Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Dissertation

Dissertation

Published by rada chomchom, 2019-11-25 22:45:28

Description: Dissertation

Search

Read the Text Version

331 การกาหนดวตั ถุประสงค์ เพื่อให้ ทราบขอบเขตการดาเนินงานในแต่ ละ ระดบั และ สามารถวเิ คราะห์ ความเส่ียงท่ีจะเกิดข้ึนได้ ครบถ้ วน การกาหนดวตั ถุประสงค์ ขององค์ การควรมี ความสอดคล้ อง กบั เป้ าหมายเชิงกลยทุ ธ และความเส่ียงที่องค์ การยอมรับได้ สาหรับ ในระดบั แผนก หรือระดบั ฝ่ ายการกาหนดวตั ถุประสงคจ์ ะต้ องสอดคลอ้ งหรือเป็นไปในทิศทางเดียวกบั วตั ถุประสงคข์ ององคก์ ร 2. การระบุความเส่ียง (Risk Identification) เป็นการคน้ หาวา่ มีความเส่ียงใดบา้ งท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การดาเนินกิจการขององคก์ ร โดยดู จากท้งั ปัจจยั ภายในและปัจจยั ภายนอก โดยปกติการระบุความเส่ียงจะดูจากประวตั ิการเกิด เหตุการณ์ในอดีตที่ผา่ นมา หรือการคาดเดาเหตุการณ์ที่อาจมีผลกระทบในอนาคต 3. การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) การประเมินความเสี่ยงมีข้นั ตอนในการประเมินความเสี่ยงซ่ึงประกอบดว้ ย 1. การระบุปัจจยั เสี่ยง (Event Identification) ความเสี่ยงมีสาเหตุปัจจยั ท้งั ภายใน และภายนอก ปัจจยั เหล่าน้ีมีผลกระทบต่อวตั ถุประสงคแ์ ละเป้ าหมายของหน่วยรับตรวจหรือผลการ ปฏิบตั ิงานท้งั ในระดบั หน่วยรับตรวจและหน่วยกิจกรรมในการระบุปัจจยั เส่ียงผบู้ ริหารจาเป็ นตอ้ ง ต้งั คาถามวา่ มีเหตุการณ์ใดหรือกิจกรรมใดของกระบวนการปฏิบตั ิงานท่ีอาจเกิดความผดิ พลาด ความเสียหาย และการไม่บรรลุวตั ถุประสงคท์ ่ีกาหนดรวมท้งั มีทรัพยส์ ินใดท่ีจาเป็นตอ้ งไดร้ ับการ ดูแลป้ องกนั รักษา เช่น ความเสี่ยงจากการจดั ซ้ือจดั จา้ งในราคาแพง ความเส่ียงจากการซ้ือพสั ดุท่ีมี คุณภาพต่ากวา่ ขอ้ กาหนด เป็ นตน้ 2. วเิ คราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis) หลงั จากระบุปัจจยั เส่ียงแลว้ ข้นั ตอน ตอ่ ไปคือ การวเิ คราะห์ความเส่ียง เทคนิคการวเิ คราะห์ความเสี่ยงมีหลายวธิ ี การวดั ความเส่ียงที่เป็น ตวั เลข วา่ มีผลกระทบต่อหน่วยรับตรวจเทา่ ไรน้นั เป็นสิ่งท่ีทาไดย้ าก โดยทวั่ ไปจะวเิ คราะห์ความ เส่ียงโดยประมาณโอกาสและความถี่ท่ีความเสี่ยงเกิดข้ึนวา่ มีมากนอ้ ยเพยี งใดเพอ่ื พิจารณา ผลกระทบจากความเสี่ยงและจดั ลาดบั ความสาคญั ของความเส่ียง ผบู้ ริหารควรใหค้ วามสาคญั ต่อ ความเส่ียงที่มีระดบั สูงและมีโอกาสเกิดข้ึนสูง แต่อาจลดความสนใจต่อความเสี่ยงท่ีมีระดบั ต่าและ โอกาสเกิดความเส่ียงมีนอ้ ย 3. การจดั การความเส่ียง (Risk Response) เป็นข้นั ตอนกาหนดวธิ ีการจดั การเพ่ือ ลดความเสี่ยงซ่ึงเมื่อทราบความเสี่ยงท่ีมีนยั สาคญั และโอกาสที่จะเกิดกบั ความเส่ียงแลว้ ควร

332 วเิ คราะห์สาเหตุที่ทาใหเ้ กิดความเสี่ยง และพจิ ารณาวา่ จะจดั การกบั ความเส่ียงน้นั อยา่ งไรในการ พจิ ารณาเลือกดาเนินการ ผบู้ ริหารตอ้ งพิจารณาถึงค่าใชจ้ า่ ยหรือตน้ ทุนในการจดั การความเสี่ยงน้นั เปรียบเทียบกบั ประโยชนท์ ่ีจะไดร้ ับวา่ เหมาะสมและคุม้ ค่าหรือไม่ การกาหนดวสิ ัยทศั นข์ ององคก์ รที่ชดั เจน และมีการวางแผนเพ่ือบริหารความเสี่ยง อยา่ งเป็นระบบ เป็นสิ่งสาคญั และจาเป็นสาหรับทุกองคก์ รทุกอยา่ งในโลกน้ีไมม่ ีอะไรที่ไดม้ าโดย ไมม่ ีความเสี่ยงอะไรท่ีมีความเสี่ยงสูงมกั จะนามาซ่ึงโอกาสแห่งการประสบความสาเร็จสูงและมี ความลม้ เหลวสูง เช่นเดียวกนั ผบู้ ริหารที่สามารถจดั การความเสี่ยงไดด้ ีกวา่ เทา่ น้นั ซ่ึงจะเป็นผนู้ า ที่นาพาองคก์ รไปสู่ความสาเร็จได้ 4. การจดั การความเสี่ยง (Risk Treatment) การพิจารณาเลือกวธิ ีการจดั การความ เสี่ยงท่ีควรกระทาคือการประเมินความเสี่ยง ซ่ึงพิจารณาจากความน่ าจะเกิดและผลกระทบ โดย เปรียบเทียบระดบั ความเส่ียงท่ีเกิดกบั ระดบั ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Appetite) และความคุม้ คา่ ในการที่จะบริหารความเส่ียงท่ีเหลืออยู่ (Residual Risk) น้นั วธิ ีการดงั กล่าวควรจะจดั การ ความเสี่ยง ดงั น้ี 1. การหลีกเล่ียงความเส่ียง (Risk Avoidance) หมายถึง การเลิกหรือหลีกเลี่ยงการ กระทาหรือลดการกระทา หรือ เปล่ียนวตั ถุประสงค์ เป็นต้ น 2. การลดความเสี่ยง (Risk Reduction) หมายถึง การลดโอกาสความน่ าจะเกิด หรือลดความเสียหาย โดยการจดั ระบบการควบคุมเพือ่ ป้ องกนั การปรับปรุงแก้ ไขกระบวนการ ร่วมกบั การ กาหนดแผนสารองในเหตุฉุกเฉินเฉิน (Contingency Planning) 3. การกระจายความเส่ียง (Risk Diversification) หมายถึง การลดโอกาสความ น่าจะเกิดหรือลดความเสียหายโดยการแบ่ งโอน การหาผู้ รับผดิ ชอบในความเส่ียงการจ้ าง บุคคลภายนอกเป็นผดู้ าเนินการแทน การจดั ประกนั ภยั เป็ นตน้ 4. การยอมรับความเส่ียง (Risk Acceptance) หมายถึง การไม่ กระทาการใดๆ เพิม่ เติมกรณีน้ีใช้ กบั ความเส่ียงท่ีน่าจะเกิดน้ อยหรือเห็นว่ ามีต้ นทุนในการบริหารความ เสี่ยงสูงโดยขออนุมตั ิหลกั การรับความเสี่ยงไว้ การบริหารความเส่ียงให้ มีประสิทธิภาพ ต้ องกาหนดบุคคลท่ีรับผดิ ชอบในการจดั การความเสี่ยงในแต ละเร่ืองที่ได้ รับการบ งช้ี บุคคล ท่ีได้ รับมอบหมายให้ รับผดิ ชอบในการจดั การความเส่ียง ในแตล่ ะเรื่องควรมีคุณสมบตั ิ ดงั ต่ อไปน้ี 1) สามารถทบทวนประสิทธิภาพของแนวปฏิบตั ิการบริหารความเสี่ยงที่มีอยใู่ น ปัจจุบนั 2) สามารถควบคุมและจดั การความเส่ียงใหอ้ ยใู่ นระดบั ที่ยอมรับได้

333 3) สามารถประเมินความเส่ียงท่ีเหลืออยหู่ ลงั จากไดม้ ีการจดั การในปั จจุบนั แล้ ว 4) สามารถกาหนดเวลาที่แน่นอนในแตล่ ะข้นั ตอนการดาเนินการให้ เป็ นไป ตาม แผนที่กาหนดไว้ 5. การติดตามประเมินผลและการรายงาน (Monitoring Evaluating and Reporting) การติดตามประเมินผลและรายงานผลการบริหารความเสี่ยงมีข้นั ตอนและระยะเวลาดาเนินการดงั น้ี 1) ประสานงานติดตามผล 2) คณะทางานบริหารความเสี่ยง สรุปและทบทวนปั จจยั ความเสี่ยงและ จดั ทาร่าง รายงานการจดั การความเส่ียงเสนอคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง เพอื่ พจิ ารณา 3) ใหค้ วามเห็นชอบ 4) คณะผตู้ รวจสอบกิจการรายงานผลการติดตามการบริหารความเส่ียง อย่ างเป็ นอิสระต่ อคณะกรรมการดาเนินการเพอื่ ทราบ 5) แจง้ ฝ่ ายต่ างๆ ท่ีเก่ียวข้ องเพื่อทาแผนรองรับความเสี่ยง 6) จดั ทาสรุปรายงานและเผยแพร่ สรุป การบริหารความเส่ียงเป็ นเครื่องมือท่ีสาคญั ท่ีทาให้เกิดความมน่ั ใจว่าความเส่ียง ท้งั หมดท่ีมีผลกระทบสาคญั ท้งั จากภายในและภายนอกที่มีต่อการบรรลุวตั ถุประสงคข์ ององค์การ จะได้รับการพิจารณาและจดั การให้หมดไป หรือลดน้อยลง ซ่ึงจะทาให้ผลการดาเนินงานมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล แต่ท้ังน้ีการบริหารความเสี่ยงดังกล่าวนอกจากจะต้องมีการ ดาเนินการทว่ั ท้งั องค์การแบบบูรณาการ ยงั ต้องให้ความสาคญั ในการกาหนดผูร้ ับผิดชอบต่อ กิจกรรมการควบคุม (Control Activities) เพื่อพิจารณาประสิทธิผลของการจดั การความเสี่ยงที่ได้ ดาเนินการอยใู่ นปัจจุบนั และหรือพิจารณาการปฏิบตั ิเพ่ิมเติมที่จาเป็ น เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพของ การจดั การความเสี่ยง มีการติดตาม (Monitoring) เพื่อให้มน่ั ใจไดว้ า่ การจดั การความเส่ียงมีคุณภาพ มีความเหมาะสมและการบริหารความเสี่ยงไดน้ าไปใช้ทุกระดบั ขององคก์ าร มีการรายงานความ เสี่ยงท้งั หมด ที่มีผลกระทบสาคญั ต่อการบรรลุวตั ถุประสงค์ขององคก์ ารต่อผูบ้ ริหารที่รับผิดชอบ แลว้ ทา้ ยสุดมีสารสนเทศและการส่ือสาร (Information &Communication) แก่บุคลากรให้ไดร้ ับรู้ และเขา้ ใจอยา่ งทว่ั ถึงจะสามารถช่วยใหบ้ ุคลากรท่ีเก่ียวขอ้ งสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ไดอ้ ยา่ ง รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

334 ใบบนั ทกึ ความรู้ที่ 4 “การเปนผู้นาบริหารความเส่ียง” ช่ือ-สกุล..........................................โรงเรียน........................................ สรุปเรื่องท่ศี ึกษา ไดด้ งั น้ี ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………

335 4.2แผนการจดั กิจกรรมที่ การเป็นผนู้ าบริหารความเส่ียง “กิจกรรม Brain Storming” เวลา 1 ชว่ั โมง จุดประสงค์ เพ่ือใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมมีทกั ษะการเป็นผนู้ าการบริหารความเสี่ยง กจิ กรรม 1. ข้นั เตรียม 1.1 สื่อ , อุปกรณ์ สถานการณ์การแกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ “เรือประสบอุบตั ิเหตุ” 1.2 การกาหนดกติกา ใหแ้ ต่ละกลุ่มแกส้ ถานการณ์การ “เรือประสบอุบตั ิเหตุ” ใชเ้ วลา 5 นาทีโดย การระดมสมอง 2. ข้นั ตอนดาเนินกจิ กรรม 2.1 แบง่ กลุ่มผเู้ ขา้ รับการอบรมกลุ่มละ 6 คน 2.2 ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มระดมพลงั สมองแกป้ ัญหาสถานการณ์ที่กาหนด“เรือประสบ อุบตั ิเหตุ” ตอ้ งแกป้ ัญหาใหไ้ ดภ้ ายใน 5 นาที มิฉะน้นั ทุกคนจะไดร้ ับอนั ตราย และอาจถึงเสียชีวติ 2.3 ใหต้ วั แทนกลุ่มนาเสนอวธิ ีการแกป้ ัญหา โดยเรียงลาดบั ความสาคญั ของ วธิ ีการแกป้ ัญหา 3. ข้ันสรุป 3.1 ตวั แทนผขู้ า้ ร่วมการอบรมสรุปผลจาการจดั กิจกรรม 3.2 วทิ ยากรสรุป แนวคิด ทฤษฎี หลกั การและวธิ ีการ

336 4. ข้นั นาไปประยกุ ต์ใช้ ใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมเสนอแนวทางการนาไปประยกุ ตใ์ ชโ้ ดยใชก้ ระบวนการการ เรียนรู้ตามกิจกรรมในสภาพจริง 5. ข้อคิดเหนเพม่ิ เติมจากกจิ กรรม โดยใหผ้ เู้ ขา้ อบรมใหข้ อ้ เสนอแนะ/ แนวคิดจากการอบรม 6. ประโยชน์ทไ่ี ด้รับ 6.1 ผเู้ ขา้ รับการอบรมมีความตระหนกั และสร้างทีมงานใหเ้ ขม้ แขง็ โดย กระบวนการเรียนรู้แบบทีม 6.2 ผเู้ ขา้ รับการอบรมมีทกั ษะกระบวนการคิดในการบริหารความเสี่ยง 6.3 ผเู้ ขา้ รับการอบรมมีทกั ษะและกระบวนการคิดเชิงสร้างสรรค์ 7. การวดั และประเมินผล 7.1 ผเู้ ขา้ รับการอบรมประเมินตนเองก่อนและหลงั การอบรม 7.2 ประเมินพฤติกรรมการเป็นผนู้ าบริหารความเส่ียงท่ีเกิดข้ึนจากการปฏิบตั ิ กิจกรรม 7.3 ประเมินชิ้นงานของผเู้ ขา้ รับอบรม

337 ใบบันทกึ กจิ กรรม “เร่ือง Brain Stroming” ช่ือ-สกลุ ...........................................โรงเรียน...................................... สรุปสาระสาคญั ทไี่ ด้รับจากการทากจิ กรรม ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ท่านเกดิ ทักษะการเปนผู้นาการบริหารความเส่ียงในเร่ืองอะไรบ้าง ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ท่านจะนาทกั ษะการเปนผ้นู าการบริหารความเส่ียงทเ่ี กดิ ขึน้ ไปใช้ในสถานศึกษาได้อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………

338 4.3แผนการจดั กิจกรรมที่ การเป็นผนู้ าบริหารความเสี่ยง “ ” 1กิจกรรมสามเหล่ียมทองคา (ดา้ นเทา่ ) เวลา ชว่ั โมง จุดประสงค์ เพอื่ ใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมมีทกั ษะการเป็นผนู้ าบริหารความเสี่ยง กจิ กรรม 1. ข้นั เตรียม 1.1 ส่ือ , อุปกรณ์ - วดี ิทศั น์ - บุคคล 1.2 การกาหนดกติกา ใหท้ ุกคนเลือกคนที่ถูกใจจานวน 2 คนโดยไม่บอกใหบ้ ุคคลท่ีถูกเลือกรับทราบ 2. ข้นั ตอนดาเนินกจิ กรรม 2.1 ใหส้ มาชิกผเู้ ขา้ ร่วมการอบรมทุกคนยนื ลอ้ มเป็ นวงกลม 2 วงซอ้ นกนั 2.2 วทิ ยากรใหใ้ หท้ ุกคนเลือกคนท่ีถูกใจจานวน 2 คนโดยไม่บอกใหบ้ ุคคลท่ีถูก เลือกรับทราบ 2.3 วทิ ยากรใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมการอบรมเคลื่อนที่ โดยใหเ้ คล่ือนที่ตาม 2 คน ที่หมายตา ไวแ้ ลว้ หาจุดที่ทาใหก้ ารยนื ของท้งั 3 คนเป็นรูปสามเหลี่ยมดา้ นเทา่ ปล่อยใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมการอบรม ดาเนินกิจกรรมจนกวา่ จะไดส้ ามเหลี่ยมดา้ นเทา่ ที่พอใจแลว้ จึงหยดุ อยกู่ บั ที่ (ซ่ึงเป็นไปไมไ่ ด)้ ดาเนินกิจกรรมประมาณ 5 – 10 นาที 2.5 วทิ ยากรสุ่มถามผเู้ ขา้ ร่วมการอบรม วา่ มีใครบา้ งที่เป็ นสามเหลี่ยมดา้ นเท่าขอ ตนเอง ทาไมจึงมีการเคล่ือนไหว ถา้ ไม่เคลื่อนไหวจะเกิดผลอยา่ งไร

339 3. ข้นั สรุป 3.1 ตวั แทนผขู้ า้ ร่วมการอบรมสรุปผลจาการจดั กิจกรรม 3.2 วทิ ยากรสรุป แนวคิด ทฤษฎี หลกั การและวธิ ีการ 4. ข้นั นาไปประยกุ ต์ใช้ ใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมเสนอแนวทางการนาไปประยกุ ตใ์ ช้โดยใชก้ ระบวนการการ เรียนรู้ตามกิจกรรมในสภาพจริง 5. ข้อคิดเหนเพมิ่ เตมิ จากกจิ กรรม โดยใหผ้ เู้ ขา้ อบรมให้ขอ้ เสนอแนะ/ แนวคิดจากการอบรม 6. ประโยชน์ทไ่ี ด้รับ 6.1 ผเู้ ขา้ รับการอบรมมีความตระหนกั และสร้างทีมงานใหเ้ ขม้ แขง็ โดย กระบวนการเรียนรู้แบบทีม 6.2 ผเู้ ขา้ รับการอบรมมีทกั ษะกระบวนการคิดในการบริหารความเสี่ยง 6.3 ผเู้ ขา้ รับการอบรมมีทกั ษะและกระบวนการคิดเชิงสร้างสรรค์ 7. การวดั และประเมินผล 7.1 ผเู้ ขา้ รับการอบรมประเมินตนเองก่อนและหลงั การอบรม 7.2 ประเมินพฤติกรรมการเป็นผนู้ าบริหารความเส่ียงที่เกิดข้ึนจากการปฏิบตั ิ กิจกรรม 7.3 ประเมินชิ้นงานของผเู้ ขา้ รับอบรม

340 ใบบนั ทกึ กิจกรรม กจิ กรรมสามเหลย่ี มทองคา (ด้านเท่า) ชื่อ-สกุล...........................................โรงเรียน...................................... สรุปสาระสาคัญทไ่ี ด้รับจากการทากจิ กรรม ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ท่านเกดิ ทักษะการเปนผู้นาบริหารความเสี่ยง ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ท่านจะนาทกั ษะการเปนผู้นาบริหารความเส่ียงทเ่ี กดิ ขึน้ ไปใช้ในสถานศึกษาได้อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………

341 หน่วยท่ี 5 การเปนผู้นาทมี่ ่งุ ผลสัมฤทธ์ิของงาน (Result Base Leadership) วมิ ล จนั ทร์แก้ว ผู้อานวยการสานักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษา สุราษฎร์ธานี เขต 3

342 หน่วยท่ี 5 การเป็นผนู้ าที่มุ่งผลสัมฤทธ์ิของงาน ( Result Base Leadership ) แนวคิดหลกั ผนู้ าท่ีมุ่งผลสัมฤทธ์ิของงาน เป็ นแนวคิดการจดั การแนวใหม่ที่มุ่งเน้นการให้ความสาคญั ต่อความประหยดั ความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบตั ิงานให้บรรลุวตั ถุประสงค์ อยา่ งมีคุณภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ ผบู้ ริหารสถานศึกษาที่มีคุณสมบตั ิเป็นผนู้ าที่มุ่งลสัมฤทธ์ิ ของงาน จะมีคุณลกั ษณะสาคญั คือ มีแรงจงู ใจใฝ่ สมั ฤทธ์ิสูง มีความมุ่งมนั่ เสียสละ อดทน ขยนั ไม่ ยอ่ ทอ้ ต่ออุปสรรค ประหยดั เห็นแก่ประโยชนส์ ่วนรวม จดุ ประสงคป์ ระจาหน่วย 1. เพื่อใหผ้ เู้ขา้ รับการอบรมมีความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การเป็นผนู้ าที่มุ่งผลสมั ฤทธ์ิของงาน 2. เพื่อใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมมีทกั ษะการเป็นผนู้ าที่มุ่งผลสมั ฤทธ์ิของงาน 3. เพ่อื ใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมสามารถนาความรู้ความเขา้ ใจและทกั ษะไปใช้ในการ บริหารงานในสถานศกึ ษา สาระเนือ้ หา 1สาระท่ี ความรู้เกย่ี วกับการการเปนผู้นาทม่ี ่งุ ผลสัมฤทธ์ิของงานเวลา 2สาระที่ ทกั ษะการเป็นผนู้ าที่มุ่งผลสมั ฤทธ์ิของงาน 2เวลา ชว่ั โมง แผนการจดั กิจกรรม แผนการจดั กิจกรรมที่ 5.1 การเป็นผนู้ าท่ีมุ่งผลสัมฤทธ์ิของงาน ( Result Base leadership ) เวลา 1 ชว่ั โมง 5.2แผนการจดั กิจกรรมท่ี กิจกรรมฝึกทกั ษะการเป็นผนู้ าท่มี ุ่งผลสมั ฤทธ์ิ ของงาน “กิจกรรม Mind mapping” เวลา 1 ชวั่ โมง

343 5.3แผนการจดั กิจกรรมที่ กิจกรรมฝึกทกั ษะการเป็นผนู้ าท่มี ุ่งผลสัมฤทธ์ิ ของงาน “กิจกรรม “Walk and talk” เวลา 1 ชว่ั โมง

344 แผนการจดั กิจกรรมท่ี 5.1 ความรู้ความเข้าใจการเปนผู้นาทีม่ ุ่งผลสัมฤทธ์ิของงาน 1เวลา ชั่วโมง จดุ ประสงค์ เพื่อใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมมีความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกบั การเป็ นผนู้ าท่ีมุ่งผลสมั ฤทธ์ิของงาน กิจกรรมการเรียนรู้ ศกึ ษาองคค์ วามรู้เก่ียวกบั การเป็ นผนู้ าท่ีมุ่งผลสมั ฤทธ์ิของงาน วธิ ีการเรียนรู้ 1. การศึกษาองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเอง 2. การแลกเปล่ียนเรียนรู้ 3. การสรุปองคค์ วามรู้ร่วมกนั 4. การนาเสนอผลงาน 5. การลงมือปฏิบตั ิจริง ส่ือทใ่ี ช้ 1. ใบกิจกรรม 5ใบกิจกรรมท่ี ความรู้เกี่ยวกบั การเป็ นผนู้ าท่ีมุ่งผลสมั ฤทธ์ิของงาน 2. ใบบนั ทึกความรู้ 5ใบบนั ทึกความรู้ที่ สรุปความรู้เกี่ยวกบั การเป็นผนู้ าท่ีมุ่งผลสมั ฤทธ์ิ ของงาน การวดั และประเมินผล 1. ผเู้ ขา้ รับการอบรมประเมินตนเองก่อนและหลงั การอบรม 2. ประเมินจากชิ้นงานของผเู้ ขา้ รับการอบรม

345 ใบกจิ กรรมที่ 5 การสร้างความรู้ความเข้าใจเกีย่ วกับการเปนผ้นู า 1ทม่ี ่งุ ผลสัมฤทธ์ิของงาน เวลา ช่ัวโมง คาชี้แจง 1. จุดประสงคข์ องกิจกรรม เพอ่ื ผเู้ ขา้ รับการอบรมมีความรู้เก่ียวกบั การเป็ นผนู้ าที่มุง่ ผลสมั ฤทธ์ิของงาน 2. กิจกรรมน้ี เป็ นการศึกษาความรู้ดว้ ยตนเองเกี่ยวกบั การเป็นผนู้ าท่มี ุ่งผลสมั ฤทธ์ิของงาน กจิ กรรม 1. ใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมนงั่ เป็ นกลุ่มๆละ 6 คน เลือกประธานและเลขานุการของกลุ่ม 2 5. สมาชิกในกลุ่มช่วยกนั เปิ ดเอกสารหน่วยอบรมท่ี การเป็นผนู้ าท่มี ุ่งผลสัมฤทธ์ิของงาน 3. ประธานกลุ่มมอบหมายให้สมาชิกกลุ่มทุกคนอ่าน 4. สมาชิกกลุ่มศึกษาองคค์ วามรู้และบนั ทึกผลลงในใบความรู้ท่ี 5 5. สมาชิกกลุ่มนาความรู้ท่ีศึกษามาแลกเปล่ียนเรียนรู้ในกลุ่ม 6. สมาชิกกลุ่มสรุปองคค์ วามรู้ร่วมกนั และบนั ทึกผลลงในใบบนั ทึกความรู้ที่ 5 เป็ นของกลุ่ม 7. ตวั แทนกลุ่มนาเสนอองคค์ วามรู้ กลุ่มละไมเ่ กิน 5 นาที

346 ใบความรู้ที่ 5 “ ”การเปนผ้นู าทีม่ ุ่งผลสัมฤทธ์ิของงาน การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิ การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิ (Results based management ; RBM) เป็ นการบริหารท่ีให้ ความสาคญั ต่อผลการดาเนินงานและการตรวจวดั ผลสาเร็จในการดาเนินงานขององคก์ าร ท้งั ในแง่ ของปัจจัยนาเข้า กระบวนการ ผลผลิตและผลลัพธ์ ซ่ึงจะต้องมีการกาหนดตัวบ่งช้ีวดั ผลการ ดาเนินงาน (Key performance indicators ; KPIs) รวมท้งั การกาหนดเป้ าหมาย (Targets) และ วตั ถุประสงค์ (Objectives) ไวล้ ่วงหน้า โดยอาศยั การมีส่วนร่วมระหว่างผูบ้ ริหาร สมาชิกของ องคก์ าร และตลอดถึงผทู้ ี่มีส่วนไดส้ ่วนเสียกลุ่มต่างๆ (Stakeholders) ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การปฏิบตั ิงาน ขององคก์ าร ดงั น้นั การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิของงาน (Results based management ; RBM) จึง เป็ นการบริหารเพ่ือการจดั หาให้ไดท้ รัพยากรการบริหารมาอยา่ งประหยดั (Economy) เน้นการใช้ ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Efficiency) และการได้ผลงานท่ีบรรลุเป้ าหมายขององค์กร (Effectiveness)กระบวนการของการบริหารแบบมุง่ ผลสมั ฤทธ์ิ การบริหารแบบมุง่ ผลสัมฤทธ์ิของงานจะประกอบดว้ ยข้นั ตอนที่สาคญั ๆ 4 ข้นั ตอน (Richard S. Williams ,1998 : 25-27 และทศพร ศิริสมั พนั ธ์, 2543 :151-152 ) ซ่ึงมีรายละเอียด ดงั ต่อไปน้ี 1. การวางแผนกลยุทธ์ขององค์การ ซ่ึงองคก์ รจะตอ้ งทาการกาหนดทิศทางโดยรวมวา่ ตอ้ งการท่ีจะทาอะไรอยา่ งไรซ่ึงเป็นเรื่องของการวางยทุ ธศาสตร์หรือวางแผนกลยทุ ธ์ เพอ่ื ทาการ วเิ คราะห์สภาพแวดลอ้ มท้งั ภายนอกและภายในองคก์ าร (SWOT Analysis) และใหไ้ ดม้ าซ่ึง เป้ าประสงคส์ ุดทา้ ยท่ีตอ้ งการขององคก์ ารหรือวสิ ยั ทศั น์ (Vision) อนั จะนาไปสู่การกาหนดพนั ธกิจ (Mission) วตั ถุประสงค์ (Objective) เป้ าหมาย (Target) และกลยทุ ธ์การดาเนินงาน (Strategy)รวมท้งั พจิ ารณาถึงปัจจยั สาคญั แห่งความสาเร็จขององคก์ าร (Critical success factors) และสร้างตวั บ่งช้ีวดั ผลการดาเนินงาน (Key performance indicators) ในดา้ นต่างๆ 2. การกาหนดรายละเอยี ดของตัวบ่งชี้วดั ผลดาเนินงาน เมื่อผบู้ ริหารขององคก์ รไดท้ าการ ตกลงร่วมเกี่ยวกบั ตวั บง่ ช้ีวดั ผลการดาเนินงานแลว้ จะเริ่มดาเนินการสารวจเพ่อื หาขอ้ มูลหลกั ฐาน เก่ียวกบั สภาพในปัจจุบนั (Baseline Data) เพอื่ นามาช่วยในการกาหนดความชดั เจนของตวั บง่ ช้ี ดงั กล่าว ท้งั ในเชิงปริมาณ (Quantity) คุณภาพ (Quality) เวลา (Time) และสถานที่หรือความ ครอบคลุม (Place) อนั เป็ นเป้ าหมายที่ตอ้ งการของแต่ละตวั บง่ ช้ี

347 3. การวดั และการตรวจสอบผลการดาเนินงาน ผบู้ ริหารจะตอ้ งจดั ใหม้ ีการตรวจสอบและ รายงานผลการดาเนินงานของแตล่ ะตวั บง่ ช้ีตามเงื่อนไขที่กาหนดไว้ เช่น รายเดือน รายไตรมาส รายปี เป็นตน้ เพื่อแสดงความกา้ วหนา้ และสัมฤทธ์ิผลของการดาเนินงานวา่ เป็นไปตามเป้ าหมายที่ตอ้ งการ หรือไม่ อยา่ งไรนอกจากน้ีในบางกรณีอาจจะจดั ใหม้ ีคณะบุคคลเพ่ือทาการตรวจสอบผลการดาเนินงาน เป็ นเร่ื องๆไปก็ได้ 4. การให้รางวลั ตอบแทน หลงั จากท่ีไดพ้ จิ ารณาผลการดาเนินงานแลว้ ผบู้ ริหารจะตอ้ งมี การให้รางวลั ตอบแทนตามระดบั ของผลงานท่ีไดต้ กลงกนั ไว้ นอกจากน้ีอาจจะมีการใหข้ อ้ เสนอแนะหรือกาหนดมาตรการบางประการเพือ่ ใหม้ ีการ ปรับปรุงผลงานใหเ้ ป็นไปตามเป้ าหมายที่กาหนดไว้ ลกั ษณะขององค์การทบี่ ริหารงานแบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธ์ิ องคก์ ารที่ไดใ้ ชร้ ะบบการบริหารงานแบบมุง่ เนน้ ผลสัมฤทธ์ิจะมีลกั ษณะทว่ั ๆ ไป ดงั ต่อไปน้ี (ทิพาวดี เมฆสวรรค,์ 2543 : 21-23) 1. มีพนั ธกิจ วตั ถุประสงคข์ ององคก์ ารที่ชดั เจน และมีเป้ าหมายท่ีเป็ นรูปธรรม โดยเนน้ ท่ี ผลผลิตและผลลพั ธ์ ไมเ่ นน้ กิจกรรมหรือการทางานตามกฎระเบียบ 2. ผูบ้ ริหารทุกระดบั ในองคก์ ารต่างมีเป้ าหมายของการทางานท่ีชดั เจน และเป้ าหมาย เหล่าน้นั ส้นั กระชบั ไมค่ ลุมเครือและเป็นเป้ าหมายท่ีมีฐานมาจากพนั ธกิจขององคก์ ารน้นั 3. เป้ าหมายจะวดั ไดอ้ ยา่ งอยา่ งเป็นรูปธรรมโดยมีตวั บง่ ช้ีที่สามารถวดั ได้ เพือ่ ใหส้ ามารถ ติดตามผลการปฏิบตั ิงานได้ และสามารถเปรียบเทียบผลการปฏิบตั ิงานกบั องค์กรอื่นที่มีลกั ษณะ งานที่เทียบเคียงกนั ได้ 4. การตดั สินในการจดั สรรงบประมาณใหห้ น่วยงานหรือโครงการต่างๆ จะพจิ ารณาจาก ผลสัมฤทธ์ิของงานเป็ นหลกั ซ่ึงจะสอดคล้องกับการให้ค่าตอบแทน สวสั ดิการและรางวลั แก่ เจา้ หนา้ ท่ีที่จะประเมินจากผลการปฏิบตั ิงานเป็นหลกั

348 5. เจา้ หนา้ ท่ีทุกคนรู้วา่ งานท่ีองคก์ ารคาดหวงั คืออะไร ทุกคนในองคก์ ารจะคิดเสมอวา่ งาที่ ตนทาอยนู่ ้นั เพ่ือให้เกิดผลอยา่ งไรผลที่เกิดข้ึนจะช่วยให้บรรลุเป้ าหมายของโครงการและองคก์ าร อย่างไรและทุกคนรู้สึกรับผิดชอบต่อผลงานท่ีไดก้ าหนดไวอ้ ย่างเหมาะสมกบั กาลงั ความสามารถ ของแตล่ ะคน 6. มีการกระจายอานาจการตดั สินใจ การบริหารเงิน บริหารคน สู่หน่วยงานระดบั ล่าง เพือ่ ใหส้ ามารถทางานบรรลุผลไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เป็ นการเปิ ดโอกาสให้ผบู้ ริหารระดบั ตน้ และะดบั กลางซ่ึงเขา้ ใจปัญหาเป็ นอยา่ งดีไดเ้ ป็ นผแู้ กป้ ัญหาและสะสมประสบการณ์เพ่ือกา้ วสู่ผบู้ ริหารระดบั ที่สูงข้ึนต่อไปซ่ึงนอกจากช่วยลดข้นั ตอนในการทางาน แกป้ ัญหาการทางานที่ล่าช้าแลว้ ยงั เป็ นการ เพ่มิ ความยดื หยนุ่ และประสิทธิภาพในการทางานอีกดว้ ย 7. มีวฒั นธรรมและอุดมการณ์ร่วมกนั เพอ่ื การทางานที่สร้างสรรค์ เป็นองคก์ รที่มุ่งมน่ั จะ ทางานร่วมกนั เพื่อใหบ้ รรลุเป้ าหมายที่กาหนดไว้ เป็ นองคก์ ารเอ้ือการเรียนรู้ที่เปิ ดกวา้ งต่อความคิด และความรู้ใหม่ๆสามารถปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สถานการณ์ตา่ งๆไดด้ ี 8. เจา้ หนา้ ท่ีมีขวญั และกาลงั ใจดี เนื่องจากไดม้ ีโอกาสปรับปรุงงานและใชด้ ุลยพินิจใน การทางานที่กวา้ งขวางข้ึนทาใหผ้ ูร้ ับบริการไดร้ ับความพึงพอใจส่วนเจา้ ที่ผปู้ ฏิบตั ิงานเองก็จะได้ การตอบแทนตามผลการประเมินจากผลสัมฤทธ์ิของงาน ( ,2543 :148-ตวั บ่งช้ีวดั ผลงานตามแนวทางการบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิ จะประกอบดว้ ยตวั บ่งช้ีที่สาคญั ดงั ต่อไปน้ี ทศพร ศิริสัมพนั ธ์ 150 และสุพจน์ ทรายแกว้ ,2543:137-138) 1. ตวั บ่งชี้วัดปัจจัยนาเข้า (Input Indicators) ไดแ้ ก่ จานวนทรัพยากรโดยรวมทใ่ี ชใ้ นการ ดาเนินกิจกรรมหรือบริการ เพื่อก่อให้เกิดผลผลิตผลลพั ธ์ เช่น จานวนเงินท่ีใช้ จานวนบุคลากรที่จาเป็ นในการให้บริการจานวนวตั ถุดิบและอุปกรณ์การผลิต เป็ นตน้ 2. ตัวบ่งชี้วดั ผลผลิต (Output indicators) เป็นตวั บ่งช้ีที่แสดงถึงปริมาณ จานวนสิ่งของที่ ผลิตไดจ้ ากการดาเนินกิจกรรม เช่น จานวนผเู้ ขา้ รับอบรมการพฒั นาอาชีพ จานวนนกั เรียนทรี่ ับเขา้ เรียน จานวนบณั ฑติ ทจ่ี บการศกึ ษา เป็นตน้ 4. ตัวบ่งชี้วดั ผลลพั ธ์ (Outcome indicators) หมายถึง ตวั ช้ีวดั ทแ่ี สดงถึงผลสมั ฤทธ์ิของ กิจกรรม เช่นจานวนผจู้ บการศกึ ษาทม่ี ีงานทา จานวน กิโลเมตรของทางด่วนที่มีสภาพอยใู่ นเกณฑด์ ีและยงั รวมถึงตวั บ่งช้ีวดั ผลลพั ธ์คุณภาพของการบริการ (Quality indicators) เช่น จานวนสินคา้ ทีบ่ กพร่อง จานวนใบแจง้ หน้ีที่ผิดพลาด จานวนหน้ีคา้ งชาระ ระดบั ความพึงพอใจของประชาชนท่ีมีต่อการ ทางานขององคก์ าร เป็นตน้ 4. ตวั บ่งชี้วัดประสิทธิภาพ (Efficiency indicators) หมายถึง ตวั บง่ ช้ีวดั ผลงานที่แสดงคา่ ใชจ้ า่ ยตอ่ หน่วยของผลผลิตหรือระยะเวลา 1ในการให้บริการตอ่ รายการ เช่น ค่าใชจ้ ่ายต่อหัวของนกั เรียนสาเร็จการศึกษา เวลาการทางานในการปรับสภาพพ้นื ผิวถนน กิโลเมตร 5. ตวั บ่งชี้วัดความคุ้มค่า (Cost-effectiveness) หมายถึง ตวั บง่ ช้ีที่แสดงคา่ ใชจ้ า่ ยของผลลพั ธ์ที่แสดงถึงความคุม้ ค่า (Value for money) ทเี่ กิดจากการดาเนินกิจกรรม เช่นตน้ ทุนเฉล่ียในการช่วยให้ผวู้ า่ งงานไดง้ านภายหลงั การฝึกอบรมพฒั นาฝีมือแรงงาน คา่ ใชจ้ ่ายเฉลี่ยในการซ่อม บารุงรถยนตใ์ หพ้ ร้อมใชง้ าน 6. ตวั บ่งชี้วดั ปริมาณงาน (Workload indicators) หมายถึง ขอ้ มูลทแ่ี สดงถึงความตอ้ งการ

349 ในการใชบ้ ริการหรือภาระงานในหนา้ ท่ีของบุคลากร เช่น จานวนแพทยต์ ่อประชากรจานวนพยาบาล ตอ่ คนไขใ้ น จานวนใบสมคั รงานที่ไดร้ ับในแต่ละวนั เป็นตน้ 7. ตัวบ่งชี้สารสนเทศเชิงอธิบาย (Explanatory information) หมายถึง ขอ้ มูลท่ีอธิบายถึง องคป์ ระกอบที่มีผลกระทบต่อผลการปฏิบตั งิ านขององคก์ าร ซ่ึงอาจจะอยภู่ ายใตห้ รืออยนู่ อกเหนือการควบคุมขององคก์ ารก็ได้ เช่น อตั ราส่วนของนกั เรียนต่อ ครู อายกุ ารใชง้ านของอุปกรณ์ทใี่ ชใ้ นการซ่อมถนน ร้อยละของนกั เรียนท่นี บั ถือศาสนาพุทธ เป็นตน้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสาเรจของการบริหารแบบม่งุ ผลสัมฤทธ์ิ ปัจจยั สาคญั สาคญั ที่จะทาให้การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิประสบความสาเร็จอยู่ที่ความ เขา้ ใจแนวคิดวธิ ีการและประโยชน์ของวิธีการบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิของเจา้ หนา้ ที่ผปู้ ฏิบตั ิงาน รวมถึงความรู้ความสามารถของเจา้ หน้าท่ีทุกระดบั ท่ีจะสามารถปรับตวั และสามารถทางานภายใต้ ระบบงานที่จะตอ้ งรับผิดชอบต่อผลการปฏิบตั ิงาน ท้งั น้ีเง่ือนไขความสาเร็จที่สาคญั มีดงั ต่อไปน้ี (ทิพาวดี เมฆสวรรค,์ 2543 : 40-44) 1. ผู้บริหารระดับสูงมีความเข้าใจและสนับสนุน การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิจะประสบ ความสาเร็จก็ต่อเมื่อผบู้ ริหารระดบั สูงมีความเขา้ ใจและใหก้ ารสนบั สนุนอยา่ งเต็มท่ี คือ สนบั สนุน ในการจดั ทาระบบวดั ผลการปฏิบตั ิงาน การใช้ข้อมูลผลการวดั ผลการปฏิบตั ิงาน การจัดสรร งบประมาณ การสร้างส่ิงจูงใจเพื่อให้เจา้ หนา้ ที่ทางานโดยมุ่งผลสัมฤทธ์ิรวมถึงการมอบอานาจใน การตดั สินใจเพ่อื แลกเปล่ียนกบั ความรับผดิ ชอบตอ่ ผลการปฏิบตั ิงาน 1.1 การกาหนดพนั ธกิจและแผนกลยทุ ธ์ท่ีชดั เจน ผบู้ ริหารขององคก์ าร จะตอ้ งใหค้ วามสาคญั และเขา้ ไปมีส่วนร่วมในกระบวนการกาหนดพนั ธกิจและแผนกลยทุ ธ์ วตั ถุประสงคแ์ ละเป้ าหมายของโครงการเพ่ือให้เกิดผล 1.2 การใชข้ อ้ มูลผลการปฏิบตั ิงานในการบริหาร ผบู้ ริหารจะตอ้ งระลึกอยเู่ สมอวา่ การ วดั ผลไม่ไดท้ าให้ผลการปฏิบตั ิงานดีข้ึนโดยอตั โนมตั ิแต่ขอ้ มูลจากการวดั ผลการปฏิบตั ิงานจะเป็ น ขอ้ มูลท่ีจะช่วยให้ผบู้ ริหารสามารถปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานในการทางานให้ดีย่ิงข้ึน แกป้ ัญหาได้ ถูกตอ้ งมากข้ึน ดงั น้นั ผบู้ ริหารจึงตอ้ งเอาขอ้ มูลที่ไดม้ าวิเคราะห์อยา่ งรอบคอบเพ่ือกาหนดมาตรการ ที่จะปรับปรุงผลการปฏิบตั ิงานใหด้ ีข้ึนตอ่ ไป 2. การจัดระบบข้อมูลผลการปฏบิ ตั ิงาน การจดั ทาระบบขอ้ มูลผลการปฏิบตั ิงานจะตอ้ ง คานึงเสมอวา่ ระบบขอ้ มูลน้นั สามารถที่จะแสดงถึงระดบั การเปลี่ยนแปลงของผลลพั ธ์สู่เป้ าหมาย ขององค์การได้ซ่ึงจะต้องจดั ทาเพ่ิมเติมข้ึนจากระบบขอ้ มูลเดิม ท่ีเน้นปัจจยั นาเขา้ และกิจกรรม เพ่ือใหผ้ บู้ ริหารมีขอ้ มลู ในการตดั สินใจไดด้ ีข้ึน 2.1 การพฒั นาตวั บ่งช้ี การเลือกตวั บ่งช้ีท่ีจาเป็ นต่อการให้บริการและการตดั สินใจ น้นั จะตอ้ งเลือกตวั บ่งช้ีให้ครอบคลุมความตอ้ งการของผูม้ ีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวขอ้ งซ่ึงจะตอ้ ง พฒั นาโดยผทู้ ่ีมีประสบการณ์ในงานดา้ นน้นั ๆกบั ผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสียกบั งานน้นั ๆดว้ ย โดยตวั บ่งช้ี

350 จะมีท้งั ส่วนของปัจจยั นาเขา้ กิจกรรม ผลผลิต และผลลพั ธ์ รวมถึงตวั บ่งช้ีที่แสดงความพึงพอใจ ของผรู้ ับบริการ แต่ควรจะใหม้ ีตวั บ่งช้ีในจานวนเท่าที่จาเป็ นโดยคานึงถึงความคุม้ ค่าของการจดั ทา และรักษาระบบขอ้ มูลน้ีดว้ ย 2.2 การวางระบบสารสนเทศเพ่ือเก็บรวมรวมข้อมูลและประมวลผลข้อมูล ผพู้ ฒั นาระบบจะตอ้ งมีความเขา้ ใจในเน้ือหาสาระของโครงการหรืองานท่ีจะวดั ผลการปฏิบตั ิงาน โดยตอ้ งคานึงถึงการจดั ทารายงานผลซ่ึงจะแยกเป็ น 2 ส่วน คือ ส่วนที่จะรายงานเป็ นช่วงเวลาตาม กาหนดทุกคร่ึงปี หรือหน่ึงปี เพ่ือประโยชน์ในการกาหนดนโยบายและวางแผนหรือการจดั ทา งบประมาณประจาปี และส่วนที่เป็นการายงานเฉพาะกิจท่ีสามารถเรียกดูขอ้ มลู ตวั บง่ ช้ีไดท้ นั ในกรณี ที่เกิดปัญหาข้ึน ซ่ึงความสาเร็จในการจดั ทาระบบขอ้ มูลผลการปฏิบตั ิงานท่ีใชป้ ระโยชน์ไดจ้ ึงอยู่ท่ี การจดั ทาขอ้ มูลท่ีสะทอ้ นผลงานจริง ทนั เวลา และมีปริมาณขอ้ มูลท่ีเหมาะสม โดยมีค่าใชจ้ ่ายท่ี ประหยดั 3. การพฒั นาบุคลากรและองค์การ ผบู้ ริหารทุกระดบั ถือไดว้ า่ มีบทบาทสาคญั ใน การดาเนินงานโครงการต่างๆ ให้บรรลุเป้ าหมายภายใตร้ ะบบการบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิ ดงั น้นั จึงจาเป็ นท่ีจะตอ้ งให้การพฒั นาผบู้ ริหารไวล้ ่วงหนา้ ให้สามารถปฏิบตั ิงานที่ตอ้ ง รับผดิ ชอบตอ่ ผลสัมฤทธ์ิของงานภายใตส้ ภาวะที่มีความคล่องตวั และมีอานาจในการบริหารเพิ่มข้ึน ผบู้ ริหารทุกคนจะตอ้ งมีความรู้ในการวางแผนกลยทุ ธ์ การวดั ผลการปฏิบตั ิงานรวมถึงการใชข้ อ้ มูล ผลการปฏิบตั ิงานเพอ่ื การตดั สินใจในการทางานประจาวนั ในขณะเดียวกนั จะตอ้ งมีระบบการพฒั นา และฝึ กอบรมเจา้ หน้าท่ีผูป้ ฏิบตั ิงานให้มีความชานาญท่ีหลากหลายมากข้ึนเพื่อให้มีศกั ยภาพที่จะ สับเปล่ียนบทบาทหนา้ ที่ไดใ้ นยคุ ที่มีความเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเร็วและเขา้ ใจเรื่องการวดั และการ ใชข้ อ้ มลู ผลสัมฤทธ์ิในการปฏิบตั ิงานประจาวนั ดว้ ย สรุป การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิ (Results Based Management ;RBM) เป็ นนวตั กรรม ทางการบริหารท่ีประเทศต่างๆท่ีพฒั นาแลว้ นามาใชใ้ นการปฏิรูประบบราชการให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล โปร่งใสสามารถตรวจสอบไดซ้ ่ึงประเทศไทย โดยสานกั งานคณะกรรมการขา้ ราชการ พลเรือนกก็ าลงั จะใชว้ ธิ ีการบริหารรูปแบบใหมน่ ้ี ผสานกบั เปล่ียนแปลงระบบงบประมาณเป็ นแบบ มุ่งเนน้ ผลงาน (Performance Based Budgeting System ;PBBS) ทาการปฏิรูปองคก์ ารภาครัฐ ให้ สามารถจดั บริการสาธารณะให้เป็ นที่พึงพอใจของประชาชนมากข้ึนหวั ใจสาคญั ของสาเร็จในการ ใชว้ ิธีการบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิน้นั อยทู่ ี่การสร้างตวั บ่งช้ีผลการปฏิบตั ิงาน (Key performance indicators ;KPIs) ที่มีความตรง เป็ นท่ียอมรับ และสะดวกในการนาไปใช้ เพื่อให้ได้มาซ่ึง สารสนเทศสาหรับการกากบั ติดตามและรายงานผลการดาเนินงานขององคก์ าร

351 ใบบนั ทกึ ความรู้ท่ี 5 “ ”การเปนผู้นาท่ีม่งุ สัมฤทธิผลของงาน ช่ือ-สกลุ ..........................................โรงเรียน........................................ สรุปเร่ืองทศ่ี ึกษา ไดด้ งั น้ี ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………

352 ……………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………

353 5.2แผนการจัดกิจกรรมท่ี การเปนผ้นู าท่ีมุ่งสัมฤทธิผลของงาน “กิจกรรม Mind mapping” เวลา 1 ชวั่ โมง จุดประสงค์ เพอื่ ให้ผเู้ ขา้ รับการอบรมมีทกั ษะการเป็ นผนู้ าท่ีมุ่งสัมฤทธิผลของงาน กจิ กรรม 1. ข้นั เตรียม 1.1 สื่อ , อุปกรณ์ - แผนภมู ิ Mind mapping - สื่อ วดิ ิทศั น์ - กรณีตวั อยา่ ง 1.2 การกาหนดกติกา เขียนแผนภูมิ Mind mapping ผลงานท่ีประสบความสาเร็จเป็นเลิศ (Best practice) กลุ่มละ 1 เรื่อง โดยกาหนดเป็นภารกิจท่ีชดั เจนและมีผรู้ ับผดิ ชอบเป็ นรายบุคคลจนผลงานประสบ ความสาเร็จ 2. ข้นั ตอนดาเนินกจิ กรรม 2.1 นาเสนอกรณีตวั อยา่ งการเขียน Mind mapping สู่ความเป็นเลิศ 2.2 ใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมเลือกกิจกรรมท่ีเป็ นเลิศ กลุ่มละ 1 เร่ือง 2.3 ใหแ้ ต่ละกลุ่มสงั เคราะห์ภารกิจของผลงานที่เป็นเลิศ 2.4 กาหนดภารกิจแตล่ ะภารกิจใหม้ ีผรู้ ับผดิ ชอบรายบุคคลที่ทาใหภ้ ารกิจน้นั ประสบความสาเร็จ 2.5 ตวั แทนกลุ่มนาเสนอ Mind Mapping ผลงานที่ประสบความสาเร็จเป็นเลิศ (Best practice) ของกลุ่ม

354 3. ข้นั สรุป 3.1 ตวั แทนผขู้ า้ ร่วมการอบรมสรุปผลจาการจดั กิจกรรม 3.2 วทิ ยากรสรุป แนวคิด ทฤษฎี หลกั การและวธิ ีการ 4. ข้ันนาไปประยุกต์ใช้ ใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมเสนอแนวทางการนาไปประยกุ ตใ์ ชโ้ ดยใชก้ ระบวนการการ เรียนรู้ตามกิจกรรมในสภาพจริง 5. ข้อคดิ เหนเพมิ่ เตมิ จากกจิ กรรม โดยใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมใหข้ อ้ เสนอแนะ /แนวคิดจากการอบรม 6. ประโยชน์ทไี่ ด้รับ 6.1 ผเู้ ขา้ รับการอบรมมีความตระหนกั และสร้างทีมงานใหเ้ ขม้ แขง็ โดย กระบวนการเรียนรู้แบบทีม 6.2 ผเู้ ขา้ รับการอบรมมีทกั ษะกระบวนการคิดในการปฏิบตั ิงานท่ีมุง่ สมั ฤทธิผล ของงาน 6.3 ผเู้ ขา้ รับการอบรมมีทกั ษะและกระบวนการคิดเชิงสร้างสรรค์ 7. การวดั และประเมินผล 7.1 ผเู้ ขา้ รับการอบรมประเมินตนเองก่อนและหลงั การอบรม 7.2 ประเมินพฤติกรรมการเป็นผนู้ าท่ีมุง่ สัมฤทธิผลของงานท่ีเกิดข้ึนจากการ ปฏิบตั ิกิจกรรม 7.3 ประเมินชิ้นงานของผเู้ ขา้ รับอบรม

355 ใบบนั ทกึ กจิ กรรม “เร่ือง Mind mapping” ช่ือ-สกุล...........................................โรงเรียน...................................... สรุปสาระสาคัญทไ่ี ด้รับจากการทากจิ กรรม ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ท่านเกดิ ทกั ษะการเปนผ้นู าทม่ี ุ่งสัมฤทธิผลของงานในเร่ืองอะไรบ้าง ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ท่านจะนาทักษะการเปนผู้นาทีม่ ุ่งสัมฤทธิผลของงานทเี่ กดิ ขึน้ ไปใช้ในสถานศึกษาได้อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………

356 แผนการจัดกจิ กรรมที่ 5.3 การเปนผู้นาทมี่ ุ่งสัมฤทธิผลของงาน “กจิ กรรม Walk and talk” เวลา 1 ช่ัวโมง จุดประสงค์ เพือ่ ใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมมีทกั ษะการเป็ นผูน้ าท่ีมุ่งสมั ฤทธิผลของงาน กจิ กรรม 1. ข้นั เตรียม 1.1 ส่ือ , อุปกรณ์ - ผเู้ ขา้ ร่วมการอบรม 1.2 การกาหนดกติกา - ใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมการอบรมจบั คู่กนั 2 คนทากิจกรรมทุกอยา่ งร่วมกนั 2. ข้นั ตอนดาเนินกจิ กรรม 2.1 วทิ ยากรอธิบายข้นั ตอนการทากิจกรรม 2.2 ใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมการอบรมจบั คู่สนทนา เก่ียวกบั เรื่องท่ีไดร้ ับความรู้ท่ีผา่ นมาขณะ เดินไป- มาในหอ้ งประชุม/เดินไปรับประทานอาหาร 2.3 สรุปเป็นองคค์ วามรู้ภาวะผนู้ า 3. ข้ันสรุป 3.1 ตวั แทนผขู้ า้ ร่วมการอบรมสรุปผลจาการจดั กิจกรรม 3.2 วทิ ยากรสรุป แนวคิด ทฤษฎี หลกั การและวธิ ีการ 4. ข้ันนาไปประยุกต์ใช้ ใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมเสนอแนวทางการนาไปประยกุ ตใ์ ชโ้ ดยใชก้ ระบวนการการ เรียนรู้ตามกิจกรรมในสภาพจริง

357 5. ข้อคดิ เหนเพมิ่ เตมิ จากกจิ กรรม โดยใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมให้ขอ้ เสนอแนะ /แนวคิดจากการอบรม 6. ประโยชน์ทไ่ี ด้รับ 6.1 ผเู้ ขา้ รับการอบรม มีการพฒั นาและเพ่มิ พนู ทกั ษะภาวะผนู้ าและสามารถสร้าง ภาวะผนู้ าใหเ้ กิดข้ึนกบั ครูในสถานศึกษา 6.2 ผเู้ ขา้ รับการอบรมมีทกั ษะการปฏิบตั ิงานแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิ 7. การวดั และประเมินผล 7.1 ผเู้ ขา้ รับการอบรมประเมินตนเองก่อนและหลงั การอบรม 7.2 ประเมินพฤติกรรมการเป็นผนู้ าที่มุ่งสมั ฤทธิผลของงานท่ีเกิดข้ึนจากการ ปฏิบตั ิกิจกรรมประเมินชิ้นงานของผเู้ ขา้ รับอบรม

358 ใบบนั ทกึ กจิ กรรม “เรื่อง Walk and talk” ช่ือ-สกลุ ...........................................โรงเรียน...................................... สรุปสาระสาคญั ทไ่ี ด้รับจากการทากจิ กรรม ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ท่านเกดิ ทกั ษะการเปนผ้นู าทีม่ ุ่งสัมฤทธิผลของงานในเร่ืองอะไรบ้าง ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ท่านจะนาทักษะการเปนผู้นาทีม่ ุ่งสัมฤทธิผลของงานที่เกิดขึ้นไปใช้ในสถานศึกษาได้อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………

359 เอกสารอา้ งอิง ชญั ญา อภิปาลกลุ และคณะ. “รูปแบบการพัฒนาการมีส่วนร่ วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขนั้ พืน้ ฐานในการ บริหารและจัดการศึกษาภายใต้โครงการกระจายอานาจการบริหารการศึกษา : กรณีศึกษาของสานักงาน ประถมศึกษาจังหวดั ขอนแก่น.” วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษาดุษฎีบณั ฑิต, สาขาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ , มหาวิทยาลยั ขอนแก่น, 2545. ทิพาวดี เมฆสวรรค.์ กล้าคิด กล้าทา กล้านา กล้าเปล่ียน. พมิ พค์ ร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ : เอก็ ซเปอร์เน็ท, 2545. รัตติกรณ์ จงวิศาล. ผลการฝึ กอบรมภาวะผ้นู าการเปลี่ยนแปลงของผ้นู านิสิตมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ . ปริญญานิพนธ์ วท.ด. (พฤติกรรมศาสตร์). สถาบนั วิจยั พฤติกรรมศาสตร์, 2543. วินยั ดอนโคตรจนั ทร์. ศึกษาความต้องการพัฒนาบคุ ลากรในโรงเรียนปฏิรูปการศึกษาสังกัดสานักงาน ประถมศึกษาอดุ รธานี. รายงานการศึกษาคน้ ควา้ อิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2542. สมศรี ดุสิต. การพัฒนาภาวะผ้นู าการเปลี่ยนแปลงของผ้บู ริหารสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษา ศรี สะเกษ เขต 1. ศรีสะเกษ : สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต 1, 2551. สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3. รายงานการจัดการศึกษาของสานักงานเขตพืน้ ที่ การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ประจาปี . สุราษฎร์ธานี, 2553. สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน. มาตรฐานการบริหารและการจัดการศึกษาโดยใช้สถานศึกษา เป็นฐาน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพส์ านกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ, 2553. สานกั งานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องคก์ ารมหาชน). การประเมินมาตรฐานการศึกษา : คณุ ภาพที่ประเทศม่งุ หวงั . กรุงเทพฯ : พริ้นส์เตอร์, 2553. สานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา. ปาฐกถาพิเศษเร่ือง“ทศวรรษที่สองของการปฏิรูปการศึกษา : ปัญหาและ ทางออก”. สานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2552. สุเทพ พงศศ์ รีวฒั น์. “ภาวะผ้นู าแบบสร้างสรรค์” [ออนไลน์] เขา้ ถึงไดจ้ าก: http://suthep.ricr.ac.th, 21 สิงหาคม 2553. As R. & P rsall M. “The New Work of Formative Leadership.”Samford Univ rsity Birmingham, Alabama. U.S.A., 1999. Kott r J.P. “On W at L ad rs R ally Do.” Havard Business Review Book. Boston: Harvard Business School, 1999. Mugkasem, U. “The Experimental Study of The Creative Leadership Training on Creative Leadership Quality of Education Chief Executive Officers.” Dissertation Presented to the Graduate School, Technical University of the Philippines, 2001.

360 ประวตั ผิ ู้วจิ ยั ช่ือ นายวมิ ล จนั ทร์แกว้ วนั เดือน ปี เกิด ๑๗ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ สถานที่เกิด จงั หวดั นครศรีธรรมราช ประเทศไทย ประวตั ิการศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ พิษณุโลก ท่ีอยปู่ ัจจุบนั ปริญญา การศึกษาบณั ฑิต. ๒๕๑๙ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ สงขลา ปริญญา การศึกษามหาบณั ฑิต. ๒๕๓๗ มหาวทิ ยาลยั รังสิต ปริญญา ศึกษาศาสตรดุษฎีบณั ฑิต. ๒๕๕๕ ๑๗๐/๑๓๔ ซอย ๑๔ หมูบ่ า้ นสยามนครธานี หมู่ที่ ๒ ตาบล ทา่ ซกั อาเภอ เมืองนครศรีธรรมราช จงั หวดั นครศรีธรรมราช


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook