วประมาณวันท่ี 5 – 6 แผลผ่าตัดอวัยวะภายใน ช่องท้องและมีแผลเย็บบริเวณหน้าท้องจะตัดไหมวันท่ี 7 สาหรับการผ่าตัดบริเวณช่องอก เช่น ผ่าตัด ปอดและหัวใจ จะตัดไหมวันที่ 10 แผลผ่าตัดกระดูกและใช้ลวดเย็บ จะตัดลวดได้ในวันที่ 12-15 สาหรับผู้ป่วยท่ีอ้วนมาก แผลติดยากหรือแผลทผ่ี า่ ตดั ชา้ อาจต้องท้ิงใหน้ านถงึ 14-21 วนั หรอื จนกว่าผวิ หนงั ติดกนั ดี ก่อนการตัดไหม ควรทราบถึงวิธีการเย็บไหมแบบต่าง ๆ เพื่อเลือกใช้วิธีการตัดไหมที่ เหมาะสมและลดการนาเชอ้ื โรคจากผิวหนงั ยอ้ นเข้าไปในแผลผู้ปว่ ยตามเส้นไหมทต่ี ัดและดึงออก โดยทั่วไป แผลเย็บที่ผวิ หนงั จะมีวิธกี ารเยบ็ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท 1. แผลเย็บแตล่ ะเขม็ ใช้ไหมผูกปมแยกเปน็ อนั ๆ (Interruped) เป็นวิธที น่ี ยิ มกนั มาก ซง่ึแบ่งออกเป็น 2 วธิ คี อื 1.1 วธิ เี ย็บชนดิ ธรรมดา (Plain interruped) คอื ใชเ้ ข็มตักเขา้ ไปในเนื้อใต้ผิวหนงั ส่วนทเ่ี ย็บเพยี งคร้ังเดียว แล้วผูกชายไหมเปน็ ปมไว้ที่ดา้ นขา้ ง 1.2 วิธเี ย็บ 2 ชนั้ ธรรมดา (Mattress interruped) ใชเ้ ขม็ ตกั เข้าไปในเนอ้ื ใตผ้ วิ หนงั ใหห้ ่าง

จากของแผลข้างหน่งึ ไปโพล่อีกข้างหน่ึง โดยห่างจากขอบแผลขา้ งละประมาณ 1 เซนตเิ มตร แล้ว ย้อยเข็มกลับมาตักเน้ือใต้ผิวหนังให้ชิดขอบแผลท้ังสองข้างมากที่สุด จากน้ันผูกชายไหมสองข้างให้ เป็นปมไว้ที่ด้านลา่ ง 2. แผลเย็บแต่ละเขม็ ใช้ไหมเยบ็ ต่อเนอื่ งไปตลอดตามความยาวของแผล ผูกปมเฉพาะแผลทเี่ ยบ็ เข็มแรก และเข็มสุดท้ายเทา่ นัน้ (Continuous) ทนี่ ิยมมี 3 วธิ ีคอื2.1 การเย็บตอ่ เน่ืองดว้ ยวิธธี รรมดา (Plain continuous)2.2 การเย็บต่อเน่ืองชนิด 2 ชนั้ (Mattress continuous)2.3 การเย็บต่อเนอ่ื งชนดิ พับทบเปน็ หว่ ง (Blanket continuous)อุปกรณท์ ใ่ี ชใ้ นการตดั ไหม 1. ชดุ ทาแผลเช่นเดยี วกบั การทาแผลชนดิ แห้ง 2. กรรไกรตัดไหมซึง่ มีขนาดเล็ก ปลายแหลมและปลายอาจจะโค้งงอหรือตรงก็ได้ ในท่ีนีจ้ ะกลา่ วถงึ การตดั ไหมเฉพาะการเยบ็ ตอ่ เนื่องด้วยวธิ ธี รรมดา (Plain continuous)ตารางท1ี่ 5 แสดงการปฏิบตั ิตัดไหม คาอธิบาย / เหตผุ ลขั้นตอนการปฏบิ ตั ิ1. ปฏิบตั เิ ช่นเดียวกบั การทาแผลแห้งขอ้ 1-62. ใชส้ าลชี บุ นา้ เกลือ 0.9% NSS เชด็ ไหมเยบ็ ทกุ ปม 2. ทาให้ไหมนมิ่ ไมต่ ดิ กับแผล

ตารางท1ี่ 5 แสดงการปฏบิ ัติตดั ไหมขน้ั ตอนการปฏิบตั ิ คาอธิบาย / เหตผุ ล3. การตัดไหมชนิดผกู ปมแยก 3.1 ชว่ ยลดการติดเชือ้3.1 ตัดไหมชนิดผกู ปมแยกเปน็ อนั ๆ3.1.1 วางผา้ ก๊อสลงตามแนวแผลเยบ็ ทงั้ 2ข้างกดมือ 3.1.1 ดูว่ามีแผลแยกหรือไม่ก่อนตัดไหม ถ้ามี ควรเบา ๆ ดวู ่าแผลแยกหรือไม่จากนน้ั เอาผ้ากอ๊ สออก งดตดั และรายงานให้แพทยท์ ราบ3.1.2ใช้มือถนัดถือกรรไกรอีกมือถือ ปากคีบมีเขี้ยวและวางผา้ กอ๊ ส 1 ชิ้นลงใกล้กับแผล ท่จี ะตัดไหม3.1.3สอดปลายกรรไกรเข้าไปตัด ไหมส่วนท่ีชิดติด 3.1.2ทาให้สะดวกและรักษาปลายปากคีบให้กบั ผวิ หนงั ดา้ นตรงข้ามกับปมด้าย(หรือตัดไหมสว่ นที่ สะอาดปราศจากเชอื้อยู่ได้ปมด้าย) จากน้ันใช้ ปากคีบมีเข้ียวจับตรงปมดา้ ยๆดึงออกเบาๆ3.1.4ดึงด้ายออกวางบนผ้าก๊อสท่ีเตรียม ไว้ทาเช่นนี้ 3.1.4 ปอ้ งกนั ปลายปากคีบให้สะอาดปราศจาก เชอื้ไปเร่ือยๆ จนหมดทุกปมในกรณีตัดไหมหมด ถ้าเป็นการตัดไหมอันเว้นอัน ให้เร่ิมตัดปมท่ีสองแล้วตัดอันเว้นอันไปเรื่อยๆและเว้นปมสุดท้ายไว้เช่นเดียว กับปมแรก3.1.5ตรวจดูจานวนปมไหมท่ีเย็บท่ีดงึ ออกกับจานวน 3.1.5ป้องกันการลืมด้ายเย็บไว้ในเนื้อเยื่อถ้าเอารอยเยบ็ บนแผลทีต่ ดั ออกตอ้ ง เท่ากัน ออกไม่หมดจะเกดิ การอักเสบได้3.2 ตดั ไหมชนดิ ผูกปมแยก2ช้นั ธรรมดา

ตารางท1ี่ 5 แสดงการปฏิบตั ิตัดไหม คาอธบิ าย / เหตผุ ลข้นั ตอนการปฏบิ ตั ิ3.2.1 ตัดด้ายที่ตาแหน่ง ก. และ ข. ซ่ึงอยู่ตรงข้าม 3.2.1ตัดด้ายให้ตัดตรงตาแหน่งที่ด้ายชิดกับ ผิวหนังกับปมมัดจากนั้นค่อย ๆ ดึงด้ายท่ีตาแหน่ง ค. และ มากที่สุดเพ่ือป้องกันไม่ให้ด้ายส่วนที่อยู่นอกร่างกายก.ข.ออกวางบนผ้าก๊อส (ในกรณีที่ด้ายตรงตาแหน่ง เข้าไปไดผ้ วิ หนงั ในขณะดงึ ด้ายทิ้งแต่ละคร้งัก. และ ข. มีขนาดเล็ก มากทาให้ตัดลาบากอนุโลมให้ตัดตรงกึ่งกลาง ก.กับ ข. ได้ )3.2.2ทาซ้าเช่นน้ีในแต่ละปมด้ายไปเรื่อยๆ จน หมด 3.22 ป้องกนั การลืมหรอื ตัดไม่หมดทกุ ปมทุกปมยกเวน้ ในกรณใี ห้ตัดไหมแบบอันเว้นอันวธิ ีการใหป้ ฏิบัติเช่นเดียวกับขอ้ 3.1.44. การตัดไหมชนดิ เย็บต่อเนื่องด้วยวธิ ีธรรมดา (Plain continuous)4.1 ปฏบิ ตั ิเช่นเดียวกับขอ้ 3.1.1-3.1.24.2เร่ิมต้นตัดด้ายท่ีตาแหน่งก. และ ข. ตามรูปจากน้ันใช้ปากคีบมีเข้ียวจับปมด้ายที่ตาแหน่งค. 4.2-4.7 การตัดด้ายให้ตัดตรงตาแหน่งท่ีด้ายชิด กับคอ่ ยๆดึงดา้ ยออกวางบนผา้ กอ๊ สท่เี ตรียมไว้ ผวิ หนังมากท่ีสุด เพ่ือป้องกันไม่ให้ด้ายส่วนที่อยู่นอก4.3 ตดั ดา้ ยท่ีตาแหน่ง จ. แลว้ ดงึ ด้าย ง.-ข. ทง้ิ ร่างกายเข้าไปใต้ผิวหนังในขณะดึงด้ายทิ้งแต่ละครั้ง4.4 ดงึ ด้ายทีต่ าแหน่ง ช. แลว้ ดึงด้าย ฉ.-จ. ทิ้ง เพราะอาจเกิดการติดเชอ้ื ได้4.5 ตดั ดา้ ยที่ตาแหนง่ ญ. แล้วดึงดา้ ย ช.-ฌ. ทิง้4.6 ทาซ้าเช่นเดียวกับข้อ 4.3 ถึง 4.5 ที่ ตาแหน่งฎ.-ญ.จนกระท่ังถึงปมสุดท้ายของดา้ ย

ตารางท1่ี 5 แสดงการปฏิบตั ิตดั ไหมขน้ั ตอนการปฏิบัติ คาอธิบาย / เหตผุ ล4.7 ตัดท่ีตาแหน่ง ฆ. และดึงด้ายมีปมท่ี ตาแหน่งฐ.ออกวางบนผา้ กอ๊ ส5.ตรวจดูแผลอีกคร้ังหลังตัดไหมเสร็จ ตรวจดูตาแหน่งที่มีแผลแยก หากมีแผลแยก เล็กน้อย ควรใช้ เท ป รู ป ผี เส้ื อ ท่ี ส ะ อ า ด ป ร า ศ จ า ก เชื้ อ ปิ ด ต ร งตาแหนง่ น้นั เพอ่ื ทาให้ขอบแผล มาชดิ กัน6. ทาความสะอาดบริเวณแผลและรอบแผลอีก คร้ัง 6. เพ่อื ความสะอาดและลดปรมิ าณเชอ้ื โรคด้วยน้าเกลือ 0.9%NSS และน้ายาฆา่ เชอ้ื7. ปฏบิ ตั เิ ช่นเดียวกบั การทาแผลชนิดแหง้ ขอ้ 8 -128.บันทึกเพิ่มเติมเก่ียวกับรอยเย็บ มีแผลแยก มี 8.เพื่อเปน็ หลักฐานและทราบสภาพของแผล รวมทั้งอวัยวะโผล่ มีเลือดออก มีหนอง จานวนปมไหมท่ีตัด สิ่งผดิ ปกติทีเ่ กดิ ข้นึ อยา่ งตอ่ เนอื่ งออก และปฏกิ ิริยาของผปู้ ่วยขณะตัด ไหมการประเมินผล 1. ความรู้สกึ ของผู้ปว่ ยในขณะทาแผล และหลังทาแผล เพื่อดูความสุขสบายของผ้ปู ่วยทุกครง้ัท่ที าแผล เพื่อปรบั ปรุงแกไ้ ขในครง้ั ตอ่ ไป 2. ตรวจดกู ารตรึงหรอื การยดึ แผลดว้ ยพลาสเตอร์ หรอื ผา้ พนั มกี ารเล่อื นหลดุ หรอื ไม่ 3. ดูสิ่งท่ีระบายออกจากแผลในเร่ือง จานวน สี กลิ่น ลักษณะและจานวนคร้ังของการทาแผลใหมร่ วมท้งั ปริมาณการใช้ผา้ แต่งแผลเพิม่ หรือลดลง 4. อาการผิดปกติ เช่น มีหนอง แผลแยก แผลมีอวัยวะอื่นโผล่ เนื้อตาย เลือดไหล การติดเช้ือบวม แดง รอยถลอกจากการระคายเคอื ง เปน็ ต้น 5. ตดิ ตามผลการสง่ ตรวจสิ่งทร่ี ะบายออกจากแผลผลการเพาะเชือ้ ทางห้องทดลอง 6. ดูระยะการหายของแผลอยูใ่ นระยะใด 7. การตรวจดูสั ญ ญ าณ ชีพ และค วาม ดัน โลหิ ต เพ่ื อดู การเป ลี่ ยน แป ลงท่ี เกิดข้ึ น

การใหค้ าแนะนาแก่ผู้ป่วยในการดแู ลแผล เมอื่ ทาแผลเรยี บร้อยแลว้ จดั ท่าให้ผูป้ ว่ ยสุขสบายและดูแลสภาพแวดลอ้ ม พร้อมทั้งให้ คาแนะนาในการปฏบิ ัติตัวเกี่ยวกบั การดูแลตนเอง ได้แก่ 1. ระวังไม่ใหแ้ ผลถูกนา้ หรือเปยี กชืน้ หากแผลชุม่ มากควรแจง้ เจา้ หน้าท่พี ยาบาล 2. รับประทานอาหารใหค้ รบหมู่และพอเพียง ร่างกายจะได้รับ นา้ โปรตีน วติ ามนิ และเกลือแร่ เช่น วติ ามนิ ซี เอ อี เปน็ ต้น เพื่อสรา้ งเนื้อเย่ือและเสริมความแขง็ แรงใหก้ ับแผล 3. หากเกิดอาการคันหรือแพ้พลาสเตอร์ควรแจ้งเจ้าหน้าทพี่ ยาบาลไม่ควรเกาเพราะจะ ทาให้ผิวหนงั รอบแผลช้าถลอกเกดิ การอักเสบติดเชือ้ ลกุ ลามขยายเปน็ แผลกวา้ งได้ หลักการใชผ้ า้ พนั แผล(Bandaging) เม่ือเกิดการบาดเจ็บจากกระดูกหัก หรือมีบาดแผลตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย การพันผ้าก็เป็นอีกขั้นตอนหน่ึงที่ใช้ในการปฐมพยาบาลเพ่ือร่วมกับการดามอวัยวะท่ีหัก หรือ พันแผลก่อนนาส่งโรงพยาบาลผ้าพันแผลโดยทั่วไปใช้เพ่ือห้ามเลือด ป้องกันการติดเช้ือ พันเฝือกในรายกระดูกหักหรือใช้เพื่อยึดพยุงผ้าปิดแผลใหอ้ ยู่กับ หรือพนั เพื่อพยงุ อวยั วะนน้ั ๆ ผ้าพนั แผล (Bandage) มี 2 ชนิด 1. Bandage ลกั ษณะเปน็ แถบยาวมที ้ังแบบยดื หยุ่นไม่ได้ เช่น Roll Gauze ใชเ้ พียงคร้ังเดียวและแบบยืดหย่นุ ได้ เชน่ Elastic Bandage หลังทาความสะอาดเอามาใชใ้ หม่ได้ 2. Binders ไมม่ ีการยืดหยุ่นของผ้า มรี ูปร่างต่าง ๆ กนั ใช้ผูกมัดอวยั วะแตล่ ะส่วนจุดประสงค์ของการใชผ้ ้าพนั แผล 1. เพอ่ื ยึดผ้าปิดแผลหรือ splint ใหอ้ ยู่กบั ท่ี 2. เพอ่ื ป้องกนั ไม่ให้แผลสกปรกหรือเกดิ การตดิ เชื้อ 3. เพื่อยดึ พยงุ หรือรองรบั อวัยวะส่วนทห่ี ัก บาดเจ็บให้เขา้ ท่ี ปอ้ งกนั การระทบกระเทือน ชว่ ยลด ปวดเมือ่ ย 4. เพ่อื ห้ามเลือดโดยใช้แรงกดของผา้ 5. ป้องกันไมใ่ หเ้ กิดอาการบวมหรอื ทาให้ยบุ บวมหลักการพนั ผา้ 1. บริเวณที่พนั ต้องสะอาด ถา้ มีแผลทาแผลกอ่ น 2. ไม่พนั แนน่ หรอื หลวมเกนิ ไป 3. ไมใ่ หผ้ ิวหนังตดิ กัน ใชผ้ า้ ก๊อสหรอื สาลีคั่นตามบริเวณทเี่ ปน็ แผลปอ้ งกนั ผวิ หนังแฉะหรือเปอื่ ย ถา้ พนั บรเิ วณข้อใหว้ างผา้ นุ่มกัน 4. อวัยวะทีจ่ ะพันต้องอยู่ในทา่ ท่ีสบาย สะดวกในการทา 5. การพนั ผา้ พยาบาลยึดหลักหรือข้อทใ่ี กลท้ ีส่ ดุ ป้องกันการเลือ่ นหลุดของผ้า 6. ผ้าพนั ชนดิ มว้ น ตอ้ งจบั ม้วนผ้าใหห้ งายขนึ้ พนั จากสว่ นเลก็ ไปหาส่วนใหญ่ 7. เร่ิมตน้ และจบการพันแบบหมุนวน (Circular) ทุกครงั้ 8. การพนั บรเิ วณมือและเท้า ต้องเวน้ ใหเ้ ห็นปลายมือปลายเท้า เพอ่ื สงั เกตสีของผวิ หนงั

9. การเลือกขนาดของผา้ พัน ควรเลอื กใหเ้ หมาะสมกับขนาดของอวยั วะน้ัน ๆ เช่น บริเวณมือและน้ิวเทา้ ใชผ้ า้ พนั กว้าง 1 นิว้ บรเิ วณศีรษะ มือ แขน-ขาของเดก็ ใชผ้ ้าพันกว้าง 2 นิ้ว บรเิ วณแขน-ขาของผู้ใหญ่ ใช้ผา้ พันกวา้ ง 2 – 3 น้ิว บริเวณตะโพก โคนขา ลาตัว ใช้ผ้าพันกว้าง 3 – 4 นิว้ ทัง้ น้ีตอ้ งดขู นาดของอวัยวะของผู้ปว่ ยดว้ ยการพนั ผ้าชนดิ ตา่ งๆ ผ้าพันเปน็ แบบยาว (Bandage) มีวิธกี ารพัน 6 วิธี คือ 1.การพนั แบบหมนุ วน (Circular Turn) ใชเ้ ริม่ และจบการพนั ผ้าหรอื ยดึ แผลใหอ้ ยู่กับท่ี ภาพท่ี 15 แสดงวธิ ีการพันเป็นวงกลม ทีม่ า http://www.nurse.nu.ac.th/cai/firstaid023_2.html 2.การพนั เป็นเกลยี ว (Spiral Turn) เร่มิ พนั โดยพันรอบ ๆ ตามด้วยการพันเหลื่อมกันเล็กน้อย ½ หรอื 2/3 ของผา้ เหมาะกบั การพนั อวัยวะรูปทรงกระบอกท่ีค่อย ๆ ใหญ่ขนึ้ ทีล่ ะนอ้ ย เชน่ นวิ้ มอืแขน ภาพท่ี 16 แสดงการพนั เป็นเกลียว ท่ีมา http://www.nurse.nu.ac.th/cai/firstaid023_2.html

3. การพนั พบั กลับเปน็ เกลียว (Spiral Reverse Turn) เรม่ิ พันเหมือนการพนั ผา้ เป็นเกลยี ว แตพ่ ันทบหักมุมลงมาคร่งึ หน่ึง ให้รมิ ผา้ ขนานกันและมมุ พบั อยู่ในแนวเดยี วกนั ทุกรอบเหมาะสาหรับอวัยวะทโ่ี คนใหญ่ปลายเล็ก ดกี วา่ Spiral Turn เพราะแน่นและมัน่ คงกว่า 4. การพันผา้ เป็นรูปเลขแปด (Figure – eight Turn) คือพนั ผา้ ไขว้กันไปมาเหนือและใตข้ ้อ ช่วยใหเ้ หยียดและงอข้อไดส้ ะดวก ภาพที่ 17 แสดงการพนั ผา้ เปน็ รูปเลขแปด ทีม่ า http://www.nurse.nu.ac.th/cai/firstaid023_2.html 5. การพันกลับไปกลบั มาอวัยวะส่วนปลายสุด (Recurrent Turn) เริม่ การพนั ดว้ ยCircular ภาพท่ี 18 แสดงการการพนั กลบั ไปกลับมาอวัยวะสว่ นปลายสดุ (Recurrent Turn) ทมี่ า http://www.nurse.nu.ac.th/cai/firstaid023_2.html 6. Turn แลว้ พนั ทบไปทบมา เรม่ิ พนั แรก ๆ ควรจัดใหอ้ ยู่ตรงกลางของอวัยวะนน้ั ๆแล้วตอ่ ไปให้ตรงขา้ งซา้ ยทขี่ วาที่และบรเิ วณแผลจนปดิ อวยั วะนั้น แล้วยึดปลายผา้ ทที่ บไปมาด้วยการพนั รอบ ๆ มกั ใช้กับบาดแผลท่ีศรี ษะ ปลายมือ-เท้า stump ของแขน – ขา ช่วยให้การอกั เสบยบุ เรว็ ขึ้น 7. การพนั ผ้าตามข้อต่อ (Spica Bandage) พันเหมอื นการพันรอบ ๆ สลบั ด้วยการพันเป็นเกลยี ว เหมาะสาหรับพนั ตามข้อต่อต่าง ๆ ซ่งึ ผา้ ท้ัง 2 ด้าน จะทามุมฉากกัน้ และใช้มุม

ตรงขอ้ ต่อน้นั ยดึ ผ้าไว้ ใช้กับบริเวณข้อไหล่ ตะโพก งา่ มนว้ิ มอื เป็นตน้ ภาพท่ี 19 แสดงการพนั ผา้ ตามข้อต่อ(Spica Bandage) ท่มี า http://www.nurse.nu.ac.th/cai/firstaid023_2.htmlสรุป พยาบาลมีบทบาทสาคัญในการดูแลผู้ป่วยที่มีบาดแผลซ่ึงพยาบาลควรมีความรู้เก่ียวกับแผลเป็นอย่างดี ในการประเมินสภาพแผล การปฏิบัติการพยาบาลในการดูแลแผลได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนการให้คาแนะนาผู้ป่วยและญาติเก่ียวกับการดูแลแผล ตลอดจนสังเกตภาวะแทรกซ้อนหรือความผิดปกติที่จะเกิดขึ้นเพือ่ ส่งเสรมิ การหายของแผลอย่างตอ่ เน่อื ง บรรณานุกรมธวชั ประสาทฤทธา. (2551). การดูแลบาดแผล. กรุงเทพฯ: บุ๊คส์ ทู ย.ูประภาพร จินนั ทุยา, นิโรบล กนกสุนทรรตั น.์ (2556). การดูแลบาดแผล (พมิ พค์ รั้งท่ี 2). กรงุ เทพฯ: ศริ ิยอด การพิมพ์.วรนุช เกยี รตพิ งษถ์ าวร,อัจฉรา เตชฤทธพิ ทิ ักษ์, สมคดิ โพธ์ิชนะพันธ์ุ, และผ่องศรี ศรมี รกต. (2545). การ พยาบาลศัลยศาสตรท์ างคลนิ ิก. (พิมพ์ครั้งที่4).กรงุ เทพฯ: ลฟี ว่ิง ทรานส์ มีเดยี .สุปาณี เสนาดสิ ัย. (2551). การพยาบาลพ้นื ฐานแนวคิดและการปฏิบัต.ิ พมิ พ์คร้งั ที่ 12.กรุงเทพ: บรษิ ัทจดุ ทอง จากดั .อภญิ ญาเพียรพิจารณ์และคณะ.(2552).แนวคิดพื้นฐานและหลักการพยาบาล เลม่ 2.กรงุ เทพฯ : พิมพ์ท่ี บรษิ ัท ยทุ ธนา การพมิ พ์ จากดั .อัจฉรา พ่มุ ดวง. (บรรณาธิการ). (2555). (พิมพ์ครงั้ ท่ี3). การพยาบาลพนื้ ฐาน:ปฏิบตั กิ ารพยาบาล. กรุงเทพฯ: วทิ ยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย.

ตวั อย่างข้อสอบ หลกั การและเทคนคิ การดูแลบาดแผล และการพันผ้าขอ้ ที่ 1จุดประสงค์การสอบ บอกประเภทของบาดแผลได้ระดับการวดั ความเข้าใจเนื้อหาทีว่ ดั ประเภทของบาดแผลข้อสอบ ผปู้ ว่ ยรายใดที่แผลที่เป็นลักษณะของแผลติดเชื้อ ก.ผู้ป่วยหญงิ ไทยอายุ 48 ปี ลน่ื ลม้ บรเิ วณฟุตบาทมีแผลฉีกมเี ศษหนิ ดนิ ติดในแผล ข.ผปู้ ่วยหญิงอายุ 18 ปี มแี ผลผา่ ตัดไส้ต่ิงอักเสบ ค.ผปู้ ่วยเดก็ ชายอาย 6 ปี ตกบนั ไดมแี ผลบวมทห่ี น้าผากและศรี ษะ ง. ผู้ปว่ ยหญงิ ไทย 48 ปี ผา่ ตดั คลอดบตุ รมีแผลเยบ็ บริเวณทอ้ งน้อยเฉลย ขอ้ ก.ขอ้ ท่ี 2จุดประสงคก์ ารสอบ บอกกระบวนการหายของแผลได้ระดบั การวัด ความเขา้ ใจเน้อื หาทีว่ ัด กระบวนการหายของแผลขอ้ สอบ เก่ียวกับกระบวนการหายของแผลข้อใดถกู ต้องทสี่ ุด (ความเข้าใจ) ก.แผลทีม่ ขี นาดใหญแ่ ละลึกการหายของแผลจะเร็วเพราะมี ออกซิเจนและ Blood Circulation ดกี ว่าแผลต้นื ข. อุณหภูมิของแผลที่สูงขน้ึ ทาใหข้ บวนการเมตาบอลซิ ึมมากขึ้นซึง่ เปน็ การสง่ เสริมให้แผลหายเร็วข้ึน ค. ในกระบวนการหายของแผลระยะท่ีมกี ารอักเสบ ( Hemostasis and Inflammation) ใชเ้ วลาในการยอ่ ยสลายสิ่งแปลกปลอมในบาดแผล 5-7 วนั ง. ในกระบวนการหายของแผลระยะปรบั ตัวเข้าสู่ภาวะปกติ( Maturation or remodeling) จะเกิดขนึ้ประมาณวันท่ี 21 ถงึ เดือน หรือเป็นปีเฉลย ขอ้ ง.

ขอ้ ท่ี 3จุดประสงคก์ ารสอบ บอกวตั ถปุ ระสงค์ของการทาแผลได้ระดบั การวัด จาเนื้อหาที่วัด วตั ถุประสงค์ของการทาแผลขอ้ สอบ ขอ้ ใดไม่ถกู ตอ้ งเกย่ี วกับการทาแผล ก. การทาแผลเป็นการกระตนั ให้แผลหายเร็วขึ้นข. การทาแผลไมจ่ าเป็นต้องดูดซบั สารคดั หลงั่ ออกใหห้ มดเพราะจะทาแผลขาดความช่มุ ช้นืค. การทาแผลเปน็ การป้องกันผิวหนงั รอบๆแผลที่มที ่อระบายเป่ือยและหลดุ ลอกออกง. การทาแผลเป็นการป้องกันไม่ใหแ้ ผลได้รับอันตรายเพมิ่ มากข้นึเฉลย ข้อ ข.ข้อที่ 4จดุ ประสงคก์ ารสอบ อธบิ ายหลักการและเทคนิค การทาแผลแห้งตามกระบวนการพยาบาลได้ระดบั การวดั เขา้ ใจเน้ือหาทวี่ ัด หลกั การและเทคนิค การทาแผลชนดิ แห้งขอ้ สอบ ลักษณะแผลมีเลอื ดซมึ เล็กนอ้ ยบริเวณรอยแยกของผิวหนัง มีสงิ่ คัดหลั่งสเี หลอื งใส ควรเตรียมนา้ ยาในการทาความสะอาดแผลชนิดใดจึงเหมาะสมในการดแู ลทาความสะอาดบาดแผล ก. แอลกอฮอล์ 70%เช็ดรอบแผลด้านนอกและเช็ดภายในบาดแผลข. แอลกอฮอล์ 70%เช็ดรอบแผลด้านนอกและ10% โพวดิ นี เชด็ ภายในบาดแผลค. แอลกอฮอล์ 70%เช็ดรอบแผลด้านนอกและนา้ เกลือ 0.9 %เช็ดภายในบาดแผลง. แอลกอฮอล์ 70% เช็ดรอบแผลด้านนอกและ3%ไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซต์เช็ดภายในบาดแผลเฉลย ข้อ ค.ข้อที่ 5จดุ ประสงคก์ ารสอบ อธิบายหลักการและเทคนิค การทาแผลเปียกและการสวนลา้ งแผลตามกระบวนการพยาบาลได้ระดบั การวัด นาไปใช้เนื้อหาทว่ี ดั การทาแผลเปียกและการสวนลา้ งแผลขอ้ สอบ การดแู ลบาดแผลท่ีมีเนอ้ื ตายและมีหนองสีเหลืองข้นซึมออกมาตลอด ขอ้ ใดถูกต้อง

ก. ล้างแผลดว้ ยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ แลว้ ล้างออกด้วยน้าเกลอื 0.9 %ข. ชะล้างแผลด้วย น้าเกลอื 0.9 % ในปริมาณมาก ๆ ก่อนปดิ แผลค. wet dressing แลว้ pack ดว้ ย gauze drain ชบุ น้าเกลอื 0.9 %ง. ขดู แผล ตัดเนื้อตายออก และ wet dressing ดว้ ย 10% โพวิดนี เจือจางเฉลย ขอ้ ง.ข้อท่ี 6 บอกวัตถปุ ระสงคข์ องการใช้ผา้ พนั แผลได้จุดประสงคก์ ารสอบ จาระดบั การวดั วตั ถุประสงค์ของการใชผ้ ้าพนั แผลเน้อื หาทว่ี ดั ขอ้ ใดไมต่ รงกบั ประโยชนข์ องการใช้ผา้ พนั แผลสาหรบั ผ้ปู ่วยข้อสอบก. การพันผ้าเพื่อการยึดใหอ้ วยั วะสว่ นทีพ่ ันอย่กู บั ท่ีข. การพนั ผ้าสามารถปอ้ งกนั ไมใ่ ห้เกดิ อาการบวมหรือทาให้ยุบบวมได้ค. การพันผา้ สามารห้ามเลอื ดโดยใช้แรงกดของผา้ง. การพันผา้ เพ่ือยึด พยุงอวยั วะสว่ นทหี่ ักแบบมีกระดูกโผลเ่ พ่ือดันกระดูกให้เข้าที่เฉลย ข้อ ง.ข้อท่ี 7จดุ ประสงคก์ ารสอบ บอกหลักการและเทคนิคการพันผา้ ชนดิ ต่างๆได้ระดบั การวดั นาไปใช้เน้อื หาที่วดั หลกั การและเทคนิคการพนั ผา้ขอ้ สอบ ข้อใดไมต่ รงกบั ประโยชน์ของการใชผ้ ้าพันแผลสาหรบั ผปู้ ว่ ยการปฏิบตั กิ ารพันผ้าที่ ถกู วธิ ีขอ้ ใดถกู ต้องทส่ี ุดก. การพันผ้าบริเวณมือและเท้าต้องเว้นใหเ้ ห็นปลายมือและปลายเทา้ข. การพันผ้าต้องเรมิ่ จากส่วนท่ีใหญ่หรือส่วนต้นของอวัยวะนั้นๆเสมอค. การพนั ผ้าต้องตรึงยดึ อวยั วะส่วนท่จี ะพันไวใ้ หด้ ี ป้องกนั การการผดิ ตาแหนง่ง. การพันผา้ ควรต้องพันให้แนน่ เพื่อปอ้ งกนั การเลอ่ื นหลดุ โดยการพนั ผา้ แบบSpiral turnเฉลย ก.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook